The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ครูภรณภา ตะกรุษ, 2022-10-25 10:18:16

แผนการจัดการเรียนรู้ การปลูกพืชผักทั่วไป ม.๑

แผนการจัดการเรียนรู้

แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล

ชือ่ ...........................................................................................ชนั้ ..............................

คำชีแ้ จง : ให้ ผ้สู อน สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓

ลงในช่องว่างที่ตรงกับระดบั คะแนน

ลำดับที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
321

1 การแสดงความคิดเหน็

2 การยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื

3 การทำงานตามหน้าที่ทไี่ ด้รับมอบหมาย

4 ความมีนำ้ ใจ

5 การตรงต่อเวลา

รวม

ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../................

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้ัง ให้ 1 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง

เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11
ตำ่ กวา่ 8 พอใช้
ปรบั ปรุง


แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
คำชีแ้ จง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ ลง

ในชอ่ งว่างทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน

คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
อนั พงึ ประสงค์ดา้ น 321

1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยืนตรงเมอื่ ไดย้ ินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และบอก
กษตั รยิ ์ ความหมายของ

เพลงชาติ

1.2 ปฏิบตั ิตนตามสทิ ธแิ ละหน้าที่ของนักเรียน ใหค้ วามร่วมมือ ร่วม
ใจ ในการทำงานกับสมาชิกในห้องเรียน

1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทีส่ ร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็น
ประโยชนต์ อ่

โรงเรียนและชมุ ชน

1.4 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนบั ถือ ปฏิบัตติ นตามหลักของ
ศาสนา

และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน

1.5 เข้ารว่ มกิจกรรมและมสี ว่ นรว่ มในการจดั กิจกรรมที่เกีย่ วกับ
สถาบนั
พระมหากษัตริยต์ ามทีโ่ รงเรียนและชมุ ชนจดั ขนึ้ ชื่นชมในพระราช
กรณียกิจพระปรีชาสามารถของพระมหากษตั ริยแ์ ละพระราชวงศ์

2. ซอ่ื สัตย์ สุจรติ 2.1 ให้ขอ้ มูลทถ่ี กู ต้อง และเป็นจริง

2.2 ปฏิบตั ิในสิ่งทีถ่ ูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวทีจ่ ะทำความผิด ทำ

ตามสญั ญาที่ตนให้ไว้กบั พอ่ แม่หรือผู้ปกครอง และครู

2.3 ปฏิบัติตนต่อผอู้ น่ื ด้วยความซือ่ ตรง และเป็นแบบอยา่ งทีด่ ีแก่

เพ่อื นด้าน ความซือ่ สตั ย์

3. มีวินยั 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบงั คบั ของครอบครัว
รับผดิ ชอบ และ
โรงเรียน มีความตรงตอ่ เวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ งๆ ใน
ชีวิตประจำวัน
มีความรบั ผิดชอบ


4. ใฝเ่ รยี นรู้ 4.1 ต้ังใจเรียน
4.2 เอาใจใส่ในการเรียน และมคี วามเพียรพยายามในการเรียน
4.3 เข้าร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้ตา่ งๆ
4.4 ศึกษาค้นคว้า หาความรู้จากหนังสอื เอกสาร สง่ิ พิมพ์ สื่อ
เทคโนโลยีตา่ งๆแหล่งการเรียนรู้ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียน และ
เลือกใช้สื่อได้อยา่ งเหมาะสม
4.5 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบบางส่งิ ทีเ่ รียนรู้ สรุปเป็นองค์
ความรู้
4.6 แลกเปล่ยี นความรู้ ดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ และนำไปใช้ใน
ชีวิตประจำวนั


แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (ต่อ)
คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ ลง

ในชอ่ งว่าง ที่ตรงกับระดบั คะแนน

คุณลักษณะ รายการประเมิน ระดับคะแนน
อันพงึ ประสงค์ดา้ น 321

5. อยอู่ ยา่ ง 5.1 ใช้ทรพั ยส์ นิ และสิ่งของของโรงเรียนอยา่ ง
พอเพียง ประหยัด

5.2 ใช้อุปกรณ์การเรียนอยา่ งประหยดั และรคู้ ณุ คา่

6. มงุ่ ม่ันในการ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเก็บออมเงิน
ทำงาน
6.1 มีความตั้งใจและพยายามในการทำงานทีไ่ ดร้ มั
7. รักความเปน็ อบหมาย
ไทย 6.2 มีความอดทนและไมท่ อ้ แท้ตอ่ อุปสรรคเพ่อื ให้
งานสำเร็จ
7.1 มีจติ สำนึกในการอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและภมู ิ
ปัญญาไทย

7.2เห็นคณุ คา่ และปฏบิ ตั ิตนตามวฒั นธรรมไทย

8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักชว่ ยพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน

8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ชว่ ยทำ และแบง่ ปนั
ส่งิ ของใหผ้ ู้อืน่
8.3 รู้จกั การดแู ล รักษาทรพั ยส์ มบัติและ
สง่ิ แวดล้อมของหอ้ งเรียน โรงเรียน ชมุ ชน
8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพ่อื สงั คมและ
สาธารณประโยชนข์ องโรงเรียน

เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั ชิ ัดเจนและสมำ่ เสมอ ............../.................../...............
พฤติกรรมทปี่ ฏิบัตชิ ัดเจนและบ่อยคร้ัง
พฤติกรรมทปี่ ฏิบัตบิ างคร้ัง ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน


วธิ กี ารปลูกมะเขอื เปราะ

มะเขือเปราะ - เปน็ พืชผักที่มอี ายุยืน สามารถปลกู ไดใ้ นดนิ แทบทกุ ชนิด สามารถปลูกได้ตลอดท้ังปี
การเพาะกล้ามะเขอื เปราะ

1.ให้เตรียมดินละเอียดพร้อมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2:1 และใส่ดินผสมดังกล่าวลงในถาด
พลาสติกเพาะกลา้

2.ใช้เศษไม้เล็กๆ (ขนาดเท่าไม้จิ้มผลไม้) กดลงไปในดินที่บรรจุอยู่ในถาดพลาสติกเพาะกล้า ขนาด
ความลกึ 0.5 ซม.

3.นำเมล็ดมะเขือเปราะหยอดลงในหลมุ ปลูก หลมุ ละ 1-2 เมล็ด
4.กลบดินผิวหน้าเมลด็ ไปจากถาดพลาสติกเพาะกลา้ โดยใช้ปนู ขาวโรยเป็นเส้นลอ้ มถาดเพาะไว้
5.หลงั เพาะนาน 7-10 วนั มะเขือเปราะเร่ิมงอก หมัน่ รดน้ำตน้ กลา้ มะเขือเปราะทกุ วันๆ ละ 1-2 คร้ัง
ในช่วงเข้าและเย็นจนกระทั่งต้นกล้ามะเขือเปราะมีอายุ 25-30 วัน จึงย้ายกลา้ มะเขือเปราะลงปลูกในกระถาง
หรอื ในแปลงปลกู
การเตรยี มในแปลงหรอื ในกระถาง
1.ถ้า ปลูกในแปลงควรเตรียมดินปลูก โดยใช้จอบขุดย่อยดินหน้าดินลึก 15-20 ซม. และย่อยดินให้
ละเอียด ใสป่ ุ๋ยคอกหรือใสป่ ุย๋ หมกั หว่านและคลกุ เคล้าใหเ้ ข้ากับดินในแปลง
2.ในกรณีปลูกในกระถาง ให้ผสมดินปลูกในกระถาง โดยใช้ดินร่วนละเอียดผสมกับปุ๋ยคอก หรือปุ๋ย
หมัก ในอตั รา 2:1
การดูแลรักษา
1.ย้ายกล้ามะเขือเปราะลงปลูกในแปลง หรอื ในกระถาง
2.รดน้ำทกุ วัน และในช่วงการตดิ ผลต้องระมัดระวงั ในนำ้ อย่างสมำ่ เสมอ
3.หลัง ย้ายปลูกแลว้ 7-10 วัน ให้ใส่ปุย๋ เคมี สูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 1/4 ช้อนชา ควรโรยป๋ยุ ห่าง
โคนตน้ ประมาณ 2-3 เซนติเมตรและรดน้ำทนั ที
4.ควรใสป่ ยุ๋ เคมีสูตร 15-15-15 อัตราต้นละ 1/4 ช้อนชาทกุ ๆ 15 วัน
5.หลงั ยา้ ยปลูกนาน 45-60 วัน มะเขือเปราะเริม่ ทยอยผลผลติ สามารถเกบ็ ผลผลติ ไปบริโภคได้
6.หลัง จากที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตมะเขือเปราะไปแล้วประมาณ 2 เดือน ควรตัดแต่งกิ่งออกบ้าง
เพื่อทำใหล้ ำต้นมะเขือเปราะเจริญเติบโตแตกกิ่งก้านใหม่ทีม่ คี วามแขง็ แรง จะให้ผลผลิตรุ่นใหมไ่ ด้อีก และควร
ทำการตดั แต่งและบำรงุ ตน้ มะเขอื เปราะด้วยฮอรโ์ มนชอ้ นเงนิ เชน่ นี้ทุกๆ 2-3 เดือน


7. บันทึกผลหลังแผนการจัดการเรยี นรู้

1. ผลการเรียนรู้

1.1 ดา้ นความรู้ (K)

ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละระดบั ผลสัมฤทธิท์ างการเรียน เรื่อง การทดสอบเปอร์เซน็ ตก์ าร

งอกของเมลด็ พนั ธ์ุ

ระดับผลสัมฤทธิ์ จำนวนนกั เรยี น รอ้ ยละ

ดมี าก (80-100 คะแนน)

ดี (70-79 คะแนน)

พอใช้ (60-69 คะแนน)

ปรับปรุง (50-59 คะแนน)

จากตารางที่ 1 พบว่านักเรียนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ร้อยละ................อยใู่ นระดับ
..........และรองลงมาร้อยละ.................อยู่ในระดับ...............และพบวา่ นักเรียน
...............................................................................................................................................

1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P )

ตารางที่ 2 แสดงคา่ ร้อยละระดับผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน เรือ่ ง การทดสอบเปอรเ์ ซ็นต์การงอก

ของเมล็ดพนั ธ์ุ

ระดับผลสัมฤทธิ์ จำนวนนักเรยี น ร้อยละ

ดมี าก (80-100 คะแนน)

ดี (70-79 คะแนน)

พอใช้ (60-69 คะแนน)

ปรับปรุง (50-59 คะแนน)

จากตารางที่ 2 พบวา่ นักเรียนผลสัมฤทธิท์ างการเรียน ร้อยละ................อยู่ในระดับ
..........และรองลงมาร้อยละ.................อยู่ในระดับ................และพบว่านักเรียน
...............................................................................................................................................


1.3 ด้านเจตคติ / คุณลกั ษณะฯ (A)/ สมรรถนะ (C) เชื่อมโยงกับมาตรฐานหลักสตู ร

ตารางที่ 3 แสดงคา่ ร้อยละคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ เรือ่ ง การทดสอบเปอรเ์ ซน็ ต์การงอก

ของเมล็ดพนั ธ์ุ

ระดบั ผลสมั ฤทธิ์ จำนวนนกั เรยี น รอ้ ยละ

ดมี าก (80-100 คะแนน)

ดี (70-79 คะแนน)

พอใช้ (60-69 คะแนน)

ปรบั ปรงุ (50-59 คะแนน)

จากตารางที่ 3 พบว่านกั เรียนคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ร้อยละ..............อยูใ่ นระดับ............
และ รองลงมาร้อยละ.................อยใู่ นระดับ...............และพบว่านักเรียน..................................
...........................................................................................................................................................

สรปุ ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 2 เร่อื ง การทดสอบเปอร์เซ็นต์การงอกของเมล็ดพันธ์ุ
13) นกั เรียนมีผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนอยใู่ นระดบั ...................
14) นักเรียนมีทกั ษะในระดับ..................
15) นกั เรียนมีคณุ ลกั ษณะในระดบั ...............

2.บรรยากาศการเรยี นรู้
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

3. การปรับเปลีย่ นแผนการจดั การเรียนรู้ (ถ้ามี)
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

4. ขอ้ ค้นพบด้านพฤตกิ รรมการจัดการเรยี นรู้
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

5. อืน่ ๆ
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................


7. บันทึกผลหลังแผนการจัดการเรยี นรู้

1. ผลการเรียนรู้

1.1 ดา้ นความรู้ (K)

ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละระดบั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรือ่ ง การเพาะเมล็ด

ระดับผลสัมฤทธิ์ จำนวนนกั เรยี น ร้อยละ

ดมี าก (80-100 คะแนน)

ดี (70-79 คะแนน)

พอใช้ (60-69 คะแนน)

ปรบั ปรุง (50-59 คะแนน)

จากตารางที่ 1 พบวา่ นักเรียนผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน ร้อยละ................อย่ใู นระดับ
..........และรองลงมาร้อยละ.................อยู่ในระดับ...............และพบวา่ นักเรียน
...............................................................................................................................................

1.2 ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ (P )

ตารางที่ 2 แสดงค่าร้อยละระดับผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน เรือ่ ง การเพาะเมลด็

ระดบั ผลสัมฤทธิ์ จำนวนนักเรยี น รอ้ ยละ

ดมี าก (80-100 คะแนน)

ดี (70-79 คะแนน)

พอใช้ (60-69 คะแนน)

ปรับปรงุ (50-59 คะแนน)

จากตารางที่ 2 พบวา่ นกั เรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ร้อยละ................อยู่ในระดับ
..........และรองลงมาร้อยละ.................อยู่ในระดับ................และพบว่านักเรียน
...............................................................................................................................................


