รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 47 หลักการที่เป็นที่ยอมรับของสังคมหรือสากล ส่วนแรงผลักดันที่สอง คือ Inner Drive หรือแรงขับภายใน ของแต่ละบุคคลเองที่จะส่งผลเป็นแรงผลักดันพื้นฐานของความซื่อสัตย์สุจริต Barnard และคณะ (2008) ให้ความหมาย Moral Compass ไว้ว่า “having and living according to a core set of values and principle” คือ “การมีและการด ารงชีวิตตามชุดคุณค่าหรือค่านิยมและ หลักการ” แนวคิดนี้เชื่อว่า ความซื่อสัตย์สุจริตท้ายที่สุดถูกก าหนดจากบริบทธรรมชาติของ Moral Compass และพฤติกรรมที่มีความซื่อสัตย์สุจริตก็ขับเคลื่อนโดยเชื่อมโยงกับคุณค่าหรือค่านิยมภายใน ความเชื่อ บรรทัดฐาน และหลักการที่สร้าง Moral Campass แต่ละคนขึ้นมา (Barnard, Schurink & De Beer, 2008) ดังนั้น แรงผลักดันที่เรียกว่า Moral Compass หรือเข็มทิศทางจริยธรรม มาจากชุดของหลักการ และคุณค่า หรือค่านิยมที่ท าหน้าที่เสมือนบรรทัดฐานและมาตรฐานที่บุคคลคนหนึ่งจะใช้ชีวิตไปในแนวทางนั้น มีการ กระท าและการตัดสินใจไปในแนวทางนั้น ๆ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่า Moral Compass ที่พูดถึงนี้จะไม่ได้ เชื่อมโยงกับความเป็นเฉพาะของแต่ละบุคคลเสียทีเดียว แต่ละบุคคลดูเหมือนจะสร้างชุดคุณค่า/ค่านิยม และ หลักการตามแบบที่สากลยอมรับ ตามแนวคิดนี้จะเห็นได้ว่าการที่จะมี Moral Compass ที่จะสามารถเป็น แรงผลักดันที่มีพลังเหนือกว่า Inner Drive จะต้องมีการสร้าง Fundamental of Integrity (รากฐานของ ความซื่อสัตย์สุจริตที่เข้มเข็ง) ตามแนวรากฐานดังกล่าว ดังนั้น การเคารพและดูแลเอาใจใส่ เจตจ านงที่จะมี ชีวิตอย่างมีความหมาย ความสามารถในการควบคุมตัวเอง และมองโลกในแง่ดีและกระตือรือร้น จึงส าคัญมาก ในแรงผลัก Moral Compass ส่วนอีกหนึ่งแรงผลักดัน ที่เรียกว่า Inner drive หรือแรงขับภายใน ในแนวคิดนี้เชื่อว่ามีความสัมพันธ์ ระหว่างความซื่อสัตย์สุจริตของคนกับแรงขับภายในของแต่ละคน ดังนั้น ในแนวคิดนี้เชื่อว่าความซื่อสัตย์สุจริต ขับเคลื่อนโดยแรงจูงใจและอุดมคติส่วนบุคคลมากพอ ๆ กับการขับเคลื่อนด้วย Moral Compass (ความเชื่อ คุณค่าและหลักการ) ของแต่ละคน ความต้องการส่วนบุคคล กับความเห็นแก่ตัว โดยส่วนใหญ่จะสามารถมีพลัง เหนือกว่าคุณค่าและหลักการความต้องการที่จะอยู่รอด ความต้องการที่จะเอาชนะ ความต้องการอ านาจและ สถานะ และความต้องการทรัพย์สินและความส าเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าถ้าแรงผลักด้าน Inner Drive หรือแรงขับ ภายในนี้สามารถมีอ านาจเหนือกว่า ก็จะท าให้คนไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต จากแรงผลักดันพื้นฐานทั้ง Moral Compass และ Inner Drive ทั้งสองจะท าหน้าที่เป็นฐานรากใน การผลักดันคุณค่า ค่านิยม และหลักการ ซึ่งจะส่งผลถึงพฤติกรรมที่จะแสดงออกที่สอดคล้องกันกับคุณค่า ค่านิยม และหลักการ จะเห็นได้ว่าแรงผลักดันพื้นฐานทั้งสองตัวนี้มีการท างานแบบขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา แต่ละตัวสามารถล้ าหน้าซึ่งกันและกันได้ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน แนวคิด The Foundational Drives of Integrity นี้ ดูเหมือนมีความสอดคล้องกับทฤษฎีทางจิตวิทยาของ Sigmund Freud (Malcolm, 1988) ที่ได้ อธิบายส่วนประกอบหลักของ 3 ส่วนของบุคลิกภาพ คือ Id ที่มาจากสัญชาตญานดิบ Ego ที่เป็นทัศนคติ ความเชื่อของแต่ละบุคคล และมี Superego ที่เป็นหลักการหรือศีลธรรม จากการทบทวนเนื้อหาและกรอบแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ทั้งในส่วนของเนื้อหาและถอดบทเรียน ตลอดจนวิเคราะห์ข้อมูลการด าเนินการที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาที่ผ่านมา และในส่วนของแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการติดตามและประเมินผลสัมฤทธ์ ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรและการประเมิน กลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ กลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาและพฤติกรรมศาสตร์ และกลุ่มแนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริต ท าให้เห็นภาพ ความเชื่อมโยงของการด าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การที่ท าความเข้าใจกับกระบวนการ และเพื่อจะอธิบายถึงส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เราจะต้องท าความเข้าใจการด าเนินงานที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 48 ต้านทุจริตศึกษา โดยอธิบายผ่าน the context input-process-outcome (CIPO) Model กรอบการท า ความเข้าใจโดยใช้รูปแบบ Context-Input-Process-Outcome ซึ่งเป็นกรอบที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการ วิเคราะห์ระบบ เพื่อที่จะอธิบายโครงสร้างและกระบวนการของระบบ ดังแผนภาพที่ 2.3 แผนภำพที่ 2.3 CIPO Model for Thai Anti-Corruption Education จากกรอบดังกล่าวจะเห็นได้ว่า องค์ประกอบที่เกี่ยวเนื่องในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา มีอยู่ด้วยกัน สี่องค์ประกอบหลัก คือตัว Context บริบทสภาพแวดล้อม ตัว input ซึ่งได้แก่ ตัวหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ตัว process ก็คือ การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษาหรือการน าไปจัดฝึกอบรมของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และส่วนที่สาม ส่วน outcome ก็คือ พฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและ เยาวชน และการมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาขน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการจะประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ต้องด าเนินการทั้งการประเมินการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ และท าการประเมิน ความรู้ เจตคติ/ ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายของหลักสูตร ซึ่งในที่นี้ก็คือกลุ่มผู้เรียน ซึ่งก็คือกลุ่มเด็กและ เยาวชน และกลุ่มผู้ผ่านการฝึกอบรม ซึ่งก็คือกลุ่มประชาชน ดังนั้น กรอบแนวคิดในการวิจัยในครั้งนี้จะ ครอบคลุมและเชื่อมโยงทั้งการประเมินการน าหลักสูตรไปใช้ (Process) และการประเมิน outcome ก็คือ พฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน และการมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติกมิชอบของประชาขน โดยประเมินผ่านสถานศึกษา/หน่วยงาน ฝึกอบรมที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้และผู้เรียนหรือผู้ผ่านการฝึกอบรม เพื่อสะท้อนความเชื่อมโยงให้ ถึงผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ดังนั้นตัว CIPO Model จะถูกน าไปใช้เป็นกรอบหลักในการวาง กรอบแนวคิดในการวิจัย (Research Framework) ส าหรับการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ประจ าปี 2565 2.3 งำนวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา คณะผู้วิจัยจะ น าเสนอการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องออกเป็นสองส่วนใหญ่ ๆ โดยส่วน ที่หนึ่งจะเป็นการน าเสนองานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินจริยธรรม การประเมินความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 49 หรือพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต และในส่วนที่สองจะเป็นการน าเสนอการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการน า หลักสูตรไปใช้และการประเมินการใช้หลักสูตร 2.3.1 งำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกำรประเมินจริยธรรม กำรประเมินควำมรู้ ทัศนคติ ค่ำนิยม หรือ พฤติกรรม ซื่อสัตย์สุจริต จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในกลุ่มนี้ มีหลาย ๆ งานวิจัยที่ได้สะท้อนให้คณะผู้วิจัยได้เข้าใจใน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในส่วนของการประเมินจริยธรรม การประเมินความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม หรือพฤติกรรม ซื่อสัตย์สุจริต สามารถสรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในกลุ่มนี้ ไว้ดังตารางที่ 1 ดังนี้ ตำรำงที่ 2.3 ตารางสรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการประเมินจริยธรรม การประเมินความรู้ ทัศนคติ ค่านิยม หรือพฤติกรรมซื่อสัตย์สุจริต No. ผู้วิจัยและปี (Author & Years) กลุ่มเป้ำหมำย (Respondents) ผลกำรศึกษำโดยสรุป (Study results) 1 Wilhelm (2003) นักศึกษาใน มหาวิทยาลัย - นักศึกษามีคะแนนจริยธรรมอยู่ในระดับต่ า (26.28 คะแนนจากเต็ม 95 คะแนน) โดยสาขาวิชาและชั้นปี ต่างกันมีแนวโน้มพัฒนาการทางจริยธรรมที่ต่างกัน 2 Nather (2013) นักศึกษาใน มหาวิทยาลัย - นักศึกษาส่วนใหญ่มีจริยธรรมในระดับ จริยธรรมตาม กฎเกณฑ์ทางสังคม โดยระดับการศึกษาไม่มีผลต่อระดับ จริยธรรม 3 Bonawitz (2002) นักศึกษาใน มหาวิทยาลัย - นักศึกษาที่เรียนรายวิชาจริยธรรม มีระดับพัฒนาการ จริยธรรมที่สูงกว่านักศึกษาที่ไม่ได้เรียน และนศ.ใน สาขาวิชาที่ต่างกันมีพัฒนาการด้านจริยธรรมที่ต่างกัน นศ.หญิงมีระดับพัฒนาเพิ่มมากกว่า นศ.ชาย 4 Saeed (2014) นักเรียนในระดับ มัธยมศึกษา - นักเรียนส่วนใหญ่มีคะแนนสูงในการวัดจริยธรรม แต่ในส่วนคะแนนคุณธรรมและการควบคุมตนเองอย่างมี จริยธรรมมีผลตรงกันข้าม และพบว่า นร.ส่วนใหญ่ไม่ใส่ ใจในการท าผิดจริยธรรม ถึงแม้จะเคยเรียนรู้ 5 Sunar & Tabancali (2012) ผู้บริหารโรงเรียน - ผู้บริหารโรงเรียนมองตนเองว่ามีพฤติกรรมจริยธรรม ที่เหมาะสมอยู่ตลอด ในขณะที่ในมุมมองของครูใน โรงเรียนมองว่าผู้บริหารมีพฤติกรรมจริยธรรมที่ เหมาะสมอยู่บ่อย ๆ 6 Sekartaji, P. R. A. และคณะ (2022). นักเรียน - ศึกษาการเรียนออนไลน์กับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของ นักเรียน พบว่าการเรียนออนไลน์นักเรียนมีความตื่นตัว น้อยลง หลายคนไม่ปฏิบัติตามค่านิยมและกฎเกณฑ์ทาง วัฒนธรรมการเรียนที่ดี เวลาเรียนออนไลน์ 7 Zygaitiene, B., Kepaliene, I., & Baltusite, R. (2017) นักเรียนที่อยู่ใน Generation Z - คุณลักษณะคุณค่าจริยธรรม อันดับแรกได้แก่ ความเคารพ (respect) ถูกประเมินในระดับที่สูงที่สุด รองลงมาคือ ความรับผิดชอบ (responsibility) การอุทิศตัว (Devotion) ความรักส าหรับผู้คน (Love for People) การควบคุมตนเอง (Self-control) การมี อารมณ์ขัน (Humour) ความซื่อสัตย์ (Honesty) การไว ต่อการรับรู้ (Sensitivity) ความสร้างสรรค์ (Creativity)
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 50 No. ผู้วิจัยและปี (Author & Years) กลุ่มเป้ำหมำย (Respondents) ผลกำรศึกษำโดยสรุป (Study results) อิสรภาพ (Independence) ความมุ่งมั่น (Determination) ความยุติธรรม (Justice) ความอดกลั้น (Tolerance) 7 Cheng, Y. C., Hung, F. C., และ Hsu, H. M. (2021). นักเรียนมัธยมปลาย - นักเรียนชายมีทัศนคติเกี่ยวกับจริยธรรมไปในทางบวก มากกว่ากลุ่มนักศึกษาหญิง และมีความไม่ซื่อสัตย์ทาง วิชาการน้อยกว่า โดยทัศนคติเกี่ยวกับจริยธรรมมี ความสัมพันธ์ในทางลบกับความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ 8 Shobana, S. และ Kanakarathinam (2017) นักศึกษา - พบว่า ค่านิยมพฤติกรรม ของนักศึกษามีอิทธิพลสูงสุดใน การปรับสมดุลชีวิตในอนาคตของนักศึกษา โดยปัจจัยที่มี ความส าคัญมากที่สุด ได้แก่ ความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) รองลงมาคือ เกียรติภูมิ (Honor) ความซื่อสัตย์ (Honesty) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Enviromental Friendly) ความรับผิดชอบ (Resonsibility) ความเท่าเทียมของโอกาส (Equality of Opportunity) 9 ปิยนันท์ จิตติกรยุทธนา และไพรัตน์ อธิกพันธุ์ (2546) นักศึกษา - พบกลวิธีโกงของนักศึกษา แล้วยังได้ข้อค้นพบว่า นักศึกษาไม่รู้สึกว่าผิด เพราะมองว่าใคร ๆ ก็ท าได้ 10 สุชาดา กรเพชรปาณี (2549) นักศึกษา - นักศึกษาร้อยละ 97 เคยกระท าพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ ทางวิชาการ นักศึกษาชายมีแนวโน้มจะกระท าความ ไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการมากกว่านักศึกษาหญิง 12 ณัฐพร ศรีสติ (2548) นักศึกษา - ชั้นปีมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการไม่ ซื่อสัตย์สุจริตทางวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขโมย คัดลอกผลงานผู้อื่นมาเป็นของตนเองในสื่ออินเทอร์เน็ต 13 McCabe, & Trevino, (1993) นักศึกษา - พฤติกรรมของเพื่อนมีอิทธิพลอย่างมากต่อความไม่ ซื่อสัตย์ทางวิชาการ และเมื่อนักศึกษาเห็นว่าเพื่อน ๆ มีการโกง อยู่เสมอ 14 อภิญญา อิงอาจ (2554) นักศึกษา - นักศึกษาที่มีเพศ สาขาวิชา ระดับการอบรมเลี้ยงดู แบบรักสนับสนุน ระดับความใกล้ชิดของครอบครัว ต่างกัน มีพฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตแตกต่างกัน วัยรุ่นจะยึดถือเพื่อนเป็นแบบอย่างและคล้อยตาม ลักษณะของเพื่อนได้โดยง่าย ๆ 15 ดวงเดือน พันธุมนาวิน และ เพ็ญแข ประจนปัจจนึก (2524) นักศึกษา - เพื่อนมีบทบาทสูงต่อการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม 16 นุสรา สุรางคพาณิชย์ (2546) นักเรียนมัธยมปลาย - มีแนวโน้มพฤติกรรมความซื่อสัตย์ในระดับสูง และเพศ หญิงมีแนวโน้มพฤติกรรมความซื่อสัตย์สูงกว่า พบว่าการ อบรมเลี้ยงดูของครอบครัวแบบรักและสนับสนุนและแบบ ใช้เหตุผล มีอ านาจ ในการอธิบายแนวโน้มพฤติกรรม ความซื่อสัตย์มากที่สุด
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 51 No. ผู้วิจัยและปี (Author & Years) กลุ่มเป้ำหมำย (Respondents) ผลกำรศึกษำโดยสรุป (Study results) 17 ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2546) นักศึกษา - สถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา มีความสัมพันธ์ อย่างมากกับพฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตของนักศึกษา 18 สุภาสินี นุ่มเนียม (2546) นักเรียน - นักเรียนที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนใช้ เหตุผลมาก จะมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมที่รับผิดชอบ ต่อหน้าที่ ทั้งหน้าที่ในครอบครัวและหน้าที่ในโรงเรียน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีพฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่ดี มากขึ้น Wilhelm (2003) ได้ศึกษาความสามารถในการใช้เหตุผลทางจริยธรรมของนักศึกษา 387 คน ใน Midestern University โดยใช้เครื่องมือเป็นแบบทดสอบที่เรียกว่า DIT-2 ซึ่งเป็นแบบทดสอบเชิงสถานการณ์ ที่ใช้วัดพัฒนาการทางจริยธรรม ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยพัฒนาการทางจริยธรรมเท่ากับ 26.28 คะแนนจากคะแนนเต็ม 95 คะแนน และพบว่านักศึกษาที่เรียนในสาขาวิชาและชั้นปีที่แตกต่างกัน มีแนวโน้มพัฒนาการทางจริธรรมที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติ ในความ แตกต่างดังกล่าว ในลักษณะเดียวกัน Nather (2013) ส ารวจรูปแบบการให้เหตุผลของนักศึกษาและศึกษาอิทธิพลของ ระดับการศึกษาต่อความสามารถในการให้เหตุผลเชิงจริยธรรม โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาชายจ านวน 90 คน ใน Kuwait University เก็บข้อมูลโดยใช้แบบทดสอบ DIT เช่นกัน ผลการศึกษาพบว่า นักศึกษา ส่วนใหญ่มีจริยธรรมในระดับ จริยธรรมตามกฎเกณฑ์ของสังคม (Conventinal Morality) ตามแนวคิดทฤษฎี พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก (Kolberg) โดยเขาพบว่าระดับการศึกษาไม่มีผลต่อการให้เหตุผล เชิงจริยธรรมของนักศึกษาแต่อย่างใด ในด้านผลของการจัดการเรียนการสอนรายวิชาจริยศาสตร์ มีงานวิจัยของต่างประเทศที่ศึกษา พัฒนาการทางจริยธรรมของนักศึกษาที่เรียนรายวิชาจริยธรรม ในการศึกษาของเขากับนักศึกษาในระดับ มหาวิทยาลัย Bonawitz (2002) พบว่านักศึกษาที่เรียนรายวิชาจริยศาสตร์ มีระดับการพัฒนาทางจริยธรรม ที่สูงกว่านักศึกษาที่ไม่ได้เรียนรายวิชานี้ เขาพบว่านักศึกษามีพัฒนาการด้านจริยธรรมดีขึ้น โดยพบว่านักศึกษา ที่เรียนสาขาวิชาที่แตกต่างกันมีพัฒนาการด้านจริยธรรมที่แตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญ และพบว่านักศึกษา หญิงมีระดับพัฒนาการทางจริยธรรมเพิ่มมากกว่านักศึกษาชายหลังจากการเรียนในรายวิชาจริยศาสตร์นี้ จากการศึกษาของ Dr. Memoona Saeed (2014) ที่ได้ศึกษาถึงทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อจริยธรรม และค่านิยมคุณธรรม ในเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน เป็นการศึกษาโดยการส ารวจ โดยกลุ่มตัวอย่างใน การศึกษาเป็นนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา (Secondary level) ในกรุงการาจี จ านวน 200 คน โดยการเลือก แบบสุ่มจากสถานศึกษาเอกชนในเมือง ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ที่ตอบพบค่าคะแนนที่สูงในข้อ ค าถามการวัดจริยธรรม (Ethical Identify Scale) แต่อย่างไรก็ตามในส่วนที่เรียกว่า คุณธรรมแห่งการควบคุม และการควบคุมตนเองอย่างมีจริยธรรม (Moral Locus of Control & Ethical Self-Regulation) มีผลในทาง ตรงกันข้ามในด้านลบ และยังพบว่านักเรียนได้รับอิทธิผลอย่างมากจากสภาพแวดล้อมภายนอกในการตัดสินใจ นักเรียนส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ไม่ใส่ใจ และยังพบว่ามีบางส่วนมีกิจกรรมที่ผิดจริยธรรม นักเรียน ส่วนใหญ่ ท าตามกฎของตนเอง แต่ก็พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ก็ให้คุณค่ากับจริยธรรม ทั้งนี้เขายังพบว่ามากกว่าครึ่งของ นักเรียนที่ตกเป็นกลุ่มตัวอย่างในการส ารวจไม่เคยเรียนรู้เกี่ยวกับจริยธรรมในโรงเรียนของตน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 52 ในประเทศตุรกี Sunar & Tabancali (2012) ได้ศึกษาพฤติกรรมที่มีจริยธรรมของผู้บริหารโรงเรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อศึกษาวิเคราะห์ว่าครูใหญ่หรือผู้อ านวยการโรงเรียน ที่ท างานในโรงเรียนประถมและ โรงเรียนมัธยมของรัฐในอ าเภอ Konyaalti จังหวัด Antalya ว่ามีพฤติกรรมที่เหมาะสมตามหลักจริยธรรม หรือไม่ ตามการรับรู้ของครูในโรงเรียน กลุ่มตัวอย่างในการเก็บข้อมูล เป็นครูในโรงเรียน 22 โรงเรียน จ านวน 389 คน และครูใหญ่หรือผู้อ านวยการโรงเรียน จ านวน 22 คน ใช้แบบประเมินในการวัด โดยมีหลัก จริยธรรมในการวัดอยู่ 6 มิติ คือ ความอดกลั้น ความยุติธรรม ความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์ ประชาธิปไตย และความเคารพ ผลการศึกษาพบว่า ในมุมมองที่ผู้อ านวยการมองตนเอง มองว่าตนเองมีพฤติกรรมจริยธรรม ที่เหมาะสมอยู่ตลอด (Always Appropriate) ในขณะที่ในมุมมองของครูในโรงเรียนที่มอง พบว่าผู้บริหาร มีพฤติกรรมจริยธรรมที่เหมาะสมอยู่บ่อย ๆ (Often Appropriate) และพบว่า ไม่มีความแตกต่างของ พฤติกรรมจริยธรรมที่เหมาะสมของครูใหญ่หรือผู้อ านวยการในระดับโรงเรียนประถมและโรงเรียนมัธยม นอกจากนี้การศึกษาที่เกี่ยวกับคุณค่าจริยธรรม (Moral Value) ของนักเรียนที่อยู่ใน Generation ก็มี การศึกษาของ Zygaitiene, B., Kepaliene, I., & Baltusite, R. (2017) ได้ศึกษานักเรียนโรงเรียนในประเทศ Lithuania และประเทศ Latvia. วัตถุประสงค์ในการศึกษาของงานวิจัยคือ ศึกษาว่าอะไรคือคุณลักษณะของ คุณค่าจริยธรรมของ Generation Z ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนในประเทศทั้งสองประเทศนี้ การศึกษาเก็บข้อมูล จากนักเรียน 374 คนใน Lithuania ในระหว่างปี 2014-2015 และเก็บข้อมูลจากนักเรียน 114 คนใน Latvia เมื่อปี 2016 ผลการศึกษาพบว่า คุณลักษณะคุณค่าจริยธรรม อันดับแรกได้แก่ ความเคารพ (respect) ถูกประเมินในระดับที่สูงที่สุด รองลงมาคือ ความรับผิดชอบ (responsibility) การอุทิศตัว (Devotion) ความรัก ส าหรับผู้คน (Love for People) การควบคุมตนเอง (Self-control) การมีอารมณ์ขัน (Humour) ความซื่อสัตย์ (Honesty) การไวต่อการรับรู้ (Sensitivity) ความสร้างสรรค์ (Creativity) อิสรภาพ (Independence) ความมุ่งมั่น (Determination) ความยุติธรรม (Justice) ความอดกลั้น (Tolerance) โดยคุณลักษณะที่ได้รับ การประเมินน้อยที่สุดจากนักเรียนคือ ความมีเหตุมีผล (Rationality) ให้เป็นคุณลักษณะที่เป็นคุณค่าจริยธรรม ของ Generation Z อีกหนึ่งการศึกษาที่มีความน่าสนใจคือการศึกษาถึงการเรียนออนไลน์ของนักเรียนต่อคุณค่าทาง จริยธรรม ของ Sekartaji, P. R. A. และคณะ (2022) โดยในการศึกษานี้มุ่งค้นหาความสัมพันธ์ระหว่าง การเรียนออนไลน์กับพฤติกรรมเชิงจริยธรรมของนักเรียน โดยพวกเขาได้ศึกษากับนักเรียนจ านวน 30 คน โดยเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์ตามแบบสอบถาม ผลการศึกษาพบว่า โดยส่วนใหญ่นักเรียน ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะตัวนักเรียนเองไม่ได้มีวัฒนธรรมในการเรียนแบบทางไกล นักเรียนยังมีความ ต้องการที่จะมีปฏิสัมพันธ์กันในโรงเรียน การเรียนรู้แบบออนไลน์พบว่านักเรียนมีความตื่นตัวน้อยลง จากการศึกษาพบว่า นักเรียนหลายคนไม่ปฏิบัติตามค่านิยมและกฎเกณฑ์ทางวัฒนธรรม เวลาเรียนออนไลน์ เช่น การแต่งกายสุภาพ การใช้ภาษาสุภาพ และอื่น ๆ นักเรียนรู้สึกว่าตนเองไม่ได้ถูกตรวจตราควบคุม จึงรู้สึกมี ความอิสระที่จะท าอะไรก็ได้ที่ตนเองต้องการ ในไต้หวัน Cheng, Y. C., Hung, F. C., และ Hsu, H. M. (2021) ได้มีการศึกษาวิจัย ความสัมพันธ์ ระหว่างความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ (Academic Dishonesty) ทัศนตติเกี่ยวกับจริยธรรม (Ethical Attitude) และบรรยากาศทางจริยธรรม (Ethical Climate) ใช้การเก็บข้อมูลโดยการส ารวจกลุ่มตัวอย่างนักเรียนจ านวน 1,271 คน (ชาย 745 คน และหญิง 526 คน) จากโรงเรียนมัธยมปลายจ านวน 31 โรงเรียนในไต้หวัน ในการ ทดสอบสมมุติฐาน ใช้สมการถดถอยในการวิเคราะห์ข้อมูลหาความสัมพันธ์ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มนักศึกษา ชายมีทัศนคติเกี่ยวกับจริยธรรมไปในทางบวกมากกว่ากลุ่มนักศึกษาหญิง และมีความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ น้อยกว่า พบว่าทัศนคติเกี่ยวกับจริยธรรมมีความสัมพันธ์ในทางลบกับความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ บรรยากาศ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 53 ทางจริยธรรมสูง เพิ่มความแข็งแรงของความสัมพันธ์ในทางลบระหว่างทัศนคติเกี่ยวกับจริยธรรมและ ความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ ในการศึกษาของ Shobana, S. และ Kanakarathinam (2017) ในเรื่อง การตระหนักรู้และ ความต้องการจริยธรรมและค่านิยมในการศึกษาของนักศึกษา โดยพวกเขาได้ท าการศึกษา การตระหนักรู้และ ความต้องการจริยธรรมและค่านิยมดังกล่าว กับกลุ่มตัวอย่างนักศึกษาจ านวน 104 คน ในพื้นที่เมือง Pollachi ของอินเดีย เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างกระจายตามภาควิชาต่าง ๆ ใน 10 วิทยาลัยการ ศิลปและวิทยาศาสตร์ (Arts and Science College) ผลการศึกษาพบว่า 10 ปัจจัยที่มีความส าคัญมากที่สุด ได้แก่ ความภาคภูมิใจในตนเอง (Self-esteem) รองลงมาคือ เกียรติภูมิ (Honor) ความซื่อสัตย์ (Honesty) เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Enviromental Friendly) ความรับผิดขอบ (Resonsibility) ความเท่าเทียมของ โอกาส (Equality of Opportunity) เหตุผลและการถกเถียง (Reasoned Argument) ความเสมอภาค (Fairness) ความเชื่อถือได้ (Trustworthness) และความอ่อนน้อมถ่อมตน (Humility) ในการศึกษานี้ ยังพบว่า ค่านิยมพฤติกรรมของนักศึกษามีอิทธิพลสูงสุดในการปรับสมดุลชีวิตในอนาคตของนักศึกษา ส่วนค่านิยมส่วนบุคคลและค่านิยมการศีกษามีความส าคัญเป็นอันดับสอง ส าหรับการทบทวนงานวิจัยในประเทศไทย จากการศึกษาของปิยนันท์ จิตติกรยุทธนา และไพรัตน์ อธิกพันธุ์ (2546) ที่ได้ศึกษาพฤติกรรมการทุจริตการสอบของนักศึกษา ซึ่งมีหลายลักษณะตั้งแต่แบบง่าย ๆ ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เป็นเครื่องมือ เช่น การซ่อนโพยค าตอบ จ้างท ารายงาน ใช้อุปกรณ์ช่วยฟัง จ้างเพื่อนท า หรือรับจ้างเพื่อนท ารายงาน การใช้อุปกรณ์ช่วยฟังติดไว้ที่หูเวลาเข้าห้องสอบ และสิ่งที่น่าสนใจใน การศึกษาครั้งนี้ คือ นอกจากจะได้รับรู้กลวิธีโกงแล้วยังได้ข้อค้นพบว่า ผู้ตอบไม่รู้สึกว่าผิด เพราะมองว่าใคร ๆ ก็ท าได้ ในขณะที่ สุชาดา กรเพชรปาณี (2549) พบว่า นักศึกษา ร้อยละ 97 เคยกระท าพฤติกรรมไม่ซื่อสัตย์ ทางวิชาการ ส่วนใหญ่เป็นการลอกแบบฝึกหัด รองลงไปเป็นการทุจริตในการสอบ การเปลี่ยนแปลงข้อมูล และ ไม่ซื่อสัตย์ในการท ารายงาน นักศึกษาชายมีแนวโน้มจะกระท าความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการมากกว่านักศึกษา หญิง ในขณะที่การศึกษาของณัฐพร ศรีสติ (2548) พบว่าบริบททางการศึกษา ด้านชั้นปีมีความสัมพันธ์กับ พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการไม่ซื่อสัตย์สุจริตทางวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขโมยคัดลอกผลงานผู้อื่นมา เป็นของตนเองในสื่ออินเทอร์เน็ต (นลินี สุวรรณโชติ, 2549, สุชาดา กรเพชรปาณี, 2549) ข้อค้นพบนี้ยังได้มี ความสอดคล้องกับงานของ McCabe, & Trevino, (1993) (อ้างถึงในนลินี สุวรรณโชติ, 2549) ที่พบว่า พฤติกรรมของเพื่อนมีอิทธิพลอย่างมากต่อความไม่ซื่อสัตย์ทางวิชาการ และเมื่อนักศึกษาเห็นว่าเพื่อน ๆ มีการ โกงอยู่เสมอ ส่วนการศึกษาของอภิญญา อิงอาจ (2554) พบว่านักศึกษาที่มีเพศ สาขาวิชา ระดับการอบรม เลี้ยงดูแบบรักสนับสนุน ระดับความใกล้ชิดของครอบครัวต่างกัน มีพฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตแตกต่างกัน และเมื่อควบคุมตัวแปรลักษณะเพื่อน ชุดของตัวแปรเหล่านี้สามารถอธิบายพฤติกรรมความซื่อสัตย์ได้สูงขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นจะยึดถือเพื่อนเป็นแบบอย่างและคล้อยตามลักษณะของเพื่อนได้โดยง่าย ๆ ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ ดวงเดือน พันธุมนาวิน และ เพ็ญแข ประจนปัจจนึก (2524) ซึ่งสะท้อนให้เห็น ว่าเพื่อนมีบทบาทสูงต่อการแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม นอกจากนี้จากงานวิจัยของ นุสรา สุรางคพาณิชย์ (2546) พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนกระทุ่มแบน มีแนวโน้มพฤติกรรมความซื่อสัตย์ใน ระดับสูงทั้งในด้านความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ความซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ และความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น เพศหญิง มีแนวโน้มพฤติกรรมความซื่อสัตย์สูงกว่า การอบรมเลี้ยงดูของครอบครัวแบบรักและสนับสนุนและแบบใช้ เหตุผล มีอ านาจ ในการอธิบายแนวโน้มพฤติกรรมความซื่อสัตย์มากที่สุด
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 54 การศึกษาของดวงเดือน พันธุมนาวิน (2546) (อ้างถึงใน แสงอรุณ ธรรมเจริญ ลินดา สุวรรณดี, 2547 ดวงเดือน พันธุมนาวิน และคณะ, 2540) ระบุว่าสถาบันครอบครัวและสถาบันการศึกษา มีความสัมพันธ์และ มีบทบาทอย่างมากกับพฤติกรรมความซื่อสัตย์สุจริตของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝั่ง บิดาหรือมารดา ผู้ปกครองเด็กใช้ความรักและการยอมรับเด็ก ให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับเด็ก ให้ค าแนะน า เมื่อเด็กมีปัญหา เช่นเดียวกันกับงานวิจัยของ สุภาสินี นุ่มเนียม (2546) ที่ผลศึกษาพบว่านักเรียนที่ได้รับการ อบรมเลี้ยงดูแบบรักสนับสนุนใช้เหตุผลมาก จะมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ทั้งหน้าที่ใน ครอบครัวและหน้าที่ในโรงเรียน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมีพฤติกรรมเชิงจริยธรรมที่ดีมากขึ้น 2.3.2 งำนวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกำรน ำหลักสูตรไปใช้และกำรประเมินกำรใช้หลักสูตร ทางด้านงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน การสร้างการรับรู้ การต่อต้านการทุจริต การน าหลักสูตรไปใช้ และการประเมินการใช้หลักสูตร จากการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในกลุ่มนี้ มีหลาย ๆ งานวิจัยที่ได้สะท้อนให้คณะผู้วิจัยได้เข้าใจถึงการปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริตและการส่งเสริมการต่อต้าน การทุจริต การประเมินหลักสูตร สรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในกลุ่มนี้ดังตารางที่ 2.4 ตำรำงที่ 2.4 ตารางสรุปงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการน าหลักสูตรไปใช้และการประเมินการใช้หลักสูตร No. ผู้วิจัยและปี (Author & Years) กลุ่มเป้ำหมำย (Respondents) ผลกำรศึกษำโดยสรุป (Study results) 1 บงกช สุทัศน์ ณ อยุธยา (2564) สถาบันอุดมศึกษา - ปี 2559 มีเพียง 5 จาก 12 แห่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่บรรจุให้มีการเรียนการสอนรายวิชา การต่อต้าน การทุจริต (Anti-Corruption) ในปีการศึกษา 2560 มีเพิ่มอีก 3 แห่ง 2 เกรียงศักดิ์ โชควรกุล (2561) นักศึกษา - ผลจากการศึกษาสามารถสร้างกลยุทธ์ในการป้องกัน และต้านการทุจริตได้ 2 กลยุทธ์ คือ 1. การปลูกฝัง ส านึกตามวิถีไทย ในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และกลยุทธ์ที่ 2 คือการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ทางการศึกษาในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน 3 บวร ขมชุณศรี และ ยุทธนา ปราณีต (2564) ประชาชน - พบว่าประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการส่งเสริมการต่อต้าน การทุจริตและประพฤติมิชอบและการตัดสินใจ ทางการเมือง ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ของประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวม อยู่ในระดับมาก 4 ศิริรัตน์ นิลนาก (2559) นักเรียนประถมศึกษา - เปรียบเทียบลักษณะนิสัยซื่อสัตย์หลังเรียนด้วย หลักสูตรเด็กไทยหัวใจไม่โกง สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส าคัญ 5 ผการัตน์ ทองจันทร์ (2561) นักเรียนประถมศึกษา - เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังของ นักเรียนด้วยแอปพลิเคชัน “โตไปไม่โกง” พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลัง เรียนด้วยแอปพลิเคชัน “โตไปไม่โกง” คะแนนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 55 No. ผู้วิจัยและปี (Author & Years) กลุ่มเป้ำหมำย (Respondents) ผลกำรศึกษำโดยสรุป (Study results) 6 ส านักพัฒนานวัตกรรม การจัดการศึกษา, 2561 ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาชั้นพื้นฐาน - ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานควร ก าหนดนโยบายป้องกันและปราบปรามการทุจริต อย่างเป็นรูปธรรม และมีการจัดท าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษา 7 กรรณิการ์ สงวนนวน (2546) ผู้บริหาร และครูผู้สอน - ผู้บริหารฝ่ายวิชาการและประธานกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์และท าความ เข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตร ต่าง ๆ และไม่ได้เตรียมบุคลากรก่อนน าหลักสูตรไปใช้ ในสถานศึกษา แต่มีการสนับสนุนในด้านต่าง ผู้บริหาร ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตร 8 เสาวภา จันทร์สงค์ (2547) ผู้ปกครอง ครูผู้สอน - ปัญหาที่พบได้แก่ ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่นใน การจัดหลักสูตร บุคลากรชาวต่างชาติขาดแคลนและ ต้องการค่าตอบแทนสูง มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ขาดบุคลากรชาวไทยที่มีความรู้ความสามารถทาง ภาษาอังกฤษ บุคลากรชาวต่างชาติขาดความรู้ ความเข้าใจเรื่องท าแผนการสอน รวมถึงนักเรียน มีความรู้พื้นฐานแตกต่างกัน 9 พิไลลักษณ์ หมั่นวงศ์ (2549) ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มสาระ และ ครูผู้สอน - ปัญหาที่พบได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีภาระ งานมาก ไม่มีเวลาในการศึกษาและท าความเข้าใจ หลักสูตร ขาดครูผู้สอนและขาดงบประมาณในการ บริหารหลักสูตร 10 อรพิน ไชยโวหาร (2549) หลักสูตร - การบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษาในภาพรวม มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทั้ง 4 ได้แก่ ด้านการ บริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา (ใช้หลักสูตร) ด้านการสรุปผลด าเนินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ด้านการนิเทศ ก ากับ ติดตามผลการใช้หลักสูตร สถานศึกษา และด้านการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร สถานศึกษา 11 สิทธิ์ จิตต์นิลวงศ์ (2552) ครูผู้สอน - ปัญหาคือ เปลี่ยนครูต่างชาติบ่อย และขาด งบประมาณการพัฒนาครู ขนาดและพื้นที่ไม่ สอดคล้องกับจ านวนเด็ก สภาพการบริหารงานกิจการ นักเรียน ไม่ได้ก าหนดแผนงานประจ าปีให้ชัดเจน ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรม 12 นิวัฒน์ ตุ่นบุตรเสลา (2556) ผู้เข้ารับการอบรม - ความคิดเห็นด้านบริบท ความพึงพอใจด้านปัจจัย น าเข้า กระบวนการ และผลผลิตอยู่ในระดับสูง ทุกด้าน ผู้เข้ารับการฝึกอบรมส่วนใหญ่มีความมั่นใจ ว่าจะสามารถน าความรู้ที่ได้รับกลับไปใช้ในการ ตรวจประเมินฯ ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ 13 อุษา เพ็ชรไทย และคณะ (2558) ผู้เข้าร่วมโครงการ และ หัวหน้างาน - พบว่าในด้านบริบท ด้านปัจจัยน าเข้า และด้าน กระบวนการ ที่มีอิทธิพลต่อด้านผลผลิตของโครงการ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 56 No. ผู้วิจัยและปี (Author & Years) กลุ่มเป้ำหมำย (Respondents) ผลกำรศึกษำโดยสรุป (Study results) ผู้เข้าร่วมโครงการและหัวหน้างานเห็นว่าโครงการมี ประโยชน์ มุ่งให้ความรู้ความสามารถ มีความพึงพอใจ กับวิทยากร เจ้าหน้าที่โครงการ และการบริหาร จัดการ แต่ควรมีการปรับปรุงพัฒนาโครงการด้าน เนื้อหา ในงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริตและการส่งเสริมการต่อต้านการทุจริต พบว่า ในงานวิจัยของบงกช สุทัศน์ ณ อยุธยา (2564) ที่ว่าด้วย “ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ด้านการป้องกัน การทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.จ. เชียงใหม่* ” มีประเด็นการศึกษาเกี่ยวกับการจัดท ารายวิชา การต่อต้าน การทุจริต (Anti-Corruption) ซึ่งรายวิชาดังกล่าวถูกคาดหมายให้บรรจุในหมวดวิชาศึกษาทั่วไปส าหรับ นักศึกษาปริญญาตรี ตามข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) ของส านักงาน ป.ป.ช. และส านักงาน ป.ป.ช. ประจ าจังหวัดเชียงใหม่; คณะกรรมการ ป.ป.จ เชียงใหม่ ร่วมกับ สถาบันอุดมศึกษา 12 แห่ง ในจังหวัด เชียงใหม่ แต่ในปีการศึกษา 2559 มีเพียง 5 สถานศึกษาที่บรรจุให้มีการเรียนการสอนในรายวิชาดังกล่าว ซึ่งได้แก่ 1) มหาวิทยาลัยมกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา 2) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 3) มหาวิทยาลัย นอร์ท-เชียงใหม่ 4) วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ และ 5) สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์เชียงใหม่ กระทั่งต่อมาในปีการศึกษา 2560 มีสถานศึกษาอีก 3 แห่ง เปิดให้มีการเรียนการสอนในรายวิชาดังกล่าว ซึ่งได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยพายัพ และมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตเชียงใหม่ ส่วนสถาบันทางการศึกษาอื่น ๆ อีก 3 แห่ง ไม่ได้เปิดสอนในรายวิชาดังกล่าวโดยตรง แต่ให้เหตุผลว่าได้ใช้ รายวิชาอื่นแทนรายวิชาการต่อต้านการทุจริต ทั้งนี้ผลจากการศึกษาต่อประเด็นดังกล่าว บงกช สุทัศน์ ณ อยุธยา ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทส าคัญในการส่งเสริมด้านการป้องกันการทุจริต ว่าควรให้ความความส าคัญ มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปฏิรูปหลักสูตรการศึกษาทุกระดับทุกประเภท โดยให้เน้นคุณธรรม จริยธรรมให้มากขึ้น ปฏิรูปการเรียนการสอนในทุกสถาบันการศึกษาให้เกิดคุณภาพในการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมแก่นักเรียน นักศึกษา สร้างระบบความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity Systems) และระบบเกียรติศักดิ์ (Honor System) ให้เกิดขึ้นในสังคมโดยผ่านระบบและกระบวนการการศึกษาของชาติ และเน้นการแทรก เนื้อหาเกี่ยวกับจริยธรรมในหลักสูตรการศึกษา อบรมทุกหลักสูตรทุกประเภท จัดให้มีสถาบันฝึกอบรม นักการเมืองให้มีมาตรฐาน มีการประเมินผลที่ชัดเจน เนื่องจากข้อสรุปส าคัญประการหนึ่งคือ รากเหง้าของ ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันน่าจะอยู่ที่ระบบการศึกษาเพราะเป็นกลไกส าคัญในการบ่มเพาะจิตส านึก ค่านิยม โดยเฉพาะเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ต้องท าให้การศึกษาทั้งระบบในสังคมไทยให้ความส าคัญในการ เสริมสร้างระบบธรรมาภิบาลอย่างจริงจัง ที่ส าคัญต้องสร้างระบบตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อ านาจและ การท างานของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม งานวิจัยที่ว่าด้วย “กลยุทธ์การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันด้วยการสร้างค่านิยมของกลุ่มนักศึกษาใน จังหวัดชัยภูมิ” โดย เกรียงศักดิ์ โชควรกุล (2561) เป็นงานวิจัยอีกชิ้นที่ได้สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในเรื่องของ การคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นจ านวนมากในสังคมไทย ซึ่งเกรียงศักดิ์ได้ชี้ให้เห็นว่าจังหวัดชัยภูมิได้มีปัญหาการทุจริต คอร์รัปชันเกิดขึ้นหลายคดี นับตั้งแต่ในระดับชาวนาไปจนกระทั่งถึงระดับของราชการระดับ 10 ที่ได้เข้าไปมี ส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาคอร์รัปชันทั้งในโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน ดังนั้น เกรียงศักดิ์ จึงเห็นว่ากลยุทธ์ * ปัจจุบันยกเลิกแล้ว
