The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ronnachai Joothong, 2023-03-14 03:31:51

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

57 Public Administration Kanyawan 2203101

องค์ประกอบของรัฐ คา วา ่ ด ิ นแดนในท ี ่ น ้ ี หมายความรวมถ ึ ง พ ้ ื นด ิ น น ่ านน ้ า ภายใน ( Internal Waters) ซ ่ ึ งรวมถ ึ งแม ่ น ้ า ลา คลอง ทะเลสาบ อ ่ าวท ี ่ ม ี ความกวา ้ งไม ่ เก ิ น 24 ไมลท ์ ะเลอ ่ าว ประวัติศาสตร์ ทะเลอาณาเขต (Terrestrial Waters) น ่ านฟ้ า และรวมถ ึ งสถานท ี ่ บางแห ่ งซ ่ ึ งถ ื อวา ่ เป็ นด ิ นแดน หร ื ออาณา เขตสมมต ิ เช ่ น เร ื อหลวงอากาศยาน เป็ นตน ้


องค์ประกอบของรัฐ ทะเลอาณาเขต หมายถ ึ งทอ ้ งทะเลท ี ่ อยช ่ ู ายฝั ่ งกบ ั ทะเลหลวง หร ื อเร ี ยกอ ี กอยา ่ งหน ่ ึ งวา ่ ทะเลนานาชาต ิ ทะเลสากล น ่ านน ้ า นานาชาต ิ น ่ านน ้ า สากล ม ี ความกวา ้ ง ห ่ างจากชายฝั ่ งออกไปไม ่ แน ่ นอน แลว ้ แต ่ ร ั ฐใดจะ กา หนดเขตเท ่ าใด และร ั ฐอ ื ่ นๆ ยอมร ั บหร ื อไม ่ สา หร ั บ ประเทศไทยน ้ น ั ไดก ้ า หนดความกวา ้ งทางทะเลอาณา เขตไว้ 12 ไมล์ทะเล เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2509


องค์ประกอบของรัฐ อ ่ าวประวต ัิ ศาสตร ์ หมายถ ึ ง น ่ านน ้ า ภายในประเทศไทยอย ่ ู ในพ ้ ื นท ี ่ 7 จังหวัด คือ เพชรบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร กรุงเทพฯ สมุทรปราการ ฉะเชิงเทรา และชลบุรี (ธีรวุฒิ โศภิษฐิ กุล2543:20-21) เขตแดนของร ั ฐโดยปกต ิ จะใชพ ้ รมแดนธรรมชาต ิ เช ่ น สน ั เขา หร ื อสน ั ปั นน ้ า ร ่ องน ้ า ล ึ กเป็ นตน ้ ในส ่ วนท ี ่ ไม ่ ม ี พรมแดน ธรรมชาต ิ หร ื อม ี แต ่ ตอ ้ งการใหม ้ี การเปล ี ่ ยนแปลงไปเป็ นอยา ่ งอ ื ่ น ร ั ฐท ี ่ เก ี ่ ยวขอ ้ งมาจด ั ต ้ ง ั คณะกรรมการปั นเขตแดนเพ ื ่ อกา หนดเขต แดนร ่ วมกน ั ใหเ ้ป็ นท ี ่ แน ่ นอน ซ ่ ึ งอาจไม ่ ตรงกบ ั หลก ั สากลกไ็ ด ้


สร ุ ป ร ั ฐจะเกด ิ ขน ึ ้ ไม ่ได ้ ถ ้ าไม ่ ม ี ดน ิ แดน การม ี ดน ิ แดนท ี ่ เป็ นพรมแดน หร ื อเส ้ นเขตแดน อน ั เป็ นทเ ี ่ ป็ นทย ี ่ อมร ั บกน ัในหม ่ ู นานาประเทศ หรือการรับรองขององค์การระหว่างประเทศ ดินแดนนี้อาจแบ่งได้ 2 ประเภท คือ การแบ่งเขตตามสภาพตาม ธรรมชาติ และการแบ่งเขตโดยการก าหนดกันเอง ค าว่า ดินแดน นี้ หมายถึง พื้นดิน น่านน ้า และน่านฟ้ าเหนือพื้นดิน อ านาจการ ปกครองของร ั ฐจง ึ ม ี อย ่ ู เหน ื อดน ิ แดนของร ั ฐน ้ ั น


3. รัฐบาล ร ั ฐบาลเป็ นสง ั คมท ี ่ ม ี การรวมตว ั กน ั ของประชากรทาง การเม ื อง ดง ั น ้ น ั องคก ์ ารทางการเม ื องค ื อร ั ฐบาลร ั ฐบาลจ ึ งเป็ น ส ่ วนสา คญ ั ของร ั ฐเพราะร ั ฐบาลเป็ นผท ู ้ า หนา ้ ท ี ่ ในการปกครอง ประเทศ รัฐบาลจะประกอบด้วยฝ่ ายนิติบัญญัติ ฝ่ ายบริหาร ปละ ฝ่ ายต ุ ลาการและจะม ี หน ่ วยงานยอ ่ ยๆ ลงไป เร ี ยกวา ่ หน ่ วยงาน การปกครอง หร ื อหน ่ วยงานทางการบร ิ หาร ซ ่ ึ งทา หนา ้ ท ี ่ บร ิ การ ประชาชน


3. รัฐบาล สร ุ ปไดว ้ า ่ ร ั ฐท ุ กร ั ฐตอ ้ งม ี ร ั ฐบาลร ั ฐบาลน ้ น ั ตอ ้ งไดร ้ั บ ความยน ิ ยอมจากประชาชน ร ั ฐบาลจะอยไ่ ู ดอ ้ ยา ่ งยน ื ยงถา ้ สนองความต้องการของประชาชน รักษาผลประโยชน์ของ ประชาชน ใหค ้ วามยต ุ ิ ธรรมแก ่ประชาชน และป้ องกน ั การ ร ุ กรานจากต ่ างชาต ิได ้


ความแตกต่างระหว่างรัฐกับรัฐบาล 1. ร ั ฐม ี ความหมายครอบคล ุ มกว ่ าร ั ฐเป็ นหน ่ วยรวมทปี ่ ระกอบด ้ วย ....ท ุ กอย ่ าง ส ่ วนร ั ฐบาลเป็ นส ่ วนประกอบหน ึ ่ งของร ั ฐ 2. รัฐมีความต่อเนื่องหรือมีความถาวร ส่วนรัฐบาลเป็ นการปกครอง ชั่วคราว 3. รัฐบาลเป็ นเครื่องมือซึ่งน าอ านาจรัฐไปใช้ รัฐบาลเปรียบเป็ น “สมอง” ของรัฐ


