The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ronnachai Joothong, 2023-03-14 03:31:51

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

57 Public Administration Kanyawan 2203101

สถาบ ั นต ุ ลาการม ี หน ้ าทโี ่ ดยตรงในการค ้ ุ มครองส ิ ทธ ิ และ เสรีภาพตามหลักกฎหมายของประชาชน กล่าวคือเป็ นองค์กร ทางการเมืองที่ใช้อ านาจของรัฐในการชี้ขาด ตัดสิน กรณีพิพาท ตลอดจนคดีความทั้งหลายทั้งปวงให้เป็ นไปตามตัวบทกฎหมาย ท ้ ง ั น ี เ ้ พอ ื ่ จ ุ ดม ่ ุ งหมายในการปกป้ องและธ ารงไว ้ ซ ึ ่ งความย ุ ตธ ิ รรม ตามที่กฎหมายก าหนดไว้


สถาบ ั นต ุ ลาการ หมายถง ึ ศาลและผ ้ ู พพ ิ ากษาท ้ ง ั หลายทปี ่ ฏ ิ บ ั ต ิ หน้าที่ในศาลต่างๆ ตามเขตอ านาจศาลในแต่ละระดับและแต่ละ ประเภท ฝ่ ายต ุ ลาการไม ่ ม ี อา นาจโดยตรงในการวางนโยบายของร ั ฐแต ่ ด ้ วยอา นาจหน ้ าทข ี ่ องสถาบ ั นต ุ ลาการแล ้ ว ฝ่ ายต ุ ลาการม ี ส ่ วน เป็ นอย่างมากในการวางนโยบายของประเทศ เพราะการตีความ กฎหมายเป็ นหน ้ าทข ี ่ องฝ่ ายต ุ ลาการ


1. การแต่งตั้ง : บำงระบบกำรเมืองมีระบบกำรเข้ำสู่ ต ำแหน่งของผู้พิพำกษำ เป็ นแบบกำรแต่งตั ้ง ใน ประเทศไทยมีคณะกรรมกำรตุลำกำร (ก.ต.) เป็ นผู้ พิจำรณำคัดเลือกและแต่งตั ้งผู้พิพำกษำ ใน สหรัฐอเมริกำ ผู้ที่แต่งตั ้งผู้พิพำกษำศำลสหพันธ์คือ ประธำนำธิบดี ทั ้งนี ้โดยผ่ำนกำรรับรองจำกวุฒิสภำ ทั ้งนี ้ทั ้งคณะกรรมกำรตุลำกำรและวุฒิสภำคือผู้ที่มี ควำมส ำคัญในกำรกลั่นกรองผู้พิพำกษำ


2. การเลือกตั้ง : ส ำหรับบำงประเทศให้ประชำชนเป็ นผู้ เลือกตั ้งผู้พิพำกษำเองในบำงระดับ เช่นในประเทศ สหรัฐอเมริกำให้ประชำชนในมลรัฐเป็ นผู้เลือกตั ้งผู้ พิพำกษำของศำลบำงประเภทในมลรัฐ ซึ่งท ำให้ผู้ พิพำกษำได้รับควำมภำคภูมิใจว่ำเป็ นตัวแทนของ ประชำชน


โครงสร้ำงของตุลำกำรไทยในปัจจุบัน มีส่วนประกอบที่ ส ำคัญ 2 ประกำร คือ 1. ศำล 2. ผู้พิพำกษำหรือตุลำกำร


1. ศาลธรรมดา หมำยถึง ศำลทั่วไปที่มีอ ำนำจในกำรวินิจฉัย คดีตำมกฎหมำย โดยทั่วไปแบ่งออกเป็ นศำลยุติธรรม ศำล ปกครอง และศำลทหำร 2. ศาลพิเศษ คือศำลที่มิได้มีอ ำนำจวินิจฉัยคดีควำมทั่วไป แต่มี อ ำนำจวินิจฉัยคดีเป็ นลักษณะทำงกำรเมือง ซึ่งได้แก่ศำล รัฐธรรมนูญ


สถาบันทางการเมืองที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ ว่าจะเป็ นสถาบัน พระมหากษัตริย์ สถาบัน ร ั ฐธรรมน ูญ สถาบ ั นน ิ ตบ ิั ญญ ั ต ิ สถาบ ั นบร ิ หาร และ สถาบ ั นต ุ ลาการ ท ้ ง ั หมดม ี วต ั ถ ุ ประสงค ์ เดย ี วกน ั คอ ืใช ้ อา นาจอธ ิปไตยเพอ ื ่ ประโยชน ์ ส ุ ข ของประชาชน


