177
กรดเบตา – ไฮดรอกซีบิวทิลิกมีคุณสมบัติเปนกรด หากมีคีโตนบอดีสูงในเลือดจะทําใหเกิดภาวะ
ความเปน กรดในรา งกาย เรียกวา คีโตแอซิโดซสิ (Ketoacidosis) อันตรายท่ีตามมา คือ ผูปวยจะมี
อาการออนเพลีย เบ่ืออาหาร คลื่นไสอาเจียน ปวดตามกลามเนื้อ กระหายน้ํามาก ปสสาวะบอย
ผวิ แหง ปากแหง อาจหมดสตแิ ละตายในที่สุด
3.2 สะสมในรูปไขมันตามสวนตางๆ เมื่อรางกายมีพลังงานเหลือใชจะถูกเก็บไว
ในรูปของไตรกลีเซอไรดในเซลลไขมัน ไขมันในรางกายไมไดมาจากไขมันจากอาหารท้ังหมด ตับ
สามารถสังเคราะหไขมันไดจากคารโบไฮเดรตและสารอื่นๆ ที่เปลี่ยนไปเปนไขมันได ไขมันใน
รางกายจะอยูรวมเปนกลุมกอน สวนใหญสะสมอยูใตผิวหนังและบริเวณแขน ขา และท่ัวรางกาย
เน้ือเย่ือที่เก็บไขมันไวมากนอกเหนือไปจากไขมันใตผิวหนัง คือ เน้ือเยื่อระหวางกลามเน้ือ เนื้อเย่ือ
รอบๆ หัวใจ ไต ตับ รังไข ระบบอวยั วะในชองทอ ง และที่เยอ่ื บชุ องทอง ซ่งึ มีเซลลไ ขมันอยูมาก
3.3 สังเคราะหสารตางๆ เชน ไขมันบางสวนจะถูกนําไปสรางเปนสวนตางๆ รวม
กับโปรตนี เชน เซลลเ มมเบรนและฮอรโมน
ไขมัน
กรดไขมัน กลเี ซอรอล
กระบวนการไกลโคไลซลิ
กระบวนการเบตา-ออกซเิ ดชนั
อะซตี ลิ โคเอนไซมเ อ
เขากระบวนการ สงั เคราะห สังเคราะห สงั เคราะห
สลายใหพ ลงั งาน กรดไขมนั ชนดิ ใหม คโี ตนบอดี คอเลสเทอรอล
ภาพที่ 6.6 เมตาบอลซิ ึมของไขมัน
ท่ีมา (นติ ยา ตั้งชรู ัตน. 2548, หนา 214)
178
ผลจากการไดร ับไขมนั ไมส มดุล
การไดรับไขมันในปริมาณมากและนอยเกินไป มีผลกระทบตอรางกาย ผลจากการ
ไดรับไขมนั ไมส มดลุ แบง ออกเปน
1. ผลจากการไดร ับไขมันนอย
โรคท่ีเกิดจากการขาดไขมันหรือการขาดไขมันท่ีนําไปสูการไดรับวิตามินท่ีละลาย
ไขมนั ไมเพียงพอมักไมคอยปรากฏในคน แตในกรณีที่ไดรับกรดไขมันจําเปนไมเพียงพอ อาจทําให
เกิดโรค eczema พบมากในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กเล็กที่ไดรับกรดไลโนเลอิคนอยกวารอยละ 0.1
ของพลังงานท้ังหมดตอวัน อาการท่ีปรากฏผิวหนังจะเปลี่ยนมีลักษณะบางลง ตกสะเก็ด ถาอยูใน
บริเวณท่ีเสียดสีบอยๆ จะเกิดการอักเสบทําใหติดเชื้องาย ถามีบาดแผลจะหายชา นอกจากนี้การ
เติบโตชะงัก เสนผมหยาบ จํานวนของเกล็ดเลือดลดต่ําลง ไขมันค่ังในตับ ในเด็กที่กินนมแมหรือ
กินนมชงตามความตองการจะไดรับไขมันครบเพราะในนํ้านมคนและนํ้านมวัวจะมีกรดไลโนเลอิค
สูง วิธีรักษาน้ันคือ ถาเปนมากจะใหกรดอะราชิโดนิก ในเสนเลือดหรือกลามเนื้อ แตถาอาการไม
รุนแรงจะใหท างปาก
นอกจากนี้ยังพบลักษณะการผิดปกติของการใชประโยชนจากโคเลสเตอรอล โดยปกติ
กรดไลโนเลอคิ จะชว ยการละลายและควบคุมปรมิ าณของโคเลสเตอรอลในเลือด ดังน้ันถาขาดกรด
ไขมันท่ีจําเปนจะเปนสาเหตุใหโคเลสเตอรอลสะสมในเลือดมากเกินไปอาจเปนสาเหตุใหเกิด
โรคหัวใจ
2. ผลการไดรับไขมนั มากเกนิ ไป
การบริโภคอาหารไขมันในปริมาณท่ีมากเกินไปจะทําใหนํ้าหนักข้ึนอยางผิดปกติ
และทําใหอวนไดถ าบริโภคอาหารท่ีใหพลังงานมากเกินความตองการของรางกายและในกรณีของ
คนอวน การบริโภคอาหารไขมันมากเกินไปจะเปนสาเหตุทําใหการยอยและการดูดซึมชากวาปกติ
และมีผลทําใหอาหารไมยอย ในกรณีที่ขาดคารโบไฮเดรตรวมกับการขาดน้ําในอาหารท่บี ริโภคหรอื
การทาํ งานของไตผิดปกติ การเมตาบอลิซมึ ของไขมนั จะเปนไปอยางไมสมบูรณ และทําใหเกิดการ
เปน พิษแกร างกาย โรคทร่ี จู กั กันแพรหลายอนั มีสาเหตเุ นือ่ งมาจากการไดรบั ไขมนั มากเกินไปคือ
2.1 โรคอวน หมายถึง โรคที่เกิดจากรางกายมีการสะสมของเน้ือเย่ือไขมัน
มากกวาเกณฑปกติ โดยท่ัวไปจะมีไขมันสะสมมากกวารอยละ 25 – 30 ของน้ําหนักรางกาย ผูที่
เปนโรคอวนจะเส่ียงตอการเปนโรคหลายชนิด เชน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจขาดเลือด โรค
นิว่ ในถุงนํา้ ดี โรคเบาหวาน โรคไขมันสงู ในเลอื ด โรคขอ อักเสบและโรคมะเรง็ บางชนิด
179
โรคอวนทมี่ ผี ลรายแรงตอสขุ ภาพมี 3 ประเภท คอื
1. อวนทั้งตัว (overall obesity) เปนผูที่มีไขมันในรางกายมากกวาปกติ โดยมิได
จาํ กดั อยทู ห่ี นึ่งทใี่ ดโดยเฉพาะ
2. อวนลงพุง (visceral or abdominal obesity) เปนผูที่มีไขมันของชองอวัยวะ
ชองทองมากกวา ปกติ โดยมไี ขมนั ใตผิวหนังหนาทองเพ่ิมมากขนึ้
3. อวนท้ังตัวรวมกับอวนลงพุง (combined overall and abdominal obesity)
เปน ผทู อ่ี วนท้ังตวั และอวนแบบลงพุงดวย
สาเหตุของโรคอวน
สาเหตุของการเกิดโรคอว น มดี วยกนั หลายสาเหตุ ดังน้ี
1. บริโภคอาหารมากเกินความตองการของรางกายและออกกําลังกายนอย ทําให
อาหารทีเ่ ปนสว นเกินเปลยี่ นเปนไขมนั สะสมในรา งกาย
2. ความผิดปกติในการทํางานของตอมไรทอตางๆ เชน ตอมธัยรอยด ทําใหผลิต
ฮอรโมนไฮรอกซนิ (thyroxine) นอ ยกวาปกติ จงึ ทําใหมกี ารสะสมของอาหาร
3. ความผิดปกติของระบบประสาทสวนกลาง คือ ไฮโปทาลามัส (hypothalamus)
ซึ่งอาจเนื่องมาจากความผิดปกติท่ีศูนยกลางความอยาก หรือศูนยกลางความอ่ิม ความผิดปกติที่
เกิดขนึ้ นี้อาจเน่ืองมาจากความผิดปกติมาแตก ําเนิด หรือเปน กรรมพันธุ หรอื เนื่องจากอบุ ตั ิเหตุ
4. กรรมพันธุมีขอมูลสนับสนุนวาอาจเกิดการถายทอดทางกรรมพันธุโดยตรง
อันตรายจากโรคอว น
5. คนท่ีเปนโรคอวนท่ีเปนอยูนาน และไมไดรับการรักษาที่ถูกตอง จะมีอัตราพิการ
และอตั ราการตายสงู กวาคนทมี่ ีนาํ้ หนกั ปกติ เนื่องมาจากโรคแทรกซอ นตา งๆ
6. คนท่ีเปนโรคอวนจะมีโรคแทรกซอนตางๆ ตามมามาก เชน โรคความดันโลหิตสูง
โรคเบาหวาน โรคหวั ใจขาดเลือด โรคนว่ิ ในถุงนํ้าดี โรคขอ อักเสบ เปนตน
การวนิ จิ ฉยั โรคอวน
ในทางปฏิบัติทั่วไปนิยมใชว ิธตี อ ไปนี้คือ
1. การชัง่ น้ําหนักและการวัดสวนสงู
โดยชัง่ นา้ํ หนกั ตัวในขณะทส่ี วมเส้ือผาบางๆ และวัดสว นสงู โดยไมสวมรองเทา นํา
คานํ้าหนักตัวที่วัดไดมาเทียบกับตารางน้ําหนักมาตรฐานของแตละระดับความสูง เกณฑการตัดสิน
คือ นํ้าหนักตัวท่ีมีคาระหวางรอยละ 90 – 109 ของนํ้าหนักตัวมาตรฐาน ซึ่งก็คือน้ําหนักท่ีควรเปน
ถอื วา ปกติ นา้ํ หนักตวั รอยละ 110 – 119 ของน้ําหนักตัวมาตรฐานถือวามีน้ําหนักเกิน และน้ําหนัก
180
ตัวตั้งแตรอยละ 120 ของน้ําหนักตัวมาตรฐานขึ้นไปจัดวาเปนโรคอวน สวนผูท่ีมีคาต้ังแตนํ้าหนัก
ตัวรอ ยละ 89 ลงมาจดั เปนผทู ี่มนี ํ้าหนกั ตัวนอย และอาจเปนโรคขาดโปรตีนและพลังงานได
2. การคํานวณหาดัชนีความหนาของรางกายหรือดัชนีมวลกาย (body mass
index,BMI)
โดยการช่ังน้ําหนักตัวเปนกิโลกรัมและวัดสวนสูงเปนเมตรแลวนําไปคํานวณโดย
ใชส ูตรน้าํ หนักตัวเปนกโิ ลกรัม หารดวยสวนสูงเปนเมตรยกกําลงั สอง
BMI = นํา้ หนักตวั เปน กโิ ลกรัม
(สว นสูงเปนเมตร)2
คา BMI มีความสัมพันธคอนขางสูงกับปริมาณไขมันในรางกาย ซ่ึงมีประโยชนนํามา
วินิจฉัยโรคอวนในผูใหญ ผูที่มีน้ําหนักอยูในเกณฑปกติมีคาดัชนีความหนาแนนในรางกายอยู
ระหวาง 18.5 – 24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร ถามีคาเทากับหรือมากกวา 25 กิโลเมตร/ตารางเมตร
แสดงวาเปนโรคอวน คือมีภาวะโภชนาการเกิน ถาต่ํากวา 18.5 กิโลกรัม/ตารางเมตร แสดงวามี
ภาวะโภชนาการต่ํากวา ปกติหรอื ผอม (ตารางท่ี 6.3)
ตารางท่ี 6.3 คาดชั นคี วามหนาของรางกายทสี่ ภาวะโภชนาการตางๆ
สภาพรา งกาย คาดชั นีความหนาของรางกาย (ก.ก./ม2)
ปกติ 18.5 – 22.9
น้ําหนกั นอ ยกวาปกติ <18.5
ภาวะโภชนาการเกิน 23-29.9
โรคอว น > 30
3. การวดั เสนรอบวงเอว (Waist circumference)
เปนวิธีที่วัดงายมีความสัมพันธใกลชิดกับดัชนีมวลกวย แตไมสัมพันธกับสวนสูง
เปนดัชนีที่คาดคะเนมวลไขมันในชองทองและในรางกายท้ังหมด แตยังไมมีการกําหนดเกณฑ
สากล เพื่อตัดสินโรคอวนลงพุงโดยเสนรอบวง จากการศึกษาในประเทศเนเธอรแลนด อายุ 20 –
50 ป โดยเสนรอบวงเอวคือ ผูชายที่มีเสนรอบวงเอวเทากับหรือมากกวา 90 เซนติเมตร ผูหญิงที่มี
181
เสนรอบวงเอวเทากับหรอื มากกวา 80 เซนตเิ มตร จะมีความเส่ียงของภาวะแทรกซอ นเมตาบอลิซึม
เพ่ิมขึ้น แตถาเสนรอบวงเอวเทากับหรือมากกวา 102 เซนติเมตรในผูชายและ 88 เซนติเมตรใน
ผหู ญิง ความเสย่ี งของภาวะแทรกซอ นทางเมตาบอลิซึมเพ่ิมมากขนึ้
4. อัตราเสนรอบวงเอวตอเสนรอบวงสะโพก (waist–over–hip circumference
ratio, WHR)
WHR = เสน รอบวงเอว
เสน รอบวงสะโพก
เสน รอบวงเอวทาํ การวดั โดยเสน รอบวงเอวระดับสะดือ และการวัดเสนรอบสะโพก ทําการ
วัดสวนท่ีนูนที่สุดของสะโพก (gluteal protrusion) เปนคาท่ีใหขอมูลดานมวลกลามเน้ือและ
โครงสรางกระดูกบริเวณสะโพก เกณฑที่ใชในการตัดสินโรคอวนลงพุงในผูใหญ คือ มีอัตราเสน
รอบวงเอวตอเสนรอบสะโพกมากกวา 1 และ 0.8 สําหรับในผูใหญชายและหญิงตามลําดับ ถือวา
อวนลงพงุ
2.2 ความผิดปกติของไขมันในเลอื ดและโรคหัวใจขาดเลือด เปนปจจยั เสย่ี งของหวั ใจ
ขาดเลอื ด ไดแก total cholesterol (TC) LDL-cholesterol (LDL-C) และไตรกลีเซอไรด (TG) สูง และ
HDL-cholesterol (HDL-C) ต่ํา เกณฑในการตัดสินระดับไขมันท่ีทําใหเส่ียงตอการเกิดโรคหลอด
เลือด ดงั แสดงในตารางท่ี 6.4
ตารางที่ 6.4 เกณฑต ดั สินระดบั ไขมนั ที่ทําใหมีความเสีย่ งตอ การเกดิ โรคหลอดเลือด
ไขมัน อัตราเสย่ี ง
ปานกลาง
(มิลลกิ รมั /กโิ ลแคลอร)ี นอย 200-500 มาก
200-239 > 500
ไตรกลีเซอไรด < 200 130-159 ≥ 240
≥ 160
โคเลสเตอรอล < 200 > 35
LDL-C < 130
HDL-C > 35
ทมี่ า (วิชยั ตนั ไพจติ ร และ ชาลี พรพฒั นกุล, 2535)
182
ภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือดเน่ืองจากมี LDL-C สูงในเลือดเปนปจจัยท่ีสําคัญของการ
เกิดโรคหัวใจขาดเลือด การศึกษาของ Lipid Research Clinics-Coronary Primary Prevention
Trial ไดชี้ใหเห็นถึงความสําคัญของการควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือดตอการเกิดโรคหัวใจ
ขาดเลือด โดยพบวาเมื่อลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลงรอยละ 1 อุบัติการณของโรคหัวใจขาด
เลอื ดลดลงรอยละ 2
ภาวะไตรกลีเซอไรดในเลือดสูงเพิ่มความเส่ียงตอการเกิดโรคขาดเลือดทั้งทางตรงและ
ทางออม ผลโดยตรงเกิดจาก VLDL และ chylomicron remnant ทําใหเกิดการอุดตันของหลอด
เลือดเชนเดียวกับ LDL-C สวนผลโดยออมเชื่อวาการที่ไตรกลีเซอไรดในเลือดสูงมีผลกระตุนการ
สราง small LDL- C และลด HDL-C นอกจากน้ียังอาจเก่ียวของกับโรคอวนและภาวะตานอินซูลิน
ดว ย (วชิ ัย ตันไพจิตร, 2532)
มรี ายงานวาชาวเอสกิโมทีร่ ับประทานนํา้ มันจากปลาทะเลมาก มีระดับโคเลสเตอรอลและ
ไตรกลีเซอไรดในเลือดต่ํา การจับตัวของเกล็ดเลือดลดลง และมีอุบัติการณของโรคหัวใจขาดเลือด
ตา่ํ ดังนน้ั ในปจ จุบันจึงไดมกี ารนํานํ้ามันปลาทะเลมาใชใ นการรักษาผปู ว ยภาวะไขมนั สงู ในเลอื ด
การบรโิ ภคอาหารที่เหมาะสมควรมีสัดสวนของโปรตนี รอ ยละ 15 คารโบไฮเดรตรอยละ 55
ละไขมนั รอยละ 30 ของพลงั งานท้งั หมดที่ไดร ับ โดยไขมนั ทบี่ รโิ ภคใหก รดไลโนเลอิครอ ยละ 10
และกรดแอลฟา-ไลโนเลนิครอยละ 1.4 ของพลังงานท้ังหมด ซึ่งสามารถปฏิบัติไดโดยใชน้ํามันถั่ว
เหลืองในการปรุงอาหาร ใหไดพลังงานรอยละ 20 ของพลังงานท้ังหมด จํากัดจํานวน
โคเลสเตอรอลที่ไดรับจากอาหารใหนอยกวา 300 มิลลิกรัมตอวัน โดยงดเน้ือสัตวที่ไม
โคเลสเตอรอลสูงจะสามารถลดระดับโคเลสเตอรอลและ LDL-c ในเลือดได ปริมาณโคเลสเตอรอล
ในอาหารประเภทตา งๆ แสดงในตารางที่ 6.5 และควรใชน้ํามันพืชในการปรุงอาหารทกุ คร้งั
183
ตารางท่ี 6.5 ปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารสวนทก่ี นิ ได 100 กรมั
อาหาร ปรมิ าณโคเลสเตอรอล (มก.) ตอ อาหาร 100 กรัม
ไข นม และเนย 427
ไขไ กท ้ังฟอง 1,250
ไขไกเฉพาะไขแ ดง 10
นมสด
นมสดพรองมนั เนย 6
เนยเหลว 166
นํ้าสลัดมายองเนส 100
เคร่ืองในสตั ว 133
หัวใจ หมู 364
ตับ หมู 336
ตับ ไก 235
ไต หมู
65
เนอื้ สตั ว 82
เนื้อววั 49
เนือ้ ไก เนือ้ เปด
เนอื้ หมสู ันใน 76
275
อาหารทะเล 175
ปลาทู 148
ปมู าไข 231
กงุ กลุ าดํา
