The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจำปี 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by paporn, 2023-02-14 23:54:06

รวมเล่ม รายงานติดตามผลสัมฤทธิ์ฯ2565

โครงการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจำปี 2565

รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 196 ตารางที่ 4.53 ร้อยละของสถานศึกษาที่บ่งชี้ถึงกระบวนการในการน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน ตัวบ่งชี้ผลสัมฤทธิ์ในการใช้ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หน่วยเรียนรู้ ที่ 1* หน่วยเรียนรู้ ที่ 2** หน่วยเรียนรู้ ที่ 3*** หน่วยเรียนรู้ ที่ 4**** 1. สถานศึกษาได้มีการจัดการเรียนในหน่วยการเรียนรู้ 1.1 ไม่ได้จัดเลย 0.00 0.00 0.00 0.00 1.2 จัดบางส่วน โดยบูรณาการกับวิถีชีวิตในสถานศึกษา 0.00 0.00 0.00 0.00 1.3 จัดบางส่วน โดยจัดเป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร 0.00 0.00 0.00 0.00 1.4 จัดบางส่วน โดยเป็นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 0.00 0.00 0.00 0.00 1.5 จัดบางส่วน โดยบูรณาการการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระอื่น ๆ 0.00 0.00 0.00 0.00 1.6 จัดบางส่วน โดยบูรณาการเรียนการสอนกับกลุ่มสาระสังคม ศึกษา/วิชาการศึกษาทั่วไป 0.00 0.00 0.00 0.00 1.7 จัดเป็นหน่วยการเรียนรู้ / จัดเป็นหน่วยเรียนรู้ในวิชาเลือก 42.11 37.50 35.90 45.00 1.8 จัดเป็นหน่วยเรียนรู้ ไปปรับใช้/ประยุกต์ใช้ในรายวิชาตนเอง 34.21 42.50 48.72 42.50 1.9 จัดเป็นหน่วยเรียนรู้ในรายวิชาบังคับ 3 หน่วยกิต 23.68 20.00 15.38 12.50 2. วัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรมีความชัดเจน หรือไม่ 2.1 ชัดเจนแล้วไม่ต้องปรับปรุง 91.43 91.43 91.43 94.29 2.2 ควรปรับปรุง (ถ้าควรปรับปรุง ปรับปรุงอย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 8.57 8.57 8.57 5.71 3. กิจกรรมที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรช่วยท าให้บรรลุวัตถุประสงค์ การเรียนรู้ได้หรือไม่ 3.1 บรรลุได้ 94.29 94.29 91.43 94.29 3.2 บรรลุไม่ได้ (ถ้าบรรลุไม่ได้ ปรับปรุงอย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 5.71 5.71 8.57 5.71 4. เนื้อหาที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรมีความเหมาะสมกับผู้เรียน หรือไม่ 4.1 เหมาะสม 100.00 100.00 97.14 97.14 4.2 ไม่เหมาะสม (ถ้าไม่เหมาะสม ปรับปรุงอย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 0.00 0.00 2.86 2.86 5. มีการวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรมที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรชัดเจน หรือไม่ 5.1 ชัดเจน 71.43 71.43 71.43 71.43 5.2 ไม่ชัดเจน (ถ้าไม่ชัดเจน ปรับปรุงอย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 28.57 28.57 28.57 28.57 หมายเหตุ * หน่วยเรียนรู้ที่ 1 การปรับฐานความคิดต้านทุจริตส่วนตนและส่วนรวม **. หน่วยเรียนรู้ที่ 2 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ***. หน่วยเรียนรู้ที่ 3 ยกระดับดัชนี สร้างพลเมืองดีในสังคม ****. หน่วยเรียนรู้ที่ 4 ปราบทุจริตด้วยจิตพอเพียง หัวข้อวิชา เรื่อง ปรับฐานความคิดต้านทุจริตส่วนตนและส่วนรวม ข้อมูลจากอาจารย์ ผู้รับผิดชอบจากสถานศึกษา 35 แห่ง ได้สะท้อนให้เห็นว่า ร้อยละ 42.11 มีการจัดการเรียนรู้เป็น “หัวข้อวิชา” เรื่อง ปรับฐานความคิดต้านทุจริตส่วนตนและส่วนรวม ในลักษณะจัดเป็นหน่วยเรียนรู้ในวิชาเลือก ส่วนสถานศึกษาที่ได้มีการจัดเป็นหน่วยการเรียนรู้ ผู้ที่ได้จัดการเรียนรู้ชุดวิชานี้ เกือบจะทั้งหมดยังได้สะท้อน อีกว่า วัตถุประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมและเนื้อหาสาระที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรมีความชัดเจนและ มีความเหมาะสมกับผู้เรียน รวมถึงมีความชัดเจนในการวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรม หัวข้อวิชา เรื่อง สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต ข้อมูลจากอาจารย์ผู้รับผิดชอบของแต่ละ สถานศึกษาได้สะท้อนให้เห็นว่า สถานศึกษาได้มีการจัดการเรียนการสอนหัวข้อนี้ ร้อยละ 42.50 ที่จัดเป็น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 197 หน่วยเรียนรู้ไปปรับใช้/ประยุกต์ใช้ในรายวิชาตนเอง รองลงมาคือจัดเป็นหน่วยเรียนรู้ในรายวิชาเลือก (ร้อยละ 37.50) โดยสถานศึกษาที่อาจารย์ผู้สอนระบุว่า ได้จัดเป็นหัวข้อหน่วยการเรียนรู้ เกือบจะทั้งหมดยังได้สะท้อน อีกว่า วัตถุประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมและเนื้อหาสาระที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรมีความชัดเจนและมีความ เหมาะสมกับผู้เรียน รวมถึงมีความชัดเจนในการวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรม หัวข้อวิชา เรื่อง ยกระดับดัชนี สร้างพลเมืองดีในสังคม ในหัวข้อนี้ ข้อมูลจากอาจารย์ ผู้รับผิดชอบของแต่ละสถานศึกษาได้สะท้อนให้เห็นว่า สถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนหัวข้อนี้ ร้อยละ 48.72 ที่จัดเป็นหน่วยเรียนรู้ไปปรับใช้/ประยุกต์ใช้ในรายวิชาตนเอง รองลงมาคือจัดเป็นหน่วยเรียนรู้ใน รายวิชาเลือก (ร้อยละ 35.90) โดยสถานศึกษาที่อาจารย์ผู้สอนระบุว่า ได้จัดเป็นหัวข้อหน่วยการเรียนรู้ เกือบจะทั้งหมดยังได้สะท้อนอีกว่า วัตถุประสงค์การเรียนรู้ กิจกรรมและเนื้อหาสาระที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรมี ความชัดเจนและมีความเหมาะสมกับผู้เรียน รวมถึงมีความชัดเจนในการวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรม หัวข้อวิชา เรื่อง ปราบทุจริตด้วยจิตพอเพียง เช่นเดียวกันกับหัวข้อทั้ง 3 หัวข้อที่กล่าว มาแล้วข้างต้น มีสถานศึกษาที่จัดการเรียนการสอนหัวข้อนี้ ร้อยละ 45.00 ที่เป็นหน่วยเรียนรู้ในรายวิชาเลือก รองลงมาคือ จัดเป็นหน่วยเรียนรู้ไปปรับใช้/ประยุกต์ใช้ในรายวิชาตนเอง (ร้อยละ 42.50) โดยสถานศึกษาที่ อาจารย์ผู้สอนระบุว่า ได้จัดเป็นหัวข้อหน่วยการเรียนรู้ เกือบจะทั้งหมดยังได้สะท้อนอีกว่า วัตถุประสงค์การ เรียนรู้ กิจกรรมและเนื้อหาสาระที่ก าหนดไว้ในหลักสูตรมีความชัดเจนและมีความเหมาะสมกับผู้เรียน รวมถึง มีความชัดเจนในการวัดและประเมินผลการจัดกิจกรรม ในส่วนของประเด็นความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้จะพิจารณาจากการรับรู้ ของผู้บริหาร ครู/อาจารย์ผู้สอนจากข้อค าถามที่ถามว่า “ท่านคิดว่าการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ใน สถานศึกษาของท่านได้ผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด” ซึ่งมีค่าคะแนนของค าถามตั้งแต่ 0-10 คะแนน ผลการ ประเมินพบว่า ผู้บริหารสถานศึกษาและอาจารย์ผู้สอนรับรู้ว่า สถานศึกษาได้น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้ได้ผลสัมฤทธิ์ในระดับ 8 พอ ๆ กัน ตารางที่ 4.54 คะแนนเฉลี่ยของผู้บริหารและครู/อาจารย์ผู้สอนที่บ่งชี้ถึงระดับความส าเร็จของการน าหลักสูตร อุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ คะแนนเฉลี่ย กระบวนการ (Process) ผู้บริหาร ครูผู้สอน ความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 8.54 8.49 แผนภาพที่ 4.12 คะแนนเฉลี่ยของผู้บริหารและครู/อาจารย์ผู้สอนที่บ่งชี้ถึงระดับความส าเร็จของการน า หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ 8.46 8.48 8.5 8.52 8.54 ผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน 8.54 8.49


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 198 4.4.2.3 ผลการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) การประเมินผลลัพธ์ (Outcome) จะพิจารณาจาก 2 ประเด็น คือ 1) ความรู้ เจตคติและ พฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน มีองค์ประกอบในการประเมินอยู่ 4 ด้าน กล่าวคือ ด้านแยกแยะส่วนตนและส่วนรวม ด้านละอายและไม่ทนต่อการทุจริต ด้านจิตพอเพียงต้านทุจริต และด้าน พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม และ 2) ความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ใน สถานศึกษา ผลการประเมินมีดังนี้ 1) ความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน จากผล การประเมินความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนในภาพรวม พบว่า คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตที่บ่งชี้ถึงความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์ สุจริตของเด็กและเยาวชนของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะสูงกว่าหลักสูตรอุดมศึกษาทั้ง 4 องค์ประกอบ โดยคะแนนพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตที่มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด คือ องค์ประกอบที่ 3 “ยกระดับดัชนีสร้างพลเมืองดีในสังคม” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 71.38) รองลงมา คือ องค์ประกอบที่ 4 “ปราบทุจริต ด้วยจิตพอเพียง” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 70.08) องค์ประกอบที่ 1 “การปรับฐานคิดต้านทุจริตส่วนตนและ ส่วนรวม” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 67.15) และองค์ประกอบที่ 2 “สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 65.17) ตามล าดับ (รายละเอียดดังตารางที่ 4.55) ตารางที่ 4.55 คะแนนเฉลี่ยและร้อยละของเด็กและเยาวชนที่บ่งชี้ถึงความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) หลักสูตร องค์ประกอบที่ 1 การปรับฐานคิด ต้านทุจริตส่วนตน และส่วนรวม องค์ประกอบที่ 2 สร้างสังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต องค์ประกอบที่ 3 ยกระดับดัชนี สร้างพลเมืองดีใน สังคม องค์ประกอบที่ 4 ปราบทุจริตด้วย จิตพอเพียง รวม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละ พฤติกรรมทื่ ยึดมั่นความ ซื่อสัตย์สุจริตฯ (ร้อยละของ ผู้ผ่านเกณฑ์) หลักสูตร อุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 67.15 65.17 71.38 70.08 66.99 55.51 เด็กและเยาวชนผู้ที่มีคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย ถือว่าเป็น ผู้ผ่านเกณฑ์การมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ดังนั้นร้อยละของพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตฯ มีค่าเท่ากับจ านวนเด็กและเยาวชนที่ผ่านเกณฑ์ หารด้วยจ านวนเด็กและเยาวชนทั้งหมด (สัดส่วนนี้ปรากฏใน ตารางที่ 4.55)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 199 แผนภาพที่ 4.13 คะแนนเฉลี่ยและร้อยละของเด็กและเยาวชนที่บ่งชี้ถึงความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 2) ความพึงพอใจต่อหลักสูตร จากผลการประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจเกี่ยวกับ การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา พบว่า ผู้บริหารและครู/อาจารย์ผู้สอนสะท้อนให้เห็นว่า มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในระดับ 8 จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน (รายละเอียดดังตารางที่ 4.56) ตารางที่ 4.56 ระดับของค่าเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ จ าแนกตามผู้บริหารและอาจารย์ผู้สอน คะแนนเฉลี่ย ผลลัพธ์ (Outcome) ผู้บริหาร ครูผู้สอน มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 8.74 8.57 67.15 65.17 71.38 70.08 50.00 60.00 70.00 80.00 องค์ประกอบที่ 1 ปรับฐาน ความคิดต้านทุจริตส่วนตน และส่วนรวม องค์ประกอบที่ 2 สร้างสังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต องค์ประกอบที่ 3 ยกระดับ ดัชนีสร้างพลเมืองดีในสังคม องค์ประกอบที่ 4 ปราบ ทุจริตด้วยจิตพอเพียง


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 200 แผนภาพที่ 4.14 ระดับของค่าเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้จ าแนกตามผู้บริหารและอาจารย์ผู้สอน สะท้อนผลหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) การสะท้อนผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งเป็นลักษณะของค าถามปลายเปิด เป็นบทสนทนากับ Chatbot โดยในการสะท้อนผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) โดยมีสองข้อค าถามด้วยในบทสนทนา ประกอบไปด้วย ค าถามแรก ถามว่า “ถ้าจะท าให้ หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร” และค าถามที่สองคือ “ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนการจัดหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) อย่างไรบ้าง” จากการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถสรุปข้อสะท้อนผลได้ดังปรากฏ ในตารางที่ 4.57 ตารางที่ 4.57 สรุปข้อสะท้อนที่พบจากการสะท้อนผลหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใสใจสะอาด “Youngster with Good Heart) ถ้าจะท าให้หลักสูตรได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนการจัดหลักสูตร อย่างไรบ้าง o การให้ความส าคัญ และการสร้างความเข้าใจร่วมกัน ของทุกภาคส่วนให้รับรู้ ตระหนักถึงความส าคัญของ หลักสูตร o ควรมีปรับเนื้อหาและกิจกรรม ให้มีความสอดคล้องกับ บริบทที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ปรับวิธีการน าเสนอ เนื้อหารให้สั้นกระซับเข้าใจได้ง่าย เนื้อหาให้ทันสมัย ให้เป็นที่สนใจของผู้เรียน o ควรใช้การโน้มน้าวจูงใจ โดยใข้ตัวแบบผู้ที่สังคมยอมรับ ในความดีงาม มากกว่าการจัดการสอน o ควรปรับกระบวนการก ากับติดตามให้ใกล้ชิดและเพิ่ม ช่องทางการประสานงานให้เข้าถึงได้สะดวกมากยิ่งขึ้น o ให้งบประมาณสนับสนุน การจัดกิจกรรมให้เป็นรูปธรรม ศึกษาดูงาน เข้าค่ายจิตอาสา จัดค่ายอบรม o จัดท าสื่อการสอน อบรม ให้ทันสมัย ใช้งานง่าย จัดท า เอกสาร สื่อมัลติมิเดีย และอบรมอาจารย์ผู้สอน o จัดให้มีการก ากับติดตามอย่างจริงจัง มีการนิเทศ หลักสูตรในสถาบัน 8.45 8.5 8.55 8.6 8.65 8.7 8.75 8.8 ผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน 8.78 8.57 ความพึงพอใจต่อหลักสูตร


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 201 4.4.3 แนวทางการน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ แนวทางการน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ ในสถานศึกษามี 3 รูปแบบ อันได้แก่ 1) จัดท าเป็นรายวิชาบังคับ 1 รายวิชา 3 หน่วยกิต 2) จัดท าเป็นวิชาเลือก และ 3) จัดท าเป็นหน่วยการเรียนรู้ จากผลการศึกษาพบว่า สถานศึกษาที่เข้าร่วมรับการประเมิน ทั้งหมด จ านวน 35 แห่ง ส่วนใหญ่น าไปใช้ในลักษณะจัดท าเป็นหน่วยเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ 68.6 รองลงมาคือ จัดท า เป็นรายวิชาบังคับ 1 รายวิชา 3 หน่วยกิต (ร้อยละ 17.1) และจัดท าเป็นวิชาเลือก (ร้อยละ 14.3) ดังปรากฏใน ตารางที่ 4.58 ตารางที่ 4.58 ร้อยละของสถานศึกษาที่มีการน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ ลักษณะแนวทางในการน าหลักสูตรไปใช้ จ านวน ร้อยละ 1. จัดท าเป็นรายวิชาบังคับ 1 รายวิชา 3 หน่วยกิต 6 17.14 2. จัดท าเป็นวิชาเลือก 5 14.29 3. จัดท าเป็นหน่วยการเรียนรู้ 24 68.57 รวม 35 100.00 4.4.4 การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ผลสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน และผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ เพื่อสะท้อนทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) จ านวน 6 คน ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก สามารถสรุปผลวิเคราะห์เนื้อหาในภาพรวมได้ดังนี้ วิเคราะห์ข้อมูลประชากรเป้าหมายกลุ่มผู้มีเชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านการศึกษา และผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียในระดับอุดมศึกษา ส าหรับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การประเมินเชิงผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในกลุ่มหลักสูตรการเรียนการสอนของระดับ อุดมศึกษา ซึ่งเป็นการประเมินเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ และผู้ให้ ข้อมูลส าคัญ (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) สามารถสรุปผลวิเคราะห์เนื้อหาในภาพรวมได้ดังนี้ 1. การประเมินสภาวะแวดล้อม (Context) การประเมินให้ได้ข้อมูลส าคัญเพื่อช่วยในการก าหนด วัตถุประสงค์ ความเป็นไปได้ เป็นการตรวจสอบว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาหรือความต้องการจ าเป็นที่แท้จริง หรือไม่ วัตถุประสงค์มีความชัดเจน เหมาะสม สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐหรือไม่ มีความเป็นไปได้ใน แง่ของโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่าง ๆ หรือไม่ เป็นต้น การขับเคลื่อนตามนโยบายยุทธศาสตร์ชาติ ยังต้องมีการปรับหลักสูตรเพื่อให้สามารถน ามาใช้ได้อย่าง จริงจังและเกิดความประจักษ์ชัดมากยิ่งขึ้น เห็นได้จากบางโรงเรียนหรือในบางมหาวิทยาลัย ก็มีการน านโยบาย ยุทธศาสตร์ชาติมาปรับใช้กับหลักสูตร แต่ในบางมหาวิทยาลัยยังท าได้ไม่ดีเท่าที่ควร เนื่องจากขอบเขตนโยบาย บางประการ จะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิเช่น ภาครัฐ กระทรวง คณะผู้บริหารการศึกษา ครูอาจารย์หรือแม้แต่ตัวผู้เรียนเอง นอกจากนี้ในบางมหาวิทยาลัยได้มีรายชื่อหลักสูตรซึ่งมีความคล้ายคลึงกับ หลักสูตรดังกล่าวนี้ ทั้งนี้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะต้องหารือกันในการเพิ่ม/ลดหลักสูตร ตามความเหมาะสม เพื่อไม่ให้หลักสูตรที่จ าเป็นส าหรับนักเรียนนักศึกษาถูกตัดสิทธิ์หรือยกเลิกไป แต่ส าหรับในบางมหาวิทยาลัยนั้น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 202 ได้มีการน านโยบายยุทธศาสตร์ชาติมาปรับใช้กับหลักสูตรและการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัย แต่ทั้งนี้ เพื่อให้หลักสูตรได้มีการปรับปรุง พัฒนา และต่อยอด เพื่อให้ผู้ศึกษาได้รับประโยชน์สูงสุดและน ามาขยายผล ปรับใช้ในสังคมหลังจากส าเร็จการศึกษาไปแล้ว เพื่อสร้างบรรทัดฐานแห่งความซื่อสัตย์สุจริตต่อไป “ยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวนี้ เห็นมีแต่ตัวนโยบายแต่ระดับกระทรวง ก็ยังไม่ได้มีการสั่งการลงมาใน รูปแบบที่ชัดเจนเท่าที่ควร มี 3 องค์ประกอบส าคัญคือ 1. นโยบายที่ชัดเจน ว่าจะท าหลักสูตรนี้รูปแบบ ไหน แต่ปัจจุบันก็ยังไม่เห็นมีการสั่งการเข้ามา 2. คณะผู้บริหาร 3. ท่านอาจารย์ผู้สอน บางวิชาเขามี เจ้าของรายวิชาเขาอยู่แล้ว จึงไม่อยากจะให้เอาวิชาของเขาออกแล้วเอาหลักสูตรการศึกษาเข้าไปแทน เพราะว่ามีวิชาคล้ายคลึงกับวิชานี้อยู่ในมหาวิทยาลัย” “ทางมหาวิทยาลัย ได้ให้ความส าคัญในการศึกษาหลักสูตรต้านทุจริตการศึกษาที่ ป.ป.ช. สร้างขึ้นมา อ้างอิงตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายระดับประเทศ และได้ตั้งชื่อวิชานี้ว่า ศึกษาทั่วไปความเป็น พลเมือง จ านวน 1 หน่วยกิต นักศึกษาต้องเรียนทุกคน แบ่งให้เรียนเป็นแต่ละชั้นปี คณะที่รับผิดชอบ หลักคือ รัฐประสานศาสตร์ ออกแบบข้อมูล/รายละเอียดความเป็นพลเมืองที่ดี สอดแทรกการต่อต้าน ทุจริต ออกแบบผสมบูรณาการเข้าร่วมกัน ที่ส าคัญอาจารย์ผู้สอนมีสอนหลายคน ตามบริบทของแต่ละ วิชาที่ออกแบบ” “ในส่วนของวิชาที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ของมหาวิทยาลัยทักษิณ เนื้อหาบางส่วนถูก ปรับใช้ให้เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของรายวิชาศึกษาทั่วไป (General Education) โดยวิชาดังกล่าวนี้มี จ านวนหน่วยกิตทั้งสิ้น 3 หน่วยกิต ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนในวิชาดังกล่างนี้ ผศ.ดร.วิวัฒน์ ฤทธิมา มีส่วนรับผิดชอบทั้งในส่วนของการเป็นผู้บริหาร และมีหน้าที่รับผิดชอบในรายวิชานี้โดยตรง จากการ สังเกตพบว่า นักศึกษาจ านวนมากให้ความสนใจต่อรายวิชาดังกล่าวเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กลุ่มนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์ที่มีความสนใจต่อรายวิชานี้เป็นพิเศษ ส่วนนักศึกษาในกลุ่มของคณะสาย สังคมศาสตร์สะท้อนให้ได้เห็นว่าภายหลังจากที่จบการศึกษาไปแล้ว รายวิชาดังกล่าวนี้มีประโยชน์กับ การสอบแข่งขันบรรจุราชการเป็นอย่างมาก ส่วนประเด็นเรื่องปัญหาและอุปสรรคก็จะเป็นในส่วนของ งบประมาณในการจัดท าคู่มือที่จะใช้ส าหรับการเรียนการสอนในระยะยาว โดยในเบื้องต้นทางหลักสูตร วางแผนที่จะด าเนินการจัดท าในลักษณะของ E-Book เพื่อให้เข้าถึงได้ง่ายและประหยัดต้นทุนในการ จัดพิมพ์ เช่น รายวิชา “พลังคนรุ่นใหม่ใจสะอาด” ซึ่งอยู่ในหมวดรายวิชาศึกษาทั่วไป โดยเนื้อหาหลัก จะกล่าวถึง การทุจริต ประเภทและรูปแบบของการทุจริต มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในระดับสากล ระดับประเทศ ทัศนคติและ ความตระหนักถึงผลกระทบที่ร้ายแรงของการทุจริต จิตส านึกของการเป็นพลเมืองดีในการป้องกันและ ต่อต้านการทุจริต แนวทางในการพัฒนาตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการทุจริต กรณีศึกษาแนวทางการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในประเทศไทย การสร้างสรรค์สังคมไทยในอนาคต” “ทางมหาวิทยาลัยน าโดยคณะผู้บริหารและคณาจารย์ได้ตระหนักถึงการป้องกันและการต่อต้านการ ทุจริตทุกรูปแบบ เห็นได้จากการแสดงสัญลักษณ์ทางด้านนโยบาย นอกจากนี้ทาง ป.ป.ช. ได้มีการ ติดตามดูในเรื่องการทุจริต จึงต้องมีรายวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตศึกษาบรรจุไว้ด้วย เพื่อรายงาน ตัวชี้วัดตามความเป็นจริงให้ ป.ป.ช. ได้รับทราบ” ความเหมาะสมของเนื้อหาต่อผู้เรียนที่มีความแตกต่างกันในเรื่องต่าง ๆ เช่น บริบททางสังคม วัฒนธรรมพื้นถิ่น ช่วงอายุ กล่าวคือ เด็กที่อยู่ชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษา อุดมศึกษา เนื้อหารายวิชา ความยาก-ง่าย ต้องมีความแตกต่างกันไปตามล าดับ การปลูกฝัง การถ่ายทอดความรู้ที่เข้มข้นและมีความยาก เกินไปส าหรับเด็กจะท าให้เกิดความเครียดจากการเรียน ไม่เข้าใจในเนื้อหา ท าให้ไม่อยากเรียนขึ้นนั่นเอง และ เพื่อให้รายละเอียดของแต่ละหลักสูตรมีความเหมาะสม น่าสนใจจึงควรปรับประยุกต์ให้เหมาะสมตามบริบทด้วย