1.3 ด้านเจตคติ / คุณลักษณะฯ (A)/ สมรรถนะ (C) เชื่อมโยงกับมาตรฐานหลักสตู ร

ตารางที่ 3 แสดงคา่ ร้อยละคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ เรือ่ ง การเพาะเมล็ด

ระดับผลสัมฤทธิ์ จำนวนนักเรยี น รอ้ ยละ

ดมี าก (80-100 คะแนน)

ดี (70-79 คะแนน)

พอใช้ (60-69 คะแนน)

ปรับปรุง (50-59 คะแนน)

จากตารางที่ 3 พบวา่ นกั เรียนคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ร้อยละ..............อยูใ่ นระดับ............
และ รองลงมาร้อยละ.................อยใู่ นระดบั ...............และพบว่านักเรียน..................................
...........................................................................................................................................................

สรุป ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 3 เรอ่ื ง การเพาะเมล็ด
10) นักเรียนมีผลสัมฤทธิท์ างการเรียนอยู่ในระดับ...................
11) นักเรียนมีทักษะในระดับ..................
12) นักเรียนมีคณุ ลกั ษณะในระดับ...............

2.บรรยากาศการเรยี นรู้
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

3. การปรับเปลีย่ นแผนการจดั การเรียนรู้ (ถ้ามี)
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

4. ขอ้ ค้นพบด้านพฤตกิ รรมการจัดการเรยี นรู้
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................

5. อืน่ ๆ
...........................................................................................................................................................
...........................................................................................................................................................


ผังมโนทัศน์หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 7
เรื่อง การปฏิบตั บิ ำรุงรกั ษารายวิชา การปลูกพชื ผักท่ัวไป
ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564 เวลา 8 ชว่ั โมง จำนวน 2.0 หน่วยกิต

เรือ่ ง การปอ้ งกันและกาจัดศตั รพู ืช
เวลา 4 ช่วั โมง

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 7
เรื่อง การปฏิบัตบิ ารุงรกั ษา

เรือ่ ง การปฏิบตั ิบารุงรกั ษา เรื่อง การปอ้ งกนั และกาจดั ศัตรพู ืช 2
เวลา 2 ชั่วโมง เวลา 2 ช่วั โมง


หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 เรือ่ ง การปฏิบัตบิ ำรงุ รกั ษา จำนวน 8 ชวั่ โมง

กลุ่มสาระการเรียนรู้ การงานอาชีพ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564

รายวชิ า การปลกู พืชผกั ทั่วไป รหสั วิชา ง 21242 ครูผู้สอน นางสาวภรณภา ตะกรษุ

_________________________________________________________

สาระสำคญั / ความคดิ รวบยอด (Learning Concepts)

การดูแลรักษาพืชผกั และปฏิบัติการดแู ลพืชผกั

- การดูแลในเรื่องของ การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย การทำค้าง การตัดแต่งการพลางแสง การพรวน

ดนิ

ผลการเรียนรู้

6. ปฏิบัติการปลูกผกั และขยายพนั ธ์ุผกั ทว่ั ไปไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน ( Competency ) คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ( Desired Characteristics )

1. ความสามารถในการสอ่ื สาร มีวินัย
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

ทกั ษะ / กระบวนการ ( Skill during the process )

ทกั ษะเฉพาะวิชา ทกั ษะการคิด
- การสนทนาแลกเปล่ียนข้อมลู - ระดมสมอง
- การเขยี นรายการ - การค้นคว้าขอ้ มูล
- ระบรุ ายละเอียด - การนำเสนอขอ้ มลู

ความเขา้ ใจท่ยี ่งั ยืน
นักเรียนเข้าใจว่า การดแู ลรกั ษาพืชผักและปฏิบัติการดูแลพืชผัก

- การดแู ลในเรือ่ งของ การใหน้ ้ำ การใสป่ ุ๋ย การทำค้าง การตดั แตง่ การพลางแสง การพรวนดิน


ความสัมพนั ธก์ ับกลุ่มสาระการเรยี นรอู้ ่นื
ภาษาไทย : การอา่ นและเขียนคำศพั ท์ การพูดแสดงความคิดเหน็ การพดู รายงานหน้าช้ันเรียน
ศิลปะ : การวาดภาพและระบายสี
ภาษาต่างประเทศ : ภาษาอังกฤษ การศึกษาและรวบรวมคำศัพท์ ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับ

พืชผัก


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1

เรือ่ ง การปอ้ งกันและกำจัดศัตรูพชื เวลา 4 ชัว่ โมง

ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 1

__________________________________________________________________________

1. เปา้ หมายการเรยี นรู้ / หลักฐานการเรียนรู้ / การวดั และการประเมินผล

ผลการเรียนรู้ สง่ิ ทีต่ ้องรู้และปฏิบตั ิได้ ผลงาน / ชิ้นงาน การวดั ผลและการ

ประเมนิ ผล

7. ปฏิบัติดูแลรักษา อธิบายจำแนกประเภท 1. สำรวจศัตรูพืชใน - ทำแบบทดสอบกอ่ น

ป้องกันโรคและแมลง ข อ ง ศ ั ต ร ู พ ื ช โรงเรียน เรียน (Pre-test)

ได้พืชผักที่ได้อย่าง 2. สรปุ เกย่ี วกบั ศตั รพู ืช - สังเกตพฤติกรรม
ปลอดภยั การทำงานรายบุคคล
กลุ่มละ 1 ประเภท - ประเมิน

รายงานหน้าชั้นเรียน คุณลักษณะอันพึง

ประสงค์

ทำแบบทดสอบหลัง

เรียน (Prost-test)

-ใบงาน

2. สาระการเรยี นรู้ (Learning Contents)
1. ความรู้ (Knowledge)
๑. อธบิ ายจำแนกประเภทของศตั รูพืช
2. ทักษะ/กระบวนการ (Skill during the process)
1. ทำกิจกรรมตามที่ไดร้ ับมอบหมายได้ถูกต้อง
2. บันทึกสรุปความรู้จากเรอ่ื งที่เรียนได้ถูกต้อง
3. สมรรถนะ (Competency)
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด


3. หลกั ฐานการเรียนร้ชู น้ิ งานหรอื ภาระงาน (Work)

1. สำรวจศตั รพู ืชในโรงเรียน

2. สรุปเกี่ยวกับศัตรูพืช กลมุ่ ละ 1 ประเภทรายงานหน้าชั้นเรียน”

4. การวดั และการประเมินผล ( Evaluation )

ส่งิ ทีว่ ัดผล วิธีวดั ผล เครือ่ งมอื วดั ผล เกณฑ์การประเมนิ

ดา้ นความรู้ (K) ทำแบบทดสอบ แบบทดสอบ ร้อยละ 70 ผ่าน

เกณฑ์

ดา้ นทักษะ/กระบวนการ(P) สงั เกตการ แบบประเมนิ ระดับคุณภาพ 2

ปฏิบตั ิงาน ผา่ นเกณฑ์

เจตคติ/คุณลักษณะ (A) สังเกตการ แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2

ปฏิบัติงาน ผ่านเกณฑ์

สมรถนะของผู้เรียน (C) สงั เกตการ ผลงาน ระดับคณุ ภาพ 2

ปฏิบตั ิงาน ผ่านเกณฑ์

5. กระบวนการการจัดกิจกรรม / รูปแบบการจัดกิจกรรม ( Learning Process )

ใช้กระบวนการความรู้ความเข้าใจ เป็นกระบวนการที่ใช้ในการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย สิ่งที่
ต้องการพัฒนาคือเนื้อหาสาระ ดงั นี้ สงั เกตและตระหนัก วางแผนกำหนดแนวทาง แบ่งความรับผิดชอบ
ไปแสวงหาความรู้ พฒั นาความรู้ความเข้าใจ สรปุ สาระสำคญั
6. กจิ กรรมการเรยี นการสอน

1. ข้นั นำเขา้ สูบ่ ทเรียน ( 20 นาที )
1. ครนู ำภาพศตั รพู ืชมาใหน้ กั เรียนดูและให้นักเรียนบอกชื่อศตั รูพชื ทีเ่ หน็ ในภาพและมคี วาม

เกี่ยวข้องกบั พืชอย่างไร

2. ข้นั สอน ( 200 นาที )

1. แบ่งนกั เรยี นออกเป็น 4 กลมุ่ ใหน้ กั เรียนแต่ละกลมุ่ ศกึ ษาเกยี่ วกบั ศัตรพู ชื กลมุ่ ละ 1 ประเภท
ได้แก่

1) วชั พืช
2) แมลงศัตรูพชื


3) โรคพชื
4) สัตว์ศตั รพู ชื
ใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ อภปิ ราย สรปุ แลว้ สง่ ตวั แทนออกมารายงานหนา้ ชนั้ เรยี น
2. ใหน้ ักเรยี นแตล่ ะคนเล่าประสบการณ์ทพี่ บเหน็ การปอ้ งกันศตั รูพชื แล้วชว่ ยกันอภปิ ราย
4. ใหน้ ักเรียนสำรวจศตั รูพืชทพ่ี บเห็นในโรงเรยี นแลว้ บันทึกขอ้ มูลลงในสมุด

3. ขั้นสรุป ( 20 นาที )
๑. นกั เรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด สุ่มนกั เรียนออกมาบอกศตั รูพืชที่นักเรียนพบใน
โรงเรียน และร่วมกันสรปุ เน้ือหาที่ไดเ้ รียนมา

4. สื่อการสอน / แหลง่ เรียนรู้

สื่อการเรียนรู้
1. ใบความรู้

แหลง่ เรียนรู้
1. หอ้ งสมุด
2. ข้อมลู สารสนเทศ
3. สวนเกษตร


แบบประเมินการนำเสนอผลงาน

คำชีแ้ จง : ให้ ผู้สอน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓

ลงในช่องว่างที่ตรงกับระดับคะแนน

ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน
321

1 นำเสนอเน้ือหาในผลงานได้ถกู ต้อง

2 การลำดบั ขน้ั ตอนของเนื้อเร่อื ง

3 การนำเสนอมีความนา่ สนใจ

4 การมีสว่ นรว่ มของสมาชิกในกลุ่ม

5 การตรงตอ่ เวลา

รวม

ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../................

เกณฑก์ ารให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ สมบรู ณช์ ัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมนิ เป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางสว่ น ให้ 1 คะแนน

เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

12 - 15 ดี

8 - 11 พอใช้

ตำ่ กว่า 8 ปรับปรงุ


แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล

ชือ่ ...........................................................................................ชนั้ ..............................

คำชีแ้ จง : ให้ ผ้สู อน สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓

ลงในช่องว่างที่ตรงกับระดบั คะแนน

ลำดับที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
321

1 การแสดงความคิดเหน็

2 การยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื

3 การทำงานตามหน้าที่ทไี่ ด้รับมอบหมาย

4 ความมีนำ้ ใจ

5 การตรงต่อเวลา

รวม

ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../................

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้ัง ให้ 1 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง

เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11
ตำ่ กวา่ 8 พอใช้
ปรบั ปรุง


แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
คำชีแ้ จง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ ลง

ในชอ่ งว่างทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน

คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
อนั พงึ ประสงค์ดา้ น 321

1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยืนตรงเมอื่ ไดย้ ินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และบอก
กษตั รยิ ์ ความหมายของ

เพลงชาติ

1.2 ปฏิบตั ิตนตามสทิ ธแิ ละหน้าที่ของนักเรียน ใหค้ วามร่วมมือ ร่วม
ใจ ในการทำงานกับสมาชิกในห้องเรียน

1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทีส่ ร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็น
ประโยชนต์ อ่

โรงเรียนและชมุ ชน

1.4 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนบั ถือ ปฏิบัตติ นตามหลักของ
ศาสนา

และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน

1.5 เข้ารว่ มกิจกรรมและมสี ว่ นรว่ มในการจดั กิจกรรมที่เกีย่ วกับ
สถาบนั
พระมหากษัตริยต์ ามทีโ่ รงเรียนและชมุ ชนจดั ขนึ้ ชื่นชมในพระราช
กรณียกิจพระปรีชาสามารถของพระมหากษตั ริยแ์ ละพระราชวงศ์

2. ซอ่ื สัตย์ สุจรติ 2.1 ให้ขอ้ มูลทถ่ี กู ต้อง และเป็นจริง

2.2 ปฏิบตั ิในสิ่งทีถ่ ูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวทีจ่ ะทำความผิด ทำ

ตามสญั ญาที่ตนให้ไว้กบั พอ่ แม่หรือผู้ปกครอง และครู

2.3 ปฏิบัติตนต่อผอู้ น่ื ด้วยความซือ่ ตรง และเป็นแบบอยา่ งทีด่ ีแก่

เพ่อื นด้าน ความซือ่ สตั ย์

3. มีวินยั 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบงั คบั ของครอบครัว
รับผดิ ชอบ และ
โรงเรียน มีความตรงตอ่ เวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ งๆ ใน
ชีวิตประจำวัน
มีความรบั ผิดชอบ


4. ใฝเ่ รยี นรู้ 4.1 ต้ังใจเรียน
4.2 เอาใจใส่ในการเรียน และมคี วามเพียรพยายามในการเรียน
4.3 เข้าร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้ตา่ งๆ
4.4 ศึกษาค้นคว้า หาความรู้จากหนังสอื เอกสาร สง่ิ พิมพ์ สื่อ
เทคโนโลยีตา่ งๆแหล่งการเรียนรู้ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียน และ
เลือกใช้สื่อได้อยา่ งเหมาะสม
4.5 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบบางส่งิ ทีเ่ รียนรู้ สรุปเป็นองค์
ความรู้
4.6 แลกเปล่ยี นความรู้ ดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ และนำไปใช้ใน
ชีวิตประจำวนั


แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (ต่อ)
คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ ลง

ในชอ่ งว่าง ที่ตรงกับระดบั คะแนน

คุณลักษณะ รายการประเมิน ระดับคะแนน
อันพงึ ประสงค์ดา้ น 321

5. อยอู่ ยา่ ง 5.1 ใช้ทรพั ยส์ นิ และสิ่งของของโรงเรียนอยา่ ง
พอเพียง ประหยัด

5.2 ใช้อุปกรณ์การเรียนอยา่ งประหยดั และรคู้ ณุ คา่

6. มงุ่ ม่ันในการ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเก็บออมเงิน
ทำงาน
6.1 มีความตั้งใจและพยายามในการทำงานทีไ่ ดร้ มั
7. รักความเปน็ อบหมาย
ไทย 6.2 มีความอดทนและไมท่ อ้ แท้ตอ่ อุปสรรคเพ่อื ให้
งานสำเร็จ
7.1 มีจติ สำนึกในการอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและภมู ิ
ปัญญาไทย