หอยแมลงภู
หอยนางรม
ท่มี า (กองโภชนาการ,กรมอนามัย,กระทรวงสาธารณสุข 2548)
184
สรปุ
ลิพิด หมายถึง ไขมันและนํ้ามัน แตคนสวนใหญจะเรียกรวมกันวาไขมัน ไขมันเปน
สารอาหารทีใ่ หพ ลังงานแกรา งกายเชนเดยี วกับโปรตนี และคารโบไฮเดรต แตใหสูงเปนสองเทาของ
โปรตีนหรือคารโบไฮเดรต ไขมัน 1 กรัมใหพลังงานถึง 9 กิโลแคลอรี ในขณะที่โปรตีนหรือ
คารโบไฮเดรต 1 กรัมใหเพียง 4 กิโลแคลอรี ไขมันไดจากอาหารท้ังพืชและสัตว จากพืชอาจจะ
ไดรับในลักษณะของน้ํามันท่ีนํามาประกอบอาหาร สวนจากสัตวมักไดในรูปไขมันสัตวหรือแฝงใน
รูปของไขมันในเรื้อสัตวไขมันนอกจากจะใหพลังงานแกรางกายแลว ยังเปนตัวชวยการดูดซึม
วิตามินท่ีละลายในไขมัน ไดแก วิตามินเอ ดี อี และ เค ไขมันบางประเภทใหกรดไขมันจําเปนซึ่ง
รางกายจะขาดไมได คือ กรดไลโนเลอิค กรดไลโนเลนิค และแอราชิโดนิก ซึ่งเปนกรดไขมันไม
อิ่มตัว กรดไลโนเลอิคเปนกรดไขมันจําเปนที่พบมากท่ีสุดในอาหารท่ีรับประทาน ไดแก นํ้ามัน
ขา วโพด นาํ้ มนั ถั่วเหลอื ง นา้ํ มันรําขาว เปน ตน การรบั ประทานกรดไลโนเลอิคในขนาดที่เหมาะสม
อยางสม่ําเสมอ ซึ่งจะทําใหเกิดภาวะหลอดเลือดแข็ง และเปนสาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือด จึง
ควรเลือกรบั ประทานนํ้ามนั พืชทม่ี กี รดไลโนเลอิคสงู ดงั กลาว
การยอยไขมันภายในรางกายเปนไปไดชากวาโปรตีนและคารโบไฮเดรต ทําใหมี
ความรูสึกอิ่มอยูนาน การยอยไขมันเกิดข้ึนในลําไสเล็กสวนตน ดวยปฏิกิริยาของน้ําดี น้ํายอยไล
เปสจากตับออนและจากผนังลําไสเล็ก ไขมันในอาหารสวนใหญประกอบดวยไตรกลีเซอไรด เม่ือ
ยอ ยแลวจะไดกรดไขมนั กลเี ซอรอล โมโนกลีเซอไรด และไดกลีเซอไรด การลําเลียงไขมันชนิดตางๆ
ในเลือดตองอาศัยไลโปโปรตีนชนิดตาง ๆ คือ chylomicron VLDL LDL และ HDL การ
เปล่ียนแปลงของไขมันภายในเซลลประกอบดวย กระบวนการสลายไขมันที่เกิดขึ้นดวยปฏิกิริยา
ออกซเิ ดชัน กระบวนการสรางไขมันท่ีทําใหไดไขมันชนิดตาง ๆ และเปนการเก็บพลังงานที่เหลือใช
ไวเปนพลังงานสํารองความผิดปกติของเมตาบอลิซึมของไขมันกอใหเกิดโรคท่ีเปนอันตรายตอ
สุขภาพได
บทท่ี 7
วติ ามิน
วิตามิน เปนสารอาหารท่ีจําเปน มนุษยไมสามารถสังเคราะหข้ึนไดเอง จึงจําเปนตองไดรับ
วิตามินจากการบริโภคอาหาร วิตามินจําแนกออกเปน 2 ประเภท คือ วิตามินท่ีละลายในไขมัน ไดแก
วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค และวิตามินที่ละลายในน้ํา ไดแก วิตามินซี และวิตามินบี
รวม วติ ามนิ มบี ทบาทสําคัญท่ชี ว ยใหเซลลตางๆ ทํางานไดอ ยา งปกติ รวมทั้งเปน สว นประกอบของเซลล
และสารประกอบท่ีสําคัญหลายชนิดภายในรางกาย ดังนั้นรางกายจึงตองไดรับวิตามินจากอาหารใน
ปริมาณท่ีพอเพียงเพ่ือที่รางกายจะสามารถดํารงชีวิตอยูไดอยางปกติ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับสารอาหาร
ประเภทโปรตีน คารโบไฮเดรต และไขมันแลวจะเห็นไดวาปริมาณวิตามินที่รางกายตองการมีปริมาณ
เพียงเล็กนอยเทาน้ัน แตยังพบวามีปญหาการขาดวิตามินเกิดขึ้นอยูเสมอในกลุมประชากรตางๆ
โดยเฉพาะทารก เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ หญิงใหนมบุตร และคนชรา ผลจากการขาดวิตามินบางชนิด
อาจกอใหเกิดความรุนแรงแกรางกายและชีวิตได เชน การขาดวิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 12
โฟเลท วิตามนิ ดี วิตามินเค แตถาเปนการขาดวิตามินแบบไมรุนแรงแตเรื้อรังก็สามารถทําใหเกิดปญหา
สําคัญตอสุขภาพในระยะยาวได เชน การขาดวิตามินซี และวิตามินอีทําใหเสี่ยงตอการเกิดโรคมะเร็ง
โรคหลอดเลอื ดและหวั ใจเพ่มิ มากข้ึน
ประวตั ิการคนพบวติ ามนิ
มนุษยไดคนพบความสัมพันธระหวางการเกิดโรคบางชนิดกับอาหารท่ีรับประทานเขาไป เชน
การเกดิ โรคเลือดออกตามไรฟนเน่ืองมาจากการขาดวิตามินซี เกิดข้ึนต้ังแตในป ค.ศ. 1747 ชาวอังกฤษ
ไดเรียนรูวาพืชตระกูลมะนาวหรือสมชวยปองกันและรักษาอาการเลือดออกตามไรฟน หรือท่ีเรียกวา
“โรคลักปดลักเปด” หลังจากนั้นก็เริ่มมีการศึกษาเร่ืองของความสัมพันธระหวางอาหารกับการเกิดโรค
ตา งๆ ดังนี้
ป ค.ศ. 1817 จีน ดูมัส (Jean Durmus) นักวิทยาศาสตรชาวฝรั่งเศสไดกลาววา อาหารจะ
ประกอบขึ้นดวยสารอาหารตางๆ อีกหลายอยางนอกเหนือไปจากโปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมัน และ
เกลือแรตางๆ ซ่ึง จีน ดูมัส (Jean Durmus) หมายถึง วิตามิน แตคําวา วิตามินยังไมไดใชเรียกเปน
186
สารอาหารท่ี จีน ดูมัส (Jean Durmus) กลาวถึงซึ่งในระหวางสงครามฝรั่งเศสมีการขาดแคลนอาหาร
อยางรุนแรง จงึ ไดมีการผลิตนมเทียมจากสารอาหารโปรตีน คารโบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร และนา้ํ แตยงั
ขาดวิตามินตางๆ พบวาเด็กท่ีดื่มนมชนิดน้ีจะมีสุขภาพไมแข็งแรงเน่ืองจากนมที่ด่ืมน้ันขาดสารอาหาร
บางชนิด สารนั้นคือ วิตามนิ
ป ค.ศ. 1912 แคสสิเมอร ฟงค (Casimer Funk) ไดสกัดสารอยางหนึ่งออกจากรําขาว ซึ่ง
สามารถใชรักษาโรคเหน็บชาในนกพิราบได สารท่ีแยกออกมาเปนสารในกลุมของสารประกอบที่
เรียกวา “เอมีน” (amines) และไดต้ังชื่อสารนั้นวา “วิตามีน” (vitamine) ซึ่งมาจากคําวา vita แปลวา
จําเปนตอชีวิต และ amine คือท่ีบอกโครงสรางของสารเคมีที่ชวยปองกันและรักษาโรค (อัจฉรา ดล
วิทยาคุณ, 2550, หนา 87) แตในเวลาตอมามีนักวิทยาศาสตรที่คนพบวิตามินตัวอ่ืนเพ่ิมข้ึน เชน
วิตามินเอ แตพบวาไมไดอยูในกลุมของสารประกอบเอมีน ดังน้ันในป ค.ศ. 1920 นักวิทยาศาสตรจึงมี
ความเห็นพองตองกันท่ีจะตัดอักษรตัว อี (e) ออกจากคําวา วิตามีน (vitamine) และใชคําวา “วิตามิน”
(vitamin) ตามดว ยช่อื ของวติ ามินชนิดนน้ั ๆ เชน วติ ามินเอ วิตามินดี วติ ามนิ อี และวติ ามนิ เค
ป ค.ศ. 1912 ฮอปกินส (Hopkins) ไดเล้ยี งหนดู ว ยอาหารบริสุทธ์ิ ปรากฏวาหนูเจริญเติบโตชา
แตถาเติมนมลงไปดวยเล็กนอย จะทําใหหนูเติบโตไดอยางเปนปกติ และในเวลาไลเลี่ยกันออสบอรน
และเมนเดล (Osborne and Mendel) ไดศึกษาการเจริญเติบโตของหนู โดยเลี้ยงดวยอาหารบริสุทธิ์
รวมกับไขมันชนิดตางๆ ปรากฏวาถาใชไขมันจากน้ํามันหมู หรือนํ้ามันพืชอัลมอลด หนูไมเจริญเติบโต
นัยนตาแหง อักเสบจนเปนหนอง แตถาเติมนํ้ามันตับปลา ไขมันจากเนย หรือจากไขแดง ลงไปหนูจะ
เจริญเติบโตไดดี โรคของนัยนตาจะหายไป ซ่ึงแสดงวา นํ้ามันตับปลา ไขมันจากเนย และไขมันจากไข
แดง มีสารที่รกั ษาอาการของโรคตาดงั กลาวได
ป ค.ศ. 1915 แมคคอลลัม และ เดวสิ (Mc.Collum and Davis) ไดทําการทดลองสกัดเนย และ
ไขแ ดง ดว ยอีเทอร ไดส ารสําคญั ทชี่ วยใหหนูเจรญิ เติบโตไดดี และรักษาโรคตาอักเสบ (xerophthalmia)
ได และไดต ั้งช่ือสารนัน้ วา “Fat Soluble A” (สมทรง เลขะกลุ , 2543, หนา 87)
ป ค.ศ. 1922 แมคคอลลัม (Mc.Collum) ไดนําน้ํามันตับปลามาเค่ียวท่ี 120 องศาเซลเซียส
เปนเวลานานหลายช่ัวโมงพรอมกับการผานออกซิเจนลงไปดวย พบวา น้ํามันตับปลาจะหมดสรรพคุณ
ในการรักษาโรคตาอักเสบ (xerophthalmia) แตยังรักษาโรคกระดูกออนได แสดงวานํ้ามันตับปลามี
สารสาํ คัญสองชนิด จงึ ไดตั้งช่ือสารชนิดแรกที่เสียความรอนกับออกซิเดชั่น (oxidation) และมีสรรพคุณ
187
รักษาโรคนัยนตาแหงวา “วิตามินเอ” สวนที่คงทนตอการออกซิเดช่ัน (oxidation) และมีฤทธ์ิในการ
รกั ษาโรคกระดกู ออนวา “วติ ามินดี” (อมรรตั น เจรญิ ชัย, 2548, หนา 386)
ป ค.ศ.1922 อีแวนส สกอต และบิชอป (Evans,Scott & Bishop) แหงมหาวิทยาลัย
แคลิฟอรเนีย ไดใหหนูกินอาหารทดลองสูตรหนึ่งปรากฏวา หนูเหลาน้ันเจริญเติบโตอยางปกติ ไมมีการ
เกิดลูก ทําใหมีการคนควาวาทําไมไมมีลูก นักวิทยาศาสตรท้ัง 3 ทาน เชื่อวาเหตุที่เปนเชนนั้นเพราะ
อาหารทีใ่ หน นั้ ขาดแฟคเตอร (factor) ท่ีจําเปน และไดใชช อื่ สารนน้ั วา “X” ซงึ่ ตอ มาเขาไดท ดลองและได
พบวา ถาเติมน้ํามันท่ีไดจากจมูกขาวสาลี (wheat germ) ลงในอาหารจะชวยใหหนูเหลานั่นตั้งทองได
ตามปกติ
ป ค.ศ. 1925 ชัวร (Sure) ไดยืนยันการทดลองของ อีแวนส และคณะ และพบวา สาร “X” มีอยู
ในขาวท่ียังไมไดขัดสี ขาวโอต และขาวโพด และเขาไดเสนอใหเรียกช่ือสาร X วา “วิตามิน อี” ซึ่งตอมา
ในป ค.ศ. 1936 อีแวนส และคณะ แยกสารสําคญั จาก nonsaponification fraction ของนา้ํ มนั จมกู ขา ว
สาลีออกมาไดผลึก 3 ชนิด และเปนสารแอลกอฮอล และพบวาสารชนิดหนึ่งใน 3 ชนิดมีประสิทธิภาพ
ของวิตามนิ อสี งู สดุ จงึ ใหช ่อื สารนัน้ วา อลั ฟาโทโคเฟอรอล (α-tocopherol) ซงึ่ เปน คาํ มาจากภาษากรีก
ป ค.ศ. 1929 ดร. ดาม (Dr.Dam) นักวิทยาศาสตรชาวเดนมารก ไดเขียนรายงานเร่ืองลูกไกที่
กินอาหารผสมของสารบริสุทธ์ิตางๆ มีเลือดออกใตผิวหนัง แมใหวิตามินซีก็ยังไมหาย ลูกไกเหลาน้ีเปน
แผลแลวเลือดหยุดไหลชา เมื่อใหขาวและอาหารตามธรรมชาติอื่นๆ อาการน้ีจะหาย ตอมาเขาไดตั้งช่ือ
สารน้ีวา วิตามินเค และในป ค.ศ. 1939 เขาสามารถแยกและบอกสูตรทางเคมีของวิตามินเคได
(อมรรตั น เจรญิ ชยั , 2548, หนา 394)
การคน พบวติ ามนิ ชนิดอน่ื ๆ กเ็ กดิ ขึน้ ภายหลัง ซง่ึ ผลจากการคนพบวิตามินของนักวิทยาศาสตร
เปน ผลใหท ราบถึงคุณสมบตั ิของวิตามนิ ชนิดตา งๆ ตอ รา งกายและแหลง อาหารท่ีมีวิตามินชนิดน้ันๆ อยู
นักวทิ ยาศาสตรไ ดทําการศึกษาคนควา เรือ่ งของวติ ามนิ ตงั้ แตท่กี ลาวมาจนถงึ ปจ จุบนั
ความหมายของวติ ามิน
ไดม ีผูใหค วามหมายของวิตามนิ ไว ดังนี้
สรรเสริญ ทรัพยโตษก (2531, หนา 334) กลาววา วิตามิน หมายถึงกลุมของสารประกอบ
อินทรียที่รางกายตองการเพียงเล็กนอย เพื่อใหปฏิกิริยาการเปล่ียนแปลงในรางกายดําเนินไปได
ตามปกติ และเน่ืองจากรางกายไมสามารถสังเคราะหวิตามินไดเอง หรือสังเคราะหไดก็ไมเพียงพอกับ
188
ความตองการจึงจําเปนตองกินเขาไปกับอาหาร สิ่งมีชีวิตตางชนิดกันจะมีความตองการวิตามิน หรือ
สงั เคราะหว ติ ามนิ ไมเ หมอื นกัน
ธาดา สืบหลินวงศ และ นวลทิพย กมลวารินทร (2542 หนา 185) กลาววา วิตามินเปน
สารอินทรยี ที่จาํ เปน ตอ การดาํ รงชวี ติ ของคนและสัตวชนั้ สูง เปนสารทไี่ มใหพลังงานแตมีความสําคัญตอ
เมตาบอลิซึมและการทํางานอยางเปนปกติของเซลล รางกายตองการวิตามินในปริมาณนอย แตสวน
ใหญไ มสามารถสังเคราะหข ้ึนไดเ อง จึงตอ งไดร ับจากอาหาร
สนุ ยี สหสั โพธิ์ (2543 หนา 115) กลา ววา วิตามนิ หมายถึง กลุมสารอนิ ทรียซ่ึงรางกายตองการ
ในจํานวนนอย เพื่อทําปฏิกิริยาตางๆ ในรางกายใหเปนไปตามปกติ โดยอาศัยคุณสมบัติการละลายตัว
ของวิตามิน ทําใหแบงวิตามินออกเปน 2 ประเภท คือ วิตามินที่ละลายในไขมัน (fat soluble vitamins)
และวิตามินท่ีละลายในนํา้ (water soluble vitamins)
สิริพันธุ จุลกรังคะ (2545 หนา 109) กลาววา วิตามิน คือ สารอาหารจําพวกหน่ึงท่ีมีความ
จําเปนสําหรับการดํารงชีวิตใหเปนปกติ เปนกลุมของสารอินทรียซ่ึงพบในส่ิงมีชีวิตมีอยูประมาณ 20
ชนิด ท่ีมีบทบาทในโภชนาการมนุษย วิตามินมีความจําเปนในการเจริญเติบโตและซอมแซมรางกาย
วติ ามินบางอยา งไมส ามารถสงั เคราะหไ ดจึงจําเปน ตอ งไดร ับจากอาหาร
นิธิยา รัตนาปนนท (2545 หนา 335) กลาววา วิตามินเปนกลุมของสารประกอบอินทรียและ
จัดเปนสารอาหารชนิดหน่ึงที่รางกายตองการเพียงเล็กนอย (เปนมิลลิกรัมหรือไมโครกรัม) มี
ความสําคัญตอการเจริญเติบโตและการดํารงชีวิตของมนุษย โดยทําหนาที่ควบคุมกระบวนการ
เปล่ยี นแปลงของปฏกิ ริ ิยาเคมใี นเมตาบอลิซึมของสารอาหาร รางกายคนเราสงั เคราะหว ิตามินไมไ ดต อ ง
ไดรบั จากอาหารเทานั้น
นัยนา บุญทวีรัตน (2546 หนา 303) กลาววา วิตามินเปนสารประกอบอินทรียท่ีรางกายตอง
ไดร ับจากอาหาร ถึงแมจะตองการในปริมาณที่นอยแตมีความสําคัญตอการเจริญเติบโตของรางกาย มี
บทบาทในปฏิกิริยาการสลายสารอาหารใหไดพลังงานและชวยรักษาภาวะปกติของรางกาย วิตามิน
สว นใหญสงั เคราะหในรา งกายไมได มสี ว นนอยที่สังเคราะหได เชน วิตามินดี สังเคราะหไดทผ่ี ิวหนังเม่ือ
