รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซซ สำรบัญแผนภำพ (ต่อ) หน้า แผนภำพที่ 4.17 คะแนนเฉลี่ยของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมและค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน จ าแนกตามองค์ประกอบ 248 แผนภำพที่ 4.18 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมื่นความซื่อสัตย์สุจริต จ าแนกตามหลักสูตรในกลุ่มการจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) 258 แผนภำพที่ 4.19 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมื่นความซื่อสัตยสุจริต จ าแนกตามหลักสูตรในกลุ่มการจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) และช่วงชั้น 259 แผนภำพที่ 4.20 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมื่นความซื่อสัตยสุจริต จ าแนกตามหลักสูตรในกลุ่มการจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) และสังกัด 259 แผนภำพที่ 4.21 ร้อยละของประชาชนมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมใน การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จ าแนกตามหลักสูตรในกลุ่มหลักสูตร การฝึกอบรม 261 แผนภำพที่ 5.1 สรุปผลการประเมินบริบทสภาพแวดล้อม (Strengths Weaknessess Opportunities Threats: SWOT) ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 265 แผนภำพที่ 5.2 ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 266 แผนภำพที่ 5.3 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชา เพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ไปใช้ 268 แผนภำพที่ 5.4 ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ 272 แผนภำพที่ 5.5 คะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทาง รับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้ 274 แผนภำพที่ 5.6 คะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต) ไปใช้ 275 แผนภำพที่5.7 คะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิด ต้านทุจริต) ไปใช้ 276 แผนภำพที่5.8 พัฒนาการการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 278 แผนภำพที่5.9 เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของปีงบประมาณ 2563 - 2565 (5 หลักสูตร) 280
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ฌฌ สำรบัญแผนภำพ (ต่อ) หน้า แผนภำพที่5.10 เปรียบเทียบร้อยละของเด็กและเยาวชนที่มีความรู้ เจตคติและพฤติกรรม ที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต 282 แผนภำพที่5.11 เปรียบเทียบร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมและค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 283 แผนภำพที่ 5.12 ผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Output - Knowledge Attitude Behavior) จ าแนกตาม 4 องค์ประกอบย่อย กลุ่มหลักสูตรการจัด การเรียนการสอน 291 แผนภำพที่ 5.13 ผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Output - Knowledge Attitude Behavior) จ าแนกตาม 4 องค์ประกอบย่อย ในกลุ่มหลักสูตร การฝึกอบรม 292
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 1 บทที่ 1 บทน ำ 1.1 ข้อมูลโครงกำร ยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) ยุทธศาสตร์ที่ 1 “สร้างสังคมไม่ทนต่อการทุจริต” มุ่งเน้นให้ความส าคัญในกระบวนการปรับสภาพสังคมให้เกิด ภาวะที่ “ไม่ทนต่อการทุจริต” โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกระดับช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัย เพื่อสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต และปลูกฝังความพอเพียง มีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต ด าเนินการผ่านสถาบัน หรือกลุ่มตัวแทนที่ท าหน้าที่ในการกล่อมเกลาทางสังคม และได้ก าหนดกลยุทธ์ 4 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 ปรับฐานความคิดทุกช่วงวัยตั้งแต่ปฐมวัย ให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ ส่วนรวม กลยุทธ์ที่ 2 ส่งเสริมให้มีระบบและกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพื่อต้านทุจริต กลยุทธ์ที่ 3 ประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือต้านทุจริต และกลยุทธ์ที่ 4 เสริมพลังการมีส่วนร่วมของ ชุมชน (Community) และบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อต่อต้านการทุจริต โดยกลยุทธ์ที่ 1 กลยุทธ์ที่ 2 และ กลยุทธ์ที่ 3 น าสู่การจัดท าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti - Corruption Education) รวมทั้งการพัฒนา นวัตกรรมและสื่อการเรียนรู้ส าหรับทุกช่วงวัย โดยส านักงาน ป.ป.ช. เป็นองค์กรหลักร่วมกับภาคีเครือข่าย เป็นผู้พัฒนาขึ้นเพื่อน าเสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก่อนน าเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เห็นชอบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti - Corruption Education) ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ประกอบด้วย 5 หลักสูตร ได้แก่ 1. หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2. หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 3. หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) 4. หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลง สู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และ 5. หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาไปพิจารณาด าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และ ประสานงานกับส านักงาน ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ส านักงานต ารวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับส านักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาน าหลักสูตรไปปรับใช้ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตร ข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บรรจุใหม่ ในการน าหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา ที่ผ่านมาส านักงาน ป.ป.ช. ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงหน่วยงานอื่นที่มีสถานศึกษา ในสังกัด โดยได้น าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ที่ผ่านมา (พฤษภาคม 2562) และสถาบันอุดมศึกษาได้น าหลักสูตรอุดมศึกษาไปปรับใช้ ในการเรียนการสอนตามความพร้อมของแต่ละสถาบัน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น าหลักสูตรไปพิจารณา ปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมายในการฝึกอบรมตามความพร้อมและความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน ทั้งหลักสูตร กลุ่มทหารและต ารวจ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช. /บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ และหลักสูตรโค้ช โดยมี รายวิชาที่มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความหมาย และขอบเขตของการกระท าทุจริตใน ลักษณะต่าง ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต ความส าคัญของการต่อต้านการ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 2 ทุจริต 4 ชุดวิชา ได้แก่ 1) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความอาย และความไม่ทนต่อการทุจริต 3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ 4) พลเมืองกับความรับผิดชอบ ต่อสังคม ทั้งนี้ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ได้มุ่งเน้นการพัฒนาคนและการพัฒนาระบบ ในส่วนการพัฒนาคน เน้นการปรับพฤติกรรม “คน” ทุกกลุ่มในสังคม โดยกลุ่มเด็กและเยาวชน เน้นการปลูกฝังและหล่อหลอมให้มีจิตส านึกและพฤติกรรม ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตผ่านหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติตั้งแต่ปฐมวัยจนถึง อุดมศึกษา กลุ่มประชาชนทั่วไป เน้นการสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมสุจริต ควบคู่กับส่งเสริมการมีส่วนร่วม ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ กลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาลใน การบริหารงาน รู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากหน้าที่การงาน พร้อมกับสร้างจิตส านึกและค่านิยมของ บุคลากรในการต่อต้านการทุจริต สนับสนุนการมีส่วนร่วมเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง สอดส่อง และแจ้งเบาะแส การทุจริต ดังนั้น เพื่อให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม มีความถูกต้องตามหลักวิชาการ เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ ส านักงาน ป.ป.ช. จึงได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดย รศ.ดร.ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ และคณะเป็น ที่ปรึกษาด าเนินการก ากับติดตาม รับทราบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะแนวทางการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ รวมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 1.2 วัตถุประสงค์ 1.2.1 เพื่อก ากับ ติดตาม รับทราบปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะแนวทางการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ 1.2.2 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 1.3 ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 1.3.1 รับทราบผลการก ากับ ติดตาม และปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 1.3.2 รับทราบผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 1.3.3 ส านักงาน ป.ป.ช. ได้ข้อเสนอแนะแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา และการเพิ่มประสิทธิผลจากการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 1.3.4 การพัฒนาและต่อยอดระบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม TYintegrity ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ทั้ง 5 หลักสูตร 1.4 ขอบเขตกำรศึกษำ ด้ำนกำรประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ 1.4.1 ขอบเขตด้ำนเนื้อหำและระเบียบวิธีศึกษำ คณะผู้วิจัยได้เสนอวิธีการศึกษาให้ครอบคลุมวัตถุประสงค์ของการศึกษาทั้งเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และวิธีการศึกษาเชิงส ารวจ (Survey Research) โดยใช้ สถิติเป็นเครื่องมือช่วยในการออกแบบการศึกษา การตั้งค าถามการศึกษา การพรรณนาความ การอธิบายข้อมูล ที่ได้จากการศึกษาในเชิงสถิติและตัวเลข และการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ที่ได้จากการศึกษา
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 3 และทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งใช้วิธีการศึกษาเชิงภาคสนาม (Field Research) หรือวิธีการศึกษา เชิงการตีความ (Interpretive Research) โดยการสังเกต (Observation) การสัมภาษณ์เจาะลึกบุคคล (In-Depth Interview) เป็นต้น เพื่ออธิบายและวิเคราะห์บริบท ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะแนวทางการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ตลอดจนประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 1.4.2 ขอบเขตด้ำนประชำกรและตัวอย่ำง 1.4.2.1 กลุ่มตัวอย่ำงเชิงปริมำณ การก าหนดขนาดตัวอย่างของการวิจัย ด้วยวิธีการสุ่ม ตัวอย่างโดยอาศัยความน่าจะเป็น (Probability Sampling) ตามระเบียบวิธีการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยพิจารณาขนาดตัวอย่างจากข้อมูลจ านวนหน่วยตัวอย่างทั้งหมด (Sampling Unit) โดยก าหนดขนาดตัวอย่างขั้นต่ า จ าแนกตามแต่ละหลักสูตร ดังนี้ 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ได้แก่ นักเรียน โดยจ าแนกตามสังกัดต่าง ๆ ดังนี้ (1) ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จ านวนไม่น้อยกว่า 15,000 คน *กระจายกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมในมิติเชิงพื้นที่ทั่วประเทศ (2) ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จ านวนไม่น้อยกว่า 1,250 คน *กระจายกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมในมิติเชิงพื้นที่ของสถานศึกษาที่น าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน (3) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด/ เทศบาลนคร/เทศบาลเมือง/เทศบาลต าบล/องค์การบริหารส่วนต าบล จ านวนรวมไม่น้อยกว่า 2,000 คน *กระจายกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมในมิติเชิงพื้นที่ของสถานศึกษาที่น าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน (4) กรุงเทพมหานคร จ านวนไม่น้อยกว่า 1,500 คน 2) หลักสูต รอุดมศึกษ า (วัยใสใจสะอาด "Youngster with Good Heart") ประกอบด้วย นิสิต/นักศึกษา จ านวนไม่น้อยกว่า 525 คน *กระจายกลุ่มตัวอย่างอย่างครอบคลุมในมิติเชิงพื้นที่ของสถานศึกษาที่น าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน 3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ประกอบด้วย บุคลากรสังกัดกระทรวงกลาโหมและส านักงานต ารวจแห่งชาติ ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา จ านวนไม่น้อยกว่า 200 คน *กระจายกลุ่มตัวอย่างอย่างครอบคลุมหน่วยงานที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ในหลักสูตรการฝึกอบรม รวมทั้งจ านวนครั้งที่จัดอบรมของแต่ละหน่วยงาน 4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช/บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ประกอบด้วย บุคลากรสังกัดหน่วยงานภาครัฐระดับกระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา ไม่น้อยกว่า 775 คน *กระจายกลุ่มตัวอย่างอย่างครอบคลุมหน่วยงานที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ในหลักสูตรการฝึกอบรม รวมทั้งจ านวนครั้งที่จัดอบรมของแต่ละหน่วยงาน 5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ประกอบด้วย โค้ช/กรรมการ/สมาชิก ชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต จ านวนไม่น้อยกว่า 385 คน *กระจายกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมในมิติเชิงพื้นที่ทั่วประเทศ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 4 1.4.2.2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส ำคัญเชิงคุณภำพ ที่ปรึกษาต้องศึกษากลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยใช้ลักษณะการด ารงต าแหน่ง และสถานะของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ เพื่อให้ข้อมูลส าคัญเชิงคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ อย่างน้อย ดังนี้ 1) กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Stakeholders) จ าแนกตาม แต่ละหลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนักเรียน (2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด "Youngster with Good Heart") ประกอบด้วย ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนิสิต/นักศึกษา (3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และบุคลากรสังกัดกระทรวงกลาโหมและส านักงานต ารวจ แห่งชาติ ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช/บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และบุคลากรสังกัด ภาครัฐระดับกระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ ที่ผ่าน การฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแล หลักสูตร และโค้ช/กรรมการ/สมาชิก ชมรม STRONG - จิตพอเพียงต้านทุจริต 2) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ ด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียน การสอน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยต้องมีต าแหน่งทางวิชาการ ไม่ต่ ากว่ารองศาสตราจารย์ หรือครูช านาญการพิเศษ หรือข้าราชการพลเรือนระดับช านาญการพิเศษ หรือ เทียบเท่า จ านวนไม่น้อยกว่า 9 คน 3) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ ตามที่ที่ปรึกษาเห็นควร โดยความเห็นชอบจาก ส านักงาน ป.ป.ช. 1.4.3 ขอบเขตด้ำนกำรก ำหนดกรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในกำรประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้ำนทุจริตศึกษำ การก าหนดกรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากการ ทบทวนเนื้อหาและแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1.4.3.1 ทบทวนเนื้อหาและถอดบทเรียนตลอดจนวิเคราะห์ข้อมูลการด าเนินการที่เกี่ยวข้อง กับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากชุดข้อมูล ดังนี้ 1) หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 5 หลักสูตร 2) รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 3) รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 4) รายงานการก ากับติดตามการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2562-2564
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 5 5) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) 6) รายงานผลการประเมินตัวชี้วัดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น ที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทย มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความชื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 7) รายงานผลการประเมินตัวชี้วัดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็น ที่ 21 ต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 1.4.3.2 ทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วย 1) แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรการศึกษา และหลักสูตรการฝึกอบรม 2) แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการศึกษาและพัฒนาการเรียนรู้ 3) แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมศาสตร์ 4) แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต 5) ตัวอย่างการจัดการเรียนการสอน การฝึกอบรมและการพัฒนาหลักสูตร (Best Practice) ในประเทศและต่างประเทศ อย่างน้อย 3 กรณีศึกษา 6) งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศอย่างน้อย 10 เรื่อง และต่างประเทศอย่างน้อย 10 เรื่อง 1.4.4 ขอบเขตด้ำนกำรพัฒนำเครื่องมือและเกณฑ์กำรประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้ำนทุจริต ศึกษำ 1.4.4.1 พัฒนาเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประกอบด้วย การพัฒนา ข้อค าถามในการส ารวจส าหรับการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative research) และข้อค าถามในการ สัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญเชิงคุณภาพ ส าหรับการศึกษาเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จากแนวคิดและทฤษฎีในข้อ 1.4.3 และแนวคิดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จ าแนกตามแต่ละหลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด "Youngster with Good Heart") 3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) 4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช/บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น า การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) 5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ทั้งนี้ ข้อค าถามในการส ารวจต้องสอดคล้องกับเครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัด แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความชื่อสัตย์สุจริต และตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ และต้องมุ่งเน้นการตรวจสอบและอภิปรายผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนว่ามีความรู้ คุณลักษณะ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 6 ที่พึงประสงค์ รวมถึงสมรรถนะที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยสะท้อนผ่านผลการประเมินระดับพฤติกรรม ดังต่อไปนี้ (1) ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความชื่อสัตย์สุจริต ส าหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด "Youngster with Good Heart") (2) ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ส าหรับหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทาง รับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ซเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) 1.4.4.2 สร้างเกณฑ์การประเมินผลสัมฤทธิ์ การให้คะแนน การแปลความหมาย การแปลผล ทั้งรูปแบบเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และการอ่านค่าผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในรูปแบบแผนภาพ หรือรูปแบบกราฟต่าง ๆ 1.4.4.3 ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ด้วยการทดสอบ หาความเที่ยงตรง (Validity) ความเชื่อมั่น (Reliability) ความเข้าใจที่ตรงกันหรือความเป็นปรนัย (Objectivity) ของเครื่องมือในข้อ 1.4.4.1 และ 1.4.4.2 1.4.5 ขอบเขตด้ำนกำรเก็บข้อมูล กำรประมวลผลข้อมูล และกำรจัดท ำรำยงำน 1.4.5.1 ขอบเขตต้านการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Data Collection) ด าเนินการส ารวจ (Suvey Research) กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณในข้อ 1.4.2 โดยใช้แบบสอบถามหรือแบบ ส ารวจอย่างมีโครงสร้าง (Structured Interview) ซึ่งแบ่งลักษณะของแบบสอบถามออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบสอบถามปลายเปิด (Open-ended) และแบบสอบถามปลายปิด (Close-ended) และจัดเก็บข้อมูลใน รูปแบบออนไลน์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยความเห็นชอบจากส านักงาน ป.ป.ช. 1.4.5.2 ขอบเขตด้านการเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Data Collection) 1) ด าเนินการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ เชิงคุณภาพ ในข้อ 1.4.2 โดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-Structured Interview) ซึ่งกระจาย กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญอย่างเหมาะสมและครอบคลุมทั้งในมิติเชิงพื้นที่และในมิติของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ โดยความเห็นชอบจาก ส านักงาน ป.ป.ช. 2) ด าเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ ด้านการศึกษา การพัฒนา หลักสูตรและการเรียนการสอน เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในข้อ 1.4.2 1.4.5.3 การประมวลผลข้อมูล 1) ด าเนินการประมวผลข้อมูลทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ดังนี้ (1) การประมวลผลเชิงปริมาณ ใช้โปรแกรมวิเคราะห์ทางสถิติในการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ทั้งในรูปแบบของสถิติเชิงพรรณนา (Desciptive Statistcs) สถิติวิเคราะห์ (Analytical Statistics) และสถิติวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มตัวอย่าง (2) การประมวลผลเชิงคุณภาพ ใช้ระเบียบวิธีศึกษาทางสังคมศาสตร์ในการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยกระบวนการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพื่ออภิปรายผลสัมฤทธิ์ ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 7 ทั้งนี้ ต้องน าผลที่ได้จากการศึกษาเชิงคุณภาพมาอภิปรายปรากฏการณ์และ ผลการศึกษาเชิงปริมาณเพื่อตรวจสอบและอภิปรายผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนและผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ว่ามีความรู้ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ รวมถึงสมรรถนะที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย/ วัตถุประสงค์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หรือไม่ อย่างไร 2) น าผลที่ได้จากการศึกษาเปรียบเทียบกับผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2564 ตามรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ 2564 1.4.5.4 จัดท ารายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Report) โดยอย่างน้อย ต้องประกอบด้วยเนื้อหา ดังนี้ 1) รายงานรายหลักสูตร 2) รายงานรายหน่วยและรายประเภทของสถานศึกษา 3) รายงานรายเขตพื้นที่การศึกษา 4) รายงานจ าแนกตามแนวทางการน าหลักสูตรไปใช้ 5) รายงานรายหน่วยและรายประเภทของหน่วยงานภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจ 6) รายงานในภาพรวมระดับภาค (4 ภาค) กรุงเทพมหานคร และระดับประเทศ 1.4.5.5 น าเสนอข้อมูลสรุปผลการศึกษาในรูปแบบของตาราง ภาพประกอบ และการ ค านวณหาค่าทางสถิติในรูปแบบต่าง ๆ พร้อมทั้งอธิบายความจากค่าสถิติที่ปรากฏ 1.4.5.6 จัดท าบทสรุปผู้บริหาร ในรูปแบบภาษาไทยและภาษาอังกฤษ 1.4.5.7 จัดท าอินโฟกราฟิก (Infographic) ข้อมูลประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 1.4.6 ด้ำนกำรให้ค ำปรึกษำ กำรประชุมชี้แจง กำรประชุมสรุปผลกำรด ำเนินงำน และอื่น ๆ 1.4.6.1 ให้ค าปรึกษาเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา วิธีได้มาซึ่งกลุ่มเป้าหมายในการประเมิน วิธีการจัดเก็บข้อมูล พร้อมจัดให้มีช่องทางส าหรับการติดต่อ สอบถาม ข้อสงสัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน (Help Desk) โดยก าหนดผู้รับผิดชอบในการตอบค าถาม/ให้ค าปรึกษา ที่ชัดเจน 1.4.6.2 จัดประชุมชี้แจงแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาให้ผู้บริหาร และผู้ประสานงานของกลุ่มตัวอย่างได้รับทราบ ในรูปแบบประชุมออนไลน์ 1.4.6.3 จัดประชุมรายงานสรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ต่อส านักงาน ป.ป.ช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กลุ่มเป้าหมายไม่น้อยกว่า 100 คน ในรูปแบบการประชุม ออนไลน์ 1.4.6.4 จัดส่งบทสรุปผู้บริหารให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยความเห็นชอบจากส านักงาน ป.ป.ช. 1.5 ข้อมูลโครงกำร/กำรด ำเนินงำนที่ทบทวนในเบื้องต้น ที่ผ่านมา ส านักต้านทุจริตศึกษา ส านักงาน ป.ป.ช. ได้มีการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผล สัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ซึ่งด าเนินการส าหรับ 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) แต่เนื่องจากการศึกษาดังกล่าว ไม่ได้ก าหนดหน่วยในการศึกษา (Unit of Analysis) เฉพาะ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 8 สถานศึกษาที่มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบ แต่เป็นการศึกษาจากสถานศึกษาที่มีการ น าไปใช้ 6 รูปแบบ คือ 1) บูรณาการกับวิถีชีวิตในโรงเรียน 2) จัดเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร 3) กิจกรรม พัฒนาผู้เรียน 4) บูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระอื่น ๆ 5) บูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระ สังคมศึกษา และ 6) เปิดรายวิชาเพิ่มเติม (ส าหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน การทุจริต)) และ 4 รูปแบบ (ส าหรับหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”)) คือ 1) เปิดเป็น 1 รายวิชา จ านวน 3 หน่วยกิต 2) บูรณาการหรือสอดแทรกเนื้อหากับรายวิชาอื่น ๆ 3) จัดท า เป็นวิชาเลือก และ 4) จัดเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร (ดูรายละเอียดในส านักงาน ป.ป.ช., 2564ก) ในขณะเดียวกัน คณะที่ปรึกษาน าโดย ศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ และคณะ ก็ได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนา เครื่องมือในการประเมินพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย เพื่อน าไปใช้ในการ ประเมินความก้าวหน้า และความส าเร็จตามเป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561 - 2580) ซึ่งผลการประเมินในปี 2563 มีค่าร้อยละอยู่ที่ระดับ 52.1 (ซึ่งเป็นค่าร้อยละที่สูงกว่าค่าเป้าหมายอยู่ร้อยละ 6.1) (ดูรายละเอียดในส านักงาน ป.ป.ช., 2564) แม้ผลการศึกษาดังกล่าวจะสามารถสะท้อนถึงความส าเร็จของการขับเคลื่อนการเข้าสู่สังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริตได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่สามารถที่จะระบุได้อย่างชัดเจนว่า เป็นผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา อันเนื่องจากข้อจ ากัดในการออกแบบตัวอย่างดังได้กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่กระนั้นร้อยละของ เด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตที่ได้จากการศึกษาของส านักงาน ป.ป.ช. (2564ก) ถือว่าเป็น ข้อมูลฐาน (Base line) ของประเทศไทย ระยะเวลาต่อมาในปี พ.ศ. 2564 ส านักต้านทุจริตศึกษา ส านักงาน ป.ป.ช. ยังได้คัดเลือกให้ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท าการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยเน้นไปที่สถานศึกษาที่มีการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบ คือ เปิดรายวิชาเพิ่มเติม ส าหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และเปิดเป็น 1 รายวิชา จ านวน 3 หน่วยกิต ส าหรับหลักสูตร อุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) และขณะเดียวกันยังขยายผลการประเมิน ครอบคลุมถึงสถานศึกษาในสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) รวมถึงหลักสูตร ฝึกอบรมอีก 3 หลักสูตร อันได้แก่ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) รวมถึงการวิเคราะห์เอกสารหลักสูตรเพื่อ ตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรในเรื่องจุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ ผลการเรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา วิธีจัดการเรียนรู้/วิธีการฝึกอบรม ขอบเขตเนื้อหา/เนื้อหาสาระของหลักสูตร สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล ว่ามีความสอดคล้อง เหมาะสม ครอบคลุมและถูกต้องตามหลักการพัฒนาหลักสูตร อย่างไร ภาษาที่ใช้สามารถสื่อสารให้เข้าใจและมีความชัดเจนในการน าไปสู่การปฏิบัติหรือไม่ รวมทั้งความ สอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรที่ดู จากผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน/ผู้เข้ารับการอบรมโดยตรง แต่ยังไม่ได้มีการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (ดูรายละเอียดใน ส านักงาน ป.ป.ช., 2565) นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2563 ส านักงาน ป.ป.ช. ได้ร่วมกับส านักงานสถิติแห่งชาติ ท าการส ารวจ พฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต รวมทั้งการประเมินตัวชี้วัดย่อยที่ 1.2 ร้อยละของประชาชน ที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ าปี งบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยมีขนาดตัวอย่างในการส ารวจถึง 129,358 คน จ าแนกเป็นกลุ่มโค้ชชมรม/ กรรมการชมรม/สมาชิกชมรม ของชมรม STORNG - จิตพอเพียงต้านทุจริต จ านวน 3,756 คน กลุ่มผู้เคยเข้า