7.2เห็นคณุ คา่ และปฏบิ ตั ิตนตามวฒั นธรรมไทย

8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักชว่ ยพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน

8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ชว่ ยทำ และแบง่ ปนั
ส่งิ ของใหผ้ ู้อืน่
8.3 รู้จกั การดแู ล รักษาทรพั ยส์ มบัติและ
สง่ิ แวดล้อมของหอ้ งเรียน โรงเรียน ชมุ ชน
8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพ่อื สงั คมและ
สาธารณประโยชนข์ องโรงเรียน

เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั ชิ ัดเจนและสมำ่ เสมอ ............../.................../...............
พฤติกรรมทปี่ ฏิบัตชิ ัดเจนและบ่อยคร้ัง
พฤติกรรมทปี่ ฏิบัตบิ างคร้ัง ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน


ใบความรู้
ศตั รพู ืชและการจัดการ
ความหมายและปัญหาจากศัตรูพชื

ศัตรพู ืช (pests) หมายถึง สตั ว์ พืช เช้ือโรค หรือ สง่ิ มีชีวิตอน่ื ใด ทีท่ ำให้เกิดความเสียหาย แก่
ระบบการผลิตทางการเกษตรและป่าไม้ ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น แต่เดิมถือว่าเป็นผลการ
กระทำของประชากรศัตรูพืชที่มากจำนวนหนึ่ง แต่ในยุคปัจจุบันที่มีการกีดกันทางการค้าในเขตการค้า
เสรี การพบเพียงเล็กน้อยบนสินค้าอาหารและเกษตรก็นับเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจได้ ความ
เสียหายจากศัตรูพืช จึงมีทั้งที่เป็นทางตรงและทางอ้อม ทางตรงได้แก่ ทำให้ปริมาณและคุณภาพ
ผลผลิตลดลง ทางอ้อมได้แก่ ทำให้เกษตรกรสูญเสียค่าใช้จ่ายเพื่อการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและเสีย
สุขภาพ ประเทศชาติเสียเงินตราเพื่อการนำเข้าสารฆ่าศัตรูพืชและสัตว์ (pesticides) อาจกล่าวได้ว่า
ศตั รพู ืชสร้างความเสียหายโดย 1) การเขา้ ทำลายโดยตรง เชน่ การที่แมลงและสตั ว์ศัตรูพืชกัดกินหรือ
เจาะดูด โรคพืชเข้าทำลายส่วนต่างๆ ของพืชจนเน่าเสีย หรือการถูกวัชพืชครอบงำจนทำให้พืชปลูก
แคระแกรน ความเสียหายมีตั้งแต่ผลผลิตยังเก็บเกี่ยวได้บ้าง จนถึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เลย
หรือการทิ้งร่องรอยความเสียหายไว้ ทำให้คุณภาพผลผลิตลดลงจนถึงไม่เป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งใน
และต่างประเทศโดยสิ้นเชิง 2) การมีศัตรูพืชปะปนหรือติดไปกับผลผลิต ในกรณีส่งจำหน่าย
ต่างประเทศ การมีเมล็ดวัชพืชปะปนไปกับเมล็ดพันธุ์หรือแม้บนผลไม้ เช่น การมีเพลี้ยไฟติดไปกับ
กล้วยไม้ การมีไข่แมลงวันผลไม้ติดไปกับผลมะม่วง เมื่อเจ้าหน้าที่ของประเทศผู้นำเข้าสุ่มตรวจและพบ
ในจำนวนทีส่ ูงเกินกำหนด ก็จะไมอ่ นุญาตให้นำสนิ ค้าเข้า หรืออาจยึดเผาทำลายโดยทนั ที

ศัตรพู ืชได้สร้างปัญหาทีก่ ล่าวมาใหก้ บั เกษตรกรทว่ั ไปรวมทั้งชาวสวนใน 3 ระยะทีส่ ำคญั ได้แก่
1) ระยะการผลิตพืช ซึ่งนับตั้งแต่เริ่มปลูกไปจนถึงเก็บเกี่ยว ถือเป็นระยะที่ศัตรูพืชสร้างความเสียหาย
ให้กับผู้ผลิตมากที่สุด ศาสตร์ในด้านการอารักขาพืชส่วนใหญ่จึงมีสาระเกี่ยวข้องกับในระยะนี้ ขณะที่
การปฏิบัติตามเกษตรดีที่เหมาะสม (good agricultural practice, GAP) ได้เป็นข้อบังคับเริ่มจากพืช
ส่งออกของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมสุขภาพทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค และป้องกันการกีดกันทางการค้า
ด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (sanitary and phytosanitary) 2) ระยะหลังการเก็บเกี่ยว (post-
harvesting) เริ่มนับต้ังแต่หลังการเกบ็ เกีย่ วผลผลติ ไปจนถึงมือผบู้ ริโภค ซึ่งความเสียหายจะเกิดระหว่าง
กระบวนการจัดการหลังการเก็บเกี่ยวและการขนส่ง นอกจากนั้นยังรวมทั้งขณะพักรักษาไว้ในโรงเก็บ
ของบางพืช ระยะนี้มีความสำคัญเป็นอันดับสองในแง่ของความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ในฐานะที่เป็น
ประเทศที่เป็นผู้ส่งออกท้ังหลาย จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับระยะนี้เป็นอย่างมาก และ 3) ระยะการ
ขยายพันธุ์ (propagation) การขยายพันธุ์พืชโดยเฉพาะในพืชสวนมีหลายวิธี พืชสวนที่มีมูลค่าสูงหลาย
ชนิด เช่น กล้วยไม้ ได้นำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (in vitro culture) เข้ามาใช้อย่างกว้างขวาง พิศิษฐ์
(2533) กลา่ วว่า วิธีการนี้อาจชว่ ยเพ่มิ ปริมาณต้นได้เร็วขึน้ แต่ในขณะเดียวกันหากปฏิบัติไม่เหมาะสม
กจ็ ะเป็นการทำให้โรคที่มีอยใู่ นต้นเดิมแพรก่ ระจายออกไปยงั ต้นทีไ่ ด้ใหมซ่ ึ่งมจี ำนวนมากน้ันด้วย


กลุม่ ของศัตรพู ืช
การเป็นศัตรูพืชของสิ่งมีชีวิตใดๆ มักเน้นที่ผลประโยชน์ของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เช่น ปลวกที่

กดั กินไม้ผใุ นป่าไมน่ บั เปน็ ศัตรพู ืช แต่ถ้ากิจกรรมคลา้ ยกนั นเี้ กิดกับต้นไม้ในสวนหรืออาคารบ้านเรือนจึง
จะจดั เปน็ ศตั รูพืช ดังน้ันศตั รูพืชหากจัดตามลักษณะทั่วไป และวิธกี ารสร้างความเสียหายให้กับพืชปลูก
อาจแบง่ ออกไดเ้ ป็น 4 กลุ่มทีส่ ำคัญ ดงั นี้

1. โรคพืช (plant diseases)
2. วชั พืช (weeds)
3. แมลงศตั รพู ืช (insect pests)
4. สัตวศ์ ตั รูพืช (animal pests)


โรคพืช
โรคพืช หมายถึง การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ผิดไปจากพืชปกติ เกิดจากการถูกรบกวนอย่าง
ต่อเนื่อง หากเกิดจากสิ่งมีชีวิตเรียกว่า โรคมีเชื้อ (parasitic diseases) สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ พืช และสัตว์ที่มี
ขนาดเล็กหลายชนิดเป็นเชื้อสาเหตุที่ทำให้พืชผิดปกติไป สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำที่เป็นเชื้อสาเหตุ สำคัญ เช่น รา
(fungi) แบคทีเรีย (bacteria) ไวรสั (virus) ไฟโตพลาสมา (phytoplasma) และไวรอยด์ (viroid) พืชที่ทำให้
เกิดโรค เช่น กาฝาก (parasitic plant) ฝอยทอง (dodder) สาหร่าย (parasitic algae) ส่วนสัตว์ที่มีขนาด
เล็กที่ทำใหเ้ กิดโรค เช่น โปรโตซัว (protozoa) และไส้เดอื นฝอย (nematode) โรคพืชที่เกิดจากสิง่ ไม่มีชีวิต
เรียกว่า โรคไม่มีเชื้อ (non-parasitic diseases) (ภาพที่ 6.1) มีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมของพืชหลาย
ประการด้วยกัน เช่น การขาดธาตุอาหาร การมีแร่ธาตุบางอย่างในดินมากเกินไป ความเป็นกรด-เบส
(pH) ของดินสูงหรือต่ำเกินไป ปญั หาฝนพิษหรือฝนกรด ความชนื้ ในอากาศต่ำ ความชืน้ ในดนิ สงู ในระยะ
ที่ยาวนานเกินไป อุณหภูมิสูงเกินไปหรือถูกแดดเผา หรือแม้การเปน็ พิษจากสารฆ่าวัชพืช เป็นต้น พืชที่
เป็นโรคจะมีอาการได้หลายอย่าง เช่น สีเปลี่ยนไป การเจริญเติบโตที่ผิดปกติ อาการเน่า และอาการ
เหีย่ ว เปน็ ต้น ซึ่งอาการผิดปกติเหลา่ นีท้ ำให้ผลผลติ ของพืชลดลง

ก. ข. ค.

ภาพที่ 6.1 โรคไม่มีเชื้อเน่อื งจาก (ก) ความชื้นในดินสงู ในระยะทยี่ าวนานเกนิ ไป (ข) อุณหภมู ิสูง

เกินไปหรือถูกแดดเผา ในล้นิ จี่ และ (ค) พิษจากสารกำจัดวัชพืชในลำไย


ก ขค

ภาพที่ 6.2วัชพืชสำคัญบางชนิดในประเทศไทย (ก) กลุ่มใบกว้าง : กระทกรก (ข) กลุ่มหญ้า : ตีนกา
(ค) กลุ่มกก : แห้วหมู

ทีม่ า : Radanachaless and Maxwell (1994)

สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ที่ส่วนใหญ่มีขนาดเล็กมาก และเป็นสาเหตุทำให้พืชเป็นโรคหรือเกิดความ
ผิดปกติไป เรียกวา่ เชื้อโรค (pathogens) ส่งิ มีชีวิตเหลา่ นที้ ำให้พชื เป็นโรคได้หลายวิธี อาทิเช่น

1) ทำลายเซลล์หรือทำให้เมแทบอลิซึมในพืชช้าลงโดยชีวพิษ (toxin) ที่เชื้อโรคปลดปล่อย
ออกมา เช่น โรค bacteria soft rot ในกล้วยไม้จากเชื้อสาเหตุ Erwinia carotovora 2) ปิดกั้นหรืออุดตัน
เส้นทางลำเลียงอาหาร น้ำ และสารอาหารในต้นพืช เช่น โรค moko ในกล้วยจากเชื้อสาเหตุ
Pseudomonas solanacearum 3) ดูดซึมเอาองค์ประกอบภายในเซลล์พืชไปใช้ประโยชน์ เช่น โรค
anthracnose ในมะม่วงจากเช้ือสาเหตุ Colletotrichum gloeosporioides 4) แบ่งขยายตวั จำนวนมากหรอื
แผ่ปกคลุมใบ ผล ลำต้น แล้วไปปิดกั้นการรับแสงของใบ รวมทั้งเป็นอุปสรรคต่อการแลกเปลี่ยนแก๊ส
CO2 และ O2 ในอากาศระหว่างภายในกับภายนอกใบ ซึ่งมีผลเสียโดยตรงต่อการสังเคราะห์แสง และ
5) ควบคุมกิจกรรมทางพันธุกรรมของพืช เช่น ทำให้เซลล์ไวรัสเพิ่มจำนวนแทนเซลล์พืช ในกรณีของ
mosaic virus เป็นต้น สำหรับความผิดปกติในพืชปลูกที่กล่าวมาทั้งหมดจึงอาจพบที่ตำแหน่ง ราก ใบ
ผล เมลด็ เปน็ ส่วนๆ ไป หรือพบได้ทุกส่วนของพืช


แม้ว่าเชือ้ โรคจะมีหลายกลุ่มดว้ ยกัน แต่กลุ่มสำคัญในพืชที่เป็นโรค ที่บางตำรากล่าวว่า พบมาก
ถึงร้อยละ 80 คือ รา หรือ เชื้อรา (fungi) ดังนั้นสารที่ใช้สำหรับป้องกันและกำจัดโรคพืชส่วนใหญ่จึง
เป็น สารฆ่ารา (fungicides) สำหรับตวั อย่างเชื้อโรคที่พบในพืชสวนทั่วไปอย่างกว้างขวาง กรณีประเทศ
ไทย ได้แก่ เชื้อรา Colletotrichum gloeosporioides ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกุ้งแห้งบนผลพริก โรค
แอนแทรคโนสที่ ดอก ใบ และผลมะม่วง โรคผลเน่าในมะม่วง โรคแอนแทรค

โนสบนผลมะละกอ โรคแอนแทรคโนสในหน่อไม้ฝรั่ง โรคใบเน่าในหอมหัวใหญ่ และโรคใบเน่า
ในกุยช่าย เป็นต้น สารฆ่าราที่กรมวิชาการเกษตร (มมป) แนะนำให้ใช้ในพืชสวนอย่างกว้างขวาง เช่น
benomyl และ mancozeb สำหรับศาสตรท์ ีศ่ ึกษาเก่ยี วกับโรคพืชมีชือ่ ว่า โรคพืชวิทยา (Plant Pathology)


