The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

โภชนศาสตร์

Health14

277
ตารางที่ 8.2 ปรมิ าณเหล็กในอาหารไทย ในสว นทกี่ นิ ได 100 กรัม

อาหาร ปริมาณเหล็ก อาหาร ปรมิ าณเหลก็ อาหาร ปรมิ าณเหลก็
(มลิ ลกิ รัม) (มิลลกิ รัม) (มลิ ลกิ รัม)
9.9
ตบั หมู 10.5 ใบยานาง 7.0 งาดํา 13
15.2
เลอื ดหมู 25.9 ผกั คะนา 1.2 งาขาว 2.5
1.7
ไขไ ก ทัง้ ฟอง 1.6 ใบแมงลัก 17.2 เตา เจีย้ ว

หอยขม 25.2 ผักกูด 36.3 มะละกอ สุก

กงุ ฝอยสด 28 ผกั ชีลาว 4.2 ลกู ตาลออ น

ทม่ี า (กองโภชนาการ ,กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสขุ , 2535)

ความผดิ ปกตขิ องรางกายทเ่ี กี่ยวกบั เหล็ก
การไดรับเหล็กในปริมาณไมสมดุล มีผลตอ รางกายดังนี้
1. ความผิดปกตขิ องรางกายเมอื่ ขาดธาตุเหล็ก
การไดร ับธาตุเหลก็ ท่ไี มเพียงพอจะทาํ ใหเกิดโรคโลหติ จาง เน่ืองจากเหล็กเปนสวนประกอบ

ของฮีโมโกลบิน ดังน้ันเม่ือไดรับธาตุเหล็กไมเพียงพอจึงมีการสรางเม็ดเลือดแดงใหมีขนาดเล็กลง สีจาง
ลง อาการที่ปรากฏใหเ ห็นชัดเม่อื ขาดธาตเุ หล็กคือ มีอาการปวดศรี ษะเนื่องจากเนื้อเย่ือขาดออกซิเจน มี
ภูมติ านทานโรคลดลง ประสิทธิภาพการทาํ งานลดลง

2. ความผิดปกติของรางกายเมอ่ื ไดรบั ธาตุเหลก็ ในปริมาณท่สี งู
มรี ายงานพบวาในเด็กท่ีรบั ประทานยาเม็ดธาตุเหล็กในปริมาณที่สุงถึง 20-60 มิลลิกรัมตอ

นํ้าหนักตัว 1 กิโลกรัม จะเกิดภาวะความเปนพิษอยางเฉียบพลัน คือ มีอาการอาเจียน ทองเสียอยาง
รนุ แรง

278

ภาพที่ 8.2 การตรวจภาวะซดี
ท่มี า (วชิ ัย ตันไพจิตร,2530 )

ไอโอดนี

ไอโอดีน เปนสารอาหารที่รางกายตองการใชเพ่ือการสรางฮอรโมนของตอมไธรอยด ซึ่งทํา
หนาทีค่ วบคุมอวัยวะตา งๆ ของรา งกายใหท าํ งานตามปกติ ไอโอดนี ซมึ เขากระแสเลือดและจะไปกระตนุ
ระบบสมองและประสาทใหเจริญเติบโตและมีพัฒนาการอันสงผลตอสติปญญาและการเรียนรู ใน
รางกายมีไอโอดีนประมาณ 9-10 มิลลิกรัม รอยละ 80 ของไอโอดีนอยูในตอมไธรอยด ที่เหลืออยูใน
กระแสโลหติ
หนาทขี่ องไอโอดีน

ไอโอดีนมีหนาท่ีเปนสวนประกอบที่สําคัญของไธรอยดออรโมน ทั้ง triiodothyroninr (T3) และ
thyroxine (tetraiodothyronine ; T4) ซึ่งอยูในนิวเคียสและมีบทบาทในการเหนี่ยวนําการสังเคราะห
โปรตีนทเ่ี ปนสว นประกอบสําคญั ของฮอรโมน
การดดู ซมึ และการขับถา ยไอโอดนี

ไอโอดีนในอาหารอยูในสภาพของไอโอไดด (iodide) อาจอยูในรูปของเกลืออนนิทรีย หรืออยู
กับสารอนิ ทรยี กไ็ ด เม่อื สารอนิ ทรียถูกยอยไอโอดีนจะเปนอสิ ระ และไอโอดีนจะถกู ดดู ซมึ ในบริเวณลาํ ไส
เล็ก การดูดซึมจะเกิดขึ้นสมบูรณรอยละ 100 เมื่อถูกดูดซึมเขาสูกระแสโลหิต ไอโอดีนจะรวมตัวกับ
โปรตีนแลวกระจายเขาสูเซลล ตอมไธรอยดจะจับไอโอดีนไวประมาณรอยละ 80 ทําใหตอมไธรอยดมี
ความเขมขนของไอโอดีนมากกวาในกระแสโลหิตสูงถึง 20-50 เทา ตอมไธรอยดใชไอโอดีนในการสราง

279

ฮอรโ มนไธรอกซนิ ไอโอดนี ท่เี หลือจะถกู ขบั ออกทางไต โดยออกมากับปสสาวะและเหงือ่ อุจจาระมีเพียง
จํานวนเล็กนอ ย
ปริมาณไอโอดนี ท่รี างกายตองการ

ปญหาการขาดไอโอดีน เปนปญหาสาธารณสุขท่ีสําคัญของประเทศ คณะกรรมการจัดทํา
ขอกําหนดสารอาหารประจําวันท่ีควรไดรับ ไดแนะนําปริมาณไอโอดีนอางอิงที่บุคคลในแตละวัยควร
ไดรับดังน้ี ทารกอายุ 0-5 เดือน เทากับปริมาณไอโอดีนในน้ํานมแม ทารกอายุตั้งแต 6 เดือน ถึง 5 ป
เทากับ 90 ไมโครกรัมตอวัน เด็กอายุ 6-8 ป เทากับ 120 ไมโครกรัมตอวัน วัยรุนชายและหญิงที่มีอายุ
9-12 ป เทากับ 120 ไมโครกรัมตอวัน วัยรุนทั้งชายและหญิงอายุ 13-18 ป เทากับ 150 ไมโครกรัมตอ
วัน ผูใหญ และผูสูงอายุ เทากับ 150 ไมโครกรัมตอวัน สําหรับภาวะพิเศษ เชน หญิงตั้งครรภ และหญิง
ใหนมบตุ ร ควรไดรับไอโอดีนเพิม่ จากปกตอิ กี 50 ไมโครกรัมตอวัน
แหลง อาหารทีม่ ไี อโอดีน

อาหารทะเลทุกชนิดรวมทั้งสาหรายเปนแหลงไอโอดีนที่สําคัญ (ตารางที่ 8.3) และจากปญหา
การขาดไอโอดีนจึงมีมาตรการในการเสริมไอโอดีนลงไปในเกลือ เพื่อลดปญหาดังกลาว การเติม
ไอโอดีนในเกลือดวยเหตุผลที่เกลือน้ันมีราคาถูก และเปนเคร่ืองปรุงรสเค็มที่มีประจําครัวเรือน มีตนทุน
ในการผลิตตํ่าสามารถเก็บไวไดนานและขนสงไปยังที่ตางๆ ไดงาย ดังนั้นเกลือเสริมไอโอดีนจึงเปน
แหลงไอโอดีนท่ีสําคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไดกําหนดใหเกลือบริโภคมีปริมาณไอโอดีนไมนอยกวา
30 มิลลิกรัมตอเกลือ 1 กิโลกรัม (30 สวนในลานสวน) และใหการสนับสนุนสารโปแตสเซียมไอโอเดท
แกผูประกอบการ ทั้งนี้เพ่ือปองกันการสูญเสียระหวางการผลิต การบรรจุ การเก็บ ตลอดจนระยะเวลา
การขนสงกอนทจี่ ะถึงมือผูบ ริโภค

280
ตารางท่ี 8.3 ปริมาณไอโอดนี ในอาหารไทยในสวนทก่ี ินได 100 กรมั

อาหาร ปรมิ าณไอโอดนี อาหาร ปริมาณไอโอดนี
(ไมโครกรมั ) (ไมโครกรมั )
5
ขา วหอมมะลิ,ซอมมือ 16 กระเจี๊ยบมอญ 350
12
ขา วเหนียว,ซอมมอื 12 สาหรายทะเล (ทาํ แกงจดื ) 24
17
ขาวมนั ปู 19 กลว ยนาํ้ วาสุก 36
69
มนั แกว 2 ไกบ า น เน้อื 1
0
มันเทศ 80 เนื้อหมู

หวั ผกั กาด 3 กงุ แชบว ย

เมด็ บวั 20 ปลาสีกนุ

ลูกเดอื ย 16 น้ําปลาแท

งาดาํ อบ 21 นา ปลาผสม

ท่มี า (กองโภชนาการ, กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสขุ , 2546)

ความผิดปกติของรางกายที่เก่ียวกับไอโอดนี
การไดรับไอโอดีนในปรมิ าณท่ีไมส มดุล มผี ลตอรางกายดงั น้ี
1. ความผิดปกติของรางกายเม่ือขาดไอโอดีน
ภาวการณขาดไอโอดีน มีผลทําใหเกิดโรคคอพอกและกลุมอาการอื่นๆ ท้ังรางกายและ

จิตใจ เกิดภาวะแทรกซอนรุนแรงในกลุมคนท่ีอยูในภาวะเส่ียง เชน ทารกท่ีกําลังเติบโตในครรภมารดา
เด็กกอนวัยเรียน เด็กวันเรียน และวัยรุน ในประเทศไทยมีรายงานการขาดไอโอดีนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.
2496 พบวาภาคเหนือ คือจังหวัดเชียงรายและแพร มีอัตราการเปนโรคคอพอกสูงถึงรอยละ 58 และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบรอยละ 15-21 อาการแสดงทางกายของผูท่ีขาดไอโอดีน คือ โรคคอพอก
(goiter มาจากภาษาลาติน gerttin แปลวา คอ) มีอาการคอโต การท่ีตอมไธรอยดมีขนาดโตข้ึน
เน่ืองจากระดับฮอรโมนจากตอมไธรอยดมีนอยเพราะขาดไอโอดีนในการสรางฮอรโมน ทําใหมีการหลั่ง
ฮอรโมนจากตอมใตสมองสวนหนาเพื่อกระตุนใหตอมไธรอยดเพิ่มขนาดและเพ่ิมจํานวนเซลลท่ีทํา

281
หนาที่สรางฮอรโมน ทําใหตอมมีขนาดโตข้ึนเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของตอม ผลจากการท่ี
ตอ มไธรอยดโ ตมีผลใหหายใจและหรือกลืนอาหารเปนไปดว ยความลาํ บาก (ภาพที่ 8.3)

การขาดไอโอดีนในหญิงต้งั ครรภ มีผลทําใหเกิดอาการแทง หรือตายระหวางคลอด แตถาทารก
รอดและเติบโต ทารกคนนั้นจะมีอาการผิดปกติทางสมอง มีพัฒนาการดานประสาทบกพรอง และมี
พัฒนาการทางรางกายดอยเน่ืองจากการขาดไธรอยดฮอรโมน เรียกภาวะดังกลาววา “โรคเออ” เด็กวัย
เรียน วัยรุน มีการขาดไอโอดีนมีผลทําใหเกิดโรคคอพอก มีอัตราการเจริญเติบโตและการเรียนรูชากวา
เด็กปกติ

ภาพท่ี 8.3 โรคคอพอกเนอ่ื งจากการขาดไอโอดนี
ท่มี า (วิชยั ตันไพจติ ร, 2530, หนา 90)

2. ภาวะตอมไธรอยดเ ปน พษิ
หากรางกายมีการสังเคราะหไธรอยดฮอรโมนมากเกินไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดปกติ

ทางพันธุกรรมทําใหตอมไธรอยดจับไอโอดีนมากทําใหเกิดการผลิตและการหล่ังไธรอยดฮอรโมนมาก
โดยควบคุมไมได เรียกภาวะดังกลาววา “ไฮเปอรไธรอยดลิซึม” (hyperthyrodism) ผูปวยจะมีอาการ
ทางประสาท มอี ตั ราการเตนของหวั ใจสูง นอนไมพอ ออ นเพลยี เหง่ืออกงาย นํ้าหนักลดทั้งท่ีกินมาก ถา
เปน มากตอมไธรอยดอ าจมลี ักษณะเหมือนพวงองุน

282

สังกะสี

สังกะสี เปนแรธาตุที่พบมากในผิวโลก มีมากในประเทศโปแลนด ในป ค.ศ 1934 (พ.ศ.2477)
ทอดด และคณะ (Todd,et al) ไดพ ิสูจนว า สังกะสีเปนเกลอื แรทจี่ าํ เปนตอหนู

ในรางกายของมนุษยมีสังกะสีประมาณ 2-3 กรัม กระจายอยูท่ัวไปในเซลลตางๆ ทั่วรางกาย
พบมากใน ตา ตบั กระดกู และผม สังกะสีในเลือดรอยละ 80 อยูในเม็ดเลือดแดง และอีกรอยละ 20 อยู
ในนํ้าเลือด ในเม็ดเลือดขาวมีสังกะสีมากกวาเม็ดเลือดแดงประมาณ 25 เทา (มลศิริ วีโรทัย และนิตนา
ต้ังชูรัตน ,2548)
หนา ที่ของสังกะสี

สังกะสีมีความสําคัญตอการทํางานของเอนไซม โปรตีน และการแสดงอกของหนวยพันธุกรรม
ในทกุ ระบบของสง่ิ มีชีวติ หนา ทข่ี องสังกะสี มีดงั น้ี

1. สังกะสี เปนองคประกอบของเอนไซมไ มน อยกวา 20 ชนดิ เชน แอมโิ นเพปติเดส
2. สงั กะสี เปน โคแฟคเตอรในการสรา งกรดนิวคลอี คิ รวมทั้งการสรา งโปรตนี
3. สังกะสี เปนองคป ระกอบของฮอรโมนอินซลู ิน
4. สังกะสี จําเปนตอ การหลั่งฮอรโ มนเพศเทสโตสเตอโรนในผูชาย และปริมาณอสจุ ิ
การดดู ซึมและการขับถา ยสังกะสี
สงั กะสสี ามารถดูดซึมไดท่ลี ําไสเลก็ ตอนตน และตอนกลาง โดยมีอัตราการดูดซึมประมาณรอย
ละ 10-80 หลังจากน้ันสังกะสีจะจับตัวกับโปรตีนเพื่อขนสงไปตามกระแสเลือด ปริมาณสังกะสีในเลือด
มีประมาณ 100-140 ไมโครกรัมตอเลือด 100 มิลลิกรัม และมีการขับออกทางปสสาวะประมาณ 300-
500 ไมโครกรัมตอวัน โดยรางกายขบั สังกะสอี อกทางอจุ จาระมากทส่ี ดุ
ปรมิ าณสงั กะสีทรี่ า งกายตอ งการ
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย (พ.ศ.2546) ได
แนะนําปริมาณสังกะสีอางองิ ท่คี วรไดรับประจาํ วนั สําหรบั คนไทย (ตารางท่ี 2.9)
แหลงสงั กะสี
อาหารที่เปนแหลงสังกะสีท่ีสําคัญ ไดแก เนื้อสัตวตางๆ อาหารทะเล โดยเฉพาะอยางย่ิงหอย
นางรม ตับ ไข สําหรบั ธญั พืช เชน ขาวเจา ขาวสาลี มีสังกะสีอยูเพียงเล็กนอย ผักและผลไมแทบจะไมมี
สังกะสีอยูเลย สังกะสีในอาหารที่ไดจากสัตวจะมีประสิทธิภาพในการดูดซึมไดดีกวาสังกะสีท่ีไดจาก
อาหารประเภทพืช

283
ความผิดปกตขิ องรางกายทเ่ี ก่ยี วกบั สงั กะสี

การไดรับสงั กะสีในปรมิ าณทไี่ มสมดุล มผี ลตอ รางกายดังนี้
1. ความผิดปกติของรางกายเม่ือขาดสงั กะสี

การขาดสังกะสี ทําใหผูปวยมีอาการผิวหนังบวมแดง อักเสบ (ภาพที่ 8.4) ทองรวง เบ่ือ
อาหาร นํา้ หนักลด รางกายแคระแกรน็ ตดิ เชื้องา ยและมีพฤตกิ รรมท่ผี ดิ ปกติ ทารกที่มนี ้ําหนักแรกคลอด
ตํ่า (นอยกวา 2,500 กรัม) มีความเสี่ยงตอการขาดธาตุสังกะสี การขาดธาตุสังกะสีในวัยรุนทําให
รางกายเต้ียแคระ ภาวะการเจริญพันธุชา และมีภาวะโลหิตจางรวมดวย และการขาดสังกะสีในหญิง
ต้ังครรภม กั พบปญหาการคลอดกอ นกําหนด ความดันโลหติ สงู และทารกในครรภเ ติบโตชา

ภาพท่ี 8.4 เมด็ พพุ องทห่ี นา เนือ่ งจากการขาดสงั กะสี
ท่ีมา (วิชยั ตันไพจติ ร ,2530, หนา 90)

2. ความผดิ ปกตขิ องรา งกายเมอ่ื ไดรับสงั กะสใี นปริมาณสงู
ภาวะเปนพิษอยางเฉียบพลันเกิดขึ้นไดเม่ือไดรับสังกะสีในปริมาณที่สูง เชน 225-450

มิลลิกรัม ทําใหมีอาการคล่ืนไส อาเจียน ปวดทองอยางรุนแรง ทองเสีย และออนเพลียไมมีแรง ในกรณี
ที่ไดรับธาตุสังกะสีสูง เชน 100-300 มิลลิกรัมตอวันติดตอกันเปนระยะเวลาหนึ่ง อาจทําใหเกิดการขาด
ธาตทุ องแดงซึ่งมีผลเสยี ตอระบบภมู ิคมุ กัน และลดระดับ HDL-C ดว ย

284

ทองแดง

ทองแดง เปนแรธาตุที่ตองการในปริมาณนอย ในป ค.ศ. 1928 ฮารท และคณะ (Hart,et .al)
พบวา การใชเหลก็ เพียงอยา งเดยี วไมสามารถปองกนั โรคโลหิตจางในหนูที่เลี้ยงดวยนม (ซึ่งเปน อาหารที่
มีเหลก็ นอ ย) แตถ า เตมิ เถา จากการเผาตบั หรอื ผักลงไปดว ย สามารถปองกนั โรคโลหิตจางได และเห็นวา
ใหเ ถาทีม่ ใี หสฟี า ฮารท ต้งั ขอสงสัยวา คือ “ทองแดง” ตอ มาในป ค.ศ. 1875 ฮารท พบวาทองแดงจําเปน
ตอการสรางฮีโมโกลบิน และรางกายมนุษยมีทองแดงอยูประมาณ 75-150 มิลลิกรัม ซึ่งสวนใหญอยูท่ี
ตับ สมอง หัวใจ และไต
หนาท่ีของทองแดง

ทองแดง มหี นา ทสี่ าํ คัญตอ รางกาย ดงั นี้
1. ทองแดงในเลือด ทาํ หนา ท่เี กย่ี วของกับการใชธาตุเหล็กในรางกาย
2. ทองแดง เปนองคป ระกอบของเอนไซมหลายชนิด
3. ทองแดงเปนสารที่มีจําเปนตอการสรางฮีโมโกลบิน เมลานิน (melanin pigment) และการ

สรา งโปรตนี อลี าสติน
การดูดซึมและการขบั ถา ยทองแดง

ทองแดงถูกดูดซึมไดท่ีกระเพาะอาหารและลําไสเล็กสวนตนรอยละ 95 ของทองแดงในเลือด
จับกับโปรตีนที่มีช่ือวา “ceruloplasmin” และอีกรอยละ 5 จับกับโปรตีนแอลบูมิน สังกะสีและ
โมลิบดีนัมขัดขวางการดูดซึมของทองแดง ทองแดงการขับถายออกจากรางกายทางอุจจาระ โดย
ออกมากบั น้าํ ดจี ากตับ
ปริมาณทองแดงท่รี างกายตอ งการ

คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย (พ.ศ.2546) ได
แนะนาํ ปรมิ าณสงั กะสอี างอิงทค่ี วรไดร ับประจาํ วันสําหรบั คนไทย (ตารางที่ 2.9)

ปริมาณทองแดงท่ีทารกอายุ 0-5เดือน ควรรับเทากับปริมาณที่มีในน้ํานมแมที่ทารกบริโภคก็
เพียงพอกับความตองการของรางกาย ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรไดรับทองแดง 220 ไมโครกรัมตอวัน
เดก็ ชายหญิง อายุ 1-3 ป เทา กบั 340 ไมโครกรมั ตอ วัน อายุ 4-8 ป เทากบั 440 ไมโครกรัมตอวนั ผใู หญ
ทั้งชายและหญิงเทากับ 900 ไมโครกรัมตอวัน หญิงตั้งครรภ และหญิงใหนมบุตร ควรไดรับทองแดง
เพิม่ ข้ึนวันละ 100 และ 400 ไมโครกรัมตอ วันตามลําดบั

285

สําหรับผูใหญการไดรับทองแดงในปริมาณ 10 มิลลิกรัมตอวัน พบวาเปนปริมาณท่ียังไมเปน
อนั ตรายตอ ตบั
แหลง ทองแดง

อาหารท่ีมีทองแดงมากไดแก เนื้อสัตวชนิดตางๆ โดยในตับมีทองแดงมากที่สุด รองลงมาไดแก
อาหารทะเล เชน หอยนางรม ถ่ัวเมล็ดแหง โกโก เชอรี่ เห็ด ธัญพืช และเจลาติน น้ําดื่มท่ีมีแรธาตุตางๆ
เจอื ปนอยเู ลก็ นอ ย มีทองแดงเชน กัน
ความผดิ ปกตขิ องรางกายทเี่ ก่ียวกับทองแดง

การไดร ับทองแดงในปรมิ าณท่ไี มสมดลุ มผี ลตอ รา งกายดังนี้
ความผดิ ปกตขิ องรา งกายเมอ่ื ขาดทองแดง

