277
ตารางที่ 8.2 ปรมิ าณเหล็กในอาหารไทย ในสว นทกี่ นิ ได 100 กรัม
อาหาร ปริมาณเหล็ก อาหาร ปรมิ าณเหลก็ อาหาร ปรมิ าณเหลก็
(มลิ ลกิ รัม) (มิลลกิ รัม) (มลิ ลกิ รัม)
9.9
ตบั หมู 10.5 ใบยานาง 7.0 งาดํา 13
15.2
เลอื ดหมู 25.9 ผกั คะนา 1.2 งาขาว 2.5
1.7
ไขไ ก ทัง้ ฟอง 1.6 ใบแมงลัก 17.2 เตา เจีย้ ว
หอยขม 25.2 ผักกูด 36.3 มะละกอ สุก
กงุ ฝอยสด 28 ผกั ชีลาว 4.2 ลกู ตาลออ น
ทม่ี า (กองโภชนาการ ,กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสขุ , 2535)
ความผดิ ปกตขิ องรางกายทเ่ี กี่ยวกบั เหล็ก
การไดรับเหล็กในปริมาณไมสมดุล มีผลตอ รางกายดังนี้
1. ความผิดปกตขิ องรางกายเมอื่ ขาดธาตุเหล็ก
การไดร ับธาตุเหลก็ ท่ไี มเพียงพอจะทาํ ใหเกิดโรคโลหติ จาง เน่ืองจากเหล็กเปนสวนประกอบ
ของฮีโมโกลบิน ดังน้ันเม่ือไดรับธาตุเหล็กไมเพียงพอจึงมีการสรางเม็ดเลือดแดงใหมีขนาดเล็กลง สีจาง
ลง อาการที่ปรากฏใหเ ห็นชัดเม่อื ขาดธาตเุ หล็กคือ มีอาการปวดศรี ษะเนื่องจากเนื้อเย่ือขาดออกซิเจน มี
ภูมติ านทานโรคลดลง ประสิทธิภาพการทาํ งานลดลง
2. ความผิดปกติของรางกายเมอ่ื ไดรบั ธาตุเหลก็ ในปริมาณท่สี งู
มรี ายงานพบวาในเด็กท่ีรบั ประทานยาเม็ดธาตุเหล็กในปริมาณที่สุงถึง 20-60 มิลลิกรัมตอ
นํ้าหนักตัว 1 กิโลกรัม จะเกิดภาวะความเปนพิษอยางเฉียบพลัน คือ มีอาการอาเจียน ทองเสียอยาง
รนุ แรง
278
ภาพที่ 8.2 การตรวจภาวะซดี
ท่มี า (วชิ ัย ตันไพจิตร,2530 )
ไอโอดนี
ไอโอดีน เปนสารอาหารที่รางกายตองการใชเพ่ือการสรางฮอรโมนของตอมไธรอยด ซึ่งทํา
หนาทีค่ วบคุมอวัยวะตา งๆ ของรา งกายใหท าํ งานตามปกติ ไอโอดนี ซมึ เขากระแสเลือดและจะไปกระตนุ
ระบบสมองและประสาทใหเจริญเติบโตและมีพัฒนาการอันสงผลตอสติปญญาและการเรียนรู ใน
รางกายมีไอโอดีนประมาณ 9-10 มิลลิกรัม รอยละ 80 ของไอโอดีนอยูในตอมไธรอยด ที่เหลืออยูใน
กระแสโลหติ
หนาทขี่ องไอโอดีน
ไอโอดีนมีหนาท่ีเปนสวนประกอบที่สําคัญของไธรอยดออรโมน ทั้ง triiodothyroninr (T3) และ
thyroxine (tetraiodothyronine ; T4) ซึ่งอยูในนิวเคียสและมีบทบาทในการเหนี่ยวนําการสังเคราะห
โปรตีนทเ่ี ปนสว นประกอบสําคญั ของฮอรโมน
การดดู ซมึ และการขับถา ยไอโอดนี
ไอโอดีนในอาหารอยูในสภาพของไอโอไดด (iodide) อาจอยูในรูปของเกลืออนนิทรีย หรืออยู
กับสารอนิ ทรยี กไ็ ด เม่อื สารอนิ ทรียถูกยอยไอโอดีนจะเปนอสิ ระ และไอโอดีนจะถกู ดดู ซมึ ในบริเวณลาํ ไส
เล็ก การดูดซึมจะเกิดขึ้นสมบูรณรอยละ 100 เมื่อถูกดูดซึมเขาสูกระแสโลหิต ไอโอดีนจะรวมตัวกับ
โปรตีนแลวกระจายเขาสูเซลล ตอมไธรอยดจะจับไอโอดีนไวประมาณรอยละ 80 ทําใหตอมไธรอยดมี
ความเขมขนของไอโอดีนมากกวาในกระแสโลหิตสูงถึง 20-50 เทา ตอมไธรอยดใชไอโอดีนในการสราง
279
ฮอรโ มนไธรอกซนิ ไอโอดนี ท่เี หลือจะถกู ขบั ออกทางไต โดยออกมากับปสสาวะและเหงือ่ อุจจาระมีเพียง
จํานวนเล็กนอ ย
ปริมาณไอโอดนี ท่รี างกายตองการ
ปญหาการขาดไอโอดีน เปนปญหาสาธารณสุขท่ีสําคัญของประเทศ คณะกรรมการจัดทํา
ขอกําหนดสารอาหารประจําวันท่ีควรไดรับ ไดแนะนําปริมาณไอโอดีนอางอิงที่บุคคลในแตละวัยควร
ไดรับดังน้ี ทารกอายุ 0-5 เดือน เทากับปริมาณไอโอดีนในน้ํานมแม ทารกอายุตั้งแต 6 เดือน ถึง 5 ป
เทากับ 90 ไมโครกรัมตอวัน เด็กอายุ 6-8 ป เทากับ 120 ไมโครกรัมตอวัน วัยรุนชายและหญิงที่มีอายุ
9-12 ป เทากับ 120 ไมโครกรัมตอวัน วัยรุนทั้งชายและหญิงอายุ 13-18 ป เทากับ 150 ไมโครกรัมตอ
วัน ผูใหญ และผูสูงอายุ เทากับ 150 ไมโครกรัมตอวัน สําหรับภาวะพิเศษ เชน หญิงตั้งครรภ และหญิง
ใหนมบตุ ร ควรไดรับไอโอดีนเพิม่ จากปกตอิ กี 50 ไมโครกรัมตอวัน
แหลง อาหารทีม่ ไี อโอดีน
อาหารทะเลทุกชนิดรวมทั้งสาหรายเปนแหลงไอโอดีนที่สําคัญ (ตารางที่ 8.3) และจากปญหา
การขาดไอโอดีนจึงมีมาตรการในการเสริมไอโอดีนลงไปในเกลือ เพื่อลดปญหาดังกลาว การเติม
ไอโอดีนในเกลือดวยเหตุผลที่เกลือน้ันมีราคาถูก และเปนเคร่ืองปรุงรสเค็มที่มีประจําครัวเรือน มีตนทุน
ในการผลิตตํ่าสามารถเก็บไวไดนานและขนสงไปยังที่ตางๆ ไดงาย ดังนั้นเกลือเสริมไอโอดีนจึงเปน
แหลงไอโอดีนท่ีสําคัญ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขไดกําหนดใหเกลือบริโภคมีปริมาณไอโอดีนไมนอยกวา
30 มิลลิกรัมตอเกลือ 1 กิโลกรัม (30 สวนในลานสวน) และใหการสนับสนุนสารโปแตสเซียมไอโอเดท
แกผูประกอบการ ทั้งนี้เพ่ือปองกันการสูญเสียระหวางการผลิต การบรรจุ การเก็บ ตลอดจนระยะเวลา
การขนสงกอนทจี่ ะถึงมือผูบ ริโภค
280
ตารางท่ี 8.3 ปริมาณไอโอดนี ในอาหารไทยในสวนทก่ี ินได 100 กรมั
อาหาร ปรมิ าณไอโอดนี อาหาร ปริมาณไอโอดนี
(ไมโครกรมั ) (ไมโครกรมั )
5
ขา วหอมมะลิ,ซอมมือ 16 กระเจี๊ยบมอญ 350
12
ขา วเหนียว,ซอมมอื 12 สาหรายทะเล (ทาํ แกงจดื ) 24
17
ขาวมนั ปู 19 กลว ยนาํ้ วาสุก 36
69
มนั แกว 2 ไกบ า น เน้อื 1
0
มันเทศ 80 เนื้อหมู
หวั ผกั กาด 3 กงุ แชบว ย
เมด็ บวั 20 ปลาสีกนุ
ลูกเดอื ย 16 น้ําปลาแท
งาดาํ อบ 21 นา ปลาผสม
ท่มี า (กองโภชนาการ, กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสขุ , 2546)
ความผิดปกติของรางกายที่เก่ียวกับไอโอดนี
การไดรับไอโอดีนในปรมิ าณท่ีไมส มดุล มผี ลตอรางกายดงั น้ี
1. ความผิดปกติของรางกายเม่ือขาดไอโอดีน
ภาวการณขาดไอโอดีน มีผลทําใหเกิดโรคคอพอกและกลุมอาการอื่นๆ ท้ังรางกายและ
จิตใจ เกิดภาวะแทรกซอนรุนแรงในกลุมคนท่ีอยูในภาวะเส่ียง เชน ทารกท่ีกําลังเติบโตในครรภมารดา
เด็กกอนวัยเรียน เด็กวันเรียน และวัยรุน ในประเทศไทยมีรายงานการขาดไอโอดีนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.
2496 พบวาภาคเหนือ คือจังหวัดเชียงรายและแพร มีอัตราการเปนโรคคอพอกสูงถึงรอยละ 58 และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบรอยละ 15-21 อาการแสดงทางกายของผูท่ีขาดไอโอดีน คือ โรคคอพอก
(goiter มาจากภาษาลาติน gerttin แปลวา คอ) มีอาการคอโต การท่ีตอมไธรอยดมีขนาดโตข้ึน
เน่ืองจากระดับฮอรโมนจากตอมไธรอยดมีนอยเพราะขาดไอโอดีนในการสรางฮอรโมน ทําใหมีการหลั่ง
ฮอรโมนจากตอมใตสมองสวนหนาเพื่อกระตุนใหตอมไธรอยดเพิ่มขนาดและเพ่ิมจํานวนเซลลท่ีทํา
281
หนาที่สรางฮอรโมน ทําใหตอมมีขนาดโตข้ึนเพ่ือเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานของตอม ผลจากการท่ี
ตอ มไธรอยดโ ตมีผลใหหายใจและหรือกลืนอาหารเปนไปดว ยความลาํ บาก (ภาพที่ 8.3)
การขาดไอโอดีนในหญิงต้งั ครรภ มีผลทําใหเกิดอาการแทง หรือตายระหวางคลอด แตถาทารก
รอดและเติบโต ทารกคนนั้นจะมีอาการผิดปกติทางสมอง มีพัฒนาการดานประสาทบกพรอง และมี
พัฒนาการทางรางกายดอยเน่ืองจากการขาดไธรอยดฮอรโมน เรียกภาวะดังกลาววา “โรคเออ” เด็กวัย
เรียน วัยรุน มีการขาดไอโอดีนมีผลทําใหเกิดโรคคอพอก มีอัตราการเจริญเติบโตและการเรียนรูชากวา
เด็กปกติ
ภาพท่ี 8.3 โรคคอพอกเนอ่ื งจากการขาดไอโอดนี
ท่มี า (วิชยั ตันไพจติ ร, 2530, หนา 90)
2. ภาวะตอมไธรอยดเ ปน พษิ
หากรางกายมีการสังเคราะหไธรอยดฮอรโมนมากเกินไป ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผิดปกติ
ทางพันธุกรรมทําใหตอมไธรอยดจับไอโอดีนมากทําใหเกิดการผลิตและการหล่ังไธรอยดฮอรโมนมาก
โดยควบคุมไมได เรียกภาวะดังกลาววา “ไฮเปอรไธรอยดลิซึม” (hyperthyrodism) ผูปวยจะมีอาการ
ทางประสาท มอี ตั ราการเตนของหวั ใจสูง นอนไมพอ ออ นเพลยี เหง่ืออกงาย นํ้าหนักลดทั้งท่ีกินมาก ถา
เปน มากตอมไธรอยดอ าจมลี ักษณะเหมือนพวงองุน
282
สังกะสี
สังกะสี เปนแรธาตุที่พบมากในผิวโลก มีมากในประเทศโปแลนด ในป ค.ศ 1934 (พ.ศ.2477)
ทอดด และคณะ (Todd,et al) ไดพ ิสูจนว า สังกะสีเปนเกลอื แรทจี่ าํ เปนตอหนู
ในรางกายของมนุษยมีสังกะสีประมาณ 2-3 กรัม กระจายอยูท่ัวไปในเซลลตางๆ ทั่วรางกาย
พบมากใน ตา ตบั กระดกู และผม สังกะสีในเลือดรอยละ 80 อยูในเม็ดเลือดแดง และอีกรอยละ 20 อยู
ในนํ้าเลือด ในเม็ดเลือดขาวมีสังกะสีมากกวาเม็ดเลือดแดงประมาณ 25 เทา (มลศิริ วีโรทัย และนิตนา
ต้ังชูรัตน ,2548)
หนา ที่ของสังกะสี
สังกะสีมีความสําคัญตอการทํางานของเอนไซม โปรตีน และการแสดงอกของหนวยพันธุกรรม
ในทกุ ระบบของสง่ิ มีชีวติ หนา ทข่ี องสังกะสี มีดงั น้ี
1. สังกะสี เปนองคประกอบของเอนไซมไ มน อยกวา 20 ชนดิ เชน แอมโิ นเพปติเดส
2. สงั กะสี เปน โคแฟคเตอรในการสรา งกรดนิวคลอี คิ รวมทั้งการสรา งโปรตนี
3. สังกะสี เปนองคป ระกอบของฮอรโมนอินซลู ิน
4. สังกะสี จําเปนตอ การหลั่งฮอรโ มนเพศเทสโตสเตอโรนในผูชาย และปริมาณอสจุ ิ
การดดู ซึมและการขับถา ยสังกะสี
สงั กะสสี ามารถดูดซึมไดท่ลี ําไสเลก็ ตอนตน และตอนกลาง โดยมีอัตราการดูดซึมประมาณรอย
ละ 10-80 หลังจากน้ันสังกะสีจะจับตัวกับโปรตีนเพื่อขนสงไปตามกระแสเลือด ปริมาณสังกะสีในเลือด
มีประมาณ 100-140 ไมโครกรัมตอเลือด 100 มิลลิกรัม และมีการขับออกทางปสสาวะประมาณ 300-
500 ไมโครกรัมตอวัน โดยรางกายขบั สังกะสอี อกทางอจุ จาระมากทส่ี ดุ
ปรมิ าณสงั กะสีทรี่ า งกายตอ งการ
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย (พ.ศ.2546) ได
แนะนําปริมาณสังกะสีอางองิ ท่คี วรไดรับประจาํ วนั สําหรบั คนไทย (ตารางท่ี 2.9)
แหลงสงั กะสี
อาหารที่เปนแหลงสังกะสีท่ีสําคัญ ไดแก เนื้อสัตวตางๆ อาหารทะเล โดยเฉพาะอยางย่ิงหอย
นางรม ตับ ไข สําหรบั ธญั พืช เชน ขาวเจา ขาวสาลี มีสังกะสีอยูเพียงเล็กนอย ผักและผลไมแทบจะไมมี
สังกะสีอยูเลย สังกะสีในอาหารที่ไดจากสัตวจะมีประสิทธิภาพในการดูดซึมไดดีกวาสังกะสีท่ีไดจาก
อาหารประเภทพืช
283
ความผิดปกตขิ องรางกายทเ่ี ก่ยี วกบั สงั กะสี
การไดรับสงั กะสีในปรมิ าณทไี่ มสมดุล มผี ลตอ รางกายดังนี้
1. ความผิดปกติของรางกายเม่ือขาดสงั กะสี
การขาดสังกะสี ทําใหผูปวยมีอาการผิวหนังบวมแดง อักเสบ (ภาพที่ 8.4) ทองรวง เบ่ือ
อาหาร นํา้ หนักลด รางกายแคระแกรน็ ตดิ เชื้องา ยและมีพฤตกิ รรมท่ผี ดิ ปกติ ทารกที่มนี ้ําหนักแรกคลอด
ตํ่า (นอยกวา 2,500 กรัม) มีความเสี่ยงตอการขาดธาตุสังกะสี การขาดธาตุสังกะสีในวัยรุนทําให
รางกายเต้ียแคระ ภาวะการเจริญพันธุชา และมีภาวะโลหิตจางรวมดวย และการขาดสังกะสีในหญิง
ต้ังครรภม กั พบปญหาการคลอดกอ นกําหนด ความดันโลหติ สงู และทารกในครรภเ ติบโตชา
ภาพท่ี 8.4 เมด็ พพุ องทห่ี นา เนือ่ งจากการขาดสงั กะสี
ท่ีมา (วิชยั ตันไพจติ ร ,2530, หนา 90)
2. ความผดิ ปกตขิ องรา งกายเมอ่ื ไดรับสงั กะสใี นปริมาณสงู
ภาวะเปนพิษอยางเฉียบพลันเกิดขึ้นไดเม่ือไดรับสังกะสีในปริมาณที่สูง เชน 225-450
มิลลิกรัม ทําใหมีอาการคล่ืนไส อาเจียน ปวดทองอยางรุนแรง ทองเสีย และออนเพลียไมมีแรง ในกรณี
ที่ไดรับธาตุสังกะสีสูง เชน 100-300 มิลลิกรัมตอวันติดตอกันเปนระยะเวลาหนึ่ง อาจทําใหเกิดการขาด
ธาตทุ องแดงซึ่งมีผลเสยี ตอระบบภมู ิคมุ กัน และลดระดับ HDL-C ดว ย
284
ทองแดง
ทองแดง เปนแรธาตุที่ตองการในปริมาณนอย ในป ค.ศ. 1928 ฮารท และคณะ (Hart,et .al)
พบวา การใชเหลก็ เพียงอยา งเดยี วไมสามารถปองกนั โรคโลหิตจางในหนูที่เลี้ยงดวยนม (ซึ่งเปน อาหารที่
มีเหลก็ นอ ย) แตถ า เตมิ เถา จากการเผาตบั หรอื ผักลงไปดว ย สามารถปองกนั โรคโลหิตจางได และเห็นวา
ใหเ ถาทีม่ ใี หสฟี า ฮารท ต้งั ขอสงสัยวา คือ “ทองแดง” ตอ มาในป ค.ศ. 1875 ฮารท พบวาทองแดงจําเปน
ตอการสรางฮีโมโกลบิน และรางกายมนุษยมีทองแดงอยูประมาณ 75-150 มิลลิกรัม ซึ่งสวนใหญอยูท่ี
ตับ สมอง หัวใจ และไต
หนาท่ีของทองแดง
ทองแดง มหี นา ทสี่ าํ คัญตอ รางกาย ดงั นี้
1. ทองแดงในเลือด ทาํ หนา ท่เี กย่ี วของกับการใชธาตุเหล็กในรางกาย
2. ทองแดง เปนองคป ระกอบของเอนไซมหลายชนิด
3. ทองแดงเปนสารที่มีจําเปนตอการสรางฮีโมโกลบิน เมลานิน (melanin pigment) และการ
สรา งโปรตนี อลี าสติน
การดูดซึมและการขบั ถา ยทองแดง
ทองแดงถูกดูดซึมไดท่ีกระเพาะอาหารและลําไสเล็กสวนตนรอยละ 95 ของทองแดงในเลือด
จับกับโปรตีนที่มีช่ือวา “ceruloplasmin” และอีกรอยละ 5 จับกับโปรตีนแอลบูมิน สังกะสีและ
โมลิบดีนัมขัดขวางการดูดซึมของทองแดง ทองแดงการขับถายออกจากรางกายทางอุจจาระ โดย
ออกมากบั น้าํ ดจี ากตับ
ปริมาณทองแดงท่รี างกายตอ งการ
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย (พ.ศ.2546) ได
แนะนาํ ปรมิ าณสงั กะสอี างอิงทค่ี วรไดร ับประจาํ วันสําหรบั คนไทย (ตารางที่ 2.9)
ปริมาณทองแดงท่ีทารกอายุ 0-5เดือน ควรรับเทากับปริมาณที่มีในน้ํานมแมที่ทารกบริโภคก็
เพียงพอกับความตองการของรางกาย ทารกอายุ 6-11 เดือน ควรไดรับทองแดง 220 ไมโครกรัมตอวัน
เดก็ ชายหญิง อายุ 1-3 ป เทา กบั 340 ไมโครกรมั ตอ วัน อายุ 4-8 ป เทากบั 440 ไมโครกรัมตอวนั ผใู หญ
ทั้งชายและหญิงเทากับ 900 ไมโครกรัมตอวัน หญิงตั้งครรภ และหญิงใหนมบุตร ควรไดรับทองแดง
เพิม่ ข้ึนวันละ 100 และ 400 ไมโครกรัมตอ วันตามลําดบั
285
สําหรับผูใหญการไดรับทองแดงในปริมาณ 10 มิลลิกรัมตอวัน พบวาเปนปริมาณท่ียังไมเปน
อนั ตรายตอ ตบั
แหลง ทองแดง
อาหารท่ีมีทองแดงมากไดแก เนื้อสัตวชนิดตางๆ โดยในตับมีทองแดงมากที่สุด รองลงมาไดแก
อาหารทะเล เชน หอยนางรม ถ่ัวเมล็ดแหง โกโก เชอรี่ เห็ด ธัญพืช และเจลาติน น้ําดื่มท่ีมีแรธาตุตางๆ
เจอื ปนอยเู ลก็ นอ ย มีทองแดงเชน กัน
ความผดิ ปกตขิ องรางกายทเี่ ก่ียวกับทองแดง
การไดร ับทองแดงในปรมิ าณท่ไี มสมดลุ มผี ลตอ รา งกายดังนี้
ความผดิ ปกตขิ องรา งกายเมอ่ื ขาดทองแดง
อาการแสดงของการขาดทองแดง ไดแก การเกิดโรคโลหิตจางชนิด microcytic
hypochromic anaemia โดยมีอาการแสดงที่สําคัญคือ เม็ดเลือดขาว (ชนิด neutrophils) ลดลง ผมมี
ลักษณะแข็งและขดเปนเกลียว สีผมและสีผิวจาง พบความผิดปกติในการสรางเนื้อเย่ือยืดหยุนตาม