วัชพืช

วัชพืช หมายถึง พืชใดๆ ก็ตามทีข่ ้นึ ปะปนในพืชปลูก และหากปล่อยทงิ้ ไว้แลว้ จะทำให้เกิดความ
เสียหายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง สาหร่ายบางชนิดก็นับรวมอยู่ในน้ัน แต่บางครั้งถูกแยกกลุ่มออกมา เพราะ
สาหร่ายมีลักษณะบางประการที่แตกต่างไปจากพืชชั้นสูงทั่วไป วัชพืชที่พบทั่วไปอาจจำแนกตาม
ลักษณะภายนอกที่ปรากฏให้เห็นเป็น 3 กลุ่ม (ภาพที่ 6.2) ได้แก่ 1) กลุ่มใบกว้าง (broad-leaved
weeds) เป็นวัชพืชที่มีสัดส่วนความยาวและความกว้างของใบไม่แตกต่างกันมากนัก ไม่ว่าใบจะมีขนาด
ใหญห่ รือเลก็ ก็ตาม มกั เปน็ พืชใบเล้ยี งคู่ (dicots) เชน่ สาบเสือ กะทกรก เทียนนา แตก่ ม็ ีหลายชนิดที่เป็น
พืชใบเลี้ยงเดี่ยว (monocots) เช่น ขาเขียด จอก ผักปลาบ 2) กลุ่มหญ้า (grasses) เป็นพืชที่อยู่เฉพาะ
ใน วงศไ์ ผแ่ ละหญ้า (Gramineae-Grass family) ใบมีลักษณะแคบและยาว ต้นมีข้อและปล้องชดั เจน เช่น
หญ้าคา หญ้าขจรจบดอกเล็ก หญ้าตีนกา และ 3) กลุ่มกก (sedges) เป็นพืชที่อยู่เฉพาะในวงศ์กก-
แห้ว (Cyperaceae-Sedge family) ใบมีลักษณะแคบและยาว แต่ต้นไม่มีข้อและปล้อง เช่น แห้วหมู
กกขนาก กกทราย นอกจากนั้นวัชพืชอาจแบ่งตามวัฏจักรชีวิต (life cycle) เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1)
วชั พืชปีเดยี ว (annual weeds) หมายถึง วชั พืชกลมุ่ ที่มีวงจรชีวิตสั้น นบั ตั้งแตเ่ ริ่มงอก ผลิดอก ออกผล
สร้างและแพร่กระจายเมล็ด จนกระทั่งตาย สิ้นสุดภายในฤดูหนึ่งๆ ไปจนถึงรอบปีหนึ่งๆ เท่านั้น มักใช้
เมล็ดเป็นหน่วยขยายพันธุ์ (propagules) ที่สำคัญ เช่น สาบแร้งสาบกา หญ้าขจรจบ และ 2) วัชพืช
หลายปี (perennial weeds) หมายถึง วัชพืชกลุ่มที่มีวงจรชีวิตค่อนข้างยาว ใช้เวลาในการเจริญเติบโต
จนครบวฏั จกั รชีวิตเกินกว่า 2 ปีขนึ้ ไป มักเจริญต่อเนือ่ งบนต้นเดิมได้ โดยเฉพาะอาศยั ส่วนของลำต้นใต้
ดนิ เชน่ เหงา้ (rhizomes) หัว (tubers) และไหล (stolons) เชน่ แหว้ หมู หญ้าคา รวมทั้ง สาบเสือ เป็นต้น

วัชพืชสร้างความเสียหายโดยแทรกแซง การเจริญเติบโตของพืชปลกู ซ่งึ แยกไดเ้ ปน็ 2 วิธี

1) การแก่งแย่ง (competitive interference) ปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิตของพืช เช่น
น้ำ ธาตุอาหารในดิน แสงแดด และพื้นที่เพื่อการเจริญเติบโตไปจากพืชปลูก และ 2) การปลดปล่อย
สารพิษ (allelochemical interference) ไปรบกวนหรือยับย้ังการเจริญเติบโตของพืชปลูก ได้มีผู้จัดลำดับ
วัชพืชตามความสำคัญในระดับโลกไว้ 18 ชนิด มีแห้วหมู, อยู่ในลำดับแรก (Holm et al., 1977) ใน
ประเทศไทย เกลียวพันธ์ (2531) ระบุว่า หญ้าคา เป็นวัชพืชสำคัญในสวนไม้ผล และสวนยางพารา
ขณะที่ แห้วหมู เป็นปัญหาสำคัญในสวนผักทั่วไป (เสริมสิริ, 2532) สารเคมีที่ใช้ในการควบคุมวัชพืช
เรียกว่า สารฆ่าวัชพืช (herbicides) เช่น glyphosate ซึ่งเป็นสารฆ่าวัชพืชทีม่ ีปริมาณการนำเข้ามาใช้ใน


ประเทศไทยสูงสุด รวมทั้งมีปริมาณสูงกว่าสารฆ่าศัตรูพืชทุกชนิดที่นำเข้า (กรมวิชาการเกษตร,
2543) แทนที่ paraquat สารฆ่าวัชพืชที่เคยนำเข้ามาใช้ในปริมาณสูงสุดก่อนหน้านี้ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับ
วชั พืชและการป้องกันกำจดั เรียกวา่ วทิ ยาการวชั พชื (Weed Science)


แมลงศตั รพู ืช
แมลงศัตรูพืช เป็นกลุ่มเล็กๆ ในกลุ่มแมลงด้วยกัน คาดว่ามีจำนวนมากที่สุดเพียง 10,000
ชนิด หรือ ไม่เกินร้อยละ 2 ของแมลงทั้งโลกที่ได้จำแนกไว้แล้ว (van Lenteren, 1993) การจัดกลุ่ม
ของแมลงศัตรูพืชค่อนข้างจะหลากหลายและแตกต่างกันในตำราตา่ งๆ แต่ที่นิยมกันวิธีหนึ่งคือ การจัด
กลุ่มตามวิธีการเข้าทำลายพืชของแมลง ได้แก่ 1) ประเภทปากกัดกิน (biting-chewing type) เช่น
ตัก๊ แตน (grasshopper) ดว้ ง (beetles) และ 2) ประเภท ปากดูดกิน (piercing-sucking type) เชน่ เพล้ีย
ไฟ (thrips) เพลี้ยอ่อน (aphids) สำหรับ ไร (mites) เช่น ไรแดง (red spider mite) ที่เป็นศัตรูพืชแม้ไม่ใช่
แมลง เพราะมี 8 ขา แต่ก็มักถูกนำมารวมกับแมลงศัตรูพืชเสมอ แล้วเรียกรวมกันว่า arthropod pests
วิธีที่แมลงศัตรูพืชสร้างความเสียหาย ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีกัดทำลาย ไม่ว่าจะเป็นส่วน ใบ ดอก ผล ราก
(แมลงในดิน) เมล็ด (แมลงในโรงเก็บ) หรือหรือใช้วิธีดูดกิน (รวมทั้งในกลุ่มไร) น้ำเลี้ยง (sap) ซึ่ง
หมายถึง สารอาหารตลอดจนวิตามินทีล่ ะลายน้ำอยภู่ ายในเซลล์ บนส่วนตา่ งๆ ของพืช

ปัจจุบันมีความพยายามให้เกษตรกรได้เข้าใจและตระหนักว่า ยังมีแมลงอีกเป็นจำนวนมาก ที่
เป็นประโยชน์ และอาศัยปะปนอยู่ร่วมในสิ่งแวดล้อมเดียวกันกับแมลงศัตรูพืช เช่น แมลงที่ให้ผลผลิต
(เช่น ครั่ง-lac insect) แมลงที่ใช้เป็นอาหาร (เช่น แมลงดานา-giant water bug) แมลงที่ช่วยผสมเกสร
(เช่น ผึ้ง-honey bee) แมลงที่ช่วยสร้างเสริมความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน (เช่น กุดจี่-dung beetle) และ
แมลงที่ช่วยกัดกินทำลายแมลงศัตรูพืชให้มีจำนวนลดลง (เช่น แตนเบียน) การพ่นสารเคมีเพื่อทำลาย
แมลงศตั รูพืชอย่างไมร่ ะมดั ระวงั เปน็ การทำลายแมลงทีเ่ ป็นประโยชน์เหลา่ น้ันลงไป โดยเฉพาะแมลงใน
กลุ่มหลังสุด ที่เรียกกันว่า แมลงศัตรูธรรมชาติ (arthropod natural enemies) ซึ่งนับเป็นกลุ่มที่มี
ประโยชน์อย่างมากต่อการอารักขาพืชและเกษตรกร เพราะมีบทบาทสำคัญยิ่งในการลดจำนวนแมลง
ศัตรูพืชลง นั่นหมายถึงการลดความเสียหายของผลผลิตลงและเพิ่มรายได้ แมลงศัตรูธรรมชาติอาจ
จำแนกได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) แมลงห้ำ (insect predators) เป็นแมลงที่กินแมลงอื่นเป็นอาหาร ส่วน
ใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าเหยื่อ อาจแสดงพฤติกรรมเป็นตัวห้ำทั้งในระยะตัวอ่อนหรือตัวเต็มวัยก็ได้ และ
โดยทั่วไปแมลงห้ำเพียงตัวเดียวจะกินเหยื่อได้มากกว่า 1 ตัว ตัวอย่างของแมลงห้ำ เช่น ด้วงเต่าลาย
แมลงหางหนีบ ตั๊กแตนตำข้าว แมลงช้างปีกใส มวนพิฆาต และมวนเพชฌฆาต เป็นต้น และ 2) แมลง
เบียน (insect parasites หรือ parasitoides) เป็นแมลงที่กินแมลงอื่นเป็นอาหาร แต่มักมีขนาดเล็กกว่า
เหยื่อมาก แมลงเบียนจะอาศัยกินอยู่ภายในหรือภายนอกเหยื่อ กินเหยื่อได้หลายวัย (ไข่ หนอน ดักแด้)
และกินเหยื่อตั้งแต่ชนิดเดียวไปจนถึงหลายชนิด แต่ในการพัฒนาการเจริญเติบโตจากตัวหนอนเป็นตัว
เต็มวัย จะใช้แมลงอาศัยหรือเหยื่อเพียง 1 ตัว ตัวอย่างของแมลงเบียน เช่น แมลงวันก้นขน ในการ
ป้องกันกำจัดศัตรูพืชโดยชีววิธีทีม่ นุษย์กระทำขึ้น อาจกล่าวได้วา่ แมลงเบียนจะมีบทบาทมากกว่าแมลง
หำ้ (พิมลพร, 2539)


แมลงศัตรูพืชในพืชสวนที่สำคัญ เช่น แมลงวันทอง หรือ แมลงวันผลไม้ (oriental fruit fly,
Bactrocera dorsalis) เป็นแมลงศัตรูพืชที่สร้างความเสียหายอย่างมากให้กับผลไม้ก่อนการเก็บเกี่ยวท่ัว
โลก ประเทศไทยมีพืชที่ถูกแมลงวนั ทองทำความเสียหายประมาณ 150 ชนิด (มนตรี, 2542) จึงเป็น
ตัวปญั หาของการสง่ ออกที่สำคัญของประเทศไทย (จำลอง, 2532) สว่ น หนอนใยผกั (diamond-black
moth, Plutella xylostella) เป็นแมลงที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงกับพืชผักในแหล่งต่างๆ ทั่วโลก
โดยเฉพาะพืชผกั ในวงศผ์ ักกาด (Cruciferae-Mustard family) และได้พบปญั หาการด้อื ยาของแมลงชนิด
นี้อย่างรุนแรงในประเทศไทย สำหรับ สารฆ่าแมลง ใช้คำว่า insecticides ขณะที่ สารฆ่าไร ใช้คำว่า
acaricides หรือ miticides ศาสตร์ทีเ่ กี่ยวกับแมลงท้ังหมดเรียกว่า กฏี วิทยา (Entomology)


สตั ว์ศตั รพู ชื
สตั ว์ศัตรพู ชื รวมเอาสัตวท์ กุ ชนิดที่สร้างความเสียหายใหก้ บั พืชปลูก (ภาพที่ 6.4) สตั วศ์ ัตรูพืช
นี้มขี นาดค่อนข้างใหญ่ เมอ่ื เปรียบเทียบกบั กลุ่มอน่ื ทั้งหมด บางตำราแยกศตั รูพืชกลุ่มนี้ออกเป็น สัตว์มี
กระดูกสันหลัง (vertebrate pests) กับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง (invertebrate pests) สัตว์ศัตรูพืชที่มี
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ หนูศัตรูพืช (rodent pests) จัดเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง ในประเทศ
ไทยพบว่า มีด้วยกัน 8 ชนิด (เกษม และคณะ, 2535) ตัวอย่างเช่น หนูท้องขาว หนูพุกใหญ่ หนูพุก
เล็ก นกศัตรูพืช (bird pests) ถือเป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง ในประเทศไทยมี 20 ชนิด 9 ชนิด เป็นสัตว์
ศัตรูพืชในข้าว ตัวอย่างเชน่ นกกะติด๊ ขหี้ มู (เสริมศกั ด์ิ และคณะ, 2535) ส่วนที่เหลือเป็นศัตรูพืชในพืช
อน่ื กลา่ วว่านกท้ังหมดในประเทศไทยมีประมาณ 800 ชนิด (สบื ศกั ดิ์ และพงศพ์ ันธ์ุ, 2539) ค้างคาว
ศัตรูพืช (bat pests) ก็เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลัง รายงานว่ามีเพียง 6 ชนิด จากจำนวนค้างคาวที่พบ
ทั้งหมด 17 ชนิดในประเทศไทย (เสริมศักดิ์ และคณะ, 2539) ตัวอย่างเช่น ค้างคาวแม่ไก่ ค้างคาว
ขอบหูขาวกลาง ค้างคาวบัว หอยศัตรูพืช (gastropod pests) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีหลายชนิด
แต่ที่มีรายงานไว้ค่อนข้างมาก ได้แก่ หอยเชอรี่ (golden apple snail) (ชมพูนุท และคณะ, 2535) และ
ทากฟ้า (slug) เป็นต้น ปูนา (rice-field crab) เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังนับเป็นศัตรูข้าวที่สำคัญ และ
ยังนำโรคมาสู่มนุษย์และสัตว์เลี้ยงได้ นอกจากนั้นอาจพบว่า กระรอก (squirrels) กระแต (shrew)
ชะมด (civet) หนูหริ่ง (mice) เม่น (porcupines) หมูป่า (pig) ถูกรายงานว่าเป็นสัตว์ศัตรูพืชเช่นกัน
ขณะที่ ไร (mite) บางตำราได้จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ศัตรูพืช (เสริมศักดิ์ และคณะ, 2539) สัตว์ศัตรูพืช
อาจจะมีบทบาทหรือความสำคัญน้อยกว่าศัตรูพืชสามกลุ่มแรก เพราะเป็นปัญหากับพืชบางชนิดไม่
กว้างขวางนัก หรือเกิดปัญหาในบางท้องถิ่นและบางโอกาสเท่านั้น สารเคมีที่ใช้เฉพาะเจาะจงกับหนู
เรียก rodenticides ที่แนะนำให้ใช้ในประเทศไทย เช่น brodifacoum กับนก เรียก avicides ที่แนะนำใช้
เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการไล่นก คือเมื่อนกมากินแล้วจะเกิดการเข็ดขยาดและหนีไป เช่น methiocarb
กับหอย เรียก molluscicides สารเคมีใช้กำจัดหอยเชอรี่ เช่น niclosamide กรณีปูนา มีการใช้สารฆ่า
แมลง เพราะมีพิษตอ่ ปูนา เช่นกนั
ความสำคญั ของศตั รพู ชื