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 203 เช่น หลักสูตรวัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart” ในระดับอุดมศึกษา เพื่อเสริมสร้างการ ต่อต้านการทุจริต และยกระดับให้เป็นพลเมืองที่ดี “มันขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละช่วงวัย เพราะแต่ละวัยปัญหาไม่เหมือนกัน แต่ที่ส าคัญต้องเป็นวิธีการ เชิงบวก การแก้ปัญหาเชิงกลุ่ม แบ่งกลุ่มต่าง ๆ ออกไป เน้นภาคปฏิบัติในการแก้ไขปัญหาเยอะ ๆ” “ต้องขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมของแต่ละท้องที่ เป็นส่วนส าคัญ แต่ละช่วงวัยก็จะมีแผน วิธีแก้ไขในแบบของ พวกเขา” การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษามาปรับใช้ในหลักสูตรการศึกษา ควรจะต้องมีการยกระดับการทุจริต ศึกษาให้มีความส าคัญมากกว่านี้ ไม่ใช่เป็นเพียงรายวิชาที่บรรจุอยู่ในหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนเรียนให้ผ่าน แต่จะต้องสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้เรียนให้ได้เห็นถึงคุณประโยชน์ และโทษทัณฑ์ของการทุจริต ดังจะเห็น ได้จากในหลาย ๆ มหาวิทยาลัยที่จะมีวิชาที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน เช่น คุณธรรมจริยธรรม ความรู้คู่คุณธรรม เป็นต้น นักศึกษาอาจมองเป็นเพียงวิชาที่เรียนให้ผ่านและจบ ๆ ไป แต่หากมองลึกลงไปเขาจะสามารถน าวิชา ความรู้เหล่านี้ไปปรับใช้ได้ตลอดชีวิต นอกจากนี้การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วม กับกิจกรรมดังกล่าว จะเป็นการปลูกฝังความรู้และค่านิยมให้เกิดขึ้น ไม่มองข้ามเรื่องความทุจริตเป็นเรื่องปกติ แม้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย “ถ้าให้อยู่ในระดับหลักสูตรเป็นไปได้ยากอยู่ ในระดับมหาวิทยาลัยราชภัฏ หลักสูตรทุจริตการศึกษา คงจะเป็นเพียง 1 วิชาหรือรายวิชา ซึ่งต้องอยู่ที่สภามหาวิทยาลัยที่จะน าหลักสูตรดังกล่าวนี้เข้ามา เรียกหลักสูตร (GE) หรือไม่ วิชาทุจริตการศึกษาทุกคณะในมหาวิทยาลัยต้องเรียน” (มรนศ.) “ทางสภามหาวิทยาลัยได้น านวัตกรรมเข้ามาใช้ คือให้นักศึกษาแต่งเพลงต่อต้านทุจริต และส่งให้ ป.ป.ช. การพัฒนาหลักสูตร เช่น หลักสูตรโตไปไม่โกง การถอดบทเรียนหลักสูตรต้านทุจริตมีการเชิญ ผู้ทรงคุณวุฒิของ ป.ป.ช. เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินผลหลักสูตรต้านทุจริตฯ เปิดโอกาสให้ บุคคลภายนอกส่งคลิปเข้ามาประกวดแข่งขัน หัวข้อเกี่ยวกับต้านทุจริตคอร์รัปชัน เพื่อเพิ่มความ หลากหลายให้กับหลักสูตร อุปสรรค/ข้อจ ากัดในการศึกษา เพราะวิชานี้มีแค่ 1 หน่วยกิต เวลาเรียนก็มีน้อย ปัญหาการระบาดของโรคโควิด 19 แต่ทุกการเรียนรู้อยู่ที่จิตใต้ส านึกของบุคคล ทางมหาวิทยาลัย ได้เปิดหลักสูตรวิชาการเป็นพลเมืองฯ ซึ่งคล้ายกับหลักสูตรต้านทุจริตการศึกษา” “โดยส่วนตัวมองว่าส่วนที่จะช่วยให้หลักสูตรประสบความส าเร็จหรือล้มเหลวนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย แวดล้อม หมายถึงบริบทต่าง ๆ ของการจัดการเรียนการสอน นับตั้งแต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัย การก าหนด หลักสูตร เทคนิคการสอน และการให้ความร่วมมือของนักศึกษา นอกจากนี้องค์ประกอบส าคัญ อีกประการคือ บริบทแวดล้อมของภูมิประเทศนั้นๆ กล่าวคือ ปัจจัยเรื่องท้องถิ่น หรือภูมิภาคนิยม อันนี้ มีส่วนส าคัญ เพราะแต่ละท้องถิ่นก็จะมีวัฒนธรรมถิ่นที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งส่งผลต่อวิธีคิด และ การปฏิบัติตัวของนักศึกษา แต่จุดเด่นของมหาวิทยาลัยทักษิณ คือนักศึกษาส่วนใหญ่เกือบ 100% นั้น เป็นนักศึกษาที่มาจากภาคใต้ ดังนั้นในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาดังกล่าวจึงเป็นไปด้วยความ ราบรื่น” “เนื่องจากรายวิชาของทางมหาวิทยาลัยในวิชา GE ซึ่งเป็นวิชาที่ให้อิสระแก่นักศึกษาเลือกลงเรียน จึงท าให้ตัวเลขนักศึกษาที่เลือกเรียนรายวิชานี้ในทุกเทอมยังเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก ท าให้บางเทอมไม่มี นักศึกษาลงเรียน จึงไม่ได้เปิดรายวิชานี้ จึงใช้การแก้ไขโดยเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างการมีจิตส านึกเพื่อตระหนักในเรื่องของการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน รวมไปถึงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ปัญหาด้านงบประมาณที่ใช้ในการจัดกิจกรรม โครงการ ถ้าจ าเป็นจะต้องจัดก็จะใช้วิธีการของบประมาณจากผู้บริหารมหาวิทยาลัยเพื่อใช้ในการจัดกิจกรรม”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 204 2. การประเมินปัจจัยเบื้องต้น (Input) การประเมินเพื่อใช้ข้อมูลตัดสินใจต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ว่าเหมาะสมหรือไม่ โดยดูว่าปัจจัยที่ใช้ทั้งบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ การบริหารจัดการ จะมีส่วนช่วย ให้บรรลุจุดมุ่งหมายของงานหรือไม่ ปัจจัยที่ก าหนดมีความเหมาะสมเพียงพอหรือไม่ กิจกรรม/แบบ/ทางเลือก ที่ได้เลือกสรรแล้วมีความเป็นไปได้และเหมาะสมเพียงใด เป็นต้น หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในสถานศึกษาควรมีความสอดคล้องกัน เพื่อให้ผู้เรียนได้น าความรู้ไปใช้ใน ชีวิตประจ าวัน และประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งนี้การจะวัดผลความส าเร็จ ผู้เกี่ยวข้องจะต้องติดตามความคืบหน้าโดยวัดผลหลักสูตรที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น รวมไปถึงการติดตามผล ของผู้ส าเร็จการศึกษาไปแล้วว่าได้น าไปใช้ประโยชน์มากน้อยเพียงใด เพื่อน าส่วนที่ประสบความส าเร็จมา พัฒนาเพิ่มขีดความสามารถขึ้นไปอีก และน าส่วนที่เป็นปัญหา/อุปสรรค มาแก้ไขหลักสูตรให้ดีขึ้น นอกเหนือจากหลักสูตร การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ และปลูกฝังจิตส านึกที่ดีให้แก่ผู้เรียน ได้แก่ เวทีปราศรัย กิจกรรมต้านทุจริต การมีส่วนร่วมของผู้เรียนเพื่อสร้างพลังต่อต้านทุจริต เป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็น กิจกรรมที่ดี ที่จะสร้างส านึกต่อผู้เรียน โดยข้อก าหนดการด าเนินงาน การจัดงบประมาณให้เป็นไปตามระเบียบ ข้อบังคับของทางมหาวิทยาลัย “มหาวิทยาลัย มีการโฮมรูมคล้ายกับมัธยม มีชมรมต่าง ๆ ที่เป็นพี่เลี้ยงให้นักศึกษา การรณรงค์ใน มหาวิทยาลัยโครงการ TO BE NUMBER ONE ต่อต้านยาเสพติด ต่อต้านคอร์รัปชัน มีการรณรงค์ใน มหาวิทยาลัย นอกจากนี้ที่มีเพิ่มเติมเข้ามาคือการเป็นจิตอาสา ส่วนแบบวิชาเรียน ก็มีบางหลักสูตร ที่สอดแทรกการต่อต้านทุจริตคอร์รัปชันเข้าไปในรายวิชาบ้าง ความรู้เกี่ยวกับ ITA” “มหาวิทยาลัยได้น านวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้นักศึกษาได้มี ส่วนร่วมนี้ได้แก่ แต่งเพลงต่อต้านทุจริต หลักสูตรโตไปไม่โกง การถอดบทเรียนหลักสูตรต้านทุจริต มีการเชิญ โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นมีผู้ทรงคุณวุฒิของ ป.ป.ช. เข้ามามีส่วนร่วมในการประเมินผลหลักสูตร ต้านทุจริตฯ นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมดังกล่าวนี้ด้วย คือส่ง คลิปเข้ามาประกวดแข่งขัน หัวข้อเกี่ยวกับต้านทุจริตคอร์รัปชัน” การเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงของการศึกษาของไทย จะต้องมีการปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อให้ เกิดการพัฒนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยการวางแผนเพื่อค้นหาทางออกที่ดีและเหมาะสมกับทุกฝ่าย ในส่วนของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาจะเป็นกุญแจส าคัญอย่างหนึ่งที่ช่วยขัดเกลาเยาวชนให้เป็นคนดีมีศีลธรรม พร้อมเข้าไปอยู่ในสังคมเพื่อเป็นหู เป็นตา และเป็นพลเมืองที่สร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้น ทั้งนี้การจะก้าวผ่าน ไปสู่ขั้นการพัฒนาได้นั้นจะต้องเจออุปสรรคและปัญหาก่อน ซึ่งปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการต้านทุจริตนั้น สถานศึกษาจะทราบและเข้าใจเป็นอย่างดี ปัญหาที่เกิดขึ้นจะต้องหาแนวทางในการแก้ไขเพราะผู้ที่จะได้รับ ประโยชน์สูงสุดนี้คือ นักเรียน/นักศึกษาที่จะส าเร็จการศึกษาออกไปปฏิบัติงานและเป็นพลเมืองที่ดีของสังคม ต่อไป “ครูต้องสอนจากการกระท าไม่ใช่ค าพูด ต้องให้นักเรียนเรียนรู้หลากหลาย หากนักเรียนเจอเหตุการณ์ ทุจริตจะท าอย่างไร มีวิธีแก้ไขอย่างไร จะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีใด แล้วถ้าหากเราท าผิดเราจะแก้ไขปัญหา อย่างไร มีวิธีป้องกันอย่างไม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเรา” “การพัฒนาหลักสูตรเปิดการอบรมทุกเพศทุกวัยไม่แบ่งชั้นเรียน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นในระดับปริญญาตรี การอบรมในแต่ละครั้งจะมีใบ Certificate ใบรับรองการผ่านการอบรมให้ เพื่อแสดงให้เห็นว่า มหาวิทยาลัยนี้ต่อต้านการทุจริต”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 205 ในแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีหลักสูตรและรายวิชาที่มีชื่อเรียกต่างกันออกไป อาจารย์ผู้สอนจะต้อง ประยุกต์รูปแบบการสอนที่แตกต่างกันออกไปเพื่อให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน การน าแนวความรู้และสื่อ การสอนที่แปลกใหม่ ก่อให้เกิดความอยากรู้อยากเรียนแก่ผู้เรียน เด็ก ๆ เป็นก าลังส าคัญในอนาคตที่จะเป็น ผู้ปฏิรูปให้สังคมมีความน่าอยู่มากขึ้น “ควรสอดแทรกหลักจริยธรรมเข้าไปในบทเรียน ทุกวิชาเรียนต้องยึดหลักความจริง ผิดก็ว่าผิด ยึดสิ่งที่ กระท าตามความจริง ตัวอย่างเช่น วิชาคณิต วิทยาศาสตร์ สามารถวัดผลได้ คิดเลขผิดก็ต้องยอมว่าผิด ทดลองผิดพลาดก็ต้องยอมรับว่าผิดพลาด” “มหาวิทยาลัยจะมีการตัดเกรดคะแนนที่ไม่เหมือนกัน บางมหาวิทยาลัยจะเป็น S กับ U แต่บาง มหาวิทยาลัยก็เป็น A B C D ฉะนั้นควรน าการเรียนวิชาที่เกี่ยวหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเข้าไปให้ นักศึกษาเรียนประมาณ 3 วิชา” 3. การประเมินกระบวนการ (Process) การประเมินระหว่างการด าเนินงานเพื่อหาข้อดีข้อบกพร่อง ของการด าเนินงานตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ก าหนดไว้ว่าการปฏิบัติงานเป็นไปตามแผนที่ก าหนดไว้หรือไม่ กิจกรรมใดท าได้หรือท าไม่ได้เพราะเหตุใด มีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง มีการแก้ไขปัญหาอย่างไร เป็นต้น หลักสูตรต้านทุจริตศึกษามีส่วนช่วยผลักดันให้สังคมไทยน่าอยู่หากประสบความส าเร็จ แต่ทั้งนี้ ในแต่ละสถานศึกษาจะมีประเด็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการด าเนินการที่ต่างกันออกไป ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องท างานร่วมกันเพื่อรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อจัดการให้หมดไป สถานศึกษาและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง มีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งที่เยาวชนของไทยจะได้รับประโยชน์และน าไปใช้ในสังคมต่อไปได้ “มีการก าหนดตัวชี้วัดที่ผิดพลาดไม่เป็นไปตามผลลัพธ์ทางจริยธรรมของมหาวิทยาลัย” “ต้องดูที่บริบทของสังคมไทยเป็นหลัก สังคมไทยเป็นอะไรที่ง่ายๆ กฎระเบียบไม่เคร่งครัด บางสิ่งรู้ว่าผิด แต่ก็ยังบอกว่าเป็นการกระท าที่ถูกต้อง พอเด็ก ๆเห็นการกระท าแบบนั้นตั้งแต่ยังเด็ก ท าให้เด็กคิดว่าสิ่ง นั้นถูกต้องและกระท าตามในที่สุด กรณีเช่น การฝ่าสัญญาณไฟจราจรเห็นกันประจ าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไฟแดง ควรหยุด แต่บางคนก็ยังขับรถออกไป การจะปลูกฝังความสุจริตให้แก่เด็กต้องปลูกฝังตั้งแต่ยังเด็ก” ครู/อาจารย์ ถือเป็นบุคคลส าคัญต่อการรับรู้และถ่ายทอดองค์ความรู้ให้แก่เด็ก เพื่อให้สามารถเข้าใจ และน าเอาความรู้ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ต่อได้ ส่วนหนึ่งผู้สอนจะต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านเนื้อหานี้เป็น อย่างดี กอปรกับบริบทของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน ช่วงอายุต่างกัน การถ่ายทอดความรู้จะแตกต่างกัน ออกไป รวมไปถึงผู้สอนจะต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้เรียนเห็น และสามารถปฏิบัติตามได้อย่าง ถูกต้อง “ครูต้องมีความคิดในการสอนแบบใหม่ ต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนสามารถสอนตนเองได้ด้วย เพราะถ้า หากเจอสถานการณ์ขับขันแล้วครูไม่อยู่ด้วยเขาต้องสามารถแก้ไขปัญหาเองได้” “คนที่เป็นครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กนักเรียน ต้องเป็นแบบอย่างที่ การกระท าส าคัญกว่าค าพูด ต้องท าให้สังคมสะอาดปลอดการกระท าแบบ 2 มาตรฐาน ในแต่ละสังคมต้องเรียนรู้ และตกผลึกด้วย ตนเอง ต้องค่อย ๆ ปรับไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องใช้เวลาในการท า และที่ส าคัญต้องเริ่มที่ จิตส านึกของบุคคล” การปลูกฝังและพัฒนากระบวนการคิดของเด็กและเยาวชน ถือเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ การเน้นการ เรียนการสอนทั้งภาควิชาการและเสริมสร้างกิจกรรมจะช่วยเพิ่มทั้งความรู้และพัฒนากระบวนการคิดที่ต้องเริ่ม ตั้งแต่เป็นเด็ก กิจกรรมภายใน เช่น กิจกรรมการสวดมนต์ไหว้พระ การเข้าค่ายพุทธรรม เป็นต้น กิจกรรม