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 57 การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันด้วยการสร้างค่านิยมร่วมของกลุ่มนักศึกษา เป็นภารกิจที่ต้องให้ความส าคัญต่อ ทั้งนี้เพราะส่งผลต่อการอยู่รอดของประเทศไทยในอนาคต และผลจากการศึกษาได้ตกผลึกและสามารถสร้าง กลยุทธ์ในการป้องกันและต้านการทุจริตได้ 2 กลยุทธ์ คือ กลยุทธ์ที่ 1 การปลูกฝังส านึกตามวิถีไทยในการ ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยในกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ผู้วิจัยเสนอว่าจะต้องมีการปลูกฝังจิตส านึกหรือค่านิยม ความเชื่อ วัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันกันตั้งแต่ในระดับครอบครัวเป็นต้นไป และกลยุทธ์ ที่ 2 คือการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจทางการศึกษาในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ผู้วิจัยเสนอให้สถาบันการศึกษาท าหน้าที่ในการอบรม โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาหลักสูตร บทเรียน การเรียน การสอน และสื่อการเรียนในทุกระดับชั้น เพื่อพัฒนาและปรับปรุงจิตส านึกทางจริยธรรมและปรับเปลี่ยน พฤติกรรมอย่างจริงจัง ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวสอดคล้องกับการพยายามสร้างหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ภายใต้ชื่อ ว่า “หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาส าหรับวิทยากรตัวคูณ โครงการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาสู่ภาคประชาชน” โดยส านักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ในงานวิจัยของ บวร ขมชุณศรี และยุทธนา ปราณีต (2564) ที่ว่าด้วย “การส่งเสริมการต่อต้านการ ทุจริตและประพฤติมิชอบและการตัดสินใจทางการเมืองตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของประชาชนใน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา” เป็นงานวิจัยอีกหนึ่งชิ้นที่พยายามจะเข้าไปศึกษาถึงการรับรู้และความเข้าใจของ ประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่อการใช้อ านาจรัฐในการพยายามส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตและ ประพฤติมิชอบ ซึ่งผลจาการวิจัยพบว่า รัฐได้พยายามที่จะส่งเสริมให้ประชาชนและชุมชน มีส่วนร่วมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยใช้หลักการป้องกัน คือ พัฒนาคน เน้นการปรับพฤติกรรม “คน” ทุกกลุ่มในสังคม โดยกลุ่มเด็กและเยาวชน เน้นการปลูกฝังและหล่อหลอมให้มีจิตส านึกและพฤติกรรมยึดมั่นใน ความซื่อสัตย์สุจริตผ่านหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับ ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงอุดมศึกษา กลุ่มประชาชนทั่วไป เน้นการสร้างวัฒนธรรม และพฤติกรรมสุจริต ควบคู่กับส่งเสริมการมีส่วนร่วมต่อต้านการ ทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนี้เองส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการส่งเสริมการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบและการตัดสินใจทางการเมืองตาม แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ของประชาชนในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยรวมอยู่ในระดับมาก (̅=4.03) เมื่อพิจารณาโดยเรียงตามค่าเฉลี่ยจากมากไปหาน้อย พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก-มากที่สุด ดังนี้ ด้านที่มี ค่าเฉลี่ยสูงที่สุด ได้แก่ ด้านการปรับค่านิยม (̅=4.84) รองลงมาได้แก่ ด้านการเสริมสร้างสังคมธรรมาภิบาล (̅=4.74) ด้านการมีส่วนร่วมรับรู้ข้อมูลในการบริหารประเทศ (̅=3.62) ด้านการปลุกจิตส านึกการเป็น พลเมืองที่ดี (̅=3.54) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ าสุด คือ ด้านการส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในองค์กร (̅3.42) ตามล าดับ ศิริรัตน์ นิลนาก (2559) ได้ท าการศึกษาถึงการพัฒนาหลักสูตรเด็กไทยหัวใจไม่โกง ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทองศาลางาม ส านักงานเขตภาษีเจริญ สังกัดกรุงเทพมหานคร โดยใน งานวิจัยชิ้นดังกล่าวพบว่า ผลการเปรียบเทียบลักษณะนิสัยซื่อสัตย์หลังเรียนด้วยหลักสูตรเด็กไทยหัวใจไม่โกง สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทั้งนี้ในส่วนของการจัดการเรียนการสอนนั้น ผู้สอนได้จัดกิจกรรมการเรียน การสอนออกเป็น 4 แบบ ประกอบด้วย แบบที่ 1 เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งข้อมูลเป็นหลัก โดยเนื้อหาในส่วนนี้จะเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดอันดับข่าวอื้อฉาวที่สุดเรื่องคอร์รัปชันปี 2555 ในประเทศไทย 10 อันดับ ความสูญเสียจากการคอร์รัปชัน ตัวอย่างนักการเมืองที่ถูกด าเนินคดีทุจริตคอร์รัปชันและโทษที่ได้รับ พฤติกรรมที่แสดงถึงลักษณะนิสัยที่ไม่ซื่อสัตย์ในด้านต่าง ๆ ตามที่นิยามไว้ในหลักสูตรเด็กไทยหัวใจไม่โกง หลังจากนั้นให้นักเรียนกลับไปค้นคว้าหาข่าวหรือบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชันและออกมา น าเสนอให้เพื่อน ๆ ในชั้นเรียนฟัง พร้อมทั้งร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เพื่อนออกมาน าเสนอหน้า
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 58 ชั้นเรียน แต่ก่อนที่ผู้วิจัยจะด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนสอนให้กับนักเรียนนั้น ผู้วิจัยได้ให้นักเรียนท า แบบทดสอบวัดลักษณะนิสัยซื่อสัตย์ แบบที่ 2 เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการ จิตส านึกของเปาโล แฟร์ โดยเนื้อหาที่ผู้วิจัยน ามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนนั้น เป็นเนื้อหา เกี่ยวกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในสังคมไทยในยุคปัจจุบัน ความต้องการของนักเรียนที่ต้องการให้บุคคลที่ ถูกด าเนินคดีทุจริตคอร์รัปชัน ได้รับโทษทัณฑ์สถานใด หลังจากนั้นผู้วิจัยได้เปิดคลิปวิดีโอเรื่อง “นรกขุมต่าง ๆ” ที่แสดงถึงการถูกลงโทษ และความทุกข์ทรมานตามระดับความทุจริตที่ตนได้กระท า และคลิปวิดีโอเรื่อง “สวรรค์ชั้นต่าง ๆ” ที่แสดงให้เห็นถึงผลแห่งการกระท ากรรมดีจะส่งผลให้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นต่าง ๆ ตามระดับ กรรมดีที่ตนสร้างขึ้น เมื่อนักเรียนได้ชมคลิปวิดีโอทั้งสองชุดจบแล้ว ครูและนักเรียนจึงร่วมกันสนทนาและ ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวคลิปวิดีโอที่นักเรียนได้ชม แบบที่ 3 เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดย ใช้กรณีตัวอย่าง (Cases) โดยเนื้อหาที่ผู้วิจัยน ามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนนั้น เป็นเนื้อหา เกี่ยวกับบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ โดยน าภาพและเล่าประวัติโดยสังเขปของบุคคล ที่ได้รับยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์จ านวน 10 ท่านมาให้นักเรียนดู ดังนี้ เทพเจ้ากวนอูพันท้ายนรสิงห์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) พระยาพิชัยดาบหัก ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี พนมยงค์ หรือหลวงประดิษฐมนูธรรม พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายธีรศักดิ์ ลิ้มประสิทธิศักดิ์ นายเอนก เกษมสุข นายวิสุทธิ์ ประกอบความดี นายสันติ ญาโณทัย และคุณยายส่าพอ พาครึ ให้นักเรียนฟัง ซึ่งประวัติและผลงาน ของบางท่านได้ถูกน ามาท าเป็นละคร ภาพยนตร์ หนังสั้น และคลิปวิดีโอบรรยายประวัติโดยสังเขป จากการ สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างที่มีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนนั้น แบบที่ 4 เป็นการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนโดยใช้เกม โดยเนื้อหาที่ผู้วิจัยน ามาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้กับนักเรียนนั้น เป็นการ ทบทวนความรู้เกี่ยวกับประวัติ และผลงานของบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ โดยให้ นักเรียนแบ่งกลุ่มเพื่อแข่งขันกันต่อจิกซอว์ภาพใบหน้าของบุคคลที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลที่มีความ ซื่อสัตย์ พร้อมทั้งเล่าประวัติและผลงานของบุคคลในภาพโดยสังเขปให้เพื่อน ๆ ในชั้นเรียนฟังด้วย จึงจะถือว่า ได้คะแนน จากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเล่นเกมพบว่านักเรียนเล่นเกมด้วยความสนุกสนาน มีความซื่อสัตย์ มีน้ าใจเป็นนักกีฬา คือรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ท าตามกฎกติกามารยาทที่ครูผู้สอนได้วางไว้ รู้จัก ยอมรับฟังความคิดเห็นของเพื่อนร่วมกลุ่ม มีความสามัคคี ในงานวิจัยของ ผการัตน์ ทองจันทร์ (2561) ที่ว่าด้วย “การสร้างแอปพลิเคชัน “โตไปไม่โกง” เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันตามแนวคิดโรงเรียนสุจริต (Upright School) ส าหรับเยาวชนของชาติ” ผู้วิจัยได้ น าเอาแนวความคิดและทฤษฎีที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันตามแนวคิดโรงเรียนสุจริต ส าหรับเยาวชนของชาติ “โตไปไม่โกง” มาสร้างเป็นแอปพลิเคชัน โดยแบ่งออกเป็น 4 บทเรียน ประกอบด้วย การมีวินัย ความซื่อสัตย์ การอยู่อย่างพอเพียง และการมีจิตสาธารณะ ซึ่งผลการทดลองใช้แอปพลิเคชัน “โตไปไม่โกง” เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน พบว่าผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/2 จ านวน 43 คนด้วยแอปพลิเคชัน “โตไปไม่โกง” เรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน พบว่า คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยแอปพลิเคชัน “โตไปไม่โกง” เรื่องการทุจริต คอร์รัปชัน มีคะแนนเฉลี่ย 13.56 และ 17.14 ตามล าดับ คะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่าการเรียนด้วยแอปพลิเคชัน “โตไปไม่โกง” เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันมี คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากนี้ยังพบว่าการน าเทคโนโลยีเข้ามาช่วย พัฒนาการเรียนการสอนท าให้บรรยากาศในการเรียนการสอนน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ช่วยกระตุ้นและสร้างความ สนใจอยากรู้อยากเรียนให้กับผู้เรียน ท าให้ผู้เรียนเข้าใจง่าย เกิดความสนุกสนานและไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ดีกว่า วิธีการสอนแบบบรรยายและยกตัวอย่างเพียงอย่างเดียวอาจท าให้ผู้เรียนมองไม่เห็นภาพ ได้แต่การจินตนาการ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 59 และผู้สอนมีความสนุกสนานในการสอนเมื่อผู้เรียนมีความสนใจ นอกจากนี้ยังช่วยแบ่งเบาภาระผู้สอนในการ เตรียมเนื้อหาอีกด้วย ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ได้ด าเนินการศึกษาเรื่อง การวิเคราะห์นโยบายและแผนการป้องกันและปราบปรามการทุจริต เพื่อจัดท าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ส าหรับปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมป้องกันการทุจริตให้แก่นักเรียนสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (ส านักพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษา, 2561) โดยผลการวิเคราะห์นโยบายและแผนป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต สรุปได้ว่า ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาชั้นพื้นฐานควรก าหนดนโยบายป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม และมีการจัดท าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เพื่อใช้ในการปลูกฝัง คุณธรรมและจิตส านึกในการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม มีจิตพอเพียงใน การต้านทุจริต การไม่ยอมรับและไม่ทนต่อการทุจริต และเป็นพลเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเพื่อให้ นักเรียนเกิดความตระหนักและเห็นความส าคัญของการต่อต้านและป้องกันการทุจริตตามยุทธศาสตร์ชาติ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 (พ.ศ. 2560-2564) ยุทธศาสตร์ที่ 1 "สร้างสังคมไม่ทน ต่อการทุจริต" ในการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการน าหลักสูตรไปใช้ของ กรรณิการ์ สงวนนวน (2546) ศึกษา การใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาจีน) ในสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร ชี้ให้เห็นว่า ด้านการบริหารหลักสูตรที่รับผิดชอบโดยผู้ช่วยผู้บริหารฝ่ายวิชาการและประธานกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์และท าความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรและเอกสารประกอบ หลักสูตรต่าง ๆ และไม่ได้เตรียมบุคลากรก่อนน าหลักสูตรไปใช้ในสถานศึกษา จัดครูเข้าสอนโดยพิจารณาจาก ความรู้ความสามารถของครู แต่มีการสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น การบริการวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตสื่อ การเรียนการสอน ทั้งนี้ ยังพบว่ามีการนิเทศ ติดตามผลการใช้หลักสูตรโดยเยี่ยมเยียนชั้นเรียนเพื่อสังเกตการ จัดกิจกรรมการสอน และมีการประเมินผลการใช้หลักสูตร ในส่วนด้านปัญหาของการใช้หลักสูตรพบว่า ผู้บริหารยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรภาษาจีน การด าเนินกิจกรรมขาดความต่อเนื่องและ ขาดห้องเรียนภาษาจีน ด้านการสอน ครูผู้สอนท าความเข้าใจหลักสูตรโดยเข้ารับการอบรมจากโครงการอบรม ปรับหลักสูตรโดยปรับกิจกรรมการเรียนการสอนและเนื้อหา จัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรเพื่อใช้ในชีวิตประจ าวัน และประเมินผลโดยการสังเกตการณ์ร่วมกิจกรรม ด้านปัญหาการสอนของในสถานศึกษาไม่มีหลักสูตรภาษาจีน ที่ได้มาตรฐาน สอนไม่ครบตามหลักสูตร ครูขาดความมั่นใจในการด าเนินการตามแผนการสอน เวลาการสอน ไม่เพียงพอ ภาระงานครูมาก สื่อไม่เพียงพอ ขาดคู่มือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ นักเรียนไม่มีเวลาเรียน ซ่อมเสริม เพราะต้องท ากิจกรรมหลายกลุ่มวิชา การด าเนินงานการจัดหลักสูตร เสาวภา จันทร์สงค์ (2547) พบว่า ด้านการเตรียมการจัดหลักสูตร สถานศึกษาวางแผนการจัดหลักสูตรโดยใช้ข้อมูลด้านความพร้อมของผู้ปกครอง จัดเตรียมอาจารย์ผู้สอน ชาวไทยโดยการส่งเข้ารับการอบรม ประชุม สัมมนา ศึกษาดูงาน ส่วนอาจารย์ผู้สอนชาวต่างชาติจัดเตรียม โดยการจัดอบรมการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภายในสถานศึกษาและส่งไปศึกษาดูงาน มีการจัดท า แผนการสอนระยะสั้นรายสัปดาห์ จัดเตรียมอาคารสถานที่โดยการปรับปรุงชั้นเรียนใหม่ สถานศึกษาใช้เอกสาร ประกอบหลักสูตรจากต่างประเทศ สถานศึกษามีการประชาสัมพันธ์หลักสูตรโดยการจัดท าเอกสาร ประชาสัมพันธ์ มีการจัดงบประมาณในการจัดซื้อสื่อการเรียนการสอน จัดเตรียมการประเมินผลการจัด หลักสูตรโดยการส่งเข้ารับการอบรม ประชุม สัมมนาศึกษาดูงาน ปัญหาที่พบได้แก่ ผู้ปกครองขาดความเชื่อมั่น ในการจัดหลักสูตร บุคลากรชาวต่างชาติขาดแคลนและต้องการค่าตอบแทนสูง มีการเปลี่ยนแปลงบ่อย ขาดบุคลากรชาวไทยที่มีความรู้ความสามารถทางภาษาอังกฤษ บุคลากรชาวต่างชาติขาดความรู้ความเข้าใจ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 60 เรื่องท าแผนการสอน อาคารสถานที่มีไม่เพียงพอและสภาพชั้นเรียนไม่เอื้อต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้านการด าเนินการจัดหลักสูตร สถานศึกษาจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง มีการจัดทัศนศึกษาและกิจกรรมกีฬา เป็นกิจกรรมเสริมหลักสูตร สถานศึกษามีสื่อการเรียนการสอนประเภท ของจริง ของจ าลอง เทปเสียง ซีดี และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีการวัดผลประเมินผลโดยใช้การทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ นิเทศการจัดการเรียนการสอนโดยการสังเกตการณ์สอนในชั้นเรียน ปัญหาที่พบ ได้แก่ นักเรียนมีความรู้พื้นฐานแตกต่างกัน การศึกษาปัญหาการใช้หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างประเทศในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ช่วงชั้น ที่ 2 ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุรินทร์ เขต 3 ของพิไลลักษณ์ หมั่นวงศ์ (2549) ที่มีการศึกษาจาก กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ครูผู้สอนกลุ่ม สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศในช่วงชั้นที่ 2 จากสถานศึกษาจ านวน 234 แห่ง และศึกษานิเทศก์กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ด้านงานบริหารหลักสูตร ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ ศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรจากเอกสารประกอบหลักสูตร และหลักสูตรแกนกลางด าเนินการ เตรียมบุคคลากร จัดครูเข้าสอน จัดตารางสอน และจัดสิ่งอ านวยความสะดวกด าเนินการจัดบริการวัสดุ หลักสูตรและสื่อการเรียนรู้ที่เอื้อต่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะ ท าการประชาสัมพันธ์ หลักสูตร ด าเนินการนิเทศติดตาม และประเมินผลการใช้หลักสูตรจากเอกสารรายงานการประเมินตนเองของ สถานศึกษา และรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ปัญหาที่พบได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและหัวหน้า กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีภาระงานมาก ไม่มีเวลาในการศึกษาและท าความเข้าใจหลักสูตร ขาดครูผู้สอนและขาดงบประมาณในการบริหารหลักสูตร การศึกษาสภาพการบริหารจัดการตามหลักสูตรสถานศึกษาของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาล าปาง เขต 1 ของอรพิน ไชยโวหาร (2549) พบว่า สภาพการบริหารจัดการ หลักสูตรสถานศึกษาในภาพรวม มีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้านเรียงตามล าดับ ได้แก่ ด้านการบริหาร จัดการหลักสูตรสถานศึกษา (ใช้หลักสูตร) ด้านการสรุปผลด าเนินการใช้หลักสูตรสถานศึกษา ด้านการนิเทศ ก ากับ ติดตามผลการใช้หลักสูตรสถานศึกษา และด้านการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา โดยปัญหาที่พบ คือ การด าเนินการนิเทศไม่ต่อเนื่องสม่ าเสมอ ไม่ได้ด าเนินการเป็นลายลักษณ์อักษรจึงไม่มีการน าผลการนิเทศ มาปรับปรุง ในด้านการบริหารจัดการ การมีส่วนร่วมของชุมชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารจัดการ หลักสูตรสถานศึกษา การประชุม อบรม สัมมนา การประสานงาน การประชาสัมพันธ์ มีการรายงานผลต่อ สาธารณชนค่อนข้างน้อย การศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารสถานศึกษาอนุบาลเอกชนสองภาษา สังกัดส านักบริหารงาน คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน ในกรุงเทพมหานคร ของสิทธิ์ จิตต์นิลวงศ์ (2552) พบว่า สภาพการ บริหารงานวิชาการ ใช้หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการเป็นภาษาอังกฤษมีการก าหนดแผนประจ าปี ให้ครูไทย และครูต่างชาติร่วมกันท าแผนการสอน ประเมินผลในทุกภาคการศึกษา และใช้นิเทศการสอนในการพัฒนาครู ปัญหาคือ ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตร ก าหนดจุดประสงค์ไม่ชัดเจน วัสดุอุปกรณ์ไม่เพียงพอ กับความต้องการของเด็ก สภาพการบริหารงานบุคคลคัดเลือกครูชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาแม่ มีการนิเทศการ ปฏิบัติงาน และประเมินผลการปฏิบัติงานจากคุณภาพของงานที่ส าเร็จ ปัญหาคือ เปลี่ยนครูต่างชาติบ่อย และ ขาดงบประมาณการพัฒนาครู สภาพบริหารเกี่ยวกับชุมชนและประชาสัมพันธ์สถานศึกษาโดยรับฟัง ความคิดเห็นของผู้ปกครอง ใช้เอกสารประชาสัมพันธ์ จัดแสดงผลงาน และกิจกรรมที่ให้บริการพัฒนาชุมชน โดยให้บริการด้านอาคารสถานที่ ปัญหาคือ การก าหนดผู้รับผิดชอบ สภาพการบริหารงานอาคารสถานที่ จัดอาคาร อุปกรณ์ในห้องเรียน โต๊ะ เก้าอี้ มีพร้อมและสะดวกต่อการใช้งาน ปัญหาคือ ขนาดและพื้นที่ไม่
