ที่มาของกฎหมาย (1) ขนบธรรมเนียมประเพณี (Custom) เป็ นทม ี ่ าทส ี ่ าคญ ั ทส ี ่ ุ ดของกฎหมาย ต ้ นตอจะมาจากน ิ ส ั ยของ สังคม หรือนิสัยทางสังคม ซึ่งมักจะเป็ นที่มาของกฎหมายพื้นฐาน ของรัฐ ส่วนใหญ่จะได้รับอิทธิพลจากศาสนาเป็ นส่วนใหญ่
ที่มาของกฎหมาย (2) การออกกฎหมายของฝ่ ายนิติบัญญัติ (3) ค าสั่งของฝ่ ายบริหาร (เพื่อความมั่นคงและปลอดภัย) (4) ค าพิพากษาของศาล (โดยเฉพาะคา ส ั ่ งศาลส ู งส ุ ดน ามาเป็ น บรรทัดฐานต่อไป) จาร ี ตประเพณใี ดทถ ี ่ ู กน ามาใช ้ เป็ นหลก ัในการพจ ิ ารณาตด ั ส ิ นคด ี ความแล้ว ก็จะกลายเป็ นค าพิพากษาของศาล ซึ่งค าพิพากษาบาง เร ื ่ องอาจถ ู กน าไปใช ้ เป็ นหลก ั หร ื อเป็ นบรรทด ั ฐานในการพจ ิ ารณา ตัดสินคดีความต่อ ๆ ไป ค าพิพากษาของศาลจึงเป็ นที่มาอีกประการ หนึ่งของระบบกฎหมายไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร
ที่มาของกฎหมาย (5) บทความทางวิชาการกฎหมาย (รวบรวมบทความน าเสนอ เป็ นกฎหมาย (6) ร ั ฐธรรมน ูญ (กฎหมายแม่บท) (7) สนธิสัญญา สนธิสัญญาคือข้อตกลงหรือสัญญาที่กระท าขึ้น ระหว่างรัฐตั้งแต่ 2รัฐขึ้นไป เมื่อได้ท าสนธิสัญญาซึ่งกันและกัน แล ้ ว ภาคค ี่ ู ส ั ญญาจะต ้ องออกกฎหมายเพอ ื ่ ให ้ สอดคล ้ องกบ ั สนธิสัญญาที่ได้กระท าไว้
ที่มาของกฎหมาย (8) ประมวลกฎหมาย ประมวลกฎหมาย หมายถึงการรวบรวมบรรดา กฎหมายทก ี ่ ระจ ั ดกระจายเข ้ ารวมกน ัไว ้ เป็ นหมวดหม ่ ู เช ่ น กฎหมา ตราสามดวงของไทย (9) ประชามติ ประชามต ิ หมายถ ึ งการทร ี ่ ั ฐธรรมน ูญยน ิ ยอมให ้ประชาชนม ี ส่วนร่วมในการเสนอร่างกฎหมายและมีสิทธิในการออกเสียง ประชามติ
ที่มาของกฎหมาย (10) หลก ั ความย ุ ต ิ ธรรม หลก ั ความย ุ ต ิ ธรรมได ้ แก ่ ความเสมอภาค กล ่ าวคอ ื ในกรณท ีี ่ ไม ่ ม ี กฎหมายบ ั ญญต ัิไว ้ ผ ้ ู พพ ิ ากษากส ็ ามารถใช ้ ด ุ ลยพน ิิ จพพ ิ ากษา คด ีโดยอาศ ั ยหลก ั ความย ุ ต ิ ธรรมหร ื อหลก ั สาม ั ญส าน ึ กมาเป็ นเคร ื ่ อง ประกอบการต ั ดส ิ นและในบางคร ้ ั งหลก ั ความย ุ ตธ ิ รรมน ีไ ้ ด ้ กลายมา เป็ นแหล่งที่มาของกฎหมาย
สร ุ ปได ้ คอ ื มาจากขนบธรรมเน ี ยมประเพณ ี ออกโดยฝ่ ายน ิ ต ิ บ ั ญญต ัิ เช ่ นร ั ฐธรรมน ูญ พระราชบ ั ญญต ัิ เป็ นต ้ น คา ส ั ่ งของฝ่ าย บริหารบริหาร เช่น พระราชก าหนด พระราชกฤษฎีกา และ กฎกระทรวง เป็ นต้น ค าพิพากษาของศาล บทความทางวิชาการ ร ั ฐธรรมน ูญซ ึ ่ งเป็ นกฎหมายแม ่ บทในการออกกฎหมาย สนธ ิ ส ั ญญา ซึ่งเป็ นกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐจะต้องออกกฎหมายภายในให้ สอดคล้องกัน ประมวลกฎหมายที่รวบรวมกฎหมายไว้เป็ น หมวดหม ่ ู ประชามต ิ และหลก ั ความย ุ ต ิ ธรรมซ ึ ่ งผ ้ ู พพ ิ ากษาต ้ องม ี สาม ั ญส าน ึ กในทางย ุ ต ิ ธรรม
ความส าคัญของกฎหมาย กฎหมายเป็ นเครื่องมือของรัฐบาลในการรักษาความสงบ เร ี ยบร ้ อยและค ้ ุ มครองช ี วต ิ และทระพย ์ ส ิ นของประชาชน ดังนั้น กฎหมายมีความส าคัญคือ สร้างความเป็ นระเบียบวินัย ของสังคมและเป็ นมาตรการช่วยแก้ปัญหาสังคม ประโยชน์ของกฎหมาย กฎหมายมีความส าคัญยิ่งต่อสังคม หากที่ใดไม่มีกฎหมายที่นั่น ย ่ อมขาดส ั นต ิ ภาพ ด ั งน ้ ั นกฎหมายจ ึ งม ีประโยชน ์ ต ่ อส ั งคมมน ุ ษย ์ มากมาย ดังจ าแนกได้ดังนี้
ประโยชน์ของกฎหมาย (1) กฎหมายเป็ นเครื่องมือในการปกครองประเทศ (2) กฎหมายเป็ นเคร ื่องม ื อส ู งส ุ ดของส ั งคม ซ ึ่งจะร ั กษาไว ้ ซ ึ่งอส ิ ระภาพ และความเป็ นระเบย ี บของบ ุ คคลท ุ กช ้ ั น (3) กฎหมายเป็ นสิ่งช่วยป้ องกันและขจัดปัดเป่ าสิ่งชั่วร้ายให้พ้นไปจาก สังคม กฎหมายจะช่วยประสานความขัดแย้งหรือประสานผลประโยชน์ ผลได ้ ผลเส ี ยของบ ุ คคลไม ่ ว ่ าจะเป็ นไปในด ้ านความค ้ ุ มครองประโยชน ์ ของเอกชนหรือประโยชน์ของส่วนรวม เพราะกฎหมายได้วางกฎ ข้อบังคับของสังคมเอาไว้ ประโยชน์ของกฎหมายที่มีต่อสังคม คือ เป็ นเครื่องมือในการ ปกครองประเทศ ร ั กษาไว ้ ซ ึ่งอส ิ รภาพและความเป็ นระเบย ี บของบ ุ คคล ท ุ กช ้ ั น และเป็ นส ิ่งทช ี่่ วยป้ องกน ั ขจ ั ดปั ดเป่ าส ิ่งช ั่วร ้ ายให ้ พ ้ นไปจาก สังคม