อาการแสดงของการขาดทองแดง ไดแก การเกิดโรคโลหิตจางชนิด microcytic
hypochromic anaemia โดยมีอาการแสดงที่สําคัญคือ เม็ดเลือดขาว (ชนิด neutrophils) ลดลง ผมมี
ลักษณะแข็งและขดเปนเกลียว สีผมและสีผิวจาง พบความผิดปกติในการสรางเนื้อเย่ือยืดหยุนตาม
ผิวหนังและผนังหลอดเลือด มีการสลายของกระดูกและความเส่ือมของประสาท และโรควิลสัน
(Wilson’s disease) เปนโรคทางพันธุกรรมที่มีทองแดงไปสะสมที่ตับ สมอง และอวัยวะอื่นๆ เนื่องจาก
การขาดโปรตีนท่ีชวยในการขนสง จึงทําใหอวัยวะตางๆ ภายในรางกายทํางานผิดปกติ โดยปกติมักไม
คอยพบวามีโรคขาดทองแดงท่ีเกิดจากภาวะโภชนาการ แตมีรายงานท่ีแสดงอาการขาดทองแดงใน
ผูปว ยท่ีไดร บั อาหารทางหลอดเลอื ดดาํ (TPN)

ความผดิ ปกติของรางกายเม่อื ไดรับทองแดงในปรมิ าณสงู
มีรายงานทีแ่ สดงวา การดม่ื ของเหลวและบรโิ ภคอาหารทีป่ นเปอ นทองแดงในปริมาณสงู จะ
มีรสชาติของโลหะที่ทําใหผูบริโภคเกิดอาการไมสบายของระบบทางเดินอาหาร เชน คล่ืนไส อาเจียน
ปวดศรี ษะ เปนตะครวิ ท่ีทอง และอจุ จาระรว ง เปน ตน
ฟลอู อไรด
ฟลูออไรด เปนสารท่ีพบไดตามธรรมชาติในนํ้าและดินในปริมาณที่ตางๆกัน ฟลูออไรดเปน
สารอาหารที่มีประโยชนตอกระดูกและฟน ในรางกายมีฟลูออไรดนอยมาก รอยละ 90 ของปริมาณที่มี
อยใู นรา งกายจะสะสมอยูในเนื้อเย่อื แข็ง ไดแก กระดกู และฟน รา งกายสามารถไดรบั ฟลอู อไรดจากการ
บริโภคอาหารและนํ้าที่มีฟลูออไรดในปริมาณท่ีเหมาะสม การใชยาสีฟนท่ีมีฟลูออไรด น้ํายาบวนปากท่ี
มฟี ลอู อไรด และการเคลือบฟลอู อไรดท่ฟี น จะสามารถชวยปองกันฟน ผไุ ด

286

หนา ทข่ี องฟลูออไรด
ฟลูออไรด มีหนาที่สาํ คัญตอรางกายดงั น้ี
1. สรางเสรมิ แรธ าตขุ องฟน และความหนาแนนของกระดกู
2. ลดความเสี่ยงตอ การเกดิ โรคฟนผุ
3. ขัดขวางเมตาบอลซิ มึ ของจลุ ินทรยี ใ นชองปาก

การดดู ซมึ และการขับถายฟลอู อไรด
สามารถไดรับฟลูออไรดจากหลายๆ แหลง เชน น้ํา อาหาร และอากาศ รางกายจะดูดซึม

ฟลอู อไรดท ่กี ระเพาะอาหาร และไปสะสมที่เลอื ด เนอื้ เยื่อ ของเหลวในรางกาย (เชน น้ําในรอ งเหงอื ก นํ้า
ในนํ้าลาย ปสสาวะ เหงื่อ นํ้านมมารดา) กระดูก และฟน อยางไรก็ตามฟลูออไรดจะถูกสะสมไวใน
ปริมาณนอ ยเทานัน้ สว นท่เี กินจะถูกขบั ออกทางปสสาวะภายในครึง่ ช่ัวโมง หลังจากรางกายไดร บั เขาไป
แลวจะขับออกหมดภายใน 2-3 ช่ัวโมง
ปริมาณฟลอู อไรดท ่ีรางกายตอ งการ

คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย (พ.ศ.2546) ได
แนะนําปริมาณฟลูออไรดอางอิงท่คี วรไดร ับประจําวันสําหรับคนไทย (ตารางที่ 2.9)

ปริมาณฟลูออไรดท่ีเหมาะสมในน้ําดื่มที่รางกายควรไดรับคือ 0.5 มิลลิกรัมตอวัน มีหลักฐาน
ยืนยันความปลอดภัยจากการใชฟลูออไรดในปริมาณนอย อยางตอเน่ืองเปนระยะเวลานาน 30 ป
แมแ ตผ ูสงู อายุที่มีความเส่ียงตอการเกิดโรคกระดูกพรุน หากมีการใชฟลูออไรดอยางถูกตองจะสามารถ
ปองกันการเกิดโรคกระดูกหักจากกระดูกพรุน โดยไมมีผลขางเคียงตอการระคายเคืองของทางเดิน
อาหาร
แหลง ฟลอู อไรด

แหลงของฟลูออไรดท่ีรางกายไดรับมาจากนํ้าดื่ม ปริมาณฟลูออไรดในน้ําดื่มที่เหมาะสมคือ
ประมาณ 0.5 มิลลิกรัมตอวัน นอกจากนี้ยังไดรับฟลูออไรดจากเครื่องดื่ม และฟลูออไรดที่ทันตแพทย
แนะนําใหใชเพื่อปองกันฟนผุ โดยทั่วไปปริมาณฟลูออไรดในอาหารมีไมสูงมากนักคือมีประมาณ 0.01-
1.0 สว นในลา นสว น
ความผดิ ปกตขิ องรางกายท่เี กี่ยวกับการไดร ับฟลูออไรด

การไดร บั ฟลูออไรดใ นปริมาณทไ่ี มสมดุล มผี ลตอ รางกายดงั นี้

287
1. ความผดิ ปกติของรา งกายเมอ่ื ขาดฟลอู อไรด

การขาดฟลอู อไรด มผี ลทําใหก ระดูกและฟน ไมแ ข็งแรง (ภาพท่ี 8.5)
2. ความผดิ ปกติของรา งกายเมอ่ื ไดร บั ฟลอู อไรดใ นปริมาณสูง

การไดรบั ฟลูออไรดม ากเกนิ ไป ทําใหเกิดโรค “ฟลูออโรซิส” (fluorosis) ทําใหฟนมีสีนํ้าตาล
หรือดําถาวร

ภาพที่ 8.5 ฟน ทมี่ กี ารขาดฟลูออรีน
ท่มี า (Grosvenor, Marry B,2002)

สรุป

เกลือแร เปนสารอาหารที่มีความสําคัญท่ีรางกายจําเปนตองไดรับในแตวันอยางเหมาะสม
เกลือแรทรี่ างกายตอ งการแบง ออกเปน เกลือแรท่ีรางกายตองการในปริมาณมาก เปนเกลือแรที่รางกาย
ตองการในปริมาณท่ีมากกวา 100 มิลลิกรัม มีท้ังหมด 7 ชนิด คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม
กํามะถัน โซเดียม โปแตสเซียม และคลอรีน ซ่ึงเกลือแรในกลุมน้ีสวนใหญจะเปนองคประกอบของ
กระดูกและฟน และทาํ หนา ท่ีควบคมุ สมดุลของน้าํ และรักษาความเปน กรด-ดางภายในรางกาย เกลือแร
อีกกลุม คือ เกลือแรที่รางกายตองการในปริมาณเพียงเล็กนอยในแตละวัน ซึ่งเกลือแรแตละชนิดก็ทํา
หนาท่ีแตกตางกันไป เกลือแรกลุมนี้ ไดแก เหล็กไอโอดีน สังกะสี ทองแดง ฟลูออไรด แมวารางกาย
ตองการเกลือแรเหลานี้ในปริมาณเพียงเล็กนอยแตขาดไมได เพราะพบวาการขาดเกลือแรบางชนิดเปน
ปญหาโภชนาการของประเทศซึ่งสงผลกระทบตอการพัฒนาคุณภาพชีวิต เชน การขาดธาตุเหล็ก ท่ีทํา
ใหเปน โรคโลหติ จาง หรอื การขาดไอโอดีน ทาํ ใหเ กดิ โรคคอพอกในผใู หญ และโรคเออ ในเดก็



บทที่ 9

นา้ํ

น้ําเปนส่ิงที่จําเปนสําหรับส่ิงมีชีวิต ในรางกายมนุษยน้ํามีความสําคัญเปนอันดับสองรอง
จากออกซิเจน และนับวาเปนสิ่งที่มีความสําคัญมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสารอาหารชนิดอ่ืน
การขาดนํ้าอยางสิ้นเชิงภายใน 2-3 วัน ทําใหตายได นํ้าทําหนาที่สําคัญหลายอยางในรางกาย เชน
เปนสว นประกอบท่ีสาํ คญั ของเซลล และเนื้อเยอื่ ทกุ ชนิด นา้ํ เปนตวั ทําละลายสารตางๆ เปนตวั กลาง
ใหเกิดปฏิกิริยาเคมี ชวยในการดูดซึมและขนสงอาหารไปยังเซลลตางๆ ชวยขับถายของเสียออก
จากเซลล ทําหนาท่ีควบคุมอุณหภูมิของรางกายใหคงท่ี เปนตน ปริมาณนํ้าในรางกายมีการ
เปล่ียนแปลงไปตามวยั ยิง่ เปนผสู งู อายุปรมิ าณนํา้ ในรางกายจะยิ่งนอ ยลง

นาํ้ ท่มี ีในรางกาย

นํ้าประกอบดวยธาตุ 2 ชนิด คือ ไฮโดรเจน และออกซิเจน รวมตัวกันอยูในรูปของ
สารประกอบ โมเลกุลของนาํ้ 1 โมเลกุล มีธาตไุ ฮโดรเจนอยู 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม จึงมี
สูตรโมเลกุลวา H2O น้ําเปนสวนประกอบที่สําคัญของทุกเซลลของส่ิงมีชีวิต ในบรรดาสารอาหาร
ท้ังหมดท่ีมีอยูในรางกาย น้ําเปนสารอาหารที่มีอยูมากท่ีสุด โดยในรางกายของผูใหญปกติ (ชาย)
จะมปี ริมาณนํ้าและสารอาหารอืน่ ดังแสดงในตารางที่ 9.1

ตารางท่ี 9.1 ปรมิ าณนํา้ และสารอาหารตางๆ ท่ีมใี นรางกายของผูใหญปกติ (ชาย)

สารอาหาร ปรมิ าณน้าํ ท่มี ใี นรางกาย คิดเปนรอ ยละ
เมือ่ เปรยี บเทยี บกบั นํา้ หนกั ตัว
นํ้า 60
โปรตนี 18
ไขมัน 18
คารโ บไฮเดรต นอยกวา 1
เกลือแร 4
วิตามิน นอยมาก

ทม่ี า (ชวลิต รัตนกุล, 2548, หนา 433)

290

ในทารกแรกเกิดมีนํ้าอยูในรางกายประมาณรอยละ 77 ของนํ้าหนักตัว เมื่อเจริญเติบโตขึ้น
สัดสว นของนาํ้ ลดลง ทารกที่มีอายุครบ 1 ป จะมีนํ้าเหลือเพียงรอยละ 65 สวนในผูใหญมีน้ํารอยละ
55-60 และเม่อื มีอายมุ ากกวา 60 ป ถาเปนชายจะมนี ้าํ ประมาณรอยละ 51 และในผสู งู อายุหญิงจะ
มีนํ้าในรางกายเพียงรอยละ 45 ของนํ้าหนักตัวเทานั้น ดังน้ันในวัยท่ีตางกันจะมีปริมาณน้ําใน
รางกายที่แตกตางกัน นอกจากวัยแลวพบวา เพศ และความอวน ผอม มีผลทําใหมีปริมาณนํ้าใน
รางกายที่แตกตางกัน โดยในคนอวนท่ีไขมันมาก มีสวนของกลามเนื้อนอย จะมีปริมาณน้ําใน
รางกายนอยกวาคนปกติหรือคนผอม สําหรับในนักกีฬา นักเลนกลาม ซึ่งมีสวนของกลามเน้ือมาก
ไขมนั นอย จะมปี รมิ าณนํ้าในรา งกายมากกวา คนธรรมดาทีม่ ีเพศและวันเดยี วกนั

หนา ท่ขี องน้ํา

น้ําทีม่ ีอยูในรา งกายของคน มีหนา ท่ีตา งๆ ดังตอไปน้ี
1. นํา้ เปน สว นประกอบท่สี ําคญั ของเซลล และเนื้อเย่อื ทกุ ชนดิ

นํ้ามีอยูในเนื้อเยื่อตางๆ ทั้งที่อยูภายในเซลล และภายนอกเซลล น้ําที่อยูภายในเซลล
ชว ยทาํ ใหเซลลคงรปู อยูได และยังทาํ หนา ท่ตี า งเพือ่ ชวยใหชีวิตดํารงอยูได สําหรับนํ้าภายนอกเซลล
ไดแก น้ําในกระแสโลหิต และน้ําที่อยูระหวางเซลล ทําหนาที่หลอเล้ียงเซลลและเนื้อเยื่อตาง ๆ ให
สามารถดาํ เนินกิจกรรมของเซลลไดอยา งมีประสิทธิภาพ

2. นาํ้ เปน ตวั ทาํ ละลาย
น้ําเปนตัวทําละลายสารตางๆ ดังนั้นน้ําจึงชวยใหกระบวนการยอยเกิดข้ึนไดอยาง

สมบูรณ เน่ืองจากน้ําเปนสวนประกอบของน้ํายอยตางๆ ท้ังจากกระเพาะอาหาร ลําไสเล็ก และ
น้ําลาย นํ้าที่มีอยูในนํ้ายอยทําหนาที่เปนตัวละลายสารตางๆ ซ่ึงจําเปนสําหรับการยอย ไดแก
เอนไซม กรด และเกลือแรตางๆ แลวพาออกสูทางเดินอาหาร เชน ปาก กระเพาะอาหาร และลําไส
เล็ก เพื่อคลุกเคลากับอาหารและทําใหเกิดการยอยขึ้น รวมทั้งชวยในการดูดซึมและขนสง
สารอาหารไปยงั เซลลต างๆ

3. นาํ้ ชวยในการขบั ถา ยของเสียออกจากรา งกาย
ตลอดเวลาที่เซลลทํางาน มีการใชสารอาหาร ออกซิเจนเพ่ือเผาผลาญใหเกิดพลังงาน

ทําใหเกิดของเสียเกิดขึ้น ไดแก คารบอนไดออกไซด และถามีการสลายตัวของโปรตีน ทําใหเกิด
ยูเรีย ซึ่งเปนของเสียเชนกัน ของเสียตางๆ เหลานี้ รวมท้ังเกลือแรและวิตามินตางๆ ท่ีรางกายไม
ตองการใช จะถูกพาออกจากเซลลโดยนํ้า อวัยวะท่ีสําคัญในการขับถายของเสียไดแก ไต ซ่ึงจะทํา
หนาท่ีขับถายยูเรีย เกลือแร และวิตามินตางๆท่ีละลายน้ําได รวมทั้งนํ้ายังชวยในการขับสารพิษท่ี

291

เกิดขึ้นในรางกายหรือเขาสูรางกาย เชน ยา และสารแปลกปลอมอ่ืนๆ ออกทางปสสาวะ ดังนั้น
รางกายจงึ ตองการนํ้าประมาณวันละ 1-2 ลิตร เพ่ือทําหนาท่ีเปนตัวละลายและนําของเสียออกจาก
กระแสเลือด

4. เปน สารจาํ เปนสาํ หรับปฏิกิรยิ าทางเคมปี ระเภทไฮโดรไลซสิ
ปฏิกิริยาดังกลาวเกิดข้ึนในกระบวนการยอยอาหาร สารอาหารที่มีขนาดโมเลกุลขนาด

ใหญ ซึง่ ไมอาจผานผนงั ของลาํ ไสเลก็ ได จะเขาทําปฏิกิริยากับน้าํ โดยมีเอนไซมชนิดตา งๆ ทาํ หนาท่ี
เปนตัวเรงปฏิกิริยา (catalyst) เมื่อรวมกับนํ้าแลวก็จะแตกสลายออกเปนสารโมเลกุลเล็ก ซึ่ง
สามารถจะผานผนังลําไสเล็กไดและถูกดูซึมเขาสูกระแสโลหิตไปในที่สุด ดังน้ันถาไมมีน้ําปฏิกิริยา
เคมดี งั กลาวจะไมสามารถเกิดขนึ้ ได

5. นาํ้ ทาํ หนาท่เี ปนตวั หลอล่ืน
น้ํา ที่เปนองคอยูในสวนตางๆ ของรางกาย ทําหนาท่ีเปนตัวหลอล่ืน เชน นํ้าในนํ้าลาย

ชวยหลอลื่นในขณะท่ีมีการเคี้ยวหรือกลืนอาหาร น้ําท่ีหลอเล้ียงขอกระดูกตรงบริเวณปลายกระดูก
ทําหนา ท่ีเปนตวั หลอล่นื และปอ งกันการเสียดสขี องขอ ตางๆ ในขณะทีม่ ีการเคลอื่ นไหว เปน ตน

6. นา้ํ ทําหนาท่คี วบคมุ อุณหภมู ขิ องรา งกายใหคงท่ี
เนื่องจากในรางกายของคนตองมีการเผาผลาญสารอาหารเกิดขึ้นเพื่อใหไดพลังงาน

ออกมาใชในการดํารงชีวิต พลังงานที่เกิดข้ึนผลสุดทายจะเปนพลังงานความรอนซึ่งหากไมมีการ
ระบายออก อุณหภูมิของรางกายจะเพ่ิมสูงขึ้นจนอาจเปนอันตรายตอเซลลและเน้ือเย่ือตางๆ ได
ดังน้ันรางกายจึงตองมีกลไกในการระบายความรอนออกจากรางกาย วิธีการระบายความรอนมี
หลายวิธี ไดแก การนําความรอนจากผิวกายออกสูอากาศโดยรอบ หรือใชการระเหยของน้ํา เชน
การระเหยของนํ้าออกทางปอดพรอมกับลมหายใจ หรือออกจากผิวกาย กลายเปนเหง่ือ เปนตน
เพอ่ื ควบคมุ อุณหภมู ขิ องรางกาย

การควบคุมสมดลุ ของนํา้ ในรางกาย

น้ํา ท่ีมีอยูในรางกายของคนแมวาจะมีคาไมคงที่ แตตองอยูในสภาพท่ีสมดุล คือ มีการ
ไดร บั นํา้ เทา กับปรมิ าณน้ําทีส่ ญู เสยี ซึ่งภาวะดังกลาวเรียกวา “สมดุล” แตถาสมดุลของนํ้าผิดปกติ
ไป ยอมสงผลกระทบตอ รางกาย

กลไกการควบคุมการไดรับน้ําของรางกาย คือ ศูนยกระตุนใหรูสึกกระหายนํ้า (thirst
centre) อยูในไฮโปทาลามัส (hypothalamus) ซึ่งเปนสวนของสมองท่ีใกลตอมพิทูอิทารี โดยศูนยน้ี
มเี ซลลท ไ่ี วตอการเปล่ียนแปลงของสารอาหารบางอยางท่ีละลายอยูในเลือด โดยเฉพาะสารพวก

292

อิเล็คโทรไลต เชน โซเดียม หากความเขมขนของโซเดียมในนํ้าเลือดสูงกวาปกติเพียงรอยละ 1
ศูนยดังกลาวจะกระตุนใหมีความรูสึกกระหายนํ้า เมื่อรางกายขาดนํ้า จะสงผลใหโซเดียมมีความ
เขมขนสูงกวาปกติ ศูนยดังกลาวจะทํางานทําใหเกิดความรูสึกกระหาย แมวาการขาดนํ้าเพียงรอย
ละ 1-2 ของปรมิ าณนาํ้ ท่ีมอี ยใู นรา งกายกเ็ พียงพอทจี่ ะทาํ ใหศูนยด ังกลาวทํางาน และเมือ่ ไดรับมาก
เกนิ ไป จะมีการกลไกควบคมุ ขบั ถายนํา้ สวนเกินออกจากรา งกาย

ฮอรโมนทีส่ ําคัญทมี่ ผี ลตอการขับถา ยนา้ํ

ฮอรโ มน ทม่ี ีความนําคญั และมผี ลตอ การขับถา ยน้าํ มีดงั นี้
1. ฮอรโมนแอนตไี ดยูเรติก (anti-diuretic hormone ; ADH)

จากตอมพิทูอิทารี (หรือตอมใตสมอง) โดยฮอรโมนชนิดน้ีจะไปออกฤทธ์ิที่ไตทําใหไต
ดูดนํ้ากลับเขาสูรางกาย ถาฮอรโมนน้ีหลั่งออกมามากจะมีผลใหเกิดการดูดน้ํากลับมาก ปสสาวะก็
จะมีปริมาณนอย โดยที่ไตน้ันจะทําหนาที่กรองของเสียออก ซ่ึงน้ําท่ีผานไตทั้งหมดเกือบรอยละ 99
จะถูกดูดกลับทั้งหมด เหลือเพียงรอยละ 1 เทาน้ันท่ีจะถูกขับออกมาเปนปสสาวะ โดยการทํางาน
ของฮอรโ มน แอนตีไดยูเรตกิ หากมีความผดิ ปกติเกดิ ข้ึนทต่ี อมพทิ ูอิทารี จะมผี ลทาํ ใหฮ อรโ มน
แอนตีไดยูเรติก หล่ังออกมานอยหรือไมหล่ังเลย นํ้าที่ผานไตจะถูกดูดกลับนอย มีผลใหมีปสสาวะ
มาก ลักษณะของปสสาวะจะเจือจาง มีความถวงจําเพาะต่ํา และมีสีออน การเกิดสภาวะดังกลาว
เรียกวา “โรคเบาจืด” (diabetes insipidus) โรคนี้สามารถถายทอดทางพันธุกรรมได แตพบไดไม
มากนัก ผูปวยจะมีอาการถายปสสาวะมากและบอย ผูปวยกระหายน้ําตลอดเวลา และตองด่ืมน้ํา
วันละมากๆ

2. ฮอรโ มนจากสว นนอกของตอมหมวกไต (adrenal cortex)
ฮอรโมนในกลุมนี้ออกฤทธิ์โดยตรงตอการขับถายโซเดียม คือ ถาฮอรโมนถูกหล่ัง

ออกมามาก ไตจะดูดซึมโซเดียมกลับเขาสูรางกายมาก ซ่ึงอาจทําใหเกิดภาวะ “กักโซเดียม”
(sodium retention) คือปริมาณโซเดียมที่ไดรับจากอาหารมีมากกวาที่ขับถายออก ทําใหผูปวยมี
อาการตัวบวม เน่ืองจากเกิดสภาวะการกักนํ้า ดังน้ันในการรักษาตองมีการจํากัดปริมาณโซเดียมท่ี
จะไดร บั ทัง้ จากอาหาร ยา และเครอื่ งดืม่ เปนตน