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 61 สอดคล้องกับจ านวนเด็ก สภาพการบริหารงานกิจการนักเรียน มีการเรียนเสริมภาษาอังกฤษ ภาษาไทย จัดกิจกรรมเนื่องในวันส าคัญต่าง ๆ และจัดบริการอาหารกลางวันให้แก่นักเรียน ปัญหาคือ ไม่ได้ก าหนด แผนงานประจ าปีให้ชัดเจน ขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการจัดกิจกรรม การประเมินผลการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ตรวจประเมินการจัดการพลังงานภายในองค์การ ของนิวัฒน์ ตุ่นบุตรเสลา (2556) พบว่า บริบท ปัจจัยน าเข้า กระบวนการ และผลผลิตตามรูปแบบ CIPP และประเมิน ปฏิกิริยาและการเรียนรู้ตามรูปแบบของเคิร์กแพททริคของผู้เข้ารับการอบรมรุ่นที่ 50-53 จ านวน 180 คน ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม การสัมภาษณ์ผู้เข้ารับการฝึกอบรมและ ผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรม โดยมีการพิจารณาผลคะแนนจากแบบทดสอบก่อนและหลังการฝึกอบรม ผลการวิจัยพบว่า ความคิดเห็นด้านบริบท ความพึงพอใจด้านปัจจัยน าเข้า กระบวนการ และผลผลิต อยู่ใน ระดับสูงทุกด้าน โดยที่วิทยากรมีความรู้ในหัวข้อที่สอนมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจสูงที่สุด และความเหมาะสม ของเวลาที่ใช้ฝึกอบรมทั้งหลักสูตรมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจต่ าที่สุด ส่วนผลการประเมินปฏิกิริยาพบว่า ด้านบริบทผู้เข้ารับการฝึกอบรมส่วนใหญ่เข้ารับการฝึกอบรมเพราะเป็นไปตามกฎหมายก าหนด ด้านปัจจัย น าเข้าหลักสูตร/คู่มือมีความเหมาะสม แต่จ านวนผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีมากเกินไป ด้านกระบวนการวิทยากร/ วิธีการฝึกอบรม/วิธีการประเมินผลการเรียนรู้มีความเหมาะสม แต่เวลาฝึกอบรม 1 วันยังไม่เหมาะสม และด้าน ผลผลิต ผู้เข้ารับการฝึกอบรมส่วนใหญ่มีความมั่นใจว่าจะสามารถน าความรู้ที่ได้รับกลับไปใช้ในการตรวจ ประเมินฯ ได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ และการฝึกอบรมหลักสูตรนี้สามารถท าให้ผู้ผ่านการฝึกอบรม ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นจริง ซึ่งได้ให้ข้อเสนอแนะการจัดฝึกอบรมครั้งต่อไปควรแบ่งเป็น 100 รุ่น ๆ ละ 35 คน และปรับวิธีการฝึกอบรมใหม่เป็นเรียนสลับกับการท าฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ โดยเลือกท าเฉพาะขั้นตอนที่ ส าคัญเท่านั้น ส่วนการท าวิจัยครั้งต่อไป ควรมีการติดตามเพื่อประเมินภายหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรม และ ควรศึกษาเปรียบเทียบระหว่างผลการวิจัยนี้กับการฝึกอบรมที่เกิดขึ้นจริงในปี2556 การประเมินโครงการฝึกอบรมวิศวกรใหม่ บริษัทปูนซีเมนต์นครหลวง จ ากัด (มหาชน) ของอุษา เพ็ชรไทย และคณะ (2558) พบว่า ในด้านบริบทด้านปัจจัยน าเข้า และด้านกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อด้าน ผลผลิตของโครงการ และเพื่อน าผลการประเมินที่ได้ไปสู่การตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับปรุง พัฒนาโครงการใน อนาคต ก าหนดรูปแบบการศึกษาเป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน (Mixed methodology) โดยการวิเคราะห์ข้อมูล เชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงโดยใช้ประชากรเป็นกลุ่มตัวอย่าง จากวิศวกรผู้เข้าร่วมโครงการ จ านวน 63 คน และน าการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการสัมภาษณ์กลุ่ม (Focus Group) กับหัวหน้างานของกลุ่มวิศวกรผู้เข้าร่วมโครงการ จ านวน 6 คน น ามา อภิปรายผลสนับสนุนการประเมิน ผลการวิจัยพบว่า ผู้เข้าร่วมโครงการและหัวหน้างานเห็นว่าโครงการมี ประโยชน์ มุ่งให้ความรู้ความสามารถให้กับวิศวกรใหม่ และมีความพึงพอใจกับวิทยากร เจ้าหน้าที่โครงการ และการบริหารจัดการ แต่ควรมีการปรับปรุงพัฒนาโครงการด้านเนื้อหาให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียน ผลการ ทดสอบความสัมพันธ์ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อด้านผลผลิตโครงการ พบว่า ปัจจัยด้านบริบทกับผลผลิตของ โครงการฝึกอบรม มีความสัมพันธ์ ร้อยละ 47.4 ปัจจัยด้านปัจจัยน าเข้ากับผลผลิตของโครงการฝึกอบรม มีความสัมพันธ์ ร้อยละ 32.1 ปัจจัยด้านกระบวนการกับผลผลิตของโครงการฝึกอบรม มีความสัมพันธ์ ร้อยละ 16.8 2.4 กรณีตัวอย่ำงกำรจัดกำรเรียนกำรสอน กำรฝึกอบรมและกำรพัฒนำหลักสูตร ในการทบทวนกรณีตัวอย่างจากต่างประเทศ ที่ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างที่ดีที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียน การสอน การฝึกอบรม และการพัฒนาหลักสูตร คณะผู้วิจัยของยก 3 กรณีศึกษาที่น่าจะถือได้ว่าเป็น
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 62 แนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) ได้แก่ 1) กรณีการจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา (College-level teaching) แบบ “High-Impact Teaching Practices” เป็นกรณีตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียน การสอน 2) กรณีตัวอย่างของการฝึกอบรมความซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) โดยใช้ Mind Training กับ Embodied Learning ซึ่งยกเป็นกรณีตัวอย่างของการฝึกอบรม และ 3) กรณีตัวอย่างของการขับเคลื่อนสังคม เพื่อให้ประสบผลส าเร็จ ซึ่งเป็นกรณีศึกษาของการพัฒนาการศึกษาในการขับเคลื่อนพลเมืองและต้านทุจริต ศึกษา 2.4.1 กรณีกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในระดับอุดมศึกษำ (College-level teaching) แบบ “High-Impact Teaching Practices” การจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาถือได้ว่าเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีความท้าทายในการ จัดการเรียนการสอนมากกว่าการจัดการเรียนการสอนในระดับการศึกษาที่ต่ ากว่า ในการจัดการเรียนการสอน ในระดับอุดมศึกษา ก็มีหลากหลายวิธีการในการจัดการเรียนการสอน Drummond ได้รวบรวมวิธีการจัด การเรียนในอุดมศึกษา โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนไว้ 12 กลุ่มดังต่อไปนี้ 1) การบรรยาย (Lecture Practices) 2) การแลกเปลี่ยนสนทนาในกลุ่ม (Group Discussion) 3) การตั้งค าถามให้คิด (Thoughtful Questions) 4) การสะท้อนผลกลับถึงผู้เรียน (Reflective Responses to Learner Contributions) 5) การให้ รางวัลกับการมีส่วนร่วมของผู้เรียน (Rewarding Learner Participation) 6) การเรียนรู้แบบลงมือกระท า (Active Learning Strategies) 7) การท างานกลุ่ม (Cooperative Group Assignment) 8) การสร้างความ เชื่อมโยงระหว่างเป้าหมายกับเกรด (Goals to Grades Connections) 9) การเลียนจากตัวแบบ (Modeling) 10) การสะท้อนผลดับเบิล (Double Loop Feedback) 11) การจัดอุณหภูมิของร่างกายและจิตใจ (Climate Setting) และ 12) การบังคับให้ผู้เรียนรับผิดชอบตนเอง (Fostering learner Self-Responsibility) โดยผู้สอน ในระดับอุดมศึกษาอาจจะเลือกใช้วิธีดังกล่าว ในการจัดการเรียนการสอน ตัวอย่างที่น่าสนใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กรณีกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในระดับอุดมศึกษำ (College-level teaching) แบบ “High-Impact Teaching Practices” หรือ HITPs ตามแนวคิดของ L.Dee Fink (2016) โดย Fink เสนอการด าเนินการ 5 ประการ ที่เป็นการจัดการเรียนการสอนในอุดมคติที่ พัฒนามาจาก HIPs ของ George Kuh และคณะ (Kuh, 2008) ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย โดย Fink ได้เสนอแนวคิดที่ปรับให้เหมาะสมกับการจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ในแนวคิดของเขา การจัดการเรียนการสอนที่ถือได้ว่าเป็นการจัดการเรียนการสอนที่จะมีผลกระทบสูงจากการปฏิบัติการสอน (high-impact teaching ractices) ซึ่งได้แก่ แนวปฏิบัติ 5 ประการ คือ 1. ช่วยนักศึกษาให้กลายเป็น เรียนวิธีเป็นผู้เรียน (Helping students become meta-learners) 2. กระบวนการออกแบบวิชาโดยใช้การเรียนรู้เป็นศูนย์กลาง (Learning-centered course design) 3. ใช้กลุ่มเล็กแต่ทรงพลัง (Using small groupo in a powerful way) 4. การเรียนรู้โดยการให้บริการ/การมีส่วนร่วมในชุมชน ด้วยการสะท้อนผล (Service-learning /community engagement-with reflection) 5. เป็นผู้น าให้นักศึกษา (Being a leader with your students)
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 63 แผนภำพที่ 2.4 ลักษณะการท างานร่วมกันของ 5 ประการที่มีผลกระทบสูงจากการปฏิบัติการสอน (The Synergistic Nature of the 5 High Impact Teching Practices) ที่มำ Fink, L. D. (2016). Five high-impact teaching practices: A list of possibilities. Collected Essays on Learning and Teaching, 9, 3-18 Helpiing students become meta-learners. ความสามารถในการพัฒนาความสามารถของ นักศึกษาให้มีความสามารถในการเรียนรู้ (ability to learn) มีความส าคัญมาก ครูผู้สอนสามารถใช้ยุทธศาสตร์ หลากหลายในการท าให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้ (learning how to learn) โดยที่อาจจะไม่ได้ บอกตรง ๆ กับผู้เรียน แต่อาจจะผ่านการสร้างความมั่นใจและการสะท้อนให้กับผู้เรียน ในข้อต่อมาในด้านการ ออกแบบรายวิชา การใช้กระบวนการออกแบบวิชาโดยใช้การเรียนรู้เป็นศูนย์กลาง (Learning-centered course design) ท าให้เกิดคุณค่า และความยืดหยุ่นในการจัดการเรียนรู้ ในการจัดการศึกษาในลักษณะนี้ ผู้สอนจะไม่อิงแนวทางจากคนรุ่นก่อน แต่ละพัฒนารูปแบบขึ้นเองโดยเอาการเรียนรู้เป็นศูนย์กลาง ในการ จัดการเรียนสอนกลุ่มเล็ก (using small groups) มีประโยชน์มากกว่า ในการท าให้เด็กท างานร่วมกันสร้าง ลักษณะที่เรียกว่าการเรียนรู้แบบร่วมไม้ร่วมมือ (Collaborative Learning) ในประการที่ 4 การเรียนรู้โดยการ ให้บริการ/การมีส่วนร่วมในชุมชน ด้วยการสะท้อนผล (Service-learning/community engagement-with reflection) ส่วนนี้มีความส าคัญ เพราะผู้เรียนจะมีส่วนในการท างานที่มีความหมาย (meaningful work) ในกระบวนการผู้เรียนได้น าสิ่งที่ได้ศึกษามาสร้างคุณค่ากับผู้อื่น และได้รับการสะท้อนผล ท าให้เกิดการเรียนรู้ และประการที่ 5 ประการสุดท้าย คือ เป็นผู้น าให้นักศึกษา (Being a leader with your students) คือการมี
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 64 บทบาทไม่ใช่เป็นแค่ผู้สอน แต่ต้องเป็นผู้น าที่ดี ทุ่มเท สร้างความเชื่อมั่น การมีปฏิสัมพันธ์ และทักษะการ สื่อสาร 2.4.2 กรณีตัวอย่ำงของกำรฝึกอบรมควำมซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) โดยใช้ Mind Training กับ Embodied Learning นอกเหนือจากกรณีตัวอย่างที่ยกมาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ที่น่าจะน ามา ซึ่งผลสัมฤทธิ์สูงสุด ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีกรณีตัวอย่ำงของกำรฝึกอบรมควำมซื่อสัตย์สุจริต (Integrity) โดยใช้ Mind Training กับ Embodied Learning ซึ่งเป็นการน าเสนอวิธีการที่น่าจะเหมาะสม กับการฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา แนวคิดดังกล่างนี้ Kathryn Goldman Schuyler (2010) ได้เสนอ แนวคิดการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนภาวะผู้น าทางความซื่อสัตย์สุจริต ในบทความ Increasing Leadership Integrity through Mind Training and Embodied Learning ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Consulting Psychology. ในบทความดังกล่าว Goldman Schuyler (2010) ได้กล่าวไว้ว่า ในหลากหลายรูปแบบและทฤษฎีในการ พัฒนาดังกล่าวนี้ มีรูปแบบหรือทฤษฎีในการพัฒนาอยู่น้อยมากที่จะสามารถเปลี่ยนบุคคลหรือพัฒนาได้อย่าง ยั่งยืนจริง ดังนั้นเขาจึงเสนอแนวการพัฒนาแบบบูรณาการ (integrated approach) ในการพัฒนาภาวะผู้น า โดยผสมผสานการตื่นรู้ของร่างกาย (somatic awareness) กับการฝึกจิตที่ตั้งมั่น (intentional mind training) ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า การฝึกในลักษณะนี้พัฒนาการความสมองในขึ้นสูง โดยในการฝึกการตื่นรู้ของ ร่างกาย จะใช้วิธีที่เรียกว่า Feldenkrais Method หรือการการเรียนรู้วิธีเคลื่อนไหวเพื่อให้สมองได้บันทึก ความสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ และได้น าเสนอการฝึกจิตแบบธิเบต (The Tibetian mind training) ในการฝึกการตั้งจิต Goldman Schuler (2010) กล่าวว่า การฝึกจิต (mind training) กับการฝึกสติ (Mindfulness) เป็นพื้นฐานของการด าเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เขากล่าวว่าในการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉม จะต้อง ท าลายศักยภาพแฝงของอารมณ์ที่รบกวน ซึ่งสิ่งนี้จะถูกท าลายได้ด้วยปัญญาเท่านั้น จริยธรรมและวินัยใน ตนเอง จริยธรรมและวินัยที่สอน ให้ความส าคัญกับจิตใจที่ดีและการเอาใจใส่ความสุขของผู้อื่น เป็นฐานราก ของการเรียนรู้ในกลุ่มแนวคิดนี้การมีสติ (mindfulness) เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอส าหรับการส่งเสริม ความซื่อสัตย์สุจริตในผู้น า การพัฒนาดังกล่าวจะต้องได้รับการสนับสนุนจากการรับรู้ทางร่างกาย (somatic awareness) และความมุ่งมั่นในการให้บริการผู้อื่น ซึ่งพัฒนาผ่านการฝึกจิตใจ แน่นอนว่าโดยทั่วไปการ ฝึกอบรมภาวะผู้น าส่วนใหญ่ใช้การพัฒนาองค์ความรู้และแนวความคิด การใช้แนวทางการเคลื่อนไหวของ ร่างกาย (somatic approaches) ให้ความส าคัญกับต่างชุดของทักษะ การฝึกในระดับจิตสามารถที่จะให้ผล กับการเปลี่ยนแปลงในระดับของความรู้ที่ไม่ปรากฏชัดแจ้ง (tacid knowledge). Goldman Schuler เชื่อว่า การฝึกอบรมวิธีนี้จะพัฒนาผู้น าให้สามารถมีความตระหนักรู้ เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถเผชิญกับ ความสลับซับซ้อนของความท้าทายทางจริยธรรม ที่เข้ามาพร้อมการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว 2.4.3 กรณีตัวอย่ำงของกำรขับเคลื่อนสังคมเพื่อให้ประสบผลส ำเร็จ ประเทศฟินแลนด์และเยอรมนี ถือได้ว่าเป็นประเทศที่เป็น Best Practice ทางการสร้างปัจจัย แวดล้อมและระบบการศึกษา ในการด าเนินการให้ประเทศประสบความส าเร็จในการสร้างพลเมือง สร้างสังคม ให้เข้มแข็ง คณะผู้วิจัยจึงขอหยิบยกสองประเทศดังกล่าวน าเสนอเป็นอีกกรณีตัวอย่ำงของกำรขับเคลื่อน สังคมเพื่อให้ประสบผลส ำเร็จ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 65 2.4.3.1 ประเทศฟินแลนด์มีการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน เริ่มต้นจากการมอบอ านาจ (empowerment) ให้นักเรียนเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาของประเทศ กระบวนการดังกล่าวเป็นการที่พวกเขาสามารถสร้างทางเลือกให้กับตนเองในการ เรียนรู้สรรพสิ่งต่าง ๆ ได้ ตลอดจนเป็นการเสริมสร้างวุฒิภาวะและประสบการณ์ให้กับตนเอง ถึงแม้ว่า ประเทศ ฟินแลนด์มีคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติฟินแลนด์ ท าหน้าที่ก าหนดนโยบายด้านการศึกษาและออกแบบ หลักสูตรแกนกลางเพื่อใช้ในการเรียนการสอน ก าหนดเป้าหมายและเนื้อหาของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาที่ เกี่ยวข้องกับรายวิชาต่าง ๆ แต่คณะกรรมการฯ ดังกล่าวมีตัวแทนหลากหลายมาจากภาคส่วนต่าง ๆ ไม่ว่าจะจาก ผู้บริหารด้านการศึกษา แรงงาน องค์กรภาคธุรกิจต่าง ๆ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิจัย ตัวแทนจาก ภาคอุตสาหกรรม ตัวแทนจากภาคสาธารณสุข ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์และคนกลุ่มน้อย เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น สหภาพครู ที่ส าคัญคือมีสหภาพนักเรียนอยู่ในคณะกรรมการฯ ดังกล่าว เห็นได้ว่าปัจจัยแวดล้อมเช่นนี้เน้นระบบ การมีส่วนร่วมที่เป็นระบบเปิด ท างานในเชิงเครือข่าย และมิใช่แบบบนลงล่าง (top-down) การมี ส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบการเรียนรู้มีส่วนส าคัญมาก นอกจากนี้ ในระบบโรงเรียนของฟินแลนด์ จะเน้นแนวคิดความเสมอภาค ปฏิเสธระบบ อุปถัมภ์และระบบอภิสิทธิ์ชน ระบบโรงเรียนของประเทศจะเป็นโรงเรียนที่รับนักเรียนเข้าชั้นเรียนที่มีที่พ านัก อยู่ในเขตนั้น ๆ โดยไม่มีการสอบคัดเลือกหรือมีเกณฑ์ใด ๆ ในการรับนักเรียนเข้าเรียน ที่ส าคัญ ในห้องเรียนจะ ไม่มีการแยกนักเรียนเป็นห้อง ๆ ตามความสามารถหรือตามสถานะทางเศรษฐกิจสังคม (พิชญ์วดี กิตติปัญญางาม, 2564) หลักการส าคัญของการเรียนจะเป็นการเน้นน าให้นักเรียนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้การสนับสนุนอย่าง ใกล้ชิดของโรงเรียนและผู้ปกครอง เพื่อมุ่งหวังให้นักเรียนมีความสุขและสามารถเรียนรู้สรรพสิ่งต่าง ๆ ได้ตาม จินตนาการและตามศักยภาพของพวกเขา เป็นต้น ขณะที่ภายนอกโรงเรียนนั้น พิชญ์วดี กิตติปัญญางาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของประเทศฟินแลนด์ ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า “ประเทศฟินแลนด์ให้ความส าคัญกับ นโยบายด้านเด็กและเยาวชน มีเครือข่ายของสมาคม ชมรมและองค์กรอย่างหนาแน่น ส่งผลเชิงบวกต่อ สุขภาวะ สุขภาพและทุนทางสังคมของเด็ก ๆ นอกจากนี้ เยาวชนฟินแลนด์ 3 ใน 5 คน ใช้เวลาว่างเพื่อร่วมท า กิจกรรมทางสังคม และเยาวชนกว่าร้อยละ 90 ระบุว่า ตนเองได้ท างานอดิเรกนอกห้องเรียนอย่างน้อย หนึ่งอย่าง” (พิชญ์วดี กิตติปัญญางาม, 2564) จากตัวอย่างของประเทศฟินแลนด์ท าให้เห็นว่า การสร้างปัจจัย แวดล้อมให้เหมาะสม สามารถส่งผลต่อการสร้างให้เด็กและเยาวชนเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งได้ 2.4.3.2 ประเทศเยอรมนีมีจุดเด่นอยู่ที่การจัดการเรียนการสอนผ่านหลักสูตรการศึกษาที่ เน้นการกระจายอ านาจ ตามคุณลักษณะของรูปแบบสหพันธรัฐของประเทศเยอรมนี นอกจากการจัดการเรียน การสอนแบบกระจายอ านาจแล้ว เยอรมนียังสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในหลาย รูปแบบเช่นกัน (ณัฐหทัย มานาดี และขจรศักดิ์ สิทธิ, 2563) อาทิ กิจกรรมเสริมการเรียน (Extra-curriculum) โดยเฉพาะการใช้เกมเป็นสื่อกระตุ้นให้เด็กได้เรียนรู้กระบวนการประชาธิปไตยด้วยตนเอง การให้ความส าคัญ กับการทัศนศึกษา (study visit) ในพิพิธภัณฑ์และสถานที่ทางประวัติศาสตร์ การคงอยู่จ านวนมากขององค์กร เพื่อส่งเสริมการสร้างพลเมืองของเยอรมนี เช่น คอนราด อเดนาว สติฟตุง (Konrad Adenauer Stiftung) สถาบันเกอเธ่ (Goethe Institute) ศูนย์ข้อมูลและบริการการแลกเปลี่ยนทางวิชาการแห่งเยอรมนี (DAAD) ฟรีดิช-เอแบร์ สติฟตุง (Friedrich-Ebert-Stiftung) และฟรีดริท เนามัน (Friedrich Naumann) เป็นต้น โดยหน่วยงานเหล่านี้มีบทบาทอย่างมากในการจัดกิจกรรมทางการศึกษาหรือการเรียนการสอนนอกห้องเรียน เพื่อเสริมสร้างการเป็นพลเมืองให้กับกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ และกิจกรรมเสริม ประสบการณ์อื่น ๆ โดยเฉพาะการรับชมภาพยนตร์ ตลอดจนการที่รัฐบาลได้อุดหนุนการศึกษา อันเป็นการ แสดงถึงความเสมอภาคใกล้เคียงกับตัวอย่างของประเทศฟินแลนด์ข้างต้น กล่าวคือ การศึกษาในประเทศ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 66 เยอรมนีไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้เรียน (Free Education) ตั้งแต่ระดับอนุบาลจนกระทั่งถึงระดับ มหาวิทยาลัย เป็นต้น ผลที่ตามมาจึงท าให้พลเมืองในประเทศเยอรมนีสนับสนุนส่งเสริมหลักการประชาธิปไตย เป็นอย่างสูง ยอมรับและเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ตลอดจนปฏิเสธต่อความไม่ชอบมาพากลและการ ทุจริตคอร์รัปชัน โดยสามารถพิจารณาจาก ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) ในปี 2020 ได้ระบุว่า ประเทศเยอรมนี มีคะแนนอยู่ที่ 80 คะแนน เป็นอันดับ 9 ของโลก ซึ่งคะแนนแตกต่าง ไม่มากกับ 8 ประเทศที่มีอันดับสูงกว่าได้แก่ ประเทศนิวซีแลนด์ เดนมาร์ก ฟินแลนด์ สวิสเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ สวีเดน นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์ก (Transparency International, 2021) 2.4.3.3 เขตบริหำรพิเศษฮ่องกง เป็นอีกกรณีตัวอย่างที่ถือเป็นแนวปฏิบัติที่ดีของการ ด าเนินงานขับเคลื่อนประเทศผ่านหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาเพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคนฮ่องกงจาก “passive acceptance” ไปสู่ “zero tolerance” ต่อการทุจริตคอร์รัปชัน ทั้งนี้ผู้วิจัยได้น าบทเรียนมาจากงานวิชาการ Visiting Experts’ Papers ของ Corinna Wong (2018) ที่ได้น าเสนอใน 21st UNAFEI UNCAC Training Programme โดย Wong ได้อธิบายประสบการณ์การขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของฮ่องกง ว่าได้เริ่มต้นมาตั้งแต่การก่อตั้งของหน่วยงานในฮ่องกงที่เรียกว่า The Independent Commission Against Corruption (ICAC) ซี่งหนึ่งในงานของ ICAC คืองานเกี่ยวกับการศึกษา ซึ่ง ICAC ก็ได้ปฏิบัติงานทั้งหมดผ่าน หน่วยงานภายใต้ ICAC ที่เรียกว่า CRD หรือ Community Relation Department ซึ่งอาจจะแปลเป็น ภาษาไทยว่า ส านักชุมชนสัมพันธ์ ซึ่งส านักมีทั้งอยู่ที่ส านักงานใหญ่และอยู่ใน 7 ศูนย์ทั่วฮ่องกง ด้วยพันธกิจ ที่ว่า “Ethics for All” จุดมุ่งหมายหลักของ CRD คือ การได้รับการสนับสนุนจากสาธารณะในการสร้างสังคม ที่มีมาตรฐานสูงทางจริยธรรม โดยผ่านยุทธศาสตร์หลัก 4 ยุทธศาสตร์ ที่เรียกว่า “TAPE” o ยุทธศาสตร์ที่ 1 Target-oriented strategy - ยุทธศาสตร์การจัดบริการต้านทุจริต (anticorruption service) ให้กับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน o ยุทธศาสตร์ที่ 2 All-round communication strategy - ยุทธศาสตร์การบูรณาการ การติดต่อแบบหลายแพลตฟอร์ม o ยุทธศาสตร์ที่ 3 Partnership strategy - ยุทธศาสตร์การเป็นหุ้นส่วนร่วมกับผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียในชุมชนเพื่อส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริต o ยุทธศาสตร์ที่ 4 Engagement strategy - ยุทธศาสตร์การท าให้สมาชิกในสังคมเกิดความ เป็นเจ้าของในการต่อต้านคอร์รัปชัน สนับสนุนการศึกษาต้านทุจริตศึกษาต่าง ๆ โดยในการด าเนินงานตามยุทธศาสตร์ทั้ง 4 ยุทธศาสตร์นั้น CRD ต้องค านึงถึงปัจจัย 3 ตัวนี้ตลอดเวลา เพราะตระหนักดีว่าการปฏิบัติงานต้องทันกับเวลา ตัว 3 ปัจจัยที่ว่านี้คือ 1) แนวโน้มการคอร์รัปชัน (Corruption Trand) 2) ทัศนคติของคนต่อการคอร์รัปชัน (Peple’s Attitude towards Corruption) และ 3) การเปลี่ยนแปลงไปของพฤติกรรมของผู้ชมผู้ฟัง (Behavioral Change of Audiences) เพื่อที่จะน างานต้านทุจริตศึกษาไปสู่กลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ตามกลุ่มเป้าหมายและกลยุทธ์ที่ก าหนด CRD จัดแบบงานต่าง ๆ ออกเป็นโปรแกรมตามกลุ่มเป้าหมาย (target audiences) อาทิ เยาวชน ภาครัฐ ภาคธุรกิจ หรือประชาชนทั่วไป ในที่นี้จะขอหยิบยกเอาโปรแกรมที่เน้น มายกตัวอย่างยุทธวิธี ที่ได้ด าเนินการ ส่งเสริมค่านิยมทางบวกกับวัยหนุ่มสาว (Promoting Positive Values: Young Genaration) นับได้ ว่าส าคัญมาก ด้วยความเชื่อที่ว่าสังคมในอนาคตต้องเริ่มจากการส่งเสริมปลูกฝังตั้งแต่วัยหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ที่ สืบสานวัฒนธรรมความน่าจะเป็น เป็นพื้นฐานในการต่อต้านคอร์รัปชัน CRD ส่งเสริมค่านิยมทางบวกไปสู่รุ่น หนุ่มสาว โดยใช้ 4 ยุทธวิธีดังนี้ 1) การพร่ าสอนค่านิยมทางบวกในทุกล าดับขั้นของพัฒนาการในวัยหนุ่มสาว
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 67 2) การร่วมสร้างและการมีส่วนร่วม 3) ท าให้สอดคล้องกับหลักสูตรของโรงเรียน และ 4) ร่วมไม้ร่วมมือกับผู้มี ส่วนได้ส่วนเสีย ส่งเสริมภาครัฐใสสะอาด (Promoting Clean Civil Service: Public Sector) เพื่อส่งเสริมและ สนับสนุนเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในวัฒนธรรมใสสะอาดซื่อสัตย์ในภาครัฐ โดยผ่าน 3 ยุทธวิธีหลัก คือ การเป็น หุ้นส่วน (partnership) ภาวะผู้น า (leadership) และการเป็นเจ้าของ (Ownership) ส่งเสริมจริยธรรมในภาคเอกชน (Promoting Business Ethics: Business Sector) เพื่อสร้างให้ สังคมธุรกิจในฮ่องกงให้ยังเป็นหนึ่งในโลกในการท าธุรกิจและมีขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจที่สูง โดยในโปรแกรมดังกล่าวนี้ ICAC ได้ด าเนินการผ่านองค์กรที่เรียกว่า ICAC’s Hong Kong Business Ethics Development Centre (HKBEDC) ผ่านยุทธวิธี 3 ประการ คือ 1. การเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน (public-private partnership) 2. การเน้นให้ความส าคัญกับผู้รับบริการ (Client-focused services) และ 3. แหล่งทรัพยากรทางจริยธรรม (Ethics resources) ส่งเสริมจริยธรรมส าหรับทุกคน (Promoting “All for Integrity”: General Public) โดยการส่งเสริม จริยธรรมให้กับชุมชนทุกชุมชนในฮ่องกง ซึ่งถือได้ว่า มีความส าคัญอย่างมากในการเป็นส่วนหนึ่งของ หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ในฮ่องกง กิจกรรมในโปรแกรมนี้ ด าเนินงานผ่าน 2 ยุทธวิธี คือ ยุทธวิธีการเป็นหุ้นส่วนกับประชาสังคม (Partnering with Civil Society) และยุทธวิธีการสร้างการมีส่วนร่วม ของประชาชนที่หลงไหลในงาน (Engaging Passionate Citizens) ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ (Multimedia Publicity) นับได้ว่าเป็นโปรแกรมที่ส าคัญอีก ประการหนึ่ง ในการน าส่งข้อความหรือสารที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการคอร์รัปชัน (Anti-corruption message) รวมถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายผ่านช่องทางเทคโนโลยีทางการสื่อสารใหม่ ๆ จะเห็นได้ว่าการด าเนินงานในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Anti-corruption education) ครอบคลุม ทุกภาคส่วนในสังคม ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวอย่างในการขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในประเทศไทยต่อไป การศึกษาของประเทศต่าง ๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น สามารถสรุปได้ดังข้อมูลที่ปรากฏในตารางที่ 2.5 ตำรำงที่ 2.5 สรุปผลการศึกษาของประเทศที่ขับเคลื่อนสังคมเพื่อให้ประสบความส าเร็จ ประเด็น ประเทศฟินแลนด์ ประเทศเยอรมัน เขตบริหำรพิเศษฮ่องกง 1. เป้าหมาย มุ่งเน้นการให้ความส าคัญกับ นโยบายด้านเด็กและเยาวชน มีเครือข่ายของสมาคม ชมรมและ องค์กรอย่างหนาแน่น ส่งผลเชิง บวกต่อสุขภาวะ สุขภาพและ ทุนทางสังคมของเด็ก ๆ มุ่งเน้นการกระจายอ านาจ และ สร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อ การพัฒนาเด็กและเยาวชนใน หลายรูปแบบ มุ่งเน้นการเปลี่ยนทัศนคติของ คนในประเทศ ด้วยพันธกิจที่ว่า “Ethics for All” เป็นการร่วม สร้างสังคมที่มีมาตรฐานสูง ทางจริยธรรม 2. วิธีด าเนินการ o มีคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติฟินแลนด์ ท าหน้าที่ ก าหนดนโยบายด้านการศึกษา และออกแบบหลักสูตรแกนกลาง เพื่อใช้ในการเรียนการสอน ก าหนดเป้าหมายและเนื้อหาของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับรายวิชาต่าง ๆ o มีการสร้างปัจจัยแวดล้อมที่ เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน o มีการสร้างปัจจัยแวดล้อม ที่เอื้อต่อการพัฒนาเด็กและ เยาวชนในหลายรูปแบบ เช่น กิจกรรมเสริมการเรียน (Extracurriculum) โดยเฉพาะการใช้ เกมเป็นสื่อกระตุ้นให้เด็กได้ เรียนรู้กระบวนการ ประชาธิปไตยด้วยตนเอง การให้ ความส าคัญกับการทัศนศึกษา ใช้ยุทธศาสตร์หลัก 4 ยุทธศาสตร์ ที่เรียกว่า “TAPE”ได้แก่ o ยุทธศาสตร์การจัดบริการ ต้านทุจริตให้กับกลุ่มเป้าหมาย ที่แตกต่างกัน (Target-oriented strategy) o ยุทธศาสตร์การบูรณาการ การติดต่อแบบหลายแพลตฟอร์ม (All-round communication strategy)
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 68 ประเด็น ประเทศฟินแลนด์ ประเทศเยอรมัน เขตบริหำรพิเศษฮ่องกง เริ่มต้นจากการมอบอ านาจ (empowerment) ให้นักเรียน เป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบ หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ของประเทศ (study visit) ในพิพิธภัณฑ์และ สถานที่ทางประวัติศาสตร์ o มีการจัดกิจกรรมทางการ ศึกษาหรือการเรียนการสอน นอกห้องเรียน เพื่อเสริมสร้าง การเป็นพลเมืองให้กับกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ o ยุทธศาสตร์การเป็นหุ้นส่วน ร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในชุมชน เพื่อส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริต (Partnership strategy) oยุทธศาสตร์การท าให้สมาชิก ในสังคมเกิดความเป็นเจ้าของใน การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน และสนับสนุนการศึกษา ต้านทุจริตศึกษาต่างๆ (Engagement strategy) 3. กลุ่มเป้าหมาย และผู้เกี่ยวข้อง ในการ ด าเนินงาน มีคณะกรรมการการศึกษา แห่งชาติฟินแลนด์ ท าหน้าที่ ก าหนดนโยบายด้านการศึกษา และออกแบบหลักสูตรแกนกลาง เพื่อใช้ในการเรียนการสอน ก าหนดเป้าหมายและเนื้อหาของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาที่ เกี่ยวข้องกับรายวิชาต่าง ๆ ในคณะกรรมการฯ ดังกล่าวมี ตัวแทนหลากหลายมาจากภาค ส่วนต่าง ๆ ได้แก่ ผู้บริหารด้าน การศึกษา แรงงาน องค์กรภาค ธุรกิจต่าง ๆ อาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิจัย ตัวแทนจาก ภาคอุตสาหกรรม ตัวแทนจาก ภาคสาธารณสุข ตัวแทนกลุ่ม ชาติพันธุ์และคนกลุ่มน้อย เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่น สหภาพครู และสหภาพนักเรียน หน่วยงานที่มีบทบาทอย่างมาก ในการจัดกิจกรรมทางการศึกษา หรือการเรียนการสอนนอก ห้องเรียน เพื่อเสริมสร้างการเป็น พลเมืองให้กับกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น คอนราด อเดนาว สติฟตุง (Konrad Adenauer Stiftung) สถาบันเกอเธ่ (Goethe Institute) ศูนย์ข้อมูลและ บริการการแลกเปลี่ยนทาง วิชาการแห่งเยอรมนี (DAAD) ฟรีดิช-เอแบร์ สติฟตุง (Friedrich-Ebert-Stiftung) และฟรีดริท เนามัน (Friedrich Naumann) เป็นต้น กลุ่มเป้าหมายเป็นทุกภาคส่วน ของสังคม ได้แก่ o เด็กและเยาวชน o ภาครัฐ o ภาคธุรกิจ o ประชาชนทั่วไป 4.กลยุทธ์สู่ ความส าเร็จ o เน้นระบบการมีส่วนร่วมที่เป็น ระบบเปิด ท างานในเชิงเครือข่าย และมิใช่แบบบนลงล่าง (topdown) การมีส่วนร่วมตั้งแต่การ ออกแบบ การเรียนรู้มีส่วนส าคัญ อย่างมาก o สร้างปัจจัยแวดล้อมที่ เหมาะสมเพื่อเสริมสร้างเด็กและ เยาวชนให้เติบโตเป็นพลเมือง ที่เข้มแข็ง o หลักการส าคัญของการเรียน จะเป็นการเน้นน าให้นักเรียนเป็น ศูนย์กลาง ภายใต้การสนับสนุน การศึกษาในประเทศเยอรมนี ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้เรียน (free Education) ตั้งแต่ระดับ อนุบาลจนกระทั่งถึงระดับ มหาวิทยาลัย เป็นเหตุส าคัญที่ท า ให้พลเมืองในประเทศเยอรมนี สนับสนุนส่งเสริมหลักการ ประชาธิปไตยเป็นอย่างสูง ยอมรับและเคารพในศักดิ์ศรี ความเป็นมนุษย์ ตลอดจน ปฏิเสธต่อความไม่ชอบมาพากล และการทุจริตคอร์รัปชัน o ส่งเสริมค่านิยมทางบวก กับวัยหนุ่มสาว (Promoting Positive Values: Young Generation) o ส่งเสริมภาครัฐใสสะอาด (Promoting Clean Civil Service: Public Sector) o ส่งเสริมจริยธรรมใน ภาคเอกชน (Promoting Business Ethics: Business Sector)
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 69 ประเด็น ประเทศฟินแลนด์ ประเทศเยอรมัน เขตบริหำรพิเศษฮ่องกง อย่างใกล้ชิดของโรงเรียนและ ผู้ปกครอง เพื่อมุ่งหวังให้นักเรียน มีความสุขและสามารถเรียนรู้ สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ได้ตาม จินตนาการและตามศักยภาพ o ส่งเสริมจริยธรรมส าหรับ ทุกคน (Promoting “All for Integrity”: General Public) o ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่าง ๆ (Multimedia Publicity) 2.5 กรอบแนวคิดกำรวิจัย ในการวิจัยประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 คณะผู้วิจัยได้ ก าหนดกรอบแนวคิดการวิจัย ดังแสดงไว้ในแผนภาพ กรอบแนวคิดการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ดังนี้ แผนภำพที่ 2.5 กรอบแนวคิดการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จากแผนภาพที่ 2.5 กรอบแนวคิดการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จะเห็นได้ว่าใน การประเมินนั้น จะใช้กรอบแนวคิดของการประเมินแบบ CIPO มาเป็นกรอบในการวางกรอบแนวคิดการวิจัย โดยในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษานี้ จะเป็นการประเมินทั้งหมด 4 ด้าน กล่าวคือ ด้านบริบทสภาวะแวดล้อม (Context) ด้านปัจจัยน าเข้า (Input) ด้านกระบวนการ (Process) และ ด้านผลลัพธ์ (Outcome) โดยตัวแปรที่เป็น the focus variables ในการศึกษาครั้งนี้คือ ตัวแปร “ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน” และตัวแปร “วัฒนธรรมและค่านิยม สุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน” โดยตัวแปรตาม ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน มีองค์ประกอบในการประเมิน อยู่ 4 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านแยกแยะส่วนตนและส่วนรวม ด้านละอายและไม่ทนต่อการทุจริต ด้านจิตพอเพียงต้านทุจริต และด้านพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม ส่วนตัวแปรตามวัฒนธรรมและ ค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 70 มีองค์ประกอบ ในการประเมินอยู่ 4 ด้านเช่นกัน กล่าวคือ ด้านความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาหลักสูตร ด้านค่านิยมสุจริตของประชาชน ด้านทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ และด้านพฤติกรรมในการ ต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ โดยในการอธิบายตัวแปรตาม ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็ก และเยาวชน จะมีการน าตัวแปรในด้านปัจจัยน าเข้า ซึ่งได้แก่ ศักยภาพผู้บริหาร การรับทราบเจตนารมณ์ การมีส่วนร่วม และการเตรียมพร้อมของสถานศึกษา และตัวแปรด้านกระบวนการ ได้แก่ กระบวนการจัด การเรียนการสอน และผลสัมฤทธิ์ในการน าหลักสูตรการจัดการเรียนการสอนไปใช้ มาอธิบายตัวแปรตาม นอกเหนือจากนี้ในการศึกษาตัวแปร ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและ เยาวชน จ าแนกตามลักษณะทางด้านประชากรศาสตร์ และลักษณะของสถานศึกษา และยังจะมีการศึกษาถึง ผลของปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ในกระบวนการขัดเกลาทางสังคม คือ นิเวศวิทยาครอบครัว ครูและกลุ่มเพื่อน และปัจจัยสังคมอื่น ว่ามีผลให้เกิดความแตกต่างในความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ของเด็กและเยาวชน หรือไม่ ส่วนในการอธิบายตัวแปรตาม วัฒนธรรมและค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน จะมีการอธิบายถึงผลโดยจ าแนกตัวแปรต้น ตามลักษณะทางด้านประชากรศาสตร์ของกลุ่มตัวอย่าง และลักษณะของหน่วยงานของกลุ่มตัวอย่าง เพื่ออธิบายถึงผลที่มีต่อตัวแปรตามดังกล่าว ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนของการประเมินผลการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ และการประเมินส่วนความรู้ เจตคติ/ทัศนคติ และพฤติกรรม ในผู้เรียน (พฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชนไทย) และการประเมิน ความรู้ เจตคติ/ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรม ในผู้ผ่านการฝึกอบรม (วัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน) โดยทั้ง 2 ส่วนเชื่อมโยงกันด้วย การประเมินเฉพาะกับสถานศึกษา/หน่วยงาน ที่น าหลักสูตรไปใช้เต็มรูปแบบ โดยประเมินทั้งการน าหลักสูตร ไปใช้ของสถานศึกษา/หน่วยงานนั้น พร้อมทั้งน าผู้เรียนหรือผู้ผ่านการฝึกอบรมนั้น ๆ มาประเมิน ความรู้ เจตคติ/ทัศนคติ ค่านิยม และพฤติกรรม ในส่วนการประเมินการน าหลักสูตรไปใช้ ของกลุ่มหลักสูตรการเรียนการสอน ซึ่งประกอบไปด้วย หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) และหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) มีองค์ประกอบในการประเมิน ได้แก่ ศักยภาพผู้บริหาร การรับทราบเจตนารมณ์ การมีส่วนร่วมและการเตรียมพร้อมของสถานศึกษา ความพร้อมของระบบสนับสนุน ผลสัมฤทธิ์การด าเนินการจัดการเรียนการสอน การเตรียมบุคลากร การนิเทศและการก ากับติดตาม และ ความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ โดยจะมีผู้ให้ข้อมูลหลัก 3 กลุ่มคือ ผู้บริหารสถานศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนักเรียน/นักศึกษา (ที่ผ่านการเรียนในหลักสูตร) และส าหรับการประเมิน การน าหลักสูตรไปใช้ ในกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม ซึ่งประกอบไปด้วย หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและตารวจ) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิด ต้านทุจริต) มีองค์ประกอบในการประเมิน ประกอบด้วย ศักยภาพของหน่วยงานการจัดอบรม ความพร้อมของ ระบบสนับสนุน คุณสมบัติหรือหลักเกณฑ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรม คุณสมบัติ ความเหมาะสมหรือหลักเกณฑ์ ของวิทยากร/ผู้สอน การประเมินและติดตามผล และความส าเร็จของการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ โดยมีผู้ให้ข้อมูลหลัก 2 กลุ่ม คือ ผู้ดูแลหลักสูตร และผู้ผ่านการฝึกอบรม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 71 แผนภำพที่ 2.6 องค์ประกอบในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา กลุ่มหลักสูตรการจัดการเรียน การสอน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 72 แผนภำพที่ 2.7 องค์ประกอบในการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา กลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม ในส่วนการประเมินความรู้ เจตคติ/ทัศนคติ และพฤติกรรม ของกลุ่มหลักสูตรการจัดเรียนการสอน หรือการประเมินพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน จะแบ่งการประเมินออกเป็น 6 ช่วงชั้น ตามระดับการศึกษา ได้แก่ ช่วงชั้นปฐมวัย ช่วงชั้นประถมต้น ช่วงชั้นประถมปลาย ช่วงชั้นมัธยมต้น ช่วงชั้นมัธยมปลาย และช่วงชั้นอุดมศึกษา โดยมีองค์ประกอบในการประเมิน 4 ด้าน คือ ด้านการคิดแยกแยะ ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ด้านความละอายและไม่ทนต่อการทุจริต ด้านจิต พอเพียงต้านทุจริต และด้านพลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม โดยในการศึกษาตัวแปรพฤติกรรมที่ยึดมั่น ความซื่อสัตย์สุจริตของเด็กและเยาวชน จะมีการศึกษาถึงผลของตัวแปรหลักดังกล่าว กับกลุ่มตัวแปร ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัจจัยครอบครัว (นิเวศวิทยาครอบครัว) ปัจจัยการศึกษา และปัจจัยสังคม โดยจะเป็น การประเมินในลักษณะที่เรียกว่า 360 องศา คือจะมีผู้ให้ข้อมูลหลัก 4 กลุ่ม ได้แก่ เด็ก/เยาวชน (ประเมิน ตนเอง) เพื่อนของเด็ก/เยาวชน ครู/อาจารย์ของเด็ก/เยาวชน และผู้ปกครองเด็ก/เยาวชน ส่วนการประเมินความรู้ เจตคติ/ทัศนคติ และพฤติกรรม ของกลุ่มหลักสูตรการฝึกอบรม หรือ การประเมินวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของ ประชาชน มีองค์ประกอบในการประเมิน 4 ด้าน ประกอบไปด้วย ด้านความรู้ ความเข้าใจ ในเนื้อหาหลักสูตร ด้านค่านิยมสุจริต ด้านทัศนคติต่อการทุจริตและประพฤติมิชอบ และด้านพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริต และประพฤติมิชอบ ผู้ให้ข้อมูลหลักจะเป็นกลุ่มผู้ผ่านการฝึกอบรมเพียงกลุ่มเดียวในลักษณะการประเมินตนเอง