ศัตรูพืชแตล่ ะกลมุ่ อาจมีความสำคัญมากน้อยแตกต่างกนั ไป ตามเกณฑ์ (criteria) ทีใ่ ช้พจิ ารณา
ดังต่อไปนี้ 1) ความเสียหายของพืช ที่เกิดขึ้นระหว่างการผลิตอันเนื่องมาจากศัตรูพืช เช่น จาก
ประมาณการความเสียหายในพืชปลูกสำคญั ของโลก (ภาพที่ 6.3) ที่สงู ประมาณร้อยละ 42.1 แม้จะมี
การป้องกันกำจัดศัตรูพืชแล้ว ในจำนวนนี้มีสาเหตุจากวัชพืชร้อยละ 13.2 แมลงและสัตว์ศัตรูพืช
รวมกันร้อยละ 15.6 โรคพืชร้อยละ 13. 3 (Oerke et al., 1994) แต่ถ้าขาดการอารักขาพืชแล้ว
ความเสียหายจะสงู ขนึ้ ไปถึงร้อยละ 69.8 แยกเป็นจากวชั พืชสงู สดุ ถึงร้อยละ 29.6 จากแมลงและสัตว์
ศัตรูพืชร้อยละ 22.7 และจากโรคพืชร้อยละ 17.5 และ 2) ค่าใช้จ่ายเพื่อการอารักขาพืช อาจ


พิจารณาได้โดยทางอ้อม จากประมาณสัดส่วนส่วนแบ่งการตลาดของสารฆ่าศัตรูพืชทั่วโลก ระหว่างปี
พ.ศ. 2503-2543 (ตารางที่ 6.1) หรือในช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งชี้ว่าสารฆ่าวัชพืชมีสัดส่วนสูง
โดดเด่นกว่ากลุ่มอื่น โดยเฉพาะสองทศวรรษหลัง และสอดคล้องกับข้อมูลการนำเข้าหรือการจำหน่าย
สารฆ่าศัตรูพืชในประเทศไทย ในช่วงเวลา 25 ปี (2519-2543) (ตารางที่ 6.2) ซึ่งพบว่าสัดส่วน
ของกลุ่มสารฆ่าวัชพืชหลังปี พ.ศ. 2535 มีค่าสูงสุดเช่นกัน ถัดจากนั้นจะเปน็ สารฆ่าแมลงและสารฆ่า
รา ตามลำดับ

US$ 244 ความสญู เสยี ทกุ ผลผลติ ท่ไี ดร้ บั โดยไมม่ ี ความสญู เสียท่กี ู้
พนั ลา้ น กรณี การอารกั ขาพืช ไดจ้ ากการ
อารกั ขาพืช
วัชพืช 13.2 30.0 %
% 27.6 วชั พืช 16.4 %
42.1 แ ม ล ง แ ล ะ % แ ม ล ง แ ล ะ สัต ว์
% สัตว์ศัตรูพืช ศตั รพู ืช 7.1 %
15.6 % ผลผลติ ท่พี งึ ไดร้ บั ตามจรงิ US$ 160 โรคพืช 4.2 %

โรคพืช US$ 579 พนั ลา้ น พนั ลา้ น

ภ า พ ท ี่ 13.3 % 6.3 ความเสียหายจากศัตรูพืช และผลทีไ่ ด้รับโดยการกะประมาณ

จากการอารักขาพืชในแต่ละกลุ่ม จากพืชปลูกสำคัญของโลก ระหว่างปี พ.ศ. 2531-

2533

ทีม่ า : Oerke et al. (1994)


ตารางที่ 6.1 ประมาณการสัดส่วนส่วนแบง่ การตลาดของสารฆา่ ศัตรูพืชที่ใช้ท่ัวโลก ระหว่างปี พ.ศ.

2503-2543

สารฆา่ ศตั รพู ืช ปี พ.ศ.

2503 2513 2523 2533 2543

สารฆ่าวัชพืช 20 35 % 45 46
37 28 26
สารฆ่าแมลง 37 27 41 2 21
35 77
สารฆ่ารา 40 6 19 12,600 16,200
1,215 6
อ่นื ๆ 4 5,220

มูลค่าตลาด (100 ล้าน 360

บาท)

ที่มา : Hopkins (1994)

อัตราแลกเปล่ยี น US$ 1 = 45 บาท

ตารางที่ 6.2 สัดส่วนปริมาณ ปริมาณรวม และมูลค่ารวม ของสารฆ่าศัตรูพืช ที่นำเข้าประเทศไทย
ระหว่างปี พ.ศ. 2519-2543

สารฆ่าศัตรูพืช ปี พ.ศ.
251 252 252 253 253 253 254
9 371 5 9 3

%

สารฆา่ วชั พืช 27.6 34.7 38. 32.5 45.7 55.0 56.3

7

สารฆา่ แมลง 56.2 48.8 39.1 41.0 33.0 25.4 24.4

สารฆา่ รา 14.8 15.1 20.7 25.3 19.0 17.4 14.0

อน่ื ๆ 1.4 1.4 1.5 1.2 2.3 2.3 5.3

ปริมาณรวม (พันตัน) 4.6 12.9 17.2 18.5 25.5 52.7

9.81

มูลค่าตลาด (ลา้ นบาท) 352 1,12 1,52 2,41 3,7 4,92 7,27

7 8 9 81 4 2

ทีม่ า: หลักชัย (2545); กรมวิชาการเกษตร (2543)


การป้องกนั และกำจดั ศตั รพู ชื

ในการแก้ปัญหาศัตรูพืชนั้นจำเป็นที่จะต้องมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า หากปัญหามีขอบเขต
กว้างขวางแตกต่างกัน ย่อมมีผลทำให้การแก้ไขปัญหาต้องใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันไปด้วย ปัญหาของ
ศัตรูพืชเมื่อพิจารณาตามขอบเขตโดยสังเขป อาจแบ่งได้เป็น 2 ระดับ ได้แก่ 1) ระดับเกษตรกรแต่
ละราย ที่มีขอบเขตของปัญหาเฉพาะในบริเวณไร่-นา-สวน ตลอดจนฟาร์มของตนเอง หรือแปลงปลกู
พืชหนึ่งๆ (site specific problem) ศัตรูพืชหลายชนิดอาจถูกควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาก
ดำเนินการเฉพาะภายในขอบเขตนี้ เพียงแต่เกษตรกรเลือกใช้เทคโนโลยีในการอารักขาพืชที่มีอยู่ ทั่วไป
ในตำรา คำแนะนำการใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม จากเกษตรกรผู้รู้ หรือหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
เช่น กรมวิชาการเกษตร และ 2) ระดบั ชุมชน ขอบเขตของปัญหาศัตรพู ืชบางชนิดน้ันจะเปน็ พนื้ ที่กวา้ ง
มาก ตั้งแต่หมู่บ้าน จังหวัด และอาจหมายถึงแถบหนึ่งประเทศในบางกรณี การแก้ปัญหาที่ระดับฟาร์ม
หรือเกษตรกรแต่ละราย โดยลำพังจึงมักไม่ได้ผล ศัตรูพืชเป้าหมายในกรณีนี้เช่น แมลงวันผลไม้ (fruit
flies) ในผักผลไม้ของประเทศชิลี ญี่ปุ่น และอีกหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทย (อุราณี, 2546)
codling moth ในสาลี่และแอปเปิลของสหรัฐอเมริกา (Kogan, 2002) หอยศัตรูพืช และไมยราบยักษ์
ของประเทศไทย กลยุทธ์ที่นิยมใช้ในการปราบศัตรูพืชดังกล่าว จึงมักใช้ การป้องกันและกำจัดศัตรูพืช
โดยวิธผี สมผสานแบบพืน้ ที่กว้าง (areawide integrated pest management, areawide IPM) แบบมีส่วน
ร่วมของชุมชน โดยมีหน่วยงานจากภาครัฐเป็นเจ้าภาพ และมักเป็นโครงการต่อเนื่องระยะยาว กรณีที่
ไม่เป็นโครงการต่อเนื่อง การรณรงค์ (campaign) ที่มีการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางทั้งชุมชน
เพ่อื ใหห้ ลายฝ่ายได้ร่วมมือชว่ ยกนั กำจดั หรือลดประชากรในระยะยาว เชน่ การจัดวนั พิฆาตหนู รวมท้ัง
มีการส่งเสริมให้นำไปใช้เป็นอาหารก็สามารถใช้ได้ผลในระดับหนึ่ง ส่วนไมยราบยักษ์ยังต้องเพิ่ม
มาตรการทางกฎหมาย ซึ่งใช้ พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507 (Plant quarantine act B.E.
2507) โดยประกาศให้มีเขตควบคุมในบริเวณพื้นที่ 65 จังหวัด เพื่อมิให้วัชพืชนี้แพร่กระจายออกไป
มากขึน้ (ปรีชา, 2536) แต่ก็พบวา่ ประการหลังสุดไมไ่ ด้ผล

ในการแก้ปัญหาศัตรูพืช 3 กลุ่มที่มีศัตรูพืชชนิดต่างๆ อยู่อย่างหลากหลายนั้น มีแนวทางหรือ
หลักการ สำคัญที่สามารถนำมาใช้ได้ 3 ประการดังนี้ 1) การป้องกัน (prevention) เป็นการกระทำ
โดยมาตรการใดๆ ก็ตาม ก่อนที่จะมีปัญหาศัตรูพืชเกิดขึ้น ซึ่งมีหลายวิธีที่แตกต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม
ศัตรูพืช และมีความสำคัญค่อนข้างสูงเป็นพิเศษต่อกลุ่มโรคพืช เช่น การหลีกเลี่ยงพืชจากเชื้อโรคโดย
เลือกฤดูปลูก การเลี่ยงไม่ปลูกพืชในพื้นที่ที่เคยมีโรคระบาด ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคระบาดเข้าพื้นที่โดย
การเลือกหน่วยขยายพันธ์ุ (propagules) ที่ปลอดโรค หรือทำให้ปลอดโรคก่อนนำไปขยายพันธุ์และปลูก
การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของศัตรูพืช (sanitation) การรักษาความสะอาดในส่วนของเครื่องมือ
เครื่องใช้และบริเวณคัดบรรจุภัณฑ์พืชผลที่ใช้หลังการเก็บเกี่ยว (ดูบทที่ 13) การใช้พันธุ์ต้านทาน


ตลอดจนการใช้พระราชบัญญัติกักพืช ซึ่งจะมีการตรวจค้นพืช สิ่งต้องห้ามและสิ่งจำกัด พร้อมทำลาย
ศัตรูพืชที่อาจติดมากับพืช สิ่งต้องห้าม และสิ่งกำกัดต่างๆ ที่นำเข้าประเทศ ซึ่งปฏิบัติงานโดยฝ่ายด่าน
ตรวจพืช กองควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2)
การควบคุม (control) เป็นการลดหรือจำกัดประชากรศัตรูพืชลง จากที่มีจำนวนมากจนเป็นปัญหา ให้
เหลือระดับหนึ่ง (จำนวนหนึ่ง) ที่ไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จนถึงเป็นไปตามสมดุลของ
ธรรมชาติ มีความสำคัญค่อนข้างสูงกับกลุ่มแมลงศัตรูพืช วัชพืช และสัตว์ศัตรูพืช มาตรการในการ
อารักขาพืช ที่จะกล่าวต่อไป ส่วนใหญ่ได้อิงหลักการนี้ และ 3) การทำลาย (eradication) เป็นการ
กำจัดศัตรูพืชให้หมดไปอย่างสิ้นซาก หรืออย่างถอนรากถอนโคนซึ่งส่วนใหญ่มักมีเป้าหมายการใช้ใน
ขอบเขตที่จำกัด เช่น บริเวณแปลงเพาะกล้า โรงเรือนคัดบรรจุหรือเก็บผลิตผล บริเวณเรือนกระจก
พื้นที่ที่มีโรคพืชร้ายแรงแพร่ระบาด วิธีการที่ใช้ เช่น การอบดินด้วยสารรมควันพิษ (fumigants) ด้วย
methyl bromide ซึง่ จะทำลายได้ท้ังเชื้อโรค แมลงศตั รูพืชในดิน และเมลด็ วชั พืชได้อย่างส้นิ ซาก อย่างไร
กต็ ามทีผ่ า่ นมาได้มคี วามพยายามใช้หลกั การนกี้ บั ศัตรพู ืชร้ายแรงในพื้นทีก่ ว้างเชน่ กนั ไมว่ ่าเป็นโรคและ
แมลงศัตรูพืช และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี เช่น กรณีโรคแคงเกอร์ในส้มที่รัฐฟลอริดา แมลงวัน
ผลไม้ที่เกาะกวมและเกาะโรต้าของประเทศสหรัฐ อเมริกา เป็นต้น (Sharov, 2002)

เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ใดๆ ในหลักการทั้งสาม เกษตรกรมีทางเลือกที่เป็น มาตรการ
(measures) หรือกลุ่มของวิธกี ารท้ังหมด 8 มาตรการ ดงั นี้

1) การควบคมุ โดยชีววิธี หรือ วธิ ีชีวภาพ (biological control or biocontrol) เปน็ การนำศตั รู
ธรรมชาติมาควบคมุ ศตั รูพืช ร่วมกับการรกั ษาสภาพแวดล้อมในแปลงปลกู ให้เหมาะสมกบั การอยู่
อาศัยและแพร่กระจายของของศัตรธู รรมชาติ มาตรการนี้ถกู นำมาใช้อยา่ งกว้างขวางในศัตรพู ืชกลุ่ม
แมลง ส่วนศตั รูธรรมชาติในทีน่ ีจ้ ึงอาจเป็น แมลงหำ้ แมลงเบียน เช้ือโรค (แบคทีเรีย เช้ือรา และไวรัส ซึ่ง
ปัจจบุ ันมีการผลติ จำหนา่ ยเป็นรปู การค้าแลว้ ) ไส้เดือนฝอย (entomogenous nematode) บางตำรารวม
ไปถงึ การใช้พนั ธพ์ุ ืชดัดแปลงพันธุกรรม ตวั อยา่ งของการควบคมุ โดยชีววิธี เช่น การใชร้ าไตรโคเดอร์มา
(Trichoderma spp.) ควบคุมโรคพชื (ภาพที่ 6.5) เชน่ โรคทีท่ ำให้เห่ยี วและรากเน่า การใช้บที ี (แบคทีเรีย
Bt.: Bacillus thuringiensis ภาษาชาวบ้านเรียก ยาเช้ือ) ควบคมุ หนอนใยผกั หนอนคืบกะหล่ำ หนอน
กระทู้หอม หนอนเจาะสมอฝ้าย และหนอนแปะใบ การใช้ เอ็น พี วี (ไวรัส NPV, Nuclear Polyhedrosis
Virus) ควบคุมหนอนกระทู้หอม หนอนกระทผู้ ัก หนอนเจาะสมอฝ้าย และการใช้ไสเ้ ดอื นฝอยควบคุม
หนอนกินใต้ผวิ เปลอื กลองกอง เป็นต้น ปัจจุบันกำลงั มคี วามพยายามให้มกี ารใช้มากขนึ้ ในศัตรูพชื กลุ่ม
วัชพืช (Waterhouse, 1994) แต่ยังมีการใชน้ อ้ ยในศตั รพู ืชกลมุ่ โรคพชื (ปรีชา, 2536) มาตรการนใี้ ช้ท้ัง
เพอ่ื การควบคมุ และการทำลายศตั รพู ืช


2) การใช้พันธุ์พืชต้านทาน (plant resistance) เป็นการนำพืชที่ปรับปรุงพันธุ์ให้ต้านทานต่อ
ศัตรูพืชแล้ว (pest-resistant crop variety) มาใช้ในแหล่งปลูกที่ประสบปัญหาศัตรูพืชนั้นๆ ร่วมกับการ
จดั การที่เหมาะสม บางตำราเรียกกลมุ่ วิธีการนวี้ า่ มาตรการทางพนั ธกุ รรม เพราะมีการทำให้เกิดความ
ปลอดภยั แก่พืชปลูกโดยการจดั การในส่วนของพชื ใหม้ ีความต้านทาน ดา้ นการทำให้พชื ต้านทานน้ันมีทั้ง
การใช้วิธีการปรับปรุงพนั ธุ์พืชโดยเฉพาะการผสมพันธ์ุ (breeding) และการใช้เทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม
(genetic engineering) ซึง่ ใช้ยีน (gene) ความต้านทานที่ได้จากพชื ไปจนถึงจุลนิ ทรีย์ (แบคทีเรีย) มาถ่าย
ฝากให้กับพืชปลกู โดยตรง เพอ่ื สร้างพนั ธ์ุพืชต้านทานศัตรูพืชขนึ้ มาใหม่ พืชทีไ่ ด้มาโดยวิธีนี้ เรียก พืชตัด
ต่อสารพันธุกรรมหรือพืชจำลองพันธ์ุ (transgenic crop plants) ซึ่งมีกว่า 10 ชนิดในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง ถั่วเหลือง มะเขือเทศ ฝ้าย oilseed rape ยาสูบ melon/squash ข้าว และ
ข้าวสาลี เป็นต้น และจะเรียกพืชที่ได้จากประการหลังว่า สิ่งมีชีวิตที่ได้รับการตัดต่อสารพันธุกรรม
(genetically modified organisms, GMOs) มีผู้ไม่เห็นด้วยกับวิธีการหลงั นี้ว่าอาจเปน็ อนั ตรายต่อผบู้ ริโภค
โดยเฉพาะเมื่อเป็นอาหาร (genetically modified food, GM food) แล้วจึงต่อสู้ให้มีการระบุบนฉลากว่า
เป็นผลิตภัณฑ์จากการดัดแปลงทางพันธุกรรม เพื่อให้เป็นทางเลือกแก่ผู้บริโภค ปัจจุบันมีการใช้พันธุ์
พืชต้านทานต่อศัตรูพืชกลุ่มโรคพืชกว้างขวางที่สุด และพันธุ์พืชต้านทานต่อแมลงศัตรูพืชรองลงมา
พนั ธพุ์ ืชต้านทานศตั รพู ชื ที่ใช้ในประเทศไทยบางชนิด ทีไ่ ดจ้ ากการปรับปรงุ พนั ธพ์ุ ืชแสดงในตารางที่ 6.3
(จเร และบริบูรณ์, 2536) สำหรับแหล่งพันธุกรรมของพันธุ์พืชต้านทานนั้นอาจได้มาจาก พันธุ์พืช
พืน้ เมอื ง (landraces) พืชพันธว์ุ ชั พืช (weedy species) และพืชป่า (wild species) ที่มีอยู่อย่างหลากหลาย
ในปา่ เขตร้อน (tropical forests) ของโลก ซึ่งในปจั จุบันกำลงั เหลือน้อยลง และบางชนิดได้สูญหายไปแล้ว
เพราะมีการละทิ้งพันธ์ุพืชพื้นเมอื ง ขณะที่ปา่ และพชื พันธป์ุ า่ กถ็ กู ทำลายลงอยา่ งมาก

ภาพที่ 6.4 สตั วบ์ างชนิดที่เปน็ ศตั รพู ืช เชน่ ทาก หอยเชอรี่ ปู ค้างคาว หนู ชะมด กระรอก
เมน่ และหมูปา่


กข ค

ภาพที่ 6.5จุลินทรีย์ทีใ่ ช้ควบคุมศัตรูพืชด้วยวิธีชีวภาพ (ก) เชื้อราไตรโคเดอรม์ า (ข) เชื้อไวรัส เอ็น พี วี

และ (ค) เช้ือแบคทีเรีย บี ที

ตารางที่ 6.3 พนั ธ์พุ ืชต้านทานศตั รูพืชบางชนิดในประเทศไทย

พืช-พันธุ์พืช ต้านทานต่อ

ข้าว-สพุ รรณบรุ ี 60 โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง เพล้ยี จักจ่นั สเี ขียว

สพุ รรณบุรี 90 โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบหงิก เพลี้ยกระโดดสี

น้ำตาล

พิษณุโลก 60-2 โรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง โรคใบสีส้ม

ถั่วเหลือง-สจ.5 โรคราสนิม โรคใบดา่ ง

เชียงใหม่ 60 โรคราสนิม

สโุ ขทัย 1 โรคใบจุดนูน

ถว่ั เขยี ว-ชัยนาท 36 โรคใบจุดสีน้ำตาล

ออ้ ย-F 156 โรคแสด้ ำ เพลยี้ หอย หนอนเจาะลำต้น

งา-อุบลราชธานี 1 โรคต้นเหีย่ ว หนอนหอ่ ใบงา ไรขาว

มันฝรงั่ -ฝาง 60 โรคต้นเหีย่ ว (late blight) โรคใบม้วนจากเช้ือไวรสั

ผกั บุ้ง-พิจิตร 1 โรคราน้ำค้าง

กาแฟ-คาร์ติมอร์ (อะราบิกา) โรคราสนิม

หม่อน-นครราชสมี า 60 โรครากเนา่ โรคใบด่าง โรคราแป้ง

บุรีรัมย์ 60 โรคใบดา่ ง โรคราแป้ง

ศก.33 โรคใบด่าง

ยางพารา-สงขลา 36 โรคใบรว่ ง

ทีม่ า : จเร และบริบรู ณ์ (2536)


3) การใช้วิธีเขตกรรม (cultural methods) เป็นการเลือกวิธีการที่ปฏิบัติต่อพืชปลูกตามปกติ
มาใช้เพื่อส่งเสริมการอารักขาพืช หรือเพื่อการควบคุมศัตรูกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งให้เด่นชัดยิ่งขึ้น เช่น การ
เลือกชนิดพืชปลูกที่มีศัตรูพืชน้อยที่สุดในกลุ่ม การย้ายปลูกแทนการปลูกจากเมล็ด การเลือกใช้วัสดุ
คลุมดิน (mulching materials) ซึ่งหมายถึงทั้งไม่มีและมีชีวิต ถ้าวัสดุคลุมดินยังมีชีวิตเรียก living
mulches (ปลูกร่วมกับพืชประธานโดยไม่เก็บเกี่ยว) หรือการปลูกพืชคลุมดิน (cover crops) เพื่อการ
ควบคุมวัชพืชและประโยชน์อื่น การตัดแต่งกิ่งในไม้ผล เพื่อลดปัญหาโรค-แมลงศัตรูพืช การขังน้ำ
(flooding) ในนาข้าวให้มรี ะดับลึกสมำ่ เสมอตลอดฤดปู ลูกให้มากที่สุดเพื่อลดปัญหาวัชพืชการเลือกเวลา
ปลูกหรือการปรับช่วงเวลาปลูก เพื่อให้ระยะที่อ่อนแอต่อศัตรูพืชของพืชปลูกไม่ตรงกับระยะที่โรคและ
แมลงศัตรูพืชระบาด การปลูกพืชแซม (intercropping) ตลอดจนการปลูกพืชหมุนเวียน (crop rotation)
เพื่อตัดวงจรชีวิตศัตรูพืช เป็นต้น วิธีเขตกรรมหลายครั้งเป็นมาตรการที่ใช้เพื่อลดปัญหาศัตรูพืช
มากกว่าหนึง่ กลมุ่ ไดพ้ ร้อมกนั และถอื ว่ามีความสำคัญตอ่ ศัตรพู ืชทกุ กลมุ่ ในระดับทีใ่ กล้เคียงกนั

4) การใช้วิธีกลและวิธีกายภาพ (Mechanical and Physical methods) เป็นการเข้าควบคุม
ศัตรูพืชที่สำคัญในทุกกลุ่ม เช่น การเก็บวัชพืชน้ำไปทำลายโดยใช้เรือ การใช้เครื่องมือกลและเทคนิคที่
เกี่ยวกับ แสง รังสี เสียง ความร้อน ในการป้องกันหรือควบคุมแมลงศัตรูพืชและโรคพืช หลายวิธีอาจ
เป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนมีราคา สำหรับตัวอย่างที่พบเห็นได้เสมอ เช่น การล่อแมลงศัตรูพืชด้วยกับดัก
การใช้เครื่องดดู แมลง การสร้างเครือ่ งกีดขวาง (มุ้งไนลอน) การใช้กบั ดกั แมลงวันทองร่วมกับสารล่อเม
ทธิลยูจินอล (methyl eugenol) การใช้แสงไฟดักล่อแมลงในตอนกลางคืน การฉายรังสีเพื่อควบคุมการ
เน่าและการเข้าทำลายของแมลงศัตรูพืช หรือ การฉายรังสีทำหมันแมลง เพื่อควบคุมแมลงศัตรูพืช
โดยตรง

5) การควบคุมโดยกฎหมาย (Legal control) เป็นการแก้ปัญหาศัตรูพืชที่ใช้หลักการป้องกัน
โดยผ่านกฎระเบียบที่กำหนดขึ้นในระดับประเทศ มีผลให้บุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมโดยเฉพาะกับศัตรูของ
พืชเศรษฐกิจ ประเทศไทยมีกฎหมายในเรื่องนี้ที่ชื่อว่า ‘พระราช บัญญัติกักพืช พ.ศ. 2507’ โดย
หลกั การแลว้ กฎหมายนีม้ ีข้ึนดว้ ยวัตถุประสงคห์ ลัก 2 ประการ คือ 1) เปน็ การป้องกันมิให้ศตั รพู ืชชนิด
ต่างๆ ที่ยังไม่มีในประเทศเข้ามาในประเทศ 2) เป็นการป้องกันศตั รพู ืชทีอ่ าจเกิดเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่ง
ของประเทศ มิให้ระบาดลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของประเทศ ผลของกฎหมายนี้จึงได้มีส่วนแก้ปัญหา
ครอบคลมุ ไปถึงศตั รูพืชทกุ กลุ่ม

6) การใช้สารเคมี (Chemical control) เป็นการใช้สารฆ่าศัตรูพืช (pesticides หรือ
agropesticides) ในการควบคุมศัตรูพืชกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่บางอย่างก็อาจมีผลต่อหลายกลุ่มพร้อมกัน
ได้ สารฆ่าศัตรูพืชสามารถใช้ควบคุมศัตรูพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งมีจำนวนชนิดให้เลือกใช้อย่าง