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 9 ร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการ STORNG - จิตพอเพียงต้านทุจริต จ านวน 2,058 คน กลุ่มคณะกรรมการชุมชน (กรณีกรุงเทพมหานครหรือในเขตเทศบาล) จ านวน 1,007 คน กลุ่มคณะกรรมการหมู่บ้าน จ านวน 51,345 คน และกลุ่มประชาชนทั่วไป จ านวน 71,193 คน แต่เมื่อวิเคราะห์กลุ่มตัวอย่าง พบว่า เป็นผู้ที่เคย ผ่านการเรียน/การอบรมเนื้อหาตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเพียง 28,675 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 22.2 เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกกว่า 100,000 คน หรือร้อยละ 77.8 เป็นผู้ที่ไม่เคยผ่านการเรียน/อบรมหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาแต่อย่างใด ดังนั้นจึงยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนถึงผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา ดังนั้น เพื่อให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ได้อย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม อธิบายได้ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เป็นไปตามเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ ในปี พ.ศ. 2565 ส านักงาน ป.ป.ช. จึงได้คัดเลือกมหาวิทยาลัยขอนแก่น น าโดยศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ และคณะ ซึ่งถือว่าเป็น ผู้มีประสบการณ์ตรงในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 5 หลักสูตร อันได้แก่ 1) หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) 4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และ 5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการน า หลักสูตรต้านทุจริตไปใช้ ประเมินพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย ประเมิน ความรู้ เจตคติและลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตทั้ง 3 หลักสูตร ซึ่งเป็นผลลัพธ์ ที่เกิดขึ้นจากหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เพราะถือว่าเป็นการพัฒนาต่อยอดการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาให้ครอบคลุมทั้ง 5 หลักสูตร ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ที่สะท้อนออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทยที่ผ่านการเรียนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) รวมถึงหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) และประชาชนที่ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในทั้ง 3 หลักสูตรโดยตรง ที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบ โดยใช้เครื่องมือในการประเมินที่เน้นความเป็นวัตถุพิสัย (Objective) มากกว่าอัตวิสัย (Subjective) นอกจากจะเป็นการต่อยอดการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่สามารถสะท้อนให้เห็น ทั้งความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรคในการน าหลักสูตรไปใช้ และสะท้อนผ่านพฤติกรรมคุณธรรมที่พึงประสงค์ ทั้งของเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไปแล้ว คณะผู้วิจัยยังถือเป็นโอกาสส าคัญในการพัฒนาเครื่องมือ ทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และพัฒนาต่อยอดระบบ TYintegrity ซึ่งเป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศที่มี ลักษณะของการประสานความร่วมมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ทั้งผู้บริหาร ครู/อาจารย์ผู้สอน ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร นักเรียน/นักศึกษา และผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งที่ผ่านมาระบบดังกล่าวนี้แม้จะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้ในการประเมิน ก ากับติดตาม รายงานผล และสื่อสารสาธารณะ แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในภาพรวมทั้งหมด การได้มีโอกาสพัฒนาและขยายระบบให้ครอบคลุมทุกมิติเพื่อให้ได้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และพัฒนาต่อเป็น Learning Platform ใหญ่ของประเทศ จึงถือว่าเป็นโอกาสส าคัญเช่นเดียวกัน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 10 1.6 นิยำมศัพท์เฉพำะ 1.6.1 หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ หมำยถึง หลักสูตรที่ส านักงานคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จัดท าขึ้นเพื่อใช้ในการปลูกฝังและป้องกันให้กับผู้เรียนและผู้ผ่านการฝึกอบรม เพื่อร่วมกันป้องกันหรือต่อต้านการทุจริต มิให้มีการทุจริตเกิดขึ้นในสังคมไทย ร่วมสร้างสังคมไทยที่ไม่ทน ต่อการทุจริต ประกอบด้วย 5 หลักสูตร ดังนี้ 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน การทุจริต) 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 3) หลักสูตรกลุ่มทหาร และต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) 4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และ 5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) 1.6.2 หลักสูตรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) หมายถึง หลักสูตร การเรียนการสอนที่มีจุดมุ่งหมายในการสอนเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต รู้หน้าที่ ของพลเมืองและรับผิดชอบต่อสังคมในการต่อต้านการทุจริต ส าหรับนักเรียนในระดับปฐมวัย ระดับ ประถมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 และระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 โดยใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ จ าแนก แยกแยะ การฝึกปฏิบัติจริง การท าโครงงานกระบวนการเรียนรู้5 ขั้นตอน (5 STEPs) การอภิปราย การสืบสอบ การแก้ปัญหา ทักษะการอ่านและการเขียนเพื่อให้มีความตระหนักและเห็นความส าคัญของการต่อต้านและ การป้องกันการทุจริต 1.6.3 หลักสูตรอุดมศึกษำ (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) หมายถึง หลักสูตร การเรียนการสอนที่มีจุดมุ่งหมายในการสอนเกี่ยวกับการปรับฐานความคิดต้านทุจริตส่วนตนและส่วนรวม สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ยกระดับดัชนีสร้างพลเมืองดีในสังคม และปราบทุจริตด้วยจิตพอเพียง ส าหรับ นักศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย มุ่งเน้นให้นักศึกษาเกิดความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต 1.6.4 หลักสูตรกลุ่มทหำรและต ำรวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) หมายถึง หลักสูตรการฝึกอบรมที่มีจุดมุ่งหมายในการฝึกอบรมเกี่ยวกับการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับ ผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต และพลเมือง กับความรับผิดชอบต่อสังคมในการต่อต้านการทุจริต ส าหรับกลุ่มทหาร (ตามแนวทางรับราชการและหลักสูตร เพิ่มพูนความรู้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว) และกลุ่มต ารวจ (หลักสูตรการฝึกอบรมที่เลื่อนต าแหน่ง สูงขึ้น และหลักสูตรนักเรียนนายสิบต ารวจ) โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย มุ่งเน้นให้ผู้เรียน เกิดความรู้ ทักษะ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต และเสริมพลังคนรุ่นใหม่และน าไปประยุกต์ให้เกิด ประโยชน์ต่อหน่วยงาน สังคมและประเทศชาติ 1.6.5 หลักสูตรวิทยำกร ป.ป.ช./บุคลำกรภำครัฐและรัฐวิสำหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) หมายถึง หลักสูตรการฝึกอบรมที่มีจุดมุ่งหมายในการฝึกอบรม เกี่ยวกับการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อ การทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต ส าหรับบุคลากรส านักงาน ป.ป.ช. กลุ่มข้าราชการและ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และกลุ่มอาจารย์และบุคลากรในระดับอุดมศึกษา โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ หลากหลาย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต และเกิดทักษะการเป็น วิทยากร
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 11 1.6.6 หลักสูตรโค้ช (เพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) หมายถึง หลักสูตรการฝึกอบรมที่มีจุดมุ่งหมายในการ ฝึกอบรมเพื่อการสร้างโค้ชที่มีความสามารถและทักษะเพื่อเป็นตัวแทนของส านักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอด องค์ความรู้ และประสบการณ์เกี่ยวกับการคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความไม่ทนและความละอายต่อการทุจริต และหลักการจิตพอเพียงต้านทุจริต ด้วยเทคนิคและวิธีการที่ เหมาะสม จะช่วยให้ทุกภาคส่วนมีความตระหนักรู้ และเห็นความส าคัญของปัญหาการทุจริต อันจะน าไปสู่ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและเกิดค่านิยมต้านทุจริตให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เกิดความรู้ความเข้าใจ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต และเกิดทักษะการเป็นวิทยากร 1.6.7 กำรแยกแยะระหว่ำงผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม หมายถึง การแสดงออก ถึงความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวมให้ได้ อย่างเด็ดขาด ไม่น ามาปะปนกัน ไม่เอาประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นประโยชน์ส่วนตน ไม่เอาผลประโยชน์ส่วนรวม มาทดแทนบุญคุณส่วนตน ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องเหนือกว่าประโยชน์ส่วนรวม กรณีเกิด ผลประโยชน์ขัดกันต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน 1.6.8 ควำมละอำยและไม่ทนต่อกำรทุจริต หมายถึง การแสดงออกถึงความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม ที่มีความละอายและความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม เพราะเห็นถึงโทษหรือผลกระทบที่จะ ได้รับจากการกระท านั้น จึงไม่กล้าที่จะกระท า ท าให้ตนเองไม่หลงท าในสิ่งที่ผิด นั่นคือ มีความละอายใจ ละอายต่อการท าผิด รวมทั้งการแสดงออกต่อการกระท าที่เกิดขึ้นกับตนเอง บุคคลที่เกี่ยวข้องหรือสังคม ในลักษณะที่ไม่ยินยอม ไม่ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ความไม่ทนสามารถแสดงออกได้หลายลักษณะทั้งในรูปแบบ ของกริยา ท่าทาง หรือค าพูด 1.6.9 จิตพอเพียงต้ำนทุจริต (STRONG จิตพอเพียงต้ำนทุจริต) หมายถึง การแสดงออกถึงความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการปรับประยุกต์หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ประกอบกับหลักการต่อต้าน การทุจริตอื่น ๆ เพื่อสร้างฐานคิดจิตพอเพียงต่อต้านการทุจริตให้เกิดขึ้นเป็นพื้นฐานความคิดของปัจเจกบุคคล โดยประยุกต์หลัก “STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต” ซึ่งคิดค้นโดย รองศาสตราจารย์ ดร.มาณี ไชยธีรา นุวัฒนศิริ ในปี พ.ศ. 2560 มาเป็นแนวทางในการพัฒนาวัฒนธรรมหน่วยงาน 1.6.10 พลเมืองกับควำมรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง การแสดงออกถึงความรู้ เจตคติ และ พฤติกรรมของพลเมืองที่มีคุณลักษณะที่ส าคัญ คือ เป็นผู้ที่ยึดมั่นในหลักศีลธรรมและคุณธรรมของศาสนา มีหลักการทางประชาธิปไตยในการด ารงชีวิต ปฏิบัติตนตามกฎหมาย ด ารงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยมี การช่วยเหลือเกื้อกูลกันอันจะก่อให้เกิดการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ให้เป็นสังคมและประเทศ ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 1.6.11 กำรประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ หมำยถึง การตรวจสอบผลที่เกิดขึ้น จากการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ผ่านการประเมิน 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ และส่วนผลลัพธ์ของหลักสูตร โดยประเมินจากความรู้ เจตคติ/ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้ผ่าน หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ผ่านพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย และวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน 1.6.12 กำรน ำหลักสูตรต้ำนศึกษำไปใช้หมายถึง กิจกรรมที่แสดงถึงศักยภาพของผู้บริหาร ศักยภาพ ของหน่วยงานในการจัด ความพร้อมของระบบสนับสนุนในการน าหลักสูตรต้านทุจริตไปใช้ในสถานศึกษาหรือ การจัดฝึกอบรมในหน่วยงาน ครอบคลุมประเด็นการรับรู้เจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การจัดการ เรียนการสอนหรือการจัดการฝึกอบรม การจัดผู้สอนหรือการจัดวิทยากร การนิเทศหรือการประเมินติดตามผล รวมถึงความพึงพอใจในการน าหลักสูตรไปใช้ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการใช้หลักสูตร
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 12 1.6.13 ศักยภำพผู้บริหำร กำรรับทรำบเจตนำรมณ์ กำรมีส่วนร่วมและกำรเตรียมพร้อมของ สถำนศึกษำ หมายถึง การทราบเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของผู้บริหาร การมีส่วนร่วม ในการพัฒนาหลักสูตรและร่วมในการขับเคลื่อนหลักสูตร การจัดการประชุมชึ้แจง การก าหนดผู้รับผิดชอบและ การจัดเตรียมความพร้อมของผู้รับผิดชอบ 1.6.14 ควำมพร้อมของระบบสนับสนุน หมายถึง การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การจัดการเรียน การสอน หรือการจัดฝึกอบรม การจัดหาสื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็น การมีเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือ คู่มือการจัดการเรียนการสอน หรือการจัดการฝึกอบรม 1.6.15 กำรเตรียมบุคลำกร กำรนิเทศและก ำกับติดตำม หมายถึง การเตรียมพร้อมครูผู้สอน การเตรียมพร้อมครูผู้รับผิดชอบหลักสูตร การนิเทศหรือการประเมินผลติดตาม 1.6.16 กระบวนกำรจัดกำรเรียนกำรสอน หมายถึง การก าหนดตารางเวลา การจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในภาพรวม การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ การจัดการเรียนการสอนใน หน่วยการเรียนรู้ ความเหมาะสมในด้านกิจกรรมและเนื้อหา ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ 1.6.17 ผลสัมฤทธิ์ในกำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้หมายถึง ระดับผลสัมฤทธิ์ในการ น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษาในกลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน หรือในการฝึกอบรม ของหน่วยงานในกลุ่มหลักสูตรการจัดการฝึกอบรม 1.6.18 ศักยภำพของหน่วยงำนกำรจัดฝึกอบรม หมายถึง การทราบเจตนารมณ์ของหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาของผู้ก ากับดูแลหลักสูตร การมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและร่วมในการขับเคลื่อน หลักสูตร การจัดการประชุมชึ้แจง การมอบหมายหรือก าหนดผู้รับผิดขอบ และการเตรียมพร้อมในการเป็น ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร 1.6.19 คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม หมายถึง ลักษณะในการก าหนด คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม 1.6.20 คุณสมบัติ ควำมเหมำะสมหรือหลักเกณฑ์ของวิทยำกร หมายถึง ประเด็นหรือหลักเกณฑ์ ในการพิจารณาคุณสมบัติความเหมาะสมของวิทยากร/ผู้สอน 1.6.21 ควำมรู้ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยำวชนไทย หมายถึง ระดับความรู้ เจตคติ และทักษะเชิงปัญญา พฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน ตามองค์ประกอบการวัดพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบด้านแยกแยะระหว่างส่วนตนส่วนรวม ด้านความละอายและไม่ทนต่อการทุจริต ด้าน STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และด้านพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม 1.6.22 ด้ำนแยกแยะระหว่ำงส่วนตนส่วนรวม หมายถึง ระดับความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย ที่มีต่อพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือพฤติกรรมย่อย การแยกแยะ ระหว่างส่วนตนและส่วนรวม ระบบคิดฐานสอง และการเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม 1.6.23 ด้ำนควำมละอำยและไม่ทนต่อกำรทุจริต หมายถึง ระดับความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย ที่มีต่อพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือพฤติกรรมย่อย ความรับผิดต่อ ตนเอง ระเบียบวินัย ละอายต่อการทุจริต ไม่ทนต่อการทุจริต ซื่อสัตย์พูดความจริง และยอมรับการกระท าของ ตนเอง 1.6.24 ด้ำน STRONG : จิตพอเพียงต้ำนทุจริต หมายถึง ระดับความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย ที่มีต่อพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือพฤติกรรมย่อย พอประมาณ เมตตาเอื้ออาทร โปร่งใส อดทนอดกลั้น และพฤติกรรมย่อยมุ่งมั่นท างาน/มุ่งพัฒนา
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 13 1.6.25 ด้ำนพลเมืองกับควำมรับผิดชอบต่อสังคม หมายถึง ระดับความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย ที่มีต่อพฤติกรรมมุ่งประเมินหรือพฤติกรรมย่อย การเคารพสิทธิ หน้าที่ต่อตนเองและผู้อื่น จิตส านึกการเป็นเจ้าของประเทศ รับผิดชอบต่อสังคม จิตสาธารณะ และพฤติกรรม มุ่งประเมินการปฏิบัติตามกฎ กติกา ข้อตกลง 1.6.26 นิเวศวิทยำครอบครัว หมายถึง บรรยากาศที่บ้านปัจจัยครอบครัว ครอบคลุมประเด็น ความรักความใกล้ชิด ที่อยู่อาศัย สถานะทางการเงินของครอบครัว ภาระพึ่งพิงในครอบครัวไม่ว่าจะเป็นเด็ก คนแก่ หรือผู้พิการ และลักษณะของครอบครัว 1.6.27 ครูและกลุ่มเพื่อน หมายถึง ความสัมพันธ์ของครูและนักเรียน หรือความสัมพันธ์ของอาจารย์ กับนักศึกษา และความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหรือเยาวชนกับกลุ่มเพื่อน 1.6.28 ปัจจัยสังคมอื่น ๆ หมายถึง สภาพแวดล้อมทางสังคมอื่น ๆ ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต ครอบคลุมประเด็นการมีกิจกรรมของเด็กและเยาวชนกับชุมชน และการใช้เวลาในสังคม ออนไลน์ของเด็กและเยาวชน 1.6.29 วัฒนธรรมค่ำนิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในกำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชำชน หมายถึง หมายถึง พฤติกรรมของคนในสังคมที่ได้มาจากการเรียนรู้และการถ่ายทอดของ สังคม ซึ่งประกอบด้วย 3 องค์ประกอบ ด้านค่านิยมสุจริตของประชาชน ด้านทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาชน และด้านพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน 1.6.30 ด้ำนค่ำนิยมสุจริตของประชำชน หมายถึง การให้คุณค่า และความรู้สึกทางบวกที่มีต่อ (1) การมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนท า (2) การมีความตรงไปตรงมาเชื่อถือได้ (3) การท าหน้าที่พลเมือง อย่างถูกต้อง (4) การปฏิบัติตามกฎระเบียบของหมู่คณะ สังคม และประเทศชาติ และ (5) ความสามารถใน การแยกแยะได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ส่วนตน สิ่งใดเป็นประโยชน์ส่วนรวม 1.6.31 ด้ำนทัศนคติต่อกำรทุจริตและประพฤติมิชอบของประชำชน หมายถึง การแสดงออกถึง ความรู้สึก และความคิดเชิงประเมินค่า ของประชาชนเกี่ยวกับการกระท าที่ขัดกับกฎหมาย และการกระท าที่ใช้ อ านาจหน้าที่ด้วยวิธีที่มิชอบด้วยกฎหมายเพื่อแสวงหาประโยชน์ รับสินบน ช่วยเหลือพวกพ้อง และสร้าง ความเดือดร้อนหรือเสียหายแก่ผู้อื่นและสังคม 1.6.32 ด้ำนพฤติกรรมในกำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบของประชำชน หมายถึง การที่ ประชาชนแสดงออกถึงการไม่ยอมรับการกระท าที่ขัดกับกฎหมาย และการกระท าที่ใช้อ านาจหน้าที่ด้วยวิธี ที่มิชอบของเจ้าหน้าที่ เช่น การแจ้งเบาะแส การร้องเรียน การเข้ามาเป็นส่วนร่วมของเครือข่ายต่อต้าน การทุจริต การไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง การไม่รับสินบน เป็นต้น 1.6.33 ควำมพึงพอใจต่อหลักสูตร หมายถึง ระดับความพึงพอใจของผู้ประเมิน ที่มีต่อการจัดการ เรียนการสอนหรือการจัดการฝึกอบรมในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของสถานศึกษาหรือของหน่วยงานจัด ฝึกอบรม 1.6.34 กำรขยำยผลองค์ควำมรู้ที่ได้รับ หมายถึง การที่บุคลากรของรัฐหรือบุคคลซึ่งไม่ใช่บุคลากร ของรัฐที่เข้ารับการฝึกอบรมในหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ และหลักสูตรโค้ช ได้มีการน าความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมไปขยายผลต่อยังกลุ่มเป้าหมายอื่น 1.6.35 กำรฝึกอบรม หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบให้แก่บุคคลหรือ กลุ่มคน โดยมุ่งที่จะก่อให้เกิดหรือพัฒนาความรู้ ทักษะ ปรับทัศนคติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่อง ประกอบกันตามความจ าเป็นที่สอดคล้องกับภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบของผู้เข้าอบรมและจุดมุ่งหมายใน การพัฒนาองค์การ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 14 1.6.36 ผู้เข้ำรับกำรฝึกอบรม หมายถึง บุคลากรของรัฐหรือบุคคลซึ่งไม่ใช่บุคลากรของรัฐที่เข้ารับการ ฝึกอบรมเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ระบุไว้ในหลักสูตร 1.6.37 วิทยำกร หมายถึง ผู้ถ่ายทอดความรู้ตามหลักสูตรที่ก าหนด 1.6.38 ผู้จัดกำรฝึกอบรม หมายถึง ผู้รับผิดชอบด าเนินการจัดฝึกอบรมของหน่วยงาน 1.6.39 ลักษณะสถำนศึกษำ หมายถึง ขนาดของสถานศึกษา ประเภทของสถานศึกษา สังกัดของ สถานศึกษา เขตพื้นที่สถานศึกษา และที่ตั้งของสถานศึกษา
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 15 บทที่ 2 กรอบแนวคิดและทฤษฎีที่ใช้ในกำรประเมินผลสัมฤทธิ์ ในการทบทวนเนื้อหาและกรอบแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง คณะผู้วิจัยจะเริ่มต้นโดยการทบทวนเนื้อหา และถอดบทเรียน ตลอดจนวิเคราะห์ข้อมูลการด าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ผ่านมา แล้วต่อด้วยการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและ ประเมินผลสัมฤทธ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เพื่อน าไปสู่การสร้างและน าเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัย ในครั้งนี้ 2.1 กำรทบทวนเนื้อหำและถอดบทเรียนกำรด ำเนินงำนที่เกี่ยวข้องกับกำรติดตำมและประเมินผลสัมฤทธิ์ ของหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำที่ผ่ำนมำ เพื่อให้เข้าใจมากขึ้นถึงที่มา ความส าคัญ บริบท พัฒนาการของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และการ ด าเนินงานที่ผ่านมาเกี่ยวกับการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา คณะผู้วิจัยจะทบทวนที่มา ความส าคัญ และเนื้อหาของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 5 หลักสูตร การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ทบทวนรายงานผลการประเมินตัวชี้วัดตาม แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 รวมถึงเนื้อหาจากรายงานผลการประเมินตัวชี้วัดเดียวกันในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จากนั้นในส่วน สุดท้ายจะเป็นการทบทวนการประเมินตัวชี้วัดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และวิเคราะห์เนื้อหาจากรายงานผลการประเมินตัวชี้วัดเดียวกันในของปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 2.1.1 ที่มำควำมส ำคัญ และเนื้อหำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ 5 หลักสูตร หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ถือเป็นเครื่องมือส าคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) และเป็นกลไกส าคัญในการขับเคลื่อนแผนแม่บท ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ภายใต้ การพัฒนาตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่มีเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ข้อที่ 1 ประชาชนมีวัฒนธรรมและ พฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต โดยมี 2 ตัวชี้วัดส าคัญ ได้แก่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมที่ ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ในการด าเนินงานหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เห็นชอบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ประกอบด้วย 5 หลักสูตร ได้แก่ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2. หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 3. หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) 4. หลักสูตร วิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการ ทุจริต) และ 5. หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยให้กระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 16 ข้าราชการพลเรือน ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาไปพิจารณาด าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง และประสานงานกับ ส านักงาน ป.ป.ช. อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ส านักงานต ารวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หารือร่วมกับ ส านักงาน ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาน าหลักสูตรไปปรับใช้ในโครงการฝึกอบรมหลักสูตรข้าราชการ บุคลากรภาครัฐ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจที่บรรจุใหม่ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) เป็นหลักสูตรการเรียน การสอนที่มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต และหน้าที่ของพลเมืองกับ ความรับผิดชอบต่อสังคมในการต่อต้านการทุจริต ส าหรับนักเรียนในระดับปฐมวัย ระดับประถมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 และระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 1-6 โดยใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ จ าแนก แยกแยะ การฝึกปฏิบัติจริง การท าโครงงานกระบวนการเรียนรู้ การอภิปราย การสืบสอบ การแก้ปัญหา ทักษะการอ่านและการเขียน เพื่อให้มีความตระหนักและเห็นความส าคัญของการต่อต้านและการป้องกันการทุจริต หลักสูตรอุดมศึกษำ (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) เป็นหลักสูตรการเรียน การสอนที่มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการปรับฐานความคิดต้านทุจริตส่วนตนและส่วนรวม สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อ การทุจริต ยกระดับดัชนีสร้างพลเมืองดีในสังคม และปราบทุจริตด้วยจิตพอเพียง ส าหรับนักศึกษาใน ระดับอุดมศึกษา โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย มุ่งเน้นให้นักศึกษาเกิดความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต หลักสูตรกลุ่มทหำรและต ำรวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) เป็นหลักสูตรการ ฝึกอบรมที่มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต และพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อ สังคมในการต่อต้านการทุจริต ส าหรับกลุ่มทหาร (ตามแนวทางรับราชการและหลักสูตรเพิ่มพูนความรู้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว) และกลุ่มต ารวจ (หลักสูตรการฝึกอบรมที่เลื่อนต าแหน่งสูงขึ้น และหลักสูตรนักเรียน นายสิบต ารวจ) โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต และเสริมพลังคนรุ่นใหม่และน าไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงาน สังคมและ ประเทศชาติ หลักสูตรวิทยำกร ป.ป.ช./บุคลำกรภำครัฐและรัฐวิสำหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมที่มีจุดมุ่งหมายในการฝึกอบรมเกี่ยวกับการคิดแยกแยะ ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต ส าหรับบุคลากรส านักงาน ป.ป.ช. กลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และ กลุ่มอาจารย์และบุคลากรในระดับอุดมศึกษา โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย มุ่งเน้นให้ผู้เรียน เกิดความรู้ความเข้าใจ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต และเกิดทักษะการเป็นวิทยากร และ หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) เป็นหลักสูตรการฝึกอบรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการสร้าง โค้ชที่มีความสามารถและทักษะเพื่อเป็นตัวแทนของส านักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และ ประสบการณ์เกี่ยวกับการคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความไม่ทนและ ความละอายต่อการทุจริต และจิตพอเพียงต้านทุจริต ด้วยเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม จะช่วยให้ทุกภาคส่วน มีความตระหนักรู้ และเห็นความส าคัญของปัญหาการทุจริต อันจะน าไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและ เกิดค่านิยมต้านทุจริตให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เกิดความรู้ความเข้าใจ เจตคติ ด้านการป้องกันการทุจริต