ผิวหนังและผนังหลอดเลือด มีการสลายของกระดูกและความเส่ือมของประสาท และโรควิลสัน
(Wilson’s disease) เปนโรคทางพันธุกรรมที่มีทองแดงไปสะสมที่ตับ สมอง และอวัยวะอื่นๆ เนื่องจาก
การขาดโปรตีนท่ีชวยในการขนสง จึงทําใหอวัยวะตางๆ ภายในรางกายทํางานผิดปกติ โดยปกติมักไม
คอยพบวามีโรคขาดทองแดงท่ีเกิดจากภาวะโภชนาการ แตมีรายงานท่ีแสดงอาการขาดทองแดงใน
ผูปว ยท่ีไดร บั อาหารทางหลอดเลอื ดดาํ (TPN)
ความผดิ ปกติของรางกายเม่อื ไดรับทองแดงในปรมิ าณสงู
มีรายงานทีแ่ สดงวา การดม่ื ของเหลวและบรโิ ภคอาหารทีป่ นเปอ นทองแดงในปริมาณสงู จะ
มีรสชาติของโลหะที่ทําใหผูบริโภคเกิดอาการไมสบายของระบบทางเดินอาหาร เชน คล่ืนไส อาเจียน
ปวดศรี ษะ เปนตะครวิ ท่ีทอง และอจุ จาระรว ง เปน ตน
ฟลอู อไรด
ฟลูออไรด เปนสารท่ีพบไดตามธรรมชาติในนํ้าและดินในปริมาณที่ตางๆกัน ฟลูออไรดเปน
สารอาหารที่มีประโยชนตอกระดูกและฟน ในรางกายมีฟลูออไรดนอยมาก รอยละ 90 ของปริมาณที่มี
อยใู นรา งกายจะสะสมอยูในเนื้อเย่อื แข็ง ไดแก กระดกู และฟน รา งกายสามารถไดรบั ฟลอู อไรดจากการ
บริโภคอาหารและนํ้าที่มีฟลูออไรดในปริมาณท่ีเหมาะสม การใชยาสีฟนท่ีมีฟลูออไรด น้ํายาบวนปากท่ี
มฟี ลอู อไรด และการเคลือบฟลอู อไรดท่ฟี น จะสามารถชวยปองกันฟน ผไุ ด
286
หนา ทข่ี องฟลูออไรด
ฟลูออไรด มีหนาที่สาํ คัญตอรางกายดงั น้ี
1. สรางเสรมิ แรธ าตขุ องฟน และความหนาแนนของกระดกู
2. ลดความเสี่ยงตอ การเกดิ โรคฟนผุ
3. ขัดขวางเมตาบอลซิ มึ ของจลุ ินทรยี ใ นชองปาก
การดดู ซมึ และการขับถายฟลอู อไรด
สามารถไดรับฟลูออไรดจากหลายๆ แหลง เชน น้ํา อาหาร และอากาศ รางกายจะดูดซึม
ฟลอู อไรดท ่กี ระเพาะอาหาร และไปสะสมที่เลอื ด เนอื้ เยื่อ ของเหลวในรางกาย (เชน น้ําในรอ งเหงอื ก นํ้า
ในนํ้าลาย ปสสาวะ เหงื่อ นํ้านมมารดา) กระดูก และฟน อยางไรก็ตามฟลูออไรดจะถูกสะสมไวใน
ปริมาณนอ ยเทานัน้ สว นท่เี กินจะถูกขบั ออกทางปสสาวะภายในครึง่ ช่ัวโมง หลังจากรางกายไดร บั เขาไป
แลวจะขับออกหมดภายใน 2-3 ช่ัวโมง
ปริมาณฟลอู อไรดท ่ีรางกายตอ งการ
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย (พ.ศ.2546) ได
แนะนําปริมาณฟลูออไรดอางอิงท่คี วรไดร ับประจําวันสําหรับคนไทย (ตารางที่ 2.9)
ปริมาณฟลูออไรดท่ีเหมาะสมในน้ําดื่มที่รางกายควรไดรับคือ 0.5 มิลลิกรัมตอวัน มีหลักฐาน
ยืนยันความปลอดภัยจากการใชฟลูออไรดในปริมาณนอย อยางตอเน่ืองเปนระยะเวลานาน 30 ป
แมแ ตผ ูสงู อายุที่มีความเส่ียงตอการเกิดโรคกระดูกพรุน หากมีการใชฟลูออไรดอยางถูกตองจะสามารถ
ปองกันการเกิดโรคกระดูกหักจากกระดูกพรุน โดยไมมีผลขางเคียงตอการระคายเคืองของทางเดิน
อาหาร
แหลง ฟลอู อไรด
แหลงของฟลูออไรดท่ีรางกายไดรับมาจากนํ้าดื่ม ปริมาณฟลูออไรดในน้ําดื่มที่เหมาะสมคือ
ประมาณ 0.5 มิลลิกรัมตอวัน นอกจากนี้ยังไดรับฟลูออไรดจากเครื่องดื่ม และฟลูออไรดที่ทันตแพทย
แนะนําใหใชเพื่อปองกันฟนผุ โดยทั่วไปปริมาณฟลูออไรดในอาหารมีไมสูงมากนักคือมีประมาณ 0.01-
1.0 สว นในลา นสว น
ความผดิ ปกตขิ องรางกายท่เี กี่ยวกับการไดร ับฟลูออไรด
การไดร บั ฟลูออไรดใ นปริมาณทไ่ี มสมดุล มผี ลตอ รางกายดงั นี้
287
1. ความผดิ ปกติของรา งกายเมอ่ื ขาดฟลอู อไรด
การขาดฟลอู อไรด มผี ลทําใหก ระดูกและฟน ไมแ ข็งแรง (ภาพท่ี 8.5)
2. ความผดิ ปกติของรา งกายเมอ่ื ไดร บั ฟลอู อไรดใ นปริมาณสูง
การไดรบั ฟลูออไรดม ากเกนิ ไป ทําใหเกิดโรค “ฟลูออโรซิส” (fluorosis) ทําใหฟนมีสีนํ้าตาล
หรือดําถาวร
ภาพที่ 8.5 ฟน ทมี่ กี ารขาดฟลูออรีน
ท่มี า (Grosvenor, Marry B,2002)
สรุป
เกลือแร เปนสารอาหารที่มีความสําคัญท่ีรางกายจําเปนตองไดรับในแตวันอยางเหมาะสม
เกลือแรทรี่ างกายตอ งการแบง ออกเปน เกลือแรท่ีรางกายตองการในปริมาณมาก เปนเกลือแรที่รางกาย
ตองการในปริมาณท่ีมากกวา 100 มิลลิกรัม มีท้ังหมด 7 ชนิด คือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม
กํามะถัน โซเดียม โปแตสเซียม และคลอรีน ซ่ึงเกลือแรในกลุมน้ีสวนใหญจะเปนองคประกอบของ
กระดูกและฟน และทาํ หนา ท่ีควบคมุ สมดุลของน้าํ และรักษาความเปน กรด-ดางภายในรางกาย เกลือแร
อีกกลุม คือ เกลือแรที่รางกายตองการในปริมาณเพียงเล็กนอยในแตละวัน ซึ่งเกลือแรแตละชนิดก็ทํา
หนาท่ีแตกตางกันไป เกลือแรกลุมนี้ ไดแก เหล็กไอโอดีน สังกะสี ทองแดง ฟลูออไรด แมวารางกาย
ตองการเกลือแรเหลานี้ในปริมาณเพียงเล็กนอยแตขาดไมได เพราะพบวาการขาดเกลือแรบางชนิดเปน
ปญหาโภชนาการของประเทศซึ่งสงผลกระทบตอการพัฒนาคุณภาพชีวิต เชน การขาดธาตุเหล็ก ท่ีทํา
ใหเปน โรคโลหติ จาง หรอื การขาดไอโอดีน ทาํ ใหเ กดิ โรคคอพอกในผใู หญ และโรคเออ ในเดก็
บทที่ 9
นา้ํ
น้ําเปนส่ิงที่จําเปนสําหรับส่ิงมีชีวิต ในรางกายมนุษยน้ํามีความสําคัญเปนอันดับสองรอง
จากออกซิเจน และนับวาเปนสิ่งที่มีความสําคัญมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสารอาหารชนิดอ่ืน
การขาดนํ้าอยางสิ้นเชิงภายใน 2-3 วัน ทําใหตายได นํ้าทําหนาที่สําคัญหลายอยางในรางกาย เชน
เปนสว นประกอบท่ีสาํ คญั ของเซลล และเนื้อเยอื่ ทกุ ชนิด นา้ํ เปนตวั ทําละลายสารตางๆ เปนตวั กลาง
ใหเกิดปฏิกิริยาเคมี ชวยในการดูดซึมและขนสงอาหารไปยังเซลลตางๆ ชวยขับถายของเสียออก
จากเซลล ทําหนาท่ีควบคุมอุณหภูมิของรางกายใหคงท่ี เปนตน ปริมาณนํ้าในรางกายมีการ
เปล่ียนแปลงไปตามวยั ยิง่ เปนผสู งู อายุปรมิ าณนํา้ ในรางกายจะยิ่งนอ ยลง
นาํ้ ท่มี ีในรางกาย
นํ้าประกอบดวยธาตุ 2 ชนิด คือ ไฮโดรเจน และออกซิเจน รวมตัวกันอยูในรูปของ
สารประกอบ โมเลกุลของนาํ้ 1 โมเลกุล มีธาตไุ ฮโดรเจนอยู 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม จึงมี
สูตรโมเลกุลวา H2O น้ําเปนสวนประกอบที่สําคัญของทุกเซลลของส่ิงมีชีวิต ในบรรดาสารอาหาร
ท้ังหมดท่ีมีอยูในรางกาย น้ําเปนสารอาหารที่มีอยูมากท่ีสุด โดยในรางกายของผูใหญปกติ (ชาย)
จะมปี ริมาณนํ้าและสารอาหารอืน่ ดังแสดงในตารางที่ 9.1
ตารางท่ี 9.1 ปรมิ าณนํา้ และสารอาหารตางๆ ท่ีมใี นรางกายของผูใหญปกติ (ชาย)
สารอาหาร ปรมิ าณน้าํ ท่มี ใี นรางกาย คิดเปนรอ ยละ
เมือ่ เปรยี บเทยี บกบั นํา้ หนกั ตัว
นํ้า 60
โปรตนี 18
ไขมัน 18
คารโ บไฮเดรต นอยกวา 1
เกลือแร 4
วิตามิน นอยมาก
ทม่ี า (ชวลิต รัตนกุล, 2548, หนา 433)
290
ในทารกแรกเกิดมีนํ้าอยูในรางกายประมาณรอยละ 77 ของนํ้าหนักตัว เมื่อเจริญเติบโตขึ้น
สัดสว นของนาํ้ ลดลง ทารกที่มีอายุครบ 1 ป จะมีนํ้าเหลือเพียงรอยละ 65 สวนในผูใหญมีน้ํารอยละ
55-60 และเม่อื มีอายมุ ากกวา 60 ป ถาเปนชายจะมนี ้าํ ประมาณรอยละ 51 และในผสู งู อายุหญิงจะ
มีนํ้าในรางกายเพียงรอยละ 45 ของนํ้าหนักตัวเทานั้น ดังน้ันในวัยท่ีตางกันจะมีปริมาณน้ําใน
รางกายที่แตกตางกัน นอกจากวัยแลวพบวา เพศ และความอวน ผอม มีผลทําใหมีปริมาณนํ้าใน
รางกายที่แตกตางกัน โดยในคนอวนท่ีไขมันมาก มีสวนของกลามเนื้อนอย จะมีปริมาณน้ําใน
รางกายนอยกวาคนปกติหรือคนผอม สําหรับในนักกีฬา นักเลนกลาม ซึ่งมีสวนของกลามเน้ือมาก
ไขมนั นอย จะมปี รมิ าณนํ้าในรา งกายมากกวา คนธรรมดาทีม่ ีเพศและวันเดยี วกนั
หนา ท่ขี องน้ํา
น้ําทีม่ ีอยูในรา งกายของคน มีหนา ท่ีตา งๆ ดังตอไปน้ี
1. นํา้ เปน สว นประกอบท่สี ําคญั ของเซลล และเนื้อเย่อื ทกุ ชนดิ
นํ้ามีอยูในเนื้อเยื่อตางๆ ทั้งที่อยูภายในเซลล และภายนอกเซลล น้ําที่อยูภายในเซลล
ชว ยทาํ ใหเซลลคงรปู อยูได และยังทาํ หนา ท่ตี า งเพือ่ ชวยใหชีวิตดํารงอยูได สําหรับนํ้าภายนอกเซลล
ไดแก น้ําในกระแสโลหิต และน้ําที่อยูระหวางเซลล ทําหนาที่หลอเล้ียงเซลลและเนื้อเยื่อตาง ๆ ให
สามารถดาํ เนินกิจกรรมของเซลลไดอยา งมีประสิทธิภาพ
2. นาํ้ เปน ตวั ทาํ ละลาย
น้ําเปนตัวทําละลายสารตางๆ ดังนั้นน้ําจึงชวยใหกระบวนการยอยเกิดข้ึนไดอยาง
สมบูรณ เน่ืองจากน้ําเปนสวนประกอบของน้ํายอยตางๆ ท้ังจากกระเพาะอาหาร ลําไสเล็ก และ
น้ําลาย นํ้าที่มีอยูในนํ้ายอยทําหนาที่เปนตัวละลายสารตางๆ ซ่ึงจําเปนสําหรับการยอย ไดแก
เอนไซม กรด และเกลือแรตางๆ แลวพาออกสูทางเดินอาหาร เชน ปาก กระเพาะอาหาร และลําไส
เล็ก เพื่อคลุกเคลากับอาหารและทําใหเกิดการยอยขึ้น รวมทั้งชวยในการดูดซึมและขนสง
สารอาหารไปยงั เซลลต างๆ
3. นาํ้ ชวยในการขบั ถา ยของเสียออกจากรา งกาย
ตลอดเวลาที่เซลลทํางาน มีการใชสารอาหาร ออกซิเจนเพ่ือเผาผลาญใหเกิดพลังงาน
ทําใหเกิดของเสียเกิดขึ้น ไดแก คารบอนไดออกไซด และถามีการสลายตัวของโปรตีน ทําใหเกิด
ยูเรีย ซึ่งเปนของเสียเชนกัน ของเสียตางๆ เหลานี้ รวมท้ังเกลือแรและวิตามินตางๆ ท่ีรางกายไม
ตองการใช จะถูกพาออกจากเซลลโดยนํ้า อวัยวะท่ีสําคัญในการขับถายของเสียไดแก ไต ซ่ึงจะทํา
หนาท่ีขับถายยูเรีย เกลือแร และวิตามินตางๆท่ีละลายน้ําได รวมทั้งนํ้ายังชวยในการขับสารพิษท่ี
291
เกิดขึ้นในรางกายหรือเขาสูรางกาย เชน ยา และสารแปลกปลอมอ่ืนๆ ออกทางปสสาวะ ดังนั้น
รางกายจงึ ตองการนํ้าประมาณวันละ 1-2 ลิตร เพ่ือทําหนาท่ีเปนตัวละลายและนําของเสียออกจาก
กระแสเลือด
4. เปน สารจาํ เปนสาํ หรับปฏิกิรยิ าทางเคมปี ระเภทไฮโดรไลซสิ
ปฏิกิริยาดังกลาวเกิดข้ึนในกระบวนการยอยอาหาร สารอาหารที่มีขนาดโมเลกุลขนาด
ใหญ ซึง่ ไมอาจผานผนงั ของลาํ ไสเลก็ ได จะเขาทําปฏิกิริยากับน้าํ โดยมีเอนไซมชนิดตา งๆ ทาํ หนาท่ี
เปนตัวเรงปฏิกิริยา (catalyst) เมื่อรวมกับนํ้าแลวก็จะแตกสลายออกเปนสารโมเลกุลเล็ก ซึ่ง
สามารถจะผานผนังลําไสเล็กไดและถูกดูซึมเขาสูกระแสโลหิตไปในที่สุด ดังน้ันถาไมมีน้ําปฏิกิริยา
เคมดี งั กลาวจะไมสามารถเกิดขนึ้ ได
5. นาํ้ ทาํ หนาท่เี ปนตวั หลอล่ืน
น้ํา ที่เปนองคอยูในสวนตางๆ ของรางกาย ทําหนาท่ีเปนตัวหลอล่ืน เชน นํ้าในนํ้าลาย
ชวยหลอลื่นในขณะท่ีมีการเคี้ยวหรือกลืนอาหาร น้ําท่ีหลอเล้ียงขอกระดูกตรงบริเวณปลายกระดูก
ทําหนา ท่ีเปนตวั หลอล่นื และปอ งกันการเสียดสขี องขอ ตางๆ ในขณะทีม่ ีการเคลอื่ นไหว เปน ตน
6. นา้ํ ทําหนาท่คี วบคมุ อุณหภมู ขิ องรา งกายใหคงท่ี
เนื่องจากในรางกายของคนตองมีการเผาผลาญสารอาหารเกิดขึ้นเพื่อใหไดพลังงาน
ออกมาใชในการดํารงชีวิต พลังงานที่เกิดข้ึนผลสุดทายจะเปนพลังงานความรอนซึ่งหากไมมีการ
ระบายออก อุณหภูมิของรางกายจะเพ่ิมสูงขึ้นจนอาจเปนอันตรายตอเซลลและเน้ือเย่ือตางๆ ได
ดังน้ันรางกายจึงตองมีกลไกในการระบายความรอนออกจากรางกาย วิธีการระบายความรอนมี
หลายวิธี ไดแก การนําความรอนจากผิวกายออกสูอากาศโดยรอบ หรือใชการระเหยของน้ํา เชน
การระเหยของนํ้าออกทางปอดพรอมกับลมหายใจ หรือออกจากผิวกาย กลายเปนเหง่ือ เปนตน
เพอ่ื ควบคมุ อุณหภมู ขิ องรางกาย
การควบคุมสมดลุ ของนํา้ ในรางกาย
น้ํา ท่ีมีอยูในรางกายของคนแมวาจะมีคาไมคงที่ แตตองอยูในสภาพท่ีสมดุล คือ มีการ
ไดร บั นํา้ เทา กับปรมิ าณน้ําทีส่ ญู เสยี ซึ่งภาวะดังกลาวเรียกวา “สมดุล” แตถาสมดุลของนํ้าผิดปกติ
ไป ยอมสงผลกระทบตอ รางกาย
กลไกการควบคุมการไดรับน้ําของรางกาย คือ ศูนยกระตุนใหรูสึกกระหายนํ้า (thirst
centre) อยูในไฮโปทาลามัส (hypothalamus) ซึ่งเปนสวนของสมองท่ีใกลตอมพิทูอิทารี โดยศูนยน้ี
มเี ซลลท ไ่ี วตอการเปล่ียนแปลงของสารอาหารบางอยางท่ีละลายอยูในเลือด โดยเฉพาะสารพวก
292
อิเล็คโทรไลต เชน โซเดียม หากความเขมขนของโซเดียมในนํ้าเลือดสูงกวาปกติเพียงรอยละ 1
ศูนยดังกลาวจะกระตุนใหมีความรูสึกกระหายนํ้า เมื่อรางกายขาดนํ้า จะสงผลใหโซเดียมมีความ
เขมขนสูงกวาปกติ ศูนยดังกลาวจะทํางานทําใหเกิดความรูสึกกระหาย แมวาการขาดนํ้าเพียงรอย
ละ 1-2 ของปรมิ าณนาํ้ ท่ีมอี ยใู นรา งกายกเ็ พียงพอทจี่ ะทาํ ใหศูนยด ังกลาวทํางาน และเมือ่ ไดรับมาก
เกนิ ไป จะมีการกลไกควบคมุ ขบั ถายนํา้ สวนเกินออกจากรา งกาย
ฮอรโมนทีส่ ําคัญทมี่ ผี ลตอการขับถา ยนา้ํ
ฮอรโ มน ทม่ี ีความนําคญั และมผี ลตอ การขับถา ยน้าํ มีดงั นี้
1. ฮอรโมนแอนตไี ดยูเรติก (anti-diuretic hormone ; ADH)
จากตอมพิทูอิทารี (หรือตอมใตสมอง) โดยฮอรโมนชนิดน้ีจะไปออกฤทธ์ิที่ไตทําใหไต
ดูดนํ้ากลับเขาสูรางกาย ถาฮอรโมนน้ีหลั่งออกมามากจะมีผลใหเกิดการดูดน้ํากลับมาก ปสสาวะก็
จะมีปริมาณนอย โดยที่ไตน้ันจะทําหนาที่กรองของเสียออก ซ่ึงน้ําท่ีผานไตทั้งหมดเกือบรอยละ 99
จะถูกดูดกลับทั้งหมด เหลือเพียงรอยละ 1 เทาน้ันท่ีจะถูกขับออกมาเปนปสสาวะ โดยการทํางาน
ของฮอรโ มน แอนตีไดยูเรตกิ หากมีความผดิ ปกติเกดิ ข้ึนทต่ี อมพทิ ูอิทารี จะมผี ลทาํ ใหฮ อรโ มน
แอนตีไดยูเรติก หล่ังออกมานอยหรือไมหล่ังเลย นํ้าที่ผานไตจะถูกดูดกลับนอย มีผลใหมีปสสาวะ
มาก ลักษณะของปสสาวะจะเจือจาง มีความถวงจําเพาะต่ํา และมีสีออน การเกิดสภาวะดังกลาว
เรียกวา “โรคเบาจืด” (diabetes insipidus) โรคนี้สามารถถายทอดทางพันธุกรรมได แตพบไดไม
มากนัก ผูปวยจะมีอาการถายปสสาวะมากและบอย ผูปวยกระหายน้ําตลอดเวลา และตองด่ืมน้ํา
วันละมากๆ
2. ฮอรโ มนจากสว นนอกของตอมหมวกไต (adrenal cortex)
ฮอรโมนในกลุมนี้ออกฤทธิ์โดยตรงตอการขับถายโซเดียม คือ ถาฮอรโมนถูกหล่ัง
ออกมามาก ไตจะดูดซึมโซเดียมกลับเขาสูรางกายมาก ซ่ึงอาจทําใหเกิดภาวะ “กักโซเดียม”
(sodium retention) คือปริมาณโซเดียมที่ไดรับจากอาหารมีมากกวาที่ขับถายออก ทําใหผูปวยมี
อาการตัวบวม เน่ืองจากเกิดสภาวะการกักนํ้า ดังน้ันในการรักษาตองมีการจํากัดปริมาณโซเดียมท่ี
จะไดร บั ทัง้ จากอาหาร ยา และเครอื่ งดืม่ เปนตน
3. ฮอรโ มนอินซูลิน (insulin)
อินซูลิน เปนฮอรโมนที่ผลิตมาจากตอมไรทอในตับออน ผูที่มีภาวะการขาดฮอรโมน
ชนิดนี้จะเปนโรคเบาหวาน (diabetes mellitus) ในผูปวยโรคเบาหวานรางกายใชกลูโคสไดไมดี ทํา