ระบบกฎหมาย น ั กวช ิ าการทางกฎหมายได ้ แบ ่ งกล ่ ุ มกฎหมายออกเป็ นหลาย ระบบ สร ุ ปได ้ ด ั งน ี ้ (1) กฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil Law) กฎหมายลายลักษณ์อักษร มีตัวบทเป็ นลายลักษณ์อักษร ซึ่งได้ รวบรวมไว้เป็ นประมวลกฎหมายต่างๆ ระบบนี้ค านึงถึงตัวบท กฎหมายเป็ นหลักในการพิจารณาพิพากษาคดี ศาลจะยกตัวบท กฎหมายในมาตราที่เกี่ยวข้องมาเป็ นหลักในการวินิจฉัยชี้ขาดในการ ตัดสินคดี ประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ ได้แก่ เยอรมันและฝรั่งเศส และ ประเทศไทย เป็ นต้น
ระบบกฎหมาย (2) กฎหมายจารีตประเพณี (Common Law) กฎหมายจารีตประเพณีเป็ นกฎหมายไม่เป็ นลายลักษณ์อักษร มีที่มาจากจารีตประเพณีและค าพิพากษาของศาลในคดีก่อนๆ เป็ น บรรทัดฐาน ประเทศที่ใช้กฎหมายนี้ ได้แก่ ได้แก่ อังกฤษ สหร ั ฐอเมร ิ กาและกล ่ ุ มประเทศในเคร ื อจ ั กรภพอง ั กฤษ (3) กฎหมายสังคมนิยม (Socialist Law) กฎหมายสังคมนิยมเป็ นระบบของประเทศสังคมนิยม กฎหมาย ระบบน ี จ ้ ะให ้ ความส าคญ ั แก ่ ร ั ฐมากกว ่ าเสร ี ภาพส ่ วนบ ุ คคล บ ุ คคลม ี หน้าที่ทจะต้องรับใช้รัฐ ประเทศที่ปกครองระบบสังคมนิยม เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็ นต้น
ระบบกฎหมาย (4)กฎหมายศาสนา (Religious Law) กฎหมายศาสนาคือกฎหมายที่มาจากค าสอนในทางศาสนา เช่น หลก ั คม ั ภ ี ร ์ ต ่ างๆ ซ ึ ่ งม ่ ุ งสอนการด าเน ิ นช ี วต ิ และความเป็ นอย ่ ู ของคน ในสังคมมากกว่าจะตั้งเป้ าหมายของบ้านเมือง ระบบกฎหมาย ศาสนา เช ่ น ระบบกฎหมายศาสนาอส ิ ลามและกฎหมายศาสนาฮ ิ นด ู เป็ นต้น ระบบกฎหมายอาจคอ ื การท ี ่ กฎหมายต ่ างๆ ทจ ี ่ ั ดกล ่ ุ มรวมเข ้ า ด ้ วยกน ัได ้ ม ี ความส ั มพน ั ธ ์ หร ื อม ี จ ุ ดร ่ วมกน ัในบางเร ื ่ องโดย หลักเกณฑ์ในการจ าแนกระบบกฎหมาย คือการจัดกฎหมายที่มี ปรัชญาเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองร่วมกัน ระบบกฎหมายที่ ส าคัญมี 4ระบบ คือระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ระบบกฎหมาย จารีตประเพณี ระบบกฎหมายสังคมนิยมและระบบกฎหมายศาสนา
ประเภทของกฎหมาย กฎหมายนั้นแบ่งได้เป็ น 3 ประเภท คือ 1 .กฎหมายเอกชน(Private Law) กฎหมายเอกชนเป็ นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว ่ างบ ุ คคลกบ ั บ ุ คคล หร ื อบ ุ คคลกบ ั น ิ ต ิ บ ุ คคล ต ั วอย ่ างกฎหมาย เอกชน เช่น กฎหมายเกี่ยวกับสัญญาตั๋วเงิน ครอบครัว มรดก พน ิั ยกรรม ห ้ ุ นส ่ วนและบร ิ ษ ั ท เป็ นต ้ น กฎหมายเอกชนแยกสาขาออกได้ดังนี้ (1) กฎหมายแพ่ง กฎหมายแพ่งเป็ นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ ของเอกชนโดยทว ั ่ ไป เช ่ น ความม ี สภาพบ ุ คคล ทร ั พย ์ หน ี ้ น ิ ต ิ กรรม ครอบครัว และมรดก
(2) กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายพาณิชย์เป็ นกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับ ความส ั มพน ั ธ ์ ของบ ุ คคลทปี ่ ระกอบการค ้ าและธ ุ รกจ ิ เช ่ น บร ิ ษ ั ท ห ้ างห ้ ุ นส ่ วน การขนส ่ งและการประกน ั ภ ั ยเป็ นต ้ น (3) กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเป็ นกฎหมายว่าด้วยข้อบังคับที่ใช้ การด าเนินคดีเมื่อเกิดคดีพิพาทกันในทางแพ่ง กฎหมายนี้ได้บัญญัติ ถึงวิธีด าเนินคดีตลอดจนบังคับคดีต่างๆ ในทางแพ่งขึ้น กฎหมายมหาชน กฎหมายมหาชนเป็ นกฎหมายทร ี ่ ั ฐเข ้ าไปม ี ส ่ วนร ่ วมเป็ นค ่ ู กรณด ี้ วย กบ ั เอกชน ม ี บทบ ั ญญต ัิ เกย ี ่ วกบ ั การจ ั ดร ู ปแบบของร ั ฐและควบค ุ ม ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน