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 17 2.1.2 กำรทบทวนรำยงำนกำรก ำกับติดตำมกำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2562-2564 จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องยังไม่พบหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่า ได้มีการ ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาโดยเฉพาะ พบแต่เพียงรายงานการก ากับติดตามการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 และรายงานการก ากับติดตามการน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ซึ่งมีการรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา รวมทั้งปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาครัฐวิสาหกิจและ ภาคเอกชนในการด าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในบริบทที่เกี่ยวข้องเพื่อต่อต้านการทุจริต ด าเนินการโดยการสอบถามข้อมูลไปยังหน่วยงานและลงพื้นที่ในแต่ละภูมิภาค รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และ ปริมณฑล เพื่อจัดเก็บข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่เกี่ยวข้องเพื่อรวบรวมข้อมูลการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ในระยะแรก ซึ่งมุ่งเน้นให้ความส าคัญในการปรับฐานความคิดทุกช่วงวัยให้สามารถแยกระหว่างผลประโยชน์ ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ส่งเสริมให้มีระบบและกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมเพื่อต้านทุจริต และ ประยุกต์หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเครื่องมือต้านทุจริต รวมถึงมุ่งเน้นเสริมพลังการมีส่วนร่วมของ ชุมชน (Community) และบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) ยุทธศาสตร์ที่ 1 “สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต” (ส านักงาน ป.ป.ช., 2565ข) ปัญหาอุปสรรคในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ จากการทบทวนเอกสารรายงานการก ากับ ติดตามการน าหลักสูตรทุจริตศึกษาไปใช้ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 พบเพียงรายงานปัญหาอุปสรรค ของส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และของสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งเท่านั้น ซึ่งปัญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นในการด าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต)) ของส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สังกัด กระทรวงศึกษาธิการ มีดังนี้ 1. ควรมีการชี้แจงสถานศึกษาในสังกัด สพฐ. อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากการประชุมชี้แจงและอบรม ผู้รับผิดชอบโครงการโรงเรียนสุจริต ในระดับส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา และให้น าไปขยายผลการอบรม ชี้แจงกับครูในสังกัด และครูฝ่ายวิชาการของโรงเรียนมารับการอบรมจากศึกษานิเทศก์ ของส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาเพื่อไปขยายผลให้ครูทุกคนในโรงเรียนน าไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นการถ่ายทอดต่อเป็นล าดับชั้นลงไป เป็นล าดับอาจส่งผลให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนได้ในบางกรณี 2. ขาดเครื่องมือในการก ากับติดตามการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ที่โรงเรียนน าไปปรับใช้ ส่งผลให้ไม่มีข้อมูลประกอบการวางแผนการด าเนินการในระยะต่อไป 3. ขาดการติดตามผลการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในระดับโรงเรียน 4. ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาบางแห่งด าเนินการเบิกจ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามก าหนด ระยะเวลาในแผนปฏิบัติการ ควรมีการก ากับติดตามและเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณจากส่วนกลาง (ส านักงาน ป.ป.ช., 2565ข) ส่วนปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการด าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต)) ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีดังนี้ 1. เวลาที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากมีวันหยุดและกิจกรรมมาก ทั้งนี้ ในการบูรณาการกับรายวิชาหน้าที่พลเมืองซึ่งมีเนื้อหาสาระเป็นของตนเองอยู่แล้วนั้น จึงท าให้การบูรณาการ ในบางหน่วยบางกิจกรรมไม่สอดคล้องกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 18 2. กิจกรรมตามหลักสูตรไม่สอดคล้องกับบริบทของนักเรียน 3. เนื้อหาในรายวิชาต้านทุจริตศึกษาในบางระดับชั้นมีความยากซับซ้อนเกินไป 4. ครูยังขาดความรู้ความเข้าใจในการน าหลักสูตรทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดกิจกรรม จึงเห็นควร จัดการอบรมจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ครูผู้สอนเข้าใจเนื้อหาแต่ละกิจกรรมของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา อย่างต่อเนื่อง 5. ช่วงวัยของเด็กปฐมวัยเป็นอุปสรรคในการถ่ายทอดความรู้ให้เกิดความเข้าใจและการน าไปใช้ เนื่องจากที่ผ่านมาทางโรงเรียนได้น าแนวทางของหลักสูตรโตไปไม่โกง มาปรับใช้กับการจัดการเรียนการสอน อยู่แล้ว ซึ่งก่อนที่จะน ามาปรับใช้ในการสัมมนาฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการให้แก่ครูผู้รับผิดชอบของแต่ละโรงเรียน เพื่อให้สามารถน าไปบูรณาการกับการจัดการเรียนการสอนที่เหมาะสมกับสภาพบริบทของสถานศึกษา ส่วนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษานี้ ทางโรงเรียนยังไม่ได้รับการอบรมชี้แจงหรือทดลองใช้ ซึ่งการน าหลักสูตรไปใช้ จะต้องท าความเข้าใจในบริบทต่าง ๆ ของหลักสูตรให้ถูกต้อง เมื่อน าหลักสูตรไปใช้จึงจะบรรลุวัตถุประสงค์และ เป้าหมายตลอดจนเกิดประโยชน์สูงสุด 6. อยู่ในระหว่างการปรับปรุงโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาเพื่อน าไปใช้ในปีการศึกษาต่อไป ในขณะที่ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นในการด าเนินการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (หลักสูตร อุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”)) ของสถาบันอุดมศึกษา สังกัดกระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ส านักงาน ป.ป.ช., 2565ข) มีดังนี้ 1) ปัญหาอุปสรรค คือ ต้องมีการปรับปรุงเนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนจากการบรรยาย เป็น Active Learning และให้เป็นไปตามหน่วยกิตที่มหาวิทยาลัยก าหนด ผู้สอนจึงจ าเป็นต้องวางแผนเนื้อหา การสอนในรายวิชา ซึ่งอาจจะเลือกบางหัวข้อที่จ าเป็นมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน 2) มีนักศึกษาเริ่มสนใจมากขึ้นแต่ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนยังอยู่ในภาระงานของ อาจารย์ผู้รับผิดชอบที่มีภาระงานมากและหลากหลาย นักศึกษาอาจมีผลกระทบจากการเรียนการสอนในวิชา ของภาควิชาที่ตนเองสังกัดท าให้การเข้าร่วมในกิจกรรมบางครั้งไม่ครบถ้วน ขาดการสนับสนุนทรัพยากร บางอย่างในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมและสอดคล้องกับการเรียนรู้ซึ่งต้องพิจารณาในแต่ละภาคการศึกษา 3) โครงสร้างรายวิชาที่ก าหนดในหลักสูตรมีเป็นจ านวนตามเกณฑ์ของการจบการศึกษาครบถ้วนแล้ว ดังนั้น การลงทะเบียนเรียนวิชาดังกล่าวอาจต้องเป็นทางเลือกส าหรับผู้ที่ต้องการจะศึกษาหรือค้นคว้าเพื่อ การวิจัยในแนวทางที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การต่อต้านการทุจริตในภาครัฐ จึงอาจไม่สามารถจัดการศึกษา ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในแต่ละภาคการศึกษา 4) บางสถาบันระบุว่าปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นรายวิชาที่มีการเรียนการสอนในห้องเรียน ขนาดใหญ่ (1,500 ที่นั่ง) จึงท าให้การร่วมอภิปรายเพื่อสร้างความเข้าใจของนักศึกษาเป็นไปได้ค่อนข้างยาก และเป็นปัญหาอุปสรรคในการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้เรียน 5) มหาวิทยาลัยบางแห่งระบุว่า ขาดความเข้าใจในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 6) การทดสอบให้นักศึกษายังต้องอาศัยมาตรการคุมสอบอย่างเคร่งครัดจากกรรมการคุมสอบ เพราะหากกรรมการคุมสอบไม่เข้มงวดอาจเป็นช่องทางการทุจริตได้ 7) บุคลากรและนักศึกษาทุกคนของมหาวิทยาลัยอาจไม่อ่านและอาจไม่ปฏิบัติต่อเนื่องในการสร้าง ความไม่สุจริตให้กับตัวเอง เพราะขาดการกระตุ้นเตือนจากอาจารย์ 8) มีข้อจ ากัดของจ านวนสื่อประกอบการเรียนการสอนโดยเฉพาะสื่อประเภทอิเล็กทรอนิกส์และ กรณีศึกษาที่เหมาะสมสอดคล้องกับระดับอายุและวิธีในการรับรู้ของผู้เรียน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 19 9) การเสริมสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมต่อต้านการทุจริตเป็นทัศนคติค่านิยมที่ต้องใช้ระยะเวลา ในการด าเนินการ ไม่สามารถท าได้เพียงแค่ในระหว่างที่มีการศึกษาในรายวิชา 10) รายวิชานี้มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหลายศาสตร์ เช่น นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การบริหารราชการ เป็นต้น ดังนั้น ผู้สอนจะต้องเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงที่เกี่ยวข้องกับ การต้านทุจริต 11) การเชื่อมโยงจากหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาสู่รายวิชาในหมวดการศึกษาทั่วไปยังท าได้น้อย และ การประเมินผลการเรียนรู้ใหม่ที่เกิดขึ้นกับนักศึกษาอาจประเมินด้านในภาพรวม ไม่สามารถเจาะจงเป็น รายบุคคล 12) ระยะเวลาในการท ากิจกรรมน้อยและขณะเดียวกันการอบรมกลุ่มใหญ่ท าให้การลงมือปฏิบัติจริง ยากและประเมินผลการเรียนรู้จากนักศึกษาไม่สมบูรณ์ 13) การกระตุ้นให้นักศึกษาเห็นความส าคัญของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ตลอดจนผลกระทบ ที่จะได้รับในกรณีที่มีการทุจริตคอร์รัปชันต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร อีกทั้งการมอบหมายงานในลักษณะกลุ่ม สมาชิกกลุ่มบางคนอาจจะไม่ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 14) กรณีศึกษาต้องค้นคว้าเพิ่มเติมให้ทันสมัยน่าสนใจ ซึ่งบางครั้งเนื้อหาอาจไม่ตรงประเด็น 2.1.3 แผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ ประเด็นที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (21) ประเด็น การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561- 2580) ได้มุ่งเน้นการพัฒนาคนและการพัฒนาระบบ ในส่วนการพัฒนาคน เน้นการปรับพฤติกรรม “คน” ทุกกลุ่มในสังคม โดยกลุ่มเด็กและเยาวชน เน้นการปลูกฝังและหล่อหลอมให้มีจิตส านึกและพฤติกรรมยึดมั่นใน ความซื่อสัตย์สุจริตผ่านหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา กลุ่มประชาชนทั่วไป เน้นการสร้างวัฒนธรรมและพฤติกรรมสุจริต ควบคู่กับส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อต้านการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ กลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ส่งเสริมการสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารงาน รู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวออกจากหน้าที่การงาน พร้อมกับสร้างจิตส านึกและค่านิยมของบุคลากรในการต่อต้าน การทุจริต สนับสนุนการมีส่วนร่วมเป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง สอดส่อง และแจ้งเบาะแสการทุจริต ในการน าหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษา ที่ผ่านมาส านักงาน ป.ป.ช. ได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ รวมถึงหน่วยงานอื่นที่มีสถานศึกษาใน สังกัด โดยได้น าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 ที่ผ่านมา (พฤษภาคม 2562) และสถาบันอุดมศึกษาได้น าหลักสูตรอุดมศึกษาไปปรับใช้ในการเรียนการ สอนตามความพร้อมของแต่ละสถาบัน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้น าหลักสูตรไปพิจารณาปรับใช้กับ กลุ่มเป้าหมายในการฝึกอบรมตามความพร้อมและความเหมาะสมของแต่ละหน่วยงาน ทั้งหลักสูตรกลุ่มทหาร และต ารวจ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ และหลักสูตรโค้ช โดยมีรายวิชาที่มุ่งสร้าง ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความหมาย และขอบเขตของการกระท าทุจริตในลักษณะต่าง ๆ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริต ความส าคัญของการต่อต้านการทุจริต 4 ชุดวิชา ได้แก่ 1) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความอายและความไม่ทนต่อการ ทุจริต 3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ 4) พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 20 กำรขับเคลื่อนตัวชี้วัดตำมแผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ ประเด็นที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริต และประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต และตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรม ในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีผลการติดตามและประเมินในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 ดังนี้ ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยำวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับมอบหมายจากส านักงาน ป.ป.ช. ในการ ประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต โดยรูปแบบการประเมินพฤติกรรมเด็ก และเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตในครั้งนั้น มีลักษณะเป็นการประเมิน 360 องศา โดยที่เด็กและ เยาวชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ เด็กและเยาวชนไทยใน 7 ช่วงวัย คือ 1) ปฐมวัย 2) ประถมศึกษาตอนต้น 3) ประถมศึกษาตอนปลาย 4) มัธยมศึกษาตอนต้น 5) มัธยมศึกษาตอนปลาย 6) อุดมศึกษาปีที่ 1-2 และ 7) อุดมศึกษาปีที่ 3-4 ที่อยู่ในสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จ านวน 4,316 แห่ง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จ านวน 177 แห่ง และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม จ านวน 50 แห่ง รวมทั้งสิ้นจ านวน 4,542 แห่ง กระจายอยู่ใน 77 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานคร โดยผู้ที่จะต้องประเมินเด็กและเยาวชน ประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ 1) เด็กและเยาวชนต้องประเมินตนเอง 2) ครู/ อาจารย์ผู้สอนหรืออาจารย์ที่ปรึกษา 3) เพื่อนของเด็กและเยาวชน และ 4) ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชน รวมทั้ง 4 กลุ่ม มีจ านวนทั้งสิ้น 140,625 คน นอกจากนี้ยังมีการจัดท าฐานสถานการณ์จ าลอง เพื่อสังเกต พฤติกรรมเด็กและเยาวชนในแต่ละสถานศึกษาอีกจ านวน 4,542 ฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินเด็กและ เยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตมี 2 ลักษณะ คือ 1) แบบประเมินเชิงปริมาณ ที่มุ่งเน้นประเมินพฤติกรรม เชิงจริยธรรมที่พึงประสงค์ของกลุ่มเป้าหมายทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งจ าแนกเป็น 7 ช่วงวัย จ านวน 28 ชุดเครื่องมือ และ 2) ฐานสถานการณ์จ าลอง ซึ่งเป็นการประเมินเชิงคุณภาพที่ให้เด็กและเยาวชนได้สะท้อนมุมมองและความ คิดเห็นที่มีต่อสถานการณ์บางอย่าง มุ่งประเมินผ่านกรอบ 4 ด้านตามชุดสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา อันประกอบด้วย 1) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความอาย และความไม่ทนต่อการทุจริต 3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ 4) พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม การแปลความหมาย คะแนนดิบที่ได้จากเครื่องมือแต่ละช่วงชั้นจากแต่ละกลุ่ม จะน ามาแปลความหมายใน ลักษณะคะแนนอิงกลุ่ม (Norm referenced score) โดยในการแปลความหมาย ถ้าคะแนนดิบที่ได้มีค่าคะแนนสูง กว่าค่าเฉลี่ยของช่วงนั้น ๆ หมายถึง เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต (ดูรายละเอียด ในส านักงาน ป.ป.ช., 2564ก) ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต มีค่าเท่ากับร้อยละ 52.1 ก าหนดไว้ในแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563-2565) พบว่า สูงกว่าค่าเป้าหมาย อยู่ร้อยละ 6.1 และเมื่อน าระดับผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรไปใช้มาวิเคราะห์ร่วมกับ ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ผลการประเมินชี้ให้เห็นว่า สถานศึกษาที่ มีระดับผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรไปใช้สูง คือ มีศักยภาพและความพร้อมสูง เด็กและเยาวชนในสถานศึกษานั้น มีสัดส่วนของผู้ที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตสูง และเมื่อระดับผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรไปใช้ลดต่ าลง สัดส่วนของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์มีค่าลดน้อยลงเช่นกัน (ส านักงาน ป.ป.ช., 2564ก) ในการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส านักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับส านักงาน ป.ป.ช. ได้ด าเนินการส ารวจ โดยวิธีการสัมภาษณ์ โดยการสุ่มตัวอย่างแบบ Stratified Two-Stage Sampling กับเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 12-24 ปี ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 4,375 คน โดยมุ่งส ารวจผ่านกรอบพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 21 สุจริตของเด็กและเยาวชน 3 ด้าน 1) ด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 2) ด้านความเท่าเทียมและเสมอภาค และ 3) ด้านการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม เกณฑ์ในการแปลความหมาย คิดจาก ผู้ที่ได้คะแนนเฉลี่ย 2.00-3.00 คะแนนอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.99 คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง และคะแนนเฉลี่ย 0.00-0.99 คะแนน อยู่ในระดับน้อย ผลการศึกษาพบว่า เด็กและเยาวชนให้คะแนนการมี พฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยคะแนนเฉลี่ย 2.24 คะแนน จากเต็ม 3 คะแนน โดยมีเด็กและเยาวชน ร้อยละ 78.3 มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในระดับมากและร้อยละ 21.7 อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต อยู่ในระดับน้อยมีจ านวนเพียงเล็กน้อย (ส านักงาน สถิติแห่งชาติ, 2564) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชำชนที่มีวัฒนธรรมค่ำนิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมใน กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 พบว่า ในการประเมินของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้ด าเนินการโดยส านัก ส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต ส านักงาน ป.ป.ช. ร่วมกับส านักงาน ป.ป.ช. ประจ าจังหวัด และ กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการส ารวจทั้งสิ้น 129,358 คน โดยจ าแนกเป็น กลุ่มโค้ชชมรม/กรรมการชมรม/สมาชิกชมรม ของชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ร้อยละ 2.9 กลุ่มผู้เคย ร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ร้อยละ 1.6 กลุ่มคณะกรรมการชุมชน (กรณี กรุงเทพมหานครหรือในเขตเทศบาล) ร้อยละ 0.8 กลุ่มคณะกรรมการหมู่บ้าน ร้อยละ 39.7 และกลุ่มประชาชน ทั่วไป ร้อยละ 55.0 โดยมุ่งประเมินใน 3 ด้านคือ 1) ด้านค่านิยมสุจริต 2) ด้านทัศนคติการทุจริตและประพฤติ มิชอบ และ 3) ด้านพฤติกรรมการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผลการศึกษาพบว่า การมีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ าปี พ.ศ. 2563 มีค่า เฉลี่ยที่ 2.35 จากคะแนนเต็ม 3 โดยมีค่าคะแนนระดับมาก ที่ร้อยละ 73.3 ค่าคะแนนระดับปานปลาง ที่ร้อยละ 26.6 และค่าคะแนนวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต ที่ร้อยละ 0.78 (ส านักส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วม ต้านทุจริต ส านักงาน ป.ป.ช., 2563) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส านักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับ ส านักงาน ป.ป.ช. เป็นผู้ด าเนินการส ารวจ โดยวิธีการสัมภาษณ์ สุ่มตัวอย่างแบบ Stratified Three-Stage Sampling กับประชาชนอายุระหว่าง 25 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 9,625 คน โดยมุ่งส ารวจผ่าน กรอบวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต 3 ด้าน คือ 1) ค่านิยมสุจริตของประชาชน 2) ทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาชน และ 3) พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบชองประชาช น ผลการส ารวจ พบว่า ประชาชนให้คะแนนการมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ ด้วยคะแนนเฉลี่ย 2.18 คะแนน จากเต็ม 3 คะแนน โดยมีประชาชนร้อยละ 70.9 มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริตฯ อยู่ในระดับมาก และร้อยละ 29.1 อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนประชาชนที่มี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริตฯ อยู่ในระดับน้อย มีจ านวนเล็กน้อย (ส านักงานสถิติแห่งชาติ, 2564) 2.1.4 กำรทบทวนเนื้อหำจำกรำยงำนกำรประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ ปีงบประมำณ พ.ศ 2563 และปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 จากการทบทวนเนื้อหาในรายงาน กำรประเมินผลสัมฤทธิ์กำรใช้หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ ประจ ำปี งบประมำณ พ.ศ. 2563 พบว่า เป็นการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรโดยเน้นประเมินการน าหลักสูตร ไปใช้ โดยประเมินเพียง 2 หลักสูตร ในหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน อันได้แก่ 1) หลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และ 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 22 with Good Heart”) โดยกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ สถานศึกษา จ านวน 3,311 แห่ง ที่กระจายอยู่ในทุก ภูมิภาคและทุกจังหวัดของประเทศไทย เป็นสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา สถาบันอุดมศึกษาในสังกัด กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ในสถานศึกษาแต่ละแห่งจะมีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จ านวน 3,310 คน ครู/อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร จ านวน 3,311 คน และ ผู้ปกครองเด็กและเยาวชน จ านวน 43,852 คน โดยตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตร ประกอบด้วย ศักยภาพและความพร้อมของระบบสนับสนุนในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา การน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียน การรับรู้และมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ (ส านักงาน ป.ป.ช., 2564ข) การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มีเกณฑ์การ ประเมินและแปลค่าความหมายคะแนน อยู่ 6 ระดับ ได้แก่ คะแนน 50-54.99 = E ไม่มีศักยภาพและ ความพร้อม 55-64.99 = D มีศักยภาพและความพร้อมน้อยมาก 65-74.99 = C มีศักยภาพและความพร้อมน้อย 75-84.99 = B มีศักยภาพและความพร้อมปานกลาง 85-94.99 = A มีศักยภาพและความพร้อมมาก และ คะแนน 95-100 = AA มีศักยภาพและความพร้อมมากที่สุด จากการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (ส านักงาน ป.ป.ช., 2564ก) พบว่า สถานศึกษาในภาพรวม มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 63.06 สะท้อนให้เห็นว่า สถานศึกษามีศักยภาพและความพร้อมน้อยมาก (D) มีเพียง ไม่ถึงร้อยละ 10 เท่านั้นที่มีศักยภาพและความพร้อมปานกลาง คือ ได้เกรด B ขึ้นไป สถานศึกษาส่วนใหญ่กว่า ร้อยละ 90 ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความจ าเป็นเร่งด่วนที่จะได้มีการกระตุ้นและสนับสนุนส่งเสริมให้มีศักยภาพและ ความพร้อมในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ทั้งสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถานศึกษาสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) และสถาบันอุดมศึกษาสังกัด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) อย่างไรก็ตาม การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในเชิงของการออกแบบการวิจัยไม่ได้มุ่งศึกษาเฉพาะสถานศึกษาที่มีการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในลักษณะที่เป็นการเปิดรายวิชาเพิ่มเติมแบบเต็มรูปแบบ แต่เป็นการศึกษาสถานศึกษาที่มีรูปแบบ ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในลักษณะแตกต่างกัน 6 รูปแบบ ส าหรับสถานศึกษาสังกัด สพฐ. และ 3 รูปแบบส าหรับสถานศึกษาสังกัดกระทรวง อว. ดังนั้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาในครั้งนี้ จึงมุ่งไปที่สถานศึกษาสังกัด สพฐ. สถ. กระทรวง อว. ที่มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปเปิด เป็นรายวิชาเพิ่มเติม (ส าหรับ สพฐ. และกระทรวง อว.) เท่านั้น เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ที่ชัดเจนว่า “ผลสัมฤทธิ์ของการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เป็นอย่างไร” รวมทั้งการขยายสถานศึกษาให้ครอบคลุม สถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) อีกด้วย ผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา (ซึ่งพิจารณาจากศักยภาพของสถานศึกษาในการน าหลักสูตรไปใช้เพียงมิติเดียว) ไม่ได้เน้นไป ที่ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรที่สะท้อนจากผู้เรียน/ผู้เข้ารับการอบรมโดยตรง แม้จะมีผลต่อระดับความรู้ ความเข้าใจ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย แต่ก็ยังได้ภาพไม่ชัดเจน ในแบบแผนความสัมพันธ์ เพราะสถานศึกษาที่ตกเป็นตัวอย่างในการประเมินดังกล่าว มีรูปแบบการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ถึง 6 รูปแบบ ในส่วนของสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ 3 รูปแบบส าหรับสถานศึกษาสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม (อว.)