ใหมีระดับน้ําตาลกลูโคสในเลือดสูงกวาปกติ กลูโคสสวนหน่ึงจะถูกขับถายออกทางไตมาพรอมกับ
293
ปสสาวะ กลูโคสท่ีถูกขับออกมาน้ีจะดึงเอานํ้าออกมาทางปสสาวะมากขึ้นเพ่ือทําหนาท่ีเปนตัวทํา
ละลาย ผูปวยที่เปนเบาหวานอยางรุนแรงและไมไดรับการรักษาผูปวยจะสูญเสียท้ังกลูโคสและนํ้า
ออกมามากทางปสสาวะ ทําใหผูปวยเกิดภาวะการขาดน้ํา (dehydration) ผูปวยเบาหวานจึงมี
อาการถายปส สาวะบอ ย กระหายนา้ํ มากและดมื่ นํา้ มาก ดังนนั้ อินซลู นิ จงึ มีผลตอการสญู เสียน้ํา
4. ฮอรโมนจากตอ มธยั รอยด
ฮอรโมนชนิดนี้ทําหนาที่ควบคุมการเผาผลาญสารอาหารของรางกาย แตถามีการหลั่ง
ฮอรโมนน้ีออกมามากผิดปกติ เรียกวา “ภาวะไฮเปอรธัยรอยดิซึม” (hyperthyrodism) พบในผูปวย
ท่ีเปนโรคคอพอกชนิดเปนพิษ ทําใหมีอัตราการเผาผลาญสารอาหารภายในรางกายสูงกวาปกติ ซึ่ง
สงผลใหเกิดความรอนมากข้นึ ในรางกาย รวมท้ังมีของเสียเกิดขน้ึ มากดวย รา งกายจงึ จาํ เปน ตอ งขบั
น้ําออกมากขึ้นเพ่ือเปนการระบายความรอนออก รวมทั้งการพาของเสียออกจากรางกาย ดังน้ัน
ภาวะท่ีมีฮอรโมนจากตอมธัยรอยดมากเกินไปมีผลทําใหรางกานเกิดการสูญเสียน้ํามากกวาปกติ
(ชวลิต รตั นกูล, 2548, หนา 438)
การไดร ับนํา้ ของรางกาย
รา งกายไดรับนาํ้ จาก 3 ทาง ดังนี้
1. การดม่ื
รางกายไดรับน้ําในรูปของอาหารที่เปนของเหลว ไดแก นํ้าเปลา เครื่องดื่มทุกชนิด เชน
นํ้าชา กาแฟ นํ้าหวาน น้ําอัดลม น้ําผลไม นํ้าสมุนไพร น้ํานม รวมท้ังเคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล เชน
เบียร เหลาชนิดตางๆ เปนตน คนปกติจะไดรับน้ําจากแหลงดังกลาวมากที่สุด โดยปริมาณน้ําท่ีคน
ท่ัวไปไดร บั จากการดื่มสว นใหญประมาณวันละ 1-1.5 ลติ ร
2. การกิน
อาหารตามธรรมชาติมีนํ้าเปนองคประกอบ โดยปริมาณนํ้าในอาหารแตละชนิดมี
ปรมิ าณมากนอ ยขน้ึ อยกู บั ชนดิ ของอาหารน้ันๆ เชน ในผกั สดและผลไมม ีนํ้าประมาณรอยละ 60-95
เน้ือสัตว เชน เนื้อวัวชนิดไมมีมัน มีน้ําประมาณรอยละ 70 ขาวเจาหุงสุก มีน้ําประมาณรอยละ
65-70 ในขณะท่ขี นมปง ปอนด มีน้าํ ประมาณรอยละ 25 เปนตน
3. การเผาผลาญสารอาหาร
ในกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร ไดแก คารโบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน เมื่อ
ส้ินสุดกระบวนการเผาผลาญจะไดพลังงาน คารบอนไดออกไซด และนํ้าเกิดขึ้น เชน การเผาผลาญ
คารโ บไฮเดรต (กลโู คส) จะทาํ ใหไ ดน า้ํ เกิดขน้ึ 0.6 กรัม ดงั แสดงในตัวอยา งดังตอไปน้ี
294
การเผาผลาญของกลโู คส
C6H12O6 + 6O2 6CO2 + 6H2O + พลงั งาน
จากสมการ นํา้ ตาลกลูโคส 1 กรมั ถกู เผาผลาญไดน า้ํ 6 กรมั โมล
1 กรัมโมล ของนํ้าตาลกลโู คส = นํ้าตาลกลโู คส (12x6)+(1x12)+(16x6) = 180 กรมั
1 กรมั โมล ของนํา้ = น้ํา (1x12)+(16x1) = 18 กรัม
6 กรมั โมล ของนํา้ = นํา้ (6x18) = 108 กรัม
ดงั นัน้ นํ้าตาลกลโู คส 180 กรมั ถูกเผาผลาญจะไดน าํ้ 108 กรมั
นํา้ ตาลกลูโคส 1 กรัม ถกู เผาผลาญจะไดนา้ํ 108/180 = 0.6 กรมั
ดงั น้ัน คารโบไฮเดรต 1 กรัม เมือ่ ถูกเผาผลาญในรางกายจะทาํ ใหเ กดิ น้ํา 0.6 กรมั
สําหรบั ไขมัน และโปรตนี เม่ือถกู เผาผลาญจะใหป ริมาณนาํ้ แกรา งกาย ดังนี้
ไขมนั 1 กรัม ถกู เผาผลาญทาํ ใหเ กิดนํ้าประมาณ 1.07 กรัม
โปรตีน 1 กรัม ถูกเผาผลาญทาํ ใหเกิดนํ้าประมาณ 0.41 กรมั
นํ้าท่ีเกิดขึ้นจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารมีความสําคัญในกระบวนการขนสงสาร
และการเปน ตัวทาํ ละลาย เพือ่ ใหสารอาหารผา นเขา สูเซลล
การสูญเสียนํ้าของรางกาย
ในคนปกตทิ ไ่ี มมีภาวะความเจ็บปวย รางกายจะมกี ารสญู เสยี น้ําได 4 ทาง ดังนี้
1. ทางผิวกาย
ตลอดเวลาท่ีเรามีชีวิตอยูมีการเผาผลาญภายในรางกาย ทําใหเกิดความรอนขึ้น
รา งกายจาํ เปนตองระบายความรอนออก เพอ่ื รักษาอุณหภูมิของรางกายใหคงท่ีอยูเสมอ การระเหย
นาํ้ ทางผวิ กายจะสามารถชวยระบายความรอนทเ่ี กิดข้ึนได
รา งกายสามารถสูญเสียนา้ํ ทางผวิ กายได 2 วธิ ีคือ
1. การสูญเสียน้ําทางผิวกายโดยท่ีเราไมรูสึกตัว (insensible perspiration) ซ่ึงการ
สญู เสียน้ําในลักษณะน้มี กั เกิดขึ้นในอากาศทีแ่ หง โดยระเหยน้ําผานผิวหนังโดยท่ีเราไมรูสึกตัว หรือ
โดยการหายใจ
2. การสูญเสยี นํา้ ทางผิวกายโดยท่ีเรารูสกึ ได (sensible perspiration) เชน เหงื่อ การ
สูญเสียเหงื่อข้ึนอยูกับอุณหภูมิและอากาศ รวมท้ังการใชแรงงานของรางกาย ในขณะท่ีรางกาย
ทํางานหนัก เลนกีฬา หรืออยูในที่อากาศรอนยอมจะมีเหงื่อออกมามาก ไฮโปทาลามัส ซ่ึงเปนศูนย
ควบคุมการขับเหงื่อ เม่ือเลือดไหลเวียนในรางกายมีอุณหภูมิสูงกวาปกติ ไฮโปทาลามัสจึงเรงใหมี
295
การขับเหง่ือออกมามาก เม่ือเหง่ือระเหยพาความรอนออกจากรางกาย อุณหภูมิของรางกายจะ
ลดลงเปนปกติ แตถาอากาศรอน ในระยะแรกๆ รางกายยังปรับตัวไมไดเหง่ือจะออกมามาก และมี
เกลือโซเดียมคลอไรดออกมาดวย ในระยะน้ีเมื่อกระหายและด่ืมน้ําควรเติมเกลือเล็กนอย เพื่อ
ชดเชยเกลือแรทสี่ ูญเสียไปพรอมกับเหง่ือ
2. ทางลมหายใจ
การสูญเสียนํ้าทางลมหายใจขึ้นอยูกับสิ่งแวดลอมความชื้นสัมพัทธของอากาศ ใน
สภาพอาหารที่รอนหรือแหง เชน อยูกลางแดด หรือทะเลทราย จะมีการสูญเสียน้ําออกมามาก
นอกจากนน้ั การหายใจลึกและเร็ว ยอ มทาํ ใหเ กิดการสญู เสยี น้าํ ทางลมหายใจมากข้ึนเชน กนั
3. ทางอจุ จาระ
อุจจาระของคนโดยปกติจะมีลักษณะครึ่งแข็งคร่ึงเหลว ดังน้ันจึงมีนํ้าเปนองคประกอบ
อยูบางแตไมมากนัก แตถาเกิดความผิดปกติ เชน ทองรวง พบวาอุจจาระมีลักษณะเหลว จึงเปน
สาเหตุท่ีทําใหรางกายสูญเสียนํ้าพรอมกับอุจจาระ ในคนปกติ จะมีน้ําออกมากับอุจจาระ 100 กรัม
ตอวัน เทา นน้ั
4. ทางปสสาวะ
ไต ทําหนาท่ีขับถายของเสีย ไดแก ยูเรีย เกลือแรตางๆ ในรูปของสารละลาย คือ
ปสสาวะ โดยใชน้ําเปนตัวทําละลาย ในคนปกติมีการสูญเสียนํ้าทางปสสาวะมากที่สุด โดยมี
ปริมาณน้ําที่สูญเสียเทากับปริมาณนํ้าท่ีรางกายไดรับจากเคร่ืองด่ืมและอาหาร ปริมาณน้ําที่ถูกขับ
ออกทางปสสาวะในแตวันจะมีปริมาณมากหรือนอย ข้ึนอยูกับปริมาณน้ําและเคร่ืองด่ืมท่ีคนๆ น้ัน
ด่ืม ถามีการดื่มน้ํามากปสสาวะจะมาก และด่ืมนํ้านอยปสสาวะจะนอย สวนการสูญเสียเหงื่อ
พบวา ถา มกี ารสูญเสยี เหง่อื มาก ปสสาวะจะนอ ย หากมีการสูญเสยี เหงอื่ นอ ยปสสาวะจะมาก
ปริมาณนา้ํ ที่แนะนําใหผบู ริโภควยั ตา งๆ ควรไดรบั
ปริมาณที่แนะนําใหบริโภคมีความสัมพันธกับความตองการนํ้าของรางกาย ในวัยตาง ๆ
รวมท้ัง เพศ อายุ และกิจกรรมท่ีทําในขณะน้ัน ซ่ึงการหาปริมาณน้ําท่ีรางกายตองการเพ่ือรักษา
สภาพรางกายใหเปนปกติน้ัน คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวัน
สําหรับคนไทย (พ.ศ. 2546) ไดแ นะนําปริมาณนา้ํ อา งอิงทีค่ นไทยควรไดรับ ดังนี้
1. ทารก
ทารกอายุ 0 – 5 เดือน ความตองการน้ําในทารกแรกเกิดน้ันข้ึนอยูกับปจจัยหลายอยาง
ทารกมีพื้นที่ผิวกายมากเม่ือเทียบกับนํ้าหนัก มีปริมาณน้ําในรางกายและน้ําที่หมุนเวียนใชภายใน
296
รางกายมาก ขณะที่ไตมีความสามารถจํากัดในการขจัดน้ําและปริมาณสารละลายตางๆ ที่เปนผล
จากเมตาบอลิซึมของโปรตีน น้ํานมแมมีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารก
สวนนมผสมมีโปรตีนสูงกวาในนํ้านมแม การไดรับโปรตีนสูงอาจทําใหทารกเกิดภาวะขาดน้ําอยาง
รุนแรงได เนือ่ งจากทารกไมแ สดงอาการกระหายนํ้าและไมสามารถบอกความตองการนํา้ ได
ความตองการน้ําของทารกข้ึนกับปริมาณน้ํานมแมท่ีทารกไดรับในแตละวัน ทารกแรกเกิด
- 5 เดือนควรไดรับนํ้าวันละ 1 – 1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของพลังงานที่ใช คิดเปนปริมาณนํ้า
750 – 1,125 มลิ ลลิ ิตรตอวนั ซ่ึงเพียงพอสําหรบั การเจริญเติบโตของทารก คาที่ใชกําหนดน้ีคํานวณ
มาจากอัตราสวนของน้ําตอพลังงานที่ไดจากน้ํานมแมและไดมีการนําสัดสวนนี้ไปใชในการเตรียม
นมผสมสําหรับทารกดว ย ทารก 6 เดอื น – 1 ป ปริมาณนํ้าท่คี วรไดร ับ 800 – 2,100 มิลลิลติ รตอวัน
2. วยั รุน
ความตองการน้ําในวัยรุนเพ่ิมขึ้นความความตองการของพลังงานท่ีเพิ่มขึ้นเน่ืองจาก
วัยรุนมีกิจกรรมที่ทําในแตละวันมากจึงตองการน้ํามาก วัยรุนผูชายมีความตองการน้ํามากกวา
วัยรนุ ผหู ญิง วัยรนุ ผชู ายอายุ 9 - 12 ป มคี วามตอ งการนา้ํ 1,700 - 2,550 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุน
ผูชายอายุมากกวา 12 - 15 มีความตองการน้ํา 2,050 - 2,550 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนผูชายที่มีอายุ
มากกวา 15 -18 ป มีความตองการนํ้า 2,250 - 3,375 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนหญิงอายุ 9 - 12 ป มี
ความตองการนํ้า 1,600 - 2,400 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนผูหญิงอายุมากกวา 12 - 15 ป มีความ
ตองการนํ้า 1,800 - 2,550 มิลลิลิตรตอวัน วัยรุนผูหญิงที่มีอายุมากกวา 15 -18 ป มีความ
ตองการนา้ํ 1,850 - 2,775 มิลลลิ ิตรตอวัน
3. ผูใ หญ
ความตองการน้ําในผูใหญ ในสภาวะปกติกําหนดไว 1 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของ
พลังงานที่ใช บางครั้งผูใหญอาจมีความตองการเพิ่มข้ึนเปน 1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของ
พลังงานท่ีใชซึ่งคาน้ีจะครอบคลุมการทํางานระดับตาง ๆ การสูญเสียนํ้าไปทางเหง่ือและการ
ควบคุมความเขมขนของสารละลายตางๆ ในรางกายดวย ผูใหญชายอายุ 19-30 มี ความตองการ
นา้ํ 2,150-3,225 มลิ ลิลิตรตอวนั ผูใหญผูชายอายุมากกวา 30-70 มีความตองการนํ้า 2,100-3,150
มลิ ลิลิตรตอวัน ผใู หญผ หู ญิงอายุ 19-70 ป มคี วามตองการนาํ้ 1,750-2,625 มิลลิลิตรตอ วนั
4. ผสู ูงอายุ
ความตองการนํ้าในผูสูงอายุควรมีความระมัดระวังเปนพิเศษ เนื่องจากผูสูงอายุมีความ
ไวตอความรูสึกกระหายนํ้าลดลง ถึงแมวาผูสูงอายุสวนใหญจะไมคอยมีกิจกรรมท่ีตองใชพลังงาน
มาก แตรางกายยังคงมีความตองการปริมาณนํ้าสูงโดยเฉพาะอยางยิ่งในฤดูรอน จึงจําเปนตอง
297
ไดรับนํ้าในปริมาณท่ีเพียงพอเพ่ือชดเชยปริมาณนํ้าที่ลดลงและจากการสูญเสียน้ําจากความรอน
กรณีท่ีไมไดรับนํ้าอยางเพียงพอจะทําใหผูสูงอายุมีความเขมขนของเลือดสูงขึ้น ทําใหเปนลม และ
ไมรูสึกตัว ผูสูงอายุผูชายอายุมากกวา 70 ข้ึนไป มีความตองการนํ้า 1,750-2,625 มิลลิลิตรตอวัน
ผสู ูงอายผุ ูหญิงอายมุ ากกวา 70 ปขน้ึ ไปมีความตองการนํา้ 1,550-2,325 มิลลิลิตรตอ วัน
5. หญงิ ต้ังครรภและหญิงใหน มบตุ ร
หญิงต้ังครรภมีความตองการนํ้าเพ่ิมขึ้นเนื่องจากเกิดการขยายตัวของปริมาณน้ํา
ภายนอกเซลล ความตองการนา้ํ ของทารกในครรภและมีปริมาณน้ําในถุงนํ้าคร่ําหญิงตั้งครรภตั้งแต
ไตรมาสท่ี 2 จนถงึ กาํ หนดคลอด ความตองการนํา้ จะเพ่มิ อกี 300 มิลลลิ ิตรตอ วัน
หญงิ ใหน มบตุ รความตอ งการนาํ้ จะมคี า ใกลเ คยี งกับปริมาณของนํ้านมแมท ี่หลัง่ ออกมา
เฉล่ียวนั ละ 750 มลิ ลลิ ิตรในระยะ 6 เดือนแรก ดงั น้นั ปรมิ าณนา้ํ ที่ตอ งการเพม่ิ ขน้ึ จากความตองการ
ของผูใ หญปกตโิ ดยเพม่ิ ข้นึ 500 มลิ ลิลิตรตอวัน ตลอดระยะเวลา 1 ป ที่ใหน มบตุ ร
6. นักกฬี าหรอื ผใู ชแ รงงาน
นักกีฬาหรือผูใชแรงงานจะมีการเสียเหงื่อมาก เน่ืองจากเหงื่อประกอบดวยน้ํารอยละ
99 ที่เหลือเปนเกลือแร เมื่อรางกายมีการเสียเหง่ือจะทําใหเกิดการสูญเสียนํ้า เม่ือสูญเสียนํ้าจนถึง
ระดับหนึ่งจะมีผลตอการทํางานของรางกาย จากการศึกษาพบวาการสูญเสียน้ํารอยละ 2 ของ
น้ําหนักตัว มีผลทําใหประสิทธิภาพการทํางานลดลง หรือความสามารถในการเลนกีฬาลดลงไป
เหลอื รอ ยละ 90 ดังน้ันเพอ่ื ปองกนั การเกิดปญ หาดงั กลา ว จงึ ตอ งใหไ ดรับนํ้าอยา งเพียงพอกับความ
ตองการของรางกาย การปองกันไมใหนักกีฬาเกิดการเสียนํ้า ควรด่ืมน้ํากอนการฝกซอมหรือเลน
กีฬา ขณะเลน และหลังเลนกีฬา หากรางกายขาดน้ําที่จะทําใหนักกีฬาฝกซอมหรือเลนกีฬาไดไม
เต็มที่ นักกีฬาสามารถสังเกตการเสียน้ําไดจากนํ้าหนักตัวที่ลดลงเน่ืองจากการฝกซอม ถานํ้าหนัก
ลดลงครึ่งกิโลกรัมควรทดแทนดวยการดื่มนํา้ 2 แกว และขณะที่มีการฝกซอมหรือแขงขัน ควรด่ืมน้ํา
เปนระยะๆ ไมควรปลอยใหเกิดการกระหายนํ้าซ่ึงแสดงวารางกายขาดนํ้าแลว นักกีฬาที่เปนเด็กจะ
พบปญหารุนแรงมากกวานักกีฬาท่ีเปนผูใหญ เน่ืองจากการรับรูในการขาดนํ้าในเด็กจะชากวา
ผูใหญ
298
การคาํ นวณความตอ งการของนาํ้
การคํานวณมีหลักในการคิดโดยใชปริมาณนํ้าตอหน่ึงหนวยนํ้าหนักตัวหรือตอหนวยพ้ืนท่ี
รางกาย เพ่ือใหไดปริมาณท่ีเหมาะสมสําหรับแตละคน การคิดโดยใชตอหนึ่งหนวยน้ําหนักตัวไดผล
ไมคอยดีนัก การคิดโดยใชตอหนวยพ้ืนที่ผิวกายใชไดดีสําหรับทุกขนาด แตการคํานวณและการคิด
พื้นที่ผิวกายจําเปนตองรูนํ้าหนักและสวนสูงเพื่อนําไปเปรียบเทียบหาคาพ้ืนท่ีผิวกายอีกซึ่งยุงยาก
และไมนิยมใช ดวยเหตุผลดังกลาวจึงใชวิธีการคํานวณความตองการของน้ําโดยคิดจากปริมาณ
ความตองการของพลังงาน เพื่อใหรางกายทํางานไดอยางปกติ ใชพลังงานเปนหลักตามวิธีของ
Holiday & Segar (1957) ดังนี้
การคดิ พลังงานที่ใชจ ากนา้ํ หนกั ตวั
นํา้ หนกั ตัว พลงั งานทีใ่ ช
0 – 10 กิโลกรมั 100 กโิ ลแคลอรตี อ กิโลกรมั
> 10 – 20 กโิ ลกรัม 1,000 + (50 กิโลแคลอรตี อกโิ ลกรมั ทม่ี ากกวา 10 กิโลกรัม)
> 20 กิโลกรมั 1,500 + (20 กโิ ลแคลอรตี อกโิ ลกรมั ที่มากกวา 20 กโิ ลกรมั )
การคิดปริมาณนํ้า กําหนดใหนํ้าที่ควรไดรับคือ 100 – 150 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี
ของพลังงานทีใ่ ชจ ริง รวมกับนํ้าท่ไี ดจ ากการออกซเิ ดชันอีกประมาณ 10 – 20 มิลลิลิตรตอ 100 กิโล
แคลอรี ดังน้ันสําหรับทารกจะไดรับน้ําประมาณ 110 – 130 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี เม่ือไดน้ํา
ท่ีมีนํ้าตาลเปนแหลงของพลังงาน แตถาไดพลังงานจากโปรตีนจะตองใชนํ้าในการขับถายของเสีย
