The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจำปี 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by paporn, 2023-02-14 23:54:06

รวมเล่ม รายงานติดตามผลสัมฤทธิ์ฯ2565

โครงการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การนำหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประจำปี 2565

รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 246 4.7.1 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ จ าแนก ตามแต่ละประเด็นในแต่ละองค์ประกอบ 4.7.1.1 ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า จะพิจารณา 16 ประเด็น แต่ละประเด็นมีผลการ ประเมินเป็นดังนี้ 1) ศักยภาพและความพร้อมของระบบสนับสนุนในการน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิด ต้านทุจริต) ไปใช้ จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรรู้จักหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา อีกทั้งยังทราบ เจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต การเสริมสร้างพฤติกรรมที่ไม่ทนต่อการทุจริต การยกระดับ CPI ของประเทศไทย และการขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นที่รับรู้ในสัดส่วนพอ ๆ กัน 2) ระดับการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร จากการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ช มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในด้านการร่วมรับรู้ ร่วมร่างหลักสูตร และร่วมคิดแลกเปลี่ยน ความเห็น แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการก ากับติดตามและร่วมประเมินผลการใช้หลักสูตร 3) การเข้าร่วมรับฟังการประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตร ผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแล หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) เคยเข้าร่วมรับฟังการชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่จัด โดยส านักงาน ป.ป.ช. ซึ่งการประชุมชี้แจงมีความชัดเจนเพียงพอต่อการน าหลักสูตรไปใช้ในหน่วยงาน 4) การก าหนดผู้รับผิดชอบและการจัดท าแผนการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ชได้รับการเตรียมการเป็นผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อ การรู้คิดต้านทุจริต) โดยการสอนงาน และหน่วยงานส่งไปอบรม และหน่วยงานไม่มีการจัดท าแผนการฝึกอบรม ของหลักสูตรต้านทุริตศึกษา 5) รูปแบบการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับ หลักสูตรส่วนใหญ่ของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ระบุว่ามีรูปแบบการฝึกอบรมในลักษณะการ จัดฝึกอบรม ระยะเวลาน้อยกว่า 4 วัน 6) คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ระบุว่าหน่วยงานมีการ ก าหนดคุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ตามหน้าที่ความรับผิดชอบ ตามความรู้ความสามารถ และตามความจ าเป็นในการน าองค์ความรู้ไปใช้จริง ตามล าดับ 7) คุณสมบัติ ความเหมาะสมหรือหลักเกณฑ์ของวิทยากร จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) เห็นว่าหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคุณสมบัติความ เหมาะสมของวิทยากร/ผู้สอนในประเด็นมีประสบการณ์ในการท างานเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่สอน และ ประสบการณ์ในการเป็นวิทยากรหรือหัวข้อที่เกี่ยวข้อง (ร้อยละ 50.0) เท่ากัน 8) การจัดงบประมาณสนับสนุน การจัดหาสื่อวัสดุอุปกรณ์และเอกสารความรู้หนังสือ ต ารา หรือคู่มือการจัดการฝึกอบรมตามหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) จากผลการประเมิน พบว่า ศักยภาพและความพร้อมในด้านการจัดสรรงบประมาณของหน่วยงานในหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิด ต้านทุจริต) ระบุว่าหน่วยงานไม่มีการจัดสรรงบประมาณสนับสนุนเป็นการเฉพาะ และไม่มีการจัดหาสื่อ วัสดุ และอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา แต่มีเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา หรือ คู่มือการจัดฝึกอบรมตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 247 4.7.1.2 ผลการประเมินกระบวนการ (Process) ในประเด็นด้านกระบวนการ (Process) ที่บ่งชี้ถึงความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ จะพิจารณาจากการรับรู้ของผู้ก ากับดูแลหลักสูตร จากข้อค าถามที่ถามว่า “ท่านคิดว่าการน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานของท่านได้ผลสัมฤทธิ์มากน้อยเพียงใด” มีค่าคะแนนของค าตอบ ตั้งแต่ 0-10 คะแนน ซึ่งผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ได้ระบุว่า ได้ค่าคะแนนเต็ม 10 การติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) จากผล การติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พบว่า หน่วยงานมีการวัดประเมินความรู้ ความเข้าใจของผู้รับการฝึกอบรมทั้งก่อนและหลังการฝึกอบรม เป็นบางครั้ง และมีการประเมินผลความพึง พอใจหลังการฝึกอบรมเป็นบางครั้ง รวมถึงการติดตามและประเมินผลผู้เข้ารับการฝึกอบรม ผู้ก ากับดูแล หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยใช้แบบประเมินการติดตามประเมินผลเป็น 4.7.1.3 ผลการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) ในประเด็นด้านผลลัพธ์ (Outcome) ที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน มีองค์ประกอบในการประเมินอยู่ 4 ด้าน กล่าวคือ ด้านความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร ด้านค่านิยมสุจริตของประชาชน ด้านทัศนคติต่อการทุจริต และประพฤติมิชอบ และด้านพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ รวมทั้งความคิดเห็นและ ความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงาน ซึ่งคณะผู้วิจัยจะได้น าเสนอในแต่ละ ประเด็นดังต่อไปนี้ วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต ทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาชน จากผลการประเมิน พบว่า ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) มีคะแนนเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาชนของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) มีเท่ากับ 79.10 เมื่อจ าแนกตาม องค์ประกอบ พบว่า องค์ประกอบที่ 3 “ทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ” ค่าคะแนนเฉลี่ยสูงสุด คือ 92.87 รองลงมาคือ องค์ประกอบที่ 2 “ค่านิยมสุจริตของประชาชน” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 88.51) องค์ประกอบที่ 4 “พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 82.03) องค์ประกอบที่ 1 “ความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร” (ค่าคะแนนเฉลี่ย 52.99) (รายละเอียดดังตารางที่ 4.89 และแผนภาพที่ 4.17) ตารางที่ 4.89 คะแนนเฉลี่ยของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน จ าแนกตาม องค์ประกอบ ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนนเฉลี่ย องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร 52.99 องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริตของประชาชน 88.51 องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ 92.87 องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 82.03 รวมคะแนนตามองค์ประกอบ 79.10


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 248 แผนภาพที่ 4.17 คะแนนเฉลี่ยของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่บ่งชี้ถึง วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน จ าแนกตามองค์ประกอบ ความพึงพอใจต่อหลักสูตร จากผลการประเมินความคิดเห็นและความพึงพอใจเกี่ยวกับการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้ในหน่วยงาน พบว่า ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรสะท้อนให้เห็นว่า มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ในระดับคะแนนเต็ม 10 4.7.2 ร้อยละของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่มีวัฒนธรรมค่านิยม สุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ เมื่อพิจารณาน าค่าคะแนนผลลัพธ์ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งมี ข้อค าถามสอดคล้องกับเครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัดแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผลการประเมินพบว่า ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่ถือว่าเป็นผู้มี วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (โดยพิจารณา เฉพาะผู้ที่มีคะแนนเฉลี่ยส่วนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ย) ผลที่ได้พบว่า ร้อยละ 61.2 เป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบสูงกว่าค่าเฉลี่ย 52.99 88.51 92.87 82.03 0.00 20.00 40.00 60.00 80.00 100.00 องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ความ เข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริต ของประชาชน องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมใน การต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบ


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 249 ตารางที่ 4.90 คะแนนเฉลี่ยและร้อยละของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่บ่งชี้ ถึงวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ หลักสูตร องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ ความเข้าใจใน เนื้อหาหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริตของ ประชาชน องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อ การทุจริตและ ประพฤติมิชอบ องค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ รวม คะแนน เฉลี่ย ร้อยละวัฒนธรรม และค่านิยมสุจริตฯ (ร้อยละของผู้ที่ ผ่านเกณฑ์) โค้ช/กรรมการ/ สมาชิก ชมรม STRONGจิตพอเพียง ต้านทุจริต และ ผู้ก ากับดูแล หลักสูตร 52.99 88.51 92.87 82.03 79.1 61.23 ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่มีคะแนนเฉลี่ยที่บ่งชี้ถึงวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบสูงเกินกว่าค่าเฉลี่ย ถือว่า เป็นผู้ที่ผ่านเกณฑ์การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบ ดังนั้น ร้อยละของวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ มีค่าเท่ากับจ านวนผู้ผ่านการฝึกอบรมฯ ที่ผ่านเกณฑ์ หารด้วยจ านวนผู้ผ่านการฝึกอบรม ทั้งหมดในหลักสูตรนั้น ๆ (สัดส่วนนี้ปรากฏในตารางที่ 4.90) สะท้อนผลหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) จากการวิเคราะห์ข้อมูล ส่วนของการสะท้อนผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งเป็นลักษณะของค าถาม ปลายเปิด เป็นบทสนทนากับ Chatbot โดยในการสะท้อนผลหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อ การรู้คิดต้านทุจริต) จะมีสองค าถามด้วยกันในบทสนทนา ที่เกี่ยวข้องกับการด าเนินงานของหลักสูตร ประกอบ ไปด้วย ค าถามแรก ถามว่า “ถ้าจะท าให้หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ได้ผลมากกว่านี้จะต้อง ปรับอะไร” และต่อด้วยค าถามที่สองว่า “ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนการท างานของท่านในการ ท าหน้าที่เป็นโค้ชอย่างไรบ้าง” สามารถสรุปข้อสะท้อน ได้ดังปรากฏในตารางที่ 4.91 ตารางที่ 4.91 สรุปข้อสะท้อนที่พบจากการสะท้อนผลหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ถ้าจะท าให้หลักสูตรได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนการท างานของท่าน ในการท าหน้าที่เป็นโค้ชอย่างไรบ้าง o การเพิ่มสมาชิกที่มีความตั้งใจ มีทัศนคติที่ดีต่อองค์กร การก าหนดคุณสมบัติของโค้ชที่เข้าอบรม คัดสรรบุคคล เข้าอบรม และเปิดจ านวนรุ่นและจ านวนที่รับเข้า ฝึกอบรมโค้ชเพิ่มขึ้น o เสริมความรู้บ่อย ๆ จัดเวทีแลกเปลี่ยน ให้โค้ชได้ร่วมกัน แลกเปลี่ยนพูดคุย มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสม่ าเสมอ ควรมีเวทีสัมมนา ถอดบทเรียน อบรมพัฒนาหรือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง o สร้างและขยายเครือข่ายให้มากขึ้น o ควรมีงบสนับสนุนโค้ชให้ชัดเจน มีค่าตอบแทนตามความ เหมาะสม สนับสนุนงบประมาณในการด าเนินกิจกรรม ประชาสัมพันธ์ และสร้างเครือข่ายให้เพียงพอ มีสถานที่ ท างานให้กับทางโค้ชและชมรม o การประสานงานที่ชัดเจน ครบถ้วน ไม่คลุมเครือ มีคู่มือ การปฏิบัติงาน และมีการประชุมพบปะกันบ่อยขึ้น o การสร้างความเชื่อมั่น การสร้างขวัญก าลังใจ รวมถึง ความคุ้มครองทางกฎหมาย o การให้ค าแนะน า ค าปรึกษา ในบางประเด็นคอยเป็น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 250 ถ้าจะท าให้หลักสูตรได้ผลมากกว่านี้ จะต้องปรับอะไร ท่านอยากให้ส านักงาน ป.ป.ช. สนับสนุนการท างานของท่าน ในการท าหน้าที่เป็นโค้ชอย่างไรบ้าง พี่เลี้ยง จัดเวทีอบรมให้ความรู้ เสริมทักษะอย่างต่อเนื่อง o ร่วมเป็นวิทยากรและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรฯ 4.7.3 การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ผลสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน และผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ เพื่อสะท้อนทิศทางการปรับปรุง หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) จ านวน 5 คน ผลการสัมภาษณ์เชิงลึก ประมวลได้ดังต่อไปนี้ 1. ผลการประเมินบริบท (Context) อันหมายถึงองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรในเรื่อง จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ ผลการเรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา วิธีการฝึกอบรม ขอบเขตเนื้อหา/เนื้อหาสาระของ หลักสูตร สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล มีความสอดคล้อง เหมาะสม ครอบคลุม และถูกต้องตาม หลักการพัฒนาหลักสูตร รวมถึงภาษาที่ใช้สามารถสื่อสารให้เข้าใจและมีความชัดเจนในการน าไปสู่การปฏิบัติ และมีความสอดคล้องกับสถานการณ์และบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ท าให้ผู้ใช้หลักสูตรสามารถ ด าเนินการตามหลักสูตรเพื่อสร้างและพัฒนาบุคลากรที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับตัวหลักสูตรได้อย่างเป็น รูปธรรม “การที่จะสร้างวิทยากร/แกนน า ในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงานนั้นจะต้อง ก าหนดคุณสมบัติที่สอดคล้องกับหลักสูตรด าเนินการพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องพร้อมกับท าค าสั่งแต่งตั้งการ เป็นวิทยากรเฉพาะทางด้านการต้านทุจริตศึกษา ซึ่งต้องมีการประชุมร่วมกับวิทยากรฯ เพื่อออกแบบ หลักสูตรที่เหมาะสมสอดคล้องกับวัฒนธรรม การปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึงก าหนดวิธีการพัฒนา พนักงานด้วยวิธีการที่นอกเหนือจากการอบรมแบบในชั้นเรียน ต้องมีการด าเนินการตามแผนงาน และการ ท าการประเมินผลในขั้นตอนสุดท้าย” นอกจากนี้ ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ ตามแผนที่ 21 นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้าน การทุจริต สภาวการณ์ปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชันภายในประเทศนั้น ท าให้เกิดแนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อ การสร้างวิทยากร/แกนน า ในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงานเพื่อรับใช้สังคมและ ทักษะที่จ าเป็นภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน “จ าเป็นต้องมีหน่วยงานซึ่งมาด าเนินการจัดท าหลักสูตรแกนกลางของทุกหน่วยงานที่บูรณาการกันได้ใน องค์รวม และควรมีหลักสูตรในการพัฒนาทักษะของวิทยากรของแต่ละหน่วยงานให้มีทักษะและความรู้ใน มาตรฐานเดียวกัน อาจมีการตั้งกลุ่มวิทยากร หรือมีการจัดแคมป์พัฒนาทักษะแบบที่จะสามารถละลาย พฤติกรรมของทุกหน่วยให้เข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” 2. ผลการประเมินปัจจัยน าเข้า (Input) การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งต้องครอบคลุมถึงการด าเนินการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของครูผู้สอน ครอบคลุมประเด็นการมีส่วนร่วม ในการปลูกฝังให้นักเรียนมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต การน าหลักสูตรไปจัดการเรียนรู้ และ กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในหน่วยการเรียนรู้ แต่กลับพบว่า ประสบการณ์ของ วิทยากร/แกนน าในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน และกิจกรรมที่ใช้ในการฝึกอบรม


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 251 ซึ่งควรจะมีผลต่อการพัฒนาทักษะและกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลในด้านการตระหนักรู้ต่อความถูกต้อง ซื่อสัตย์ สุจริต ของผู้เข้ารับการอบรมนั้นยังมีน้อยมาก “ยังขาดในเรื่องนี้อยู่มาก ควรมีหลักสูตรในการพัฒนาทักษะของวิทยากรของแต่ละหน่วยงานให้มีทักษะ และความรู้ในมาตรฐานเดียวกัน อาจมีการตั้งกลุ่มวิทยากรหรือมีการจัดแคมป์พัฒนาทักษะแบบที่จะ สามารถละลายพฤติกรรมของทุกหน่วยให้เข้ากันได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่กล่าวมาแล้ว” 3. การประเมินกระบวนการใช้หลักสูตร (Process) การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้เนื้อหาในหลักสูตรมีความเหมาะสมกับ บริบททางสังคม และเหมาะสมกับผู้เข้ารับการอบรม “เนื้อหามีความเหมาะสม แต่ควรก าหนดความส าคัญที่ชัดเจนว่าจะเน้นเรื่องอะไร ท าเป็น Step ไปจาก เรื่องใหญ่ที่ต้องการไปทีละเรื่องน่าจะได้ผลมากกว่า เพราะเนื้อหาครบถ้วนทุกเรื่องเป็นเรื่องที่ดี แต่ท าให้ คนไม่สนใจ ควรจัดท าเป็นลักษณะของสื่อที่เข้าถึงคนในหลาย platform เช่นเป็น Clip ที่มีลักษณะเป็น Series ต่อเนื่อง กระทบใจคนน่าจะดีกว่าการอบรม” 4. การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร (Outcome) หลักสูตรการฝึกอบรม เป็นการตรวจสอบ ผลสัมฤทธิ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมในด้านความรู้ (K) เจตคติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม (A) พฤติกรรมที่พึง ประสงค์ การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ของประชาชน การน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน และน าไปปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบ (B) ว่าบรรลุผลตาม จุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมากน้อยเพียงใด รวมทั้งประเมินความพึงพอใจต่อหลักสูตรของ ผู้รับผิดชอบหลักสูตร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม “ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่สามารถผ่านการประเมินประเด็นต่าง ๆ ได้และสามารถน าความรู้และทักษะ เหล่านั้นไปใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวันได้อย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม หลักสูตรยังคงต้องการการปรับปรุงอยู่ เพื่อให้สอดคล้องและตอบสนองต่อความต้องการของสังคม ดังนั้น จึงควรด าเนินการปรับปรุงหลักสูตร ให้เป็นสื่อ Online ที่สามารถเข้าถึงได้ในหลาย ๆ ช่องทาง โดยไม่ต้องจ ากัดให้อยู่ในเรื่องการอบรม เพียงอย่างเดียว เช่นนี้แล้วการขยายฐานคิดและการปลูกฝังในเรื่องของจิตพอเพียงต้านทุจริตก็จะสามารถ บังเกิดขึ้นได้ในวงกว้างอย่างแท้จริง” “ต้องมีการติดตามประเมินผล มีการติดตามประเมินผลส าหรับนักเรียนที่จบหลักสูตรไปแล้ว หลังจากที่ไป ปฏิบัติงานได้มีการน าไปใช้อย่างไรบ้าง เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง เพื่อน ามาใช้ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา แก้ไขในจุดที่เป็นปัญหา เพื่อให้นักเรียนที่ส าเร็จการศึกษาออกไปสามารถน าไปประยุกต์ใช้กับการท างาน ได้อย่างเต็มความสามารถ” ผลการประเมินเชิงคุณภาพหลักสูตรฝึกอบรม หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) มีดังนี้ 1. หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (หลักสูตรโค้ช) เป็นตัวขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นหลักสูตรที่ช่วยป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยผ่านการพัฒนาคน ซึ่งจะให้ความส าคัญ กับการปรับเปลี่ยนและหล่อหลอมพฤติกรรมของคนทุกกลุ่มในสังคมให้มีจิตส านึกและมีพฤติกรรมที่ยึดมั่น ในความซื่อสัตย์สุจริต “ตัวชี้วัดที่จะสะท้อนให้เห็นพฤติกรรมของประชาชน เด็กและเยาวชนด้วย นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริม และพัฒนานวัตกรรมในการต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐที่เหมาะสมกับบริบทและสภาพปัญหา