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 206 ภายนอก การเข้าร่วมการอบรมคุณธรรม การต้านทุจริตคอร์รัปชัน การศึกษาดูงาน การร่วมเวทีปราศรัย เป็นต้น ผู้สอนจะต้องเข้าในเนื้อหารวมไปถึงความต้องการของผู้เรียนได้เป็นอย่างดีหลีกเลี่ยงการปลูกฝังและให้เด็กเห็น การกระท าที่ไม่สมควรเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดี เน้นการสร้างทั้งองค์ความรู้อย่างเป็นระบบ และสนุกได้ความรู้ จากการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริตให้เกิดขึ้นกับเด็ก “ครูต้องแก้ไขปัญหาเชิงบวก ต้องหากิจกรรมกรรมเชิงบวกให้นักเรียนกระท า ถ้าหากนักเรียนท าผิด ไม่ควรลงโทษด้วยการกระท าที่รุนแรง ต้องใช้กระบวนการ Restorative Justice (RJ) (ความยุติธรรม เชิงสมานฉันท์ เป็นกระบวนการที่มุ่งผลลัพธ์ในเชิงสมานฉันท์ เสริมพลังผู้เสียหาย และประสานความ เข้าใจระหว่างผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ผ่านการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและหาข้อตกลงร่วมกัน) ซึ่งการแก้ไขปัญหาเชิงบวก ถือเป็นนวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาที่ดี ถ้าหากใช้การกระท าที่รุนแรงไม่ได้ ช่วยอะไร ยิ่งท าให้คนที่ถูกลงโทษนั้นก้าวร้าวมากขึ้น” “มีกิจกรรมการพัฒนาหลักสูตรแบบเน้นผลลัพธ์ (Outcome Based Education: OBE) สภามหาวิทยาลัย จะเน้นหลักสูตร OBE เปิดให้ผู้มีส่วนร่วม ก็คือนักศึกษา เขามาร่วมก าหนดหลักสูตรต่าง ๆ ว่าอยาก เรียนอะไร” 4. การประเมินผลลัพธ์ (Outcome) การวัดผลที่ได้รับจากผลของการด าเนินงานซึ่งแสดงถึงการ เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย/ผู้เรียนทั้งในเรื่องความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมหรือการปฏิบัติ โดยน าไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์หรือเป้าหมายที่วางไว้ตามวัตถุประสงค์ของแผนงานและโครงการ กล่าวคือเป็น การวัดประสิทธิผล (Effectiveness) โดยวัดความสัมพันธ์ระหว่างผลลัพธ์กับวัตถุประสงค์ สถานการณ์ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่หยุดนิ่งและมีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง แนวคิดหรือวิธีการแบบดั้งเดิมอาจใช้ไม่ได้กับบางกรณี จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อให้สอดคล้องกับ แต่ละสถานการณ์และสามารถน ามาใช้ได้จริง เยาวชนของไทยก็เช่นกัน หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไม่เห็นความส าคัญ ในเรื่องการต่อต้านการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ เยาวชนก็จะไม่ให้ความส าคัญ เห็นเป็นเพียงเรื่องปกติที่พบได้ ทั่วไป หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาควรมีการปรับเปลี่ยนและประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับทิศทางที่มีการเปลี่ยนไป แก้ไขปรับปรุงในจุดบกพร่องเพื่อสร้างศักยภาพให้เกิดขึ้นกับเยาวชน “ต้องปลูกฝังเรื่องจริยธรรมเข้าไปในหลักสูตรตั้งแต่ยังเด็ก และที่ส าคัญต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ คนดีสามารถอยู่ได้” “เด็กสมัยใหม่ เราจะไปตัดสินอนาคตให้เขาไม่ได้ อันไหนควร/ไม่ควรต้องให้เขาเรียนรู้ด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง ให้ล้มและยืนด้วยตนเอง เขาจะได้รู้ว่าการกระท าใดถูกต้อง การกระท าที่ผิด โดยเฉพาะค าว่า วัยใส ใจสะอาด ก็ต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตร ที่พวกเขาจะเรียน ว่าควรใช้ชื่ออะไร ชื่อนี้เหมาะกับเขาหรือไม่” เยาวชนคนรุ่นใหม่ต้องได้รับการปลูกฝังความรู้และการปฏิบัติตนที่ดีงาม เพราะในอนาคตข้างหน้า จะต้องเติบเป็นผู้ใหญ่เข้าสู่สังคมเพื่อประกอบสัมมาชีพต่อไป การสร้างเยาวชนให้เป็นคนดีที่พร้อมเข้าไปเป็น คนรุ่นใหม่ ผู้สอนจะต้องถ่ายทอดทั้งความรู้และประสบการณ์ชีวิตที่เป็นประโยชน์ให้กับเยาวชน เพื่อให้ สามารถน าความรู้ไปช่วยเหลือตนเองและสังคมต่อไป “เปิดโอกาสให้เด็กร่วมคิดวิธีที่ไม่ท าผิด ที่ส าคัญการแก้ไขปัญหาต้องเป็นเชิงบวก กรณีเช่น ท าสิ่งของ หล่นหายปกติจะมีการส่งคืนเจ้าของ 100% แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมเหล่านี้เริ่มหายไปจากสังคมไทยใน โรงเรียน มหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ควรด าเนินกิจกรรมเหล่านี้เพื่อฝึกนิสัยความสุจริตให้แก่นักเรียน/นักศึกษา”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 207 “การเรียนรู้จากสถานที่จริง กรณีเช่น พานักศึกษาไปสังเกตการณ์เลือกตั้งตามหน่วยเลือกตั้งต่าง ๆ เป็นหูเป็นตาให้แก่ประชาชนและระบอบประชาธิปไตย” การส่งเสริมเพื่อให้เกิดการพัฒนาหลักสูตร ควรมีการสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นทั้งในระดับ มหาวิทยาลัย หน่วยงาน องค์กรต่าง ๆ ควรยกระดับความส าคัญในเรื่องนี้ให้เป็นปัญหาในล าดับต้น ๆ เพื่อสร้าง ความตระหนักรู้และไม่มองผ่านเรื่องการทุจริตเป็นเรื่องปกติ ควรจริงจังและต่อต้านผู้กระท าผิดอย่างแท้จริง สร้างบรรทัดฐานให้เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ส าคัญเพื่อผลักดันให้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาประสบผลส าเร็จ ส่วนในจุดที่ ยังเป็นข้อบกพร่องควรน ามาพิจารณาและปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ประสบความส าเร็จต่อไป “การพัฒนาหลักสูตรทางผู้สอนจะต้องมีการเชิญวิทยากรจาก ป.ป.ช. หรือ สตง. เข้ามาอบรมให้ความรู้ นักศึกษา ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายทางมหาวิทยาลัยประสงค์ที่จะใช้การเบิกจ่ายจากความจริงที่ได้ใช้จ่ายไปจริง” หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาถือเป็นศาสตร์หนึ่งที่ส าคัญและเกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวันเป็นอย่างมาก การน าความรู้มาบรรจุไว้ในรายวิชาจะต้องเล็งเห็นความส าคัญและประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ในทุกๆ มหาวิทยาลัย จะต้องการเร่งด าเนินการ การถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียน จะต้องค านึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ และสิ่งที่ ส าคัญคือเมื่อนักเรียน นักศึกษา ได้ออกมาแสดงพลังในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ได้แก่ การเปิดเวที ปราศรัย การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ภาครัฐควรจะต้องเห็นความส าคัญและไม่ต่อต้านด้วยการใช้ ความรุนแรงแก่นักเรียน นักศึกษา แต่พร้อมจะรับฟังและยอมรับความคิดเห็นนั้นด้วยใจที่เป็นกลาง เพื่อน ามา ปรับใช้ให้เกิดความโปร่งใส และสร้างบรรทัดฐานที่เป็นแบบอย่างที่ดี การสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่ง ที่ท าให้นักเรียน นักศึกษาเห็นความส าคัญและน าไปปฏิบัติตามในการต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ “มีประโยชน์ถ้าหากคนมีจิตส านึก แต่พูดยากส าหรับเรื่องนี้ คงจะเป็นเรื่องการเลือกตั้งต่าง ๆ เพราะปัจจุบันมีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงกันจ านวนมาก ถ้ามีจิตส านึกดีจะไม่ขายเสียงเกิดขึ้น” “เปิดโอกาสให้นักศึกษามีหลักสูตรการต้านทุจริตในแบบของเขาเอง แต่ทาง ป.ป.ช. ต้องก าหนด บรรทัดฐานว่าให้ท าอะไรได้บ้าง อะไรที่ท าไม่ได้บ้าง ให้ชัดเจนไป” การประเมินผลผลิตเพื่อดูว่าผลที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดเป็นไปตามวัตถุประสงค์หรือตามที่คาดหวังไว้ หรือไม่ โดยอาศัยข้อมูลจากการประเมินสภาวะแวดล้อม ปัจจัยเบื้องต้นและกระบวนการร่วมด้วย เพื่อตรวจสอบ ว่าเกิดผลตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้หรือไม่ คุณภาพของผลลัพธ์เป็นอย่างไร เกิดผลกระทบหรือผลข้างเคียง อื่นใดหรือไม่ เป็นต้น หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาควรได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน การจะให้มหาวิทยาลัยจัดการ แต่เพียงผู้เดียว คงไม่อาจเห็นผลลัพธ์ของความส าเร็จได้ จะต้องมีการร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ นโยบาย จากภาครัฐ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง คณะผู้บริหารสถานศึกษา อาจารย์ และนักศึกษา ร่วมมือกัน และผลักดันให้ นโยบายได้ถูกน ามาใช้อย่างจริงจัง ดังจะเห็นได้จากในต่างประเทศที่ได้มีการจัดอันดับดัชนีการคอร์รัปชันใน ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยการวัดค่าในหมวดต่าง ๆ แต่ทั้งนี้ความน่าจะเป็นในการจัดอันดับโลกขึ้นอยู่กับบรรทัด ฐานของแต่ละทวีปซึ่งแตกต่างกัน การจัดอันดับ CPI คะแนนของประเทศไทยจะท าให้ภาครัฐตระหนักและหา แนวทางป้องกันการคอร์รัปชันและยกระดับให้ประเทศไปอยู่ในล าดับต้น ๆ การจะแก้ปัญหาเหล่านี้ จะต้องเริ่ม ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ น่าจะเป็นการปูพื้นฐาน ปลูกฝังให้เด็ก ๆ เห็นความส าคัญของความสุจริต


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 208 “นโยบาย คณะผู้บริหาร อาจารย์ผู้สอน” “มหาวิทยาลัยได้รับสนับสนุนงบประมาณ 500,000 บาท จากอธิการบดี ส าหรับการพัฒนาหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา การพัฒนาหลักสูตรให้ส าเร็จต้องสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คะแนนดัชนี การรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ซึ่งประเทศไทยคะแนนจะต้องดีขึ้นด้วย หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จะส าเร็จต้องใช้สิ่งพวกนี้เข้ามาสอดแทรกเพื่อเพิ่มปัจจัยความส าเร็จ” “การสร้างคุณธรรมจริยธรรมถือได้ว่าเป็นพื้นฐานที่ดีของเยาวชน ที่ต่อไปข้างหน้าเขาจะมีบทบาทใน การเข้ามาท างานในส่วนต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐและเอกชน” “สร้างการปลูกฝังให้นักศึกษาตระหนักถึงการทุจริตคอร์รัปชัน ไม่เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ไม่ปกติ จึงเล็งเห็นความส าคัญโดยการสอดแทรกเข้าไปในรายวิชาการป้องกันและการปราบปรามการทุจริต รวมไปถึงในรายวิชาอื่น ๆ ก็จะต้องมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันด้วย” การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาให้สามารถเป็นหลักสูตรที่ส าคัญของผู้เรียน หน่วยงานภาครัฐ องค์กรอิสระ จะต้องร่วมมือกัน จะต้องมีการติดต่อประสานงานกันมากขึ้น ร่วมกันวางแผนการด าเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อสรุปของหลักสูตรที่เป็นประโยชน์นี้ รวมไปถึงการน าหลักสูตรที่เคยบรรจุอยู่ในรายวิชามาประเมิน ผลสัมฤทธิ์ เพื่อผนวกรวมกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ทางด้าน ป.ป.ช. เสมือนเป็นตัวกลางที่ช่วยเสริมแรงให้ เกิดการน าไปใช้มากขึ้น เนื่องจาก ณ ปัจจุบันหลักสูตรที่มีอยู่นั้น ผู้เรียนยังไม่ค่อยให้ความส าคัญมากพอควร จะต้องมีการถอดบทเรียนหาประโยชน์และข้อบกพร่อง เพื่อสร้างแรงจูงใจที่ดีให้แก่ผู้เรียนให้มากกว่านี้ รวมไปถึง การเปิดโอกาสให้แก่ผู้เรียนได้สามารถแสดงทัศนคติ หรือเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตร เช่น เวที แลกเปลี่ยนความคิดเห็น การจัด Workshop ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้สามารถน ามาปรับใช้ได้ดี มากยิ่งขึ้น “รัฐบาล กับ ป.ป.ช. ต้องประสานงานกันมากขึ้น เสนอนโยบาย/โครงการป้องกันทุจริตแต่ละด้านให้ ชัดเจน ต้องส่งเสริมตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ไม่ใช้แก้ไขที่ปลายเหตุ ด้วยการรณรงค์อย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไร เราต้องแก้ตั้งแต่พื้นฐาน ตั้งแต่ต้นเรื่อง ไม่ใช่ปลายเหตุ” “เวทีกลาง ให้ภาคี/เครือข่าย ผู้สอนวิชาหลักสูตรทุจริตการศึกษา แลกเปลี่ยนความคิดกัน” “หากเกิดประสบผลส าเร็จจริง ๆ จะเป็นผลดีเป็นอย่างมากส าหรับภาพรวมของประเทศ แต่ในทาง ปฏิบัติแล้วนั้น หลักสูตรไม่สามารถที่จะใช้กับคนทั้งหมดทั่วประเทศได้ อาจจะต้องมีการปรับให้เข้ากับ บริบทของแต่ละท้องถิ่น หรือในแต่ละภูมิภาค ซึ่งในส่วนของ ม.ทักษิณเอง โชคดีที่นักศึกษาส่วนใหญ่นั้น เป็นนักศึกษาที่มาจากภาคใต้เกือบทั้งหมด ซึ่งโดยบุคลิกแล้วคนใต้จะเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย กล้าแสดงออก ตรงไปตรงมา นี้คือจุดเด่นที่ท าให้หลักสูตรของเราประสบความส าเร็จ” “ให้ ป.ป.ช. องค์กรอิสระ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวกับทุจริตศึกษาเป็นผู้เริ่มต้นในการด าเนินกิจกรรม ด้วยการจัดโครงการ และเปิดกว้างให้นักศึกษาได้เข้าร่วมโครงการเพื่อเข้าไปอบรมและรับความรู้จาก กิจกรรมนั้น จะเป็นเรื่องที่ดีกับนักศึกษามาก” กล่าวได้ว่ามีหลากหลายหลักสูตรที่เป็นกุญแจส าคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคนในชาติ หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาก็เป็นเป็นรายวิชาหนึ่งที่มีส่วนส าคัญเป็นอย่างยิ่ง จุดเริ่มต้นของการปลูกฝังไม่ควรก าหนดหรือ จ ากัดในช่วงอายุใดอายุหนึ่ง ข้อส าคัญจริง ๆ แล้วควรเริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัวเป็นต้นมา หากพึ่งมาเริ่มศึกษา ในช่วงมหาวิทยาลัยผลลัพธ์ที่ได้ไม่เท่าเริ่มฝึกซึมซับตั้งแต่เด็ก ๆ เพื่อเป็นการปลูกฝังและขัดเกลาพื้นฐาน พอเข้า สู่วัยที่เข้าศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย หลักสูตรเหล่านี้จะช่วยเติมเต็มและดึงศักยภาพของผู้ศึกษาให้เข้าใจใน บริบทมากยิ่งขึ้น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 209 “สามารถช่วยได้ระดับหนึ่ง ในเกณฑ์ที่พอรับได้ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม หรืออุดมศึกษา ปัจจัยส าคัญต้องปลูกฝังตั้งแต่ตอนยังเด็ก แต่ถ้าจะมาปลูกฝังหลักจิตใต้ส านึกที่ดีในตอนโตนั้นน่าจะเป็น เรื่องที่ยาก เพราะเมื่อเขาโตแล้วเขามีความคิดในแบบของของตนเอง ใครคิดได้ก็ดีไป ใครคิดไม่ได้ก็ห้าม กันไม่ได้จริงๆ” “มีประโยชน์มาก แต่ทุกรายวิชาก็อยู่ที่จิตใต้ส านึกของแต่ละบุคคล” “ประเด็นในเรื่องของการทุจริตเป็นประเด็นปัญหาใหญ่ และส่งผลกระทบอย่างเป็นวงกว้างต่อ ประเทศชาติ ดังนั้น โดยส่วนตัวจึงคิดว่าหลักสูตรดังกล่าวนี้มีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งนี้เพราะการสร้างคุณธรรมจริยธรรมถือได้ว่าเป็นพื้นฐานที่ดีของเยาวชน ที่ต่อไปข้างหน้าเขาจะมี บทบาทในการเข้ามาท างานในส่วนต่าง ๆ ทั้งในภาครัฐและเอกชน” “การเรียนการสอนที่เป็นวิชาการ ควบคู่ไปกับกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเชิงสร้างสรรค์ กิจกรรมที่จัดขึ้น เช่น การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ให้นักศึกษาตระหนักตั้งแต่ความผิดเล็กน้อย ไม่เพิกเฉย ด้วยเห็นว่าเรื่องเล็กน้อยเมื่อสะสมมากขึ้น จะเป็นความเคยชินจนมองข้ามปัญหาการทุจริต ระดับชาติไปด้วย” มุมมองด้านความซื่อสัตย์สุจริต การทุจริต หากมีการหยิบยกกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลเริ่มตั้งแต่ อดีตมาจนถึงปัจจุบันให้ได้เห็นภาพ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันได้เกิดขึ้นในหลาย ๆ หน่วยงาน และองค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น การซื้อสิทธิ์ขายเสียง การยึดถือเอาประโยชน์ส่วนตัวมากกว่า ส่วนรวม การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย กระท าการที่ขัดต่อหลักกฎหมาย เป็นต้น จุดเปลี่ยนที่จะท า ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเพื่อต่อต้านการทุจริต การคอร์รัปชันในรูปแบบต่าง ๆ ควรเริ่ม ปลูกฝังในทุกระดับชั้นการศึกษา ไม่จ ากัดแต่เพียงในระดับมหาวิทยาลัย แต่การศึกษาหลักสูตรนี้ในระดับ มหาวิทยาลัยควรจะเพิ่มความเข้มข้นเพื่อให้ตระหนักมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ จะท าหน้าที่เป็นหูเป็นตา เป็นกระบอกเสียงที่คอยผลักดันสิ่งที่ดีงามและต่อต้านการทุจริต นอกจากนี้ควร จะต้องมีการผนึกก าลังของหลายฝ่ายและจริงจังอย่างเด็ดขาดกับเรื่องทุจริตเหล่านี้ “จะเปลี่ยนไประดับหนึ่ง แต่คงเปลี่ยนได้ไม่มาก เพราะต้องปลูกฝังเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก” ตารางที่ 4.59 สรุปจุดเด่น จุดด้อย ปัญหาและอุปสรรคของสถานศึกษาที่ได้คะแนนสูงสุดและต่ าสุด หลักสูตร อุดมศึกษา (วัยใสใจสะอาด “Youngster with Good Heart) โอกาสในการพัฒนา จุดที่ควรปรับปรุง ปัญหาอุปสรรค 1. การประเมินสภาวะแวดล้อม (Context) 1.1 การบูรณาการรายวิชาและการน ามาใช้ ของหลักสูตรทุจริตศึกษามีความสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ชาติ 1.2 มีคณะกรรมการประจ าหลักสูตร 1.3 กระบวนการปลูกฝังและพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ เหมาะสมกับการเรียนการสอน 1.4 ความสอดคล้องของหลักสูตร ทิศทาง แนวโน้ม ที่เปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ปัจจุบัน 1.1 การประสานงานกันระหว่าง ภาครัฐบาล สถาบันการศึกษาและ ป.ป.ช. 1.2 การปรับปรุงโครงสร้าง หลักสูตร 1.3 ความชัดเจนของหลักสูตรใน ระดับกระทรวงที่มีผลต่อ นโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 1.1 บริบททางสังคมที่แต่ละพื้นที่มี ความแตกต่างกัน การรับรู้และการ ถ่ายทอดองค์ความรู้จะแตกต่างกัน 2. การประเมินปัจจัยเบื้องต้น (Input) 2.1 หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่สนับสนุน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 2.2 การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ใน 2.1 ความเหมาะสมของวิชาบังคับ และวิชาเลือกเสรี 2.1 การปฏิรูปและการพัฒนาระบบ การศึกษาไทย 2.2 ความแตกต่างของระบบการให้