กฎหมายมหาชนแยกสาขาได้ดังนี้ (1) ร ั ฐธรรมน ูญ (2) กฎหมายปกครอง (3) กฎหมายอาญา (4) กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (5) พระธรรมน ูญศาลย ุ ต ิ ธรรม ซ ึ ่ งพระธรรมน ูญศาลย ุ ต ิ ธรรมเป็ นกฎหมายทก ี ่ า หนดว ่ าใน การพิจารณาคดีนั้น ศาลใดจะมีอ านาจในการพิจารณาคดีประเภทใด อย ่ างไร ศาลย ุ ต ิ ธรรมม ี ศาลใดบ ้ างแต ่ ละศาลม ี อา นาจหน ้ าทเ ี ่ พย ี งใด อย่างไร
กฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ สนธิสัญญา หรือข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลบังคับ ความประพฤติระหว่างรัฐอธิปไตย 1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง ได้แก่ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐที่จะปฏิบัติต่อกัน เมื่อมีความขัดแย้งหรือเกิดข้อพิพาทขึ้น เช่น กฎบัตรสหประชาชาติ หรือได้แก่ สนธิสัญญา หรือเกิดจากข้อตกลงทั่วไป ระหว่างรัฐหนึ่ง กบ ั ร ั ฐหน ึ ่ งหร ื อหลายร ั ฐทเ ี ่ ป็ นค ่ ู ประเทศภาค ี ซ ึ ่ งให ้ ส ั ตยาบ ั นร ่ วมกน ั แล้วก็ใช้บังคับได้ เช่น สนธิสัญญาไปรษณีย์สากล เป็ นต้น
2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ได้แก่ บทบัญญัติที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลรัฐ หนึ่งกับอีกรัฐหนึ่ง เมื่อเกิดความขัดแย้ง ข้อพิพาทขึ้น จะ มีหลักเกณฑ์วิธีการพิจารณาตัดสินคดีความอย่างไร เพื่อ ไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบกัน เช่น ประเทศไทย เรามี พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกับแห่งกฎหมาย ซึ่ง ใช ้ บ ั งค ั บก ั บบ ุ คคลท่อ ี ย ่ ู ในประเทศไทยก ั บบ ุ คคลท่อ ี ย ่ ู ใน ประเทศอื่น ๆ
3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา ได้แก่ สนธิสัญญา หรือข้อตกลงเกี่ยวกับการกระท าความผิดทาง อาญาซึ่งประเทศหนึ่งยินยอมหรือรับรองให้ศาลของอีกประเทศหนึ่ง มี อา นาจพจ ิ ารณาต ั ดส ิ นคด ี และลงโทษบ ุ คคลประเทศของตนทไี ่ ปกระทา ความผิดในประเทศนั้นได้ เช่น คนไทยไปเที่ยวสหรัฐอเมริกาแล้วกระท า ความผด ิ ศาลสหร ั ฐอเมร ิ กากพ ็ จ ิ ารณาต ั ดส ิ นลงโทษได ้ หร ื อบ ุ คคลประเทศ หนึ่งกระท าความผิดแล้วหนีไปอีกประเทศหนึ่ง เป็ นการยากล าบากที่จะน า ต ั วมาลงโทษได ้ จ ึ งม ี การทา สนธ ิ ส ั ญญาว ่ าด ้ วยการส ่ งต ั วผ ้ ู ร ้ ายข ้ ามแดน เพอ ื ่ ให ้ประเทศทผ ี ่ ้ ู กระทา ความผด ิ หน ี เข ้ าไปจ ั บต ั วส ่ งกลบ ั มาลงโทษ ซ ึ ่ งถ ื อว ่ า เป็ นการร ่ วมม ื อกน ั ปราบปรามอาชญากรรม ปั จจ ุ บ ั นน ีป ้ ระเทศไทยทา สนธ ิ ส ั ญญาส ่ งต ั วผ ้ ู ร ้ ายข ้ ามแดนกลบ ั อง ั กฤษ สหร ั ฐอเมร ิ กา เบลเยย ี ่ ม และ อิตาลี ฯลฯ เป็ นต้น
ล าดับศักดิ์ของกฎหมาย ล าดับศักดิ์ของกฎหมายในระบบกฎหมายไทย แบ่ง อย่างละเอียดเป็ น 7 ชั้น ได้แก่ 1. ร ั ฐธรรมน ูญ 2. พระราชบ ั ญญต ัิประกอบร ั ฐธรรมน ูญ 3. พระราชบัญญัติ 4. พระราชก าหนด 5. พระราชกฤษฎีกา 6. กฎกระทรวง 7. กฎหมายที่ตราโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
26 9 รัฐธรรมนูญ ประมวล กฎหมำย พระรำช บัญญัติ พระรำช ก ำหนด ประกำศ พระบรมรำชโองกำร ให้ใช้บังคับดังเช่นพระรำชบัญญัติ พระรำช กฤษฎีกำ กฎกระทรวง เทศบัญญัติ ข้อบัญญัติ จังหวัด ข้อบังคับ สุขำภิบำล กฎหมำยแม่บท กฎหมำยที่รัฐธรรมนูญ ให้อ ำนำจฝ่ ำยนิติบัญญัติ หรือฝ่ ำยบริหำรเป็ นผู้ออก กฎหมำยที่ฝ่ ำยบริหำร เป็ นผู้ออก กฎหมำยที่องค์กำร ปกครองส่วนท้องถิ่น มีอ ำนำจออก แผนผังแสดงระดับชั้นของกฎหมาย