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 252 การทุจริตในแต่ละหน่วยงาน ซึ่งไม่เหมือนกัน หลักสูตรนี้ก็จะสามารถขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติใน ประเด็นการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้” “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาจะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติได้ โดยจะเป็นลักษณะของการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจิตส านึกของคนในสังคมให้มีแนวคิดของการพอเพียงและไม่ทนต่อการทุจริต” ส่วนในประเด็นที่ต้องเสริมเพิ่มเติมคือ เรื่องของรูปแบบการทุจริตที่มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป ทาง ป.ป.ช. ก็จะต้องท าการสร้างและพัฒนาหลักสูตรเพิ่มเติมแบบใหม่ ๆ ขึ้นมา “เพื่อให้รู้เท่าทันต่อรูปแบบการทุจริตที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะได้รับทราบมาจาก การร้องเรียนของชาวบ้าน ชุมชน หรือทีมโค้ชกลุ่ม STRONG ที่ได้มีการก่อตั้งขึ้นและขยายเครือข่าย กระจายกันไปอย่างทั่วถึง เพื่อเฝ้าระวังและสอดส่องดูแล รวมถึงการแจ้งเบาะแสต่าง ๆ ให้แก่ทางการหรือ หน่วยงาน ป.ป.ช. ของแต่ละจังหวัด ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ต้องท าการพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเพิ่มเติม ขึ้นมาอีกในอนาคต” 2. การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานต่าง ๆ นั้น บางหน่วยงานยังอยู่ระหว่างเส้นทาง สู่ความส าเร็จ แต่อีกบางหน่วยงานก็ประสบผลส าเร็จเป็นอย่างดี “นับจากปี 2561 ได้มีการจัดตั้งชมรม STRONG ขึ้นมา เพื่อน าร่องก่อนที่จะมีการปูพรมทั่วประเทศ ใน 27 จังหวัด (9 ภาค ภาคละ 3 จังหวัด สามารถสร้างโค้ชได้ ประมาณ 300 คน) โดยเลือกจากจังหวัด ที่มีความเข้มแข็งของกลุ่มชุมชนภาคประชาสังคมและคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมเพื่อจะน าเข้าสู่โครงการ อบรมโค้ช และจะกลายมาเป็นก าลังส าคัญที่จะสามารถแนะน าและช่วยขยายแนวคิดการด าเนินโครงการนี้ ต่อไปได้ ซึ่งก็มีบางส่วนบางจังหวัดที่ประสบความส าเร็จ แต่ก็มีอีกบางส่วนบางจังหวัดที่ต้องกลับไปเริ่มต้น ให้อีกหลายรอบ เนื่องจากความเข้มแข็งยังไม่เพียงพอ ซึ่งเป็นปกติของการด าเนินโครงการ” “การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหน่วยงานของเราประสบผลส าเร็จในระดับมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ประจ าจังหวัดนครนายกร่วมกับชมรม STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริตได้ท าการถ่ายทอดความรู้ในเรื่อง ของการต้านทุจริตศึกษาให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยมีจุดมุ่งหมายที่ส าคัญคือการไม่ทนต่อการทุจริตและ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีความกล้าหาญต่อการต่อต้านการทุจริตและให้มีส่วนร่วมในการรับผิดชอบเมื่อพบเห็น การทุจริตในหน่วยงาน ที่ส าคัญที่สุดคือหลักสูตรสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนให้มีความซื่อสัตย์ สุจริต ซึ่งสามารถลดคดีความหลายประเภทที่เกิดขึ้นในจังหวัดของเราได้” ในปี 2562 ได้กระจายผลเหล่านี้ลงสู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งการอบรมเพื่อสร้างโค้ชนี้ มี 2 ส่วนหลัก ๆ คือ 1) การสร้างโค้ช ประกอบด้วย เนื้อหาเกี่ยวกับการเป็นโค้ช เพื่อให้ได้โค้ชที่สามารถลงพื้นที่แล้วเชิญชวน ผู้คนเข้ามาร่วมเป็นสมาชิกในชมรมเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้แล้วชมรม STRONG ยังได้จัดตั้งขึ้นมาในรูปของ คณะกรรมการของตนเองในแต่ละจังหวัด ซึ่งจะต้องบริหารกันเอง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนเนื้อหา กิจกรรมที่ต้องใช้ ในการอบรม โดยที่เมื่อผู้เข้าอบรมมีความรู้เพียงพอในเรื่องของเนื้อหาการต้านทุจริตแล้ว กิจกรรมต่อมาก็จะ เป็นกิจกรรมการเฝ้าระวังและแจ้งเบาะแสการทุจริตของแต่ละพื้นที่ แต่ละจังหวัด ซึ่งต้องด าเนินการด้วยตนเอง เนื่องจากทุกคนเป็นคนในท้องที่ตนเอง จะรู้ว่าในสังคมของเขาเองนั้นมีอะไรที่เป็นความเสี่ยงต่อการทุจริต อยู่บ้างนั่นเอง 2) ต้องมีการเรียนรู้ด้านการป้องกันการทุจริต เป็นเนื้อหาขององค์ความรู้ในการต้านทุจริตทั้ง 4 เรื่อง เพื่อให้รู้และเข้าใจถึง Model STRONG ในการสร้างภูมิต้านทานต่อพฤติกรรมและความคิดในการ ต่อต้านการทุจริต ให้เข้มแข็ง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในการสร้างโค้ชเพื่อมาท าหน้าที่ที่ส าคัญนี้ไม่ได้เกิดขึ้นได้ภายใน ระยะเวลาอันสั้น ดังค าพูดของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียฯ) ดังนี้


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 253 “หลักสูตรนี้ต้องอาศัยระยะเวลาในการด าเนินการค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องของการ ปรับเปลี่ยนและปลูกฝังค่านิยมให้แก่คนและชุมชน สังคมส่วนใหญ่ ดังนั้น การที่จะด าเนินการใช้หลักสูตร ให้ส าเร็จในระยะเวลาอันสั้นดังที่ก าหนดไว้ในตัวหลักสูตรนั้น น่าจะเป็นไปได้ยาก ทางแก้ไขก็คือต้องค่อย ๆ ด าเนินการไปโดยอาศัยระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น แม้จะยังไม่ส าเร็จในเร็ววัน แต่อย่างน้อยก็ได้ร่วมมือร่วมใจ กันเริ่มต้นใช้หลักสูตรกันแล้ว ก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว” 3. ปัจจัยที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ให้ประสบความส าเร็จ คือ การมีเป้าหมายร่วมกันและความร่วมมือกันกับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมหลักสูตรนี้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านคน และด้านเวลาที่เป็นส่วนส าคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้ส าเร็จได้ “ตัวชี้วัดที่ส าคัญว่า การน าหลักสูตรนี้ไปใช้แล้วประสบความส าเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใด เช่น การด าเนินโครงการ STRONG ของส านักส่งเสริมและบูรณาการการมีส่วนร่วมต้านทุจริต หรือส านักงาน ป.ป.ช. ประจ าจังหวัด เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริตประจ าจังหวัด ซึ่งจะท าหน้าที่เป็น supper coach ผู้ซึ่งมีหน้าที่สอน coach ที่อยู่ในชมรม STRONG ซึ่งเป็นบุคคลในหน่วยงานเอกชน ประชาชน ผู้น า ชุมชนได้ด้วย ส่วนนี้ก็จะเป็นปัจจัยที่ส าคัญเช่นกัน เพื่อช่วยในการต่อยอดแนวความคิด อบรมหลักสูตรใหม่ ฝึกทักษะเพิ่มเติม เหล่านี้ก็จะเป็นลักษณะของการร่วมมือกันของทุก ๆ ฝ่าย ซึ่งถือเป็นปัจจัยส าคัญที่จะ ช่วยให้การใช้หลักสูตรประสบความส าเร็จได้” “ปัจจัยที่ส าคัญคือการพัฒนาคน เมื่อคนได้รับการพัฒนาจนสามารถน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ อย่างเป็นกิจวัตรเหมือนกับการด าเนินชีวิตโดยมีแนวทางตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาอย่างช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไปโดยต้องอาศัยระยะเวลาประมาณหนึ่ง ซึ่งเขาเหล่านั้นจะสามารถเป็นต้นแบบและเป็น ตัวอย่างให้บุคคลอื่นท าตามแนวทางเดียวกันนี้ได้ สังคมจะสามารถมองเห็นผลกระทบที่เกิดจากการทุจริต ได้ชัดเจนขึ้น” 4. การสนับสนุนจากส านักงาน ป.ป.ช. ในการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เพื่อให้เกิด ความส าเร็จและยั่งยืนสืบต่อไปนั้น ต้องด าเนินการเชิงสังคม เนื่องจากสังคม ชุมชน ชาวไทยยังมีวัฒนธรรมและ ความเลื่อมใส ศรัทธาในพุทธศาสนา ซึ่งมักจะปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดี ไม่คิดทุจริตได้ ดังนั้นการให้พระภิกษุสงฆ์ ผู้รักษาศีลมาเป็นผู้อบรม สั่งสอน ชี้แนะในเรื่องจิตพอพียงต้านทุจริตจึงเป็นหนทางที่เหมาะสม “มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาสอดแทรกเข้าไปกับทางด้านพุทธศาสนาด้วย เนื่องจาก ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ การด าเนินการเช่นนี้เป็นการเปิดโอกาสให้พระได้เป็น ผู้แนะน าและสร้างค่านิยมเพื่อปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมจากที่ไม่ใส่ใจหรือละเลยในเรื่องของการทุจริตที่เรา อาจประสบพบเจอหรือแม้กระทั่งที่ตนเองคิดที่จะกระท า ได้ฉุกคิดและเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนที่มีจิต พอเพียงต้านทุจริต รวมถึงบังเกิดความละอายต่อการกระท าทุจริตต่าง ๆ ได้ 5. หลักสูตรนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นหลักสูตรที่มีประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพและสร้างค่านิยมและ พฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตส านึกที่ดี สามารถแยกแยะสุจริต ทุจริต ดี ชั่ว ของผู้คนได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ยังสามารถสร้างวัฒนธรรมการไม่ทนต่อการทุจริตขึ้นมาได้ในองค์กร ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการด าเนินการ ยาวนานกว่าจะส าเร็จได้ “หลังการฝึกอบรมแล้ว พวกเรามีความสามารถในเรื่องของการแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและ ผลประโยชน์ส่วนรวมได้ชัดเจนมากขึ้น ท าให้มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เช่น การไม่ สนับสนุนผู้ค้าที่มายึดพื้นที่สาธารณะเป็นที่ค้าขาย การแนะน าและให้ความรู้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ที่


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 254 เกี่ยวข้องในเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม การมีจิตพอเพียงต้านทุจริตในรูปแบบที่อาจเผชิญในชีวิต ประจ าวันและการปฏิบัติงาน เป็นต้น” “หลักสูตรนี้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาคนในประเทศของเรา เช่น ในรายวิชาการแยกแยะประโยชน์ส่วน ตนและประโยชน์ส่วนรวม รายวิชาความละอายและไม่ทนต่อการทุจริต รายวิชาการประยุกต์หลัก เศรษฐกิจพอเพียงต้านทุจริต รวมถึงรายวิชาความรับผิดชอบต่อสังคมนั้น มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคนให้ บรรลุกลยุทธการต้านทุจริตศึกษา ทั้งหมดนี้จะท าให้สังคมไทยไม่ทนต่อการทุจริต” 6. เมื่อหลักสูตรนี้ด าเนินการได้ส าเร็จในทุกกลุ่มเป้าหมาย ประเทศของเราก็จะเป็นประเทศในฝัน คนทุกกลุ่มในประเทศก็จะมีสังคมที่ดีมาก ๆ น่าอยู่มาก ๆ เด็ก ๆ จะมีความปลอดภัยสูง ซึ่งเป็นการพัฒนาคน ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกจิตส านึกที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน การพัฒนาค่านิยมและวัฒนธรรมองค์ที่ดี ให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ พัฒนาภาคประชาชนให้มีความเข้มแข็งและตระหนักถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากการ ทุจริต และร่วมเป็นเครือข่ายรณรงค์การป้องกันการทุจริต ช่วยกันเฝ้าระวัง ชี้เบาะแสเมื่อพบการทุจริต เป็นต้น “อยากให้ทุกระดับสังคม หน่วยงาน ได้มีการบูรณาการกันในเรื่องของการให้ความรู้ การส่งเสริมความ ซื่อสัตย์ และการเข้าถึงจิตส านึกของการต้านทุจริต ยึดมั่นความสุจริตที่ถูกต้อง เชื่อมโยงอุดกั้นช่องว่าง ระหว่างวัยและสังคม โดยใช้การสื่อสารและกิจกรรมร่วมมาเป็นเครื่องมือส าหรับการพัฒนาการต้านการ ทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นวิธีการที่จะสามารถพัฒนาในด้านการต้านการทุจริต และส่งเสริมความ ซื่อสัตย์สุจริตให้แก่ทุกส่วนของสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุด” “สังคมไทยในปัจจุบันก าลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นสังคมที่มีความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสังคม สีขาว ซึ่งหากการใช้หลักสูตรนี้กับทุกภาคส่วนแล้วประสบความส าเร็จ คนในสังคมก็จะไม่ละเลยต่อเรื่องที่ เข้าข่ายการทุจริต ทุกคนในสังคมก็จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้การทุจริตหมดหายไปจาก สังคมได้ และสามารถน าสังคมไทยให้ปลอดจากการทุจริตได้ในที่สุดอย่างแน่นอน” จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ สามารถสรุปเป็น 2 ประเด็นหลัก ๆ ได้ดังนี้ 1. การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในองค์กรต่าง ๆ นั้นต้องครอบคลุมใน เรื่องของการมีส่วนร่วมในการปลูกฝังให้บุคลากรมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต การพัฒนาทักษะ และกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลในด้านการตระหนักรู้ต่อความถูกต้อง ความซื่อสัตย์ สุจริต จนเกิดเป็น พฤติกรรมที่พึงประสงค์ การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ รวมถึงความสามารถในการน าไปใช้ในชีวิตประจ าวันและน าไปปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบ ของตนเองในที่ท างานได้ 2. ปัจจัยที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดความส าเร็จในการใช้หลักสูตรนี้ คือ การที่ต้องก าหนดให้เรื่อง ของการยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต เป็นนโยบายและข้อบังคับขององค์กร รวมถึงการสร้างสัมพันธภาพที่ดี และการจัดท ากิจกรรมร่วมกัน เน้นในเรื่องของการมีจิตอาสาที่ต้องการช่วยเหลือทั้งตนอง เพื่อนร่วมงานและ ผู้คนในสังคมด้วย ที่ส าคัญที่สุดคือ ต้องสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่สามารถส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ สืบเนื่องกัน ไปจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีวันสิ้นสุด และต้องแสดงให้เห็นได้โดยชัดเจนว่า “ผู้กระท าความดีต้องได้รับผลตอบกลับที่ดี และผู้กระท าความชั่วต้องได้รับผลตอบสนองที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างแน่นอน”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 255 ตารางที่ 4.92 สรุปจุดเด่น จุดที่ควรปรับปรุง ปัญหาและอุปสรรคของหน่วยงานที่ได้คะแนนสูงสุดและต่ าสุด ส าหรับกลุ่มหลักสูตรจัดการฝึกอบรม 3 หลักสูตร โอกาสในการพัฒนา จุดที่ควรปรับปรุง ปัญหาอุปสรรค 1. ประเด็นการวิเคราะห์บริบท สภาพแวดล้อมของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Context) - หลักสูตรนี้เป็นตัวขับเคลื่อน ยุทธศาสตร์ชาติได้ โดยผ่านการบรรยาย การอบรมและการชี้แนะจากวิทยากร ที่ได้เชิญมาจากส านักงาน ป.ป.ช. - เป็นหลักสูตรที่ช่วยป้องกันการทุจริต และประพฤติมิชอบ โดยผ่านการพัฒนา คน ซึ่งจะให้ความส าคัญกับการ ปรับเปลี่ยนและหล่อหลอมพฤติกรรม ของคนทุกกลุ่มในสังคมให้มีจิตส านึก และมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์ สุจริต - จ าเป็นต้องมีหน่วยงานซึ่งมา ด าเนินการจัดท าหลักสูตรแกนกลาง ของทุกหน่วยงานที่บูรณาการกันได้ ในองค์รวม และควรมีหลักสูตรใน การพัฒนาทักษะของวิทยากรของ แต่ละหน่วยงานให้มีทักษะและ ความรู้ในมาตรฐานเดียวกัน - ควรเสริมให้มีสถาบันต้นแบบหรือมี องค์กรและบุคลากรตัวอย่างที่ได้รับ การปูนบ าเหน็จรางวัลส าหรับผู้ที่ได้ แสดงความซื่อสัตย์ฯ และไม่ทนต่อ การทุจริตในรูปแบบต่าง ๆ - ควรจะต้องด าเนินการจัดท า โครงการต่าง ๆ ที่ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ขณะนี้ให้มีความต่อเนื่องสืบทอด ต่อไปอีกเป็นระยะเวลาประมาณหนึ่ง เพื่อให้บุคลากรทั้งหลายในองค์กร ต่าง ๆ ได้ซึมซับและได้สัมผัสกับ กิจกรรมดังกล่าวได้บ่อยครั้งจน สามารถปรับทัศนคติ วัฒนธรรม องค์กร - ยังขาดการตั้งกลุ่มวิทยากรหรือมีการ จัดแคมป์พัฒนาทักษะแบบที่จะสามารถ ละลายพฤติกรรมของทุกหน่วยให้เข้ากัน ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน - ต้องมีการก าหนดแนวทางการปฏิบัติ ที่จะท าให้มีผลสัมฤทธิ์ที่เป็นที่ประจักษ์ อย่างชัดเจนได้ และให้เกิดมีความ เข้มแข็งในจิตใจที่ต้องต่อต้านกับการ ทุจริตของบุคลากรในองค์กรได้อย่างเป็น รูปธรรม - หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช. นี้ควรต้อง ได้รับการบรรจุลงในยุทธศาสตร์ประจ าปี ขององค์กร โดยมีผู้บริหารองค์กรเป็น ผู้ขับเคลื่อนและมอบหมายให้มีทีม ผู้รับผิดชอบในการจัดการอบรม - เรื่องของรูปแบบการทุจริตที่มีการ พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป ทาง ป.ป.ช. จะต้องท าการสร้างและพัฒนาหลักสูตร เพิ่มเติมแบบใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อให้มีความ ทันสมัยและรู้เท่าทันรูปแบบการทุจริต เหล่านั้น - เครือข่ายการเฝ้าระวังที่เข้มแข็ง มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ สื่อรณรงค์หรือ การส่งเสริมภาพลักษณ์เรื่องความสุจริต เรื่องของกฎหมายที่ต้องเด็ดขาดเพื่อให้ เห็นแบบอย่างที่ชัดเจน 2. ประเด็นปัจจัยน าเข้า (Input) - ศักยภาพของผู้บริหารและ ความพร้อมของระบบสนับสนุนใน การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ มีอย่างพอเพียง - การน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับ บุคลากรในหน่วยงานนั้นจะต้อง ก าหนดคุณสมบัติที่สอดคล้องกับ หลักสูตร ด าเนินการพัฒนาทักษะ ที่เกี่ยวข้องพร้อมกับท าค าสั่งแต่งตั้ง การเป็นวิทยากรเฉพาะทางด้าน การต้านทุจริตศึกษา - ยังไม่มีการประชุมร่วมกับวิทยากร เพื่อออกแบบหลักสูตรที่เหมาะสม สอดคล้องกับวัฒนธรรม การปฏิบัติงานของพนักงาน รวมถึง ก าหนดวิธีการพัฒนาพนักงาน ด้วยวิธีการที่นอกเหนือจากการ อบรมแบบในชั้นเรียน - งบประมาณที่ยังขาดการสนับสนุนให้ เพียงพอต่อการด าเนินการและเรื่องของ การขยายความหมายต่าง ๆ ของเนื้อหา ในหลักสูตรออกมาเพื่อความกระจ่างและ เข้าใจให้แก่ผู้เรียนอย่างชัดเจนและเป็น รูปธรรมส าหรับการฝึกปฏิบัติและ การปรับฐานความคิดในเรื่องของ การต้านทุจริต - การจัดการประชุมสัมมนาเฉพาะกลุ่ม ผู้ควบคุมดูแลหลักสูตรเพื่อการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ เรื่องของระยะเวลาที่ใช้ในการ


