The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ronnachai Joothong, 2023-03-14 03:31:51

รัฐศาสตร์เบื้องต้น

57 Public Administration Kanyawan 2203101

ลท ั ธ ิ ท ุ นน ิ ยมเป็ นระบบเศรษฐกจ ิ (ไม่ใช่ระบบการเมือง) ที่ เกิดขึ้นและพัฒนามาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 องค ์ประกอบของระบบท ุ นน ิ ยมทจ ี ่ ะกล ่ าวต ่ อไปน ีไ ้ ด ้ ปรากฏอย ่ ู ในผลงานของอาดม ั สมท ิ (Adam Smith) ที่ เขียนเอาไว้ในหนังสือเรื่อง Inquiry into the Nature and Causes of the Wealth of Nations หร ื อเป็ นทร ี ่ ้ ู จ ั กกน ัใน นาม The Wealth of Nations


มีคุณลักษณะ 5 ประการด้วยกันคือ 1. เป็ นระบบเศรษฐกิจ 2. ประชาชนสามารถม ี กรรมส ิ ทธ ์ ิในทร ั พย ์ ส ิ น 3. มีการแข่งขันเสรี 4. มีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด 5. มีอิสระในการบริหาร ลัทธินี้เกิดขึ้นมาเพื่อต่อต้าน ระบบพานิชยนิยม(mercantilism) ค ื อระบบเศรษฐก ิ จท่อ ี ย ่ ภ ู ายใต ้ ทฤษฎ ี ความม่ั นคงของร ั ฐขน ึ ้ อย ่ ู ก ั บ ทองคา เงน ิ และโลหะอ่ื นๆ ซ่ง ึ ร ั ฐบาลจะเป็ นผ ้ ู ควบค ุ มระบบ เศรษฐกิจทั้งหมด เพื่อการหามาซึ่งโลหะมีค่า ซึ่งทั้งนี้ความมั่งคั่งจะ กระจ ุ กอย ่ ู ท่ร ีั ฐบาลและพ ั นธม ิ ตรของร ั ฐบาลเพย ี งกล ่ ุ มเดย ี วเท ่ าน ั น ้


คา น ี ถ ้ ู กน ามาใช ้ เป็ นคร ั ง ้ แรกโดยโรเบร ิ์ ต โอเวน (Robert Owen) ชาวอังกฤษ ตามประวัติแล้วเขาคนนี้เดิมทีเป็ น เจ ้ าของโรงงานอ ุ ตสาหกรรมและได ้ กลายเป็ นน ั กปฏร ิ ู ปส ั งคม และตั้งขบวนการ สหกรณ์ขึ้น เขาเสนอว่ากระบวนการผลิต และกจ ิ การการผล ิ ตควรให ้ ผ ้ ู ใช ้ แรงงานร ่ วมก ั นเป็ นเจ ้ าของ ซ่ง ึ แนวคด ิ น ีไ้ ด ้ ถ ู กน าไปใช ้ในฝร่ั งเศส และต ่ อมากแ ็ พร ่ หลายไปย ั ง ประเทศอื่นๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ระบบสังคมนิยมนี้ก็ คือ เป็ นระบบเศรษฐกิจที่มีการวางแผนจากส่วนกลางเพื่อ ผลประโยชน์ของชุมชนโดยส่วนรวม ระบบนี้ถือได้ว่าเกิดขึ้นมา เพื่อคัดค้านระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม


สังคมนิยมมีองค์ประกอบดังนี้ 1. มีกำรวำงแผนเศรษฐกิจจำกส่วนกลำงหรือรัฐบำล 2. เอกชนจะได้ผลตอบแทนทำงเศรษฐกิจโดยส่วน เฉลี่ยตำมผลงำนของแต่ละคน 3. รัฐบำลเข้ำมำควบคุมกิจกำรที่เกี่ยวข้องกับ สำธำรณูปโภคของประชำชน


ก. สังคมนิยมแบบอุดมคติ: แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพล จากข้อเขียนของธอมัส มอร์ (Thomas More) ในหน ั งส ื อช ่ ื อ ย ู โธเปี ย (Utopia) แต่ง ขึ้นในปี ค.ศ.1516 โดยเป็ นชื่อเกาะที่สร้างขึ้นใน จน ิ ตนาการซ ่ ง ึ ม ี ระบบการเม ื องสมบ ู รณ ์ ท ่ ด ีี หน ั งส ื อ เล่มนี้มีอิทธิพลมากจนกระทั่งชื่อหนังสือได้ กลายเป็ นศัพท์ที่มีความหมายในภาษาอังกฤษไป ด้วย คือ หมายถึงการสร้างจินตนาการ หรือวาด ภาพสภาพสังคมที่เลอเลิศ


แนวคิดแบบอุดมคตินี้มีลักษณะดังนี้คือ ◦ต่อต้านการมีทรัพย์สินเป็ นเจ้าของส่วนตัว และ ต ่ อต ้ านการท ่ ผ ี้ ู ม ี ทร ั พย ์ และต ่ อต ้ านการท ่ ผ ี้ ู ม ี ทร ั พย ์ ส ิ นส ่ วนต ั วมากเอาประโยชน ์ จากผ ้ ู ยากจน ◦ต้องการให้สังคมเป็ นเจ้าของทรัพย์สินหรือความ มั่งคั่งต่างๆ ◦ต้องการให้เกิดความสามัคคีกลมเกลียวกันในกร ด าเนินชีวิตภายในสังคม


◦ถือว่า การชักชวนให้คนหันมานิยมสังคมนิยมด้วย วิธีการให้การศึกษาอย่างทั่วถึง ◦ความเชื่อในวิศวกรรมทางสังคม (social engineering) ค ื อม ี การใช ้ ความร ้ ู ทาง สังคมศาสตร์เพื่อจัดระบบทางสังคมให้เหมาะสม ◦มีแนวคิดคล้ายเสรีนิยม แต่ถือว่ายังไม่เพียงพอ คือต้องมีอุดมการณ์สังคมนิยมโดยเฉพาะและมุ่ง ให้แพร่หลายโดยการให้การศึกษา