ความหมายของกระบวนการทางการเมืองที่กล่าวมาอาจ สร ุ ปได ้ ว ่ ากระบวนการทางการเม ื อง หมายถง ึ วธ ิี การใช ้ อา นาจ ทางการเม ื อง ซ ึ ่ งเกด ิ ขน ึ ้ มาพร ้ อมกบ ั การทม ี ่ น ุ ษย ์ รวมกน ั อย ่ ู เป็ น กล ่ ุ มส ั งคม และเป็ นการน านโยบายไปใช ้ให ้ เกด ิ ผลดต ี่ อส ั งคม กล ่ ุ มต ่ างๆทม ี ่ ี บทบาทในกระบวนการทางการเม ื องซ ึ ่ ง รวมถง ึ กล ่ ุ มผลประโยชน ์ ต ่ างๆ สมาคม องค ์ การเอกชน(NGOs) กล ่ ุ มวช ิ าช ี พต ่ างๆกล ่ ุ มการเม ื อง พรรคการเม ื องระบบราชการ รัฐสภา คณะรัฐมนตรี หรือฝ่ ายบริหาร คือประธานาธิบดีและ สถาบ ั นต ุ ลาการเป็ นต ้ น ซึ่งในที่นี้จะได้ศึกษาถึงเรื่อง รัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง และกล ่ ุ มผลประโยชน ์ เป็ นต ้ น


1. รัฐบาล รัฐบาลหรือสถาบันฝ่ ายบริหารเป็ นองค์การที่ส าคัญ ทส ี ่ ุ ดองค ์ การหน ึ ่ ง ในการแสดงออกซ ึ ่ งอา นาจอธ ิปไตย ประเภทของรัฐบาล 1) รัฐบาลระบบรัฐสภา 2 ) รัฐบาลระบบประธานาธิบดี 3 ) ระบบกึ่งประธานาธิบดี


ประเภทของรัฐบาล 1) ระบบรัฐสภา หลก ั การสา คญ ั ของร ั ฐบาลแบบน ้ ี ค ื อคณะร ั ฐมนตร ี ส ่ วนใหญ ่ มาจากสมาช ิ กร ั ฐสภา เพราะถ ื อวา ่ สมาช ิ กร ั ฐสภาเป็ นตว ั แทนของ ประชาชน ฉะน ้ น ั ร ู ปแบบการปกครองจ ึ งกา หนดใหน ้ ายกร ั ฐมนตร ี เป็ นสมาชกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งในทางปฏิบัติและโดย ขนบธรรมเน ี ยมประเพณ ี จะม ี การแต ่ งต ้ ง ั นายกร ั ฐมนตร ี จากหว ั หนา ้ พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา


การบริหารประเทศนี้ คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบต่อ สภา ทม ี ่ อ ี า นาจควบค ุ มด ้ านการคลง ั ของประเทศและเป็ นสภาท ี ่ ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ฉะนั้นระยะเวลาของ การอย ่ ู ในตา แหน ่ งของคณะร ั ฐมนตร ี ย ่ อมขน ึ ้ อย ่ ู กบ ั ร ั ฐสภา กล ่ าวคอ ื ถ ้ าร ั ฐสภาไม ่ ร ั บรองนโยบายของคณะร ั ฐมนตร ี ช ุ ดใด คณะร ั ฐมนตร ี ช ุ ดน ้ ั นกต ็้ องลาออก ตา แหน ่ ง หร ื อมฉ ิ ะน ้ ั นกต ็้ องม ี การย ุ บสภา เพอ ื ่ จ ั ดให ้ มก ี ารเลอ ื กต ้ ง ั ทว ั ่ ไปขน ึ ้ มาใหม ่


รัฐบาลระบบรัฐสภาแล้วมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังต่อไปนี้ ข้อดีของรัฐบาลระบบรัฐสภา การปกครองของรัฐบาลระบบรัฐสภามีการประสานงานและ ร่วมมือกันอย่างดี ระหว่างฝ่ ายบริหารและฝ่ ายนิติบัญญัติ และยัง สามารถถ ่ วงด ุ ลในการบร ิ หารงานได ้ อก ี ด ้ วย ข้อเสียของรัฐบาลระบบรัฐสภา การปกครองของรัฐบาลระบบรัฐสภาอาจขาดเสถียรภาพทางการเมือง ในกรณีที่รัฐสภาไม่มีศักยภาพ สมาชิกของพรรคการเมืองไม่มีวินัยและ ขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนประเทศที่มีรัฐบาลปกครองระบบ น ี ้ เช ่ น อง ั กฤษ ญปี ่ ่ ุ น ส ิ งค ์โปร ์ อน ิ เดย ี และไทยเป็ นต ้ น


2) รัฐบาลระบบประธานาธิบดี ร ู ปแบบน ี ม ้ ี แหล ่ งกา เน ิ ดเร ิ ่ มแรกในสหร ั ฐอเมร ิ กา ภายหลง ั จาก สหรัฐอเมริกาได้ประกาศอิสระภาพแยกตัวเองออกมาจากอาณานิคม อง ั กฤษ ผ ้ ู น าสหร ั ฐอเมร ิ กาในสม ั ยก ่ อต ้ ง ัประเทศ ได ้ คด ิ ระบบการ ปกครองแบบการแยกอ านาจ (Separativn of powers) คือ การแยก อ านาจหน้าที่ฝ่ ายบริหารกับฝ่ ายนิติบัญญัติ หลักการส าคัญของการแยก อา นาจได ้ แก ่ประธานาธ ิ บดเ ีป็ นผ ้ ู สรรหาและแต ่ งต ้ ง ั คณะร ั ฐมนตตร ี การปกครองระบบประธานาธ ิ บดก ี า หนดให ้ประม ุ ขของร ั ฐและ ประม ุ ขของฝ่ ายบร ิ หารเป็ นบ ุ คคลคนเดย ี วกน ั ร ู ปแบบการปกครอง ระบอบประธานาธิบดีเป็ นหัวหน้าฝ่ ายบริหารเพียงคนเดียว ประธานาธิบดีเป็ นต าแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ท าให้ประธานาธิบดีมีอ านาจในการบริหารประเทศมาก