ไดรับแสงอาทติ ย และวติ ามนิ เค สังเคราะหไ ดจากไบโอตินโดยแบคทีเรียในลาํ ไส
สรุปไดวา วิตามิน หมายถึง สารอาหารที่จัดอยใู นกลุมของสารอินทรีย ซ่ึงมีความสําคัญตอการ
เจริญเตบิ โตและการดํารงชวี ติ ทดี่ ีของมนษุ ย โดยเฉพาะมีความสําคัญตอกระบวนการเมตาบอลิซึมและ
การทํางานอยางเปนปกติของเซลล วิตามินน้ันเปนสารอาหารที่ไมใหพลังงานแกรางกาย รางกาย
189
ตอ งการในปริมาณเล็กนอยเทานน้ั การขาดวิตามนิ สง ผลใหเกิดโรคข้นึ ได ดังนน้ั จึงตองไดร ับวิตามนิ จาก
อาหารเปน ประจําในปริมาณที่เพยี งพอกับความตองการของรา งกาย
การแบง ประเภทของวติ ามิน
วิตามนิ สามารถจาํ แนกตามสมบตั ิของการละลาย ไดเ ปน 2 กลุม คือ
1. วิตามินท่ีละลายไดในไขมนั
ไดแก วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค วิตามินแตละชนิดมีบทบาทหนาท่ี
แตกตางกัน วิตามินท้ัง 4 ชนิดจะถูกดูดซึมเขาสูรางกายไดตองอาศัยไขมัน น้ําดี และนํ้ายอยจากตับซึ่ง
จะชวยเพ่ิมประสิทธิภาพในการดูดซึม วิตามินเหลาน้ีจะสะสมในเน้ือเยื่อตางๆ ของรางกาย ในภาวะ
ปกติวิตามินเหลาน้ีจะไมถูกขับออกทางปสสาวะ ดังน้ันการไดรับวิตามินกลุมนี้มากเกินไปจะทําใหเกิด
พิษตอรา งกายได โดยเฉพาะวิตามนิ เอจะเปน อนั ตรายมาก
2. วิตามินทลี่ ะลายไดใ นนํา้
ไดแก วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ไนอะซิน ไบโอติน กรดโฟลิก กรด
แพนโทธีนิค และวิตามินซี เปนตน วิตามินกลุมน้ีละลายไดในนํ้าจึงถูกดูดซึมเขาสูรางกายไดงาย และ
รา งกายไมส ามารถสะสมไวไ ด หากไดรับมากเกินพอรางกายจะขับออกทางปสสาวะ ดังนั้นวิตามินกลุม
นจ้ี ําเปน ตองไดรับจากอาหารเปนประจาํ ทกุ วัน
วิตามินทั้งสองกลุมนี้จะมีอยูในอาหารในปริมาณที่แตกตางกัน และจะผันแปรไปตามความคง
ตัวของวิตามินตอกระบวนการแปรรูป และภาวะที่ใชในการเก็บรักษาอาหาร การสูญเสียวิตามิน
สามารถเกิดข้ึนไดเน่ืองจากการเปลี่ยนแปลงของปฏิกิริยาทางเคมี เชน การออกซิเดชั่นหรือรวมกับสาร
อ่ืนท่ีมีอยูในอาหาร ทําใหไดสารใหมที่ไมมีคุณคาทางชีวภาพ หรืออาจสูญเสียเนื่องจากการชะลาง
โดยเฉพาะวติ ามินกลุมท่ลี ะลายไดในนํา้ จะสูญเสียไดงา ยในขน้ั ตอนการลาง การลวก การหุงตม ซึ่งอาจ
มีผลทําใหปริมาณวิตามินในอาหารลดนอยลงได ดังนั้นการแปรรูปอาหารจะตองเลือกใชภาวะท่ีทําให
สญู เสยี วิตามนิ นอยที่สุด
190
หนา ทีข่ องวติ ามนิ
วิตามินมีความจําเปนตอกระบวนการเมตาบอลิซึม (metabolism) ไดแก กระบวนการสราง
เน้ือเย่ือ (anabolism) การสลายตัวของเนื้อเย่ือ (catabolism) การสะสมพลังงาน และการนําพลังงาน
ออกมาใช วติ ามินบางชนิดมีหนา ทีเ่ ปนโคแฟคเตอร (cofactor)
นอกจากน้ัน วิตามินบางชนิดยังทําหนาที่ชวยในการปรับปรุงคุณภาพของอาหาร เชน เปนรีดิว
ซิงเอเจนต (reducing agent) ชวยจับอนุมูลอิสระ ทําใหเกิดปฏิกิริยาสีน้ําตาล และเปนสารเริ่มตนของ
สารใหกล่ินและรสชาติในอาหารบางชนิด ผลจากการที่รางกายไดรับวิตามินจากอาหารไมเพียงพอ จะ
ทําใหเกิดภาวะวิตามินต่ํา (hypovitaminosis) หรือถาไดรับไมเพียงพอเปนระยะเวลานาน จะทําใหเกิด
ภาวะขาดวิตามิน (avitaminosis) ได ซ่ึงจะทําใหเกิดความผิดปกติตอรางกาย และเกิดเปนโรคตาง ๆ
เชน โรคเหน็บชาท่ีเกิดขึ้นเน่ืองจากขาดวิตามินบี 1 เปนตน วิตามินแตละชนิดมีหนาท่ีแตกตางกันหรือ
คลา ยกนั โดยจะอธบิ ายหนาทข่ี องวติ ามนิ แตล ะชนิดในเร่อื งของวิตามินน้ันๆ
สาเหตุและผลของการขาดวิตามิน
การท่ีรางกายไดรับวิตามินจากอาหารไมเพียงพอ จะทําใหเกิดภาวะวิตามนิ ต่ํา หรือถาไดรับไม
เพียงพอเปนระยะเวลานาน จะทําใหเกิดภาวะขาดวิตามินได ซ่ึงจะทําใหเกิดความผิดปกติตอรางกาย
และเกิดเปนโรคตาง ๆ ท้ังนี้โดยท่ัวไปภาวะที่ขาดวิตามินน้ันจะไมเกิดจากการขาดเพยี งชนิดเดียว แต
มักจะขาดวติ ามนิ หลายชนดิ พรอ มๆ กัน และแสดงลักษณะอาการตามความรุนแรงของการขาดวิตามิน
สาเหตุของการขาดวิตามินสามารถจําแนกได 2 ประเภท ดังน้ี (สมทรง เลขะกุล, 2543, หนา 2)
1. สาเหตุปฐมภมู ิ
สาเหตุปฐมภูมิ (primary or direct deficiency) เกิดจากการไดรับวิตามินจากอาหารท่ี
รบั ประทานไมเ พียงพอ ซึ่งอาจเกิดข้ึนจาก
1.1 ปญ หาทางเศรษฐกจิ ความยากจน ทาํ ใหไ มม อี าหารบริโภค
1.2 ภาวะขาดแคลนอาหาร เชน ภาวะสงคราม การประสบปญหาภัยธรรมชาติ มีผลทําให
เกดิ การขาดแคลนอาหาร
1.3 ภาวะการจํากัดอาหาร เพื่อใหมีรูปรางผอม ซ่ึงมักจะพบในกลุมผูบริโภคท่ีเปนวัยรุน
หรอื ในกลุม อาชีพบางอาชพี เชน ดารา นางแบบ เปนตน
191
1.4 กินไมเปน เนื่องจากผูบริโภคเลือกบริโภคอาหารบางชนิดท่ีชอบเทานั้น เชน ไมบริโภค
ผกั และผลไม เปน ผลทาํ ใหเ กดิ การขาดวติ ามนิ ซี เปน ตน
1.5 กนิ ไมพ อกบั ความตองการของรางกาย โดยเฉพาะเมอื่ อยูใ นภาวะพิเศษ เชน เด็กกําลัง
เจรญิ เตบิ โต หญงิ ตัง้ ครรภ หญิงใหน มบุตร เปนตน
2. สาเหตทุ ตุ ยิ ภูมิ
สาเหตุของการขาดวติ ามินข้ันทุติยภูมิ (secondary deficiency or conditioned
deficiency) เกิดข้ึนจากปจจัยดานพยาธิสภาพของรางกายเปนผลใหรางกายไมสามารถนําวิตามินไป
ใชป ระโยชนไ ด ถงึ แมวาจะบริโภคอาหารที่มปี ริมาณวติ ามินในปริมาณที่เพียงพอแลวก็ตาม สาเหตุการ
ขาดวิตามินขั้นทุติยภูมิ ไดแก
2.1 เกิดจากรางกายมีความผิดปกติ เชน การเกิดความผิดปกติในกระบวนการยอย และ
การดูดซึม เชน มีเช้ือโรคในลําไสเล็ก มีอาการอาเจียน ทองรวง เบ่ืออาหาร หรือเปนโรคระบบทางเดิน
อาหาร
2.2 เกิดเน่ืองจากเปนโรคบางอยาง การเกิดโรคบางอยางมีผลทําใหรางกายไมสามารถ
เก็บ หรือใชวิตามินได เชน โรคตับ ทําใหมีการหลั่งน้ําดีนอย หรือไมมีเลย ทําใหมีการดูดซึมวิตามินที่
ละลายไขมันนอ ยลง
2.3 รางกายไดรับสารท่ีมีผลตอการทําลายวิตามิน หรือสารตานวิตามิน ผลจากการไดรับ
สารตานวิตามิน (antivitamins) มีผลทําใหรางกายไมสามารถใชวิตามินนั้นๆ ได เชน ไดคูมารอล
(dicumarol) เปนสารตานวิตามินเค เม่ือรางกายไดรับสารไดคูมารอลเปนประจํา จะมีผลทําให
วิตามินเคไมส ามารถทําหนาที่ไดอยางปกติ จึงปรากฏอาการที่เห็นไดชัด คือ เม่ือเกิดบาดแผล เลือดจะ
ไหลไมหยุด หรือ ไธอะมิเนส (thiaminase) เปนน้ํายอยท่ีมีในปลาน้ําจืด ปลารา หอยชนิดตางๆ
ไธอะมิเนส เปนสารตานการดูดซึมวิตามินบี 1 เมื่อรางกายไดรับไธอะมิเนสเปนเวลานานจะทําใหเปน
โรคเหนบ็ ชาได
ผลของการขาดวิตามิน จะมีผลทําใหมีพยาธิสภาพตางๆ เกิดขึ้นตามหนาที่และ
ความสําคัญของวิตามินชนิดน้ันๆ โดยทั่วไปในคนที่มีปญหาการขาดวิตามินมักจะไมขาดวิตามินเพียง
ชนิดเดียว แตจะขาดวิตามินหลายชนิดไปพรอมๆ กัน เมื่อมีการขาดวิตามินเปนระยะเวลานานระดับ
ของวิตามินในเนื้อเยื่อที่เปนแหลงสะสมของวิตามินนั้นจะลดตํ่าลง ในข้ันตอไปมีการเปลี่ยนแปลงใน
หนาที่ทางชีวเคมีและทางสรีรวิทยาที่เกิดข้ึนกับวิตามินชนิดนั้น และในขั้นสุดทายจะทําใหเกิดการ
192
เปลี่ยนแปลงโครงสรางของอวัยวะและในที่สุดจะปรากฏอาการตางๆ ของการขาดวิตามินอยางเดนชัด
ดังนี้ (ตารางท่ี 7.1 )
ตารางที่ 7.1 โรคที่เกิดจากการขาดวิตามินชนิดตา งๆ
ชื่อวติ ามนิ โรคที่เกิดจากการขาดวติ ามนิ
วิตามนิ เอ (Axerophthal) โรคตาบอดกลางคนื (Night Blindness)
วิตามินดี (Calciferol) โรคกระดูกออน (Ricket) โรคกระดกู พรุน (Osteomalacia)
วติ ามนิ อี (Tocopherol) เมด็ เลอื ดแดงแตกงา ย และสงผลใหเกิดโรคโลหติ จาง
วติ ามนิ เค (Koagulation vitamin) การแข็งตวั ของเลอื ดชา
วิตามิน บหี นง่ึ (Thaimin) โรคเหนบ็ ชา (Beri-Beri)
วิตามิน บสี อง (Riboflavin) โรคปากนกกระจอก (Angular stomatitis)
ไนอะซนิ (Niacin) โรคเพลลากา (Pellagra)
วิตามิน บหี ก (Pyridoxine) โรคโลหติ จางชนิด Microcytic Hypochromic Anemia
กรดโฟลิค (Folic acid) โรคโลหิตจางชนิดเมด็ เลือดแดงมขี นาดใหญ
วติ ามนิ บีสิบสอง (Cobalamin) โรคโลหติ จาง
วิตามนิ ซี (Ascorbic acid) โรคลักปด ลกั เปด (scurvy)
วติ ามนิ ที่ละลายในไขมัน
วติ ามินทลี่ ะลายในไขมัน มี 4 ชนดิ คอื วติ ามินเอ ดี อี และเค มรี ายละเอียดท่สี าํ คญั ดงั นี้
วติ ามินเอ (Retinol)
วิตามินเอ เปนอนุพันธแอลกอฮอลชนิดหน่ึงในอาหารพบมากในรูปเอสเทอรของกรดไขมัน
วิตามินเอที่บริสุทธ์ิเปนสารประกอบอินทรียท่ีมีผลึกสีเหลืองออน ทนกรดและดาง แตถูกออกซิไดสได
งายเม่ือสัมผัสกับอากาศและออกซิเจนท่ีอุณหภูมิสูง ถูกทําลายไดดวยแสงอัลตราไวโอเลตหรือ
แสงอาทิตย และจะถกู ทําลายเมอื่ ละลายอยใู นน้ํามันท่เี กิดการหืน เนื่องจากมีเปอรอ อกไซดเ กดิ ขึน้
193
ประวตั กิ ารคน พบวิตามินเอ
การคนพบความสําคัญของวิตามินเอ เกิดขึ้นในสมัย 1500 ปกอนคริสตศักราช เมื่อไดมีผู
สังเกตอาการของคนท่ีเปนโรคตาฟางในเวลาพลบคํ่า (night blindness) ซึ่งไมสามารถมองเห็นส่ิงของ
ไดในทๆ่ี ที่มแี สงสลวั วา เกิดจากการขาดวติ ามนิ เอ อาการดังกลาวไดมีการอธิบายกันไวอยางกวางขวาง
ในหมูชนชาวจนี อยี ปิ ต และกรกี โครงสรางของวติ ามินเอ แสดงดังภาพ 7.1
ภาพท่ึ 7.1 โครงสรา งของวติ ามินเอ (หรือเรตินอล)
ท่มี า (นยั นา บุญทวียวุ ฒั น,2546, หนา 305 )
ในป ค.ศ.1912 ฮอบกินส (Hopkins) ไดเล้ียงหนูดวยอาหารบริสุทธิ์ปรากฏวาหนูเจริญเติบโต
ชา แตถ าเตมิ นมลงไปเล็กนอ ย จะทําใหการเติบโตเปนปกตไิ ด และในเวลาใกลเคียงกัน ออสบอรน และ
เมนเดล (Osborne and Mendel) ไดศึกษาการเจริญเติบโตในหนู โดยเลี้ยงดวยอาหารบริสุทธ์ิรวมกับ
ไขมันชนิดตางๆ ปรากฏวาถาใชไขมันจากนํ้ามันหมู หรือน้ํามันพืชอัลมอนด หนูจะไมเจริญเติบโต
นัยนตาแหงอักเสบและเปนหนอง แตเม่ือเติมน้ํามันตับปลา ไขมันจากเนยหรือไขแดงลงไปดวย หนูจะ
เจริญเติบโตไดดี โรคของนัยนตาก็หายไป แสดงวานํ้ามันตับปลา ไขมันจากเนย และไขแดงมีสารรักษา
อาการดังกลาวได (สิริพนั ธุ จลุ กรังคะ, 2545, หนา 114)
194
ป ค.ศ.1913 มีนักวิทยาศาสตรสองกลุมคือ ออสบอรน และ เมนเดล (Osborne & Mendel)
นักวิจัยท่ีมหาวิทยาลัยเยล และแมคคอลลัม กับเดวิส (Mc.collum and Davis) นักวิจัยแหง
มหาวิทยาลัยคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา พวกเขาพบวาสัตวทดลองที่ยังมีการเจริญเติบโต เมื่อเล้ียง
ดวยอาหารทข่ี าดไขมันตามธรรมชาติจะไมแขง็ แรงและไมเจรญิ เตบิ โต หลงั จากนน้ั ตาจะอักเสบแดงเปน
แผล แตพอใหกินอาหารที่มีไขมันตามธรรมชาติ เชน เนย หรือนํ้ามันตับปลา อาการตางๆ จะหายอยาง
รวดเร็ว (สมทรง เลขะกลุ , 2543, 14)
ป ค.ศ. 1919 นักวิจัยช่ือ สตีนบอค (Steenbock) แหงมหาวิทยาลัยคอนซิน พบวามันเทศ
สเี หลืองและแครอทชวยใหส ัตวทดลองเจริญเตบิ โตไดต ามปกติ และยังมสี ารที่จําเปน ตอการสืบพันธุ แต
มนั ฝร่ัง หวั บที และผักอ่ืนๆ ที่ไมไดมีสีเหลือง ไมมีสารท่ีจําเปนนี้ สัตวทดลองที่กินขาวโพดเมล็ดสีเหลือง
ก็เจริญเติบโตและสืบพันธุได แตสัตวทดลองท่ีกินขาวโพดเมลด็ สีขาวจะไมโต และมีอาการของโรคขาด
สารอาหาร (อมรรตั น เจริญชยั , 2548, หนา 373)
ป ค.ศ.1931 คารเธอร ( Karrer) ไดแยกเรตนิ อลไดเ ปน คร้ังแรก (สริ ิพันธุ จุลกรังคะ, 2545, หนา
114)
ป ค.ศ. 1946 มิลลาส (Milas) สามารถสังเคราะหเรตินอลได (สิริพันธุ จุลกรังคะ, 2545, หนา
114)
ป ค.ศ.1947 จอรชวาลด (George Wald) สามารถอธิบายบทบาทของวิตามินเอในแงชีวเคมีท่ี
เก่ยี วขอ งกบั การมองเห็นได (สมทรง เลขะกลุ , 2543, 14)
หนา ทข่ี องวติ ามินเอ
วิตามินเอ มหี นาทีส่ ําคญั ดังน้ี
1. สงเสริมการเจรญิ เติบโต
วิตามินเอ มีหนาท่ีเก่ียวของกับการเจริญเติบโตของกระดูกและเนื้อเย่ือตางๆ เน่ืองมาจาก
วิตามินเอ มีผลตอการสังเคราะหโปรตีนและการเปล่ียนภาพของเซลลกระดูก นอกจากน้ีวิตามินยังทํา
หนาท่ีในการสรางฟนในระยะแรกของชีวิต โดยจําเปนสําหรับเซลลเย่ือบุผิวท่ีทําหนาที่สรางอีนาเมล
(enamal) ของฟน ถาขาดวิตามินเอจะทําใหกระดูกเจริญชากวาเนื้อเยื่อ และผิดรูป เชน กะโหลกศีรษะ
เติบโตชากวาสมองทาํ ใหมีอาการของประสาทถูกกด นอกจากนี้ยังทําใหฟนผุงายเน่ืองจากการสรา ง