สร ุ ป ร ั ฐท ุ กร ั ฐจะต ้ องม ี การจ ั ดระเบ ี ยบการปกครองภายในร ั ฐให ้ เป็ นระบบและต ้ องม ี การปร ั บปร ุ งระบบน ้ ั นให ้ เหมาะสมกบ ั กาลเวลาอย ่ ู เสมอ ทั้งนี้จะต้องรักษาความสงบเรียบร้อย สร้างความเจริญก้าวหน้าแก่ ร ั ฐและอา นวยความผาส ุ กให ้ แก ่ประชาชน ซ ึ ่ ง ความส ั มพน ั ธ ์ ระหว ่ าง รัฐกับประชาชนในระบอบการปกครองประชาธิปไตยจะเป็ นไปอย่าง ใกล้ชิด รัฐจะมีอ านาจน้อย ประชาชนจะมีอ านาจมากเป็ นความสัมพันธ์ ในแบบสองทาง ส่วนในระบอบเผด็จการความสัมพันธ์จะเป็ นในทาง เดียว รัฐจะมีอ านาจมาก ประชาชนจะมีอ านาจน้อย อย ่ างไรกต ็ ามการบร ิ หารงานของร ั ฐท ุ กระบบต ้ องยด ึ กฎหมายอย ่ าง เคร่งครัด
การมีส่วนร่วมทางการเมือง( Political Participation ) ความหมายของค าว่าการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political Participation )มี ผ ้ ู ให ้ ความหมายและแนวคด ิ มากมายหลายอย ่ างต ่ างกน ั ออกไป การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึงการที่ประชาชนมีสิทธิตามระบบ การเมืองและกฎหมายก าหนดให้กระท าได้เป็ นการกระท าที่ต้องเกิดขึ้นด้วย ความสมัครใจของตัวประชาชนเองเพื่อให้มีอิทธิพลต่อการก าหนดนโยบาย ของรัฐทั้งการเมืองการปกครองระดับท้องถิ่นและการเมืองการปกครอง ระดับชาติอย่างไรก็ตาม แม้การมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองของ ประชาชนจะเป็ นไปตามสิทธิที่ระบบการเมืองและกฎหมายก าหนดให้ ซึ่งการมี ส ่ วนร ่ วมของประชาชนทา ให ้ เกด ิ พลง ั ทางการเม ื องในร ู ปแบบต ่ างๆมากมาย
การมีส่วนร่วมทางการเมือง การปกครองระบอบประชาธิปไตย หลักการที่มีความส าคัญหลักการ หนึ่ง ที่ส่งเสริมการปกครองระบอบนี้ คือ ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ทางการเมือง o ความหมายของการม ี ส ่ วนร ่ วมทางการเม ื อง หมายถ ึ ง การทบ ี ่ ุ คคล ได้กระท ากิจกรรมที่มีอิทธิพลต่อการเมือง หรือมีผลกระทบต่อการ กา หนดนโยบาย หร ื อการต ั ดส ิ นใจร ั ฐบาลร ั บร ้ ู การกระทา ด ั งกล ่ าวอาจ เป็ นท ้ ง ั การกระทา ทเ ี ่ ป็ นแบบรวมกล ่ ุ มหร ื อไม ่ รวมกล ่ ุ ม ท ้ ง ั ทเ ี ่ ป็ นทางการ ไม่เป็ นทางการ เป็ นการกระท าส าเร็จหรือล้มเหลวก็ตาม แต่ทั้งนี้ต้อง เป็ นไปตามความสมัครใจ
การมีส่วนร่วมทางการเมือง o ความส าคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ซ ึ ่ งข ึ น ้ อย ่ ู กบ ั ห ั วข ้ อทส ี ่ าคญ ั คอ ื ลก ั ษณะทางการเม ื อง ด ั งน ี ้ 1. ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย พฤติกรรมการมีส่วน ร่วมทางการเมืองของประชาชนทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น จะมี ความส าคัญและจ าเป็ นมากในระบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย 2. ระบบการเมืองแบบเผด็จการ อ านาจรัฐในการปกครอง ประเภทผ ู กขาดอา นาจข ึ น ้ อย ่ ู กบ ั ผ ้ ู ม ี อท ิ ธ ิ พลทางการเม ื องไม ่ กค ี ่ นทใี ่ ช ้ อ านาจและอิทธิพลในการปกครองประเทศ เพื่อสนองความต้องการและ ประโยชน ์ให ้ ตนเองและกล ่ ุ ม ลก ั ษณะของระบบการเม ื องเช ่ นน ี ก ้ ารม ี ส ่ วน ร่วมของประชาชนไม่ได้รับความส าคัญและไม่เป็ นที่พึงปรารถนาของ ผ ้ ู ปกครอง
3. ลักษณะส าคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ( 1)ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย พฤติกรรมการมีส่วนร่วม ทางการเมืองของประชาชนทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ( 2 ) ระบบการเมืองแบบเผด็จการ ลักษณะของระบบการเมืองเช่นนี้การมีส่วนร่วมของประชาชนไม่ได้ ร ั บความส าคญ ั และไม ่ เป็ นทพ ี ่ ง ึปรารถนาของผ ้ ู ปกครอง ( 3)การมีส่วนร่วมทางการเมืองมีลักษณะ ต่างๆดังต่อไปนี้ (3.1) การกา หนดต ั วผ ้ ู ปกครอง (3.2) การผลักดันการตัดสินใจของรัฐบาล (3.3) การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล (3.4) การช ุ มน ุ มเคลอ ื ่ นไหวทางการเม ื อง
4. ระดับการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้มีการศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเป็ นการศึกษาเกี่ยวกับ พฤตก ิ รรมของมน ุ ษย ์ หร ื อม ี ผลมาจากความร ้ ู ความเข ้ าใจและ ความเช ื ่ อทางการเม ื องของบ ุ คคล บ ุ คคลจะม ี พฤตก ิ รรมทาง การเมือง มีลักษณะแตกต่างกันตามพฤติกรรม ความเชื่อทัศนคติ ของบ ุ คคลเป็ นส าคญ ั ซ ึ ่ งผลการศ ึ กษาพบว ่ าบ ุ คคลทม ี ่ พ ี ฤตก ิ รรม การม ี ส ่ วนร ่ วมทางการเม ื องจากระดบ ั ตา ่ ไปส ่ ู ระดบ ั ส ู ง คอ ื เร ิ ่ มต ้ น จากการเป็ นผ ้ ู ม ี ความสนใจตด ิ ตามร ั บฟั งข ่ าวสารทางการเม ื อง จนกระทง ั ่ ส ู งส ุ ดคอ ื การเข ้ าร ่ วมเป็ นเจ ้ าหน ้ าทข ี ่ องพรรคการเม ื อง หร ื อได ้ ร ั บคด ั เลอ ื กส ่ ู ตา แหน ่ งทางการเม ื อง
5. ร ู ปแบบการม ี ส ่ วนร ่ วมทางการเม ื อง ร ู ปแบบการม ี ส ่ วนร ่ วมทางการเม ื อง 1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบเป็ นทางการได้แก่การเลือกตั้ง เป็ นการม ี ส ่ วนร ่ วมทางการเม ื องทช ี ่ ั ดเจนทส ี ่ ุ ด และการใช ้ ส ิ ทธ ิ เสร ี ภาพในการแสดงความคด ิ เห ็ นทางการเม ื อง ได ้ แก ่ การพ ู ด อภิปราย เขียน พิมพ์ เป็ นต้น 2. การมีส่วนร่วมแบบไม่เป็ นทางการ ได้แก่การเดินขบวน ช ุ มน ุ มประท ้ วงและการก ่ อความว ่ ุ นวายทางการเม ื อง เป็ นต ้ น 6. ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้แก่ ระดับ การศึกษา ระดับชนชั้นทางสังคม ความคิดความเชื่อทาง การเม ื องและความร ้ ู ส ึ กว ่ าตนเองสามารถก ่ อให ้ เกด ิ การ เปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้
7. วัฒนธรรมทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในแต่ละสังคม ยัง มีความแนบแน่นกับวัฒนธรรมทางการเมืองของคนในสังคมนั้น ๆ กล่าวคือ ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง การเม ื องในร ู ปแบบและระดบ ั ต ่ างๆ มากน ้ อยขน ึ ้ อย ่ ู กบ ั วัฒนธรรมทางการเมืองของคนในสังคมนั้นๆ ความหมายของวัฒนธรรมทางการเมือง คือ แบบแผน ทศ ั นคต ิ และความเช ื ่ อของบ ุ คคลในพน ื ้ ทเ ี ่ ดย ี วกน ั ซ ึ ่ งกจ ิ กรรม ต ่ างๆ ทางการเม ื องจะเปลย ี ่ นแปลงได ้ หร ื อไม ่ได ้ ขน ึ ้ อย ่ ู กบ ัปั จจย ั ต่าง ๆของสังคมด้วย
วัฒนธรรมทางการเมืองออกเป็ น 3 ประเภท (1) วัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบ (Parochial Political culture) จะพบในประเทศด้อยพัฒนาประชาชนส่วนใหญ่ยากจนและไร้การศึกษา ประชาชนเหล ่ าน ี ข ้ าดโอกาสทจ ี ่ ะร ั บร ้ ู และเข ้ าใจต ่ อระบบการเม ื องและ บทบาท หน้าที่ ต่อระบบการเมือง (2) วัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้ า (The Subject Political Culter)จะพบในประเทศที่ก าลังพัฒนา ประชาชนชนชั้นกลางจะมี โอกาสได้รับการศึกษา และมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมเหนือกว่า ความร ้ ู ความเข ้ใจเกย ี ่ วกบ ั ระบบการเม ื องแบบทว ั ่ ไป แต ่ จะถ ู กปล ู กให ้ ยอมรับอ านาจรัฐ เคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย โดยไม่เข้าไปมีส่วน ร่วมทางการเมือง