เพ่ิมข้ึน จึงควรไดรับนํ้าประมาณ 150 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี รวมกับน้ําจากออกซิเดชันอีก
10 – 20 มิลลิลิตรตอ 100 กิโลแคลอรี รวมเปนนํ้าท่ีตองการทั้งหมดประมาณ 150 – 170 มิลลิลิตร
ตอ 100 กิโลแคลอรี นอกจากน้ันมีการใชพลังงานเพ่ือเผาผลาญ ทําใหเกิดความรอนขึ้นในรางกาย
ขณะเดียวกันมีของเสียท่ีจะตองขับออกทางไต ทางลมหายใจ ในการรักษาสมดุลของรางกายทั้ง
ดานอุณหภูมแิ ละการขบั ของเสยี ซึ่งมีนํ้าเปนปจจัย เพราะจะตองใชนํ้าในการระบายความรอนออก
ทางผิวหนังและขับถายของเสียออกทางไต ดังน้ันความตองการน้ําซึ่งไดคิดรวมปริมาณน้ําที่ใชเพื่อ
ทดแทนการสญู เสียไปทางอวยั วะตางๆ แลวดังนี้ (ตารางท่ี 9.2 )
299
ตารางที่ 9.2 ปรมิ าณนา้ํ ทใี่ ชเพ่ือทดแทนการสญู เสยี ไปทางอวยั วะตางๆ
การสูญเสยี นาํ้ นํ้าที่สญู เสยี
(มลิ ลลิ ติ ร / 100 กิโลแคลอรี)
การสูญเสยี นาํ้ ที่ไมส ามารถรบั รูไ ด (insensible loss) 45
ทางปอด 15
ทางผวิ หนงั 30
การสญู เสียนาํ้ ท่ีสามารถรับรูได (sensible loss)
ทางเหงอ่ื 20
ทางอจุ จาระ 5
ทางปสสาวะ 30-80
รวมปรมิ าณน้าํ ทีส่ ูญเสีย 100-150
ท่ีมา (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสุข, 2546)
ปริมาณน้ําท่ีแนะนําใหบริโภค จะเปนผลรวมของปริมาณน้ําที่ประเมินไดจากการใช
พลังงานของแตละกลมุ อายุ รวมกบั ปริมาณนาํ้ ท่ีรางกายตองสญู เสียไป
ตัวอยางการคํานวณความตองการนํ้าของผูใหญผูชายอายุ 50 ป มีน้ําหนัก 50 กิโลกรัม
ตองการพลังงานเม่ือคิดจากน้ําหนักตัวไดเทากับ 1,500 + (20x30) = 2,100 กิโลแคลอรี ความ
ตองการน้ํา 1 – 1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรี คิดเปนปริมาณน้ําท่ีรางกายตองไดรับ 2,100 – 3,100
มิลลิลติ ร
สภาวะการขาดนํ้าและอาการขาดนํา้
สภาวะการขาดนํ้า คือ สภาวะท่ีเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ําท่ีไดรับไดนอยกวาปริมาณนํ้าท่ี
ขับถายออกหรือสูญเสีย (ดุลยภาพของนํ้าเปนลบ) ซึ่งโดยปกติรางกายจะมีการรักษาสมดุลของน้ํา
ไว เม่ือรางกายมีการขาดน้ําไปในปริมาณมากๆ จะมีการขับถายออก ดังน้ันภาวะการขาดนํ้าจะ
เกิดขึ้นเม่ือรางกายไดรับน้ําไมเพียงพอ ซ่ึงอาจมีสาเหตุมาจากไมมีนํ้าด่ืม (อยูในท่ีท่ีไมมีน้ํา
ทะเลทราย) เชน แตดื่มนํ้าไมได เชน ผูปวยที่อยูในสภาพหมดสติ หรือรางกายีการสูญเสียน้ําอยาง
มาก เชน ในผูท่ีออกกําลังกายอยางหนักในท่ีท่ีมีอากาศรอน หรือมีการสูญเสียนํ้าจากโรคภัยไขเจ็บ
เชน ทองรวง อาเจียน มีไขสูง เสียเลือดมาก หรือมีการผาตัดใหญ การมีแผลไฟไหมนํ้ารอนลวก
เปน ตน
300
อาการขาดน้ํา อาการที่พบโดยท่ัวไปคือ กระหายน้ํา ออนเพลีย หมดเร่ียวแรง ปากคอแหง
ตอไปจะมีนํ้าหนักตัวลด ความคิดสับสน หดหู ผิวแกมซีด ริมฝปากแหงเปนสีมวง ปสสาวะนอยลง
และมสี ที ่ีเขมขนึ้ กระสับกระสา ย ชกั หมดสติ และในที่สุดจะหยุดหายใจท้ังๆ ท่ีชีพจรยังคงมีอยู เมื่อ
รางกายมีการสูญเสียนํ้าไปมาก หรือเสียน้ําอยางรวดเร็วจําเปนตองไดรับนํ้าชดเชย อาจจะใหทาง
ปากในคนท่ียังมีสติ โดยอาจจะใหด่ืมนํ้าหรือเครื่องดื่ม เชน นํ้าผลไม โดยอาจใหครั้งละไมมากโดย
ใหจิบหรือด่ืมบอยๆ และดื่มทุกคร้ังที่กระหาย หรืออาจใหน้ําทางอื่นที่ไมใชทางปาก เชน ทางหลอด
เลอื ดดํา โดยใหในรปู ของสารละลาย เชน นาํ้ เกลอื เปน ตน
ภาวะการกกั นา้ํ ในรางกาย
ภาวะการกักน้าํ ในรางกาย (water retention) หมายถึง ภาวะเมื่อปรมิ าณนาํ้ ทร่ี า งกายไดร บั
ในหนงึ่ วนั มากกวา ปริมาณนา้ํ ทรี่ า งกายขับออกในหนึ่งวัน (ดุลยภาพนํ้าเปนบวก) การเกิดภาวะการ
กักน้ํามผี ลใหร างกายกักเกลอื ตามมา
ภาวะการขาดนา้ํ เปน ผลจากการทรี่ า งกายขับโซเดียมไดนอยกวาปกติ ภาวะนี้จะเกิดขึ้นใน
บุคคลท่ีเปนโรคไต หรือไดรับฮอรโมนที่มีฤทธ์ิควบคุมการขับถายโซเดียม ไดแก ฮอรโมนจากสวน
นอกของตอ มหมวกไต (adrenal cortex) มผี ลใหเกิดอาการตัวบวม เพราะน้ําค่ัง ดังนั้นในการรักษา
ตองจํากัดโซเดียมในอาหาร เครื่องด่ืม นํ้าดื่ม ยา โดยไมจําเปนตองจํากัดปริมาณน้ําท่ีด่ืม แตถามี
ภาวะตัวบวมเนอ่ื งจากไตพิการอยางรุนแรง แพทยอ าจจะตองใหผปู วยจาํ กดั ทัง้ โซเดียมและน้าํ
สรปุ
น้ํา เปนสารอาหารท่ีมีความสําคัญมากที่สุดของส่ิงมีชีวิต ปฏิกิริยาตางๆ ท่ีเกิดขึ้นใน
รางกายตองอาศัยนํ้าเปนตัวกลาง การเปลี่ยนแปลงของนํ้ามีผลตอการเปล่ียนแปลงดานความ
เขมขนของเกลือแร และการเปลี่ยนแปลงของเกลือแรจะมีผลทําใหเกิดการเปล่ียนแปลงดานการ
กระจายตัวของน้ําซึ่งมีผลตอการทํางานของเซลลตางๆ ในรางกาย ดังน้ันรางกายจึงตองมีการ
ควบคุมน้ําใหอยูในสภาพท่ีสมดุล เพ่ือใหเซลลทํางานไดปกติ ความตองการน้ําในรางกาย
เปล่ียนแปลงไปตามอายุ โดยแปรผันตามการเจริญเติบโตของทารกและเด็กแตละวัย แหลงนํ้าท่ี
สําคัญ คือ นํ้าด่ืมและเคร่ืองดื่มทั่วไป ไดแก ชา กาแฟ เคร่ืองด่ืมสมุนไพร เคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล
เปน ตน รวมทงั้ ยงั ไดรับนํา้ จากอาหารท่วั ไป
บทที่ 10
โภชนาการสาํ หรับบคุ คลในแตละวยั
อาหารเปนส่ิงจําเปนสําหรับการดํารงชีวิต คนเราทุกคนตองการสารอาหารชนิดตางๆท่ี
เหมือนกัน แตมีความตองการสารอาหารในปริมาณท่ีแตกตางกัน ตามเพศ วัย สภาพของรางกาย
กิจกรรมท่ีทําและส่ิงแวดลอมที่อาศัยอยู ความตองการอาหารของคนเราขึ้นอยูกับการเปลี่ยนแปลง
ของรางกายตั้งแตเกิดเปนทารกไปจนถึงวัยชรา ดังนั้นการไดรับอาหารที่ไมเพียงพอจะกอใหเกิดผล
เสียหายตอสุขภาพ บริโภคนิสัยของหญิงกอนและหลังมีครรภมีความสําคัญตอการเจริญเติบโตของ
ทารกมาก แมท ม่ี ภี าวะโภชนาการท่ดี ี ทารกที่คลอดจะมรี างกายท่แี ขง็ แรง ในหญิงใหน มบตุ ร ตอ งการ
ปริมาณอาหารที่เพิ่มมากขึ้นและถูกหลักโภชนาการเพื่อใหเพียงพอตอการสรางน้ํานมและบํารุง
สุขภาพของแม สําหรับทารกเองนอกจากการด่ืมนมแมแลว การไดรับอาหารเสริมท่ีถูกตองและ
เหมาะสมมีผลตอการพัฒนาการทางรางกายและจิตใจ เด็กวัยกอนเรียน วัยเรียนตองการอาหารท่ี
พอเพียงสําหรับการเจริญเติบโตและการทํากิจกรรมในแตละวัน วัยรุนเปนวัยท่ีมีการเปลี่ยนแปลงทั้ง
ทางดานรางกายและอารมณ การไดรับอาหารที่ถูกหลักโภชนาการจะทําใหวัยรุนเติบโตเปนผูใหญที่
แข็งแรง และในผูสูงอายุแมจะไมมีการเจริญเติบโตแตผูสูงอายุตองการอาหารที่เพียงพอแกความ
ตองการของรางกายและถูกตองตามหลักโภชนาการเพื่อนําไปใชในการซอมแซมสวนที่สึกหรอ และ
เพม่ิ ความตา นทานโรค
โภชนาการสําหรับหญิงตง้ั ครรภ
หญิงที่มีการต้ังครรภรางกายจะมีการเปลี่ยนแปลงทางดานสรีรวิทยา มีการสรางเนื้อเยื่อ
ตางๆ มากขึ้นสําหรับรองรับการเจริญเติบโตของทารกรวมท้ังมีการทํางานของอวัยวะตางๆ ภายใน
รางกาย ไดแก ตับ ไต หัวใจ รวมท้ังการทํางานตอมไรทอตางๆ เพ่ิมข้ึน มีผลทําใหหญิงที่อยูในภาวะ
ตั้งครรภตองการสารอาหารเพ่ิมมากข้ึนตั้งแตกอนตั้งครรภ ในระหวางต้ังครรภ และหลังการคลอด
บุตร การไดรับอาหารในปริมาณท่ีไมเพียงพอมีโอกาสเส่ียงตอการขาดสารอาหารและอาจมีปญหา
ดานสุขภาพอ่ืนๆ ตามมา ซ่ึงจะสงผลกระทบโดยตรงตอการเจริญเติบโตของทารกในครรภ หากแต
การเอาใจใสด ูแลดานอาหารและโภชนาการที่ดจี ะชวยสงเสรมิ ใหสุขภาพของแมและทารกมีสุขภาพที่
สมบูรณแ ข็งแรง
302
ปรมิ าณพลังงานและสารอาหารทีห่ ญิงตงั้ ครรภควรไดร บั
ในระหวางทม่ี ีการตั้งครรภเปน ชวงท่รี า งกายมกี ารปรับสภาวะตางๆ เพอ่ื ใหส ามารถท่จี ะเลี้ยง
ดูตัวออนท่ีฝงตัวอยูที่มดลูกใหเจริญเติบโตอยางสมบูรณ ระยะเวลาของการต้ังครรภ 9 เดือนนั้น
จําเปนอยางยิ่งท่ีแมควรจะไดรับสารอาหารท่ีเพียงพอและมีคุณภาพ เพื่อสงเสริมใหรางกายสามารถ
สรางเนื้อเย่อื รองรบั ทารกในครรภ ซ่ึงปรมิ าณพลงั งานและสารอาหารที่ควรไดร ับมีดงั น้ี
1. ความตอ งการพลังงาน
ในขณะที่ต้ังครรภมีความจําเปนท่ีแมตองไดรับพลังงานเพิ่มมากข้ึน เพ่ือการเสริมสราง
อวัยวะตางๆ ของทารก เนื้อเยื่อของแม ปริมาณพลังงานท่ีตองการเพ่ิมมากข้ึนจากปกติ 300
กิโลแคลอรี ในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของการตั้งครรภ ท้ังน้ีเนื่องจากทารกในครรภเติบโตรวดเร็วมากใน
ระยะนี้ ทาํ ใหอวยั วะตา งๆ ในรางกายตอ งทาํ งานเพม่ิ ขนึ้ เปนผลใหค วามตอ งการพลงั งานเพิม่ ขนึ้ ดวย
อาหารท่ีใหพลังงานท่ีหญิงต้ังครรภไดรับควรมาจาก คารโบไฮเดรตจากขาว แปง เผือก มัน
ธัญพืช โปรตีนจากเนื้อสัตว ปลา ถั่วตางๆ ไขมันจากพืชและสัตว สําหรับวิตามินและเกลือแรไดจาก
การกินผักและผลไมรวม ซ่ึงการใชพลังงานของรางกายสําหรับหญิงต้ังครรภควรใชพลังงานจากการ
เผาผลาญกรดไขมันและกลูโคส สําหรับโปรตีนไมควรนํามาเปนแหลงพลังงานแตควรใชเพื่อการ
เสริมสรางกลา มเนือ้ เอนไซม และฮอรโมน เปนตน
2. ความตองการโปรตนี
รา งกายมีความจําเปน ตองไดรับโปรตีนเพ่ิมมากข้ึน เพื่อใชในการเสริมสรางเนื้อเย่ือตางๆ
ทั้งของแมและทารก ความตองการโปรตีนจะสูงท่ีสุดในระยะ 3 เดือนกอนคลอด เพราะเปนระยะท่ี
ทารกเจรญิ เติบโตเร็วมาก จึงตอ งการโปรตีนเพ่ือสรา งเนื้อเยอ่ื ตา งๆ ปรมิ าณโปรตีนและพลังงานที่แม
ไดรับในระยะตั้งครรภมีอิทธิพลตอการเจริญเติบโตของสมองทารกเปนอยางมาก โดยเฉพาะในระยะ
3 เดือนกอนคลอดจนถึง 6 เดือนหลังคลอด เปนระยะที่เซลลสมองมีการแบงตัวและเจริญเติบโตเร็ว
ท่ีสุด ดังน้ันถาแมไดรับโปรตีนและพลังงานไมเพียงพอในระยะนี้ทารกจะมีจํานวนเซลลสมองนอย
และเซลลสมองมีขนาดเล็ก ทําใหทารกมีสมองเล็กกวาปกติ สติปญญาต่ํา เรียนรูชา เปนผลเสียตอ
สติปญญาของเด็กตลอดไป ดังน้ันสภาอาหารและโภชนาการแหงสหรัฐอเมริกาจึงไดแนะนําใหหญิง
ต้ังครรภกินอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้นจากที่กินอยูในภาวะปกติอีก 20 กรัม คณะกรรมการจัดทํา
ขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิงต้ังครรภ กินอาหาร
โปรตีนเพิ่มข้ึนจากภาวะปกติ 25 กรัม ทั้งน้ีเพราะโปรตีนท่ีคนไทยไดรับสวนใหญมาจากขาวซ่ึงเปน
โปรตีนไมส มบูรณห รอื ใหไ ดรบั โปรตีนประมาณ 1.5 กรัม ตอ น้ําหนกั ตวั 1 กโิ ลกรมั และประมาณ 2 ใน
3 ของโปรตีนที่ไดรับควรเปนโปรตีนท่ีไดจากสัตว เชน เน้ือสัตวตางๆ และผลิตภัณฑ ไขเปด ไขไก ไข
นกกระทา น้ํานมและผลติ ภัณฑจ ากนม และถว่ั เมล็ดแหง ชนดิ ตางๆ ใหมากขึน้
303
3. ความตอ งการวติ ามนิ
วิตามินชวยใหการทํางานในรางกายเปนปกติและมีความสําคัญตอการทํางานของ
อวัยวะตางๆในรางกาย หญิงตั้งครรภจึงควรกินอาหารท่ีมีปริมาณวิตามินใหเพียงพอ เพื่อใหรางกาย
สามารถดูดซึมหรือนําไปใชไดอยางเต็มท่ี การขาดวิตามินตางๆ จะสงผลใหเกิดโรคที่เก่ียวของกับ
วิตามิน และสงผลตอทารกท่อี ยูในครรภโ ดยตรง วิตามนิ ที่สาํ คัญ ไดแก
3.1 วิตามินเอ จําเปนสําหรับการเจริญเติบโตของทารกในครรภ ชวยในการพัฒนาการ
ของเซลลเยื่อบุผิว ชวยในการสรางกระดูกและฟน สําหรับหญิงตั้งครรภชวยบํารุงสุขภาพของตา
ผิวหนัง และเพิ่มภูมิตานทานซึ่งเปนกลไกในการเกิดโรคมะเร็ง อาหารท่ีพบวามีวิตามินเอสูงไดแก ไข
แดง ตับ และในพืชผักท่ีมีสารแคโรทีน ซึ่งสามารถเปลี่ยนเปนวิตามินเอได ไดแก ผักใบเขียวเขม เชน
ผักตําลึง ผักคะนา ผักหวาน โหระพา เปนตน สวนผลไมท่ีมีวิตามินเอ ไดแก มะละกอสุก เปนตน
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตงั้ ครรภ ไดร ับวติ ามินเอเพ่ิมข้ึนจากชว งที่ไมไ ดต้งั ครรภอ ีกวันละ 200 ไมโครกรมั
3.2 วิตามนิ ดี จาํ เปนตอการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส ในระยะต้ังครรภเปนระยะที่
ตองการแคลเซียมและฟอสฟอรัสมากขึ้น จึงตองการวิตามินมากขึ้นดวย วิตามินดีมีมากในอาหาร
พวก ไขแดง ตับ นมและผลิตภัณฑนม ปลาทะเล เปนตน นอกจากน้ีรางกายยังสามารถสังเคราะห
วิตามนิ ดไี ดเม่ือผิวหนงั ไดรับแสงอาทิตย
ในภาวะตั้งครรภจะมี 25-hydroxycholecalciferol จากมารดาผานรกไปสูทารกไดใน
ปริมาณนอย ซึ่งไมมีผลตอภาวะวิตามินดีของมารดาแตอยางใด ดังน้ันในสตรีที่ต้ังครรภที่ไดรับ
แสงแดดอยา งเพียงพอและสมาํ่ เสมอ ความตองการวิตามินดีเสริมจากอาหารในขณะที่ตั้งครรภจึงไม
มีความแตกตางจากในขณะท่ีไมต้ังครรภ ดังนั้นปริมาณอางอิงวิตามินดีที่ควรไดรับประจําวันสําหรับ
สตรีท่ีตั้งครรภทุกอายุ คือ 5 ไมโครกรัม (200 หนวยสากล) ตอวัน และการบริโภควิตามินดีเสริมใน
ปริมาณที่สูงกวานี้ คือ 10 ไมโครกรัม (400 หนวยสากล) ตอวัน โดยไดรับในรูปยาเม็ดก็ยังอยูใน
ปริมาณท่ีปลอดภัยและยอมรับได (คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวัน
สาํ หรับคนไทย พ.ศ. 2546)
3.3 วิตามินอี หรือแอลฟาโทโคเฟอรอล ทําหนาที่เปนแอนติออกซิแดนท ตอตานการ
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันท่ีจะเกิดข้ึนกับสารตาง ๆ ที่อยูในรางกาย เชน บนผนังเซลลเพื่อไมใหถูก
ทําลาย วิตามินอียังปองกันกรดไขมันอ่ิมตัวและวิตามินเอไมใหแตกตัวและรวมกับสารอื่นๆ ซึ่งอาจ
เปนอันตรายตอรางกาย นอกจากน้ีวิตามินอียังมีความสําคัญตอการผลิตพลังงานในรางกาย
โดยเฉพาะกลามเนื้อหัวใจ ชวยใหกลามเนื้อและประสาทท่ีเก่ียวของทํางานไดในภาวะท่ีมีออกซิเจน
นอย เพ่ิมความทนทานและชวยใหหลอดเลือดขยายตัว ทําใหเลือดไปเล้ียงหัวใจไดสะดวกขึ้น หญิง
304
ตั้งครรภควรบริโภคอาหารที่มีวิตามินอี เพราะเปนสารท่ีมีคุณคาทางโภชนาการที่สําคัญเพื่อใหมี
สุขภาพที่แข็งแรง อาหารท่ีมีวิตามินอี ไดแก น้ํามันพืชตางๆ เชน น้ํามันที่สกัดจากรําขาว เมล็ดพืช
ตางๆ เชน เมล็ดดอกทานตะวัน อัลมอนต ถั่วเหลือง และจมูกขาวสาลี ซ่ึงนับเปนแหลงที่ดีของ
วิตามนิ อี
3.4 วิตามินบีหน่ึง จําเปนตอการเผาผลาญคารโบไฮเดรตเพ่ือผลิตพลังงานโดยวิตามินบี
หน่ึง ทําหนาท่ีเปนโคเอนไซมที่เก่ียวของกับการสลายคารโบไฮเดรต หรือนํ้าตาลใหพลังงาน หญิง
ต้ังครรภตองการพลังงานเพ่ิมมากข้ึน จึงตองการวิตามินบีหนึ่งมากตามไปดวย กลุมอาหารที่มี