อีนาเมลบกพรอ งไป
195
2. เกี่ยวของกบั ผวิ หนงั และเยอ่ื บตุ างๆ
ชวยบํารุงรักษาเซลลเย่ือบุผิว (epithelial tissue) ของอวัยวะตางๆ ในรางกาย วิตามิน
ปองกันการสรางเคราตินมาปกคลุมท่ีเนื้อเยื่อบุผิว (keratinizing epithelium) และชวยในการ
สังเคราะหไ กลโคโปรตีน (glycoprotein) และมวิ โคพอลแิ ซคคารไ รด (mucopolysaccharide) หล่ังสาร
เมือก (mucus) ออกมาหลอเล้ียงเซลลเพื่อทําใหเซลลเกิดความชุมช้ืนอยูตลอดเวลา เชน เย่ือบุตาขาว
(conjunctiva) เยื่อบุทางเดินหายใจ (tracheobronchial tract) เย่ือบุทางเดินอาหาร (gastrointestinal
tract) เยื่อบุทางเดนิ ปสสาวะ (genitourinary tract) เปนตน
3. เกยี่ วขอ งกับการมองเห็น
ที่เรตินาของตามีเซลลรับภาพสองชนิดดวยกันคือ เซลลภาพกระบอก (rods) และเซลลภาพ
กรวย (cones) เซลลภาพทรงกระบอกจะทํางานในที่ๆ มีแสงออนหรือแสงสลัว สวนเซลลภาพกรวย
ทํางานในที่มีแสงสวางมาก วิตามินเอเปนสวนประกอบของสารที่ทําใหมองเห็นในเซลลภาพ
ทรงกระบอกและเซลลภาพกรวย โดยสารโรดอปซิน (rhodopsin) หรือสารสีมวง (visual purple) อยูใน
เซลลภาพทรงกระบอก สวนสารไอโอดอปซิน (iodopsin) เปนสารสีท่ีอยูในเซลลภาพกรวย สารสีท่ีชวย
ในการมองเห็นจะมีสวนประกอบของวิตามินเอในรูปเดียวกัน คือ เรตินาล (retinal) แตจะมี
สวนประกอบท่ีเปนโปรตีนตางกัน ซ่ึงโปรตีนในโรดอปซิน ช่ือ ออปซิน (opsin) ในการมองเห็นในที่ท่ีมี
แสงสวาง ออปซินกับเรตินาลจะหลุดออกจากโรดอปซิน จากนั้นอะตอมในโมเลกุลของเรตินาลจะเรียง
ตัวกันใหมอยูในสภาพของ ทรานส-เรตินาล (trans-retinal) ซ่ึงในที่มืดโรดอปซินจะเกิดขึ้นใหมและ
ทรานส-เรตินาล จะเรียงตัวกันใหมในรูปของ 11 ซิส-เรตินาล (11-cis-retinal) ซึ่งจะรวมตัวกับออปซิน
เกิดเปน โรดอปซิน ในการเปล่ียนแปลงนี้วิตามินเอบางสวนจะสลายตัวไป ทําใหตองไดรับวิตามินเอ
เพิ่มขึ้น ดังนั้นถาเราอยูในท่ีมืดนานๆ เรตินาลและออปซินจะรวมตัวกับโรดอปซินเกือบหมด วิตามินเอ
จํานวนมากจะเปลี่ยนเปนเรตินาลซึ่งจะเปลี่ยนไปเปนโรดอปซิน เมื่อมีโรดอปซินจํานวนมากเซลลภาพ
ทรงกระบอกจะทํางานไดดขี ึ้น มองเหน็ ไดแมมีแสงเพยี งเล็กนอย ถาตองโดนแสงจาทันทีทันใด เชน เปด
ไฟ หรือไฟสองเขาตา ตาจะพราจนมองไมเห็น แตถาเราอยูในท่ีๆมีแสงสวางมากนานๆ โรดอปซิน
จํานวนมากจะสลายตัวเปนเรตินาล และออปซิน และเรตินาลเองจะเปลี่ยนไปเปนวิตามินเอ ตาจะ
มองเห็นในที่มืดไดนอยลง โรคตาบอดเวลากลางคืน เปนอาการโรคขาดวิตามินเอ เมื่อระดับวิตามินเอ
ในเลอื ดลดลง ปริมาณวติ ามินเอ เรตินาล และโรดอปซินจะลดลง ทาํ ใหไมสามารถมองเห็นไดในที่มีแสง
196
ออนหรือแสงสลัว แตในเวลากลางวนั สามารถมองเห็นไดอยางชัดเจน (อมรรัตน เจริญชัย,2548, หนา
377-378)
จอรช วาลด (George Wald) และคณะ เปนผูคนพบวงจรการมองเห็นในท่ีมีแสงสลัวหรือท่ีมืด
ในป ค.ศ.1953 โดยเขาพบวา เมอ่ื โปรตีนออปซินท่ีอยใู นเซลลภ าพทรงกระบอกของเนื้อเย่ือจอตารวมกับ
วิตามินเอ ซ่ึงอยูในภาพของเรตินอลทําใหเกิดสารประกอบโรดอปซิน ซึ่งชวยใหมองเห็นในท่ีมีแสงสลัว
หรอื ที่มืด ซึง่ ผลจากการคน พบดังกลาวทําให จอรช วาลด ไดร บั รางวลั โนเบล ในป ค.ศ. 1967
4. วติ ามินเอจาํ เปนตอ การทํางานของระบบสืบพนั ธุ
การสรางอสุจิในชาย และระบบประจําเดือนในผูหญิง ถาหญิงที่อยูระหวางการต้ังครรภ
ไดรับวิตามินเอในปริมาณท่ีไมเพียงพอจะทําใหเด็กมีโครงสรางท่ีผิดปกติ วิตามินเอท่ีอยูในรูปของ
เรตนิ อลจะมปี ระสิทธิภาพในการกระตนุ การสืบพนั ธุ
5. บทบาทตอการตานการเกดิ มะเร็ง
วิตามินเอมีความสัมพันธกับการปองกันการเกิดโรคมะเร็ง (anticancer function) โดย
เฉพาะท่ีปอด เตานม ปาก หลอดอาหาร และกระเพาะปสสาวะ เน่ืองจากมีบทบาทในการเปนสารตาน
การออกซิเดชั่น (antioxidant) ซึ่งปองกันไมใหอนุมูลอิสระ (free radical) ทําลายเซลล (cell
membrane)
การดูดซมึ การขนสง และการสะสมวิตามนิ เอ
รางกายไดรบั วิตามนิ เอจากอาหารในรปู ของเรตินลิ เอสเตอร (retinyl esters) และเบตาแคโรทีน
(β-carotene) ซ่ึงถูกดูดซึมท่ีลําไสเล็กในปริมาณสูงสุดถึงรอยละ 70-90 วิตามินเอที่ถูกดูดซึมนี้จะรวม
กับไขมนั ที่ถกู ดดู ซึมเปนไคโลไมครอนของวิตามินเอ (chylomicron vitamin A) เพื่อขนสงผานนํ้าเหลือง
เขา สกู ระแสเลือดไปยงั ตบั ซ่ึงเปนแหลงสาํ คญั ในการสะสมวติ ามนิ เอ รวมทัง้ ควบคุมการสง เรตินอลออก
จากตับ โดยรวมกับ retinol binding protein (RBP) ไปยงั อวัยวะ
วิตามินเอรอยละ 85-90 ถูกเก็บสะสมไวที่ตับ สวนท่ีเหลือจะถูกเก็บสะสมไวท่ีเนื้อเยื่อ ไขมัน
ปอด ไต การเก็บสะสมท่ีตับจะเปนไปอยางชาๆ และถึงจุดอ่ิมตัวในชวงวัยหนุมสาว วิตามินเอที่ถูกเก็บ
สะสมจะถูกปลอยออกมาจากตับเพ่ือชดเชยในกรณีท่ีไดรับวิตามินเอในแตละวันไมเพียงพอกับ
ทรี่ า งกายตองการ (วนี สั ลีฬหกลุ และคณะ, 2545, หนา 82)
197
ปริมาณวิตามนิ เอที่ควรไดร ับ
ความตองการวิตามินเอขึ้นอยูกับอายุ เพศ ซ่ึงมีความแตกตางกันในนํ้าหนักตัว วิตามินเอท่ี
ไดรับจากอาหารควรมีสัดสวนของวิตามินเอที่ไดจากสัตวประมาณรอยละ 90 และแคโรทีนอยด
ประมาณรอยละ 10 และอาหารท่ีบริโภคตองมีไขมันพอควร (ประมาณ 5-10 กรัม) โดยคณะกรรมการ
จัดทําขอกําหนดสารอาหารท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย ไดกําหนดปริมาณวิตามินเออางอิงที่
ควรไดรับประจาํ วันสาํ หรบั คนไทย (พ.ศ. 2546) ดงั แสดงในตารางท่ี 2.8
แหลง อาหารทใี่ หว ติ ามินเอ
วิตามินเอพบเฉพาะในสัตวเทาน้ัน ซ่ึงอยูในรูปเรตินอล เรตินอลเอสเทอร เรตินาล และกรด
เรติโนอิก (retinoic acid) อาหารที่มีวิตามินเอมากที่สุดคือ น้ํามันตับปลา โดยเฉพาะปลาคอดและปลา
ทูนา นอกจากน้ียังพบวิตามินเอมากในตับของสัตวตาง ๆ ไขแดง นํ้านม และผลิตภัณฑนม อาหารที่ได
จากพืชไมมีวิตามินเอ แตมีสารประกอบแคโรทีนอยด ที่ละลายไดในไขมันและน้ํามันเชนเดียวกัน
สามารถเปล่ียนเปนวิตามินเอไดที่ผนังลําไสเล็ก ตับ และไต จึงเรียกแคโรทีนอยดวาเปนโปรวิตามินเอ
(provitamin A) แคโรทีนอยดพบมากในพืชท่ีมีสีเขียวและสีเหลือง และผลไมท่ีมีสีเหลืองหรือสีสมแดง
ตวั อยางเชน แครอท ฟกทอง มะละกอสุก มะเขือเทศ ใบคะนา ใบยอ และใบตําลึง ดังนั้นการบริโภคผัก
ใบเขยี ว แครอทหรอื ฟก ทองตองผดั ดวยนา้ํ มนั จึงจะทําใหร า งกายไดรบั แคโรทนี อยด
แคโรทีนอยดท ี่พบในธรรมชาตมิ ีหลายชนิด ไดแ ก แอลฟา-แคโรทีน เบตา -แคโรทีน และแกมมา-
แคโรทีน แคโรทีนชนิดที่มีประโยชนตอรางกายมากที่สุดคือ เบตา-แคโรทีน ซึ่งนอกจากจะเปน
provitamin A แลวยังทําหนาที่เปนสารตานออกซิเดช่ันใหแกรางกาย ชวยทําลายอนุมูลอิสระท่ีเกิดขึ้น
ในรา งกาย จึงเปนสารที่ชวยชะลอความแกแ ละยับยั้งการเกดิ มะเร็งไดในอาหารบางชนดิ
ผลจากการไดร ับวติ ามินเอในปริมาณไมสมดุล
การไดรับวิตามินเอในปริมาณท่ีไมเพียงพอ และมากเกินไป มีผลตอพยาธิสภาพตางๆ ที่เกิด
ข้นึ กบั รางกาย ดงั น้ี
1. การขาด หรอื ภาวะพรองวิตามินเอ (vitamin A deficiency)
การขาดวิตามินเอ จะพบอาการแสดงดังตอไปนี้
1.1 สายตา จะมีอาการตามวั ในเวลากลางคืน (night blindness or nyctalopia)
1.2 ผิวหนงั และเยือ่ บตุ างๆ
198
1) ผิวหนัง พบวาผิวหนังจะแหง เหี่ยวยน ผิวคล้ํา แหงเปนสะเก็ด ผม
และขนจะแหงไมมีความมัน เล็บมือเล็บเทาจะเปนรองตามยาวของเล็บ และมีตุมแข็งตามรูขุมขนมี
ลักษณะเหมือนหนังคางคก (follicular hyperkeratosis or phrynoderma) ลักษณะความผิดปกติ
ของผิวหนังที่เกิดข้ึนในลักษณะนี้ยังสามารถพบไดในคนที่ขาดกรดไขมันที่จําเปน ขาดวิตามินบี ถูก
แสงแดดมาก ขาดการรักษาความสะอาด การใชกรดเรติโนอิคทาท่ีผิวหนังจะทําใหเกิดการอักเสบและ
ภาวะของผวิ หนังดขี น้ึ โดยไมเ กิดพิษตอ ระบบตา งๆ ของรา งกาย
2) เยื่อบุตาขาวจะแหง (conjunctival xerosis) ถาแหงมากขึ้นจะเห็น
เปนจุดหรือบรเิ วณสีขาวเทามกั พบทางดา นหางตา เรียกวา เกล็ดกระด่ี (bitot’s spots) (ภาพที่ 7.2 ก)
3) แกวตา (cornea) พบการเปลี่ยนแปลงท่ีเรียกวา “ซีรอบธาลเมีย”
(xerophthalmia) เร่ิมตนดวย แกวตาดําแหง (corneal xerosis) เกิดเปนแผล (corneal ulcer) ติดเชอ้ื
งาย ถาทิ้งไวจะติดเช้ือลึกลงไป ทําใหเกิดแผลเปน (corneal scar) ถาเปนมากข้ึนเรื่อยๆ จะทาํ ให
แกวตานุมลง (keratomalacia) อาจเกิดการทะลุและติดเชื้อทั่วทั้งลูกตา (panophthalmitis) หรือตา
บอด (ภาพที่ 7.2 ข) ไดในท่ีสุดนอกจากนี้ยังพบการติดเชื้องายของเย่ือบุทางเดินหายใจ ทางเดิน
ปส สาวะ และทางเดินอาหาร เนอ่ื งจากมกี ารเปลีย่ นแปลงของเยอื่ บุ ทําใหไมแข็งแรง
(ก) (ข)
ภาพท่ี 7.2 อาการทางตาทเ่ี กดิ ขึน้ จากการขาดวิตามนิ เอ
(ก) เกลด็ กระด่ี
(ข) ตาบอด
ท่มี า (วชิ ยั ตันไพจติ ร, 2530, หนา 89)
199
4) กระดูก การเจริญเติบโตของกระดูกชาลง ถาขาดวิตามินเอต้ังแต
เด็ก อาจทําใหอัตรา การเจริญเติบโตของกะโหลกไมสัมพันธกับการเจริญเติบโตของสมอง อาจกด
ระบบประสาทเกดิ อาการอัมพาต (paralysis)
5) ฟน มีความผิดปกติในการสรางชั้นเคลือบฟน (enamel) ทําใหฟนไม
แขง็ แรง
6) เกิดการติดเช้ือ การขาดวิตามินทําใหติดเช้ือตางๆ ไดงาย เน่ืองจาก
เยือ่ บุชนดิ เมือกซ่งึ เปนเสมอื นเกาะปอ งกันนนั้ เสื่อมหรือไมม ี
การรักษาการขาดวติ ามนิ เอแบบเฉยี บพลันสามารถทาํ ไดโ ดยการใหว ติ ามนิ เอรบั ประทานใน
ปรมิ าณสงู รว มกบั การแกไ ขภาวะการขาดโปรตีนและพลงั งาน โครงการรณรงคแกไ ขปญหาการขาด
วิตามนิ เอในประเทศกําลังพัฒนา ทาํ ไดโ ดยการใหว ติ ามนิ เอขนาด 50,000-200,000 IU (15,000-
60,000 g.RE.) ในเดก็ เลก็ ทม่ี ีความเสยี่ งตอ การขาดวิตามนิ เอทาํ ใหล ดอตั ราการตายไดร อยละ 35-70
แตว ธิ กี ารนมี้ คี า ใชจา ยสูง ดงั นนั้ การรักษาในระยะยาวควรใชก ารใหค วามรแู ละการปรบั เปลีย่ น
พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารใหป ระชาชนเลือกบรโิ ภคอาหารทมี่ ีวิตามนิ เอสงู
2. ภาวะวติ ามินเอเกนิ (hypervitaminosis A)
อาการพษิ จากวติ ามนิ เอ พบไดในเดก็ มากกวาผูใหญ มี 2 แบบคือ
2.1 แบบเฉียบพลัน (hypervitaminosis) เกิดจากการไดรับเรตินอลเกินกวา 200 มิลลิกรัม
(660,000 IU) ในผูใหญ หรือมากกวา 100 มิลลิกรัม (330,000 IU) ในเด็ก อาการแสดงที่ปรากฏไดแก
คล่ืนไส อาเจียน ออนเพลีย ปวดศีรษะ เบ่ืออาหาร ปวดขอและกระดูก ตับถูกทําลาย และในเด็กทารก
อาจเกดิ การโปงพองของกระหมอ มได
2.2 แบบเร้ือรัง เกิดจากการใชวิตามินเสริม (supplements) อยางไมถูกตอง เชน
รับประทานวิตามินเอ ขนาด 10 เทา ของ RDA หรือ 4.2 มิลลิกรัม เรตินอล (33,000 IU) อาการแสดงท่ี
ปรากฏ ไดแก เบื่ออาหาร น้ําหนักลด ปวดกระดูกและขอ ผิวหนังแหงเปนสะเก็ด (scaly dermatitis)
ปากแหงแตกเปนแผล ผมรวง ตับมามโต ทองเสีย อาการตางๆ จะหายไปภายหลังจากการงดการกิน
วิตามินเสรมิ ดังนั้นจงึ ควรหยุดรบั ประทานวิตามินเอทกุ ชนดิ
สําหรับเบตาแคโรทีน จากการศึกษาในสัตวทดลองพบวาไมเปนสารกอมะเร็ง (carcinogenic)
การกลายพันธุ (mutagenic) หรือทําใหตัวออนมีความผิดปกติ (teratogenic) แตสําหรับการบริโภค
อาหารที่มีเบตาแคโรทีนสูงเปนระยะเวลานานๆ จะทําใหผิวหนังมีสีเหลือง ซึ่งเกิดจากการจับตัวของ
200
เบตาแคโรทีนท่ีบริเวณเน้ือเย่ือ แตเย่ือบุตาขาวไมเหลือง ซ่ึงแตกตางจากโรคดีซาน (jaundice) และ
สีเหลืองท่ีผิวหนังจะหายไปในระยะเวลาสั้นๆ ภายหลังจากหยุดรับประทานอาหารท่ีมีเบตาแคโรทีน
(วีนัส ลฬี หกลุ และคณะ, 2545, หนา 88)
การวัดปริมาณวิตามินเอ
หนวยที่ใชแสดงปริมาณวิตามินเอเปนหนวยสากล (internation units : IU) แตการแสดงถึง
ปฏิกิริยาของวิตามินเอในทางเคมีเปนไมโครกรัมของเรตินอล เบตาแคโรทีน หรือ แคโรทีนอยด มีความ
จําเปนในการคํานวณปริมาณของวิตามินเอในอาหารโดยท่ีเปนคาที่ไดจากการรวมวิตามินเอและ
แคโรทีนอย ซึ่งพบในอาหารในอัตราสวนท่ีตางกัน และมีปฏิกิริยาในส่ิงมีชีวิต (biologic activity)