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 73 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย เนื้อหาสาระในหัวข้อนี้ครอบคลุมถึงระเบียบวิธีวิจัยที่ใช้ในการด าเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ ได้แก่ 1) การก าหนดประชากรกลุ่มเป้าหมายและตัวอย่าง 2) การพัฒนาเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 3) รายงานการทดสอบหาความเที่ยงตรง (Validity) ความเชื่อมั่น (Reliability) ความเข้าใจที่ตรงกันหรือความเป็นปรนัย (Objectivity) ของเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาใปใช้4) การเก็บรวบรวมข้อมูล 5) การประมวลผล และ 6) เกณฑ์การประเมินผลสัมฤทธิ์ใน การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ การให้คะแนน การแปลความหมาย การแปลผล ทั้งรูปแบบเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ และการอ่านค่าผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ในรูปแบบแผนภาพ หรือ รูปแบบกราฟต่าง ๆ โดยในแต่ละขั้นตอนมีระเบียบวิธีการศึกษาและด าเนินงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 กำรก ำหนดประชำกรกลุ่มเป้ำหมำยและตัวอย่ำง การวิเคราะห์ประชากรเป้าหมายสามารถจ าแนกออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) เด็กและเยาวชน 2) ประชาชนทั่วไปหรือผู้ผ่านการฝึกอบรม 3) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และ 4) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านการศึกษา ดังนี้ กลุ่มที่ 1 คือ เด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นที่ประกอบด้วย องค์การ บริหารส่วนจังหวัด/เทศบาลนคร/เทศบาลเมือง/เทศบาลต าบล/องค์การบริหารส่วนต าบล/กรุงเทพมหานคร รวมถึงนักศึกษาชั้นปีที่ 1-4 ที่ก าลังศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้จะถูกประเมินพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ผลสัมฤทธิ์ใน การน าหลักสูตรไปใช้ กลุ่มที่ 2 ได้แก่ บุคลากรสังกัดกระทรวงกลาโหม และส านักงานต ารวจแห่งชาติ ที่ผ่านการอบรม หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา บุคลากรสังกัดหน่วยงานภาครัฐ ระดับกระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านัก นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจที่ผ่านการอบรมหลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) และ โค้ช/กรรมการ/สมาชิก ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ซึ่งกลุ่มตัวอย่างกลุ่มนี้จะถูกประเมินวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติ และพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบ กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา จ าแนกตามแต่ละหลักสูตรได้แก่ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนักเรียน (ซึ่งนักเรียน คือ ผู้ที่อยู่ในตัวอย่างกลุ่มที่ 1) 2. หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนิสิต/นักศึกษา (ซึ่งนิสิต/นักศึกษา คือ ผู้ที่อยู่ในตัวอย่างกลุ่มที่ 1) 3. หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร บุคลากรสังกัดกระทรวงกลาโหม และส านักงานต ารวจแห่งชาติ ที่ผ่านการ ฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 4. หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร บุคลากรสังกัดหน่วยงานภาครัฐ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 74 ระดับกระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ ที่ผ่านการ ฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 5. หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ประกอบด้วย โค้ช/กรรมการ/สมาชิกชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต กลุ่มที่ 4 คือ ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ ด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ และกลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ ได้แก่ 1) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) จ าแนกตามแต่ละหลักสูตร ได้แก่ (1) หลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนักเรียน (2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด "Youngster with Good Heart") ประกอบด้วย ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนิสิต/นักศึกษา (3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และบุคลากรสังกัดกระทรวงกลาโหมและส านักงานต ารวจแห่งชาติ ที่ผ่าน การฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช/บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และบุคลากรสังกัดภาครัฐระดับ กระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ ที่ผ่านการฝึกอบรม หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และโค้ช/ กรรมการ/สมาชิก ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต 2) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ ด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน เพื่อรับฟัง ข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยต้องมีต าแหน่งทางวิชาการไม่ต่ ากว่า รองศาสตราจารย์ หรือครูช านาญการพิเศษ หรือข้าราชการพลเรือนระดับช านาญการพิเศษ หรือเทียบเท่า จ านวนไม่น้อยกว่า 9 คน 3) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ ตามที่ที่ปรึกษาเห็นควร โดยความเห็นชอบจากส านักงาน ป.ป.ช. 3.1.1 กำรก ำหนดขนำดตัวอย่ำง และวิธีกำรสุ่มตัวอย่ำง กลุ่มตัวอย่ำงเชิงปริมำณ ก าหนดกลุ่มตัวอย่างที่จะเป็นผู้ที่ต้องประเมินพฤติกรรมที่ยึดมั่นความ ซื่อสัตย์สุจริต ได้แก่ นักเรียน/นักศึกษา เพื่อน และผู้ปกครอง ส่วนการประเมินตัวชี้วัดส าหรับประชาชนนั้น ผู้ที่ต้องประเมินคือ กลุ่มผู้ผ่านการฝึกอบรม วิธีกำรสุ่มตัวอย่ำงเด็กและเยำวชนในสถำนศึกษำ ส ำหรับหลักสูตรจัดกำรเรียนกำรสอน วิธีการสุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานศึกษาที่มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 2 หลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ จะใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage sampling) ดังมีวิธีการสุ่มดังต่อไปนี้ กำรสุ่มตัวอย่ำงในขั้นตอนที่ 1 การสุ่มตัวอย่างในขั้นตอนนี้ เริ่มต้นด้วยการจ าแนกจังหวัดทั้ง 77 จังหวัดออกเป็นกลุ่มหรือ 9 ภาคของส านักงาน ป.ป.ช. ตามส านักงาน ป.ป.ช. ภาค (สปภ.) และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งหมด 10 กลุ่ม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 75 ในแต่ละกลุ่มทั้ง 9 ภาค จะท าการสุ่มจังหวัด กลุ่มละ 3-5 จังหวัด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจ านวนสถานศึกษาในแต่ละ จังหวัดที่มีการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เต็มรูปแบบในกรณี ตำรำงที่ 3.1 แสดงข้อมูลจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่ของส านักงาน ป.ป.ช. ภาค และกรุงเทพมหานคร ส ำนักงำน ป.ป.ช. ภำค จังหวัด กรุงเทพมหานคร กรุงเทพมหานคร สปภ.1 สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยนาท สระบุรี สปภ.2 ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี นครนายก สระแก้ว สปภ.3 นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ยโสธร ชัยภูมิ อ านาจเจริญ สปภ.4 บึงกาฬ หนองบัวล าภู ขอนแก่น อุดรธานี เลย หนองคาย มหาสารคาม ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร สปภ.5 เชียงใหม่ ล าพูน ล าปาง แพร่ น่าน พะเยา เชียงราย แม่ฮ่องสอน สปภ.6 อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ อุทัยธานี ก าแพงเพชร ตาก สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ สปภ.7 ราชบุรี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สปภ.8 นครศรีธรรมราช กระบี่ พังงา ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ระนอง ชุมพร สปภ.9 สงขลา สตูล ตรัง พัทลุง ปัตตานี ยะลา นราธิวาส จากจังหวัดที่สุ่มได้ในขั้นตอนที่ 1 คณะผู้วิจัยจะท าการแบ่งโรงเรียนในจังหวัดออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) โรงเรียนประถมศึกษาที่เปิดสอนระดับปฐมวัยถึงระดับประถมศึกษา ซึ่งจะมี 3 ช่วงชั้น คือ ปฐมวัย (อนุบาล 1-3) ประถมต้น (ป.1-3) และประถมปลาย (ป.5-6) 2) โรงเรียนขยายโอกาสที่เปิดสอนในระดับปฐมวัยถึงระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น โดยทั่วไปจะมี 4 ช่วงชั้น คือ ปฐมวัย (อนุบาล 1-3) ประถมต้น (ป.1-3) ประถมปลาย (ป.5-6) และมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) และ 3) โรงเรียนมัธยมศึกษาที่เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาเท่านั้น มี 2 ช่วงชั้น คือ มัธยมต้น (ม.1-3) และมัธยมปลาย (ม.4-6) จ านวนนักเรียนรวมทั้ง 3 กลุ่ม ในแต่ละสังกัด จะต้องได้จ านวนนักเรียน/นักศึกษาขั้นต่ า ดังนี้ 1) ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จ านวนไม่น้อยกว่า 15,000 คน 2) ส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน จ านวนไม่น้อยกว่า 1,250 คน 3) กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ประกอบด้วย องค์การบริหารส่วนจังหวัด/เทศบาลนคร/เทศบาล เมือง/เทศบาลต าบล/องค์การบริหารส่วนต าบล จ านวนรวมไม่น้อยกว่า 2,000 คน 4) กรุงเทพมหานคร จ านวนไม่น้อยกว่า 1,500 คน จากโรงเรียนแต่ละแห่งที่ตกเป็นตัวอย่างในขั้นตอนที่ 2 คณะผู้วิจัยจะท าการสุ่มห้องเรียนในแต่ละ ช่วงชั้น ๆ ละ 1 ห้องเรียน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จากขั้นตอนที่ 3 จากแต่ละ ห้องเรียนที่ตกเป็นตัวอย่าง คณะผู้วิจัยจะสุ่มเลือกนักเรียนด้วยวิธีการสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Sampling) กระบวนการสุ่มคณะผู้วิจัยได้ท าการออกแบบวิธีการในระบบ TYIntegrity
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 76 แผนภำพที่ 3.1 กรอบการด าเนินงานคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ระดับพื้นฐำน (สพฐ. สช. สถ. กทม.) โรงเรียน 3 ประเภท ที่เปิดสอน ดังนี้ เงื่อนไขกำรสุ่ม 1. โรงเรียนประถมศึกษาที่เปิดสอนระดับปฐมวัยถึงระดับ ประถมศึกษา (3 ช่วงชั้น) ปฐมวัย (อ.1-3) ประถมต้น (ป.1-3) ประถมปลาย (ป.4-6) 2. โรงเรียนขยายโอกาสที่เปิดสอนในระดับปฐมวัยถึงระดับ มัธยมศึกษาตอนต้น (4 ช่วงชั้น) ปฐมวัย (อ.1-3) ประถมต้น (ป.1-3) ประถมปลาย (ป.4-6) มัธยมต้น (ม.1-3) 3. โรงเรียนมัธยมศึกษาที่เปิดสอนในระดับมัธยมศึกษาเท่านั้น (2 ช่วงชั้น) มัธยมต้น (ม.1-3) มัธยมปลาย (ม.4-6) 1. โรงเรียนที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้เป็นรายวิชาเพิ่มเติม 2. สุ่มนักเรียนช่วงชั้นละไม่น้อยกว่า 10 คน และเพื่อนนักเรียนไม่น้อย กว่า 10 คน ในแต่ละห้องในช่วงชั้นที่สุ่มได้ 3. ผู้ปกครองของนักเรียนที่สุ่มได้เป็นผู้ร่วมประเมินนักเรียน จ านวน ไม่น้อยกว่า 10 คน 4. ครูประจ าชั้นของนักเรียนที่สุ่มได้เป็นผู้ร่วมประเมินนักเรียนและ ประเมินหลักสูตร จ านวน 1 คน 5. ผู้บริหารโรงเรียนเป็นผู้ร่วมประเมินหลักสูตร จ านวน 1 คน ขั้นตอนที่ 3 จากบัญชีรายชื่อที่ได้จากขั้นตอนที่ 2 คณะผู้วิจัยจะสุ่มเลือกนักเรียนหรือนักศึกษา สุ่มได้ห้องเรียนไหน คณะผู้วิจัยจะสุ่มนักเรียนในห้องนั้นด้วยวิธีการจับสลาก สุ่มได้นักเรียนคนไหน นักเรียนคน นั้นก็จะต้องได้รับการประเมินผลพฤติกรรมเด็กและเยาวชนที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต หากเป็นโรงเรียนระดับ ปฐมวัยและประถมศึกษาตอนต้น คณะผู้วิจัยจะท าการสุ่มนักเรียนชั้นปฐมวัย ประถมศึกษาปีที่ 1-3 ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ช่วงชั้นละไม่น้อยกว่า 10 คน แต่ถ้าเป็นโรงเรียนที่มีเฉพาะระดับมัธยมศึกษา คณะผู้วิจัย ก็จะสุ่มนักเรียนจากมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-3) และมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-6) ช่วงชั้นละไม่น้อยกว่า 10 คน เช่นกัน ในกรณีที่เป็นสถาบันอุดมศึกษา คณะผู้วิจัยจะสุ่มนักศึกษาระดับปริญญาตรี สถาบันละ 10-20 คน จากหลักสูตรที่ตกเป็นตัวอย่างที่สุ่มได้จากขั้นตอนที่ 2 นักศึกษาที่จะตกเป็นตัวอย่างจะต้องประเมินตนเองด้วย แบบประเมินผลพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ทั้งที่มีลักษณะเป็นเชิงปริมาณ จากนั้นนักเรียน/นักศึกษาที่ตกเป็นตัวอย่างที่สุ่มได้จะเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังกลุ่มเป้าหมายอีก 3 กลุ่ม ที่จะต้องเป็นผู้ประเมินนักเรียน/นักศึกษาที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มที่ 1 คือ กลุ่มเพื่อนของนักเรียน/นักศึกษาที่ตกเป็นตัวอย่างที่สุ่มได้ในขั้นตอนที่ 3 คณะผู้วิจัย จะท าการสุ่มเพื่อนของนักเรียนในแต่ละช่วงชั้น (ที่อยู่ในห้องเรียน/ในหลักสูตรเดียวกัน) อีกจ านวนไม่น้อยกว่า 10 คน ด้วยวิธีการจับสลาก กลุ่มเพื่อนที่ถูกสุ่มได้จะเป็นผู้ประเมินนักเรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายด้วยแบบ ประเมินพฤติกรรม กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มผู้ปกครองของนักเรียน/นักศึกษาที่ถูกสุ่มขึ้นมาเป็นตัวอย่าง นั่นหมายถึง นักเรียน/ นักศึกษาผู้ใดที่ตกเป็นตัวอย่าง คณะผู้วิจัยก็จะท าการประสานกับผู้ปกครองของนักเรียน/นักศึกษาแต่ละคน เป็นผู้ประเมินนักเรียน/นักศึกษาที่อยู่ในการดูแลโดยใช้แบบประเมินพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต ที่ปรากฏในระบบออนไลน์ กลุ่มที่ 3 คือ ครูผู้สอนผู้ถูกประเมิน การได้มาซึ่งครูผู้สอนของผู้ถูกประเมิน คณะผู้วิจัยจะท าการ เจาะจงเลือกครูประจ าชั้น หรือครูผู้สอนของผู้ถูกประเมิน ในแต่ละช่วงชั้น ๆ ละ 1 คน และในแต่ละช่วงชั้น ครูผู้สอน 1 คนก็จะเป็นผู้ประเมินนักเรียน/นักศึกษาที่ตกเป็นตัวอย่าง ตามจ านวนนักเรียนที่ตกเป็นตัวอย่าง
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 77 ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น จะท าให้ได้ขนาดตัวอย่าง และจ านวนผู้ที่ต้องเกี่ยวข้อง กับการประเมินเด็กและเยาวชนในครั้งนี้ ดังแผนภาพด้านล่าง ในแต่ละสถานศึกษาทุกแห่งที่ตกเป็นตัวอย่าง คณะที่ปรึกษายังจะได้เจาะจงผู้บริหารสถานศึกษานั้น เพื่อให้ช่วยประเมินผลสัมฤทธิ์ในกำรน ำหลักสูตรไปใช้ร่วมกับครู/อาจารย์ และผู้ปกครอง (ในส่วนของ 2 หลักสูตรการเรียนการสอน) ผ่านระบบ TYintegrity โดยใช้แบบสอบถามเชิงปริมาณ แผนภำพที่ 3.2 วิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 78 แผนภำพที่ 3.3 วิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา เอกชน หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แผนภำพที่ 3.4 วิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างสถานศึกษาสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 79 แผนภำพที่ 3.5 วิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างสถานศึกษาสังกัดกรุงเทพมหานคร หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน แผนภำพที่ 3.6 วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างในสถานศึกษาแต่ละแห่ง หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในหลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด "Youngster with Good Heart") ประกอบด้วย นิสิต/ นักศึกษา แบ่งเป็น 1 ช่วงชั้น คือ ระดับชั้นปีที่ 1-4 จ านวนไม่น้อยกว่า 525 คน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 80 แผนภำพที่ 3.7 วิธีการได้มาซึ่งกลุ่มตัวอย่างสถาบันอุดมศึกษาสังกัดกระทรวง อว. หลักสูตรอุดมศึกษา แผนภำพที่ 3.8 วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างในสถาบันอุดมศึกษาแต่ละแห่ง หลักสูตรอุดมศึกษา 3.1.2 วิธีกำรสุ่มตัวอย่ำงผู้ผ่ำนกำรอบรมหลักสูตร 3 หลักสูตร 1. กำรสุ่มตัวอย่ำงผู้ผ่ำนกำรอบรมหลักสูตรกลุ่มทหำรและต ำรวจ (แนวทำงกำรรับรำชกำร กลุ่มทหำรและต ำรวจ) ประกอบด้วย กองทัพบก (โรงเรียนทหารการเงิน) กองทัพอากาศ (กรมกิจการ พลเรือนทหารอากาศ) ส านักงานต ารวจแห่งชาติ (กองบัญชาการศึกษา) ส านักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (กรมการเงินกลาโหม) และกองทัพเรือ (โรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือ) จะใช้วิธีการสุ่มอย่าง มีระบบ (Systematic sampling) บุคลากรสังกัดส านักงานต ารวจแห่งชาติ ที่ผ่านการอบรมตามหลักสูตรฯ จ านวน 204 คน รวมถึงเจาะจงเลือกผู้ก ากับดูแลหลักสูตรฝึกอบรมของแต่ละหน่วยงานที่น าหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษาไปใช้ จ านวน 1 คน/หน่วยงาน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 81 แผนภำพที่ 3.9 วิธีการได้มาและเงื่อนไขการสุ่มตัวอย่าง หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ 2. กำรสุ่มตัวอย่ำงผู้ผ่ำนกำรอบรมหลักสูตรวิทยำกร ป.ป.ช./บุคลำกรภำครัฐและรัฐวิสำหกิจ (สร้ำงวิทยำกรผู้น ำกำรเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อกำรทุจริต) ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐระดับ กระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ จ านวนไม่น้อยกว่า 775 คน (ต้องกระจายกลุ่มตัวอย่างครอบคลุมหน่วยงานที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในหลักสูตร การฝึกอบรม รวมทั้งจ านวนครั้งที่จัดอบรมของแต่ละหน่วยงาน) โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการให้ข้อมูล 2 กลุ่ม อันได้แก่ (1) ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรที่น าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ของหน่วยงานภาครัฐระดับ กระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ จ านวน 1 คน/ หน่วยงาน ซึ่งได้มาด้วยวิธีการเจาะจง (2) บุคล ากรสังกัดหน่วยง านภ าครัฐ ร ะดับกร ะทรวง/กรม หน่วยง านในสังกัด ส านักนายกรัฐมนตรี บุคลากรสังกัดหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ ที่ผ่านการฝึกอบรมตามหลักสูตรฯ จ านวน 26 หน่วยงาน ๆ ละ 26 คน รวม 520 คน ซึ่งจะได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบมีระบบ แผนภำพที่ 3.10 วิธีการได้มาและเงื่อนไขการสุ่มตัวอย่าง หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 82 3. กำรสุ่มตัวอย่ำงผู้ผ่ำนกำรอบรมหลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อกำรรู้คิดต้ำนทุจริต) ประกอบด้วย โค้ช/ กรรมการ/สมาชิกชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต จ านวนไม่น้อยกว่า 385 คน (ต้องกระจายกลุ่ม ตัวอย่างครอบคลุมในมิติเชิงพื้นที่ทั่วประเทศ) โดยมีกลุ่มเป้าหมายในการให้ข้อมูล 2 กลุ่ม คือ (1) ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรโค้ช จ านวน 1 คน (2) โค้ช/กรรมการ/สมาชิกชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต ที่ผ่านการฝึกอบรมตาม หลักสูตรฯ ในพื้นที่ส านักงาน ป.ป.ช. ภาค ไม่น้อยกว่า 39 คน และกรุงเทพมหานคร จ านวน 20 คน แผนภำพที่ 3.11 วิธีการได้มาและเงื่อนไขการสุ่มตัวอย่าง หลักสูตรโค้ช รำยละเอียด ขนาดตัวอย่างและขนาดข้อมูลที่เก็บได้จริง ในการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน า หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ทั้ง 5 หลักสูตร ดังนี้ ตำรำงที่ 3.2 รายละเอียดจ านวนกลุ่มตัวอย่าง ส าหรับกลุ่มหลักสูตรจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) หลักสูตร กำรเรียน กำรสอน สังกัด เป้ำหมำย ขนำด ตัวอย่ำง (นักเรียน/ นักศึกษำ) กลุ่มตัวอย่ำงที่เก็บได้จริง (คน) รวมจ ำนวน กลุ่มตัวอย่ำง ที่เก็บได้จริง (คน) นักเรียน/ นักศึกษำ ผู้บริหำร สถำนศึกษำ ครู/ อำจำรย์ ผู้สอน ผู้ปกครอง เพื่อน นักเรียน/ นักศึกษำ 1. หลักสูตร การศึกษา ขั้นพื้นฐาน ส านักงาน คณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน 15,000 27,920 1,055 1,055 27,920 27,920 85,870 ส านักงาน คณะกรรมการส่งเสริม การศึกษาเอกชน 1,250 1,316 37 37 1,316 1,316 4,022 กรมส่งเสริมการ ปกครองท้องถิ่น 2,000 4,019 147 147 4,019 4,019 12,351 กรุงเทพมหานคร 1,500 3,457 134 134 3,457 3,457 10,639 2. หลักสูตร อุดมศึกษา 525 526 35 35 526 526 1,648 รวม 20,275 37,238 1,408 1,408 37,238 37,238 114,530