3. ฮอรโ มนอินซูลิน (insulin)
อินซูลิน เปนฮอรโมนที่ผลิตมาจากตอมไรทอในตับออน ผูที่มีภาวะการขาดฮอรโมน

ชนิดนี้จะเปนโรคเบาหวาน (diabetes mellitus) ในผูปวยโรคเบาหวานรางกายใชกลูโคสไดไมดี ทํา
ใหมีระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือดสูงกวาปกติ กลูโคสสวนหน่ึงจะถูกขับถายออกทางไตมาพรอมกับ

293

ปสสาวะ กลูโคสท่ีถูกขับออกมาน้ีจะดึงเอานํ้าออกมาทางปสสาวะมากขึ้นเพ่ือทําหนาท่ีเปนตัวทํา
ละลาย ผูปวยที่เปนเบาหวานอยางรุนแรงและไมไดรับการรักษาผูปวยจะสูญเสียท้ังกลูโคสและนํ้า
ออกมามากทางปสสาวะ ทําใหผูปวยเกิดภาวะการขาดน้ํา (dehydration) ผูปวยเบาหวานจึงมี
อาการถายปส สาวะบอ ย กระหายนา้ํ มากและดมื่ นํา้ มาก ดังนนั้ อินซลู นิ จงึ มีผลตอการสญู เสียน้ํา

4. ฮอรโมนจากตอ มธยั รอยด
ฮอรโมนชนิดนี้ทําหนาที่ควบคุมการเผาผลาญสารอาหารของรางกาย แตถามีการหลั่ง

ฮอรโมนน้ีออกมามากผิดปกติ เรียกวา “ภาวะไฮเปอรธัยรอยดิซึม” (hyperthyrodism) พบในผูปวย
ท่ีเปนโรคคอพอกชนิดเปนพิษ ทําใหมีอัตราการเผาผลาญสารอาหารภายในรางกายสูงกวาปกติ ซึ่ง
สงผลใหเกิดความรอนมากข้นึ ในรางกาย รวมท้ังมีของเสียเกิดขน้ึ มากดวย รา งกายจงึ จาํ เปน ตอ งขบั
น้ําออกมากขึ้นเพ่ือเปนการระบายความรอนออก รวมทั้งการพาของเสียออกจากรางกาย ดังน้ัน
ภาวะท่ีมีฮอรโมนจากตอมธัยรอยดมากเกินไปมีผลทําใหรางกานเกิดการสูญเสียน้ํามากกวาปกติ
(ชวลิต รตั นกูล, 2548, หนา 438)

การไดร ับนํา้ ของรางกาย

รา งกายไดรับนาํ้ จาก 3 ทาง ดังนี้
1. การดม่ื

รางกายไดรับน้ําในรูปของอาหารที่เปนของเหลว ไดแก นํ้าเปลา เครื่องดื่มทุกชนิด เชน
นํ้าชา กาแฟ นํ้าหวาน น้ําอัดลม น้ําผลไม นํ้าสมุนไพร น้ํานม รวมท้ังเคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล เชน
เบียร เหลาชนิดตางๆ เปนตน คนปกติจะไดรับน้ําจากแหลงดังกลาวมากที่สุด โดยปริมาณน้ําท่ีคน
ท่ัวไปไดร บั จากการดื่มสว นใหญประมาณวันละ 1-1.5 ลติ ร

2. การกิน
อาหารตามธรรมชาติมีนํ้าเปนองคประกอบ โดยปริมาณนํ้าในอาหารแตละชนิดมี

ปรมิ าณมากนอ ยขน้ึ อยกู บั ชนดิ ของอาหารน้ันๆ เชน ในผกั สดและผลไมม ีนํ้าประมาณรอยละ 60-95
เน้ือสัตว เชน เนื้อวัวชนิดไมมีมัน มีน้ําประมาณรอยละ 70 ขาวเจาหุงสุก มีน้ําประมาณรอยละ
65-70 ในขณะท่ขี นมปง ปอนด มีน้าํ ประมาณรอยละ 25 เปนตน

3. การเผาผลาญสารอาหาร
ในกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร ไดแก คารโบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน เมื่อ

ส้ินสุดกระบวนการเผาผลาญจะไดพลังงาน คารบอนไดออกไซด และนํ้าเกิดขึ้น เชน การเผาผลาญ
คารโ บไฮเดรต (กลโู คส) จะทาํ ใหไ ดน า้ํ เกิดขน้ึ 0.6 กรัม ดงั แสดงในตัวอยา งดังตอไปน้ี

294

การเผาผลาญของกลโู คส

C6H12O6 + 6O2 6CO2 + 6H2O + พลงั งาน

จากสมการ นํา้ ตาลกลูโคส 1 กรมั ถกู เผาผลาญไดน า้ํ 6 กรมั โมล

1 กรัมโมล ของนํ้าตาลกลโู คส = นํ้าตาลกลโู คส (12x6)+(1x12)+(16x6) = 180 กรมั

1 กรมั โมล ของนํา้ = น้ํา (1x12)+(16x1) = 18 กรัม

6 กรมั โมล ของนํา้ = นํา้ (6x18) = 108 กรัม

ดงั นัน้ นํ้าตาลกลโู คส 180 กรมั ถูกเผาผลาญจะไดน าํ้ 108 กรมั

นํา้ ตาลกลูโคส 1 กรัม ถกู เผาผลาญจะไดนา้ํ 108/180 = 0.6 กรมั

ดงั น้ัน คารโบไฮเดรต 1 กรัม เมือ่ ถูกเผาผลาญในรางกายจะทาํ ใหเ กดิ น้ํา 0.6 กรมั

สําหรบั ไขมัน และโปรตนี เม่ือถกู เผาผลาญจะใหป ริมาณนาํ้ แกรา งกาย ดังนี้

ไขมนั 1 กรัม ถกู เผาผลาญทาํ ใหเ กิดนํ้าประมาณ 1.07 กรัม

โปรตีน 1 กรัม ถูกเผาผลาญทาํ ใหเกิดนํ้าประมาณ 0.41 กรมั

นํ้าท่ีเกิดขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารมีความสําคัญในกระบวนการขนสงสาร

และการเปน ตัวทาํ ละลาย เพือ่ ใหสารอาหารผา นเขา สูเซลล

การสูญเสียนํ้าของรางกาย

ในคนปกตทิ ไ่ี มมีภาวะความเจ็บปวย รางกายจะมกี ารสญู เสยี น้ําได 4 ทาง ดังนี้
1. ทางผิวกาย

ตลอดเวลาท่ีเรามีชีวิตอยูมีการเผาผลาญภายในรางกาย ทําใหเกิดความรอนขึ้น
รา งกายจาํ เปนตองระบายความรอนออก เพอ่ื รักษาอุณหภูมิของรางกายใหคงท่ีอยูเสมอ การระเหย
นาํ้ ทางผวิ กายจะสามารถชวยระบายความรอนทเ่ี กิดข้ึนได

รา งกายสามารถสูญเสียนา้ํ ทางผวิ กายได 2 วธิ ีคือ
1. การสูญเสียน้ําทางผิวกายโดยท่ีเราไมรูสึกตัว (insensible perspiration) ซ่ึงการ
สญู เสียน้ําในลักษณะน้มี กั เกิดขึ้นในอากาศทีแ่ หง โดยระเหยน้ําผานผิวหนังโดยท่ีเราไมรูสึกตัว หรือ
โดยการหายใจ
2. การสูญเสยี นํา้ ทางผิวกายโดยท่ีเรารูสกึ ได (sensible perspiration) เชน เหงื่อ การ
สูญเสียเหงื่อข้ึนอยูกับอุณหภูมิและอากาศ รวมท้ังการใชแรงงานของรางกาย ในขณะท่ีรางกาย
ทํางานหนัก เลนกีฬา หรืออยูในที่อากาศรอนยอมจะมีเหงื่อออกมามาก ไฮโปทาลามัส ซ่ึงเปนศูนย
ควบคุมการขับเหงื่อ เม่ือเลือดไหลเวียนในรางกายมีอุณหภูมิสูงกวาปกติ ไฮโปทาลามัสจึงเรงใหมี

295

การขับเหง่ือออกมามาก เม่ือเหง่ือระเหยพาความรอนออกจากรางกาย อุณหภูมิของรางกายจะ
ลดลงเปนปกติ แตถาอากาศรอน ในระยะแรกๆ รางกายยังปรับตัวไมไดเหง่ือจะออกมามาก และมี
เกลือโซเดียมคลอไรดออกมาดวย ในระยะน้ีเมื่อกระหายและด่ืมน้ําควรเติมเกลือเล็กนอย เพื่อ
ชดเชยเกลือแรทสี่ ูญเสียไปพรอมกับเหง่ือ

2. ทางลมหายใจ
การสูญเสียนํ้าทางลมหายใจขึ้นอยูกับสิ่งแวดลอมความชื้นสัมพัทธของอากาศ ใน

สภาพอาหารที่รอนหรือแหง เชน อยูกลางแดด หรือทะเลทราย จะมีการสูญเสียน้ําออกมามาก
นอกจากนน้ั การหายใจลึกและเร็ว ยอ มทาํ ใหเ กิดการสญู เสยี น้าํ ทางลมหายใจมากข้ึนเชน กนั

3. ทางอจุ จาระ
อุจจาระของคนโดยปกติจะมีลักษณะครึ่งแข็งคร่ึงเหลว ดังน้ันจึงมีนํ้าเปนองคประกอบ

อยูบางแตไมมากนัก แตถาเกิดความผิดปกติ เชน ทองรวง พบวาอุจจาระมีลักษณะเหลว จึงเปน
สาเหตุท่ีทําใหรางกายสูญเสียนํ้าพรอมกับอุจจาระ ในคนปกติ จะมีน้ําออกมากับอุจจาระ 100 กรัม
ตอวัน เทา นน้ั

4. ทางปสสาวะ
ไต ทําหนาท่ีขับถายของเสีย ไดแก ยูเรีย เกลือแรตางๆ ในรูปของสารละลาย คือ

ปสสาวะ โดยใชน้ําเปนตัวทําละลาย ในคนปกติมีการสูญเสียนํ้าทางปสสาวะมากที่สุด โดยมี
ปริมาณน้ําที่สูญเสียเทากับปริมาณนํ้าท่ีรางกายไดรับจากเคร่ืองด่ืมและอาหาร ปริมาณน้ําที่ถูกขับ
ออกทางปสสาวะในแตวันจะมีปริมาณมากหรือนอย ข้ึนอยูกับปริมาณน้ําและเคร่ืองด่ืมท่ีคนๆ น้ัน
ด่ืม ถามีการดื่มน้ํามากปสสาวะจะมาก และด่ืมนํ้านอยปสสาวะจะนอย สวนการสูญเสียเหงื่อ
พบวา ถา มกี ารสูญเสยี เหง่อื มาก ปสสาวะจะนอ ย หากมีการสูญเสยี เหงอื่ นอ ยปสสาวะจะมาก

ปริมาณนา้ํ ที่แนะนําใหผบู ริโภควยั ตา งๆ ควรไดรบั

ปริมาณที่แนะนําใหบริโภคมีความสัมพันธกับความตองการนํ้าของรางกาย ในวัยตาง ๆ
รวมท้ัง เพศ อายุ และกิจกรรมท่ีทําในขณะน้ัน ซ่ึงการหาปริมาณน้ําท่ีรางกายตองการเพ่ือรักษา
สภาพรางกายใหเปนปกติน้ัน คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวัน
สําหรับคนไทย (พ.ศ. 2546) ไดแ นะนําปริมาณนา้ํ อา งอิงทีค่ นไทยควรไดรับ ดังนี้

1. ทารก
ทารกอายุ 0 – 5 เดือน ความตองการน้ําในทารกแรกเกิดน้ันข้ึนอยูกับปจจัยหลายอยาง

ทารกมีพื้นที่ผิวกายมากเม่ือเทียบกับนํ้าหนัก มีปริมาณน้ําในรางกายและน้ําที่หมุนเวียนใชภายใน

296

รางกายมาก ขณะที่ไตมีความสามารถจํากัดในการขจัดน้ําและปริมาณสารละลายตางๆ ที่เปนผล
จากเมตาบอลิซึมของโปรตีน น้ํานมแมมีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารก
สวนนมผสมมีโปรตีนสูงกวาในนํ้านมแม การไดรับโปรตีนสูงอาจทําใหทารกเกิดภาวะขาดน้ําอยาง
รุนแรงได เนือ่ งจากทารกไมแ สดงอาการกระหายนํ้าและไมสามารถบอกความตองการนํา้ ได

ความตองการน้ําของทารกข้ึนกับปริมาณน้ํานมแมท่ีทารกไดรับในแตละวัน ทารกแรกเกิด
- 5 เดือนควรไดรับนํ้าวันละ 1 – 1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของพลังงานที่ใช คิดเปนปริมาณนํ้า
750 – 1,125 มลิ ลลิ ิตรตอวนั ซ่ึงเพียงพอสําหรบั การเจริญเติบโตของทารก คาที่ใชกําหนดน้ีคํานวณ
มาจากอัตราสวนของน้ําตอพลังงานที่ไดจากน้ํานมแมและไดมีการนําสัดสวนนี้ไปใชในการเตรียม
นมผสมสําหรับทารกดว ย ทารก 6 เดอื น – 1 ป ปริมาณนํ้าท่คี วรไดร ับ 800 – 2,100 มิลลิลติ รตอวัน

2. วยั รุน
ความตองการน้ําในวัยรุนเพ่ิมขึ้นความความตองการของพลังงานท่ีเพิ่มขึ้นเน่ืองจาก

วัยรุนมีกิจกรรมที่ทําในแตละวันมากจึงตองการน้ํามาก วัยรุนผูชายมีความตองการน้ํามากกวา
วัยรนุ ผหู ญิง วัยรนุ ผชู ายอายุ 9 - 12 ป มคี วามตอ งการนา้ํ 1,700 - 2,550 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุน
ผูชายอายุมากกวา 12 - 15 มีความตองการน้ํา 2,050 - 2,550 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนผูชายที่มีอายุ
มากกวา 15 -18 ป มีความตองการนํ้า 2,250 - 3,375 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนหญิงอายุ 9 - 12 ป มี
ความตองการนํ้า 1,600 - 2,400 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนผูหญิงอายุมากกวา 12 - 15 ป มีความ
ตองการนํ้า 1,800 - 2,550 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนผูหญิงที่มีอายุมากกวา 15 -18 ป มีความ
ตองการนา้ํ 1,850 - 2,775 มิลลลิ ิตรตอวัน

3. ผูใ หญ
ความตองการน้ําในผูใหญ ในสภาวะปกติกําหนดไว 1 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของ

พลังงานที่ใช บางครั้งผูใหญอาจมีความตองการเพิ่มข้ึนเปน 1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของ
พลังงานท่ีใชซึ่งคาน้ีจะครอบคลุมการทํางานระดับตาง ๆ การสูญเสียนํ้าไปทางเหง่ือและการ
ควบคุมความเขมขนของสารละลายตางๆ ในรางกายดวย ผูใหญชายอายุ 19-30 มี ความตองการ
นา้ํ 2,150-3,225 มลิ ลิลิตรตอวนั ผูใหญผูชายอายุมากกวา 30-70 มีความตองการนํ้า 2,100-3,150
มลิ ลิลิตรตอวัน ผใู หญผ หู ญิงอายุ 19-70 ป มคี วามตองการนาํ้ 1,750-2,625 มิลลิลิตรตอ วนั

4. ผสู ูงอายุ
ความตองการนํ้าในผูสูงอายุควรมีความระมัดระวังเปนพิเศษ เนื่องจากผูสูงอายุมีความ

ไวตอความรูสึกกระหายนํ้าลดลง ถึงแมวาผูสูงอายุสวนใหญจะไมคอยมีกิจกรรมท่ีตองใชพลังงาน
มาก แตรางกายยังคงมีความตองการปริมาณนํ้าสูงโดยเฉพาะอยางยิ่งในฤดูรอน จึงจําเปนตอง

297

ไดรับนํ้าในปริมาณท่ีเพียงพอเพ่ือชดเชยปริมาณนํ้าที่ลดลงและจากการสูญเสียน้ําจากความรอน
กรณีท่ีไมไดรับนํ้าอยางเพียงพอจะทําใหผูสูงอายุมีความเขมขนของเลือดสูงขึ้น ทําใหเปนลม และ
ไมรูสึกตัว ผูสูงอายุผูชายอายุมากกวา 70 ข้ึนไป มีความตองการนํ้า 1,750-2,625 มิลลิลิตรตอวัน
ผสู ูงอายผุ ูหญิงอายมุ ากกวา 70 ปขน้ึ ไปมีความตองการนํา้ 1,550-2,325 มิลลิลิตรตอ วัน

5. หญงิ ต้ังครรภและหญิงใหน มบตุ ร
หญิงต้ังครรภมีความตองการนํ้าเพ่ิมขึ้นเนื่องจากเกิดการขยายตัวของปริมาณน้ํา

ภายนอกเซลล ความตองการนา้ํ ของทารกในครรภและมีปริมาณน้ําในถุงนํ้าคร่ําหญิงตั้งครรภตั้งแต
ไตรมาสท่ี 2 จนถงึ กาํ หนดคลอด ความตองการนํา้ จะเพ่มิ อกี 300 มิลลลิ ิตรตอ วัน

หญงิ ใหน มบตุ รความตอ งการนาํ้ จะมคี า ใกลเ คยี งกับปริมาณของนํ้านมแมท ี่หลัง่ ออกมา
เฉล่ียวนั ละ 750 มลิ ลลิ ิตรในระยะ 6 เดือนแรก ดงั น้นั ปรมิ าณนา้ํ ที่ตอ งการเพม่ิ ขน้ึ จากความตองการ
ของผูใ หญปกตโิ ดยเพม่ิ ข้นึ 500 มลิ ลิลิตรตอวัน ตลอดระยะเวลา 1 ป ที่ใหน มบตุ ร

6. นักกฬี าหรอื ผใู ชแ รงงาน
นักกีฬาหรือผูใชแรงงานจะมีการเสียเหงื่อมาก เน่ืองจากเหงื่อประกอบดวยน้ํารอยละ

99 ที่เหลือเปนเกลือแร เมื่อรางกายมีการเสียเหง่ือจะทําใหเกิดการสูญเสียนํ้า เม่ือสูญเสียนํ้าจนถึง
ระดับหนึ่งจะมีผลตอการทํางานของรางกาย จากการศึกษาพบวาการสูญเสียน้ํารอยละ 2 ของ
น้ําหนักตัว มีผลทําใหประสิทธิภาพการทํางานลดลง หรือความสามารถในการเลนกีฬาลดลงไป
เหลอื รอ ยละ 90 ดังน้ันเพอ่ื ปองกนั การเกิดปญ หาดงั กลา ว จงึ ตอ งใหไ ดรับนํ้าอยา งเพียงพอกับความ
ตองการของรางกาย การปองกันไมใหนักกีฬาเกิดการเสียนํ้า ควรด่ืมน้ํากอนการฝกซอมหรือเลน
กีฬา ขณะเลน และหลังเลนกีฬา หากรางกายขาดน้ําที่จะทําใหนักกีฬาฝกซอมหรือเลนกีฬาไดไม
เต็มที่ นักกีฬาสามารถสังเกตการเสียน้ําไดจากนํ้าหนักตัวที่ลดลงเน่ืองจากการฝกซอม ถานํ้าหนัก
ลดลงครึ่งกิโลกรัมควรทดแทนดวยการดื่มนํา้ 2 แกว และขณะที่มีการฝกซอมหรือแขงขัน ควรด่ืมน้ํา
เปนระยะๆ ไมควรปลอยใหเกิดการกระหายนํ้าซ่ึงแสดงวารางกายขาดนํ้าแลว นักกีฬาที่เปนเด็กจะ
พบปญหารุนแรงมากกวานักกีฬาท่ีเปนผูใหญ เน่ืองจากการรับรูในการขาดนํ้าในเด็กจะชากวา
ผูใหญ

298

การคาํ นวณความตอ งการของนาํ้

การคํานวณมีหลักในการคิดโดยใชปริมาณนํ้าตอหน่ึงหนวยนํ้าหนักตัวหรือตอหนวยพ้ืนท่ี
รางกาย เพ่ือใหไดปริมาณท่ีเหมาะสมสําหรับแตละคน การคิดโดยใชตอหนึ่งหนวยน้ําหนักตัวไดผล
ไมคอยดีนัก การคิดโดยใชตอหนวยพ้ืนที่ผิวกายใชไดดีสําหรับทุกขนาด แตการคํานวณและการคิด
พื้นที่ผิวกายจําเปนตองรูนํ้าหนักและสวนสูงเพื่อนําไปเปรียบเทียบหาคาพ้ืนท่ีผิวกายอีกซึ่งยุงยาก
และไมนิยมใช ดวยเหตุผลดังกลาวจึงใชวิธีการคํานวณความตองการของน้ําโดยคิดจากปริมาณ
ความตองการของพลังงาน เพื่อใหรางกายทํางานไดอยางปกติ ใชพลังงานเปนหลักตามวิธีของ
Holiday & Segar (1957) ดังนี้

การคดิ พลังงานที่ใชจ ากนา้ํ หนกั ตวั

นํา้ หนกั ตัว พลงั งานทีใ่ ช

0 – 10 กิโลกรมั 100 กโิ ลแคลอรตี อ กิโลกรมั

> 10 – 20 กโิ ลกรัม 1,000 + (50 กิโลแคลอรตี อกโิ ลกรมั ทม่ี ากกวา 10 กิโลกรัม)

> 20 กิโลกรมั 1,500 + (20 กโิ ลแคลอรตี อกโิ ลกรมั ที่มากกวา 20 กโิ ลกรมั )

