The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษา ตามระบบประกันคุณภาพภายใน ด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thasasi, 2021-10-19 01:50:54

การพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษา ตามระบบประกันคุณภาพภายใน ด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร

การพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษา ตามระบบประกันคุณภาพภายใน ด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร

Keywords: งานวิจัย การพัฒนาคู่ม

39

ประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา อย่างน้อยภาคเรียนละ 1 ครั้ง โดย
วธิ ีการและเครอื่ งมือท่หี ลากหลายและเหมาะสม

5. ติดตามผลการดำเนินการเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มคี ุณภาพมาตรฐานของสถานศึกษา
และนำผลการติดตามไปใช้ประโยชน์ในการปรับปรงุ พฒั นา

6. จดั ทำรายงานผลการประเมินตนเอง (Self Assessment Report : SAR) ตามมาตรฐาน
การศึกษาของสถานศึกษา นำเสนอรายงานผลการประเมินตนเองต่อคณะกรรมการสถานศึกษาขั้น
พ้ืนฐานให้ความเห็นชอบ และจัดส่งรายงานดงั กล่าวต่อสำนักงานเขตพ้นื ทก่ี ารศกึ ษาเป็นประจำทุกปี

7. พัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพโดยพิจารณาจากรายงานผลการประเมินตนเอง (Self
Assessment Report : SAR) และตามคำแนะนำของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา หรือสำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้การประกันคุณภาพการศึกษาเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ
และพัฒนาต่อเน่อื ง

3.4 มาตรฐานการศึกษา
การพัฒนามาตรฐานการศึกษา มีแนวคิดว่าต้องเป็นมาตรฐานที่สถานศึกษาปฏิบัติได้จริง

ประเมินได้จริง กระชับและจำนวนน้อย แต่สามารถสะท้อนบริบทของสถานศึกษาและคุณภาพ
การศึกษาได้จริง ข้อมูลที่ได้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ระดับสถานศึกษา
ระดับเขตพื้นที่การศึกษา ระดับหน่วยงานต้นสังกัด และระดับชาติ ดังนั้น การกำหนดมาตรฐาน
การศึกษาจึงเน้นที่คุณภาพผู้เรียน คุณภาพผู้บริหารสถานศึกษา และคุณภาพครูมีความสอดคล้องกบั
มาตรฐานการศึกษาชาติ และข้อกำหนดในกฎกระทรวงการประกันคณุ ภาพการศกึ ษา พ.ศ. 2561

มาตรฐานการศึกษาในแต่ละระดับ กำหนดเกณฑ์การตัดสินคุณภาพของมาตรฐานมี 5
ระดับ คือ ระดับกำลังพัฒนา ระดับปานกลาง ระดับดี ระดับดีเลิศ และระดับยอดเยี่ยม รายละเอียด
ของมาตรฐานการศึกษาแต่ละระดับ ประเด็นพิจารณา และระดับคุณภาพ ซึ่งในที่นี้จะขอกล่าวถึง
เฉพาะมาตรฐานการศึกษาระดบั ปฐมวัย และมาตรฐานการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน โดยจำแนกได้ดงั นี้

1. มาตรฐานการศึกษา ระดับปฐมวยั พ.ศ. 2561 มจี ำนวน 3 มาตรฐาน ไดแ้ ก่
มาตรฐานท่ี 1 คุณภาพของเด็ก
มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ
มาตรฐานท่ี 3 การจดั ประสบการณท์ เี่ นน้ เดก็ เปน็ สำคญั

มรี ายละเอยี ดแต่ละมาตรฐาน มดี ังน้ี
มาตรฐานท่ี 1 คณุ ภาพของเดก็ รายละเอยี ดท่สี ำคัญ ดงั นี้
1.1 มีพัฒนาการดา้ นร่างกาย แขง็ แรง มีสขุ นสิ ัยทดี่ ี และดแู ลความปลอดภยั ของตนเองได้
เด็กมีน้ำหนัก ส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐาน เคลื่อนไหวร่างกายคล่องแคล่ว ทรงตัว

ได้ดี ใช้มือและตาประสานสัมพันธ์ได้ดี ดูแล รักษาสุขภาพอนามัยส่วนตนและปฏิบัติจนเป็นนิสัย

40

ปฏิบัตติ นตามขอ้ ตกลงเกย่ี วกับความปลอดภัย หลีกเล่ียงสภาวะท่เี ส่ยี งต่อโรค สง่ิ เสพติด และระวังภัย
จากบคุ คล สง่ิ แวดล้อม และสถานการณ์ท่ีเสี่ยงอนั ตราย

1.2 มีพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ควบคมุ และแสดงออกทางอารมณ์ได้
เดก็ ร่าเรงิ แจม่ ใส แสดงอารมณ์ความรู้สกึ ได้เหมาะสม รู้จกั ยบั ยง้ั ช่ังใจ อดทนในการ

รอคอย ยอมรับและพอใจในความสามารถและผลงานของตนเองและผู้อื่น มีจิตสำนึกและค่านิยมที่ดี
มีความมั่นใจ กล้าพูด กล้าแสดงออก ช่วยเหลือแบ่งปัน เคารพสิทธิ รู้หน้าที่รับผิดชอบอดทนอดกลน้ั
ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรมตามที่สถานศึกษากำหนด ชื่นชมและมีความสุขกับศิลปะ ดนตรี
และการเคล่อื นไหว

1.3 มีพฒั นาการด้านสังคม ช่วยเหลอื ตนเอง และเปน็ สมาชิกทด่ี ขี องสังคม
เด็กช่วยเหลือตนเองในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน มีวินัยในตนเอง ประหยัดและ

พอเพยี ง มีส่วนร่วมดูแลรักษาสง่ิ แวดล้อมในและนอกหอ้ งเรยี น มีมารยาทตามวัฒนธรรมไทย เช่น การ
ไหว้ การยิ้ม ทักทาย และมีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่ เป็นต้น ยอมรับหรือเคารพความแตกต่างระหว่าง
บุคคล เช่น ความคิด พฤติกรรม พื้นฐานครอบครัว เชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม เป็นต้น เล่นและ
ทำงานร่วมกบั ผูอ้ ่นื ได้ แก้ไขขอ้ ขดั แยง้ โดยปราศจากการใชค้ วามรนุ แรง

1.4 มีพัฒนาการด้านสตปิ ัญญา ส่อื สารได้ มีทกั ษะการคิดพ้ืนฐาน และแสวงหาความรู้ได้
เด็กสนทนาโต้ตอบและเล่าเรื่องให้ผู้อื่นเข้าใจ ตั้งคำถามในสิ่งที่ตนเองสนใจหรือ

สงสัย และพยายามค้นหาคำตอบ อ่านนิทานและเล่าเรื่องที่ตนเองอ่านได้เหมาะสมกับวัย มี
ความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ การคิดตาม
ความคิดและจินตนาการ เช่น งานศิลปะ การเคลื่อนไหวท่าทาง การเล่นอิสระ เป็นต้น และใช้สื่อ
เทคโนโลยี เช่น แว่นขยาย แม่เหล็ก กล้องดิจิตอล เป็นต้น เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และแสวงหา
ความรไู้ ด้

มาตรฐานที่ 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ
สถานศึกษาดำเนินการบริหารและจัดการสถานศึกษาที่ครอบคลุมด้านวิชาการ ด้านครู
และบุคลากรด้านข้อมูลสารสนเทศ ด้านสภาพแวดล้อมและสื่อเพือ่ การเรยี นรู้ และด้านระบบประกนั
คุณภาพภายใน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษามีการกำกบั ติดตาม
การดำเนินงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจต่อคุณภาพการจัดการศึกษาของ
สถานศกึ ษา
2.1 มีหลักสูตรครอบคลมุ พัฒนาการทัง้ 4 ดา้ น สอดคล้องกับบริบทของทอ้ งถิ่น

สถานศึกษามีหลักสตู รสถานศึกษาท่ียดื หยุ่น และสอดคล้องกับหลกั สูตรการศึกษา
ปฐมวัย โดยสถานศึกษาออกแบบการจัดประสบการณ์ที่เตรียมความพร้อมและไม่เร่งรัดวิชาการ เน้น

41

การเรียนรู้ผ่านการเล่นและการลงมือปฏิบตั ิ ตอบสนองความต้องการและความแตกต่างของเด็กปกติ
และกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และสอดคลอ้ งกับวิถีชีวิตของครอบครัว ชมุ ชนและทอ้ งถิน่

2.2 จัดครูให้เพียงพอกับชั้นเรยี น
สถานศึกษาจัดครูให้เหมาะสมกับภารกิจการเรียนการสอนหรือจัดครูที่จบ

การศึกษาปฐมวยั หรอื ผา่ นการอบรมการศกึ ษาปฐมวยั อยา่ งพอเพียงกับชั้นเรียน
2.3 สง่ เสริมใหค้ รูมคี วามเชีย่ วชาญดา้ นการจัดประสบการณ์
พัฒนาครูและบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์และออกแบบ

หลกั สตู รสถานศึกษา มที ักษะในการจดั ประสบการณ์และการประเมินพัฒนาการเด็ก ใชป้ ระสบการณ์
สำคัญในการออกแบบการจัดกิจกรรม มีการสังเกตและประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคล มี
ปฏสิ มั พนั ธท์ ่ีดีกับเด็ก และครอบครัว

2.4 จดั สภาพแวดล้อมและสอ่ื เพอ่ื การเรียนรู้ อยา่ งปลอดภัยและเพียงพอ
สถานศึกษาจัดสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกห้องเรียนที่คำนึงถึงความ

ปลอดภัย ส่งเสรมิ ให้เกิดการเรียนรู้เป็นรายบุคคลและกลุ่ม เลน่ แบบรว่ มมอื รว่ มใจ มีมุมประสบการณ์
หลากหลาย มีสื่อการเรียนรู้ เช่น ของเล่น หนังสือนิทาน สื่อจากธรรมชาติ สื่อสำหรับเด็กมุด ลอด ปีนป่าย
สื่อเทคโนโลยี สอ่ื เพื่อการสบื เสาะหาความรู้

2.5 ให้บริการสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศและสื่อการเรียนรู้เพื่อสนับสนุนการจัด
ประสบการณ์ สถานศึกษาอำนวยความสะดวก และให้บริการสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศวัสดุ และ
อปุ กรณ์ เพ่อื สนับสนนุ การจดั ประสบการณ์และพัฒนาครู

2.6 มีระบบบริหารคุณภาพที่เปิดโอกาสใหผ้ เู้ กี่ยวข้องทกุ ฝ่ายมสี ว่ นรว่ ม
สถานศึกษากำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน

การศึกษาปฐมวัย และอัตลักษณ์ที่สถานศึกษากำหนด จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษาท่ี
สอดรับกับมาตรฐานที่สถานศึกษากำหนดและดำเนินการตามแผน มีการประเมินผลและตรวจสอบ
คุณภาพภายในสถานศึกษา ติดตามผลการดำเนินงาน และจัดทำรายงานผลการประเมินตนเอง
ประจำปี นำผลการประเมินไปปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา โดยผู้ปกครองและผู้เกีย่ วข้อง
ทุกฝา่ ยมีสว่ นร่วมและจดั ส่งรายงานผลการประเมนิ ตนเองใหห้ นว่ ยงานตน้ สังกดั

มาตรฐานที่ 3 การจัดประสบการณ์ทีเ่ น้นเดก็ เปน็ สำคญั
ครูจัดประสบการณ์ให้เด็กมีพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุลเต็มศักยภาพ รู้จักเด็กเป็นรายบุคคล
และสร้างโอกาสให้เด็กทุกคนได้รับประสบการณ์ตรง เล่นและลงมือกระทำผ่านประสาทสัมผัส จัด
บรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ ใช้สื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับวัย มีการติดตามและประเมินผล
พัฒนาการเดก็ อยา่ งเป็นระบบ

42

3.1 จดั ประสบการณ์ทส่ี ่งเสรมิ ใหเ้ ดก็ มีพัฒนาการทกุ ดา้ นอย่างสมดลุ เตม็ ศกั ยภาพ
ครวู เิ คราะหข์ อ้ มูลเด็กเปน็ รายบุคคล จัดทำแผนการจดั ประสบการณ์ จากการวิเคราะห์

มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงคใ์ นหลักสูตรสถานศึกษา โดยมีกิจกรรมที่สง่ เสริมพัฒนาการเด็ก ครบทกุ
ดา้ น ท้ังด้านรา่ งกาย ด้านอารมณ์ จิตใจ ด้านสังคม และดา้ นสติปัญญา ไมม่ งุ่ เน้นการพัฒนาดา้ นใดด้านหนึ่ง
เพียงด้านเดยี ว

3.2 สรา้ งโอกาสให้เดก็ ได้รับประสบการณต์ รง เลน่ และปฏบิ ัตอิ ยา่ งมีความสุข
ครูจัดประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมให้เด็กมีโอกาสเลือกทำกิจกรรม

อย่างอิสระ ตามความต้องการ ความสนใจ ความสามารถ ตอบสนองต่อวธิ ีการเรียนรู้ของเดก็ เป็นรายบุคคล
หลากหลายรูปแบบจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย เด็กได้เลือกเล่นเรียนรู้ ลงมือ กระทำ และสร้างองค์
ความรดู้ ว้ ยตนเอง

3.3 จดั บรรยากาศท่เี อือ้ ตอ่ การเรยี นรู้ ใชส้ ื่อ และเทคโนโลยที ีเ่ หมาะสมกบั วยั
ครจู ัดห้องเรียนใหส้ ะอาด อากาศถา่ ยเท ปลอดภยั มีพน้ื ทแี่ สดงผลงานเดก็ พนื้ ท่สี ำหรับ

มุมประสบการณ์และการจัดกิจกรรมเด็กมีส่วนร่วมในการจัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียน เช่น ป้ายนิเทศ
การดูแลต้นไม้ ครูใช้สื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับช่วงอายุ ระยะความสนใจ และวิถีการเรียนรู้ของเด็ก
เชน่ กลอ้ งดจิ ิตอล คอมพิวเตอร์ สำหรับการเรยี นรูก้ ลุม่ ยอ่ ย ส่อื ของเลน่ ทก่ี ระต้นุ ให้คดิ และหาคำตอบ เปน็ ตน้

3.4 ประเมินพัฒนาการเด็กตามสภาพจรงิ และนำผลการประเมินพัฒนาการเด็กไปปรับปรุง
การจัดประสบการณแ์ ละพฒั นาเดก็

ครูประเมินพัฒนาการเด็กจากกิจกรรมและกิจวัตรประจำวันด้วยเครื่องมือและวิธีการท่ี
หลากหลาย ไมใ่ ช้แบบทดสอบวเิ คราะหผ์ ลการประเมนิ พฒั นาการเด็กโดยผู้ปกครองและผู้เก่ยี วขอ้ งมีส่วนร่วม
และนำผลการประเมินที่ไดไ้ ปพัฒนาคุณภาพเด็กและแลกเปล่ยี นเรียนรกู้ ารจดั ประสบการณ์ท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพ

2. มาตรฐานการศึกษา ระดับการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พ.ศ. 2561 มจี ำนวน 3 มาตรฐาน ได้แก่
มาตรฐานที่ 1 คุณภาพของผูเ้ รยี น
1.1 ผลสัมฤทธิท์ างวิชาการของผู้เรียน
1.2 คณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงคข์ องผูเ้ รียน
มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบริหารและการจัดการ
มาตรฐานที่ 3 กระบวนการจดั การเรียนการสอนทเ่ี น้นผ้เู รียนเป็นสำคญั

รายละเอียดแต่ละมาตรฐาน มดี ังนี้
มาตรฐานที่ 1 คณุ ภาพของผู้เรียน
ผลการเรียนรู้ที่เป็นคุณภาพของผู้เรียนทั้งด้านผลสัมฤทธิ์ทางวิชาการ ประกอบด้วย

ความสามารถในการอ่าน การเขียน การสื่อสาร การคิดคำนวณ การคิดประเภทต่าง ๆ การสร้าง
นวัตกรรม การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามหลักสูตร การมี

43

ความรู้ ทักษะพื้นฐานและเจตคติที่ดีต่อวิชาชีพ และด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่เป็นค่านิยมที่ดี
ตามที่สถานศึกษากำหนด ความภูมิใจในท้องถิ่นและความเป็นไทย การยอมรับที่จะอยู่ร่วมกันบน
ความแตกต่างและหลากหลาย รวมท้ังสขุ ภาวะทางรา่ งกายและจติ สงั คม

1.1 ผลสัมฤทธิ์ทางวชิ าการของผเู้ รยี น
1) มีความสามารถในการอา่ น การเขยี น การสือ่ สาร และการคิดคำนวณ
ผูเ้ รยี นมีทักษะในการอ่าน การเขียน การสื่อสาร และการคดิ คำนวณตามเกณฑ์

ทสี่ ถานศึกษากำหนดในแต่ละระดับชนั้
2) มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ อภิปรายแลกเปลี่ยน

ความคิดเหน็ และแก้ปญั หา
ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดจำแนกแยกแยะใคร่ครวญไตร่ตรอง พิจารณา

อย่างรอบคอบ โดยใช้เหตุผลประกอบการตัดสินใจ มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และ
แก้ปญั หาอยา่ งมเี หตุผล

3) มีความสามารถในการสร้างนวัตกรรม
ผู้เรียนมีความสามารถในการรวบรวมความรู้ได้ทั้งด้วยตัวเองและการทำงาน

เป็นทมี เชอ่ื มโยงองค์ความรู้ และประสบการณ์มาใชใ้ นการสรา้ งสรรคส์ งิ่ ใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิด
โครงการ โครงงาน ชิ้นงาน ผลผลิต

4) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร
ผู้เรียนมีความสามารถในใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อการ

พัฒนาตนเองและสงั คมในดา้ นการเรยี นรู้ การสือ่ สาร การทำงานอยา่ งสรา้ งสรรค์ และมคี ุณธรรม
5) มีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนตามหลักสูตรสถานศึกษา
ผู้เรียนบรรลุและมีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษาจาก

พื้นฐานเดิมในด้านความรู้ ความเข้าใจ ทักษะกระบวนการต่าง ๆ รวมทั้งมีความก้าวหน้าในผลการ
ทดสอบระดบั ชาตหิ รือผลการทดสอบอ่ืน ๆ

6) มีความรู้ ทักษะพ้ืนฐาน และเจตคตทิ ด่ี ตี ่องานอาชพี
ผู้เรียนมีความรู้ ทักษะพื้นฐานในการจัดการ เจตคติที่ดีพร้อมที่จะศึกษาต่อใน

ระดับข้นั ทีส่ ูงข้นึ การทำงานหรอื งานอาชีพ
1.2 คณุ ลักษณะที่พงึ ประสงค์ของผ้เู รียน
1) มคี ุณลักษณะและค่านิยมทดี่ ีตามท่ีสถานศกึ ษากำหนด
ผู้เรียนมีพฤติกรรมเป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรมเคารพในกฎกติกา มีค่านิยม

และจติ สำนกึ ตามท่ีสถานศึกษากำหนด โดยไม่ขดั กบั กฎหมายและวฒั นธรรมอนั ดขี องสงั คม