กว้างขวาง กล่าวคือมถี ึง 762 รูปผลติ ภัณฑ์ (formulation) ในกลมุ่ ประเทศเกษตรกรรมของทวีปเอเซีย
(สมปอง, 2536) ปัจจุบันมีสารฆ่าศัตรูพืชที่ได้จากธรรมชาติ โดยเฉพาะจากพืช (botanical pesticides)
ทีค่ อ่ นข้างมีความปลอดภยั ท้ังต่อผพู้ ่นและผู้บริโภค เชน่ สารสกดั ธรรมชาติจากสะเดา แม้มีการรณรงค์
อย่างกว้างขวางไปทั่วโลก ให้ลดการใช้ลง แต่บทบาทของสารฆ่าศัตรูพืช ก็ยังคงมีความสำคัญและ
จำเปน็ ต่อวงการอารกั ขาพืชอย่อู ยา่ งมาก

7) การควบคุมศัตรูพืชแบบผสมผสาน (Integrated pest control) เป็นการควบคุมศัตรูพืชที่
อาศัยมาตรการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น มาใช้ร่วมกัน ตั้งแต่ 2 วิธีขึ้นไป อาจมีเป้าหมายในการควบคมุ
ศัตรูพืชเพียงกลุ่มเดียว หรือมากกว่า 1 กลุ่มขึ้นไป ต่อมาแนวทางนี้ได้พัฒนาขึ้นไปเป็น การบริหาร
(จัดการ)ศัตรูพืช (IPM-Integrated Pest Management) ซึ่งมีผู้ให้นิยามว่า เป็นการลดปัญหาศัตรูพืช
โดยเลือกวิธีการต่างๆ หลังจากได้ทำการศึกษาและเข้าใจในระบบวงจรชีวิตของศัตรูพืช ตลอดจน
นิเวศวิทยาที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการตระหนักถึงความสำคัญทางเศรษฐกิจ อันจะก่อให้เกิดประโยชน์
สูงสุดต่อมวลมนุษย์ (Rabb, 1972 อ้างใน เตือนจิตต์, 2536) การบริหารศัตรูพืชกลุ่มแมลง ได้มี
การศึกษาพัฒนาเป็นต้นแบบของการบริหารศัตรูพืชกลุ่มวัชพืชและโรคพืชในปัจจุบัน การบริหาร
ศัตรูพืชได้แอบแฝงเป้าหมายลดการใช้สารเคมีลงไว้ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับสภาวะแวดล้อม
ยิง่ ขนึ้ และเป็นกระบวนการที่ต้องกระทำและติดตามอย่างตอ่ เนือ่ ง อยา่ งน้อยตลอดฤดูปลกู ของพชื

8) เกษตรแบบธรรมชาติ/เกษตรอินทรีย์ (natural/ organic farming) เป็นการเกษตรที่ไม่มี
การควบคุมศัตรูพืชโดยตรง แต่จะอาศัยความเข้าใจในหลักของความสัมพันธ์ตามธรรมชาติระหว่าง
สิ่งมีชีวิตที่มีอยู่หลากหลาย เน้นกระบวนการผลิตมากกว่าผลผลิต แนวทางอารักขาพืชที่นำมาใช้เพื่อ
เอื้อประโยชน์ต่อพืชปลูก ได้แก่ การปลูกโดยเลือกเวลา ความลึก และอัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ การ
จัดการด้านความอุดมสมบูรณ์ของดิน การเลือกพันธุ์ดีที่ปรับตัวได้อย่างเหมาะสมกับพื้นที่และมี
ความสามารถในการแข่งขันสูง การควบคุมศัตรูพืชโดยวิธีกลและชีวภาพใช้เท่าที่จำเป็น และเลี่ยงที่จะ
ใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอก แม้ว่าการเกษตรแบบธรรมชาติจะมีความมุ่งหมายมากไปกว่าการผลิต
ตามปกติ แต่ผลของการปฏิบัติกท็ ำใหป้ ญั หาศัตรูพืชลดลง มีศตั รูธรรมชาติเพม่ิ มากขนึ้ การเกษตรแบบ
ธรรมชาตินับวา่ ได้อิงหลกั ความสมดุลของธรรมชาติมากกวา่ มาตรการใดๆ ที่กลา่ วมาในตอนต้นท้ังหมด
ส่วนการยอมรับในคุณภาพของผลผลิตที่ได้จากมาตรการสุดท้ายนี้ ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ระหว่างหมู่
ผู้บริโภคยงั มีทศั นะแตกต่างกนั


อนั ตรายและการป้องกันอันตรายจากสารฆ่าศัตรพู ชื

การใช้สารฆ่าศัตรูพืชเป็นมาตรการที่มีความสำคัญต่อวงการอารักขาพืชมาก พิจารณาจาก
ปริมาณการใช้สารฆ่าศัตรูพืชที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของประเทศในรอบ 25 ปีที่ผ่านมา (ตารางที่ 6.2)
สารฆ่าศัตรูพืชนับเป็นต้นทุนการผลิตที่สำคัญของเกษตรกร เป็นวัตถุมีพิษชนิดหนึ่ง และยังเป็น
เทคโนโลยีที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการใช้ แต่ในทางปฏิบัติผู้ใช้ส่วนใหญ่ในประเทศที่กำลัง
พฒั นา ซึง่ รวมท้ังประเทศไทย เปน็ เกษตรกรทีข่ าดความรู้ หรือรู้ไม่เทา่ ทนั การเปลย่ี นแปลง อันตรายจึง
ได้เกิดขึ้น กล่าวได้ว่าวัตถุมีพิษนี้ได้ก่อให้เกิดอันตรายต่อ 1) เกษตรกรผู้ใช้และผู้เกี่ยวข้องทุกคน
เช่น เจ้าหน้าที่พนักงานในโรงงานผลิต ปรุงแต่ง บรรจุภัณฑ์ ขนส่ง และผู้จำหน่ายปลีกสารฆ่าศัตรูพืช
ตามห้างร้านทั่วไป รวมไปถึงผู้บริโภคอาหารที่มีวัตถุมีพิษตกค้างอยู่ 2) สิ่งแวดล้อม ได้แก่ การ
ปนเปื้อน หรือตกค้างในดินและน้ำ ไปเป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่มิใช่เป้าหมาย (non-target
organisms) เช่น แมลงที่มีประโยชน์ทั้งหลาย กุ้ง และปลาในแม่น้ำ ตลอดจนสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ใน
ดิน และนอกจากนั้นยังทำให้เกิด และ 3) พันธุ์ต้านทานต่อสารฆ่าศัตรูพืช เช่น มีพันธุ์วัชพืชและ
แมลงศตั รูพืชใหมๆ่ เกิดขนึ้ อย่างมากมาย ที่ต้านทานต่อสารฆ่าศัตรพู ชื (resistance to pesticides) หรือที่
เรียกว่า “ด้อื ยา” ซึง่ ยากตอ่ การป้องกนั กำจัดเปน็ อยา่ งยิ่ง

ในการป้องกันและแก้ปัญหาอันตรายที่เกี่ยวกับการใช้วัตถุมีพิษในทางเกษตรนั้น มีแนวทาง
ดังนี้ 1) ใช้วิธีทางกฎหมายที่เรียกว่า พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เพื่อควบคุมการ
ผลติ การนำเขา้ การมีไว้ในครอบครอง การโฆษณาและการจำหน่าย (สขุ มุ , 2538) โดยเฉพาะที่มีพิษ
สูง และให้มีการใช้บังคับใช้อย่างจริงจัง 2) ผลักดัน ส่งเสริม และโน้มน้าว ให้ผู้ผลิตมีการใช้มาตรการ
อารักขาพืชที่สามารถลดการใช้สารเคมีลง แต่มีประสิทธิผลในทางปฏิบัติ เช่น การใช้มาตรการบริหาร
(จัดการ) ศัตรูพืช (IPM) ตามกระบวนการ โรงเรียนเกษตรกร (farmer field school) ซึ่งหมายถึง
กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของเกษตรกรและนักวิชาการ ด้วยการร่วมกันคิด แลกเปลี่ยน
ประสบการณ์ แก้ปัญหา และตัดสินใจด้วยตนเองในกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน หรือกำหนดให้
เกษตรกร เข้าร่วมในโครงการพัฒนาระบบการผลิตไม้ผลตามมาตรฐานเกษตรดีที่เหมาะสม (good
agricultural practice: GAP) ของกรมวิชาการเกษตร 3) เกษตรกรพึงได้รับข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ทั้ง
ในส่วนของสารฆ่าศัตรูพืชและการใช้ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และได้รับการกระตุ้นเตือนให้นำไป
ปฏิบัติอย่างถูกต้อง 4) สนับสนุนและประชาสัมพันธ์เชิงรุกอย่างกว้างขวาง ให้มีการบริโภคพืชผักและ
ผลไม้ที่ปลอดภัยจากสารพิษ เช่น ผักกางมุ้ง ไปจนถึงพืชผักและผลไม้ปลอดสารพิษ เช่น จากเกษตร
อนิ ทรีย์หรือเกษตรธรรมชาติ และ 5) ผู้บริโภคพึงไดร้ บั ความคุ้มครองตามพระราชบญั ญัติอาหาร พ.ศ.
2522 อย่างจริงจงั


แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 2

เรือ่ ง การป้องกันและกำจัดศัตรพู ชื 2 เวลา 2 ชัว่ โมง

ระดบั ช้ัน มธั ยมศึกษาปีที่ 1

__________________________________________________________________________

1. เปา้ หมายการเรยี นรู้ / หลกั ฐานการเรียนรู้ / การวดั และการประเมินผล

ผลการเรียนรู้ ส่งิ ทีต่ ้องรู้และปฏิบัติได้ ผลงาน / ชิ้นงาน การวัดผลและการ

ประเมนิ ผล

7. ปฏิบัติดูแลรักษา อธิบายจำแนกประเภท 1. สำรวจศัตรูพืชใน - ทำแบบทดสอบกอ่ น

ป้องกันโรคและแมลง ข อ ง ศ ั ต ร ู พ ื ช โรงเรียน เรียน (Pre-test)

ได้พืชผักที่ได้อย่าง 2. สรปุ เกีย่ วกับศัตรูพืช - สังเกตพฤติกรรม
ปลอดภยั การทำงานรายบุคคล
กลุ่มละ 1 ประเภท - ประเมิน

รายงานหน้าช้ันเรียน คุณลักษณะอันพึง

ประสงค์

ทำแบบทดสอบหลัง

เรียน (Prost-test)

-ใบงาน

2. สาระการเรยี นรู้ (Learning Contents)
1. ความรู้ (Knowledge)
๑. อธบิ ายจำแนกประเภทของศัตรพู ืช
2. ทักษะ/กระบวนการ (Skill during the process)
1. ทำกิจกรรมตามทีไ่ ดร้ ับมอบหมายได้ถูกต้อง
2. บันทึกสรปุ ความรู้จากเร่อื งทีเ่ รียนได้ถูกต้อง
3. สมรรถนะ (Competency)
1. ความสามารถในการส่อื สาร
2. ความสามารถในการคิด


3. หลักฐานการเรียนรชู้ ้นิ งานหรอื ภาระงาน (Work)

1. สำรวจศตั รพู ืชในโรงเรียน

2. สรปุ เกีย่ วกับศตั รพู ืช กลุ่มละ 1 ประเภทรายงานหน้าชั้นเรียน”

4. การวดั และการประเมินผล ( Evaluation )

สง่ิ ที่วัดผล วิธีวดั ผล เครือ่ งมือวัดผล เกณฑก์ ารประเมนิ

ดา้ นความรู้ (K) ทำแบบทดสอบ แบบทดสอบ ร้อยละ 70 ผา่ น

เกณฑ์

ดา้ นทกั ษะ/กระบวนการ(P) สังเกตการ แบบประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2

ปฏิบัติงาน ผา่ นเกณฑ์

เจตคติ/คุณลักษณะ (A) สังเกตการ แบบประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ 2

ปฏิบตั ิงาน ผ่านเกณฑ์

สมรถนะของผู้เรียน (C) สงั เกตการ ผลงาน ระดับคุณภาพ 2

ปฏิบตั ิงาน ผ่านเกณฑ์

5. กระบวนการการจัดกิจกรรม / รูปแบบการจัดกิจกรรม ( Learning Process )

ใช้กระบวนการความรู้ความเข้าใจ เป็นกระบวนการที่ใช้ในการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย สิ่งที่
ต้องการพฒั นาคือเนื้อหาสาระ ดงั นี้ สงั เกตและตระหนัก วางแผนกำหนดแนวทาง แบง่ ความรบั ผิดชอบ
ไปแสวงหาความรู้ พัฒนาความรู้ความเข้าใจ สรุปสาระสำคญั
6. กจิ กรรมการเรยี นการสอน

1. ขั้นนำเขา้ สบู่ ทเรียน ( 10 นาที )
1. ครูทบทวนเน้ือหาทไี่ ด้เรียนมาเมอ่ื ชั่วโมงที่แล้ว แลว้ เชือ่ มโยงเข้าสู่บทเรียน

2. ขัน้ สอน ( 100 นาที )

1. ใหน้ ักเรียนดูสไลดห์ รือวีดทิ ัศน์เก่ยี วกับการแนะนำวิธีการป้องกนั กำจัดศตั รพู ืชโดยใช้
สารเคมีและการใช้สมนุ ไพร


2. ใหน้ กั เรียนศึกษาคน้ คว้าหาภาพเกี่ยวกบั แมลงศตั รพู ืชชนิดต่างๆ และวิธกี ารป้องกนั กำจัด
ศตั รพู ืชชนิดต่างๆ จากเอกสาร วรสารเกษตร หนงั สอื พมิ พห์ รือสอบถามจากผู้รู้ในท้องถิน่ แลว้
นำข้อมลู ทีไ่ ดม้ ารายงานหน้าช้ันเรยี นและรว่ มกันจดั ป้ายนิเทศ
3. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลุ่มอภปิ รายเกี่ยวกับความจำเปน็ ต้องใช้สารเคมีกำจัดศตั รพู ืช นักเรียนมี
วิธีการใช้อย่างไรใหป้ ลอดภัย

3. ขนั้ สรปุ ( 10 นาที )
1. ให้นักเรียนชว่ ยกนั สรุปเกี่ยวกับความจำเปน็ ต้องใช้สารเคมีกำจัดศตั รพู ืช
2. เชือ่ มโยงกับการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

4. สื่อการสอน / แหล่งเรียนรู้
สื่อการเรียนรู้
1. วีดที ศั น์
2. วรสาร

แหลง่ เรียนรู้
1. หอ้ งสมุด
2. ข้อมลู สารสนเทศ
3. สวนเกษตร


แบบประเมินการนำเสนอผลงาน

คำชีแ้ จง : ให้ ผู้สอน สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓

ลงในช่องว่างที่ตรงกับระดับคะแนน

ลำดบั ที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน
321

1 นำเสนอเน้ือหาในผลงานได้ถกู ต้อง

2 การลำดบั ขน้ั ตอนของเนื้อเร่อื ง

3 การนำเสนอมีความนา่ สนใจ

4 การมีสว่ นรว่ มของสมาชิกในกลุ่ม

5 การตรงตอ่ เวลา

รวม

ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../................