การคิดปริมาณนํ้า กําหนดใหนํ้าที่ควรไดรับคือ 100 – 150 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี
ของพลังงานทีใ่ ชจ ริง รวมกับนํ้าท่ไี ดจ ากการออกซเิ ดชันอีกประมาณ 10 – 20 มิลลิลิตรตอ 100 กิโล
แคลอรี ดังน้ันสําหรับทารกจะไดรับน้ําประมาณ 110 – 130 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี เม่ือไดน้ํา
ท่ีมีนํ้าตาลเปนแหลงของพลังงาน แตถาไดพลังงานจากโปรตีนจะตองใชนํ้าในการขับถายของเสีย
เพ่ิมข้ึน จึงควรไดรับนํ้าประมาณ 150 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี รวมกับน้ําจากออกซิเดชันอีก
10 – 20 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี รวมเปนนํ้าท่ีตองการทั้งหมดประมาณ 150 – 170 มิลลิลิตร
ตอ 100 กิโลแคลอรี นอกจากน้ันมีการใชพลังงานเพ่ือเผาผลาญ ทําใหเกิดความรอนขึ้นในรางกาย
ขณะเดียวกันมีของเสียท่ีจะตองขับออกทางไต ทางลมหายใจ ในการรักษาสมดุลของรางกายทั้ง
ดานอุณหภูมแิ ละการขบั ของเสยี ซึ่งมีนํ้าเปนปจจัย เพราะจะตองใชนํ้าในการระบายความรอนออก
ทางผิวหนังและขับถายของเสียออกทางไต ดังน้ันความตองการน้ําซึ่งไดคิดรวมปริมาณน้ําที่ใชเพื่อ
ทดแทนการสญู เสียไปทางอวยั วะตางๆ แลวดังนี้ (ตารางท่ี 9.2 )

299

ตารางที่ 9.2 ปรมิ าณนา้ํ ทใี่ ชเพ่ือทดแทนการสญู เสยี ไปทางอวยั วะตางๆ

การสูญเสยี นาํ้ นํ้าที่สญู เสยี

(มลิ ลลิ ติ ร / 100 กิโลแคลอรี)

การสูญเสยี นาํ้ ที่ไมส ามารถรบั รูไ ด (insensible loss) 45

ทางปอด 15

ทางผวิ หนงั 30

การสญู เสียนาํ้ ท่ีสามารถรับรูได (sensible loss)

ทางเหงอ่ื 20

ทางอจุ จาระ 5

ทางปสสาวะ 30-80

รวมปรมิ าณน้าํ ทีส่ ูญเสีย 100-150

ท่ีมา (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสุข, 2546)

ปริมาณน้ําท่ีแนะนําใหบริโภค จะเปนผลรวมของปริมาณน้ําที่ประเมินไดจากการใช
พลังงานของแตละกลมุ อายุ รวมกบั ปริมาณนาํ้ ท่ีรางกายตองสญู เสียไป

ตัวอยางการคํานวณความตองการนํ้าของผูใหญผูชายอายุ 50 ป มีน้ําหนัก 50 กิโลกรัม
ตองการพลังงานเม่ือคิดจากน้ําหนักตัวไดเทากับ 1,500 + (20x30) = 2,100 กิโลแคลอรี ความ
ตองการน้ํา 1 – 1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรี คิดเปนปริมาณน้ําท่ีรางกายตองไดรับ 2,100 – 3,100
มิลลิลติ ร

สภาวะการขาดนํ้าและอาการขาดนํา้

สภาวะการขาดนํ้า คือ สภาวะท่ีเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ําท่ีไดรับไดนอยกวาปริมาณนํ้าท่ี
ขับถายออกหรือสูญเสีย (ดุลยภาพของนํ้าเปนลบ) ซึ่งโดยปกติรางกายจะมีการรักษาสมดุลของน้ํา
ไว เม่ือรางกายมีการขาดน้ําไปในปริมาณมากๆ จะมีการขับถายออก ดังน้ันภาวะการขาดนํ้าจะ
เกิดขึ้นเม่ือรางกายไดรับน้ําไมเพียงพอ ซ่ึงอาจมีสาเหตุมาจากไมมีนํ้าด่ืม (อยูในท่ีท่ีไมมีน้ํา
ทะเลทราย) เชน แตดื่มนํ้าไมได เชน ผูปวยที่อยูในสภาพหมดสติ หรือรางกายีการสูญเสียน้ําอยาง
มาก เชน ในผูท่ีออกกําลังกายอยางหนักในท่ีท่ีมีอากาศรอน หรือมีการสูญเสียนํ้าจากโรคภัยไขเจ็บ
เชน ทองรวง อาเจียน มีไขสูง เสียเลือดมาก หรือมีการผาตัดใหญ การมีแผลไฟไหมนํ้ารอนลวก
เปน ตน

300

อาการขาดน้ํา อาการที่พบโดยท่ัวไปคือ กระหายน้ํา ออนเพลีย หมดเร่ียวแรง ปากคอแหง
ตอไปจะมีนํ้าหนักตัวลด ความคิดสับสน หดหู ผิวแกมซีด ริมฝปากแหงเปนสีมวง ปสสาวะนอยลง
และมสี ที ่ีเขมขนึ้ กระสับกระสา ย ชกั หมดสติ และในที่สุดจะหยุดหายใจท้ังๆ ท่ีชีพจรยังคงมีอยู เมื่อ
รางกายมีการสูญเสียนํ้าไปมาก หรือเสียน้ําอยางรวดเร็วจําเปนตองไดรับนํ้าชดเชย อาจจะใหทาง
ปากในคนท่ียังมีสติ โดยอาจจะใหด่ืมนํ้าหรือเครื่องดื่ม เชน นํ้าผลไม โดยอาจใหครั้งละไมมากโดย
ใหจิบหรือด่ืมบอยๆ และดื่มทุกคร้ังที่กระหาย หรืออาจใหน้ําทางอื่นที่ไมใชทางปาก เชน ทางหลอด
เลอื ดดํา โดยใหในรปู ของสารละลาย เชน นาํ้ เกลอื เปน ตน

ภาวะการกกั นา้ํ ในรางกาย

ภาวะการกักน้าํ ในรางกาย (water retention) หมายถึง ภาวะเมื่อปรมิ าณนาํ้ ทร่ี า งกายไดร บั
ในหนงึ่ วนั มากกวา ปริมาณนา้ํ ทรี่ า งกายขับออกในหนึ่งวัน (ดุลยภาพนํ้าเปนบวก) การเกิดภาวะการ
กักน้ํามผี ลใหร างกายกักเกลอื ตามมา

ภาวะการขาดนา้ํ เปน ผลจากการทรี่ า งกายขับโซเดียมไดนอยกวาปกติ ภาวะนี้จะเกิดขึ้นใน
บุคคลท่ีเปนโรคไต หรือไดรับฮอรโมนที่มีฤทธ์ิควบคุมการขับถายโซเดียม ไดแก ฮอรโมนจากสวน
นอกของตอ มหมวกไต (adrenal cortex) มผี ลใหเกิดอาการตัวบวม เพราะน้ําค่ัง ดังนั้นในการรักษา
ตองจํากัดโซเดียมในอาหาร เครื่องด่ืม นํ้าดื่ม ยา โดยไมจําเปนตองจํากัดปริมาณน้ําท่ีด่ืม แตถามี
ภาวะตัวบวมเนอ่ื งจากไตพิการอยางรุนแรง แพทยอ าจจะตองใหผปู วยจาํ กดั ทัง้ โซเดียมและน้าํ

สรปุ

น้ํา เปนสารอาหารท่ีมีความสําคัญมากที่สุดของส่ิงมีชีวิต ปฏิกิริยาตางๆ ท่ีเกิดขึ้นใน
รางกายตองอาศัยนํ้าเปนตัวกลาง การเปลี่ยนแปลงของนํ้ามีผลตอการเปล่ียนแปลงดานความ
เขมขนของเกลือแร และการเปลี่ยนแปลงของเกลือแรจะมีผลทําใหเกิดการเปล่ียนแปลงดานการ
กระจายตัวของน้ําซึ่งมีผลตอการทํางานของเซลลตางๆ ในรางกาย ดังน้ันรางกายจึงตองมีการ
ควบคุมน้ําใหอยูในสภาพท่ีสมดุล เพ่ือใหเซลลทํางานไดปกติ ความตองการน้ําในรางกาย
เปล่ียนแปลงไปตามอายุ โดยแปรผันตามการเจริญเติบโตของทารกและเด็กแตละวัย แหลงนํ้าท่ี
สําคัญ คือ นํ้าด่ืมและเคร่ืองดื่มทั่วไป ไดแก ชา กาแฟ เคร่ืองด่ืมสมุนไพร เคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล
เปน ตน รวมทงั้ ยงั ไดรับนํา้ จากอาหารท่วั ไป

บทที่ 10

โภชนาการสาํ หรับบคุ คลในแตละวยั

อาหารเปนส่ิงจําเปนสําหรับการดํารงชีวิต คนเราทุกคนตองการสารอาหารชนิดตางๆท่ี
เหมือนกัน แตมีความตองการสารอาหารในปริมาณท่ีแตกตางกัน ตามเพศ วัย สภาพของรางกาย
กิจกรรมท่ีทําและส่ิงแวดลอมที่อาศัยอยู ความตองการอาหารของคนเราขึ้นอยูกับการเปลี่ยนแปลง
ของรางกายตั้งแตเกิดเปนทารกไปจนถึงวัยชรา ดังนั้นการไดรับอาหารที่ไมเพียงพอจะกอใหเกิดผล
เสียหายตอสุขภาพ บริโภคนิสัยของหญิงกอนและหลังมีครรภมีความสําคัญตอการเจริญเติบโตของ
ทารกมาก แมท ม่ี ภี าวะโภชนาการท่ดี ี ทารกที่คลอดจะมรี างกายท่แี ขง็ แรง ในหญิงใหน มบตุ ร ตอ งการ
ปริมาณอาหารที่เพิ่มมากขึ้นและถูกหลักโภชนาการเพื่อใหเพียงพอตอการสรางน้ํานมและบํารุง
สุขภาพของแม สําหรับทารกเองนอกจากการด่ืมนมแมแลว การไดรับอาหารเสริมท่ีถูกตองและ
เหมาะสมมีผลตอการพัฒนาการทางรางกายและจิตใจ เด็กวัยกอนเรียน วัยเรียนตองการอาหารท่ี
พอเพียงสําหรับการเจริญเติบโตและการทํากิจกรรมในแตละวัน วัยรุนเปนวัยท่ีมีการเปลี่ยนแปลงทั้ง
ทางดานรางกายและอารมณ การไดรับอาหารที่ถูกหลักโภชนาการจะทําใหวัยรุนเติบโตเปนผูใหญที่
แข็งแรง และในผูสูงอายุแมจะไมมีการเจริญเติบโตแตผูสูงอายุตองการอาหารที่เพียงพอแกความ
ตองการของรางกายและถูกตองตามหลักโภชนาการเพื่อนําไปใชในการซอมแซมสวนที่สึกหรอ และ
เพม่ิ ความตา นทานโรค

โภชนาการสําหรับหญิงตง้ั ครรภ

หญิงที่มีการต้ังครรภรางกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางดานสรีรวิทยา มีการสรางเนื้อเยื่อ
ตางๆ มากขึ้นสําหรับรองรับการเจริญเติบโตของทารกรวมท้ังมีการทํางานของอวัยวะตางๆ ภายใน
รางกาย ไดแก ตับ ไต หัวใจ รวมท้ังการทํางานตอมไรทอตางๆ เพ่ิมข้ึน มีผลทําใหหญิงที่อยูในภาวะ
ตั้งครรภตองการสารอาหารเพ่ิมมากข้ึนตั้งแตกอนตั้งครรภ ในระหวางต้ังครรภ และหลังการคลอด
บุตร การไดรับอาหารในปริมาณท่ีไมเพียงพอมีโอกาสเส่ียงตอการขาดสารอาหารและอาจมีปญหา
ดานสุขภาพอ่ืนๆ ตามมา ซ่ึงจะสงผลกระทบโดยตรงตอการเจริญเติบโตของทารกในครรภ หากแต
การเอาใจใสด ูแลดานอาหารและโภชนาการที่ดจี ะชวยสงเสรมิ ใหสุขภาพของแมและทารกมีสุขภาพที่
สมบูรณแ ข็งแรง

302

ปรมิ าณพลังงานและสารอาหารทีห่ ญิงตงั้ ครรภควรไดร บั
ในระหวางทม่ี ีการตั้งครรภเปน ชวงท่รี า งกายมกี ารปรับสภาวะตางๆ เพอ่ื ใหส ามารถท่จี ะเลี้ยง

ดูตัวออนท่ีฝงตัวอยูที่มดลูกใหเจริญเติบโตอยางสมบูรณ ระยะเวลาของการต้ังครรภ 9 เดือนนั้น
จําเปนอยางยิ่งท่ีแมควรจะไดรับสารอาหารท่ีเพียงพอและมีคุณภาพ เพื่อสงเสริมใหรางกายสามารถ
สรางเนื้อเย่อื รองรบั ทารกในครรภ ซ่ึงปรมิ าณพลงั งานและสารอาหารที่ควรไดร ับมีดงั น้ี

1. ความตอ งการพลังงาน
ในขณะที่ต้ังครรภมีความจําเปนท่ีแมตองไดรับพลังงานเพิ่มมากข้ึน เพ่ือการเสริมสราง

อวัยวะตางๆ ของทารก เนื้อเยื่อของแม ปริมาณพลังงานท่ีตองการเพ่ิมมากข้ึนจากปกติ 300
กิโลแคลอรี ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ ท้ังน้ีเนื่องจากทารกในครรภเติบโตรวดเร็วมากใน
ระยะนี้ ทาํ ใหอวยั วะตา งๆ ในรางกายตอ งทาํ งานเพม่ิ ขนึ้ เปนผลใหค วามตอ งการพลงั งานเพิม่ ขนึ้ ดวย

อาหารท่ีใหพลังงานท่ีหญิงต้ังครรภไดรับควรมาจาก คารโบไฮเดรตจากขาว แปง เผือก มัน
ธัญพืช โปรตีนจากเนื้อสัตว ปลา ถั่วตางๆ ไขมันจากพืชและสัตว สําหรับวิตามินและเกลือแรไดจาก
การกินผักและผลไมรวม ซ่ึงการใชพลังงานของรางกายสําหรับหญิงต้ังครรภควรใชพลังงานจากการ
เผาผลาญกรดไขมันและกลูโคส สําหรับโปรตีนไมควรนํามาเปนแหลงพลังงานแตควรใชเพื่อการ
เสริมสรางกลา มเนือ้ เอนไซม และฮอรโมน เปนตน

2. ความตองการโปรตนี
รา งกายมีความจําเปน ตองไดรับโปรตีนเพ่ิมมากข้ึน เพื่อใชในการเสริมสรางเนื้อเย่ือตางๆ

ทั้งของแมและทารก ความตองการโปรตีนจะสูงท่ีสุดในระยะ 3 เดือนกอนคลอด เพราะเปนระยะท่ี
ทารกเจรญิ เติบโตเร็วมาก จึงตอ งการโปรตีนเพ่ือสรา งเนื้อเยอ่ื ตา งๆ ปรมิ าณโปรตีนและพลังงานที่แม
ไดรับในระยะตั้งครรภมีอิทธิพลตอการเจริญเติบโตของสมองทารกเปนอยางมาก โดยเฉพาะในระยะ
3 เดือนกอนคลอดจนถึง 6 เดือนหลังคลอด เปนระยะที่เซลลสมองมีการแบงตัวและเจริญเติบโตเร็ว
ท่ีสุด ดังน้ันถาแมไดรับโปรตีนและพลังงานไมเพียงพอในระยะนี้ทารกจะมีจํานวนเซลลสมองนอย
และเซลลสมองมีขนาดเล็ก ทําใหทารกมีสมองเล็กกวาปกติ สติปญญาต่ํา เรียนรูชา เปนผลเสียตอ
สติปญญาของเด็กตลอดไป ดังน้ันสภาอาหารและโภชนาการแหงสหรัฐอเมริกาจึงไดแนะนําใหหญิง
ต้ังครรภกินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากที่กินอยูในภาวะปกติอีก 20 กรัม คณะกรรมการจัดทํา
ขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิงต้ังครรภ กินอาหาร
โปรตีนเพิ่มข้ึนจากภาวะปกติ 25 กรัม ทั้งน้ีเพราะโปรตีนท่ีคนไทยไดรับสวนใหญมาจากขาวซ่ึงเปน
โปรตีนไมส มบูรณห รอื ใหไ ดรบั โปรตีนประมาณ 1.5 กรัม ตอ น้ําหนกั ตวั 1 กโิ ลกรมั และประมาณ 2 ใน
3 ของโปรตีนที่ไดรับควรเปนโปรตีนท่ีไดจากสัตว เชน เน้ือสัตวตางๆ และผลิตภัณฑ ไขเปด ไขไก ไข
นกกระทา น้ํานมและผลติ ภัณฑจ ากนม และถว่ั เมล็ดแหง ชนดิ ตางๆ ใหมากขึน้

303

3. ความตอ งการวติ ามนิ
วิตามินชวยใหการทํางานในรางกายเปนปกติและมีความสําคัญตอการทํางานของ

อวัยวะตางๆในรางกาย หญิงตั้งครรภจึงควรกินอาหารท่ีมีปริมาณวิตามินใหเพียงพอ เพื่อใหรางกาย
สามารถดูดซึมหรือนําไปใชไดอยางเต็มท่ี การขาดวิตามินตางๆ จะสงผลใหเกิดโรคที่เก่ียวของกับ
วิตามิน และสงผลตอทารกท่อี ยูในครรภโ ดยตรง วิตามนิ ที่สาํ คัญ ไดแก

3.1 วิตามินเอ จําเปนสําหรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ ชวยในการพัฒนาการ
ของเซลลเยื่อบุผิว ชวยในการสรางกระดูกและฟน สําหรับหญิงตั้งครรภชวยบํารุงสุขภาพของตา
ผิวหนัง และเพิ่มภูมิตานทานซึ่งเปนกลไกในการเกิดโรคมะเร็ง อาหารท่ีพบวามีวิตามินเอสูงไดแก ไข
แดง ตับ และในพืชผักท่ีมีสารแคโรทีน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเปนวิตามินเอได ไดแก ผักใบเขียวเขม เชน
ผักตําลึง ผักคะนา ผักหวาน โหระพา เปนตน สวนผลไมท่ีมีวิตามินเอ ไดแก มะละกอสุก เปนตน
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตงั้ ครรภ ไดร ับวติ ามินเอเพ่ิมข้ึนจากชว งที่ไมไ ดต้งั ครรภอ ีกวันละ 200 ไมโครกรมั

3.2 วิตามนิ ดี จาํ เปนตอการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ในระยะต้ังครรภเปนระยะที่
ตองการแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากขึ้น จึงตองการวิตามินมากขึ้นดวย วิตามินดีมีมากในอาหาร
พวก ไขแดง ตับ นมและผลิตภัณฑนม ปลาทะเล เปนตน นอกจากน้ีรางกายยังสามารถสังเคราะห
วิตามนิ ดไี ดเม่ือผิวหนงั ไดรับแสงอาทิตย

ในภาวะตั้งครรภจะมี 25-hydroxycholecalciferol จากมารดาผานรกไปสูทารกไดใน
ปริมาณนอย ซึ่งไมมีผลตอภาวะวิตามินดีของมารดาแตอยางใด ดังน้ันในสตรีที่ต้ังครรภที่ไดรับ
แสงแดดอยา งเพียงพอและสมาํ่ เสมอ ความตองการวิตามินดีเสริมจากอาหารในขณะที่ตั้งครรภจึงไม
มีความแตกตางจากในขณะท่ีไมต้ังครรภ ดังนั้นปริมาณอางอิงวิตามินดีที่ควรไดรับประจําวันสําหรับ
สตรีท่ีตั้งครรภทุกอายุ คือ 5 ไมโครกรัม (200 หนวยสากล) ตอวัน และการบริโภควิตามินดีเสริมใน
ปริมาณที่สูงกวานี้ คือ 10 ไมโครกรัม (400 หนวยสากล) ตอวัน โดยไดรับในรูปยาเม็ดก็ยังอยูใน
ปริมาณท่ีปลอดภัยและยอมรับได (คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวัน
สาํ หรับคนไทย พ.ศ. 2546)

3.3 วิตามินอี หรือแอลฟาโทโคเฟอรอล ทําหนาที่เปนแอนติออกซิแดนท ตอตานการ
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันท่ีจะเกิดข้ึนกับสารตาง ๆ ที่อยูในรางกาย เชน บนผนังเซลลเพื่อไมใหถูก
ทําลาย วิตามินอียังปองกันกรดไขมันอ่ิมตัวและวิตามินเอไมใหแตกตัวและรวมกับสารอื่นๆ ซึ่งอาจ
เปนอันตรายตอรางกาย นอกจากน้ีวิตามินอียังมีความสําคัญตอการผลิตพลังงานในรางกาย
โดยเฉพาะกลามเนื้อหัวใจ ชวยใหกลามเนื้อและประสาทท่ีเก่ียวของทํางานไดในภาวะท่ีมีออกซิเจน
นอย เพ่ิมความทนทานและชวยใหหลอดเลือดขยายตัว ทําใหเลือดไปเล้ียงหัวใจไดสะดวกขึ้น หญิง

304

ตั้งครรภควรบริโภคอาหารที่มีวิตามินอี เพราะเปนสารท่ีมีคุณคาทางโภชนาการที่สําคัญเพื่อใหมี
สุขภาพที่แข็งแรง อาหารท่ีมีวิตามินอี ไดแก น้ํามันพืชตางๆ เชน น้ํามันที่สกัดจากรําขาว เมล็ดพืช
ตางๆ เชน เมล็ดดอกทานตะวัน อัลมอนต ถั่วเหลือง และจมูกขาวสาลี ซ่ึงนับเปนแหลงที่ดีของ
วิตามนิ อี

3.4 วิตามินบีหน่ึง จําเปนตอการเผาผลาญคารโบไฮเดรตเพ่ือผลิตพลังงานโดยวิตามินบี
หน่ึง ทําหนาท่ีเปนโคเอนไซมที่เก่ียวของกับการสลายคารโบไฮเดรต หรือนํ้าตาลใหพลังงาน หญิง
ต้ังครรภตองการพลังงานเพ่ิมมากข้ึน จึงตองการวิตามินบีหนึ่งมากตามไปดวย กลุมอาหารที่มี
วิตามินบีหนึ่ง ไดแก เนือ้ หมู จมกู ขาว ขาวซอมมอื หรอื เมล็ดธัญพชื ทีไ่ มไ ดขดั สี ถ่วั เมลด็ แหง

3.5 วิตามินบีสอง ทําหนาที่เปนโคเอนไซมท่ีเก่ียวของกับการสลายคารโบไฮเดรต
เหมือนกับวิตามินบีหน่ึง และจําเปนสําหรับการสรางโปรตีนในรางกาย บํารุงสุขภาพของผิวหนัง ล้ิน
ริมฝปากและดวงตา ถาขาดจะมีอาการเปนแผลที่มุมปากทั้งสองขาง เรียกวา “ปากนกกระจอก”
รวมทง้ั ความผิดปกตขิ องผวิ หนงั อาหารท่ีพบวา มวี ิตามนิ บีสอง มาก เชน ตับ และ ผกั ใบเขียว เปน ตน
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตงั้ ครรภ ไดน ับวิตามนิ สองหนงึ่ เพิม่ ข้ึนจากชว งทีไ่ มไดต ัง้ ครรภอ กี วนั ละ 0.3 มลิ ลกิ รัม