ความแตกต่างระหว่างรัฐกับรัฐบาล 4. รัฐเป็ นตัวแทนซึ่งคนในสังคมในด้านการท าความร่วมมือ หรือ การใช้เจตจ านงร่วมกัน สร ุ ปได ้ ว ่ า คา ว ่ าร ั ฐบาลอาจม ี ความหมายแคบว ่ าคา ว ่ าร ั ฐร ั ฐบาล เป็ นเพียงส่วนหนึ่งของรัฐ เพราะค าว่ารัฐ รวมถึงทั้งรับบาลและประชาชนที่ ถ ู กปกครองร ั ฐบาลเป็ นเพย ี งกลไกทท ี ่ า หน ้ าทใี ่ ห ้ ร ั ฐเพอ ื ่ ทา เจตจ านงหร ื อ เป้ าประสงค์ของรัฐ ดังนั้นรัฐจะมีองค์ประกอบ 4 ประการที่ไม่สามารถขาดอย่างใด อย่างหนึ่งได้ คือ 1.ประชากร 2. ดินแดน 3. รัฐบาล และ 4.อ านาจอธิปไตย


4. อ านาจอธิปไตย อา นาจอธ ิปไตย หมายถ ึ งอา นาจส ู งส ุ ดในการ ปกครองประเทศ มอ ี า นาจเหน ื อบ ุ คคลท ุ กคน และม ี อา นาจเหน ื อองค ์ กรท ุ กประเภททอ ี ่ ย ่ ู ในดน ิ แดนของ ประเทศ ประเทศมอ ี า นาจส ู งส ุ ดในกจ ิ การภายในประเทศ และภายนอกประเทศ โดยมร ีั ฐบาลเป็ นผ ้ ู ใช ้ อา นาจ อธิปไตย


4. อ านาจอธิปไตย สร ุ ป อา นาจอธ ิปไตย หมายถ ึ งอา นาจส ู งส ุ ดในการ ปกครองประเทศ อ านาจอธิปไตยท าให้ประเทศมีอิสระ และมีความเป็ นเอกราช สามารถบริหารกิจการได้ทั้ง ภายในและภายนอกประเทศได้อย่างเต็มที่ปราศจากการ ควบค ุ มจากภายนอก


การก าเนิดของรัฐ รัฐก าเนิดขึ้นมาได้อย่างไร ? สร ุ ปการเกด ิ ร ั ฐได ้ ดง ั น ี...้ 1. ทฤษฎีเทวสิทธิ์ (The Devine Right Theory) 2. ทฤษฏีสัญญาประชาคม (Social Contract Theory) 3. ทฤษฎีธรรมชาติ (The Natural Theory) 4. ทฤษฎีพละก าลัง (The Force Theory) 5. ทฤษฎีวิวัฒนาการ (The Evolutionary Theory)


1. ทฤษฎ ี เทวส ิ ทธ ์ิ(The Divine Theory) แนวคิดนี้มีต้นก าเนิดมาจากอาณาจักรโบราณแถวตะวันออกกลาง ทผ ี ่ ้ ู ปกครองได ้ ร ั บการยอมร ั บว ่ าเป็ นเช ื ้ อสายจากพระเจ ้ า ทฤษฎ ี น ี ถ ้ ื อว ่ าเป็ นการก าเน ิ ดร ั ฐท ี ่ เก ่ าแก ่ ท ี ่ ส ุ ด โดยม ี พ ื น ้ ฐานอย ่ ู บน สมมตฐ ิ านทว ี ่ ่ า ชนบางหม ่ ู เป็ นผ ้ ู ทพ ี ่ ระผ ้ ู เป็ นเจ ้ าเลอ ื กสรรประทานมา สร ุ ป ได้เป็ น 3 ประการ ดังนี้ 1. รัฐเกิดจากแรงดลบันดาลจากเจตนารมณ์ของพระเจ้า 2. มน ุ ษย ์ไม ่ได ้ เป็ นผ ้ ู สร ้ างร ั ฐ แต ่ เป็ นเพ ี ยงองค ์ประกอบหน ึ ่ งของ รัฐเท่านั้น


3. ผ ้ ู ปกครองร ั ฐม ี หน ้ าท ี ่ เสม ื อนต ั วแทนของพระเจ ้ า ประชาชน ท ุ กคนต ้ องเช ื ่ อฟั งและเคารพโดยด ุ ษฎ ี น ั กเทวว ิ ทยาในย ุ คแรกๆ ได ้ใช ้ แนวค ิ ดน ี ้ เพ ื ่ อผลประโยชน ์ ของ ตนเอง ผ ้ ู น าทางศาสนาในย ุ คแรก ไม ่ ว ่ าจะเป็ น เซ็นต์ แอมโบรส (Saint Ambrose, ค.ศ.340-397) เซ ็ นต ์ ออกส ุ ต ิ น (Saint Augustine, ค.ศ.354-430) หรือ สันตะปาปา เกรเกอรี่ (Pope Gregory the Great, ค.ศ.540-604)


2. ทฤษฎีสัญญาสังคม หรือ ทฤษฎีสัญญา ประชาคม ( Social Contract Theory) อ านาจของกษ ั ตร ิ ย ์ได ้ ถ ู กลบล ้ างด ้ วยอ านาจทฤษฎ ี ท ี ่ ทรงพล ั งน ี ้ ข้ออ้างประการหนึ่งได้แก่ ทฤษฎีสัญญาประชาคม ซึ่งพัฒนาขึ้นใน ระหว่างคริสต์ ศตวรรษที่ 17-18 อ ั นม ี พ ื ้ นฐานอย ่ ู บนแนวค ิ ดอ านาจ อธิปไตยปวงชนที่ถือว่า แหล่งที่มาของอ านาจรัฐ คือ ประชาชน การท าสัญญาเกิดขึ้นจากประชาชนทั้งปวง ซึ่งมีอ านาจมาตกลงกัน เพื่อสถาปนารัฐขึ้น และให้อ านาจรัฐแก่รัฐบาลระดับหนึ่ง