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 23 แม้กระนั้น ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่า ผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษายังมีแนวโน้ม ที่จะมีความสัมพันธ์กับระดับความรู้ความเข้าใจ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็ก และเยาวชนไทย แต่แบบแผนความสัมพันธ์ยังไม่สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนดังเหตุผลที่เกี่ยวกับการออกแบบ การวิจัยดังได้กล่าวไปแล้วข้างต้นที่สถานศึกษาที่ตกเป็นกลุ่มเป้าหมายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จ านวน 3,311 แห่ง ซึ่งมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น คือ ร้อยละ 23.0 ส าหรับสถานศึกษาสังกัด สพฐ. และร้อยละ 3.3 ส าหรับสถานศึกษาสังกัด กระทรวง อว. ที่ได้มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบ ดังนั้นจึงเป็น ความจ าเป็นและส าคัญที่ส านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดให้มีการติดตามความก้าวหน้าและประเมินผลสัมฤทธิ์ในการ ใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยเน้นไปที่สถานศึกษาที่มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบ คือ เปิดรายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต ส าหรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน การทุจริต) และเปิดเป็น 1 รายวิชา จ านวน 3 หน่วยกิต ส าหรับหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) และขณะเดียวกันยังขยายผลการประเมินครอบคลุมถึงสถานศึกษาใน สังกัด สช. รวมถึงอีก 3 หลักสูตร อันได้แก่ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหาร และต ารวจ) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) รวมถึงการวิเคราะห์เอกสาร หลักสูตรเพื่อตรวจสอบคุณภาพขององค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรในเรื่องจุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ ผลการ เรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา วิธีจัดการเรียนรู้/วิธีการฝึกอบรม ขอบเขตเนื้อหา/เนื้อหาสาระของหลักสูตร สื่อการ เรียนรู้ การวัดและประเมินผล ว่ามีความสอดคล้อง เหมาะสม ครอบคลุมและถูกต้องตามหลักการพัฒนา หลักสูตรอย่างไร ภาษาที่ใช้สามารถสื่อสารให้เข้าใจและมีความชัดเจนในการน าไปสู่การปฏิบัติหรือไม่ รวมทั้ง ความสอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ หลักสูตรที่ดูจากผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน/ผู้เข้ารับการอบรมโดยตรง (ส านักงาน ป.ป.ช., 2564ข) ส่วนการทบทวนเนื้อหำจำกรำยงำนกำรประเมินผลสัมฤทธิ์ในกำรใช้หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 พบว่า เป็นการประเมินความครอบคลุมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ทั้ง 5 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และ 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับ ราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) 4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และ 5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยในปี พ.ศ. 2564 มุ่งเน้นการประเมินทั้งเอกสารหลักสูตร การใช้หลักสูตร และผลสัมฤทธิ์หลักสูตรที่ประเมินจาก ผู้เรียน/ผู้เข้ารับการอบรม โดยกลุ่มเป้าหมายในการวิจัย ได้แก่ สถานศึกษาที่ได้มีการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ได้แก่ สถานศึกษาในสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สถานศึกษาในสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สถานศึกษาใน สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) สถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) สถานศึกษาในสังกัด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กระทรวง อว.) ซึ่งสถานศึกษาเหล่านี้กระจายอยู่ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ และหน่วยงานภาครัฐ/รัฐวิสาหกิจที่ได้มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัด หลักสูตรการฝึกอบรม อันได้แก่ ส านักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (กรมการเงินกลาโหม) กองทัพบก (โรงเรียน ทหารการเงิน กรมการเงินทหารบก) กองทัพเรือ (โรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือ) กองทัพอากาศ (กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ) ส านักงานต ารวจแห่งชาติ (กองบัญชาการศึกษา) หน่วยงานภาครัฐระดับ กระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักงานนายกรัฐมนตรี หน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ และส านักงาน ป.ป.ช. ที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการฝึกอบรม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 24 กรอบแนวคิดในการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ประกอบไปด้วย 3 ส่วนส าคัญ คือ การประเมินเอกสารหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การประเมินคะแนนผลสัมฤทธิ์ หลักสูตร โดยตัวคะแนนผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร จะประกอบไปด้วย ผลสัมฤทธิ์ของการน าหลักสูตรไปใช้ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนหรือผู้ผ่านการฝึกอบรม (สัมฤทธิผล) และความพึงพอใจต่อหลักสูตร โดยในการ ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 มีเกณฑ์การประเมินและแปล ค่าความหมายคะแนน อยู่ 4 ระดับ (ลดทอนจาก 6 ระดับในการประเมิน ปี พ.ศ. 2563) ได้แก่ คะแนนประเมิน ผลสัมฤทธิ์ 0-49.99 = D ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรระดับปรับปรุง 50-59.99 = C ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรระดับ พอใช้60-79.99 = B ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรระดับดี และคะแนนประเมินผลสัมฤทธิ์ 80-100 = A ผลสัมฤทธิ์ ของหลักสูตรระดับดีมาก โดยองค์ประกอบของคะแนนประเมินผลสัมฤทธิ์รวม 100 คะแนน แยกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ของการใช้หลักสูตร คิดเป็นร้อยละ 70 โดยในส่วนนี้ จะมีคะแนนมาจาก 2 ส่วนย่อย กล่าวคือ ส่วนย่อยการน าหลักสูตรไปใช้ และส่วนย่อยผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร (ผู้เรียน) ประกอบขึ้นเป็น ผลสัมฤทธิ์ของการใช้หลักสูตร และในส่วนที่ 2 ของคะแนน มาจากความพึงพอใจต่อหลักสูตร คิดเป็นร้อยละ 30 ของคะแนนเต็มการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ส านักงาน ป.ป.ช., 2564) ในส่วนของการประเมินเอกสารหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตร ตาม 6 องค์ประกอบ ที่ประเมิน คือ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร เนื้อหา สาระ/หน่วยการเรียนรู้ วิธีการจัดการ เรียนรู้/สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและการประเมินการเรียนรู้ และผลผลิตที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นกับผู้เรียน พบว่า ทุกหลักสูตรมีวัตถุประสงค์ของหลักสูตร และโครงสร้างหลักสูตรครบถ้วน ส่วนองค์ประกอบเนื้อหา สาระ/หน่วยการเรียนรู้ และวิธีการจัดการเรียนรู้/สื่อและแหล่งเรียนรู้ ก็พบว่าส่วนใหญ่มีความครบถ้วนเช่นกัน ยกเว้นเพียง หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ที่พบว่า ในองค์ประกอบเนื้อหา สาระ/หน่วยการเรียนรู้ และวิธีการจัดการเรียนรู้/สื่อและแหล่งเรียนรู้ ไม่มีความ ครบถ้วน ทั้งนี้ในทุกหลักสูตรพบความไม่ครบถ้วนในองค์ประกอบ การวัดและการประเมินการเรียนรู้ เช่นเดียวกันกับองค์ประกอบผลผลิตที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นกับผู้เรียน ที่พบเพียงหลักสูตรการศึกษาขึ้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) หลักสูตรเดียวที่มีความครบถ้วนในองค์ประกอบนี้ ส่วนในภาพรวม ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พบว่า หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยาการผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) มีคะแนนเฉลี่ยรวม ผลสัมฤทธิ์ของการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาสูงสุด คือ มีค่าคะแนนเฉลี่ย 84.42 คะแนน รองลงมาคือ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) (ค่าคะแนนเฉลี่ย 81.17) ทั้งนี้ ทั้ง 2 หลักสูตรคะแนนอยู่ในระดับคุณภาพ A มีผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรระดับดีมาก หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการ รู้คิดต้านทุจริต) (ค่าคะแนนเฉลี่ย 74.63) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการ ทุจริต) (ค่าคะแนนเฉลี่ย 73.94) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) (ค่าคะแนนเฉลี่ย 65.28) โดยทั้ง 3 หลักสูตรที่เหลือมีคะแนน อยู่ในระดับคุณภาพ B ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ระดับดี จะเห็นได้ว่า จากการทบทวนเนื้อหารายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 พบว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่ปรึกษาในการ ด าเนินการวิจัยประเมินผล ในทั้งสองปีประเมิน อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะเป็นลักษณะโครงการวิจัยประเมิน ผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันในรายละเอียดของการด าเนินงาน กล่าวคือ ในส่วนของขอบเขตหลักสูตร ที่ในปีประเมิน 2563 ประเมินเฉพาะหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 25 2 หลักสูตร ส่วนในปีประเมิน 2564 ประเมินครอบคลุมทั้ง 5 หลักสูตร ทั้งกลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียน การสอน (2 หลักสูตร) และกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม (3 หลักสูตร) ในด้านลักษณะกลุ่มเป้าหมายสถานศึกษา ก็มีความแตกต่างกัน โดยในปีประเมิน 2563 กลุ่มเป้าหมายสถานศึกษามีลักษณะที่แตกต่างกันตามรูปแบบ การน าหลักสูตรไปใช้ (6 รูปแบบ) ส่วนในปีประเมิน 2564 กลุ่มเป้าหมายสถานศึกษามุ่งประเมินไปที่ สถานศึกษาที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบเท่านั้น รวมถึงความแตกต่างในส่วนของผู้ให้ข้อมูล หลักในการประเมิน ที่ในปีประเมิน 2563 มีผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู/อาจารย์ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร และผู้ปกครองของผู้เรียน ส่วนในปีประเมิน 2564 ผู้ให้ข้อมูลหลักประกอบด้วย ผู้บริหาร สถานศึกษา ครู/อาจารย์ผู้รับผิดชอบหลักสูตร และผู้เรียน/ผู้ผ่านการฝึกอบรม 2.1.5 ทบทวนเนื้อหำรำยงำนผลกำรประเมินตัวชี้วัดตำมแผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติประเด็น ที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและ เยำวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 หลังจากการทบทวนเนื้อหารายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในข้างต้นแล้ว คณะผู้วิจัยได้ด าเนินกำรทบทวนเนื้อหำจำกรำยงำน ผลกำรประเมินตัวชี้วัดตำมแผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ ประเด็นที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและ ประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยำวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ควำมซื่อสัตย์สุจริต โดยเริ่มจำกกำรวิจัยในปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 พบว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับมอบหมายจากส านักงาน ป.ป.ช. ในการประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทย ที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต โดยรูปแบบการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ในครั้งนั้น มีลักษณะเป็นการประเมินครอบคลุม 360 องศา โดยที่เด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างได้แก่ เด็กและเยาวชนไทยใน 7 ช่วงวัย คือ 1) ปฐมวัย 2) ประถมศึกษาตอนต้น 3) ประถมศึกษาตอนปลาย 4) มัธยมศึกษาตอนต้น 5) มัธยมศึกษาตอนปลาย 6) อุดมศึกษาปีที่ 1-2 และ 7) อุดมศึกษาปีที่ 3-4 ที่อยู่ใน สถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จ านวน 4,316 แห่ง องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น จ านวน 177 แห่ง และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จ านวน 50 แห่ง รวมทั้งสิ้นจ านวน 4,542 แห่ง กระจายอยู่ใน 77 จังหวัด รวมทั้งกรุงเทพมหานคร โดยผู้ที่จะต้องประเมินเด็ก และเยาวชน ประกอบด้วย 4 กลุ่ม คือ 1) เด็กและเยาวชนต้องประเมินตนเอง 2) ครู/อาจารย์ผู้สอนหรือ อาจารย์ที่ปรึกษา 3) เพื่อนของเด็กและเยาวชน และ 4) ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชน รวมทั้ง 4 กลุ่ม มีจ านวนทั้งสิ้น 140,625 คน นอกจากนี้ยังมีการจัดท าฐานสถานการณ์จ าลอง เพื่อสังเกตพฤติกรรมเด็กและ เยาวชนในแต่ละสถานศึกษาอีกจ านวน 4,542 ฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริตมี 2 ลักษณะ คือ 1) แบบประเมินเชิงปริมาณ ที่มุ่งเน้นประเมินพฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่ พึงประสงค์ของกลุ่มเป้าหมายทั้ง 4 กลุ่ม ซึ่งจ าแนกเป็น 7 ช่วงวัย จ านวน 28 ชุดเครื่องมือ และ 2) ฐาน สถานการณ์จ าลอง ซึ่งเป็นการประเมินเชิงคุณภาพที่ให้เด็กและเยาวชนได้สะท้อนมุมมองและความคิดเห็นที่มี ต่อสถานการณ์บางอย่าง มุ่งประเมินผ่านกรอบ 4 ด้านตามชุดสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา อันประกอบด้วย 1) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม 2) ความละอายและ ความไม่ทนต่อการทุจริต 3) STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ 4) พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม การแปลความหมาย คะแนนดิบที่ได้จากเครื่องมือแต่ละช่วงชั้นจากแต่ละกลุ่ม จะน ามาแปลความหมายใน ลักษณะคะแนนอิงกลุ่ม (Norm referenced score) โดยในการแปลความหมาย ถ้าคะแนนดิบที่ได้มีค่า
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 26 คะแนนสูงกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงนั้น ๆ หมายถึง เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต (ดูรายละเอียดส านักงาน ป.ป.ช., 2564ก) ผลการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต มีค่าเท่ากับร้อยละ 52.1 ก าหนดไว้ในแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563-2565) พบว่า สูงกว่าค่าเป้าหมายที่อยู่ร้อยละ 6.1 และเมื่อน าระดับผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรไปใช้มาวิเคราะห์ร่วมกับ ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ผลการประเมินชี้ให้เห็นว่า สถานศึกษา ที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรไปใช้สูง คือ มีศักยภาพและความพร้อมสูง เด็กและเยาวชนใน สถานศึกษานั้น มีสัดส่วนของผู้ที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตสูง และเมื่อระดับผลสัมฤทธิ์ในการน า หลักสูตรไปใช้ลดต่ าลง สัดส่วนของเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์มีค่าลดน้อยลงเช่นกัน (ส านักงาน ป.ป.ช., 2564ก) นอกจากการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตที่ส านักงาน ป.ป.ช. (2564ก) ได้ด าเนินการแล้ว คณะผู้วิจัยได้มีกำรทบทวนรำยงำนกำรประเมินตัวชี้วัดตำมแผนแม่บทภำยใต้ ยุทธศำสตร์ชำติ ประเด็นที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561- 2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยำวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 พบว่า ในการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ส านักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับส านักงาน ป.ป.ช. ได้ด าเนินการส ารวจ โดยวิธีการสัมภาษณ์ โดยการสุ่มตัวอย่างแบบ Stratified Two-Stage Sampling กับเด็กและเยาวชนอายุ ระหว่าง 12-24 ปี ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 4,375 คน โดยมุ่งส ารวจผ่านกรอบพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน 3 ด้าน 1) ด้านความรับผิดชอบต่อหน้าที่ 2) ด้านความเท่าเทียมและ เสมอภาค และ 3) ด้านการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม เกณฑ์ในการแปล ความหมาย คิดจากผู้ที่ได้คะแนนเฉลี่ย 2.00-3.00 คะแนนอยู่ในระดับมาก คะแนนเฉลี่ย 1.00-1.99 คะแนน อยู่ในระดับปานกลาง และคะแนนเฉลี่ย 0.00-0.99 คะแนน อยู่ในระดับน้อย ผลการศึกษาพบว่า เด็กและ เยาวชนให้คะแนนการมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยคะแนนเฉลี่ย 2.24 คะแนน จากเต็ม 3 คะแนน โดยมีเด็กและเยาวชนร้อยละ 78.3 มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในระดับมากและร้อยละ 21.7 อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต อยู่ในระดับน้อย มีจ านวนเพียงเล็กน้อย (ส านักงานสถิติแห่งชาติ, 2564) 2.1.6 กำรทบทวนเนื้อหำจำกรำยงำนกำรประเมินตัวชี้วัดตำมแผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ ประเด็นที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของ ประชำชนที่มีวัฒนธรรมค่ำนิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในกำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 หลังจากคณะนักวิจัยได้ทบทวนเนื้อหาจากรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และทบทวนเนื้อหารายงานผลการประเมินตัวชี้วัด ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561- 2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 เสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้ด าเนินการทบทวนเนื้อหาในส่วนนี้จากรายงาน การประเมินตัวชี้วัดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 27 พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ซึ่งจากกำรทบทวนเนื้อหำในรำยงำนกำรประเมินตัวชี้วัดตำมแผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ ประเด็นที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของ ประชำชนที่มีวัฒนธรรมค่ำนิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในกำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 พบว่า ในการประเมินของปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้ด าเนินการโดย ส านักส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต ส านักงาน ป.ป.ช. ร่วมกับส านักงาน ป.ป.ช. ประจ า จังหวัด และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยมีกลุ่มตัวอย่างในการส ารวจทั้งสิ้น 129,358 คน โดยจ าแนกเป็น กลุ่มโค้ชชมรม/กรรมการชมรม/สมาชิกชมรม ของชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ร้อยละ 2.9 กลุ่มผู้เคยร่วมกิจกรรมภายใต้โครงการ STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ร้อยละ 1.6 กลุ่มคณะกรรมการ ชุมชน (กรณีกรุงเทพมหานครหรือในเขตเทศบาล) ร้อยละ 0.8 กลุ่มคณะกรรมการหมู่บ้าน ร้อยละ 39.7 และ กลุ่มประชาชนทั่วไป ร้อยละ 55.0 โดยมุ่งประเมินใน 3 ด้านคือ 1) ด้านค่านิยมสุจริต 2) ด้านทัศนคติการทุจริต และประพฤติมิชอบ และ 3) ด้านพฤติกรรมการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผลการศึกษาพบว่า การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจ าปี พ.ศ. 2563 มีค่าเฉลี่ยที่ 2.35 จากคะแนนเต็ม 3 โดยมีค่าคะแนนระดับมาก ที่ร้อยละ 73.3 ค่าคะแนนระดับ ปานปลาง ที่ร้อยละ 26.6 และค่าคะแนนวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต ที่ร้อยละ 0.78 (ส านักส่งเสริมและบูรณาการ การมีส่วนร่วมต้านทุจริต ส านักงาน ป.ป.ช., 2563) ในส่วนกำรทบทวนเนื้อหำจำกรำยงำนกำรประเมินตัวชี้วัดตำมแผนแม่บทภำยใต้ยุทธศำสตร์ชำติ ประเด็นที่ 21 กำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของ ประชำชนที่มีวัฒนธรรมค่ำนิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในกำรต่อต้ำนกำรทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 ซึ่งส านักงานสถิติแห่งชาติกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมร่วมกับ ส านักงาน ป.