ข. สังคมนิยมแบบมาร์กซ์(Marxian Socialism) : สังคมนิยมแบบนี้เป็ นแบบที่ต้องการ ให้ส่วนกลาง (รัฐ) หรือ social state มีบทบาทมาก ที่สุด กล่าวคือ ต้องการให้ทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็ นที่ดิน การ ผลิตและผลผลิต การค้าขาย ถือว่า เป็ นของกลางที่ จะต้องด าเนินการหรือจัดการโดยรัฐ ซึ่งถือได้ว่าเป็ นหลัก ทฤษฎีคอมมิวนิสต์อันถือได้ว่าเป็ นสังคมนิยมประเภท หนึ่ง ลักษณะส าคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่มาร์กซ์ ต ้ องการให ้ เกด ิ การปฏว ิั ตเ ิ พ ่ อ ื เข ้ าส ่ ู สภาพส ั งคมน ิ ยมเตม ็ ร ู ปแบบโดยเร ็ ว ทง ั ้ น ีโ้ ดยเน ้ นการต ่ อส ้ ู ระหว ่ างชนช ั น ้ เพ ่ อ ื ได้มาซึ่งระบบสังคมนิยม


ค. สังคมนิยมแบบประชาธิปไตย(Democratic Socialism) : คือการผสมผสานหลักการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยเข้ากับ ระบบเศรษฐกิจที่รัฐหรือรัฐบาลมีอ านาจจ ากัดเสรีภาพทางเศรษฐกิจ ของเอกชนบางประการด้วยการเข้าด าเนินการเองบางส่วน เพื่อ ประโยชน ์ ส ่ วนรวม ในระบบน ี เ ้ ท ่ าทปี ่ ฏบ ิั ตก ิ น ั อย ่ ู ในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอังกฤษได้ให้ความส าคัญกับประชาชน ท ้ ง ั หลายโดยไม ่ แยกช ้ ั นวรรณะแต ่ พร ้ อมกน ั น ้ ั นกส ็ น ั บสน ุ นให ้ ผ ้ ู ทใี ่ ช ้ แรงงานได้มีบทบาททางเศรษฐกิจ เช่น ได้รับการปฏิบัติที่เป็ นธรรม สามารถด ู แลร ั กษาผลประโยชน ์ ของตนได ้ และม ี อา นาจทางการเม ื อง การปกครองด้วยการรวมตัวกันขึ้นเป็ นพรรคการเมือง และมีโอกาส จัดตั้งรัฐบาลได้


ผ ้ ู วางรากฐานแห ่ งอ ุ ดมการณ ์ คอมม ิ วน ิ สต ์ ค ื อ คาร ์ ล มาร ์ กซ ์ (Karl Marx) เป็ นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ในระหว่างที่ เป็ นนักศึกษา มาร์กซ์ได้คุ้นเคยกับความคิดของ ฟรีดริค เฮเกล (Friedrich Hegel) เฮเกลได ้ ร ั บการยกย ่ องว ่ าเป็ นผ ้ ู สถาปนาส านักปรัชญาอุดมคตินิยมยุคใหม่ (Modern Idealism) ซึ่งถือว่าความคิดเป็ นโครงสร้างส่วนล่าง ซึ่งมี อิทธิพลต่อความเป็ นไปของโครงสร้างส่วนบน อันได้แก่ สภาวะ ทางเศรษฐกิจ สภาวะทางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งสภาวะ ทางด้านการเมืองการปกครอง


แต่มาร์กซ์ซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดบางอย่างของเฮ เกิลกลับมองภาพกลับกัน กล่าวคือ มาร์กซ์เห็นว่า สภาวะ ทางวัตถุต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องราวทางเศรษฐกิจมีลักษณะ เป็ น โครงสร้างส่วนล่างซึ่งมีอิทธิพลต่อความคิดและความ เชื่อนานาประการอันเป็ นโครงสร้างส่วนบน มาร์กซ์เขียน หนังสือเรื่อง ถ้อยแถลงแห่งคอมมิวนิสต์หรือ ค าประกาศ แห่งคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) เขียนร่วมกับเพื่อนสหายของเขาคือแองเกลส์ ซึ่งหนังสือ เล่มนี้นับได้ว่ามีอิทธิพลต่ออุดมการณ์และขบวนการ คอมมิวนิสต์และมีอิทธิพลต่อการก่อตัวของการปฎิวัติใน รัสเซียในปี 1917


1. การยึดที่ดินเป็ นของรัฐและการใช้ค่าเช่าจากที่ดินเหล่านั้นเพื่อ เป็ นค ่ าใช ้ จ ่ ายของร ั ฐระหว ่ างทย ี ่ ง ัไม ่ บรรล ุ ความเป็ นส ั งคม คอมมิวนิสต์ 2. ภาษเ ี งน ิได ้ เกบ ็ ในอต ั ราส ่ วนทส ี ่ ู งขน ึ ้ เม ื ่ อมร ี ายได ้ ส ู งขน ึ ้ หร ื อท ี ่ เรียกว่าภาษีก้าวหน้า (progressive tax) 3. ยกเลิกสิทธิในมรดก 4. ให ้ ม ี ศ ู นย ์ กลางส ิ นเช ื ่ อโดยการจด ั ต ้ ง ั ธนาคารของร ั ฐ


5. กิจการขนส่งเป็ นของรัฐ 6. ให้รัฐเป็ นเจ้าของโรงงานมากยิ่งขึ้นและให้มีการ แบ่งสรรที่ดินใหม่ 7. ให ้ เป็ นหน ้ าทข ี ่ องท ุ กคนทจ ี ่ ะต ้ องทา งาน 8. ให ้ มก ี ารศ ึ กษาของร ั ฐแก ่ ท ุ กคนและไม ่ให ้ มก ี าร ใช้แรงงานเด็ก