ทีแ่ ตกตางกันดงั นี้
1 RE = 1 ไมโครกรมั เรตนิ อล
= 6 ไมโครกรมั เบตา แคโรทีน
= 3.33 IU วิตามินเอ จากเรตนิ อล
= 10 IU วติ ามินเอ จากเบตาแคโรทนี
การสูญเสียวิตามนิ เอ
ในกระบวนการแปรรูปอาหารหรือระหวางเก็บรักษา วิตามินเอและแคโรทีนถูกทําลายได
ประมาณรอยละ 5-40 ในภาวะท่ีไมมีออกซิเจนและอุณหภูมิสูง วิตามินเอจะถูกทําลายโดยปฏิกิริยา
ไอโซเมอไรเซชนั (isomerization) และการแยกสลายโมเลกุล (fragmentation) แตใ นภาวะทม่ี ีออกซเิ จน
วิตามินเอและแคโรทีนจะถูกทําลายโดยปฏิกิริยาออกซิเดช่ัน (oxidative degradation) อัตราเร็วของ
ปฏกิ ริ ิยาออกซเิ ดช่นั จะขึ้นอยูกับความดันยอย (partial pressure) ของออกซิเจน อุณหภูมิ และ aw ของ
อาหาร วิตามินเอยังสลายตัวไดงา ยในนํ้ามนั แร (mineral oil) แตจะคงตวั ในภาวะทเี่ ปน ดา ง และภาวะที่
ใชแปรรปู อาหารตามปกติ เชน การพาสเจอรไ รสเ ซชนั นา้ํ นมจะไมสญู เสยี วิตามินเอและแคโรทีน แตจะ
สูญเสียเม่อื นํา้ นมสมั ผสั กับแสง ดังนน้ั การใชภ าชนะบรรจนุ ้าํ นมทท่ี บึ แสงจะชว ยรกั ษาวิตามนิ เอได
201
วิตามนิ ดี (Calciferol)
วิตามินดี มีชื่อทางเคมีวา “แคลซิเฟอรอล” (calciferol) คํานี้ในภาษากรีกแปลวา พาหะของ
แคลเซียม วิตามินดีบริสุทธ์ิเปนผลึกสีขาว ไมมีกล่ิน ละลายไดดีในไขมันและสารละลายไขมัน เชน
อีเทอร คลอโรฟอรม อะซิโตน และแอลกอฮอล วิตามินดีทนความรอน ไมสลายตัวไดงายเมื่อถูก
ออกซิเจน กรดและดา ง มสี ูตรทางเคมีคือ C28H43OH (อัจฉรา ดลวทิ ยาคุณ, 2550, หนา 93-94)
ประวัติการคน พบวติ ามนิ ดี
วิตามินดี สามารถปองกันและรักษาโรคกระดูกออน (rickets) โรคน้ีเปนกันมากในประเทศเขต
หนาว เชน อังกฤษ ประเทศตางๆ ในยุโรป และอเมริกา กอนที่จะรูจักวิตามินดีเด็กจะเปนโรคกระดูก
ออนกันมาก
ป ค.ศ. 1890 พาลม (Plam) นายแพทยชาวอังกฤษไดสังเกตวา เม่ือมีแสงแดดมาก เด็กจะไม
คอยปวยเปนโรคกระดูกออ น แตใ นทีไ่ มม ีแสง เด็กๆ จะปวยเปนโรคกระดกู ออ นกนั มาก
ป ค.ศ. 1919 เมลลเลนบี (Mellanby) ไดแสดงใหเหน็ วา โรคกระดกู ออ นเปน โรคขาดสารอาหาร
โดยเขาไดทําการทดลองใหสุนัขกินอาหารผสมที่มี นม ขาว กับเกลือ พบวาลูกสุนัขเปน โรคกระดูกออน
จากนั้นทาํ การรกั ษาโดยใหกินนา้ํ มนั ตับปลา เพราะเขาคดิ วา สารท่ีรักษาโรคกระดูกออนไดคือ วิตามินเอ
ป ค.ศ. 1922 แมคคอลลัม (McCollum) พบวา แมจะทําลายวิตามินเอในนํ้ามันตับปลาโดย
วิธีการเติมออกซิเจนแลว นํ้ามันตับปลาน้ันยังใชรักษาโรคกระดูกออนได แสดงวานํ้ามันตับปลามี
วิตามิน 2 ชนิด ชนิดแรก คือ วิตามินเอ และชนิดที่ 2 คือ สารท่ีรักษาโรคกระดูกออน และแมคคอลลัม
เรยี กชอ่ื วา “วิตามิน ด”ี
ป ค.ศ. 1924 สตีนบอค (Steenbock) แสดงใหเ หน็ วาแสงแดดปอ งกนั โรคกระดูกออ นได โดยใช
แสงอลุ ตราไวโอเลตทาํ ใหอาหารและสตั วท ดลองสรางสารตานทานโรคกระดูกออ น
ป ค.ศ. 1930 นกั โภชนาการไดแสดงใหเ ห็นวาสามารถปองกันและรักษาโรคกระดูกออนได เม่ือ
ไดรับแสอุลตราไวโอเลต หรือกินอาหารท่ีผานรังสีอุลตราไวโอเลต หรือกินน้ํามันตับปลา และในป
เดียวกัน มกี ารแยกวิตามนิ ดอี อกมาเปน ผลึก และใหชอ่ื วา “แคลซิเฟอรอล” (calaiferol)
ป ค.ศ. 1936 วินดาส (Windaus) พบวา ทใี่ ตผ ิวหนังมสี ารท่เี มือ่ ถูกรังสีอุลตราไวโอแล็ตสามารถ
เปลี่ยนเปนวิตามินดีได สารนั้นคือ “7-ดีไฮโดรโคเลสเตอรอล” (7-dehydrocholeterol) (อมรรัตน เจริญ
ชัย, 2548, หนา 386)
202
การแบงประเภทของวติ ามนิ ดี
วติ ามินดสี ามารถแบงตามแหลงที่มาของวิตามนิ ได 2 ชนดิ ดังนี้
1. วิตามนิ ดี 2 (ergocalciferol)
เปน สารประกอบประเภทสเตรอยดท พี่ บในพชื เปนสารต้ังตนของวติ ามินดี 2 เมื่อถูก
แสง วติ ามินดี 2 ตรงคารบอนท่ีเปนวง B แตกออกเปนวิตามินดี 2 (ergocalciferol) จากการสังเคราะห
วิตามินดีในพืชโดยใชแสงเปนตัวกระตุน นํามาใชประโยชนในสัตวกินพืช ในฟารมวัวมักจะนําอาหาร
ประเภทหญามาตากแดดไวกอนที่จะใหวัวกินเพื่อใหไดรับวิตามินดีจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของ
ergocalciferol เสยี กอน ดังภาพที่ 7.3
ภาพท่ี 7.3 การสงั เคราะหวติ ามินด2ี (ergocalciferol) ในพืชและการสังเคราะหวิตามินดี 3
ในสัตว เมอื่ ไดร ับแสงแดด
ทม่ี า (นยั นา บุญทวียวุ ฒั น, 2546, หนา 320)
203
2. วิตามนิ ดี 3 (cholecalciferol)
วิตามินดี3 สามารถสังเคราะหไดจากโปรวิตามินดี 3 (provitamin-D3) คือ 7-ดีไฮโดร
โคเลสเตอรอลซ่ึงเปนอนุพันธของโคเลสเตอรอล โดยโคเลสเตอรอลจะถูกดึงไฮโดรเจนออกที่คารบอน
ตําแหนงที่ 7 ไดเปน 7-ดีไฮโดรโคเลสเตอรอล ท่ีเก็บไวที่ไขมันใตผิวหนัง เมื่อถูกแสงอุลตราไวเลต
(ความยาวคล่ืนแสง 290-315 นาโนมิเตอร) ซึ่งเปนคลื่นแสงหน่ึงในแสงแดด 7-ดีไฮโดรโคเลสเตอรอล
ท่ีตําแหนงคารบอนวง B จะแตกออก ซึ่งจะไดสารประกอบท่ีมีโครงสรางคลายกับวิตามินดี เรียกวา
พรีวติ ามินด3ี (previtaminD3) จากน้นั พรีวติ ามินดี 3 จึงเปล่ยี นเปน วิตามินดี 3 ภาพที่ 7.4
ภาพท่ี 7.4 การสังเคราะหวิตามินดี 3 จาก 7 - dehydrocholesterol ซ่ึงเปน provitamin D3 ที่
ผิวหนังของคนและสัตว เม่ือมีแสงแดดซึ่งมีแสงอุลตราไวโอเลต จะกระตุน 7-dehydrocholesterol ให
ไดสารท่ีมีโครงสรางคลายวิตามินดี 3 เรียกวา previtamin D3 ซึ่งจะเปล่ียนเปนวิตามินดี 3 ในท่ีสุด โดย
ไมต อ งใชแสง
ท่มี า (นยั นา บญุ ทวียุวฒั น, 2546, หนา 321)
204
การสังเคราะหวิตามินดี 3 ข้ึนอยูกับความเขมของแสงและเวลาในการรับแสง คนผิวดําจะ
ดูดกลนื แสงไดมากกวา คนผวิ ขาว เน่ืองจากเม็ดสีเมลานินมีมากในคนผิวดําทําใหรับแสงไดดีกวา แตจะ
ทําให 7-ดีไฮโดรโคเลสเตอรอล รับแสงไดนอยลง หรืออีกนัยหน่ึงเม็ดสีเมลานินเปนตัวปองกันแสงตอ
ผิวหนัง ในคนผิวขาว 7-ดีไฮโดรโคเลสเตอรอล จะรับแสงและสังเคราะหพรีวิตามินดี 3 (previtamin D3)
ไดด ี แตอยางไรก็ตามการไดรับแสงแดดเปนเวลานานถึงแมจะมีการสังเคราะหพรีวิตามินดี 3 มาก แต
ไมมีผลตอการเปล่ียนเปนวิตามินดี 3 มากข้ึน เนื่องจากพรีวิตามินดี 3 ที่ไดจะสลายเมื่อถูกแสง
ไดไ อโซเมอรของพรีวิตามินดี 3 ซ่ึงเปนสารประกอบเฉื่อย 2 ชนิด ไดแก ลูมิสเตอรอล (lumisterol) และ
เทชีสเตอรอล (tachysterol) ทั้งนี้เพื่อปองกันไมใหรางกายสรางวิตามินดีมากเกินไปจากการถูก
แสงแดดมากๆ
สําหรับการใชครีมกันแดด (sunscreen) ท่ีมีคาการปองกันแสงแดด (sun protection factor :
SPF) มากกวา 8 จะมีผลตอการลดการสังเคราะหวิตามินดี 3 การใชครีมกันแดดจึงควรใชเฉพาะชวงที่
อยูกลางแดดเปนเวลานานเพื่อปองกันการเปนมะเร็งที่ผิวหนัง ผิวหนังไหม อักเสบ เปนผ่ืนแดง (นัยนา
บุญทวยี ุวัฒน, 2546, หนา 319-321)
อาหารท่ีมีวิตามินดีสูงไดแกนํ้ามันตับปลา ปลา ตับ ไขแดง นม และเนย ปริมาณของ
วิตามินดีในอาหาร จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล และภาวะแวดลอมตางๆ เชน การไดรับ
แสงแดด หรือปริมาณวิตามินในอาหารที่ใชเลี้ยงสัตว เปนตน อยางไรก็ตามนอกจากนํ้ามันตับปลา
และปลาบางชนิดแลว อาหารอนื่ ๆ จะใหว ิตามนิ ดีไดไ มเพียงพอตอความตอ งการของรางกาย ดังน้ันจึง
มีการเสริมวิตามินดีลงในนํ้ามัน นมผง มาการีน และอาหารทารกสําเร็จรูป เม่ือกินอาหารที่มีวิตามินดี
วิตามนิ ดจี ะดดู ซมึ ไปพรอ มกบั ไขมนั และอยใู นไคโลไมครอน เชน เดียวกับวิตามินเอ และไขมันอื่นๆ และ
เขาสรู ะบบนํ้าเหลืองและกระแสเลือด ภาวะการดูดซึมไขมันท่ีบกพรองจะมีผลทําใหการดดู ซึมวิตามินดี
และวิตามนิ ชนิดอ่นื ท่ลี ะลายในไขมนั ชนิดอืน่ ไดไ มดี
วติ ามินดี 2 และ วิตามินดี 3 มคี ุณสมบัติทางชีวภาพเทากัน รางกายไดวิตามินดี 2 จากอาหาร
ประเภทพืช และไดรับวิตามินดี 3 จากอาหารประเภทสัตว และจากการสังเคราะหบนผิวหนัง วิตามินดี
มีปริมาณนอยในอาหาร สวนใหญจะไดมาจากการสังเคราะหที่ผิวหนัง ดังนั้นรางกายจึงมีวิตามินดี 3
มากกวาวติ ามินดี 2 และวติ ามินดี 3 จงึ มคี วามสําคญั ตอรา งกายมากกวา วติ ามินดี 2
205
หนา ทขี่ องวิตามินดี
วิตามนิ ดี มีหนาท่สี ําคัญ ดังน้ี
1. ออกฤทธิ์ท่ีเซลลเยื่อบุลําไส โดยกระตุนใหมีการสังเคราะหโปรตีนท่ีจับยึดอยูกับ
แคลเซียม (calaium binding protein) ซ่ึงจําเปนสําหรับการดูดซึมของแคลเซียม ดังนั้นวิตามินดี จึง
ชวยใหม กี ารดดู ซมึ แคลเซยี มเพ่ิมมากขึ้น
2. รวมกับพาราไทรอยดฮอรโมนในการเพิ่มการสลายกระดูก ซ่ึงขับใหระดับซีรั่ม
แคลเซียมเพ่ิมสงู ขน้ึ นอกจากนั้นยงั เพม่ิ การดูดกลับของแคลเซยี มท่ีเซลลหลอดไต
3. เพ่ิมการดูดซึมของฟอสเฟตที่ลําไสเล็ก และเพิ่มการดูดกลับของฟอสเฟตท่ีเซลล
ของไต
การดดู ซึม การขนสง และการสะสมวติ ามินดี
วติ ามินดี ทีร่ บั ประทานเขาไปจะถูกดดู ซึมจากลําไสไปพรอมกับไขมันและนํ้าดี วิตามินท่ีไดจาก
ลําไสหรือผิวหนังตองรวมกับโปรตีนในกระแสเลือด (vitamin D plasma binding protein : DBP) และ
ถูกนําไปเก็บสะสมท่ีตับ ผิวหนัง สมอง กระดูก และเน้ือเยื่ออ่ืนๆ ผูสูงอายุที่มีสุขภาพดีจะมีการดูดซึม
วิตามินไดดีเทากับวัยหนุมสาว แตไมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมไดในกรณีที่
รับประทานอาหารท่ีมีแคลเซียมต่ํา ซึ่งอาจจะสงผลจากการเส่ือมของไต การตรวจวัดภาวะวิตามินดี
สามารถทําไดโดยทางออมโดยการหาความเขมขน ของอัลคาไลน ฟอสฟาเตส (alkaline phosphatase)
และแคลเซียมในซรี ั่ม (วนี สั ลีฬหกุล และคณะ, 2545, หนา 90)
ปรมิ าณวติ ามินดที ่คี วรไดรับ
ในเด็กแรกเกิดจะมีระดับวิตามินดีเพียงพอไปจนถึงอายุ 9 เดือน หลังจากน้ันเด็กตองไดรับ
วิตามินดีเสริมในรูปของอาหารเพ่ือปองกันโรคกระดูกออน สําหรับผูใหญวิตามินดีชวยในการสราง
กระดูกและคงความสมดุลของแคลเซียม และฟอสเฟตในรางกาย หญิงต้ังครรภและใหนมลูกควรไดรับ
วิตามินดีที่มากพอเพ่ือใหทารกในครรภเจริญเติบโต ในคนปกติวิตามินท่ีไดรับมาจากแสงแดดและการ
บริโภคอาหาร ในคนท่อี ยใู นท่ีรมไมถ ูกแสงแดด ใสเสอื้ ผาที่ปกคลุมรางกายอยางมิดชิด หรือคนท่ีทํางาน
ในเวลากลางคืนและอยูแตในท่ีรมในเวลากลางวัน รวมท้ังคนท่ีอยูใตน้ําเปนเวลานาน (นักดําน้ํา) คน
กลุมดงั กลาวควรไดรบั วิตามินดีเสริม
206
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารประจําวันสําหรับคนไทย ไดจัดทํา “ปริมาณ
สารอาหารอางอิงท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546” (Dietary Reference Intake :DRI)
ไดก าํ หนดปรมิ าณวิตามินดอี างอิงที่บุคคลในวยั ตา งๆ ควรไดรบั ดังตารางที่ 2.8
ผลจากการไดรับวติ ามนิ ดใี นปรมิ าณไมสมดลุ
การไดรับวติ ามินดี ในปริมาณทไ่ี มสมดลุ มผี ลใหเกิดความผิดปกตแิ กร างกาย ดังนี้
1. ผลจากการขาดวติ ามินดี
1.1 โรคกระดูกออนในเด็ก (rickets) การขาดวิตามินดีในเด็ก จะมีผลใหมีระดับ
แคลเซียมและฟอสฟอรัสตํ่า มีผลใหมีระดับแคลเซียมในกระดูกนอย กระดูกไมแข็งแรง และมีรูปรางที่
ผิดปกติ (skeletal deformities) เรียกวา “โรคกระดูกออ น” อาการแสดงท่ีสําคญั มดี งั นี้
1.1.1 การสรางกระดูกปดกระหมอมของกะโหลกศีรษะเกิดชา (delayed
closer of the fontanelles) ทําใหหนาผากขยายใหญมีลักษณะคลายกลอง (boxlike appearance)
การมีกะโหลกศรี ษะทไ่ี มแขง็ แรงเวลากดอาจจะยุบไดงาย (craniotabes)
1.1.2 กระดูกออนและเปราะ เน่ืองมาจากการขาดแคลเซียมที่ปลายกระดูก
เม่ือตองรับนํ้าหนักตัวขณะหัดเดิน กระดูกที่ยังไมแข็งแรงพอจึงโกงออกเปนวง (ภาพท่ี 7.5) นอกจากน้ี
อาจจะพบความผิดปกติของกระดูกซี่โครงที่ทําใหเกิดการโกงของกระดูกบริเวณหนาอกที่เรียกวา
“อกไก” (pigeon chest) และตรงบริเวณรอยตอของกระดูกซี่โครงยังมีลักษณะโปงเปนปมหรือเม็ด
กลมๆ คลายสรอยลูกประคํา (rachitic rosary) เกิดขึ้น และบางรายอาจจะมีกระดูกเชิงกรานท่ีแคบ
ผดิ ปกติ (narrowing of the pelvis)
1.1.3 มีการขยายของกระดูกขอตอตางๆ (enlargement of joints) เชน
กระดูกขอมือ ขอเทา และหัวเขาโปงโตผิดปกติ (ขาโกงเขาหากัน) กระดูกเหลานี้ไมแข็งแรงพอที่จะรับ