44

2) มคี วามภูมิใจในท้องถน่ิ และความเปน็ ไทย
ผู้เรียนมีความภูมิใจในท้องถิ่น เห็นคุณค่าของความเป็นไทย มีส่วนร่วมในการ

อนุรักษว์ ฒั นธรรมและประเพณีไทยรวมท้งั ภูมปิ ัญญาไทย
3) ยอมรบั ท่จี ะอยรู่ ว่ มกันบนความแตกตา่ งและหลากหลาย
ผู้เรียนยอมรับและอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้าน เพศ วัย เช้ือ

ชาติ ศาสนา ภาษาวัฒนธรรม ประเพณี
4) มสี ุขภาวะทางรา่ งกาย และจติ สงั คม
ผู้เรียนมีการรักษาสุขภาพกาย สุขภาพจิต อารมณ์และสังคม และแสดงออก

อย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นอย่างมีคุณภาพ เข้าใจผู้อื่น ไม่มีความขัดแย้ง
กบั ผูอ้ ืน่

มาตรฐานท่ี 2 กระบวนการบริหารและการจดั การ
เป็นการจัดระบบบริหารจัดการคุณภาพของสถานศึกษา มีการกำหนดเป้าหมาย
วิสัยทัศน์และพันธกิจอย่างชัดเจน สามารถดำเนินงานพัฒนาวิชาการที่เน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้าน
ตามหลักสูตรสถานศึกษาในทุกกลุ่มเป้าหมาย จัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการจัดการศกึ ษา ดำเนินการ
พัฒนาครูและบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ และจัดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือ
สนับสนุนการบริหารจัดการและการเรียนรู้รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพและสังคมที่เอื้อต่อ
การจดั การเรยี นรู้
2.1 มีเปา้ หมาย วสิ ยั ทศั น์ และพนั ธกิจทสี่ ถานศึกษากำหนดชัดเจน

สถานศึกษากำหนดเป้าหมาย วิสัยทัศน์ และพันธกิจไว้อย่างชัดเจน สอดคล้องกับ
บริบทของสถานศึกษา ความต้องการของชุมชน ท้องถิ่น วัตถุประสงค์ของแผนการศึกษาแห่งชาติ
นโยบายของรฐั บาลและของต้นสังกัด รวมทั้งทนั ต่อการเปล่ยี นแปลงของสังคม

2.2 มรี ะบบบริหารจดั การคณุ ภาพของสถานศกึ ษา
สถานศึกษาสามารถบริหารจัดการคุณภาพชองสถานศึกษาอย่างเป็นระบบ ทั้งใน

ส่วนการวางแผนพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา การนำแผนไปปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณภาพมีการ
ติดตามตรวจสอบประเมินผลและประเมินผล และปรับปรุงพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง มีการบริหาร
อัตรากำลัง ทรัพยากรทางการศึกษา และระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีระบบการนิเทศภายใน การ
นำข้อมูลมาใช้ในการพัฒนา บุคลากรและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีส่วนร่วมการวางแผน ปรับปรุง และ
พฒั นาและร่วมรับผิดชอบต่อผลการจัดการศึกษา

2.3 ดำเนินงานพัฒนาวิชาการที่เน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้านตามหลักสูตรสถานศึกษา
และทกุ กล่มุ เปา้ หมาย

45

สถานศึกษาบริหารจัดการเกี่ยวกับงานวิชาการ ทั้งด้านการพัฒนาหลักสูตร
กิจกรรมเสริมหลักสูตรที่เน้นคุณภาพผู้เรียนรอบด้านเชื่อมโยงวิถีชีวิตจริง และครอบค ลุมทุก
กลุ่มเป้าหมาย หมายรวมถึง การจัดการเรียนการสอนของกลุ่มที่เรียนแบบควบรวมหรือกลุ่มที่เรียน
รว่ มด้วย

2.4 พฒั นาครูและบคุ ลากรให้มคี วามเช่ียวชาญทางวชิ าชีพ
สถานศกึ ษาส่งเสริม สนับสนนุ พัฒนาครู บุคลากร ให้มคี วามเชี่ยวชาญทางวิชาชีพ

และจัดให้มชี ุมชนการเรียนรทู้ างวิชาชีพมาใช้ในการพฒั นางานและการเรียนรู้ของผเู้ รยี น
2.5 จัดสภาพแวดลอ้ มทางกายภายและสงั คมที่เอ้อื ต่อการจดั การเรียนรู้
สถานศึกษาจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน และ

สภาพแวดลอ้ มทางสังคม ทเ่ี อ้อื ต่อการจัดการเรยี นรู้ และมีความปลอดภยั
2.6 จัดระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการและการจัดการ

เรียนรู้
สถานศึกษาจัดระบบการจัดหา การพัฒนาและการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ

เพอื่ ใช้ในการบริหารจัดการและการจัดการเรียนรู้ทีเ่ หมาะสมกบั สภาพของสถานศึกษา
มาตรฐานท่ี 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ
เป็นกระบวนการจัดการเรียนการสอนตามมาตรฐานและตัวชี้วัดของหลักสูตร

สถานศึกษา สร้างโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัติจริง มีการ
บรหิ ารจดั การช้นั เรียนเชิงบวกสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดี ครรู ู้จักผูเ้ รยี นเป็นรายบุคคล ดำเนินการตรวจสอบ
และประเมินผู้เรียนอย่างเปน็ ระบบและนำผลมาพัฒนาผู้เรยี น รวมทงั้ รว่ มกันแลกเปล่ยี นเรยี นรูแ้ ละนำ
ผลทไ่ี ดม้ าใหข้ อ้ มูลป้อนกลบั เพือ่ พฒั นาและปรับปรงุ การจดั การเรียนรู้

3.1 จัดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดและปฏิบัตจิ ริง และสามารถนำไปประยกุ ต์ใช้ใน
การดำเนินชีวิต

จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามมาตรฐานการเรยี นรู้ ตัวชี้วัดของหลักสูตรสถานศึกษาท่ี
เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยผ่านกระบวนการคิด และปฏิบัติจริง มีแผนการจัดการเรียนรู้ที่สามารถ
นำไปจดั กจิ กรรมได้จริงมรี ูปแบบการจัดการเรียนรู้เฉพาะสำหรับผทู้ ่ีมีความจำเป็น และต้องการความ
ช่วยเหลือพิเศษ ผู้เรียนได้รับการฝึกทักษะแสดงออก แสดงความคิดเห็น สรุปองค์ความรู้ นำเสนอ
ผลงาน และสามารถนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นชีวิตได้

3.2 ใชส้ ือ่ เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรียนร้ทู เ่ี อ้ือต่อการเรยี นรู้
มีการใช้ส่ือ เทคโนโลยีสารสนเทศ และแหล่งเรียนรู้รวมทั้งภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้

ในการจดั การเรยี นรู้ โดยสรา้ งโอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองจากสอ่ื ทีห่ ลากหลาย
3.3 มีการบริหารจัดการช้นั เรยี นเชิงบวก

46

ครูผู้สอนมีการบริหารจัดการชั้นเรียน โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวก ให้เด็กรัก
ครู ครูรักเด็ก และเดก็ รักเด็ก เด็กรักทีจ่ ะเรียนรู้ สามารถเรยี นรรู้ ่วมกนั อย่างมีความสขุ

3.4 ตรวจสอบและประเมนิ ผ้เู รยี นอย่างเป็นระบบ และนำผลมาพฒั นาผเู้ รยี น
มีการตรวจสอบและประเมินคุณภาพการจัดการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน

โดยใช้เครื่องมือและวิธีการวัดและประเมินผลที่เหมาะสมกับเป้าหมายในการจัดการเรียนรู้ และให้
ขอ้ มลู ยอ้ นกลับแก่ผเู้ รยี นเพอ่ื นำไปใช้พฒั นาการเรยี นรู้

3.5 มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อปรบั ปรุงและพัฒนาการจดั การ
เรียนรู้

ครูและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์รวมทั้งให้
ข้อมูลปอ้ นกลบั เพื่อนำไปใช้ในการปรบั ปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู้

กล่าวโดยสรุป มาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษานั้น จะเป็นกรอบในการประเมินผลและ
การติดตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา โดยมีกลไกในการควบคุม ตรวจสอบ ระบบการบริหาร
คุณภาพการศึกษาที่สถานศึกษาจัดขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วน
เกี่ยวข้องและสาธารณชนว่าสถานศึกษานั้นสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ตามมาตรฐาน
การศึกษา

3.5 แนวทางการพัฒนาการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา
กฎกระทรวงศกึ ษาธกิ าร วา่ ดว้ ยการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ.2561 กำหนดนยิ ามของ
การประกันคุณภาพการศึกษา ไว้ในข้อ 2 ว่า การประกันคุณภาพการศึกษา หมายความว่า การ
ประเมินผลและการติดตามตรวจสอบ คุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาแต่ละระดับ
และประเภทการศึกษา โดยมีกลไกในการควบคุม ตรวจสอบระบบการบริหารคุณภาพการศึกษาที่
สถานศกึ ษาจัดขนึ้ เพือ่ ใหเ้ กดิ การพัฒนาและสร้างความเชอ่ื มนั่ ใหแ้ กผ่ มู้ สี ว่ นเกีย่ วข้องและสาธารณชน
ว่าสถานศึกษานั้นสามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีคุณภาพ ตามมาตรฐานการศึกษา และบรรลุ
เป้าประสงค์ของหน่วยงานต้นสงั กัดหรือหน่วยงานท่ีกำกับดูแล และได้กำหนดแนวทางในการประกนั
คุณภาพภายในสถานศึกษาไว้ในข้อ 3 ว่า ให้สถานศึกษาแต่ละแห่งจัดให้มีระบบการประกันคุณภาพ
การศึกษาภายในสถานศึกษา โดยการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาให้เป็นไปตาม
มาตรฐานการศึกษาแตล่ ะระดับและ ประเภทการศึกษาท่รี ัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศ
กำหนด พร้อมทั้งจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐาน
การศึกษาและดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ จัดให้มีการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพ

47

การศึกษาภายในสถานศึกษา ติดตามผลการดำเนินการ เพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตาม
มาตรฐานการศึกษา และจดั ส่งรายงานผลการประเมินตนเอง ให้แก่หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงาน
ที่กำกับดูแลสถานศึกษาเป็นประจำทุกปี เพื่อให้การดำเนินการประกันคุณภาพการศึกษาตามวรรค
หน่งึ เป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ ใหห้ นว่ ยงานตน้ สังกัดหรือหน่วยงานที่กำกับดูแลสถานศึกษามีหน้าท่ี
ในการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ และ แนะนำสถานศึกษา เพื่อให้การประกันคุณภาพการศึกษาของ
สถานศกึ ษาพัฒนาอยา่ งต่อเนอ่ื ง

ดังนั้นอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าแนวทางการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาสถานศึกษา
จะต้องดำเนินการ คือ 1) มีการกำหนดเปา้ หมายของสถานศกึ ษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา
แต่ละระดับ 2) จัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่มุ่งคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา 3)
ดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ 4) จัดให้มีการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายใน
สถานศกึ ษา ตดิ ตามผลการดำเนินการ และ 5) จัดสง่ รายงานผลการประเมนิ ตนเองให้แก่หนว่ ยงานต้น
สงั กัดหรอื หนว่ ยงานท่ีกำกบั ดูแลสถานศกึ ษาเป็นประจำทุกปี ท้งั นีส้ ำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาจะต้อง
เป็นผู้กำกับดูแลสถานศึกษามีหน้าที่ในการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือ และ แนะนำสถานศึกษา เพื่อให้
การประกันคุณภาพการศกึ ษาของสถานศึกษาพฒั นาอยา่ งต่อเนื่อง

4. การนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร

4.1 ความหมายของการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร
พระธรรมปิฎก (2541 : 24 - 27) กล่าวว่า กัลยาณมิตร หมายถึง หลักธรรมความเป็น
กัลยาณมิตรของพระพุทธศาสนา และวัฒนธรรมไทย ได้แก่ ความมีน้ำใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ช่วยเหลือ
เกื้อกูลแนะแนวทาง ที่ถูกต้องด้วยการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน โดยที่ครูแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ประสบการณ์ มงุ่ หวงั ความสำเร็จ คอื การพฒั นาการเรียนรู้ของนักเรยี นได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ ความเป็น
กัลยาณมิตรยังประกอบด้วย ความน่ารัก (ในฐานเป็นที่วางใจและสนิทสนม) ความน่าเคารพ (ในฐาน
ให้ความอบอุ่น เป็นที่พึงได้ และปลอดภัย) ความน่ายกย่อง (ในฐานที่ทรงคุณ คือ ความรู้ ภูมิปัญญา
แทจ้ ริง) ความรู้จกั พูด (คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือน เป็นทีป่ รกึ ษาทดี่ ี) อดทนตอ่ ถ้อยคำ (พร้อมที่รับ
ฟงั คำซกั ถามต่าง ๆ อยูเ่ สมอ ด้วยความอดทนไม่เบื่อ) กล่าวช้ีแจงแถลงเร่ืองต่าง ๆ ที่ลกึ ซึ้งได้ และไม่ชักจูง
ไปในทางที่เสื่อมเสีย
สุมน อมรวิวัฒน์ (2545 : 31) กล่าวว่า การนิเทศเป็นกระบวนการสร้างเสริมสมรรถภาพ
ของผู้บริหารและครู กระบวนการพัฒนาบุคลากรและเป็นการพัฒนาคุณภาพของการจัดการศึกษาทั้งใน
ระบบโรงเรียนและนอกระบบ วิวัฒนาการนิเทศการศึกษาของประไทยในช่วง 5 ทศวรรษ ได้ก้าวหน้า
จากการตรวจสอบและประเมินผลมาเป็นการดเนินงานหลายรูปแบบเพื่อเสริมสร้างคุณภาพวิชาชีพครู
การพัฒนาผู้บริหารการศึกษาให้สามารถจัดระบบและกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน การเชื่อมโยง

48

กิจกรรมการสอนกับปัจจัยต่าง ๆ ที่เกื้อหนุนให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและเกิดคุณภาพที่พึง
ประสงค์ในตัวผเู้ รียนไดเ้ สนอกระบวนการนเิ ทศภายในแบบกลั ยาณมติ ร

รมณธรณ์ นาเมอื ง (2558 : 8) กล่าวว่า กัลยาณมติ ร คือคุณสมบตั ขิ องการเป็นมิตรทดี่ ี มิตรแท้
ท่ีทำหน้าทตี่ ่อบุคคลอ่ืน ทำให้ผ้ทู ี่พบ คบหา หรอื เขา้ หาแล้วจะเกิดความดงี าม และความเจริญในชีวิต หรือ
หากเป็นครูท่ีเป็นกัลยาณมิตรกับนักเรียน จะคอยอบรมส่ังสอน แนะนำนักเรียนด้วยความรัก ความเมตตา
ปรารถนาดี มุ่งหวังให้นักเรียนได้เรียนรู้ และพัฒนาได้เต็มตามศักยภาพ ทั้งยังคอยเป็นที่ปรึกษา ให้ความ
ชว่ ยเหลือเม่อื นักเรยี นมีอปุ สรรค หรอื ปญั หาตา่ ง ๆ

พระมงคล เขมกาโม (2560 : 12) กล่าวว่า กัลยาณมิตร หมายถึง เพื่อนที่ดี เพื่อนที่งดงาม
เพื่อนท่ีนำความเจริญมาให้ เปน็ บุคคลที่มีคุณธรรม มศี ีล เป็นผู้กำจัดความช่วั ร้าย เป็นผู้ส่งเสริมประโยชน์
ความดี หรือคุณธรรมต่าง ๆ ที่บุคคลมีและแสดงออกต่อผู้อื่น เป็นผู้มีปัญญา มีความสามารถ มีความ
เออื้ เฟื้อชว่ ยเหลือ ทำให้เกดิ ความดี ใหเ้ กิดความรู้ความเจริญและความสุขแก่ผู้อืน่

กล่าวโดยสรปุ การนิเทศแบบกัลยาณมิตร เป็นการทำงานร่วมกันระหวา่ งคณะครู และผบู้ ริหาร
โรงเรียน โดยอาศัยหลักธรรมความเป็นกัลยาณมิตรของพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมไทย ได้แก่ ความมี
น้ำใจ ร่วมทุกข์ร่วมสุข ช่วยเหลือ เกื้อกูล แนะแนวทางที่ถูกต้องด้วยการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน โดย
ครแู ลกเปล่ียนเรียนรู้ประสบการณโ์ ดยมุ่งหวังความสำเร็จ คอื การพฒั นาการเรียนรู้ของนักเรียนได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ คุณภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่ได้ผลนั้น ต้องเริ่มต้นจากศรัทธาที่ครูมี
ความตั้งใจปรับปรุงวิธีการสอนของตน ผู้บริหารโรงเรียน และศึกษานิเทศก์เป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ช่วย
ส่งเสริมแนะนำวิธีการต่าง ๆ ด้านการเรียนการสอน ทั้งนี้หากได้แรงหนุนอีกด้านหนึ่ง คือ การแนะนำ
ช่วยเหลือ เปน็ แบบอย่าง ในรปู แบบกลั ยาณมติ รนเิ ทศ ก็จะชว่ ยใหค้ รูเห็นวธิ ีการข้ันตอนการสอนที่เป็นจริง
ชัดเจน สามารถนำประยุกต์ใชใ้ นช้ันเรยี นของตนได้เป็นอยา่ งดี

4.2 แนวคดิ ทฤษฎีเกีย่ วกับการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร
ความเป็นกัลยาณมิตรเป็นกุญแจทองที่จะไขประตูแห่งความเป็นมิตร ความอ่อนน้อมถ่อม
ตน ยังเป็นคุณสมบัติที่คนไทยทุกคนให้การต้อนรับ ความจริงใจ และความนุ่มนวลจะเป็นเครื่องหล่อ
ลื่นสัมพันธภาพให้เลื่อนไหลสอดคล้องกันไปสู่จุดหมายปลายทาง ความมีน้ำใจ เป็นหยดทิพย์ที่ทำให้
จิตใจ ชุ่มชื่นเบิกบาน และท้ายที่สุด การใช้คำพูดที่สุภาพ จริงใจและความสม่ำเสมอ จะเป็ นเครื่อง
ส่งเสรมิ ความรู้สึกที่ดีต่อกนั และพร้อมที่จะรว่ มมือ ร่วมใจขจดั ปัญหาต่าง ๆ และสร้างสรรค์ส่ิงที่ดีงาม
เพอ่ื ประโยชน์ของส่วนรวม มแี นวคดิ ทฤษฎสี ำคัญดังนี้
หลกั ธรรมความเป็นกลั ยาณมิตร 7 ประการ (รมณธรณ์ นาเมือง, 2558 : 8 – 9) ประกอบด้วย
1. ปิโย แปลว่า นา่ รกั หรือเป็นที่รกั เปน็ ลักษณะของผทู้ ่ีมคี วามเป็นมิตร มีนำ้ ใจปรารถนา
ดีต้องการใหผ้ อู้ ่ืนมีความสุข รู้สกึ เหน็ ใจเมื่อผู้อนื่ ไดร้ ับความทกุ ข์ ความเดือดรอ้ น ตอ้ งการช่วยเหลือให้