การปกครองระบอบประธานาธ ิ บดจ ี ง ึ เป็ นอส ิ ระจากการควบค ุ ม ของรัฐสภา คือสภาไม่มีอ านาจลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งแตกต่างจาก ระบบร ั ฐสภา ทใี ่ ห ้ อา นาจร ั ฐสภาควบค ุ มการบร ิ หารงานของ คณะรัฐมนตรี รัฐบาลระบบประธานาธิบดีแล้วมีทั้งข้อดีและข้อเสียดังนี้ (1) ข้อดีของรัฐบาลระบบประธานาธิบดี รัฐมนตรีจะเป็ นสมาชิกรัฐสภาในเวลาเดียวกันไม่ได้ ประธานาธิบดีมี ส ิ ทธ ิ ทจ ี ่ ะเลอ ื กบ ุ คคลอน ื ่ นอกร ั ฐสภาทม ี ่ ี ความร ้ ู ความสามารถดา รง ต าแหน่งรัฐมนตรีได้ รัฐมนตรีจะมีเวลาเต็มที่ในการบริหารงานที่ตน ร ั บผด ิ ชอบ เพราะไม ่ ต ้ องประช ุ มสภา


(2) ข้อเสียของรัฐบาลระบบประธานาธิบดี กรณีที่ประธานาธิบดีสังกัดพรรคการเมืองที่มีเสียงข้าง น ้ อยในร ั ฐสภา ประธานาธ ิ บดย ี่ อมประสบปั ญหาย ่ ุ งยากในการ บริหารประเทศ เมื่อฝ่ ายบริหารต้องการออกพระราชบัญญัติ เพื่อ ใช้ในการบริหารประเทศ ประเทศที่มีรัฐบาลปกครองระบบนี้ เช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และฟิ ลิปปิ นส์ เป็ นต้น


ร ู ปแบบการปกครองของฝร ั ่ งเศสเป็ นระบบร ั ฐสภาแต ่ประม ุ ข ของประเทศเป็ นประธานาธิบดี ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจาก ประชาชน ประธานาธิบดีมีอ านาจแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี ร่วมกันท าหน้าที่บริหารประเทศและประธานาธิบดีมี อา นาจในการย ุ บสภา รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภาคอ ื ว ุ ฒส ิ ภาและสภาผ ้ ู แทนราษฎร ว ุ ฒส ิ ภามาจากการเลอ ื กต ้ ง ัโดยทางอ ้ อม ส ่ วนสภาผ ้ ู แทนราษฎรมาจาก การเลอ ื กต ้ ง ัโดจตรงของประชาชน ทา หน ้ าทค ี ่ วบค ุ มการบร ิ หารงาน ของรัฐฝ่ ายรัฐบาลสภามีอ านาจทางลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาลได้ สมาชิกรัฐสภาไม่สามารถด ารงต าแหน่งรัฐมนตรีในขณะเดียวกันได้


2. รัฐสภา รัฐสภาหรือสถาบันฝ่ ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ส าคัญโดยตรงในการ ออกกฎหมาย ซึ่งเป็ นกลไกและเครื่องมือในการบริหารและการปกครอง ของประเทศ นอกจากน ี ย ้ ง ั ทา หน ้ าทค ี ่ ้ ุ มครองร ั กษาส ิ ทธ ิ และเสร ี ภาพของ ประชาชน อนึ่งรัฐสภาในรัฐบาลระบบรัฐสภา รัฐสภาท าหน้าที่ในการตรา กฎหมายและควบค ุ มการปฏ ิ บ ั ตห ิ น ้ าทข ี ่ องฝ่ ายบร ิ หาร ร ั ฐสภาม ี ความส าคญ ั ในการสร ้ างความย ุ ตธ ิ รรมให ้ เกด ิ ขน ึ ้ กบ ั ประชาชน และการพยายามปกป้ องรักษาเสถียรภาพของประชาชน


ปั จจ ุ บ ั นประเทศต ่ างๆทม ี ่ ี ร ั ฐสภาน ้ ั นได ้ แบ ่ งสภาฝ่ ายน ิ ต ิ บ ั ญญต ัิ ออกเป็ น 2ระบบคือ ระบบสภาเดียว และระบบสองสภา 1 ระบบสภาเดี่ยว ระบบสภาเดี่ยวเป็ นระบบที่ได้รับความนิยมน้อยมาก มักปรากฏ ระบบน ีใ ้ นการปกครองท ้ องถ ิ ่ นในประเทศไทย และประเทศในทวปี ย ุ โรป ที่ใช้สภาเดียวเช่น นอรเวย์ สวีเดน เป็ นต้น 2 ระบบสองสภา ระบบสองสภาคือ มีสภาหนึ่งเป็ นตัวแทนจากประชาชนทั่วไป ส ่ วนอก ี สภาหน ึ ่ งเป็ นสมาช ิ กทม ี ่ ี ค ุ ณสมบ ั ต ิ พเ ิ ศษบางประการเช ่ นม ี อาย ุ ส ู ง กว ่ าสภาทเ ี ่ ป็ นต ั วแทนของประชาชน หร ื อเป็ นต ั วแทนของคนบางกล ่ ุ ม บางอาชีพ หรือเป็ นตัวแทนบางคนในมลรัฐ