ในอ ั งกฤษ แนวค ิ ดน ี ้ ได ้ ถ ู กเบ ี ่ ยงเบนไปช ั ่ วคราว ค ื อ จากท ี ่ สน ั บสน ุ นส ิ ทธ ิ ของประชาชน ไปสน ั บสน ุ นอ านาจส ิ ทธ ิ ์ ขาดของกษต ั ร ิ ย ์ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes, ค.ศ.1588-1679) เป็ นผู้ที่ใช้ แนวคิดสัญญาประชาคมไปสน ั บสน ุ นอา นาจเดด ็ ขาดของกษต ั ร ิ ย ์ จอห์น ล็อค (John Locke, ค.ศ.1632-1704) ได้เป็ นคนน า ความค ิ ดน ้ ี กลบ ัไปส ่ ู ธรรมชาต ิ ด ้ ง ั เด ิ มของทฤษฎ ี น ้ ี ค ื อ ทา หนา ้ ท ี ่ ปกป้ อง ปัจเจกชนจากการคุกคามของฝ่ ายบริหาร


ฌอง ฌาคส ์ ร ุ สโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอ เจตนารมณ ์ ของปวงชน ซ ึ ่ งอา นาจอธ ิปไตยเป็ นของช ุ มชน ไม ่ได ้ อย ่ ู ท ี ่ ร ั ฐ ร ั ฐเป็ นเพ ี ยงผ ้ ู น านโยบายไปปฏ ิ บ ั ต ิ เพ ื ่ อน าความส ุ ข ความเจร ิ ญมาส ่ ู ช ุ มชน ประชาชนในร ั ฐเป็ นผ ้ ู ปกครอง การ ปกครองตามแนวนี้ มีลักษณะเป็ นประชาธิปไตยโดยตรง แบบ นครรัฐเอเธนส์สมัยกรีกโบราณ


สร ุ ป คอ ื มน ุ ษย ์ เป็ นผ ้ ู สร ้ างร ั ฐร ั ฐบาลม ี ลก ั ษณะเป็ น ประชาธ ิปไตยโดยตรง ช ุ มชนเป็ นผ ้ ู กา หนดนโยบายร ั ฐบาลเป็ นผ ้ ู น า นโยบายไปปฏ ิ บ ั ตแ ิ ละอา นาจอธ ิปไตยเป็ นของช ุ มชน ทฤษฎส ีั ญญาประชาคมอาจสร ุ ปได ้ ดง ั น ี ้ 1. ร ั ฐเกด ิ จากมน ุ ษย ์ หร ื อมน ุ ษย ์ สร ้ างร ั ฐ 2. รัฐและรัฐบาลเกิดจากสัญญา 3. ร ั ฐและร ั ฐบาลจะต ้ องเป็ นไปตามเจตนารมณ ์ ของผ ้ ู ร ่ วมทา ส ั ญญา 4. ส ั ญญาจะผ ู กพน ั กบ ั มน ุ ษย ์ ค ่ ู ส ั ญญา


3. ทฤษฎ ี ธรรมชาต ิ( Natural Theory) อร ิ สโตเต ิ ้ ล (Aristotle พ.ศ.159 - 221) บิดาของรัฐศาสตร์ ได้ เสนอทฤษฎีธรรมชาติขึ้นเป็นคนแรก เพื่ออธิบายการก่อก าเนิดของรัฐ โดยเชื่อว่า มนุษย์นั้นเกิดมามีความดีโดยพื้นฐาน และมีความพยายาม อย่างไม่หยุดยั้งที่จะเข้าถึงความดีงามขั้นสุดยอด (อันตวิทยา Teleology) อันเป็นสิ่งซึ่งไม่มีวันจะบรรลุถึง เขาเชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์การเมืองโดยธรรมชาติ (Man is a political animal) กล่าวคือ เป็นธรรมชาติที่มนุษย์จะต้องรวมเข้าด้วยกัน และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน อันจะก่อให้เกิดชุมชนขึ้นมา รูปแบบที่เป็น ทางการของชุมชนมนุษย์ก็คือ นครรัฐ (Polis)


อร ิ สโตเต ิ ล เชื่อว่า นครรัฐ เป็นสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติของสังคม มน ุ ษยจ ์ ะเป็ นมน ุ ษย ์ กต ็ ่อเม่อ ื อยู่ ภายในนครรฐ ั ปจ ั เจกบ ุ คคลท่อ ี ยู่ ภายนอก นครรฐ ั นน ั ้ ถา ้ไมเ่ ป็ นเทพเจา ้ กต ็ อ ้ งเป็ นสต ั วป์ า่ นครรฐ ั เป็ นส ิ ่ งแวดล ้ อมเพ ี ยงอย ่ างเด ี ยวท ี ่ จะท าให ้ บ ุ คคลม ี ความเป็ นมน ุ ษยท ์ ี ่ แท ้ จร ิ ง มน ุ ษยเ ์ ราเม ื ่ อม ี ความสมบ ู รณ ์ จะเป็ นสต ั วป์ ระเสร ิ ฐท ี ่ ส ุ ด แต ่ ถ ้ าแยกมน ุ ษยอ ์ อกจากกฏหมายและความย ุ ต ิ ธรรม (ซึ่งกฏหมายและ ความย ุ ต ิ ธรรม จะหาได ้ กเ ็ พ ี ยงแต ่ในนครรฐ ั ) แล้วละก็ มนุษย์จะเป็ น สัตว์ที่เลวทรามที่สุด สรุปได ้ ว ่ า ทฤษฎ ี น ี ้ รฐ ั เก ิ ดข ึ ้ นเองตามธรรมชาต ิ หร ื อเก ิ ดข ึ ้ น จากความต้องการของมนุษย์เอง


4. ทฤษฎีก าลังอ านาจหรือทฤษฎีพลก าลัง (Force Theory) ทฤษฎีนี้มีจุดเริ่มต้นจากการยึดครอง (conquest) การบังคับ (injustice) และความชั่วร้าย (evil) ดังนั้นผู้เข้มแข็งกว่าจึงสามารถข่มเหงผู้ที่อ่อนกว่า และ ได้สร้างกฎเกณฑ์ (legitimacy) เพื่อจ ากัดสิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งเป็น แนวความคิดของพวกคริสเตียนในสมัยกลาง ที่ไม่เห็นด้วยกับก าเนิด อาณาจักรโรมันจากแสนยานุภาพ ซึ่งมาเคียเวลลี่ (Machiavelli)นักคิดในสมัยค ริสเตรียนศตวรรษที่ 16 และ โทมัศ ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดในสมัย คริสเตียนศตวรรษที่ 17 ยืนยันว่า อ านาจที่ทรงประสิทธิภาพ และยังเกิดแนวคิดในกลุ่มลัทธิชาตินิยมนาซีที่เชื่อว่าอ านาจเป็น องค์ประกอบส าคัญของรัฐบาลท าให้เกิดความถูกต้องและชอบธรรม (might make right) ความคิดนี้สูญสลายไปพร้อมความพ่ายแพ้ของพวกนาซีหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2