น้าํ หนักตวั เวลาเดนิ หวั เขา จะชนกัน (knock knees) สวนดา นปลายเทา จะเบนออก
1.1.4 ฟน ขึน้ ชา กระดูกฟน กระดกู ขากรรไกรผดิ รปู ราง และฟนผุเร็วกวาปกติ
1.1.5 การเจริญเติบโตโดยท่ัวไปชากวาปกติ กลามเนื้อไมแข็งแรง ออน
ปวกเปยก ทองยอ ยเนือ่ งจากกลามเน้อื หนา ทองไมแ ขง็ แรง ออ นเพลีย และเดนิ ไดชา กวาปกติ
207
ภาพท่ี 7.5 โรคกระดกู ออ นในเด็ก (rickets)
ท่ีมา (Brown,Judith E,1999)
1.2 โรคกระดกู ออ นในผใู หญ (osteomalacia)
การขาดวิตามินดี ในผูใหญอาจเกิดจากการขาดอาหารเปนผลใหมีการสะสม
แคลเซียมท่ีกระดูกนอยลง โครงสรางของกระดูกไมแข็งแรง เม่ือมีน้ําหนักตัวที่เพิ่มมากข้ึน จะทําใหขามี
รูปผดิ ไป เกดิ เปนโรคกระดูกออ น อาการแสดงของผูท เ่ี ปน โรคกระดูกออนในผูใหญ คือกระดูกจะออนตัว
ไมแ ขง็ แรง สวนใหญจะเกดิ ข้ึนท่ีบรเิ วณขา กระดูกสนั หลัง กระดูกทรวงอก และกระดูกเชิงกราน มักจะมี
รูปรางบิดเบ้ียวจนผิดภาพราง ผูปวยจะรสู ึกเจ็บปวดตามขอกระดูก บริเวณขาและตอนลางของกระดูก
สันหลัง มีอาการออนเพลีย ไมมีแรง เดินไมสะดวก โดยเฉพาะข้ึนบันไดจะเดินไมคอยไหว และ
กระดูกหักงาย โดยมากเกดิ ขน้ึ เอง
สําหรับโรคกระดูกออนในผูสูงอายุไมไดเกิดจากการขาดวิตามินดีโดยตรง แตเกิดจากการมี
อัตราการสลายเกลือแคลเซียมมากกวาการสะสมท่ีกระดูก ซ่ึงเกิดจากปจจัย เชน ระดับฮอรโมนเพศ
ลดลง ทําใหมีการสลายเกลือแคลเซียมมากกวาการสะสม อยางไรก็ดีการไดวิตามินดีที่เพียงพอจะลด
208
ความเส่ียงของการเกิดโรคกระดูกพรุน เพราะจะทําใหการดูดซึมแคลเซียมดีข้ึนและไปเพ่ิมเกลือ
แคลเซยี มท่กี ระดกู ทดแทนทส่ี ลายไปไดบ าง
1.3 อาการชกั
การชัก เกิดขึ้นจากการมีปริมาณแคลเซียมในเลือดต่ํากวา 7.5 มิลลิกรัมใน
เลือด 100 มิลลิลิตร ทําใหกลามเน้ือกระตุก เปนเหน็บ และชักได เนื่องจากมีการดูดซึมแคลเซียมและ
วิตามินดี ไดนอยกวาปกติ หรือตอมพาราไทรอยดถูกกระทบกระเทือน แพทยอาจจะใหเกลือแคลเซียม
หรอื อาหารทมี่ ีแคลเซียมและวิตามินดีในปริมาณทส่ี ูง เพอื่ ชว ยควบคุมการกระตุกของกลามเนื้อทเี่ กดิ ขน้ึ
อยา งเฉยี บพลนั ใหเ ปน ปกติ
2. ภาวะความเปน พิษของวติ ามนิ ดี
อันตรายจากการไดรับวิตามินดี มากเกินไป (hypervitaminosis D) มักพบในผูใหญที่
ไดร ับวิตามินดี วันละ 5,000 หนวยสากลตอวัน และในเด็กที่ไดรับวิตามินดี วันละ 1,000 หนวยสากล
ตอ วนั ในชวงเวลาหนึง่ อาการแสดงของการเปนพิษจากวติ ามินดี ไดแ ก อาการคลน่ื ไส อาเจียน ทองเดิน
กระหายนํ้าจัด ทองผูก นํ้าหนักลด ปสสาวะมากกวาปกติ และมีปสสาวะตอนกลางคืนมาก ถาอาการ
เปน พิษรนุ แรง ไตจะเสอื่ มเพราะถกู ทาํ ลาย เกิดการพอกพูนของแคลเซยี มที่เนื้อเย่ือท่ีออนนุมของอวัยวะ
ตางๆ เชน หัวใจ หลอดเลือด หลอดลม กระเพาะอาหาร หรืออาจเปนน่ิวที่ไต และถาไดรับวิตามินดีใน
ปริมาณมากเปน เวลานานจะเสียชวี ิตได
แหลง อาหารของวิตามนิ ดี
การไดรับแสงแดดอยางสมํ่าเสมอ จะทําใหรางกายสังเคราะหวิตามินดี ไดอยางเพียงพอ
สําหรับในอาหารตามธรรมชาติ แหลง อาหารทใี่ หว ิตามินดี ท่ีสําคัญ ไดแก ไขแดง ตับ เนย ปลาทะเลที่มี
ไขมันสูงๆ เชน ปลาทูนา ปลาเฮอรริง และปลาซารดีน เปนตน ตัวอยางอาหารที่ใหวิตามินดี แสดงใน
ตารางที่ 7.2
เน่ืองจากอาหารที่คนเราบริโภคมีวิตามินดีคอนขางตํ่า ดังนั้นจึงนิยมเติมวิตามินดีลงในอาหาร
บางชนิด เชน นาํ้ นม เนย และเนยเทยี ม ในน้ํานมมกี ารเติมวติ ามินดี 400 หนวยสากลตอควอรต และใน
เนยเทียมเติมวิตามินดี 500 หนวยสากลตอ 100 กรัม รางกายตองการวิตามินดีวันละ 400-500 หนวย
สากลหรือประมาณ 10-12 ไมโครกรัม คนที่ผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดบาง รางกายก็จะไดรับวิตามินดี
อยางเพียงพอ แตถา รางกายไดร บั มากเกินไปจะทําใหเ กดิ ความเปน พษิ ได
209
ตารางท่ี 7.2 ปรมิ าณวติ ามนิ ดใี นอาหารประเภทตา งๆ
ชนิดอาหาร ปริมาณอาหาร ปริมาณวติ ามินดีในอาหาร
ไมโครกรมั หนว ยสากล
นมแมห ลงั คลอด 30วนั 100 มลิ ลลิ ิตร 0.04 1.6
นํา้ มันตบั ปลา 15 มิลลิลติ ร 34.0 1360
น้าํ มนั ปลาเฮอรริง 15 มิลลิลิตร 20.0 800
หอยนางรม 99.2 กรัม (3.5 ออนซ) 16.0 640
ปลาชนิดตา งๆ 99.2 กรัม (3.5 ออนซ) 2.2 88
ไขปรงุ แลว 1 ฟอง 0.65 26
เนือ้ ววั 99.2 กรัม (3.5 ออนซ) 0.18 7
เนย 1 ชอ นโตะ 0.20 8
โยเกิรต 237 มิลลลิ ิตร (8 ออนซ) 0.10 4
ทม่ี า (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสขุ , 2546, หนา 215)
การสูญเสยี วิตามินดี
วิตามินดีคอนขางคงตัวในกระบวนการแปรรูปอาหาร และระหวางการเก็บรักษาอาหาร เชน
การพาสเจอรไรสเซชัน การสเตอริไลสเซชัน หรือการหุงตมจะไมทําลายวิตามินดี และไมละลายในนํ้า
แตวติ ามินดสี ลายตวั ไดง ายเมือ่ สัมผสั กับออกซเิ จนและแสง
วติ ามนิ อี (Tocopherol)
วิตามินอีเปนวิตามินในกลุมที่ละลายในไขมัน เปนกลุมของสารประกอบซึ่งรวมเรียกวา
โทโคเฟอรอล ซ่ึงเปนพวกแอลกอฮอลชนิดไมอิ่มตัว วิตามินอีมีลักษณะเปนนํ้ามันขนหนืด สีเหลือง
ละลายไดดใี นไขมนั มสี ตู รโมเลกลุ C29H50O2 นาํ้ หนกั โมเลกุล 430 สามารถละลายไดในไขมนั และตวั ทาํ
ละลายไขมัน คงทนตอความรอนไดสูงถึง 200 องสาเซลเซียส และทนตอกรด แตถูกทําลายไดงายเมื่อ
ถูกกับดาง แสงอุลตราไวโอเลต ออกซิเดช่ัน หรือในน้ํามันเหม็นหืน คุณสมบัติพิเศษของวิตามิน อี คือ
เปนสารปองกนั ออกซเิ ดชัน่ (antioxidation) ของสารอนื่ ๆ เชน วิตามินเอ และแคโรทีน
210
วิตามิน อี มีโครงสรางประกอบดวยคารบอนเปนวง ซ่ึงมีหมู –OH เรียกวา Tocol (6-
hydroxychromames, chromanol ring) และมีสายขางเปนไฮโดรคารบอน โครงสรางของวิตามินอี
แบงตามชนิดของสายขางไฮโดรคารบอนในโมเลกุล ไดเปน 2 กลุม คือ กลุมโทโคเฟอรอล ซึ่งมีสายขาง
เปนไฮโดรคารบอนที่ไมมีพันธะคู และกลุมโทโคไทรอีนอล (tocotrienol) ซ่ึงสายขางไฮโดรคารบอนมี
พันธะคู ดงั ภาพท่ี 7.6 แตล ะกลุมของโทโคเฟอรอล จะมี 4 ชนดิ เรียกตามความแตกตางของจาํ นวนและ
ตําแหนงของหมู –CH3 (methyl group) ในวงคารบอน ไดเปนชนิดแอลฟา (α) เบตา (β) แกมมา (γ)
เดลตา (δ) สําหรับในอาหารธรรมชาติ พบวิตามินท้ัง 8 ชนิด คือ α-tocopherol , β-tocopherol,
γ-tocopherol, δ-tocopherol, α-tocotrienol , β-tocotrienol, γ-tocotrienol, δ-tocotrienol ดังภาพ
ท่ี 7.7-7.8 (นยั นา บญุ ทวียุวฒั น, 2546, หนา 328-329)
ภาพท่ี 7.6 โครงสรา งหลกั ของวิตามนิ อี
1 โครงสรางหลักของวติ ามิน อี
2 วิตามนิ อี ชนดิ โทโคเฟอรอล
3 วิตามิน อี ชนิดโทโคไทรอีนอล
ทมี่ า (นัยนา บญุ ทวยี วุ ฒั น, 2546,หนา 328)
211
ภาพท่ี 7.7 โครงสรา งของวิตามนิ อี ชนดิ α-Tocopherol
ท่มี า (นยั นา บญุ ทวียวุ ฒั น, 2546,หนา 329)
ประวัตกิ ารคน พบวติ ามนิ อี
การคน พบวิตามินอี สามารถสรปุ ไดด ังนี้
ป ค.ศ. 1922 อีวานส สกอต และ บิชอพ (Evans,Scott & Bishop) ไดใหหนูกินอาหารทดลอง
สูตรหน่งึ ปรากฏวา หนเู หลา น้นั เตบิ โตอยา งปกตแิ ตไ มมีการเกิดลูก ทําใหนักคนควา ทงั้ สามเชื่อวา ท่ีเปน
เชนนั้นเพราะอาหารที่ใหหนูกินขาดสารท่ีจําเปน และไดใหชื่อสารน้ันวา “X” ซ่ึงตอมาเขาไดทําการ
ทดลองและพบวา ถาเติมน้ํามันที่ไดจากผักกาดขาว หรือจมูกขาวสาลี (wheat germ) ลงในอาหาร จะ
ชว ยใหห นเู หลา น้นั ต้ังทอ งไดตามปกติ
ป ค.ศ. 1925 ชวั ร (Sure) ไดยืนยนั การทดลองของ อีวานส และคณะ และพบตอไปวา สาร “X”
มีอยูในขาวที่ไมไดขัดสี ขาวโอต และขาวโพด และเขาจึงเสนอใหเรียกสาร “X” วา “วิตามิน อี” หรือ
“antisterility vitamin”
ป ค.ศ. 1928 อีวานส และ ชัวร (Evans & Sure) พบวา ลูกหนูที่เกิดจากแมท่ีขาดวิตามิน อี จะ
เปนอมั พาต และตอมาพบวา สตั วหลายชนิดเมื่อขาดวติ ามนิ อี จะเปน โรคกลา มเนอื้ ลบี และเปนหมัน
ป ค.ศ. 1936 อีวานส และคณะ ไดแยกวิตามิน อี ไดจากนํ้ามันจมูกขาวสาลี พบวาเปนสาร
พวกแอลกอฮอล และไดตั้งชอ่ื วา “อัลฟาโทโคเฟอรอล” (alpha tocopherol) ซ่ึงมาจากภาษากรกี คาํ วา
tokos หมายถงึ childbirth, phero คอื to bear และ ol คือ alcohol (สมทรง เลขะกลุ , 2543, หนา 90)
ป ค.ศ. 1938 เฟอรนโฮล (Fernholz) หาสูตรโครงสรางของ อัลฟาโทโคเฟอรอล และในป
เดยี วกันน้ี แคแรอร เปน ผสู ังเคราะหไ ด (สิริพันธุ จลุ กรงั คะ,2545, หนา 126-127 )
หนาทข่ี องวติ ามนิ อี
วิตามินอี เปนสารตานการเติมออกซิเจนปองกันไมใหกรดไขมันที่ไมอ่ิมตัวมากๆ ในเนื้อเย่ือ
ตางๆ รบั ออกซิเจน กรดไขมันไมอ ิม่ ตวั มากจะมีอยูในเซลลแ ละรอบๆ เซลล ในไมโตคอนเดรยี ไมโครโซม
212
ไลโซโซม และในเม็ดเลือดแดง วิตามินอี จึงมีคุณสมบัติเปนสารตานการเติมออกซิเจนของไขมันใน
รา งกาย
ในอุตสาหกรรมอาหารมีการใชวิตามินอีเปนตัวปองกันการเติมออกซิเจนของอาหารประเภท
ไขมันและอาหารทอดตางๆ เพ่ือปอ งกนั ไขมนั เหม็นหนื อาหารท่มี ีวิตามินเอ วิตามนิ ซี และกรดไขมนั ทไี่ ม
อ่ิมตัวมากๆ จะตองใชวิตามิน อี เปนสารปองกันการเติมออกซิเจน (อมรรัตน เจริญชัย, 2548, หนา
392)
การดดู ซมึ การขนสง และการสะสมวิตามิน
การดูดซึมวิตามินอีจําเปนตองอาศัยไขมันและนํ้าดีท่ีลําไสเล็ก วิตามินอีในอาหารที่บริโภคจะ
ถูกดูดซึมประมาณรอยละ 15-45 วิตามินอีที่ถูกดูดซึมน้ีจะถูกขนสงโดยไคโลไมครอน (chylomicron)
และถูกยอยโดยไลโปโปรตีนไลเปส (lipoprotein lipase)ท่ีเย่ือบุผนังหลอดเลือดไดเปน chylomicron
remnant ซงึ่ สว นใหญจ ะไปที่ตบั วิตามินอจี ะถูกสงออกจากตับโดยรวมอยูกับ VLDL (very low density
lipoprotein) ซ่ึงจะถูกยอยโดยไลโปโปรตีนไลเปส ระหวางการยอยไขมันในกระแสเลือด วิตามินอีท่ีอยู
ในรูปตางๆ จะถูกสงไปยังเนื้อเยื่อหรือรวมอยูกับ HDL (high density lipoprotein) วิตามินอีสะสมที่
เนอื้ เย่ือไขมันรอยละ 90 (วนี ัส ลีฬหกลุ , 2545, หนา 95-96)
ปริมาณความตองการวิตามินอี
ปจจุบันความตองการวิตามินอีสําหรับคนไทยมีแนวโนมสูงข้ึน ทั้งน้ีเน่ืองมาจากสภาวะ
แวดลอมที่เปล่ียนไป การสัมผัสกับมลภาวะเพิ่มมากข้ึนโดยเฉพาะผูท่ีอยูในเมือง ควันพิษจากทอไอเสีย
และบุหร่ี การไดรับสารเคมีตกคางในอาหารรวมกับชีวิตความเปนอยูท่ีเปล่ียนไป ทําใหรางกายตองการ
วิตามินอีเพ่ิมมากข้ึน ดังนั้นปริมาณวิตามินอีท่ีแนะนําใหบริโภคจึงเพ่ิมข้ึนจากเดิม นอกจากน้ันยังมี
หลักฐานการศึกษาและการทดลองสนับสนุนวาการบริโภคอาหารที่มีวิตามินอีสูงอาจลดความเส่ียงตอ
การเกิดโรคเรื้อรังบางโรคไดโดยเฉพาะอยางยิ่งโรคหัวใจและหลอดเลือด คณะกรรมการจัดทํา
ขอกําหนดสารอาหารประจําวันสําหรับคนไทย ไดจัดทํา “ปริมาณสารอาหารอางอิงท่ีควรไดรับ
ประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546” (Dietary Reference Intake :DRI) ไดกําหนดปริมาณวิตามินอี
อางอิงท่ีบุคคลในวัยตางๆ ควรไดรับดังตารางท่ี 2.8 โดยปริมาณวิตามินอีที่ควรไดรับสําหรับทารก
เทากับ 4-5 มิลลิกรัมตอวัน เด็กอายุ 1-8 ป เทากับ 6-7 มิลลิกรัมตอวัน วัยรุนอายุ 9-18 ป ทั้งชายและ
หญิงเทากับ 11-15 มิลลิกรัมตอวัน ผูใหญและผูสูงอายุทั้งชายและหญิงเทากับ 15 มิลลิกรัม สําหรับ
หญงิ ใหน มบุตร ควรไดร บั วิตามนิ อเี พม่ิ ขน้ึ วันละ 4 มลิ ลิกรมั (กองโภชนาการ, 2546, หนา 160)
213
ในกรณีที่รางกายไดรับกรดไขมันชนิดไมอ่ิมตัวจากอาหารมาก รางกายจะมีความตองการ
วติ ามนิ อี มากดวย เพื่อปองกนั การเกิดออกซเิ ดชั่น ปริมาณกรดไขมนั ไมอ่ิมตัว 1 กรัม ควรไดรับวิตามิน
อี 1 α-TE (one alpha-tocopherol equivalent) เทา กับ 0.6 มิลลกิ รมั อยา งไรก็ดี ในน้าํ มนั พชื ทม่ี กี รด
ไขมนั ไมอ ม่ิ ตัวมากมกั จะมีวติ ามิน อี มาก
ผลจากการไดร บั วิตามิน อีในปริมาณทไี่ มสมดลุ
การไดรับวิตามิน อี ในปริมาณท่ีไมสมดุล มีผลทําใหรางกายเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังน้ี (นัยนา
บญุ ทวยี วุ ฒั น, 2546, หนา 335)
1. ภาวะการขาดวติ ามิน อี