2.1 สภาล่าง สภาล ่ างน ี ้ โดยทว ั่ไปน ้ ั นสมาช ิ กของสภาล ่ างจะประกอบด ้ วยบ ุ คคลทม ี่า จากราษฎรสาม ั ญทว ั่ไป โดยใช ้ประชาชนผ ้ ู ม ี ส ิ ทธ ิ ออกเส ี ยงเลอ ื กต ้ ง ั ตามกฎหมาย ของแต ่ ละประเทศ ฉะน ้ ั น ตามหลก ั การแล ้ วอา นาจหน ้ าทส ี่ าคญ ั ๆจ ึ งอย ่ ู ทส ี่ภาล ่ าง เพราะเป็ นสภาที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน 2.2 สภาส ู ง สภาส ู งน ี ้ คอ ื สภาข ุ นนางในประเทศอง ั กฤษ ต ้ ง ั ขน ึ ้ เพอ ื่ความต ้ องการในการ แต ่ งต ้ ง ั คนช ้ ั นส ู งบางกล ่ ุ ม เช ่ น พระบรมวงศาน ุ วงศ ์ ข ุ นนาง หร ื อพระทางคร ิ สต ์ ศาสนาที่ด ารงต าแหน่งส าคัญ เข้ามาเป็ นตัวแทนของพวกตนในสภา ส่วน สหร ั ฐอเมร ิ กาได ้ จ ั ดต ้ ง ั สภาส ู งหร ื อว ุ ฒส ิ ภาเพอ ื่ให ้ แต ่ ละมลร ั ฐม ี ผ ้ ู แทนของตน เป็ นผ ้ ู แทนในร ั ฐสภา มลร ั ฐละ2 คนเท่ากันหมดทั้ง50มลรัฐ โดยไม่ค านึงถึงว่าจะ เป็ นมลรัฐจ านวนประชากรมากหรือน้อยกว่ากันแต่ประการใด


3. พรรคการเมือง(Political Party) พรรคการเมืองเป็ นกระบวนการทางการเมืองที่ส าคัญในการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยเป็ นการปกครองที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการ ปกครองและม ี อท ิ ธ ิ พลเหน ื อร ั ฐบาลโดยผ ่ านทางสมาช ิ กสภาผ ้ ู แทน ราษฎร พรรคการเม ื องหมายถง ึ กล ่ ุ มบ ุ คคลทม ี ่ ี แนวความคด ิ ทางด ้ าน เศรษฐ ์ กจ ิ ส ั งคม และการเม ื อง ทค ี ่ ล ้ ายคลง ึ กน ั มารวมกล ่ ุ มกน ั เพอ ื ่ ลง สมัครรับเลือกตั้งและหวังเป็ นรัฐบาล


พรรคการเมืองต้องมีองค์ประกอบดังนี้ (1) ต ้ องเป็ นคณะบ ุ คคลหร ื อกล ่ ุ มบ ุ คคลทร ี ่ วมตว ั กน ั เป็ นองค ์ การ (2) การรวมต ั วของพรรคการเม ื องต ้ องม ี อ ุ ดมการณ ์ (3) ต้องก าหนดนโยบายสาธารณะ (4) ต ้ องคด ั เลอ ื กบ ุ คคลเข ้ าสม ั ครร ั บเลอ ื กต ้ ั ง (5) ต ้ องม ี จ ุ ดประสงค ์ในการจ ั ดต ้ ั งร ั ฐบาล พรรคการเมืองมีความส าคัญ คือ เป็ นหลักประกันเสรีภาพและความเสมอภาค ของประชาชน เป็ นการช่วยพัฒนาการปกครองระบอบประชาธิปไตย ท าให้ รัฐบาลสามารถด าเนินงานตามความต้องการของประชาชนได้ พรรคการเมืองต้องมีลักษณะที่ส าคัญคือ ต้องมีความยั่งยืนมั่นคง ถาวร ม ี สาขากระจายอย ่ ู ทว ั ่ ประเทศกิจกรรมของพรรคการเมืองต้องมี การกระท าอย่างต่อเนื่อง


การก าเนิดพรรคการเมืองที่กล่าวมาอาจเกิดจากทฤษฎี ต่างๆเช่นทฤษฎีทางจิตวิทยา ทฤษฎีทางเศรษฐกิจและสังคม ทฤษฎอ ี ุ ดมคต ิ ทฤษฎก ี ารจด ั องค ์ การ ทฤษฎร ีั ฐสภา ทฤษฎ ี สถาบัน ทฤษฎีประวัติศาสตร์และสถานการณ์ และทฤษฎี พัฒนาการ เป็ นต้น