สาระส าคัญเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์หรือทฤษฎี มาร์กซิสต์ (Marxist) คือ “วิภาษวิธีทางวัตถุ” หรือ “วัตถุนิยมเชิงวิภาษ” หรือ “วัตถุนิยมวิภาษ วิธี” (Dialectical Materialism) ซึ่งมี ความเห็นว่า สิ่งที่มีอิทธิพลเหนือชีวิตมนุษย์มาก ที่สุด คือ “วัตถุ” ส่วน “จิต” หรือ “ความคิด” จะ ได้รับอิทธิพลจากสภาวะทางวัตถุ ดังนั้นความดีหรือ ความช ่ ั วในทฤษฎ ี ของมาร ์ กซ ์ จะต ี ค ่ าออกมาในร ู ป ของวัตถุ


ลท ั ธ ิ วต ั ถ ุ น ิ ยมน ี ถ ้ ื อว ่ าส ิ ่ งทท ี ่ า ให ้ มน ุ ษย ์ มค ี วามส ุ ขกค ็ อ ื การ มีปัจจัยทางเศรษฐกิจดี ดังนั้นสภาพทางเศรษฐกิจจึงมี บทบาทมากทส ี ่ ุ ดในช ี วต ิ มน ุ ษย ์ ส ่ วนอารมณ ์ ความร ้ ู ส ึ ก ความรัก จินตนาการ ปรัชญา ความเชื่อ หรือศรัทธามิได้มี ความหมายส าคญ ั ต ่ อมน ุ ษย ์ในสายตาของลท ั ธ ิ น ี ้ ซ ึ ่ งจะ ตรงกันข้ามกับหลักการของศาสนาต่างๆ ที่เน้น “จิตนิยม” ไม่ใช่ “วต ั ถ ุ น ิ ยม”


มาร์กซ์ใช้ศัพท์ “วิภาษวิธี” ตามการใช้ของเฮเกิล ที่หมายถึง การอธิบายการเปลี่ยนแปลงหรือปรากฎการณ์ต่างๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง ดังนี้ คือ 1. Thesis ได ้ แก ่ ส ่ ิ งท ่ ม ีี หร ื อเป็ นอย ่ ู แล ้ ว 2. Antithesis ได้แก่ สิ่งที่ตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกับ ส ่ ิ งท ่ ม ีี หร ื อเป็ นอย ่ ู แล ้ ว 3. Synthesis ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันของ 2 สิ่ง แรก จุดประสงค์ของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คือ มุ่งก่อตั้งสังคมไร้ ชนชั้น โดยที่ปัจจัยการผลิต การกระจายจ่ายปัน และ การแลกเปลี่ยนทุกชนิดจะเป็ นของประชาคมรัฐ


คาร ์ ล ดบ ั เบล ิ ย ู ดอยช ์(Karl W. Deutsch 1978:11) ให้ความหมายไว้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ ประกอบด้วยพฤติกรรมและการกระท าของรัฐที่มี ต่อกันโดยปราศจากการควบคุมอย่างเพียงพอ สุรชัย ศิริไกร (2550:2) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็ น การแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามพรมแดนของ รัฐ


ความหมาย (ต่อ) ไมเคิล จี รอสคิน และนิโคลาส โอ เบอร์รี (Michael G. Roskin & Nicholas O. Berry) ให้ความหมาย ไว้ว่า เป็ นปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เค เจ โฮลสติ (K.J.Holsti)หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ หลากหลายรูปแบบระหว่างสมาชิกในสังคมต่าง ๆ โดย อาจเป็ นสมาชกิท ี่รฐัสนบัสน ุ น และรฐัไม่สนบัสน ุ นกไ็ ด้


จากความหมายท ี่กล่าวมาทงั้หมดขา้งตน้ สรุปได้ว่า ความสมัพนัธ์ระหว่างประเทศหมายถงึการแลกเปลยี่น (Exchange) และการปฏิสัมพันธ์ (Interaction)ที่เกดิข้ึนขา้มพรมแดน ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งโดยรฐัเอง หรอืตวัแสดงใด ๆ ที่ไม่ใช่รฐั ในรปูแบบที่ เป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ เพอื่วตัถุประสงคท์างการเมืองหรอืวตัถุประสงค์ อนื่ๆ โดยความสมัพนัธ์ที่เกดิข้ึนจะเป็ นไปไดใ้นดา้นความสมัพนัธ์ที่ดรี่วมมือ กัน หรือความสัมพันธ์ในลักษณะขัดแย้งกันในมิติทางการเมือง การทหาร การ ทูต เศราฐกจิ สงัคม วฒันธรรม มิติใดมิติหนึ่ง หรอืหลายมิติพรอ้ม ๆ กนั


การปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามพรมแดนของรัฐ จึงมีลักษณะคล้ายเหรียญ สองด้าน ซึ่งประกอบด้วยลักษณะส าคัญดังต่อไปนี้ 1.ความสัมพันธ์อย่างเป็ นทางการหรือไม่เป็ นทางการ -อย่างเป็ นทางการ คือความสม ั พน ั ธ ์ ท ี่เก ิ ดจากการกระทา โดย ร ั ฐบาล หร ื อ ตว ั แทนโดยชอบธรรมของร ั ฐบาลเช ่ นความสม ั พน ั ธ ์ ทางการ ท ู ต การประช ุ มส ุ ดยอด การทา สนธ ิ สญ ั ญาระหวา ่ งรัฐ -อย่างไม่เป็ นทางการ คือ การกระทา ท ี่ม ิใช ่ เก ิ ดจากร ั ฐเช ่ น การก ่ อ การร ้ ายการบ ่ อนทา ลายการลก ั ลอบคา ้ส ิ นคา ้ ผด ิ กฎหมายเป็ นตน ้