49

พ้นทกุ ข์ความเดือดร้อนน้นั และพลอยชืน่ ชมยนิ ดีเม่ือผู้อื่นประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้าท้ังยังคอย
ส่งเสรมิ สนับสนุนใหก้ ำลังใจ

2. ครุ แปลวา่ นา่ เคารพ ในฐานะประพฤตสิ มควรแก่ฐานะ เปน็ ลักษณะของผู้ท่ีมีความยึด
มั่นในหลักการ ยึดถือกฎระเบียบเป็นสำคัญ และคอยตักเตือนไม้ให้ผู้อื่นประพฤติไม่ถูกต้อง ฝ่าฝืน
กฎระเบียบโดยปราศจากอคติ หรือความลำเอียง ให้ความเป็นธรรมกับทุกคน ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้เกิด
ความอบอุ่นใจ เปน็ ทพี่ งึ ได้และปลอดภยั

3. ภาวนโี ย แปลว่า นา่ เจรญิ หรอื นา่ ยกย่องในฐานทรงคุณเปน็ ลักษณะของผูท้ ท่ี ำตัวเป็น
แบบอย่างที่ดีในด้านการพัฒนาตนเอง โดยเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นในการศึกษาค้นคว้าแสวงหา
ความรู้อยู่เสมอ มีความประพฤติเหมาะสม แต่งกายสุภาพเรียบร้อย ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเกิดความ
เช่ือถอื ความศรทั ธา พร้อมที่รบั ฟงั ใหค้ วามร่วมมอื และกล่าวถงึ ดว้ ยความซาบซง้ึ มัน่ ใจ ภูมิใจ

4. วัตตา จะ แปลว่า รู้จักพูดให้ได้ผล รู้จักชี้แจงให้เข้า รู้ว่าเมื่อไรควรพูดอะไร อย่างไร
คอยให้คำแนะนำว่ากล่าวตักเตือน เป็นที่ปรึกษาที่ดีด้วยการพูดให้เข้าใจ มองเห็นเหตุชัดเจน ทำให้
หมดความเคลือบแคลงสงสัย พร้อมทั้งเห็นคุณค่าและความสำคัญจนเกิดความซาบซึ้งยอมรับ อยาก
ลงมอื กระทำหรือนำไปปฏิบัติ ทงั้ ยงั เปน็ คำพดู ที่ทำใหผ้ ู้ฟงั เกิดความกระตือรือรน้ ทีจ่ ะทำให้สำเร็จ โดย
ไม่หวัน่ ต่อความยากลำบาก และเปน็ ไปด้วยบรรยากาศแหง่ ความเป็นมติ ร

5. วจนักขโม แปลว่า อดทนต่อถอ้ ยคำ คอื พร้อมทจี่ ะรบั ฟงั คำปรึกษา ปัญหาข้อเสนอแนะ
หรือ ข้อวิพากวิจารณ์ต่าง ๆ ด้วยความอดทน ไม่แสดงความเบื่อหน่าย ไม่แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว หรือ
โตแ้ ย้งดว้ ยอารมณ์รุนแรง

6. คัมภีรัญจะ กะถัง กัตตา แปลว่า แถลงเรื่องล้ำลึกได้ คือ สามารถอธิบายเรื่องต่าง ๆ
อย่างเป็นลำดับ เป็นขน้ั เป็นตอน พร้อมทั้งการเชื่อมโยงความสัมพันธใ์ หเ้ ข้าใจได้งา่ ยขนึ้

7. โน จัฎฐาเน นิโยชะเย แปลว่า ไม่ชักนำในอฐาน คือ เป็นลักษณะของผู้ที่ไม่แนะนำ
ชักชวนให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับอบายมุขต่าง ๆ หรือไม่ชักชวน หรือชี้นำให้ทำในเรื่องท่ีไม่เป็นประโยชน์
พร้อมทง้ั แนะนำในทางทดี่ ี ชใ้ี ห้เหน็ คุณคา่ เห็นประโยชน์ หรือโทษของสิง่ น้ัน ๆ ได้

จะเห็นได้ว่า กัลยาณมิตรธรรม 7 ประการนี้ มุ่งเน้นความปลอดโปร่งโล่งใจ ไม่บีบคั้นเน้นความ
มีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูล สร้างความเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง แนะแนวทางที่ถูกต้องด้วยการยอมรับนับถือซ่ึง
กนั และกนั

ความเชื่อในหลักการของกัลยาณมิตร เริ่มต้นที่ “ศรัทธา” แสดงความเอาใจใส่ เพื่อสร้างความ
ไว้วางใจสร้างความเชื่อมั่นในทางเสริมแรงกัน กัลยาณมิตรต้องให้ใจ ร่วมใจ ตั้งใจ เปิดใจ คือ ต้องสร้างจิต
อาสา มคี วามวิริยะอุตสาหะ บากบ่ัน พยายาม และเปิดใจ คือ ให้โรงเรียนประเมินตนเอง ทบทวนดูตนเอง
การประเมินตนเองเพื่อพัฒนามิใช่พิพากษา ซึ่งมีทฤษฎีท่ีพยายามสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกกลุ่มสามารถ
ทำงานร่วมกนั ได้ดี มีผูเ้ สนอทฤษฎที นี่ ่าสนใจ ดังนี้ (ชตุ ิกาญจน์ เบญจพรวฒั นา, 2547 : 23 - 24)

50

1. ทฤษฎีการทำงานรว่ มกัน ได้รับกาพัฒนาขึ้นมาโดย George Homans ทฤษฎีนี้อธิบาย เป็น
หลักสำคัญว่า การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มประกอบด้วยองค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญ 3 อย่าง คือ
1. กิจกรรม 2. การทำงานร่วมกัน และ 3. ความรสู้ ึก องคป์ ระกอบทั้งสามนี้จะเก่ียวกันโดยตรง กล่าวคือ
ถ้าบุคคลยิ่งมีส่วนร่วมในกิจกรรมมากเท่าไร การทำงานร่วมกันและความรู้ของพวกเขาจะมีมากขึ้นด้วย
บุคคลต่าง ๆ ภายในกล่มุ เกี่ยวพันกับบุคคลอ่ืนไม่เพียงแต่อยู่ใกลช้ ิดกันเท่าน้ัน พวกเขาต้องทำการตัดสินใจ
ติดต่อสื่อสาร ประสานงาน และประสบความสำเร็จในเป้าหมายอีกด้วยสมาชิกในกลุ่มหรือในองค์การท่ี
เกีย่ วกันกับลักษณะดงั กล่าว มแี นวโนม้ จะรวมกันเขา้ เป็นกลุ่มท่ีมีพลังสูงมาก

2. ทฤษฎตี าข่ายการปฏิบัติงาน ของ Grid of work Theory ผพู้ ัฒนาทฤษฎนี ี้ คือ Blake and
Mouton แหง่ มหาวิทยาลยั เทก็ ซสั ทฤษฎีนเ้ี ช่อื ว่า คนตอ้ งการจะทำงานให้ได้ผล ต้องการมสี ่วนรว่ มในงาน
ที่เขารับผิดชอบ และต้องการทำงานแบบการเข้ามามีส่วนร่วมด้วยการสร้างบรรยากาศขององค์การที่จะช่วย
ให้สนบั สนนุ ความคิดสร้างสรรค์ และเปดิ โอกาสให้แสดงความคิดเห็นในการทำงานอย่างจริงจัง

หลักการนิเทศของกัลยาณมติ ร ความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการด้านวิชาการในการปฏิรูปการเรยี นรู้
นั้น ทุกคนทุกฝ่าย นับเป็นองค์ประกอบสำคัญ การเป็นเพื่อนร่วมทางที่จะเดินไปดว้ ยกัน อย่างไว้ใจ และเช่ือ
ว่าจะชี้แนะช่วยเหลือซึ่งกัน และกันได้ให้ก้าวไปในทางที่ถูกต้องด้วยน้ำใจมิใช่อำนาจ คือ หนทางแห่ง
กัลยาณมิตร นกั วิชาการได้กลา่ วเกี่ยวกบั การนิเทศทคี่ ำนงึ ถงึ ฐานวฒั นธรรมไทย อย่างน่าสนใจดังนี้

1. ความเปน็ กัลยาณมิตร เป็นกุญแจทองทีจ่ ะไข หรือเปิดประตูไปสู่ความเป็นมิตรไมตรี
2. ความออ่ นน้อมถ่อมตนยังเป็นคุณสมบัตทิ ี่คนไทยทุกคนยอมรับและประสงค์ท่ีจะให้มี
3. ความจริงใจ เป็นเคร่อื งหลอ่ เล้ียงสมั พนั ธภาพระหว่างบุคคลให้เปน็ ไปอย่างยนื ยาว
4. ความมนี ้ำใจ เปน็ หยดน้ำทพิ ย์ที่ทำให้ผเู้ ก่ยี วข้องมจี ิตใจชมุ่ ช่ืนเบิกบานสราญใจ
5. การใชค้ ำพดู ทีส่ ภุ าพ จรงิ ใจสม่ำเสมอเปน็ เครื่องสง่ เสริมใหเ้ กิดความรสู้ ึกทด่ี ีต่อกันและกนั
กลา่ วโดยสรุป จากแนวคิด ทฤษฎี และหลักการนิเทศแบบกัลยาณมิตรดังกล่าวข้างต้น การเป็น
กัลยาณมิตร นอกจากการเป็นบุคคลที่มีหลักกัลยาณมิตรธรรมทั้ง 7 ประการแล้วนั้น ยังเป็นผู้ให้
คำแนะนำ ชักจูง สั่งสอนสิ่งที่ดีงามถูกต้อง สนับสนุนให้กำลังใจ และเป็นแบบอย่างที่ดีในการคิด และ
การแก้ปัญหา คนรอบข้างอยากเข้าใกล้ อยากขอคำแนะนำปรึกษา มีการเสริมสร้างในสิ่งที่ดี ๆ และ
หลีกเลี่ยงในความประพฤติ หรือพฤติกรรมที่ไม่ดี เป็นคนที่ไว้วางใจได้ น่าเชื่อถือ และเป็นที่พึงได้ รวมท้ัง
การแสดงออกอยา่ งน่ายกย่อง นา่ เอาอย่างชวนให้ปฏบิ ตั ิตาม

4.3 กระบวนการนิเทศแบบกลั ยาณมติ ร
การนิเทศแบบกัลยาณมิตร เป็นกระบวนการให้ความรู้ และการแก้ปัญหา โดยถือหลักการ
ร่วมคิดร่วมทำ และร่วมใจกันปฏิบัติงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ มิใช่การให้ความรู้ในแนวดิ่ง คือ
จากผู้ที่มีความรู้มากกว่า ไปสู่ผู้ที่มีความรู้น้อยกว่าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นกระบวนการแนวราบที่ทุก

51

ฝ่ายยอมรบั นับถือในความเดน่ และความดอ้ ยของกันและกัน มารว่ มคิด แลกเปลยี่ นประสบการณ์ เรยี นรู้
ซึ่งกันและกัน นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน เน้นกระบวนการสำคัญ 5 ประการมี ดังนี้ (สุมน
อรมววิ ัฒน,์ 2547, 7 - 10)

1. กัลยาณมิตรนิเทศเน้นการนิเทศคนไม่ใช่นิเทศกระดาษ ดังนั้นการนิเทศครูในโรงเรียนเป็น
การนิเทศคนไม่ใช่การนิเทศกระดาษและอุปกรณ์ เพราะฉะน้ันการนิเทศแบบกัลยาณมิตรจะเกิดข้ึนไม่ได้
ถ้าศึกษานิเทศก์ไม่สนใจครู สนใจนักเรียน หรือหาวิธีในการจัดเพื่อใหศ้ ึกษานิเทศก์พบกับครคู ุยกับครใู น
ลกั ษณะทไี่ มเ่ ป็นทางการและเปน็ ทางการ

2. กัลยาณมิตรนิเทศเน้นกระบวนการ “ให้ใจ” และ “ร่วมใจ” หน้าที่ของศึกษานิเทศก์ คือ
ทำอย่างไรจะให้ครูมีใจ เพราะฉะนั้นสิ่งแรก คือ ทำอย่างไรจึงจะได้ครูในโรงเรียนทำงานสำเร็จ ซึ่งเป็น
ความสำเรจ็ จากการร่วมใจของทุกคน

3. กัลยาณมิตรเริ่มต้นที่ “ศรัทธา” แสดงความเอาใจ สร้างความไว้วางใจ สร้างความเชื่อมั่น
ในทางเสรมิ แรงกนั

4. กระบวนการกัลยาณมติ รนิเทศเน้นการสร้างสังคมการเรียนรู้ให้ความรู้ ความสะดวกในการ
คน้ หาความรู้ขา่ วสารจากแหล่งต่าง ๆ

5. กระบวนการกลั ยาณมิตรนเิ ทศมาจากฐานปัญญาธรรม ฐานเมตตาธรรม และฐานความเป็น
จริงในชีวติ ถา้ ขาดฐานหนึ่งฐานใดไปกัลยาณมิตรย่อมไมเ่ กิด

รปู แบบกลั ยาณมิตร (สมุ น อมรวิวัฒน์, 2547 : 11 - 14)
1. ใหใ้ จ การปฐมนิเทศสร้างความเขา้ ใจร่วมกัน
2. ร่วมใจ การร่วมคดิ ร่วมทำงาน แลกเปลี่ยนเรียนร้ซู งึ่ กนั และกนั
3. ตง้ั ใจ เปน็ การรว่ มกนั สรา้ งสรรค์คณุ ภาพในการทำงาน

3.1 มุ่งมน่ั สเู่ ป้าหมายร่วมกัน
3.2 ช่วยกนั แกป้ ัญหา
3.3 ถอื ว่าผลงาน คือ คุณภาพของผู้เรียน
4. เปดิ ใจ เปน็ การวดั และประเมนิ ตนเอง ประเมินผลงาน
4.1 ประเมินผลการพัฒนาการอยา่ งเที่ยงตรง
4.2 ปราศจากอคติ
และรูปแบบการนิเทศภายในแบบกัลยาณมิตร เป็นการชี้แนะและช่วยเหลือด้านการเรียนการ
สอนในกลุ่มเพื่อนครูดว้ ยกนั มหี ลกั การนเิ ทศที่เน้นประเด็นสำคัญ 4 ประการ คอื
1. การสรา้ งศรัทธา เพอ่ื ให้เพอื่ นครูยอมรบั และเกิดความสนใจใฝร่ ทู้ ี่จะปรบั ปรงุ การสอน
2. การสาธิตรูปแบบการสอน เพื่อแสดงให้ประจักษ์ว่า การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนั้นได้
ทำจรงิ และสามารถนำรูปแบบไประยุกต์ใช้ในชัน้ เรียนได้

52

3. การร่วมคิดแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ครูต่างมีประสบการณ์ในการสอนแตกต่างกัน สมควรที่จะได้
พบปะกนั อย่างสม่ำเสมอ ร่วมคิดแก้ปัญหาและแลกเปล่ียนซึ่งกนั และกัน

4. การติดตามประเมินผลตลอดกระบวนการ ครูบันทึกนิเทศอย่างสม่ำเสมอ สังเกตและรับฟัง
ข้อมลู ป้อนกลบั ศึกษาปญั หาและแนวทางแก้ไข เพอ่ื สร้างสงั คมแห่งการเรียนรู้ขน้ึ ใหมแ่ ละต่อเนื่องสืบไป

สรุปโดยภาพรวม การนเิ ทศสามารถบูรณาการไดห้ ลากหลายวิธี ดังนั้น การดำเนินการนิเทศควร
เลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดที่สอดคล้องกับปัญหา บริบท ความจำเป็น สถานการณ์ และความพร้อมของ
โรงเรียน เพราะการนิเทศภายในโรงเรียนท่มี ีประสิทธิภาพ เปน็ ส่วนหน่ึงท่ีช่วยพัฒนาการปฏิบัติงานของครู
และการจัดการศึกษาของโรงเรียนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะกระบวนการนิเทศแบบ
กัลยาณมิตร ทเ่ี ร่ิมต้นดว้ ยความศรัทธาระหว่างผู้นเิ ทศ และผู้รับการนิเทศ ด้วยการให้ใจ ร่วมใจ ตัง้ ใจ และ
เปิดใจ ผสมผสานกับการใช้เทคนิคกระบวนการนิเทศแบบต่าง ๆ ด้วยกระบวนการ 3 ขั้นตอน 4 ขั้นงาน
เด่นด้วย 4 จ. ท่ีร่วมคิดร่วมทำ ร่วมใจกันปฏิบัติงาน ทั้งแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรียนรู้ซึ่งกันและกัน
เน้นการสร้างสังคมการเรียนรู้ให้ความรู้ ซึ่งเป็นรูปแบบที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ที่นำไปสู่การปฏิบัติให้
ประสบผลสำเรจ็ สง่ ผลให้ การนเิ ทศภายในโรงเรียนได้อย่างมีคุณภาพ โดยสรปุ ไดด้ งั แผนภาพต่อไปน้ี

4.4 การนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วย
กระบวนการนิเทศแบบกลั ยาณมิตร

จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี วิธีการ รูปแบบการนิเทศ ตลอดจนเอกสารงานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับกระบวนการนิเทศการศึกษา และการนิเทศภายในโรงเรียน ผู้รายงานได้นำมาเป็นกรอบการพัฒนา
และประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานการนิเทศภายในโรงเรียนของโรงเรียน ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศกึ ษาประถมศึกษาภเู ก็ต ตามกระบวนการนิเทศแบบกลั ยาณมิตร ด้วยกระบวนการ 3 ขนั้ ตอน 4
ขั้นงาน สู่การปฏิบัติอย่างเหมาะสม ทั้งคุณภาพครู คุณภาพการเรียน คุณภาพผู้เรียน สู่คุณภาพ
การศกึ ษาด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตรอยา่ งเป็นรปู ธรรม และยั่งยนื ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 คือ ข้ันก่อนดำเนินการนิเทศ ประกอบ 2 ขั้นงาน คือ
ข้ันงานท่ี 1 คิดงาน
ข้ันงานท่ี 2 ทำงาน

ขั้นตอนท่ี 2 คือ ขั้นการดำเนินการนิเทศ ประกอบ 1 ข้ันงาน คือ
ข้ันงานท่ี 3 ติดตามงาน

ขั้นตอนท่ี 3 คือ ข้ันหลังการดำเนินการนิเทศ ประกอบ 1 ข้ันงาน คือ
ขั้นงานที่ 4 สรุปงาน

อนึ่งกรอบแนวคิดกระบวนการนิเทศภายในโรงเรียนแบบกัลยาณมิตร ด้วยกระบวนการ 3
ขน้ั ตอน 4 ข้ันงาน สามารถสรปุ เป็นแผนภาพ ดงั นี้