จ าแนกได้ 8 ทฤษฎี 1. ทฤษฎีทางจิตวิทยา (Psychological theories) พรรค การเม ื องเกด ิ จากมน ุ ษย ์ ท ่ ม ีี ความร ้ ู ส ึ กน ึ กคด ิ ท ่ แ ี ตกต ่ าง กัน มองโลกในด้านดีและด้านร้ายต่างกันจึงเกิดพรรค การเมืองที่มีแนวคิดต่างกัน


2.ทฤษฎีทางเศรษฐกิจและสังคม(Socioeconomic theories) เป็ นทฤษฎีที่เชื่อว่า “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคม” เป็ นส่วนส าคัญใน การเกิดพรรคการเมือง 3.ทฤษฎีอุดมคติ(Ideological theories)มนุษย์ มีคุณสมบัติพิเศษคือ “ความคิดสร้างสรรค์” (creative thinking) ดังนั้นมนุษย์จึงมีการรวมตัวของกลุ่มแนวคิด เดียวกันเกิดเป็ นพรรคการเมืองที่มีความยึดมั่นใน อุดมการณ์เดียวกันขึ้นเป็ นพรรคการเมืองต่าง ๆ


4. ทฤษฎีเกี่ยวกับองค์การ (Organizational theories) พรรคกำรเมืองเกิดจำกกำรรวมกลุ่มของบุคคล และผู้น ำ (leader)ในทำงกำรเมืองเข้ำมำเป็ นสมำชิกเพื่อสร้ำงควำมนิยม และผู้ที่ ต้องกำรแสวงหำผลประโยชน์ทำงกำรเมืองสมัครเข้ำมำเป็ นสมำชิกร่วมด้วย 5. ทฤษฎีรัฐสภา (Parliamentary theories) ทฤษฎีนี ้ เกิดจำกแนวควำมคิดของโมริช ดูแวร์แยร์ (Maurice Duverger)นักรัฐศำสตร์ชำวฝรั่งเศส กล่ำวว่ำพรรคกำรเมืองก ำเนิด มำ 2 แนวทำง คือก ำเนิดพรรคกำรเมืองนอกรัฐสภำ (extraparliamentary origins)และก ำเนิดพรรคกำรเมืองในรัฐสภำ (inner-parliamentary origins)


6. ทฤษฎีว่าด้วยสถาบัน (Institutional theories) เกด ิ จากการรวมต ั วเป็ นหมู่ คณะ (cligue) หรือสโมสรทาง การเมือง แล้วจึงรวมตัวก่อตั้งพรรคการเมือง 7. ทฤษฎีว่าด้วยประวัติศาสตร์และสถานการณ์ (Historical situational) ทฤษฎีนี้เป็ นทฤษฎีที่ท าให้ ทราบถึงประวัติศาสตร์วิกฤตการณ์ต่างๆ ในการเกิดพรรคการเมือง และ 8. ทฤษฎีว่าด้วยพัฒนาการ Devenlopmental theories) พรรคการเมืองเกิดจากสภาพแวดล้อมซึ่งเกิดจาก พัฒนาการที่ส าคัญ 2 ประการ คือ - การเปลี่ยนแปลงทัศนคติของประชาชน - เกด ิ จากผ ้ ู น าทางการเม ื อง


การจัดองค์การของพรรคการเมือง 1. องค์การของพรรค พรรคการเมืองจ าเป็ นต้องมีการวางแผนและการจัดการ องค์การโดยการแบ่งงานออกเป็ นสาขาต่างๆ และต้องก าหนดสายบังคับบัญชา 2. กลไกของพรรค การด าเนินงานจะเป็ นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ จะต้องมีการประสานงานร่วมมือกันทุกส่วนภายใน พรรค 3. นโยบายพรรค เป็ นองค์ประกอบส าคัญในการที่จะ เอื้ออ านวยให้พรรคการเมืองด าเนินงานได้ตามจุดมุ่งหมาย 4. การเงินของพรรค เงินเป็ นปัจจัยส าคัญของพรรค การเมืองในการรณรงค์หาเสียง ท าป้ ายโฆษณาและแผ่นพับฯลฯ 5. การประชุมพรรค มีความส าคัญอย่างยิ่งในการสร้าง ความผ ู กพ ั นให ้ แน่นแฟ้ นย่ง ิ ขน ึ ้ พรรคจง ึ ควรจ ั ดระเบ ี ยบท่ี ด ี จะต ้ องม ี การจัดประชุมพรรคทุกระดับอย่างสม ่าเสมอ


มีอ านาจหน้าที่และความรับผิดชอบ 1. ก าหนดนโยบายของพรรค 2. การค ั ดสรรผ ้ ู ลงสม ั ครร ั บเล ื อกตง ั ้ เพ ่ ื อไปเป็ นตว ั แทนของ ประชาชน 3. การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง 4. การจัดตั้งรัฐบาลเพื่อเข้ามาบริหารประเทศ 5. การเป็ นฝ่ ายค ้ านในสภาผ ้ ู แทนราษฎร 6. เผยแพร่อุดมการณ์และนโยบายของพรรค 7. สร ้ างความร ้ ู ความเข ้ าใจทางการเม ื องให ้ แก ่ประชาชน