วิตามินบีหนึ่ง ไดแก เนือ้ หมู จมกู ขาว ขาวซอมมอื หรอื เมล็ดธัญพชื ทีไ่ มไ ดขดั สี ถ่วั เมลด็ แหง
3.5 วิตามินบีสอง ทําหนาที่เปนโคเอนไซมท่ีเก่ียวของกับการสลายคารโบไฮเดรต
เหมือนกับวิตามินบีหน่ึง และจําเปนสําหรับการสรางโปรตีนในรางกาย บํารุงสุขภาพของผิวหนัง ล้ิน
ริมฝปากและดวงตา ถาขาดจะมีอาการเปนแผลที่มุมปากทั้งสองขาง เรียกวา “ปากนกกระจอก”
รวมทง้ั ความผิดปกตขิ องผวิ หนงั อาหารท่ีพบวา มวี ิตามนิ บีสอง มาก เชน ตับ และ ผกั ใบเขียว เปน ตน
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตงั้ ครรภ ไดน ับวิตามนิ สองหนงึ่ เพิม่ ข้ึนจากชว งทีไ่ มไดต ัง้ ครรภอ กี วนั ละ 0.3 มลิ ลกิ รัม
3.6 วิตามินบีหก มีบทบาทตอกระบวนการสรางกรดอะมิโนในรางกาย ทําหนาที่เปนโค
เอนไซมชวยในการเปล่ยี นกรดอะมิโนทริปโตเฟนใหเปนไนอะซิน ซึ่งเปนวิตามินบีที่จําเปนตอรางกาย
รวมท้ังยังชวยในการสังเคราะหฮีโมโกลบินและฮอรโมนจากตอมหมวกไตอีกดวย อาหารท่ีมีวิตามิน
บีหก มาก เชน นมและผลิตภัณฑนม เนย เครื่องในสัตว เปนตน คณะกรรมการจัดทําขอกําหนด
สารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิงต้ังครรภ ไดรับวิตามินบีหกเพ่ิมข้ึน
จากชวงทไี่ มไ ดตง้ั ครรภอ ีกวันละ 0.6 มลิ ลิกรมั
3.7 กรดโฟลิค หรือโฟเลท เปนวิตามินบีชนิดหน่ึงท่ีมีความสําคัญมากตอหญิงตั้งครรภ
เพราะมบี ทบาทสําคัญตอ การพัฒนาสมองและระบบประสาทของตัวออ นหรอื ทารกในครรภ และยังมี
สวนสําคัญในการสรางและพัฒนาเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังมีความสําคัญในการสังเคราะหสาร
พันธุกรรม คือ ดีเอนเอ (DNA) จําเปนสําหรับการแบงเซลลและการเจริญเติบโตของเน้ือเยื่อตางๆ
ดงั นั้นหญิงต้ังครรภจ งึ มีความตองการกรดโฟลิคเพิ่มขึ้น เพราะเปนชวงท่ีรางกายมีการสรางเม็ดเลือด
และเน้ือเย่ือใหมๆ โดยเฉพาะมีการเจริญเติบโตของทารกในครรภอยางรวดเร็วท้ังรางกายและสมอง
อาหารท่ีมีโฟลคิ มาก ไดแ ก ผักใบเขยี ว ผลไมส ด ถวั่ เมลด็ แหง เมล็ดดอกทานตะวัน และจมูกขา ว เปน
ตน คณะกรรมการจัดทําขอ กาํ หนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตั้งครรภควรไดร บั โฟเลทเพ่มิ ขึ้นจากชว งที่ไมไ ดต้ังครรภอ ีกวันละ 200 ไมโครกรัม
305
3.8 วิตามินบีสิบสอง มีความสําคัญตอการสรางและพัฒนาเม็ดเลือดแดงเชนเดียวกับ
เหล็กและกรดโฟลิค หญิงต้ังครรภจึงควรไดรับวิตามินบีสิบสอง เพ่ิมข้ึน อาหารที่มีวิตามินบีสิบสอง
มาก ไดแก เน้ือสัตวตางๆ ไข นม และโยเกิรต ซ่ึงเปนผลิตภัณฑซึ่งไดจากการหมักของแบคทีเรียกลุม
ท่ีสรางกรดแล็กติก ในระหวางขบวนการหมักจะมีการสรางวิตามินบีสิบสอง ขึ้นพรอมกันดวย
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดแนะนําใหหญิง
ตั้งครรภค วรไดร บั วิตามนิ บสี บิ สอง เพ่ิมขึ้นจากชวงทีไ่ มไดตั้งครรภอ ีกวันละ 0.2 ไมโครกรมั
3.9 วิตามินซี ชวยในการดูดซึมธาตุเหล็ก บํารุงผนังเสนเลือด เพราะวิตามินซีจําเปนตอ
การสรางคลอลาเจนซึ่งเปนองคประกอบของเน้ือเยื่อเกี่ยวพัน ชวยใหเซลลยึดติดกัน และยังชวยใน
การสรางกระดูกและฟนสําหรับทารกในครรภ การขาดวิตามินซี เปนสาเหตุที่ทําใหรางกายไม
สามารถเก็บแคลเซียมและฟอสฟอรัสไวใชไ ด ในหญิงตง้ั ครรภม รี ะดับวิตามินซีในพลาสมาลดลง เปน
ผลเน่ืองมาจากความตองการวิตามินซีของทารก ทําใหมีการดึงวิตามินซีจากมารดาไปสูทารก โดย
ภาวการณข าดวิตามินซใี นหญิงต้งั ครรภมักพบในหญงิ ตงั้ ครรภท่ีมีฐานะไมด ี ภาวการณขาดวิตามินซี
ในหญิงต้ังครรภทําใหเกิดภาวะเสี่ยงตอการติดเชื้อขณะคลอด การคลอดกอนกําหนด และภาวะ
ครรภเปนพิษได มีขอมูลรายงานวาวิตามินซีปริมาณ 7 มิลลิกรัมจะสามารถปองกันการเกิดโรค
ลักปดลักเปดได ดังน้ันหญิงตั้งครรภควรจะไดรับวิตามินซีเพิ่มจากชวงที่ไมไดตั้งครรภ 10 มิลลิกรัม
ตอ วนั (คณะกรรมการจดั ทาํ ขอ กาํ หนดสารอาหารทคี่ วรไดรบั ประจาํ วนั สําหรับคนไทย พ.ศ. 2546)
อาหารทมี่ วี ติ ามินซมี าก ไดแ ก ฝรง่ั สม มะขามปอม มะเขอื เทศ ผลไมตาง ๆ และผักสด เปน
ตน อาหารที่มีวิตามินซีนอย ไดแก ขาว เน้ือสัตว นํ้านม การหุงตมและการไดรับแสงทําใหเกิดการ
สูญเสียวิตามิน ดังนั้นเวลาปรุงอาหารจึงตองระมัดระวังไมตมผักโดยใชความรอนนานเกินไป เพราะ
จะทําใหว ิตามินซใี นผกั ถูกทําลาย การเกบ็ อาหารไวเ ปนเวลานานทาํ ใหม กี ารสญู เสยี วิตามนิ ซเี ชนกนั
4. ความตองการเกลือแร
ในระหวางที่ต้ังครรภแมตองการเกลือแรในปริมาณท่ีมากกวาเดิม ท้ังน้ีเน่ืองจากทารกใน
ครรภต อ งนําเกลอื แรตางๆ ไปใชใ นการสรางโครงสรางหลักของรา งกายไดแก กระดูก และฟน เปนตน
เกลือแรที่สําคัญสําหรับหญิงต้ังครรภท่ีควรไดรับมากกวาปกติ ไดแก แคลเซียม ฟอสฟอรัส
แมกนเี ซยี ม เหล็ก ไอโอดีน และสงั กะสี เปนตน
4.1 แคลเซียม ในหญิงตั้งครรภการกําหนดปริมาณแคลเซียมพิจารณาจากปริมาณ
แคลเซียมทบี่ รโิ ภคทมี่ ผี ลตอการพฒั นาและการเจรญิ เตบิ โตของทารกในครรภ และการรักษาปริมาณ
มวลกระดกู ของมารดา จากการศึกษาในหญิงตงั้ ครรภท ี่ขาดสารอาหารและไดรับแคลเซียมเสริม 300
และ 600 มิลลิกรัมตอวันตามลําดับท่ีประเทศแกมเบียพบวา ความหนาแนนของกระดูกของทารกที่
เกิดจากที่เสริมและไมเสริมแคลเซียมไมแตกตางกันทางสถิติ เน่ืองจากในชวงต้ังครรภรางกายมีการ
306
ปรบั ตัวจะมกี ารสรางฮอรโ มนเอสโตรเจนเพ่ิมมากขึ้น ดังนั้นจึงมีการดูดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้นดวย และ
ยงั ชวยปองกันการสลายแคลเซยี มออกจากกระดูก จึงไมจาํ เปน ท่ีหญงิ ตง้ั ครรภจ ะตอ งไดรับแคลเซียม
เพิ่ม แตถากอนการต้ังครรภหญิงที่ต้ังครรภไมไดรับแคลเซียมในปริมาณท่ีแนะนําใหบริโภคตอวัน
จําเปนตองบริโภคแคลเซียมมากข้ึนในระหวางการต้ังครรภ ทั้งน้ีเพื่อใหรางกายไดรับแคลเซียมตาม
ปริมาณที่ควรไดรับคือ 800 มิลลิกรัมตอวัน และหญิงต้ังครรภที่มีอายุนอยกวา 19 ป ตองไดรับ
แคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมตอวัน (คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวัน
สําหรบั คนไทย พ.ศ. 2546)
แหลงอาหารทมี่ ีแคลเซียม ไดแ ก น้าํ นม ปลาไสตันแหง กุง แหง ปลาตวั เลก็ ๆ หรอื สตั วเลก็ ๆ ที่
กินไดท้ังกระดูก เชน กบ ปลาเล็กปลานอย ปลาปน เปนตน นอกจากน้ียังมีมากในผักใบสีเขียวเขม
เชน ผกั คะนา ผกั กวางตุง ผักโขม ผักกาด และกะหล่ําปลี เปน ตน
4.2 เหล็ก ธาตุเหล็ก เปนแรธาตุท่ีมีความสําคัญในการสรางเม็ดเลือดแดงและเปน
องคประกอบของฮีโมโกลบิน ซึ่งทําหนาที่ขนสงออกซิเจน การไดรับเหล็กในปริมาณที่ไมเพียงพอจะ
ทําใหเ กิดภาวะโลหติ จาง ซึง่ เปน ปญ หาโภชนาการท่ีสาํ คัญ ผลของการเปน โรคโลหติ จางนจ้ี ะทาํ ใหแ ม
เกิดโรคแทรกซอ นในระหวางตงั้ ครรภและในระหวา งการคลอดไดง าย เน่ืองจากแมทเ่ี ปนโรคโลหิตจาง
จะทนตอ การสูญเสียเลือดในระหวางการคลอดไดนอย ทําใหเปนอันตรายแกแมและทารกไดมาก ท้ัง
ยังเส่ียงตอการเปนโรคติดเชื้อหลังคลอดได ดังน้ันการปองกันโรคโลหิตจางในหญิงต้ังครรภ จึง
จําเปน ตอ งไดร บั อาหารทีม่ ธี าตเุ หลก็ ในปริมาณท่ีมากเพียงพอ
หญิงตั้งครรภมีความตองการธาตุเหล็กในแตละชวงอายุครรภท่ีไมเทากัน ในระยะตน
(ไตรมาสท่ี 1) ไมมีประจําเดือนและตัวออนยังไมเติบโต ความตองการธาตุเหล็กจะนอยมาก
ประมาณปลายไตรมาสท่ี 1 ของการต้ังครรภความตองการธาตุเหล็กเริ่มสูงขึ้นตามลําดับ เน่ืองจากมี
การเพ่ิมการสรางเม็ดเลือดแดงเพ่ือใหเพียงพอสําหรับการหมุนเวียนของมารดาและทารก การดูดซึม
ธาตุเหล็กในไตรมาสที่ 2 เพิ่มสูงข้ึน แตพบวาการไดรับธาตุเหล็กจากอาหารประจําวันน้ันไมเพียงพอ
จงึ อาจเรม่ิ มีการนาํ ธาตุเหลก็ ในแหลง สะสมมาใช ความตองการธาตเุ หลก็ จากอาหารอยางเดียวจึงไม
เพียงพอและมีความจําเปนท่ีหญิงต้ังครรภตั้งไดรับธาตุเหล็กในรูปของยาเม็ดธาตุเหล็กเสริม สําหรับ
หญิงตั้งครรภทเ่ี ปนวัยรุนรา งกายยังคงมีการเจริญเติบโต ดงั นน้ั ความตองการธาตเุ หล็กจะสูงเพิ่มข้นึ
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546
ไดแนะนําใหมีการเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 60 มิลลิกรัมตอวัน และเสริมธาตุเหล็กในปริมาณ 120-
180 มิลลิกรัมตอวันสําหรับหญิงต้ังครรภที่พบวามีอาการซีดรวมดวย แตอยางไรก็ดีเนื่องจากปญหา
การขาดธาตุเหล็กเปนปญหาสาธารณสุขที่สําคัญในประเทศไทย ดังนั้นการเสริมธาตุเหล็กในรูปของ
ยาจึงยงั มีความจาํ เปนในหลายกลุมประชากร ในอาหารไทยทั่วไปประกอบดวยธาตุเหล็กจากพืชเปน
307
หลัก ดังน้ันในการดูดซึมและนําไปใชประโยชนยังอยูในอัตราที่คอนขางตํ่า เพียงรอยละ 8-10 แหลง
อาหารที่มีธาตุเหล็ก ไดแก เครื่องในสัตวตางๆ โดยเฉพาะ ตับ ไต มาม ไขแดง ผักใบเขียวตางๆ ให
มากขึ้น
4.3 ไอโอดีน ไอโอดีนเปนสวนประกอบท่ีสําคัญของฮอรโมนไธรอกซิน ซ่ึงผลิตโดยตอมไธ
รอยด การขาดหรือไดรับไอโอดีนไมเพียงพอในระยะตั้งครรภจะสงผลใหแมเปนโรคคอพอก ซึ่งมี
ความสําคัญตอการควบคุมการเผาผลาญคารโบไฮเดรตเพื่อใหไดพลังงาน ในระยะต้ังครรภมีความ
ตองการพลังงานมากกวาปกติรางกายจึงตองมีการเผาผลาญอาหารมากกวาปกติ ซ่ึงฮอรโมน
ดังกลาวจึงมีความเก่ียวของในการควบคุมการเจริญเติบโตของรางกายท้ังเซลลรางกายและเซลล
สมอง
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546
ไดแนะนําหญิงตั้งครรภควรไดร ับไอโอดนี เพิม่ ขึ้นจากเดิมอีกวันละ 50 ไมโครกรัม ซ่ึงจะไดจากการกิน
อาหารทะเลตาง ๆ เชน ปลาทะเล หอยทะเล กุงทะเล นอกจากนี้ก็จะไดจากการกินเกลือที่ผสม
ไอโอดีน ซ่ึงเรียกวา “เกลืออนามัย” หญิงต้ังครรภควรเลือกใชเกลือชนิดน้ีในปรุงอาหารทุกวันจะชวย
ปอ งกนั การขาดไอโอดีนได โดยเฉพาะผทู ีอ่ ยหู างไกลจากทะเล เชน ในภาคเหนือ และภาคอสี าน
ผลจากการขาดไอโอดีนในแมมีผลทําใหทารกขาดไอโอดีนดวย ทารกท่ีขาดไอโอดีนอาจแทง
หรือตายระหวางคลอด แตถารอดชีวิตและเติบโตจะพบวาทารกจะมีอาการผิดปกติทางสมอง มีการ
พัฒนาทางดานประสาทบกพรอง และมีการพฒั นาการทางดานรางกายตาํ่ เรยี กโรคน้วี า “โรคเออ ”
4.4 ฟอสฟอรัส ทารกในครรภตองการฟอสฟอรัสควบคูกับแคลเซียมในอัตราสวน 1 : 1
รางกายจึงจะสามารถนําไปใชประโยชนได ซึ่งฟอสฟอรัสจะทําหนาท่ีชวยในการบํารุงกระดูกและฟน
ใหแข็งแรง และมีประโยชนในการสรางเซลล เนื่องจากฟอสฟอรัสเปนองคประกอบที่สําคัญของกรด
นิวคลิอิก ซึ่งมีความสําคัญตอการสงถายพันธุกรรมและควบคุมเมตาบอลิซึมของเซลล อาหารท่ีมี
ฟอสฟอรสั มาก ไดแ ก ปลา ไข นม เนยและ ผกั ใบเขียวชนดิ ตาง ๆ
5. ความตอ งการนํา้
หญิงตั้งครรภมีความตองการนํ้าเพ่ิมมากขึ้น เน่ืองจากเกิดการขยายตัวของปริมาณน้ํา
ภายนอกเซลล ความตองการน้ําของทารกในครรภมารดา และปริมาณนํ้าในถุงน้ําครํ่า หญิงตั้งครรภ
ตั้งแตไ ตรมาสท่ี 2 จนถึงกําหนดกอ นคลอดมคี วามตองการนํา้ เพิ่มขึ้นอกี 300 มิลลกิ รมั ตอ วัน
308
โภชนาการสําหรบั หญิงใหนมบตุ ร
ในระยะใหนมบุตรแมจําเปนตองไดรับสารอาหารตางๆ ตามที่รางกายตองการในปริมาณที่
เพียงพอ เพือ่ ใชในการเสริมสรางซอมแซมเนื้อเย่ือตางๆ ของแมแ ละเพือ่ สรางนาํ้ นมใหทารก ดังนน้ั แม
จงึ ควรไดรบั สารอาหารตา งๆ ใหเ พยี งพอ
ปรมิ าณพลงั งานและสารอาหารทห่ี ญิงใหนมบตุ รควรไดร บั มีดงั นี้
หญงิ ใหนมบตุ ร ตอ งการพลงั งานและสาอาหารตางๆ ดังนี้
1. ความตอ งการพลังงาน
อาหารที่ใหพลังงานไดแก คารโบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ในระยะใหนมบุตรรางกาย
จําเปนตองไดรับพลังงานเพ่ิมขึ้น เพื่อใชในการผลิตนํ้านมสําหรับทารก ในแตละวันแมจะตองผลิต
น้ํานมสําหรับทารกประมาณ 850 ลูกบาศกเซนติเมตร ซึ่งจะตองใชพลังงานในการผลิต 70
กิโลแคลอรีตอน้ํานมแม 100 ลูกบาศกเซนติเมตร หรือประมาณ 600 กิโลแคลอรีตอวัน แตเนื่องจาก
ในระยะตัง้ ครรภร า งกายไดม กี ารสะสมพลังงานไวใ นรปู ของไขมนั บางแลว
คณะกรรมการจดั ทําขอกําหนดสารอาหารทค่ี วรไดร ับประจาํ วนั สําหรับคนไทย พ.ศ. 2546ได
แนะนําหญิงใหนมบตุ รควรไดรับพลังงานเพ่ิมขน้ึ จากปกติ 500 กโิ ลแคลอรี ทัง้ นี้เพ่ือที่จะใหมีพลังงาน
เพียงพอในการผลิตน้ํานมใหทารก และในระยะตั้งครรภรางกายอาจสะสมพลังงานไวไมเพียงพอ
และหากในระยะใหนมบุตรไดรบั อาหารทม่ี ีพลังงานไมเ พยี งพอดว ยแลวกจ็ ะทําใหมีการสลายเน้ือเยื่อ
ตางๆ ในรางกายมาใชเปนพลังงานชดเชย มีผลทําใหแมมีรางกายทรุดโทรม ออนแอ เจ็บปวยงาย
และบอย เปนผลเสียตอแมและทารก ดังน้ันเพื่อความปลอดภัยสําหรับหญิงใหนมบุตร จึงควรไดรับ
พลังงานเพมิ่ ข้ึนประมาณวนั ละ 500 กิโลแคลอรี ท้ังนี้ขนึ้ กบั น้ําหนักทเี่ พ่มิ ขึน้ ของแมใ นระยะตงั้ ครรภ
และแรงงานท่ีแมใชใ นระยะใหนมบตุ ร
2. ความตอ งการโปรตนี
ในระยะใหนมบุตรแมจําเปนตองไดรับโปรตีนเพียงพอเพ่ือใชในการสรางน้ํานมและ
ซอมแซมเซลลตางๆ ของแมที่สูญเสียไปในการคลอด เชน เลือด หากในระยะนี้แมไดรับโปรตีนไม
เพียงพอ รางกายจะสลายโปรตีนในเนื้อเยือ่ ตา งๆ ของแมเ พือ่ ใชในการสรางนํา้ นมใหทารก ทาํ ใหแมมี
รางกายและสุขภาพทรุดโทรมลง และยิ่งแมไดรับอาหารที่ใหพลังงานไมเพียงพอแลว รางกายก็
จะตองสลายโปรตีนเพ่ิมขึ้นเพื่อใชเปนพลังงานในการการผลิตนํ้านมสําหรับทารกและใชในกิจกรรม
การทํางานตางๆ ของแมดวย ทําใหแมเปนโรคขาดโปรตีนและพลังงานอันเปนผลใหน้ํานมแมมี
ปริมาณนอยลงไมเพียงพอกับความตองการของทารก ทารกในระยะ 2 – 3 เดือนแรกจะไดอาหาร
309
จากน้ํานมแมเพียงอยางเดียว การที่แมมีนํ้านมไมเพียงพอจึงมีผลใหทารกเจริญเติบโตชา นํ้าหนัก
เพมิ่ นอยกวา ทค่ี วร
ปริมาณโปรตีนอางอิงที่ควรไดรับสําหรับหญิงใหนมบุตรควรเพ่ิมจากปกติวันละ 25 กรัม แต
เน่ืองจากโปรตีนท่ีคนไทยไดรับมาจากขาวเปนสวนใหญและโปรตีนในขาวเปนชนิดไมสมบูรณ
(incomplete protein) ดังน้ันเพ่ือปองกันการขาดโปรตีนชนิดสมบูรณครึ่งหน่ึงของโปรตีนที่หญิงใหนม