5. ทฤษฎีวิวัฒนาการ (evolution theory) ทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นทฤษฎีที่เชื่อว่าสังคมการเมืองมีมาก่อนจะเกิดรัฐ ชาติหรือรัฐสมัยใหม่และมีวิวัฒนาการตามล าดับขั้นตั้งแต่ 1. สง ั คมวงศาคณาญาต ิ(Kinship Society) 2. รฐ ั ชนเผา ่ (Tribal State) 3. นครรัฐ (City State) 4. จก ั รวรรด ิ(Empire) คือการรุกรานเพื่อยึดครองขายอาณาเขต ด ิ นแดน 5. รฐ ั ศก ั ด ิ นา (Feudal State) ยุคกลางเป็ นยุคที่แข็งแรงของระบบ ศก ั ด ิ นาว ิ วฒ ั นาการจากจก ั รวรรด ิโรมน ั ล ่ มสลาย 6. รฐัชาต ิ( Nation State) รฐัสมยัใหม ่ หลงัผา ่ นพ ้ นยค ุ กลาง - ฟื ้ นฟศ ู ิ ลปะว ิ ทยาการ - ปฏ ิ วตัิ ด ้ านการค ้ า และ - การปฏ ิ รป ู ศาสนา 7. รัฐโลก (World State) เก ิ ดข ึ น ้ มานานในสมยัพระเจ ้ านโปเล ี ยน แห ่ ง ฝรั ่งเศส สงครามโลกครั้งที่ 2 และโซเวียตใช้อุดมการณ์ทางการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ม ่ ุ งขจดัรฐัชาต ิให ้ หมดไป เป็ นความเพ ้ อฝัน แต ่ปัจจบ ุ นัแนว การสร ้ างรฐัโลกพฒันาการตามการประกาศของประธานาธ ิ บด ี จอรช์ บช ุ เม ื่อ สงครามเย็นสงบลง


ซึ่งทฤษฎวีิวฒันาการจะพฒันาไปตามวิวฒันาการของรฐั 1. รัฐศักดินา (Feeudal State) ม ี ว ิ ว ั ฒนาการตง ั ้ แต ่ เก ิ ดร ั ฐเล ็ กพ ั ฒนาไปส ่ ู ร ั ฐท่ใี หญ ่ ตามลา ดบ ั จนกระท่ง ั อา นาจข ุ นนางถ ู กกษ ั ตร ิ ย ์ปราบปรามจง ึ ส ูญส ิ น ้ ร ั ฐศ ั กดน ิ า 2.รัฐชาติ หรือรัฐสมัยใหม่ (Modern State) ผ่านพ้นยุค กลางมา - การฟื ้ นฟ ู ศ ิ ลปะว ิ ทยาการ (The Renaissance) - การปฏิวัติด้านการค้า (The Commercial Revolution) - การปฏ ิ ร ู ปศาสนา (The Reformation) หลง ั จากทร ี ่ ั ฐศ ั กดน ิ าได ้ เส ื ่ อมสลายลงไปพร ้ อมๆกบ ั อท ิ ธ ิ พลของข ุ นนาง ร ั ฐชาต ิ ทา ให ้ เกด ิ ความร ้ ู ส ึ กผ ู กพน ั ของประชาชนท ี ่ มค ี วามร ้ ู ส ึ กภาคภ ู มใิ จในความ เป็ นสมาช ิ กของช ุ มชนเดย ี วกน ั มข ี นบธรรมเน ี ยมประเพณเ ี ด ี ยวกน ั มศ ี าสนา ภาษาเดย ี วกน ั และมร ีั ฐบาลทม ี ่ อ ี า นาจอธ ิปไตยทส ี ่ มบ ู รณ ์


รัฐโลกไม่ใช่ความคิดใหม่ หากแต่มีมานานแล้ว จะเห็นได้จาก สมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช สมันจักรวรรดิโรมัน สมัยนโป เลียนมหาราชแห่งฝรั่งเศส หรือเยอรมัน และญี่ปุ่ นสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 หรือแม้แต่สหภาพโซเวียตที่ยึดอุดมการณ์ของคาร์ลมาร์กซ์ (Karl Marx) ที่มุ่งขจัดรัฐชาติให้หมดไป ล้วนแต่มุ่งสร้างรัฐโลก ทั้งสิ้น ในปัจจุบันได้มีการสร้างองค์กรต่างๆเหมือนรัฐโลกขึ้นมา เช่น องค์การสหประชาชาติ เป็ นต้น ซึ่งแม้จะไม่เหมือนรัฐโลกทีเดียว แต่ก็ อาจเป็ นก ้ าวแรกท่จ ี ะน าไปส ่ ู ร ั ฐโลกได ้ ร ั ฐโลกจะต ้ องม ี ล ั กษณะ ดง ั น ี ้ โลกค ื อประเทศเพ ี ยงประเทศเดย ี ว และร ั ฐเอกราชท่ม ีี อย ่ใ ู นปั จจ ุ บ ั น จะ กลายเป็ นส่วนหนึ่งของรัฐโลก รัฐบาลก็จะมีเพียงรัฐบาลเดียว คือ รัฐบาลโลก


ร ู ปแบบของร ั ฐ ประเภทของรัฐมี2ร ู ปแบบ ดง ั น ้ ี 1. รัฐเดี่ยว (Unitary State) รัฐเดี่ยว คือรัฐที่มีรัฐบำลกลำงเป็ นองค์กรเดียวที่มีอ ำนำจในกำรใช้ อ ำนำจอธิปไตยทั ้งในด้ำนกำรบริหำร นิติบัญญัติ และตุลำกำร หำก จะมีกำรมอบอ ำนำจจำกส่วนกลำงให้แก่ท้องถิ่น 2. รัฐรวม (Composite State) รัฐรวมแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ สหพันธรัฐ และสมำพันธรัฐ 2.1 สหพันธรัฐ (Federal State) สหพันธรัฐ เป็ น แบบการรวมรัฐตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไป มารวมกันเป็ นรัฐที่ใหญ่ขึ้น โดยม ี กฎหมายร ั ฐธรรมน ูญเป็ นกฎหมายส ู งส ุ ด โดยคงไว ้ ซ่ง ึ รัฐบาล 2 ระดับ คือ รัฐบาลกลาง และรัฐบาลมลรัฐ หรือรัฐบาล ท้องถิ่น