และในปัจจุบันพรรคการเมืองได้มีการปรับบทบาทเพื่อให้ ใกล้ชิดกับประชาชน และเชิญชวนให้ประชาชนเข้ามามีส่วน ร่วมกับพรรคการเมืองมากขึ้น ทั้งนี้เพราะพรรคการเมือง เป็ นกลไกส าคัญที่จะช่วยให้การปกครองประเทศด าเนินไป ในทิศทางที่ดีขึ้น พรรคการเมือง หมายถึง คณะบ ุ คคลทร ี ่ วมต ั วก ั นเป็ นองค ์ กร ตามแนวคด ิ เหน ็ หร ื อหล ั กการบางอย ่ างทเ ี ่ หน ็ พ ้ องต ้ องก ั น เพ ื ่ อกา หนดประเดน ็ปั ญหาและค ั ดเล ื อกบ ุ คคลเข ้ าสม ั ครร ั บ เล ื อกต ั ้ ง ม ี จ ุ ดม ่ ุ งหมายในการควบค ุ มการดา เน ิ นงานและ นโยบายรัฐบาล


1. เป็ นคณะบุคคลที่รวบรวมกันเป็ นองค์กร 2. เป็ นการรวมตัวกันตามแนวความคิดเห็นหรือ หลักการบางอย่างที่เห็นพ้องต้องกัน 3. มีการก าหนดประเด็นปัญหาและนโยบาย


ระบบของพรรคการเมือง แยกระบบพรรคการเมืองได้ 4 ระบบ 1. ระบบหลายพรรค (Multi- Party System) มีพรรคการเมืองจ านวน มาก และในสภาจะมีลักษณะรัฐบาลผสม 2. ระบบ 2 พรรค (Two-Party System) อาจมีพรรคการเมืองมากกว่า 2 พรรคแต่จะมีพรรคการเมืองใหญ่เพียง 2 พรรค ที่มีบทบาททางการเมืองอย่าง มากในสภา 3. ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (One-Party Doninance) พรรคเด่น พรรคเด ี ยวเป็ นพรรคทผ ี ่ ู กขาดเป็ นร ั ฐบาลตลอด พรรคเลก ็ ๆกจ ็ ะเป็ นเส ี ยงข ้ าง น้อยในสภาเท่านั้น 4. ระบบพรรคเดียว (One-Party System) จะพบในประเทศที่ปกครอง แบบเผด็จการ หรือระบอบสังคมนิยม จะมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว


ระบบพรรคเดียว(One-Party System) ระบบพรรคเดียวนั้นที่เด่นชัดคือระบบพรรค การเมืองในสังคมนิยม เช่น สาธารณะรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม เป็ นต้น ประเทศ เหล ่ าน ี จ ้ ะม ี พรรคคอมม ิ วน ิ สต ์ เพย ี งพรรคเดย ี ว ผ ู กขาด อ านาจทางการเมือง


ระบบพรรคเด่นพรรคเดียว(One-party system) : เป็ นร ู ปแบบท่ม ีี พรรคการเม ื องหลายพรรคเข ้ าแข ่ งข ั นทาง การเมือง แต่จะมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวที่ได้รับเสียง ข้างมากในสภาส่วนพรรคการเมืองอื่นนั้นจะมีสมาชิกที่ได้รับ การเลือกตั้งไม่มากนัก การจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็ นหน้าที่ของพรรค การเม ื องท่ม ีี เส ี ยงข ้ างมาก ด ั งน ั น ้ การบร ิ หารประเทศจง ึ อย ่ ู ภายใต้การควบคุมของพรรคการเมืองที่ได้รับความไว้วางใจ จากประชาชนเพียงพรรคเดียว


ระบบสองพรรค (Two-party system) : คือการที่มีพรรคการเมืองใหญ่เพียงสองพรรค เท่านั้นที่มีโอกาสผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันจัดตั้ง รัฐบาล โดยเสียงสนับสนุนของสองพรรคนี้จะไม่ แตกต่างกันมากนัก ส่วนพรรคอื่นๆ จะเป็ นเพียง พรรคเล็กๆ เท่านั้น


ระบบหลายพรรค (Multi-party system) : มีลักษณะส าคัญคือ มีพรรคการเมืองเกินกว่า 3 พรรคขึ้น ไป โดยแต่ละพรรคจะมีคะแนนเสียงสนับสนุนใกล้เคียง กัน ไม่มีพรรคใดได้คะแนนเสียงมากเด็ดขาดพอที่จะ จัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียวได้ ต้องอาศัยความร่วมมือ ระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ รวมกันจัดตั้งรัฐบาลผสม การมีพรรคการเมืองหลายพรรคนี้ แต่ละพรรคย่อมมี อุดมการณ์และแนวคิดที่แตกต่างกัน จึงท าให้รัฐบาลผสม ม ั กจะล ้ มล ุ กคล ุ กคลาน หร ื อม ี การเปล ่ ี ยนร ั ฐบาลอย ่ ู บ ่ อยๆ