53

เทคนคิ การนเิ ทศ องค์ประกอบ กระบวนการการนิเทศ
ของการนเิ ทศ แบบกลั ยาณมิตร
การเย่ยี มชนั้ เรยี น แบบกลั ยาณมติ ร
การให้คำปรกึ ษา กระบวนการนิเทศแบบกลั ยาณมติ ร 3 ข้นั ตอน 4 ข้ัน
การสนทนาทางวิชาการ ใหใ้ จ งาน เด่นด้วย 4 จ. สู่การปฏิบัติอย่างเหมาะสม ทั้ง
การศกึ ษาดูงาน ร่วมใจ คุณภาพผู้เรียน คุณภาพการบริหาร คุณภาพการ
การศึกษาเอกสารทางวิชาการ ตง้ั ใจ จัดการเรียนการสอนของครู สู่คุณภาพการนิเทศ
การสาธิตการสอน เปิดใจ ภายในโรงเรยี น ดงั น้ี
การนเิ ทศแบบคลินิก ข้ันตอนที่ 1 คอื ขนั้ ก่อนดำเนินการนิเทศ
การประชมุ กอ่ นเปดิ ภาคเรยี น
การสังเกตการสอนในชน้ั เรยี น มี 2 ข้ันงาน คอื
การประชมุ สัมมนา ขน้ั งานท่ี 1 คดิ งาน
เทคนคิ การทบทวนผลการปฏบิ ัติงาน ขน้ั งานที่ 2 ทำงาน
การศึกษาช้นั เรยี น ขั้นตอนท่ี 2 คอื ขน้ั ดำเนินการนเิ ทศ
การประชุมนิเทศ มี 1 ขน้ั งาน คอื
การนิเทศแบบช้ีแนะ ขัน้ งานที่ 3 ติดตามงาน
การนิเทศแบบพเี่ ลยี้ งและให้คำปรึกษา เด่นด้วย 4 จ.
การนิเทศแบบพัฒนาการ คอื 1. ใหใ้ จ : สรา้ งความเปน็ มติ ร
การนิเทศแบบสรา้ งชมุ ชนแห่งการเรยี นรู้ การปฐมนิเทศสร้างความขา้ ใจรว่ มกัน และสร้าง
ทางวชิ าชพี ความตระหนกั
การนิเทศบนพ้นื ฐานการวิจัย 2. ร่วมใจ : รว่ มคิดวางแผน
การร่วมคิด ร่วมทำงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกัน
และกัน
3. ต้ังใจ : กระบวนการเนน้
เป็นการร่วมกันสร้างสรรค์คุณภาพในการทำงาน
จนมคี ณุ ภาพสกู่ ารนำไปใช้
4. เปิดใจ : นเิ ทศศรทั ธา
ประเมนิ ความสำเรจ็
ขน้ั ตอนที่ 3 คือ ขั้นหลังดำเนินการนเิ ทศ
มี 1 ขนั้ งาน
ข้ันงานท่ี 4 สรุปงาน

คณุ ภาพการนเิ ทศภายในโรงเรียน
3 มาตรฐาน14 ประเดน็ พิจารณาปฐมวยั 21 ประเดน็ พจิ ารณาขนั้ พ้ืนฐาน

แผนภาพที่ 2 แสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเทคนิคการนิเทศแบบต่าง ๆ กบั กระบวนการนเิ ทศ
แบบกัลยาณมติ รด้วยกระบวนการ 3 ข้ันตอน 4 ขั้นงาน เด่นด้วย 4 จ. สู่คุณภาพ
การนิเทศภายในโรงเรียน

54

5. งานวิจัยท่ีเกี่ยวข้อง

5.1 งานวจิ ัยในประเทศ
พัชรินทร์ ช่วยศิริ (2554) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การศึกษาการดำเนินงานนิเทศภายในของ
โรงเรยี นวัดประดู่ฉิมพลี ผลการวิจยั พบวา่

1. การดำเนินงานนิเทศภายในของโรงเรียนวัดประดู่ฉิมพลี ใน 5 ด้าน มกี ารดำเนินการ
ดังนี้ 1) ด้านการให้ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง มีการส่งเสริมให้ครูมีความรู้ และให้การสนับสนุน
เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ และวิธีการจัดการเรียนการสอน 2) ด้านการพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่มมีการ
พัฒนาให้ครูมีทักษะการทำงานกลุ่ม เข้าใจบทบาทของตน รับผิดชอบหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตาม
โครงการสร้างการบริหารงาน 3) ด้านการพัฒนาทางวิชาชีพครู มีการอบรมครูเพื่อพัฒนาทางวิชาชีพท้ัง
ด้านเทคนิคการสอน และการส่งเสริมให้มีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพ 4) ด้านการพัฒนาหลักสูตร ได้ให้ครูมี
ส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดยผบู้ ริหารสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ และจัดการประชุม อบรม
ติดตาม และประเมินหลักสูตร 5) ด้านการวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารในชั้นเรยี นมีการดำเนินการให้ครูนำการวิจยั
ปฏบิ ตั ิการในชนั้ เรียนไปใชใ้ นการจดั กระบวนการเรยี นรู้

2. ปัญหา และข้อเสนอแนะในการดำเนินการนิเทศภายใน 5 ด้าน ดังนี้ 1) ด้านการให้
ความช่วยเหลือแก่ครูโดยตรง ขาดคนที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในด้านการนิเทศ ภาระ
งานของผู้นิเทศมีมาก ขาดความต่อเนื่องในการดำเนินการนิเทศ ควรให้การอบรมกับผู้ที่จะต้องทำหน้าที่
นเิ ทศ จดั ประชมุ เพ่ือติดตามผลการนิเทศ 2) ด้านการพฒั นาทักษะการทำงานกลุ่ม มีความแตกต่างกันทาง
ความคิดของครู ครูมีภาระงานมาก ควรลดภาระงานของครู ควรส่งเสริมให้ครูยอมรับฟังความคิดเห็นของ
คนส่วนใหญ่ 3) ด้านการพัฒนาวิชาชีพ ขาดกิจกรรมพัฒนาวิชาชีพที่มีความหลากหลาย และไม่ตรงกับ
ความต้องการ ควรจัดกิจกรรมพัฒนาวิชาชีพที่หลากหลาย และควรส่งเสริมทักษะการเขียนเชิงวิชาการ
ให้กับครู 4) ด้านการพัฒนาหลักสูตร ขาดความรู้ และประสบการณ์ของครูในการจัดทำหลักสูตรใหม่
บุคลากรในบางกลุ่มสาระขาดแคลน ควรจัดอบรม และให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตรแก่ครู
และจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสม และ 5) ด้านการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ขาดความรู้ด้านเทคนิค
การวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชั้นเรยี นของครู ควรใหค้ วามรู้ และคำแนะนำในการจดั ทำวิจัยท่ีถูกต้องแก่ครู

สิริกร ประสพสุข (2555) ได้ทำการวิจัย เร่ือง การพฒั นาคู่มือการจัดการเรียนการสอนสาระการ
เรียนรู้เพิ่มเติม ภาษาอังกฤษ สำหรับครูมัธยมศึกษาตอนต้นสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศกึ ษาอุบลราชธานี เขต 5 ผลการวิจยั พบวา่

1. คู่มือการจัดการเรียนการสอนสารุการเรียนรู้เพิ่มเติม ภาษาอังกฤษ สำหรับครู
มธั ยมศกึ ษาตอนต้นสังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ประกอบด้วย คำ
ชี้แจง การใช้คู่มือ แบบทดสอบก่อนเรียน แนวทางการจัดการเรียนการสอนสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม
ภาษาอังกฤษ แนวการสอนภาษเพ่ือการส่ือสาร การจัดการเรียนการสอนที่เน้นเนื้อหา การเยนรูท้ ่ีเนน้ ภาระ

55

งานตวั อย่างแผนการจัดการเรียนการสอน สรปุ แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนสาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม
ภาษาองั กฤษ และแบบทดสอบหลงั เรยี น

2. คู่มอื ทีพ่ ัฒนาข้ึนมีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 คอื ประสิทธภิ าพ 88.00/88.11
3. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังศึกษาคู่มือมีความแตกต่างกันอย่างมี
นยั สำคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01 โดยคะแนน วดั ความรหู้ ลังการศึกษาค่มู ือมากกว่าก่อนศึกษาคู่มือ
ศศิธร บัวทอง (2556 ) ไดด้ ำเนนิ การพัฒนารูปแบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาระดับ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนา
รูปแบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนระดับการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ 1) การสร้างรูปแบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษาระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยการศึกษา วิเคราะห์
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องและศึกษาสภาพการปฏิบัติการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่ายประกันคุณภาพ และหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ จำนวน 37 แหง่ แหง่ ละ 10 คน รวมทัง้ หมด 370 คน ซงึ่ ไดจ้ ากการสุ่มแบบแบ่งช้ัน (Stratified
Random Sampling) โดยใช้ขนาดโรงเรียนเป็นชั้นในการสุ่ม แบ่งเป็นใช้เทคนิคการสนทนากลุ่ม (Focus
Group Interview) จำนวน 4 แห่ง และใช้แบบสอบถามจำนวน 33 แห่ง 2) การศึกษาประสิทธิภาพของ
รูปแบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนระดับการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน โดยทดลองใช้ในโรงเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1 แห่ง เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการใช้
รูปแบบใน 4 มิติ ได้แก่ ความเป็นไปได้ ความเหมาะสม ความเป็นประโยชน์ และความถูกต้อง และ 3)
ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการประกันคุณภาพในสถานศึกษาระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียน
ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจากผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานของประกันคุณภาพในสถานศึกษาของต้น
สังกัดในรายงานการประเมินตนเอง (SAR) ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ผลการวิจัย
พบว่า 1) รูปแบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนระดับ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน มีลักษณะการขับเคลื่อนโดยประยุกต์ใช้วงจร PDCA แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ การ
เตรียมการ การดำเนินการ และการรายงานในแต่ละขั้นตอนมีแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องต่อเนื่อง
ในแตล่ ะรอบปี 2) ผลการศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษาระดับกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ของโรงเรยี นระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พบว่า มคี วามเป็นไปได้ ความเหมาะสม ความเป็น
ประโยชน์และความถูกต้องอยู่ในระดับมาก 3) ผลการศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการประกันคุณภาพ
ภายในสถานศึกษาระดับกลุ่มสาระการเรียนรู้ของโรงเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่าทุกกลุ่มสาระ
การเรียนรู้มีผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานของการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของต้นสังกัดสูง
กวา่ เป้าหมายท่ีวางไว้

56

วีระศักดิ์ ลันสี (2557) ศึกษา “การพัฒนารูปแบบการประเมินคุณภาพภายในของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน” มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการประเมินคุณภาพภายในของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 2) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษา
ขั้นพื้นฐาน และ 3) เพื่อประเมินรูปแบบการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ผลการวจิ ัยพบวา่

1) ผลการพัฒนารูปแบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
ประกอบด้วยโครงสร้างที่สัมพันธ์กัน 4 องค์ประกอบ คือ 1. เป้าหมายของการประเมิน 2. สิ่งที่มุ่ง
ประเมนิ ได้แก่ ด้านคุณภาพผู้เรียน ดา้ นการจัดการศึกษา ด้านการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ ด้านอัต
ลักษณ์ของสถานศึกษา และด้านมาตรการส่งเสริม 3. เกณฑ์การตัดสินผลการประเมินมี 5 ระดับ คือ
ดีเยยี่ ม ดีมาก ดี พอใช้ และปรับปรุง และ 4. วิธกี ารประเมิน ประกอบดว้ ย ผูเ้ ก่ยี วข้องกบั การประเมิน
และการประเมนิ ตามรปู แบบเสริมพลงั

2) ผลการทดลองรูปแบบการประเมินคุณภาพภายในของสถานศึกษาข้ัน
พื้นฐานทั้ง 4 องค์ประกอบ ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพตามเกณฑ์คุณภาพ ทั้งด้านการใช้ประโยชน์ ความ
เปน็ ไปได้ ความเหมาะสม และความถกู ตอ้ ง ในระดบั มากทสี่ ดุ

3) ผลการประเมินคุณภาพของรูปแบบการประกันคุณภาพภายในของ
สถานศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน ทงั้ 4 องคป์ ระกอบ มีคณุ ภาพอยใู่ นระดับมากท่ีสดุ

มะลิวัน สมศรี และคณะ (2558) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การพัฒนาคู่มือพัฒนาสมรรถนะทาง
วิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 2
ผลการวิจัย พบวา่

1. องค์ประกอบสรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษาประกอบด้วย 4
องคป์ ระกอบหลัก ดงั นี้ 1) การบริหารหลกั สูตร และการจัดการเรยี นรู้ 2) การพฒั นาผเู้ รียน 3) การบริหาร
จัดการชั้นเรียน 4) การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน และ 15 องค์ประกอบย่อย
ประกอบด้วย 1) การสร้าง และพฒั นาหลักสูตร 2) ความรูค้ วามสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ 3) การ
จัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 4) การใช้ และพัฒนาสื่อนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการจัดการเรียนรู้
5) การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ 6) การปลกู ฝังคุณธรรม จริยธรรมให้แกผ่ ู้เรียน 7) การพัฒนาทักษะ
ชีวิต และสุขภาพ และสุขภาพจิตผู้เรียน 8) การปลูกฝังความเป็นประชาธิปไตย ความภูมิใจในความเป็น
ไทยให้กับผู้เรียน 9) การจดั ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 10) จัดบรรยากาศทีส่ ่งเสริมการเรียนรู้ ความสุข
และความปลอดภัยของผู้เรียน 11) จัดทำข้อมูลสารสนเทศ และเอกสารประจำชั้นเรียน/ประจำวิชา 12)
กำกับดูแลชั้นเรียนรายชั้น/รายวิชา 13) การวิเคราะห์ 14) การสังเคราะห์ 15) การวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน
พบว่า ระดับความคิดเห็นต่อองค์ประกอบของสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา จากการ

57

สังเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 6 คน มีระดับความคิดเห็นต่อองค์ประกอบของสมรรถนะทางวิชาการของ
ครูผสู้ อนในสถานศึกษา เป็นไปในทิศทางเดียวกนั และสอดคล้องกัน อยู่ในระดับ มากทีส่ ดุ

2. การศึกษาสภาพปัจจุบัน และความต้องการพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของ
ครูผู้สอนในสถานศึกษา พบว่า สภาพปัจจุบันโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า
ดา้ นทม่ี กี ารปฏิบัติมากเป็นอันดับหน่ึง คอื ด้านการพัฒนาผู้เรียน รองลงมา คอื ดา้ นการบริหารจัดการชั้น
เรียน ด้านการสร้าง และพัฒนาหลักสูตร และด้านทีมีการปฏิบัติน้อยที่สุด คือ ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนา
ผู้เรียน ส่วนด้านความต้องการ พบว่า ความต้องการพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนใน
สถานศึกษา โดยรวมอยู่ระดับ มากที่สุด เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านที่ครูผู้สอนมีความต้องการ
พัฒนามากเป็นอันดับหนึ่ง คือ ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาผู้เรียน รองลงมา คือ ด้านการบริหารจัดการชั้น
เรียน และด้านการสรา้ ง และพัฒนาหลักสตู ร และดา้ นที่ครูผ้สู อนมีความต้องการพัฒนาน้อยทสี่ ุด คือ ดา้ น
การพฒั นาผู้เรียน

3. การสรา้ งคู่มือพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษาประกอบด้วย
วิสัยทัศน์ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กระบวนการของคู่มือพัฒนาการประเมินประสิทธิภาพ และ
ประสิทธิผลของโปรแกรม โดยกระบวนการของคู่มือพัฒนา พบว่า คู่มือพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของ
ครูผู้สอนในสถานศึกษาที่สร้างขึ้น โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ส่วนผลการทดลองใช้คู่มือกับ
กลุ่มเป้าหมาย พบว่า คู่มือพัฒนานี้มีประสิทธิภาพ 92.21/90.00 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 และ
ประสิทธิผลของคู่มือพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนในสถานศึกษา หลังใช้คู่มือพัฒนาสูงกว่า
ก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และเมื่อประเมินความพึงพอใจของครูที่มีต่อคู่มือพัฒนา
สมรรถนะทางวิชาการของครผู สู้ อนในสถานศึกษา พบวา่ โดยรวมมคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั มากทสี่ ุด

4. ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อคู่มือพัฒนาสมรรถนะทางวิชาการของครูผู้สอนใน
สถานศึกษา จากการนำเสนอต่อผู้อำนวยการสถานศึกษา และครูวิชาการกลุ่มเครือข่ายของกลุ่มเครือข่าย
โรงเรียน มีความเห็นว่า คู่มือมีความเหมาะสม และมีประโยชน์ในการนำไปใช้ในการพัฒนาบุคลากรทาง
การศึกษาในสถานศึกษาทั้งกลุ่มใหญ่ และสามารถศึกษาพัฒนาด้วยตนเองได้อยู่ในระดับ มากที่สุด
ในทุกข้อ

วาสนา คำห้วยหาญ (2558) ศึกษาแนวทางการดำเนินการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 การวิจัยครั้งนี้ มี
วตั ถปุ ระสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา และเพ่ือหาแนวทางในการ
ดำเนินการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 36 ประชากรท่ีเกี่ยวข้องในการศึกษา คอื โรงเรียนในระดับมธั ยมศึกษาในสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 จังหวัดเชียงราย จำนวน 41 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ
ผู้บริหารสถานศึกษาและคณะกรรมการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และกลุ่ม

58

ตัวอย่างที่เกี่ยวข้องในการศึกษา คือ โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 36 จังหวัดเชียงราย โดยโรงเรียนดังกล่าวมีผลการประเมินคุณภาพภายใน อยู่ในระดับดี
มากจำนวน 2 โรงเรียน และระดับดี จำนวน 6 โรงเรียน ผู้ให้ข้อมูล คือ ผู้บริหารสถานศึกษา และ
คณะกรรมการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น
แบบสอบถามชนิดมาตราสว่ นประมาณค่าตามแบบของ ลเิ คริ ท์ (Likerts Rating Scale) และแบบสอบถาม
ปลายเปิด (Open Ended) วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการดำเนินการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ของโรงเรียนระดับ
มธั ยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 36 โดยภาพรวม มกี ารดำเนินการอยู่ใน
ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการกำหนดมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษา อยู่ใน
ลำดับมากที่สุด รองลงมา คือ ด้านการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษาที่มุ่งคุณภาพ
ตามมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาและการจัดระบบบริหารและสารสนเทศ 2) แนวทางการ
ดำเนินการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ของโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่
การศกึ ษามัธยมศึกษา เขต 38 สถานศกึ ษาควรมีการศึกษามาตรฐาน และตัวชี้วดั ตา่ ง ๆ ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง จัดทำ
โครงสร้างการบริหารจัดการให้เอ้ือต่อการดำเนนิ งาน แตง่ ตั้งคณะกรรมการดำเนินงานและกำหนดบทบาท
หน้าที่ในงานแต่ละด้านอย่างขัดเจน มีการกระจายอำนาจการบริหาร ทุกคนมีส่วนร่วมและมีการ
ประชาสัมพันธ์กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาที่สอดรับกับบริบทของ
สถานศึกษา มีการวางแผนการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาของสถานศึกษา มีการ
ดำเนินงานตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดในแผนปฏิบัติการ จัดให้มีนิเทศ ติดตามการดำเนินงาน
ติดตามประเมินผลการดำเนินงาน โดยการจัดให้มีการจัดทำรายงานประจำปีที่เป็นรายงานประเมิน
คุณภาพภายในเพื่อพฒั นาสถานศึกษา ภายใต้กระบวนการ PDCA