ในสัตวเล้ียงลูกดวยนมการขาดวิตามินอีจะทําใหเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นมากมาย
ในระบบสืบพันธุ กลามเนื้อ ระบบประสาท มีผลทําใหสัตวเปนหมัน กลามเนื้อฝอลีบ เน้ือตับตาย
บางสว น และเลือดจางเน่ืองจากเมด็ เลือดแดงแตกงาย
สําหรับในคนการขาดวิตามินอี เกิดจากการไดรับวิตามินอีในอาหารนอย และอาจเกิดจาก
ความบกพรองของการดูดซึมไขมัน อาการที่สําคัญที่พบในคนคือ เม็ดเลือดแดงแตก และอาจจะทําให
เกิดภาวะโลหิตจาง ระบบสงกระแสประสาทบกพรองในเซลลประสาท ทําใหการกระตุนกลามเนื้อ
ทํางานต่ํา นอกจากนั้นยังพบวาสวนประกอบของผนังเซลลของเม็ดเลือดแดงท่ีมีกรดไขมันไมอ่ิมตัว จะ
ถูกออกซิไดสดวยอนุมูลอิสระไดงาย ทําใหเม็ดเลือดแดงแตก ในเด็กทารกท่ีคลอดกอนกําหนดจะมีการ
ดดู ซึมไขมนั บกพรองเปนผลทําใหไ ดรับวติ ามินอีนอย จึงเปนสาเหตุใหเ ม็ดเลอื ดแดงแตก
2. ภาวะความเปน พษิ ของวิตามิน อี
พบวาวิตามิน อี เปนวิตามินที่ละลายในไขมันที่มีความเปนพิษนอยท่ีสุด พบวาการไดรับ
วิตามินอี มากถึง 800 หนวยสากลตอวัน ยังไมมีรายงานวาเปนอันตรายตอรางกาย แตถาไดรับวิตามิน
อี มากกวา 3,000 มลิ ลกิ รัมตอวนั จะมีผลยับยั้งเมตาบอลิซึมของวิตามินเค
แหลงของวิตามนิ อี
แหลงอาหารที่ใหวิตามินอีมากที่สุด คือ นํ้ามันพืชทุกชนิด เชน นํ้ามันขาวโพด น้ํามันถั่วเหลือง
และนา้ํ มันดอกคําฝอย รวมทงั้ ผลติ ภณั ฑท่ีไดจ ากน้ํามันพชื นา้ํ มนั จากจมูกขาวสาลีจะใหวติ ามนิ ดสี งู สดุ
ในรูปของแอลฟาโทโคเฟอรอล นอกจากน้ันยังสามารถพบวิตามินอีไดในอาหารประเภทเนื้อสัตว
สวนผักและผลไมม ีปรมิ าณวติ ามินอนี อย ยกเวน ผักใบเขียวมีวติ ามนิ ออี ยบู า ง
214
ปริมาณวิตามินอีในอาหารมีแตกตางกัน ทั้งนี้ขึ้นอยูกับข้ันตอนในการผลิตอาหาร เริ่มต้ังแต
ข้ันตอนการเก็บ การแปรรูปอาหาร รวมท้ังการเตรียมอาหาร ในระหวางขบวนการแปรรูปอาหาร ความ
รอ น แสงแดด และการสัมผสั กับอากาศเปน เวลานานจะลดปริมาณวติ ามนิ อใี นอาหาร ปริมาณวิตามนิ อี
แสดงในตารางท่ี 7.3
ตารางท่ี 7.3 ปริมาณวิตามนิ อใี นอาหารจากพชื และสตั ว (มิลลกิ รัมตอ 100 กรัม)
อาหาร วิตามนิ อ(ี มิลลิกรมั /100กรมั อาหาร)
น้ํามันจมกู ขา วสาลี 192
นา้ํ มันดอกทานตะวัน 51
นํ้ามนั ถั่วลิสง 13
มาการนี เหลว 12
มาการนี แข็ง 10
ขาวโอต 0.1
ขนมปงโฮลวที 0.9
ขนมปง ขาว 0.4
เมล็ดดอกทานตะวนั 50
เมลด็ อลั มอนต 26
ถ่วั ลิสงคั่ว 7
กุง 0.5
ไข 1
ท่ีมา (กองโภชนาการ, กรมอนามัย, กระทรวงสาธารณสขุ , 2546, หนา 162)
215
การสญู เสียวติ ามิน อี
วิตามินอีมีความคงตัวดีตอกรดและภาวะที่ไมมีออกซิเจนและออกซิไดสลิพิด แตไมทนตอดาง
แสงอุลตราไวโอเลต และจะสลายตัวมากขึ้นเม่ือมีออกซิเจน วิตามินอีมีหนาที่เปนสารตานออกซิเดชั่น
ในอาหาร โดยเฉพาะในน้ํามันพืชจะมีวิตามินอีตามธรรมชาติมาก ทําใหเกิดการหืนแบบท่ีใชออกซิเจน
(oxidative rancidity) ไดชา ปริมาณวิตามินอีในนํ้ามันพืชและผลิตภัณฑไขมันบางชนิด ดังแสดงใน
ตารางท่ี 7.3 นอกจากนัน้ ยังจะพบวิตามินอีในอาหารอ่นื ๆ อีก แตมปี ริมาณนอย
ในนํ้ามันพืชมีแอลฟา-โทโคเฟอรอลประมาณรอยละ 60 ของโทโคเฟอรอลทั้งหมด นํ้ามันพืชท่ี
ผานกระบวนการทําใหบริสุทธิ์ จะมีปริมาณวิตามินอีลดนอยลง เม่ือนํานํ้ามันไปใชทอดอาหารจะทําให
สูญเสียวิตามินอีอีกดวย สวนการแชแข็ง การตม และการอบ จะทําใหมีการสูญเสียวิตามินอีเพียง
เล็กนอยเทา นั้น การฟอกสแี ปงกท็ ําใหสญู เสยี วติ ามนิ อีได
วิตามินเค (vitamin K)
วติ ามนิ เค เปนสารประกอบอินทรียกลุม ควีโนน (quinones) ซ่ึงในธรรมชาติมอี ยูดวยกัน 2 ชนิด
คือ วิตามินเค 1 และวิตามิน เค 2 (vitamin k1 และ vitamin k2 ) สูตรโครงสรางประกอบดวย
แนปโทควีโนน (naphthoquinone) และมีโซดานขางเปนพวกไอโซพรีนอยด (isoprenoids side-
chains) ท่ีมีจาํ นวนคารบอนอะตอมตางกัน ภาพที่ 7.8 และวิตามินเค 3 (vitamin k3,menadione) เปน
วิตามินที่สังเคราะหข้ึนโดยทางเคมี วิตามินเคท้ังสามชนิดเปนวิตามินท่ีละลายในไขมัน และตัวทํา
ละลายอินทรีย มคี วามทนตอ ความรอนไดด ี แตถ ูกทาํ ลายไดด ว ยกรด ดา ง แสงแดด และการออกซิไดส
ภาพที่ 7.8 โครงสรา งของวติ ามนิ เค-1 วติ ามนิ เค-2 และ วิตามินเค-3
ทม่ี า (นยั นา บญุ ทวยี วุ ฒั น, 2546,หนา 336)
216
ประวัตกิ ารคน พบวติ ามินเค
วิตามินเค ถูกคนพบครั้งแรกในป ค.ศ. 1932 โดยนักวิทยาศาสตรชาวเดนมารกช่ือ ดาม
(Dr.Dam) เขาไดท าํ การเลยี้ งลกู ไกด วยอาหารท่ีผสมสารบริสุทธ์ิตางๆ พบวาลูกไกมีเลือดออกบริเวณใต
ผวิ หนงั ถาเปนแผลเลอื ดจะไมหยดุ ไหล เม่อื ใหขาวและอาหารตามธรรมชาตอิ ่ืน อาการเหลานี้จะหายไป
ตอมา ดร.ดาม (Dr.Dam) ไดทําการสกัดสารอาหารชนิดนี้ออกมาในสารละลายไขมัน และตั้ง
ช่ือสารอาหารที่มีสวนชวยใหเลือดหยุดไหลน้ีวา “วิตามินเค” ซ่ึงเปนอักษรคําแรกของคําวา
“koagulation factor” ในภาษาเดนมารก มคี วามหมายวา “สารชวยใหแ ข็งตวั ”
ในป ค.ศ. 1934 อานสแบคเชอร และ เฟอรนโฮส (Nsbacher and Fernholz) ยังสังเคราะห
เมนาไดโอน (menadione) และไดต้ังชื่อวา วิตามินเค 3 มีฤทธ์ิมากกวา K1 และ K2 ท่ีพบในธรรมชาติ
และตอมาในป ค.ศ.1939 ดร.ดาม และ คาเรอร (DAM and Karrer) สามารถแยกวิตามินเคบรสิ ุทธ์ิได
จากหญาอัลฟลฟา และในปเดียวกัน ดอยซี (Doisy) และคณะก็สามารถแยกวิตามินเคไดจาก
อัลฟลฟา และยังสามารถคนพบสูตรโครงสรางของวิตามินเคไดอีก จึงต้ังขื่อวา ฟลโลควิโนน
(Phylloquinone) หรือ K1 (อจั ฉรา ดลวทิ ยาคณุ , 2550, หนา 99)
การแบง ประเภทของวิตามินเค
วติ ามินเค แบง ออกไดเปน 3 ชนดิ คอื
1. วติ ามินเค 1 หรือ ฟลโลควิโนน (phylloquinone)
พบในผักสีเขียวตางๆ เชน ผักโขม ยอดแครอท ผักใบเขียวอื่นๆ และหญาอัลฟลฟา วิตามิน
เค 1 สลายไดอยางชา ๆ เมื่อสัมผัสกับออกซิเจน แตสลายตัวไดอยางรวดเร็วเม่ือถูกแสง มีความคงตัว
ตอความรอน แตไ มค งตวั ในภาวะทเ่ี ปนดาง
2. วติ ามนิ เค 2 หรือ มนี าควิโนน (menaquinones)
เปนวิตามินท่ีถูกสังเคราะหข้ึนโดยแบคทีเรียในลําไสใหญ คนปกติจะเกิดภาวะการขาด
วิตามินเคไดยาก เพราะวิตามินเคมีอยูในอาหารทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะในผักใบเขียว และแบคทีเรียใน
ลําไสยังสามารถสังเคราะหวิตามินเคได ดังน้ันหากยังเกิดภาวะการขาดวิตามินเค อาจมีความผิดปกติ
ของการดูดซึม (malabsorption syndrome) ตองใชยาท่ีมีฤทธ์ิเปนสารตานการแข็งตัวของเลือด
(anticoagalant) สําหรับสารสังเคราะหที่มีคุณคาทางชีวภาพสูงกวาวิตามินเคท่ีไดจากธรรมชาติ คือ
มนี าไดโอน (menadione) วติ ามนิ เค 2 มีประสิทธภิ าพในการทาํ งานรอ ยละ 75 ของวิตามินเค 1
217
3. วติ ามนิ เค 3 หรอื เมนาไดโอน (manadione)
เปนวิตามินทถี่ ูกสังเคราะหข ึน้ มีประสทิ ธิภาพเปน 3 เทา ของวติ ามนิ เค 1 จะใชสําหรับคนไข
ท่ีไมสามารถใชวิตามินเคที่สรางข้ึนท่ีลําไสไดเนื่องจากขาดนํ้าดีหรือนํ้ายอยที่จําเปนสําหรับการดูดซึม
วิตามินท่ีละลายในไขมัน เมนาไดโอนนี้จะมีคุณสมบัติละลายน้ํา เมื่อเขาไปในรางกายแลวจะ
เปลี่ยนเปนเมนาควิโนนท่ีตับ ถารางกายไดรับนมเปร้ียวพรอมกับอาหารจะทําใหรางกายสามารถสราง
วติ ามินเคไดใ นปริมาณทีพ่ อเพยี งกับความตอ งการของรางกาย นอกจากน้ีอาหารที่มีกรดไขมันไมอ่ิมตัว
และอาหารที่มีคารโบไฮเดรตตํ่าจะเพ่ิมปริมาณของวิตามินเคที่ผลิตข้ึนโดยแบคทีเรียในลําไส (สิริพันธุ
จุลกรงั คะ, 2545, หนา 130)
หนา ทข่ี องวติ ามินเค
วิตามินเค จําเปนสําหรับการสรางโปรตีนท่ีชวยในการแข็งตัวของเลือด (blood coagulation)
โปรตีนนี้ถูกสรางข้ึนท่ีตับ ถาระดับของโปรทรอมบินในเลือดสูง แสดงวาเลือดสามารถแข็งตัวไดเร็ว
ในทางตรงกันขามถาโปรทรอมบินในเลือดต่ํา จะทําใหอัตราการแข็งตัวของเลือดชากวาปกติ การขาด
วติ ามินเค มีผลทําใหตับไมสามารถสรางโปรทรอมบินได นอกจากน้ีวิตามินเคยังทําหนาท่ีเปนสวนรวม
ในปฏิกิรยิ าออกซเิ ดทิฟฟอสฟอริเลชนั่ (oxidative phosphorylation) ของเน้อื เยื่อตางๆ ในรางกาย
การดดู ซมึ การขนสง และการขับวิตามนิ เคออกจากรา งกาย
การดดู ซึมวติ ามินเคตองอาศัยนา้ํ ดีและเอนไซมจากตับออน โดยวิตามินเคจะถูกดูดซึมที่ลําเล็ก
สวนบนไดรอยละ 10-80 รวมกับไคโลไมครอนและถูกนําไปยังตับ วิตามินเคจะปรากฏในพลาสมาภาย
ใน 20 นาที และจะมีระดับสูงสุดที่ 2 ช่ัวโมง หลังจากนั้นจะลดตํ่าลงและตํ่าสุดท่ี 48-72 ช่ัวโมง ระดับ
วิตามินเคในเลอื ดสูงจะพบรว มกบั ภาวะไขมนั ในเลอื ดสูง โดยเฉพาะไตรกลเี ซอไรดในเลือดสูง โดยท่ัวไป
วิตามินเครอยละ 30-40 ที่ถูกดูดซึมจะถูกขับออกทางนํ้าดีไปในอุจจาระ และรอยละ 15 ถูกขับออกทาง
ปสสาวะ (วนี สั ลฬี หกุล, 2545, หนา 99)
ปรมิ าณวติ ามินเคทร่ี างกายตอ งการ
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารประจําวันสําหรับคนไทย ไดจัดทํา “ปริมาณ
สารอาหารอางอิงที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546” (Dietary Reference Intake :DRI)
ไดกําหนดปริมาณวิตามินเคอางอิงที่บุคคลในวัยตางๆ ควรไดรับดังน้ี ทารก 0-5 เดือน ปริมาณ
วิตามินเคที่ทารกควรไดรับเทากับปริมาณวิตามินเคท่ีมีในนํ้านมแม คือ 2 ไมโครกรัมตอวัน ทารก 6-11
เดือนควรไดรับวิตามินเคเทากับ 2.5 ไมโครกรัมตอวัน เด็กอายุ 1-3 ป ควรไดรับวิตามินเค 30
218
ไมโครกรมั ตอวัน เดก็ อายุ 4-8 ป ควรไดรบั วิตามินเคเทากับ 55 ไมโครกรัมตอวัน วัยรุนชายหญิงอายุ 9-
12 ป ควรไดรับวิตามินเคเทากับ 60 ไมโครกรัมตอวัน วัยรุนชายหญิงอายุ 13-18 ป ควรไดรับวิตามินเค
เทา กบั 75 ไมโครกรัมตอ วัน ผูใหญที่มีอายุ 19 ปข ึน้ ไป ควรไดรบั วติ ามินเคเทากบั 120 ไมโครกรัมตอวัน
ในผูชาย 90 ไมโครกรัมตอวันในผูหญิง สําหรับหญิงตั้งครรภและใหนมลูก ใหไดรับวิตามินเคเทากับ
ผใู หญ (ตารางที่ 2.8)
แหลง อาหารทีใ่ หวิตามนิ เค
แหลงอาหารทีใ่ หวติ ามนิ เค ไดแก พืชผักสีเขียว เชน ผักบุง ผักโขม ผักคะนา กะหลํ่าปลี เปนตน
นอกจากนี้ยังพบวิตามินเคในตับวัว ตับหมู ไข นม เนื้อสัตว ธัญพืช ผลไม และผักอื่นๆ ในอาหารสวนท่ี
กนิ ได 100 กรมั ใหวติ ามินเค ดงั แสดงในตารางที่ 7.4
ตารางที่ 7.4 ปรมิ าณวิตามินเคในอาหารบางชนดิ (ไมโครกรัมตอ 100 กรมั )
อาหาร วิตามนิ เค (ไมโครกรัมตอ 100 กรมั )
ผักปวยเลง 380
ผักสลดั 315
บรอ คโคล่ี 180
กะหลา่ํ ปลี 145
ผักกาดแกว 122
แตงกวา 20
น้ํามนั ถั่วเหลอื ง 193
น้ํามนั เมล็ดฝาย 60
นาํ้ มันมะกอก 55
นํา้ มนั ขา วโพด 3
ถว่ั เหลืองเมลด็ แหง 47
ตับ 5
ไข 2
ท่ีมา (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสขุ , 2546, หนา 238)
219
ผลจากการการไดรบั วิตามนิ เคในปริมาณท่ไี มสมดลุ
การไดรับวิตามินเค ในปริมาณทไ่ี มสมดุล มผี ลทาํ ใหร างกายเกดิ การเปล่ยี นแปลง ดงั น้ี
1. ภาวะการขาดวติ ามินเค
การขาดวิตามินเค อาจจะมีสาเหตุมาจากการไดรับอาหารท่ีมีวิตามินเค ไมเพียงพอ
ซ่ึงมักจะพบในเด็กโดยเฉพาะเด็กทารก เนื่องจากเด็กทารกจะมีวิตามินเคสํารองไวใชนอย เพราะ
วิตามินเคถูกสงจากแมผานทางรกนอย และการสังเคราะหโปรตีนยังไมสมบูรณ ทํามีโปรตีนที่ใชในการ
แข็งตัวของเลือดไมเพียงพอ และลําไสยังไมมีจุลินทรียท่ีจะสังเคราะหวิตามินเค อีกทั้งในนํ้านมแมมี
ปริมาณของวิตามินเค นอย จึงทําใหทารกมีภาวะการของการขาดวิตามินเคสูง พบวามีเลือดออก
ภายใน (hemorrhagic diseases) มักเกิดในเด็กทารกหลังคลอด 1-7 วัน พบอาการเลือดออกตาม
ผวิ หนงั หรอื มีเลอื ดออกในสมอง มีอาการซึม รองกวนกระสบั กระสาย ไมดูดนม อาเจียน ไมคอยรูสึกตัว
กระหมอมหนาโปงตึง ชัก และหมดสติ และมีความเส่ียงสูงที่จะเสียชีวิต ทารกที่เปนกลุมเส่ียงคือ ทารก
ท่ีกนิ แตนมแมเพียงอยา งเดียว
ในทางปฏิบัติจึงตองมีการใหวิตามินเค-1 ในปริมาณ 2.2 ไมโครโมล (1 มิลลิกรัม) ฉีดเขา
กลา มเนือ้ หลงั คลอด สําหรบั ผูใ หญไมพบวามีการขาดวิตามินเคจากการขาดอาหาร เนื่องจากจุลินทรีย