2. ความสัมพันธ์ในลักษณะความร่วมมือหรือความขัดแย้ง ความสัมพันธ์ในลักษณะความร่วมมือ เช่น การเป็ นพันธมิตร การให้ ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม เป็ นต้น ความร่วมมือในลักษณะความขัดแย้ง เช่น การก่อการ้าย สงคราม การ แทรกแซงบ่อนท าลาย และการขยายจักรวรรดินิยม 3. ความส ั มพน ั ธ ์ในลก ั ษณะเข ้ มข ้ นร ุ นแรงหร ื อห ่ างเห ิ น ความส ั มพน ั ธ ์ใน ลก ั ษณะเข ้ มข ้ นร ุ นแรงม ี ท ้ ง ั ด ้ านความร ่ วมม ื อและความขด ั แย ้ งเช ่ น การ เป็ นพน ั ธม ิ ตรทแ ี ่ นบแน ่ น การลอบส ั งหารผ ้ ู น าร ั ฐบาลของอก ี ร ั ฐหน ึ ่ ง และการต ั ดส ั มพน ั ธ ์ ทางการท ู ต เป็ นต ้ น ความห ่ างเห ิ น เช ่ น การลง โฆษณาโจมต ี กน ั ช ั ่ วคราวการส ่ งน ั กการท ู ตไปประจ าในประเทสอน ื ่ ๆ พอ เป็ นพิธี เป็ นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเปรียบเหมือนเหรียญ สองด้าน อย่างเห็นได้ชัดจากที่กล่าวมาข้างต้น


ขอบเขตความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสมัพนัธ ์ ระหว่างประเทศม ี ขอบเขตกวา้งขวางซ ึ่งครอบคลม ุ ประเด็นต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1.ความสัมพันธ์ทางการเมือง (การเมืองระหว่างประเทศ) 2.ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ 3.ความสัมพันธ์ทางสังคม 4.ความสัมพันธ์ทางกฎหมาย(กฎหมายระหว่างประเทศ) 5.ความสัมพันธ์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


ขอบเขตของความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเรื่องต่อไปนี้ ควำมสัมพันธ์ทำงสังคม เป็ นควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศที่มี วัตถุประสงค์ เช่น กำรแลกเปลี่ยนทำงวัฒนธรรมกำรศึกษำ กำรศำสนำ กำรท่องเที่ยว กิจกรรมที่ได้ด ำเนินกำร เช่น กำรแลกเปลี่ยน ทุนกำรศึกษำ กำรแสดงนำฏศิลป์ ของแต่ละประเทศไปเผยแพร่ตำม ประเทศอื่น ควำมสัมพันธ์ทำงกำรเมือง เป็ นควำมสัมพันธ์ระหว่ำงประเทศที่ เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ระหว่ำงประเทศ เช่น กำรทูต กำรทหำร กำร แทรกแซงทำงกำรเมือง กำรก ำหนดนโยบำยระหว่ำงประเทศ


ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เป็ นความสัมพันธ์ที่ เกี่ยวข้องกับการ “แลกเปลี่ยน” ทรัพยากร หรือ บริการ เช ่ นการซื อ ้ ขาย การก ้ ู ย ื ม ประเทศไทยม ี ความต ้ องการด ้ าน อุตสาหกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ในขณะเดียวกัน ประเทศทางยุโรปต้องการวัตถุดิบและน ้ามันจาก ตะวันออกกลาง ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงการ ตั้งกฎเกณฑ์ในเรื่องภาษีศุลกากร รวมทั้งการปิ ดล้อมทาง เศรษฐกิจ


ความสัมพันธ์ทางกฎหมาย เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพรมแดน มากขึ้น ปัญหาหรือการก าหนดสิ่งที่ปฏิบัติร่วมกันต้องเกิดขึ้น เช่น เกิดสัญญา กติกา หรือข้อตกลงเกี่ยวกับน่านน ้าสากล ระหว่างไทยกับเวียดนาม เป็ นต้น ความสัมพันธ์ทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี เป็ นความสัมพันธ์ที่มี ว ั ตถ ุ ประสงค ์ในการแลกเปล่ี ยนพ ั ฒนาความร ้ ู ทางว ิ ทยาศาสตร ์ และ เทคโนโลยีในการใช้ประโยชน์ร่วมกันในการแก้ปัญหาของ ชาวโลก เช่น การส่งเสริมค้นคว้า ทดลองด้านวิทยาศาสตร์ในการ ป้ องกันโรคมะเร็ง หรือการประชุมสัมมนาด้านวิทยาศาสตร์ ระหว่างประเทศ


แนวคิดทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แนวคิดทฤษฎทีี่สา คญัๆ ดงัน้ี 1. แนวคด ิ อด ุ มคตน ิิ ยม (Idealism) เป็ นแนวทางการศึกษา การเมืองในแง่ศีลธรรมหรือจริยธรรม เป็ นแนวคิดที่เสนอแนะสิ่ง ที่ควรจะเป็ นมากกว่าการท าความเข้าใจ 2. แนวคิดสัจนิยม (Realism) หรือ อ านาจนิยม แตกต ่ างจากแนวคด ิ อด ุ มคตน ิิ ยม ท ้ ง ั น ี เ ้ พราะน ั กคด ิ แนวส ั จ นิยมพิจารณาความเป็ นจริงที่เกิดขึ้นในโลกเป็ นหลัก มองโลกใน แง่ร้ายและไม่พยายามแนะหลักการทางปรัชญาหรือศีลธรรมเพื่อ เปลี่ยนแปลงโลก แต่ได้พิจารณาตามหลักความเป็ นไปในโลก และ เสนอแนะแนวทางในการปรับตัวตามสภาพความเป็ นจริง เพื่อ ผลประโยชน์ของชาติเป็ นส าคัญ