1. คน ซึ่งก็คือสมาชิกพรรค กรรมการบริหารพรรค รวมถึงหัวหน้าพรรคและบุคลากรอันเป็ นเจ้าหน้าที่ ประจ าพรรค 2. สถานที่และอุปกรณ์ หมายถึง ที่ท างานทั้ง ส านักงานใหญ่และส านักงานสาขา ตลอดจน อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่จ าเป็ น เช่น เครื่องมือ เครื่องใช้ส านักงาน


3. การก าหนดและจัดแบ่งโครงสร้างที่ส าคัญ เช่น ที่ ประชุมใหญ่ ที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร ส านักงาน เลขาธิการ ฝ่ ายและแผนกต่างๆ เช่น ฝ่ ายการเงิน การ คล ั งและการบ ั ญชีฝ่ ายวชิ าการและวจ ิั ย ฝ่ ายข ้ อม ู ลและ สาระสนเทศ ฯลฯ มีหน่วยปฏิบัติการ มีส านักงานและ กรรมการสาขาต่างๆ เป็ นต้น 4. ความคิดความเชื่อหรืออุดมการณ์ร่วมกัน ซึ่งปรากฏ อย ่ ู ในข ้ อบ ั งค ั บพรรค นโยบายพรรค ซ ่ ง ึโดยหล ั กการจะ เป็ นสิ่งเชื่อมประสานบุคลากรในพรรคเข้าด้วยกัน


1. การให้การศึกษาทางด้านการเมืองแก่ประชาชน พรรคการเมือง จะช ่ วยกระต ้ ุ นให ้ประชาชนได ้ ม ี ความร ้ ู ความเข ้ าใจและสนใจใน ปัญหาของบ้านเมืองมากขึ้น รวมทั้งตระหนักถึงบทบาทของ ตนเองเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมือง การให้การศึกษา ด้านการเมืองแก่ประชาชน สามารถด าเนินการได้หลายลักษณะ เช่น จัดอบรม จัดสัมมนา อภิปราย แจกจ่ายเอกสารหรือให้ ความร ้ ู ผ ่ านทางส ื ่ อต ่ างๆ


2. การสร ้ างผ ้ ู น าทางการเม ื อง โดยการค ั ดเล ื อกหร ื อสรรหา บ ุ คลากรทางการเม ื องมาเป็ นผ ้ ู น าในด ้ านต ่ างๆ เช ่ น การ ส ่ งผ ้ ู สม ั ครร ั บเล ื อกตง ั ้ เพ ่ อ ื เข ้ าไปบร ิ หารประเทศทง ั ้ใน ระดับท้องถิ่นและระดับรัฐ ทั้งนี้เพื่อเป็ นการสืบทอด ภารกิจ อุดมการณ์ หน้าที่และบทบาทของพรรคการเมือง ในอนาคต พรรคการเมืองจึงควรให้ความส าคัญต่อการ สร ้ างผ ้ ู น าทางการเม ื องท ่ ม ีี ความเพย ี บพร ้ อมทง ั ้ ค ุ ณธรรม และความร ้ ู ความสามารถเพ ่ อ ื ร ั บใช ้ ส ั งคมโดยส ่ วนรวม


3. กระตุ้นให้ประชาชนทั่วไปมีส่วนร่วมในการ ปกครองประเทศด ้ วยการเสนอช ่ ื อผ ้ ู สม ั ครร ั บ เลือกตั้งที่มีชื่อเสียง และจัดตั้งสโมสรหรือชมรม ต่างๆ เพื่อสร้างความสนใจทางการเมือง 4. การเป็ นตัวกลางในการเชื่อมประสานระหว่าง ประชาชน กลุ่มประชาชน หรือกลุ่มผลประโยชน์ ต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจและประสานการท างานใน สังคมร่วมกัน ตลอดจนการปลุกเร้าประชาชนให้ เกิดความตื่นตัวทางการเมือง และเป็ นช่องทางให้ ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมทางการเมืองต่อไป


5. เป็ นช่องทางของประชาชนในการแสดงออก อันจะช่วย ผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นกับ ประชาชนได้ 6. การก าหนดนโยบายหลักที่ส าคัญเพื่อน าไปใช้ในการ บริหารและปกครองประเทศ 7. ถ้ายังไม่มีโอกาสบริหารประเทศ พรรคการเมืองก็จะท า หน้าที่แทนประชาชนในการเรียกร้องหรือกดดันให้รัฐบาล สนองตอบในแนวทางที่เห็นว่าเหมาะสม 8. ท าหน้าที่เป็ นรัฐบาลเมื่อได้รับเสียงข้างมาก และท า หน ้ าท ่ เ ีป็ นฝ่ ายค ้ านหร ื อผ ้ ู ควบค ุ มร ั ฐบาลเม ่ ื อได ้ ร ั บเส ี ยง ข้างน้อย