วชั รศักดิ์ สงค์ปาน (2558) ศึกษาการพัฒนารูปแบบการบริหารโรงเรียนเพื่อบรรลุผลการประกัน
คุณภาพภายในของโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคใตฝ้ ั่งอันดามัน พบวา่ โรงเรียนควรมีการยืดหยุ่นในการบริหาร
โรงเรียนให้สอดคล้องและเหมาะสมกับระบบ CIPOO คือ บริบทของโรงเรียน ปัจจัยนำเข้ากระบวนการ
บริหาร ผลผลิตและผลลัพธ์ โดยการเกลี่ยกระจายความพร้อมในการดำเนินงาน เฉลี่ยไปให้ตรงตามระดับ
ของปัญหา อุปสรรค และความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องคำนึงถึง นโยบายการจัดการศึกษาของ
โรงเรยี น การมีสว่ นร่วมของชุมชนและการใช้กลยุทธ์ในการจัดการศึกษา คอื ต้องรีบพัฒนาคุณภาพภายใน
ของโรงเรียนที่ไม่ใช่ยอดนิยมเป็นพิเศษ ส่วนที่เป็นยอดนิยมอยู่แล้วก็ต้องรักษาไว้ให้เป็นนิยมเป็นพิเศษ
ส่วนที่เป็นยอดนิยมอยู่แล้วก็ต้องรักษาไว้ให้เป็นยอดนิยมยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรูปแบบการบริหาร
โรงเรยี นเพ่ือบรรลุผลการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมัธยมศึกษาภาคใต้ฝั่งอันดามัน มีองคป์ ระกอบ 4
องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านหลักการ ด้านวัตถุประสงค์ ด้านระบบงานและกลไก ด้านเงื่อนไขการนำรูปแบบ
ไปใช้ ซง่ึ เปน็ รปู แบบที่ประกอบดว้ ยองค์ประกอบ ด้านการบรหิ ารโรงเรยี นเพื่อบรรลุผลการประกันคุณภาพ

59

ภายใน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ 83 กิจกรรม คือ องค์ประกอบด้านหลักการ 37 กิจกรรม
วัตถุประสงค์ 4 กิจกรรม ระบบงานกลไก 31กิจกรรม และเงื่อนไขการนำรูปแบบไปใช้ 11 กิจกรรม และ
นำเสนอรูปแบบการบริหารในรูป Model มีชื่อว่า ANDAMAN’S “POST” MODEL หรือ รูปแบบโพสต์
แห่งอันดามัน นั่นคือรูปแบบที่ประกอบด้วย หลักการ (Principles) วัตถุประสงค์ (Objectives) ระบบ
(System) และงานตามเงื่อนไข (Tasks) และวิธีการนำรูปแบบดังกล่าวไปใช้ซึ่งประกอบด้วย “คำชี้แจง”
และ “รายละเอียด”ของรูปแบบท่คี ้นพบ

อุดม ชลู วี รรณ (2559) ศึกษารปู แบบการพฒั นาระบบการประกันคุณภาพโรงเรยี นมัธยมศึกษาสู่
ความเป็นเลิศระดับสากล มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบของการบริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่
ความเป็นเลิศระดับสากล 2) เพื่อเสนอรูปแบบการพัฒนาระบบการประกันคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่
ความเป็นเลิศระดบั สากล ผลการวจิ ัยพบว่า

1. ผลการศึกษาองค์ประกอบของการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็น
เลิศระดับสากล พบว่า จากการศึกษา เอกสาร หลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องและการศึกษา
ภาคสนามโดยการสัมภาษณ์ สรปุ องค์ประกอบของระบบการบริหารจัดการคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่
มาตรฐานสากลได้ 7 องค์ประกอบหลักดังนี้ 1) การนำองค์การ 2) การวางแผนกลยุทธ์ 3) การมุ่งเน้น
ผู้เรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 4) การวัด การวิเคราะห์ และการจัดการความรู้ 5) กรมุ่งเน้นบุคลากร 6)
การมุ่งเน้นการปฏิบัติ และ 7) ผลลัพธ์ดา้ นผู้เรียน

2. ผลรูปแบบการพัฒนาระบบการบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศ
ระดับสากล พบว่า ระบบบริหารคุณภาพโรงเรียนมัธยมศึกษาสู่ความเป็นเลิศระดับสากล ประกอบด้วย
ด้านปัจจัย คือ บริบทและความท้าทายของโรงเรียน ด้านกระบวนการดำเนินการ มี 6 ระบบย่อย
ประกอบดว้ ย 1) ระบบการนำองค์กร 2) ระบบการวางแผนกลยุทธ์ 3) ระบบบริหารจัดการที่เน้นผู้เรียน
4) ระบบการวัด สารสนเทศและการจัดการความรู้ 5) ระบบการพัฒนาบุคลากร 6) ระบบการปฏิบัติท่ีเป็น
เลิศ และ 7) ผลลพั ธ์ทเ่ี ปน็ เลศิ แตล่ ะบบมกี ารดำเนนิ งานที่ประสานเชื่อมโยงกนั

สมประสงค์ ยมนา (2560) ได้พัฒนารูปแบบการบริหารจัดการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัยครั้งนี้มี
วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัด
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ขนาดเล็กในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 364 คน สถานศึกษากรณีศึกษา 3 แห่ง รวม 24 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ
ผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการสัมมนาและประเมินรูปแบบ 21 คน รวมทั้งสิ้นจำนวน 421 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถาม แบบวิเคราะห์เนื้อหาของเอกสาร แบบสัมภาษณ์
แบบมีโครงสร้าง แบบบันทึกการสังเกต และแบบประเมินความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และความเป็น
ประโยชน์ สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์

60

เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีองค์ประกอบรูปแบบ 6 องค์ประกอบ
ได้แก่ 1) วัตถุประสงค์ของรูปแบบ 2) แนวคิดและหลักการของรูปแบบ 3) กลไกการดำเนินงานของ
รปู แบบ 4) เง่ือนไขการนำรปู แบบไปใช้ 5) คำอธบิ ายรูปแบบ และ 6) แนวการประเมินรูปแบบ โดยมีกลไก
ดำเนินงาน 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1) การเตรียมการประกอบด้วย การตกลงร่วมกัน 2) การดำเนินการ
ประกอบด้วย การนำเสนอการทบทวนผลการปฏิบตั งิ าน ทกุ ข้นั ตอนขบั เคล่ือนด้วยหลักการมีสว่ นรว่ ม การ
ทำงานเป็นทีม ความรับผิดชอบ การกระจายอำนาจ และมีเงื่อนไข ปัจจัยสนับสนุนความสำเร็จ ได้แก่
ภาวะผู้นำ ความตระหนักรู้การมีส่วนร่วม คณะกรรมการดำเนินงาน ความเป็นกัลยาณมิตร และการ
ปรับปรุงอย่างต่อเนื่องผลการประเมินการพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษาขนาดเล็ก สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ด้านความเหมาะสม ด้านความ
เป็นไปได้ และด้านประโยชน์ของรูปแบบ โดยมีผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่า โดยภาพรวมด้าน
ความเหมาะสม ดา้ นความเป็นไปได้และด้านประโยชน์ มีระดับมากที่สุดทุกด้าน

5.2 งานวิจยั ตา่ งประเทศ
Rewis (1973) อ้างจาก สุนันทา สบายวรรณ (2555) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การศึกษากิจกรรม
การรบั รู้ด้านกิจกรรมการนิเทศ ของครูในรัฐจอร์เจยี ผลการวิจัย พบว่า

1. ครตู อ้ งการการนิเทศมากกว่าที่เปน็ อยู่ปจั จบุ ัน
2. ครูต้องการนิเทศแบบให้ความชว่ ยเหลือมากกวา่ การควบคุม กลา่ วคอื ผู้นิเทศต้องเป็น
ผแู้ นะนำด้านหลกั สตู ร การสอนใหค้ ำปรกึ ษา และช่วยปรบั ปรงุ มนุษยสัมพันธ์
3. ครตู อ้ งการใหม้ กี ารนิเทศที่มุ่งเสริมมนษุ ยสมั พนั ธ์
4. การนิเทศให้ดา้ นการแนะนำความกา้ วหนา้ ในอาชีพครูมนี อ้ ยกวา่ ด้านอน่ื ๆ
5. สิ่งที่ทำให้ความต้องการแตกต่างกัน คือ สถานภาพครู ขนาดของโรงเรียน และ
ประสบการณ์การสอน
6. ครรู ะดบั ประถมศึกษามีความตอ้ งการการนเิ ทศมากกวา่ ครูมธั ยมศึกษา
Tilahun (1983) ได้ทำการวจิ ัย เรอื่ ง การจดั กจิ กรรมการนิเทศภายในโรงเรยี นท่ีพึงประสงค์
ของการพัฒนาประเทศเอธโิ อเปียกลุ่มตวั อย่าง ไดแ้ ก่ ครู ศกึ ษานเิ ทศก์ นกั วชิ าการ ผลการวิจยั สรุปว่า
1. ศึกษานิเทศก์ และนักวิชาการมีความคดิ เห็นสอดคลอ้ งกันว่า กิจกรรมที่ใช้นิเทศ
ภายในโรงเรยี น เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การฝึกอบรมแนะนำ การฝึกอบรมปฏบิ ัติการ การ
สาธติ การสอนโดยศกึ ษานิเทศก์ การประชุมกลุม่ ยอ่ ยของครู การเยีย่ มชนั้ เรียน และสังเกตการณ์สอน
2. ครู ศึกษานิเทศก์ และนักวิชาการมีความเห็นสอดคล้องกันว่า การจัดกิจกรรม
การนิเทศภายในโรงเรียนประถมศึกษาอยใู่ นระดบั ปานกลาง

61

3. ครู ศึกษานิเทศก์ และนักวิชาการมีความคิดเห็นสอดคล้องกันว่า การนิเทศใน
ลกั ษณะร่วมมือกันปฏบิ ตั ิงานนิเทศการศึกษา จะก่อใหเ้ กดิ ผลดกี วา่ การนเิ ทศการศึกษาในลักษณะที่ใช้
อำนาจ และการบงั คบั

Niska (1992) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การทดสอบ และการฝึกตามรูปแบบการพัฒนานิเทศโดย
การเรียนรู้แบบร่วมมือกัน ผลการศึกษา พบว่า ด้านตัวผู้บริหารควรเพิ่มพูนทักษะด้านความรู้ทางการ
นิเทศให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาการรับรู้ และการนิเทศแบบร่วมมือกัน นอกจากนี้
ผบู้ ริหารควรศึกษาเพม่ิ เตมิ ในเรือ่ งการนเิ ทศแบบร่วมมอื กนั เพื่อพฒั นาการนิเทศภายในโรงเรียน

Dew (1994) ได้ทำการวิจัย เรื่อง ความคิดเห็นของครูเกี่ยวกับบทบาททางความรู้ทาง
กระบวนการนเิ ทศ ผลการวจิ ยั พบวา่

1. ครูส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการสอน และวุฒิทางการศึกษาเห็นว่า ความรู้ใน
การนิเทศการสอนเป็นสิ่งจำเป็น

2. ความเห็นของครูเกี่ยวกับความรู้ด้านการนิเทศการสอนมีความจำเป็น และมีการ
เปลี่ยนแปลง เนอ่ื งจากวธิ กี ารปฏิบัติการนิเทศความรู้ และการนเิ ทศมคี วามจำเปน็

3. ครมู วี ุฒิสาขาต่าง ๆ และสำเรจ็ การศกึ ษาสาขาน้นั ๆ มีความเห็นวา่ ศกึ ษานิเทศก์
ควรมคี วามรใู้ นการพฒั นาเดก็ พอ ๆ กับความรู้ในเน้อื หาการนเิ ทศการสอน

4. ครูท่ีมปี ระสบการณเ์ ห็นว่า ศึกษานเิ ทศกค์ วรมคี วามรูใ้ นเร่ืองทีน่ ิเทศ คนท่ีเป็นครู
ใหมม่ ีความสามารถในการปกครองชั้นเรยี นซงึ่ สิง่ นม้ี ีความจำเป็นอย่างย่ิง

Murangi (1996) ได้ทำการวิจัย เรื่อง การนิเทศการสอนในนามิเบียต่อการศึกษาของครู
โรงเรียนมัธยมศึกษา และการยอมรับในการนเิ ทศการสอน จุดหมายของการศึกษาเป็นการตัดสินการ
สอนในโรงเรียนมัธยมศึกษาในนามิเบีย และความสัมพันธ์ของครูในการพัฒนาผลการศึกษาทำให้
เข้าใจในเรื่อง ทฤษฎีการปฏิบัติการนิเทศการสอน และพิจารณาปัญหาเกี่ยวกับครู และศึกษานิเทศก์
ผลการวิจยั พบว่า การยอมรบั ในการนิเทศการสอนของครูไดร้ ับการยอมรับน้อย ครูไมไ่ ด้รับการนิเทศ
จุดมุ่งหมายหลักสำคัญที่สุดสำหรับครู การได้ร่วมแสดงความคิดเห็นครูมีความรู้สึกต้องการความ
ช่วยเหลือในการพัฒนาเทคนิคการนิเทศการสอน ครู และศึกษานิเทศก์รู้สึกว่า การนิเทศมีความ
จำเป็น แนวคิดในการศึกษา และบทบาทในการนิเทศในนามิเบียทำให้แรงจูงใจของครมู ีการยอมรับใน
การเรียนรู้ และพัฒนาการกระทำมีผลต่อความเป็นอยู่ในอาชีพครู การนิเทศการสอนในนามิเบีย
มีการปรับเปลี่ยนด้านปรัชญา สมัยก่อนมีนโยบายควบคุมครูซึ่งปัจจุบันเป็นแบบประชาธิปไตย การนิเทศ
เป็นความต้องปฏิรูปการศึกษา การนิเทศจะเป็นส่วนช่วยปรับปรุงการศึกษา ศึกษานิเทศก์เป็นผู้คอย
แนะนำ เสนอแนวคดิ ใหม่ รวมท้งั ประเมนิ ผลการทำงานของครูด้วย

62

Odoh Francis Ikechukwu (2014) ศึกษาเรื่อง “การควบคุมคุณภาพและการประกัน
คณุ ภาพในฐานะเป็นเคร่อื งมือคุณภาพสำหรบั การศกึ ษาสำหรับโรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตการศึกษาน
ซุกา ประเทศไนจีเรีย ผลการศึกษาพบว่า การควบคุมคุณภาพมีบทบาทสำคัญต่อประสิทธิผลของ
โรงเรียน ครูควรได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน นอกจากนั้นยัง
พบว่าการประกันคุณภาพยังกลไกสำคัญในการบริหารจัดการของผู้บริหาร การประกันคุณภาพ
การศึกษาจึงมีส่วนสำคัญในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนและสร้างความมั่นใจในคุณภาพ
การศึกษาที่มีต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษาทั้งนี้ควรจัดให้มีการอบรมสัมม นาเชิง
ปฏิบตั กิ ารเพอ่ื พฒั นาเทคนคิ การจดั การเรียนการสอนของครู

Ayeni Adeolu Joshua (2014) ศึกษาเรื่อง “ผู้บริหารและผู้ปกครองในฐานะผู้มีส่วนได้
ส่วนเสยี กับการประกันคณุ ภาพอยา่ งย่ังยืนของโรงเรียนมัธยมศึกษาในไนจีเรยี ” ผลการวิจัยพบว่า การ
ประกันคุณภาพการศึกษาอย่างยั่งยืนเป็นผลมาจากการมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิด ในการจัดการศึกษา
ระหว่างผู้บริหารของโรงเรียนและผู้ปกครองนักเรียน เพื่อดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ โรงเรยี นจะจะต้องพัฒนาระบบการประกันคุณภาพเพ่ือความม่ันใจและความเชื่อม่ันต่อ
ผมู้ ีสว่ นไดส้ ่วนเสียของโรงเรียนวา่ โรงเรยี นสามารถจัดการศกึ ษาได้ตามมาตรฐานอย่างมคี ณุ ภาพ

Guangqian Du and others (2017) ศึกษาเรื่อง “ประสิทธิผลของกระบวนการออกแบบ
ระบบประกันคุณภาพการศึกษาตามรูปแบบ EFQM” ซึ่งแนวคิดของรูปแบบ EFQM (European
Foundation for Quality) ประกอบด้วย 1) การกำหนดผลลพั ธ์ 2) การมุ่งเน้นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 3)
ความเป็นผู้นำและความมั่นคงของวัตถุประสงค์ 4) การจัดการตามกระบวนการและข้อเท็จจริง 5)
การพัฒนาและการมีส่วนร่วม 6) การเรียนรู้ต่อเนื่องนวัตกรรมและการปรับปรุง 7) การพัฒนาความ
รว่ มมือ และ 8) ความรบั ผดิ ชอบตอ่ สังคม ผลการวิจยั พบว่า รูปแบบ EFQM มปี ระสทิ ธิภาพต่อการจัด
การศกึ ษา ส่งผลเกิดความเชอ่ื มนั่ ในคณุ ภาพและมาตรฐานของการจดั การศึกษา และผมู้ ีสว่ นเกี่ยวข้อง
พึงพอใจต่อรูปแบบและผลการจัดการศึกษา

จากการศึกษาเอกสาร และที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ สรุปได้ว่า การนิเทศ
ภายในโรงเรยี นมีความสำคญั และความจำเป็นต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ซึง่ ครูมีความเห็น
ว่า สถานศึกษาเป็นหน่วยงานที่สำคัญที่สุด ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ และสามารถดำรงชีวิตอยู่ใน
สังคมได้อย่างมีความสุขภายใต้กระแสการเปลี่ยนแปลงโลกในยุคปัจจุบัน ภารกิจของสถานศึกษาที่
สำคัญมากที่สุด คือ การจัดการศึกษาให้เกิดประสิทธิภาพโดยเฉพาะการดำเนินงานที่จะทำให้ผู้เรียนมี
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสูงขึ้น โรงเรียนต้องมีการพัฒนาระบบนิเทศภายในโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพ
จากสภาพปัญหาท่ีพบในการนิเทศ คือ กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน 5 ขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วย
การศึกษาสภาพปัจจุบัน ปัญหา และความต้องการพัฒนา การวางแผน และการกำหนดทางเลือกในการ

63

นิเทศภายใน การสร้างเครื่องมือ และพัฒนาวิธีการการปฏิบัติการนิเทศภายใน การประเมินผล และการ
รายงาน ยังขาดวิธีการปฏิบัติที่ชัดเจน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทำให้เห็นว่า ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้นิเทศ
ยงั ขาดความรู้ความเข้าใจ และทกั ษะการปฏบิ ัตงิ านตามกระบวนการนิเทศ ตลอดจนขาดการปฏิบัติงาน
อย่างต่อเนื่อง และไม่เป็นไปตามขั้นตอน ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเพิ่มพูน
ทักษะ ด้านความรู้ทางการนิเทศภายในโรงเรียนใหม้ ีประสิทธิภาพให้แก่ผู้บรหิ ารโรงเรียน และผู้ที่ทำ
หน้าทนี่ เิ ทศภายในโรงเรยี น ซึง่ จากการศึกษางานวิจยั ที่เก่ยี วข้อง พบว่า การพฒั นาความรคู้ วามเข้าใจ
และการเพ่ิมพูนทักษะในการปฏิบัติงาน โดยการใช้คู่มือนิเทศการนิเทศภายในโรงเรียน เป็นแนวทาง
สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติงานการนิเทศภายในโรงเรียนได้ถูกต้อง ตามขั้นตอนกระบวนการนิเทศภายใน
โรงเรียนได้อย่างมีประสิทธภิ าพต่อไป