ป.ช. เป็นผู้ด าเนินการส ารวจ โดยวิธีการสัมภาษณ์ สุ่มตัวอย่างแบบ Stratified Three-Stage Sampling กับประชาชนอายุระหว่าง 25 ปีขึ้นไป ทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 9,625 คน โดยมุ่งส ารวจ ผ่านกรอบวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต 3 ด้าน คือ 1) ค่านิยมสุจริตของประชาชน 2) ทัศนคติต่อการทุจริตและ ประพฤติมิชอบของประชาชน และ 3) พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบชองประชาชน ผลการส ารวจ พบว่า ประชาชนให้คะแนนการมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ด้วยคะแนนเฉลี่ย 2.18 คะแนน จากเต็ม 3 คะแนน โดยมีประชาชนร้อยละ 70.9 มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริตฯ อยู่ในระดับมาก และร้อยละ 29.1 อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนประชาชนที่มี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริตฯ อยู่ในระดับน้อย มีจ านวนเล็กน้อย (ส านักงานสถิติแห่งชาติ, 2564) 2.1.7 กำรวิเครำะห์และถอดบทเรียนกำรประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำที่ผ่ำนมำ การวิเคราะห์และถอดบทเรียนการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ผ่านมา ประกอบไปด้วย การทบทวนเนื้อหารายงานการด าเนินการที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 การทบทวนเนื้อหารายงาน การประเมินตัวชี้วัดตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และการทบทวนเนื้อหารายงานการประเมินตัวชี้วัด ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561- 2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 28 การทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 สามารถวิเคราะห์และ ถอดบทเรียนการด าเนินการที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปรากฏดังตารางที่ 1 (ดูตารางที่ 2.1 หน้าที่ 27) จากตารางเปรียบเทียบดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ในการด าเนินการวิจัยประเมินผลที่ผ่านมา มีช่องว่างหรือ gap ที่น่าจะต้องทบทวนหลายประการด้วยกัน ซึ่งได้แก่ ด้ำนเป้ำหมำยกำรประเมิน พบว่าในแต่ละโครงการมีเป้าหมายการประเมินที่แตกต่างกัน การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตร ส่วนใหญ่จะมุ่งตอบระดับและศักยภาพของการใช้หลักสูตรใน สถานศึกษา ว่ามีศักยภาพในการน าไปใช้ในระดับที่ ส่วนในการวัดสัมฤทธิผลของผู้เรียนหรือผู้ผ่านการฝึกอบรม มีการเพิ่มเข้าไปในการประเมินผลสัมฤทธิ์ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 อย่างไรก็ตามการวัดสัมฤทธิผลดังกล่าว ก็เป็นเพียงองค์ประกอบที่จะประกอบขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของคะแนนการใช้หลักสูตรซึ่งเป็นหน่วยในการประเมิน ก็เป็นระดับองค์กร ส่วนการวิจัยประเมินผลพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน และ การส ารวจค่านิยมสุจริต ทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน ในการส ารวจพฤติกรรมและค่านิยมดังกล่าว จะมุ่งหาค าตอบในระดับปัจเจก เพื่อจะตอบตัวชี้วัดในระดับ ภาพรวม ด้ำนขอบเขตหลักสูตร จะพบว่า ในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในปีประเมิน 2563 ประเมินเพียง 2 หลักสูตรการจัดการเรียนการสอน แต่อย่างไรก็ตามในปีประเมิน 2564 มีการประเมิน ครอบคลุมทั้ง 5 หลักสูตร ทั้งหลักสูตรกลุ่มการเรียนการสอนและหลักสูตรฝึกอบรม ส่วนในด้านการประเมิน พฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทยนั้น ในการประเมินพฤติกรรม ปีประเมิน 2563 ตัวองค์ประกอบในการประเมินพฤติกรรมมีการพัฒนาเชื่อมโยงกับ 2 หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา อย่างไรก็ตาม ในการส ารวจพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย พ.ศ. 2564 (ซึ่งประเมินในกลุ่มเด็ก และเยาวชนอายุ 12-25 ปี ที่มีทั้งอยู่และไม่อยู่ในระบบการศึกษา) องค์ประกอบในการประเมินดังกล่าวไม่ได้ เชื่อมโยงกับเนื้อหาในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ส่วนในการส ารวจวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต ทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ทั้งการประเมินในปี พ.ศ. 2563 และปี พ.ศ. 2564 องค์ประกอบที่ใช้ในการประเมินไม่ได้เชื่อมโยงกับหลักสูตรฝึกอบรมแต่อย่างใด
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 2 ตำรำงที่ 2.1 เปรียบเทียบการด าเนินงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับ กำรประเมินผลสัมฤทธิ์ ในกำรใช้หลักสูตร ต้ำนทุจริตศึกษำ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 กำรวิจัยประเมินผล พฤติกรรมเด็กและเยำวชน ไทยที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์ สุจริต ปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 กำรประเมินผ ย่อยกำรป้องกัน ประพฤติมิชอ วัฒนธรรมค มีทัศนคติแล ในกำรต่อต้ำน ประพฤติมิชอบ พ.ศ. หน่วยงำน ส านักงาน ป.ป.ช., มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่ปรึกษา ส านักงาน ป.ป.ช., มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่ปรึกษา ส านักส่งเสริมแ การมีส่วนร่วมต้ ส านักงาน ป.ป. เป้ำกำรประเมิน ระดับผลสัมฤทธิ์ของ การใช้หลักสูตร ร้อยละของเด็กและเยาวชน ไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต คะแนนเฉลี่ยแล ประชาชนที่มีวัฒ สุจริต มีทัศนคติ ในการต่อต้านก ประพฤติมิชอบ ขอบเขตหลักสูตร เฉพาะหลักสูตรการ จัดการเรียนการสอน 2 หลักสูตร องค์ประกอบในการ ประเมินพัฒนาเชื่อมโยงกับ 2 หลักสูตรการจัด การเรียนการสอน องค์ประกอบใน มีความเชื่อมโยง ต้านทุจริตศึกษ ลักษณะ กลุ่มเป้ำหมำย กลุ่มเป้าหมาย สถานศึกษามีลักษณะ ที่แตกต่างกันตาม รูปแบบการน าหลักสูตร ไปใช้ (6 รูปแบบใน กลุ่มเป้าหมายเด็กและ เยาวชนที่สังกัดสถานศึกษา ที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน ตามรูปแบบการน าหลักสูตร ไปใช้(6 รูปแบบใน กลุ่มเป้าหมายป ลักษณะทั้งที่เค ผ่านการเรียน/อ ตามหลักสูตรต้า
ช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 9 บการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ลตำมแผนงำน นกำรทุจริตและ อบ ประชำชนมี ค่ำนิยมสุจริต ละพฤติกรรม นกำรทุจริตและ บ ปีงบประมำณ 2563 กำรติดตำมและประเมิน ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ต้ำนทุจริตศึกษำ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 กำรส ำรวจพฤติกรรม ที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์ สุจริตของเด็กและ เยำวชนไทย พ.ศ. 2564 กำรส ำรวจวัฒนธรรม ค่ำนิยมสุจริต ทัศนคติ และพฤติกรรมในกำร ต่อต้ำนกำรทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ของประชำชน พ.ศ. 2564 ละบูรณาการ ต้านทุจริต .ช. ส านักงาน ป.ป.ช., มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นที่ปรึกษา ส านักงาน ป.ป.ช., ส านักงานสถิติแห่งชาติ เป็นผู้ส ารวจ ส านักงาน ป.ป.ช., ส านักงานสถิติแห่งชาติ เป็นผู้ส ารวจ ละร้อยละของ ฒธรรมค่านิยม ติและพฤติกรรม การทุจริตและ บ ระดับผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา คะแนนเฉลี่ยและ ร้อยละของเด็กและ เยาวชนไทยที่มี พฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริต คะแนนเฉลี่ยและ ร้อยละของประชาชน ที่มีวัฒนธรรมค่านิยม สุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริต นการประเมิน งกับหลักสูตร ษา ครอบคลุมทั้ง 5 หลักสูตร ทั้งกลุ่มหลักสูตรการเรียน การสอน และกลุ่มหลักสูตร ฝึกอบรม องค์ประกอบใน การประเมินมีความ เชื่อมโยงกับหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา องค์ประกอบใน การประเมินมีความ เชื่อมโยงกับหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ประชาชนมี ยและไม่เคย อบรมเนื้อหา านทุจริตศึกษา กลุ่มเป้าหมายสถานศึกษาที่ น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้เต็มรูปแบบ กลุ่มเป้าหมายเด็กและ เยาวชนมีลักษณะทั้ง ที่เคยและไม่เคยผ่าน การเรียน/อบรม เนื้อหา กลุ่มเป้าหมาย ประชาชน มีลักษณะทั้ง ที่เคยและไม่เคยผ่าน การเรียน/อบรม เนื้อหาตามหลักสูตร
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 3 กำรประเมินผลสัมฤทธิ์ ในกำรใช้หลักสูตร ต้ำนทุจริตศึกษำ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 กำรวิจัยประเมินผล พฤติกรรมเด็กและเยำวชน ไทยที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์ สุจริต ปีงบประมำณ พ.ศ. 2563 กำรประเมินผ ย่อยกำรป้องกัน ประพฤติมิชอ วัฒนธรรมค มีทัศนคติแล ในกำรต่อต้ำน ประพฤติมิชอบ พ.ศ. หลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐานและ 3 รูปแบบ ในหลักสูตรอุดมศึกษา หลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐานและ 3 รูปแบบ ในหลักสูตรอุดมศึกษา ลักษณะกำรประเมิน Multi-Raters Multi-Raters Self-R กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก -ผู้บริหารสถานศึกษา -ครู/อาจารย์ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร -ผู้ปกครองเด็กและ เยาวชน - เด็กและเยาวชน -ครู/อาจารย์ผู้สอนหรือ อาจารย์ที่ปรึกษา - เพื่อนเด็กและเยาวชน -ผู้ปกครองของเด็กและ เยาวชน - ประชาชน
ช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 0 ลตำมแผนงำน นกำรทุจริตและ อบ ประชำชนมี ค่ำนิยมสุจริต ละพฤติกรรม นกำรทุจริตและ บ ปีงบประมำณ 2563 กำรติดตำมและประเมิน ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ต้ำนทุจริตศึกษำ ปีงบประมำณ พ.ศ. 2564 กำรส ำรวจพฤติกรรม ที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์ สุจริตของเด็กและ เยำวชนไทย พ.ศ. 2564 กำรส ำรวจวัฒนธรรม ค่ำนิยมสุจริต ทัศนคติ และพฤติกรรมในกำร ต่อต้ำนกำรทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ของประชำชน พ.ศ. 2564 ตามหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา (จากผลการศึกษามี สัดส่วน เคย/ไม่เคย ที่ 46.7/53.3) ต้านทุจริตศึกษา (จากผลการศึกษามี สัดส่วน เคย/ไม่เคย ที่ 13.6/86.4) Rated Multi-Raters Self-Rated Self-Rated -ผู้บริหารสถานศึกษา -ครู/อาจารย์ ผู้รับผิดชอบ หลักสูตร -ผู้เรียน/ผู้ผ่านการฝึกอบรม - เด็กและเยาวชน อายุ 12-24 ปี - ประชาชน อายุ 25 ปี ขึ้นไป
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 31 ด้ำนลักษณะกำรประเมิน จะเห็นว่า ในส่วนการประเมินเชิงปริมาณนั้น จะมีความแตกต่างกัน ทั้งการ ประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และการวิจัยประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทย ที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต (ที่ด าเนินการในปีงบประมาณ 2564) ใช้ลักษณะการประเมินเชิงปริมาณ ที่เรียกว่า Multi-Raters หรือมีผู้ประเมินหลายคน ส่วนในการประเมินตามแผนงานย่อยการป้องกันการทุจริตและ ประพฤติมิชอบประชาชนมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ มีลักษณะการประเมินเป็นการประเมินตนเองเพียงอย่างเดียว หรือ Self-Rated ส่วนใน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 การติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เป็นการเก็บข้อมูล ในลักษณะ Multi-Raters ในขณะที่การส ารวจพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย และการส ารวจวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของประชาชน มีลักษณะการประเมินในรูปแบบ Self-Rated คือให้เด็กและเยาวชน หรือประชาชน ประเมิน ตนเองเท่านั้น จากการวิเคราะห์และถอดบทเรียนจากการด าเนินงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการติดตามและ ประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ผ่านมาดังกล่าว คณะผู้วิจัยได้สรุปช่องว่างในการด าเนินงาน ได้ดังต่อไปนี้ 1) ในการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องที่ผ่านมา ยังไม่มุ่งศึกษาเฉพาะกลุ่มเป้าหมายสถานศึกษาที่น าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบ เพื่อให้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์เชิงการน าไปใช้อย่างแท้จริง ซึ่งเชื่อมโยงไปยัง ผลลัพธิ์ที่เป็นพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน และวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน 2) การไม่เชื่อมกันเชิงแนวคิด (concept) ระหว่างจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา กับองค์ประกอบการประเมิน ของการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทย ที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และการประเมินวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต ทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน 3) ในการประเมินพฤติกรรมเด็กและเยาวชนไทยที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชน ลักษณะการประเมิน เป็นการประเมินตนเอง (Self-rated) อย่างเดียว มีโอกาสสูงที่เด็กและเยาวชน จะประเมิน มากเกินไป (Overestimation) การประเมินในลักษณะครอบคลุม 360 องศา หรือ 270 องศา หรือมีผู้ประเมิน หลายคน (Multi-raters) น่าจะเหมาะสมกว่า 2.2 กำรทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกำรติดตำมและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ต้ำนทุจริตศึกษำ หลังจากที่ในส่วนแรกได้ด าเนินการทบทวนเนื้อหา ถอดบทเรียน ตลอดจนวิเคราะห์ข้อมูล การด าเนินการที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ผ่านมา ในส่วนที่ สองของการทบทวนนี้ จะเป็นการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธ์ ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งคณะผู้วิจัยจะขอแบ่งการอธิบาย ทบทวน และท าความเข้าใจแนวคิดและ ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องออกเป็น 4 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและ การประเมินกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ กลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาและ พฤติกรรมศาสตร์และกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต โดยในกลุ่มแรกจะเริ่มทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ในกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการประเมิน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 32 2.2.1 กลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและกำรประเมิน การทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในกลุ่มนี้ จะเริ่มต้นด้วยท าความเข้าใจความหมาย ความส าคัญ และองค์ประกอบของหลักสูตร ต่อด้วยการท าความเข้าใจแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในวงจร ชีวิตของหลักสูตร ซึ่งได้แก่ กระบวนการพัฒนาและการบริหารจัดการหลักสูตร และการประเมินหลักสูตร ควำมหมำยและองค์ประกอบของหลักสูตร หลักสูตรมาจากภาษาอังกฤษค าว่า “curriculum” ซึ่งมี รากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า “currere” อันหมายถึง ช่องทางส าหรับวิ่ง แต่เมื่อน ามาใช้กับการจัดการศึกษา จึงหมายถึงการเปรียบเทียบหลักสูตรกับสนามหรือเส้นทางที่ใช้วิ่งแข่ง จากการทบทวนความหมายที่นักวิชาการ หรือนักศึกษาได้ให้ไว้พบว่า ความหมายของหลักสูตรตั้งแต่การให้ความหมายที่กว้างจนเหมือนจะครอบคลุม ทุกสิ่งทุกอย่างภายในโรงเรียนหรือสถานศึกษา จนถึงการให้ความหมายของหลักสูตรที่แคบเฉพาะด้าน ในความหมายของหลักสูตรแบบกว้าง Beauchamp (1979) กล่าวว่า หลักสูตรเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นมาเพื่อ เป็นเนื้อหาวิชาที่จะต้องเรียน โดยมีการสร้างหลักสูตร รูปแบบของหลักสูตร ทฤษฎีของหลักสูตรและ แหล่งอ้างอิง ซึ่งสอดคล้องกับสงัด อุทรานันท์ (2532) ได้กล่าวไว้ว่า ความหมายของหลักสูตรในขอบเขตของ ข้อก าหนดเกี่ยวกับการเรียนการสอนที่เขียนขึ้นอย่างเป็นทางการ จะหมายถึงเอกสารหลักสูตรประกอบด้วย รายละเอียดของจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอน เนื้อหาสาระ และกิจกรรมการเรียนการสอน ข้อก าหนด เกี่ยวกับการวัดและประเมินผลการเรียน รวมทั้งการก าหนดเวลาส าหรับการเรียนการสอน ส่วนความหมายของ หลักสูตรในขอบเขตของระบบการท างานที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรจะหมายถึง กิจกรรมทั้งหมดที่มีความ เกี่ยวข้องกับหลักสูตร ซึ่งได้แก่การจัดบุคลากร กระบวนการพัฒนาหลักสูตร กระบวนการใช้หลักสูตร โดยเน้นที่กระบวนการท างานและผลิตผลที่เกิดจากกระบวนการนั้น ๆ ส่วน Taba (1962) กล่าวว่า หลักสูตร หมายถึง ประสบการณ์ทุกอย่างที่โรงเรียนจัดให้แก่นักเรียน ซึ่งประกอบด้วยแผนการเรียนรู้ที่มีจุดประสงค์และ จุดมุ่งหมายเฉพาะการเลือกและการจัดเนื้อหา วิธีการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผล เพื่อให้นักเรียน มีคุณลักษณะที่เหมาะสมในการด ารงชีวิตในสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุข ส่วนในความหมายของหลักสูตรแบบแคบ คือ การน าหลักสูตรที่สร้างหรือพัฒนาไปปฏิบัติจริงใน สถานศึกษาโดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ อันได้แก่ การวางแผนการน าไปใช้ การเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร การจัดท าวัสดุหลักสูตร การบริหารจัดการหลักสูตร สื่อการเรียน งบประมาณ และระหว่างด าเนินการ ใช้หลักสูตรต้องมีการประเมินอย่างต่อเนื่อง Royal Institute of Thailand (2012) ส่วนธ ารง บัวศรี (2542) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรไว้ว่า หลักสูตรหมายถึง แผนซึ่งได้ออกแบบจัดท าขึ้นเพื่อแสดงถึงจุดหมาย การจัดเนื้อหาสาระกิจกรรมและประสบการณ์ในแต่ละโปรแกรมการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนมีพัฒนาการใน ด้านต่าง ๆ ตามจุดมุ่งหมายที่ก าหนดไว้ ในส่วนองค์ประกอบของหลักสูตร หลักสูตรมีองค์ประกอบส าคัญหลายส่วนแตกต่างกัน ตามแนวคิด ของนักวิชาการและมุมมอง อาทิเช่น Taba (1962) อธิบายองค์ประกอบส าคัญไว้ 4 ประการคือ 1) วัตถุประสงค์ของหลักสูตร ซึ่งแยกได้เป็นวัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์เฉพาะวิชา 2) เนื้อหาวิชาและ จ านวนชั่วโมงส าหรับแต่ละวิชา 3) กระบวนการเรียนการสอน และ 4) โครงการประเมินผลตามหลักสูตร ในส่วนองค์ประกอบของหลักสูตรของ Beauchamp (1981) ก็มี 4 ประการเช่นกัน อันได้แก่ 1) ความมุ่งหมาย 2) เนื้อหา 3) การน าหลักสูตรไปใช้ และ 4) การประเมินผล ส่วน Tyler (1969) ก็มีองค์ประกอบหลัก 4 ประการเช่นกัน คือ 1. จุดมุ่งหมาย (Purpose) 2. ประสบการณ์ (Experience) ที่โรงเรียนจัดขึ้นเพื่อสร้าง ประสบการณ์การเรียนรู้ 3. การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ (Organizing Learning Experience) เพื่อให้เกิด การสอนที่มีประสิทธิภาพ และ 4. การประเมินประสบการณ์การเรียนรู้ (Evaluation Learning Experience) ซึ่งสอดคล้องกับ Onstein and Hunkins (1993) ปฤณัต นัจนฤตย์ (2553) และสุนีตา โฆษิตชัยวัฒน์(2555)