ปัญหาของพรรคการเมืองไทย ปัญหาพรรคการเมืองไทย เช่น โครงสร้างพรรค การเม ื อง ปั ญหาผ ้ ู บร ิ หารและสมาชิ กพรรค และปั ญหา ว ิ กฤตการณ ์ ต ่ าง ๆท่น ี อกเหน ื อร ั ฐธรรมน ูญ และท ่ ามกลาง ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเราจะพบกับปัญหาต่าง ๆ มาก ขึ้นเช่นการซื้อตัว สส.เข้าพรรคการเมือง แนวทางแก้ไข แก้ไขตามโครงสร้างและแก้ไขตามสถานการณ์


ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนได้มีวิวัฒนาการมา อย ่ างยาวนาน อาจสร ุ ปได ้ ดง ั น ี ้ 1. ความสัมพันธ์ในเชิงอ านาจรัฐ ความสัมพันธ์ในเชิงอ านาจรัฐอาจแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภท 1.1. ระบบสังคมเปิ ด ระบบสังคมเปิ ดได้แก่ สังคมในประเทศที่มีการปกครอง ในระบอบประชาชธ ิปไตย ซ ึ ่ งเป็ นส ั งคมทเ ี ่ ปิ ดโอกาสให ้ ท ุ กคนเป็ นผ ้ ู ก าหนดวิถีชีวิตของตนเอง มีอิสระในการแสดงความคิดเห็น มีเสรีภาพ ในการรวมกล ่ ม ุ ทางด ้ านเศรษฐกจ ิ ส ั งคมและการเม ื อง เป็ นต ้ น


1.2ระบบสังคมปิ ด ระบบสังคมปิ ดได้แก่สังคมในประเทศที่มีการ ปกครองระบอบเผด็จการ เช่น คอมมิวนิสต์ ฟาสซิสต์ นาซี เป็ น ต้น รัฐจะไม่ยอมให้ประชาชนรับผิดชอบใดๆ ความรับผิดชอบ น ้ ั นตกอย ่ ู กบ ั ร ั ฐ ประชาชนต ้ องดา เน ิ นช ี วต ิไปตามทร ี ่ ั ฐกา หนด และไม่สามารถแสดงความคิดเห็นใดๆ


2. ความสัมพันธ์ในเชิงกฎหมาย การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนนั้น ร ั ฐท ุ กร ั ฐในส ั งคมจะต ้ องมห ี น ้ าทต ี ่ ่ อประชาชน และประชาชนต ่ อ รัฐ การบริหารงานของรัฐนั้น รัฐจะต้องมีเครื่องมือ เครื่องมือ น ้ ั นคอ ื กฎ ระเบ ี ยบ ข ้ อห ้ ามหร ื อข ้ อบ ั งคบ ั เพอ ื ่ ควบค ุ มพฤตก ิ รรม ของประชาชนและรัฐที่เรียกว่า “กฎหมาย” ซึ่งเป็ น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน


ความหมายของกฎหมาย กฎหมายน ้ ั นม ี ความหมายอย ่ ู หลายประการ ซ ึ ่ งความหมาย จะแปรเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ลักษณะของสังคมที่ แตกต่างกัน สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ความต้องการของ ประชาชนในสังคม นั้น ๆ แต่หลักที่ส าคัญและเป็ นความหมายของ กฎหมายโดยทว ั ่ ไปจะม ี อย ่ ู 4 ประการ คือ 1. กฎหมายต้องเป็ นค าสั่ง 2. กฎหมายถ ู กกา หนดข ึ น ้ โดยผ ้ ู มอ ี า นาจในส ั งคม 3. กฎหมายใช้บังคับและเป็ นที่ทราบแก่คนทั่วไป 4. กฎหมายต ้ องม ี สภาพบ ั งคบ ั แก ่ ผ ้ ู ฝ่ าฝื น


1. กฎหมายเป็ นกฎข้อบังคับของรัฐ 2. ม ี องค ์ การทม ี ่ ี อา นาจทางน ิ ตบ ิั ญญต ั เ ิป็ นผ ้ ู บ ั ญญต ั ก ิ ฎหมาย เพอ ื ่ ใช ้ บ ั งคบ ั แก ่ บ ุ คคลในร ั ฐ 3. กฎหมายท ุ กฉบ ั บม ี ผลใช ้ บง ั คบ ั เป็ นการทว ั ่ ไปภายในดน ิ แดน ของรัฐนั้น 4. กฎหมายท ุ กฉบ ั บม ี ผลใช ้ บง ั คบ ั ตลอดไป จนกว ่ าจะม ี การ ประกาศยกเลิกโดยองค์การที่มีอ านาจทางนิติบัญญัติ 5. ม ี บทลงโทษแก ่ ผ ้ ู ฝ่ าฝื น


ขนบธรรมเนียมประเพณี (Custom) เป็ นที่มาที่ส าคัญที่สุดของกฎหมาย ต้นตอจะมา จากนิสัยของสังคม หรือนิสัยทางสังคม ซึ่งมักจะ เป็ นที่มาของกฎหมายพื้นฐานของรัฐ ส่วนใหญ่จะ ได้รับอิทธิพลจากศาสนาเป็ นส่วนใหญ่


Click to View FlipBook Version