3.6 วิตามินบีหก มีบทบาทตอกระบวนการสรางกรดอะมิโนในรางกาย ทําหนาที่เปนโค
เอนไซมชวยในการเปล่ยี นกรดอะมิโนทริปโตเฟนใหเปนไนอะซิน ซึ่งเปนวิตามินบีที่จําเปนตอรางกาย
รวมท้ังยังชวยในการสังเคราะหฮีโมโกลบินและฮอรโมนจากตอมหมวกไตอีกดวย อาหารท่ีมีวิตามิน
บีหก มาก เชน นมและผลิตภัณฑนม เนย เครื่องในสัตว เปนตน คณะกรรมการจัดทําขอกําหนด
สารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิงต้ังครรภ ไดรับวิตามินบีหกเพ่ิมข้ึน
จากชวงทไี่ มไ ดตง้ั ครรภอ ีกวันละ 0.6 มลิ ลิกรมั

3.7 กรดโฟลิค หรือโฟเลท เปนวิตามินบีชนิดหน่ึงท่ีมีความสําคัญมากตอหญิงตั้งครรภ
เพราะมบี ทบาทสําคัญตอ การพัฒนาสมองและระบบประสาทของตัวออ นหรอื ทารกในครรภ และยังมี
สวนสําคัญในการสรางและพัฒนาเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังมีความสําคัญในการสังเคราะหสาร
พันธุกรรม คือ ดีเอนเอ (DNA) จําเปนสําหรับการแบงเซลลและการเจริญเติบโตของเน้ือเยื่อตางๆ
ดงั นั้นหญิงต้ังครรภจ งึ มีความตองการกรดโฟลิคเพิ่มขึ้น เพราะเปนชวงท่ีรางกายมีการสรางเม็ดเลือด
และเน้ือเย่ือใหมๆ โดยเฉพาะมีการเจริญเติบโตของทารกในครรภอยางรวดเร็วท้ังรางกายและสมอง
อาหารท่ีมีโฟลคิ มาก ไดแ ก ผักใบเขยี ว ผลไมส ด ถวั่ เมลด็ แหง เมล็ดดอกทานตะวัน และจมูกขา ว เปน
ตน คณะกรรมการจัดทําขอ กาํ หนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตั้งครรภควรไดร บั โฟเลทเพ่มิ ขึ้นจากชว งที่ไมไ ดต้ังครรภอ ีกวันละ 200 ไมโครกรัม

305

3.8 วิตามินบีสิบสอง มีความสําคัญตอการสรางและพัฒนาเม็ดเลือดแดงเชนเดียวกับ
เหล็กและกรดโฟลิค หญิงต้ังครรภจึงควรไดรับวิตามินบีสิบสอง เพ่ิมข้ึน อาหารที่มีวิตามินบีสิบสอง
มาก ไดแก เน้ือสัตวตางๆ ไข นม และโยเกิรต ซ่ึงเปนผลิตภัณฑซึ่งไดจากการหมักของแบคทีเรียกลุม
ท่ีสรางกรดแล็กติก ในระหวางขบวนการหมักจะมีการสรางวิตามินบีสิบสอง ขึ้นพรอมกันดวย
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตั้งครรภค วรไดร บั วิตามนิ บสี บิ สอง เพ่ิมขึ้นจากชวงทีไ่ มไดตั้งครรภอ ีกวันละ 0.2 ไมโครกรมั

3.9 วิตามินซี ชวยในการดูดซึมธาตุเหล็ก บํารุงผนังเสนเลือด เพราะวิตามินซีจําเปนตอ
การสรางคลอลาเจนซึ่งเปนองคประกอบของเน้ือเยื่อเกี่ยวพัน ชวยใหเซลลยึดติดกัน และยังชวยใน
การสรางกระดูกและฟนสําหรับทารกในครรภ การขาดวิตามินซี เปนสาเหตุที่ทําใหรางกายไม
สามารถเก็บแคลเซียมและฟอสฟอรัสไวใชไ ด ในหญิงตง้ั ครรภม รี ะดับวิตามินซีในพลาสมาลดลง เปน
ผลเน่ืองมาจากความตองการวิตามินซีของทารก ทําใหมีการดึงวิตามินซีจากมารดาไปสูทารก โดย
ภาวการณข าดวิตามินซใี นหญิงต้งั ครรภมักพบในหญงิ ตงั้ ครรภท่ีมีฐานะไมด ี ภาวการณขาดวิตามินซี
ในหญิงต้ังครรภทําใหเกิดภาวะเสี่ยงตอการติดเชื้อขณะคลอด การคลอดกอนกําหนด และภาวะ
ครรภเปนพิษได มีขอมูลรายงานวาวิตามินซีปริมาณ 7 มิลลิกรัมจะสามารถปองกันการเกิดโรค
ลักปดลักเปดได ดังน้ันหญิงตั้งครรภควรจะไดรับวิตามินซีเพิ่มจากชวงที่ไมไดตั้งครรภ 10 มิลลิกรัม
ตอ วนั (คณะกรรมการจดั ทาํ ขอ กาํ หนดสารอาหารทคี่ วรไดรบั ประจาํ วนั สําหรับคนไทย พ.ศ. 2546)

อาหารทมี่ วี ติ ามินซมี าก ไดแ ก ฝรง่ั สม มะขามปอม มะเขอื เทศ ผลไมตาง ๆ และผักสด เปน
ตน อาหารที่มีวิตามินซีนอย ไดแก ขาว เน้ือสัตว นํ้านม การหุงตมและการไดรับแสงทําใหเกิดการ
สูญเสียวิตามิน ดังนั้นเวลาปรุงอาหารจึงตองระมัดระวังไมตมผักโดยใชความรอนนานเกินไป เพราะ
จะทําใหว ิตามินซใี นผกั ถูกทําลาย การเกบ็ อาหารไวเ ปนเวลานานทาํ ใหม กี ารสญู เสยี วิตามนิ ซเี ชนกนั

4. ความตองการเกลือแร
ในระหวางที่ต้ังครรภแมตองการเกลือแรในปริมาณท่ีมากกวาเดิม ท้ังน้ีเน่ืองจากทารกใน

ครรภต อ งนําเกลอื แรตางๆ ไปใชใ นการสรางโครงสรางหลักของรา งกายไดแก กระดูก และฟน เปนตน
เกลือแรที่สําคัญสําหรับหญิงต้ังครรภท่ีควรไดรับมากกวาปกติ ไดแก แคลเซียม ฟอสฟอรัส
แมกนเี ซยี ม เหล็ก ไอโอดีน และสงั กะสี เปนตน

4.1 แคลเซียม ในหญิงตั้งครรภการกําหนดปริมาณแคลเซียมพิจารณาจากปริมาณ
แคลเซียมทบี่ รโิ ภคทมี่ ผี ลตอการพฒั นาและการเจรญิ เตบิ โตของทารกในครรภ และการรักษาปริมาณ
มวลกระดกู ของมารดา จากการศึกษาในหญิงตงั้ ครรภท ี่ขาดสารอาหารและไดรับแคลเซียมเสริม 300
และ 600 มิลลิกรัมตอวันตามลําดับท่ีประเทศแกมเบียพบวา ความหนาแนนของกระดูกของทารกที่
เกิดจากที่เสริมและไมเสริมแคลเซียมไมแตกตางกันทางสถิติ เน่ืองจากในชวงต้ังครรภรางกายมีการ

306

ปรบั ตัวจะมกี ารสรางฮอรโ มนเอสโตรเจนเพ่ิมมากขึ้น ดังนั้นจึงมีการดูดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้นดวย และ
ยงั ชวยปองกันการสลายแคลเซยี มออกจากกระดูก จึงไมจาํ เปน ท่ีหญงิ ตง้ั ครรภจ ะตอ งไดรับแคลเซียม
เพิ่ม แตถากอนการต้ังครรภหญิงที่ต้ังครรภไมไดรับแคลเซียมในปริมาณท่ีแนะนําใหบริโภคตอวัน
จําเปนตองบริโภคแคลเซียมมากข้ึนในระหวางการต้ังครรภ ทั้งน้ีเพื่อใหรางกายไดรับแคลเซียมตาม
ปริมาณที่ควรไดรับคือ 800 มิลลิกรัมตอวัน และหญิงต้ังครรภที่มีอายุนอยกวา 19 ป ตองไดรับ
แคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมตอวัน (คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวัน
สําหรบั คนไทย พ.ศ. 2546)

แหลงอาหารทมี่ ีแคลเซียม ไดแ ก น้าํ นม ปลาไสตันแหง กุง แหง ปลาตวั เลก็ ๆ หรอื สตั วเลก็ ๆ ที่
กินไดท้ังกระดูก เชน กบ ปลาเล็กปลานอย ปลาปน เปนตน นอกจากน้ียังมีมากในผักใบสีเขียวเขม
เชน ผกั คะนา ผกั กวางตุง ผักโขม ผักกาด และกะหล่ําปลี เปน ตน

4.2 เหล็ก ธาตุเหล็ก เปนแรธาตุท่ีมีความสําคัญในการสรางเม็ดเลือดแดงและเปน
องคประกอบของฮีโมโกลบิน ซึ่งทําหนาที่ขนสงออกซิเจน การไดรับเหล็กในปริมาณที่ไมเพียงพอจะ
ทําใหเ กิดภาวะโลหติ จาง ซึง่ เปน ปญ หาโภชนาการท่ีสาํ คัญ ผลของการเปน โรคโลหติ จางนจ้ี ะทาํ ใหแ ม
เกิดโรคแทรกซอ นในระหวางตงั้ ครรภและในระหวา งการคลอดไดง าย เน่ืองจากแมทเ่ี ปนโรคโลหิตจาง
จะทนตอ การสูญเสียเลือดในระหวางการคลอดไดนอย ทําใหเปนอันตรายแกแมและทารกไดมาก ท้ัง
ยังเส่ียงตอการเปนโรคติดเชื้อหลังคลอดได ดังน้ันการปองกันโรคโลหิตจางในหญิงต้ังครรภ จึง
จําเปน ตอ งไดร บั อาหารทีม่ ธี าตเุ หลก็ ในปริมาณท่ีมากเพียงพอ

หญิงตั้งครรภมีความตองการธาตุเหล็กในแตละชวงอายุครรภท่ีไมเทากัน ในระยะตน
(ไตรมาสท่ี 1) ไมมีประจําเดือนและตัวออนยังไมเติบโต ความตองการธาตุเหล็กจะนอยมาก
ประมาณปลายไตรมาสท่ี 1 ของการต้ังครรภความตองการธาตุเหล็กเริ่มสูงขึ้นตามลําดับ เน่ืองจากมี
การเพ่ิมการสรางเม็ดเลือดแดงเพ่ือใหเพียงพอสําหรับการหมุนเวียนของมารดาและทารก การดูดซึม
ธาตุเหล็กในไตรมาสที่ 2 เพิ่มสูงข้ึน แตพบวาการไดรับธาตุเหล็กจากอาหารประจําวันน้ันไมเพียงพอ
จงึ อาจเรม่ิ มีการนาํ ธาตุเหลก็ ในแหลง สะสมมาใช ความตองการธาตเุ หลก็ จากอาหารอยางเดียวจึงไม
เพียงพอและมีความจําเปนท่ีหญิงต้ังครรภตั้งไดรับธาตุเหล็กในรูปของยาเม็ดธาตุเหล็กเสริม สําหรับ
หญิงตั้งครรภทเ่ี ปนวัยรุนรา งกายยังคงมีการเจริญเติบโต ดงั นน้ั ความตองการธาตเุ หล็กจะสูงเพิ่มข้นึ

คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546
ไดแนะนําใหมีการเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 60 มิลลิกรัมตอวัน และเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 120-
180 มิลลิกรัมตอวันสําหรับหญิงต้ังครรภที่พบวามีอาการซีดรวมดวย แตอยางไรก็ดีเนื่องจากปญหา
การขาดธาตุเหล็กเปนปญหาสาธารณสุขที่สําคัญในประเทศไทย ดังนั้นการเสริมธาตุเหล็กในรูปของ
ยาจึงยงั มีความจาํ เปนในหลายกลุมประชากร ในอาหารไทยทั่วไปประกอบดวยธาตุเหล็กจากพืชเปน

307

หลัก ดังน้ันในการดูดซึมและนําไปใชประโยชนยังอยูในอัตราที่คอนขางตํ่า เพียงรอยละ 8-10 แหลง
อาหารที่มีธาตุเหล็ก ไดแก เครื่องในสัตวตางๆ โดยเฉพาะ ตับ ไต มาม ไขแดง ผักใบเขียวตางๆ ให
มากขึ้น

4.3 ไอโอดีน ไอโอดีนเปนสวนประกอบท่ีสําคัญของฮอรโมนไธรอกซิน ซ่ึงผลิตโดยตอมไธ
รอยด การขาดหรือไดรับไอโอดีนไมเพียงพอในระยะตั้งครรภจะสงผลใหแมเปนโรคคอพอก ซึ่งมี
ความสําคัญตอการควบคุมการเผาผลาญคารโบไฮเดรตเพื่อใหไดพลังงาน ในระยะต้ังครรภมีความ
ตองการพลังงานมากกวาปกติรางกายจึงตองมีการเผาผลาญอาหารมากกวาปกติ ซ่ึงฮอรโมน
ดังกลาวจึงมีความเก่ียวของในการควบคุมการเจริญเติบโตของรางกายท้ังเซลลรางกายและเซลล
สมอง

คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546
ไดแนะนําหญิงตั้งครรภควรไดร ับไอโอดนี เพิม่ ขึ้นจากเดิมอีกวันละ 50 ไมโครกรัม ซ่ึงจะไดจากการกิน
อาหารทะเลตาง ๆ เชน ปลาทะเล หอยทะเล กุงทะเล นอกจากนี้ก็จะไดจากการกินเกลือที่ผสม
ไอโอดีน ซ่ึงเรียกวา “เกลืออนามัย” หญิงต้ังครรภควรเลือกใชเกลือชนิดน้ีในปรุงอาหารทุกวันจะชวย
ปอ งกนั การขาดไอโอดีนได โดยเฉพาะผทู ีอ่ ยหู างไกลจากทะเล เชน ในภาคเหนือ และภาคอสี าน

ผลจากการขาดไอโอดีนในแมมีผลทําใหทารกขาดไอโอดีนดวย ทารกท่ีขาดไอโอดีนอาจแทง
หรือตายระหวางคลอด แตถารอดชีวิตและเติบโตจะพบวาทารกจะมีอาการผิดปกติทางสมอง มีการ
พัฒนาทางดานประสาทบกพรอง และมีการพฒั นาการทางดานรางกายตาํ่ เรยี กโรคน้วี า “โรคเออ ”

4.4 ฟอสฟอรัส ทารกในครรภตองการฟอสฟอรัสควบคูกับแคลเซียมในอัตราสวน 1 : 1
รางกายจึงจะสามารถนําไปใชประโยชนได ซึ่งฟอสฟอรัสจะทําหนาท่ีชวยในการบํารุงกระดูกและฟน
ใหแข็งแรง และมีประโยชนในการสรางเซลล เนื่องจากฟอสฟอรัสเปนองคประกอบที่สําคัญของกรด
นิวคลิอิก ซึ่งมีความสําคัญตอการสงถายพันธุกรรมและควบคุมเมตาบอลิซึมของเซลล อาหารท่ีมี
ฟอสฟอรสั มาก ไดแ ก ปลา ไข นม เนยและ ผกั ใบเขียวชนดิ ตาง ๆ

5. ความตอ งการนํา้
หญิงตั้งครรภมีความตองการนํ้าเพ่ิมมากขึ้น เน่ืองจากเกิดการขยายตัวของปริมาณน้ํา

ภายนอกเซลล ความตองการน้ําของทารกในครรภมารดา และปริมาณนํ้าในถุงน้ําครํ่า หญิงตั้งครรภ
ตั้งแตไ ตรมาสท่ี 2 จนถึงกําหนดกอ นคลอดมคี วามตองการนํา้ เพิ่มขึ้นอกี 300 มิลลกิ รมั ตอ วัน

308

โภชนาการสําหรบั หญิงใหนมบตุ ร

ในระยะใหนมบุตรแมจําเปนตองไดรับสารอาหารตางๆ ตามที่รางกายตองการในปริมาณที่
เพียงพอ เพือ่ ใชในการเสริมสรางซอมแซมเนื้อเย่ือตางๆ ของแมแ ละเพือ่ สรางนาํ้ นมใหทารก ดังนน้ั แม
จงึ ควรไดรบั สารอาหารตา งๆ ใหเ พยี งพอ

ปรมิ าณพลงั งานและสารอาหารทห่ี ญิงใหนมบตุ รควรไดร บั มีดงั นี้
หญงิ ใหนมบตุ ร ตอ งการพลงั งานและสาอาหารตางๆ ดังนี้
1. ความตอ งการพลังงาน
อาหารที่ใหพลังงานไดแก คารโบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ในระยะใหนมบุตรรางกาย

จําเปนตองไดรับพลังงานเพ่ิมขึ้น เพื่อใชในการผลิตนํ้านมสําหรับทารก ในแตละวันแมจะตองผลิต
น้ํานมสําหรับทารกประมาณ 850 ลูกบาศกเซนติเมตร ซึ่งจะตองใชพลังงานในการผลิต 70
กิโลแคลอรีตอน้ํานมแม 100 ลูกบาศกเซนติเมตร หรือประมาณ 600 กิโลแคลอรีตอวัน แตเนื่องจาก
ในระยะตัง้ ครรภร า งกายไดม กี ารสะสมพลังงานไวใ นรปู ของไขมนั บางแลว

คณะกรรมการจดั ทําขอกําหนดสารอาหารทค่ี วรไดร ับประจาํ วนั สําหรับคนไทย พ.ศ. 2546ได
แนะนําหญิงใหนมบตุ รควรไดรับพลังงานเพ่ิมขน้ึ จากปกติ 500 กโิ ลแคลอรี ทัง้ นี้เพ่ือที่จะใหมีพลังงาน
เพียงพอในการผลิตน้ํานมใหทารก และในระยะตั้งครรภรางกายอาจสะสมพลังงานไวไมเพียงพอ
และหากในระยะใหนมบุตรไดรบั อาหารทม่ี ีพลังงานไมเ พยี งพอดว ยแลวกจ็ ะทําใหมีการสลายเน้ือเยื่อ
ตางๆ ในรางกายมาใชเปนพลังงานชดเชย มีผลทําใหแมมีรางกายทรุดโทรม ออนแอ เจ็บปวยงาย
และบอย เปนผลเสียตอแมและทารก ดังน้ันเพื่อความปลอดภัยสําหรับหญิงใหนมบุตร จึงควรไดรับ
พลังงานเพมิ่ ข้ึนประมาณวนั ละ 500 กิโลแคลอรี ท้ังนี้ขนึ้ กบั น้ําหนักทเี่ พ่มิ ขึน้ ของแมใ นระยะตงั้ ครรภ
และแรงงานท่ีแมใชใ นระยะใหนมบตุ ร

2. ความตอ งการโปรตนี
ในระยะใหนมบุตรแมจําเปนตองไดรับโปรตีนเพียงพอเพ่ือใชในการสรางน้ํานมและ

ซอมแซมเซลลตางๆ ของแมที่สูญเสียไปในการคลอด เชน เลือด หากในระยะนี้แมไดรับโปรตีนไม
เพียงพอ รางกายจะสลายโปรตีนในเนื้อเยือ่ ตา งๆ ของแมเ พือ่ ใชในการสรางนํา้ นมใหทารก ทาํ ใหแมมี
รางกายและสุขภาพทรุดโทรมลง และยิ่งแมไดรับอาหารที่ใหพลังงานไมเพียงพอแลว รางกายก็
จะตองสลายโปรตีนเพ่ิมขึ้นเพื่อใชเปนพลังงานในการการผลิตนํ้านมสําหรับทารกและใชในกิจกรรม
การทํางานตางๆ ของแมดวย ทําใหแมเปนโรคขาดโปรตีนและพลังงานอันเปนผลใหน้ํานมแมมี
ปริมาณนอยลงไมเพียงพอกับความตองการของทารก ทารกในระยะ 2 – 3 เดือนแรกจะไดอาหาร

309

จากน้ํานมแมเพียงอยางเดียว การที่แมมีนํ้านมไมเพียงพอจึงมีผลใหทารกเจริญเติบโตชา นํ้าหนัก
เพมิ่ นอยกวา ทค่ี วร

ปริมาณโปรตีนอางอิงที่ควรไดรับสําหรับหญิงใหนมบุตรควรเพ่ิมจากปกติวันละ 25 กรัม แต
เน่ืองจากโปรตีนท่ีคนไทยไดรับมาจากขาวเปนสวนใหญและโปรตีนในขาวเปนชนิดไมสมบูรณ
(incomplete protein) ดังน้ันเพ่ือปองกันการขาดโปรตีนชนิดสมบูรณครึ่งหน่ึงของโปรตีนที่หญิงใหนม
บตุ รควรไดรับ จงึ ควรเปน โปรตนี ท่ไี ดจ ากสัตว เชน เนื้อสตั วและผลิตภณั ฑ ไข นมและผลิตภณั ฑจ ากนม

3. ความตอ งการวติ ามนิ และเกลอื แร
หญิงใหนมบุตรมีความตองการวิตามินและเกลือแรเพิ่มมากขึ้น เพื่อใชในการเสริมสราง

รางกายของแมแ ละเปน สวนประกอบในน้าํ นม ดงั น้ันคณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควร
ไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546 ไดแนะนําใหหญิงใหนมบุตรไดรับวิตามินและเกลือแร
ตางๆ เพ่ิมขน้ึ จากปกติ (ตารางที่ 10.1)