ดง ั น ้ ั น แนวคด ิ ส ั จน ิ ยม เช ื ่ อว ่ าท ุ กร ั ฐดา เน ิ นการใด ๆ เป็ นไปเพอ ื ่ ร ั กษาผลประโยชน ์ ของชาต ิโดยอาศ ั ยข ้ อม ู ลทาง ประวัติศาสตร์ ความเป็ นจริงในความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศและแต่ละชาติพยายามส่งเสริมอ านาจของตนโดย วิธีต่าง ๆ รักษาอ านาจหรือขยายอ านาจ อ านาจเป็ นเงื่อนไข ส าคัญในการก าหนดนโยบาย การเข้าใจฐานอ านาจของรัฐ จะช่วยให้เข้าใจนโยบายของรัฐนั้นด้วย


3. แนวคิดสัจนิยมใหม่ (Neo-Realism) เค็นเน็ธ วอลทธ์ (Kenneth N. Waltz) ในปี ค.ศ. 1979 ซึ่งเรียก ได้ว่าเป็ นแนวคิดที่แตกแขนงมาจากแนวคิดสัจนิยม แนวคิดสัจนิยมใหม่ ในภาวะอนาธิปไตย (Anarchy) ระหว่าง ประเทศ คือการที่ปราศจากรัฐบาล กฎหมาย กฎเกณฑ์ หรือการ บง ั คบ ั บญ ั ชาทจ ี่ะควบค ุ มพฤตก ิ รรมของร ั ฐเพราะร ั ฐเป็ นผ ้ ู แสดง บทบาทที่ส าคัญและจะเข้ามามีบทบาทในการรักษาความมั่นคง ปลอดภัยในแง่ความร่วมมือเป็ นหลัก แต่ก็ยังเปิ ดทางให้องค์การ ระหว่างประเทศ ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องความมั่นคงปลอดภัยทาง การทหาร ส่วนองค์การระหว่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจ การค้า และ การลงท ุ นน ้ ั นจะไม ่ มบ ี ทบาทมากน ั ก


4. แนวคิดเสรีนิยม(Liberalism) จอห์นล็อก (John Locke) กล่าวถึง รัฐบาลว่าท า หนา้ทรี่บั ประกนัเสรภีาพของพลเมือง สรา้งความอยดู่กีินดีและสามารถ ดา รงชวีติอยา่งอสิระเต ็ มเปี่ยม โดยปราศจากการถูกแทรกแซง กดขี่ กฎหมายทรี่ฐับาลกา หนดข้ึนก ็ เพื่อพิทกัษศ์กัดศิ์รแีละสทิธิของประชาชน ทั้งในชีวิตและเสรีภาพ แนวคดิเสรนีิยม จะมีการจดัตงั้องคก์ารระหวา่งประเทศ เพื่อ น าไปสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศ และท าให้อนาธิปไตยระหว่าง ประเทศลดน้อยลง เพราะประเทศสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศนั้น จะยดึถือกฎเกณฑแ์นวบรรทดัฐาน และจะมอบการปกครองตา่ง ๆ ซงึ่จะ นา ไปสูค่วามมงั่คงั่ทางเศรษฐกิจ


5. แนวคิดเสรีนิยมใหม่ (Neo- liberalism) ในช่วยสดุทา้ยของครสิตศ์ตวรรษที่20 ที่นกัวิชาการจา นวนมากไม่ พอใจ แนวคดิต่าง ๆ ที่กล่าวมา โดยมีความเห ็ นว่า แต่ละแนวไม่มีความ ลงตัวสุดกู่เกินไป นักคิดเสรีนิยมใหม่ ยอมรับความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจ จะสามารถ สร้างระบบการปกครองทางการค้าโดยมีความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ มากยิ่งข้นึเช่น องคก์ารคา้โลก (WTO) สหภาพยุโรป (CEU) เป็ นตน้ซึ่งจะทา ใหโ้ลกเกดิเสรภีาพ ความมั่งคั่งและความเจรญิร่งุเรอืง รวมทงั้จะเนน้เรอื่งการคา้เสรีที่รฐับาลแต่ละประเทศจะไม่เขา้มาควบคุม และไม่เข้ามาแทรกแซงกลไกต่าง ๆ


1. แนวนโยบาย (Policy Orientation) เน้นถึงแนวนโยบายที่ประเทศต่างใช้กันโดย ศึกษาถึงแนวนโยบายร่วมกันของรัฐในการรักษาสันติภาพและความมั่นคงระหว่าง ประเทศ 2.แนวประวัติศาสตร์ (Historical Approach) เรียกอีกอย่างคือ แนวจารีตประเพณี (Traditional Approach)จ ั ดเป็ นแนวการศ ึ กษาทเ ี่ก ่ าแก ่ ทส ีุ่ ด ใช ้ การศ ึ กษาจาก เอกสาร จารึก บันทึก หลักศิลา เป็ นต้น ซึ่งแบ่งการศึกษาแนวประวัติศาสตร์ตาม ลักษณะส าคัญได้ 2 ลักษณะ คือ - ศึกษาสภาพความเป็ นจริง (การศึกษาเชิงประจักษ์ Emparical Study) - ศึกษาเชิงประวัติศาสตร์(Chronicle Study) น าข ้ อม ู ลเช ิ งประจ ั กษ ์ มา จ ั ดเร ี ยงเหต ุ การณ ์ ต ่ าง ๆ ทเ ี่กด ิ ข ึ น ้ ในเวทค ี วามส ั มพน ั ธ ์ ระหว ่ างประเทศ


3. แนวภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Approach) เป็ น การศกึษาถงึสภาวะแวดลอ้มทางภ ู มิศาสตรท์ ี่มีอทิธิพลต่อการกระทา ของรฐัซึ่งมีนกั คดิที่ไดร้บัการยอมรบัทางดา้นภ ู มิรฐัศาสตรห์ลายท่าน ดงัน้ี เซอร์ ฮาร์ลฟอร์ด แมคคินเนอร์ (Sir Halford Mackinder)ชาว องักฤษ เชอื่ว่า - ผู้ใดควบคุมยุโรปตะวันออกผู้นั้นครอบครองดินแดนใจกลางทวีป (ดินแดนยูเร เซีย) - ผู้ใดควบคุมดินแดนใจกลางทวีปผู้นั้นครองเกาะโลก (Great Continent หรือ ทวีปยุโรป เอเซีย) - ผู้ใดควบคุมเกาะโลกผู้นั้นครองโลก นิโคลาส สปิ คแมน (Nicholas Spykman) นักรัฐศาสตร์ชาว อเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ The Geography of the place กล่าวถึง ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ตามทฤษฎีของ แมคคินเนอร์ แต่มีแนวคิดคัดค้าน หลายประการ


แนวทางการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (ต่อ) - ผู้ใดควบคุมริมขอบทวีปผู้นั้นครองดินแดนยูเรเซีย - ผู้ใดควบคุมดินแดนยูเรเซีย ผู้นั้นกุมชะตาโลก 4. แนวอ านาจ (Power Approach) ศึกษาโดยส านัก Political Realism ในสหรัฐอเมริกา ฮนัส์เจ มอรเ์กนเธอ กล่าวว่าการเมืองระหว่างประเทศเกยี่วกบัการด้นิรน ต่อสแ ู้ย่งชงิซึ่งอา นาจ ซึ่งเกยี่วขอ้งกบัผลประโยชนแ์ห่งชาติ (National Interest) เค เจ โฮลสติ (K. J. Holsti) ดงันนั้จะเห ็ นว่าทุก ๆ ชาติจงึสรา้งนโยบายต่างประเทศเพอื่คุม้ครองป้องกนั ผลประโยชน์และส่วนได้เสียของชาติตน


5. แนวเรอ ื่งดล ุ อา นาจ (The Balanced of Power Approach) มุ่งศึกษาการเมืองระหว่าง ประเทศใน 2 ลักษณะ คือ - พยายามรักษาสภาพเดิมของตน ประเทศมหาอ านาจมักจะสร้าง กา ลงัอา นาจ เพอ ื่ทดัเท ี ยมกบัมหาอา นาจอน ื่ๆ - พยายามเปลย ี่นแปลงสถานภาพเดมิของตนจากการสรา้งกล่ม ุ ถ่วงดล ุ อา นาจ รฐัหรอ ื ชาติเลก ็ ๆ ท ี่ไม่ม ี อา นาจในการต่อรอง พยายามรวมตวัเพอ ื่สรา้งความทดัเท ี ยมหรอ ืสรา้งอา นาจต่อรองเพอ ื่ รกัษาผลประโยชนข ์ องกล่ม ุ นนั่เอง


ด าริรัตน์ รัตนรังษี ได้ให้ความหมายของตัวแสดงความสัมพันธ์ ระหว ่ างประเทศไว ้ ว ่ า ตว ั แสดงความส ั มพ ั นธ ์ ระหว ่ าง หมายถง ึ ผ ้ ู ท่ท ี า หน ้ าท่ใี นการน านโยบายต ่ างประเทศไปปฏ ิ บ ั ต ิ หร ื อผ ้ ู ม ี พฤติกรรมในการผลักดันให้รัฐต่าง ๆ มีการติดต่อเกี่ยวข้องกัน ทั้งในด้านการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในทาง การเม ื อง เศรษฐก ิ จ และส ั งคม และหมายความถง ึ ผ ้ ู ม ี บทบาทใน การสร ้ างความข ั ดแย ้ งจนกลายเป็ นม ู ลเหต ุ แห ่ งการส ้ ู รบและการ ท าสงครามกัน


รสลิน ธ ารงวิทย์ ได้ให้ความหมายของตัวแสดง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้ว่า ตัวแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ อาจเป็ นรัฐ หรือหน่วยซึ่งไม่ใช้รัฐก็ได้ ธัชชนันท์ อิศรเดช ได้ให้ความหมายของตัวแสดง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไว้ว่า ตัวแสดงความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ หมายถึง รัฐ หรือตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ อาจเป็ น บุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์การระว่างประเทศ ซึ่งก่อให้เกิดการ แลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ในทางความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ


สรุป ได้ว่า ตัวแสดงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หมายถึง รัฐ หรือตัวแสดงที่ไม่ใช่รัฐ อาจเป็ นบุคคล กลุ่มบุคคล หรือองค์การระหว่างประเทศ ซึ่ง ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ในทาง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


ความส าคัญของตัวแสดงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 1.ตัวแสดงจะต้องมีบทบาทหรือโครงสร้างหน้าที่ที่ส าคัญ และต่อเนื่อง ความส าคัญของโครงสร้างหน้าที่เกิดจากการ ที่หน้าที่ดังกล่าวนั้น มีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ อย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด 2.ผ ้ ู กา หนดนโยบายจะต ้ องเล ็ งเหน ็ ความสา ค ั ญของตว ั แสดง ดังกล่าว โดยเฉพาะความส าคัญต่อการก าหนดนโยบาย ต่างประเทศของตน 3.ตัวแสดงนั้น ๆ จะต้องมีความเป็ นอิสระและมีอ านาจ อธิปไตยพอสมควรในการตัดสินใจ


ประเภทของตัวแสดงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จ าแนกตัวแสดงได้ 2 ประเภทใหญ่ 1. รัฐ (State Actor) 2. ไม่ใช่รัฐ ( Non-State Actor) 1.รัฐ (State Actor) 1.1 ความหมายของค าว่า รัฐ 1.2. องค์ประกอบของรัฐ 1.3 ความเป็ นมาของตัวแสดงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 1.4 ปัจจัยส าคัญ ที่ท าให้รัฐมีฐานะเป็ นตัวแสดง 1.5 บทบาทของรัฐในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 1.6 ประเภทตัวแสดงที่เป็ นรัฐในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


2. ตัวแสดงที่ไม่รัฐ (Non-State Actor) 2.1 องค ์ การระดบ ั ภม ู ิ ภาค องค ์ การระดบ ั ภม ู ิ ภาค หมายถง ึ สถาบน ั หร ื อ สถาบันระหว่างรัฐบาลในบริเวณหนึ่ง ที่มีภาคี สมาชิกในอันจ ากัด ซึ่งประกอบด้วยรัฐสมาชิก ท ่ อ ี ย ่ ู ในเขตภม ู ิ ภาคเดย ี วก ั น หร ื อ ตด ิ ต ่ อ ใกล้เคียงกัน โดยมีสนธิสัญญา หรือตกลง ระหว่างกลุ่ม มีการก าหนด องค์การด าเนินงาน เพื่อปฏิบัติตามพันธะหรือจุดประสงค์นั้น ๆ


2.1.1 องค ์ การระดบ ั ภม ู ิ ภาคท ่ ม ีี ว ั ตถ ุ ประสงค ์ ท ่ ว ัไป 2.1.2 องค ์ การระดบ ั ภม ู ิ ภาคท ่ ม ีี ว ั ตถ ุ ประสงค ์ เฉพาะด้าน 2.2 องค์การระดับโลก ตัวแสดงดังกล่าวอาจเป็ นองค์การสากลที่มี สมาชิกประกอบด้วยรัฐส่วนใหญ่ในโลก ซึ่งอาจ มีขอบเขตของบทบาทไม่จ ากัด


บทสรุป ตัวแสดงในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีเป็ นจ านวน มากทั้งที่เป็ นรัฐและไม่ใช่รัฐ ตัวแสดงมีความส าคัญในฐานะเป็ น หน่วยหนึ่งของการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตัว แสดงระดับรัฐและต ่ากว่ารัฐ ได้แก่ บุคคล หรือกลุ่มบุคคล โดยรัฐ เป็ นตัวแสดงหลักในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่วน บ ุ คคลหร ื อกล ่ ุ มบ ุ คคลแสดงบทบาทในฐานะผ ้ ู ดา เน ิ นการให ้ เป็ นไปตามนโยบายต่างประเทศ หรือมีส่วนโน้มน้าวหรือกดดัน ในการตัดสินหรือด าเนินนโยบายระหว่างประเทศ


ตว ั แสดงระดบ ั ภม ู ิ ภาค ได ้ แก ่ องค ์ การระดบ ั ภม ู ิ ภาคท่ม ีี วัตถุประสงค์ทั่วไป และมีวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน องค์การ ดังกล่าวมีบทบาทส าคัญในด้านเน้นความร่วมมือของกลุ่มภาคี สมาชิก เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ของตน ช่วยลดความขัดแย้ง ระหว่างภาคีสมาชิก อันมีส่วนช่วยส่งเสริมสันติภาพระหว่าง ประเทศ ตัวแสดงระดับโลก ได้แก่ องค์การสากลและองค์การ ข้ามชาติ องค์การสากลเน้นบทบาทในการร่วมมือระหว่าง ประเทศ เพื่อขจัดความขัดแย้งและส่งเสริมสันติภาพ และความ ร่วมมือระหว่างประเทศ ส่วนองค์การข้ามชาติมีบทบาทเสมือน กลุ่มกดดันในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ


เครื่องมือในการด าเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เคร ื ่ องมอ ื ทใี ่ ช ้ในการดา เน ิ นความส ั มพน ั ธ ์ ระหว ่ างประเทศมอ ี ย ่ ู หลายชน ิ ด ที่ส าคัญ 1.เคร ื่องมอ ื ทางการท ู ต (Political Instrument) การท ู ตเป็ นเคร ื่องม ื อในการดา เน ิ นนโยบายต ่ างประเทศในทางส ั นตม ิ ากกว ่ าว ิ ธ ีใด จ ึ งได ้ มบ ี ทบาทส าคญ ั ในการดา เน ิ นนโยบายของท ุ กประเทศ เป็ นเคร ื่องมอ ื ทเ ี่ส ี ยค ่ าใช ้ จ ่ าย น ้ อยแต ่ได ้ ผลมากเป็ นการหลก ี เลย ี่งทจ ี่ะใช ้ กา ลง ั ความร ุ นแรง การท ู ตเป็ นสถาบ ั นทช ี่่ วยให ้ ชาติทั้งหลายได้ติดต่อกัน สร้างความเข้าอันดีต่อกัน


1.1 ความหมายของการท ู ต การท ู ต คอ ื การดา เน ิ นความส ั มพน ั ธ ์ ระหว่างประเทศด้วยการเจรจาเป็ นส าคัญ ต้องอาศัยศิลปะ สติปัญญา และ ความส ุ ข ุ มรอบคอบ เป็ นเคร ื ่ องม ื อส าคญ ั ในกรดา เน ิ นการเพอ ื ่ ให ้ เป็ นไปตาม นโยบาย และเป้ าหมายของนโยบายต่างประเทศ 1.2 ประวต ั ข ิ องการท ู ต การท ู ตม ี มาต ้ ง ั แต ่ สม ั ยกร ี กร ่ ุ งเร ื องอย ่ ู ในร ู ปการปกครองแบบนครร ั ฐต ่ าง ๆ ก่อนคริสตกาล ประมาณ 500 ปี เจ ้ าผ ้ ู ครองนครกร ี กน ิ ยมส ่ งท ู ตไปมาหาส ่ ู กน ั เพื่อภารกิจใดภารกิจหนึ่ง