64

บทที่ 3
วธิ ีดำเนนิ การวจิ ัย

การพัฒนาค่มู อื การนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงาน
การนเิ ทศภายในสถานศึกษาและการดำเนนิ งานตามระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
2) เพื่อสร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศกึ ษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมติ ร และ 3) เพอ่ื ศกึ ษาผลการใชค้ ่มู ือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
ผูว้ จิ ยั ได้แบ่งขั้นตอนการดำเนนิ การวิจยั เป็น 3 ขัน้ ตอน ดงั นี้

ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนินการนิเทศภายในสถานศึกษาและการดำเนินงาน
ตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการ
ดำเนินงานการนิเทศภายในสถานศึกษาและการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษา
ภายในสถานศึกษา ปีการศึกษา 2561

ขั้นตอนที่ 2 การสร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร มีวัตถุประสงค์เพื่อ
สร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร

ขั้นตอนที่ 3 การศึกษาผลการใช้คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผล
การใช้คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร ปีการศึกษา 2562 โดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน
ระหว่างปีการศึกษา 2561 กับ ปีการศึกษา 2562 และการศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้คู่มือ
การนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศ
แบบกัลยาณมติ ร

ผู้วิจัยไดก้ ำหนดขัน้ ตอนเป็นกรอบการดำเนนิ งานดงั น้ี

65

ข้นั ตอน วิธดี ำเนินการ ผลที่ได้

ขนั้ ตอนที่ 1 1. ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ท่ี 1. แบบสอบถามสภาพการ
เกยี่ วขอ้ งกับการนิเทศภายใน การ ดำเนนิ งานการนิเทศภายใน
การศึกษาสภาพการดำเนนิ การ นิเทศแบบกัลยาณมิตร การประกนั สถานศกึ ษาและการดำเนินงานตาม
นเิ ทศภายในสถานศกึ ษาและการ คุณภาพภายใน และการสร้าง ระบบการประกันคุณภาพภายใน
ดำเนินงานตามระบบการประกนั แบบสอบถามวิจยั สถานศึกษา
คุณภาพการศึกษาภายใน 2. จัดทำแบบสอบถามฉบบั รา่ ง 2. สภาพการดำเนนิ งานการนิเทศ
สถานศึกษา ตรวจสอบความถูกต้องเบื้องตน้ โดย ภายในสถานศกึ ษาและการ
ผูว้ จิ ยั และเสนอต่อผูเ้ ชี่ยวชาญเพอ่ื ดำเนนิ งานตามระบบการประกัน
ประเมินความสอดคล้องเชิงเนื้อหา คุณภาพภายในสถานศึกษา ปี
(IOC) และปรบั ปรงุ ตามขอ้ เสนอแนะ การศึกษา 2561
3. นำแบบสอบถามไปเกบ็ ขอ้ มลู การ
ดำเนนิ งานการนเิ ทศภายในและการ
ประกนั คุณภาพ ปีการศึกษา 2561

ขั้นตอนที่ 2 1. ศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ที่ คมู่ ือการนิเทศภายในสถานศึกษา
เก่ียวขอ้ งกบั การพัฒนาคมู่ ือการ ตามระบบการประกันคณุ ภาพ
การสรา้ งและพัฒนาคู่มอื การ ปฏบิ ัตงิ าน ภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการ
นิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบ 2. นำข้อมลู จากขน้ั ตอนที่ 1 มา นเิ ทศแบบกลั ยาณมติ ร
การประกันคุณภาพภายใน วิเคราะหแ์ ละสังเคราะหเ์ พ่ือจัดทำ
สถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศ รา่ งคมู่ อื การนิเทศภายในสถานศกึ ษา
แบบกลั ยาณมติ ร ตามระบบการประกนั คณุ ภาพ
ภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการ
นเิ ทศแบบกัลยาณมติ ร
3. ตรวจสอบความถกู ตอ้ งเบ้ืองต้น
โดยผวู้ จิ ยั และเสนอผ้เู ช่ียวชาญเพ่อื
ประเมินความสอดคล้องเชงิ เนอื้ หา
(IOC) และปรบั ปรงุ ตามขอ้ เสนอแนะ

ขนั้ ตอนที่ 3 1. นำคมู่ อื ฯ ไปใชใ้ นการดำเนินงาน 1. ผลการใชค้ ู่มือฯ ปกี ารศึกษา
ของโรงเรยี นในสังกัด สพป.ภเู กต็ 2562
การศกึ ษาผลการใชค้ มู่ ือการนิเทศ ปกี ารศึกษา 2562 2. ผลการเปรยี บเทียบการ
ภายในสถานศึกษาตามระบบการ 2. ศกึ ษาผลการใชค่ ู่มือฯ ดำเนนิ งานระหว่างปีการศึกษา
ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา 2561 กบั ปีการศกึ ษา 2562
ด้วยกระบวนการนิเทศแบบ 3. ความพึงพอใจต่อการใช้คู่มือฯ
กัลยาณมติ ร

แผนภาพที่ 3 ข้ันตอนการพัฒนาคู่มือการนเิ ทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพ
ภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกลั ยาณมติ ร

66

ข้นั ตอนที่ 1 การศึกษาสภาพการดำเนนิ การนิเทศภายในสถานศึกษาและ
การดำเนนิ งานตามระบบการประกนั คุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษา

การศึกษาสภาพการดำเนินการนิเทศภายในสถานศึกษาและการดำเนินงานตามระบบ
การประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษา ปีการศกึ ษา 2561 มรี ายละเอยี ดดงั นี้

1. ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง
1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยขั้นตอนนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน

49 คน หัวหน้างานวิชาการของโรงเรียน จำนวน 49 คน และครูผู้สอน (ไม่นับรวมครูหัวหน้างาน
วิชาการ) จำนวน 762 คน ซึ่งประชากรทั้งหมดมีสถานภาพอยู่ในปีการศึกษา 2561 รวมประชากร
ทุกกลุ่มท้ังสน้ิ 858 คน

1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยขั้นตอนนี้ จำแนกกลุ่มตัวอย่างตามขนาดของ
โรงเรียนโดยแบ่งออกเป็น 3 ขนาด รวมกลุ่มตัวอย่างทุกกลุ่มทั้งสิ้น จำนวน 462 คน มีรายละเอียด
ในการกำหนดขนาดกล่มุ ตวั อยา่ งในการวจิ ัยขั้นตอนนี้ ดงั นี้

1.2.1 สถานศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 3 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหาร
สถานศึกษา จำนวน 3 คน หัวหน้างานวิชาการ จำนวน 3 คน และครูผู้สอน (ไม่นับรวมหัวหน้า
วิชาการ) จำนวน 9 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งกลุ่ม
ตัวอยา่ งทงั้ หมดมีสถานภาพอยู่ในปีการศึกษา 2561 รวมกลุ่มตวั อย่างทกุ กลุ่มทัง้ สนิ้ 15 คน

1.2.2 สถานศึกษาขนาดกลาง จำนวน 29 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหาร
สถานศึกษา จำนวน 29 คน หัวหน้างานวิชาการ จำนวน 29 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) และครูผู้สอน (ไม่นับรวมหัวหน้าวิชาการ) กำหนดขนาดกลุ่ม
ตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie, R.V. และ Morgan, D.W. (1970 : 608) ได้กลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 191 คน ซงึ่ กลุม่ ตวั อยา่ งทัง้ หมดมสี ถานภาพอย่ใู นปีการศึกษา 2561 รวมกล่มุ ตวั อย่างทกุ กลุ่ม
ท้ังสิ้น 249 คน

1.2.3 สถานศึกษาขนาดใหญ่ จำนวน 6 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหาร
สถานศึกษา จำนวน 6 คน หัวหน้างานวิชาการ จำนวน 6 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) และครูผู้สอน (ไม่นับรวมหัวหน้าวิชาการ) กำหนดขนาดกลุ่ม
ตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie, R.V. และ Morgan, D.W. (1970 : 608) ได้กลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 186 คน ซงึ่ กลุ่มตัวอยา่ งทั้งหมดมสี ถานภาพอยู่ในปกี ารศึกษา 2561 รวมกล่มุ ตวั อย่างทุกกลุ่ม
ทั้งส้นิ 198 คน

67

ตารางที่ 1 ประเภทและจำนวนของประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ขนั้ ตอนที่ 1

ประเภท ประชากร (N) กลุ่มตัวอย่าง (n)

โรงเรยี นขนาดเลก็

1) ผู้บริหารสถานศึกษา 6 3

2) หวั หน้างานวชิ าการ 6 3

3) ครผู สู้ อน 13 9

โรงเรยี นขนาดกลาง

1) ผู้บรหิ ารสถานศึกษา 34 29

2) หวั หน้างานวิชาการ 34 29

3) ครผู ู้สอน 388 191

โรงเรยี นขนาดใหญ่

1) ผู้บริหารสถานศึกษา 9 6

2) หวั หน้างานวิชาการ 9 6

3) ครูผู้สอน 361 186

รวม 858 462

2. เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจยั
2.1 แบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายใน

สถานศึกษา มีจำนวน 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกีย่ วกับสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม
ชนิดเลือกตอบ (Check List) ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานการนิเทศ
ภายในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท
(Likert’s) จำนวน 15 ขอ้ และตอนท่ี 3 เป็นแบบสอบถามปลายเปดิ เกย่ี วกบั ข้อเสนอแนะ

2.2 แบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานตามระบบการประกัน
คุณภาพภายในสถานศกึ ษา มีจำนวน 3 ตอน คือ ตอนท่ี 1 เป็นแบบสอบถามเกยี่ วกบั สถานภาพผู้ตอบ
แบบสอบถาม ชนดิ เลอื กตอบ (Check List) ตอนท่ี 2 เปน็ แบบสอบถามเก่ียวกบั สภาพการดำเนินงาน
ตามระบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา มลี กั ษณะเปน็ แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดับ
ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s) จำนวน 16 ข้อ และตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามปลายเปิดเก่ียวกับ
ขอ้ เสนอแนะ

68

3. การสร้างและพัฒนาเครื่องมอื วิจยั
3.1 แบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายใน

สถานศกึ ษา
3.1.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ

นิเทศภายในสถานศึกษา และดำเนินการสร้างสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการ
นิเทศภายในสถานศึกษาโดยใหค้ รอบคลมุ ขนั้ ตอนกระบวนการนเิ ทศภายในสถานศึกษา

3.1.2 สร้างแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการนิเทศ
ภายในสถานศึกษา แบง่ เปน็ 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกยี่ วกับสถานภาพผู้ตอบ
แบบสอบถาม ชนิดเลือกตอบ (Check List) มีข้อคำถาม 2 ข้อ คือ ตำแหน่ง และระดับการศึกษา
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในสถานศึกษา มีลักษณะเป็น
แบบมาตราสว่ นประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s) จำนวน 15 ขอ้ และตอนท่ี 3
เปน็ แบบสอบถามปลายเปดิ เกี่ยวกับขอ้ เสนอแนะ โดยผวู้ ิจยั กำหนดระดบั นำ้ หนกั คะแนนและการแปล
ความหมาย ดังนี้

ระดับ 5 หมายถงึ มีการปฏบิ ัติ/ผลการปฏิบตั ิ
อยใู่ นระดับมากที่สุด

ระดับ 4 หมายถึง มีการปฏิบัต/ิ ผลการปฏบิ ัติ
อยใู่ นระดับมาก

ระดับ 3 หมายถึง มกี ารปฏิบตั ิ/ผลการปฏิบตั ิ
อยู่ในระดบั ปานกลาง

ระดับ 2 หมายถงึ มีการปฏิบัติ/ผลการปฏิบตั ิ
อยใู่ นระดับนอ้ ย

ระดบั 1 หมายถงึ มีการปฏิบตั ิ/ผลการปฏิบัติ
อยู่ในระดับนอ้ ยทสี่ ดุ

3.1.3 นำแบบสอบถามท่ีสรา้ งขึ้นไปหาความเทย่ี งตรงเชิงเน้ือหา (Content
Validity) ของแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานนิเทศภายในสถานศึกษา โดยให้
ผู้เช่ียวชาญ จำนวน 5 ทา่ น ตรวจสอบความถูกตอ้ งตามโครงสรา้ งและเนอ้ื หา คำนวณหาคา่ ดัชนีความ
สอดคล้องระหว่างข้อความกบั ประเด็นหลัก (IOC) โดยใชว้ ธิ ีของโรวเิ นลลี และแฮมเบลิ ตัน (Rovinelli
and Hambleton) ได้ค่าความสอดคล้องเท่ากับ 0.98 และคัดเลือกเอาแบบประเมินที่ได้ค่าระหว่าง
0.80 -1.00 จำนวน 15 ขอ้ มาปรบั ปรงุ แก้ไขตามขอ้ เสนอแนะของผู้เชย่ี วชาญ

3.1.4 นำแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการนิเทศ
ภายในสถานศกึ ษา ไปทดลองใช้ (Try Out) กบั ประชากรทไ่ี มใ่ ช่กลุม่ ตัวอย่างในการวิจัย ประกอบด้วย

69

ผู้บริหารโรงเรียน หัวหน้าวิชาการ และครูผู้สอน ของโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประถมศึกษาภูเกต็ โดยจำแนกเป็นสถานศึกษาขนาดเลก็ จำนวน 2 โรงเรียน สถานศึกษาขนาดกลาง
จำนวน 5 โรงเรียน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ จำนวน 3 โรงเรียน รวม 10 โรงเรียน โรงเรียนละ 3 ชุด
รวมจำนวนแบบสอบถามที่ใช้ในการทดลองใช้ทั้งสิ้น 30 ชุด เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น โดยวิธีการ
คำนวณหาค่าสมั ประสิทธ์ิแอลฟา (α - coefficient) โดยวธิ ีการของครอนบาค (Cronbach) (ทิพย์สิริ
กาญจนวาสี และศิริชัย กาญจนสวาสี, 2559 : 148) ได้ค่าความเชือ่ ม่นั เท่ากับ .781

3.1.5 จัดทำสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการนิเทศ
ภายในสถานศึกษา ฉบับสมบูรณ์ เพอ่ื นำไปใช้ทดลองกับกลุม่ ตวั อย่างที่ใชใ้ นการวจิ ยั ต่อไป

3.2 แบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานตามระบบการประกัน
คุณภาพภายในสถานศกึ ษา

3.2.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ
ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา เพื่อดำเนินการสร้างสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการ
ดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาโดยให้ครอบคลุมขั้นตอนกระบวนการ
ดำเนนิ งานตามระบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา

3.2.2 สร้างแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเร่ืองสภาพการดำเนินงานตามระบบการ
ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา แบ่งเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับ
สถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม ชนิดเลือกตอบ (Check List) มีข้อคำถาม 2 ข้อ คือ ตำแหน่ง และ
ระดับการศึกษา ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s)
จำนวน 16 ข้อ และตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามปลายเปิดเกี่ยวกับข้อเสนอแนะ โดยผู้วิจัยกำหนด
ระดบั น้ำหนกั คะแนนและการแปลความหมาย ดังน้ี

ระดบั 5 หมายถึง มกี ารปฏบิ ตั /ิ ผลการปฏิบัติ
อยใู่ นระดบั มากทสี่ ดุ

ระดับ 4 หมายถึง มีการปฏบิ ัต/ิ ผลการปฏิบัติ
อยใู่ นระดับมาก

ระดบั 3 หมายถึง มกี ารปฏบิ ัต/ิ ผลการปฏิบตั ิ
อยู่ในระดับปานกลาง

ระดับ 2 หมายถงึ มีการปฏิบตั /ิ ผลการปฏบิ ัติ
อย่ใู นระดบั น้อย

ระดับ 1 หมายถึง มีการปฏบิ ัติ/ผลการปฏบิ ัติ
อยใู่ นระดบั นอ้ ยที่สุด

70

3.2.3 นำแบบสอบถามทสี่ ร้างขน้ึ ไปหาความเท่ียงตรงเชงิ เน้ือหา (Content
Validity) ของแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพ
ภายในสถานศึกษา โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องตามโครงสร้างและ
เนื้อหา คำนวณหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อความกับประเด็นหลัก (IOC) โดยใช้วิธีของ
โรวิเนลลี และแฮมเบิลตัน (Rovinelli and Hambleton) ได้ค่าความสอดคล้องเท่ากับ 0.97 และ
คัดเลือกเอาแบบประเมินที่ได้ค่าระหว่าง 0.80 -1.00 จำนวน 15 ข้อ มาปรับปรุงแก้ไขตาม
ข้อเสนอแนะของผู้เชยี่ วชาญ

3.2.4 นำแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานตามระบบ
การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ไปทดลองใช้ (Try Out) กับประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง
ในการวิจัย ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้าวิชาการ และครูผู้สอน ของโรงเรียนในสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต โดยจำแนกเป็นสถานศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 2
โรงเรียน สถานศึกษาขนาดกลาง จำนวน 5 โรงเรียน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ จำนวน 3 โรงเรียน
รวม 10 โรงเรยี น โรงเรยี นละ 3 ชุด รวมจำนวนแบบสอบถามท่ีใช้ในการทดลองใช้ทั้งสิ้น 30 ชุด เพื่อหา
ค่าความเชื่อมั่น โดยวิธีการคำนวณหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (α - coefficient) โดยวิธีการของ
ครอนบาค (Cronbach) (ทิพย์สิริ กาญจนวาสี และศิริชัย กาญจนวาสี, 2559 : 148) ได้ค่าความ
เช่ือม่ันเทา่ กบั .741

3.2.5 จดั ทำแบบสอบถามเพ่ือการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานตามระบบ
การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ฉบับสมบูรณ์ เพื่อนำไปใช้ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการ
วจิ ยั ตอ่ ไป

4. การเก็บรวบรวมและการวิเคราะหข์ ้อมลู
4.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องการนิเทศภายใน

สถานศึกษา ผู้วิจัยสำรวจความถูกต้องและความสมบูรณ์ของแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืน และ
ดำเนินการวเิ คราะหข์ ้อมลู ดังนี้

4.1.1 ตอนท่ี 1 ใชก้ ารแจกแจงความถขี่ องสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม
4.1.2 ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (μ , x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(σ , S.D.) โดยกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์และแปลผลตามเกณฑ์ของเบส (John W. Best. 1970 :
190) ดังน้ี

71

4.50 – 5.00 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ตั ิ/ผลการปฏบิ ัติ
อยูใ่ นระดับมากท่สี ดุ

3.50 – 4.49 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ัติ/ผลการปฏิบตั ิ
อย่ใู นระดบั มาก

2.50 – 3.49 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ัติ/ผลการปฏบิ ัติ
อยใู่ นระดบั ปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถึง มีการปฏบิ ตั /ิ ผลการปฏบิ ัติ
อยใู่ นระดับนอ้ ย

1.00 – 1.49 หมายถงึ มกี ารปฏิบัติ/ผลการปฏิบัติ
อยู่ในระดบั นอ้ ยท่สี ดุ

4.1.3 ตอนท่ี 3 ใช้การพรรณนาวเิ คราะห์ (Descriptive Analysis)
4.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามเพือ่ การวิจยั เรื่องสภาพการดำเนินงาน
ตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ผู้วิจัยสำรวจความถูกต้องและความสมบูรณ์ของ
แบบสอบถามทไ่ี ด้รับกลบั คนื และดำเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมลู ดังน้ี

4.2.1 ตอนท่ี 1 ใชก้ ารแจกแจงความถ่ีของสถานภาพผตู้ อบแบบสอบถาม
4.2.2 ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (μ , x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(σ , S.D.) โดยกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์และแปลผลตามเกณฑ์ของเบส (John W. Best. 1970 :
190) ดงั น้ี

4.50 – 5.00 หมายถงึ มีการปฏิบตั ิ/ผลการปฏบิ ัติ
อย่ใู นระดับมากทสี่ ุด

3.50 – 4.49 หมายถงึ มกี ารปฏิบตั /ิ ผลการปฏิบัติ
อยู่ในระดบั มาก

2.50 – 3.49 หมายถึง มกี ารปฏบิ ัติ/ผลการปฏิบัติ
อยู่ในระดับปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถึง มกี ารปฏิบัติ/ผลการปฏิบัติ
อยู่ในระดบั น้อย

1.00 – 1.49 หมายถึง มกี ารปฏบิ ตั /ิ ผลการปฏิบตั ิ
อยใู่ นระดบั น้อยท่สี ดุ

4.2.3 ตอนที่ 3 ใชก้ ารพรรณนาวเิ คราะห์ (Descriptive Analysis)

72

5. สถติ ิทีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
5.1 การหาค่าความสอดคลอ้ งของเนื้อหา

IOC = ∑ r

N

เม่ือ IOC แทน คา่ ความสอดคล้องระหว่างขอ้ คำถามแตล่ ะข้อ
∑ r แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผู้เชย่ี วชาญ
N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ

5.2 การหาค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟา (α = coefficient) ตามวธิ กี ารของ
ครอนบาร์ค (Cronbach)

α = k (1 − ∑ss2t2i )
k−1

เม่อื α แทน ค่าสัมประสิทธแิ์ อลฟา่
k แทน จำนวนขอ้ ของแบบสอบถาม

∑ si2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนแตล่ ะขอ้
st2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม

5.3 การหาคา่ เฉลี่ย ( , x̅)

x̅ = ∑ x

n

เมอ่ื x̅ แทน คะแนนเฉล่ยี
∑ x แทน ผลรวมของคะแนนในกลมุ่
n แทน จำนวนกลมุ่ ตวั อย่าง

73

5.4 การคา่ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน ( , S.D.)