(3) วัฒนธรรมทางการเมืองแบบมีส่วนร่วม (The Participation Political Culter) จะพบว ่ าในประเทศทพ ี ่ ฒ ั นาแล ้ ว ส ่ วนใหญ ่ จะม ี กล ่ ุ ม คนทม ี ่ ี ความร ้ ู ความเข ้ าใจเกย ี ่ วกบ ั ระบบการเม ื องและตระหน ั กถ ึ งค ุ ณค ่ า และบทบาทของตนที่มีต่อระบบการเมือง ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วม ทางการเม ื อง เพอ ื ่ ควบค ุ มกา กบ ั และตรวจสอบการบร ิ หารงานของ ผ ้ ู ปกครอง วัฒนธรรมทางการเมืองแบบประชาธิปไตย จะพบในระบอบการ ปกครองแบบประชาธิปไตย และต้องเป็ นสังคมที่ประชาชนมีความ เชื่อมั่น ศรัทธาต่อหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ยอมรับใน ส ิ ทธ ิ เสร ี ภาพ ความเสมอภาคและศ ั กด ์ ิ ศร ี ความเป็ นมน ุ ษย ์ ยอมร ั บหลก ั เสียงข้างมากและเคารพเสียงข้างน้อยมีส่วนร่วมในกิจกรรมทาง การเมือง วิพากษ์วิจารณ์ทางการเมืองอย่างสร้างสรรค์ และต้องไม่มี จิตใจที่เป็ นเผด็จการ
และวัฒนธรรมทางการเมืองที่ส่งผลต่อการเมือง คือ การกล่อมเกลา ทางการเม ื อง เป็ นกระบวนการปล ู กฝั งวฒ ั นธรรมทางการเม ื อง ซ ึ ่ ง เกย ี ่ วข ้ องกบ ั ความคด ิ ความเช ื ่ อ ค ่ าน ิ ยม และอ ุ ดมการณ ์ ทางการเม ื องจาก ร ่ ุ นหน ึ ่ งส ื บต ่ อ ส ื บทอดไปยง ั อก ี ร ่ ุ นหน ึ ่ ง ซ ึ ่ งกระบวนการกล ่ อมเกลาและ การเร ี ยนร ้ ู ในทางการเม ื องเป็ นส ่ วนทเ ี ่ กย ี ่ วข ้ องกบ ั วฒ ั นธรรมทาง การเมือง มีความจ าเป็ นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาสิ่งต่าง ๆ อาทิ ทัศนคติ ค ่ าน ิ ยม ความเช ื ่ อ ตลอดจนโลกทศ ั น ์ ของบ ุ คคลทม ี ่ ี ต ่ อระบบการเม ื อง และแบบแผนต ่ างๆทเ ี ่ กด ิ ข ึ น ้ ในต ั วมน ุ ษย ์
ความหมาย ลักษณะ และอุดมการณ์ทางการเมืองแบบต่างๆ
อุดมการณ์ (Ideology) เป็ นการแสดงแนวความคิดเห็น ต่างๆ ของบุคคลหรือกลุ่มคนที่สามารถอธิบายสภาพการณ์ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่เฉพาะแต่เหตุการณ์ในปัจจุบันเท่านั้น หาก สามารถอธิบายถึงสภาพการณ์นั้นๆ ในอดีตว่า ท าไมจึงมี ลักษณะเช่นนั้น มีอะไรเป็ นผลและสามารถชี้แนะถึงการหาทาง ป้ องกันแก้ไขหรือพัฒนาอันควรจะมีหรือเป็ นไปได้ในอนาคต ดังนั้นอุดมการณ์จึงมิได้เป็ นความคิดที่เลื่อนลอยหรือขาด หลักเกณฑ์ หากแต่เป็ นแรงผลักดันให้น าเอาอุดมการณ์นั้นๆ มาใช้กับสภาพที่เป็ นจริงในชุมชน แล้วมีความคิดอันแน่วแน่ที่ จะด าเนินการทุกวิถีทาง เพื่อให้บรรลุจุดหมายปลายทางแห่ง อุดมการณ์นั้นๆ
ชัยอนันต์ สมุทรวณิช อธิบายว่า อุดมการณ์เป็ นเรื่องของ ความเชื่อโดยไม่จ าเป็ นว่าความเชื่อนั้นจะเป็ นความเชื่อที่ ถ ู กต ้ องด ้ วยเหต ุ ผล หร ื อสอดคล ้ องก ั บสภาพความเป็ นจร ิ ง เสมอไป แต่ความเชื่อ (belief) โดยทั่วๆ ไปอาจไม่มี ลักษณะเป็ นอุดมการณ์ก็ได้ ความเชื่อที่จะเรียกว่าเป็ น อุดมการณ์นั้นจะต้องเป็ นระบบความคิดที่มีลักษณะ ส าคัญดังต่อไปนี้
1. ความเช ื ่ อน ้ ั นได ้ ร ั บการยอมร ั บร ่ วมกน ัในกล ่ ุ มชน 2. ความเช ื ่ อน ้ ั นจะต ้ องเกย ี ่ วกบ ั เร ื ่ องทม ี ่ ค ี วามส าคญ ั ต ่ อกล ่ ุ ม ชน เข่น หลักเกณฑ์ในการด าเนินชีวิต 3. ความเชื่อนั้นจะต้องเป็ นความเชื่อที่คนหันเข้าหา และใช้ เป็ นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตัว และด าเนินชีวิต อย่างสม ่าเสมอและในหลายๆโอกาส 4. ความเช ื ่ อน ้ ั นต ้ องมส ี่ วนช ่ วยในการยด ึ เหน ี ่ ยวในกล ่ ุ มเข ้ าไว ้ ด ้ วยกน ั หร ื อช ่ วยสน ั บสน ุ นหร ื อให ้ คนน ามาใช ้ เป็ น ข้ออ้างในการท ากิจการต่างๆ ได้
1. เพื่อธ ารงรักษาระบบและสภาพการณ์เดิมของ สังคมไว้ 2. เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในตัวระบบและ การจัดระเบียบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง 3. เพื่อธ ารงรักษาไว้ซึ่งสภาพการณ์ใหม่อันเป็ นผล จากการเปลี่ยนแปลงเช่นว่านั้น