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 210 โอกาสในการพัฒนา จุดที่ควรปรับปรุง ปัญหาอุปสรรค สถานศึกษาประสบความส าเร็จ 2.3 ความคาดหวัง เพื่อให้ผู้เรียนสามารถน าความรู้ ไปใช้ในชีวิตประจ าวันและรับใช้สังคม 2.4 การได้รับการสนับสนุนจาก ป.ป.ช. 2.5 หลักสูตรต้านทุจริตศึกษามีประโยชน์ต่อ การพัฒนาคนในประเทศ 2.6 การผสมผสานรายวิชาที่เชื่อมโยงกับหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา เช่น การเพิ่มวิชา “วัยใส ใจสะอาด” ใน GE เป็นวิชาเลือกเสรี คะแนนของแต่ละสถาบันการศึกษา 3. การประเมินกระบวนการ (Process) 3.1 ทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเมื่อมีการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษามาใช้ 3.2 การได้รับการสนับสนุนจาก ป.ป.ช. 3.3 อาจารย์ผู้สอนมีความพยายามประยุกต์และ สอดแทรกเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิด ประโยชน์กับผู้เรียน 3.4 ความเหมาะสมของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในปัจจุบันกับการเรียนรู้ของนักศึกษา 3.5 การเปลี่ยนแปลงของนักศึกษาตามความคาดหวัง 3.6 การจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตร ทั้งภายในและ ภายนอกสถานศึกษา 3.7 การน าความรู้ที่ได้จากหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา มาใช้ให้เกิดประโยชน์ 3.1 กระบวนการปลูกฝังที่ต้อง เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนวัยเรียนและ ปฐมวัย 3.2 สื่อการเรียนการสอนจาก ส่วนกลางเพื่อให้แนวทางการ สอนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 3.1 ความชัดเจนในการก าหนดเนื้อหา หลักสูตร ที่เหมาะสมกับผู้เรียนใน แต่ละช่วงวัย 3.2 การให้ความส าคัญกับประเด็นปัญหา ทุจริตคอร์รัปชันของนักศึกษา 3.3 ความเหมาะสมของชั่วโมงเรียน มีน้อยเกินไป 4. การประเมินผลลัพธ์ (Outcome) 4.1 หลาย ๆ มหาวิทยาลัยปลูกฝังเรื่องไม่ให้มองข้าม การทุจริตแม้เป็นเพียงการท าผิดเล็กน้อย 4.2 ปลูกฝังให้นักศึกษาออกมาแสดงพลังต่อต้าน ทุจริต ในฐานะพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย 4.3 นักศึกษาให้ความร่วมมือ มีส่วนร่วมในการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ 4.4 นักศึกษามีความรู้ เจตคติและพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี 4.5 นักศึกษามีความรับผิดชอบต่อตนเองและ ส่วนรวม 4.6 การพัฒนาในด้านการต้านการทุจริต และ ส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริต 4.7 นักศึกษาตั้งใจเรียน น าความรู้ไปปรับใช้ใน ชีวิตประจ าวัน 4.1 สถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง อย่างไม่หยุดนิ่ง การใช้วิธีการ แบบเดิม จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร 4.2 จะต้องเพิ่มการประสานความ ร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ นโยบายจากภาครัฐ กระทรวงที่เกี่ยวข้อง คณะ ผู้บริหารสถานศึกษา อาจารย์ และนักศึกษา ร่วมมือกัน 4.3 เพิ่มการปลูกฝังแนวความคิด ต่อต้านทุจริต ตั้งแต่สถาบัน ครอบครัว 4.4 การเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ เลือก คิดค้นวิชาที่ตนเองชอบ เพื่อสนับสนุนแนวคิดการ ต่อต้านทุจริตทุกรูปแบบ 4.1 การแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของ นักการเมืองเป็นตัวอย่างที่จะท าให้ นักศึกษามองข้ามและเห็นเป็นเพียง เหตุการณ์ปกติ 4.2 การเปิดกว้างให้เข้าร่วมเวทีแสดง ความคิดเห็นทางการเมือง เพื่อการ ตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน 4.2 ค่าใช้จ่ายในการเชิญวิทยากร และ หน่วยงานจากภายนอกเพื่อเข้ามาให้ ความรู้แก่ผู้สอนและนักศึกษา


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 211 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 212 4.5 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหาร และต ารวจ) ไปใช้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้ ซึ่งประเมินโดยผู้ผ่านการฝึกอบรม จ านวนรวม 204 คน จาก 10 หน่วยงาน ผลการประเมินพบว่า ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ระดับ B) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 78.21 คะแนน เมื่อพิจารณาตามรายหน่วยงานเทียบกับคะแนนรวมเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้ พบว่า มีจ านวน 5 หน่วยงาน ที่มีค่าคะแนนสูงกว่าค่าคะแนนรวมเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ ตามหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) และหน่วยงานที่ มีค่าคะแนนต่ ากว่าค่าคะแนนรวมเฉลี่ย มีจ านวน 5 แห่ง โดยกองทัพอากาศ (โรงเรียนการบิน) มีค่าคะแนน สูงสุด เท่ากับ 89.82 (หมายถึง ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับดีมาก) ส่วนกรม สื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ พบว่า มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ใน ระดับดี (ค่าคะแนนเท่ากับ 68.92) ดังปรากฏในตารางที่ 4.60 และเมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ หลักสูตรกลุ่มทหาร และต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) จ าแนกตามองค์ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบ คือ ปัจจัยน าเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ ผลที่ได้มีดังนี้ ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า ซึ่งประเมินโดยผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จาก 10 หน่วยงาน ค่าคะแนน ปัจจัยน าเข้าของหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) โดยรวมมีค่า คะแนนเท่ากับ 5.72 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนนปัจจัยน าเข้าสูงสุด คือ กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ มีค่าคะแนน 8.13 คะแนน ในขณะที่กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ มีค่า คะแนนต่ าสุด คือ 0.63 คะแนนเท่านั้น ผลการประเมินกระบวนการ ซึ่งประเมินผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จ านวน 10 หน่วยงาน ค่าคะแนน กระบวนการของหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) โดยรวมมีค่า คะแนนเท่ากับ 17.33 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนนกระบวนการสูงสุด คือ โรงเรียนการบิน มีค่าคะแนน 25.00 คะแนน ในขณะที่กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ มีค่าคะแนน ต่ าสุด คือ 8.33 คะแนน เท่านั้น ผลการประเมินผลลัพธ์ ซึ่งแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม และ 2) ความพึง พอใจต่อหลักสูตร ผลการประเมินดังที่ปรากฏในตารางที่ 4.60 แสดงให้เห็นว่า ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม ของผู้เข้ารับการอบรมที่อบรมในหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) (ซึ่งประเมินโดยผู้เข้ารับการอบรม จ านวน 204 คน) โดยรวมมีค่าคะแนนเท่ากับ 42.11 คะแนน (จากคะแนน เต็ม 50 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์สูงสุด คือ กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ มีค่า คะแนน 47.24 คะแนน ส่วนกรมขนส่งทหารอากาศ มีค่าคะแนนต่ าสุด คือ 37.99 คะแนน ในขณะที่ความ พอใจต่อหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ของผู้ก ากับหลักสูตร และผู้เข้ารับการอบรม โดยรวมมีค่าคะแนนความพึงพอใจต่อหลักสูตรเท่ากับ 13.05 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์สูงสุด คือ โรงเรียนการบิน มีค่าคะแนน 13.80 คะแนน ในขณะที่กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ มีค่าคะแนนต่ าสุด คือ 11.15 คะแนน เท่านั้น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 213 ตารางที่ 4.60 คะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ไปใช้ หน่วยงาน จ านวน ผู้ ผ่านการ ฝึกอบรม ที่ประเมิน ปัจจัยน าเข้า (Input) (10 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) กระบวนการ (Process) (25 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนน รวม ผลสัมฤทธิ์ (100 คะแนน) ระดับ การ แปล ความ หมาย ความรู้ วัฒนธรรมและ ค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรมฯ (50 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ความพึงพอใจ ต่อหลักสูตร (15 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) 1. โรงเรียนการบิน 37 6.56 25.00 44.46 13.80 89.82 A ดีมาก 2. โรงเรียนนายร้อยต ารวจ 9 6.25 16.67 47.16 13.33 83.41 A ดีมาก 3. กองบัญชาการศึกษา ส านักงาน ต ารวจแห่งชาติ 9 6.25 20.00 42.65 13.20 82.10 A ดีมาก 4. กรมยุทธศึกษาทหารบก 29 7.50 18.34 40.09 13.97 79.89 B ดี 5. กรมควบคุมการปฏิบัติการ ทางอากาศ 12 6.88 16.67 43.73 12.50 79.77 B ดี 6. กรมสื่อสารทหารเรือ 29 3.13 18.34 42.93 12.61 77.00 B ดี 7. กรมขนส่งทหารอากาศ 18 7.50 18.33 37.99 13.13 76.95 B ดี 8. กรมกิจการพลเรือนทหารอากาศ 23 4.38 16.67 40.57 13.42 75.03 B ดี 9. กรมยุทธศึกษาทหารอากาศ 24 8.13 15.00 38.66 11.15 72.93 B ดี 10. กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหาร อากาศ 14 0.63 8.33 47.24 12.73 68.92 B ดี รวมผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 204 5.72 17.33 42.11 13.05 78.21 B ดี หมายเหตุ: ประเมินเฉพาะหน่วยงานที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหลักสูตรการฝึกอบรมในระดับเข้มข้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 4.5.1 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้ จ าแนกตามแต่ละประเด็นในแต่ละองค์ประกอบ 4.5.1.1 ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) จะพิจารณา 16 ประเด็น แต่ละประเด็นมี ผลการประเมินเป็นดังนี้ 1) ศักยภาพและความพร้อมของระบบสนับสนุนในการน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้ จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรทุกคน รู้จักหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา อีกทั้งยังทราบเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในระดับสูงมากกว่า ร้อยละ 96 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต และการเสริมสร้างพฤติกรรมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต อย่างไรก็ตาม ประเด็นเจตนารมณ์ของหลักสูตรด้านการยกระดับ CPI ของประเทศไทย และ การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เป็นที่รับรู้กันต่ าสุด (ดูตารางที่ 4.61) 2) ระดับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร แม้ว่าผู้ก ากับดูแลหลักสูตรจะมีความรู้ ความเข้าใจในเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา แต่มีเพียงร้อยละ 38.5 เท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการ พัฒนาหลักสูตร แต่ก็ถือว่ามีส่วนร่วมในระดับขั้นสูง คือ ร่วมในการก ากับติดตามและร่วมประเมินผลการใช้ หลักสูตร ร่วมทดลองใช้หลักสูตร ร่วมร่างหลักสูตร ร่วมรับรู้ และร่วมคิดแลกเปลี่ยนความเห็น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 214 ตารางที่ 4.61 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ที่ระบุว่าศักยภาพของหน่วยงานและความพร้อมของระบบสนับสนุน ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. รู้จักหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาและทราบเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ส าคัญที่สุด (ถ้ารู้จัก ทราบเจตนารมณ์ที่ส าคัญของหลักสูตรนี้คืออะไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 100.0 1.1 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต 39.13 1.2 ยกระดับ CPI ของประเทศไทย 17.39 1.3 เสริมสร้างพฤติกรรมที่ไม่ทนต่อการทุจริต 26.09 1.4 ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 17.39 2. มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หรือไม่ 2.1 ไม่มีส่วนร่วม 61.54 2.2 มีส่วนร่วม (ถ้ามี มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรในลักษณะใด) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 38.46 2.2.1 ร่วมรับรู้ 12.50 2.2.2 ร่วมคิดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 12.50 2.2.3 ร่วมร่างหลักสูตร 18.75 2.2.4 ร่วมทดลองใช้หลักสูตร 25.00 2.2.5 ร่วมก ากับติดตามและร่วมประเมินผลการใช้หลักสูตร 31.25 3) การเข้าร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตร ผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับ ดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ส่วนใหญ่ร้อยละ 69.23 ร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยส่วนใหญ่จะเป็นการจัดโดยส านักงาน ป.ป.ช. และการประชุมชี้แจงมีความชัดเจน นอกจากการเข้าร่วมประชุมชี้แจงที่ส านักงาน ป.ป.ช. จัดแล้วในหน่วยงาน เองก็ได้มีการจัดประชุมชี้แจงให้บุคลากร ผู้เข้ารับการอบรม รวมทั้งผู้ก ากับดูแลหลักสูตร ดังรายละเอียดที่ ปรากฏในตารางที่ 4.62 ตารางที่ 4.62 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ที่ระบุถึงการเข้าร่วมรับฟังการประชุม และการจัดประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. เคยเข้าร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หรือไม่ 1.1 ไม่เคยเข้าร่วม 30.77 1.2 เคยเข้าร่วม (ถ้าเคย การประชุมนั้น จัดโดยหน่วยงานใด) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 69.23 1.2.1 ส านักงาน ป.ป.ช. 80.00 1.2.2 หน่วยงานจัดเอง 20.00 2. การประชุมชี้แจงมีความชัดเจนเพียงพอต่อการน าหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงาน 100.00 3. หน่วยงานไม่มีการจัดประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 30.77 หน่วยงานมีการจัดประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 69.23 กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมประชุม 3.1 บุคลากรทุกคนในหน่วยงาน 8.33 3.2 ผู้ก ากับดูแลและผู้รับผิดชอบหลักสูตร 41.67 3.3 ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 50.00


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 215 4) การก าหนดผู้รับผิดชอบและการจัดท าแผนการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่ม ทหารและต ารวจ) ส่วนใหญ่ร้อยละ 84.62 ระบุว่า หน่วยงานมีแนวทางในการเตรียมบุคลากรในการเป็น ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง มีการจัดท าแผนการฝึกอบรมของ หน่วยงาน ทั้งการใช้แผนของส านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดท าขึ้น (รายละเอียดดังตารางที่ 4.63) ตารางที่ 4.63 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ที่ระบุถึงการมอบหมายผู้รับผิดชอบและการจัดท าแผนการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานได้มีแนวทางในการเตรียมบุคลากรในการเป็นผู้ก ากับดูแลหลักสูตรฯ หรือไม่ 1.1 ไม่มี 15.38 1.2 มี (ถ้ามี หน่วยงานใช้วิธีการใดในการเตรียม) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 84.62 1.1 สอนงาน 15.00 1.2 ระบบพี่เลี้ยง 15.00 1.3 ส่งไปอบรม 25.00 1.4 ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 45.00 2. หน่วยงานมีการจัดท าแผนการจัดฝึกอบรมของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาฯ 2.1 ไม่มี 15.38 2.2 มี โดยจัดท าแผนการฝึกอบรมขึ้นเอง 61.54 2.3 มี โดยใช้แผนในเล่มหลักสูตรของ ป.ป.ช. 23.08 5) รูปแบบการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ส่วนใหญ่ร้อยละ 76.92 มีระยะเวลา 3-6 ชั่วโมง รองลงไปคือ การฝึกอบรมระยะเวลา 16 ชั่วโมงขึ้นไป (รายละเอียดดังตารางที่ 4.64) ตารางที่ 4.64 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ที่ระบุถึงรูปแบบการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีรูปแบบการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในลักษณะใดบ้าง (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 1.1 การฝึกอบรม ระยะเวลา 3-6 ชั่วโมง 76.92 1.2 การฝึกอบรม ระยะเวลา 6-8 ชั่วโมง 0.00 1.3 การฝึกอบรม ระยะเวลา 9-12 ชั่วโมง 7.69 1.4 การฝึกอบรม ระยะเวลา 16 ชั่วโมงขึ้นไป 15.38 1.5 การฝึกอบรม ระยะเวลาน้อยกว่า 4 วัน 0.00 6) คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจส่วนใหญ่ระบุว่าหน่วยงานมีการก าหนด คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในลักษณะตามหน้าที่ ความรับผิดชอบ ตามประเภทและระดับต าแหน่ง ตามความจ าเป็นในการน าองค์ความรู้ไปใช้จริง ตามความรู้ พื้นฐานหรือการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และตามความรู้ความสามารถตามล าดับ (รายละเอียดดังตารางที่ 4.65)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 216 ตารางที่ 4.65 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ที่ระบุถึงคุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีการก าหนดคุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หรือไม่ 1.1 ไม่มี 23.08 1.2 มี (ถ้ามี หน่วยงานก าหนดในลักษณะใด) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 76.92 1.2.1 ตามประเภทและระดับต าแหน่ง 25.00 1.2.2 ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ 30.00 1.2.3 ตามประสบการณ์ในการท างาน 0.00 1.2.4 ตามความรู้ความสามารถ 5.00 1.2.5 ตามความจ าเป็นในการน าองค์ความรู้ไปใช้จริง 20.00 1.2.6 ตามความรู้พื้นฐานหรือการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 20.00 7) คุณสมบัติ ความเหมาะสมหรือหลักเกณฑ์ของวิทยากร จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) มีหลักเกณฑ์ในการ พิจารณาคุณสมบัติความเหมาะสมของวิทยากร/ผู้สอนในประเด็นคุณวุฒิการศึกษา ความรู้ความสามารถสูง ที่สุด (ร้อยละ 29.41) รองลงมาคือ ประสบการณ์ในการท างานเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่สอน (ร้อยละ 26.47) ประสบการณ์ในการเป็นวิทยากรหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง (ร้อยละ 23.53) ต าแหน่งหน้าที่การงานต้นสังกัด (ร้อยละ 20.59) ตามล าดับ (รายละเอียดดังตารางที่ 4.66) ตารางที่ 4.66 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ที่ระบุถึงคุณสมบัติ ความเหมาะสมหรือหลักเกณฑ์ของวิทยากร ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติความเหมาะสมของวิทยากร/ผู้สอน หรือไม่ 1.1 ไม่มี 15.38 1.2 มี (ถ้ามี ประเด็นในการพิจารณา เป็นอย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 84.62 1.2.1 คุณวุฒิการศึกษา ความรู้ ความสามารถ 29.41 1.2.2 ประสบการณ์ในการท างานเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่สอน 26.47 1.2.3 ประสบการณ์ในการเป็นวิทยากรหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง 23.53 1.2.4 ต าแหน่งหน้าที่การงาน ต้นสังกัด 20.59 8) การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การจัดหาสื่อวัสดุอุปกรณ์และเอกสารความรู้หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดการฝึกอบรมตามหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหาร และต ารวจ) จากผลการประเมิน พบว่า ศักยภาพและความพร้อมในด้านการจัดสรรงบประมาณของหน่วยงาน ในหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ส่วนใหญ่ระบุว่าหน่วยงาน ไม่มีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเป็นการเฉพาะ แต่หน่วยงานมีการจัดหาสื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็นใน การจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่เพียงพอ หน่วยงานมีเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือ การจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (ร้อยละ 61.54) ในกลุ่มนี้ยังระบุต่อไปอีกว่าเอกสารความรู้


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 217 หนังสือ ต าราหรือคู่มือที่มีอยู่ควรจะได้รับการปรับปรุงด้านกิจกรรม เนื้อหาสาระ และแผนการสอนรวมถึง เทคนิค/วิธีการสอน (รายละเอียดดังตารางที่ 4.67) ตารางที่ 4.67 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ที่ระบุถึงการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การจัดหาสื่อวัสดุอุปกรณ์และเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการจัดการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เป็นการเฉพาะ ในลักษณะ 1.1 ไม่มีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเป็นการเฉพาะ 53.85 1.2 เป็นการจัดสรรร่วมกับหลักสูตร/กิจกรรมอื่นของหน่วยงาน 38.46 1.3 มี การจัดสรรงบประมาณเป็นการเฉพาะ 7.69 2. หน่วยงานไม่มีการจัดหาสื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในลักษณะ 53.85 หน่วยงานได้มีการจัดหาสื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในลักษณะ (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 46.15 2.1 มีสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่ไม่เพียงพอ 0.00 2.2 มีสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่เพียงพอ 100.00 3. หน่วยงานมีเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 61.54 เอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดการเรียนรู้ที่มีอยู่ควรได้รับการปรับปรุง ในประเด็น (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 38.46 3.1 เนื้อหาสาระ 25.00 3.2 กิจกรรม 37.50 3.3 แผนการสอน 12.50 3.4 เทคนิค/วิธีการสอน 12.50 3.5 คู่มือการจัดหาวิทยากร/สมุดรายชื่อวิทยากร 0.00 3.6 แบบประเมินผลการจัดการฝึกอบรม 0.00 3.7 คู่มือ มาตรฐานการจัดฝึกอบรม 12.50 4.5.1.2 กระบวนการ (Process) ในประเด็นด้านกระบวนการ (Process) ที่บ่งชี้ถึงความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ จะพิจารณาจากการรับรู้ของผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จากข้อค าถามที่ถามว่า “ท่านคิดว่าการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานของท่านได้ผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด” มีค่าคะแนนของค าตอบ ตั้งแต่ 0-10 คะแนน ซึ่งผู้ก ากับดูแลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) ได้ระบุว่า ได้ค่าคะแนน 7.54 ตารางที่ 4.68 ระดับของค่าเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงระดับความส าเร็จของการน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้จ าแนกตามผู้ก ากับดูแลหลักสูตร (คะแนนเต็ม 10) กระบวนการ (Process) คะแนนเฉลี่ย การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษาได้ผลสัมฤทธิ์ 7.54