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 256 โอกาสในการพัฒนา จุดที่ควรปรับปรุง ปัญหาอุปสรรค อบรม 3. ประเด็นกระบวนการใช้หลักสูตร (Process) - การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ในการจัดการเรียนรู้ เนื้อหาในหลักสูตร มีความเหมาะสมกับบริบททางสังคม และเหมาะสมกับผู้เข้ารับการอบรม - การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ในหน่วยงานฯ นี้เป็นไปตามนโยบาย ของผู้บัญชาการระดับสูงขององค์กร - การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ในปีนี้ประสบความส าเร็จได้ เพระการ มีเป้าหมายร่วมกันและความร่วมมือกัน กับกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมหลักสูตรนี้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยด้านคนและด้าน เวลาที่เป็นส่วนส าคัญที่จะช่วย สนับสนุนให้ส าเร็จได้ - ประสบการณ์ของวิทยากร/แกน น าในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอด ให้กับบุคลากรในหน่วยงาน และ กิจกรรมที่ใช้ในการฝึกอบรมซึ่งควร จะมีผลต่อการพัฒนาทักษะและ กระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลใน ด้านการตระหนักรู้ต่อความถูกต้อง ซื่อสัตย์ สุจริตของผู้เข้ารับการอบรม นั้นยังมีน้อยมาก - เนื้อหามีความเหมาะสม แต่ควร ก าหนดความส าคัญที่ชัดเจนว่าจะ เน้นเรื่องอะไร ท าเป็น Step ไปจาก เรื่องใหญ่ที่ต้องการไปทีละเรื่อง น่าจะได้ผลมากกว่า - ยังขาดในเรื่องของความเป็นเอกภาพ ของวิทยากรผู้ให้การอบรมอยู่มาก ควรมี หลักสูตรในการพัฒนาทักษะของวิทยากร ของแต่ละหน่วยงานให้มีทักษะและ ความรู้ในมาตรฐานเดียวกัน - ยังขาดการมีส่วนร่วมในการพัฒนา หลักสูตรทั้งของผู้สอนและผู้เรียน - ควรเร่งด าเนินการประชาสัมพันธ์ หลักสูตรให้มากขึ้นในกลุ่มคนทุกระดับ ทุกกลุ่มคน ให้ครอบคลุมครบถ้วน เพื่อผู้คนทั้งหลายจะได้ตื่นตัวและให้ ความสนใจ ให้ความส าคัญกับเรื่อง เหล่านี้ อันจะส่งผลท าให้สังคมของ ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นสังคม ของผู้คนที่มีจิตพอเพียงต้านทุจริต และ เป็นสังคมที่ไม่ทนและละอายต่อการ ทุจริต - ยังไม่มีระบบการนิเทศและก ากับ ติดตามผลการอบรมอย่างเป็นรูปธรรม 4. ประเด็นผลสัมฤทธิ์หลักสูตร (Outcome) - ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่สามารถ ผ่านการประเมินประเด็นต่างๆ ได้และ สามารถน าความรู้และทักษะเหล่านั้นไป ใช้ในการด าเนินชีวิตประจ าวันได้อย่างดี - มีความสามารถที่จะคิดแยกแยะ ผลประโยชน์ส่วนรวมและประโยชน์ ส่วนตน ตลอดจนสามารถวิเคราะห์ ประยุกต์นวัตกรรมเกี่ยวกับการคิดที่มี ความละอายต่อการทุจริต - การที่คนในประเทศเราทราบถึง ลักษณะของการทุจริต เรื่องของ ผลประโยชน์ทับซ้อน การคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นผลเสียต่อการพัฒนาชาติอย่างยิ่ง ท าให้ประเทศชาติไม่สามารถพัฒนา ไปข้างหน้าเท่าที่ควร ดังนั้น หากทุกคน ในประเทศได้รับการอบรมหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาก็จะเป็นประโยชน์ เป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนา ประเทศชาติได้อย่างยั่งยืนต่อไป - หลักสูตรยังคงต้องการการปรับปรุง อยู่ เพื่อให้สอดคล้องและตอบสนอง ต่อความต้องการของสังคม ดังนั้น จึงควรด าเนินการปรับปรุงหลักสูตร ให้เป็นสื่อ Online ที่สามารถเข้าถึง ได้ในหลาย ๆ ช่องทาง โดยไม่ต้อง จ ากัดให้อยู่ในเรื่องการอบรมเพียง อย่างเดียว เช่นนี้แล้วการขยายฐาน คิดและการปลูกฝังในเรื่องของ จิตพอเพียงต้านทุจริตก็จะสามารถ บังเกิดขึ้นได้ในวงกว้างอย่างแท้จริง - ต้องมีการติดตามประเมินผล มีการ ติดตามประเมินผลส าหรับนักเรียน ที่จบหลักสูตรไปแล้ว หลังจากที่ไป ปฏิบัติงานได้มีการน าไปใช้อย่างไรบ้าง เกิดปัญหาอย่างไรบ้าง เพื่อน ามาใช้ ปรับปรุงหลักสูตรการศึกษา แก้ไขใน จุดที่เป็นปัญหา เพื่อให้นักเรียนที่ ส าเร็จการศึกษาออกไปสามารถ น าไปประยุกต์ใช้กับการท างาน - การจัดท ากิจกรรมร่วมกันรวมถึงการ ปลูกฝังในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงเข้า ไปพร้อม ๆ กัน โดยไม่ลืมที่จะเน้นในเรื่อง ของการมีจิตอาสาที่ต้องการช่วยเหลือทั้ง ตนเอง เพื่อนร่วมงานและผู้คนในสังคมด้วย - ควรจะขยายกรอบระยะเวลาในการ เสริมสร้างวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต รวมถึงการสร้างทัศนคติและพฤติกรรม การต่อต้านการทุจริตและการประพฤติ มิชอบแก่บุคลากรให้ยาวนานเพิ่มมากขึ้น โดยจะต้องสร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่ สามารถส่งต่อกันไปเป็นทอด ๆ สืบเนื่อง กันไปจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งต้อง แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้กระท าความดีต้อง ได้รับผลตอบกลับที่ดี และผู้ที่กระท า ความชั่วก็จะต้องได้รับผลตอบสนอง ที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างแน่นอน


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 257 โอกาสในการพัฒนา จุดที่ควรปรับปรุง ปัญหาอุปสรรค ได้อย่างเต็มความสามารถ - การได้สัมผัสกับสถานที่หรือตัว บุคคลจริง ๆ ที่จะสามารถเข้าไป ศึกษา พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ใน เรื่องของการต้านทุจริตได้อย่าง จริงจังและเป็นรูปธรรม และจะต้อง สร้างให้เกิดเป็นวัฒนธรรมที่สามารถ ส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ สืบเนื่องกัน ไปจากรุ่นสู่รุ่น ไม่มีวันจบสิ้น ก็น่าจะ ท าให้การอบรมในหลักสูตรนี้ประสบ ความส าเร็จได้ 4.8 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ส าหรับหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart” ทั้งนี้ในแบบประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ส าหรับกลุ่มหลักสูตรการจัด การเรียนการสอน ที่ประกอบไปด้วย 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านปัจจัยน าเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) และด้านผลลัพธ์ (Outcome) ซึ่งในส่วนของผลลัพธ์จะประกอบไปด้วย 2 ด้านย่อยซึ่งได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ของ ผู้เรียนและความพึงพอใจต่อหลักสูตร โดยในส่วนผลลัพธ์ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนมีข้อค าถามสอดคล้องกับ เครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัดแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อเป็นการสะท้อนผลการประเมินระดับพฤติกรรมตามประเด็นตัวชี้วัดข้างต้น คณะผู้วิจัยจึงได้น าผลส่วนผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ของด้านผลลัพธ์(Outcome) ดังกล่าวนี้มาอธิบายร้อยละของ เด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ดังต่อไปนี้ ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตยสุจริตจ าแนกตามหลักสูตรใน กลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ผลการประเมินพบว่า ในภาพรวมมีร้อยละ 51.29 โดยจ าแนกเป็น เยาวชนที่อยู่ในระดับอุดมศึกษาที่มีพฤติกรรมยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตร้อยละ 55.51 ซึ่งสูงกว่านักเรียนที่ อยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานอยู่ประมาณร้อยละ 4


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 258 แผนภาพที่ 4.18 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตยสุจริตจ าแนกตามหลักสูตร ในกลุ่มการจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) เมื่อพิจารณาจ าแนกตามช่วงชั้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 6 ช่วงชั้น คือ ปฐมวัย ประถมศึกษาตอนต้น ประถม ศึกษาตอนปลาย มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย และอุดมศึกษา ผลการประเมินพบว่า ช่วงชั้นที่มี ร้อยละของผู้ที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตสูงสุด คือ ชั้นปฐมวัย รองลงมาคือ ระดับอุดมศึกษา ต่ าสุด คือ ระดับประถมศึกษาทั้งประถมศึกษาตอนต้น และประถมศึกษาตอนปลาย (ดูแผนภาพที่ 4.19) เยาวชนไทยที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตยสุจริตที่อยู่ในระดับอุดมศึกษาในสถาบันการศึกษาสังกัด กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มีสัดส่วนสูงสุด รองลงมาคือ ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แต่ถ้าพิจารณาเฉพาะนักเรียนที่เรียนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) พบว่า นักเรียนในโรงเรียนสังกัด ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีสัดส่วนสูงสุด รองลงมาคือ นักเรียนในโรงเรียนสังกัด ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ส่วนนักเรียนที่มีพฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตใน สถานศึกษาสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) มีสัดส่วนพอ ๆ กันคือ ประมาณร้อยละ 48 หลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน หลักสูตรอุดมศึกษา รวม ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรม ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต 51.23 55.51 51.29 49 50 51 52 53 54 55 56


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 259 แผนภาพที่ 4.19 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตยสุจริตจ าแนกตามหลักสูตร ในกลุ่มการจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) และช่วงชั้น แผนภาพที่ 4.20 ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตจ าแนกตามหลักสูตร ในกลุ่มการจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) และสังกัด 4.9 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ส าหรับหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ ไม่ทนต่อการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) เช่นเดียวกันกับแบบประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ส าหรับกลุ่มหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน แบบประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ส าหรับกลุ่มหลักสูตร การฝึกอบรม ก็ประกอบไปด้วย 3 ด้านหลัก ได้แก่ ด้านปัจจัยน าเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) และด้านผลลัพธ์ (Outcome) และในลักษณะเดียวกัน ในส่วนผลลัพธ์ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของผู้ฝึกอบรมมีข้อ ค าถามสอดคล้องกับเครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัดแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 ปฐมวัย ประถมศึกษา ตอนต้น ประถมศึกษา ตอนปลาย มัธยมศึกษา ตอนต้น มัธยมศึกษา ตอนปลาย อุดมศึกษา ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมี พฤติกรรมยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต 55.99 49.99 49.32 52.19 50.16 55.51 44 46 48 50 52 54 56 58 สพฐ. สช. สถ. สถ.กทม. อว. ร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยมีพฤติกรรม ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต 52 49.77 48.72 48.6 55.51 44 46 48 50 52 54 56 58


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 260 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ที่มุ่งเน้นสะท้อนผลการ ประเมินระดับพฤติกรรม คณะผู้วิจัยจึงได้น าผลส่วนผลสัมฤทธิ์ของผู้ฝึกอบรม ของด้านผลลัพธ์ (Outcome) ดังกล่าวนี้ มาอธิบายร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรม ในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ การพิจารณาร้อยละของประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมใน การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ จะพิจารณาจากสัดส่วนของผู้ที่มีคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ตั้งแต่ ค่าเฉลี่ยรวมตั้งแต่ 75 คะแนนขึ้นไป หารด้วยจ านวนผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในแต่ละ หลักสูตรที่ตกเป็นกลุ่มเป้าหมาย ผลการประเมินพบว่า ผู้ผ่านการอบรมในทั้ง 3 หลักสูตรที่ถือว่าเป็นประชาชนทั่วไปที่มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ร้อยละ 69.08 สัดส่วน สูงสุดอยู่ที่กลุ่มผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น า การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) (ร้อยละ 74.74) รองลงมาคือ ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรกลุ่ม ทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) (ร้อยละ 63.73) และผู้ผ่านการอบรม หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) (ร้อยละ 61.23) ตามล าดับ ตารางที่ 4.93 ร้อยละของประชาชนมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ จ าแนกตามหลักสูตรในกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา กลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม ร้อยละของประชาชนมีวัฒนธรรมค่านิยม สุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการ กลุ่มทหารและต ารวจ) 63.73 หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) 74.74 หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) 61.23 รวม 69.08