เป็ นระบบความคิด ความเชื่อ หรือความศรัทธาของกลุ่ม สังคมใดสังคมหนึ่งที่มีต่อระบบการเมือง การปกครอง ซ ่ ง ึ ระบบความเช ่ ื อต ่ างๆ น ี จ ้ ะสะท ้ อนให ้ เหน ็ ถง ึ ร ู ปแบบ ของการเมือง หลักการในการปกครอง วิธีด าเนินการ ปกครองว ่ าใครจะเป็ นผ ้ ู ม ี อา นาจในการปกครอง ผ ้ ู ปกครองม ี บทบาทและอา นาจกว ้ างขวางเพย ี งใด ความส ั มพน ั ธ ์ ระหว ่ างผ ้ ู ปกครองและผ ้ ู ใต ้ปกครองจะม ี ล ั กษณะอย ่ างไร ผ ้ ู อย ่ ู ใต ้ปกครองจะม ี ส ิ ทธ ิ และเสร ี ภาพ มากน้อยแค่ไหน
ดง ั น ้ ั นอ ุ ดมการณ ์ ทางการเมอ ื งจ ึ งเปร ี ยบเสมอ ื นกรอบ (frame) ที่คอยบังคับให้องค์การทางการเมือง สถาบันทาง การเมืองและพฤติกรรมทางการเมืองเป็ นไปในทิศทางที่ สอดคล ้ องตามเจตนารมณ ์ แห ่ งอ ุ ดมการณ ์ น ้ ั นๆ ซึ่ง อ ุ ดมการณ ์ ทางการเมอ ื งน ้ ั นอาจจะกา หนดขน ึ ้ มาโดยร ั ฐ เป็ นผ ้ ู กา หนดเอง หร ื ออาจจะน าเอาแนวคด ิ ของร ั ฐอน ื ่ ๆ มา ปร ั บปร ุ งให ้ เข ้ ากบ ั สภาพของกล ่ ุ มส ั งคมทต ี ่ นอย ่ ู หร ื อ บางคร ้ ั งอาจเกด ิ จากการผสมผสานของอ ุ ดมการณ ์ หลายๆ อ ุ ดมการณ ์ เพอ ื ่ ให ้ เกด ิ อ ุ ดมการณ ์ใหม ่ ทค ี ่ ด ิ ว ่ าดท ี ส ี ่ ุ ดกไ็ ด ้
การศึกษาอุดมการณ์ทางการเมืองท าให้เราเข้าใจถึง อ านาจ บทบาท และอิทธิพลของรัฐบาลหรือกลุ่ม ผลประโยชน์ต่างๆ ที่เป็ นตัวแสดงทางการเมือง ดังนั้นเราสามารถกล่าวในที่นี้ได้ว่า อุดมการณ์ทาง การเมืองเป็ นสิ่งที่มีความส าคัญอย่างยิ่งใน การศึกษาวิชารัฐศาสตร์
การน าอ ุ ดมการณ ์ ทางการเม ื องมาใช ้ให ้ เกด ิประโยชน ์ ทาง การเมืองมี3 ประการด้วยกัน คือ 1. เป็ นการน าอ ุ ดมการณ ์ มาใช ้ เพอ ื ่ การปกครองและการรวมกล ่ ม ุ คน เข้าไว้ด้วยกัน 2. เป็ นการใช ้ อ ุ ดมการณ ์ เพอ ื ่ ประโยชน ์ในการช ั กจ ู งใจคนให ้ เส ี ยสละ เพอ ื ่ เป้ าหมายร ่ วม หร ื อกล ่ าวได ้ ว ่ ากระทา เพอ ื ่ อ ุ ดมการณ ์ ซ ึ ่ ง อาจจะเป็ นประโยชน ์ ต ่ อผ ้ ู น าทางการเม ื องมากกว ่ าประชาชน ทว ั ่ ไป ท ้ ง ั น ี เ ้ น ื ่ องจากประชาชนจะถ ู กขอร ้ องให ้ เส ี ยสละท ุ กส ิ ่ ง ท ุ กอย ่ างเพอ ื ่ อ ุ ดมการณ ์ 3. เป็ นการใช ้ อ ุ ดมการณ ์ เพอ ื ่ ประโยชน ์ในการขยายอา นาจของ รัฐบาล
เสรีนิยมมีจุดเริ่มต้นส าคัญในศตวรรษที่ 17 โดย จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาชาว อังกฤษ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากทฤษฎีสัญญาประชาคม ซึ่งแนวคิดของล็อคและนักทฤษฎีอื่นๆ รวมกัน เรียกว่า เสรีนิยมแบบต้นต ารับ หรือเสรีนิยมแบบ คลาสส ิ กซ ่ ง ึ ย ั งคงเป็ นท ่ ใีช ้ ก ั นอย ่ ู ในปั จจ ุ บ ั น ประกอบด้วยหลัก 8 ประการดังนี้คือ
1. เสรีภำพส่วนบุคคล 2. มนุษย์โดยธรรมชำติ เป็ นคนดี 3. กำรแก้ปัญหำโดยใช้ หลักเหตุผล 4. กำรเปลี่ยนแปลง เป็ นไปในทิศทำงแห่ง ควำมก้ำวหน้ำ 5. ควำมเสมอภำคแห่ง โอกำส 6. มนุษย์เหมือนกันทุก แห่ง 7. กำรมีรัฐบำลเป็ น สิ่งจ ำเป็ นแม้จะไม่ใช่ สิ่งที่น่ำพิสมัย 8. เศรษฐกิจแบบเสรี
เสรีนิยมเป็ นอุดมการณ์ที่เกิดขึ้นมาในศตวรรษที่ 17 ซึ่งในปัจจุบันสภาพสังคมและเศรษฐกิจมีการ เปลี่ยนแปลงไปมากมาย พวกเสรีนิยมในปัจจุบันจึง รับเอาแนวความคิดของพวกอนุรักษนิยมมาปรับ โดยเฉพาะในเรื่องเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น พวกเสรี นิยมใหม่ยอมรับความจ าเป็ นที่จะต้องสร้างรัฐที่มี ความเข้มแข็งเพื่อชี้น าธุรกิจและสร้างรัฐสวัสดิการ นอกจากนี้พวกเขายังสนับสนุนให้รัฐบาลช่วยก าจัด ส ่ ิ งปฏก ิ ู ลของระบบท ุ นน ิ ยม เช ่ น ปั ญหาส ั งคม การ ไร ้ ท ่ อ ี ย ่ ู อาศ ั ย และการว ่ างงาน เป็ นต ้ น