ตารางท่ี 10.1 ปรมิ าณและแหลง วิตามินและเกลอื แรทีห่ ญิงใหน มบุตรควรไดรับตอวนั

สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร แหลงอาหาร
อา งองิ ที่ควรไดร ับ
วิตามินเอ (มคก.) ตับ ไขแดง น้ํานม ผักสีเขียวเขม ผลไมท่ีมีสีเหลืองสม เชน ตําลึง
ประจาํ วัน ผักกวางตงุ ผกั บงุ ฟก ทอง มะมว งสกุ มะเขือเทศ
วิตามินซี (มก.) +375 ฝรั่ง มะขามปอม สม มะนาว สตรอเบอรี มะเขือเทศ ผักใบเขียว
กะหลาํ่ บรอ็ คโคลี
วติ ามนิ อี (มก.) +35 นํ้ามันขาวโพด นํ้ามันถั่วเหลือง นํ้ามันดอกคําฝอย ผลิตภัณฑจาก
นํ้ามนั พชื
ไธอะมิน (มก.) +4 เนื้อหมู ขาวซอมมือ ถ่ัวลิสง ถ่ัวเหลอื ง ถั่วดาํ และงา
ไรโบฟลาวนิ (มก.) เคร่อื งในสัตว เนือ้ สตั ว ไข นา้ํ นม
ไนอะซนิ (มก.) +0.3 เน้อื สตั วช นิดตา งๆ เครอ่ื งในสตั ว ถว่ั เมลด็ แหง ราํ ขา ว ยีสต
วติ ามนิ บีหก (มก.) +0.5 เน้ือสัตว กลวย ถว่ั เมลด็ แหง ไขแ ดง
โฟเลท (มคก.) +3 ดอกกะหล่ํา ดอกและใบกุยชาย มะเขือเทศ แตงกวา หนอไมฝร่ัง
+0.7 แครอท ถ่วั ฝก ยาว ผักใบเขยี ว
วิตามนิ บีสิบสอง (มคก.) +100 เคร่ืองในสัตว เน้ือสัตว หอยนางรม นํ้านม ไข สาหราย ถ่ัวหมัก
และซีอิว๊
กรดแพนโทเธนิก (มก.) +0.4 ตบั เน้อื สัตว ไข นมผง ถัว่ ลิสง

+2

310

ตารางท่ี 10.1 ปริมาณและแหลงวติ ามนิ และเกลอื แรที่หญงิ ใหนมบุตรควรไดรับตอ วนั (ตอ )

ปรมิ าณสารอาหาร

สารอาหาร อา งอิงที่ควรไดร ับ แหลง อาหาร

ประจําวนั

ไบโอตนิ (มคก.) +5 ตับ ไขแ ดง เครือ่ งในสัตว นาํ้ นม ผัก ถว่ั เมล็ดแหง เห็ด ผลไม

โคลีน (มก.) +125 เนอ้ื สตั ว ไขแดง ถั่วเมลด็ แหง อาหารแปรรูป เชน ไอศกรีม เคก

ไอโอดีน(มคก.) +50 พชื และสตั วทะเล เชน ปลาทะเล สาหรายทะเล

สงั กะสี (มก.) +1 หอยนางรม กุง ปลา ไข นาํ้ นมและผลิตภัณฑ

ซลิ ีเนยี ม(มคก.) +15 อาหารทะเล เนอ้ื สตั ว ไข ธญั พชื ผกั และผลไม

โคเมียม (มคก.) +20 ผกั ผลไม ธัญพชื โดยเฉพาะธญั พชื ทไ่ี มไดข ดั สี

มงั กานีส (มก.) +0.8 เน้ือสัตว เชน เปด ไก ปลา ผลิตภัณฑนม ถัวเมล็ดแหง ผลไมแหง

ธัญพืช เชน ขา วโอต ขาวสาลี ขา วไรน

โมลบิ ดนิ ัม (มคก.) +5 นํ้านมและผลิตภัณฑ ถั่วเมล็ดแหง ตับ ไต ธัญพืช และขนมอบ

ตา งๆ

ท่ีมา (ดัดแปลง จากขอ กาํ หนดสารอาหารทีค่ วรไดร บั ประจาํ วนั สําหรับคนไทย, 2546)

4. ความตอ งการน้าํ
ในหญิงใหนมบุตรมีความตองการน้ําใกลเคียงกับปริมาณของนํ้านมแมที่หลั่งออกมา

ปริมาณของน้ําในนํ้านมแมมีคาเฉลี่ยรอยละ 87 และน้ํานมแมที่หล่ังออกมามีปริมาณเฉล่ียวันละ
750 มิลลิลิตร ในระยะ 6 เดือนแรก ดังนั้นปริมาณนํ้าที่ตองการเพิ่มขึ้นจากความตองการของผูใหญ
โดยปกติเพิ่มข้นึ 500 มิลลิลิตรตอวนั ตลอดระยะเวลา 1 ปท่ใี หน มบตุ ร (ผูใหญหญิงที่มีอายุ 19-70 ป
มคี วามตองการนา้ํ วนั ละ 1,750-2,625 มิลลลิ ิตรตอวัน)

ปริมาณอาหารที่หญิงต้ังครรภ และหญิงใหนมบุตรควรไดรับตองเพียงพอกับความตองการ
ของรางกาย และควรจัดอาหารใหครบท้ัง 5 หมู โดยพยายามใหจัดอาหารอยางหลากหลายเพื่อให
ไดร บั สารอาหารอยางครบถวน (ตารางที่ 10.2)

311

ตารางท่ี 10.2 ปรมิ าณอาหารของผูใหญ หญิงตงั้ ครรภแ ละหญงิ ใหนมบุตร

อาหาร ผใู หญ หญงิ ปรมิ าณอาหาร
ตอวนั ต้ังครรภ
ตอวัน หญิงใหนม ขอเสนอแนะ
180 – 200 บุตรตอวนั

เนื้อสัตวตางๆ และ 150 – 180 กรัม 200 – 240 ควรกินอาหารทะเลอยางนอยสัปดาหละ 2
กรัม คร้ัง และกินปลาหรือสัตวเล็กๆ ท่ีกินไดท้ัง
เครอื่ งในสตั วส กุ กรัม 1 ฟอง กระดูกสปั ดาหล ะ 1 – 2 ครัง้
1-2ฟอง
ไขเปด ไขไก นํ้านม 4-5ฟอง/
สด สปั ดาห 1–2 2 ถวยตวง อาจใชนมถ่ัวเหลืองหรือเครื่องด่ืมผสมนม
น้ํานมสด 0–1 ถวยตวง หรือมากกวา เชน ไมโล โอวันติน
ถวยตวง เปนเตาหูขาวหรือเตาหแู ข็งกไ็ ด
ถว่ั เมล็ดแหง ตม สุก ½ ½-1
½ ถว ยตวง ถว ยตวง ผักสดหรือผกั สกุ ก็ได
ผกั สเี ขียว ถวยตวง 1–2 2–3
½-1 ถว ยตวง ถว ยตวง ประมาณสัปดาหละ 2 ครัง้
ผักสีเหลอื ง ถว ยตวง 1 ถวยตวง 1 ถว ยตวง
½ ถว ยตวง

ผลไม 2 – 3 ผล 3 – 4 ผล 5 – 6 ผล ผลไมที่มีขนาด 1 คนกินไดพอดี เชน

สมเขียวหวาน

ขาวสุก 3-6 5 – 6 6 – 7 ควรน่ึงหรอื หงุ ไมเชด็ น้ํา

ถวยตวง ถว ยตวง ถวยตวง

นาํ้ มนั พืช 3 ชอ นโตะ 3 ชอ นโตะ 3 ½ ชอ นโตะ ควรใชนํ้ามันพืช เชน นํ้ามันรํา น้ํามันถ่ัว

น้ํามนั สัตวหรือกะทิ เหลือง ในการประกอบอาหาร

ทีม่ า (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสุข, 2546)

312

โภชนาการสาํ หรับทารก

ทารก (infant) หมายถึงเด็กแรกเกิดจนถึง 1 ป เปนระยะท่ีรางกายมีการเจริญเติบโตอยาง
รวดเร็วกวาชวงวัยอ่ืนของชีวิต การเจริญเติบโตของทารกมีผลมาจากภาวะโภชนาการของแมตั้งแต
กอนตัง้ ครรภ ขณะตงั้ ครรภ ทารกแรกคลอดควรมนี า้ํ หนักเฉลี่ย 3,000 กรมั และมีความยาวประมาณ
50 เซนติเมตร ในสัปดาหแรกน้ําหนักทารกจะลดลงประมาณรอยละ 3 – 7 หลังจากน้ันแลวนํ้าหนัก
จะเพ่ิมมากข้ึนเรื่อยๆ ในระยะนี้ถาทารกไดรับอาหารท่ีเหมาะสมและเพียงพอ การเจริญเติบโตของ
ทารกจะเพ่ิมขึ้นอยางรวดเรว็ ซง่ึ สงผลตอ พัฒนาการดา นสมอง รางกาย และสติปญญาของเด็ก
ปริมาณพลงั งานและสารอาหารท่ที ารกควรไดร ับ

ทารกจะตองการสารอาหารตา งๆ เพอื่ ความเจรญิ เตบิ โตดงั ตอ ไปนี้
1. ความตองการพลังงาน

เนือ่ งจากวยั ทารกเปนระยะท่ีรางกายเจริญเติบโตรวดเร็วท่ีสุด ความตองการพลังงานเพ่ือ
การเจริญเติบโตจึงสูงกวาระยะอื่นๆ ดวย ในระยะแรกทารกมีการเจริญเติบโตอยางรวดเร็ว ทารกมี
ความตองการพลังงานเพื่อนําไปใชในการเจริญเติบโตสูงถึงรอยละ 35 ของความตองการพลังงาน
ทั้งหมด และลดลงเหลือรอยละ 3 เมื่อทารกอายุ 1 ป ในชวงวัยรุนความตองการพลังงานที่เก่ียวกับ
การเจริญเติบโตจะเพิ่มขึ้นเปนรอยละ 4 ของความตองการพลังงานทั้งหมด สําหรับหนักของทารก
อายุ 6 เดอื น จะเพิม่ ขึน้ เปน 2 เทา ของนา้ํ หนกั แรกเกิด และจะเพม่ิ ขึ้นเปน 3 เทา เม่อื อายุ 1 ป ปจ จุบัน
องคการอนามัยโลก แนะนําใหเล้ียงทารกดวยนํ้านมแมอยางเดียวจนทารกมีอายุ 6 เดือน (WHO
2001)

การศึกษาพบวาปริมาณน้ํานมแมของคนไทยในชวงอายุตั้งแตแรกคลอดจนถึงอายุ 8 เดือน
มีปริมาณใกลเคียงกันระหวาง 616-707 กรัมตอวัน และคอยๆ ลดปริมาณลงจนถึง 516 กรัมตอวัน
และเมือ่ เดก็ อายุ 2 ป (ตารางที่ 10.3)

2. ความตองการโปรตีน
โปรตีนเปนสารอาหารท่ีจําเปนอยางยิ่งในการเจริญเติบโตของรางกายและสมอง การ

เจริญเติบโตอยางรวดเร็วความตองการโปรตีนจะสูงข้ึนตามไปดวย ทั้งนี้เพื่อใชในการเสริมสราง
เนือ้ เย่อื ตา ง ๆ กลา มเน้อื ฮอรโมน เลอื ด และอนื่ ๆ

ทารก แรกเกิด – 5 เดือน โปรตีนที่ไดจากนมแมเพียงพอแกความตองการของรางกาย และ
ตองการโปรตีนเพิ่มจากอาหารเสริม 1.9 กรัมตอน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัมตอวัน หรือประมาณ 15 กรัม
ตอวนั เม่อื ทารกอายุ 6 เดือน – 11 เดอื น

313

ตารางที่ 10.3 ความตองการพลังงานและโปรตีนจากน้ํานมแมและจากอาหารอื่นตั้งแตแรกเกิด
จนถงึ อายุ 2 ป

กลมุ อายุ พลังงาน น้ํานมแม พลงั งาน (กิโลแคลอรี/วนั ) โปรตีน
(เดือน) ที่ตอ งการ (กรมั /วัน) จากน้าํ นมแม

(นํา้ หนกั ) (กิโลแคลอร/ี วัน) จากนํา้ นมแม จากอาหารอนื่ (กรัม/วัน)

0–2 437 652 437 0 6.5
(4 กก.)

3-5 550 707 474 76 7.1
(6 กก.) (76 - 236)

6–8 682 616 413 269 6.2
(6 กก.) (73 - 465)

9 – 11 830 566 379 451 5.7
(8 กก.) (229 - 673)

12 – 23 1092 516 346 746 5.2
(10 -12 กก.)

* น้าํ นมแม 1 กรมั ใหพลงั งาน 0.67 กโิ ลแคลอรีและโปรตีน 0.01 กรมั

ที่มา : (คณะกรรมการจดั ทาํ ขอ กาํ หนดสารอาหารทคี่ วรไดรบั ประจําวนั สําหรบั คนไทย, 2546, หนา 57)

ตารางท่ี 10.4 พลังงานทีค่ วรไดรบั จากอาหารท่บี ริโภคตอ วันสาํ หรบั ทารก

อายุ น้ําหนกั พลังงาน พลังงาน ปริมาณ
(ป – เดือน) (กก.) (กโิ ลแคลอรี/วนั ) (กโิ ลแคลอรี/วัน) น้าํ นมแม
(มิลลิลติ ร/วัน)
ทารก จากน้าํ นม จาก
0-5 5 แม อาหาร 670
580
500 500 0

6 -11 8 800 400 400

ทีม่ า (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสุข ,2546, หนา 57)

314

3. ความตอ งการวติ ามนิ
นอกจากสารอาหารหลัก ไดแก คารโบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทารกยังมีความ

ตอ งการวติ ามนิ ชนดิ ตา งๆ เพื่อใหการทํางานของรางกายเปน ไปอยา งปกติ วติ ามินที่สําคัญไดแก
3.1 วิตามินเอ มีความสําคัญตอการเจริญเติบโตของรางกาย การปรับของสายตาในท่ีมืด

และการทาํ งานของเยื่อบุตางๆ เชน เยื่อผิวหนัง เยื่อบุของตา ทารก 6 เดือนแรก ถากินน้ํานมแมเพียง
อยางเดียวก็จะไดรับวิตามินเอท่ีพอเพียงตอการเจริญเติบโต เพราะโดยเฉล่ียในระยะ 6 เดือนแรก
นํ้านมแมจะประมาณ 750 มิลลิกรัมตอวัน และมีปริมาณวิตามินเอในนํ้านมมากกวา 50 ไมโครกรัม
ตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งเปนปริมาณที่เพียงพอกับทารกในขณะนั้น ดังนั้นคาเฉล่ียวิตามินเอท่ีเด็กทารก
ไดรับมีคาประมาณ 375 ไมโครกรัมตอวัน ซ่ึงคาน้ีเปนปริมาณวิตามินเอท่ีเพียงพอในแตละวัน และ
ทารกอายุ 6-11 เดือน ปริมาณนํ้านมจะลดลงโดยเฉล่ีย 650 มิลลิกรัมตอวัน แตเด็กทารกในชวงอายุ
นจี้ ะไดรับอาหารเสรมิ ตามวยั ดังนั้นความตอ งการวิตามนิ เอ 400 ไมโครกรมั ตอวัน

3.2 วิตามินดี ปริมาณวิตามินดีอางอิงที่ควรไดรับประจําสําหรับคนไทย แนะนําใหทารก
0-5 เดือนไดร ับวิตามนิ ดเี ทา กับ 5 ไมโครกรัม (200 หนวยสากล ตอ วัน) พบวาในชว ง 3 เดือนแรกหลัง
คลอดทารกไมมีปญหาเก่ียวกับการขาดวิตามินดีแมวาไดรับแสงแดดนอยและบริโภคอาหารที่มี
วิตามินดีนอย เนื่องจากทารกมีวิตามินที่ไดรับจากมารดาผานรกสะสมไวในรางกายในปริมาณท่ี
เพียงพอ แตหลังจากนั้นถาทารกไมไดรับวิตามินดีเสริมเลยจะมีโอกาสเกิดโรคกระดูกออนไดงาย
ดังนั้นจึงมีขอแนะนําสําหรับทารกอายุ 0-5 เดือน ที่ไดรับแสงแดดอยางพอเพียง (โดยทารกใสแต
ผาออม ถูกแสงแดดเปนเวลานาน 30 นาที่ตอสัปดาห หรือใหทารกสัมผัสแสงแดดสัมผัสเฉพาะท่ี
ใบหนาเปนเวลา 2 ช่ัวโมงตอสัปดาห) จะมีปริมาณวิตามินดีเพียงพอ แมวาจะบริโภคน้ํานมแมเปน
หลักก็สามารถผลิตวติ ามินดีไดอยา งพอเพียง แตส ําหรบั ทารกทไี่ ดรบั แสงแดดอยา งจาํ กดั หรอื มปี จ จยั
ท่ีทําใหเกิดภาวการณขาดวิตามินดี ทารกควรบริโภควิตามินดีอยางนอย 5 ไมโครกรัม (200 หนวย
สากล) ตอวัน แหลงวิตามินดีท่ีสําคัญในทารก คือ นมผงดัดแปลงสําหรับทารกที่เสริมวิตามินดี หรือ
วิตามินดีที่เตรียมไวในรูปของยา สําหรับทารกอายุ 6-11 เดือน ปริมาณวิตามินดีอางอิงที่ควรไดรับ
ประจําสําหรับคนไทย แนะนําใหทารก 6-11 เดือนไดรับวิตามินดีเทากับ 5 ไมโครกรัม (200 หนวย
สากล ตอวัน) ดังนั้นทารกจําเปนตองไดวิตามินในปริมาณท่ีเพียงพอเพ่ือความเจริญเติบโตของ
รางกาย วิตามินดีจําเปนตอการเจริญเติบโตของกระดูก ทารกควรไดรับประมาณวันละ 400 หนวย
สากล ซงึ่ จะไดจากนา้ํ นม และ ไขแ ดง

3.3 วิตามินบีหน่ึง ปริมาณวิตามินบีหน่ึงท่ีคณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่
ควรไดร บั ประจาํ วันสาํ หรับคนไทย พ.ศ. 2546 ไดแนะนําใหทารกอายุ 6-11 เดือน ควรไดรับวิตามินบี
หนึ่งเทากับ 0.3 มิลลิกรัมตอวัน สําหรับทารกอายุ 0-5 เดือน ท่ีด่ืมน้ํานมแม และแมเปนผูมีสุขภาพดี

315

ไมมีปญหาการขาดวิตามินบีหน่ึง ปริมาณวิตามินบีหน่ึงในนํ้านมแมเพียงพอแกความตองการของ
ทารก

การขาดวิตามินบีหน่ึงในทารกทําใหเกิดโรคเหน็บชา พบไดบอยไดทารกอายุ 2-3 เดือน โดย
มักพบในทารกทดี่ ืม่ นมแม และแมเปนผทู ี่กินอาหารทขี่ าดวิตามนิ บีหนงึ่

3.4 วิตามินบีสอง ทารกตองการประมาณวันละ 0.4 มิลลิกรัม ซึ่งทารกจะไดจาก น้ํานม
ผกั ใบสีเขียว และตับสตั ว

3.5 ไนอะซิน ทารกควรไดรับประมาณวันละ 4 มิลลิกรัม ซ่ึงปริมาณนี้จะไดเพียงพอจาก
นํ้านม แหลงอาหารทม่ี ีไนอะซนิ ในปรมิ าณสงู ไดแก เนื้อสตั วตางๆ เครื่องในสัตว ถ่ัวเมล็ดแหง รําขาว
และยีสต

3.6 วิตามินซี ทารกอายุ 6-11 เดือนจะตองการวิตามินซีวันละ 35 มิลลิกรัม สําหรับทารก
อายุ 0-5 เดือน การด่ืมน้ํานมแมจะไดรับวิตามินซีเพียงพอ สวนทารกที่ไมไดเล้ียงดวยน้ํานมแม ควร
ใหอ าหารท่มี วี ติ ามนิ ซีเพมิ่ ไดแ ก น้ําตมผัก หรอื นาํ้ สมค้นั

3.7 โฟลาซิน เน่ืองจากในระยะตั้งครรภแมมักไดรับโฟลาซินไมเพียงพอ ทําใหทารก
ไดรับโฟลาซินนอยดวย ในระยะน้ีจึงควรใหอาหารท่ีมีโฟลาซินมากแกทารก ซึ่งไดแก ตับสัตว ผักใบ
เขยี ว เปน ตน

4. ความตอ งการเกลือแร
ทารกจําเปนตอ งไดร บั เกลือแรต า ง ๆ เพ่ือความเจริญเติบโต ดงั ตอ ไปนี้
4.1 แคลเซียม คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคน

ไทย แนะนําใหทารกอายุ 0 – 5 เดือน การกําหนดปริมาณแคลเซียมในกลุมอายุน้ีโดยใชขอมูล
ปริมาณแคลเซียมท่ีไดรับจากน้ํานมแมเปนเกณฑในการพิจารณา จากการศึกษานํ้านมแมในกลุม
ของแมที่มีสุขภาพดีจํานวน 20 คน ท่ีจังหวัดราชบุรี ในป พ.ศ. 2526 พบวา ความเขมขนของ
แคลเซียมในน้ํานมแมใกลเคียงกับขอมูลของประเทศทางตะวันตก แตปริมาณน้ํานมแมเฉลี่ยตอวัน
ในเดือนท่ี 1, 3 และ 6 คอนขา งตาํ่ คอื มคี าเทากับ 442, 504 และ 446 มิลลิลิตร ตามลําดับ ท้ังน้ีการ
หาปริมาณนํ้านมแมในภาคสนามนั้นมีปจจัยกระทบคอนขางสูง เชน ความเครียดที่เกิดกับแม
เน่ืองจากการท่ีมีคนภายนอกเขามาอยูดวยตลอดเวลาเมื่อใหนมลูกอาจมีผลใหน้ํานมหลั่งนอยลงได
ดงั นั้นจึงใชขอมูลปริมาตรนํ้านมแมเฉล่ียตอวันจาก DRI ของประเทศสหรัฐอเมริกาคือ 780 มิลลิลิตร
ตอวัน แลวนํามาคูณกับคาเฉล่ียความเขมขนของแคลเซียม ในนํ้านมแมคนไทยซ่ึงเทากับ 28
มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร (เฉล่ียจากปริมาณแคลเซียมในน้ํานมแมในเดือนที่ 1, 3 และ 6 เทากับ
33, 26 และ 23 มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ตามลําดับ) ปริมาณแคลเซียมท่ีทารกไดรับจากนํ้านมแม

316

จะเทา กับ 212 มิลลิกรมั ตอวัน หลังจากนั้นปดตัวเลขเปนจํานวนเต็มซ่ึงมีคาเทากับ 210 มิลลิกรัมตอ
วนั และใชเปน ปริมาณแคลเซยี มทแี่ นะนําใหบรโิ ภคสําหรับทารกอายุ 0 – 5 เดอื น