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 83 ตำรำงที่ 3.3 รายละเอียดจ านวนกลุ่มตัวอย่าง ส าหรับกลุ่มหลักสูตรจัดการฝึกอบรม (3 หลักสูตร) หลักสูตรกำรฝึกอบรม สังกัด เป้ำหมำย ขนำดตัวอย่ำง (ผู้ผ่ำนกำร ฝึกอบรม) กลุ่มตัวอย่ำงที่เก็บได้จริง (คน) รวมจ ำนวน กลุ่มตัวอย่ำงที่ เก็บได้จริง (คน) ผู้ก ำกับดูแล หลักสูตรฯ ผู้ผ่ำนกำร ฝึกอบรม 3. หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ 200 10 204 214 4. หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./ บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ 775 26 780 806 5. หลักสูตรโค้ช 385 1 423 424 รวม 1,360 37 1,407 1,444 3.1.3 กลุ่มผู้ให้ข้อมูลเชิงคุณภำพ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) จะใช้วิธีการเจาะจง (Purposive Sampling) เลือกกลุ่มเป้าหมายโดยใช้ลักษณะการด ารงต าแหน่งและสถานะของผู้ให้ข้อมูลส าคัญ เพื่อให้ข้อมูลส าคัญเชิงคุณภาพ ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญอย่างน้อย ดังนี้ 1) กลุ่มผู้มีส่วนได้เสียกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (Stakeholders) จ าแนกตามแต่ละหลักสูตร (ดังตารางที่ 19 และตารางที่ 20) ได้แก่ (1) หลักสูตรการศึกษาชั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนักเรียน (2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด "Youngster with Good Heart") ประกอบด้วย ผู้บริหารสถาบันอุดมศึกษา ครู/อาจารย์ผู้สอน และนิสิต/นักศึกษา (3) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และบุคลากรสังกัดกระทรวงกลาโหมและส านักงานต ารวจแห่งชาติ ที่ผ่าน การฝึกอบรมหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (4) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช/บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และบุคลากรสังกัดภาครัฐระดับ กระทรวง/กรม หน่วยงานในสังกัดส านักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานภาครัฐวิสาหกิจ ที่ผ่านการฝึกอบรม หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (5) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) ประกอบด้วย ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร และโค้ช/ กรรมการ/สมาชิก ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 84 ตำรำงที่ 3.4 จ านวนกลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) จ าแนกตามหลักสูตรจัดการเรียนการสอน (2 หลักสูตร) รำยชื่อ ผู้บริหำร/ ผู้ก ำกับดูแลหลักสูตร 1 ชั่วโมง ครู/อำจำรย์ (ผู้ประสำนงำน) 1/2 ชั่วโมง นักเรียน/นักศึกษำ/ ผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรม 1/2 ชั่วโมง หลักสูตรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (ผู้บริหาร + ครู + นักเรียน) 1. โรงเรียนบ้านแม่ลากเนินทอง จ.เชียงราย (สังกัด สพฐ.) นายธีริทธิ์ อื่นค า ผู้อ านวยการโรงเรียน นางเกศแก้ว ค าเมือง อ.3/1 ป.3/6 ป.6/11 2. โรงเรียนบ้านซับใต้ สีคิ้ว จ.นครราชสีมา (สังกัด สพฐ.) นายพิทยา บุญมาใส ผู้อ านวยการโรงเรียน นายศุภวุฒิ แนมกลาง ป.ต้น 3. โรงเรียนเทศบาล 1 หนองแสง จ.นครพนม (สังกัด สถ) นางปิยะดา โทพล ผู้อ านวยการโรงเรียน นส.ปิยะมาส ดายังยุธ ประเมิน ป.6/1 4. โรงเรียนเทศบาลหินกอง จ.สระบุรี(สังกัด สถ.) นายชัยพร พรชัยอรรถกุล นางสาวราตรี ใบเกต ครูช านาญการ อ.3/2 ป.3/3 ป.6 5. โรงเรียนอนุบาลอุดมวิทย์ จ.ปราจีนบุรี (สังกัด สช.) นางสุวรรณา ก้อนสันทัด ผู้อ านวยการโรงเรียน นายชัยวัฒน์ รัตพันธุ์ ประเมิน อ.3 6. โรงเรียนอนุบาลพฤษชาติ จ.สุราษฎร์ธานี (สังกัด สช.) นางล าพอง สุขช่วย ผู้อ านวยการโรงเรียน นางธัญญรัตน์ ชูประจิตร ป.3/2 ป.6/2 7. โรงเรียนสุเหร่าสามวา (ซุน เวทย์สฤษฎ์ อุทิศ) (สังกัด กทม) นางเครือวัลย์ สิทธิเจริญธรรม ผู้อ านวยการโรงเรียน ประเมิน อ.2/2 ป.3/1 ป.6/1 8. โรงเรียนวัดราษฎร์บ ารุง (สังกัด กทม) ว่าที่ร้อยตรีหญิง ภรภัทร ซุ่มโสตร์ ผู้อ านวยการโรงเรียน นางสาวชุติภาดา เทพนวล ป.3/1 หลักสูตรอุดมศึกษำ (ผู้บริหาร + อาจารย์ + นักศึกษา) 9. มหาวิทยาลัยทักษิณ จ.สงขลา อ.อนันต์ ปังลีเส็น 10. มรฎ.หมู่บ้านจอมบึง จ.ราชบุรี อ.ยุพยงค์วิงวร ตำรำงที่ 3.5 จ านวนกลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ (Key Informant) จ าแนกตามหลักสูตรจัดฝึกอบรม (3 หลักสูตร) รำยชื่อ ผู้บริหำร/ ผู้ก ำกับดูแลหลักสูตร 1 ชั่วโมง ครู/อำจำรย์ (ผู้ประสำนงำน) 1/2 ชั่วโมง นักเรียน/นักศึกษำ/ ผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรม 1/2 ชั่วโมง หลักสูตรกลุ่มทหำรและต ำรวจ (ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร + ผู้ผ่านการฝึกอบรม) 1. กองทัพอากาศ (โรงเรียนการบิน) น.อ.ปกรวิช ทองรอด 2. กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ ร.ท.วิรัช สารวงษ์สุทธิ์ หลักสูตรวิทยำกร ป.ป.ช./บุคลำกรภำครัฐและรัฐวิสำหกิจ (ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร + ผู้ผ่านการฝึกอบรม) 3. ศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) นายยงจิรายุ อุปเสน ผู้จัดการส านักส่งเสริมและ ขับเคลื่อนเครือข่ายทางสังคม 4. ธนาคารเพื่อการส่งออกและน าเข้าประเทศไทย เข็มจริยา ธีรพงษ์ 5. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายสยาม ช้างเนียม หลักสูตรโค้ช (ผู้ก ากับดูแลหลักสูตร + โค้ช/กรรมการ/สมาชิก ชมรม STRONG-จิตพอเพียงต้านทุจริต) 6. ส านักงาน ป.ป.ช. ประจ าจังหวัดนครนายก นายปราช การุณวงษ์ เจ้าพนักงานป้องกันการทุจริต ช านาญการ นายสมเดช พันธุ์ศิริ ประธานชมรม STRONGจิตพอเพียงต้านทุจริต จังหวัดนครนายก
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 85 2) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ ด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน เพื่อรับฟัง ข้อเสนอแนะทิศทางการปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา โดยต้องมีต าแหน่งทางวิชาการ ไม่ต่ ากว่า รองศาสตราจารย์ หรือครูช านาญการพิเศษ หรือข้าราชการพลเรือนระดับช านาญการพิเศษ หรือเทียบเท่า จ านวนไม่น้อยกว่า 9 คน ดังปรากฏในตารางที่ 3.6 3) กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ ตามที่ที่ปรึกษาเห็นควร โดยความเห็นชอบจากส านักงาน ป.ป.ช. ดังปรากฏในตารางที่ 3.7 ตำรำงที่ 3.6 ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการ ด้านการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร และการเรียนการสอน รำยชื่อ คุณสมบัติ หลักสูตรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน (ต้องมีต าแหน่งทางวิชาการไม่ต่ ากว่า ครูช านาญการพิเศษ) 1. ดร.วิษณุ ทรัพย์สมบัติ ผู้อ านวยการส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. 2. ดร.นภมณฑล สิบหมื่นเปี่ยม ผู้เชี่ยวชาญส านักปลัด กศน. 3. ดร.ฑิมพิกา ญาธิป ศึกษานิเทศก์ช านาญการพิเศษ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา เขต 1 4. ดร.ยุพเทพ บุญญาฤทธิ์รักษา ผู้อ านวยการโรงเรียนมณีอนุสรณ์ศึกษา 5. นายฐณวัฒน์ ฉัตรวุฒิรัศมิ์ ผู้อ านวยการโรงเรียนบ้านบะแค หลักสูตรอุดมศึกษำ (ต้องมีต ำแหน่งทำงวิชำกำรไม่ต่ ำกว่ำ รองศำสตรำจำรย์) 6. รศ.ดร.กตัญญู แก้วหานาม มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ 7. ศ.ดร.พฤทธิ์ ศิริบรรณพิทักษ์ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 8. พันต ารวจโท ช านิ คนไว ฝ่ายบริการการศึกษา ศูนย์ฝึกอบรมต ารวจภูธร ภาค 4 9. นางเอื้อมพร สุวรรณนัง ผู้อ านวยการกองพัฒนาบุคคล ฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล การท่าเรือแห่งประเทศไทย ตำรำงที่ 3.7 ผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ รำยชื่อ ผู้บริหำร/ ผู้ก ำกับดูแลหลักสูตร 1 ชั่วโมง ครู/อำจำรย์ (ผู้ประสำนงำน) 1/2 ชั่วโมง นักเรียน/นักศึกษำ/ ผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรม 1/2 ชั่วโมง 1. โรงเรียนบ้านหนองบัว จ.สุโขทัย ผอ.สุรพล เจ๊กอยู่ นายพัฒน์ สุทธการ ครูช านาญการพิเศษ ประเมินเด็ก ป.3 (นักเรียนที่เคยท าแบบประเมินฯ) 2. โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม จ.สกลนคร ผอ.ทองค า วารสาร นายวชิระ จันทะลุน ครูผู้ประสานงาน 3. มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช ผศ.ดร.ด ารงพันธ์ ใจห้าววีระพงศ์ ผช.อธิการบดี/ผอ.ศูนย์สืบสานงานฯ นักศึกษาที่เคยท าแบบประเมินฯ 4. มหาวิทยาลัยราชภัฏ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา ดร.เพ็ญพร ทองค าสุก ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ บ้านสมเด็จเจ้าพระยา 5. ส านักงานต ารวจแห่งชาติ (กองบัญชาการศึกษา) พ.ต.ท.วัฒน์ชลา คูณยอ ผู้ผ่านการฝึกอบรมที่เคยท าแบบประเมินฯ 6. กองทัพเรือ (โรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือ) ร.อ.พิษณุ สุขเกษม ผู้ผ่านการฝึกอบรมที่เคยท าแบบประเมินฯ 7. กระทรวงศึกษาธิการ คุณจิตฤดี ขวัญพุทธ ผู้ผ่านการฝึกอบรมที่เคยท าแบบประเมินฯ 8. กระทรวงยุติธรรม นางสาวจินตวลัย จาตุรนต์ ผู้ผ่านการฝึกอบรมที่เคยท าแบบประเมินฯ
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 86 รำยชื่อ ผู้บริหำร/ ผู้ก ำกับดูแลหลักสูตร 1 ชั่วโมง ครู/อำจำรย์ (ผู้ประสำนงำน) 1/2 ชั่วโมง นักเรียน/นักศึกษำ/ ผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรม 1/2 ชั่วโมง 9. หลักสูตรโค้ช นางแก้วตา ชัยมะโน ผอ.ส านักบูรณาการ การมีส่วนร่วมต้านทุจริต นายสมคิด มาหล้า รอง ผอ.สพป.ตาก เขต 1 **วิทยากรตัวคูณ ส าหรับข้อค ำถำมเชิงคุณภำพ (Qualitative Research) ในการสัมภาษณ์กลุ่มผู้ให้ข้อมูลส าคัญ เชิงคุณภาพ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1) ผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการด้านการศึกษา และ 2) ผู้ให้ข้อมูลที่ส าคัญ โดยใช้ลักษณะต าแหน่งและสถานะของผู้ให้ข้อมูลแบบเจาะจงในแต่ละหลักสูตร และผู้ให้ข้อมูลส าคัญอื่น ๆ โดยในแต่ละกลุ่มมีแนวค าถามในการสัมภาษณ์ ดังนี้ 1. ประเด็นการสัมภาษณ์เชิงลึก ส ำหรับผู้เชี่ยวชำญ/นักวิชำกำรด้ำนกำรศึกษำ เพื่อรับฟัง ข้อเสนอแนะและทิศทางการปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรกำรเรียนกำรสอน (หลักสูตรกำรศึกษำขั้นพื้นฐำน และหลักสูตรอุดมศึกษำ) 1) ท าอย่างไรจะสร้างเด็กและเยาวชนที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ยึดมั่นความซื่อตรงแบบญี่ปุ่นได้ มุมมองเชิงกระบวนการ การพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมเสริมสร้างการเรียนรู้ และปัจจัย ที่เกี่ยวข้อง 2) ปัญหาของการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาพลเมืองไทย การพัฒนาหลักสูตรและแนวทางการจัด การเรียนการสอนเพื่อเสริมสร้างความซื่อสัตย์สุจริตในระบบการศึกษาของไทย 3) การปลูกฝังและพัฒนากระบวนการคิดของเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเป็น ธรรมชาติในระบบการศึกษา ระบบนิเวศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการปลูกฝังความซื่อสัตย์สุจริตในและนอก สถานศึกษา 4) การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาพลเมืองเชิงวิพากษ์ จากอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มที่ควรจะเปลี่ยนแปลง ในอนาคต 5) แนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างเด็กและเยาวชนไทยรุ่นใหม่เพื่อรับใช้สังคม การประกอบ กิจการเพื่อสังคม และทักษะที่จ าเป็นภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน 6) โรงเรียนและมหาวิทยาลัยกับการจัดการเรียนการสอนรูปแบบใหม่เพื่อสร้างก าลังคนที่ตอบโจทย์ ปัญหาของสังคม 7) ปัญหาและความคาดหวังของเด็กและเยาวชนไทยต่อการจัดการเรียนการสอนในระบบการศึกษา ของไทย 8) ประสบการณ์และกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่มีผลต่อการพัฒนาทักษะและกระบวนการคิดอย่างมี เหตุผลในด้านการตระหนักรู้ต่อความถูกต้อง ซื่อสัตย์ สุจริต 9) หลักสูตรมีความเหมาะสมกับบริบททางสังคม และเหมาะสมกับผู้เรียน (ตามช่วงชั้น วัย) หรือไม่ อย่างไร และมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงอย่างไร 10) ทิศทางของการปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาควรเป็นอย่างไร 11) แนวทางการแก้ไขปัญหา การรับรู้บทบาทของครู/อาจารย์ผู้สอน ในฐานะเป็นผู้ที่ถ่ายทอด หลักสูตรไปสู่ผู้เรียนและการเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้เรียนในเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต เพราะเป็นบุคคลที่ส าคัญ ที่ไกล้ชิดกับผู้เรียนมากที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนและน าไปสู่การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 87 หลักสูตรฝึกอบรม (หลักสูตรกลุ่มทหำรและต ำรวจ หลักสูตรวิทยำกร ป.ป.ช./บุคลำกรภำครัฐและ รัฐวิสำหกิจ และหลักสูตรโค้ช) 1) ท าอย่างไรจะสร้าง (วิทยากร/แกนน าในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน) มุมมองเชิงกระบวนการ การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง 2) แนวคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้าง (วิทยากร/แกนน าในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับ บุคลากรในหน่วยงาน) เพื่อรับใช้สังคม และทักษะที่จ าเป็นภายใต้บริบทเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน 3) หลักสูตรฝึกอบรมที่ใช้อยู่เป็นการสร้างก าลังคนที่ตอบโจทย์ปัญหาของสังคม หรือไม่ อย่างไร 4) ประสบการณ์ของ (วิทยากร/แกนน าในการน าความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดให้กับบุคลากรในหน่วยงาน) และกิจกรรมที่ใช้ในการฝึกอบรมมีผลต่อการพัฒนาทักษะและกระบวนการคิดอย่างมีเหตุผลในด้านการ ตระหนักรู้ต่อความถูกต้อง ซื่อสัตย์ สุจริต หรือไม่ อย่างไร 5) หลักสูตรมีความเหมาะสมกับบริบททางสังคม และเหมาะสมกับผู้เข้ารับการอบรม หรือไม่ อย่างไร และมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงอย่างไร 6) ทิศทางของการปรับปรุงหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาที่น าไปใช้ในหลักสูตรฝึกอบรมของหน่วยงาน ในอนาคตควรเป็นอย่างไร 2. ประเด็นแนวค าถามในการสัมภาษณ์เชิงลึก ส ำหรับผู้ให้ข้อมูลส ำคัญ เพื่อเป็นตัวแทน เพื่อให้ ข้อมูลเชิงคุณภาพเพิ่มเติมจากการส ารวจเชิงปริมาณ ข้อค าถามในการสัมภาษณ์จากแนวคิดและทฤษฎีตาม TOR ข้อ 5.3 และแนวคิดอื่น ๆ จ าแนกตามแต่ละหลักสูตร แนวค ำถำมหลักสูตรกำรเรียนกำรสอน (2 หลักสูตร) และหลักสูตรฝึกอบรม (3 หลักสูตร) ส ำหรับ ผู้บริหำร/ผู้ก ำกับดูแลหลักสูตร 1. ท่านคิดว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาจะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติได้หรือไม่อย่างไร ถ้าได้ ต้องเสริมตรงไหน ถ้าไม่ได้ต้องปรับต้องเพิ่มอย่างไร 2. การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา/หน่วยงานของท่านอย่างไร ประสบ ความส าเร็จมากน้อยเพียงใด มีปัญหา อุปสรรคอย่างไรหรือไม่ (ด้านบุคลากร การเรียนการสอน งบประมาณ การออกแบบกิจกรรม อื่น ๆ) ท่านแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร 3. ปัจจัยใดบ้างที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประสบความส าเร็จ หรือไม่ประสบความส าเร็จ 4. ท่านมีข้อเสนอแนะใด หรือท่านต้องการการสนับสนุนใดจากส านักงาน ป.ป.ช. บ้าง ในการ ขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา แนวค ำถำมหลักสูตรกำรเรียนกำรสอน (2 หลักสูตร) ส ำหรับครู/อำจำรย์ 1. ท่านว่าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาจะเป็นตัวที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติได้หรือไม่อย่างไร ถ้าได้ ต้องเสริมตรงไหน ถ้าไม่ได้ต้องปรับต้องเพิ่มอย่างไร 2. การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา/หน่วยงานของท่านอย่างไร ประสบ ความส าเร็จมากน้อยเพียงใด มีปัญหา อุปสรรคอย่างไรหรือไม่ (ด้านบุคลากร การเรียนการสอน งบประมาณ การออกแบบกิจกรรม อื่น ๆ) ท่านแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 88 3. ปัจจัยใดบ้างที่มีส่วนช่วยสนับสนุนให้การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ประสบความส าเร็จ หรือไม่ประสบความส าเร็จ 4. ท่านมีข้อเสนอแนะใด หรือท่านต้องการการสนับสนุนใด จากส านักงาน ป.ป.ช. บ้าง ในการ ขับเคลื่อนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา 5. หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาปัจจุบัน เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็ก/นักศึกษา หรือไม่ อย่างไร และ จะท าอย่างไร ให้เกิดความเหมาะสม 6. เนื้อหาจากหน่วยการเรียนรู้ (แยกแยะส่วนตนส่วนร่วม ละอายและไม่ทนต่อการทุจริต จิตพอเพียง ต้านทุจริต และความรับผิดชอบต่อสังคม) ท่านคิดว่า ท าให้เกิดพฤติกรรมตามที่มุ่งหวังได้มากน้อยเพียงใด เห็นการเปลี่ยนแปลง และความแตกต่างที่เกิดขึ้น หรือไม่ ควรจะต้องมีการเพิ่มการปรับอย่างไรบ้าง 7. การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษามาใช้ เกิดประโยชน์ต่ออาจารย์ ผู้ที่เกี่ยวข้อง และนักเรียน/ นักศึกษาอย่างไรหรือไม่ และถ้าจะต้องท าให้เกิดประโยชน์มากกว่านี้ จะต้องท าอย่างไร แนวค ำถำมหลักสูตรกำรเรียนกำรสอน (2 หลักสูตร) ส ำหรับนักเรียน/นักศึกษำ 1. ก่อนเรียนและหลังเรียนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา นักเรียนมีความรู้ เจตคติ หรือพฤติกรรมที่ เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ อย่างไร 2. กิจกรรมการเรียนการสอน วิธีการสอนที่ใช้ในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ที่ตรงใจกับพวกเรา ควรเป็นแบบไหน อย่างไร 3. พวกเราอยากเห็นการพัฒนาในด้านการต้านการทุจริต และส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริต อย่างไร แนวค ำถำมหลักสูตรกลุ่มทหำรและต ำรวจ และหลักสูตรวิทยำกร ป.