แนวค ิ ดอน ุ ร ั กษน ์ ิ ยมมก ั ถ ื อกน ั วา ่ เป็ นแบบ “หว ั เก ่ า” หรือ “หัวโบราณ” ค ื อชอบสภาวะเด ิ ม และยด ึ ถ ื อขนบธรรมเน ี ยมเก ่ าๆ อยา ่ งมน ั่คง อ ุ ดมการณ ์ น ้ ี ตรงกน ั ขา ้ มกบ ั พวกเสร ี น ิ ยม พวกเสร ี น ิ ยมมก ั จะเร ี ยกพวก อน ุ ร ั กษน ิ ยมวา ่ “คนท ี่ไม ่ เช ื่อวา ่ จะม ี อะไรท ี่ควรทา เป็ นคร ้ ั งแรก” พวก อน ุ ร ั กษน ์ ิ ยมไดร ้ั บช ื่อวา ่ เป็ นพวกฝ่ ายขวา พวกปฏ ิ ก ิ ร ิ ยา (reactionary) พวกระมัดระวัง (cautions) ทางสายกลาง (moderate) และเชื่องช้า (slow) ตามประวต ัิ ศาสตร ์ พวกอน ุ ร ั กษน ิ ยมเก ิ ดข ้ึ นเม ื่อประมาณศตวรรษท ี่18 ซ่ึ งเป็ นการต ่ อตา ้ นอ ิ ทธ ิ พลของการปฏ ิ วต ัิฝร ั่งเศส อยา ่ งไรกต ็ ามรากฐาน ของอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมสามารถย้อนกลับไปได้ในสมัยกรีกโบราณ โดยเฉพาะแนวปร ั ชญาทางการเม ื องของเพลโต ซ่ึ งม ี ความค ิ ดค ่ อนขา ้ ง อนุรักษนิยมมาก
1. การรักษาความเป็ นระเบียบเรียบร้อยและเสถียรภาพ 2. ธรรมชาติของมนุษย์มีแก่นแท้ที่ไม่ดี 3. ประสบการณ์ส าคัญกว่าหลักตรรกะหรือการใช้เหตุผล 4. การเปลี่ยนแปลงควรค่อยเป็ นค่อยไป ไม่เป็ นไปอย่างรุนแรง และฉับพลันเกินไป 5. เสรีภาพส าคัญกว่าความเสมอภาค 6. ส่งเสริมความเป็ น “อเนกลักษณะ” หรือความ “ หลากหลาย ” มากกว่าความเป็ น “สากลนิยม” 7. การมีรัฐบาลเป็ นของจ าเป็ น
ในศตวรรษที่ 20 อุดมการณ์อนุรักษนิยมมีความเปลี่ยนแปลงใน ตัวเองอย่างมาก ถึงแม้ว่าแนวความคิดในเรื่องหลักๆ จะยังคง เหมือนเดิม แต่เรื่องแนวคิดเรื่องวิถีทางเศรษฐกิจของพวกเขา เปลี่ยนแปลงไป พวกอนุรักษนิยมใหม่ (neoconservatism) จะมีแนวคิดคล้ายพวกเสรีนิยมเก่าใน เร่ื องทางด ้ านเศรษฐก ิ จ โดยต ้ องการให ้ ร ั ฐบาลถก ู จา ก ั ดอา นาจใน การเข้าไปแทรกแซงทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันทั้งพวกอนุรักษนิยมใหม่และพวกเสรีนิยมใหม่มีความ คาบเกี่ยวกันในหลายด้าน แม้กระทั่งในคนๆ เดียวกัน ในบาง กรณีอาจเป็ นอนุรักษนิยม ในบางกรณีอาจเป็ นเสรีนิยม อ ุ ดมการณ ์ ทง ั ้ สองประการจง ึไม ่ สามารถถ ู กเร ี ยกได ้ ว ่ าอย ่ ท ู่ใี ดท่ี หน่ึ งตลอดไป ม ั นได ้ ถ ู กน ามาใช ้ อธ ิ บายแนวความคด ิ ของบ ุ คคล หรือกลุ่มบุคคลต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
ฟาสซิสม์ถือก าเนิดในอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยกลุ่มการเมืองที่รวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ใน การยุติความเป็ นกลางของอิตาลีในสงครามโลก ครั้งที่ 1 และสนับสนุนให้อิตาลีเข้าร่วมสงคราม แม้ว่าในตอนแรกกลุ่มนี้จะไม่มีเป้ าหมายในการ ก่อตั้งองค์กรก็ตาม แต่เบนิโต มุสโสลินี (Benito Mussolini) ปัญญาชนสังคม นิยมก็ได้กลายเป็ นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของ อุดมการณ์ฟาสซิสม์ในอิตาลี
ฟาสซิสม์เป็ นอุดมการณ์ทางการเมืองที่เพิ่ม ประสิทธิภาพในทางการผลิตมากที่สุดภายในเวลาที่ น้อยที่สุด เพราะภายใต้ฟาสซิสม์ สังคมจะด าเนินไป พร้อมๆ กันภายใต้จุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่มีใครคัดค้าน การน าของผ ้ ู น า ในแง ่ หน ่ ึ งฟาสซส ิ ม ์ จง ึ เป็ นอ ุ ดมการณ ์ ท ่ ี อันตราย เพราะไม่มีฝ่ ายใดจะช่วยถ่วงดุลการใช้อ านาจ ของผ ้ ู น าไว ้ได ้ เลย ส ่ วนความหมายของคา ว ่ าฟาสซส ิ ม ์ (fasism) น ั น ้ ถ ู กน ามาใช ้ จากศ ั พท ์ ลาตน ิ ว ่ า Fasces ซ ่ ง ึ แปลว ่ า การผ ู กไว ้ ด ้ วยก ั น แต ่ใช ้ใน ความหมายว่า อ านาจที่มาจากความสามัคคี
1. อา นาจส ู งส ุ ดของร ั ฐเหน ื อปั จเจกชน 2. ชาตินิยมอย่างรุนแรง 3. ประชาธิปไตยแบบต่อต้านเสรีนิยม 4. แสนยานุภาพนิยมและลัทธิก่อการร้าย 5. การปกครองโดยเผด็จการ 6. การต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์