ทารกอายุ 6 -11 เดือน การกําหนดปริมาณแคลเซียมที่ควรไดรับตอวันในกลุมอายุน้ีควรใช
ขอมูลปริมาณแคลเซียมท่ีไดรับจากน้ํานมแมและอาหารทารกตามวัยเปนเกณฑในการพิจารณา แต
เนื่องจากไมมีขอมูลเก่ียวกับปริมาณแคลเซียมในน้ํานมแมและอาหารทารกตามวัยของเด็กไทย
ในชวงอายุน้ี จึงพิจารณาปริมาณแคลเซียมท่ีควรไดรับตอวันในกลุมอายุนี้ตาม DRI ของประเทศ
สหรัฐอเมริกาเปนหลัก คือ 270 มิลลิกรัมตอวัน และเมื่อเปรียบเทียบกับขอมูลของประเทศอื่นๆ ใน
แถบเอเชีย ปริมาณแคลเซียมที่ควรไดรับตอวันของประเทศท่ีมีคาใกลเคียงไดแก ประเทศเกาหลีซึ่ง
กําหนดปริมาณแคลเซียมท่ีควรไดรับตอวันเทากับ 300 มิลลิกรัม ตารางท่ี 10.5 แสดงปริมาณ
แคลเซยี มท่คี วรไดร บั ตอวนั ของประเทศตา งๆ รวมทงั้ ประเทศไทย

4.2 เหล็ก ทารกในชวง 4 – 6 เดือนแรก ทารกจะอาศัยธาตุเหล็กที่สะสมในรางกายตั้งแต
ในระยะที่อยูในครรภมารดา รวมกับการไดรับธาตุเหล็กจากนํ้านมแม ทารกแรกเกิดมีปริมาณ
ฮีโมโกลบินสูงเนื่องจากทารกมีความตองการออกซิเจนในปริมาณมาก แตความสามารถในการสง
ออกซิเจนโดยฮีโมโกลบินของทารกต่ํา เพื่อใหรางกายปรับตัวใหสามารถสงออกซิเจนไดดีขึ้น เหล็ก
สวนหน่ึงจึงถูกสะสมไวในแหลงสะสมและจะถูกนํามาใชในชวงอายุ 4 – 6 เดือนแรก แตหลังจาก 6
เดือนแลว ธาตุเหล็กทีส่ ะสมไวจะถกู นาํ ไปใชจนหมด ดงั นั้นเหลก็ ท่ที ารกไดจากน้ํานมแมอยางเดียวจึง
ไมเพียงพอ ทารกจึงควรไดรับอาหารที่มีธาตุเหล็กเพ่ิมขึ้น อาหารที่มีธาตุเหล็ก ไดแก เนื้อสัตว เคร่ือง
ในสัตว เลือด ปริมาณธาตุเหล็กอางอิงท่ีควรไดรับสําหรับทารกอายุ 6 – 11 เดือน เทากับ 9.3
มิลลิกรัมตอวัน

5. ความตอ งการน้าํ
ทารกอายุ 0 – 5 เดือน ความตองการนํ้าในทารกแรกเกิดขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยาง

ทารกมีพ้ืนท่ีผิวกายมากเมื่อเทียบกับนํ้าหนัก มีปริมาณน้ําในรางกายและนํ้าที่หมุนเวียนใชภายใน
รา งกายมาก ขณะทไ่ี ตมีความสามารถจาํ กดั ในการขจัดนา้ํ และปริมาณสารละลายตางๆ ท่ีเปน ผลมา
จากเมตาบอลิซึมของโปรตีนน้ํานมแมมีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารกสวน
นมผสมมีโปรตีนสูงกวาในน้ํานมแม การไดรับโปรตีนสูงอาจทําใหทารกเกิดภาวะขาดน้ําอยางรุนแรง
ได เน่ืองจากทารกไมสามารถแสดงอาการกระหายนาํ้ และไมส ามารถบอกความตองการน้ําได

ความตองการนาํ้ ของทารกข้นึ กับปริมาณนํ้านมแมที่ไดรับในแตละวัน ทารกแรกเกิด-5 เดือน
ควรไดรับน้ําวันละ 1-1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของพลังงานท่ีใช คิดเปนปริมาณน้ํา 750-1,125
มิลลิลิตรตอวัน ซึง่ เพียงพอสําหรับการเจริญเติบโตของทารก คาท่ีกําหนดนี้คํานวณมาจากอัตราสวน

317
ของนา้ํ ตอพลงั งานทีไ่ ดจ ากนา้ํ นมแมและไดม ีการนําสดั สวนนไ้ี ปใชในการเตรียมนมผสมสาํ หรับทารก
ดว ย ทารก 6 เดือน-1 ป ปริมาณนํา้ ท่คี วรไดร บั 800-1,200 มิลลิลติ รตอ วนั

ตารางที่ 10.5 ปรมิ าณแคลเซยี มท่คี วรไดร ับตอ วนั ของประเทศตา งๆ รวมท้ังของประเทศไทย

กลุม อายุ US DRI FAO/WHO ญ่ปี นุ จนี เกาหลี ไทย
พ.ศ. 2543 พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2543 พ.ศ. 2543 พ.ศ. 2546
ทารก (มก.ตอ วนั ) (มก.ตอ วัน) (มก.ตอวนั ) (มก.ตอ วนั ) (มก.ตอวัน) (มก.ตอ วัน)

0-6 เดอื น 210 300 (นมแม) 200(0-5 เดือน) 300 (0-5 เดอื น) 200 (นมแม) 210 (0-5เดือน)
400 (นมผง) 500(6-11 เดอื น) 400 (6-11 เดือน) (0–4 เดือน) 270 (6-11เดอื น)
7-12 เดอื น 270 300 (นมผง)
450 (0–4 เดือน) 500
300 (5–11 เดอื น) 800
เด็ก
500 1,000
1-3 ป 500 500 500 (1-5 ป) 600 600 (4-6 ป)
700 (7-9 ป) 1,000
4-8 ป 800 550 (4-6 ป) 600 (6-8 ป) 800(4-10ป)
800(10-12ป) 800
700 ( 7-9 ป) 900(13-19ป) 1,000
800
วัยรุน 800(10-19ป) 1,000

ผูชาย 700 (20ปขน้ึ ไป) 1,000
800
9-18 ป 1,300 1000 (10-18 ป) 700 (9-11ป) 1,000 (11-17ป) 700 (20ปขึน้ ไป) 1,000
800
900(12-14ป) 1,000

800(15-17ป) 1,100

ผหู ญิง

9-18 ป 1,300 1000 (10-18 ป) 700 (9-17ป) 1,000 (11-17ป)

ผูใหญ

ผชู าย

19-50 ป 1,000 750 (19-65ป) 700 (18-29ป) 800 (18-49ป)

> 50 ป 1,200 800 (65ปข ้นึ ไป) 600 (30ปข ้ึนไป) 1,000 (50ปขนึ้ ไป)

ผหู ญงิ

19-50 ป 1,000 750 600 800 (18-49ป)

> 50 ป 1,200 800 (18 ข้ึนไป) 1,000 (50ปข น้ึ ไป)

(หลงั หมดประจาํ เดอื น)

หญิงต้ังครรภ

> 18 ป 1,300 800 900 1,000 (ไตรมาสท2ี่ )

19-50 ป 1,000 (ไตรมาสท่ี 3) 1,200 (ไตรมาสท2่ี )

หญงิ ใหน มบุตร

> 18 ป 1,300 750 1,100 1,200

19-50 ป 1,000

ท่มี า (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสขุ , 2546,หนา 191)

318

นํ้านมแม

น้ํานมแมเปนอาหารที่ดีที่สุดสําหรับทารก มีสารอาหารที่จําเปนสําหรับทารก เชน เซลลเม็ด
เลือดขาว สารในระบบภูมิคุมกัน ฮอรโมน สารคัดหลั่งจากตัวแม ซึ่งจะมีประโยชนตอทารก ทารกท่ี
กินนมแมมีโอกาสเจ็บปวยนอยกวาทารกท่ีกินนมผสม และการเลี้ยงลูกดวยนมแมยังสานสาย
สัมพันธความรักและความอบอุนจากแมสูทารกเปนการเสริมใหทารกมีพัฒนาการอยางเต็ม
ประสิทธภิ าพ

น้ํานมของแมในระยะแรกเกิดจนถึงประมาณ 7 วันหลังคลอด น้ํานมมีสีเหลืองคอนขางขน
เรียกวา “นมเหลือง” (colostrum) ในวันแรกจะมีน้ํานมจํานวนนอยประมาณ 2 – 20 1 มิลลิลิตรตอ
ม้ือหรือประมาณ 40 – 50 มิลลิลิตรตอวันและคอยเพิ่มปริมาณเปน 200 – 400 มิลลิลิตรตอวันใน
ระยะวันท่ี 3 – 4 ถาทารกดูดนมอยางสม่ําเสมอถึงแมวานมเหลือง จะมีปริมาณนอย แตสําคัญอยาง
ย่งิ สําหรับการปรับตัวของทารกเกิดใหม พบวาทารกแรกเกิดมีโอกาสติดเช้ือประมาณรอยละ 10 ของ
การคลอด และหากไมมีสุขลักษณะท่ีดีจะมีโอกาสติดเช้ือสูงกวาน้ี การศึกษาในปากีสถาน และใน
สวีเดน พบวาการใหนํ้านมในระยะแรกเกิดสามารถลดภาวะการติดเช้ือในทารกแรกเกิด (neonatal
sepsis) ไดเนื่องจากมีปริมาณ immunoglobulin A (IgA) สูงมาก นอกจากน้ีนมเหลือง ยังมีปริมาณ
โปรตนี สูง แตปริมาณไขมนั และน้ําตาลแลก็ โทสต่ํากวานํา้ นมระยะหลงั (mature milk)
สว นประกอบของน้ํานมแม

นา้ํ นมแมม สี ว นประกอบท่สี ําคญั 2 สว น คือ
1. สารทเี่ กยี่ วของกบั การปกปองรา งกาย

ไดแก Immunoglobulin , เม็ดเลือดขาว, สารชวยในระบบยอย เชน เกลือนํ้าดี เอนไซม
และฮอรโมนตา งๆ

2. สารอาหารตา งๆ
สารอาหารตา งๆ ทีม่ ีอยใู นนํ้านมแมประกอบดวย
2.1. คารโบไฮเดรต โดยจะไดในรูปของน้ําตาลแล็กโทส นํ้านมแมมีแล็กโทสประมาณ 4

กรัม และเพิ่มเปน 6.2 – 7.2 กรัมตอ 100 มิลลิลิตร ในน้ํานมแมระยะหลัง โดยธรรมชาตินํ้าตาล
แลก็ โทสหรือ milk-sugar เปนน้ําตาลท่ีพบเฉพาะในนํ้านม ซึ่งนํ้านมมนุษยมีปริมาณนํ้าตาลแล็กโทส
สูงทีส่ ุดเมื่อเทยี บกับสัตวท่ีเลีย้ งลูกดว ยนมอนื่ ๆ น้ํานมววั ธรรมชาติจะมนี ้าํ ตาลแลก็ โทสเพยี ง 4.9 กรัม
ตอ 100 มิลลลิ ติ ร เม่อื น้ําตาลแลก็ โทสถูกยอ ยจะไดน าํ้ ตาลกาแล็กโทสและกลูโคส นาํ้ ตาลกาแลก็ โทส
เปนสวนประกอบสําคญั ของกาแล็กโทสลิพิดและซรี โี บรไซด ซงึ่ เปนสารสําคญั ในการพฒั นาสมอง

นอกจากน้ยี งั พบน้ําตาลโอลโิ กแซก็ คาไรด ซ่งึ เปน สารคารโ บไฮเดรตเชิงซอ น ประกอบดวย 5-
10 โมเลกุลของน้ําตาลเชิงเด่ียว ไมถูกยอยและดูดซึมในกระเพาะอาหารและลําไสเล็ก แตจะถูกยอย

319

ในลาํ ไสใหญ นา้ํ ตาลโอลโิ กแซก็ คาไรด ในนํ้านมมนุษยมีจํานวนมากกวา 100 ชนิด และมีปริมาณสูง
กวาในนํ้านมวัวเกิน 100 เทา ในนํ้านมแมยังพบน้ําตาลกลูโคส ในปริมาณเล็กนอย ประมาณ 0.2
กรมั ตอ 100 มลิ ลลิ ติ ร

2.2 ไขมัน ในนมน้ําเหลือง 100 มิลลิลิตร มีไขมันประมาณ 2 กรัม และจะเพ่ิมขึ้นเปน 4-
4.5 กรัมตอ 100 มิลลลิ ิตร ในนํา้ นมระยะปกติ นํา้ นมแมม ปี ริมาณมไี ขมนั ทค่ี อ นขางคงที่ อาหารที่แม
กินมีผลตอระดับไขมันในน้ํานมนอยมาก แตอาหารที่แมกินมีผลตอชนิดของกรดไขมันในนํ้านม
สวนประกอบของไขมันในนํ้านมแมมีไตรกลีเซอไรดประมาณรอยละ 98 ท่ีเหลือเปนฟอสโฟลิพิด
โคเลสเตอรอล ไดกลเี ซอไรด และโมโนกลเี ซอไรด เปนตน

กรดไขมันที่พบในน้ํานมแมสวนใหญเปนชนิดคารบอนท่ีมีขนาดกลางและยาว โดยเฉพาะ
อยางย่ิงกรดไขมันไมอ่ิมตัว ดังนั้นน้ํานมแมจึงเปนแหลงสําคัญของกรดไขมันที่จําเปน โดยเฉพาะ
ไขมันในกลุมโอเมกา-3 ไดแก กรดไลโนเลนิค (linolenic acid) กรดโดโคซาเฮกอิโนอิก
(docosahexaenoic) และโอเมกา-6 ไดแก กรดไลโนเลอิค (linoleic acid) กรดอะราชิโดนิค
(arachidonic acid) เปนตน ซึ่งกรดโดโคซาเฮกอิโนอิค และกรดอะราชิโดนิค เปนกรดไขมันท่ีจําเปน
สําหรับทารกในระยะ 6 เดือนแรก เพื่อใชในการพัฒนาระบบประสาทแลจอตาซึ่งเก่ียวกับการ
มองเห็น

สําหรับโคเลสเตอรอล พบวาในนํ้านมแมมีปริมาณโคเลสเตอรอลประมาณ 11-14 มิลลิกรัม
ตอ 100 มิลลิลิตร ระดับโคเลสเตอรอลในน้ํานมแมมีระดับคอนขางคงที่โดยไมขึ้นกับอาหารท่ีแมกิน
ดังนั้นโคเลสเตอรอลในนํ้านมแมจึงมีปริมาณท่ีเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของทารก รวมทั้งในเด็ก
ทม่ี อี ายุ 2-5 ปแ รก ดังนัน้ จงึ ไมม ีการแนะนาํ ใหม ีการควบคมุ ปรมิ าณโคเลสเตอรอลในเด็กวยั ดงั กลา ว

2.3 โปรตีน ในนํ้านมแมมีปริมาณโปรตีนประมาณรอยละ 0.9 ซึ่งเปนปริมาณต่ําสุดเมื่อ
เทียบกับปริมาณโปรตีนของนํ้านมของสัตวอื่นๆ การท่ีน้ํานมแมมีปริมาณโปรตีนตํ่าเพื่อใหเหมาะสม
กับไตของทารกทีย่ ังทาํ งานไมเตม็ ที่ ในน้ํานมเหลอื งมีโปรตีน 1.6 กรมั ตอ 100 มลิ ลลิ ิตร

โปรตีนในน้ํานมแมมีสวนประกอบสําคัญคือเวย และเคซีน นํ้านมแมในระยะแรกๆ จะมีเวย
โปรตีนมากคดิ เปนสดั สว นเวยต อ เคซนี เทากับ 90:10 และลดลงเปน 80:20 และ 50:50 โปรตีนเวยใ น
น้ํานมแมประกอบดวย แอลฟา-แลคตันบูมิน (α - lactalbumin) เปนสวนประกอบหลักรวมกับแลค
โตเฟอริน เอนไซม ฮอรโมน เปนตน แตในน้ํานมวัวเปนเบตา-แลคโตโกบูลิน (β - lactoglobulin) ซ่ึง
ทําใหเกิดการแพได การท่ีนํ้านมแมมีโปรตีนเวยเปนสวนประกอบมากทําใหยอยงาย เคซีนในน้ํานม
แมเปนชนิดเบตาเคซีนซึ่งยอยงายตางจากเคซีนในนํ้านมวัวที่เปนแอลฟา-เคซีน ซ่ึงยอยยากกวา
อยางไรกด็ ไี ดม ีการปรบั ปรมิ าณโปรตนี เวยแ ละเคซีนในน้าํ นมผสมใหใกลเคียงกบั น้าํ นมแม

320

2.4 วิตามิน นํ้านมแมมีสวนประกอบของวิตามินท่ีละลายในน้ํา ไดแก วิตามินบีหนึ่ง
วิตามินบีสอง วิตามินบีหก วิตามินบีสิบสอง วิตามินซี ไบโอติน แพนโทเธนิก โฟเลท เปนตน แมท่ีมี
สขุ ภาพดีจะมีระดบั วิตามินทล่ี ะลายในนํา้ เพียงพอสําหรับทารก สาํ หรับ แมท ี่กนิ อาหารมังสวริ ตั อิ าจมี
ปริมาณวิตามินบสี บิ สอง และวติ ามนิ บหี ก ไมเ พยี งพอควรไดร บั การเสรมิ วติ ามนิ ดงั กลาว

2.4.1 วิตามนิ บีหก แมท ีม่ ีสุขภาพดจี ะมีระดบั วติ ามินบี 6 ในนํ้านมเพียงพอจนถึงลูก
อายุ 6 เดอื น สําหรับแมที่กินอาหารมังสวิรัติอยางเครงครัด แมท่ีคลอดลูกกอนกําหนดและแมท่ีมีการ
ใชยาคุมกําเนิดชนิดท่ีมีฮอรโมนเอสโตรเจนเปนระยะเวลานานจะมีระดับวิตามินบีหก ในนํ้านมต่ํา
กวานํ้านมของแมปกติโดยทั่วไปการใหแมไดรับวิตามินเสริม ในรูปวิตามินบีรวมท่ีมีวิตามินบีหก
ปริมาณ 4 มิลลิกรัมจะเพียงพอสําหรับทดแทนใหแมปกติ แตถาในกรณีที่จําเปนตองใหวิตามินบีหก
ในปริมาณสูงตองระวัง เน่ืองจากอาจไปกดการสรางฮอรโ มนโปรแลก็ ตนิ ทาํ ใหแ มม ีน้ํานมนอ ยลงได

2.4.2 วิตามินบีหน่ึง ระดับของวิตามินบีหน่ึง มีนํ้านอยในนมนํ้าเหลือง แตจะเพ่ิม
เปน 7-10 เทาในนํา้ นมปกติ ซ่ึงเพียงพอสําหรับความตองการของทารก แตในแมที่ขาดวิตามินบีหน่ึง
และมีอาการเหน็บชา ลกู จะมปี ญหาการขาดวิตามนิ บี 1 โดยจะแสดงอาการขาดภายใน 3-4 สัปดาห
หลังคลอด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังพบแมท่ีมีปญหาการขาดวิตามินบีหนึ่ง
เนื่องจากวัฒนธรรมการอดอาหารหลังคลอดประกอบกับอาหารทองถิ่นมีสารขัดขวางการดูดซึม
วิตามินบีหน่ึง เชน เอนไซมไทอะมิเนส (thiaminase) ในปลาราดิบ anti-thiamin factor ในใบเมี่ยง
และผักใบออนบางชนิด เนื่องจากแมที่ใหนมลูกมีความเส่ียงตอการขาดวิตามินบีหนึ่ง จึงควรเนนให
ไดร บั อาหารท่ีมีวติ ามินบหี นง่ึ ใหเ พยี งพอและอาจเสรมิ วิตามินบีหนึ่ง วนั ละ 1-2 มลิ ลิกรัม

2.4.3 วิตามินซี ถาแมไดรับวิตามินซีจากอาหารประมาณวันละ 100 มิลลิกรัม
นํ้านมจะมีระดับวิตามินซีประมาณ 5-6 มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งถาทารกกินนมแมอยางเดียว
จะไดรับวิตามินซีประมาณ 20 มิลลิกรัมตอวัน ซ่ึงเพียงพอในการปองกันการเกิดโรคเลือดออกตาม
ไรฟน

2.4.4 วิตามินท่ีละลายไดในไขมัน เชน วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค ซึ่ง
วิตามนิ ท่ีพบวามีปรมิ าณตา่ํ ในน้ํานมแมคอื วิตามนิ ดี และวติ ามินเค ในน้ํานมแมมีวติ ามนิ เค 0.1-0.4
ไมโครกรัม ตอ 100 มิลลิลิตร เน่ืองจากลําไสแรกคลอดมีเช้ือแบคทีเรียในลําไสใหญที่สังเคราะห
วิตามินชนิดน้ีไมมากพอตองใชเวลาหลายวัน ถึงแมวาในนํ้านมแมจะมีวิตามินเคนอยแตก็เพียงพอ
สําหรบั ทารก ถา ลูกไดรบั นา้ํ นมแมปรมิ าณมากพอตั้งแตระยะนมนํ้าเหลือง แตหากทารกมีปญหาโรค
เลือดออกที่มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามินเคจําเปนตองใหทารกทุกรายไดรับวิตามินเคตั้งแตแรก
คลอด สวนวิตามินดี ในนํ้านมแมมีวิตามินดีในปริมาณนอยแตถาทารกไดรับน้ํานมต้ังแตแรกคลอด
และไดรับแสงแดดอยางเพียงพอ (อยางนอยสัปดาหละ 30 นาที ในขณะท่ีนุงผาออมหรือประมาณ 2

321

ช่ัวโมงในขณะที่ใสเส้ือผาปกติ) จะพบวาทารกมีระดับวิตามินดีเปนปกติ นอกจากน้ีในนํ้านมยัง
พบวามีวิตามินเอ และวิตามินอี ในน้ํานมแมมีวิตามินเอประมาณ 4 – 6 ไมโครกรัมเรตินอลตอ 100
มิลลิลิตร ถาแมขาดอาหารมากจะมีปริมาณวิตามินเอในนํ้านมลดลง วิตามินอี นํ้านมแมมีวิตามินอี
ประมาณ 24 ไมโครกรัมโทโคเฟอรอลตอ 100 มิลลิลิตร ดังน้ันการใหทารกแรกเกิดดื่มนมนํ้าเหลือง
จากแมตั้งแตแรกคลอดจะชว ยลดปญ หาการเกดิ ภาวะการขาดวติ ามินไดอยางมีประสิทธภิ าพ