เกณฑก์ ารให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ สมบรู ณช์ ัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมนิ เป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกบั รายการประเมนิ บางสว่ น ให้ 1 คะแนน

เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ

12 - 15 ดี

8 - 11 พอใช้

ตำ่ กว่า 8 ปรับปรงุ


แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล

ชือ่ ...........................................................................................ชนั้ ..............................

คำชีแ้ จง : ให้ ผ้สู อน สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓

ลงในช่องว่างที่ตรงกับระดบั คะแนน

ลำดับที่ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
321

1 การแสดงความคิดเหน็

2 การยอมรับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ ่นื

3 การทำงานตามหน้าที่ทไี่ ด้รับมอบหมาย

4 ความมีนำ้ ใจ

5 การตรงต่อเวลา

รวม

ลงชือ่ ...................................................ผู้ประเมิน
............../.................../................

เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 2 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบอ่ ยคร้ัง ให้ 1 คะแนน
ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง

เกณฑก์ ารตัดสินคณุ ภาพ

ชว่ งคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
12 - 15 ดี
8 - 11
ตำ่ กวา่ 8 พอใช้
ปรบั ปรุง


แบบประเมินคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
คำชีแ้ จง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ ลง

ในชอ่ งว่างทีต่ รงกบั ระดบั คะแนน

คณุ ลักษณะ รายการประเมิน ระดบั คะแนน
อนั พงึ ประสงค์ดา้ น 321

1. รักชาติ ศาสน์ 1.1 ยืนตรงเมอื่ ไดย้ ินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และบอก
กษตั รยิ ์ ความหมายของ

เพลงชาติ

1.2 ปฏิบตั ิตนตามสทิ ธแิ ละหน้าที่ของนักเรียน ใหค้ วามร่วมมือ ร่วม
ใจ ในการทำงานกับสมาชิกในห้องเรียน

1.3 เข้าร่วมกิจกรรมทีส่ ร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็น
ประโยชนต์ อ่

โรงเรียนและชมุ ชน

1.4 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนบั ถือ ปฏิบัตติ นตามหลักของ
ศาสนา

และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน

1.5 เข้ารว่ มกิจกรรมและมสี ว่ นรว่ มในการจดั กิจกรรมที่เกีย่ วกับ
สถาบนั
พระมหากษัตริยต์ ามทีโ่ รงเรียนและชมุ ชนจดั ขนึ้ ชื่นชมในพระราช
กรณียกิจพระปรีชาสามารถของพระมหากษตั ริยแ์ ละพระราชวงศ์

2. ซอ่ื สัตย์ สุจรติ 2.1 ให้ขอ้ มูลทถ่ี กู ต้อง และเป็นจริง

2.2 ปฏิบตั ิในสิ่งทีถ่ ูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวทีจ่ ะทำความผิด ทำ

ตามสญั ญาที่ตนให้ไว้กบั พอ่ แม่หรือผู้ปกครอง และครู

2.3 ปฏิบัติตนต่อผอู้ น่ื ด้วยความซือ่ ตรง และเป็นแบบอยา่ งทีด่ ีแก่

เพ่อื นด้าน ความซือ่ สตั ย์

3. มีวินยั 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบงั คบั ของครอบครัว
รับผดิ ชอบ และ
โรงเรียน มีความตรงตอ่ เวลาในการปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ งๆ ใน
ชีวิตประจำวัน
มีความรบั ผิดชอบ


4. ใฝเ่ รยี นรู้ 4.1 ต้ังใจเรียน
4.2 เอาใจใส่ในการเรียน และมคี วามเพียรพยายามในการเรียน
4.3 เข้าร่วมกิจกรรมการเรยี นรู้ตา่ งๆ
4.4 ศึกษาค้นคว้า หาความรู้จากหนังสอื เอกสาร สง่ิ พิมพ์ สื่อ
เทคโนโลยีตา่ งๆแหล่งการเรียนรู้ท้ังภายในและภายนอกโรงเรียน และ
เลือกใช้สื่อได้อยา่ งเหมาะสม
4.5 บันทึกความรู้ วิเคราะห์ ตรวจสอบบางส่งิ ทีเ่ รียนรู้ สรุปเป็นองค์
ความรู้
4.6 แลกเปล่ยี นความรู้ ดว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ และนำไปใช้ใน
ชีวิตประจำวนั


แบบประเมินคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (ต่อ)
คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหวา่ งเรียนและนอกเวลาเรียน แลว้ ขีด ✓ ลง

ในชอ่ งว่าง ที่ตรงกับระดบั คะแนน

คุณลักษณะ รายการประเมิน ระดับคะแนน
อันพงึ ประสงค์ดา้ น 321

5. อยอู่ ยา่ ง 5.1 ใช้ทรพั ยส์ นิ และสิ่งของของโรงเรียนอยา่ ง
พอเพียง ประหยัด

5.2 ใช้อุปกรณ์การเรียนอยา่ งประหยดั และรคู้ ณุ คา่

6. มงุ่ ม่ันในการ 5.3 ใช้จ่ายอยา่ งประหยัดและมีการเก็บออมเงิน
ทำงาน
6.1 มีความตั้งใจและพยายามในการทำงานทีไ่ ดร้ มั
7. รักความเปน็ อบหมาย
ไทย 6.2 มีความอดทนและไมท่ อ้ แท้ตอ่ อุปสรรคเพ่อื ให้
งานสำเร็จ
7.1 มีจติ สำนึกในการอนรุ กั ษว์ ัฒนธรรมและภมู ิ
ปัญญาไทย

7.2เห็นคณุ คา่ และปฏบิ ตั ิตนตามวฒั นธรรมไทย

8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักชว่ ยพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน

8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ชว่ ยทำ และแบง่ ปนั
ส่งิ ของใหผ้ ู้อืน่
8.3 รู้จกั การดแู ล รักษาทรพั ยส์ มบัติและ
สง่ิ แวดล้อมของหอ้ งเรียน โรงเรียน ชมุ ชน
8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพ่อื สงั คมและ
สาธารณประโยชนข์ องโรงเรียน

เกณฑ์การใหค้ ะแนน ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั ชิ ัดเจนและสมำ่ เสมอ ............../.................../...............
พฤติกรรมทปี่ ฏิบัตชิ ัดเจนและบ่อยคร้ัง
พฤติกรรมทปี่ ฏิบัตบิ างคร้ัง ให้ 3 คะแนน
ให้ 2 คะแนน
ให้ 1 คะแนน


แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 3

เรือ่ ง การปฏิบตั ิบำรุงรักษา เวลา 2 ชว่ั โมง

ระดับช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 1

__________________________________________________________________________

1. เปา้ หมายการเรยี นรู้ / หลักฐานการเรียนรู้ / การวัดและการประเมินผล

ผลการเรียนรู้ ส่งิ ทีต่ ้องรู้และปฏิบตั ิได้ ผลงาน / ชิ้นงาน การวัดผลและการ

ประเมนิ ผล

7. ปฏิบัติดูแลรักษา ร ู ้ แ ล ะ เ ข ้า ใ จใน กา ร 1. นักเรียนปฏิบัติการ - ทำแบบทดสอบก่อน

ป้องกันโรคและแมลง ปฏิบัติดูแลรักษาพืชผัก ดูแลรักษาพืชผักที่ปลูก เรียน (Pre-test)

ได้พืชผักที่ได้อย่าง ในเรื่องต่าง ๆ หลังจาก ในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่าง - สังเกตพฤติกรรม
การปลูกผักได้อย่าง การทำงานรายบคุ คล
ปลอดภยั เหมาะสมกับ อายุและ มีประสิทธิภาพ ทำให้ - ประเมิน

ช น ิ ด ข อ ง ผั ก พ ื ช ผ ั ก ม ี ก า ร คุณลักษณะอันพึง

เจริญเติบโตได้อย่าง ประสงค์

ปกติและมคี ุณภาพ ทำแบบทดสอบหลัง

2. นักเรียนสามารถ เรียน (Prost-test)

อธิบายและปฏิบัติการ -ใบงาน

เกี่ยวกับการดูแลรักษา

พืชผักหลงั จากการปลูก

ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย

การพรวนดิน การเด็ด

ยอดและการตัดแต่งกิ่ง

การทำค้างการป้องกัน

กำจัด ศัตรูพืช โรค

แมลงและวัชพืช


2. สาระการเรยี นรู้ (Learning Contents)
1. ความรู้ (Knowledge)
๑. รู้และเขา้ ใจในการปฏิบัติดูแลรกั ษาพืชผักในเรอื่ งต่าง ๆ หลงั จากการปลูกผกั ได้อย่าง
เหมาะสมกับ อายุและชนิดของผัก
2. ทกั ษะ/กระบวนการ (Skill during the process)
1. อธบิ ายและปฏิบตั ิการดแู ลรกั ษาพืชผักในเรื่องต่าง ๆ หลังจากการปลกู ผกั ไดอ้ ย่าง
เหมาะสมกับอายุและ ชนิดของผกั
3. สมรรถนะ (Competency)
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการคิด

3. หลักฐานการเรียนร้ชู ้นิ งานหรอื ภาระงาน (Work)

1. นักเรียนปฏิบัติการดูแลรักษาพืชผักที่ปลูกในเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำ

ให้พชื ผักมีการ เจริญเติบโตได้อย่างปกติและมคี ุณภาพ

2. นักเรียนสามารถอธิบายและปฏิบัติการเกี่ยวกับการดูแลรักษาพืชผักหลังจากการ

ปลูก ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ การให้น้ำ การใส่ปุ๋ย การพรวนดิน การเด็ดยอดและการตัดแต่งกิ่ง

การทำค้างการป้องกนั กำจัด ศตั รูพืช โรค แมลงและวชั พืช

4. การวดั และการประเมินผล ( Evaluation )

ส่งิ ที่วดั ผล วิธีวัดผล เครือ่ งมือวัดผล เกณฑก์ ารประเมนิ
แบบทดสอบ ร้อยละ 70 ผา่ น
ดา้ นความรู้ (K) ทำแบบทดสอบ เกณฑ์
แบบประเมนิ
ดา้ นทักษะ/กระบวนการ(P) สังเกตการ ระดับคุณภาพ 2
เจตคติ/คุณลักษณะ (A) ปฏิบัติงาน แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑ์
สมรถนะของผู้เรียน (C) สงั เกตการ
ปฏิบัติงาน ผลงาน ระดับคุณภาพ 2
สังเกตการ ผา่ นเกณฑ์
ปฏิบัติงาน
ระดบั คณุ ภาพ 2
ผา่ นเกณฑ์


5. กระบวนการการจัดกิจกรรม / รปู แบบการจดั กิจกรรม ( Learning Process )

ใช้กระบวนการความรู้ความเข้าใจ เป็นกระบวนการที่ใช้ในการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย สิ่งที่
ต้องการพฒั นาคือเนื้อหาสาระ ดังนี้ สงั เกตและตระหนกั วางแผนกำหนดแนวทาง แบ่งความรับผิดชอบ
ไปแสวงหาความรู้ พัฒนาความรู้ความเข้าใจ สรุปสาระสำคัญ
6. กจิ กรรมการเรยี นการสอน

1. ขั้นนำเข้าสบู่ ทเรียน ( 10 นาที )
1. ถามนักเรียนในชั้นว่าหลังจากที่นกั เรียนปลูกผักแล้ว จะมีวิธีการดแู ลรักษาพืชผกั ในเรือ่ ง

ใดบ้าง ที่จะทำให้พชื ผักที่เราปลกู เจริญเติบโตได้อย่างปกติ

2. ข้นั สอน ( 100 นาที )

1. นักเรียนศึกษาคน้ คว้าเกี่ยวกับการดูแลรักษาพืชผกั ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะพืชผักทนี่ กั เรียน
เลือกปลูก
2. ให้นกั เรียนศึกษาใบความรู้เกี่ยวกบั การปฏิบตั ิดแู ลพชื ผกั และศกึ ษาจากรายงานของแตล่ ะ
กลุ่มโดยเฉพาะพืชผกั ทนี่ ักเรียนเลือกปลกู

3. ขนั้ สรปุ ( 10 นาที )
1. นักเรียนสามารถบอกถงึ การปฏิบัติการดูแลรกั ษาพืชและปฏบิ ัติการดแู ลรกั ษาพืชผักที่
นกั เรียน ปลกู ให้เจริญงอกงามได้ตามปกติ

4. สือ่ การสอน / แหลง่ เรียนรู้
สื่อการเรียนรู้
1. วีดที ัศน์
2. วรสาร

แหลง่ เรียนรู้
1. หอ้ งสมุด
2. ข้อมลู สารสนเทศ


Click to View FlipBook Version