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 261 แผนภาพที่ 4.21 ร้อยละของประชาชนมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ จ าแนกตามหลักสูตรในกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม 4.10 ปัจจัยความส าเร็จและเงื่อนไขส าคัญของการด าเนินการในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ จากการสะท้อนผลการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ พบว่า ปัจจัยความส าเร็จและเงื่อนไขส าคัญ ของการด าเนินการในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ มีความแตกต่างกันระหว่างกลุ่มหลักสูตรการจัด การเรียนการสอน ซึ่งประกอบไปด้วย หลักสูตรการศึกษาขึ้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใสใจสะอาด “Youngster with Good Heart) และกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) หลักสูตร วิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการ ทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยในส่วนของกลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน สามารถสรุปปัจจัยความส าเร็จและเงื่อนไข ส าคัญของการด าเนินการในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา กลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนไปใช้ใน ภาพรวม ได้ 3 ปัจจัยความส าเร็จหลัก ดังนี้ 1. ปัจจัยและเงื่อนไขด้านนโยบายและการบริหารจัดการหลักสูตร ทั้งนโยบายจากส่วนกลางที่ จะต้องมีเงื่อนไขบังคับให้ปฏิบัติ การเห็นความส าคัญของผู้บริหารระดับสูง การสนับสนุนเชิงนโยบายจากทุก ภาคส่วน และการมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน รวมถึงการบริหารจัดการหลักสูตร ที่จะต้องความเชื่อมโยงกับการจัด การศึกษาที่เป็นอยู่ให้เป็นเนื้อเดียวกัน 2. ปัจจัยด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ไม่ว่าเป็นด้านบุคลากร ครู/อาจารย์ ที่ต้องมีความเข้าใจ มีเนื้อหา สื่อ ที่ทันสมัย ที่ง่ายต่อการเข้าใจ และดึงดูงความสนใจ กิจกรรมที่สอดแทรกการตระหนักรู้และ สร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการจัดกระบวนการอย่างเหมาะสมต่อเนื่อง เหมาะสมกับช่วงวัยและบริบทของ สถานศึกษา รวมถึงการก ากับติดตามดูแลอย่างจริงจัง 0 10 20 30 40 50 60 70 80 หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ หลักสูตรโค้ช 63.73 74.74 61.23 ร้ อ ย ล ะ ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ที่ มี วั ฒ น ธ ร ร ม ค่ า นิ ย ม สุ จ ริ ต มี ทั ศ น ค ติ แ ล ะพ ฤ ติ ก ร ร ม ใ น ก า ร ต่ อ ต้ า น ก า ร ทุ จ ริ ต แ ล ะ ป ร ะพ ฤ ติ มิ ช อ บ


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 262 3. การมีแบบอย่างที่ดี และการมีตัวแบบที่ดีในความดีงาม จากทั้งผู้สอน บุคลากร สิ่งแวดล้อมใน สถานศึกษา และจากชุมชนสังคม จะเป็นเงื่อนไขส าคัญและปัจจัยความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ และในส่วนของกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม สามารถสรุปปัจจัยความส าเร็จและเงื่อนไขที่ส าคัญของ การด าเนินการในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ได้อยู่ 3 ปัจจัยและเงื่อนไขเช่นกัน ดังนี้ 1. การท าให้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการองค์กร รวมถึงการท าให้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติในการเติบโตในหน้าที่การงาน หรือเป็น ส่วนหนึ่งในตัวชี้วัดเป้าประสงค์ขององค์กร 2. วิทยากรมีความส าคัญมากในการจัดการฝึกอบรม ต้องมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการสร้าง วิทยากรที่เป็นต้นแบบพฤติกรรม และการสร้างให้มีสังคมของวิทยากรด้านต้านทุจริตศึกษา จะเป็นส่วนส าคัญ มากต่อการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในกลุ่มการฝึกอบรมให้ใช้ให้ประสบผลส าเร็จ 3. ความต่อเนื่องของการเสริมแรง การสร้างการรับรู้ การตระหนักรู้อยู่เป็นนิจ รวมถึงการสร้าง วัฒนธรรมองค์กรที่ต้านทุจริต ก็จะเป็นอีกหนึ่งเงื่อนไขส าคัญในการด าเนินการในการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ให้ได้ผลดี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 263 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในบทนี้จะได้น าเสนอสรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวม และจ าแนกตามองค์ประกอบในแต่ละหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตร การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การ น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ตั้งแต่ปี 2563-2565 การอภิปรายเชิงเปรียบเทียบการขับเคลื่อนหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาของประเทศไทยและต่างประเทศ และข้อเสนอแนะในการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 5.1 สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ จะน าเสนอเริ่มตั้งแต่สรุปผล การประเมินบริบทสภาพแวดล้อม สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ใน ภาพรวม และรายหลักสูตร 5.1.1 ผลการประเมินบริบทสภาพแวดล้อม หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อเป็น เครื่องมือในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศภายใต้นโยบายการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) โดยมุ่งเน้น “การพัฒนาคนและพัฒนาระบบ” การพัฒนา “คน” เน้นการปรับพฤติกรรมของคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กและเยาวชนจนถึงประชาชนทั่วไป ซึ่งการจะปรับพฤติกรรมได้จ าเป็นที่จะต้องมีการปรับฐานคิด ปลูกฝัง หล่อหลอมคนให้มีจิตส านึกและพฤติกรรมยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต และขณะเดียวกันก็มีทัศนคติ และพฤติกรรมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ อันจะน าไปสู่การยกระดับคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศไทยให้สูงขึ้นต่อไป กระบวนการในการปลูกฝัง หล่อหลอม และปรับฐานคิดของคนทุกช่วงวัยให้มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ต่อการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต จ าเป็นที่จะต้องอาศัยกลไกทางสังคมทุกกลไกในการขับเคลื่อน ทั้งกลไก ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาครัฐวิสาหกิจ และประชาชนทั่วไป โดยมีส านักงาน ป.ป.ช. เป็นหน่วยหลักในการ ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการร่วมพัฒนาหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และใช้กลไกเชิงสถาบัน คือ ที่มีมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 5 หลักสูตร และมอบหมายให้ส านักงาน ป.ป.ช. ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบาย และพัฒนาการศึกษา และกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการ ข้าราชการพลเรือน ส านักงานต ารวจแห่งชาติ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นไปพิจารณาด าเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตร แต่ละหลักสูตรได้ถูกน าไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ดังจะเห็นได้จาก 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักเรียนในระดับปฐมวัย จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่อยู่ในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ สังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สังกัดกรุงเทพมหานคร 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) เน้นกลุ่มเป้าหมายคือ นักศึกษาระดับอุดมศึกษาในสถาบันการศึกษาทั้ง ของรัฐและเอกชนที่อยู่ในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 3) หลักสูตรกลุ่ม


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 264 ทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ซึ่งส าหรับกลุ่มทหาร เป็นแนวทางรับราชการ และหลักสูตรเพิ่มพูนความรู้ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ในขณะที่กลุ่มต ารวจเน้นไปที่การฝึกอบรม เพื่อเลื่อนต าแหน่งสูงขึ้น (หลักสูตรนักเรียนนายสิบต ารวจ) และ 4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) เน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็น บุคลากรส านักงาน ป.ป.ช. กลุ่มข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ และกลุ่มอาจารย์และบุคลากรใน ระดับอุดมศึกษา และ 5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) เน้นไปที่การสร้าง “แกนน า” เพื่อเป็น ตัวแทนของส านักงาน ป.ป.ช. ในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับ ประชาชนทั่วไป หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตรที่ส านักงาน ป.ป.ช. ร่วมกับภาคีเครือข่ายพัฒนาและน าสู่ การปฏิบัติร่วมกัน มีความพยายามในการออกแบบเนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้ ให้ครอบคลุมประชาชน ทุกผู้ทุกคนทั้งเด็ก เยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไป บางกลุ่มเป้าหมายผ่านหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน บางกลุ่มผ่านหลักสูตรฝึกอบรม มีการสร้างโค้ชกระจายครอบคลุมทั้ง 76 จังหวัด แต่ในแต่ละจังหวัดก็มีเพียง ประมาณ 10 คนเท่านั้น จึงถือเป็นโอกาสที่จะท าให้เกิดการขยายกลุ่มเป้าหมายให้ได้ทั้งเชิงปริมาณและ เชิงคุณภาพ ขณะเดียวกันการสร้างวิสัยทัศน์เพื่อให้ภาคีเครือข่ายที่ร่วมกันพัฒนาและขับเคลื่อนหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาให้มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน (shared vision) เป็นความจ าเป็นที่จะต้องด าเนินการเพื่อท าให้เกิด เป้าหมายร่วมกันและน าสู่การท างานเป็นทีม ดังเช่นการขับเคลื่อนของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อหน่วยงานอื่น ๆ มีวิสัยทัศน์ร่วมก็จะส่งผลให้การขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติบรรลุผล โดยเฉพาะการขับเคลื่อนให้เกิดการน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปปฏิบัติของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม การน าสู่การปฏิบัติ ของสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน รวมถึงการพัฒนาปรับปรุงเครื่องมือใน การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่มีการประยุกต์เทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนาเครื่องมือ การเปลี่ยนแปลงส าคัญที่สามารถมองได้ทั้งการเป็นโอกาสหรือความท้าทายที่ต้องเอาชนะ คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สามารถจะน ามาใช้เป็นเครื่องมือในการก ากับ ติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการผลิตสื่อที่เสมือนมีชีวิตผ่านช่องทางต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อ สังคมออนไลน์ ที่มีบทบาทในการหล่อหลอมพฤติกรรมของคนมากขึ้น โดยเฉพาะการเกิดโรคอุบัติใหม่ เช่น Covid-19 ที่ท าให้ปฏิสัมพันธ์ของคนในสังคมลดน้อยลง แต่ทว่าโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับเทคโนโลยีดิจิทัล ก็เป็นความจ าเป็นและส าคัญ รวมถึงการผลักดันในเชิงนโยบายที่อาจไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของสังคม ไม่เช่นนั้นก็จะยิ่งส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ าในการเข้าถึงของผู้คน รวมถึงเด็กและเยาวชนมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันสื่อสร้างสรรค์ที่ต้องผลิตให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีสัดส่วนในการ แข่งขันกับสื่อสังคมออนไลน์ที่แพร่กระจายอย่างกว้างขวางเช่นในปัจจุบัน ก็เป็นความท้าทายและเป็นจุดที่ สถานศึกษาหรือสถานประกอบการต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ผลการประเมินบริบทสภาพแวดล้อมของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา พอสรุปได้ดังแผนภาพที่ 5.1


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 265 แผนภาพที่ 5.1 สรุปผลการประเมินบริบทสภาพแวดล้อม (Strengths Weaknesses Opportunities Threats: SWOT) ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 5.1.2 สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวม ในภาพรวมของผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตรไปใช้พบว่า หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) มีคะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาใน ภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก หรือระดับ A (ค่าคะแนนเท่ากับ 81.59) ส่วนอีก 4 หลักสูตรคือ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยาการผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) มีคะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในภาพรวม อยู่ในระดับดี หรือ ระดับ B อยู่ที่ 78.61 คะแนน 78.45 คะแนน 78.21 คะแนน และ 62.01 คะแนนตามล าดับ (ดูจากตารางที่ 5.1 และแผนภาพที่ 5.2) ตารางที่ 5.1 ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ หลักสูตร ปัจจัยน าเข้า (Input) (10 คะแนน) (ถ่วงน าหนัก แล้ว) กระบวนการ (Process) (25 คะแนน) (ถ่วงน าหนัก แล้ว) ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนน รวม ผลสัมฤทธิ์ (100 คะแนน) ระดับ การแปล ความหมาย ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมฯ (50 คะแนน) (ถ่วงน าหนักแล้ว) ความพึงพอใจ ต่อหลักสูตร (15 คะแนน) (ถ่วงน าหนักแล้ว) 1.หลักสูตรโค้ช{n=423} 6.88 21.67 39.55 13.49 81.59 A ระดับดีมาก 2.หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน {n=36,712} 7.38 19.72 39.05 12.46 78.61 B ระดับดี 3.หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ{n=780} 4.90 16.92 44.23 12.40 78.45 B ระดับดี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 266 หลักสูตร ปัจจัยน าเข้า (Input) (10 คะแนน) (ถ่วงน าหนัก แล้ว) กระบวนการ (Process) (25 คะแนน) (ถ่วงน าหนัก แล้ว) ผลลัพธ์ (Outcome) คะแนน รวม ผลสัมฤทธิ์ (100 คะแนน) ระดับ การแปล ความหมาย ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมฯ (50 คะแนน) (ถ่วงน าหนักแล้ว) ความพึงพอใจ ต่อหลักสูตร (15 คะแนน) (ถ่วงน าหนักแล้ว) 4.หลักสูตรกลุ่มทหารและ ต ารวจ {n=204} 5.72 17.33 42.11 13.05 78.21 B ระดับดี 5.หลักสูตรอุดมศึกษา {n=526} 5.20 9.54 33.46 11.81 62.01 B ระดับดี แผนภาพที่ 5.2 ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 267 เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ จ าแนกตามองค์ประกอบ คือ ปัจจัย น าเข้า กระบวนการ และผลลัพธ์ พบว่า ปัจจัยน าเข้าของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) มีค่าคะแนนสูงสุด คือ 7.38 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) รองลงมาคือ ปัจจัย น าเข้าของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่มีค่าคะแนน 6.88 คะแนน ส่วนต่ าสุดคือ ปัจจัยน าเข้า ของหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยาการผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ซึ่งมีเพียง 4.90 คะแนน เท่านั้น (ดูแผนภาพที่ 5.2) ในส่วนกระบวนการ ผลการประเมินพบว่า กระบวนการของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) มีค่าคะแนนสูงสุด คือ 21.67 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน) รองลงมาคือ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) มีค่าคะแนน 19.72 คะแนน ส่วนต่ าสุดคือ หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) (ค่าคะแนน 9.54 คะแนน) (ดูแผนภาพที่ 5.2) ส่วนการประเมินผลลัพธ์ (Outcome) ซึ่งดูจากความรู้เจตคติและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของผู้เรียน/ ผู้ผ่านการฝึกอบรมที่ผ่านหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา รวมถึงความพึงพอใจที่มีต่อหลักสูตร ผลการประเมินพบว่า 1) ความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของกลุ่มเป้าหมายที่ผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) มีค่าคะแนน สูงสุด คือ 44.23 คะแนน รองลงมาคือ ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับ ราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) (ค่าคะแนน 42.11 คะแนน) ผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิด ต้านทุจริต) มีค่าคะแนนส่วนนี้พอ ๆ กันกับนักเรียนที่เคยเรียนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ส่วนนักศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ผ่านการเรียนหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) มีค่าคะแนนต่ าสุด ในขณะที่ความพึงพอใจที่มีต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ตัวเลขที่ปรากฏในตารางที่ 5.1 และแผนภาพ ที่ 5.2 สามารถกล่าวได้ว่า นักเรียน/นักศึกษา หรือผู้ผ่านการอบรมจากหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตร มีความพึงพอใจต่อหลักสูตรที่ตนเองเคยศึกษาหรือเคยเข้ารับการอบรมในระดับคะแนนที่แทบจะไม่มี ความแตกต่างกัน 5.1.3 สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั นพื นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ไปใช้จ าแนกตามสังกัด ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ พบว่า ในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ระดับ B) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 78.61 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจ าแนกเป็นคะแนน ปัจจัยน าเข้า 7.38 คะแนน กระบวนการ 19.72 คะแนน ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม 39.05 คะแนน และ ความพึงพอใจต่อหลักสูตร 12.46 คะแนน (ดูจากแผนภาพที่ 5.2) ส่วนสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) มีค่าคะแนนสูงสุด คือ 80.06 อยู่ในระดับ A รองลงมาคือ สถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กรมส่งเสริมการปกครอง ท้องถิ่น (สถ.) เป็นผู้สนับสนุนส่งเสริม (ค่าคะแนน 74.44 คะแนน) สถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) (ค่าคะแนน 73.63 คะแนน) และสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) มีค่าคะแนนต่ าสุด คือ 72.60 คะแนน แต่ทั้งหมดนี้ถือว่ามีผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในระดับ B หรือระดับดีเป็นที่ น่าสังเกตว่าสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพียงร้อยละ 50 มีผลสัมฤทธิ์ การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในระดับ A หรือระดับดีมาก ส่วนที่เหลืออีก 3 สังกัด คือ ส านักงาน