2.5 เกลือแร ในน้ํานมแมมีปริมาณของแรธาตุนอย แตทารกสามารถดูดซึมไปใชไดสูง จึง
ทําใหทารกท่ีไดรับน้ํานมแมอยางถูกตอง มักไมขาดแรธาตุตางๆ แรธาตุท่ีมีความสําคัญไดแก ธาตุ
เหล็ก และแคลเซียม ในน้ํานมแมมีธาตุเหล็กประมาณ 0.3 – 0.5 มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งใน
ธรรมชาตินํ้านมแมจะมีปริมาณเหล็กนอยซึ่งนับเปนขอดีกลาวคือ ถามีธาตุเหล็กมากเกินไปจะไปจับ
กับแลคโตเฟอริน ทําใหคุณสมบัติในการตอตานเชื้อโรคตํ่าลง ปริมาณธาตุเหล็กน้ีไมข้ึนกับภาวะการ
ขาดธาตเุ หลก็ ในมารดา เนอื่ งจากธาตุเหล็กในนํ้านมแมถ กู ดดู ซึมไดถงึ รอ ยละ 50 นอกจากนที้ ารกยงั
ใชธาตุเหล็กท่ีสะสมอยูในตัวเองรวมดวย ทารกที่กินนํ้านมแมอยางเดียวถูกตองในระยะ 4 – 6 เดือน
แรกจะยังคงไดรับธาตุเหล็กเพียงพอ ธาตุท่ีสําคัญอีกธาตุหน่ึงคือ แคลเซียมมีประมาณ 25 – 30
มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งระดับของแคลเซียมจะคอนขางคงท่ีตลอดระยะเวลาท่ีมารดาใหนม
บุตร ทารกสามารถดดู ซึมแคลเซียมไดรอยละ 40 – 70 ซึ่งมากกวาการดูดซึมแคลเซียมในน้ํานมวัวถึง
ประมาณสองเทา แคลเซียมในน้ํานมแมมาจากแคลเซียมท่ีสะสมในกระดูกของมาดา โดยมีกลไก
ชวยหมนุ แคลเซียมเขาและออกจากกระดูกของแมและลดการขับทิ้งทางปสสาวะ ดังน้ันในระยะท่ีแม
ใหนมลูกจึงอาจมีมวลกระดูกลดลงบางช่ัวคราวใน 3 – 6 เดือนหลังคลอด และจะคอยๆ เพิ่มข้ึนเปน
ปกติในภายหลัง

ประโยชนข องนํา้ นมแม

นมแม ถือเปนอาหารท่ีมีคุณคาที่สุดสําหรับทารก เนื่องจากมีสารอาหารที่ชวยในการ
เจริญเติบโตและพัฒนาระบบประสาท ชวยตอตานเช้ือโรค ทั้งยังมีความสะดวก ปลอดภัย ราคาถูก
ประโยชนข องการใหนมแมแกทารกมดี ังน้ี

1. ลดความเส่ียงตอการเจบ็ ปวย
ทารกท่ีกินน้ํานมแมจะมีความเสี่ยงตอการเจ็บปวยนอยกวาทารกท่ีไมเคยไดรับนํ้านมแม

ประมาณ 2 เทา โดยเฉพาะโรคท่ีเกิดจากการติดเช้ือ เชน โรคทางเดินหายใจ ทองเสีย เปนตน จาก
การศกึ ษาแบบ meta-analysis จํานวน 35 การศกึ ษาใน 14 ประเทศ ซ่ึงสว นใหญเ ปน ประเทศทก่ี าํ ลงั
พัฒนา พบวา ทารกที่ไดรับนํ้านมแมอยางเดียวในระยะ 4 เดือนแรก จะมีความเส่ียงตอการเจ็บปวย
หรือเสยี ชีวิตจากโรคตา งๆ นอยกวา ทารกทไ่ี ดรับนํา้ นมผสม ประมาณ 2 – 14 เทา นอกจากน้ีในทารก

322

ที่คลอดกอนกําหนดซ่ึงไดรับนํ้านมแมมีโอกาสเปนโรคลําไสอักเสบนอยกวาทารกคลอดกอนกําหนด
แตไมไดรับน้ํานมแมถึง 20 เทา ดังนั้นการเล้ียงลูกดวยนํ้านมแมจึงมีความสําคัญในการลดอัตราการ
เจบ็ ปวยของทารก

2. ลดความเสยี่ งตอการเปนโรคภมู ิแพ
ทารกอายุ 4 – 6 เดือนมีเยื่อบุลําไสไมแข็งแรง การเกาะยึดระหวางเซลลยังหลวมอยู และ

นา้ํ ยอ ยอาหารยังพัฒนาไมเต็มท่ี หากไดรับอาหารท่ีมีโปรตีนแปลกปลอม เชน โปรตีนในนมผสมหรือ
อาหารอ่ืนๆ ทารกจะไมสามารถยอยหรือกําจัดออกได เปดโอกาสโปรตีนเหลาน้ีหลุดไปกระตุนระบบ
ภูมิคุมกันของทารก กอใหเกิดภาวะภูมิแพได ดังนั้นน้ํานมแมลดโอกาสการเกิดปญหาภูมิแพได
เนื่องจากโปรตีนในน้ํานมแมเปนโปรตีนของมนุษย นอกจากน้ีนํ้านมแมยังมีสารภูมิคุมกันโดยเฉพาะ
IgA และสารตอตานการอักเสบตางๆ ซ่ึงปกปองเย่ือบุทางเดินอาหารทําใหลดความเส่ียงตอการ
กระตนุ ใหเ กิดภูมิแพโ ดยสารแปลกปลอมได

จากการศึกษาพบวาการไดกินนํ้านมแมอยางเดียวในระยะน้ีและไดรับนํ้านมแมรวมกับ
อาหารเสริมอื่นในชวงอายุตอไป จะชวยลดความเสี่ยงตอโรคภูมิแพในทารกปกติและทารกที่มี
กรรมพันธุเ สย่ี งตอ การเกดิ ภูมิแพถึงแมวาจะหยุดไดรับน้ํานมแมแลว นับเปนการปองกันเบื้องตนท่ีจะ
ชวยลดความเสีย่ งตอการเกดิ ภมู แิ พไ ดใ นระดบั หนึ่ง

3. สงเสรมิ การพฒั นาดานการเรยี นรูและอารมณ
ทารกท่กี นิ น้ํานมแมจะไดรับโอกาสพัฒนาดา นการเรียนรแู ละอารมณไดดีในระยะเริ่มแรก

ของชีวิต เน่ืองจากไดรับสารอาหารที่มีคุณคา มีการเล้ียงดูอยางใกลชิด และมีการเจ็บปวยนอย มี
การศึกษาหลายการศึกษาที่แสดงใหเ ห็นวาการเลี้ยงลูกดวยนมแมมีสวนชวยใหความสามารถในการ
เรียนรูของทารกดีข้ึน แตการเลี้ยงลูกดวยนมแมก็ไมใชเปนตัวชี้ขาดวาจะทําใหความสามารถในการ
เรยี นรูดีท้ังหมด พบวาความสามารถในการเรียนรูขนึ้ กับกรรมพันธุประมาณรอยละ 50 ที่เหลือจะเปน
ผลมาจากอาหารและการเลี้ยงดูท่ีเหมาะสม การเลี้ยงลูกดวยนมแมจึงเปนเหมือนการใหอาหารและ
การเล้ียงดูท่ีเหมาะสมในระยะเริ่มตนของชีวิต ซึ่งเปนระยะที่รางกายมีการเจริญเติบโตสูงสุด
โดยเฉพาะสมอง หลังจากน้ันการเล้ียงดูและการกระตุนพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยอยางตอเน่ือง
จะสงผลใหเกดิ ผลดใี นระยะยาว

323

การใหอ าหารเสรมิ แกทารกที่เหมาะสม

นมแมเปนอาหารที่ดีท่ีสุดสําหรับทารก สารอาหารในนมแมมีลักษณะเฉพาะ เชน มีโปรตีน
เวยท่ียอยงาย มีไนโตรเจนท่ีไมใชโปรตีนสูง มีกรดไขมันท่ีชวยการเจริญของสมอง และมี
คารโบไฮเดรตโมเลกุลเล็กท่ีชวยสรางเสริมภูมิคุมกันโรค แตเมื่อถึงอายุหน่ึง นํ้านมแมอยางเดียวไม
สามารถใหส ารอาหารไดเพยี งพอกบั ความตองการของทารกจึงจําเปนตองไดรับจากอาหารเสริม เพื่อ
ทารกจะไดรบั สารอาหารตางๆ สาํ หรับการเจรญิ เติบโตและพฒั นาการอยางเตม็ ที่

ตั้งแตป ค.ศ. 1979 องคการอนามัยโลกกําหนดใหอาหารเสริมหลังนมแมอยางเดียว 4-6
เดือน การเร่ิมใหอาหารเสริมชาเกินไปอาจทําใหเกิดภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากทารกไดรับ
พลังงานและโปรตนี ไมเพยี งพอ ขณะเดียวกันการไดรับอาหารเสริมเร็วเกินไปทําใหอัตราการเจ็บปวย
และอัตราการตายสูงข้ึนจากการติดเช้อื เชน โรคอจุ จาระรวง ปจจุบันมีหลักฐานที่แสดงถึงคุณคาของ
นมแม และสนบั สนนุ วา การใหนมแมอยางเดียว 6 เดือนมีผลดีตอสุขภาพของทารกเพ่ิมมากขึ้น ในป
ค.ศ. 2002 องคการอนามัยโลกไดกําหนดใหเร่ิมใหอาหารเสริมคร้ังแรกแกทารกเม่ืออายุ 6 เดือนข้ึน
ไป ในทารก 4-6 เดือน ท่ีไดรับนมแมเพียงอยางเดียวแตนํ้าหนักไมขึ้นตามเกณฑ ท้ังที่ไดรับนมแม
อยางเหมาะสม และทารกยังแสดงอาการหิว ใหพิจารณาใหอาหารเสริมเพ่ิมเติม แตไมใหบอยมาก
เกินไปจนไดน มแมล ดลงหรือทาํ ใหเ กิดการหยานมแมเร็วเกินไป (กุสมุ า ชูศิลป, 2546, หนา 262)

ความหมายของอาหารเสรมิ

ไดมีผใู หความหมายของคําวา อาหารเสริม ไวดงั นี้
กุสุมา ชูศิลป (2546,หนา262) กลาววา อาหารเสริม (complementary foods) หมายถึง
อาหารและเครื่องดื่มท่ีมีคุณคาสารอาหารท่ีใหทารกขณะท่ีใหนมแม การกําหนดแนวปฏิบัติเนน 1)
เวลาท่ีเหมาะสม 2) ปริมาณพลังงานและสารอาหารท่ีทารกตองการ 3) ความหนาแนนของพลังงาน
และสารอาหารในอาหารเสริมท่ีเหมาะสม และ 4) การใหอาหารที่สะอาด ปลอดภัย และเสริม
พัฒนาการดา นจิตใจและสงั คม
เรืองวทิ ย ตนั ติแพทยางกรู (2548,หนา146) กลาววา อาหารเสริม หมายถึง อาหารท่ีใหเสริม
สาํ หรับทารกในชวงเร่มิ ละนม ตงั้ แตอายุ 4-6 เดือน ไปจนถึง 1-2 ป โดยไมรวมความถึงอาหารเสริมท่ี
รับประทานเพอ่ื เสรมิ สรางสุขภาพ ท้ังในเด็กหรือผใู หญ
องคการอนามัยโลก (WHO) ใหคํานิยามของอาหารเสริม คือ อาหารอ่ืนที่ไมใชนมแม ไมวา
จะเปนอาหารแข็งหรือของเหลว ซึ่งใหแกทารกเพ่ือเสริม (รวมกับ) นมแม เพื่อใหทารกไดรับคุณคา
ทางโภชนาการพอเพยี งแกว ยั

324

กองทุนเพ่ือเด็กแหงสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund ; UNICEF) ใหคํา
นิยามของอาหารเสริม คือ อาหารสําหรับเด็กเล็กซ่ึงบริโภคแลวดูดซึมไดงาย และใหคุณคาทาง
โภชนาการพอเหมาะกับการเจริญเติบโตของเด็กหลังอายุ 6 เดือน หมายรวมถึงอาหารหรือของเหลว
ใดๆ ซึ่งไมใชนมแม ซง่ึ ใหแ กเ ดก็ ในระยะนีด้ ว ย

จากความหมายของคําวา อาหารเสริม ที่มีผูกลาวไวหลายทานน้ัน สรุปไดวา อาหารเสริม
(complementary foods) หมายถงึ อาหารท่ใี หกับทารกท่ีมีอายุต้ังแต 4 เดือน ไปจนถึง 1 ป โดยเปน
อาหารท่ีมคี ณุ คาทางโภชนาการใหพ ลังงานและสารอาหารทีเ่ หมาะกบั ความตองการของทารก แตไม
รวมถึงน้ํานมแม และกระตุนใหเกิดพัฒนาการทางดานระบบประสาท กลามเน้ือ และทักษะทาง
สงั คมไดเหมาะสม โดยอาหารเสรมิ ท่ีใหจะใหเพอ่ื เสรมิ หรือใหร วมกบั นมแมก ไ็ ด

ลักษณะของอาหารเสริมที่เหมาะสมกับทารก

อาหารเสริมทดี่ ี ควรเปนอาหารท่ีมคี วามหลากหลาย ครบทัง้ 5 หมู มคี ุณคาทางโภชนาการที่
เพียงพอกับความตองการของทารกในแตละชวงอายุ ลักษณะอาหารเสริมของทารกควรจะคอยๆ
เปล่ียนจากลักษณะเหลวหรือเกือบเหลวมาเปนอาหารก่ึงแข็งกึ่งเหลว จนเปนอาหารแข็ง ในชวงกอน
เขาระยะรับประทานอาหารแบบผูใหญ หรือเมื่อทารกมีอายุประมาณ 1 ป องคการอนามัยโลก ได
แนะนําวธิ กี ารใหอ าหารเสรมิ ทีเ่ หมาะสมสําหรับทารกไวดงั น้ี

1. ถกู เวลา
การใหอาหารเสริมควรใหเม่ือทารกมีความตองการพลังงานและสารอาหารเกินกวาท่ี

ทารกจะไดรับจากนมแม ซ่ึงในป ค.ศ. 1979 องคการอนามัยโลกกําหนดใหอาหารเสริมหลังไดนมแม
อยางเดียว 4-6 เดือน การใหอาหารเสริมชาอาจทําใหทารกเกิดปญหาภาวะทุโภชนาการเนื่องจาก
ทารกไดร บั พลังงานและโปรตีนไมเ พยี งพอ และในขณะเดียวกันการใหอาหารเสริมแกทารกเร็วเกินไป
ทาํ ใหท ารกมีอัตราการเจ็บปว ยและอตั ราการตายสูงขึ้นจากการติดเชื้อ เชน โรคอุจจาระรวง และในป
ค.ศ.2002 องคการอนามัยโลกไดกําหนดใหเร่ิมอาหารเสริมคร้ังแรกเมื่อทารกมีอายุ 6 เดือนข้ึนไป
โดยทที่ ารกอายุ 4-6 เดือนที่ไดรับนํ้านมแมอ ยางเดียวแตน้ําหนกั ไมข ้นึ ตามเกณฑ ท้ังท่ีไดรับนํ้านมแม
อยางเหมาะสมและทารกแสดงอาการหิวใหพิจารณาใหอาหารเสริมเพ่ิมเติมได แตไมใหบอย
จนเกินไป

2. พอเพียง
อาหารที่ดีตองมีปริมาณพลังงาน โปรตีน และสารอาหารกลุมวิตามินและเกลือแรที่

เพียงพอตอความตองการของทารก ตารางท่ี 10.3 แสดงปริมาณพลังงาน และจํานวนโปรตีนที่ทารก

325

ควรไดรับ โดยทารกอายุ 6-8 เดือน ตองการอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแมในปริมาณ 269
กิโลแคลอรตี อ วนั และทารกอายุ 9-11 เดอื น ตอ งการอาหารเสริมในปรมิ าณ 451 กโิ ลแคลอรีตอวัน

3. ปลอดภยั
อาหารเสริมควรเปนอาหารที่หาไดงายในทองถิ่นนั้นๆ โดยจะตองเปนอาหารท่ีถูกเตรียม

และจัดเก็บอยางถูกสุขลักษณะ อุปกรณท่ีใชในการปอนอาหารแกทารกตองเหมาะสมกับอายุและ
พัฒนาการของทารกรวมทั้งตองสะอาด ปราศจากเชื้อโรค และควรสอดคลองกับวัฒนธรรมของ
ทองถิน่ และผูใหอาหารจะตองลางมอื ใหสะอาดกอนเสมอ

สําหรับทารกที่มีประวัติภูมิแพในครอบครัวหรือมีความไวตอการแพอาหาร ควรชะลอการให
อาหารเสริมแกทารกไปจนถึงอายุ 6 เดือน และไมควรใหนมวัวกอนอายุ 1 ป รวมท้ังชะลอการใหไข
จนถึงอายุ 2 ป หรือชะลอการใหถ ่วั ลิสง ถัว่ เปลอื กแขง็ และเน้ือปลาจนถงึ อายุ 3 ป ถา เดก็ มอี าการแพ
นมววั ควรใหเดก็ กินนมแมอยางเดยี วจนถึง 6 เดือน และแนะนําใหแมงดนมวัว เพราะโปรตีนในนมวัว
สามารถผานทางนมแมไ ปสทู ารกได

4. ปอ นอยางพอดี
ตองปอนอาหารใหสอดคลองกับความหิวและอิ่มของทารก ปริมาณอาหาร จํานวนมื้อ

และวิธีการปอนอาหารตองเหมาะสมกับอายุของทารก ผูปอนอาหารใหทารกควรเปนคนที่ทารกมี
ความรูสึกคุนเคย ไวใจ และมีความสัมพันธอันดี และเขาใจความตองการของทารก สามารถ
ตอบสนองความตองการไดท นั ทวงทที ง้ั ทางรางกายและอารมณ

การจัดอาหารเสริมท่ีถูกตองตามวัย เปนส่ิงท่ีจะกระตุนใหทารกมีพัฒนาการท่ีดี อาหารเสริม
จะเริ่มใหกับทารกเมื่อทารกมีอายุ 6 เดือน โดยจัดใหแทนนํ้านมแม 1 ม้ือ และเมื่ออายุทารกเพิ่มมาก
ข้ึนอาหารเสริมจะกลายเปนอาหารหลักแทนน้ํานมแม (ตารางที่ 10.6) สิ่งที่ตองระวังในการเตรียม
อาหารเสริมใหทารกคือ อาหารตองมีคุณคาทางโภชนาการ เหมาะสมตามวัย มีการเตรียม ปรุงที่
สะอาด ปราศจากเช้ือโรค นอกจากนี้ภาสชนะทีน่ าํ มาใชก บั ทารกตองสะอาดดวยเชน กัน

326
ตารางที่ 10.6 ประเภทของอาหารเสริมที่ทารกควรไดรับใน 1 วนั

ประเภทของอาหารเสริม

อายทุ ารก จาํ นวนม้ือ ขา ว ไขแ ละเนื้อสตั ว ผัก ผลไม
อาหารเสริม

นมแมและ ขาวบดละเอียด ไขแดงคร่ึงฟอง ผั ก สุ ก บ ด ค ร่ึ ง ผลไมสุก 1-2 ช้ิน

6 อาหารเสริม 3 ชอ นกินขาว สลับกับตับบด 1 ช อ น กิ น ข า ว ไดแก มะละกอ
เดอื น 1 มอ้ื ชอนกินขาว หรือ ไดแก ผักตําลึง สุก หรือมะมวง
เน้ือปลา 2 ชอน ผั ก ก า ด ข า ว สุ ก ส ม ห รื อ

กนิ ขาว ฟก ทอง เปน ตน กลว ยนา้ํ วาสุก

นมแมแ ละ ขาวบดละเอียด ไขทง้ั ฟองสลับกับ ผักบด 1 ½ ชอน ผลไมส ุก 2-3 ช้ิน

7 อาหารเสริม 4 ชอนกินขาว เน้ือปลา 2 ชอน กินขา ว
เดือน
1 ม้ือ กินขาว หรือ เนื้อ
ห มู 2 ช อ น กิ น

ขา ว

อาหารเสริม ข า ว หุ ง นิ่ ม ๆ 5 ไ ข ทั้ ง ฟ อ ง แ ล ะ ผักสุกหั่น 2 ชอน ผลไมสุกเน้ือน่ิม

2 มอ้ื ชอนกินขาว แบง เนื้อสัตว 2 ชอน กินขาว แบงเปน วั น ล ะ 3-4 ชิ้ น

และกนิ นมแม กิ น ม้ื อ ล ะ 2-3 กินขาว โดยแยก 2 ม้ือ โดยใหชนิด เชน มะละกอ สม

8-9 ตามจนอม่ิ ชอนกินขาว ไม เปน 2 มื้อ เชน ของผักตางๆ กัน กลว ย เปน ตน

เดือน ตองบดละเอียด ม้ือเชาเปนไข มื้อ ไปในแตละมอื้

มากนัก เพราะ ถั ด ม า เ ป น เ นื้ อ

ฟน เด็กเริม่ ขึน้ ปลา หรือหมู 2

ชอ นกินขาว

อาหารเสริม ข า ว หุ ง น่ิ ม ๆ 5 ไ ข ท้ั ง ฟ อ ง แ ล ะ ผั ก สุ ก ช นิ ด ผลไมสุก ไดแก

3 มือ้ ชอนกินขาว กิน เน้ือสัตว 2 ชอน ต า ง ๆ กั น ห่ั น 2 ม ะ ล ะ ก อ สุ ก

10-12 และกินนมแม 1 วัน ใหแบงกิน3 กินขาว โดยแยก ชอนกินขาว ก ล ว ย สุ ก ส ม

เดอื น ตามจนอม่ิ ม้ือ เปน 3 มื้อ ใหมี หลังอาหารทุกมือ้

เน้ือหมู ปลา ไก

และตบั สลบั กนั

ที่มา (ดัดแปลงจาก กสุ ุมา ชูศิลป, 2546, หนา 265-266)


Click to View FlipBook Version