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 33 ที่มีความคิดเห็นคล้ายคลึงกันเกี่ยวกับองค์ประกอบหลักที่ส าคัญของหลักสูตรว่าควรประกอบด้วย 1) เป้าหมาย จุดมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร 2) เนื้อหาสาระและประสบการณ์ 3) กิจกรรมการสอนการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ และ 4) การประเมินผล ส่วนกาญจนา คุณารักษ์ (2558) และ Gratthorn et al. (2019) ได้ระบุเพิ่มเติมองค์ประกอบอีกหนึ่งองค์ประกอบ คือ วัสดุอุปกรณ์ และสื่อการเรียนรู้ จากการทบทวน จากองค์ประกอบที่จ าแนกโดยนักวิชาการหลายท่านสามารถสรุปได้ว่า องค์ประกอบพื้นฐานที่ส าคัญของ หลักสูตร ประกอบไปด้วย หลักการและเหตุผล จุดมุ่งหมาย วัตถุประสงค์ สาระส าคัญและเนื้อหา กิจกรรม ระยะเวลา สื่อและแหล่งเรียนรู้และการวัดประเมินผล กระบวนกำรพัฒนำและกำรบริหำรจัดกำรหลักสูตร ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรก็ได้มีนักการ ศึกษาที่เป็นที่รู้จักและยอมรับได้เสนอแนวทางต้นแบบของกระบวนการพัฒนาหลักสูตรไว้หลายท่าน Tyler (1969) อธิบายกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือขั้นตอน 1. ก าหนดจุดมุ่งหมาย ทางการศึกษา 2. ก าหนดประสบการณ์การเรียนรู้ 3. ก าหนดวิธีการจัดประสบการณ์การเรียนรู้นั้น และ 4. ประเมินผลประสบการณ์ที่ได้จากการเรียนรู้ ในขณะที่ Taba (1962) ได้พัฒนารูปแบบขั้นตอนการพัฒนา หลักสูตร คือ 1. วิเคราะห์ความต้องการ 2. ก าหนดจุดมุ่งหมาย 3. เลือกเนื้อหาสาระ 4. จัดรวบรวมเนื้อหา สาระ 5. คัดเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ 6. จัดรวบรวมประสบการณ์การเรียนรู้ และ 7. ก าหนดวิธีการ ประเมินผล ซึ่งก็มีความสอดคล้องกับการศึกษาของ Wheeler, 1967; Nicholls, 1978; Saylor et al., 1981; Onstein and Hunkins, 1993 Oliva (2009) ก าหนดขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร 12 ขั้นตอน ดังนี้ คือ 1. ก าหนดจุดหมายของ การศึกษา 2. วิเคราะห์ความต้องการจ าเป็นของผู้เรียนและชุมชน และเนื้อหาวิชาที่จ าเป็น 3. ก าหนดเป้าหมาย หลักสูตร 4. ก าหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร 5. จัดการรวบรวมข้อมูลและน าหลักสูตรไปใช้ 6. ก าหนดจุดมุ่งหมายการสอน 7. ก าหนดจุดประสงค์การสอน 8. เลือกยุทธวิธีการสอน 9. เลือกเทคนิค การประเมิน 10. น ากลวิธีการสอนไปใช้จริง 11.ประเมินผลการจัดการเรียนการสอน และ 12. ประเมินผล หลักสูตร ส่วนนักวิชาการศึกษาในประเทศไทย อาทิ วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554) ได้เสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตร ระดับอุดมศึกษา ดังนี้ 1. ก าหนดจุดมุ่งหมาย หลักการและโครงสร้าง และออกแ บบหลักสูตร 2. ยกร่างเนื้อหาสาระ ประสบการณ์ หน่วยการเรียน และรายวิชา และก าหนดผลการเรียนรู้ จุดประสงค์การ เรียนรู้ วางแผนการสอน สื่อการสอน และเลือกรูปแบบการจัดกิจกรรม 3. ทดลองใช้หลักสูตร และปรับปรุง ถ้ามีข้อบกพร่อง 4. อบรมผู้สอน ผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษา และประชาสัมพันธ์หลักสูตร และ 5. ปฏิบัติการสอน โดยการน าหลักสูตรไปใช้จริง ได้แก่ 5.1 แปลงหลักสูตรไปสู่การสอน คือ จัดท าวัสดุ หลักสูตร (เอกสารหลักสูตร สื่อและอุปกรณ์การสอน) 5.2 ผู้บริหารเตรียมสิ่งต่าง ๆ ที่สนับสนุนการสอน 5.3 ผู้สอนด าเนินการจัดการเรียนการสอน 5.4 ประเมินผล ทั้งประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน และ ประเมินผลหลักสูตร จากการทบทวนแนวคิดการพัฒนาหลักสูตรที่กล่าวมาข้างต้น น่าจะสามารถสรุปได้ว่า ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรมีขั้นตอนหลัก ๆ อยู่ 4 ขั้นตอน กล่าวคือ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์บริบท และ ก าหนดจุดมุ่งหมาย จุดประสงค์ของหลักสูตร ขั้นตอนที่ 2 การออกแบบหลักสูตร โดยก าหนดสาระการเรียนรู้ วัตถุประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล ขั้นตอนที่ 3 การน าหลักสูตรไปใช้จัดการเรียนรู้ และขั้นตอนที่ 4 การประเมินผลหลักสูตร ในด้าน กำรบริหำรจัดกำรหลักสูตร ก็ถือได้ว่ามีความส าคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากระบวนการพัฒนา หลักสูตรที่ได้กล่าวมา การบริหารจัดการหลักสูตร ควรครอบคลุมทั้งวงจรชีวิตของหลักสูตร ทั้งในเรื่องการ วางแผนหลักสูตร การน าหลักสูตรไปใช้ การนิเทศติดตามหลักสูตร และการประเมินหลักสูตร เพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ทั้งนี้ในการพิจารณาขอบเขตในกรอบแบบแคบในการจัดการเรียน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 34 การสอน การบริหารจัดการหลักสูตร สงัด อุทรานันท์ (2532) ได้ก าหนดการบริหารจัดการหลักสูตรไว้ในเรื่อง การเตรียมบุคลากร การจัดครูเข้าสอน การบริการวัสดุหลักสูตร การบริการ และหลักสูตรภายในสถานศึกษา ในการวำงแผนหลักสูตร การมีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียในการวางแผน ผู้บริหารสถานศึกษามี บทบาทหน้าที่ส าคัญมากในการน า การนิเทศก ากับติดตามหลักสูตร ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือส าคัญของผู้บริหาร ในการบริหารจัดการหลักสูตร ผู้บริหารและผู้น าหลักสูตรควรรู้แนวทางการนิเทศที่มีหลากหลายรูปแบบและ เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาความต้องการของผู้รับการนิเทศตลอดจนบริบทของสถานศึกษา (รัตนา ดวงแก้ว, 2555) และอีกประการหนึ่งซึ่งมีความส าคัญมากในการบริหารจัดการหลักสูตรก็คือ การน าหลักสูตร ไปใช้ กำรน ำหลักสูตรไปใช้ เป็นตัวขั้นตอนที่ถือได้ว่าเป็นการวางแผนไปสู่การปฏิบัติ หรือน าหลักสูตรไปสู่ การปฏิบัติ หลักสูตรจะสร้างขึ้นมาดีเพียงใดถ้าน าไปใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ หลักสูตรก็จะประสบ ความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง Beauchamp (1975) อธิบาย การน าหลักสูตรไปใช้ ว่าหมายถึง การน าหลักสูตร ไปปฏิบัติ โดยประกอบด้วยกระบวนการที่ส าคัญที่สุด คือ การแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน การจัด สภาพแวดล้อมในสถานศึกษาให้ครูได้มีการพัฒนาการเรียนการสอน ส่วนสันต์ ธรรมบ ารุง (2527) ให้ความหมายไว้ว่า การน าหลักสูตรไปใช้คือ การที่ผู้บริหารสถานศึกษาและครูน าโครงการของหลักสูตรที่เป็น รูปเล่มนั้นไปปฏิบัติให้บังเกิดผล และรวมถึงการบริหารงานด้านวิชาการของโรงเรียนเพื่ออ านวยความสะดวก ให้ครูและนักเรียนสามารถสอนและเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้าน สงัด อุทรานันท์ (2532) ได้ให้ความเห็น เกี่ยวกับการน าหลักสูตรไปใช้ว่า เป็นขั้นตอนของการน าหลักสูตรไปสู่การเรียนการสอนในห้องเรียน ได้แก่ การจัดเอกสารประกอบหลักสูตร การเตรียมบุคลากร การบริหาร การบริการหลักสูตร และการนิเทศการใช้ หลักสูตร ในขณะที่ ธ ารง บัวศรี (2542) กล่าวว่า การน าหลักสูตรไปใช้เป็นกระบวนการที่ท าให้หลักสูตร กลายเป็นการปฏิบัติจริงและเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการพัฒนาหลักสูตร และมีกิจกรรมที่จะกระท าได้ 3 ประเภท อันได้แก่ 1) การแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน 2) การจัดปัจจัยและสภาพต่าง ๆ ภายในโรงเรียนให้ บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร และ 3) การสอนของครู คลายคลึงกับการให้นิยามของ สุมิตร คุณานุกร (2520) จากความหมายของการน าหลักสูตรไปใช้ที่กล่าวมาข้างต้น ในภาพกว้าง ๆ เราอาจจะพอสรุปได้ว่า การน าหลักสูตรไปใช้นั้น หมายถึง การด าเนินงานและกิจกรรมต่าง ๆ ในอันที่จะท าให้หลักสูตรที่สร้างขึ้น ด าเนินไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อาทิ การเตรียมบุคลากร อาคาร สถานที่ วัสดุอุปกรณ์ สภาพแวดล้อม และการจัดการเรียนรู้ กำรประเมินหลักสูตร ในการประเมินหลักสูตร มีแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ที่อธิบายรูปแบบการ ประเมินไว้มากมายและค่อนข้างหลากหลาย โดยในการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องในครั้งนี้ คณะผู้วิจัยจะขอหยิบยกแนวคิดที่ส าคัญ ๆ มา 7 แนวคิดและทฤษฎี ดังนี้ 1) กำรประเมินหลักสูตรตำมแนวคิดของไทเลอร์ (Tyler, 1950) แนวคิดนี้มองว่า การจัด ประสบการณ์การเรียนรู้มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ดังนั้น การประเมินจึงพิจารณาจากผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของผู้เรียนนั้นสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายหรือไม่ โดยพิจารณาองค์ประกอบของการจัดการศึกษา 3 ประการ คือ จุดมุ่งหมายของการศึกษา การจัดประสบการณ์เรียนรู้ และการพิจารณาผลสัมฤทธิ์ ซึ่งเรียกได้ว่า “รูปแบบ ที่ยึดวัตถุประสงค์” (Goal-Based Evaluation) โดยวิธีการของไทเลอร์จะท าการก าหนดวัตถุประสงค์ออกมา ในรูปของพฤติกรรมของผู้เรียน แล้วพิจารณาข้อมูลว่า ผู้เรียนมีพฤติกรรมตรงตามวัตถุประสงค์มากน้อย อย่างไร ซึ่งถ้าไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จะต้องมีการปรับปรุง แก้ไข ให้มีความสอดคล้องกับความ ต้องการและความเปลี่ยนแปลงในสังคม ไทเลอร์จัดล าดับขั้นตอนการเรียนการสอนและการประเมินผล ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน อันได้แก่ 1) ก าหนดจุดมุ่งหมายอย่างกว้าง ๆ โดยการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ในการ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 35 ก าหนดจุดมุ่งหมาย (Goal Sources) คือ นักเรียน สังคม และเนื้อหา สาระการเรียนรู้ ส่วนปัจจัยที่ก าหนด ขอบเขตจุดมุ่งหมาย (Goal Screens) คือ จิตวิทยาการเรียนรู้และปรัชญาการศึกษา 2) ก าหนดจุดประสงค์ เฉพาะหรือจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมอย่างชัดเจน ซึ่งจะเป็นพฤติกรรมที่ต้องการวัดภายหลังจากการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ 3) ก าหนดเนื้อหาหรือประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ 4) เลือกวิธีการเรียนการสอนที่เหมาะสมที่จะท าให้เนื้อหาหรือประสบการณ์ที่วางไว้ประสบความส าเร็จ 5) ประเมินผลโดยการตัดสินด้วยการวัดผลทางการศึกษาหรือการทดสอบสัมฤทธิผลในการเรียน และ 6) ถ้าไม่ บรรลุตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ก็จะต้องมีการตัดสินใจที่จะยกเลิกหรือปรับปรุงหลักสูตรนั้น แต่ถ้าบรรลุตาม จุดมุ่งหมาย ก็อาจจะใช้เป็นข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) เพื่อปรับปรุงการก าหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับ สังคมที่เปลี่ยนแปลงหรือใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาคุณภาพของหลักสูตร 2) กำรประเมินหลักสูตรตำมแนวคิดครอนบำค (Cronbach, 1970) แนวคิดนี้เน้นการประเมินใน 4 องค์ประกอบ ได้แก่ กระบวนการ (Process) เช่น วิธีการสอนของครู การท ากิจกรรมของผู้เรียน เป็นต้น ทักษะความช านาญ (Proficiency) เช่น การประเมินความสามารถต่าง ๆ ของผู้เรียน เป็นต้น เจตคติ (Attitude) เช่น การประเมินความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนไปแล้วของผู้เรียน เป็นต้น การติดตามผล (Follow up) เช่น การประเมินผลความสามารถในการท างานของผู้เรียนที่จบการศึกษาไปแล้ว เป็นต้น 3) กำรประเมินหลักสูตรตำมแนวคิดสครีฟเว่น (Scriven, 1991) แนวคิดนี้เน้นการประเมินใน 4 ลักษณะ ได้แก่ การประเมินย่อย (Formative Evaluation) การประเมินรวม (Summative Evaluation) การประเมินภายใน (Intrinsic Evaluation) และการประเมินผลส าเร็จ (Pay-off Evaluation) 4) กำรประเมินหลักสูตรตำมแนวของคิดสเตค (Stake, 1976) แนวคิดนี้เน้นการประเมินใน 3 องค์ประกอบ คือ สิ่งที่มีอยู่ก่อน (Antecedent) เช่น ลักษณะของผู้เรียน ผู้สอน เนื้อหา สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ เป็นต้น กระบวนการ (Process) เช่น การปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียน การสื่อความหมาย เป็นต้น และ ผลผลิต (Outcome) เช่น ความรู้ เจตคติ ทักษะ และคุณลักษณะต่าง ๆ ของนักเรียนจากการใช้หลักสูตร รวมถึงผลที่เกิดขึ้นกับครู สถานศึกษา และสังคม เป็นต้น 5) กำรประเมินหลักสูตรตำมแนวคิดของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam, 2003) แนวคิดนี้เน้นการ ประเมินเพื่อน าไปสู่การตัดสินใจในการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ได้แก่ การประเมินสภาวะแวดล้อมหรือบริบท (Context evaluation: C) การประเมินองค์ประกอบที่เป็นปัจจัย น าเข้า (Input evaluation: I) การประเมินองค์ประกอบที่เป็นกระบวนการ (Process evaluation: P) และ การประเมินผลผลิต (Product evaluation: P) ในแต่ละขั้นตอนการประเมินจะน าไปสู่การตัดสินใจใน ขั้นต่อไปอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 6) รูปแบบกำรประเมินหลักสูตรฝึกอบรมตำมแนวคิดของเคิร์กแพทริค (Kirkpatrick, 1978) แนวคิดนี้ Kirkpatrick ได้เสนอรูปแบบการประเมินและติดตามผลโครงการฝึกอบรม โดยประเมินผล 4 ระดับ (The Four Levels Model) ดังนี้ (Kirkpatrick, 1978; สมหวัง พิธิยานุวัฒน์, 2540; ศิริชัย กาญจนวาสี, 2554) ระดับที่ 1 การประเมินปฏิกิริยา (Reaction) ระดับนี้เป็นการประเมินเพื่อรับรู้ว่า ผู้เข้ารับการอบรมมี ความคิดเห็น มีทัศนคติ มีความพึงพอใจ ความชอบอย่างไรต่อการฝึกอบรม ทั้งในด้านวัตถุประสงค์ของการ ฝึกอบรม เนื้อหา วิทยากร วิธีการฝึกอบรม ประโยชน์ที่ได้รับจากการฝึกอบรม ซึ่งถือว่าเป็นการประเมินที่ง่าย ที่สุดใน 4 ระดับ ระดับที่ 2 การประเมินการเรียนรู้ (Learning) ระดับนี้เป็นการวัดว่าผู้เข้ารับการอบรมได้มีการเพิ่มพูน ความรู้ ทักษะ หรือมีทัศนคติอันพึงประสงค์หรือไม่ ประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 36 ทั้งด้านความรู้ (Cognitive) ความสามารถในการปฏิบัติ (Psychomotor) การประเมินขั้นตอนนี้ถือว่ามี ความส าคัญมาก เพราะเป็นการตอบวัตถุประสงค์ของการจัดฝึกอบรมในส่วนของการเรียนรู้ว่าได้เรียนรู้เพิ่มขึ้น หรือไม่ ระดับที่ 3 การประเมินพฤติกรรม (Behavior) ระดับนี้เป็นการประเมินพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับ การน าความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรมไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงในหน่วยงาน มีผลเป็นอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็น การประเมินที่จะท าให้ทราบว่าการฝึกอบรมที่จัดขึ้นช่วยให้ผู้รับการฝึกอบรมน าไปใช้ในการท างานได้ดีขึ้น หรือ ลดความบกพร่องในงานได้หรือไม่ อาจเรียกได้ว่าการประเมินขั้นนี้เป็น “การติดตามผลการฝึกอบรม (follow up)” การประเมินขั้นนี้จึงต้องมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อที่จะระบุให้ชัดเจนว่าการฝึกอบรมต้องมี การติดตามผลในช่วงระยะเวลาใด อย่างไรก็ตามการติดตามผลการฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัย ความร่วมมือจากหน่วยงานต้นสังกัดผู้รับการฝึกอบรมในการให้ข้อมูลผลการปฏิบัติงานที่เกิดจากการฝึกอบรมนั้น ระดับที่ 4 การประเมินผลลัพธ์ที่เกิดต่อองค์การ (Results) ระดับนี้เป็นการประเมินที่ยากที่สุด ท าให้ ทราบว่าการอบรมแต่ละครั้งส่งผลดีอย่างไรต่อองค์กรบ้าง กล่าวคือ การประเมินผลลัพธ์ (Results) เป็นผลลัพธ์ แก่องค์กรจากการฝึกอบรม แนวทางการวัดของการประเมินในขั้นนี้ เช่น การวัดผลผลิตที่เพิ่มขึ้น (Productivity) อาทิ จ านวนสินค้าที่ผลิตได้เพิ่มขึ้น จ านวนของเสียที่ลดลง ยอดขายที่เพิ่มขึ้น หรือความพึงพอใจของลูกค้าต่อ บริการที่เพิ่มขึ้น เป็นต้น อย่างไรก็ตามการที่จะระบุให้ชี้ชัดลงไปว่าผลผลิตที่เพิ่มขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการอบรม หลักสูตรใดบ้างนั้น เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากในการตัดสิน เนื่องจากอาจเป็นผลมาจากปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบต่อ องค์กรด้วย ซึ่งยากต่อการควบคุม 7) กำรประเมินหลักสูตรตำมแนวคิดของกูบำและลินคอร์น (Guba and Lincoln, 1981, 1985, 1989) ได้น าเสนอแนวทางการประเมินหลายแนวทางบนฐานความเชื่อกลุ่มอัตนัยนิยม (Subjectivism) ซึ่งใช้ วิธีการเชิงธรรมชาติเป็นหลักของการด าเนินการประเมิน Guba and Lincoln ได้เสนอแนวทางการประเมิน แบบ Constructivist Approach เป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งเป็นการประเมิน ที่อยู่บนพื้นฐานของการให้บริการที่ตอบสนองต่อความห่วงใยของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย พื้นฐานความคิดมาจาก ความเชื่อว่า ความจริงไม่ใช่สิ่งสากลที่ยั่งยืน แต่ยึดถือว่าความจริงเป็นเพียงปฏิบัติการตามอัตวิสัยของ ผู้เกี่ยวข้อง ผู้ประเมินจึงมีบทบาทในการควบคุมการประเมินและท าการประเมินร่วมกับผู้เกี่ยวข้องที่มีส่วนได้ เสียทุกฝ่าย ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องมือมนุษย์ที่สามารถท าให้เกิดฉันทามติร่วมกันได้ 2.2.2 กลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยำกำรศึกษำ พัฒนำกำรเรียนรู้ และพฤติกรรมศำสตร์ แนวคิดและทฤษฎีในกลุ่มนี้มีอยู่อย่างหลากหลาย อย่างไรก็ตามคณะผู้วิจัยจะขอหยิบยกแนวคิดและ ทฤษฎีทางจิตวิทยาการศึกษา พัฒนาการเรียนรู้ และพฤติกรรมศาสตร์ ซึ่งแนวคิดและทฤษฎีที่น่าจะเกี่ยวข้อง กับการประเมินสัมฤทธิ์การใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่ม คอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม หรือ Bloom’s Taxonomy ทฤษฎีการขัดเกลา ทางสังคม (Socialization Theory) ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kohlberg’s Theory of Moral Development) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Learning Thory) และทฤษฎีการกระท าด้วย เหตุผล (Theory of Reasoned Action) ทฤษฎีกำรเรียนรู้ในกลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ (Constructivism) ซึ่งในกลุ่มคอนสตรัคติวิสต์ เชื่อว่า การเรียนรู้เป็นกระบวนการสร้าง (construct) มากกว่าการรับความรู้ คือเป็นกระบวนการที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง ความรู้ (โดยน าประสบการณ์ ความรู้เดิม มาเชื่อมโยงกับความรู้ที่ได้รับ) การเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีนี้มองว่า ความรู้ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดยในกลุ่มคอนสตรัคติวิสต์นี้มีทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 37 (Constructivist Theory) ที่แตกต่างกันอยู่ 2 ทฤษฎี คือ แนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงปัญญา (Cognitive Constructivism) ของ Jean Piaget และแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (Social Constructivism) ของ Lev Vygotsky คอนสต รัคติวิสต์เชิ งปัญญ ำ ( Cognitive Constructivism) โดยในแนวคิด Conginitive Constructivism นี้มีอิทธิพลมาจากทฤษฎีการพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ (Piaget’s Theory of Cognitive Development) ของเด็ก ซึ่ง Jean Piaget ที่มุ่งอธิบายว่าการสร้างความรู้เชิงปัญญา จะเป็นไป ตามล าดับขั้นพัฒนาการที่อธิบายด้วยสององค์ประกอบส าคัญ 2 องค์ประกอบ คือ ช่วงอายุ (Ages) และล าดับขั้น (Stages) ซึ่งทั้งสององค์ประกอบมีผลการสร้างรูปแบบ (Schemas) สร้างโมเดลทางความคิดความเข้าใจ (Mental Model) ด้วยกระบวนการที่เรียกว่า การดูดซับ (Assimilation) และปรับเปลี่ยน (Accomodation) ผ่านพัฒนาการเชิงล าดับขั้น 4 ล าดับขั้นของการพัฒนา Piagent (1953) 4 ล าดับขั้น ได้แก่ 1) ขั้นการรับรู้และ การเคลื่อนไหว (Sensorimotor stage) ช่วง 0-2 ปี 2) ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational stage) ช่วง 2-7 ปี 3) ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรม (Concrete Operatoinal Stage) ช่วง 7-11 ปี และ 4) ขั้นปฏิบัติการ คิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) ตั้งแต่อายุ 11 ปีขึ้นไปถึงวัยผู้ใหญ่ ในแนวคิดกลุ่มนี้ เห็นว่าผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้เอง เน้นพัฒนาจากกระบวนการภายในของผู้เรียน ที่จะสร้างการมีวุฒิภาวะที่เหมาะ มีพุทธิพิสัยการเรียนรู้ของตนเอง ควบคุมและตรวจสอบตนเองได้ คอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (Social Constructivism) ในทางกลับกันกับคอนสตรัคติวิสต์เชิงปัญญา ที่มองว่าผู้เรียนเป็นผู้เรียนรู้ แต่คอนสตรัคติวิสต์เชิงสังคม (Social Constructivism) มองว่าการเรียนรู้เกิดด้วย การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น Lev Vygotsky (1962) ถือได้ว่าเป็นบิดาของ Social Constructivism เชื่อว่าผู้เรียน สร้างความรู้โดยผ่านทางการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น