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 268 คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) ส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในระดับ B หรือระดับดี ตารางที่ 5.2 ร้อยละของสถานศึกษาในทั้ง 4 สังกัดที่มีการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) จ าแนกตามระดับผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ร้อยละ รวม กลุ่มสถานศึกษา A (80.00-100.00) B (60.00-79.99) C (50.00-50.99) D (0.00-49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) (n=1,055 แห่ง) 49.48 50.14 0.38 0.00 80.06 A ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา เอกชน (สช.) (n=37 แห่ง) 29.73 62.16 8.11 0.00 72.60 B กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) (n=147 แห่ง) 21.09 76.19 2.04 0.68 74.44 B กรุงเทพมหานคร (กทม.) (n=134 แห่ง) 13.43 82.84 3.73 0.00 73.63 B แผนภาพที่ 5.3 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน การทุจริต) ไปใช้ เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการ ทุจริต) ไปใช้ จ าแนกตามส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร ดังตัวเลขที่ปรากฏในตารางที่ 5.2 แสดงให้เห็นว่า สถานศึกษาทั้ง 4 สังกัด ใน 8 ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร มีค่าคะแนน ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือ มีค่าคะแนนอยู่ระหว่าง 73.71- 79.53 คะแนน ถือว่ามีผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ระดับ B ในขณะที่ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2 มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับ A หรือในระดับที่ดีมาก (ค่าคะแนนเท่ากับ 80.45 คะแนน) (ดูได้จากตารางที่ 5.2 และตารางที่ 5.3)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 269 ตารางที่ 5.3 ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน การทุจริต) ไปใช้ จ าแนกตามส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร และในแต่ละองค์ประกอบ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค ปัจจัยน าเข้า (Input) (10 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) กระบวนการ (Process) (25 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ผลลัพธ์ คะแนนประเมิน ผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา รวมเฉลี่ย (100 คะแนน) ระดับ การแปล ความรู้ ความหมาย เจตคติและ พฤติกรรมฯ (50 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ความ พึงพอใจต่อ หลักสูตร (15 คะแนน) (ถ่วงน้ าหนัก แล้ว) ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 7.46 20.28 38.78 12.41 78.93 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2 7.44 20.90 39.48 12.63 80.45 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 3 7.51 20.04 38.79 12.43 78.78 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 7.49 19.55 39.76 12.13 78.93 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 7.63 20.39 37.81 12.47 78.30 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 7.52 20.12 39.04 12.60 79.27 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 7.23 19.93 39.18 12.59 78.94 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 7.43 19.98 39.48 12.63 79.53 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 7.35 19.60 39.50 12.48 78.93 B ระดับดี กรุงเทพมหานคร 6.70 16.17 38.76 12.10 73.71 B ระดับดี รวม 7.38 19.72 39.05 12.46 78.61 B ระดับดี เมื่อดูการกระจายตัวของระดับผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ สถานศึกษาที่อยู่ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค ทุกภาค (ยกเว้นส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2) รวมทั้งกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์ อยู่ในระดับ B หรือระดับดี ตารางที่ 5.4 ร้อยละของสถานศึกษาที่มีการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชา เพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) จ าแนกตามส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร ในภาพรวม ร้อยละ รวม การแปล ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 47.27 51.16 0.77 0.77 78.93 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2 53.50 45.86 0.63 0.00 80.45 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 3 46.83 52.53 0.63 0.00 78.78 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 48.18 50.90 0.91 0.00 78.93 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 40.30 59.73 0.00 0.00 78.30 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 45.34 54.66 0.00 0.00 79.27 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 45.00 52.50 2.50 0.00 78.94 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 43.40 56.60 0.00 0.00 79.53 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 39.02 58.54 2.44 0.00 78.93 B ระดับดี กรุงเทพมหานคร 13.77 82.61 3.62 0.00 73.71 B ระดับดี รวม 42.39 56.45 1.09 0.07 78.61 B ระดับดี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 270 เมื่อพิจารณาเฉพาะสถานศึกษาในสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั นพื นฐาน (สพฐ.) ค่าคะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกัน การทุจริต) ไปใช้แต่ละส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร ดังตัวเลขที่ปรากฏในตารางที่ 5.5 แสดง ให้เห็นว่า สถานศึกษาใน 6 ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค ได้แก่ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1-2, 4 และส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6-9 มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ตั้งแต่ 80 คะแนนขึ้นไป ซึ่งถือว่ามี ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ระดับ A ในขณะที่ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 3, 5 และ กรุงเทพมหานคร มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับ B โดยมีค่าคะแนน อยู่ในช่วงระหว่าง 76.40-79.51 คะแนน (ดูได้จากตารางที่ 5.5) ตารางที่ 5.5 ร้อยละของจ านวนสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในแต่ละส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร จ าแนกตามระดับผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ ร้อยละ รวม การแปล ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 53.77 46.23 0.00 0.00 80.97 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2 53.48 45.83 0.69 0.00 80.61 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 3 49.65 49.65 0.70 0.00 79.35 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 54.55 45.45 0.00 0.00 80.86 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 42.40 57.60 0.00 0.00 78.63 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 52.34 47.66 0.00 0.00 80.47 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 51.46 48.54 0.00 0.00 80.37 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 47.06 52.94 0.00 0.00 80.37 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 42.45 55.66 1.89 0.00 79.51 B ระดับดี กรุงเทพมหานคร 33.33 66.67 0.00 0.00 76.40 B ระดับดี รวม (n= 1,055 แห่ง) 49.48 50.14 0.38 0.00 80.06 A ระดับดีมาก เมื่อพิจารณาเฉพาะสถานศึกษาในสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ค่าคะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ไปใช้แต่ละส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร ดังตัวเลขที่ปรากฏในตารางที่ 5.6 แสดงให้เห็นว่า มีเพียงส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 เท่านั้นที่มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้อยู่ใน ระดับ A คือ ระดับดีมาก ในขณะที่ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1-5, 7-9 มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับ B โดยมีค่าคะแนนอยู่ในช่วงระหว่าง 63.83-79.50 คะแนน (ดูได้จากตาราง ที่ 5.6)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 271 ตารางที่ 5.6 ร้อยละของสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ในแต่ละ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร จ าแนกตามระดับผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ร้อยละ รวม การแปล ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 16.67 75.00 8.33 0.00 69.70 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2 55.56 44.44 0.00 0.00 79.50 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 3 0.00 100.00 0.00 0.00 63.83 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 50.00 25.00 25.00 0.00 70.11 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 0.00 100.00 0.00 0.00 76.48 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 50.00 50.00 0.00 0.00 80.76 A ระดับดีมาก ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 0.00 50.00 50.00 0.00 65.59 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 0.00 100.00 0.00 0.00 72.28 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 0.00 100.00 0.00 0.00 72.28 B ระดับดี กรุงเทพมหานคร* - - - - - - - รวม (n= 37 แห่ง) 29.73 62.16 8.11 0.00 72.60 B ระดับดี เมื่อพิจารณาเฉพาะสถานศึกษาในสังกัดสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ค่าคะแนนการ ประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ไปใช้แต่ละ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร ดังตัวเลขที่ปรากฏในตารางที่ 5.7 แสดงให้เห็นว่า สถานศึกษาใน พื้นที่ทั้ง 9 ส านักงาน ป.ป.ช. มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้อยู่ในระดับ B คือ ระดับดี โดยมีค่าคะแนนอยู่ในช่วงระหว่าง 71.20-76.39 คะแนน (ดูได้จากตารางที่ 5.7) ตารางที่ 5.7 ร้อยละของสถานศึกษาสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ในแต่ละส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร จ าแนกตามระดับผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ร้อยละ รวม การแปล ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 18.18 72.73 0.00 9.09 71.20 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2 50.00 50.00 0.00 0.00 73.07 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 3 21.43 78.57 0.00 0.00 75.05 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 31.03 68.97 0.00 0.00 76.39 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 12.50 87.50 0.00 0.00 73.07 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 13.79 86.21 0.00 0.00 73.61 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 6.67 80.00 13.33 0.00 71.30 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 28.57 71.43 0.00 0.00 75.68 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 18.75 75.00 6.25 0.00 75.10 B ระดับดี รวม (n= 147 แห่ง) 21.09 76.19 2.04 0.68 74.44 B ระดับดี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 272 เมื่อพิจารณาเฉพาะสถานศึกษาในสังกัดสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) ค่าคะแนนการประเมินผล สัมฤทธิ์การน าหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ไปใช้ตัวเลขที่ปรากฏใน ตารางที่ 5.7 แสดงให้เห็นว่า สถานศึกษาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้อยู่ในระดับ B คือ ระดับดี โดยมีค่าคะแนนอยู่ที่ 73.63 คะแนน ซึ่งสถานศึกษาส่วนใหญ่มี ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับ B คิดเป็นร้อยละ 82.9 รองลงมาคือ สถานศึกษามีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ อยู่ในระดับ A คิดเป็นร้อยละ 13.4 (ดูได้จากตารางที่ 5.8) ตารางที่ 5.8 ร้อยละของสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร (กทม.) จ าแนกตามระดับผลสัมฤทธิ์การน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ร้อยละ รวม การแปล กรุงเทพมหานคร A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ รวม (n=137 แห่ง) 13.43 82.84 3.73 - 73.63 B ระดับดี 5.1.2.2 สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ซึ่งประเมินโดยนักศึกษาจาก สถาบันการศึกษารวม 526 คน จากมหาวิทยาลัย 35 แห่ง ผลการประเมินพบว่า ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ระดับ B) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 62.01 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจ าแนกเป็นคะแนนปัจจัยน าเข้า 5.20 คะแนน กระบวนการ 9.54 คะแนน ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม 35.46 คะแนน และความพึงพอใจต่อหลักสูตร 11.81 คะแนน แผนภาพที่ 5.4 ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 273 เมื่อพิจารณาผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ จ าแนกตามส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร ดังตัวเลขที่ปรากฏในตารางที่ 5.9 แสดงให้เห็นว่า สถานศึกษาที่อยู่ในพื้นที่ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค ทั้ง 9 ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวม อยู่ในช่วงคะแนนระหว่าง 47.59- 76.77 คะแนน หรืออยู่ในระดับ B และระดับ D ซึ่งถือว่าถือว่ามีผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไปใช้ในระดับดีและต้องได้รับการปรับปรุง (ดูได้จากตารางที่ 5.9 ตารางที่ 5.9 ร้อยละของสถานศึกษาในแต่ละส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร จ าแนกตามระดับ การประเมินระดับผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ไปใช้ ร้อยละ รวม การแปล ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 1 0.00 100.00 0.00 0.00 76.77 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 2* - - - - - - - ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 3 0.00 0.00 33.33 66.67 49.59 D ระดับพอใช้ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 4 0.00 75.00 25.00 0.00 64.37 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 5 0.00 57.14 28.6 14.29 60.82 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 6 0.00 33.33 66.67 0.00 57.96 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 7 0.00 50.00 25.00 25.00 62.78 B ระดับดี ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 8 0.00 0.00 0.00 100.00 47.59 D ระดับพอใช้ ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค 9 33.33 33.33 33.33 0.00 67.20 B ระดับดี กรุงเทพมหานคร 0.00 77.78 11.11 11.11 65.28 B ระดับดี รวม (n=35 แห่ง) 2.86 54.29 25.71 17.14 62.01 B ระดับดี หมายเหตุ: ประเมินเฉพาะมหาวิทยาลัยที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนในระดับเข้มข้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 5.1.2.3 สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทาง รับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้ ซึ่งประเมินโดยผู้ผ่านการฝึกอบรม จ านวนรวม 204 คน จาก 10 หน่วยงาน ผลการประเมินพบว่า ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ระดับ B) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 78.21 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจ าแนกเป็นคะแนน ปัจจัยน าเข้า 5.72 คะแนน กระบวนการ 17.33 คะแนน ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม 42.11 คะแนน และ ความพึงพอใจต่อหลักสูตร 13.05 คะแนน และหน่วยงานที่มีการน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ไปใช้ มีผลสัมฤทธิ์อยู่ในระดับดีมาก หรือระดับ A ถึงร้อยละ 30 หน่วยงานส่วนใหญ่มีผลการประเมินอยู่ในระดับ B หรือระดับดี (ดูได้จากแผนภาพที่ 5.5 และตารางที่ 5.10)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 274 แผนภาพที่ 5.5 คะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหาร และต ารวจ) ไปใช้ ตารางที่ 5.10 ร้อยละของหน่วยงานที่มีการน าหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่ม ทหารและต ารวจ) ไปใช้ จ าแนกตามระดับผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ร้อยละ รวม การแปล หลักสูตร A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ หลักสูตรกลุ่มทหารและ ต ารวจ (ตามแนวทางรับ ราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) (n=10 แห่ง) 30.00 70.00 0.00 0.00 78.21 B ระดับดี 5.1.2.4 สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยาการผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ซึ่งประเมินโดยผู้ผ่านการ ฝึกอบรม จ านวนรวม 780 คน จาก 26 หน่วยงาน ผลการประเมินพบว่า ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในภาพรวมอยู่ในระดับดี (ระดับ B) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 78.45 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจ าแนกเป็นคะแนนปัจจัยน าเข้า 4.90 คะแนน กระบวนการ 16.92 คะแนน ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม 44.23 คะแนน และความพึงพอใจต่อหลักสูตร 12.40 คะแนน (ดูได้จากแผนภาพที่ 5.6) หน่วยงานส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 58 มีผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้อยู่ใน ระดับ B หรือระดับดี (ดูได้จากตารางที่ 5.11)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 275 แผนภาพที่ 5.6 คะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ ตารางที่ 5.11 ร้อยละของหน่วยงานที่มีผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยาการผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ไปใช้ จ าแนกตามระดับ ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ร้อยละ รวม การแปล หลักสูตร A ความหมาย (80.00- 100.00) B (60.00- 79.99) C (50.00- 50.99) D (0.00- 49.99) ผลสัมฤทธิ์ ระดับ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคม ที่ไม่ทนต่อการทุจริต) 42.30 57.70 0.00 0.00 78.45 B ระดับดี 5.1.2.5 สรุปผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ เมื่อพิจารณาผลการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ซึ่งประเมินโดยผู้ผ่านการฝึกอบรม จ านวนรวม 423 คน จาก 1 หน่วยงาน ผลการประเมินพบว่า ผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก (ระดับ A) โดยมีค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 81.59 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน โดยจ าแนกเป็นคะแนนปัจจัยน าเข้า 6.88 คะแนน กระบวนการ 21.69 คะแนน ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม 39.55 คะแนน และความพึงพอใจต่อหลักสูตร 13.49 คะแนน (ดูได้จากแผนภาพที่ 5.7)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 276 แผนภาพที่ 5.7 คะแนนการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ไปใช้ 5.2 การอภิปรายผลการศึกษา การอภิปรายผลการศึกษา ในส่วนแรกจะเป็นการอภิปรายเปรียบเทียบผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ 2563 ถึง 2565 ต่อด้วยการอภิปรายเปรียบเทียบร้อยละของเด็กและ เยาวชนที่มีความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต และเปรียบเทียบร้อยละของผู้ผ่าน การอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ.2565 กับรัอยละประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2564 จากนั้น จะเป็นการอภิปรายผลการศึกษาการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในปี พ.ศ. 2565 และการอภิปรายเปรียบเทียบการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของในประเทศและต่างประเทศ เป็นส่วน สุดท้ายของการอภิปรายผล รายละเอียดมีดังนี้ 5.2.1 เปรียบเทียบผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 นับตั้งแต่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 เห็นชอบหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ โดยมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาน าไปปรับใช้ ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการ สถาบันอุดมศึกษา สังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มีการน าไปปรับใช้นับตั้งแต่ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 และมีการขยายผลไปสู่หลักสูตรการพัฒนา บุคลากรของหน่วยงานต่าง ๆ ในลักษณะหลักสูตรการฝึกอบรม เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปัญหา/อุปสรรค ตลอดจนผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ส านักงาน ป.ป.ช. โดยส านักต้านทุจริตศึกษาได้ท า การคัดเลือกที่ปรึกษาให้ท าการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษานับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563-2565 การประเมินผลสัมฤทธิ์ในแต่ละครั้ง มีดังต่อไปนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ส านักงาน ป.ป.ช. ได้ท าการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้าน ทุจริตศึกษา (ส านักงาน ป.ป.ช., 2564ข) เน้นเฉพาะหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 2 หลักสูตร คือ 1) หลักสูตร


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 277 การศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และ 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ 1) สถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทั้งส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) และส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) และ 2) สถาบันอุดมศึกษาสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม (อว.) โดยสถานศึกษาทั้ง 2 ประเภท มีรูปแบบในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้แตกต่างกัน การประเมินผลสัมฤทธิ์ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ทั้ง 2 หลักสูตร จึงมุ่งประเมินศักยภาพและความ พร้อมของสถานศึกษาในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ (ดูรายละเอียดในส านักงาน ป.ป.ช., 2564ข) ผลของการประเมินปรากฏในแผนภาพที่ 5.8 ต่อมาในปี พ.ศ. 2564 ส านักงาน ป.ป.ช. มอบหมายให้มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยศุภวัฒนากร วงศ์ธนวสุ และคณะ เป็นผู้ประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งการประเมินในครั้งนี้มุ่งเน้นการ ติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ครอบคลุมทั้ง 5 หลักสูตร อันได้แก่ 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2) หลักสูตร อุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) 3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทาง รับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) 4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และ 5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยศึกษาครอบคลุมเอกสารหลักสูตร ผลสัมฤทธิ์ของการใช้หลักสูตร และความพึงพอใจต่อหลักสูตรของ สถานศึกษาและหน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้มีการน าหลักสูตรทั้ง 5 หลักสูตรไปใช้เต็มรูปแบบ (ดูรายละเอียดใน ส านักงาน ป.ป.ช., 2565) ส่วนในปี พ.ศ. 2565 ได้มีการเพิ่มเติมปรับปรุงกรอบในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาทั้ง 5 หลักสูตรที่เรียกว่า CIPO คือ 1) บริบทสภาพแวดล้อม (Context) 2) ปัจจัยน าเข้า (Input) 3) กระบวนการ (Process) และ 4) ผลลัพธ์ (Outcome) โดยเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมาย คือ เด็กและเยาวชนใน สถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน (สช.) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) และกระทรวงการ อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และประชาชนซึ่งก็คือ ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา 3 หลักสูตร ได้แก่ 1) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) 2) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ ไม่ทนต่อการทุจริต) และ 3) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ซึ่งเป็นผู้สะท้อนผลสัมฤทธิ์การน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ (ดูพัฒนาการของการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในช่วงเวลา พ.ศ. 2563-2565) ในแผนภาพที่ 5.8