ร ู ปแบบของร ั ฐ ประเภทของรัฐมี2 ร ู ปแบบ ดง ั น ้ ี 2.2 สมาพันธรัฐ (Confederal State) สมาพันธรัฐ เป็ นการ รวมรัฐตั้งแต่ 2 รัฐขึ้นไป โดยมีจุดมุ่งหมายชั่วคราวเพื่อกระท าการอย่างใดอย่าง หนึ่งซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะรวมกันเพื่อท าการสงคราม การรวมกันนี้ รัฐที่มารวมกัน ต่างกย ็ั งคมเป็ นร ั ฐโดยสมบ ู รณ ์ไม่ม ี การต ั ง ้ ร ั ฐบาล ไม่ม ี การสร ้ างร ั ฐธรรมน ูญ ไม่ มีระบบรัฐสภาและศาล การรับรองรัฐ (Recognition) กำรรับรองรัฐที่เกิดขึ ้นนี ้ต้องเป็ นไปด้วยควำมสมัครใจ ไม่ใช่บังคับ กำรรับรอง รัฐในสังคมโลก แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท 1. การรับรองตามข้อเท็จจริง (De Facto Recognition) 2. การรับรองตามกฎหมาย (De Jure Recognition) มี 2 ประเภท คือ 2.1 การรับรองระหว่างรัฐต่อรัฐ 2.2 การรับรองโดยองค์การระหว่างประเทศ


หน้าที่ของรัฐ หน้าที่ส าคัญของรัฐที่ต้องกระท ามี 2 ประการ 1. หน้าที่ภายในประเทศ 1.1 หนา ้ ท ี่ร ั กษาความสงบเร ี ยบร ้ อยและความมน ั่คงภายใน 1.2 หน้าที่บริการและสวัสดิการทางสังคม 1.3 หนา ้ ท ี่การพฒ ั นาเศรษฐก ิ จ สง ั คมและการเม ื อง 2. หน้าที่ภายนอกประเทศ 2.1การรักษาเอกราชของชาติ 2.2การรักษาผลประโยชน์ของชาติ 2.3 การร ั กษาเก ี ยรต ิ ภ ู ม ิ ของชาต ิ


หน้าที่ของรัฐ หน้าที่ส าคัญของรัฐที่ต้องกระท ามี 2 ประการ 1. หน้าที่ภายในประเทศ 1.1 หนา ้ ท ี่ร ั กษาความสงบเร ี ยบร ้ อยและความมน ั่คงภายใน 1.2 หน้าที่บริการและสวัสดิการทางสังคม 1.3 หนา ้ ท ี่การพฒ ั นาเศรษฐก ิ จ สง ั คมและการเม ื อง 2. หน้าที่ภายนอกประเทศ 2.1การรักษาเอกราชของชาติ 2.2การรักษาผลประโยชน์ของชาติ 2.3 การร ั กษาเก ี ยรต ิ ภ ู ม ิ ของชาต ิ


มนุษย์เป็ นสัตว์ที่มีเหตุผล เป็ นสัตว์การเมือง ไม ่ สามารถอย ่ ู อย ่ างโดดเด ี ่ ยว จ ึ งมารวมต ั วกน ั ด ้ วยส ั ญชาตญาณหม ่ ู เพ ื ่ อผลประโยชน ์ ร ่ วมกน ั เพ ื ่ อแก ้ปั ญหาความไม ่ เสมอภาคระหว ่ าง ปั จเจกบ ุ คคลและกล ่ ุ ม เพื่อออกกฎหมายควบคุม ทา ให ้ สง ั คมเก ิ ด ความสงบสุข เป็ นการควบคม ุ ก ิ เลสมน ุ ษย ์ ดง ั ท ี ่ อร ิ สโตเต ิ ้ ลกล ่ าวไว ้ ว ่ า “มนุษย์เป็ นสัตว์สังคม” ดังนั้น รฐ ั ค ื อการท ี ่ ประชาชนมารวมตว ั กน ั อย ่ ู อย ่ างถาวร ในด ิ นแดนท ี ่ ม ี อาณาเขตแน ่ นอน ม ี รฐ ั บาลท ี ่ เป็ นอ ิ สระม ี อา นาจ สง ู ส ุ ดทง ั ้ ก ิ จการภายในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งรัฐนั้นอาจจะ เป็ นรัฐเดี่ยว หรือ สหพันธรัฐก็ได้ฯ สรุป


รัฐหมายถึงชุมชนทางการเมืองของประชาชน ท ่ อ ี าศ ั ยอย ่ ู รวมก ั นในดินแดนเดียวกันที่มีอาณาเขต แน่นอนและปราศจากการควบคุมจากรัฐภายนอก และต้องมีรัฐบาลผ ้ ู สร ้ างกฎระเบ ี ยบและจ ั ดสรร ทร ั พยากรท ่ ม ีี ค ุ ณค ่ าให ้ประชาชนในร ั ฐอย ่ ู ร ่ วมก ั นได ้ อย ่ างม ี ความส ุ ข จง ึ จะเป็ นร ั ฐท ่ ส ี มบ ู รณ ์


อ านาจอธิปไตย อ านาจอธิปไตยเป็ นอ ำนำจสูงสุดในกำรปกครองประเทศ อ ำนำจนี ้จะอยู่ที่บุคคลหรือใครเป็ นเจ้ำของ ขึ ้นอยู่กับระบอบกำร ปกครองของประเทศนั ้นๆ ความหมายของอ านาจอธิปไตย จุมพล หนิมพำนิช ได้ให้ควำมหมำยไว้ว่ำอ ำนำจอธิปไตยคือ อ ำนำจรัฐที่จะออกกฎหมำยบังคับให้เป็ นไปตำมกฎหมำยแก่ทุกคน ภำยในเขตแดนของรัฐ เป็ นอ ำนำจและเจตนำรมณ์สูงสุด