S.D. = √∑(x−x̅)2

n−1

เมื่อ S.D. แทน ขอ้ มลู แตล่ ะจำนวน
x̅ แทน คะแนนเฉลี่ย
n แทน จำนวนกล่มุ ตัวอย่าง

ตอนที่ 2 การสร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คุณภาพภายในสถานศกึ ษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมติ ร

การสร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร ผู้วิจัยได้นำผลจากการศึกษาในขั้นตอนที่ 1 มา
เป็นข้อมูลในการวางแผนสร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษา มีการศึกษาเอกสารและ
งานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการนิเทศภายใน การดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการสร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบ
การประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมติ ร มีรายละเอียดดังนี้

1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่างในขั้นตอนนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มี

ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญในการบริหารการศึกษาและบริหารสถานศึกษา การนิเทศภายใน
สถานศึกษา และการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ประกอบด้วย
ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษา และศึกษานิเทศก์ จำนวน 5 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการ
เลือกแบบเจาะจง ดงั นี้

1) นายสายณั ห์ ไกรนรา
ตำแหน่ง ผอู้ ำนวยการสำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาภูเกต็
สังกัด สำนักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษาภเู ก็ต

2) นางเภาพรรณ วงค์ไทย
ตำแหนง่ ผ้อู ำนวยการชำนาญการพเิ ศษ โรงเรยี นไทยรฐั วทิ ยา 29 (กะท)ู้
สงั กดั สำนักงานเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษาประถมศึกษาภเู ก็ต

74

3) นายธเนศร์ ชาญเชาวน์
ตำแหนง่ ศึกษานิเทศกช์ ำนาญการพิเศษ
สงั กดั สำนกั งานเขตพ้ืนท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาชุมพร เขต 1

4) นายองอาจ วชิ ัยสชุ าติ
ตำแหน่ง ศึกษานิเทศกช์ ำนาญการพเิ ศษ
สังกัด สำนกั งานเขตพ้นื ทก่ี ารศึกษาประถมศึกษานครราชสมี า เขต 5

5) นายมาลัยพร รัตนดิลก ณ ภเู กต็
ตำแหนง่ ศึกษานเิ ทศก์ชำนาญการพเิ ศษ
สังกัด สำนักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาภูเก็ต

2. เคร่ืองมอื ทใ่ี ช้ในการวิจยั
2.1 คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน

คุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร เป็นเอกสารที่ผู้วิจัยสร้างและ
พัฒนาขึ้น ประกอบด้วยเนื้อหาจำนวน 3 บท คือ บทที่ 1 บทนำ มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาและ
ความสำคัญ วัตถุประสงค์ และนิยามศัพท์ท่ีเกีย่ วขอ้ งกับการนิเทศภายในสถานศึกษา บทที่ 2 ความรู้
พื้นฐานในการนิเทศภายในสถานศึกษา มีเนื้อหาเกี่ยวกับหลักการ จุดมุ่งหมาย แนวคิด ทฤษฎีการ
นิเทศภายใน กระบวนการนิเทศภายใน การประกันคุณภาพการศึกษา และมาตรฐานการศึกษา และ
บทที่ 3 แนวทางการดำเนนิ งานการนิเทศภายในสถานศึกษา มเี นอ้ื หาเกย่ี วกบั กระบวนการนิเทศแบบ
กัลยาณมิตร กระบวนการนิเทศภายในโรงเรียน และกิจกรรมการนิเทศภายในตามระบบการประกัน
คุณภาพการศกึ ษาภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทสแบบกลยั าณมิตร จำนวน 10 กจิ กรรม

2.2 แบบประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร มีจำนวน 2 ตอน คือ ตอนที่ 1
การประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศกึ ษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศแบบกลั ยาณมติ ร มี 4 ประเดน็ เป็นขอ้ คำถามเกยี่ วกบั ความถูกต้อง
จำนวน 4 ข้อ ความเหมาะสม จำนวน 4 ข้อ ความเป็นไปได้ จำนวน 4 ข้อ และประโยชน์ที่ได้รับ
จำนวน 4 ข้อ รวมทง้ั ส้ิน 16 ข้อ และตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามปลายเปิดเก่ียวกับข้อเสนอแนะ

3. กระบวนการสรา้ งและพัฒนาเครอื่ งมอื
3.1 คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน

คุณภาพภายในสถานศกึ ษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกลั ยาณมิตร

75

3.1.1 ศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง
และพัฒนาคู่มือ การนิเทศภายในสถานศึกษา การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และผลการ
วิเคราะห์สภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในและการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา จาก
การศึกษาในขั้นตอนที่ 1 เพื่อนำมากำหนดกรอบ ประเด็น และจัดทำร่างคู่มือการนิเทศภายใน
สถานศกึ ษาตามระบบการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร

3.1.2 นำความรู้ที่ได้จากการศึกษาเอกสาร ตำรา บทความ และงานวิจัย
ที่เกี่ยวข้อง มาจัดทำคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษา ตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศกึ ษา ดว้ ยกระบวนการนิเทศแบบกลั ยาณมิตร โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี

1) บทท่ี 1 บทนำ
2) บทท่ี 2 ความรู้พนื้ ฐานในการนิเทศภายในสถานศกึ ษา
3) บทท่ี 3 แนวทางการดำเนินงานการนิเทศภายในสถานศึกษา
3.1.3 หาความเทีย่ งตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) ของค่มู อื การนิเทศ
ภายในสถานศึกษา ตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ด้วยกระบวนการนิเทศ
แบบกัลยาณมิตร โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องตามโครงสร้างเนื้อหา
ภาษาที่ใช้ โดยหาค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหากับองค์ประกอบของคู่มือ (IOC) โดยใช้วิธีของ
โรวเิ นลลี และแฮมเบลิ ตัน (Rovinelli and Hambleton) ได้คา่ ความสอดคลอ้ งเทา่ กับ 0.94
3.1.4 ปรับปรุงคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร ตามความคิดเห็น และ
ข้อเสนอแนะของผเู้ ชีย่ วชาญ
3.1.5 นำคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพ
ภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร ให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินคุณภาพของคู่มือ
โดยใช้แบบประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณถภาพภายใน
สถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศแบบกลั ยาณมติ ร เพอ่ื หาระดับของคุณภาพคมู่ ือฯ และเพอื่ เป็นการ
ประเมนิ และตรวจสอบความถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และประโยชนข์ องคมู่ ือการนิเทศ
ภายในสถานศกึ ษาตามระบบการประกนั คณุ ภาพด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกลั ยาณมติ ร
3.1.6 จัดทำคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คุณภาพภายในด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตรฉบับสมบูรณ์ สำหรับให้สถานศึกษาในสังกัด
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาภูเก็ตไปใช้ในการนิเทศภายในแบบกัลยาณมิตรเพื่อให้
เปน็ ไปตามระบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา

76

3.2 แบบประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร

3.2.1 ศึกษาหลักการ แนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการใน
การสร้างและพัฒนาแบบประเมินเพื่อตรวจสอบคุณภาพของคู่มือการดำเนินงาน เพ่ือสร้างแบบ
ประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร โดยครอบคลุมประเด็นทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านความถูกต้อง
ด้านความเหมาะสม ด้านความเปน็ ไปได้ ดา้ นความเปน็ ประโยชน์

3.2.2 สร้างแบบประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษา
ประกอบด้วย 2 ตอน คือ ตอนที่ 1 การตรวจสอบคุณภาพของคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตาม
ระบบการประกันคุณภาพการศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร โดยสร้างเป็น
แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ ตามแนวคดิ ของลเิ คริ ์ท (Likert’s) จำนวน 16 ข้อ
และตอนที่ 2 เปน็ ขอ้ เสนอแนะ มลี ักษณะเปน็ แบบสอบถามปลายเปดิ โดยผ้วู ิจัยกำหนดระดับน้ำหนัก
คะแนนและการแปลความหมาย ดงั นี้

ระดบั 5 หมายถึง มีความถูกต้อง/เหมาะสม/เปน็ ไปได/้
เปน็ ประโยชน์มากทส่ี ดุ

ระดับ 4 หมายถงึ มคี วามถูกตอ้ ง/เหมาะสม/เป็นไปได้/
เป็นประโยชนม์ าก

ระดบั 3 หมายถึง มีความถูกตอ้ ง/เหมาะสม/เปน็ ไปได/้
เปน็ ประโยชน์ปานกลาง

ระดับ 2 หมายถงึ มีความถูกตอ้ ง/เหมาะสม/เป็นไปได้/
เปน็ ประโยชนน์ ้อย

ระดับ 1 หมายถึง มคี วามถูกตอ้ ง/เหมาะสม/เปน็ ไปได/้
เป็นประโยชน์น้อยท่ีสดุ

3.2.3 ผู้วจิ ยั ตรวจสอบความถกู ต้องเบอ้ื งต้นของแบบประเมินคูม่ ือการนิเทศ
ภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบ
กัลยาณมิตร และเสนอร่างแบบประเมินคุณภาพคู่มือฯ ต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน เพื่อตรวจสอบ
ความถูกต้องและความสอดคล้องของเนื้อหา (IOC) โดยใช้วิธีของของ โรวิเนลลี และแฮมเบิลตัน
(Rovinelli and Hambleton) โดยคัดเลือกเอาแบบประเมินที่ได้ค่าระหว่าง 0.80 - 1.00 จำนวน 16 ข้อ
ไดค้ ่าความสอดคลอ้ งของแบบประเมินคุณภาพคู่มือฯ เท่ากบั 0.96

77

3.2.4 นำแบบประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศกึ ษาตามระบบ
การประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตรไปปรับปรุง
ตามขอ้ เสนอแนะของผู้เชยี่ วชาญ

3.2.5 จัดทำแบบประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษา
ตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศภายในฉบับสมบูรณ์ เพื่อให้
ผ้เู ชี่ยวชาญประเมินคุณภาพของคู่มือ

4. การเก็บรวบรวมและการวเิ คราะห์ข้อมลู
ผู้วิจัยนำคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายใน

สถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศภายใน และแบบประเมินคุณภาพคมู่ ือการนิเทศภายในสถานศึกษา
ตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศภายใน ไปให้ผู้เชี่ยวชาญ
จำนวน 5 คน ประเมินผลคุณภาพคู่มือฯ และไดแ้ บบประเมินคณุ ภาพฯ กลบั มาจำนวน 5 ชดุ คิดเป็น
ร้อยละ 100 จากนั้นนำมาตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบประเมินคุณภาพคู่มือฯ แล้วนำมาหา
ค่าเฉลี่ย () และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน () โดยกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์และแปลผลตามเกณฑ์
ของเบสท์ (John W. Best, 1970 : 190) ดงั น้ี

4.50 – 5.00 หมายถงึ มคี วามถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้
และความเปน็ ประโยชน์อยู่ในระดับมากท่สี ดุ

3.50 – 4.49 หมายถึง มีความถกู ต้อง ความเหมาะสม ความเปน็ ไปได้
และความเป็นประโยชนอ์ ยใู่ นระดบั มาก

2.50 – 3.49 หมายถึง มคี วามถูกต้อง ความเหมาะสม ความเป็นไปได้
และความเป็นประโยชน์อยใู่ นระดับปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถึง มคี วามถูกตอ้ ง ความเหมาะสม ความเปน็ ไปได้
และความเป็นประโยชนอ์ ยใู่ นระดบั นอ้ ย

1.00 – 1.49 หมายถงึ มคี วามถกู ตอ้ ง ความเหมาะสม ความเปน็ ไปได้
และความเปน็ ประโยชน์อยู่ในระดับนอ้ ยทสี่ ุด

78

5. สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล
5.1 การหาคา่ ความสอดคลอ้ งของเนอื้ หา

IOC = ∑ r

N

เมื่อ IOC แทน คา่ ความสอดคล้องระหวา่ งขอ้ คำถามแตล่ ะข้อ
∑ r แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ ของผเู้ ชยี่ วชาญ
N แทน จำนวนผู้เชยี่ วชาญ

5.3 การหาค่าเฉลีย่ ( )

x̅ = ∑ x

n

เม่ือ x̅ แทน คะแนนเฉลี่ย
∑ x แทน ผลรวมของคะแนนในกล่มุ
n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง

5.4 การคา่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ( )

S.D. = √∑(x−x̅)2

n−1

เมือ่ S.D. แทน ขอ้ มูลแต่ละจำนวน
x̅ แทน คะแนนเฉลย่ี
n แทน จำนวนกลุม่ ตัวอยา่ ง

79

ขนั้ ตอนที่ 3 การศกึ ษาผลการใชค้ ู่มอื การนเิ ทศภายในสถานศกึ ษาตามระบบการประกัน
คณุ ภาพภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมติ ร

ขั้นตอนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการ
ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร ปีการศึกษา 2562 โดย
เปรียบเทียบผลการดำเนินงานระหว่างปีการศึกษา 2561 กับ ปกี ารศกึ ษา 2562 และการศึกษาความ
พึงพอใจต่อการใช้คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา
ด้วยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร

1. ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง
1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัยขั้นตอนนี้ ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน

49 คน หัวหน้างานวิชาการของโรงเรียน จำนวน 49 คน และครูผู้สอน (ไม่นับรวมครูหัวหน้างาน
วิชาการ) จำนวน 860 คน ซึ่งประชากรทั้งหมดมีสถานภาพอยู่ในปีการศึกษา 2562 รวมประชากร
ทุกกลุ่มทงั้ สิ้น 958 คน

1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยขั้นตอนนี้ จำแนกกลุ่มตัวอย่างตามขนาดของ
โรงเรียนโดยแบ่งออกเป็น 3 ขนาด รวมกลุ่มตัวอยา่ งทุกกลุม่ ทั้งส้ิน จำนวน 476 คน มีรายละเอียดใน
การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอยา่ งในการวิจัยขัน้ ตอนนี้ ดังนี้

1.2.1 สถานศึกษาขนาดเล็ก จำนวน 3 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหาร
สถานศึกษา จำนวน 3 คน หัวหน้างานวิชาการ จำนวน 3 คน และครูผู้สอน (ไม่นับรวมหัวหน้า
วิชาการ) จำนวน 9 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งกลุ่ม
ตวั อยา่ งทงั้ หมดมสี ถานภาพอยู่ในปกี ารศึกษา 2562 รวมกลมุ่ ตวั อยา่ งทุกกลุม่ ท้งั สิน้ 15 คน

1.2.2 สถานศึกษาขนาดกลาง จำนวน 29 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหาร
สถานศึกษา จำนวน 29 คน หัวหน้างานวิชาการ จำนวน 29 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) และครูผู้สอน (ไม่นับรวมหัวหน้าวิชาการ) กำหนดขนาดกลุ่ม
ตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie, R.V. และ Morgan, D.W. (1970 : 608) ได้กลุ่มตัวอย่าง
จำนวน 205 คน ซ่งึ กลุ่มตัวอยา่ งทง้ั หมดมสี ถานภาพอยใู่ นปกี ารศึกษา 2562 รวมกลุ่มตัวอยา่ งทกุ กลุ่ม
ทัง้ สนิ้ 263 คน

1.2.3 สถานศึกษาขนาดใหญ่ จำนวน 6 โรงเรียน ประกอบด้วย ผู้บริหาร
สถานศึกษา จำนวน 6 คน หัวหน้างานวิชาการ จำนวน 6 คน ได้กลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) และครูผู้สอน (ไม่นับรวมหัวหน้าวิชาการ) กำหนดขนาดกลุ่ม
ตัวอย่างตามตารางสำเร็จรูปของ Krejcie, R.V. และ Morgan, D.W. (1970 : 608) ได้กลุ่มตัวอย่าง

80

จำนวน 186 คน ซ่ึงกลุม่ ตัวอยา่ งทั้งหมดมสี ถานภาพอย่ใู นปกี ารศึกษา 2562 รวมกลุม่ ตัวอยา่ งทุกกลุ่ม
ท้งั ส้นิ 198 คน

ตารางที่ 2 ประเภทและจำนวนของประชากรและกลุม่ ตัวอย่าง ขนั้ ตอนที่ 3

ประเภท ประชากร (N) กลุ่มตัวอย่าง (n)

โรงเรยี นขนาดเลก็

1) ผู้บรหิ ารสถานศึกษา 6 3

2) หัวหนา้ งานวชิ าการ 6 3

3) ครผู สู้ อน 23 9

โรงเรยี นขนาดกลาง

1) ผู้บริหารสถานศกึ ษา 34 29

2) หวั หน้างานวิชาการ 34 29

3) ครผู ู้สอน 449 205

โรงเรยี นขนาดใหญ่

1) ผู้บริหารสถานศกึ ษา 9 6

2) หวั หนา้ งานวิชาการ 9 6

3) ครูผู้สอน 388 186

รวม 958 476

2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั
2.1 แบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายใน

สถานศึกษา ซึ่งเป็นแบบสอบถามฉบับเดยี วกับการวิจัยในขั้นตอนที่ 1 มีจำนวน 3 ตอน คือ ตอนที่ 1
เป็นแบบสอบถามเกย่ี วกับสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม ชนิดเลอื กตอบ (Check List) ตอนท่ี 2 เป็น
แบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในสถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตรา
ส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s) จำนวน 15 ข้อ และตอนที่ 3 เป็น
แบบสอบถามปลายเปิดเกย่ี วกับข้อเสนอแนะ

2.2 แบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องสภาพการดำเนินงานตามระบบการประกัน
คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา ซงึ่ เปน็ แบบสอบถามฉบบั เดยี วกบั การวิจยั ในขนั้ ตอนท่ี 1 มีจำนวน 3 ตอน
คือ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม ชนิดเลือกตอบ (Check List)
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสภาพการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน

81

สถานศึกษา มีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท (Likert’s)
จำนวน 16 ข้อ และตอนที่ 3 เปน็ แบบสอบถามปลายเปดิ เก่ยี วกบั ข้อเสนอแนะ

2.3 แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังการใช้คู่มือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศภายใน เป็น
แบบทดสอบชนิด 4 ตวั เลือก (Multiple Choices) มขี อ้ คำถามจำนวน 40 ข้อ

2.4 แบบสอบถามเพื่อการวจิ ัยเรื่องความพงึ พอใจท่มี ีต่อการใช้คู่มือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
มีจำนวน 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม ชนิด
เลือกตอบ (Check List) ตอนที่ 2 เป็นการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการใช้คู่มือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
มลี ักษณะเปน็ มาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดับ ตามแนวคิดของลเิ คริ ท์ (Likert’s) จำนวน 12 ขอ้ และ
ตอนที่ 3 เปน็ แบบสอบถามปลายเปดิ เกย่ี วกับข้อเสนอแนะ

3. การสรา้ งและพฒั นาเคร่อื งมือวิจยั
3.1 แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังการใช้คู่มือการนิเทศภายใน

สถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศภายใน
3.1.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ

นิเทศภายในสถานศึกษา ระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา การสร้างแบบทดสอบวัด
ความรู้ ความเขา้ ใจ

3.1.2 สรา้ งแบบทดสอบวัดความรู้ ความเขา้ ใจก่อนและหลังการใช้คู่มือการ
นิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนิเทศแบบ
กลั ยาณมติ ร เป็นแบบทดสอบชนิด 4 ตวั เลอื ก (Multiple Choices) มขี อ้ คำถามจำนวน 50 ขอ้

3.1.3 หาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบ
โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องตามโครงสร้างและเนื้อหา โดยคำนวณหา
คา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งข้อคำถามกับประเดน็ หลัก (IOC) โดยใชว้ ิธขี อง โรวเิ นลลี และแฮมเบิล
ตัน (Rovinelli and Hambleton) ได้ค่าความสอดคล้องเท่ากับ 0.94 และคัดเลือกข้อที่มีค่าความ
สอดคล้องระหวา่ ง 0.80 – 1.00 จำนวน 40 ข้อ

3.1.4 นำแบบวัดความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังการใช้คู่มือการนิเทศ
ภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบ
กัลยาณมิตร ไปทดลองใช้ (Try Out) กับประชากรที่ไม่ใช้กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ประกอบด้วย
ผู้บริหารสถานศึกษา หวั หน้าวชิ าการ และครูผ้สู อน ของโรงเรยี นในสังกัดสำนักงานเขตพน้ื ท่กี ารศึกษา

82

ประถมศึกษาภูเก็ต โดยจำแนกเป็นสถานศกึ ษาขนาดเลก็ จำนวน 2 โรงเรียน สถานศึกษาขนาดกลาง
จำนวน 5 โรงเรียน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ จำนวน 3 โรงเรียน รวม 10 โรงเรียน โรงเรียนละ 3 ชุด
รวมจำนวนแบบสอบถามทีใ่ ช้ในการทดลองใช้ทง้ั สนิ้ 30 ชดุ

3.1.5 นำผลการทดลองใช้ (Try Out) มาวิเคราะห์เพื่อหาค่าความยากง่าย (P) ได้
เท่ากับ .58 และค่าอำนาจจำแนก (r) ได้เท่ากับ .79 และคัดเลือกเฉพาะข้อที่มีความยากง่ายระหว่าง .20 -
.80 และค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ .20 ขึ้นไป และหาค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดความรู้ ความเข้าใจฯ โดยใช้
สูตร KR – 20 ของ คูเดอร์ - ริชาร์ดสัน (Kuder – Richardson) (เยาวดี รางชัยกุล วิบูลย์ศรี, 2559 : 111)
มีค่าความเชอื่ ม่ันเทา่ กบั .807

3.1.6 แบบวัดความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังการใช้คู่มือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
ฉบบั สมบูรณ์ เพือ่ นำไปใชท้ ดลองกบั กลุ่มตัวอย่างท่ใี ช้ในการวิจัยตอ่ ไป

3.2 แบบสอบถามเพ่ือการวิจยั เร่ืองความพงึ พอใจทม่ี ีต่อการใชค้ ู่มือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกลั ยาณมิตร

3.2.1 ศึกษาเอกสาร ตำรา แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการ
ประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และการประเมินความพึงพอใจ และดำเนินการสร้างสอบถาม
เพื่อการวิจัยเรื่องความพึงพอใจที่มีต่อการใช้คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกัน
คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร

3.2.2 สร้างแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องความพึงพอใจที่มีตอ่ การใช้คู่มือ
การนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศ
แบบกัลยาณมิตร มีจำนวน 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพผู้ตอบ
แบบสอบถาม ชนิดเลือกตอบ (Check List) ตอนที่ 2 เป็นการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการใช้
คู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการ
นิเทศแบบกัลยาณมิตร มีลักษณะเป็นมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของลิเคิร์ท
(Likert’s) จำนวน 12 ข้อ และตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามปลายเปิดเกี่ยวกับข้อเสนอแนะ โดยผู้วิจยั
กำหนดระดบั นำ้ หนักคะแนนและการแปลความหมาย ดังนี้

ระดับ 5 หมายถงึ มีความพึงพอใจอย่ใู นระดับมากท่สี ุด
ระดับ 4 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยู่ในระดบั มาก
ระดบั 3 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง
ระดบั 2 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยใู่ นระดับน้อย
ระดับ 1 หมายถึง มีความพึงพอใจอยใู่ นระดับน้อยทีส่ ุด

83

3.2.3 นำแบบสอบถามทส่ี ร้างขนึ้ ไปหาความเที่ยงตรงเชงิ เน้ือหา (Content
Validity) ของแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องความพึงพอใจที่มีต่อการใช้คู่มือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
โดยให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ตรวจสอบความถูกต้องตามโครงสร้างและเนื้อหา คำนวณหาค่า
ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อความกับประเด็นหลัก (IOC) โดยใช้วิธีของโรวิเนลลี และแฮมเบิลตัน
(Rovinelli and Hambleton) ได้ค่าความสอดคล้องเท่ากับ 0.95 และคัดเลือกเอาแบบประเมินที่ได้
คา่ ระหวา่ ง 0.80 -1.00 จำนวน 12 ขอ้ มาปรับปรงุ แกไ้ ขตามข้อเสนอแนะของผ้เู ชี่ยวชาญ

3.2.4 นำแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องความพึงพอใจที่มีต่อการใช้คู่มือ
การนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศ
แบบกัลยาณมิตร ไปทดลองใช้ (Try Out) กับประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ประกอบด้วย
ผบู้ รหิ ารสถานศกึ ษา หัวหนา้ วิชาการ และครผู สู้ อน ของโรงเรียนในสงั กดั สำนกั งานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ประถมศึกษาภูเก็ต โดยจำแนกเป็นสถานศึกษาขนาดเลก็ จำนวน 2 โรงเรียน สถานศึกษาขนาดกลาง
จำนวน 5 โรงเรียน และสถานศึกษาขนาดใหญ่ จำนวน 3 โรงเรียน รวม 10 โรงเรียน โรงเรียนละ 3 ชุด
รวมจำนวนแบบสอบถามที่ใช้ในการทดลองใช้ทั้งสิ้น 30 ชุด เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น โดยวิธีการ
คำนวณหาคา่ สัมประสทิ ธ์ิแอลฟา (α - coefficient) โดยวิธีการของครอนบาค (Cronbach) (ทิพย์สิริ
กาญจนวาสี และศิริชัย กาญจนวาสี, 2559 : 148) ไดค้ ่าความเช่อื มั่นเทา่ กับ .769

3.2.5 จดั ทำแบบสอบถามเพ่อื การวิจยั เรื่องความพึงพอใจที่มีต่อการใช้คู่มือ
การนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศ
แบบกลั ยาณมติ รฉบบั สมบูรณ์ เพอ่ื นำไปใชท้ ดลองกบั กล่มุ ตัวอย่างท่ีใช้ในการวจิ ยั ต่อไป

4. การเกบ็ รวบรวมและการวเิ คราะห์ข้อมลู
4.1 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องการนิเทศภายใน

สถานศึกษา ผู้วิจัยสำรวจความถูกต้องและความสมบูรณ์ของแบบสอบถามที่ได้รับกลับคืน และ
ดำเนนิ การวเิ คราะห์ข้อมลู ดงั น้ี

4.1.1 ตอนที่ 1 ใช้การแจกแจงความถ่ีของสถานภาพผ้ตู อบแบบสอบถาม
4.1.2 ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (μ , x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(σ , S.D.) โดยกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์และแปลผลตามเกณฑ์ของเบส (John W. Best. 1970 :
190) ดงั น้ี

84

4.50 – 5.00 หมายถงึ มีการปฏิบัต/ิ ผลการปฏบิ ัติ
อยู่ในระดับมากท่ีสดุ

3.50 – 4.49 หมายถึง มีการปฏบิ ัติ/ผลการปฏิบตั ิ
อยใู่ นระดบั มาก

2.50 – 3.49 หมายถึง มีการปฏิบตั ิ/ผลการปฏบิ ัติ
อยู่ในระดับปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถึง มกี ารปฏบิ ตั /ิ ผลการปฏิบัติ
อยู่ในระดบั น้อย

1.00 – 1.49 หมายถึง มีการปฏิบตั ิ/ผลการปฏิบัติ
อยู่ในระดบั น้อยทีส่ ุด

4.1.3 ตอนท่ี 3 ใช้การพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis)
4.2 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามเพือ่ การวิจยั เรื่องสภาพการดำเนินงาน
ตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ผู้วิจัยสำรวจความถูกต้องและความสมบูรณ์
ของแบบสอบถามทไ่ี ดร้ ับกลบั คนื และดำเนนิ การวิเคราะหข์ ้อมลู ดังน้ี

4.2.1 ตอนที่ 1 ใชก้ ารแจกแจงความถีข่ องสถานภาพผู้ตอบแบบสอบถาม
4.2.2 ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (μ , x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(σ , S.D.) โดยกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์และแปลผลตามเกณฑ์ของเบส (John W. Best. 1970 :
190) ดงั น้ี

4.50 – 5.00 หมายถงึ มกี ารปฏิบตั /ิ ผลการปฏบิ ัติ
อยู่ในระดับมากทสี่ ดุ

3.50 – 4.49 หมายถงึ มกี ารปฏิบตั /ิ ผลการปฏบิ ัติ
อยใู่ นระดบั มาก

2.50 – 3.49 หมายถงึ มกี ารปฏิบัติ/ผลการปฏบิ ตั ิ
อยใู่ นระดบั ปานกลาง

1.50 – 2.49 หมายถึง มีการปฏิบัติ/ผลการปฏิบัติ
อย่ใู นระดบั น้อย

1.00 – 1.49 หมายถงึ มกี ารปฏบิ ตั /ิ ผลการปฏบิ ตั ิ
อย่ใู นระดับน้อยท่สี ุด

4.2.3 ตอนท่ี 3 ใชก้ ารพรรณนาวเิ คราะห์ (Descriptive Analysis)

85

4.3 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบวัดความรู้ ความเข้าใจก่อนและหลังการใช้คู่มือ
การนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้วยกระบวนการนิเทศแบบ
กัลยาณมิตร ผู้วิจัยสำรวจความถูกต้องและความความสมบูรณ์ของคำตอบ และวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย
(x̅) ของคะแนนก่อนและหลังการใช้คู่มือ จากนั้นจึงทำการเปรยี บเทยี บคะแนนระหว่างก่อนและหลัง
การใชค้ ่มู ือฯ โดยการวิเคราะห์คา่ ร้อยละความกา้ วหน้าของกลมุ่ ตวั อย่าง

4.4 การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามเพื่อการวิจัยเรื่องความพึงพอใจที่มีต่อ
การใช้คู่มือการนิเทสภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วย
กระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร ผู้วิจัยสำรวจความถูกต้องและความสมบูรณ์ของแบบสอบถามท่ี
ไดร้ บั กลับคืน และดำเนนิ การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ดังนี้

4.1.1 ตอนท่ี 1 ใช้การแจกแจงความถขี่ องสถานภาพผตู้ อบแบบสอบถาม
4.1.2 ตอนที่ 2 วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (μ , x̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
(σ , S.D.) โดยกำหนดเกณฑ์การวิเคราะห์และแปลผลตามเกณฑ์ของเบส (John W. Best. 1970 :
190) ดังนี้

4.50 – 5.00 หมายถงึ มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดับมากท่สี ดุ
3.50 – 4.49 หมายถงึ มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั มาก
2.50 – 3.49 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจอยู่ในระดบั ปานกลาง
1.50 – 2.49 หมายถึง มีความพงึ พอใจอยใู่ นระดบั น้อย
1.00 – 1.49 หมายถงึ มีความพึงพอใจอย่ใู นระดบั นอ้ ยท่สี ดุ
4.2.3 ตอนท่ี 3 ใชก้ ารพรรณนาวเิ คราะห์ (Descriptive Analysis)

5. สถติ ทิ ี่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล
5.1 การหาคา่ ความสอดคลอ้ งของเนอื้ หา

IOC = ∑ r

N

เม่ือ IOC แทน คา่ ความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามแต่ละขอ้
∑ r แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผ้เู ช่ยี วชาญ
N แทน จำนวนผูเ้ ชี่ยวชาญ

86

5.2 การหาค่าสัมประสิทธแิ์ อลฟา (α = coefficient) ตามวิธีการของ

ครอนบาร์ค (Cronbach)

α = k (1 − ∑sst2i2)
k−1

เมอ่ื α แทน ค่าสัมประสิทธแิ์ อลฟ่า
k แทน จำนวนข้อของแบบสอบถาม

∑ si2 แทน ผลรวมของความแปรปรวนแต่ละขอ้
st2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม

5.3 การหาค่าเฉล่ีย ( , x̅)
x̅ = ∑ x

n

เม่ือ x̅ แทน คะแนนเฉลย่ี
∑ x แทน ผลรวมของคะแนนในกลมุ่
n แทน จำนวนกลุ่มตวั อยา่ ง

5.4 การคา่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ( , S.D.)
S.D. = √∑(x−x̅)2

n−1

เมื่อ S.D. แทน ขอ้ มลู แต่ละจำนวน
x̅ แทน คะแนนเฉล่ีย
n แทน จำนวนกลุ่มตัวอยา่ ง

5.5 การหาค่าความยากงา่ ย (P)
P= R

N

เมือ่ P แทน คา่ ความยากงา่ ยของคำถามแต่ละข้อ
R แทน จำนวนครทู ต่ี อบข้อสอบนนั้ ได้ถูกต้อง
N แทน จำนวนครทู ตี่ อบขอ้ สอบท้ังหมด

87

5.6 การหาค่าอำนาจจำแนก (r)

r= RH − RL

N

2

เม่ือ r แทน คา่ อำนาจจำแนก
แทน จำนวนครทู ่ีตอบถูกในกลุม่ เก่ง
RH แทน จำนวนครทู ต่ี อบถูกในกลุม่ ออ่ น
RL แทน จำนวนครทู ี่อยนู่ กลุ่มอ่อน
N

5.7 การหาค่าความเชอ่ื มั่นโดยสตู ร KR – 20 ของคูเดอร์ - ริดชารด์ สัน

rtt = n (1 − ∑sp2q)

n−1

เมื่อ r แทน ความความเช่อื มน่ั ของแบบทดสอบ
n แทน จำนวนขอ้ สอบท้ังหมด
p แทน สดั สว่ นทค่ี นตอบข้อสอบถกู ในแต่ละข้อ

q (จำนวนคนท่ที ำถกู /จำนวนคนทำทง้ั หมด)
s2 แทน สดั สว่ นทค่ี นตอบผดิ ในแต่ละขอ้ (1-p)

แทน ความแปรปรวนทง้ั ฉบับ

5.8 การหาค่าร้อยละความกา้ วหน้าของคะแนนเฉลี่ยก่อนและหลงั การใชค้ ูม่ ือ

รอ้ ยละความก้าวหน้า = คะแนนหลงั การใช้ – คะแนนกอ่ นการใช้ X100
คะแนนเต็ม

88

บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ข้อมลู

การพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา
ด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานการ
นิเทศภายในสถานศึกษาและการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายในของสถานศึกษา
2) เพื่อสร้างและพัฒนาคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนเิ ทศแบบกัลยาณมิตร และ 3) เพ่ือศึกษาผลการใชค้ มู่ อื การนเิ ทศภายใน
สถานศกึ ษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาดว้ ยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
ผวู้ จิ ัยไดผ้ ลการวเิ คราะห์ข้อมูล จำแนกเป็น 9 ตอน ดังนี้

ตอนที่ 1 ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในสถานศึกษา
ปีการศึกษา 2561

ตอนที่ 2 ผลการศึกษาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศกึ ษา ปีการศกึ ษา 2561

ตอนที่ 3 ผลการประเมินคุณภาพคู่มือการนิเทศภายในสถานศึกษาตามระบบการ
ประกันคณุ ภาพการศกึ ษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร

ตอนที่ 4 ผลการศึกษาสภาพการดำเนินงานการนิเทศภายในสถานศึกษา
ปกี ารศึกษา 2562

ตอนที่ 5 ผลการศึกษาการดำเนินงานตามระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศกึ ษา ปีการศกึ ษา 2562

ตอนที่ 6 ผลการเปรียบเทียบการวัดความรู้ ความเข้าใจที่มีต่อการใช้คู่มือการนิเทศ
ภายในสถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบ
กัลยาณมิตร

ตอนที่ 7 ผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการใช้คู่มือการนิเทศภายใน
สถานศึกษาตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาด้วยกระบวนการนิเทศแบบ
กัลยาณมติ ร ปกี ารศึกษา 2562

ตอนที่ 8 ผลการเปรียบเทียบการดำเนินการนิเทศภายในสถานศึกษาและการ
ดำเนินการตามระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษา ปกี ารศกึ ษา 2561 – 2562

ตอนท่ี 9 ข้อเสนอแนะ


Click to View FlipBook Version