บตุ รควรไดรับ จงึ ควรเปน โปรตนี ท่ไี ดจ ากสัตว เชน เนื้อสตั วและผลิตภณั ฑ ไข นมและผลิตภณั ฑจ ากนม
3. ความตอ งการวติ ามนิ และเกลอื แร
หญิงใหนมบุตรมีความตองการวิตามินและเกลือแรเพิ่มมากขึ้น เพื่อใชในการเสริมสราง
รางกายของแมแ ละเปน สวนประกอบในน้าํ นม ดงั น้ันคณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควร
ไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546 ไดแนะนําใหหญิงใหนมบุตรไดรับวิตามินและเกลือแร
ตางๆ เพ่ิมขน้ึ จากปกติ (ตารางที่ 10.1)
ตารางท่ี 10.1 ปรมิ าณและแหลง วิตามินและเกลอื แรทีห่ ญิงใหน มบุตรควรไดรับตอวนั
สารอาหาร ปริมาณสารอาหาร แหลงอาหาร
อา งองิ ที่ควรไดร ับ
วิตามินเอ (มคก.) ตับ ไขแดง น้ํานม ผักสีเขียวเขม ผลไมท่ีมีสีเหลืองสม เชน ตําลึง
ประจาํ วัน ผักกวางตงุ ผกั บงุ ฟก ทอง มะมว งสกุ มะเขือเทศ
วิตามินซี (มก.) +375 ฝรั่ง มะขามปอม สม มะนาว สตรอเบอรี มะเขือเทศ ผักใบเขียว
กะหลาํ่ บรอ็ คโคลี
วติ ามนิ อี (มก.) +35 นํ้ามันขาวโพด นํ้ามันถั่วเหลือง นํ้ามันดอกคําฝอย ผลิตภัณฑจาก
นํ้ามนั พชื
ไธอะมิน (มก.) +4 เนื้อหมู ขาวซอมมือ ถ่ัวลิสง ถ่ัวเหลอื ง ถั่วดาํ และงา
ไรโบฟลาวนิ (มก.) เคร่อื งในสัตว เนือ้ สตั ว ไข นา้ํ นม
ไนอะซนิ (มก.) +0.3 เน้อื สตั วช นิดตา งๆ เครอ่ื งในสตั ว ถว่ั เมลด็ แหง ราํ ขา ว ยีสต
วติ ามนิ บีหก (มก.) +0.5 เน้ือสัตว กลวย ถว่ั เมลด็ แหง ไขแ ดง
โฟเลท (มคก.) +3 ดอกกะหล่ํา ดอกและใบกุยชาย มะเขือเทศ แตงกวา หนอไมฝร่ัง
+0.7 แครอท ถ่วั ฝก ยาว ผักใบเขยี ว
วิตามนิ บีสิบสอง (มคก.) +100 เคร่ืองในสัตว เน้ือสัตว หอยนางรม นํ้านม ไข สาหราย ถ่ัวหมัก
และซีอิว๊
กรดแพนโทเธนิก (มก.) +0.4 ตบั เน้อื สัตว ไข นมผง ถัว่ ลิสง
+2
310
ตารางท่ี 10.1 ปริมาณและแหลงวติ ามนิ และเกลอื แรที่หญงิ ใหนมบุตรควรไดรับตอ วนั (ตอ )
ปรมิ าณสารอาหาร
สารอาหาร อา งอิงที่ควรไดร ับ แหลง อาหาร
ประจําวนั
ไบโอตนิ (มคก.) +5 ตับ ไขแ ดง เครือ่ งในสัตว นาํ้ นม ผัก ถว่ั เมล็ดแหง เห็ด ผลไม
โคลีน (มก.) +125 เนอ้ื สตั ว ไขแดง ถั่วเมลด็ แหง อาหารแปรรูป เชน ไอศกรีม เคก
ไอโอดีน(มคก.) +50 พชื และสตั วทะเล เชน ปลาทะเล สาหรายทะเล
สงั กะสี (มก.) +1 หอยนางรม กุง ปลา ไข นาํ้ นมและผลิตภัณฑ
ซลิ ีเนยี ม(มคก.) +15 อาหารทะเล เนอ้ื สตั ว ไข ธญั พชื ผกั และผลไม
โคเมียม (มคก.) +20 ผกั ผลไม ธัญพชื โดยเฉพาะธญั พชื ทไ่ี มไดข ดั สี
มงั กานีส (มก.) +0.8 เน้ือสัตว เชน เปด ไก ปลา ผลิตภัณฑนม ถัวเมล็ดแหง ผลไมแหง
ธัญพืช เชน ขา วโอต ขาวสาลี ขา วไรน
โมลบิ ดนิ ัม (มคก.) +5 นํ้านมและผลิตภัณฑ ถั่วเมล็ดแหง ตับ ไต ธัญพืช และขนมอบ
ตา งๆ
ท่ีมา (ดัดแปลง จากขอ กาํ หนดสารอาหารทีค่ วรไดร บั ประจาํ วนั สําหรับคนไทย, 2546)
4. ความตอ งการน้าํ
ในหญิงใหนมบุตรมีความตองการน้ําใกลเคียงกับปริมาณของนํ้านมแมที่หลั่งออกมา
ปริมาณของน้ําในนํ้านมแมมีคาเฉลี่ยรอยละ 87 และน้ํานมแมที่หล่ังออกมามีปริมาณเฉล่ียวันละ
750 มิลลิลิตร ในระยะ 6 เดือนแรก ดังนั้นปริมาณนํ้าที่ตองการเพิ่มขึ้นจากความตองการของผูใหญ
โดยปกติเพิ่มข้นึ 500 มิลลิลิตรตอวนั ตลอดระยะเวลา 1 ปท่ใี หน มบตุ ร (ผูใหญหญิงที่มีอายุ 19-70 ป
มคี วามตองการนา้ํ วนั ละ 1,750-2,625 มิลลลิ ิตรตอวัน)
ปริมาณอาหารที่หญิงต้ังครรภ และหญิงใหนมบุตรควรไดรับตองเพียงพอกับความตองการ
ของรางกาย และควรจัดอาหารใหครบท้ัง 5 หมู โดยพยายามใหจัดอาหารอยางหลากหลายเพื่อให
ไดร บั สารอาหารอยางครบถวน (ตารางที่ 10.2)
311
ตารางท่ี 10.2 ปรมิ าณอาหารของผูใหญ หญิงตงั้ ครรภแ ละหญงิ ใหนมบุตร
อาหาร ผใู หญ หญงิ ปรมิ าณอาหาร
ตอวนั ต้ังครรภ
ตอวัน หญิงใหนม ขอเสนอแนะ
180 – 200 บุตรตอวนั
เนื้อสัตวตางๆ และ 150 – 180 กรัม 200 – 240 ควรกินอาหารทะเลอยางนอยสัปดาหละ 2
กรัม คร้ัง และกินปลาหรือสัตวเล็กๆ ท่ีกินไดท้ัง
เครอื่ งในสตั วส กุ กรัม 1 ฟอง กระดูกสปั ดาหล ะ 1 – 2 ครัง้
1-2ฟอง
ไขเปด ไขไก นํ้านม 4-5ฟอง/
สด สปั ดาห 1–2 2 ถวยตวง อาจใชนมถ่ัวเหลืองหรือเครื่องด่ืมผสมนม
น้ํานมสด 0–1 ถวยตวง หรือมากกวา เชน ไมโล โอวันติน
ถวยตวง เปนเตาหูขาวหรือเตาหแู ข็งกไ็ ด
ถว่ั เมล็ดแหง ตม สุก ½ ½-1
½ ถว ยตวง ถว ยตวง ผักสดหรือผกั สกุ ก็ได
ผกั สเี ขียว ถวยตวง 1–2 2–3
½-1 ถว ยตวง ถว ยตวง ประมาณสัปดาหละ 2 ครัง้
ผักสีเหลอื ง ถว ยตวง 1 ถวยตวง 1 ถว ยตวง
½ ถว ยตวง
ผลไม 2 – 3 ผล 3 – 4 ผล 5 – 6 ผล ผลไมที่มีขนาด 1 คนกินไดพอดี เชน
สมเขียวหวาน
ขาวสุก 3-6 5 – 6 6 – 7 ควรน่ึงหรอื หงุ ไมเชด็ น้ํา
ถวยตวง ถว ยตวง ถวยตวง
นาํ้ มนั พืช 3 ชอ นโตะ 3 ชอ นโตะ 3 ½ ชอ นโตะ ควรใชนํ้ามันพืช เชน นํ้ามันรํา น้ํามันถ่ัว
น้ํามนั สัตวหรือกะทิ เหลือง ในการประกอบอาหาร
ทีม่ า (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสุข, 2546)
312
โภชนาการสาํ หรับทารก
ทารก (infant) หมายถึงเด็กแรกเกิดจนถึง 1 ป เปนระยะท่ีรางกายมีการเจริญเติบโตอยาง
รวดเร็วกวาชวงวัยอ่ืนของชีวิต การเจริญเติบโตของทารกมีผลมาจากภาวะโภชนาการของแมตั้งแต
กอนตัง้ ครรภ ขณะตงั้ ครรภ ทารกแรกคลอดควรมนี า้ํ หนักเฉลี่ย 3,000 กรมั และมีความยาวประมาณ
50 เซนติเมตร ในสัปดาหแรกน้ําหนักทารกจะลดลงประมาณรอยละ 3 – 7 หลังจากน้ันแลวนํ้าหนัก
จะเพ่ิมมากข้ึนเรื่อยๆ ในระยะนี้ถาทารกไดรับอาหารท่ีเหมาะสมและเพียงพอ การเจริญเติบโตของ
ทารกจะเพ่ิมขึ้นอยางรวดเรว็ ซง่ึ สงผลตอ พัฒนาการดา นสมอง รางกาย และสติปญญาของเด็ก
ปริมาณพลงั งานและสารอาหารท่ที ารกควรไดร ับ
ทารกจะตองการสารอาหารตา งๆ เพอื่ ความเจรญิ เตบิ โตดงั ตอ ไปนี้
1. ความตองการพลังงาน
เนือ่ งจากวยั ทารกเปนระยะท่ีรางกายเจริญเติบโตรวดเร็วท่ีสุด ความตองการพลังงานเพ่ือ
การเจริญเติบโตจึงสูงกวาระยะอื่นๆ ดวย ในระยะแรกทารกมีการเจริญเติบโตอยางรวดเร็ว ทารกมี
ความตองการพลังงานเพื่อนําไปใชในการเจริญเติบโตสูงถึงรอยละ 35 ของความตองการพลังงาน
ทั้งหมด และลดลงเหลือรอยละ 3 เมื่อทารกอายุ 1 ป ในชวงวัยรุนความตองการพลังงานที่เก่ียวกับ
การเจริญเติบโตจะเพิ่มขึ้นเปนรอยละ 4 ของความตองการพลังงานทั้งหมด สําหรับหนักของทารก
อายุ 6 เดอื น จะเพิม่ ขึน้ เปน 2 เทา ของนา้ํ หนกั แรกเกิด และจะเพม่ิ ขึ้นเปน 3 เทา เม่อื อายุ 1 ป ปจ จุบัน
องคการอนามัยโลก แนะนําใหเล้ียงทารกดวยนํ้านมแมอยางเดียวจนทารกมีอายุ 6 เดือน (WHO
2001)
การศึกษาพบวาปริมาณน้ํานมแมของคนไทยในชวงอายุตั้งแตแรกคลอดจนถึงอายุ 8 เดือน
มีปริมาณใกลเคียงกันระหวาง 616-707 กรัมตอวัน และคอยๆ ลดปริมาณลงจนถึง 516 กรัมตอวัน
และเมือ่ เดก็ อายุ 2 ป (ตารางที่ 10.3)
2. ความตองการโปรตีน
โปรตีนเปนสารอาหารท่ีจําเปนอยางยิ่งในการเจริญเติบโตของรางกายและสมอง การ
เจริญเติบโตอยางรวดเร็วความตองการโปรตีนจะสูงข้ึนตามไปดวย ทั้งนี้เพื่อใชในการเสริมสราง
เนือ้ เย่อื ตา ง ๆ กลา มเน้อื ฮอรโมน เลอื ด และอนื่ ๆ
ทารก แรกเกิด – 5 เดือน โปรตีนที่ไดจากนมแมเพียงพอแกความตองการของรางกาย และ
ตองการโปรตีนเพิ่มจากอาหารเสริม 1.9 กรัมตอน้ําหนักตัว 1 กิโลกรัมตอวัน หรือประมาณ 15 กรัม
ตอวนั เม่อื ทารกอายุ 6 เดือน – 11 เดอื น
313
ตารางที่ 10.3 ความตองการพลังงานและโปรตีนจากน้ํานมแมและจากอาหารอื่นตั้งแตแรกเกิด
จนถงึ อายุ 2 ป
กลมุ อายุ พลังงาน น้ํานมแม พลงั งาน (กิโลแคลอรี/วนั ) โปรตีน
(เดือน) ที่ตอ งการ (กรมั /วัน) จากน้าํ นมแม
(นํา้ หนกั ) (กิโลแคลอร/ี วัน) จากนํา้ นมแม จากอาหารอนื่ (กรัม/วัน)
0–2 437 652 437 0 6.5
(4 กก.)
3-5 550 707 474 76 7.1
(6 กก.) (76 - 236)
6–8 682 616 413 269 6.2
(6 กก.) (73 - 465)
9 – 11 830 566 379 451 5.7
(8 กก.) (229 - 673)
12 – 23 1092 516 346 746 5.2
(10 -12 กก.)
* น้าํ นมแม 1 กรมั ใหพลงั งาน 0.67 กโิ ลแคลอรีและโปรตีน 0.01 กรมั
ที่มา : (คณะกรรมการจดั ทาํ ขอ กาํ หนดสารอาหารทคี่ วรไดรบั ประจําวนั สําหรบั คนไทย, 2546, หนา 57)
ตารางท่ี 10.4 พลังงานทีค่ วรไดรบั จากอาหารท่บี ริโภคตอ วันสาํ หรบั ทารก
อายุ น้ําหนกั พลังงาน พลังงาน ปริมาณ
(ป – เดือน) (กก.) (กโิ ลแคลอรี/วนั ) (กโิ ลแคลอรี/วัน) น้าํ นมแม
(มิลลิลติ ร/วัน)
ทารก จากน้าํ นม จาก
0-5 5 แม อาหาร 670
580
500 500 0
6 -11 8 800 400 400
ทีม่ า (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสุข ,2546, หนา 57)
314
3. ความตอ งการวติ ามนิ
นอกจากสารอาหารหลัก ไดแก คารโบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทารกยังมีความ
ตอ งการวติ ามนิ ชนดิ ตา งๆ เพื่อใหการทํางานของรางกายเปน ไปอยา งปกติ วติ ามินที่สําคัญไดแก
3.1 วิตามินเอ มีความสําคัญตอการเจริญเติบโตของรางกาย การปรับของสายตาในท่ีมืด
และการทาํ งานของเยื่อบุตางๆ เชน เยื่อผิวหนัง เยื่อบุของตา ทารก 6 เดือนแรก ถากินน้ํานมแมเพียง
อยางเดียวก็จะไดรับวิตามินเอท่ีพอเพียงตอการเจริญเติบโต เพราะโดยเฉล่ียในระยะ 6 เดือนแรก
นํ้านมแมจะประมาณ 750 มิลลิกรัมตอวัน และมีปริมาณวิตามินเอในนํ้านมมากกวา 50 ไมโครกรัม
ตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งเปนปริมาณที่เพียงพอกับทารกในขณะนั้น ดังนั้นคาเฉล่ียวิตามินเอท่ีเด็กทารก
ไดรับมีคาประมาณ 375 ไมโครกรัมตอวัน ซ่ึงคาน้ีเปนปริมาณวิตามินเอท่ีเพียงพอในแตละวัน และ
ทารกอายุ 6-11 เดือน ปริมาณนํ้านมจะลดลงโดยเฉล่ีย 650 มิลลิกรัมตอวัน แตเด็กทารกในชวงอายุ
นจี้ ะไดรับอาหารเสรมิ ตามวยั ดังนั้นความตอ งการวิตามนิ เอ 400 ไมโครกรมั ตอวัน
3.2 วิตามินดี ปริมาณวิตามินดีอางอิงที่ควรไดรับประจําสําหรับคนไทย แนะนําใหทารก
0-5 เดือนไดร ับวิตามนิ ดเี ทา กับ 5 ไมโครกรัม (200 หนวยสากล ตอ วัน) พบวาในชว ง 3 เดือนแรกหลัง
คลอดทารกไมมีปญหาเก่ียวกับการขาดวิตามินดีแมวาไดรับแสงแดดนอยและบริโภคอาหารที่มี
วิตามินดีนอย เนื่องจากทารกมีวิตามินที่ไดรับจากมารดาผานรกสะสมไวในรางกายในปริมาณท่ี
เพียงพอ แตหลังจากนั้นถาทารกไมไดรับวิตามินดีเสริมเลยจะมีโอกาสเกิดโรคกระดูกออนไดงาย
ดังนั้นจึงมีขอแนะนําสําหรับทารกอายุ 0-5 เดือน ที่ไดรับแสงแดดอยางพอเพียง (โดยทารกใสแต
ผาออม ถูกแสงแดดเปนเวลานาน 30 นาที่ตอสัปดาห หรือใหทารกสัมผัสแสงแดดสัมผัสเฉพาะท่ี
ใบหนาเปนเวลา 2 ช่ัวโมงตอสัปดาห) จะมีปริมาณวิตามินดีเพียงพอ แมวาจะบริโภคน้ํานมแมเปน
หลักก็สามารถผลิตวติ ามินดีไดอยา งพอเพียง แตส ําหรบั ทารกทไี่ ดรบั แสงแดดอยา งจาํ กดั หรอื มปี จ จยั
ท่ีทําใหเกิดภาวการณขาดวิตามินดี ทารกควรบริโภควิตามินดีอยางนอย 5 ไมโครกรัม (200 หนวย
สากล) ตอวัน แหลงวิตามินดีท่ีสําคัญในทารก คือ นมผงดัดแปลงสําหรับทารกที่เสริมวิตามินดี หรือ
วิตามินดีที่เตรียมไวในรูปของยา สําหรับทารกอายุ 6-11 เดือน ปริมาณวิตามินดีอางอิงที่ควรไดรับ
ประจําสําหรับคนไทย แนะนําใหทารก 6-11 เดือนไดรับวิตามินดีเทากับ 5 ไมโครกรัม (200 หนวย
สากล ตอวัน) ดังนั้นทารกจําเปนตองไดวิตามินในปริมาณท่ีเพียงพอเพ่ือความเจริญเติบโตของ
รางกาย วิตามินดีจําเปนตอการเจริญเติบโตของกระดูก ทารกควรไดรับประมาณวันละ 400 หนวย
สากล ซงึ่ จะไดจากนา้ํ นม และ ไขแ ดง
3.3 วิตามินบีหน่ึง ปริมาณวิตามินบีหน่ึงท่ีคณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารที่
ควรไดร บั ประจาํ วันสาํ หรับคนไทย พ.ศ. 2546 ไดแนะนําใหทารกอายุ 6-11 เดือน ควรไดรับวิตามินบี
หนึ่งเทากับ 0.3 มิลลิกรัมตอวัน สําหรับทารกอายุ 0-5 เดือน ท่ีด่ืมน้ํานมแม และแมเปนผูมีสุขภาพดี
315
ไมมีปญหาการขาดวิตามินบีหน่ึง ปริมาณวิตามินบีหน่ึงในนํ้านมแมเพียงพอแกความตองการของ
ทารก
การขาดวิตามินบีหน่ึงในทารกทําใหเกิดโรคเหน็บชา พบไดบอยไดทารกอายุ 2-3 เดือน โดย
มักพบในทารกทดี่ ืม่ นมแม และแมเปนผทู ี่กินอาหารทขี่ าดวิตามนิ บีหนงึ่
3.4 วิตามินบีสอง ทารกตองการประมาณวันละ 0.4 มิลลิกรัม ซึ่งทารกจะไดจาก น้ํานม
ผกั ใบสีเขียว และตับสตั ว
3.5 ไนอะซิน ทารกควรไดรับประมาณวันละ 4 มิลลิกรัม ซ่ึงปริมาณนี้จะไดเพียงพอจาก
นํ้านม แหลงอาหารทม่ี ีไนอะซนิ ในปรมิ าณสงู ไดแก เนื้อสตั วตางๆ เครื่องในสัตว ถ่ัวเมล็ดแหง รําขาว
และยีสต
3.6 วิตามินซี ทารกอายุ 6-11 เดือนจะตองการวิตามินซีวันละ 35 มิลลิกรัม สําหรับทารก
อายุ 0-5 เดือน การด่ืมน้ํานมแมจะไดรับวิตามินซีเพียงพอ สวนทารกที่ไมไดเล้ียงดวยน้ํานมแม ควร
ใหอ าหารท่มี วี ติ ามนิ ซีเพมิ่ ไดแ ก น้ําตมผัก หรอื นาํ้ สมค้นั
3.7 โฟลาซิน เน่ืองจากในระยะตั้งครรภแมมักไดรับโฟลาซินไมเพียงพอ ทําใหทารก
ไดรับโฟลาซินนอยดวย ในระยะน้ีจึงควรใหอาหารท่ีมีโฟลาซินมากแกทารก ซึ่งไดแก ตับสัตว ผักใบ
เขยี ว เปน ตน
4. ความตอ งการเกลือแร
ทารกจําเปนตอ งไดร บั เกลือแรต า ง ๆ เพ่ือความเจริญเติบโต ดงั ตอ ไปนี้
4.1 แคลเซียม คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคน
ไทย แนะนําใหทารกอายุ 0 – 5 เดือน การกําหนดปริมาณแคลเซียมในกลุมอายุน้ีโดยใชขอมูล
ปริมาณแคลเซียมท่ีไดรับจากน้ํานมแมเปนเกณฑในการพิจารณา จากการศึกษานํ้านมแมในกลุม
ของแมที่มีสุขภาพดีจํานวน 20 คน ท่ีจังหวัดราชบุรี ในป พ.ศ. 2526 พบวา ความเขมขนของ
แคลเซียมในน้ํานมแมใกลเคียงกับขอมูลของประเทศทางตะวันตก แตปริมาณน้ํานมแมเฉลี่ยตอวัน
ในเดือนท่ี 1, 3 และ 6 คอนขา งตาํ่ คอื มคี าเทากับ 442, 504 และ 446 มิลลิลิตร ตามลําดับ ท้ังน้ีการ
หาปริมาณนํ้านมแมในภาคสนามนั้นมีปจจัยกระทบคอนขางสูง เชน ความเครียดที่เกิดกับแม
เน่ืองจากการท่ีมีคนภายนอกเขามาอยูดวยตลอดเวลาเมื่อใหนมลูกอาจมีผลใหน้ํานมหลั่งนอยลงได
ดงั นั้นจึงใชขอมูลปริมาตรนํ้านมแมเฉล่ียตอวันจาก DRI ของประเทศสหรัฐอเมริกาคือ 780 มิลลิลิตร