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 218 การติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่มี การประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้เข้ารับการอบรม รวมถึงมีการประเมินผลความพึงพอใจหลังการฝึกอบรม ทุกครั้ง (ร้อยละ 46.15) (ร้อยละ 61.54) ตามล าดับ ลักษณะของการติดตามและประเมินผลผู้เข้ารับการ ฝึกอบรม พบว่า หลักสูตรใช้แบบประเมินการติดตามประเมินผลเป็นส่วนใหญ่ จะมีบ้างที่มีการสัมภาษณ์ ทางโทรศัพท์หรือผ่านเทคโนโลยีทางการสื่อสารอื่น ๆ หรือมีการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) (ดังตารางที่ 4.69) ตารางที่ 4.69 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรที่ระบุถึงการติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตร กลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) กระบวนการ (Process) ร้อยละ 1. ในการฝึกอบรบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หน่วยงานมีการวัดประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้รับ การฝึกอบรมทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรม หรือไม่ 1.1 ไม่มี 30.77 1.2 มี ทุกครั้ง 46.15 1.3 มี เป็นบางครั้ง 23.08 2. ในการฝึกอบรบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หน่วยงานมีการประเมินผลความพึงพอใจหลังการฝึกอบรม หรือไม่ 2.1 ไม่มี 23.08 2.2 มี ทุกครั้ง 61.54 2.3 มี เป็นบางครั้ง 15.38 3. หน่วยงานไม่มีการติดตามประเมินผล ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 23.08 หน่วยงานได้มีการติดตามประเมินผล ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ในลักษณะ 76.92 3.1 ใช้แบบประเมินการติดตามประเมินผล 100.00 3.2 ใช้การสัมภาษณ์ในรูปแบบการสนทนากลุ่ม (Focus Group) 0.00 3.3 มีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หรือผ่านเทคโนโลยีทางการสื่อสารอื่น ๆ 0.00 3.4 มีการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ผ่าน การฝึกอบรม 0.00 4.5.1.3 ผลลัพธ์ (Outcome) ในประเด็นด้านผลลัพธ์ (Outcome) ที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน มีองค์ประกอบในการประเมินอยู่ 4 ด้าน กล่าวคือ ด้านความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร ด้านค่านิยมสุจริตของประชาชน ด้านทัศนคติต่อการทุจริต และประพฤติมิชอบ และด้านพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งความคิดเห็นและ ความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงาน ซึ่งคณะผู้วิจัยจะได้น าเสนอในแต่ละ ประเด็นดังต่อไปนี้ วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต ทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาชน จากผลการประเมินวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการ ทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน พบว่า ผู้คะแนนเฉลี่ยของหน่วยงานที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 219 มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชนของหลักสูตรกลุ่มทหารและ ต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ในภาพรวม มีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 84.22 คะแนน เมื่อพิจารณารายหลักสูตร พบว่า หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและต ารวจ) คะแนนวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบของประชาชนที่มีค่าคะแนนเฉลี่ยมากที่สุด คือ องค์ประกอบที่ 3 “ทัศนคติต่อการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 87.79) องค์ประกอบที่ 2 “ค่านิยมสุจริตของประชาชน” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 87.48) องค์ประกอบที่ 1 “ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 83.63) องค์ประกอบที่ 4 “พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 78.00) (รายละเอียดดังตารางที่ 4.70) ตารางที่ 4.70 คะแนนเฉลี่ยของหน่วยงานที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน (หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและต ารวจ)) จ าแนกตามองค์ประกอบ ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนนเฉลี่ย องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร 83.63 องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริตของประชาชน 87.48 องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ 87.79 องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 78.00 รวมคะแนนตามองค์ประกอบ 84.22 แผนภาพที่ 4.15 คะแนนเฉลี่ยของหน่วยงานที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน (หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการ กลุ่มทหารและต ารวจ)) จ าแนกตามองค์ประกอบ ความพึงพอใจต่อหลักสูตร 83.63 87.48 87.79 78.00 50.00 60.00 70.00 80.00 90.00 องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ความ เข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริต ของประชาชน องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมใน การต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ผลลัพธ์ (คะแนนเฉลี่ยวัฒนธรรมและค่านิยมสุจริต)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 220 จากผลการประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้ในหน่วยงาน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรสะท้อนให้เห็นว่า มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในระดับ 8 ขึ้นไป (รายละเอียดดังตารางที่ 4.71) ตารางที่ 4.71 ระดับของค่าเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้จ าแนกตามผู้ก ากับดูแลหลักสูตร ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนนเฉลี่ย มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 8.15 4.5.2 ร้อยละของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่ม ทหารและต ารวจ) ที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบ เมื่อพิจารณาน าค่าคะแนนผลลัพธ์ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งมี ข้อค าถามสอดคล้องกับเครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัดแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผลการประเมินพบว่า ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่ม ทหารและต ารวจ) ที่ถือว่าเป็นผู้มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ (โดยพิจารณาเฉพาะผู้ที่มีคะแนนเฉลี่ยส่วนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ย) ผลที่ได้พบว่า ร้อยละ 63.7 เป็นผู้มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบสูงกว่า ค่าเฉลี่ย ตารางที่ 4.72 คะแนนเฉลี่ยและร้อยละของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับ ราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ หลักสูตร องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ ความเข้าใจใน เนื้อหาหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริต ของประชาชน องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อ การทุจริตและ ประพฤติมิชอบ องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ รวม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละวัฒนธรรม และค่านิยมสุจริตฯ (ร้อยละของ ผู้ที่ผ่านเกณฑ์) หลักสูตร กลุ่มทหารและ ต ารวจ (ตามแนวทาง รับราชการ กลุ่มทหารและ ต ารวจ) 83.63 87.48 87.79 78 84.22 63.7 ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ที่มี คะแนนเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 221 มิชอบสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย ถือว่าเป็นผู้ที่ผ่านเกณฑ์การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรม ในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังนั้น ร้อยละของวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีค่าเท่ากับจ านวนผู้ผ่านการฝึกอบรมฯ ที่ผ่านเกณฑ์ หารด้วยจ านวนผู้ผ่านการฝึกอบรมทั้งหมดในหลักสูตรนั้น ๆ (สัดส่วนนี้ปรากฏในตารางที่ 4.72) สะท้อนผลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) การสะท้อนผลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) มีลักษณะเป็นค าถามปลายเปิด เป็นบทสนทนากับ Chatbot โดยมีสองข้อค าถามด้วยในบทสนทนาที่เกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วย ค าถามแรก ถามว่า “ถ้าจะท าให้หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการ กลุ่มทหารและต ารวจ) ได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร” และค าถามที่สองคือ “ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนอย่างไรบ้าง” จากการวิเคราะห์ข้อมูลในประเด็นทั้งสองข้อค าถาม สามารถสรุปข้อสะท้อนผล ได้ดัง ปรากฏในตารางที่ 4.73 ตารางที่ 4.73 สรุปข้อสะท้อนที่พบจากการสะท้อนผลหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับ ราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ถ้าจะท าให้หลักสูตรได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนอย่างไรบ้าง o จัดวิทยากรที่เชี่ยวชาญ ควรมีวิทยากรเฉพาะที่มีความรู้ ด้านต้านทุจริตศึกษา o ควรจัดท าสื่อการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้หน่วยต่าง ๆ ใช้ประกอบการฝึกอบรม o หากจะให้ความส าคัญมากขึ้น อาจต้องบังคับให้การผ่าน หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเป็นคุณสมบัติในการเติบโต ในหน้าที่การงาน o อยากได้คู่มือการจัดฝึกอบรมกลุ่มทหารต ารวจ เพื่อใช้ ในการการจัดการฝึกอบรม o สนับสนุนต ารา e-book แจกจ่าย รวมถึงมีข่าวสารหรือ โปสเตอร์แจกจ่าย o สนับสนุนวิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถใน การบรรยาย ไม่น่าเบื่อ o คู่มือการจัดฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา o งบประมาณสนับสนุน 4.5.3 การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ผลสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน และผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ เพื่อสะท้อนทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) จ านวน 15 คน ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก ประมวลได้ดังต่อไปนี้ 1. ผลการประเมินบริบท (Context) อันหมายถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรในเรื่อง จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ ผลการเรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา วิธีการฝึกอบรม ขอบเขตเนื้อหา/เนื้อหาสาระของ หลักสูตร สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล มีความสอดคล้อง เหมาะสม ครอบคลุม และถูกต้องตาม หลักการพัฒนาหลักสูตร รวมถึงภาษาที่ใช้สามารถสื่อสารให้เข้าใจและมีความชัดเจนในการน าไปสู่การปฏิบัติ และมีความสอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ท าให้ผู้ใช้หลักสูตรสามารถ ด าเนินการตามหลักสูตรเพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับตัวหลักสูตรได้อย่างเป็น รูปธรรม


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 222 “การที่จะสร้างวิทยากร/แกนน า ในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงานนั้นจะต้อง ก าหนดคุณสมบัติที่สอดคล้องกับหลักสูตร ด าเนินการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องพร้อมกับท าค าสั่งแต่งตั้ง การเป็นวิทยากรเฉพาะทางด้านการต้านทุจริตศึกษา ซึ่งต้องมีการประชุมร่วมกับวิทยากรฯ เพื่อออกแบบ หลักสูตรที่เหมาะสมสอดคล้องกับวัฒนธรรม การปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงก าหนดวิธีการพัฒนา พนักงานด้วยวิธีการที่นอกเหนือจากการอบรมแบบในชั้นเรียน ต้องมีการด าเนินการตามแผนงาน และ การท าการประเมินผลในขั้นตอนสุดท้าย” (ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ 1) นอกจากนี้ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ ตามแผนที่ 21 นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้าน การทุจริต สภาวการณ์ปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในประเทศนั้น ท าให้เกิดแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อ การสร้างวิทยากร/แกนน า ในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงานเพื่อรับใช้สังคมและ ทักษะที่จ าเป็นภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน “จ าเป็นต้องมีหน่วยงานซึ่งมาด าเนินการจัดท าหลักสูตรแกนกลางของทุกหน่วยงานที่บูรณาการกันได้ใน องค์รวม และควรมีหลักสูตรในการพัฒนาทักษะของวิทยากรของแต่ละหน่วยงานให้มีทักษะและความรู้ใน มาตรฐานเดียวกัน อาจมีการตั้งกลุ่มวิทยากร หรือมีการจัดแคมป์พัฒนาทักษะแบบที่จะสามารถละลาย พฤติกรรมของทุกหน่วยให้เข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” 2. ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งต้องครอบคลุมถึงการด าเนินการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของครูผู้สอน ครอบคลุมประเด็นการมีส่วนร่วม ในการปลูกฝังให้นักเรียนมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต การน าหลักสูตรไปจัดการเรียนรู้ และ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในหน่วยการเรียนรู้ แต่กลับพบว่า ประสบการณ์ของ วิทยากร/แกนน าในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน และกิจกรรมที่ใช้ในการฝึกอบรม ซึ่งควรจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะและกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลในด้านการตระหนักรู้ต่อความถูกต้อง ซื่อสัตย์ สุจริตของผู้เข้ารับการอบรมนั้นยังมีน้อยมาก “ยังขาดในเรื่องนี้อยู่มาก ควรมีหลักสูตรในการพัฒนาทักษะของวิทยากรของแต่ละหน่วยงานให้มีทักษะ และความรู้ในมาตรฐานเดียวกัน อาจมีการตั้งกลุ่มวิทยากรหรือมีการจัดแคมป์พัฒนาทักษะแบบที่จะ สามารถละลายพฤติกรรมของทุกหน่วยให้เข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่กล่าวมาแล้ว” 3. การประเมินกระบวนการใช้หลักสูตร (Process) การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้เนื้อหาในหลักสูตรมีความเหมาะสมกับ บริบททางสังคม และเหมาะสมกับผู้เข้ารับการอบรม “เนื้อหามีความเหมาะสม แต่ควรก าหนดความส าคัญที่ชัดเจนว่าจะเน้นเรื่องอะไร ท าเป็น Step ไปจาก เรื่องใหญ่ที่ต้องการไปทีละเรื่องน่าจะได้ผลมากกว่า เพราะเนื้อหาครบถ้วนทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ดีแต่ท าให้ คนไม่สนใจ ควรจัดท าเป็นลักษณะของสื่อที่เข้าถึงคนในหลาย platform เช่นเป็น Clip ที่มีลักษณะเป็น Series ต่อเนื่อง กระทบใจคนน่าจะดีกว่าการอบรม” 4. การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร (Outcome) หลักสูตรการฝึกอบรม เป็นการตรวจสอบ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมในด้านความรู้ (K) เจตคติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม (A) พฤติกรรมที่พึง ประสงค์ การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของ ประชาชน การน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน และน าไปปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบ (B) ว่าบรรลุผลตาม