ป.ช./บุคลำกรภำครัฐและ รัฐวิสำหกิจ ส ำหรับผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรมฯ 1. ก่อนการฝึกอบรมและหลังจากการฝึกอบรม ท่านมีความรู้ เจตคติ หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป หรือไม่ อย่างไร 2. กิจกรรมการฝึกอบรม วิธีการฝึกอบรมที่ใช้ในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ที่ตรงใจกับท่าน ควรเป็น แบบไหน อย่างไร 3. ท่านอยากเห็นการพัฒนาในด้านการต้านการทุจริต และส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริต อย่างไรบ้าง 4. ถ้าจะท าให้หลักสูตรการฝึกอบรมสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่านี้ ควรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แนวค ำถำมหลักสูตรโค้ช ส ำหรับผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรมฯ 1. ก่อนการฝึกอบรมและหลังจากการฝึกอบรม ท่านมีความรู้ เจตคติ หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง ไปหรือไม่ อย่างไร 2. กิจกรรมการฝึกอบรม วิธีการฝึกอบรมที่ใช้ในหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา ที่ตรงใจกับท่าน ควรเป็น แบบไหน อย่างไร 3. ท่านอยากเห็นการพัฒนาในด้านการต้านการทุจริต และส่งเสริมความซื่อสัตย์สุจริต อย่างไรบ้าง 4. ถ้าจะท าให้หลักสูตรการฝึกอบรมสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่านี้ ควรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 5.หลังจากฝึกอบรมแล้วท่านคิดว่า ท่านสามารถเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการต้านทุจริต ได้หรือไม่ อย่างไร ถ้าไม่ได้มีอะไรที่ต้องมีการเพิ่มเติม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 89 3.2 กำรพัฒนำเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์กำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้ คณะผู้วิจัยได้ด าเนินการพัฒนาเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ตามขั้นตอน ดังแผนภาพที่ 3.12 แผนภำพที่ 3.12 ขั้นตอนการพัฒนาเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ รายละเอียดแต่ละขั้นตอน มีดังต่อไปนี้ 1.1 ก าหนดโครงสร้างเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ จ านวน 5 หลักสูตร โดยแยกส่วนที่เป็นหลักสูตรการเรียนการสอน และหลักสูตรฝึกอบรม ดังนี้ หลักสูตรกำรเรียนกำรสอน 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (รายวิชาเพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต) 2) หลักสูตรอุดมศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with Good Heart”) หลักสูตรฝึกอบรม 1) หลักสูตรกลุ่มทหารและต ารวจ (ตามแนวทางรับราชการกลุ่มทหารและต ารวจ) 2) หลักสูตรวิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ (สร้างวิทยากรผู้น าการ เปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต) 3) หลักสูตรโค้ช (โค้ชเพื่อการรู้คิดต้านทุจริต) โครงสร้ำงเครื่องมือในกำรประเมินผลสัมฤทธิ์กำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้ ตำมกรอบแนวคิดดังที่ได้ระบุไว้ในบทที่ 2 มีดังต่อไปนี้ 1) กำรวิเครำะห์บริบทสภำพแวดล้อมของกำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตไปใช้ภายใต้กรอบ ของเนื้อหาต่อไปนี้ (1) การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ ตามแผนที่ 21 (2) นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต (3) สภาวการณ์ปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชัน (4) ความส าคัญและจ าเป็นของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (5) ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของปีที่ผ่านมา (6) เครือข่ายความร่วมมือในการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต 1 • ก าหนดโครงสร้างเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 2 • สร้างเครื่องมือประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 3 • สร้างเกณฑ์การประเมินผลสัมฤทธิ์ การให้คะแนน เกณฑ์การแปลความหมาย 4 • ตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) และทดลองใช้เครื่องมือ 5 • สร้างรูปแบบรายงานประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 90 2) กำรประเมินปัจจัยน ำเข้ำ (Input) จะพิจารณาจาก ศักยภำพของผู้บริหำรและควำมพร้อมของระบบสนับสนุนในกำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริต ศึกษำไปใช้ครอบคลุมถึงความสามารถในการบริหารจัดการน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในสถานศึกษา ของผู้บริหารสถานศึกษา ครอบคลุมประเด็นการรับรู้เจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การมีส่วนร่วม ในการพัฒนาหลักสูตร การเข้าร่วมรับฟังและการประชุมชี้แจง การก าหนดและเตรียมผู้รับผิดชอบหลักสูตร การจัดท าแผนการเรียนรู้การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ตามหลักสูตร การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การจัดการเรียนการสอน การจัดหาสื่อ เอกสาร วัสดุ และอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัดการเรียนตามหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา การนิเทศและก ากับติดตามการจัดการเรียนการสอน และระดับการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในโรงเรียน กำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้ในกำรจัดกำรเรียนรู้ครอบคลุมถึงการด าเนินการใช้ หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของครูผู้สอน ครอบคลุมประเด็นการมีส่วนร่วมในการปลูกฝังให้นักเรียนมีพฤติกรรม ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต การทราบเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การมีส่วนร่วมในการพัฒนา หลักสูตร การเข้าร่วมรับฟังและประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การเตรียมผู้รับผิดชอบหลักสูตร การน าหลักสูตรไปจัดการเรียนรู้ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาในหน่วยการ เรียนรู้ เรื่องการคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและไม่ทนต่อ การทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดหาเอกสาร ความรู้ หนังสือ ต ารา สื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัดการเรียนตามหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การนิเทศ และก ากับติดตามการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และระดับการน าหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาไปใช้ในโรงเรียน 3) กำรประเมินกระบวนกำรใช้หลักสูตร (Process) จะพิจารณาจาก (1) หลักสูตรการจัดการเรียนการสอน ตรวจสอบหลักสูตรว่าสามารถน าไปใช้จัด การเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสถานการณ์จริงเพียงใด รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการใช้ หลักสูตร (2) หลักสูตรการฝึกอบรม ตรวจสอบหลักสูตรว่าสามารถน าไปใช้จัดการฝึกอบรม ได้อย่างมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับสถานการณ์จริงเพียงใด รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการใช้หลักสูตร กำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้ในกำรจัดกำรเรียนรู้ครอบคลุมถึงการ ด าเนินการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของครูผู้สอน ครอบคลุมประเด็นการมีส่วนร่วมในการปลูกฝังให้นักเรียน มีพฤติกรรมที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต การทราบเจตนารมณ์ของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การมีส่วนร่วม ในการพัฒนาหลักสูตร การเข้าร่วมรับฟังและประชุมชี้แจงเกี่ยวกับหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา การเตรียม ผู้รับผิดชอบหลักสูตร การน าหลักสูตรไปจัดการเรียนรู้ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ตามหลักสูตรต้านทุจริต ศึกษาในหน่วยการเรียนรู้ เรื่อง การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ความละอายและไม่ทนต่อการทุจริต STRONG : จิตพอเพียงต่อต้านการทุจริต พลเมืองกับความรับผิดชอบต่อ สังคม การจัดหาเอกสารความรู้ หนังสือ ต ารา สื่อ วัสดุและอุปกรณ์ที่จ าเป็นในการจัดการเรียนตามหลักสูตร ต้านทุจริตศึกษา การนิเทศและก ากับติดตามการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และระดับ การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ในโรงเรียน
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 91 4) กำรประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร (Outcome) (1) หลักสูตรการจัดการเรียนการสอน เป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนใน ด้านความรู้ (K) เจตคติของผู้เรียน (A) และพฤติกรรมที่พึงประสงค์ (B) ว่าบรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย/ วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมากน้อยเพียงใด รวมทั้งประเมินความพึงพอใจต่อหลักสูตรของผู้บริหาร ครูผู้สอน และผู้เรียน (2) หลักสูตรการฝึกอบรม เป็นการตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของผู้เข้ารับการฝึกอบรมใน ด้านความรู้ (K) เจตคติของผู้เข้ารับการฝึกอบรม (A) พฤติกรรมที่พึงประสงค์ การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน การน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน และน าไปปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบ (B) ว่าบรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย/วัตถุประสงค์ของหลักสูตรมากน้อย เพียงใด รวมทั้งประเมินความพึงพอใจต่อหลักสูตรของผู้รับผิดชอบหลักสูตร และผู้เข้ารับการฝึกอบรม ส าหรับโครงสร้างเครื่องมือการประเมินดังกล่าวแสดงได้ดังตารางที่ 3.8 ถึงตารางที่ 3.11 ต่อไปนี้ ตำรำงที่ 3.8 โครงสร้างเครื่องมือการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้(หลักสูตร การเรียนการสอน) ส าหรับผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการฯ องค์ประกอบของเครื่องมือ ผู้เชี่ยวชำญ/ ผู้ประเมิน กำรประเมินบริบท (1) การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ ตามแผนที่ 21 (2) นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต (3) สภาวการณ์ปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชัน (4) ความส าคัญและจ าเป็นของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (5) ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของปีที่ผ่านมา (6) เครือข่ายความร่วมมือในการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต (7) การวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง ตำรำงที่ 3.9 โครงสร้างเครื่องมือการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้(หลักสูตร การเรียนการสอน) ส าหรับผู้บริหาร/ครูอาจารย์/นักเรียนนักศึกษาผู้ตอบแบบประเมินฯ องค์ประกอบของเครื่องมือ ผู้ประเมิน ผู้บริหำร สถำนศึกษำ ครู/อำจำรย์ ผู้สอน นักเรียน/ นักศึกษำ ผู้เชี่ยวชำญ/ ผู้ประเมิน ส่วนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐำนของผู้ตอบ เป็นการสอบถามข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบประเมิน เพศ ระดับการศึกษา ต าแหน่ง สถานภาพ Family Ecology ข้อมูลสถานศึกษา
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 92 องค์ประกอบของเครื่องมือ ผู้ประเมิน ผู้บริหำร สถำนศึกษำ ครู/อำจำรย์ ผู้สอน นักเรียน/ นักศึกษำ ผู้เชี่ยวชำญ/ ผู้ประเมิน ส่วนที่ 2 กำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ ในโครงสร้างรายวิชาจ าแนกตามประเภทของหลักสูตร ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นการประเมินปัจจัยน าเข้า การรับรู้เจตนารมณ์ของหลักสูตรและการมีส่วนร่วมในการ พัฒนาหลักสูตร การจัดเตรียมบุคลากรในสถานศึกษา การจัดครู/อาจารย์เข้าสอน การจัดตารางสอน การจัดบริการวัสดุหลักสูตรและสื่อการเรียนการสอน การจัดสิ่งอ านวยความสะดวกต่าง ๆ แก่ผู้ใช้หลักสูตร การนิเทศติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร การประชาสัมพันธ์หลักสูตร ส่วนที่ 3 ผลสัมฤทธิ์ในกำรใช้หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ เป็นการประเมินกระบวนการจัดการเรียนการสอนตาม หน่วยการจัดการเรียนรู้ 4 หน่วย กำรน ำหลักสูตรนี้ ไปจัดกำรเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียน “ปรับฐานความคิด ต้านทุจริต” การจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียน “สร้างสังคมที่ไม่ทน ต่อการทุจริต” การจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียน “ยกระดับดัชนีสร้าง พลเมืองดีในสังคม” การจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียน “ปราบทุจริตด้วย จิตพอเพียง” ส่วนที่ 4 ผลสัมฤทธิ์หลักสูตร เป็นการประเมินการบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของรายวิชาในด้านความรู้ พฤติกรรมที่พึงประสงค์ และเจตคติของผู้เรียน/ผู้เข้ารับการฝึกอบรม การน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน และน าไปปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบ ระดับความรู้* ระดับเจตคติ* ระดับพฤติกรรมที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริต* ความพึงพอใจต่อหลักสูตร สะท้อนผลต่อหลักสูตร
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 93 ตำรำงที่ 3.10 โครงสร้างเครื่องมือการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้(หลักสูตร ฝึกอบรม) ส าหรับผู้เชี่ยวชาญ/นักวิชาการฯ องค์ประกอบของเครื่องมือ ผู้เชี่ยวชำญ/ ผู้ประเมิน กำรประเมินบริบท (1) การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ ตามแผนที่ 21 (2) นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการทุจริต (3) สภาวการณ์ปัญหาด้านการทุจริตคอร์รัปชัน (4) ความส าคัญและจ าเป็นของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา (5) ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตรต้านทุจริตศึกษาของปีที่ผ่านมา (6) เครือข่ายความร่วมมือในการสร้างสังคมที่ไม่ทนต่อการทุจริต (7) การวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง ตำรำงที่ 3.11 โครงสร้างเครื่องมือการประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้(หลักสูตร ฝึกอบรม) ส าหรับผู้ผ่านการฝึกอบรมผู้ตอบแบบประเมินฯ องค์ประกอบของเครื่องมือ ผู้ประเมิน ผู้ก ำกับดูแล หลักสูตร ผู้ผ่ำนกำร ฝึกอบรม ผู้เชี่ยวชำญ/ ผู้ประเมิน ส่วนที่ 1 ข้อมูลพื้นฐำนของผู้ตอบ เป็นการสอบถามข้อมูลพื้นฐานของผู้ตอบแบบประเมิน เพศ ระดับการศึกษา ต าแหน่ง สถานภาพ Workplace Ecology ส่วนที่ 2 กำรน ำหลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำไปใช้เป็นการประเมินคุณภาพการจัดการเรียนรู้ตามหน่วยการเรียนรู้ที่ก าหนดไว้ ในโครงสร้างรายวิชาจ าแนกตามประเภทของหลักสูตร * (ในหมายเหตุ) ความเข้มข้นและความต่อเนื่องของหลักสูตรและความเชื่อมโยงกับ เส้นทางความก้าวหน้าในวิชาชีพ มีความครอบคลุมบุคลากรในทุกระดับหรือไม่ ความเชื่อมโยงกับระบบการพัฒนาบุคลากรภายในหน่วยงาน นโยบายการพัฒนาบุคลากรของหน่วยงาน การออกแบบหลักสูตร การฝึกอบรมในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนที่ 3 ผลสัมฤทธิ์ในกำรใช้หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ เป็นการประเมินกระบวนการติดตามประเมินผลการจัดกิจกรรม ฝึกอบรมตามหน่วยการเรียนที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร การติดตามประเมินผลการจัดฝึกอบรม
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 94 องค์ประกอบของเครื่องมือ ผู้ประเมิน ผู้ก ำกับดูแล หลักสูตร ผู้ผ่ำนกำร ฝึกอบรม ผู้เชี่ยวชำญ/ ผู้ประเมิน ส่วนที่ 4 ผลสัมฤทธิ์ของหลักสูตร เป็นการประเมินการบรรลุผลตามจุดมุ่งหมายของรายวิชาในด้านความรู้ พฤติกรรมที่พึง ประสงค์ การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบของประชาชน การน าไปใช้ในชีวิตประจ าวัน และน าไปปฏิบัติในหน้าที่ความรับผิดชอบ ระดับความรู้* ระดับพฤติกรรมที่พึงประสงค์ การมีวัฒนธรรมค่านิยมสุจริต มีทัศนคติและพฤติกรรมในการต่อต้านการทุจริตและประพฤติ มิชอบของประชาชน* ความพึงพอใจต่อหลักสูตร สะท้อนผลต่อหลักสูตร หมำยเหตุ ผู้ให้ข้อมูลหลัก *ตามหน่วยการเรียนรู้ของการฝึกอบรมแต่ละหลักสูตร 1.2 สร้างเครื่องมือประเมินหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และผู้ให้ข้อมูลในแต่ละกลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหาร ครู/ อาจารย์ผู้สอน นักเรียน/นักศึกษา ผู้ก ากับดูแลหลักสูตรและผู้ผ่านการฝึกอบรม ภายใต้กรอบการวิจัยประเมินผล (CIPO) 4ด้าน ได้แก่ 1) การประเมินบริบทสภาพแวดล้อม 2) การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 3) ผลสัมฤทธิ์ ในการใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา และ 4) การประเมินผลสัมฤทธิ์หลักสูตร ดังรายละเอียดในตารางที่ 3.10 และ ตารางที่ 3.11
รายงานการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์การน าหลักสูตรต้านทุจริตศึกษาไปใช้ 9 ตำรำงที่ 3.12 เครื่องมือประเมินตามประเภทของหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา หลักสูตรต้ำนทุจริตศึกษำ แบบประเมินกำรน ำหลักสูตรไปใช้ (ส ำหรับ) ผู้บริหำร สถำนศึกษำ /ผู้ก ำกับดูแล หลักสูตร (ส ำหรับ) ครู/อำจำรย์ ผู้รับผิดชอบ หลักสูตร (ส ำหรับ) ผู้ปกครอง การศึกษาขั้นพื้นฐาน-ปฐมวัย A1 (ใช้ B1/64) B1 (ใช้ C1/64) C1 (ใข้ A3/63) การศึกษาขั้นพื้นฐาน-ประถมต้น การศึกษาขั้นพื้นฐาน-ประถมปลาย การศึกษาขั้นพื้นฐาน-มัธยมต้น การศึกษาขั้นพื้นฐาน-มัธยมปลาย หลักสูตรอุดมศึกษา A6 (ใช้ B2/64) B6 (ใช้ C2/64) C6 (ใช้ B3/63) กลุ่มทหารและต ารวจ A7 (ใช้ B3/64) วิทยากร ป.ป.ช./บุคลากรภาครัฐและ รัฐวิสาหกิจ A8 (ใช้ B4/64) โค้ช A9 (ใช้ B5/64)
ช้ ประจ าปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 5 แบบประเมินวัฒนธรรม ค่ำนิยมสุจริต มีทัศนคติและ พฤติกรรมที่ต่อต้ำนกำร ทุจริตและประพฤติมิชอบ แบบประเมินพฤติกรรมของเด็กและเยำวชนที่ยึดมั่นควำมซื่อสัตย์สุจริต (ส ำหรับ) ผู้ผ่ำนกำรฝึกอบรม (ส ำหรับ) เด็กและเยำวชน ประเมินตนเอง (ส ำหรับ) ครูผู้สอน ประเมิน (ส ำหรับ) เพื่อนประเมิน (ส ำหรับ) ผู้ปกครอง ประเมิน E1 (ก1/63) F1 (ก2/63) G1 (ก3/63) H1 (ก4/63) E2 (ข1/63) F2 (ข2/63) G2 (ข3/63) H2 (ข4/63) E3 (ค1/63) F3 (ค2/63) G3 (ค3/63) H3 (ค4/63) E4 (D1.d 2565-1) F4 (ง2/63) G4 (ง3/63) H4 (ง4/63) E5 (D1.e 2565-1) F5 (จ2/63) G5 (จ3/63) H5 (จ4/63) E6 (D2 2565-1) F6 (ฉ2/63) G6 (ฉ3/63) H6 (ฉ4/63) D7 (D3 2565-1) D8 (D4 2565-1) D9 (D5 2565-1)