ตอวัน แลวนํามาคูณกับคาเฉล่ียความเขมขนของแคลเซียม ในนํ้านมแมคนไทยซ่ึงเทากับ 28
มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร (เฉล่ียจากปริมาณแคลเซียมในน้ํานมแมในเดือนที่ 1, 3 และ 6 เทากับ
33, 26 และ 23 มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ตามลําดับ) ปริมาณแคลเซียมท่ีทารกไดรับจากนํ้านมแม
316
จะเทา กับ 212 มิลลิกรมั ตอวัน หลังจากนั้นปดตัวเลขเปนจํานวนเต็มซ่ึงมีคาเทากับ 210 มิลลิกรัมตอ
วนั และใชเปน ปริมาณแคลเซยี มทแี่ นะนําใหบรโิ ภคสําหรับทารกอายุ 0 – 5 เดอื น
ทารกอายุ 6 -11 เดือน การกําหนดปริมาณแคลเซียมที่ควรไดรับตอวันในกลุมอายุน้ีควรใช
ขอมูลปริมาณแคลเซียมท่ีไดรับจากน้ํานมแมและอาหารทารกตามวัยเปนเกณฑในการพิจารณา แต
เนื่องจากไมมีขอมูลเก่ียวกับปริมาณแคลเซียมในน้ํานมแมและอาหารทารกตามวัยของเด็กไทย
ในชวงอายุน้ี จึงพิจารณาปริมาณแคลเซียมท่ีควรไดรับตอวันในกลุมอายุนี้ตาม DRI ของประเทศ
สหรัฐอเมริกาเปนหลัก คือ 270 มิลลิกรัมตอวัน และเมื่อเปรียบเทียบกับขอมูลของประเทศอื่นๆ ใน
แถบเอเชีย ปริมาณแคลเซียมที่ควรไดรับตอวันของประเทศท่ีมีคาใกลเคียงไดแก ประเทศเกาหลีซึ่ง
กําหนดปริมาณแคลเซียมท่ีควรไดรับตอวันเทากับ 300 มิลลิกรัม ตารางท่ี 10.5 แสดงปริมาณ
แคลเซยี มท่คี วรไดร บั ตอวนั ของประเทศตา งๆ รวมทงั้ ประเทศไทย
4.2 เหล็ก ทารกในชวง 4 – 6 เดือนแรก ทารกจะอาศัยธาตุเหล็กที่สะสมในรางกายตั้งแต
ในระยะที่อยูในครรภมารดา รวมกับการไดรับธาตุเหล็กจากนํ้านมแม ทารกแรกเกิดมีปริมาณ
ฮีโมโกลบินสูงเนื่องจากทารกมีความตองการออกซิเจนในปริมาณมาก แตความสามารถในการสง
ออกซิเจนโดยฮีโมโกลบินของทารกต่ํา เพื่อใหรางกายปรับตัวใหสามารถสงออกซิเจนไดดีขึ้น เหล็ก
สวนหน่ึงจึงถูกสะสมไวในแหลงสะสมและจะถูกนํามาใชในชวงอายุ 4 – 6 เดือนแรก แตหลังจาก 6
เดือนแลว ธาตุเหล็กทีส่ ะสมไวจะถกู นาํ ไปใชจนหมด ดงั นั้นเหลก็ ท่ที ารกไดจากน้ํานมแมอยางเดียวจึง
ไมเพียงพอ ทารกจึงควรไดรับอาหารที่มีธาตุเหล็กเพ่ิมขึ้น อาหารที่มีธาตุเหล็ก ไดแก เนื้อสัตว เคร่ือง
ในสัตว เลือด ปริมาณธาตุเหล็กอางอิงท่ีควรไดรับสําหรับทารกอายุ 6 – 11 เดือน เทากับ 9.3
มิลลิกรัมตอวัน
5. ความตอ งการน้าํ
ทารกอายุ 0 – 5 เดือน ความตองการนํ้าในทารกแรกเกิดขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยาง
ทารกมีพ้ืนท่ีผิวกายมากเมื่อเทียบกับนํ้าหนัก มีปริมาณน้ําในรางกายและนํ้าที่หมุนเวียนใชภายใน
รา งกายมาก ขณะทไ่ี ตมีความสามารถจาํ กดั ในการขจัดนา้ํ และปริมาณสารละลายตางๆ ท่ีเปน ผลมา
จากเมตาบอลิซึมของโปรตีนน้ํานมแมมีปริมาณโปรตีนที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของทารกสวน
นมผสมมีโปรตีนสูงกวาในน้ํานมแม การไดรับโปรตีนสูงอาจทําใหทารกเกิดภาวะขาดน้ําอยางรุนแรง
ได เน่ืองจากทารกไมสามารถแสดงอาการกระหายนาํ้ และไมส ามารถบอกความตองการน้ําได
ความตองการนาํ้ ของทารกข้นึ กับปริมาณนํ้านมแมที่ไดรับในแตละวัน ทารกแรกเกิด-5 เดือน
ควรไดรับน้ําวันละ 1-1.5 มิลลิลิตรตอกิโลแคลอรีของพลังงานท่ีใช คิดเปนปริมาณน้ํา 750-1,125
มิลลิลิตรตอวัน ซึง่ เพียงพอสําหรับการเจริญเติบโตของทารก คาท่ีกําหนดนี้คํานวณมาจากอัตราสวน
317
ของนา้ํ ตอพลงั งานทีไ่ ดจ ากนา้ํ นมแมและไดม ีการนําสดั สวนนไ้ี ปใชในการเตรียมนมผสมสาํ หรับทารก
ดว ย ทารก 6 เดือน-1 ป ปริมาณนํา้ ท่คี วรไดร บั 800-1,200 มิลลิลติ รตอ วนั
ตารางที่ 10.5 ปรมิ าณแคลเซยี มท่คี วรไดร ับตอ วนั ของประเทศตา งๆ รวมท้ังของประเทศไทย
กลุม อายุ US DRI FAO/WHO ญ่ปี นุ จนี เกาหลี ไทย
พ.ศ. 2543 พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2543 พ.ศ. 2543 พ.ศ. 2546
ทารก (มก.ตอ วนั ) (มก.ตอ วัน) (มก.ตอวนั ) (มก.ตอ วนั ) (มก.ตอวัน) (มก.ตอ วัน)
0-6 เดอื น 210 300 (นมแม) 200(0-5 เดือน) 300 (0-5 เดอื น) 200 (นมแม) 210 (0-5เดือน)
400 (นมผง) 500(6-11 เดอื น) 400 (6-11 เดือน) (0–4 เดือน) 270 (6-11เดอื น)
7-12 เดอื น 270 300 (นมผง)
450 (0–4 เดือน) 500
300 (5–11 เดอื น) 800
เด็ก
500 1,000
1-3 ป 500 500 500 (1-5 ป) 600 600 (4-6 ป)
700 (7-9 ป) 1,000
4-8 ป 800 550 (4-6 ป) 600 (6-8 ป) 800(4-10ป)
800(10-12ป) 800
700 ( 7-9 ป) 900(13-19ป) 1,000
800
วัยรุน 800(10-19ป) 1,000
ผูชาย 700 (20ปขน้ึ ไป) 1,000
800
9-18 ป 1,300 1000 (10-18 ป) 700 (9-11ป) 1,000 (11-17ป) 700 (20ปขึน้ ไป) 1,000
800
900(12-14ป) 1,000
800(15-17ป) 1,100
ผหู ญิง
9-18 ป 1,300 1000 (10-18 ป) 700 (9-17ป) 1,000 (11-17ป)
ผูใหญ
ผชู าย
19-50 ป 1,000 750 (19-65ป) 700 (18-29ป) 800 (18-49ป)
> 50 ป 1,200 800 (65ปข ้นึ ไป) 600 (30ปข ้ึนไป) 1,000 (50ปขนึ้ ไป)
ผหู ญงิ
19-50 ป 1,000 750 600 800 (18-49ป)
> 50 ป 1,200 800 (18 ข้ึนไป) 1,000 (50ปข น้ึ ไป)
(หลงั หมดประจาํ เดอื น)
หญิงต้ังครรภ
> 18 ป 1,300 800 900 1,000 (ไตรมาสท2ี่ )
19-50 ป 1,000 (ไตรมาสท่ี 3) 1,200 (ไตรมาสท2่ี )
หญงิ ใหน มบุตร
> 18 ป 1,300 750 1,100 1,200
19-50 ป 1,000
ท่มี า (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสขุ , 2546,หนา 191)
318
นํ้านมแม
น้ํานมแมเปนอาหารที่ดีที่สุดสําหรับทารก มีสารอาหารที่จําเปนสําหรับทารก เชน เซลลเม็ด
เลือดขาว สารในระบบภูมิคุมกัน ฮอรโมน สารคัดหลั่งจากตัวแม ซึ่งจะมีประโยชนตอทารก ทารกท่ี
กินนมแมมีโอกาสเจ็บปวยนอยกวาทารกท่ีกินนมผสม และการเลี้ยงลูกดวยนมแมยังสานสาย
สัมพันธความรักและความอบอุนจากแมสูทารกเปนการเสริมใหทารกมีพัฒนาการอยางเต็ม
ประสิทธภิ าพ
น้ํานมของแมในระยะแรกเกิดจนถึงประมาณ 7 วันหลังคลอด น้ํานมมีสีเหลืองคอนขางขน
เรียกวา “นมเหลือง” (colostrum) ในวันแรกจะมีน้ํานมจํานวนนอยประมาณ 2 – 20 1 มิลลิลิตรตอ
ม้ือหรือประมาณ 40 – 50 มิลลิลิตรตอวันและคอยเพิ่มปริมาณเปน 200 – 400 มิลลิลิตรตอวันใน
ระยะวันท่ี 3 – 4 ถาทารกดูดนมอยางสม่ําเสมอถึงแมวานมเหลือง จะมีปริมาณนอย แตสําคัญอยาง
ย่งิ สําหรับการปรับตัวของทารกเกิดใหม พบวาทารกแรกเกิดมีโอกาสติดเช้ือประมาณรอยละ 10 ของ
การคลอด และหากไมมีสุขลักษณะท่ีดีจะมีโอกาสติดเช้ือสูงกวาน้ี การศึกษาในปากีสถาน และใน
สวีเดน พบวาการใหนํ้านมในระยะแรกเกิดสามารถลดภาวะการติดเช้ือในทารกแรกเกิด (neonatal
sepsis) ไดเนื่องจากมีปริมาณ immunoglobulin A (IgA) สูงมาก นอกจากน้ีนมเหลือง ยังมีปริมาณ
โปรตนี สูง แตปริมาณไขมนั และน้ําตาลแลก็ โทสต่ํากวานํา้ นมระยะหลงั (mature milk)
สว นประกอบของน้ํานมแม
นา้ํ นมแมม สี ว นประกอบท่สี ําคญั 2 สว น คือ
1. สารทเี่ กยี่ วของกบั การปกปองรา งกาย
ไดแก Immunoglobulin , เม็ดเลือดขาว, สารชวยในระบบยอย เชน เกลือนํ้าดี เอนไซม
และฮอรโมนตา งๆ
2. สารอาหารตา งๆ
สารอาหารตา งๆ ทีม่ ีอยใู นนํ้านมแมประกอบดวย
2.1. คารโบไฮเดรต โดยจะไดในรูปของน้ําตาลแล็กโทส นํ้านมแมมีแล็กโทสประมาณ 4
กรัม และเพิ่มเปน 6.2 – 7.2 กรัมตอ 100 มิลลิลิตร ในน้ํานมแมระยะหลัง โดยธรรมชาตินํ้าตาล
แลก็ โทสหรือ milk-sugar เปนน้ําตาลท่ีพบเฉพาะในนํ้านม ซึ่งนํ้านมมนุษยมีปริมาณนํ้าตาลแล็กโทส
สูงทีส่ ุดเมื่อเทยี บกับสัตวท่ีเลีย้ งลูกดว ยนมอนื่ ๆ น้ํานมววั ธรรมชาติจะมนี ้าํ ตาลแลก็ โทสเพยี ง 4.9 กรัม
ตอ 100 มิลลลิ ติ ร เม่อื น้ําตาลแลก็ โทสถูกยอ ยจะไดน าํ้ ตาลกาแล็กโทสและกลูโคส นาํ้ ตาลกาแลก็ โทส
เปนสวนประกอบสําคญั ของกาแล็กโทสลิพิดและซรี โี บรไซด ซงึ่ เปนสารสําคญั ในการพฒั นาสมอง
นอกจากน้ยี งั พบน้ําตาลโอลโิ กแซก็ คาไรด ซ่งึ เปน สารคารโ บไฮเดรตเชิงซอ น ประกอบดวย 5-
10 โมเลกุลของน้ําตาลเชิงเด่ียว ไมถูกยอยและดูดซึมในกระเพาะอาหารและลําไสเล็ก แตจะถูกยอย
319
ในลาํ ไสใหญ นา้ํ ตาลโอลโิ กแซก็ คาไรด ในนํ้านมมนุษยมีจํานวนมากกวา 100 ชนิด และมีปริมาณสูง
กวาในนํ้านมวัวเกิน 100 เทา ในนํ้านมแมยังพบน้ําตาลกลูโคส ในปริมาณเล็กนอย ประมาณ 0.2
กรมั ตอ 100 มลิ ลลิ ติ ร
2.2 ไขมัน ในนมน้ําเหลือง 100 มิลลิลิตร มีไขมันประมาณ 2 กรัม และจะเพ่ิมขึ้นเปน 4-
4.5 กรัมตอ 100 มิลลลิ ิตร ในนํา้ นมระยะปกติ นํา้ นมแมม ปี ริมาณมไี ขมนั ทค่ี อ นขางคงที่ อาหารที่แม
กินมีผลตอระดับไขมันในน้ํานมนอยมาก แตอาหารที่แมกินมีผลตอชนิดของกรดไขมันในนํ้านม
สวนประกอบของไขมันในนํ้านมแมมีไตรกลีเซอไรดประมาณรอยละ 98 ท่ีเหลือเปนฟอสโฟลิพิด
โคเลสเตอรอล ไดกลเี ซอไรด และโมโนกลเี ซอไรด เปนตน
กรดไขมันที่พบในน้ํานมแมสวนใหญเปนชนิดคารบอนท่ีมีขนาดกลางและยาว โดยเฉพาะ
อยางย่ิงกรดไขมันไมอ่ิมตัว ดังนั้นน้ํานมแมจึงเปนแหลงสําคัญของกรดไขมันที่จําเปน โดยเฉพาะ
ไขมันในกลุมโอเมกา-3 ไดแก กรดไลโนเลนิค (linolenic acid) กรดโดโคซาเฮกอิโนอิก
(docosahexaenoic) และโอเมกา-6 ไดแก กรดไลโนเลอิค (linoleic acid) กรดอะราชิโดนิค
(arachidonic acid) เปนตน ซึ่งกรดโดโคซาเฮกอิโนอิค และกรดอะราชิโดนิค เปนกรดไขมันท่ีจําเปน
สําหรับทารกในระยะ 6 เดือนแรก เพื่อใชในการพัฒนาระบบประสาทแลจอตาซึ่งเก่ียวกับการ
มองเห็น
สําหรับโคเลสเตอรอล พบวาในนํ้านมแมมีปริมาณโคเลสเตอรอลประมาณ 11-14 มิลลิกรัม
ตอ 100 มิลลิลิตร ระดับโคเลสเตอรอลในน้ํานมแมมีระดับคอนขางคงที่โดยไมขึ้นกับอาหารท่ีแมกิน
ดังนั้นโคเลสเตอรอลในนํ้านมแมจึงมีปริมาณท่ีเหมาะสมตอการเจริญเติบโตของทารก รวมทั้งในเด็ก
ทม่ี อี ายุ 2-5 ปแ รก ดังนัน้ จงึ ไมม ีการแนะนาํ ใหม ีการควบคมุ ปรมิ าณโคเลสเตอรอลในเด็กวยั ดงั กลา ว
2.3 โปรตีน ในนํ้านมแมมีปริมาณโปรตีนประมาณรอยละ 0.9 ซึ่งเปนปริมาณต่ําสุดเมื่อ
เทียบกับปริมาณโปรตีนของนํ้านมของสัตวอื่นๆ การท่ีน้ํานมแมมีปริมาณโปรตีนตํ่าเพื่อใหเหมาะสม
กับไตของทารกทีย่ ังทาํ งานไมเตม็ ที่ ในน้ํานมเหลอื งมีโปรตีน 1.6 กรมั ตอ 100 มลิ ลลิ ิตร
โปรตีนในน้ํานมแมมีสวนประกอบสําคัญคือเวย และเคซีน นํ้านมแมในระยะแรกๆ จะมีเวย
โปรตีนมากคดิ เปนสดั สว นเวยต อ เคซนี เทากับ 90:10 และลดลงเปน 80:20 และ 50:50 โปรตีนเวยใ น
น้ํานมแมประกอบดวย แอลฟา-แลคตันบูมิน (α - lactalbumin) เปนสวนประกอบหลักรวมกับแลค
โตเฟอริน เอนไซม ฮอรโมน เปนตน แตในน้ํานมวัวเปนเบตา-แลคโตโกบูลิน (β - lactoglobulin) ซ่ึง
ทําใหเกิดการแพได การท่ีนํ้านมแมมีโปรตีนเวยเปนสวนประกอบมากทําใหยอยงาย เคซีนในน้ํานม
แมเปนชนิดเบตาเคซีนซึ่งยอยงายตางจากเคซีนในนํ้านมวัวที่เปนแอลฟา-เคซีน ซ่ึงยอยยากกวา
อยางไรกด็ ไี ดม ีการปรบั ปรมิ าณโปรตนี เวยแ ละเคซีนในน้าํ นมผสมใหใกลเคียงกบั น้าํ นมแม
320
2.4 วิตามิน นํ้านมแมมีสวนประกอบของวิตามินท่ีละลายในน้ํา ไดแก วิตามินบีหนึ่ง
วิตามินบีสอง วิตามินบีหก วิตามินบีสิบสอง วิตามินซี ไบโอติน แพนโทเธนิก โฟเลท เปนตน แมท่ีมี
สขุ ภาพดีจะมีระดบั วิตามินทล่ี ะลายในนํา้ เพียงพอสําหรับทารก สาํ หรับ แมท ี่กนิ อาหารมังสวริ ตั อิ าจมี
ปริมาณวิตามินบสี บิ สอง และวติ ามนิ บหี ก ไมเ พยี งพอควรไดร บั การเสรมิ วติ ามนิ ดงั กลาว
2.4.1 วิตามนิ บีหก แมท ีม่ ีสุขภาพดจี ะมีระดบั วติ ามินบี 6 ในนํ้านมเพียงพอจนถึงลูก
อายุ 6 เดอื น สําหรับแมที่กินอาหารมังสวิรัติอยางเครงครัด แมท่ีคลอดลูกกอนกําหนดและแมท่ีมีการ
ใชยาคุมกําเนิดชนิดท่ีมีฮอรโมนเอสโตรเจนเปนระยะเวลานานจะมีระดับวิตามินบีหก ในนํ้านมต่ํา
กวานํ้านมของแมปกติโดยทั่วไปการใหแมไดรับวิตามินเสริม ในรูปวิตามินบีรวมท่ีมีวิตามินบีหก
ปริมาณ 4 มิลลิกรัมจะเพียงพอสําหรับทดแทนใหแมปกติ แตถาในกรณีที่จําเปนตองใหวิตามินบีหก
ในปริมาณสูงตองระวัง เน่ืองจากอาจไปกดการสรางฮอรโ มนโปรแลก็ ตนิ ทาํ ใหแ มม ีน้ํานมนอ ยลงได
2.4.2 วิตามินบีหน่ึง ระดับของวิตามินบีหน่ึง มีนํ้านอยในนมนํ้าเหลือง แตจะเพ่ิม
เปน 7-10 เทาในนํา้ นมปกติ ซ่ึงเพียงพอสําหรับความตองการของทารก แตในแมที่ขาดวิตามินบีหน่ึง
และมีอาการเหน็บชา ลกู จะมปี ญหาการขาดวิตามนิ บี 1 โดยจะแสดงอาการขาดภายใน 3-4 สัปดาห
หลังคลอด ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ยังพบแมท่ีมีปญหาการขาดวิตามินบีหนึ่ง
เนื่องจากวัฒนธรรมการอดอาหารหลังคลอดประกอบกับอาหารทองถิ่นมีสารขัดขวางการดูดซึม
วิตามินบีหน่ึง เชน เอนไซมไทอะมิเนส (thiaminase) ในปลาราดิบ anti-thiamin factor ในใบเมี่ยง
และผักใบออนบางชนิด เนื่องจากแมที่ใหนมลูกมีความเส่ียงตอการขาดวิตามินบีหนึ่ง จึงควรเนนให
ไดร บั อาหารท่ีมีวติ ามินบหี นง่ึ ใหเ พยี งพอและอาจเสรมิ วิตามินบีหนึ่ง วนั ละ 1-2 มลิ ลิกรัม
2.4.3 วิตามินซี ถาแมไดรับวิตามินซีจากอาหารประมาณวันละ 100 มิลลิกรัม
นํ้านมจะมีระดับวิตามินซีประมาณ 5-6 มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งถาทารกกินนมแมอยางเดียว
จะไดรับวิตามินซีประมาณ 20 มิลลิกรัมตอวัน ซ่ึงเพียงพอในการปองกันการเกิดโรคเลือดออกตาม
ไรฟน
2.4.4 วิตามินท่ีละลายไดในไขมัน เชน วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี วิตามินเค ซึ่ง
วิตามนิ ท่ีพบวามีปรมิ าณตา่ํ ในน้ํานมแมคอื วิตามนิ ดี และวติ ามินเค ในน้ํานมแมมีวติ ามนิ เค 0.1-0.4
ไมโครกรัม ตอ 100 มิลลิลิตร เน่ืองจากลําไสแรกคลอดมีเช้ือแบคทีเรียในลําไสใหญที่สังเคราะห
วิตามินชนิดน้ีไมมากพอตองใชเวลาหลายวัน ถึงแมวาในนํ้านมแมจะมีวิตามินเคนอยแตก็เพียงพอ
สําหรบั ทารก ถา ลูกไดรบั นา้ํ นมแมปรมิ าณมากพอตั้งแตระยะนมนํ้าเหลือง แตหากทารกมีปญหาโรค
เลือดออกที่มีสาเหตุมาจากการขาดวิตามินเคจําเปนตองใหทารกทุกรายไดรับวิตามินเคตั้งแตแรก
คลอด สวนวิตามินดี ในนํ้านมแมมีวิตามินดีในปริมาณนอยแตถาทารกไดรับน้ํานมต้ังแตแรกคลอด