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 223 จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมากน้อยเพียงใด รวมทั้งประเมินความพึงพอใจต่อหลักสูตรของ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม ผลการประเมินพบว่า “ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่สามารถผ่านการประเมินประเด็นต่าง ๆ ได้และสามารถน าความรู้และทักษะ เหล่านั้นไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวันได้อย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม หลักสูตรยังคงต้องการการปรับปรุงอยู่ เพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม ดังนั้น จึงควรด าเนินการปรับปรุงหลักสูตรให้ เป็นสื่อ Online ที่สามารถเข้าถึงได้ในหลาย ๆ ช่องทาง โดยไม่ต้องจ ากัดให้อยู่ในเรื่องการอบรมเพียง อย่างเดียว เช่นนี้แล้วการขยายฐานคิดและการปลูกฝังในเรื่องของจิตพอเพียงต้านทุจริตก็จะสามารถบังเกิด ขึ้นได้ในวงกว้างอย่างแท้จริง” “ต้องมีการติดตามประเมินผล มีการติดตามประเมินผลส าหรับนักเรียนที่จบหลักสูตรไปแล้ว หลังจากที่ไป ปฏิบัติงานได้มีการน าไปใช้อย่างไรบ้าง เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง เพื่อน ามาใช้ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา แก้ไขในจุดที่เป็นปัญหา เพื่อให้นักเรียนที่ส าเร็จการศึกษาออกไปสามารถน าไปประยุกต์ใช้กับการท างาน ได้อย่างเต็มความสามารถ” ผลการประเมินเชิงคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรมกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่ม ทหารและต ารวจ) มีดังนี้ 1. หลักสูตรต้านทุจริตศึกษานี้ สามารถใช้เป็นตัวที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติได้ โดยที่ตัวหลักสูตรเอง นั้นจะเป็นตัวช่วยสนับสนุนในการขับเคลื่อนดังกล่าว โดยน าเสนอกรณีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมทั้งในด้านการท า ทุจริตและในด้านการไม่ทนต่อการทุจริตว่าจะมีผลตามมาอย่างไร “หลักสูตรนี้เป็นตัวขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติได้ โดยผ่านการบรรยาย การอบรมและการชี้แนะจาก วิทยากรที่ได้เชิญมาจากส านักงาน ป.ป.ช. แต่ควรเสริมให้มีสถาบันต้นแบบหรือมีองค์กรและบุคลากร ตัวอย่างที่ได้รับการปูนบ าเหน็จรางวัลส าหรับผู้ที่ได้แสดงความซื่อสัตย์ฯ และไม่ทนต่อการทุจริตใน รูปแบบต่าง ๆ” “ควรเสริมให้มีสถาบันต้นแบบหรือมีองค์กรและบุคลากรตัวอย่างที่ได้รับการปูนบ าเหน็จรางวัล ส าหรับผู้ที่ได้แสดงความซื่อสัตย์ฯ และไม่ทนต่อการทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงตัวอย่างของผู้ที่ กระท าการทุจริตที่ได้รับการลงโทษอย่างเป็นรูปธรรม หรือมีการศึกษาองค์กรต้นแบบที่มีอยู่จริงจาก นานาชาติ เช่น ICEC ของเขตปกครองพิเศษฮ่องกงที่มีผลสัมฤทธิ์ที่เป็นที่ประจักษ์ ว่าเขามีวัฒนธรรม องค์กร มีแนวทางการปฏิบัติอย่างไรจึงได้มีผลสัมฤทธิ์ที่เป็นที่ประจักษ์ดังกล่าวได้ และให้เกิดมีความ เข้มแข็งในจิตใจที่ต้องต่อต้านกับการทุจริตของบุคคลากรในองค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม” 2. การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานฯ ต่าง ๆ ประสบความส าเร็จในระดับมาก ดังค าพูดของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฯ) ดังนี้ “การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานฯ นี้เป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ว่าให้ปฏิบัติงานอย่างเต็มก าลังความสามารถด้วยความจงรักภักดี ด้วยสติปัญญา รู้ตัว รู้คิด สุจริต จริงใจ และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าประโยชน์ส่วนตน ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเป็น อย่างดี ในเรื่องที่ต้องมีความสามารถที่จะคิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ส่วนตน ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ ประยุกต์นวัตกรรมเกี่ยวกับการคิดที่มีความละอายต่อการทุจริต” “การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานฯ ประสบความส าเร็จในระดับมาก ส่งผลให้ บุคลากรสามารถแยกแยะเรื่องของประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวมได้อย่างชัดเจนมากขึ้น และสามารถ สร้างความเข้มแข็งในการต่อต้านการทุจริตหลาย ๆ รูปแบบและเป็นเกราะคุ้มกันในการที่จะท าเรื่องที่ ไม่ถูกต้องและไม่ทนต่อการทุจริตให้แก่บุคลากรในองค์กรได้มากขึ้น”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 224 3. ปัจจัยที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ให้ประสบความส าเร็จ คือ การก าหนดให้เป็นนโยบายและข้อบังคับขององค์กร รวมถึงการสร้างสัมพันธภาพที่ดีและการจัดท ากิจกรรม ร่วมกันระหว่าง ครู อาจารย์ผู้สอนกับลูกศิษย์ ดังค าพูดของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฯ) ดังนี้ “ปัจจัยที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ให้ประสบความส าเร็จ คือ การก าหนดให้เป็นนโยบายและข้อบังคับขององค์กรว่า บุคลากรทุกคนต้องได้รับการอบรมหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา โดยเริ่มตั้งแต่ หลักสูตรฝึกอบรมผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลาง และผู้บริหาร ระดับสูง อันเป็นการตอกย้ าวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต เป็นโอกาสในการสร้างทัศนคติและพฤติกรรมการ ต่อต้านการทุจริตและการประพฤติมิชอบให้แก่ผู้ผ่านการอบรมทุกระดับ” “ปัจจัยที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ให้ประสบความส าเร็จ คือ จะต้อง มีความใกล้ชิดกันระหว่าง ครู อาจารย์ผู้สอนกับลูกศิษย์ และการจัดท ากิจกรรมร่วมกัน รวมถึงการ ปลูกฝังในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าไปพร้อม ๆ กัน โดยไม่ลืมที่จะเน้นในเรื่องของการมีจิตอาสาที่ ต้องการช่วยเหลือทั้งตนเอง เพื่อนร่วมงานและผู้คนในสังคมด้วย” 4. การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาให้เกิดความส าเร็จและยั่งยืนสืบต่อไปนั้น นอกจากที่ทาง ป.ป.ช. จะให้การสนับสนุนการมาเป็นวิทยากรบรรยายในเรื่องของเนื้อหาในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษานี้แล้ว การได้สัมผัสกับสถานที่หรือตัวบุคคลจริง ๆ ที่จะสามารถเข้าไปศึกษา พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องของ การต้านทุจริตได้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม และจะต้องสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่สามารถส่งต่อกันไป เป็นทอด ๆ สืบเนื่องกันไปจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีวันจบสิ้น ก็น่าจะท าให้การอบรมในหลักสูตรนี้ประสบความส าเร็จได้ ดังค าพูดของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฯ) ดังนี้ “นอกจากที่ทาง ป.ป.ช. จะให้การสนับสนุนในการมาเป็นวิทยากรบรรยายในเรื่องของเนื้อหาใน หลักสูตรต้านทุจริตศึกษานี้แล้ว ทางผู้ควบคุมดูแลหลักสูตรเห็นว่า หากทาง ป.ป.ช. จะแนะน าหรือพา ไปดูหรือสัมผัสกับสถานที่หรือตัวบุคคลจริง ๆ ที่จะสามารถเข้าไปศึกษา ดูงาน สัมผัส พูดคุยแลกเปลี่ยน เรียนรู้ในเรื่องของการต้านทุจริตได้อย่างจริงจังและเป็นรูปธรรม” “การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาให้เกิดความส าเร็จและยั่งยืนสืบต่อไป ควรจะขยายกรอบ ระยะเวลาในการเสริมสร้างวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต รวมถึงการสร้างทัศนคติและพฤติกรรมการต่อต้าน การทุจริตและการประพฤติมิชอบแก่บุคลากรให้ยาวนานเพิ่มมากขึ้น โดยจะต้องสร้างให้เกิดเป็น วัฒนธรรมที่สามารถส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ สืบเนื่องกันไปจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งต้องแสดงให้ เห็นได้ว่า ผู้กระท าความดีต้องได้รับผลตอบกลับที่ดี และผู้ที่กระท าความชั่วก็จะต้องได้รับผลตอบสนอง ที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างแน่นอน” 5. หลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่มีประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพเชิงบวกของผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม ดังค าพูดของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฯ) ดังนี้ “เนื่องจากหากเราปล่อยให้วัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้องยังคงอยู่ เรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน การคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นผลเสียต่อการพัฒนาชาติอย่างยิ่ง อุดมการณ์ของคนในสังคมเป็นไปอย่างไร้ทิศทางก็อาจจะท าให้ สังคมเกิดความวุ่นวาย ไร้ซึ่งความละอายต่อการกระท าที่ไม่พึงประสงค์ของสังคม หากได้รับการชี้แนะ และการกระตุ้นในเรื่องของค่านิยมสุจริตและความไม่ทนต่อการทุจริตดังกล่าวในหลักสูตรนี้เป็นระยะ ๆ ก็จะสามารถช่วยกล่อมเกลา ชักน าให้คนสามารถเปลี่ยนแปลงและสามารถสร้างทัศนคติและพฤติกรรม การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้อย่างเป็นรูปธรรม”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 225 “การที่คนในประเทศเราทราบถึงลักษณะของการทุจริต เรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน การคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นผลเสียต่อการพัฒนาชาติอย่างยิ่ง ท าให้ประเทศชาติไม่สามารถพัฒนาไปข้างหน้าเท่าที่ควร ดังนั้น หากทุกคนในประเทศได้รับการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาก็จะเป็นประโยชน์ เป็นจุดเริ่มต้น ในการพัฒนาประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนต่อไป” 6. หากใช้หลักสูตรนี้ได้ส าเร็จในคนทุกกลุ่มในประเทศ เราก็จะเห็นสังคมที่ดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบันนี้ องค์กรต่าง ๆ ก็จะมีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นไปในแนวเดียวกัน คือ มีทั้งความชัดเจน โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง และไม่ทนต่อการทุจริต รวมถึงการอยู่กันอย่างพอเพียงไม่เป็นหนี้เป็นสิน และจะท าให้มีโอกาส ในการพัฒนางานส่วนต่าง ๆ ขององค์กรให้ก้าวหน้าจนประสบความส าเร็จได้อย่างแท้จริง ดังค าพูดของผู้ให้ ข้อมูลส าคัญ (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฯ) ดังนี้ “เราก็จะเห็นสังคมที่ดีขึ้นมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ องค์กรต่าง ๆ ก็จะมีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นไป ในแนวเดียวกัน คือ มีทั้งความชัดเจน โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง และไม่ทนต่อการทุจริต รวมถึง การอยู่กันอย่างพอเพียงไม่เป็นหนี้เป็นสิน และจะท าให้มีโอกาสในการพัฒนางานส่วนต่าง ๆ ขององค์กร ให้ก้าวหน้าจนประสบความส าเร็จได้อย่างแท้จริง” “จะท าให้ผู้ที่ประพฤติทุจริตหรือประพฤติมิชอบจะไม่มีจุดยืนอยู่ในสังคม ไม่มีแนวร่วม องคาพยพ ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นในสังคมก็คือ จะเกิดเป็นสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต สังคมของคนรุ่นใหม่ก็จะพบว่า บุคคลที่ประพฤติทุจริตนั้นไม่มีแนวร่วม ในภาพรวมทั้งหมดก็จะท าให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่สามารถด ารงตน อยู่ได้ในสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 226 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 227 4.6 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ ซึ่งประเมินโดยผู้ผ่านการ ฝึกอบรม จ านวนรวม 780 คน จาก 26 หน่วยงาน ผลการประเมินพบว่า ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (ระดับ B) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 78.45 คะแนน และเมื่อ พิจารณาตามรายหน่วยงานเทียบกับคะแนนรวมเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ พบว่า มีจ านวน 13 หน่วยงาน ที่มีค่าคะแนนสูงกว่าค่าคะแนนรวมเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้ตามหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และหน่วยงานที่มีค่าคะแนนต่ ากว่าค่าคะแนนรวมเฉลี่ย มีจ านวน 13 แห่ง โดยธนาคาร เพื่อการส่งออกและน าเข้าแห่งประเทศไทย มีค่าคะแนนสูงสุด เท่ากับ 90.53 (หมายถึง ผลสัมฤทธิ์การน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับดีมาก) ส่วนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พบว่า มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับดี (ค่าคะแนนเท่ากับ 66.93) ดังปรากฏ ในตารางที่ 4.74 ตารางที่ 4.74 คะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ หน่วยงาน จ านวน ผู้ผ่าน การ ฝึกอบรม ที่ ประเมิน ปัจจัยน าเข้า (Input) (10 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) กระบวนการ (Process) (25 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนน รวม ผลสัมฤทธิ์ (100 คะแนน) ระดับ การแปล ความ ความรู้ หมาย วัฒนธรรม และค่านิยม ทัศนคติและ พฤติกรรมฯ (50 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ความ พึงพอใจ ต่อหลักสูตร (15 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) 1. ธนาคารเพื่อการส่งออกและน าเข้า แห่งประเทศไทย 23 7.50 25.00 45.38 12.65 90.53 A ดีมาก 2. ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) 25 8.75 20.00 44.87 12.68 86.30 A ดีมาก 3. กระทรวงยุติธรรม 51 8.75 20.00 44.97 12.31 86.02 A ดีมาก 4. ส านักงานราชบัณฑิตยสภา 24 4.38 21.67 46.12 13.20 85.36 A ดีมาก 5. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่ง ประเทศไทย 26 8.13 20.00 44.42 12.44 84.98 A ดีมาก 6. การเคหะแห่งชาติ 25 6.25 20.00 44.07 13.02 83.34 A ดีมาก 7. ส านักงานการบินพลเรือนแห่ง ประเทศไทย 25 5.00 18.33 46.22 13.27 82.82 A ดีมาก 8. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 29 6.88 18.33 45.04 12.33 82.58 A ดีมาก 9. กรมส่งเสริมวัฒนธรรม 19 5.63 20.00 43.50 13.23 82.36 A ดีมาก 10. กรมเจ้าท่า 24 3.75 20.00 45.14 13.35 82.24 A ดีมาก 11. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ สังคม 23 8.13 16.67 45.35 11.23 81.37 A ดีมาก 12. การท่าเรือแห่งประเทศไทย 27 6.88 16.67 44.52 11.47 79.53 B ดี 13. กระทรวงพลังงาน 57 3.13 18.33 44.38 12.78 78.62 B ดี 14. กรมท่าอากาศยาน 21 4.38 20.00 42.57 11.37 78.31 B ดี 15. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 83 5.00 20.00 40.07 12.92 77.99 B ดี 16. กรมธุรกิจพลังงาน 23 4.38 16.67 42.89 13.17 77.11 B ดี 17. กระทรวงวัฒนธรรม 28 3.13 16.67 44.58 11.83 76.20 B ดี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 228 หน่วยงาน จ านวน ผู้ผ่าน การ ฝึกอบรม ที่ ประเมิน ปัจจัยน าเข้า (Input) (10 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) กระบวนการ (Process) (25 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนน รวม ผลสัมฤทธิ์ (100 คะแนน) ระดับ การแปล ความ ความรู้ หมาย วัฒนธรรม และค่านิยม ทัศนคติและ พฤติกรรมฯ (50 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ความ พึงพอใจ ต่อหลักสูตร (15 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) 18. บริษัท ท่าอากาศยานไทย จ ากัด (มหาชน) 27 3.13 15.00 43.80 13.07 74.99 B ดี 19. กระทรวงพาณิชย์ 28 5.00 11.67 46.33 11.91 74.91 B ดี 20. กรมกิจการเด็กและเยาวชน 16 4.38 15.00 43.62 11.85 74.84 B ดี 21. กรมการขนส่งทางบก 14 3.13 15.00 43.87 12.34 74.33 B ดี 22. กรมทางหลวงชนบท 31 3.13 13.33 44.66 12.00 73.12 B ดี 23. ส านักงานคณะกรรมการพัฒนา ระบบราชการ 77 1.88 13.33 44.73 11.97 71.90 B ดี 24. ส านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 17 1.88 11.67 44.60 11.63 69.77 B ดี 25. การไฟฟ้านครหลวง 14 3.75 8.33 46.89 10.41 69.38 B ดี 26. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม 23 1.25 8.33 45.22 12.13 66.93 B ดี รวมผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 780 4.90 16.92 44.23 12.40 78.45 B ดี หมายเหตุ: ประเมินเฉพาะหน่วยงานที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหลักสูตรการฝึกอบรมในระดับเข้มข้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และเมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ จ าแนกตามองค์ประกอบ ทั้ง 3 องค์ประกอบ คือ ปัจจัยน าเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ ผลที่ได้มีดังนี้ ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า ซึ่งประเมินโดยผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จาก 26 หน่วยงาน ค่าคะแนน ปัจจัยน าเข้าของหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลง สู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) โดยรวมมีค่าคะแนนเท่ากับ 4.90 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนนปัจจัยน าเข้าสูงสุด คือ กระทรวงยุติธรรม และศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) ที่มีค่า คะแนนเท่ากัน คือ มีค่าคะแนน 8.75 คะแนน ในขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีค่า คะแนนต่ าสุดเท่ากัน คือ 1.25 คะแนนเท่านั้น ผลการประเมินกระบวนการ ซึ่งประเมินผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จ านวน 26 หน่วยงาน ค่าคะแนน กระบวนการของหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลง สู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) โดยรวมมีค่าคะแนนเท่ากับ 16.92 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนนกระบวนการสูงสุด คือ ธนาคารเพื่อการส่งออกและน าเข้าแห่งประเทศไทย มีค่า คะแนน 25.00 คะแนน ในขณะที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการไฟฟ้านครหลวง ที่มี ค่าคะแนนต่ าสุดเท่ากัน คือ มีค่าคะแนนเท่ากับ 8.33 คะแนน เท่านั้น ผลการประเมินผลลัพธ์ ซึ่งแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม และ 2) ความพึง พอใจต่อหลักสูตร ผลการประเมินดังที่ปรากฏในตารางที่ 4.74 แสดงให้เห็นว่า ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม ของผู้เข้ารับการอบรมที่อบรมในหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น า การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) (ซึ่งประเมินโดยผู้เข้ารับการอบรม จ านวน 780 คน) โดยรวมมี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 229 ค่าคะแนนเท่ากับ 44.23 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์สูงสุด คือ การไฟฟ้านครหลวง มีค่าคะแนน 46.89 คะแนน ส่วนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีค่าคะแนนต่ าสุด คือ 40.07 คะแนน ในขณะที่ความพึงพอใจต่อหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ของผู้ก ากับหลักสูตร และผู้เข้ารับการอบรม โดยรวมมีค่า คะแนนความพึงพอใจต่อหลักสูตร 12.40 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน) หน่วยงานที่มีค่าคะแนน ผลสัมฤทธิ์สูงสุด คือ กรมเจ้าท่า มีค่าคะแนน 13.35 คะแนน ส่วนการไฟฟ้านครหลวง มีค่าคะแนนต่ าสุด คือ 10.41 คะแนน เท่านั้น 4.6.1 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้จ าแนกตามแต่ละประเด็นในแต่ละ องค์ประกอบ 4.6.1.1 ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) จะพิจารณา 16 ประเด็น แต่ละประเด็นมี ผลการประเมินเป็นดังนี้ 1) ศักยภาพและความพร้อมของระบบสนับสนุนในการน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ จากผล การประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรทุกคนรู้จักหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา อีกทั้งยังทราบเจตนารมณ์ของ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในระดับสูงมากกว่าร้อยละ 96 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อ การทุจริต และการเสริมสร้างพฤติกรรมที่ไม่ทนต่อการทุจริต อย่างไรก็ตาม ประเด็นเจตนารมณ์ของหลักสูตร ด้านการยกระดับ CPI ของประเทศไทย และการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เป็นที่รับรู้กันต่ าสุด (ดูตารางที่ 4.75) 2) ระดับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร ข้อมูลที่ปรากฏในตารางที่ 4.73 แม้ว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรจะมีความรู้ความเข้าใจในเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา แต่มีเพียงร้อยละ 37.9 เท่านั้นที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร แต่ก็ถือว่ามีส่วนร่วมในระดับขั้นสูง คือ ร่วมรับรู้ ร่วมทดลองใช้ หลักสูตร ร่วมในการก ากับติดตามและร่วมประเมินผลการใช้หลักสูตร ร่วมร่างหลักสูตร และร่วมคิดแลกเปลี่ยน ความเห็น ตารางที่ 4.75 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุว่าศักยภาพของหน่วยงานและความพร้อมของระบบ สนับสนุน ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. รู้จักหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาและทราบเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาหรือไม่ 1.1 ไม่ทราบ 3.57 1.2 ทราบ (ถ้าทราบ คิดว่าเจตนารมณ์ที่ส าคัญของหลักสูตรนี้คืออะไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 96.43 2.1.1 สร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต 31.88 2.1.2 ยกระดับ CPI ของประเทศไทย 20.29 2.1.3 เสริมสร้างพฤติกรรมที่ไม่ทนต่อการทุจริต 28.99 2.1.4 ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 18.84 2. มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาหรือไม่ 2.1 ไม่มีส่วนร่วม 62.07 2.2 มีส่วนร่วม (ถ้ามี มีส่วนร่วมในลักษณะใด) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 37.93 2.2.1 ร่วมรับรู้ 26.92


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 230 ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 2.2.2 ร่วมคิดแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 11.54 2.2.3 ร่วมร่างหลักสูตร 15.38 2.2.4 ร่วมทดลองใช้หลักสูตร 26.92 2.2.5 ร่วมก ากับติดตามและร่วมประเมินผลการใช้หลักสูตร 19.23 3) การเข้าร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตร ผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับ ดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคม ที่ ไม่ทนต่อการทุจริต) ส่วนใหญ่ร้อยละ 69.0 ร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยส่วนใหญ่จะเป็นการจัดโดยส านักงาน ป.ป.ช. และการประชุมชี้แจงมีความชัดเจน นอกจากการเข้าร่วม ประชุมชี้แจงที่ส านักงาน ป.ป.ช. จัดแล้วในหน่วยงานเองก็ได้มีการจัดประชุมชี้แจงให้บุคลากร ผู้เข้ารับการ อบรม รวมทั้งผู้ก ากับดูแลหลักสูตร ดังรายละเอียดที่ปรากฏในตารางที่ 4.74 4) การก าหนดผู้รับผิดชอบและการจัดท าแผนการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ส่วนใหญ่ร้อยละ 51.7 ระบุว่า หน่วยงานมีแนวทางในการ เตรียมบุคลากรในการเป็นผู้ก ากับดูแลหลักสูตร ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนให้มีการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง และ ส่งไปอบรม มีการจัดท าแผนการฝึกอบรมของหน่วยงาน ทั้งการใช้แผนของส านักงาน ป.ป.ช. ได้จัดท าขึ้น (รายละเอียดดังตารางที่ 4.76) ตารางที่ 4.76 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุถึงการเข้าร่วมรับฟังการประชุม และการจัดประชุม ชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. เคยเข้าร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาหรือไม่ 1.1 ไม่เคยเข้าร่วม 31.03 1.2 เคยเข้าร่วม (ถ้าเคย การประชุมชี้แจงนั้น จัดโดยหน่วยงานใด (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 68.97 1.1 ส านักงาน ป.ป.ช. 81.80 1.2 หน่วยงานจัดเอง 18.20 2. การประชุมชี้แจงมีความชัดเจนเพียงพอต่อการน าหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงาน 90.00 2.1 การประชุมชี้แจงยังไม่มีความชัดเจนเพียงพอต่อการน าหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงาน 10.00 ประเด็นที่ควรเพิ่มเติม (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) - การจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ (lesson plan) 28.57 - การจัดกิจกรรม 14.29 - การวัดและประเมินผลการฝึกอบรม 28.57 - การจัดหาวิทยากร/ผู้สอน 28.57 3. หน่วยงานไม่มีการจัดประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 68.97 หน่วยงานมีการจัดประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 31.03 กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมประชุม 3.1 บุคลากรทุกคนในหน่วยงาน 14.29 3.2 ผู้ก ากับดูแลและผู้รับผิดชอบหลักสูตร 42.86 3.3 ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 42.86


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 231 ตารางที่ 4.77 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุถึงการมอบหมายผู้รับผิดชอบและการจัดท าแผน การฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. ในฐานะที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ก ากับดูแลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของหน่วยงาน หน่วยงานได้มี แนวทางในการเตรียมการเป็นผู้ก ากับดูแลหลักสูตรฯ หรือไม่ 1.1 ไม่มี 48.28 1.2 มี (ถ้ามี หน่วยงานใช้วิธีการในการเตรียม) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 51.72 1.2.1 สอนงาน 14.81 1.2.2 ระบบพี่เลี้ยง 11.11 1.2.3 ส่งไปอบรม 33.33 1.2.4 ศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง 40.74 2. หน่วยงานมีการจัดท าแผนการจัดฝึกอบรมของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาฯ 2.1 ไม่มี 31.03 2.2 มี โดยจัดท าแผนการฝึกอบรมขึ้นเอง 41.38 2.3 มี โดยใช้แผนในเล่มหลักสูตรของ ป.ป.ช. 27.59 5) รูปแบบการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต) ส่วนใหญ่ร้อยละ 79.3 มีระยะเวลา 3-6 ชั่วโมง รองลงไปคือ การฝึกอบรมระยะเวลา 6-8 ชั่วโมง (รายละเอียดดังตารางที่ 4.78) ตารางที่ 4.78 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุถึงรูปแบบการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีรูปแบบการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในลักษณะใด (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 1.1 การฝึกอบรม ระยะเวลา 3-6 ชั่วโมง 79.31 1.2 การฝึกอบรม ระยะเวลา 6-8 ชั่วโมง 13.79 1.3 การฝึกอบรม ระยะเวลา 9-12 ชั่วโมง 3.45 1.4 การฝึกอบรม ระยะเวลา 16 ชั่วโมงขึ้นไป 3.45 1.5 การฝึกอบรม ระยะเวลาน้อยกว่า 4 วัน 0.00 6) คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ส่วนใหญ่ร้อยละ 65.52 ระบุว่าหน่วยงานมีการก าหนด คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในลักษณะตามประเภท และ ระดับต าแหน่ง ตามความรู้พื้นฐานหรือการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ตามประสบการณ์ ในการท างาน ตามความจ าเป็นในการน าองค์ความรู้ไปใช้จริง และตามความรู้ความสามารถตามล าดับ (รายละเอียดดังตารางที่ 4.79)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 232 ตารางที่ 4.79 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุถึงคุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม เกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีการก าหนดคุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของ ผู้เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หรือไม่ 1.1 ไม่มี 34.48 1.2 มี (ถ้ามี ประเด็นในการพิจารณา เป็นอย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 65.52 1.2.1 ตามประเภทและระดับต าแหน่ง 30.30 1.2.2 ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ 15.15 1.2.3 ตามประสบการณ์ในการท างาน 12.12 1.2.4 ตามความรู้ความสามารถ 3.03 1.2.5 ตามความจ าเป็นในการน าองค์ความรู้ไปใช้จริง 15.15 1.2.6 ตามความรู้พื้นฐานหรือการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง 24.24 ตารางที่ 4.80 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุถึงคุณสมบัติ ความเหมาะสมหรือหลักเกณฑ์ของ วิทยากร ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติความเหมาะสมของวิทยากร/ผู้สอน หรือไม่ 1.1 ไม่มี 34.48 1.2 มี (ถ้ามี ประเด็นในการพิจารณา เป็นอย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 65.52 1.1 คุณวุฒิการศึกษา ความรู้ ความสามารถ 24.00 1.2 ประสบการณ์ในการท างานเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่สอน 30.00 1.3 ประสบการณ์ในการเป็นวิทยากรหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง 30.00 1.4 ต าแหน่งหน้าที่การงาน ต้นสังกัด 16.00 7) คุณสมบัติ ความเหมาะสมหรือหลักเกณฑ์ของวิทยากร จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติความเหมาะสมของวิทยากร/ผู้สอนใน ประเด็นมีประสบการณ์ในการท างานเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่สอน และประสบการณ์ในการเป็นวิทยากรหรือ หัวข้อที่เกี่ยวข้องสูงที่สุด (ร้อยละ 30.00) เท่ากัน รองลงมาคือ คุณสมบัติการศึกษา ความรู้ ความสามารถ (ร้อยละ 24.00) ต าแหน่งหน้าที่การงาน ต้นสังกัด (ร้อยละ 16.0) (รายละเอียดดังตารางที่ 4.80) 8) การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การจัดหาสื่อวัสดุอุปกรณ์และเอกสารความรู้หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ศักยภาพและ ความพร้อมในด้านการจัดสรรงบประมาณ ของหน่วยงานในหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ส่วนใหญ่ระบุว่าหน่วยงานไม่มีการ จัดสรรงบประมาณสนับสนุนเป็นการเฉพาะ แต่หน่วยงานมีการจัดหาสื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัด ฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่เพียงพอ หน่วยงานมีเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัด ฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาสูงที่สุด (ร้อยละ 48.28) ในกลุ่มนี้ยังระบุต่อไปอีกว่าเอกสารความรู้