1.3 การแต ่ งต ้ ง ั นก ั การท ู ต การแต ่ งต ้ ง ั เอกอค ั รราชท ู ตม ี ข ้ น ั ตอนดง ั น ี ้ ร ั ฐบาลจะเสนอช ื ่ อผ ้ ุ ทจ ี ่ ะได ้ ร ั บ แต ่ งต ้ ง ัให ้ เป็ นเอกอค ั รราชท ู ต ไปยง ั ร ั ฐบาลทไี่ปประจ าอย ่ ู เพอ ื่ให ้ ความเห ็ นชอบ เม ื่อ บ ุ คคลน ้ ั นเดน ิ ทางไปถง ึประเทศน ้ ั นแล ้ วยน ื่สารตราต ้ ง ั(Credential) ต ่ อประม ุ ขของ ประเทศน ้ ั น จ ึ งจะเป็ นเอกอค ั รราชท ู ตโดยสมบ ู รณ ์ ม ี เอกส ิ ทธ ์ ิ และได ้ ร ั บการค ้ ุ มครอง ทางการท ู ต กล ่ าวคอ ื บ ุ คคลในคณะท ู ตจะได ้ ร ั บความค ้ ุ มครองท ้ ง ัในทางอาญาและทาง แพ่ง 1.4 ระดบ ั ของน ั กการท ู ต ตามระเบย ี บปฏบ ิ ต ั ท ิ างการท ู ต เม ื ่ อประเทศสองประเทศตกลงทจ ี ่ ะให ้ ม ี ความส ั มพน ั ธ ์ ทางการท ู ตและแลกเปลย ี่นน ั กการท ู ตต ่ อกน ั ส ิ่งทจ ี่ะต ้ องพจ ิ ารณา คอ ื ระดบ ั ของ น ั กการท ู ตทไี่ปประจ า ตามอน ุ ส ั ญญากร ุ งเวย ี นนาว ่ าด ้ วยความส ั มพน ั ธ ์ ทางการท ู ต ค.ศ. 1961 (Vienna Convention on Diplomatic Relations, 1961)


1.4 ระดบ ั ของน ั กการท ู ต 1.4.1 เอกอค ั รราชท ู ต ( Ambassador )หร ื อเอกอค ั รสมณท ู ต (Nuncio) 1.4.2 อค ั รราชท ู ต (Minister or Envoy) หร ื ออค ั รสมณท ู ต (Inter -nuneio) 1.4.3 อ ุ ปท ู ต (Large d Affaires) 1.5 บทบาทของน ั กการท ู ต น ั กการท ู ตมบ ี ทบาทส าคญ ั ในการดา เน ิ นความส ั มพน ั ธ ์ ระหว ่ างประเทศ คอ ื 1.5.1 เป็ นตัวแทนของรัฐในการสร้างความเข้าใจอันดีและกระชับมิตรภาพระหว่างกัน 1.5.2 ให้ความช่วยเหลือและพิทักษ์ผลประโยชน์คนของชาติ 1.5.3 ปฏิบัติตามค าสั่งรัฐบาล ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ


ดง ั น ้ ั นจะพบว ่ า การท ู ตเป็ นเคร ื ่ องมอ ืในการดา เน ิ น นโยบายต่างประเทศในทางสันติมากกว่าวิธีใด จึงได้มีบทบาท ส าคญ ั ในการดา เน ิ นนโยบายของท ุ กประเทศ เป็ นเคร ื ่ องมอ ื ทเ ี ่ ส ี ย ค่าใช้จ่ายน้อยแต่ได้ผลมากเป็ นการหลีกเลี่ยงที่จะใช้ก าลัง ความ ร ุ นแรง การท ู ตเป็ นสถาบ ั นทช ี ่ ่ วยให ้ ชาตท ิ ้ ง ั หลายได ้ ตด ิ ต ่ อกน ั สร้างความเข้าอันดีต่อกัน


เครื่องมือในการด าเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2. เครื่องมือทางจิตวิทยา (Psychology Intrument) เคร ื่องม ื อทางจ ิ ตวท ิ ยา เป็ นเคร ื่องม ื อทท ีุ่ กประเทศไม ่ สามารถใช ้ประโยชน ์ได ้ อย ่ างเท ่ าเทย ี มกน ั ท ้ ง ั น ี เ ้ พราะเคร ื่องม ื อทจ ี่ะต ้ องส ิ ้ นเปลอ ื งค ่ าใช ้ จ ่ ายส ู ง ในยามส ั นต ิ ม ่ ุ งต ้ องการให ้ประชาชนประเทศต ่ าง ๆ ม ี ค ่ าน ิ ยม ทศ ั นคตท ิ ด ี ่ ี เกย ี่วกบ ัประเทศของตน โดยพยายามให ้ ข ่ าวสารข ้ อม ู ลทด ี่โี น ้ มน ้ าวทน ี่่ าเช ื่อถอ ื ว ่ า ประเทศของตนน ้ ั นเป็ นประเทศทร ี่ั กส ั นตภ ิ าพและความย ุ ตธ ิ รรม ในยามสงคราม ไม ่ ว ่ าจะเป็ นสงครามเยน ็ หร ื อสงครามทม ี ่ ี การใช ้ อาว ุ ธ เป้ าหมายของการใช้นี้จะเปลี่ยนแปลงไป คือพยายามท าให้ประชาชนโดยเฉพาะ พน ั ธม ิ ตรกบ ั ตนและทย ี่ง ั วางตว ั เป็ นกลางม ี ความร ้ ู ส ึ กเป็ นปฏปิั กษ ์ ต ่ อประเทศทเ ี่ป็ น ศ ั ตร ู เกลย ี ดช ั งและการต ่ อต ้ านประเทศเป็ นศ ั ตร ู


Click to View FlipBook Version