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 278 แผนภาพที่ 5.8 พัฒนาการการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา คะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ดังปรากฏในตารางที่ 5.12 และแผนภาพที่ 5.9 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชา เพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) มีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2563 มีค่าคะแนน 63.50 ค่าคะแนนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 75.91 คะแนนในปี พ.ศ. 2564 และเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 คะแนนในปี พ.ศ. 2565 เช่นเดียวกันกับหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้เพิ่มขึ้นจาก 77.49 ในปี พ.ศ. 2564 เป็น 81.07 คะแนน ในปี พ.ศ. 2565 ในขณะที่


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 279 อีกทั้ง 2 หลักสูตรฝึกอบรม คือ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ ทนต่อการทุจริต) มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ลดลง โดยเฉพาะหลักสูตร วิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการ ทุจริต) แต่ข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ผ่านการอบรมได้สะท้อนให้เห็นว่าภายหลังการอบรมท าให้มี ความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) มีค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้มีลักษณะเป็นรูปตัว (วีคว่ า) ^ คือ เพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2564 และลดลงในปี พ.ศ. 2565 แต่อย่างไรก็ตามการที่จะใช้ตัวเลขที่ปรากฏในตารางที่ 5.12 เปรียบเทียบให้เห็นการเปลี่ยนแปลง ดังกล่าวอาจจะไม่ถูกต้องเท่าใดนัก จะท าให้ตัวเลขที่ได้จากการประเมินในแต่ละปีมาเปรียบเทียบกัน อันเนื่องจาก วิธีการประเมินในแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันไปทั้งกรอบแนวคิดในการประเมิน กลุ่มเป้าหมาย องค์ประกอบ ในการประเมิน รวมถึงน้ าหนักที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในแต่ละกลุ่มให้มีความต่างกัน ดังได้กล่าวไปแล้วในหัวข้อ 5.2 แต่ข้อมูลเชิงคุณภาพจากนักเรียน/นักศึกษา รวมทั้งผู้ผ่านการอบรมทั้ง 5 หลักสูตรต่างก็สะท้อนไปใน ทิศทางเดียวกันว่า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ท าให้ตนเองได้มีความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปดัง ค าพูดของเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้พูดว่า “ก่อนเรียนไม่ค่อยเข้าใจว่าวิชาต้านทุจริตศึกษาคืออะไร ท าไมต้องเรียน แต่พอได้เรียน ท าให้มีความรู้ มากขึ้น มีเจตคติที่ดีต่อวิชานี้ ความรู้ที่ได้รับมาคือ การแยกประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวมออก จากกัน ความละอายและไม่ทนต่อการทุจริต แต่ก่อนจะท างานตนเองให้เสร็จก่อนแล้วค่อยไปเล่น และ ไม่ได้สนใจว่างานส่วนรวมเสร็จหรือยัง แต่เดี๋ยวนี้ต้องท างานส่วนรวมให้เสร็จก่อนจึงค่อยไปเล่น” หรือในกรณีของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงหลังการ ฝึกอบรมว่า “หลังการฝึกอบรมท าให้พวกเรามีความสามารถในเรื่องของการแยกแยะประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ส่วนรวมได้ชัดเจนมากขึ้น ท าให้มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก เช่น การไม่สนับสนุน ผู้ค้าที่มายึดพื้นที่สาธารณะเป็นที่ค้าขาย เป็นต้น ซึ่งแต่ก่อนเห็นก็รู้สึกเฉย ๆ และยังอุดหนุนซื้อสินค้าที่ เทวางขายอีกต่างหาก” ตารางที่ 5.12 เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของปีงบประมาณ 2563-2565 (5 หลักสูตร) หลักสูตร ปี 2563* ปี 2564 ปี 2565 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 63.50 75.91 76.95 หลักสูตรอุดมศึกษา 63.06 68.50 58.30 หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ - 80.11 77.43 หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ - 84.87 77.90 หลักสูตรโค้ช - 77.49 81.07 หมายเหตุ: ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 เป็นปีแรกที่เริ่มมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ที่มา: * รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์การในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ** รายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 280 แผนภาพที่ 5.9 เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของปีงบประมาณ 2563-2565 (5 หลักสูตร)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 281 5.2.2 เปรียบเทียบร้อยละของเด็กและเยาวชนที่มีความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความ ซื่อสัตย์สุจริต ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เมื่อพิจารณาน าค่าคะแนนผลลัพธ์ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของเด็กและเยาวชนไทยที่ผ่านการเรียนหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ซึ่งมีข้อค าถามสอดคล้องกับเครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัดแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.1 ร้อยละของเด็กและ เยาวชนที่มีพฤติกรรมยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตมาท าการเปรียบเทียบผลการประเมินที่ด าเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563 - ปี พ.ศ. 2565 ผลที่ได้ปรากฏในแผนภาพที่ 5.13 ตัวเลขที่ปรากฏในแผนภาพที่ 5.13 ที่สะท้อนให้เห็นถึงร้อยละของเด็กและเยาวชนไทยที่มีพฤติกรรม ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตที่มีตัวเลขแตกต่างกัน โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2564 อันเนื่องมาจากมีความแตกต่าง กันในวิธีการประเมิน โดยในปี พ.ศ. 2563 และ พ.ศ. 2565 ใช้การประเมินในลักษณะที่เป็น Multi-raters ครอบคลุม 360 องศา กล่าวคือ กลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจะต้องได้รับการประเมินจาก 4 กลุ่ม คือ 1) เด็กและเยาวชนประเมินตนเอง 2) เพื่อนของเด็กและเยาวชน 3) ครู/อาจารย์ผู้สอนของเด็กและเยาวชน และ 4) ผู้ปกครองของเด็กและเยาวชน ในขณะที่การประเมินในปี พ.ศ. 2564 (ที่ด าเนินการโดยส านักงานสถิติ แห่งชาติ มีลักษณะที่เรียกว่า Self-rated โดยเป็นการประเมินตนเองของเด็กและเยาวชนที่มีอายุตั้งแต่ 12-24 ปี ที่เป็นทั้งผู้ที่เคยผ่านการเรียนหรือผ่านการอบรม/ไม่เคยเรียนหรือไม่เคยผ่านการอบรม ไม่ได้ใช้วิธีการประเมิน ที่ครอบคลุม 360 องศา แต่อย่างใด จึงอาจจะท าให้ค่าคะแนนสูงกว่าที่ควรจะเป็น ผลการประเมินในปี พ.ศ. 2565 แม้จะให้ค่าที่แปลงไปจากผลการประเมินที่ได้ในปี พ.ศ. 2564 แต่เมื่อ พิจารณาจากข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกนักเรียนและนักศึกษาซึ่งเป็นผู้ผ่านหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) รวมถึงผู้มีส่วนได้เสียของหลักสูตร อันได้แก่ ครู/อาจารย์ผู้สอน รวมถึง ผู้บริหารโรงเรียน พบว่า ก่อนเรียนและหลังเรียน นักเรียนมีความรู้ เจตคติหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ พฤติกรรมที่เก็บเงินหรือสิ่งของมีค่าได้ นักเรียนจะน าส่งให้ครูเพื่อประกาศหาเจ้าของมารับ หรือพบสิ่ง ที่เพื่อนท าไม่ถูกต้อง ก็จะมีการบอกและเตือนเพื่อนว่าท าไม่ถูก ดังตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงที่ว่า “หลังจากได้เรียนวิชาต้านทุจริตแล้ว จะมีความรู้เพิ่มมากขึ้นและทุกคนจะช่วยเหลือกัน มีมารยาทดีต่อกัน ไม่มีการลักขโมย หากมีใครท าผิด เช่น ลอกการบ้านเพื่อน ก็จะบอกเพื่อน ให้ค าแนะน าเพื่อน และน้อง ๆ ถึงสิ่งที่ควรท าและไม่ควรท า”


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 282 แผนภาพที่ 5.10 เปรียบเทียบร้อยละของเด็กและเยาวชนที่มีความรู้ เจตคติและพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์ สุจริต 5.2.3 เปรียบเทียบร้อยละของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่มีวัฒนธรรมค่านิยม สุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ.2565 กับร้อยละประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2564 เมื่อพิจารณาน าค่าคะแนนผลลัพธ์ที่เป็นผลสัมฤทธิ์ของผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ซึ่งมี ข้อค าถามสอดคล้องกับเครื่องมือการประเมินผลตามตัวชี้วัดแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ประเด็นที่ 21 การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ (พ.ศ. 2561-2580) ตัวชี้วัดที่ 1.2 ร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรม ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งผลการประเมินในปี พ.ศ. 2563-2565 มีค่าใกล้เคียงกัน ต่างกันไม่ถึง 2% เพราะการประเมินในปี พ.ศ. 2565 ที่ส านักงาน ป.ป.ช. ใช้มีลักษณะเป็น Self-rated คือ ผู้ผ่านการอบรมเป็นผู้ประเมินตนเอง เช่นเดียวกับที่ส านักงานสถิติแห่งชาติ ประเมินในปี พ.ศ. 2563 และปี พ.ศ. 2564 แต่กลุ่มเป้าหมายมีความแตกต่างกันตรงที่ กลุ่มเป้าหมายของ ส านักงานสถิติแห่งชาติเป็นประชาชนทั่วไป ซึ่งมีทั้งผู้ที่ผ่านการอบรมและไม่ผ่านการอบรม แต่กลุ่มเป้าหมาย ของการประเมินในปี พ.ศ. 2565 มีเฉพาะกลุ่มผู้ผ่านการอบรมเท่านั้น


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 283 แผนภาพที่ 5.11 เปรียบเทียบร้อยละของประชาชนที่มีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมใน การต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ 5.2.4 การอภิปรายผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในปี พ.ศ. 2565 จากผลการประเมินในปี 2565 ถ้าดูจากค่าคะแนนภาพรวมผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตไปใช้ ของทั้ง 5 หลักสูตร ก็จะสามารถจ าแนกตามระดับได้เป็นสองเกรด กล่าวคือ กลุ่มหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ได้ ระดับดีมาก (A) ซึ่งหนึ่งหลักสูตร คือ หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) และกลุ่มหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาที่ได้ระดับดี (B) ซึ่งประกอบไปด้วยอีก 4 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) หลักสูตรกลุ่ม ทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) แต่ถ้าน าคะแนนรวมที่ได้ในแต่ละหลักสูตรต้านทุจริตศึกษามาเรียงล าดับคะแนนจากมากไปหาน้อย ก็จะมีคะแนนอยู่ 5 อันดับ ดังนี้ อันดับ 1 หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ซึ่งมีคะแนนสูงสุดอยู่ที่ 81.59 คะแนน ส่วนอันดับ 2 หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) อันดับ 3 หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต) และอันดับ 4 หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) มีคะแนนที่ใกล้เคียงกันมาก แตกต่างกันเพียงระดับจุดทศนิยม ที่ 78.61 คะแนน 78.45 คะแนน และ 78.21 คะแนน ตามล าดับ ส่วนหลักสูตรที่ได้คะแนนในล าดับท้ายสุด คือ หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ที่มีเพียง 62.21 คะแนน ซึ่งถ้าจ าแนกตามระดับคะแนนที่ได้ก็จะสามารถ จัดกลุ่มได้เป็นสามกลุ่มด้วยกันตามความกว้างของช่วงคะแนน


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 284 5.2.4.1 อภิปรายผลในแต่ละองค์ประกอบของค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ฯ เมื่อน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาทั้ง 5 หลักสูตรฯ มาจ าแนกผลคะแนนตามองค์ประกอบของ ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ซึ่งประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบคะแนน คือ ปัจจัยน าเข้า (Input) กระบวนการ (Process) ผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome - Knowledge Attitude Behavior: KAB) และผลลัพธ์ด้านความพึงพอใจ (Outcome - Satisfaction: SAT) ปรากฏผลดังตารางที่ 5.13 ตารางที่ 5.13 ตารางเปรียบเทียบค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ฯ รายหลักสูตรจ าแนกในแต่ละองค์ประกอบการประเมิน ตารางเปรียบเทียบค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์ฯ จ าแนกในแต่ละองค์ประกอบ ปัจจัยน าเข้า (Input) ในส่วนของปัจจัยน าเข้าจะเห็นได้ว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและหลักสูตรโค้ช มีคะแนนปัจจัยน าเข้าสูงที่สุดและรองลงมาตามล าดับ ส่วนหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ ได้คะแนนปัจจัยน าเข้าน้อยที่สุด โดยมีค่าคะแนนต่ ากว่าร้อยละ 50 ของคะแนนเต็ม (4.5/10.0)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 285 กระบวนการ (Process) ด้านคะแนนกระบวนการ หลักสูตรโค้ช ได้คะแนนสูงสุด รองลงมาคือหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ มีระดับคะแนนกระบวนการใกล้เคียงกัน ส่วนคะแนนกระบวนการน้อยที่สุด คือหลักสูตร อุดมศึกษา โดยมีค่าคะแนนคิดเป็นเพียงร้อยละ 38 ของคะแนนเต็ม 25 คะแนน ผลลัพธ์ส่วนความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome-Knowledge Attitude Behavior) ในด้าน คะแนนผลลัพธ์ส่วนความรู้ เจตคติและพฤติกรรม พบว่า กลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรมทั้ง 3 หลักสูตร มีคะแนน สูงกว่า 2 หลักสูตรใน กลุ่มการจัดการเรียนการสอน โดยหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ มีคะแนนผลลัพธ์ส่วนความรู้ เจตคติและพฤติกรรม สูงที่สุด ส่วนต่ าที่สุด คือหลักสูตรอุดมศึกษา อยู่ที่ร้อยละ 69 (33.46 คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน)


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 286 ผลลัพธ์ส่วนความพึงพอใจ (Outcome-Satisfaction) ด้านผลลัพธ์ส่วนความพึงพอใจต่อหลักสูตรฯ ทั้ง 5 หลักสูตร มีค่าคะแนนความพึงพอใจมากกว่า 79% ของคะแนนเต็ม โดยมีคะแนนส่วนความพึงพอใจ ต่อหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ใกล้เคียงกัน โดยหลักสูตรที่ได้คะแนนความพึงพอใจน้อยที่สุดของทั้ง 5 หลักสูตร คือหลักสูตรอุดมศึกษา จากตารางที่ 5.13 เมื่อพิจารณาเฉพาะในองค์ประกอบปัจจัยน าเข้า (Input) จะพบว่า หลักสูตรฯ สามารถแบ่งได้ออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กล่าวคือ กลุ่มที่มีคะแนนปัจจัยน าเข้าสูง คือ หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) และกลุ่มที่ สอง คือ กลุ่มที่คะแนนปัจจัยน าเข้าค่อนข้างน้อย ซึ่งได้แก่ หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) และ หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต) ซึ่งจากค่าคะแนนดังกล่าวนี้ ทั้งสามหลักสูตรที่กล่าวมา ควรจะต้องมีการปรับปรุงองค์ประกอบ ในด้านปัจจัยน าเข้า ซึ่งจะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ศักยภาพผู้บริหาร/หน่วยงาน การมีส่วนร่วม ความพร้อมของ ระบบสนับสนุน การเตรียมบุคลากร/คุณสมบัติ ความเหมาะสมของวิทยากร และการนิเทศและก ากับติดตาม ในส่วนเฉพาะคะแนนองค์ประกอบกระบวนการ (process) จะพบว่า สามารถแบ่งกลุ่มตามระดับ คะแนนได้เป็นสามกลุ่มใหญ่ กล่าวคือ กลุ่มที่มีคะแนนอยู่ในระดับสูง คือ หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิด ต้านทุจริต) และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) กลุ่มที่มีคะแนนอยู่ใน ระดับปานกลางค่อนข้างสูง คือ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและ ต ารวจ) และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่ สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ส่วนกลุ่มสุดท้ายซึ่งจะต้องได้รับการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ในส่วนองค์ประกอบนี้ คือ หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีค่าคะแนนน้อย ในส่วนกระบวนการ จะเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน และผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรการจัด การเรียนการสอนไปใช้