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 233 หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่มีอยู่ควรจะได้รับการปรับปรุงด้าน เนื้อหาสาระ กิจกรรม คู่มือ มาตรฐานการจัดฝึกอบรม เทคนิค/วิธีการสอน คู่มือการจัดหาวิทยากร/สมุด รายชื่อวิทยากร และแบบประเมินกิจกรรมการจัดการฝึกอบรม (รายละเอียดดังตารางที่ 4.81) ตารางที่ 4.81 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุถึงการจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การจัดหาสื่อวัสดุ อุปกรณ์และเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัจจัยน าเข้า (Input) ร้อยละ 1. หน่วยงานมีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการจัดการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เป็นการเฉพาะ ในลักษณะ 1.1 ไม่มีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเป็นการเฉพาะ 55.17 1.2 เป็นการจัดสรรร่วมกับหลักสูตร/กิจกรรมอื่นของหน่วยงาน 10.30 1.3 มี การจัดสรรงบประมาณเป็นการเฉพาะ 34.50 2. หน่วยงานได้มีการจัดหาสื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หรือไม่ 2.1 ไม่มี 48.28 2.2 มี (ถ้ามี สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ดังกล่าว คิดว่าเพียงพอหรือไม่) 51.72 2.2.1 มีสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่ไม่เพียงพอ 26.67 2.2.2 มีสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ที่เพียงพอ 77.33 3. หน่วยงานมีเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 3.1 ไม่มี 48.28 3.2 มี (ถ้ามี เอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดการเรียนรู้ที่มีอยู่ควรได้รับการปรับปรุง อย่างไร) (ตอบได้มากกว่า 1 ข้อ) 51.72 3.2.1 เนื้อหาสาระ 18.75 3.2.2 กิจกรรม 18.75 3.2.3 แผนการสอน 9.38 3.2.4 เทคนิค/วิธีการสอน 15.63 3.2.5 คู่มือการจัดหาวิทยากร/สมุดรายชื่อวิทยากร 12.50 3.2.6 แบบประเมินผลการจัดการฝึกอบรม 6.25 3.2.7 คู่มือ มาตรฐานการจัดฝึกอบรม 18.75 4.6.1.2 ผลการประเมินกระบวนการ (Process) ในประเด็นด้านกระบวนการ (Process) ที่บ่งชี้ถึงความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ จะพิจารณาจากการรับรู้ของผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จากข้อค าถามที่ถามว่า “ท่านคิดว่าการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานของท่านได้ผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด” ซึ่งมีค่าคะแนนของค าตอบ ตั้งแต่ 0-10 คะแนน ซึ่งผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ได้ระบุว่า ได้ค่าคะแนน 7.48


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 234 ตารางที่ 4.82 ระดับของค่าเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงระดับความส าเร็จของการน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลง สู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ จ าแนกตาม ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร (คะแนนเต็ม 10) กระบวนการ (Process) คะแนนเฉลี่ย การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษาได้ผลสัมฤทธิ์ 7.48 การติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่ระบุ ว่าหน่วยงานมีการวัดประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้รับการฝึกอบรมทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรมทุกครั้ง รวมถึงมีการประเมินผลความพึงพอใจหลังการฝึกอบรมทุกครั้ง (ร้อยละ 31.0) (ร้อยละ 62.1) ตามล าดับ ลักษณะของการติดตามและประเมินผลผู้เข้ารับการฝึกอบรม พบว่า หลักสูตรใช้แบบประเมินการติดตาม ประเมินผลเป็นส่วนใหญ่ (ร้อยละ 75.0) จะมีบ้างที่มีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หรือผ่านเทคโนโลยีทางการ สื่อสารอื่น ๆ หรือมีการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) (ดังตารางที่ 4.83) ตารางที่ 4.83 ร้อยละของผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ระบุถึงการติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมตาม หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา กระบวนการ (Process) ร้อยละ 1. ในการฝึกอบรหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หน่วยงานมีการวัดประเมินความรู้ความเข้าใจของผู้รับการฝึกอบรม ทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรม หรือไม่ 1.1 ไม่มี 48.28 1.2 มี ทุกครั้ง 31.03 1.3 มี เป็นบางครั้ง 20.69 2. ในการฝึกอบรหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หน่วยงานมีการประเมินผลความพึงพอใจหลังการฝึกอบรมหรือไม่ 2.1 ไม่มี 20.69 2.2 มี ทุกครั้ง 62.07 2.3 มี เป็นบางครั้ง 17.24 3. หน่วยงานไม่มีการติดตามประเมินผล ผู้เข้ารับการฝึกอบรม 68.97 หน่วยงานได้มีการติดตามประเมินผล ผู้เข้ารับการฝึกอบรม ในลักษณะ 31.03 3.1 ใช้แบบประเมินการติดตามประเมินผล 75.00 3.2 ใช้การสัมภาษณ์ในรูปแบบการสนทนากลุ่ม (Focus Group) 0.00 3.3 มีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์หรือผ่านเทคโนโลยีทางการสื่อสารอื่น ๆ 16.67 3.4 มีการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับผู้ผ่านการฝึกอบรม 8.33 4.6.1.3 ผลการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) ในประเด็นด้านผลลัพธ์ (Outcome) ที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน มีองค์ประกอบในการประเมินอยู่ 4 ด้าน กล่าวคือ ด้านความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร ด้านค่านิยมสุจริตของประชาชน ด้านทัศนคติต่อการทุจริต และประพฤติมิชอบ และด้านพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งความคิดเห็นและ


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 235 ความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงาน ซึ่งคณะผู้วิจัยจะได้น าเสนอในแต่ละ ประเด็นดังต่อไปนี้ วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต ทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาชน จากผลการประเมินวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบของประชาชน พบว่า คะแนนเฉลี่ยของหน่วยงานที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน ของหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (ค่าคะแนนเฉลี่ย 88.45) ในภาพรวม เมื่อพิจารณารายหลักสูตร พบว่า หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) มีคะแนนวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชนที่มากที่สุด คือ องค์ประกอบที่ 3 “ทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 92.41) องค์ประกอบที่ 2 “ค่านิยมสุจริตของ ประชาชน” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 90.93) องค์ประกอบที่ 1 “ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร” (ค่าคะแนน เฉลี่ย 88.85) องค์ประกอบที่ 4 “พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 81.60) (รายละเอียดดังตารางที่ 4.84) ตารางที่ 4.84 คะแนนเฉลี่ยของหน่วยงานที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน (หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต)) จ าแนกตามองค์ประกอบ ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนนเฉลี่ย องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร 88.85 องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริตของประชาชน 90.93 องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ 92.41 องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 81.60 รวมคะแนนตามองค์ประกอบ 88.45


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 236 แผนภาพที่ 4.16 คะแนนเฉลี่ยของหน่วยงานที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน (หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต)) จ าแนกตามองค์ประกอบ ความพึงพอใจต่อหลักสูตร จากผลการประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้ในหน่วยงาน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) สะท้อนให้เห็นว่า มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาในระดับ 8 ขึ้นไป จากคะแนนเต็ม 10 (รายละเอียดดังตารางที่ 4.85) ตารางที่ 4.85 ระดับของค่าเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงระดับความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้จ าแนก ตามผู้ก ากับดูแลหลักสูตร ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนนเฉลี่ย มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 8.03 4.6.2 ร้อยละของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อพิจารณาน าค่าคะแนนผลลัพธ์ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งมี ข้อค าถามสอดคล้องกับเครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัดแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผลการประเมินพบว่า ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ถือว่าเป็นผู้มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (โดยพิจารณาเฉพาะผู้ที่มีคะแนนเฉลี่ย 88.85 90.93 92.41 81.60 50.00 60.00 70.00 80.00 90.00 100.00 องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ความ เข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริตของ ประชาชน องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิ ชอบ


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 237 ส่วนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ย) ผลที่ได้พบว่า ร้อยละ 74.74 เป็นผู้มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมใน การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบสูงกว่าค่าเฉลี่ย ตารางที่ 4.86 คะแนนเฉลี่ยและร้อยละของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ หลักสูตร องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ ความเข้าใจใน เนื้อหาหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริตของ ประชาชน องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการ ทุจริตและ ประพฤติมิชอบ องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ รวม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละวัฒนธรรม และค่านิยมสุจริตฯ (ร้อยละของ ผู้ที่ผ่านเกณฑ์) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น า การเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อ การทุจริต) 88.85 90.93 92.41 81.60 88.45 74.74 ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่มีคะแนนเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย ถือว่าเป็นผู้ที่ผ่านเกณฑ์การมี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ดังนั้น ร้อยละของวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ มีค่าเท่ากับจ านวนผู้ผ่านการฝึกอบรมฯ ที่ผ่านเกณฑ์ หารด้วยจ านวนผู้ผ่านการฝึกอบรมทั้งหมดในหลักสูตรนั้น ๆ (สัดส่วนนี้ปรากฏในตารางที่ 4.86) สะท้อนผลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) การสะท้อนผลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) มีลักษณะเป็นค าถามปลายเปิด เป็นบทสนทนากับ Chatbot โดยมี สองข้อค าถามในบทสนทนาที่เกี่ยวข้องการด าเนินงานของหลักสูตร ประกอบไปด้วย ค าถามแรก ถามว่า “ถ้าจะท าให้หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร” และค าถามที่สองคือ “ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนอย่างไรบ้าง” จากการวิเคราะห์ข้อมูลในประเด็นทั้งสองข้อค าถาม สามารถสรุปได้ดังปรากฏ ในตารางที่ 4.87


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 238 ตารางที่ 4.87 สรุปข้อสะท้อนที่พบจากการสะท้อนผลหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ถ้าจะท าให้หลักสูตรได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนอย่างไรบ้าง o การได้รับความใส่ใจจากผู้บริหาร หัวหน้างาน และ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย รวมถึงหน่วยงานก ากับควรมีการจัด ฝึกอบรมให้ความรู้กับผู้ก ากับดูแลหลักสูตร o ท าให้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เป็นส่วนหนึ่งในตัวชี้วัด เป้าประสงค์รายบุคคล รวมถึงการสร้างการรับรู้ ทั่วทั้งองค์กร และย้ าเตือนอยู่เนือง ๆ o มีคู่มือ มาตราฐานการจัดฝึกอบรม o สื่อการสอน ที่มีความหลากหลาย เหมาะกับบุคลากร ภาครัฐ อาจจัดท าในรูปแบบอนิเมชัน อินโฟกราฟิก เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ปรับเนื้อหาวิชาให้ง่ายขึ้น o การฝึกอบรมควรปรับเนื้อหาให้กระชับ เน้นกิจกรรม ที่สนุกและแทรกเนื้อหาสาระ o การสร้างวิทยากรที่เป็นต้นแบบพฤติกรรม o การจัดการประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจให้แก่ หน่วยงานต่าง ๆ เป็นประจ าทุกปี เนื่องจากหน่วยงาน มักมีการเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบ o สื่อการสอนส าเร็จรูป อาทิ คลิป vdo สอนโดยวิทยากร ป.ป.ช. และสร้างเป็นระบบ e-learning o สนับสนุนทีมผู้ให้ความรู้จัดอบรมให้กับหน่วยงาน จัดหา วิทยากรสนับสนุน พร้อมจัดฝึกวิทยากรตัวคุณ o สนับสนุนสื่อประชาสัมพันธ์หลักสูตร o สนับสนุนงบประมาณเป็นการเฉพาะ 4.6.3 การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ ไม่ทนต่อการทุจริต) ผลสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน และผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ เพื่อสะท้อนทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต) จ านวน 15 คน ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก ประมวลได้ดังต่อไปนี้ 1. ผลการประเมินบริบท (Context) อันหมายถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรในเรื่อง จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ ผลการเรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา วิธีการฝึกอบรม ขอบเขตเนื้อหา/เนื้อหาสาระของ หลักสูตร สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล มีความสอดคล้อง เหมาะสม ครอบคลุม และถูกต้องตาม หลักการพัฒนาหลักสูตร รวมถึงภาษาที่ใช้สามารถสื่อสารให้เข้าใจและมีความชัดเจนในการน าไปสู่การปฏิบัติ และมีความสอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ท าให้ผู้ใช้หลักสูตรสามารถ ด าเนินการตามหลักสูตรเพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับตัวหลักสูตรได้อย่างเป็น รูปธรรม “การที่จะสร้างวิทยากร/แกนน า ในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงานนั้นจะต้อง ก าหนดคุณสมบัติที่สอดคล้องกับหลักสูตร ด าเนินการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องพร้อมกับท าค าสั่งแต่งตั้ง การเป็นวิทยากรเฉพาะทางด้านการต้านทุจริตศึกษา ซึ่งต้องมีการประชุมร่วมกับวิทยากรฯ เพื่อออกแบบ หลักสูตรที่เหมาะสมสอดคล้องกับวัฒนธรรม การปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงก าหนดวิธีการพัฒนา พนักงานด้วยวิธีการที่นอกเหนือจากการอบรมแบบในชั้นเรียน ต้องมีการด าเนินการตามแผนงาน และ การท าการประเมินผลในขั้นตอนสุดท้าย”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 239 2. ผลการวิเคราะห์บริบทสภาพแวดล้อมของหลักสูตรต้านทุจริต ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ประเทศ ตามแผนที่ 21 นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต สภาวการณ์ปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชัน ภายในประเทศนั้น ท าให้เกิดแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างวิทยากร/แกนน า ในการน าความรู้ที่ได้ไป ถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงานเพื่อรับใช้สังคมและทักษะที่จ าเป็นภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน “จ าเป็นต้องมีหน่วยงานซึ่งมาด าเนินการจัดท าหลักสูตรแกนกลางของทุกหน่วยงานที่บูรณาการกันได้ใน องค์รวม และควรมีหลักสูตรในการพัฒนาทักษะของวิทยากรของแต่ละหน่วยงานให้มีทักษะและความรู้ใน มาตรฐานเดียวกัน อาจมีการตั้งกลุ่มวิทยากร หรือมีการจัดแคมป์พัฒนาทักษะแบบที่จะสามารถละลาย พฤติกรรมของทุกหน่วยให้เข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” 3. ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งต้องครอบคลุมถึงการด าเนินการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของครูผู้สอน ครอบคลุมประเด็นการมีส่วนร่วม ในการปลูกฝังให้นักเรียนมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต การน าหลักสูตรไปจัดการเรียนรู้ และ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในหน่วยการเรียนรู้ แต่กลับพบว่า ประสบการณ์ของ วิทยากร/แกนน าในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน และกิจกรรมที่ใช้ในการฝึกอบรม ซึ่งควรจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะและกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลในด้านการตระหนักรู้ต่อความถูกต้อง ซื่อสัตย์สุจริตของผู้เข้ารับการอบรมนั้นยังมีน้อยมาก “ยังขาดในเรื่องนี้อยู่มาก ควรมีหลักสูตรในการพัฒนาทักษะของวิทยากรของแต่ละหน่วยงานให้มีทักษะ และความรู้ในมาตรฐานเดียวกัน อาจมีการตั้งกลุ่มวิทยากรหรือมีการจัดแคมป์พัฒนาทักษะแบบที่จะ สามารถละลายพฤติกรรมของทุกหน่วยให้เข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่กล่าวมาแล้ว” 4. การประเมินกระบวนการใช้หลักสูตร (Process) การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้เนื้อหาในหลักสูตรมีความเหมาะสมกับ บริบททางสังคม และเหมาะสมกับผู้เข้ารับการอบรม “เนื้อหามีความเหมาะสม แต่ควรก าหนดความส าคัญที่ชัดเจนว่าจะเน้นเรื่องอะไร ท าเป็น Step ไปจาก เรื่องใหญ่ที่ต้องการไปทีละเรื่องน่าจะได้ผลมากกว่า เพราะเนื้อหาครบถ้วนทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ดี แต่ท าให้ คนไม่สนใจ ควรจัดท าเป็นลักษณะของสื่อที่เข้าถึงคนในหลาย platform เช่นเป็น Clip ที่มีลักษณะเป็น Series ต่อเนื่อง กระทบใจคนน่าจะดีกว่าการอบรม” 5. การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร (Outcome) หลักสูตรการฝึกอบรม เป็นการตรวจสอบ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมในด้านความรู้ (K) เจตคติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม (A) พฤติกรรมที่พึง ประสงค์ การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของประชาชน การน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน และน าไปปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบ (B) ว่าบรรลุผลตาม จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมากน้อยเพียงใด รวมทั้งประเมินความพึงพอใจต่อหลักสูตรของ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม “ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่สามารถผ่านการประเมินประเด็นต่าง ๆ ได้และสามารถน าความรู้และทักษะ เหล่านั้นไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวันได้อย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม หลักสูตรยังคงต้องการการปรับปรุงอยู่ เพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม ดังนั้น จึงควรด าเนินการปรับปรุงหลักสูตร ให้เป็นสื่อ Online ที่สามารถเข้าถึงได้ในหลาย ๆ ช่องทาง โดยไม่ต้องจ ากัดให้อยู่ในเรื่องการอบรม