อ านาจอธิปไตย ความหมายของอ านาจอธิปไตย โกวท ิ วงศ ์ ส ุ รวฒ ั น ์ ได ้ให ้ ความหมายของอา นาจอธ ิปไตยไว ้ ว ่ า อา นาจส ู งส ุ ดในการปกครองร ั ฐ ซ ึ ่ งทา ให ้ ร ั ฐม ี อา นาจบ ั งคบ ัให ้ ม ี การปฏ ิ บ ั ต ิ ตามกฎหมาย และมีอ านาจในการด าเนินกิจการระหว่างประเทศ จร ูญ ส ุ ภาพ ได้ให้ความหมายขออ านาจอธิปไตย หมายถึง อา นาจส ู งส ุ ดของร ั ฐในอน ั ทจ ี ่ ะด าเน ิ นกจ ิ การภายในได ้โดยอส ิ ระ ท ้ ง ั น ี ้ หมายรวมถึงการก าหนดนโยบายการปกครอง การบริหาร และด าเนิน กจ ิ การระหว ่ างประเทศ อา นาจน ี ร ้ าษฎรเป็ นเจ ้ าของและร ั ฐบาลเป็ นผ ้ ู ใช ้ แทนราษฎรอีกชั้นหนึ่ง


อ านาจอธิปไตย (sovereignty) คือที่รวมอ านาจที่ ผ ้ ู ปกครองหร ื อร ั ฐบาลได ้ใช ้ เพอ ื ่ การบร ิ หารและปกครอง ประเทศ การที่รัฐมีอ านาจอธิปไตยนี่เอง ท าให้รัฐบาลมี อ านาจเหนือองค์กรใดๆทั้งปวงในสังคม ความหมายง่ายๆ ของอา นาจอธ ิปไตยคอ ื การเป็ นอา นาจส ู งส ุ ดในการ ปกครองประเทศ หรืออ านาจทางกฎหมายที่มีลักษณะ เบ็ดเสร็จเด็ดขาด (final legal authority)


ค าว่าอ านาจเด็ดขาดของอ านาจอธิปไตยนั้น ถึงแม้ว่าจะมีนัก รัฐศาสตร์กล่าวว่าเป็ นอ านาจที่ไม่จ ากัด แต่แท้ที่จริงแล้วเป็ น อา นาจทจ ี ่ า กด ั อย ่ ู กบ ั เจตนารมณ ์ ของประชาชนผ ้ ู เป็ นเจ ้ าของ ประเทศ กล ่ าวโดยสร ุ ป อา นาจอธ ิปไตยคอ ื “อา นาจส ู งส ุ ดในการปกครอง ประเทศ ซึ่งเป็ นอ านาจที่จะบังคับให้ประชาชนภายในรัฐปฏิบัติ หรืองดเว้นปฏิบัติ และยังใช้ในการอ้างสิทธิเพื่อป้ องกันไม่ให้ กล ่ ุ มอา นาจอน ื ่ ๆเข ้ ามาม ี อา นาจเหน ื อพน ื ้ ทท ี ่ ร ี ่ ั ฐน ้ ั นๆอ ้ างอา นาจ อธ ิปไตยอย ่ ู ”


ค าว่า “อ านาจอธิปไตย” เริ่มใช้ในศตวรรษที่ 15 แต่ความคิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีมาก่อนหน้านี้แล้ว เช่น Aristotle ใช้ค าว่า Supreme Power ซ ึ ่ งหมายถง ึ อา นาจส ู งส ุ ดในร ั ฐร ั ฐหน ึ ่ ง นอกจากน ี ้ น ั กกฎหมายโรม ั นกไ็ ด ้ เคยพ ู ดถง ึ Fullness of Power หร ื ออา นาจสมบ ู รณ ์ ของร ั ฐ


แนวความคิดเรื่องที่มาของอ านาจอธิปไตย แบ่งออกได้เป็ น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ทฤษฎ ี เทวส ิ ทธ ์ ิ(หรือลัทธิเทพาธิปไตย-การ ปกครองโดยคนหรือประชาชน) และทฤษฎี สัญญาประชาคม (หรือลัทธิประชาธิปไตย) โดยล ั ทธ ิ เทวส ิ ทธ ์ ิได ้ ร ั บความน ิ ยมลดลงไปมาก ในปัจจุบันเมื่อเปรียบเทียบกับลัทธิ ประชาธิปไตย


ในศตวรรษที่ 16 จัง โบแดง (Jean Bodin) ชาวฝรั่งเศส ใช้ทฤษฎีนี้ในการ สนับสนุนอ านาจของกษัตริย์ ในขณะที่ต้องการลด อ านาจศาสนจ ั กรไปในตว ั โบแดงซ ่ ง ึ อย ่ ู ฝ่ าย กษัตริย์ได้คิดปรัชญาที่จะเพิ่มอ านาจกษัตริย์จึงให้ แนวความคิดว่าพระเจ้ามอบอ านาจอธิปไตยให้แก่ กษ ั ตร ิ ย ์โดยตรง โดยท ่ ก ี ษ ั ตร ิ ย ์ จะม ี อา นาจส ู งส ุ ดใน แผ่นดิน


1. รัฐมีต้นก าเนิดมาจากเจตนารมณ์ของพระเจ้า โดยลัทธินี้เชื่อว่า พระเจ ้ าเป็ นผ ้ ู สร ้ างโลกและท ุ กๆอย ่ างร ั ฐกเ ็ป็ นผลต ิ ผลจาก พระเจ ้ าด ้ วยรวมถง ึ มน ุ ษย ์ ซ ึ ่ งเป็ นผลมาจากเจตนารมณ ์ ของ พระเจ้า 2. มน ุ ษย ์ เป็ นองค ์ประกอบในการสร ้ างร ั ฐไม ่ได ้ เป็ นปั จจย ั ส าคญ ั ใน การสร ้ างร ั ฐจากการทพ ี ่ ระเจ ้ าได ้ สร ้ างมน ุ ษย ์ ขน ึ ้ มาน ี เ ้ อง มน ุ ษย ์ จง ึ เปร ี ยบเสม ื อนวต ั ถ ุ เป็ นองค ์ประกอบของร ั ฐไม ่ได ้ ม ี ความส าคญ ั ในฐานะต ้ นกา เน ิ ดหร ื อผ ้ ู สร ้ างร ั ฐ