และไดรับแสงแดดอยางเพียงพอ (อยางนอยสัปดาหละ 30 นาที ในขณะท่ีนุงผาออมหรือประมาณ 2
321
ช่ัวโมงในขณะที่ใสเส้ือผาปกติ) จะพบวาทารกมีระดับวิตามินดีเปนปกติ นอกจากน้ีในนํ้านมยัง
พบวามีวิตามินเอ และวิตามินอี ในน้ํานมแมมีวิตามินเอประมาณ 4 – 6 ไมโครกรัมเรตินอลตอ 100
มิลลิลิตร ถาแมขาดอาหารมากจะมีปริมาณวิตามินเอในนํ้านมลดลง วิตามินอี นํ้านมแมมีวิตามินอี
ประมาณ 24 ไมโครกรัมโทโคเฟอรอลตอ 100 มิลลิลิตร ดังน้ันการใหทารกแรกเกิดดื่มนมนํ้าเหลือง
จากแมตั้งแตแรกคลอดจะชว ยลดปญ หาการเกดิ ภาวะการขาดวติ ามินไดอยางมีประสิทธภิ าพ
2.5 เกลือแร ในน้ํานมแมมีปริมาณของแรธาตุนอย แตทารกสามารถดูดซึมไปใชไดสูง จึง
ทําใหทารกท่ีไดรับน้ํานมแมอยางถูกตอง มักไมขาดแรธาตุตางๆ แรธาตุท่ีมีความสําคัญไดแก ธาตุ
เหล็ก และแคลเซียม ในน้ํานมแมมีธาตุเหล็กประมาณ 0.3 – 0.5 มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งใน
ธรรมชาตินํ้านมแมจะมีปริมาณเหล็กนอยซึ่งนับเปนขอดีกลาวคือ ถามีธาตุเหล็กมากเกินไปจะไปจับ
กับแลคโตเฟอริน ทําใหคุณสมบัติในการตอตานเชื้อโรคตํ่าลง ปริมาณธาตุเหล็กน้ีไมข้ึนกับภาวะการ
ขาดธาตเุ หลก็ ในมารดา เนอื่ งจากธาตุเหล็กในนํ้านมแมถ กู ดดู ซึมไดถงึ รอ ยละ 50 นอกจากนที้ ารกยงั
ใชธาตุเหล็กท่ีสะสมอยูในตัวเองรวมดวย ทารกที่กินนํ้านมแมอยางเดียวถูกตองในระยะ 4 – 6 เดือน
แรกจะยังคงไดรับธาตุเหล็กเพียงพอ ธาตุท่ีสําคัญอีกธาตุหน่ึงคือ แคลเซียมมีประมาณ 25 – 30
มิลลิกรัมตอ 100 มิลลิลิตร ซึ่งระดับของแคลเซียมจะคอนขางคงท่ีตลอดระยะเวลาท่ีมารดาใหนม
บุตร ทารกสามารถดดู ซึมแคลเซียมไดรอยละ 40 – 70 ซึ่งมากกวาการดูดซึมแคลเซียมในน้ํานมวัวถึง
ประมาณสองเทา แคลเซียมในน้ํานมแมมาจากแคลเซียมท่ีสะสมในกระดูกของมาดา โดยมีกลไก
ชวยหมนุ แคลเซียมเขาและออกจากกระดูกของแมและลดการขับทิ้งทางปสสาวะ ดังน้ันในระยะท่ีแม
ใหนมลูกจึงอาจมีมวลกระดูกลดลงบางช่ัวคราวใน 3 – 6 เดือนหลังคลอด และจะคอยๆ เพิ่มข้ึนเปน
ปกติในภายหลัง
ประโยชนข องนํา้ นมแม
นมแม ถือเปนอาหารท่ีมีคุณคาที่สุดสําหรับทารก เนื่องจากมีสารอาหารที่ชวยในการ
เจริญเติบโตและพัฒนาระบบประสาท ชวยตอตานเช้ือโรค ทั้งยังมีความสะดวก ปลอดภัย ราคาถูก
ประโยชนข องการใหนมแมแกทารกมดี ังน้ี
1. ลดความเส่ียงตอการเจบ็ ปวย
ทารกท่ีกินน้ํานมแมจะมีความเสี่ยงตอการเจ็บปวยนอยกวาทารกท่ีไมเคยไดรับนํ้านมแม
ประมาณ 2 เทา โดยเฉพาะโรคท่ีเกิดจากการติดเช้ือ เชน โรคทางเดินหายใจ ทองเสีย เปนตน จาก
การศกึ ษาแบบ meta-analysis จํานวน 35 การศกึ ษาใน 14 ประเทศ ซ่ึงสว นใหญเ ปน ประเทศทก่ี าํ ลงั
พัฒนา พบวา ทารกที่ไดรับนํ้านมแมอยางเดียวในระยะ 4 เดือนแรก จะมีความเส่ียงตอการเจ็บปวย
หรือเสยี ชีวิตจากโรคตา งๆ นอยกวา ทารกทไ่ี ดรับนํา้ นมผสม ประมาณ 2 – 14 เทา นอกจากน้ีในทารก
322
ที่คลอดกอนกําหนดซ่ึงไดรับนํ้านมแมมีโอกาสเปนโรคลําไสอักเสบนอยกวาทารกคลอดกอนกําหนด
แตไมไดรับน้ํานมแมถึง 20 เทา ดังนั้นการเล้ียงลูกดวยนํ้านมแมจึงมีความสําคัญในการลดอัตราการ
เจบ็ ปวยของทารก
2. ลดความเสยี่ งตอการเปนโรคภมู ิแพ
ทารกอายุ 4 – 6 เดือนมีเยื่อบุลําไสไมแข็งแรง การเกาะยึดระหวางเซลลยังหลวมอยู และ
นา้ํ ยอ ยอาหารยังพัฒนาไมเต็มท่ี หากไดรับอาหารท่ีมีโปรตีนแปลกปลอม เชน โปรตีนในนมผสมหรือ
อาหารอ่ืนๆ ทารกจะไมสามารถยอยหรือกําจัดออกได เปดโอกาสโปรตีนเหลาน้ีหลุดไปกระตุนระบบ
ภูมิคุมกันของทารก กอใหเกิดภาวะภูมิแพได ดังนั้นน้ํานมแมลดโอกาสการเกิดปญหาภูมิแพได
เนื่องจากโปรตีนในน้ํานมแมเปนโปรตีนของมนุษย นอกจากน้ีนํ้านมแมยังมีสารภูมิคุมกันโดยเฉพาะ
IgA และสารตอตานการอักเสบตางๆ ซ่ึงปกปองเย่ือบุทางเดินอาหารทําใหลดความเส่ียงตอการ
กระตนุ ใหเ กิดภูมิแพโ ดยสารแปลกปลอมได
จากการศึกษาพบวาการไดกินนํ้านมแมอยางเดียวในระยะน้ีและไดรับนํ้านมแมรวมกับ
อาหารเสริมอื่นในชวงอายุตอไป จะชวยลดความเสี่ยงตอโรคภูมิแพในทารกปกติและทารกที่มี
กรรมพันธุเ สย่ี งตอ การเกดิ ภูมิแพถึงแมวาจะหยุดไดรับน้ํานมแมแลว นับเปนการปองกันเบื้องตนท่ีจะ
ชวยลดความเสีย่ งตอการเกดิ ภมู แิ พไ ดใ นระดบั หนึ่ง
3. สงเสรมิ การพฒั นาดานการเรยี นรูและอารมณ
ทารกท่กี นิ น้ํานมแมจะไดรับโอกาสพัฒนาดา นการเรียนรแู ละอารมณไดดีในระยะเริ่มแรก
ของชีวิต เน่ืองจากไดรับสารอาหารที่มีคุณคา มีการเล้ียงดูอยางใกลชิด และมีการเจ็บปวยนอย มี
การศึกษาหลายการศึกษาที่แสดงใหเ ห็นวาการเลี้ยงลูกดวยนมแมมีสวนชวยใหความสามารถในการ
เรียนรูของทารกดีข้ึน แตการเลี้ยงลูกดวยนมแมก็ไมใชเปนตัวชี้ขาดวาจะทําใหความสามารถในการ
เรยี นรูดีท้ังหมด พบวาความสามารถในการเรียนรูขนึ้ กับกรรมพันธุประมาณรอยละ 50 ที่เหลือจะเปน
ผลมาจากอาหารและการเลี้ยงดูท่ีเหมาะสม การเลี้ยงลูกดวยนมแมจึงเปนเหมือนการใหอาหารและ
การเล้ียงดูท่ีเหมาะสมในระยะเริ่มตนของชีวิต ซึ่งเปนระยะที่รางกายมีการเจริญเติบโตสูงสุด
โดยเฉพาะสมอง หลังจากน้ันการเล้ียงดูและการกระตุนพัฒนาการที่เหมาะสมตามวัยอยางตอเน่ือง
จะสงผลใหเกดิ ผลดใี นระยะยาว
323
การใหอ าหารเสรมิ แกทารกที่เหมาะสม
นมแมเปนอาหารที่ดีท่ีสุดสําหรับทารก สารอาหารในนมแมมีลักษณะเฉพาะ เชน มีโปรตีน
เวยท่ียอยงาย มีไนโตรเจนท่ีไมใชโปรตีนสูง มีกรดไขมันท่ีชวยการเจริญของสมอง และมี
คารโบไฮเดรตโมเลกุลเล็กท่ีชวยสรางเสริมภูมิคุมกันโรค แตเมื่อถึงอายุหน่ึง นํ้านมแมอยางเดียวไม
สามารถใหส ารอาหารไดเพยี งพอกบั ความตองการของทารกจึงจําเปนตองไดรับจากอาหารเสริม เพื่อ
ทารกจะไดรบั สารอาหารตางๆ สาํ หรับการเจรญิ เติบโตและพฒั นาการอยางเตม็ ที่
ตั้งแตป ค.ศ. 1979 องคการอนามัยโลกกําหนดใหอาหารเสริมหลังนมแมอยางเดียว 4-6
เดือน การเร่ิมใหอาหารเสริมชาเกินไปอาจทําใหเกิดภาวะทุพโภชนาการ เนื่องจากทารกไดรับ
พลังงานและโปรตนี ไมเพยี งพอ ขณะเดียวกันการไดรับอาหารเสริมเร็วเกินไปทําใหอัตราการเจ็บปวย
และอัตราการตายสูงข้ึนจากการติดเช้อื เชน โรคอจุ จาระรวง ปจจุบันมีหลักฐานที่แสดงถึงคุณคาของ
นมแม และสนบั สนนุ วา การใหนมแมอยางเดียว 6 เดือนมีผลดีตอสุขภาพของทารกเพ่ิมมากขึ้น ในป
ค.ศ. 2002 องคการอนามัยโลกไดกําหนดใหเร่ิมใหอาหารเสริมคร้ังแรกแกทารกเม่ืออายุ 6 เดือนข้ึน
ไป ในทารก 4-6 เดือน ท่ีไดรับนมแมเพียงอยางเดียวแตนํ้าหนักไมขึ้นตามเกณฑ ท้ังที่ไดรับนมแม
อยางเหมาะสม และทารกยังแสดงอาการหิว ใหพิจารณาใหอาหารเสริมเพ่ิมเติม แตไมใหบอยมาก
เกินไปจนไดน มแมล ดลงหรือทาํ ใหเ กิดการหยานมแมเร็วเกินไป (กุสมุ า ชูศิลป, 2546, หนา 262)
ความหมายของอาหารเสรมิ
ไดมีผใู หความหมายของคําวา อาหารเสริม ไวดงั นี้
กุสุมา ชูศิลป (2546,หนา262) กลาววา อาหารเสริม (complementary foods) หมายถึง
อาหารและเครื่องดื่มท่ีมีคุณคาสารอาหารท่ีใหทารกขณะท่ีใหนมแม การกําหนดแนวปฏิบัติเนน 1)
เวลาท่ีเหมาะสม 2) ปริมาณพลังงานและสารอาหารท่ีทารกตองการ 3) ความหนาแนนของพลังงาน
และสารอาหารในอาหารเสริมท่ีเหมาะสม และ 4) การใหอาหารที่สะอาด ปลอดภัย และเสริม
พัฒนาการดา นจิตใจและสงั คม
เรืองวทิ ย ตนั ติแพทยางกรู (2548,หนา146) กลาววา อาหารเสริม หมายถึง อาหารท่ีใหเสริม
สาํ หรับทารกในชวงเร่มิ ละนม ตงั้ แตอายุ 4-6 เดือน ไปจนถึง 1-2 ป โดยไมรวมความถึงอาหารเสริมท่ี
รับประทานเพอ่ื เสรมิ สรางสุขภาพ ท้ังในเด็กหรือผใู หญ
องคการอนามัยโลก (WHO) ใหคํานิยามของอาหารเสริม คือ อาหารอ่ืนที่ไมใชนมแม ไมวา
จะเปนอาหารแข็งหรือของเหลว ซึ่งใหแกทารกเพ่ือเสริม (รวมกับ) นมแม เพื่อใหทารกไดรับคุณคา
ทางโภชนาการพอเพยี งแกว ยั
324
กองทุนเพ่ือเด็กแหงสหประชาชาติ (United Nations Children’s Fund ; UNICEF) ใหคํา
นิยามของอาหารเสริม คือ อาหารสําหรับเด็กเล็กซ่ึงบริโภคแลวดูดซึมไดงาย และใหคุณคาทาง
โภชนาการพอเหมาะกับการเจริญเติบโตของเด็กหลังอายุ 6 เดือน หมายรวมถึงอาหารหรือของเหลว
ใดๆ ซึ่งไมใชนมแม ซง่ึ ใหแ กเ ดก็ ในระยะนีด้ ว ย
จากความหมายของคําวา อาหารเสริม ที่มีผูกลาวไวหลายทานน้ัน สรุปไดวา อาหารเสริม
(complementary foods) หมายถงึ อาหารท่ใี หกับทารกท่ีมีอายุต้ังแต 4 เดือน ไปจนถึง 1 ป โดยเปน
อาหารท่ีมคี ณุ คาทางโภชนาการใหพ ลังงานและสารอาหารทีเ่ หมาะกบั ความตองการของทารก แตไม
รวมถึงน้ํานมแม และกระตุนใหเกิดพัฒนาการทางดานระบบประสาท กลามเน้ือ และทักษะทาง
สงั คมไดเหมาะสม โดยอาหารเสรมิ ท่ีใหจะใหเพอ่ื เสรมิ หรือใหร วมกบั นมแมก ไ็ ด
ลักษณะของอาหารเสริมที่เหมาะสมกับทารก
อาหารเสริมทดี่ ี ควรเปนอาหารท่ีมคี วามหลากหลาย ครบทัง้ 5 หมู มคี ุณคาทางโภชนาการที่
เพียงพอกับความตองการของทารกในแตละชวงอายุ ลักษณะอาหารเสริมของทารกควรจะคอยๆ
เปล่ียนจากลักษณะเหลวหรือเกือบเหลวมาเปนอาหารก่ึงแข็งกึ่งเหลว จนเปนอาหารแข็ง ในชวงกอน
เขาระยะรับประทานอาหารแบบผูใหญ หรือเมื่อทารกมีอายุประมาณ 1 ป องคการอนามัยโลก ได
แนะนําวธิ กี ารใหอ าหารเสรมิ ทีเ่ หมาะสมสําหรับทารกไวดงั น้ี
1. ถกู เวลา
การใหอาหารเสริมควรใหเม่ือทารกมีความตองการพลังงานและสารอาหารเกินกวาท่ี
ทารกจะไดรับจากนมแม ซ่ึงในป ค.ศ. 1979 องคการอนามัยโลกกําหนดใหอาหารเสริมหลังไดนมแม
อยางเดียว 4-6 เดือน การใหอาหารเสริมชาอาจทําใหทารกเกิดปญหาภาวะทุโภชนาการเนื่องจาก
ทารกไดร บั พลังงานและโปรตีนไมเ พยี งพอ และในขณะเดียวกันการใหอาหารเสริมแกทารกเร็วเกินไป
ทาํ ใหท ารกมีอัตราการเจ็บปว ยและอตั ราการตายสูงขึ้นจากการติดเชื้อ เชน โรคอุจจาระรวง และในป
ค.ศ.2002 องคการอนามัยโลกไดกําหนดใหเร่ิมอาหารเสริมคร้ังแรกเมื่อทารกมีอายุ 6 เดือนข้ึนไป
โดยทที่ ารกอายุ 4-6 เดือนที่ไดรับนํ้านมแมอ ยางเดียวแตน้ําหนกั ไมข ้นึ ตามเกณฑ ท้ังท่ีไดรับนํ้านมแม
อยางเหมาะสมและทารกแสดงอาการหิวใหพิจารณาใหอาหารเสริมเพ่ิมเติมได แตไมใหบอย
จนเกินไป
2. พอเพียง
อาหารที่ดีตองมีปริมาณพลังงาน โปรตีน และสารอาหารกลุมวิตามินและเกลือแรที่
เพียงพอตอความตองการของทารก ตารางท่ี 10.3 แสดงปริมาณพลังงาน และจํานวนโปรตีนที่ทารก
325
ควรไดรับ โดยทารกอายุ 6-8 เดือน ตองการอาหารเสริมนอกเหนือจากนมแมในปริมาณ 269
กิโลแคลอรตี อ วนั และทารกอายุ 9-11 เดอื น ตอ งการอาหารเสริมในปรมิ าณ 451 กโิ ลแคลอรีตอวัน
3. ปลอดภยั
อาหารเสริมควรเปนอาหารที่หาไดงายในทองถิ่นนั้นๆ โดยจะตองเปนอาหารท่ีถูกเตรียม
และจัดเก็บอยางถูกสุขลักษณะ อุปกรณท่ีใชในการปอนอาหารแกทารกตองเหมาะสมกับอายุและ
พัฒนาการของทารกรวมทั้งตองสะอาด ปราศจากเชื้อโรค และควรสอดคลองกับวัฒนธรรมของ
ทองถิน่ และผูใหอาหารจะตองลางมอื ใหสะอาดกอนเสมอ
สําหรับทารกที่มีประวัติภูมิแพในครอบครัวหรือมีความไวตอการแพอาหาร ควรชะลอการให
อาหารเสริมแกทารกไปจนถึงอายุ 6 เดือน และไมควรใหนมวัวกอนอายุ 1 ป รวมท้ังชะลอการใหไข
จนถึงอายุ 2 ป หรือชะลอการใหถ ่วั ลิสง ถัว่ เปลอื กแขง็ และเน้ือปลาจนถงึ อายุ 3 ป ถา เดก็ มอี าการแพ
นมววั ควรใหเดก็ กินนมแมอยางเดยี วจนถึง 6 เดือน และแนะนําใหแมงดนมวัว เพราะโปรตีนในนมวัว
สามารถผานทางนมแมไ ปสทู ารกได
4. ปอ นอยางพอดี
ตองปอนอาหารใหสอดคลองกับความหิวและอิ่มของทารก ปริมาณอาหาร จํานวนมื้อ
และวิธีการปอนอาหารตองเหมาะสมกับอายุของทารก ผูปอนอาหารใหทารกควรเปนคนที่ทารกมี
ความรูสึกคุนเคย ไวใจ และมีความสัมพันธอันดี และเขาใจความตองการของทารก สามารถ
ตอบสนองความตองการไดท นั ทวงทที ง้ั ทางรางกายและอารมณ
การจัดอาหารเสริมท่ีถูกตองตามวัย เปนส่ิงท่ีจะกระตุนใหทารกมีพัฒนาการท่ีดี อาหารเสริม
จะเริ่มใหกับทารกเมื่อทารกมีอายุ 6 เดือน โดยจัดใหแทนนํ้านมแม 1 ม้ือ และเมื่ออายุทารกเพิ่มมาก
ข้ึนอาหารเสริมจะกลายเปนอาหารหลักแทนน้ํานมแม (ตารางที่ 10.6) สิ่งที่ตองระวังในการเตรียม
อาหารเสริมใหทารกคือ อาหารตองมีคุณคาทางโภชนาการ เหมาะสมตามวัย มีการเตรียม ปรุงที่
สะอาด ปราศจากเช้ือโรค นอกจากนี้ภาสชนะทีน่ าํ มาใชก บั ทารกตองสะอาดดวยเชน กัน
326
ตารางที่ 10.6 ประเภทของอาหารเสริมที่ทารกควรไดรับใน 1 วนั
ประเภทของอาหารเสริม
อายทุ ารก จาํ นวนม้ือ ขา ว ไขแ ละเนื้อสตั ว ผัก ผลไม
อาหารเสริม
นมแมและ ขาวบดละเอียด ไขแดงคร่ึงฟอง ผั ก สุ ก บ ด ค ร่ึ ง ผลไมสุก 1-2 ช้ิน
6 อาหารเสริม 3 ชอ นกินขาว สลับกับตับบด 1 ช อ น กิ น ข า ว ไดแก มะละกอ
เดอื น 1 มอ้ื ชอนกินขาว หรือ ไดแก ผักตําลึง สุก หรือมะมวง
เน้ือปลา 2 ชอน ผั ก ก า ด ข า ว สุ ก ส ม ห รื อ
กนิ ขาว ฟก ทอง เปน ตน กลว ยนา้ํ วาสุก
นมแมแ ละ ขาวบดละเอียด ไขทง้ั ฟองสลับกับ ผักบด 1 ½ ชอน ผลไมส ุก 2-3 ช้ิน
7 อาหารเสริม 4 ชอนกินขาว เน้ือปลา 2 ชอน กินขา ว
เดือน
1 ม้ือ กินขาว หรือ เนื้อ
ห มู 2 ช อ น กิ น
ขา ว
อาหารเสริม ข า ว หุ ง นิ่ ม ๆ 5 ไ ข ทั้ ง ฟ อ ง แ ล ะ ผักสุกหั่น 2 ชอน ผลไมสุกเน้ือน่ิม
2 มอ้ื ชอนกินขาว แบง เนื้อสัตว 2 ชอน กินขาว แบงเปน วั น ล ะ 3-4 ชิ้ น
และกนิ นมแม กิ น ม้ื อ ล ะ 2-3 กินขาว โดยแยก 2 ม้ือ โดยใหชนิด เชน มะละกอ สม
8-9 ตามจนอม่ิ ชอนกินขาว ไม เปน 2 มื้อ เชน ของผักตางๆ กัน กลว ย เปน ตน
เดือน ตองบดละเอียด ม้ือเชาเปนไข มื้อ ไปในแตละมอื้
มากนัก เพราะ ถั ด ม า เ ป น เ นื้ อ
ฟน เด็กเริม่ ขึน้ ปลา หรือหมู 2
ชอ นกินขาว
อาหารเสริม ข า ว หุ ง น่ิ ม ๆ 5 ไ ข ท้ั ง ฟ อ ง แ ล ะ ผั ก สุ ก ช นิ ด ผลไมสุก ไดแก
3 มือ้ ชอนกินขาว กิน เน้ือสัตว 2 ชอน ต า ง ๆ กั น ห่ั น 2 ม ะ ล ะ ก อ สุ ก
10-12 และกินนมแม 1 วัน ใหแบงกิน3 กินขาว โดยแยก ชอนกินขาว ก ล ว ย สุ ก ส ม
เดอื น ตามจนอม่ิ ม้ือ เปน 3 มื้อ ใหมี หลังอาหารทุกมือ้
เน้ือหมู ปลา ไก
และตบั สลบั กนั
ที่มา (ดัดแปลงจาก กสุ ุมา ชูศิลป, 2546, หนา 265-266)