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 287 เมื่อพิจารณาเฉพาะองค์ประกอบ ผลลัพธ์(Outcome) ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1) ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรม (Outcome-Knowledge Attitude Behavior) พบว่า น่าจะสามารถจ าแนกได้เป็นสามกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มหลักสูตรที่มีคะแนนในส่วนนี้ค่อนข้างสูง (เกิน 80%) คือ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ในกลุ่มที่สองคือกลุ่มคะแนนที่อยู่ ในกลุ่มปานกลางค่อนข้างดี ได้แก่ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และ หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ส่วนในองค์ประกอบนี้หลักสูตรที่ต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขในส่วน ผลลัพธ์ส่วนความรู้ เจตคติและพฤติกรรม คือ หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ซึ่งเป็นหลักสูตรเดียวซึ่งถือได้ว่ามีค่าคะแนนในส่วนนี้น้อยที่สุด ต่ ากว่าร้อยละ 70 (ได้ 33.46 คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน) และ 2) ความพึงพอใจ (Outcome-Satisfaction) ในส่วนนี้จะเห็นว่า เกือบทั้ง ห้าหลักสูตรมีค่าคะแนนมากกว่า 80% ยกเว้นเพียงหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ที่มีค่าคะแนนต่ ากว่า 80% ซึ่งถ้าเทียบด้วยกันในหลักสูตรทั้งหมดแล้ว หลักสูตรนี้น่าจะต้องให้ ความสนใจเพื่อพิจารณาปรับปรุงให้ดีขึ้นในองค์ประกอบด้านผลลัพธ์ส่วนความพึงพอใจนี้ให้ดียิ่งขึ้น ตารางที่ 5.14 ความส าคัญของการปรับปรุงแก้ใขในแต่ละองค์ประกอบผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตไปใช้ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ความส าคัญของการปรับปรุงแก้ไขในแต่ละองค์ประกอบ Input Process Outcome-KAB Outcome-SAT หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน - - ปานกลาง - หลักสูตรอุดมศึกษา เร่งด่วน เร่งด่วน เร่งด่วน ปานกลาง หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ เร่งด่วน ปานกลาง - - หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ เร่งด่วน ปานกลาง - - หลักสูตรโค้ช ปานกลาง - ปานกลาง - KAB = Knowledge Attitude Behavior , SAT = Satisfaction จากตารางที่ 5.14 จะเห็นได้ว่า ถ้าจะต้องจัดล าดับความส าคัญในการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรฯ ควรที่จะต้องได้รับความสนใจเร่งด่วน ในการพิจารณาให้ความส าคัญที่สุดในการ ปรับปรุงแก้ไข คือหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ซึ่งมีองค์ประกอบ ที่จะต้องปรับปรุงเร่งด่วนถึง 3 องค์ประกอบด้วยกัน จาก 4 องค์ประกอบ มีองค์ประกอบที่จะต้องปรับปรุง แก้ไขเร่งด่วน ทั้งองค์ประกอบปัจจัยน าเข้า กระบวนการ และผลลัพธิ์ ซึ่งจากผลการประเมินในปีนี้ มีความ สอดคล้องกับการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของปีงบประมาณ 2563 และปีงบประมาณ 2564 ที่หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) มีค่าคะแนนน้อยที่สุดในการ ประเมินผลสัมฤทธิ์ในทั้งห้าหลักสูตร ส่วนหลักสูตรที่จะต้องให้ความส าคัญในการปรับปรุงแก้ไขในล าดับถัดไปคือหลักสูตรกลุ่มทหารและ ต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) และหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ที่ควรได้รับการปรับปรุงในด้าน องค์ประกอบปัจจัยน าเข้าเป็นการเร่งด่วน รวมถึงองค์ประกอบกระบวนการ (เกี่ยวข้องกับการบวนการ ฝึกอบรม) ซึ่งสมควรได้รับความสนใจปรับปรุงเช่นกัน ส่วนในสองหลักสูตรที่เหลือ คือ หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ซึ่งมี


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 288 ผลการประเมินอยู่ในระดับที่ดีมากเกือบทุกด้าน โดยจากการประเมินมีเพียงองค์ประกอบผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม ที่จะต้องพิจารณาให้ความส าคัญในการพิจารณาปรับปรุงแต่อยู่ในระดับปานกลาง คือ สามารถให้ความส าคัญในล าดับรองลงมา แต่อย่างไรก็ตามในส่วนของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้าน ทุจริต) ผลการประเมินในองค์ประกอบปัจจัยน าเข้า (Input) และกระบวนการ (Process) ถึงแม้จะได้ค่า คะแนนที่สูง แต่ค่าคะแนนดังกล่าว มาจากผู้ให้ข้อมูลหลักที่เป็นผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ช ที่ตกเป็นตัวอย่าง เพียง 1 คน (n = 1) ท าให้เมื่อพิจารณาผลค่าคะแนนในองค์ประกอบทั้งสองส่วนนี้ และผลคะแนนการ ประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรโค้ช ควรต้องตระหนักถึงข้อจ ากัดว่าผลดังกล่าวมาจากจ านวนผู้ให้ข้อมูลเพียง 1 คนเท่านั้น 5.2.4.2 อภิปรายเปรียบเทียบผลเชิงปริมาณและผลเชิงคุณภาพ เมื่อน าผลการประเมินที่ได้จากเชิงปริมาณ คือ ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ และผลเชิงคุณภาพ ที่เป็นข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้มีส่วนได้เสียกับหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ ด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน และผู้ให้ ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ สามารถสรุปเปรียบเทียบผลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ปรากฏดังตารางที่ 5.15 ตารางที่ 5.15 ตารางเปรียบเทียบสรุปผลเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ หลักสูตร ผลเชิงปริมาณ ผลเชิงคุณภาพ หลักสูตร การศึกษา ขั้นพื้นฐาน ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 78.61 อยู่ในระดับดี (B) o Input = 74% (7.38/10.0) o Process = 79% (19.72/25.00) o Outcome-KAB = 78% (39.05/50.0) o Outcome-SAT = 83% (12.46/15.0) o ผู้บริหารมีศักยภาพและระบบสนับสนุนมีความพร้อม o สถานศึกษาสามารถน าหลักสูตรไปใช้ในการจัด การเรียนการสอน ได้ประสบผลส าเร็จเป็นอย่างดี o นักเรียนมีความรู้ เจตคติและพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ในทางที่ดีขึ้น o ยังมีประเด็นบ้างด้านเนื้อหาสาระที่ยังไม่สอดคล้องกับ ชีวิตประจ าวัน ไม่ทันสมัย รวมถึงปัจจัยการสอนของ ครูต้องได้รับการพัฒนาให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น หลักสูตร อุดมศึกษา ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 62.01 อยู่ในระดับดี (B) o Input = 52% (5.2/10.0) o Process = 38% (9.54/25.00) o Outcome -KAB = 67% (33.46/50.0) o Outcome -SAT = 79% (11.81/15.0) o การขับเคลื่อนหลักสูตรในระดับอุดมศึกษามีความ แตกต่างหลากหลายเป็นอย่างมาก และเมื่อมีการเพิ่ม/ ลด เนื้อหารายวิชาในหลักสูตร ๆ จะให้ความส าคัญ กับรายวิชาในวิชาชีพที่เรียนเป็นอันดับแรก o ทุกสถาบันอุดมศึกษาจะมีการเปิดเป็นรายวิชาเท่านั้น จะไม่มีเป็นหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน มีความหลากหลายของแต่ละรายวิชา และ มีความหลากหลายของผู้สอน วิธีการเรียนการสอน o ในระดับอุดมศึกษาควรเน้นเป็นกิจกรรมปลูกฝัง มากกว่าเป็นการสอนในชั้นเรียน เปิดโอกาสให้เด็ก สอนตนเองได้พัฒนาจิตส านึก เรียนรู้จากของจริง o การกระท าส าคัญกว่าค าพูด อาจารย์ บุคลากร ต้องเป็นแบบอย่างทีดี หลักสูตร กลุ่มทหาร และต ารวจ ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 78.21 อยู่ในระดับดี (B) o Input = 57% (5.72/10.0) o ควรเน้นการสร้างวัฒนธรรม ที่ต้องอาศัยความใกล้ชิด และความต่อเนื่อง


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 289 หลักสูตร ผลเชิงปริมาณ ผลเชิงคุณภาพ o Process = 69% (17.33/25.00) o Outcome-KAB = 84% (42.11/50.0) o Outcome-SAT = 90% (13.05/15.0) o ควรเป็นการเรียนรู้จากสถานที่หรือตัวบุคคลจริง มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หรือเป็นลักษณะ การท ากิจกรรมร่วมกัน ช่วยเหลือสังคม สะท้อนผล o ต้องเน้นย้ าและแสดงให้เห็นถึงความชัดเจนว่า ผู้กระท าไม่ดีต้องได้รับผลตอบสนองที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อเป็นการเสริมแรงผู้ที่กระท าดี หลักสูตร วิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากร ภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 78.45 อยู่ในระดับดี (B) o Input = 49% (4.9/10.0) o Process = 68% (16.92/25.00) o Outcome-KAB = 88% (44.23/50.0) o Outcome-SAT = 83% (12.4/15.0) o การขับเคลื่อนหลักสูตรควรได้รับการบรรจุใน ยุทธศาสตร์ประจ าปีขององค์กร o ควรมีการจัดประชุมสัมมนากลุ่มผู้ดูแลหลักสูตร ในกลุ่มหลักสูตรฝึกอบรม o กิจกรรมควรต่อเนื่องระยะเวลาประมาณหนึ่ง บ่อยครั้งจนสามารถปรับทัศนคติ วัฒนธรรมองค์กร รวมถึงความละอายต่อการทุจริตได้อย่างเป็นธรรมชาติ o มุ่งเน้นในเรื่องการพัฒนาวิทยากร สร้างฐานข้อมูล วิทยากร และสร้างชุมชนของวิทยากรที่มีช่องทางใน การพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน วิทยากรต้อง สามารถสร้างความกระจ่าง ความเข้าใจแก่ผู้ฝึกอบรม ได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม (ตัวหลักสูตรเนื้อหา ค่อนข้างเป็นนามธรรม) o สื่อการฝึกอบรมควรเป็นสื่อ online ที่สามารถเข้าถึง และ updated เพิ่มช่องทางลักษณะการเรียนรู้ตลอด ชีวิต o การเอาจริงเอาจังกับเรื่องทุจริตของรัฐบาลและ ผู้บริหารองค์กร เป็นสิ่งที่ส าคัญ หลักสูตรโค้ช ค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 78.45 อยู่ในระดับดี (B) o Input = 69% (6.88/10.0) o Process = 87% (21.67/25.00) o Outcome-KAB = 79% (39.55/50.0) o Outcome-SAT = 90% (13.49/15.0) o ต้องมีการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน การขับเคลื่อน การสร้างเป้าหมายร่วมกัน o ควรมีหลักสูตรการพัฒนาทักษะของวิทยากร ให้เป็น มาตรฐานเดียวกัน o เนื้อหามีความเหมาะสม แต่ควรก าหนดความส าคัญ เป็นล าดับให้ชัดเจน บางครั้งเนื้อหาครบถ้วนมากไป คนไม่สนใจ o ควรจัดท าเป็นลักษณะของสื่อ online ที่ทุกคนเข้าถึงได้ กระทบใจคน (นอกเหนือจากการอบรม) ช่วยขยาย ฐานคิดในการปลูกฝัง ในวงกว้างมากขึ้น o ต้องมีการติดตามประเมินผลผู้ที่จบหลักสูตรไปแล้ว ว่าน าไปใช้อย่างไรบ้าง เพื่อน ามาปรับปรุงหลักสูตร จากตารางที่ 5.15 ดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ผลการประเมินเชิงปริมาณ และผลการประเมินเชิงคุณภาพ ไปในทิศทางเดียวกัน ในทั้งห้าหลักสูตรฯ กล่าวคือ ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ค่าคะแนนในแต่ละองค์ประกอบมีคะแนนอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูงในทุกองค์ประกอบ สอดคล้องกับผลเชิงปริมาณที่พบว่า ผู้บริหารมีศักยภาพและระบบสนับสนุนมีความพร้อม สถานศึกษาสามารถ


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 290 น าหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนได้ประสบผลส าเร็จเป็นอย่างดี และนักเรียนมีความรู้ เจตคติและพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ส่วนในหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ผลเชิงปริมาณที่น้อย ก็สอดคล้องกับผลเชิงคุณภาพ ที่ระบุถึง การยังไม่ให้ความส าคัญ เท่าที่ควรของสถาบันการศึกษาและผู้บริหาร ความหลากหลายในประเด็นการจัดการหลักสูตร การจัดการเรียน การสอนที่ยังมีความท้าทาย รวมถึงการเป็นตัวอย่างที่ดีของบุคคลในสังคมสถาบันอุดมศึกษา เช่นกัน ในหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางการรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) และหลักสูตร วิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการ ทุจริต) ที่ผลเชิงปริมาณสะท้อนถึงความเร่งด่วนในการให้ความส าคัญกับองค์ประกอบปัจจัยน าเข้า และ กระบวนการ ก็สอดคล้องกับผลประเมินเชิงคุณภาพของทั้งสองหลักสูตร ที่สะท้อนผ่านประเด็นการมีส่วนร่วม การเอาจริงเอาจังขององค์กร การเตรียมความพร้อมผู้ก ากับดูแลหลักสูตร กระบวนการฝึกอบรมที่ควรมี ความต่อเนื่อง ประเด็นความท้าทายของการจัดหาวิทยากรที่มีมาตรฐาน และสื่อที่ควรมีหลายหลายช่องทาง และทันสมัย และในส่วนของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ผลเชิงปริมาณที่สะท้อนความส าคัญใน การพิจารณาปรับปรุงในองค์ประกอบปัจจัยน าเข้าและผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม ก็สอดคล้อง กับผลการประเมินเชิงคุณภาพ ที่ต้องการให้ความส าคัญของการสร้างวิสัยทัศน์ร่วม สร้างความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันในการขับเคลื่อน และการสะท้อนถึงการต้องจัดล าดับและเน้นความส าคัญของเนื้อหาในหลักสูตร ปัจจุบันที่มีอยู่มาก ท าให้ลดทอนสิ่งที่ต้องการจะพัฒนาความรู้และทักษะที่จ าเป็นในการเป็นโค้ชไป 5.2.4.3 อภิปรายค่าคะแนนผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome – Knowledge Attitude Behavior) บ่งชี ถึงองค์ประกอบในการจัดการเรียนรู้ และเมื่อน าองค์ประกอบผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม มาจ าแนกพิจารณาในองค์ประกอบ ในการประเมินผลลัพธ์ ซึ่งองค์ประกอบย่อยในการประเมินองค์ประกอบผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและ พฤติกรรม (Outcome - Knowledge Attitude Behavior) นี้พัฒนามาจากองค์ประกอบในการจัดเรียนรู้ของ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยในการอภิปรายจะแยกกลุ่มหลักสูตรเป็นสองกลุ่มตามองค์ประกอบย่อยใน การ ประเมินองค์ประกอบผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome - Knowledge Attitude Behavior) ที่เหมือนกัน ได้แก่ กลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน และกลุ่มหลักสูตรฝึกอบรม ในกลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน จะประกอบไปด้วยสองหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ได้แก่ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart ) โดยทั้งสองหลักสูตรนี้องค์ประกอบย่อย จะประกอบไปด้วย องค์ประกอบที่ 1 ด้านแยกแยะส่วนตนส่วนรวม องค์ประกอบที่ 2 ด้านละอายและไม่ทนต่อการทุจริต องค์ประกอบที่ 3 ด้านจิตพอเพียงต้านทุจริต และองค์ประกอบที่ 4 ด้านผลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม ในกลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ปรากฏผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome - Knowledge Attitude Behavior) จ าแนกตามองค์ประกอบย่อย ตามแผนภาพที่ 5.8 จากแผนภาพที่ 5.12 จะเห็นได้ว่าคะแนนผลลัพธ์ความรู้ เจตคติและพฤติกรรม ตาม 4 องค์ประกอบ ย่อยในการประเมิน ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) [วงสีน้ าเงิน] มีค่าคะแนนในทุกองค์ประกอบย่อยทุกด้านสูงกว่าคะแนนผลลัพธ์ความรู้ เจตคติและพฤติกรรมของหลักสูตร อุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart ) [วงสีแดง] อย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นว่า ในทั้ง 4 หน่วยการเรียนรู้ของหลักสูตรอุดมศึกษา ต้องมีการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น และเมื่อพิจารณาใน


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 291 รายละเอียดแต่ละด้าน จะเห็นได้ว่า ด้านที่จะต้องให้ความส าคัญในการปรับปรุง ในหลักสูตรอุดมศึกษา คือ ด้านแยกแยกส่วนตนส่วนรวม และด้านละอายและไม่ทนต่อการทุจริต แผนภาพที่ 5.12 ผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome - Knowledge Attitude Behavior) จ าแนกตาม 4 องค์ประกอบย่อย กลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียนการสอน แยกแยะส่วนตน ส่วนรวม ละอายและไม่ทนต่อ การทุจริต จิตพอเพียง ต้านทุจริต พลเมืองและความ รับผิดชอบต่อสังคม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน 78.05 75.85 76.20 80.24 หลักสูตรอุดมศึกษา 67.15 65.17 71.38 70.08 ส่วนในกลุ่มหลักสูตรจัดการฝึกอบรม ที่ประกอบไปด้วยหลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทาง การรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากร ผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โดยทั้งสาม หลักสูตรนี้มีองค์ประกอบย่อยในการประเมินผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม เหมือนกัน ซึ่งประกอบ ไปด้วย องค์ประกอบที่ 1 ความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร องค์ประกอบที่ 2 ค่านิยมสุจริตของประชาชน องค์ประกอบที่ 3 ทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ และองค์ประกอบที่ 4 พฤติกรรมในการต่อต้านการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยในกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม ปรากฏผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome - Knowledge Attitude Behavior) จ าแนกตามองค์ประกอบย่อย ตามแผนภาพที่ 5.13