3. ผ ้ ู ปกครองร ั ฐซ ึ ่ งเป็ นมน ุ ษย ์ได ้ ร ั บอาณต ั ม ิ าจากพระเจ ้ า ไม ่ใช ่ จาก ประชาชน โดยเมื่อพระเจ้าสร้างโลกเสร็จแล้วก็มีพระบัญชาให้ มน ุ ษย ์ คนหน ึ ่ งช ่ วยด ู แลร ั ฐรวมถง ึ มน ุ ษย ์ ซ ึ ่ งเป็ นส ิ ่ งทพ ี ่ ระองค ์ สร้างขึ้น 4. ผ ้ ู ปกครองร ั ฐเปร ี ยบเสม ื อนตว ั แทนของพระเจ ้ าการละเม ิ ดอา นาจ รัฐจึงมีโทษและมีบาป เพราะถือว่าการละเมิดต่อตัวแทนของพระ เจ้าเป็ นการละเมิดต่อพระเจ้าโดยตรง 5. ประชาชนในร ั ฐจะต ้ องเช ื ่ อฟั งและเคารพผ ้ ู ปกครองร ั ฐโดยด ุ ษฎ ี เพราะผ ้ ู ปกครองเป็ นตว ั แทนของพระเจ ้ า มน ุ ษย ์ จง ึไม ่ สามารถ ปฏ ิ เสธ ต ่ อต ้ านหร ื อล ่ มล ้ างผ ้ ู ทพ ี ่ ระองค ์ได ้ประทานอา นาจในการ ปกครองได้


ทฤษฎีนี้ยังแบ่งได้ออกเป็ น 2 ความคิด คือ ความคิดแรกเชื่อว่าพระเจ้ามอบอ านาจอธิปไตยให้เป็ นของ กษต ั ร ิ ย ์ แต ่ เพย ี งผ ้ ู เดย ี วโดยมตส ิ วรรค ์ใครจะล ่ วงละเม ิ ดม ิได ้ หาก ผ ้ ู ปกครองเป็ น ทรราช จะถอ ื ว ่ าเป็ นบาปของมน ุ ษย ์ เอง มน ุ ษย ์ จง ึ ต ้ องร ั บกรรมต ่ อไป ไม ่ สามรถปลดกษต ั ร ิ ย ์ ผ ้ ู ได ้ ร ั บอาณต ั ม ิ าจาก พระเจ้าได้ แนวความคิดที่สองคือ อ านาจอธิปไตยเป็ นของพระเจ้าและพระ เจ ้ าไม ่ได ้ มอบอา นาจอธ ิปไตยให ้ใครคนใดคนหน ึ ่ งแต ่ มน ุ ษย ์ จะ เลอ ื กผ ้ ู ทท ี ่ า หน ้ าทใี ่ ช ้ อา นาจอธ ิปไตยตามเจตจา นงของพระผ ้ ู เป็ น เจ้า ซึ่งแนวคิดหลังนี้ใกล้เคียงกับแนวความคิดสัญญาประชาคม ในสมัยต่อมา


ความคิดที่ 2 เราจะพบจากแนวคิดในศตวรรษที่ 17 ของ โธมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbs) นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษเป็ นผู้สนับสนุนพระเจ้าชาร์ลที่ 1 และเห ็ นดว ้ ยกบ ั การปกครองระบอบสมบ ู รณาญาส ิ ทธ ิ ราชย ์ได ้ อธ ิ บายเร ื ่ องอา นาจอธ ิปไตยไวก ้ วา ้ งขวางกวา ่ ของโบแดง โดยเข ี ยน ไว้ในหนังสือเรื่อง Leviathan ในหนง ั ส ื อเล ่ มน ้ ีโธมส ั ฮอบส ์ไดอ ้ า ้ ง วา ่ การใชอ ้ า นาจน ้ ีไม ่ จา เป็ นตอ ้ งอยภ ่ ู ายใตก ้ ฎเกณฑข ์ อ ้ บง ั คบ ัใด ๆ และพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็ นผู้ใช้เจตนารมณ์ของพระองค์ในการ ปกครองประเทศน ้ ี เท ่ ากบ ั เป็ นการใชอ ้ า นาจอธ ิปไตย


ทฤษฎีนี้เชื่อกันว่า อ านาจอธิปไตยเป็ นของปวงชน ซ ึ ่ งเป็ นทน ี ่ ิ ยมกน ั มากในปั จจ ุ บ ั น และมอ ี ท ิ ธ ิ พลแทนทท ี ่ ฤษฎเ ี ทวส ิ ทธ ์ ิ มากขน ึ ้ ท ุ กท ี


แนวคิดนี้เป็ นแนวคิดของ จอห์น ล็อค (John Lock) นักรัฐศาสตร์ชาวอังกฤษได้เขียนเรื่องอ านาจอธิปไตย ไว้ในหนังสือ The second treatise of civil government โดยอธิบายค าว่าอ านาจอธิปไตย (Sovereignty) ควรจะ อย ่ ู กบ ั สภาน ิ ตบ ิั ญญต ัิ ซ ึ ่ งเป็ นตว ั แทนของปวงชนคอย ป้ องกันและทักท้วง เมื่อเห็นว่ารัฐบาลนั้นเข้ามาขัดขวาง หร ื อสอดแทรกในส ิ ทธ ิ เสร ี ภาพส ่ วนบ ุ คคล


และอีกแนวคิดหนึ่งในแนวคิดสัญญา ประชาคม คอ ื ฌอง ฌาคส ์ ร ุ สโซ (Jean Jacques Rousseau) นักรัฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศสมีความเห็นว่าอ านาจ อธิปไตยเป็ นของประชาชน ตัวแทนของประชาชนคือ ร ั ฐบาลร ั ฐบาลจะมอ ี า นาจมากน ้ อยเพย ี งใดน ้ ั นอย ่ ู ทอ ี ่ า นาจ อธ ิปไตยซ ึ ่ งประชาชนเป็ นผ ้ ู มอบให ้ และต ้ องแสดง เจตนารมณ์ไปตามที่ประชาชนต้องการ