ทั้ง เด็ก ผู้ใหญ่ พ่อแม่ ครู เพื่อน และอื่น ๆ ในขณะ ที่เด็กหรือผู้เรียนอยู่ในบริบทของสังคมและวัฒนธรรม ดังนั้น แนวการเรียนรู้ในแนวคิดคอนสตรัคติวิสต์ เชิงสังคมของ (Vygotsky) อาจจะไม่จ าเป็นต้องจัดกิจกรรมที่เหมือนกันทุกอย่างก็ได้ กิจกรรมและรูปแบบอาจ เปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม อย่างไรก็ตามในการจัดการ อาจมีข้อจ ากัดเกี่ยวกับช่วงของการพัฒนาที่ เรียกว่า Zone of Proximal Development (ZPD) ของแต่ละผู้เรียน ถ้าผู้เรียนอยู่ต่ ากว่า Zone of Proximal Development จ าเป็นที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือในการเรียนรู้ ที่เรียกว่า Scaffolding (Vygotsky, 1962) ทฤษฎีกำรเรียนรู้ของบลูม หรือ Bloom’s Taxonomy Bloom’s Taxonomy หรืออนุกรมวิธานของบลูม ในทฤษฎีของเขา บลูมและคณะได้อธิบายว่า การเรียนรู้ต้องประกอบไปด้วยความรู้ความเข้าใจ รวมถึงการเรียนรู้ เจตคติ อารมณ์ ความรู้สึก และทักษะทาง กายภาพ ดังนั้นด้วยตัวทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม เขาได้อธิบายระดับการออกแบบวัตถุประสงค์การเรียนรู้เป็น 3 ส่วนหรือ 3 Domain คือ พุทธิพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) ในทั้ง 3 ส่วน ระดับทักษะที่ถ้ายิ่งสูงก็จะน าไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกขึ้นไป (Nancy E Adams, 2015) ในการอธิบายโครงสร้างของ Taxonomy การเรียนรู้ บลูมและคณะ (Bloom et at, 1956) ได้อธิบาย แยกออกเป็น 3 ส่วนหลัก ซึ่งพวกเขาเรียกแต่ละส่วนว่า domain โดยแยกส่วนที่อธิบายวัตถุประสงค์การเรียนรู้ ที่เกี่ยวข้องกับการจ าหรือการระลึกของความรู้ (the recall or recognition of knowledge) และการพัฒนา ความสามารถและทักษะทางปัญญา (the development of intellectual abilities and skills) เรียกส่วนนี้ ว่า Cognitive Domain หรือส่วนความรู้ความเข้าใจ หรือต่อมาเราใช้ค าในภาษาไทยว่า ด้านพุทธิพิสัย ในส่วน ต่อมาที่อธิบายเกี่ยวกับความสนใจ (interest) เจตคติ (attitudes) และคุณค่า (values) และการพัฒนาความ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 38 ชื่นชมและการปรับตัว (the development of appreciations and adequate adjustment) โดยเรียกส่วน นี้ว่า Affective Domain หรือส่วนอารมณ์ความรู้สึก หรือต่อมาเราใช้ค าอธิบายในส่วนนี้ว่า ด้านจิตพิสัย และ ในด้านสุดท้ายที่พวกเขาพยายามอธิบายคือด้านที่เกี่ยวข้องกับด้านทักษะทางการเคลื่อนไหวทางกล้ามเนื้อ (motor-skill area) โดยเรียกกลุ่มนี้ว่า Psychomotor Domain หรือด้านทักษะพิสัย โดยในความคิดของบลูม และคณะเห็นว่า ถึงแม้พวกเขาจะรู้ถึงความมีอยู่ของทักษะพิสัยนี้ (psychomotor domain) บลูมและคณะ (Bloom et al, 1956) ได้จ าแนกด้านความรู้ความเข้าใจหรือด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) ออกเป็น 6 ระดับจากระดับความสามารถต่ าสุดไปถึงสูงสุด โดยเริ่มจาก (1) ความรู้ (knowledge) คือการจ าได้และความสามารถในการดึงสิ่งที่ได้เรียนมาก่อนหน้านี้มาได้ (2) ความเข้าใจ (Comprehension) คือ ความสามารถในการผูกหรือสร้างความหมายจากสิ่งที่ได้เรียน (3) การน าไปใช้ ( Application) คือ ความสามารถในการน าสิ่งที่เรียนไปใช้ได้ (4) การวิเคราะห์ (Analysis) คือ ความสามารถในการแยกแยะ ออกเป็นส่วนย่อย มองเห็นความสัมพันธ์ของส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน (5) การสังเคราะห์ (Synthesis) คือ ความสามารถในการผสมผสานส่วนย่อยต่าง ๆ เข้าเป็นเรื่องราวอย่างมีระบบเพื่อให้สมบูรณ์กว่าเดิม และระดับ สุดท้าย (6) การประเมินค่า (Evaluation) คือ ความสามารถในการตัดสิน ตรวจ หรือวิพากษ์คุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ตามจุดประสงค์ของสิ่งเหล่านั้น ต่อมา แครทโวทล์ ซึ่งร่วมท างานกับบลูม และคณะ (Krathwohl et al, 1964) ได้จ าแนก จิตพิสัยออกเป็น 5 ระดับ โดยเริ่มต้นจาก (1) การรับรู้ (Receiving) คือเป็นระดับความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อสิ่งเร้า อย่างใดอย่างหนี่ง (2) การตอบสนอง (Responding) เป็นการแสดงออกถึงความเต็มใจ ยินยอม หรือพอใจกับ สิ่งเร้า (3) การเกิดค่านิยม (Valuing) เป็นการยอมรับนับถือในคุณค่านั้น ๆ มีทัศนคติที่ดีต่อสิ่งนั้น (4) การจัดระบบ (Organizing) เป็นการจัดระบบค่านิยมที่เกิดขึ้นถ้าเข้ากันได้ก็ยึดถือต่อไปหรืออาจยอมรับ ค่านิยมใหม่ และระดับสุดท้าย (5) บุคลิกภาพ (Characterizing by a value) คือการน าค่านิยมที่ยึดถือมา แสดงเป็นนิสัยประจ าตัว หลักจากที่อนุกรมวิธานของบลูมได้ถูกน ามาใช้ได้เกือบสี่ทศวรรษ ในปี ค.ศ. 2000 โลริน แอนเดอร์สัน (Lorin Anderson) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของบลูมก็ได้ร่วมมือกับ David Krathwohl ผู้ซึ่งเป็นผู้ร่วมท างานและ เผยแพร่อนุกรมวิธานฉบับแรก มาตั้งแต่ต้น ก็ได้ด าเนินการปรับปรุงแก้ไขอนุกรมวิธานและได้เผยแพร่การ ปรับปรุงอนุกรมวิธานของบลูม (Bloom’s Revised Taxonomy) (ปรับปรุงเฉพาะในด้านพุทธิพิสัย) ซึ่งได้มี การน าเสนอระดับที่ได้จัดแบ่งใหม่เป็น 6 ขั้น ดังนี้ (1) การจ า (Remembering) หมายถึงความสามารถทาง สมองในการจ า ระลึกได้ (2) ความเข้าใจ (Understanding) เป็นความสามารถของสมองในการแปล สร้างความหมาย ยกตัวอย่าง สรุปได้ (3) การประยุกต์ใช้ (Applying) คือการใด้ใช้ความรู้ผ่านสถานการณ์ใหม่ ที่คล้ายคลึงกัน (4) การวิเคราะห์ (Analyzing) คือความสามารถในการแยกความรู้ออกเป็นส่วนและเข้าใจ ความสัมพันธ์ (5) การประเมินค่า (Evaluating) คือความสามารถของสติปัญญา ในการตรวจสอบ ตัดสิน ควบคุม ทดสอบ วิพากษ์ (6) การคิดสร้างสรรค์ (Creating) คือ ความสามารถของสติปัญญาในการสร้างสิ่งใหม่ จากสิ่งที่เคยเรียนรู้ ทฤษฎีกำรขัดเกลำทำงสังคม (Socialization Theory) ค าว่า Socialization ได้ถูกน ามาแปลเป็นภาษาไทยไว้หลายค า ทั้งค าว่า การขัดเกลาทางสังคม สังคมกรณ์ สังคมประกิต การกล่อมเกลาทางสังคม หรือการถ่ายทอดทางสังคม แต่โดยส่วนใหญ่จะใช้ค าว่า กระบวนการขัดเกลาทางสังคม หรือการขัดเกลาทางสังคม ครูเซนต์และเบลลิ่งแฮม ได้ให้นิยามของ กระบวนการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) ว่าเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตที่ปัจเจกบุคคล ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและผ่านสถาบันทางสังคม เรียนรู้บรรทัดฐานทางสังคม ประเพณี และอุดมการณ์ที่ ส าคัญในบริบททางสังคมเฉพาะ (Clausen, 1968, Billingham, 2007) ส่วนบลูมและเซลส์นิค (Broom &
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 39 Selznick, 1958) ได้อธิบายกระบวนการขัดเกลาทางสังคมไว้ในสองมุมมอง คือ มุมมองสังคมและมุมมองของ ปัจเจกในมุมมองสังคม การขัดเกลาทางสังคม หมายถึง การถ่ายทอดวัฒนธรรมและท าให้บุคคลมีวิถีชีวิตที่เป็น ระเบียบ ส่วนในมุมมองของปัจเจก การขัดเกลาทางสังคมเป็นกระบวนการที่ท าให้คนเปลี่ยนจากชีวอินทรีย์ มาเป็นมนุษย์ที่ควบคุมพฤติกรรมตนเองได้และปฏิบัติตามค่านิยม อุดมคติ และระดับความทะเยอทะยานได้ พอล บี ฮอลตัน และ เชสเตอร์ ฮัท ได้ให้ความหมายของ Socialization ไว้ว่า การขัดเกลาทางสังคม คือ กระบวนการเรียนรู้ที่ท าให้มนุษย์จากที่เป็นสัตว์ให้กลายเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบมนุษย์ กล่าวอย่างเป็น ทางการว่า การขัดเกลาทางสังคมเป็นกระบวนการหนึ่งที่ท าให้บรรทัดฐานของกลุ่ม ที่บุคคลที่มีชีวิตอยู่ภายใน นั้น มีตัวตนที่เฉพาะบุคคล” (P.B. Horton & C.L. Hunt, 1969) จ านง อติวัฒนสิทธิ์ และคณะ (2540) ได้ให้ ความหมายของการขัดเกลาทางสังคมใน 2 นัยยะ นัยแรกการขัดเกลาทางสังคม คือการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ ท าให้มนุษย์สามารถปฏิบัติตัวให้เข้ากับสังคมได้อย่างถูกต้อง และนัยที่สอง การขัดเกลาทางสังคม คือการ พัฒนาบุคลิกภาพเพื่อที่จะได้มีบุคลิกภาพเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในสังคม ส่วนสุพัตรา สุภาพ (2545) ให้ความหมายไว้ว่า การขัดเกลาทางสังคม เป็นกระบวนการทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มนุษย์จะได้เรียนรู้คุณค่า กฎเกณฑ์และระเบียบ ที่กลุ่มนั้น ๆ ได้ก าหนดไว้เพื่อการปฏิบัติต่อกันและเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพของตนเอง จากความหมายที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า กระบวนการขัดเกลาทางสังคม คือกระบวนการเรียนรู้ บทบาทของตัวตนในสังคม ผ่านปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และตัวแทนทางสังคมหรือสถาบันทางสังคม ขัดเกลา ให้บุคคลเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ตามแนวปฏิบัติ อุดมการณ์ค่านิยมของสังคมนั้น ๆ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าจาก ความหมายดังกล่าวนี้ ชุดค่านิยม อุดมการณ์ และแนวปฏิบัติของสังคมนั้น ๆ มีความส าคัญมากในกระบวนการ ขัดเกลาทางสังคม เพราะถ้าชุดค่านิยม อุดมการณ์ และแนวปฏิบัติของสังคมนั้น ๆ เป็นเช่นไร ก็แน่นอนว่าการ ขัดเกลาทางสังคมในสังคมนั้น ๆ ก็เป็นไปตามชุดค่านิยม อุดมการณ์ และแนวปฏิบัตินั้น ๆ ของสังคมไปด้วย ฉะนั้นการจะเริ่มกระบวนการขัดเกลาทางสังคมที่จะท าให้สังคมได้ปัจเจกที่มีพฤติกรรมชุดใหม่ ก็ต้องมีการใส่ ชุดค่านิยม อุดมการณ์ และแนวปฏิบัติที่ต้องการใส่เข้าไปในสังคมนั้น ๆ ใหม่เป็นการเริ่มกระบวนการ แน่นอนเวลาเราอธิบายถึงเรื่องการขัดเกลาทางสังคม เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพูดถึง The Agents of Socialization หรือ Social Agents เป็นค าหลายค า อาทิ ตัวแทนทางสังคม ตัวแทนการขัดเกลาทางสังคม หรือตัวแทนที่ท าหน้าที่กล่อมเกลาทางสังคม ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยจะใช้ค าว่า ตัวกระท าการขัดเกลาทาง สังคม ในความหมายของ The Agents of Socialization หรือ Social Agents ในภาษาอังกฤษ มนุษย์มีการ ติดต่อกับสมาชิกของสังคม ซึ่งแน่นอนจะมีอิทธิพลกับเขา ต่อมาบุคคล กลุ่มคน และสถาบันที่สร้างบริบททาง สังคม เหตุการณ์ หรือกระบวนการ มีอิทธิพลในการสร้างแบบแผน เราเรียนรู้ที่จะรวมเข้าด้วยกันเป็นค่านิยม และบรรทัดฐานของสังคมเรา พูดง่าย ๆ ก็คือ บุคคล กลุ่มคน หรือสถาบันที่สอนเราว่าอะไรที่เราต้องรู้เพื่อที่จะ มีส่วนร่วมในสังคม คือตัวกระท าการขัดเกลาทางสังคม (Agents of Socialization) นั่นเอง เอมี่ โสดาโร่ (Amy Sodaro, 2020) ได้อธิบายตัวกระท าการขัดเกลาทางสังคมในสหรัฐอเมริกา หลัก 4 ตัว ได้แก่ ครอบครัว (Family) โรงเรียน (School) เพื่อน (Peers) สื่อ (Media) ส่วนในประเทศไทย สุพัตรา สุภาพ (2545) ได้แบ่งตัวกระท าการขัดเกลาทางสังคม 6 กลุ่ม คือ กลุ่มครอบครัว กลุ่มเพื่อน โรงเรียน กลุ่มอาชีพ ตัวแทนทางศาสนา และกลุ่มสื่อมวลชน ซึ่งไม่ว่าจะจัดแบ่งตัวกระท าการขัดเกลาทางสังคม เป็นอย่างไร ตัวกระท าการขัดเกลาทางสังคมเหล่านี้ก็มีความส าคัญในกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ซึ่ง Crisogen, D. T. (2015). ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า เราอาจจะแบ่งประเภทของการขัดเกลาทางสังคม (Types of Socialization) ได้ 2 ประเภท คือ ประเภทแรก ที่เรียกว่า การขัดเกลาทางสังคมปฐมภูมิ หรือ Primary Socialization หรือ Basic Socialization ซึ่งเป็นพื้นฐานของการขัดเกลาทางสังคมที่ส าคัญมากต่อการพัฒนา ทางกาย (physical) และทางจิต (mental) ของเด็ก ซึ่งตัวกระท าการขัดเกลาที่ส าคัญในประเภทนี้คือ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 40 ครอบครัว โดยเฉพาะส าหรับเด็กก่อนวัย 7 ขวบ ส่วนประเภทที่สอง เรียกว่า Secondary Socialization หรือ การขัดเกลาทางสังคมทุติยภูมิ หมายถึง ช่วงที่เด็กเริ่มที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางสังคมอื่น ๆ นอกเหนือจากครอบครัวไปแล้ว ทฤษฎีพัฒนำกำรทำงจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kohlberg’s Theory of Moral Development) โคลเบิร์ก (Kohlberg, 1958, 1969, 1971, 1976, 1984) ได้เสนอทฤษฎีนี้ตามพื้นฐานจากทฤษฎีพัฒนาการ ทางจริยธรรมของเพียเจต์ (Piaget's Theory of Moral Development) ที่เชื่อว่าจริยธรรมมีพัฒนาการตาม ระดับวุฒิภาวะ เขาเชื่อว่าจริยธรรมของมนุษย์เกิดจากกระบวนการทางปัญญา เมื่อมนุษย์มีการเรียนรู้มากขึ้น โครงสร้างทางปัญญาเพิ่มมากขึ้น จริยธรรมก็พัฒนาตามวุฒิภาวะของการเพิ่มทางปัญญา ดังนั้น จริยธรรมจึงมี ความสัมพันธ์กับอายุ กาลเวลา สถานที่ วัฒนธรรม และสภาพการณ์ (Ray, 2007) โคลเบิร์กได้เสนอพัฒนาการ ของเหตุผลเชิงจริยธรรมไว้ 3 ระดับ (Level) 6 ขั้น (Stage) ดังต่อไปนี้ ระดับที่ 1 ระดับก่อนกฎเกณฑ์ (Preconvention level) พบในเด็กอายุ 2-10 ปี เด็กจะปฏิบัติตาม สิ่งที่พ่อแม่บอกให้ท าและเรียนรู้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งไม่ดี จากผลที่เด็กกระท าแล้วถูกลงโทษทางกายหรือได้รับ รางวัล ในระดับนี้แบ่งเป็น 2 ขั้น คือ ขั้นที่ 1 การลงโทษและการเชื่อฟัง (Punishment and Obedience Orientation) เป็นจริยธรรมของเด็กอายุ 2-7 ปี พฤติกรรมใดของเด็กที่ถูกท าโทษเด็กจะคิดว่าตนเองท าผิด จะพยายามหลีกเลี่ยง และขั้นที่ 2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน (Instrument Relativist Orientation) เป็นจริยธรรมเด็กอายุ 7-10 ปี ขั้นนี้จะสนใจท าตามกฎข้อบังคับเพื่อรางวัลหรือค าชม พฤติกรรม ที่ท าแล้วได้รับรางวัลหรือค าชม เด็กก็จะกระท าซ้ าเพื่อจะได้รางวัลหรือเน้นที่เกิดประโยชน์แก่ตน ระดับที่ 2 ระดับตามกฎเกณฑ์ (Conventional level) ส่วนมากพบกับเด็กอายุระหว่าง 10-16 ปี มีผลต่อเหตุผลเชิงจริยธรรมและการแสดงบทบาทตามที่สังคมคาดหวัง แบ่งเป็น 2 ขั้น คือ ขั้นที่ 3 หลักการท า ตามความเห็นชอบของผู้อื่น (Interpersonal Concordance of good boy, nice girl Orientation) เป็นขั้น ของความคาดหวังและการยอมรับในสังคม ตามมาตรฐานความคาดหวังของพ่อแม่ เพื่อนวัยเดียวกัน พฤติกรรม "ดี" คือพฤติกรรมที่ท าให้ผู้อื่นชอบและยอมรับ หรือไม่ประพฤติผิดเพราะเกรงว่าพ่อแม่จะเสียใจหรือ เป็นไปตามที่บุคคลอื่นคาดหวัง พบในเด็กช่วงอายุ 10-13 ปี และขั้นที่ 4 หลักการท าตามหน้าที่และกฎ ข้อบังคับในสังคม (Law and Order Orientation) เป็นจริยธรรมของเด็กอายุ 13 -16 ปี ขั้นนี้ถือว่าสังคมจะมี ความสงบเรียบร้อยและเป็นระเบียบต้องมีกฎหมายและข้อบังคับ เป็นขั้นที่กระท าตามกฎระเบียบ ได้แก่ กฎหมาย กฎเกณฑ์ ข้อปฏิบัติทางศาสนา ไม่ค านึงถึงการมีสัมพันธ์เป็นญาติหรือพวกพ้อง เพื่อรักษาความสงบ เรียบร้อยและความเป็นระเบียบของสังคม ระดับที่ 3 ระดับเหนือกฎเกณฑ์ (Post conventional level) ระดับนี้เป็นของบุคคลที่อายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป แบ่งได้เป็นอีก 2 ขั้น คือ ขั้นที่ 5 สัญญาสังคมหรือหลักการท าตามค ามั่นสัญญา (Social Contract Orientation) เน้นความส าคัญของมาตรฐานการปฏิบัติตามที่คนส่วนใหญ่หรือสังคมยอมรับว่าสมควรปฏิบัติตาม ค านึงถึงประโยชน์และสิทธิของบุคคลก่อนจะใช้มาตรฐานทางจริยธรรมโดยใช้ความคิดและเหตุผลเปรียบเทียบ สิ่งถูกผิด ขั้นนี้ ถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับค่านิยมและความคิดเห็นของแต่ละคน ขั้นที่ 6 หลักการคุณธรรมสากล (Universal Ethical Principle Orientation) เป็นหลักการเพื่อมนุษยธรรม เพื่อความเสมอภาคและ ความยุติธรรมของทุกคนในสังคม แสดงเหตุผลที่เป็นหลักมนุษยธรรมไม่ยึดติดต่อกฎเกณฑ์ทางสังคมของตน ทฤษฎีกำรเรียนรู้ทำงสังคม (Social Learning Thory: SLT) ตัวทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม หรือ อาจจะได้ยินในอีกชื่อหนึ่งว่า ทฤษฎีปัญญาสังคม เป็นทฤษฎีที่พัฒนาโดย Albert Bandura นักจิตวิทยา ชาวอเมริกา ทฤษฎีนี้มีฐานคิดมาจากความเชื่อว่าเราเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในบุพบทสังคม โดย Bendura เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์เราแต่ละคน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 41 จากกระท าของผู้อื่นแล้วเลียนแบบหรือท าตามพฤติกรรมนั้น การเรียนรู้ตามทฤษฎี SLT มีหลักทั่วไป อยู่ 3 ประการ คือ ผู้เรียนจะเรียนรู้จากกันและกันผ่าน การสังเกต (Observation) การท าตาม (Imitation) และการเลียนแบบ (Modeling) (Harinie, L. T., Sudiro, A., Rahayu, M., & Fatchan, A., 2017 ในแนวคิด ของ Bendura การเลียนแบบเกี่ยวข้องกับการท าซ้ าของกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่สังเกตได้จริง (Bandura, 1977) ในความคิดของเขา การเรียนรู้อาจจะส่งผลหรือไม่ส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมก็ได้ (Bendura, 2006b). Harinnie และคณะ (2017) ได้สรุปแนวคิดของทฤษฎี SLT ไว้ว่าตัวทฤษฎีประกอบไปด้วยแนวคิด 3 ประการ คือ ประการแรก มนุษย์หรือผู้คนสามารถเรียนผ่านการสังเกตด้วยสิ่งที่เรียกว่า การเรียนรู้โดยการ สังเกต (Observational learning) ประการที่สอง ในขั้นการคิด (mental states) ถือเป็นปัจจัยส าคัญมาก ส าหรับการเรียนรู้เราสามารถเรียนมันได้เลยว่าเป็นการเสริมแรงภายใน (intrinsic reinforcement) ประการ สุดท้าย การเรียนรู้อาจจะหรือไม่จ าเป็นต้องน าไปสู่การเปลี่ยนในพฤติกรรมก็ได้ ในความคิดของ Bendura ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม เน้นว่า พฤติกรรม (Behavior) ปัจจัยส่วน บุคคล (personal factors) และปัจจัยแวดล้อม (environamental factors) มีผลเท่ากัน ๆ มันมีการเชื่อมเหนียว ระหว่างกัน Bendura เรียกแนวคิดนี้ว่า Reciprocal Determinism การเป็นปฏิสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกัน (Bandura, 1973, 1977) แผนภำพที่ 2.1 การเป็นปฏิสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกัน (Reciprocal Determinism) ที่มา, Kelland, M. (2015). Social learning theory and personality development. References for Personality. จะเห็นได้ว่าในแนวคิด Reciprocal Determinism หรือการเป็นปฏิสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลกัน กระบวนการเรียนรู้จะเป็นการปฏิสัมพันธ์กันขององค์ประกอบทั้ง 3 ประการ ระหว่าง ตัวบุคคล (Person) สิ่งแวดล้อม (Enviroment) และพฤติกรรม (Behavior) ดังนั้น ผลของการเรียนรู้กับการแสดงออกอาจจะ แตกต่างกันหรืออาจจะไม่มีการแสดงออกก็ได้ ทฤษฎีกำรกระท ำด้วยเหตุผล (Theory of Reasoned Action: TRA) เป็นทฤษฎีที่พัฒนาโดย Icek Ajzen กับ Martin Fishbein (Ajzen & Fishbein, 1980; Fishbein & Ajzen, 1975) โดย Ajzen & Fishbein ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อต่อพฤติกรรม ว่าการเปลี่ยนแปลงความเชื่อจะส่งผลต่อการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคล ทั้งนี้บุคคลจะคิดถึงผลลัพธ์ (consequences) และสิ่งที่จะตามมา (implications) ที่เป็นเหตุเป็นผลก่อนการกระท า ดังนั้นในกระบวนการก่อนมีพฤติกรรมใด ๆ ของบุคคล จะมี ตัวเจตนาพฤติกรรม (Behavioral Intention) นี้เกิดขึ้น โดยเจตนาพฤติกรรมที่จะน าไปสู่พฤติกรรม โดยก็จะมี ปัจจัยสองอย่างที่จะส่งผลต่อเจตนาพฤติกรรม คือ เจตคติ (Attitute) ของบุคคลนั้น ๆ กับปัจจัยการคล้อยตาม กับกลุ่มหรือความคล้อยตามปทัสถานกลุ่ม (Subjective Norm) พฤติกรรม B ปัจจัยแวดล้อม E ปัจจัยส่วนบุคคล P