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 240 เพียงอย่างเดียว เช่นนี้แล้วการขยายฐานคิดและการปลูกฝังในเรื่องของจิตพอเพียงต้านทุจริตก็จะสามารถ บังเกิดขึ้นได้ในวงกว้างอย่างแท้จริง” “ต้องมีการติดตามประเมินผล มีการติดตามประเมินผลส าหรับนักเรียนที่จบหลักสูตรไปแล้ว หลังจากที่ไป ปฏิบัติงานได้มีการน าไปใช้อย่างไรบ้าง เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง เพื่อน ามาใช้ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา แก้ไขในจุดที่เป็นปัญหา เพื่อให้นักเรียนที่ส าเร็จการศึกษาออกไปสามารถน าไปประยุกต์ใช้กับการท างาน ได้อย่างเต็มความสามารถ” ผลการประเมินเชิงคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรมวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) มีดังนี้ 1. หลักสูตรอบรมวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ สามารถเป็นตัวขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ชาติหรือเป็นส่วนหนึ่งของการน าไปเสริมยุทธศาสตร์ชาติที่ว่าด้วยเรื่องของการป้องกันการแก้ไขปัญหาทุจริต หรือการบริหารจัดการที่ดีของภาครัฐได้ เนื่องจากเป็นหลักสูตรที่ต้องการสร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริตอันส่งผลถึงหน่วยงานต่างๆ ที่น าหลักสูตรนี้ไปใช้ในการอบรมบุคลากรแล้วจะ สามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติในประเด็นเรื่องของความพอเพียงต้านทุจริตของบุคลากรในองค์กรได้อย่าง ยั่งยืน แต่ยังมีประเด็นที่ต้องเสริมเพิ่มเติมคือควรจะต้องด าเนินการจัดท าโครงการต่าง ๆ ที่ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ขณะนี้ให้มีความต่อเนื่องสืบทอดต่อไปอีกเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่ง เพื่อให้บุคลากรทั้งหลายในองค์กร ต่าง ๆ ได้ซึมซับและได้สัมผัสกับกิจกรรมดังกล่าวได้บ่อยครั้งจนสามารถปรับทัศนคติ วัฒนธรรมองค์กร รวมถึง ความไม่ทนและความละอายต่อการทุจริตได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ทาง ป.ป.ช. อาจท าการผลิตสื่อการ อบรมที่ผู้รับการอบรมดูแล้วจะมีความเข้าใจในเรื่องราวที่กล่าวถึงในเนื้อหาของหลักสูตรได้อย่างง่าย ๆ ชัดเจน และไม่ซับซ้อนเพื่อท าให้การท าความเข้าใจในเนื้อหาของผู้เข้ารับการอบรมเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช. นี้ควรต้องได้รับการบรรจุลงในยุทธศาสตร์ประจ าปีขององค์กร โดยมีผู้บริหาร องค์กรเป็นผู้ขับเคลื่อนและมอบหมายให้ทีมผู้รับผิดชอบในการจัดการอบรมเพื่อสร้างวิทยากรให้เพียงพอและ เหมาะสมกับจ านวนบุคลากรในองค์กรที่ต้องได้รับการปลูกฝังและปรับเปลี่ยนแนวคิดให้ครอบคลุมและทั่วถึง “ทาง ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สนับสนุนในเรื่องเหล่านี้ ควรจะต้องด าเนินการจัดท าโครงการต่าง ๆ ที่ได้ เริ่มต้นขึ้น ณ ขณะนี้ ให้มีความต่อเนื่องสืบทอดต่อไปอีกเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่ง เพื่อให้บุคลากร ทั้งหลายในองค์กรต่าง ๆ ได้ซึมซับและได้สัมผัสกับกิจกรรมดังกล่าวได้บ่อยครั้งจนสามารถปรับทัศนคติ วัฒนธรรมองค์กร รวมถึงความไม่ทนและความละอายต่อการทุจริต ได้อย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ทาง ป.ป.ช. อาจท าการผลิตสื่อการอบรมที่ผู้รับการอบรมดูแล้วจะมีความเข้าใจในเรื่องราวที่กล่าวถึงในเนื้อหา ของหลักสูตรได้อย่างง่าย ๆ ชัดเจนและไม่ซับซ้อน” “หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช. นี้ควรต้องได้รับการบรรจุลงในยุทธศาสตร์ประจ าปีขององค์กร โดยมีผู้บริหาร องค์กรเป็นผู้ขับเคลื่อน และมอบหมายให้ทีมผู้รับผิดชอบในการจัดการอบรมเพื่อสร้างวิทยากรให้เพียงพอ และเหมาะสมกับจ านวนบุคลากรในองค์กรที่ต้องได้รับการปลูกฝังและปรับเปลี่ยนแนวคิดให้ครอบคลุม และทั่วถึง” “เนื่องจากองค์ประกอบของการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันนั้นไม่สามารถใช้เพียงแค่หลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาเพียงอย่างเดียวได้ ยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ อีกมากมายที่จะต้องท า เช่น เครือข่ายการเฝ้า ระวังที่เข้มแข็งมากกว่าที่เป็นอยู่นี้ สื่อรณรงค์หรือการส่งเสริมภาพลักษณ์เรื่องความสุจริต เรื่องของ กฎหมายที่ต้องเด็ดขาดเพื่อให้เห็นแบบอย่างที่ชัดเจน ต้องดีหรือเอาจริงเอาจังมากกว่าที่เป็นอยู่ขณะนี้”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 241 2. หลักสูตรอบรมวิทยากร ป.ป.ช. ที่มุ่งเน้นไปในเรื่องของการพัฒนาวิทยากรนี้ บางหน่วยงานก็ ประสบความส าเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งการอบรมรูปแบบ onsite จะท าให้สามารถสร้างเครือข่ายของกลุ่มผู้เข้า อบรมซึ่งต่อไปก็จะได้รับหน้าที่เป็นวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงและจะได้มีช่องทางในการพบปะ แลกเปลี่ยน เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ต่าง ๆ อันจะท าให้การสื่อสารและการปลูกฝังจิตส านึกต้านทุจริตเป็นไปได้อย่าง เป็นรูปธรรมและประสบความส าเร็จได้ในที่สุด แต่ที่ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจนก็มีในบางหน่วยงานที่คิดว่าหลักสูตร อบรมวิทยากรฯ ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานในองค์กร ประเด็นปัญหาที่เป็นอุปสรรคที่ส าคัญ คือ เรื่องของงบประมาณที่ยังขาดการสนับสนุนให้เพียงพอต่อการด าเนินการและเรื่องของการขยายความหมาย ต่าง ๆ ของเนื้อหาในหลักสูตรออกมาเพื่อความกระจ่างและเข้าใจให้แก่ผู้เรียนอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม ส าหรับการฝึกปฏิบัติและการปรับฐานความคิดในเรื่องของการต้านทุจริต (ในตัวหลักสูตรเองได้กล่าวอธิบาย เนื้อหาค่อนข้างเป็นนามธรรม) ซึ่งการอนุมัติงบประมาณเพิ่มขึ้นจะสามารถแต่งตั้งทีมจัดท าคู่มือแผนการสอนที่ ละเอียดขึ้นพร้อมกับมีตัวอย่างประกอบให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งต้องท าแผนการอบรมให้แก่บุคลากรให้ทั่วถึง มากยิ่งขึ้นและจะได้จัดท าสถิติบันทึกรายชื่อ จ านวนของผู้ผ่านการฝึกอบรม เพื่อให้ได้มีข้อมูลวิทยากรของ องค์กรที่ชัดเจนได้ “เนื่องจากได้รับนโยบายมาจากผู้บริหารและระบุถึงความส าคัญในเรื่องนี้ในระดับสูง ซึ่งทางสถาบัน พัฒนาบุคลากรของกระทรวงฯ ในกลุ่มงานพัฒนาทรัพยากรบุคคลได้ด าเนินการฝึกอบรม” “ส าหรับผู้เข้ารับการอบรมจะเป็นบุคลากรในกลุ่มงานคุ้มครองจริยธรรมรวมถึงบุคลากรที่มีภารกิจ เกี่ยวข้องกับการป้องกันการทุจริตเป็นส าคัญ ซึ่งการอบรมรูปแบบนี้จะท าให้สามารถสร้างเครือข่ายของ กลุ่มผู้เข้าอบรมซึ่งต่อไปก็จะได้รับหน้าที่เป็นวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลง และจะได้มีช่องทางในการ พบปะ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ต่าง ๆ อันจะท าให้การสื่อสารและการปลูกฝังจิตส านึก ต้านทุจริตเป็นไปได้อย่างเป็นรูปธรรมและประสบความส าเร็จได้ในที่สุด” “หลักสูตรอบรมวิทยากร ป.ป.ช. ที่มุ่งเน้นไปในเรื่องของการพัฒนาวิทยากรนี้ ยังไม่เห็นผลที่ชัดเจน ในหน่วยงานนี้ ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานในองค์กร เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการเองมีการ แบ่งส่วนราชการออกเป็นหลายหน่วยงานหลัก ซึ่งท าให้การด าเนินการอบรมวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ ของบางหน่วยงานอาจขาดตกไป ท าให้ผลการน าไปใช้ยังไม่เป็นที่น่าพอใจเท่าที่ควร” “การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษามาใช้ในหน่วยงานนี้ประสบผลส าเร็จมาก ๆ ไม่มีอุปสรรคใด ๆ เลย โดยเห็นได้ชัดเจนจากการที่พนักงานในองค์กรมีความตรงต่อเวลามากขึ้น มีความยับยั้งชั่งใจในเรื่องของ การกระท าที่ไม่ถูกต้อง” 3. ปัจจัยที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ให้ประสบความส าเร็จ การที่ ผู้เข้าอบรมจะสามารถน าความรู้ที่ได้นี้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงในองค์กรและในชีวิตประจ าวันนั้นมันต้องเกิดจากตัว ผู้เข้าอบรมได้เข้าใจถึงความรู้และสามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตน ส่วนรวมได้โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้ ระยะเวลายาวนานในการตัดสินผิดถูกชั่วดีและต้องสามารถประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีและถูกต้องใน องค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ปัจจัยส าคัญในช่วงเริ่มต้นนี้น่าจะเป็นเรื่องของการประเมินผลการประพฤติ ปฏิบัติตนของผู้ผ่านการอบรมในระยะหลังจากการฝึกอบรมผ่านไปแล้วเป็นระยะ ๆ จึงจะสามารถท าให้การน า หลักสูตรอบรมนี้ไปใช้ให้ประสบความส าเร็จและยั่งยืนได้ในอนาคต และการสร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลง ให้กระจายไปในหน่วยงานย่อย ๆ ขององค์กรอย่างเพียงพอก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้การน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ให้ประสบความส าเร็จได้นอกจากนี้ยังอาจมีปัจจัยอื่น ๆ เพิ่มเติมเข้าไปอีก เช่น นโยบายของรัฐ ผู้น าองค์กรและการประชาสัมพันธ์ เป็นต้น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 242 “การที่ผู้เข้าอบรมจะสามารถน าความรู้ที่ได้นี้ไปประยุกต์ใช้ได้จริงในองค์กรและในชีวิตประจ าวันนั้น มันต้องเกิดจากตัวผู้เข้าอบรมได้เข้าใจถึงความรู้และสามารถแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตน ส่วนรวมได้ โดยอัตโนมัติ ไม่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการตัดสินผิดถูก ชั่วดี และต้องสามารถประพฤติตนให้เป็น แบบอย่างที่ดีและถูกต้องในองค์กรได้อย่างเป็นรูปธรรม” “นอกจากนี้ การสร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงให้กระจายไปในหน่วยงานย่อย ๆ ขององค์กรอย่าง เพียงพอ ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ให้ประสบ ความส าเร็จได้” “ตัวผู้ที่เป็นวิทยากร (ผู้สอน ผู้บรรยาย) และผู้ที่เข้ารับการอบรม งบประมาณ รวมถึงกระบวนการใน การขับเคลื่อน ผู้บริหารของหน่วยงานต้องให้ความส าคัญมาก ๆ จึงจะสามารถท าให้การน าหลักสูตร อบรมนี้ประสบความส าเร็จได้” “ปัจจัยที่ส าคัญคือ 1. นโยบายของรัฐบาลต้องเอาจริงเอาจังกับเรื่องการท าทุจริตนี้ 2. ผู้น าองค์กรหรือ ผู้บริหารระดับสูงต้องแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างและต้องกวดขันเอาจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ต้องท าให้เห็นเป็น ตัวอย่างเป็นแบบอย่างที่ดี 3. การประชาสัมพันธ์ของส านักงาน ป.ป.ช. จ าเป็นที่จะต้องประชาสัมพันธ์ ไปในทุกหน่วยงานถึงเรื่องของมาตรการเรื่องบทลงโทษ เรื่องกรณีศึกษาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใหม่ๆ เพื่อให้ ข้าราชการทุกหน่วยงานได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง” 4. ข้อเสนอแนะที่ต้องการการสนับสนุนจากส านักงาน ป.ป.ช. ในการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษามีหลายประการ เช่น การจัดการประชุมสัมมนาเฉพาะกลุ่มผู้ควบคุมดูแลหลักสูตรเพื่อการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ เรื่องของระยะเวลาที่ใช้ในการอบรม เรื่องงบประมาณ และเรื่องการส่งหนังเชิญที่กระชั้นชิดเกินไป เป็นต้น “น่าจะต้องมีการจัดประชุมสัมมนาเฉพาะในกลุ่มผู้ควบคุมดูแลหลักสูตรอบรมทั้ง 3 หลักสูตรนี้เพื่อใช้ เป็นเวทีให้ความรู้ในเรื่องการจัดการอบรมเกี่ยวกับเนื้อหาการต้านทุจริต การจัดรูปแบบการอบรม การจัดกิจกรรมการอบรม รวมถึงการก าหนดงบประมาณที่สมเหตุสมผลส าหรับการจัดการอบรม เพื่อให้ผู้ควบคุมดูแลหลักสูตรได้มีความเข้าใจและมีความสามารถในการด าเนินการจัดการอบรมให้มี ประสิทธิภาพและประสบความส าเร็จได้อย่างสมบูรณ์ และที่ส าคัญที่สุดคือ จะได้มีโอกาสสร้างเครือข่าย ระหว่างผู้ควบคุมดูแลหลักสูตรอบรมที่มีอยู่ให้สามารถสื่อสาร ติดต่อ ปรึกษาหารือ และพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกันได้ต่อไป” “วิทยากรได้บรรยายได้อย่างครอบคลุมแล้วแต่เวลาอาจจะน้อยไปหน่อย และเราไม่สามารถที่จะอบรม ให้กับข้าราชการทุกคนได้ยกเว้นพนักงานใหม่ที่ต้องบังคับให้เข้ารับการอบรม” “ทางส านักงาน ป.ป.ช. ควรต้องมีการสนับสนุนในเรื่องของงบประมาณให้แก่ศูนย์คุณธรรมอย่าง เพียงพอในทุก ๆ ปี เนื่องจากเท่าที่เป็นอยู่นี้งบประมาณได้ถูกลดทอนลงทุกปี” “การส่งหนังสือเชิญเข้ารับการอบรมมักจะส่งอย่างกระชั้นชิดมาก ๆ ท าให้ทางองค์กรไม่สามารถจัด ตารางให้แก่บุคลากรที่จะเข้ารับการอบรมได้อย่างราบรื่น” 5. หลักสูตรนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นหลักสูตรที่มีประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพ และสร้างจิตส านึกที่ดี สามารถแยกแยะสุจริต ทุจริต ดี ชั่ว ของผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม สามารถสร้างวัฒนธรรมการไม่ทนต่อการทุจริต ขึ้นมาได้ในองค์กร แต่ยังเป็นหลักสูตรที่สามารถสร้างหรือผลิตบุคลากรที่จะไปเป็นวิทยากรที่มีความมุ่งมั่นใน เรื่องของการปราบปรามการต้านทุจริต และมีหลักการในการปรับฐานความคิดของผู้อื่นให้ทันสมัย ทันต่อ สังคมดิจิทัล ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องของความกตัญญู เพื่อให้เกิดเป็นคนที่มี จิตพอเพียงและต้านทุจิตได้อย่างเป็นรูปธรรม แต่ ณ ปัจจุบันยังพบว่า ผู้คนหลายกลุ่มหลายระดับก็ยังไม่ได้มี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 243 การรับรู้ถึงเรื่องของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเหล่านี้ ดังนั้น ทางส านักงาน ป.ป.ช. จึงควรเร่งด าเนินการ ประชาสัมพันธ์หลักสูตรให้มากขึ้นในกลุ่มคนทุกระดับ ทุกกลุ่มคน ให้ครอบคลุมครบถ้วน เพื่อผู้คนทั้งหลายจะ ได้ตื่นตัวและให้ความสนใจ ให้ความส าคัญกับเรื่องเหล่านี้ อันจะส่งผลท าให้สังคมของประเทศไทยได้ เปลี่ยนแปลงไปเป็นสังคมของผู้คนที่มีจิตพอเพียงต้านทุจริต และเป็นสังคมที่ไม่ทนและละอายต่อการทุจริต ได้ในที่สุด “หลักสูตรนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นหลักสูตรที่มีประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพ และสร้างจิตส านึกที่ดี สามารถแยกแยะสุจริต ทุจริต ดี ชั่ว แต่ยังเป็นหลักสูตรที่สามารถสร้างหรือผลิตบุคลากรที่จะไปเป็น วิทยากรที่มี inner ในเรื่องของการปราบปรามการต้านทุจริต และมีหลักการในการปรับฐานความคิด ของผู้อื่นให้ทันสมัย ทันต่อสังคมดิจิทัล ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องของ ความกตัญญู เพื่อให้เกิดเป็นคนที่มีจิตพอเพียงและต้านทุจริตได้อย่างเป็นรูปธรรม” “ไม่เพียงแต่จะเป็นหลักสูตรที่มีประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพ และสร้างจิตส านึกที่ดี สามารถแยกแยะ ความสุจริต ความทุจริต ของผู้คนได้อย่างดีแล้ว ยังสามารถสร้างวัฒนธรรมที่ไม่ทนต่อการทุจริตขึ้นมา ได้ในองค์กร” “ผู้คนที่ได้รับการอบรมหรือได้รับการปลูกฝังลักษณะนิสัยที่มีความพอเพียง รักความสุจริตและไม่ทนต่อ การทุจริต มีระเบียบวินัย เป็นคนที่ตรงต่อเวลา รู้ผิดชอบชั่วดี นับได้ว่าเป็นผู้ที่มีประกายความดีอยู่ใน ตนเอง” 6. เมื่อหลักสูตรนี้ได้มีการใช้ในกลุ่มคนทั้งหมดในประเทศและประสบความส าเร็จแล้ว สังคมที่จะ เกิดขึ้นก็จะเป็นสังคมที่ดีมาก ๆ มีแต่ความโอบอ้อมอารีย์ต่อกัน มีการแบ่งปันกัน ไม่แก่งแย่งชิงดีกัน ไม่มีการ ทุจริต จะเป็นสังคมที่น่าอยู่มาก ๆ จะมีความปลอดภัยสูง จะมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีทั้งความชัดเจน โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง และไม่ทนต่อการทุจริต รวมถึงการอยู่กันอย่างพอเพียง ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ชิงดี ชิงเด่นกัน สังคมสงบสุข ไม่มีโจรผู้ร้าย การใช้ชีวิตจะมีความสุขมาก ๆ ปัจจัย 4 จะมีครบถ้วนแบบไม่ขาดแคลน องค์กรต่าง ๆ ก็จะมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีทั้งความชัดเจน โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง และไม่ทนต่อการทุจริต “สังคมที่จะเกิดขึ้นก็จะเป็นสังคมที่ดีมากๆ มีแต่ความโอบอ้อมอารีย์ต่อกัน มีการแบ่งปันกัน ไม่แก่งแย่ง ชิงดีกัน ไม่มีการทุจริต จะเป็นสังคมที่น่าอยู่มาก ๆ จะมีความปลอดภัยสูง จะมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีทั้ง ความชัดเจน โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง และไม่ทนต่อการทุจริต รวมถึงการอยู่กันอย่างพอเพียง ไม่เบียดเบียนกัน ไม่ชิงดีชิงเด่นกัน สังคมสงบสุข ไม่มีโจร ผู้ร้าย” “เราก็จะเห็นสังคมที่ดีมาก ๆ น่าอยู่มาก ๆ เด็กๆ จะมีความปลอดภัยสูง การใช้ชีวิตจะมีความสุขมาก ๆ ปัจจัย 4 จะมีครบถ้วนแบบไม่ขาดแคลน องค์กรต่าง ๆ ก็จะมีวัฒนธรรมองค์กรที่มีทั้งความชัดเจน โปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่คดโกง และไม่ทนต่อการทุจริต” “สังคมก็จะเปลี่ยนไปเป็นแบบที่ทุกคนจะต้องมีส่วนร่วม สามารถตรวจสอบการท างานในองค์กรต่าง ๆ ได้ในทุกขั้นตอนของภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคเอกชนต่าง ๆ บุคลากรก็สามารถท างานได้อย่างสบาย ใจอย่างตรงไปตรงมา”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 244 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 245 4.7 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ ซึ่งประเมินโดยผู้ผ่านการฝึกอบรม จ านวนรวม 423 คน จาก 1 หน่วยงาน ผลการประเมินพบว่า ผลสัมฤทธิ์การ น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (ระดับ A) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 81.59 คะแนน และเมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ จ าแนกตามองค์ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบ คือ ปัจจัยน าเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ ผลที่ได้มีดังนี้ ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) ซึ่งประเมินโดยผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จ านวน 1 หน่วยงาน ค่าคะแนนปัจจัยน าเข้าของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยรวมมีค่าคะแนนเท่ากับ 6.88 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) ผลการประเมินกระบวนการ (Process) ซึ่งประเมินผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จ านวน 1 หน่วยงาน ค่าคะแนนกระบวนการของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยรวมมีค่าคะแนนเท่ากับ 21.67 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน) ผลการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) ซึ่งแยกเป็น 2 ส่วน คือ 1) ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม และ 2) ความพึงพอใจต่อหลักสูตร ผลการประเมินดังที่ปรากฏในตารางที่ 4.88 แสดงให้เห็นว่า ความรู้ เจตคติและ พฤติกรรม ของผู้เข้ารับการอบรมในหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) (ซึ่งประเมินโดยผู้เข้ารับการ อบรม จ านวน 423 คน) โดยรวมมีค่าคะแนนเท่ากับ 39.55 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน) ในขณะที่ ความพึงพอใจต่อหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ของผู้ก ากับหลักสูตร และผู้เข้ารับการอบรม โดยรวมมีค่าคะแนนความพึงพอใจต่อหลักสูตร 13.49 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 15 คะแนน) ตารางที่ 4.88 คะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ หน่วยงาน จ านวน ผู้ผ่านการ ฝึกอบรมที่ ประเมิน ปัจจัยน าเข้า (Input) (10 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) กระบวนการ (Process) (25 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนน รวม ผลสัมฤทธิ์ (100 คะแนน) ระดับ การ แปล ความ หมาย ความรู้ วัฒนธรรมและ ค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรมฯ (50 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนักแล้ว) ความพึงพอใจ ต่อหลักสูตร (15 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) โค้ช/กรรมการ/สมาชิก ชมรม STRONGจิตพอเพียงต้านทุจริต และผู้ก ากับดูแล หลักสูตร 423 6.88 21.67 39.55 13.49 81.59 A ดี มาก


Click to View FlipBook Version