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 292 แผนภาพที่ 5.13 ผลลัพธ์ด้านความรู้ เจตคติและพฤติกรรม (Outcome - Knowledge Attitude Behavior) จ าแนกตาม 4 องค์ประกอบย่อย ในกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม ความรู้ความ เข้าใจในเนื้อหา หลักสูตร ค่านิยมสุจริตของ ประชาชน ทัศนคติต่อการ ทุจริตและ ประพฤติมิชอบ พฤติกรรมในการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติ มิชอบ หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ 83.63 87.48 87.79 78 หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากร ภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 88.85 90.93 92.41 81.6 หลักสูตรโค้ช 52.99 88.51 92.87 82.03 จากแผนภาพที่ 5.13 จะเห็นได้ว่า เกือบทุกหลักสูตรในกลุ่มหลักสูตรนี้ มีค่าคะแนนในแต่ละ องค์ประกอบย่อยที่เกาะกลุ่มกันอยู่พอสมควร เกือบทุกด้านในทุกหลักสูตรมีคะแนนในระดับเกือบ 80 คะแนน ขึ้นไปในทุกองค์ประกอบ ยกเว้นเพียงองค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตรของหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ที่มีค่าคะแนนต่ าค่อนข้างต่ ามาก เพียงระดับ 52.99 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 คะแนนขององค์ประกอบย่อยด้านนี้ และเมื่อพิจารณาในรายละเอียดข้อค าถามจะพบว่า มีหลายข้อค าถามใน ด้านความรู้ ที่ผู้ประเมินไม่สามารถตอบได้ อาทิ ร้อยละ 88 ไม่ทราบบทบาทของโค้ชเพื่อการรู้คิด (Cognitive Coaching) ร้อยละ 76 ไม่ทราบหลักการพัฒนาโค้ช และมีมากถึง ร้อยละ 58 ที่ไม่สามารถตอบได้ว่าข้อใด ไม่ใช่โมเดล STRONG ซึ่งผลค่าคะแนนดังกล่าวนี้ สอดคล้องกับผลการประเมินเชิงปริมาณ ที่สะท้อนว่าเนื้อหา ในหลักสูตร มีมาก แต่ยังไม่ได้มีการจัดล าดับและเน้นความส าคัญของเนื้อหาในหลักสูตร ท าให้ลดทอนสิ่งที่ ต้องการจะพัฒนาความรู้และทักษะที่จ าเป็นในการเป็นโค้ชไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ด้านที่จะต้องให้ความส าคัญ ในการปรับปรุงในหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) คือองค์ประกอบด้านความรู้ความเข้าใจในเนื้อหา หลักสูตร


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 293 5.2.5 อภิปรายเชิงเปรียบเทียบการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของประเทศไทยและ ต่างประเทศ จากผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ทั้งผลที่ได้จากการศึกษา เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพที่ได้จากการสัมภาษณ์การสนทนากลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการสัมภาษณ์ นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ประมวลกับวรรณกรรมที่ได้ทบทวนงานวิจัยของต่างประเทศ พบประเด็นส าคัญที่ควร พิจารณาร่วมกับผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในประเทศไทย ได้แก่ (1) ความ ชัดเจนในเชิงนโยบายของการต่อต้านการทุจริต (2) การมอบอ านาจให้กับผู้เรียน/กลุ่มเป้าหมายในการร่วม ออกแบบหลักสูตร (3) กิจกรรมอิสระสร้างสรรค์เป็นฐานของการพัฒนา (4) เนื้อหาและกิจกรรมของหลักสูตร ที่ค านึงถึงบริบทของแต่ละพื้นที่ที่มีความต่างกัน (5) ความร่วมมือรวมพลังทุกภาคส่วน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ประเด็นที่ 1 ความชัดเจนในเชิงนโยบายการต่อต้านการทุจริต จะเห็นได้จากเขตบริหารพิเศษ ฮ่องกง มีแนวปฏิบัติที่ดีของการด าเนินงานขับเคลื่อนประเทศผ่านหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเพื่อเปลี่ยนทัศนคติ ของคนในประเทศ ด้วยพันธกิจที่ว่า “Ethics for All” เป็นการร่วมสร้างสังคมที่มีมาตรฐานสูงทางจริยธรรม โดยผ่านยุทธศาสตร์หลัก 4 ยุทธศาสตร์ ที่เรียกว่า “TAPE”ได้แก่ ยุทธศาสตร์การจัดบริการต้านทุจริตให้กับ กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน (Target-oriented strategy) ยุทธศาสตร์การบูรณาการการติดต่อแบบหลาย แพลตฟอร์ม (All-round communication strategy) ยุทธศาสตร์การเป็นหุ้นส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในชุมชนเพื่อส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริต (Partnership strategy) และยุทธศาสตร์การท าให้สมาชิกในสังคม เกิดความเป็นเจ้าของในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและสนับสนุนการศึกษาต้านทุจริตศึกษาต่าง ๆ (Engagement strategy) เมื่อน ามาพิจารณาร่วมกับข้อคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้เชี่ยวชาญใน หลักสูตรกลุ่มต่าง ๆ พบประเด็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ส าคัญ เช่น ในหลักสูตรระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ควรมีการสร้างและพัฒนากลไกส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการน าหลักสูตรต้านทุจริตไปใช้อย่างจริงจัง ให้เกิด ต่อเนื่อง และสร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ในหลักสูตรฝึกอบรมควรเร่งด าเนินการประชาสัมพันธ์ หลักสูตรในทุกหน่วยงาน กลุ่มคนทุกระดับ ให้ครอบคลุมครบถ้วน เพื่อให้ทุกคนเกิดความตื่นตัวและให้ ความส าคัญกับเรื่องนี้มากขึ้น จากประเด็นความชัดเจนในเชิงนโยบายการต่อต้านทุจริต จึงเป็นเรื่องที่ประเทศ ไทยเราต้องควรน ามาทบทวนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ชัดเจนและครอบคลุมทุกภาคส่วนของสังคมยิ่งขึ้น ประเด็นที่ 2 การมอบอ านาจให้กับผู้เรียน/กลุ่มเป้าหมายในการร่วมออกแบบหลักสูตร ในประเทศ ฟินแลนด์ พบว่า มีการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน เริ่มต้นจากการมอบอ านาจ (empowerment) ให้นักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบหลักสูตรแกนกลางการศึกษาของประเทศ กระบวนการดังกล่าวช่วยให้เด็กและเยาวชนของประเทศสามารถสร้างทางเลือกให้กับตนเองในการเรียนรู้ สรรพสิ่งต่าง ๆ ได้ ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างวุฒิภาวะและประสบการณ์ให้กับตนเอง เมื่อพิจารณาร่วมกับ ข้อคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้เชี่ยวชาญในหลักสูตรกลุ่มต่าง ๆ พบประเด็นข้อเสนอแนะที่ส าคัญ เช่น ควรเปิดโอกาสให้กลุ่มนักศึกษาแสดงความคิดเห็นต่อหลักสูตร และมีโอกาสได้ออกแบบหลักสูตรต้านทุจริต ในรูปแบบของพวกเขาเอง ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรที่ พวกเขาต้องการ เพราะพวกเขาคือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงที่จะได้ร่วมสร้างสังคมที่ดีขึ้นในอนาคต ประเด็นที่ 3 การใช้กิจกรรมอิสระสร้างสรรค์เป็นฐานส าคัญของการพัฒนา ในประเทศเยอรมัน พบว่า มีการใช้กิจกรรมเสริมการเรียน โดยเฉพาะการใช้เกมเป็นสื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้กระบวนการ ประชาธิปไตยด้วยตนเอง การให้ความส าคัญกับการทัศนศึกษาในพิพิธภัณฑ์และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ ในประเทศฟินแลนด์มุ่งเน้นในการสร้างปัจจัยแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน เช่น ใช้เวลาว่างเพื่อร่วม ท ากิจกรรมทางสังคม ท างานอดิเรกนอกห้องเรียนอย่างน้อยหนึ่งอย่าง สามารถส่งผลต่อการสร้างให้เด็กและ เยาวชนเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งได้เมื่อพิจารณาร่วมกับข้อคิดเห็นจากกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 294 ผู้เชี่ยวชาญในหลักสูตรกลุ่มต่าง ๆ พบประเด็นข้อเสนอแนะที่ส าคัญ เช่น ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานควร ส่งเสริมให้การจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนรูปแบบใหม่ที่สอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน คือ มุ่งเน้นให้เด็กลง มือปฏิบัติ แก้ไขปัญหาตามสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเพื่อน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวัน และน าเสนอ แนวคิดของตนเองได้อย่างสร้างสรรค์ หลักสูตรระดับอุดมศึกษาควรเน้นให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติมากกว่าการ เรียนเชิงทฤษฎี เนื่องจากนักศึกษามีหลายสาขาวิชาส่งผลให้ต้องจัดการเรียนการสอนเปลี่ยนไปตามตัวผู้เรียน ดังนั้นจึงควรเพิ่มมิติในการเรียนรู้ให้หลากหลายมากขึ้น ในหลักสูตรฝึกอบรม ควรให้มีการเรียนรู้นอกห้องเรียน การศึกษาดูงานนอกสถานที่ไปยังหน่วยงานส าคัญ เช่น ป.ป.ช. ป.ป.ส. DSI รวมทั้งควรเพิ่มเติมการจัดกิจกรรม workshop ร่วมกันระหว่างผู้เข้ารับการฝึกอบรม เพื่อให้สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ประเด็นที่ 4 การก าหนดเนื อหาและกิจกรรมของหลักสูตรที่ค านึงถึงบริบทของแต่ละพื นที่ที่มี ความต่างกัน จากผลการสัมภาษณ์เชิงลึกของกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้รับผิดชอบหลักสูตร ได้สะท้อนข้อมูลที่สอดคล้องกันว่า การก าหนดเนื้อหาและกิจกรรมที่อยู่ในหลักสูตร แกนกลางสามารถที่จะประยุกต์ไปให้เหมาะสมกับบริบทพื้นที่ที่แตกต่างกันได้ ด้วยเหตุผลที่ว่าความเชื่อ ความคิด วิถีการด าเนินชีวิต วัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่นั้นมีรายละเอียดที่สามารถสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ ให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ไม่เหมือนกัน สามารถสร้างการรับรู้ที่แตกต่างกันได้ สอดคล้องกับความส าเร็จประเทศ ฟินแลนด์ที่ค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของกลุ่มผู้เรียน ให้อิสระและความเสมอภาค หลักการส าคัญ ของการเรียนจะเป็นการเน้นน าให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้การสนับสนุนอย่างใกล้ชิดของโรงเรียนและ ผู้ปกครอง เพื่อมุ่งหวังให้นักเรียนมีความสุขและสามารถเรียนรู้สรรพสิ่งต่าง ๆ ได้ตามจินตนาการและตาม ศักยภาพของพวกเขา เป็นต้น ดังนั้น ในการพัฒนาเนื้อหาและกิจกรรมของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จึงควร ค านึงถึงบริบทของแต่ละพื้นที่ที่มีความต่างกัน ควรสื่อสารให้ชัดเจนว่าในการน าหลักสูตรลงสู่การปฏิบัติ ควรประยุกต์เนื้อหาสาระ พัฒนากิจกรรมให้เหมาะสมกับสภาพบริบทแวดล้อมของแต่ละพื้นที่ ประเด็นที่ 5 ความร่วมมือรวมพลังของทุกภาคส่วน ในประเทศฟินแลนด์พบว่า มีคณะกรรมการ การศึกษาแห่งชาติฟินแลนด์ ท าหน้าที่ก าหนดนโยบายด้านการศึกษาและออกแบบหลักสูตรแกนกลางเพื่อใช้ใน การเรียนการสอน ก าหนดเป้าหมายและเนื้อหาของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับรายวิชาต่าง ๆ โดยที่คณะกรรมการฯ ดังกล่าวมีตัวแทนหลากหลายมาจากภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะจากผู้บริหารด้านการศึกษา แรงงาน องค์กรภาคธุรกิจต่าง ๆ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิจัย ตัวแทนจากภาคอุตสาหกรรม ตัวแทนจากภาค สาธารณสุข ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์และคนกลุ่มน้อย เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น สหภาพครู ที่ส าคัญคือ มีสหภาพ นักเรียนอยู่ในคณะกรรมการฯ ดังกล่าว เห็นได้ว่า ปัจจัยแวดล้อมเช่นนี้เน้นระบบการมีส่วนร่วมที่เป็นระบบเปิด ท างานในเชิงเครือข่าย ส าหรับเขตบริหารพิเศษฮ่องกงมียุทธวิธีในการส่งเสริมจริยธรรมส าหรับทุกคน (All for Integrity) โดยการส่งเสริมจริยธรรมให้กับชุมชนทุกชุมชนในฮ่องกง บทเรียนความส าเร็จของนานาประเทศ สะท้อนให้เห็นว่าปัจจัยส าคัญ คือ ความร่วมมือรวมพลังของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการต้านทุจริต ดังนั้น การปรับเปลี่ยนรูปแบบการท างานเป็นการท างานร่วมกันแบบเครือข่ายที่จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการ ท างานให้ดีขึ้น โดยดึงความรู้ ความสามารถและทรัพยากรของแต่ละหน่วยงานมาใช้ เช่น ภาครัฐบาลควร มุ่งเน้นการปราบปรามโดยใช้อ านาจทางกฎหมายและการออกนโยบายอย่างจริงจัง ภาคเอกชนควรสนับสนุน งบประมาณและส่งเสริมการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีทันสมัยหรือนวัตกรรมใหม่ส าหรับการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และการประสานเครือข่ายการท างานร่วมกันโดยภาคประชาสังคม โดยสรุปผลการวิเคราะห์จุดร่วม จุดต่าง ของแต่ละประเทศ และข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาของ ประเทศไทย ดังสรุปในตารางที่ 5.16


รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 295 ตารางที่ 5.16 สรุปผลการวิเคราะห์จุดร่วม จุดต่างของประเทศฟินแลนด์ เยอรมัน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง และข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาของประเทศไทย ประเด็น จุดร่วม จุดต่าง ข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาของ ประเทศไทย 1. ความชัดเจนใน เชิงนโยบายการ ต่อต้านทุจริต การก าหนดนโยบายที่มี ส่วนส าคัญในการสร้าง และพัฒนาความเป็น พลเมืองที่เข้มแข็งเพื่อ ต่อต้านการทุจริต คอร์รัปชันที่ครอบคลุม ทุกภาคส่วนของสังคม o ฟินแลนด์ มุ่งเน้นการให้ ความส าคัญกับนโยบายด้าน เด็กและเยาวชน มีเครือข่าย ของสมาคม ชมรมและองค์กร อย่างหนาแน่น ส่งผลเชิงบวกต่อ สุขภาวะ สุขภาพและทุนทาง สังคมของเด็ก ๆ o เยอรมัน มุ่งเน้นการกระจาย อ านาจ และสร้างปัจจัยแวดล้อมที่ เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน ในหลายรูปแบบ o เขตบริหารพิเศษฮ่องกง มุ่งเน้นการเปลี่ยนทัศนคติของ คนในประเทศ ด้วยพันธกิจที่ว่า “Ethics for All” เป็นการร่วม สร้างสังคมที่มีมาตรฐานสูงทาง จริยธรรม การสร้างกลไกการเคลื่อนไหว ทางสังคม (Social Movement) โดยใช้ประเด็นการต่อต้านการ ทุจริตเป็นวาระส าคัญของชาติ อย่างแท้จริง เสริมสร้างค่านิยม ใหม่ให้เด็กและเยาวชน คนหนุ่ม สาวรุ่นใหม่เป็นพลังใหม่ในการ ร่วมกันคิด ร่วมกันท า สร้างสรรค์ ออกแบบ และพัฒนาสร้างสังคมที่ มีคุณภาพ ปราศจากการทุจริต คอร์รัปชัน 2. การมอบอ านาจ ให้กับผู้เรียน/ กลุ่มเป้าหมายใน การร่วมออกแบบ หลักสูตร การกระจายอ านาจให้ ทุกภาคส่วนของสังคมได้ เข้ามามีส่วนร่วมในการ ขับเคลื่อนการพัฒนา ความเป็นพลเมืองที่ เข้มแข็งที่จะช่วยต่อต้าน การทุจริต และร่วม ออกแบบหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา o ฟินแลนด์ มีสหภาพนักเรียน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการ ออกแบบหลักสูตร o เยอรมัน กระจายอ านาจใน การด าเนินการใช้และพัฒนา หลักสูตร o เขตบริหารพิเศษฮ่องกง มี 2 กลยุทธ์ที่น่าสนใจ ได้แก่ การเป็นหุ้นส่วนกับประชาสังคม (Partnering with Civil Society) และการสร้างการมีส่วนร่วมของ ประชาชน ที่หลงไหลในงาน (Engaging Passionate Citizens) การเพิ่มโอกาสและช่องทาง การมีส่วนร่วมที่มากขึ้นในการให้ ผู้เรียนทั้งในระดับพื้นฐานและ อุดมศึกษา ตลอดจนประชาชนได้ เข้าไปมีส่วนร่วมในการออกแบบ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่ พวกเขาต้องการ 3. กิจกรรมอิสระ สร้างสรรค์เป็น ฐานของการ พัฒนา การพัฒนาเด็กและ เยาวชนผ่านกิจกรรมที่ หลากหลายสร้างสรรค์ และจัดพื้นที่ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม กับเด็กและเยาวชนเพื่อ สร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง o ฟินแลนด์ สร้างปัจจัย แวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็กและ เยาวชน เช่น ใช้เวลาว่างเพื่อร่วม ท ากิจกรรมทางสังคม ท างาน อดิเรกนอกห้องเรียนอย่างน้อย หนึ่งอย่าง สามารถส่งผลต่อการ สร้างให้เด็กและเยาวชนเติบโต ขึ้นมาเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งได้ o การพัฒนาเด็กและเยาวชน ผ่านกิจกรรมที่หลากหลายตาม ความต้องการ และสร้างสรรค์ เพื่อสร้างพลเมืองที่เข้มแข็ง o การส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่าง ๆ ในการน าสาร ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้าน การคอร์รัปชัน (Anti-corruption message) โดยการสร้าง


Click to View FlipBook Version