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 42 แผนภำพที่ 2.2 องค์ประกอบเบื้องต้นของทฤษฎีการกระท าด้วยเหตุผล ที่มา, Hale, J. L., Householder, B. J., & Greene, K. L. (2002). The theory of reasoned action. The persuasion handbook: Developments in theory and practice, 14(2002), 259-286. ดังนั้น ตามกรอบทฤษฎี TRA จะสามารถอธิบายได้ว่า ในการกระท าใด ๆ หรือพฤติกรรมใด ๆ ของ บุคคล ตัวบุคคลจะน าทั้งสองปัจจัยคือเจตคติและความคล้อยตามปทัสถานกลุ่มหรือความคาดหวังของสังคม (ทั้งสังคมใกล้และไกลตัว) มาก าหนดเจตนาพฤติกรรม ซึ่งจะส่งผลต่อการกระท าที่เป็นเหตุผลของบุคคลนั้น ๆ 2.2.3 กลุ่มแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม จริยธรรม และควำมซื่อสัตย์สุจริต ในการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีในกลุ่มแนวคิดนี้ จะด าเนินการทบทวนโดยแยกเนื้อหาการทบทวน ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนแรกจะเป็นการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมและจริยธรรม ส่วนที่สองจะเป็นการทบทวนแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับความซื่อสัตย์สุจริต แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรมและจริยธรรม จะเริ่มโดยการเข้าใจในความหมาย ความส าคัญ และองค์ประกอบของคุณธรรมและจริยธรรม โดยในส่วนความหมายของคุณธรรม ค าว่า คุณธรรม ตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า Virtue โดยมีผู้ให้ความหมายและค าจ ากัดอยุ่อย่างหลากหลาย พระธรรมปิฎก (2546) กล่าวว่า คุณธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นคุณงามความดี สภาพ เกื้อกูล และดวงเดือน พันธุมนาวิน (2543) ให้ความหมายคุณธรรมว่า หมายถึงสิ่งที่บุคคลยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม มีประโยชน์มากและมีโทษน้อย สิ่งที่ เป็นคุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกัน เพราะการเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดีนั้นขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนาและการศึกษาของคนในสังคมนั้น ส่วนพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2546) ให้ความหมายว่า คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีด้านทิศนา แขมมณี. (2546, หน้า 11) ให้ความหมายของคุณธรรมไว้ 2 ประการ คือ 1) คุณธรรม หมายถึง ความดีงามของลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรม ที่ได้กระท าจนเคยชิน และ 2) คุณธรรม หมายถึง คุณภาพที่บุคคลได้กระท าตามความคิดและมาตรฐานของ สังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับความประพฤติและศีลธรรม กล่าวโดยสรุปก็น่าจะให้นิยามได้ว่า คุณธรรม หมายถึง สภาพ คุณลักษณะ หรือธรรม ที่เป็นคุณงามความดี ซึ่งอยู่ในบุคคล ในส่วนของค าว่า จริยธรรม ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า ethics หรืออีกค าหนึ่งที่เทียบได้ คือ ค าว่า moral หรือ morality ตัวความหมายของค าว่า จริยธรรม ก็มีนักวิชาการ นักคิด และนักการศึกษาหลายท่าน ให้ความหมายไว้ จริยธรรม คือ ความประพฤติ กิริยามารยาทที่ควรประพฤติ ซึ่งต้องเป็นการแสดงออกใน เจตคติ (Attitude) เจตนาพฤติกรรม (Behavioral Intention) ปทัสถานกลุ่ม (Subjective Norm) พฤติกรรมโดยสมัครใจ (Volitional Behavior)
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 43 ทางที่ดีเท่านั้น จริยธรรม คือ ธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติ หรือศีลธรรม กฎของศีล (พจนานุกรมฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525, 2530) สมเด็จพระพุทธทาสภิกขุ (2521) ให้ความหมายว่า จริยธรรม ตรงกับ ค าว่า ethics ในภาษาอังกฤษ จริย แปลว่า ความประพฤติหรือพึงประพฤติ ภิญโญ สาธร (2530) กล่าวว่า จริยธรรม คือ คุณความดีที่ควรประพฤติ ด้านชุติมา เชยชม (2531) กล่าวสรุปว่า จริยธรรม หมายถึง หลักเกณฑ์หรือกฎทางสังคม ใช้ตัดสินการกระท า เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม ควรประพฤติ และการกระท าใด เป็นสิ่งที่ไม่สมควรปฏิบัติทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น ส่วนเสถียรพงษ์ วรรณปก (2537) อธิบายว่า จริยธรรม หมายถึง ความดีงาม สิ่งที่ควรประพฤติในต่างประเทศ Kohlberg (1964) กล่าวสรุปว่า จริยธรรมมีพื้นฐานของ ความยุติธรรม ซึ่งยึดถือเอาการกระจายสิทธิและหน้าที่อย่างเท่าเทียมกันโดยมิได้หมายถึงกฎเกณฑ์ที่บังคับ โดยทั่วไป แต่เป็นเกณฑ์ที่ส่วนใหญ่รับไว้ในทุกสถานการณ์ไม่มีความขัดแย้งกัน ส่วน Brown (1965) ได้กล่าวว่า จริยธรรม คือ ระบบของกฎเกณฑ์ส าหรับแยกแยะการกระท าที่ถูกออกจากการกระท าที่ผิด คล้ายกับไวยากรณ์ ที่เป็นระบบของกฎเกณฑ์ ส าหรับแยกแยะประโยคที่สร้างขึ้นมาดีออกจากประโยคที่สร้างขึ้นมาไม่ดี จริยธรรม ทั้งหลายไม่คงที่เหมือนกับไวยากรณ์ ซึ่งมีวิวัฒนาการไปเสมอ อาจเป็นไปได้ว่า จริยธรรมทั้งหลายเปลี่ยนแปลง ไปเร็วกว่าไวยากรณ์เสียอีก จริยธรรมเปลี่ยนแปลงไปเพราะความขัดแย้งกันเองเพราะมีอิทธิพลของแหล่งอื่น และเพราะมีสถานการณ์ใหม่ขึ้นมามากมาย ในขณะที่ Piaget (1960) ให้ความเห็นว่า จริยธรรมเป็นลักษณะ ประสบการณ์ของมนุษย์และหน้าที่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์ในการให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการจัดเตรียมทางสังคมใน เรื่องความสนใจอนามัยของแต่ละบุคคล ความสัมพันธ์ร่วมกันในรูปของสิ่งที่ควรกระท าและสิทธิ กล่าวโดยสรุป จริยธรรม เป็นการปฏิบัติไปสู่สภาพที่พึงประสงค์ ที่ถูกต้องดีงาม เกี่ยวกับองค์ประกอบของจริยธรรม มีผู้ที่ได้จ าแนกองค์ประกอบไว้ต่าง ๆ กัน ชัยพร วิชชาวุธ และ ธีรพร อุวรรณโณ (2525) ได้สรุปองค์ประกอบของจริยธรรม โดยจ าแนกออกเป็น 3 อย่าง คือ 1. องค์ประกอบ ทางปัญญา (cognition) เป็นส่วนประกอบของความเชื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมทางจริยธรรม และเป็น ส่วนที่จะประเมินหรือตัดสินว่าพฤติกรรมใดที่ดีที่ถูก ที่ควร และพฤติกรรมใดที่ไม่ดี ไม่ถูก ไม่ควร มโนทัศน์อื่น ๆ ที่ใช้เรียกองค์ประกอบส่วนนี้ ได้แก่ ความคิดทางจริยธรรม (moral thought) ค่านิยมทางจริยธรรม (moral value) ความเชื่อทางจริยธรรม (moral belief) การตัดสินทางจริยธรรม (moral judement) การใช้เหตุผล ทางจริยธรรม (moral reasoning) และความรู้ความเข้าใจทางจริยธรรม (moral cognition) 2. องค์ประกอบ ทางอารมณ์ (affection) หมายถึง ความรู้สึกหรือปฏิกิริยาที่มีต่อพฤติกรรมทางจริยธรรมว่ามีความพอใจหรือไม่ พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ เป็นต้น มโนทัศน์อื่น ๆ ที่ใช้เรียกองค์ประกอบส่วนนี้ ได้แก่ ความรู้สึกทางจริยธรรม (moral feeling) ทัศนคติทางจริยธรรม (moral attitude) และปฏิกิริยาทางจริยธรรม (moral reaction) และ 3. องค์ประกอบทางพฤติกรรม (behavior) หมายถึง พฤติกรรมหรือการกระท าที่บุคคลแสดงออกทั้งต่อ ตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสิ่งแวดล้อม เป็นพฤติกรรมที่ตัดสินได้ว่า ดี ไม่ดี ถูก ไม่ถูก ควร ไม่ควรเพียงใด มโนทัศน์ อื่น ๆ ที่ใช้เรียกองค์ประกอบส่วนนี้ ได้แก่ ความประพฤติทางจริยธรรม (moral conduct) การกระท าทาง จริยธรรม (moral action) และพฤติกรรมทางจริยธรรม (moral behavior) ดวงเดือน พันธุมนาวิน และเพ็ญแข ประจนปัจจนึก (2520) ได้สรุปองค์ประกอบของจริยธรรมไว้ 4 ลักษณะ คือ 1. ความรู้เชิงจริยธรรม หมายถึง การมีความรู้เกี่ยวกับกฎระเบียบ ข้อบังคับต่าง ๆ ในสังคมว่า สิ่งใดควรกระท าและสิ่งใดไม่ควรกระท า ซึ่งสมาชิกทุกคนในสังคมจ าเป็นต้องเรียนรู้ 2. ทัศนคติเชิงจริยธรรม หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อลักษณะใดลักษณะหนึ่งหรือพฤติกรรมหนึ่งที่เป็นไปในทางชอบหรือไม่ชอบ 3. พฤติกรรมทางจริยธรรม หมายถึง การแสดงพฤติกรรมที่สังคมยอมรับและต้องการ เช่น ความซื่อสัตย์สุจริต การไม่เอาเปรียบผู้อื่น เป็นต้น และ 4. เหตุผลเชิงจริยธรรม หมายถึง การที่บุคคลใช้เหตุผลในการเลือกที่จะ กระท าหรือเลือกที่จะไม่กระท าอย่างใดอย่างหนึ่ง เหตุผลเชิงจริยธรรมนี้จะท าให้ทราบถึงเหตุจูงใจ หรือ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 44 แรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการกระท าต่าง ๆ กล่าวโดยสรุป องค์ประกอบของจริยธรรมจะเริ่มจากความรู้ ความคิด คือบอกหรือตัดสินใจได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี อะไรเป็นสิ่งไม่ดี จากนั้นจะเกิดทัศนคติหรือความรู้สึกว่าพอใจ ศรัทธาหรือไม่ และจะแสดงออกในลักษณะของพฤติกรรม อย่างไรก็ตามค าสองค านี้ คุณธรรม และจริยธรรม ส่วนใหญ่จะถูกใช้ควบคู่กันอยู่เสมอ เรียกว่า คุณธรรมจริยธรรม แต่ความหมายของคุณธรรมจริยธรรมที่ใช้ในสังคมยังไม่ชัดเจนตายตัว แต่ก็มีความหมาย หลักในแนวทางคุณธรรมจริยธรรม ตามความหมายในพจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 คุณธรรม จริยธรรมจึงมีความหมายใกล้เคียงกันและมีความสัมพันธ์กัน โดยคุณธรรมเป็นสภาพที่พึงประสงค์ในด้าน ความดี ความควร ความถูกต้อง ส่วนจริยธรรมเป็นการปฏิบัติไปสู่สภาพที่พึงประสงค์ คุณธรรมจึงเป็นสภาพ ทางจิตใจที่จะโน้มน าการกระท าให้เกิดการประพฤติปฏิบัติที่ดี และไม่ประพฤติสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้น คุณธรรมจะเป็น ปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดจริยธรรม และจริยธรรมเป็นผลของการมีคุณธรรม หรืออีกนัยหนึ่งคุณธรรมเป็นเรื่องของ ความจริงแท้หรือสัจธรรม ส่วนจริยธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์ท าขึ้น แต่งขึ้นตามเหตุผลของมนุษย์หรือตาม ความต้องการของมนุษย์ แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับควำมซื่อสัตย์สุจริต โดยจะเริ่มโดยการท าความเข้าใจกับ ความหมายและองค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ก่อน การให้ความหมายของค าว่า Integrity ในงานวิจัยต่างประเทศ Bauman (2013) ได้อธิบายค าว่า Integrity ว่า “integer was first used to describe the following characteristics: fresh, virgin, whole and complete” มาจากรากศัพท์ภาษา ลาตินค าว่า integer ที่ใช้อธิบายคุณลักษณะที่สะท้อนถึงความสด บริสุทธิ์ ครบถ้วนและสมบูรณ์ ซึ่งต่อมาค านี้ ใช้ค าว่า Integritas ในภาษาลาตินที่เพิ่มความหมายในเชิงคุณธรรม (a moral meaning) เพิ่มเข้าไปด้วย ในงานวิจัยของ Palanski กับ Yammarino เมื่อปี 2007 ได้รวบรวมบทความที่เกี่ยวข้องที่ได้ให้ความหมายของ integrity ไว้และได้ประมวลสรุปความหมายแยกได้เป็น 5 กลุ่มความหมาย “integrity as wholeness” ความสมบูรณ์; integrity as consistency between words and actions” ความสอดคล้องระหว่างค าพูด และการกระท า; “integrity as consistency in adversity” ความสม่ าเสมอแม้ในยามทุกข์ยากล าบาก; “integrity as being true to oneself”ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง; และ “integrity as morality” ความมี ศีลธรรม ตามความหมายของ Merriam-Webster ดิกชันนารี (Merriam-Webster, 2021) ได้ให้ความหมาย ของค าว่า Integrity ไว้ในสามความหมาย “1. Firm adherence to a code of especially moral or artistic values” การยึดมั่นในหลักศีลธรรมจริยธรรมหรือคุณค่า “2. an unimpaired condition” สภาพเงื่อนไขที่ไม่มี ข้อบกพร่อง และ “3. the quality or state of being complete or undivided” คุณภาพหรือสถานะของ ความสมบูรณ์พร้อมไม่มีแบ่งแยกได้ จะเห็นได้ว่าแนวคิดของค าว่า integrity ถูกแปลและเอาไปใช้ใน หลากหลายกรอบแนวคิดในหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ไม่ว่าจะเอาไปแปลอย่างไร “integrity has always encompassed the basic meaning of wholeness and transparency of character” ค าว่า integrity จะมีความหมายตีวงอยู่ในความหมายเบื้องต้นของความสมบูรณ์และความโปร่งใสของคุณลักษณะ (Du Toit, 2015) ในสังคมไทยค าที่ถูกน ามาสื่อความหมายที่ใกล้เคียงนิยามของ Integrity มากที่สุด คือค าว่า ความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งในนิยามของความซื่อสัตย์สุจริต มีผู้ให้ความหมายไว้ในหลายนิยาม กลุ่มยุทธศาสตร์ การวิจัยและพัฒนา ส านักนโยบายและยุทธศาสตร์ ส านักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (2560) กล่าวว่า ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ถูกต้อง ละอายเกรงกลัวต่อการกระท าผิด ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงผู้อื่น มีความจริงใจและไว้วางใจต่อทุกคน ตรงไปตรงมา ทั้งกาย วาจา ใจ ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วย
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 45 ความซื่อตรงและท าตนเป็นแบบอย่างที่ดีด้านความซื่อสัตย์และจริงใจ ไม่ยึดเอาวัตถุสิ่งของผู้อื่นมาเป็นของ ตนเอง เช่น การไม่พูดโกหก การไม่ลอกการบ้านเพื่อน การประพฤติตัวดีทั้งต่อหน้าและลับหลัง การพูดกับ เพื่อนในสิ่งที่ถูกต้องและเป็นจริง การชักชวนเพื่อนให้ท าความดี ในขณะที่ส านักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา (2560) ระบุว่าความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติทางกาย วาจา ใจ ได้ตรงตามความจริง ตัวอย่างพฤติกรรมคือ พูดความจริง ปฏิบัติตามค าสัญญา ไม่น าสิ่งของหรือผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง ส่วนสหประชาชาติ ส านักงานประเทศไทย (2561) มองว่าค าว่า “Integrity” เป็นค านามที่มีความหมายคาบเกี่ยวกับหลาย ๆ ค า ไม่สามารถแปลเป็นค าไทยได้ตรงกับความหมายที่แท้จริง และบุคคลทั่วไปมีความเข้าใจความหมายที่ไม่ตรงกัน ลักษณะของ Integrity เป็นเรื่องที่ฝังลึกในจิตใจของ แต่ละคนซึ่งน าไปสู่พฤติกรรมที่ถูกต้องทั้งต่อหน้าและลับหลัง ถ้ากล่าวถึง “บุคคล” Integrity อาจเทียบเคียงได้ กับค าว่า พฤติกรรมที่สะท้อนถึงความมีจริยธรรม ความมีจรรยาบรรณ และความส านึกรับผิดชอบ ค านี้ เมื่อใช้ กับองค์กร มักหมายถึง ความมีคุณภาพ และความมีมาตรฐานสูง อย่างไรก็ตามจากนิยามของทั้งในต่างประเทศ และในประเทศไทยก็จะสื่อถึงคุณลักษณะทางศีลธรรม คุณธรรม หรือองค์ประกอบที่สมบูรณ์พร้อมที่บุคคล พึงมีเพื่อน าไปสู่ประโยชน์สูงสุดของสังคม ตำรำงที่ 2.2 สรุปองค์ประกอบความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) จากการทบทวนวรรณกรรม แหล่งข้อมูล (scholarly sources) องค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริต (construct of Integrity) State Service Commissioner of New Zealand (2020) Fair, Impartial, Responsible, Trustworthy Ministry of Public Administration of Mexico (2020) Legality, Honesty, Loyalty, Impartiality, Efficiency Suyadi & Nisa (2018) Honesty, Keeping Promise, Loyalty, Responsibility, Persistence, Kindness and Caring, Respect, Fairness, Citizenship Barnard, Schurink & De Beer (2008) Self-motivation and drive, Moral courage and assertiveness, Honesty, Consistency, Commitment, Diligence, Self-discipline, Responsibility, Trustworthiness Miller and Schlenker (2011) Being principled, Honest, Benevolent, Dependable, Religious or spiritual Kelly O’Donnell (2017). UN Core Value: Integrity Impartiality, fairness, honesty, trustfulness Li Sa, Ng (2018). Civil Service College, Singapore Honesty in Rule of law, Intellectual Honesty, Wholeness (Public Trust) Moilanen, Timo. (2017). State of Civil Service Ethics in Finland Impartiality and independence, Rule of law and responsibility, trust, Service principle, Openness, Equality, Result-orientedness ส านักงาน ป.ป.ช. (2563) การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและความไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2523) ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงาน ความซื่อสัตย์ต่อบุคคล ความซื่อสัตย์ต่อคณะ สังคม และประเทศชาติ สามารถ กลางบุญเรือง (2547) ความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง ความซื่อสัตย์สุจริตต่อบุคคล ความซื่อสัตย์สุจริต ต่อหน้าที่ ความซื่อสัตย์สุจริตต่อส่วนรวม รสิตา กุดแถลง (2550) ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ความซื่อสัตย์ต่อบุคคลอื่น ความซื่อสัตย์ต่อหมู่คณะ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 46 แหล่งข้อมูล (scholarly sources) องค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริต (construct of Integrity) สมรื่น สิทธิยา (2559) ความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเอง ความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ ความซื่อสัตย์สุจริต ต่อบุคคล ความซื่อสัตย์สุจริตต่อชุมชนและสังคม ริเรือง รัตนวิไลกุล (2563) การใช้อ านาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง การพูดความจริง การยอมรับผิดการกระท าของตนเอง การรู้จักหน้าที่ของตนเอง การรักษาค าพูด/ ค าสัญญา การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2560) การประพฤติทางกาย วาจา ใจ ได้ตรงตามความจริง รักษาค าพูด/ค าสัญญา ไม่น าสิ่งของหรือผลงานผู้อื่นมาเป็นของตนเอง ไม่หาผลประโยชน์ในทางที่ ไม่ถูกต้อง กลุ่มยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนา ส านักนโยบายและยุทธศาสตร์ ส านักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (2560) การประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ถูกต้อง ละอายเกรงกลัวต่อการกระท าผิด ไม่คดโกง ไม่หลอกลวงผู้อื่น จริงใจและไว้ใจต่อทุกคน ตรงไปตรงมา ไม่ยึดเอาวัตถุสิ่งของ ผู้อื่นมาเป็นของตนเอง สุดารัตน์ สีทองวัฒนา (2549) การพูดความจริง การไม่ลักขโมยของของผู้อื่น การไม่คดโกงผู้อื่น การไม่ทุจริต ในการสอบ การรักษาค าพูดหรือสัญญาที่ให้ไว้กับผู้อื่น หัทยา โกฏิรัตน์ (2549) การยอมรับผิดเมื่อตนเองท าผิด การท าการบ้านด้วยตนเอง โดยไม่ลอกผู้อื่น การพูดความจริง การไม่ลักขโมยของผู้อื่น การเก็บเงินหรือสิ่งของผู้อื่นได้แล้ว ส่งคืนให้เจ้าของ ปนาลี แทนประสาน (2562) ความซื่อตรงทางศีลธรรม (จริยธรรมด้านความซื่อสัตย์ และหิริโอตัปปะ) ความซื่อตรงทางสังคม (การปฏิบัติตามระเบียบ การยึดมั่นในความถูกต้อง ความรับผิดชอบ และจิตส านึกที่ดี) ความซื่อตรงทางลักษณะส่วนบุคคล (การพึ่งตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การหยั่งรู้ถึงผลในอนาคต การไม่ดูดาย ความกล้า และการสื่อสารที่ดี) จากการทบทวนองค์ประกอบของความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) จากทั้งในและต่างประเทศ จะพบว่า องค์ประกอบความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ในต่างประเทศส่วนใหญ่เป็นเรื่อง Honesty (ความซื่อตรง ความจริงใจ) Impartiality (ความเป็นกลาง) Fairness หรือ Equality (ความเท่าเทียมกัน) Trustworthy (ความน่าเชื่อถือ) Responsibility (ความรับผิดชอบ) และ Benevolent หรือ Kind (ความเมตตา อาทร) ส่วนด้านองค์ประกอบความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ส่วนวรรณกรรมของประเทศไทยส่วนใหญ่เป็น องค์ประกอบความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติ ด้านการเห็นประโยชน์ส่วนรวม การประพฤติ ตรงทางกายวาจาใจ ความซื่อตรงทางศีลธรรม จากการทบทวนค านิยามและองค์ประกอบของความซื่อสัตย์ สุจริต (Integrity) ในข้างต้นไม่ว่าจะเป็นในเอกสารและงานวิจัยในประเทศและต่างประเทศ จะเห็นได้ว่ามี องค์ประกอบที่เด่นชัดอยู่หลายองค์ประกอบ อาทิ ความซื่อตรง ความจริงใจ ความรับผิดชอบ ความเมตตา อาทร การเสียสละ ความเสมอภาค การละอายยอมรับผิด การรักษาค าพูด การแยกแยะและเห็นแก่ประโยชน์ ส่วนร่วม เชื่อถือได้ไม่พูดปด ปฏิบัติตามกฎ กติกา เป็นต้น หลังจากทราบความหมายและองค์ประกอบของ ความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) ไปแล้ว เพื่อให้ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการทางความคิดของแต่ละบุคคล เกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริต เราต้องมาท าความเข้าใจกับหนึ่งแนวคิดที่ส าคัญ โดยในแนวคิดแรงผลักดันพื้นฐำนของควำมซื่อสัตย์สุจริต (The Foundational Drives of Integrity) Barnard, Schurink และ De Beer (2008) จัดกลุ่มแรงผลักดันพื้นฐานของความซื่อสัตย์สุจริต ออกได้เป็น 2 แรงผลักดันพื้นฐาน แรงผลักดันแรกคือสิ่งที่ Barnard และคณะฯ เรียกว่า Moral Compass หรืออาจจะแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า เข็มทิศทางจริยธรรม ซึ่งเป็นแรงผลักที่อิงอยู่กับค่านิยม คุณค่าและ