1. ร ั ฐเกด ิ มาจากมน ุ ษย ์ หร ื อประชาชนทม ี ่ ี เจตจา นงร ่ วมกน ั โดย ร ั ฐไม ่ได ้ เกด ิ จากพระเจ ้ าหร ื อการสร ้ างของผ ้ ู น าหร ื อบ ุ คคลคน เดย ี วแต ่ ร ั ฐมาจากความจา นงของมน ุ ษย ์ เพอ ื ่ อย ่ ู ร ่ วมกน ั 2. มน ุ ษย ์ ทร ี ่ ่ วมกน ั ทา ส ั ญญาประชาคม เป็ นผลทา ให ้ เกด ิ ร ั ฐ ด ้ วย เหต ุ น ี ร ้ ั ฐจง ึ เป็ นสมบ ั ตข ิ องประชาชนท ุ กคนทเ ี ่ ข ้ ามาทา ส ั ญญา ร่วมกัน ตรงนี้จะสังเกตว่าแตกต่างจากทฤษฎีเทวสิทธิ์ เพราะใน ทฤษฎเ ี ทวส ิ ทธ ์ ิ จะมองว ่ ามน ุ ษย ์ เป็ นแค ่ องค ์ประกอบ ไม ่ใช ่ปั จจย ั หลักในการสร้างรัฐเหมือนในทฤษฎีสัญญาประชาคมนี้


3. ส ั ญญาน ี ม ้ ี ผลผ ู กพน ั กบ ัประชาชนและผ ้ ู ปกครอง ด ้ วยเหต ุ ท ี ่ ประชาชนเป็ นเจ้าของรัฐนี้เอง ประชาชนจึงร่วมกันเลือก ผ ้ ู ปกครอง ซ ึ ่ งเป็ นการส ั ญญาระหว ่ างประชาชนและผ ้ ู ปกครอง 4. สัญญานี้ท าให้เกิดรัฐและรัฐบาล โดยสัญญาที่ประชาชนท านี้ ผ ู กม ั ดผ ้ ู ปกครองและม ี ส ่ วนทา ให ้ เกด ิ ร ั ฐและร ั ฐบาล 5. รัฐและรัฐบาลต้องใช้อ านาจอธิปไตยตามเจตจ านงของ ประชาชนผ ้ ู ร ่ วมทา ส ั ญญา ท ้ ง ั น ี ห ้ ากผ ้ ู ปกครองไม ่ ทา ตาม เจตจา นงของประชาชนผ ้ ู เป็ นเจ ้ าของร ั ฐ ประชาชนสามารถปลด ผ ้ ู ปกครองออกได ้ เน ื ่ องจากละเม ิ ดส ั ญญา


การแบ่งแยกอ านาจอธิปไตย มองเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสได้กล่าวถึงการแบ่งแยกอ านาจอธิปไตย ออกเป็ น 3 ส่วน มองเตสกิเออร์ ได้เขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งในปี ค.ศ. 1784 ชื่อว่า “เจตนารมณ์ของกฎหมาย” (L’ sprit de Lois) 1. อ านาจนิติบัญญัติ คือ อ านาจในการออกกฎหมาย 2. อ านาจปฏิบัติการเกี่ยวกับกิจการตามกฎหมายมหาชน 3. อ านาจปฏิบัติการเกี่ยวกับกิจการตามกฎหมายแพ่ง เป็ น อา นาจในการลงโทษบ ุ คคล ดังนั้นจะเห็นว่าแนวคิดของ มองเตสกิเออร์ เป็ นต้นแนวคิดของ การบ่งอ านาจ และแบ่งองค์กรตามหน้าที่ของการใช้อ านาจ


แยกอ านาจอธิปไตยในแง่ของการใช้ออกได้เป็ น 5 ประเภทดังนี้ 1. อ านาจอธิปไตยทางกฎหมาย (Legal Sovereignty) หมายถ ึ งอา นาจส ู งส ุ ดในการออกกฎหมายใช ้ บ ั งคบ ั ภายในร ั ฐ คา ว ่ า Legal Sovereignty หรือ อ านาจอธิปไตยทางกฎหมายนี้ จอห์น ออสติน (John Austin) ชาวอง ั กฤษเป็ นผ ้ ู น ามาใช ้ เป็ นคนแรกเขาได ้ อธ ิ บายว ่ า สภาผ ้ ู แทนราษฎรอง ั กฤษเป็ นผ ้ ู ม ี อา นาจอธ ิปไตยตามกฎหมายเพราะ เป็ นองค์การเดียวที่มีอ านาจออกกฎหมายได้ และกฎหมายที่ผ่านสภา แล้วจะไม่มีองค์การอื่นใดบอกเลิกล้มล้างได้ ฉะนั้นอ านาจอธิปไตยทาง ก าหมายจึงเป็ นเรื่องของรัฐสภา


2. อ านาจอธิปไตยทางการเมือง (Political Sovereignty) คือ อ านาจอธิปไตยที่มาจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เช ่ น การออกเส ี ยงเลอ ื กต ้ ั งการกา หนดผ ้ ู เข ้ าแข ่ งข ั นและต ั วบ ุ คคลทจ ี ่ ะ เข ้ าไปด ารงต าแหน ่ งสมาช ิ กสภาผ ้ ู แทนราษฎรเพอ ื ่ จะเข ้ าไปใช ้ อา นาจ อธิปไตยที่ผ่านทางกฎหมาย ดังนั้นในประเทศประชาธิปไตย อ านาจ อธิปไตยทางกฎหมายและอ านาจอธิปไตยทางการเมืองจึงสอดคล้อง ไปในทางเดียวกันก็คือ รัฐสภา แต่ในประเทศเผด็จการอาจจะเป็ นคน ละฝ่ ายกไ็ ด ้ หากประเทศเผด ็ จการม ี ผ ้ ู ปกครองผ ้ ู เป็ นเผด ็ จการใช ้ อา นาจ อย่างแท้จริง ในขณะที่อ านาจอธิปไตยทางการเมืองของประชาชนไม่ สามารถมีผลทางกฎหมาย


3. อ านาจอธิปไตยตามข้อเท็จจริง(De FactoSovereignty) ลักษณะของการเกิดอ านาจอธิปไตยตามข้อเท็จจริงหรือตาม พฤตน ิั ย สร ุ ปได ้ ดง ั น ี ้ • เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเกิดขึ้น • คณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารสามารถล้มล้างอ านาจ อธิปไตยตามกฎหมายและสามารถรักษาความสงบ ภายในประเทศไว้ได้ • ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้ความเคารพเชื่อฟังต่อ คณะผ ้ ู ปกครองใหม ่ • นานาประเทศให ้ การร ั บรองคณะร ั ฐบาลช ุ ดใหม ่


Click to View FlipBook Version