ในลําไสส ามารถสังเคราะหว ิตามนิ เคได
2. ภาวะวิตามนิ เค เปน พิษ
การไดรับวิตามินเค-1 และเค-2 ในปริมาณ 500 เทาของความตองการของรางกาย ไมมี
รายงานความเปนพิษเกิดข้ึน แตการไดรับวิตามินเค-3ในปริมาณสูง ในแมกอนคลอดจะทําใหทารกเกิด
ภาวะโลหติ จางในทารก
วติ ามนิ ทลี่ ะลายในนํ้า
วิตามินท่ีละลายในนํ้า มี 2 กลุมคือ วิตามินซี และวิตามินบีรวม ซึ่งที่สําคัญมี 8 ชนิด ไดแก
วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 ไนอะซิน วิตามินบี 6 แพนโทเธนิค ไบโอติน โฟลิก และวิตามินบี 12 มี
รายละเอยี ดสาํ คัญ ดังนี้
วติ ามนิ ซี (Ascorbic acid)
วิตามินซีเปนผลึกสีขาว ละลายน้ํางาย เสื่อมสภาพเมื่อถูกอากาศ ความรอน แสง และโลหะ
เชน ทองแดงและเหลก็ ไมทนตอสภาพความดาง สามารถเกบ็ ไวไดดีในภาวะทเ่ี ปนกรด
220
ประวัติการคนพบวติ ามินซี
วิตามินซี หรือ กรดแอสคอรบิก (ascorbic acid) คําวา ascorbic แปลวา “no scurvy”
หมายถึง เลือดไมออกตามไรฟน เน่ืองจากการคนพบวิตามินนี้เกิดขึ้นจากการเดินทางของชาวยุโรปท่ี
ตองการแสวงหาเมืองขึ้นในดินแดนเอเชียและแอฟริกา จึงทําใหตองมีการเดินทางเปนระยะเวลานาน
หลายเดือน ลูกเรือและผูโดยสารปวยดวยโรคเลือดออกตามไรฟน (scurvy) กันมาก และมีคนตายดวย
โรคนี้หลายคน
ป ค.ศ. 1750 ดร. เจมส ลินด (Dr.James Lind) พบวาลูกเรือทไ่ี ดด ื่มนาํ้ สม หรอื นํา้ มะนาวจะไม
เปน โรค “โรคลกั ปด ลกั เปด” ดงั น้ันจึงมีการบรรทุกมะนาวแจกลูกเรือท่ตี องเดนิ ทางเปนระยะเวลานาน
ป ค.ศ. 1932 ดร.คิงส (Dr.King) สามารถแยกสารท่ีชวยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟนหรือโรค
ลักปดลักเปดไดจากน้ํามะนาว ต้ังชื่อสารท่ีสกัดวา “กรดแอสคอรบิก” (ascorbic acid) และตอมาก็มี
การสงั เคราะหวิตามินซีขึ้นมาได
หนาทีข่ องวิตามนิ ซี
วิตามนิ ซี มหี นาท่สี าํ คญั ตอรางกาย ดงั นี้
1. วติ ามินซี ทาํ หนาทสี่ รางคอลลาเจน
คอลลาเจน (collagen) เปนโปรตีนชนิดหนึ่งท่ีพบมากอยูในรางกาย โดยเฉพาะในกระดูก
กระดูกออน (cartilage) และเน้ือเยื่อเก่ียวพัน (connective tissue) และเปนเน้ือเย่ือพ้ืนฐานของกระดูก
และฟน (bonematrix and tooth dentin) และผิวหนัง การสรางคอลลาเจนจาํ เปนตองอาศัยวิตามินซี
โดยคอลลาเจนเปนโปรตีนเนื้อเยื่อเกี่ยวพันท่ีทําหนาท่ีสรางและเช่ือมเซลลตางๆ ใหติดกัน เมื่อขาด
วิตามินซีจึงทําใหเซลลไมสามารถติดกันได ถาเปนแผลจะหายยาก ดังนั้นถารางกายไดรับวิตามินซีไม
เพียงพอจะทําใหการสังเคราะหคอลลาเจนผิดปกติจึงมีผลตอความแข็งแรงของหลอดเลือดตางๆ ท่ัว
รางกาย โดยเฉพาะเสนเลือดฝอยจะเปราะและแตกไดงาย จึงทําใหเปนโรคเลือดออกตามไรฟน เพราะ
ขาดเน้ือเยื่อเกี่ยวพันท่ีตรึงฟนยึดติดกับเหงือก และเม่ือขาดวิตามินซีมากๆ ฟนอาจจะหลุดออกจาก
เหงือกได
2. ทาํ หนา ท่ใี นการสังเคราะหค ารน ทิ ีน
ในกระบวนการเผาผลาญกรดไขมันเพื่อใหไดพลังงานตองอาศัยคารนิทีน รางกายจึง
จําเปนตองไดรับคารนิทีนจากอาหาร และจากการสังเคราะหขึ้นเองในรางกายจากกรดอะมิโน 2 ชนิด
คอื ไลซีน และเมไธโอนีน ซงึ่ ในขบวนการสงั เคราะหค ารน ิทนี ตอ งอาศัยวติ ามินซดี ว ย
221
3. เปน สารตานอนมุ ลู อิสระ
วิตามนิ ซี มบี ทบาทสําคญั ในการขจดั อนมุ ูลอสิ ระตางๆ ทงั้ ภายในและนอกเซลล
4. มีบทบาทในกระบวนการดูดซมึ ธาตเุ หลก็
วิตามินซี ชวยในการดูดซึมธาตุเหล็ก โดยอาศัยคุณสมบัติในการรีดิวส (reducing) เปลี่ยน
เหล็กท่ีอยูในสภาพเฟอริก (Fe3+) ใหเ ปนเฟอรสั (Fe2+) ในลาํ ไสเลก็ เพือ่ ใหดดู ซึมเหลก็ ไดด ยี ิ่งข้นึ
ปรมิ าณวิตามินซีทีร่ างกายตองการ
คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารประจําวันสําหรับคนไทย ไดจัดทํา “ปริมาณ
สารอาหารอางอิงที่ควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546” (Dietary Reference Intake :DRI)
ไดกําหนดปรมิ าณวติ ามินซี อางอิงทบี่ คุ คลในวยั ตา งๆ ควรไดร บั ดังตารางท่ี 2.8
แหลง อาหารที่มวี ติ ามนิ ซี
วิตามนิ ซีพบมากในผักและผลไมส ด เชน สตรอเบอรี เชอรี มะขามปอม ฝร่ัง สม มะนาว มันฝร่ัง
และผักชนดิ ตางๆ ดงั ตารางท่ี 7.5 วติ ามินซถี กู ทาํ ลายไดง ายโดยขบวนการออกซิเดชั่น โดยเฉพาะอยาง
ย่ิงเม่ือโดนความรอนและมีดางอยูดวย เน่ืองจากวิตามินซีละลายไดดีในน้ํา จึงมักสูญเสียไปในระหวาง
การหุงตมอาหารท่ีมีการทิ้งน้ํา เชน การลวกผัก ในเนื้อสัตวพบมีวิตามินซีอยูบางแตมักสูญเสียไปกอน
การบริโภคเนอ่ื งจากการสมั ผัสกบั อากาศหรอื สญู เสยี ไปในการปรุงอาหาร การใชเ วลาและนา้ํ ในการปรุง
อาหารใหนอยรวมกับการเสริฟอาหารทันทีหลังปรุงจะสามารถชวยลดการสูญเสียของวิตามินซีได ผัก
สดที่เก็บไวในตูเย็นนานเกิน 24 ช่ัวโมง จะสูญเสียวิตามินซีไปรอยละ 45 (วีนัส ลีฬหกุล และคณะ,
2545, 136)
ตารางที่ 7.5 แหลงอาหารของวติ ามนิ ซี
อาหาร วิตามินซี อาหาร วิตามนิ ซี
(มก.ตอ 100 กรมั ) (มก.ตอ 100 กรมั )
บรอ็ คโคล่ี 183 ฝรงั่ 187
100
ผักคะนา 147 มะขามปอม 78
88
ยอดสะเดา 194 มะละกอสุก 53
ใบปอ 164 ขนนุ
ผักหวาน 168 มะมว ง
ท่มี า (โภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสขุ , 2546, หนา 156)
222
ผลจากการขาดวิตามนิ ซี
การขาดวิตามินซีทาํ ใหเ กิดอาการออนเพลยี น้ําหนกั ตัวลด และมีอาการเจ็บตามแขนขา อาการ
ที่ปรากฏใหเห็นไดในระยะแรกคือ มีตุมแข็งเกิดข้ึนตามรูขุมขนที่แขน และขา กน และหลัง ตอมาเปน
สแี ดง เพราะเสนเลือดฝอยแตก หลังจากน้ันจะมีอาการเหงือกบวม แดง และมีเลือดออก เหงือกชํ้าเปน
สีมวง ถาปลอยไวฟนจะหลุดเน่ืองจากความผิดปกติในการสังเคราะหคอลลาเจน จึงทําใหแผลหายชา
ติดเช้ือซํ้าไดงายในบริเวณที่มีเลือดออก นอกจากน้ียังพบอาการของความวิตกกังวล ซึมเศรา โรคจิต
ประสาท และการทาํ งานของกลามเนอื้ ลดลง
ภาพท่ี 7.9 เหงอื กระหวา งซ่ฟี นบวมแดงเนอ่ื งจากการขาดวติ ามนิ ซี
ท่ีมา (วชิ ัย ตนั ไพจิตร, 2530, หนา 90)
ภาวะเปนพษิ
วิตามินซี มีความเปนพิษนอย อาจพบอาการขางเคียงท่ีเกิดจากการกินในปริมาณท่ีสูงได โดย
ผลขางเคียงที่พบไดบอย เชน คล่ืนไส ปวดทอง ทองเสีย ซ่ึงอาการดังกลาวเกิดเนื่องจากวิตามินซีไมถูก
ดูดซึมเขาสูระบบทางเดินอาหารและขับออกทางอุจจาระ ทําใหเกิดอาการทองเสีย และมักเกิดขึ้นเมื่อ
ไดรบั วิตามนิ ซีในปริมาณคร้ังละมากกวา 2 กรัมในเวลาเดยี วกัน
วติ ามินบี 1 หรอื ไธอะมิน (thiamin)
วติ ามนิ บี 1 หรือ ไธอะมนิ หรอื วิตามินเอฟ มลี ักษณะเปน ผงสขี าว ละลายนํ้าไดด ี (1 กรัมตอ น้ํา
1 มิลลิลิตร) มีกล่ินคลายยีสตจางๆ และมีรสขมเล็กนอย ถูกทําลายไดดวยความรอนถาอยูใน
223
สารละลายท่ีมีฤทธิ์เปนดางหรือเปนกลาง และทนความรอนไดถึง 120 องศาเซลเซียส ถาอยูใน
สารละลายเปนกรดวิตามินบี 1 อิสระเปนเบส มีโครงสรางประกอบดวยไพริมิดีน (pyrimidine) และ
วงไธอะโซล (thiazole ring) ท่ีเชื่อมตอกันดวยหมูเมทิลและเอทธานอล (-CH2-CH2-OH) ดังภาพ 7.10
ไธอะมินท่ใี ชก นั ท่วั ไปจะอยูในรูปของไทอะมนี ไฮโดรคลอไรด (thiamin hydrochloride)
ภาพที่ 7.10 โครงสรางของไธอะมิน และไธอะมนิ ไพโรฟอสเฟต
ทม่ี า (นัยนา บุญทวยี วุ ฒั น, 2546, หนา 346)
ประวตั ิการคนพบวติ ามินบี 1
ป ค.ศ. 1878-1883 ทากากิ (Takaki) นักวิทยาศาสตรชาวญี่ปุนพบวาทหารเรือที่ออกเรือมา
นานและกนิ ปลาดบิ มักมอี าการชาตามปลายมือ ปลายประสาท กลามเนื้อลีบเหี่ยว จึงไดทําการทดลอง
โดยใหลูกเรือกินอาหารแบบญี่ปุนคือ กินขาวท่ีผานการขัดสี ผัก ปลา ผลิตภัณฑถั่วเหลือง พบวาลูกเรือ
ยังเปนโรคเหน็บชากันมาก และรอยละ 25 ของลูกเรือท้ังหมดตายเพราะโรคน้ี และตอมาเขาไดทดลอง
ใหลูกเรือกินอาหารท่ีมีแปงสาลี ผัก เน้ือสัตว พบวาลูกเรือเปนโรคเหน็บชาเพียง 6-7 คน จากจํานวน
ลกู เรือ 263 คน
ป ค.ศ. 1897 อิคเมน (Eijkman) นักวิทยาศาสตรชาวฮอลันดาไดพบวา เม่ือเลี้ยงไกดวยขาวที่
ขดั สี จะเกดิ อาการผดิ ปกติท่ีเรยี กวา “polyneuritis”
224
ป ค.ศ. 1936 ดร.อาร.อาร.วิลเลียมส (Dr.R.R.Williums) ไดพบสูตรโครงสรางของวิตามินบี 1
ซึ่งมกี าํ มะถนั เปน สว นประกอบในโมเลกุล และต้ังช่อื วติ ามินท่ีสังเคราะหขึ้นวา “thiamine” ซึ่งมาจากคํา
วา thio และ amine ในปจจุบนั เรยี กไธอะมิน
หนา ทีข่ องวิตามินบี 1
วิตามนิ บี 1 มีหนาท่ีเปน โคเอนไซมใ นปฏิกิริยาตางๆ ของรางกาย เปนสารที่จําเปนในขบวนการ
เมตาบอลิซึมของคารโบไฮเดรต ดังน้ันถารางกายมีการใชพลังงานมากหรือกินอาหารท่ีมีคารโบไฮเดรต
มาก จะตองไดรับวิตามินบี 1 มากขึ้น วิตามินบี 1 จําเปนสําหรับปฏิกิริยาของน้ํายอยบางชนิด เชน
คารบ อกซเิ ลส (carboxylase) ซึง่ จะทําใหเ กดิ การสลายตัวของกรดไพรวู กิ กรดน้ีเปนผลผลิตท่ีเกิดข้ึนใน
ขณะทีค่ ารโ บไฮเดรตถกู เผาผลาญ ถา มีวิตามินบี 1 ไมเ พียงพอมผี ลใหเ กิดความไมอ ยากอาหาร
สําหรับไธอะมินไตรฟอสเฟต (thiamin triphosphate : TTP) ทําหนาท่ีเกี่ยวของกับ
การนํากระแสความรูสึก โดยท่ีไธอะมินไตรฟอสเฟตไมไดเก่ียวของกับหนาท่ีของโคเอนไซม แตเช่ือวา
ไธอะมินไตรฟอสเฟต มีตําแหนงอยูบนเน้ือเยื่อประสาทซึ่งตรงกับทางเขาออกของโซเดียม เม่ือมีการ
กระตุนการนํากระแสความรูสึกจะทําใหเกิดดีฟอสโฟรีเลชั่น (dephosphorylation) ของไธอะมินไตร
ฟอสเฟต ทําใหไธอะมินไตรฟอสเฟตหลุดออกจากเนื้อเย่ือประสาท และเปดทางใหโซเดียมผานเขาสู
เนื้อเย่ือได ถาขาดวิตามินบี 1 จะมีผลถึงระบบประสาทและกลามเนื้อท่ัวรา งกาย หรือเปนโรคเหน็บชา
ได (สิรพิ ันธุ จุลกรังคะ, 2545, หนา 135)
การดดู ซมึ การสังเคราะห การขนสง และการสะสมวิตามนิ บี 1 ในรา งกาย
ไธอะมินถูกดูดซึมไดในภาวะท่ีเปนกรดในลําไสเล็กสวนดูโอดินัม บางสวนถูกดูดซึมท่ีลําไสเล็ก
สวนเจจูนัม กลไกการดูดซึมแบงออกเปน 2 วิธี คือ แบบใชพลังงาน วิธีน้ีนอกจากจะใชพลังงานแลวยัง
ตองอาศัยโซเดียมและวิธีการแพร ซ่ึงไมใชพลังงานแตตองการโปรตีนเฉพาะสําหรับขนสงไธอะมิน
(thiamin binding protein) ผานเซลลเย่ือบุผิวลําไส ไธอะมินที่ผานการดูดซึมแลวจะถูกขนสงไปยังตับ
ผานหลอดเลือดพอตัล (portal blood) ในผูใหญไธอะมินในพลาสมารอยละ 20-30 จะจับตัวอยูกับ
อัลบูมิน ซึ่งสวนมากมักอยูในรูปของไธอะมินไพโรฟอสเฟต (TPP) สวนเกินของไธอะมินจะถูกขับออก
จากรางกายทางปสสาวะ การขนสงไธอะมินเขาสูเซลลของเม็ดเลือดแดงเกิดขึ้นโดยขบวนการท่ีไมใช
พลังงาน แตการขนสงไธอะมนิ เขาสเู ซลลอืน่ ๆ เกิดขนึ้ โดยขบวนการทีใ่ ชพลังงาน การด่ืมเหลาและภาวะ
ท่ีขาดโฟเลท (folate) จะขัดขวางการดูดซึมของวิตามินน้ีที่ลําไสเล็ก ไธอะมินที่ถูกดูดซึมแลวจะถูก
เปล่ียนเปนไธอะมินไพโรฟอสเฟต (TPP) ปริมาณไธอะมินในรางกายของผูใหญปกติมีประมาณ 50
225
มิลลิกรัม เนื้อเยื่อท่ีมีไธอะมินมาก ไดแก กลามเน้ือ หัวใจ ตับ ไต และสมอง ประมาณรอยละ 50 ของ
ไธอะมินอยูที่กลามเน้ือ ไธอะมินมีคาคร่ึงชีวิต (biological half life) อยูในรางกายประมาณ 9-18 วัน
และอัตราการหมนุ เวียนในรางกายสงู ทําใหม ีการสะสมในรางกายนอย ดังน้ันจึงควรไดรับไธอะมินอยาง
สมํ่าเสมอ การสะสมไธอะมินในรางกายพบวาไธอะมินรอยละ 80 อยูในรูปของไธอะมินไพโรฟอสเฟต
(TPP) ประมาณรอยละ 10 อยูในรูปของไธอะมินไตรฟอสเฟต สวนที่เหลืออยูในรูปของไธอะมินโมโน
ฟอสเฟต (thiamin monophosphate)
ไธอะมินท้ังในรูปของ TPP และ TTP มีบทบาทสําคัญตอการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของพลังงาน
(energy transformation) การสรางผนังเซลล การเหน่ียวนํากระแสความรูสึกของระบบประสาทและ
เปน โคเอนไซมส าํ หรบั ในการสังเคราะหไนอะซิน (niacin) สําหรับไธอะมินที่เหลือจากความตองการของ
เนอื้ เยอ่ื ตา งๆ ถกู ขบั ออกทางปสสาวะสว นนอยถกู ขับออกทางน้าํ ดี
ปริมาณวติ ามินบี 1 ท่รี างกายตองการ
การเผาผลาญคารโบไฮเดรต ไขมัน และแอลกอฮอลใหเปนพลังงานตองอาศัยไธอะมินไพโร
ฟอสเฟตเปนโคเอนไซม ดังนั้นรางกายตองการไธอะมินเพิ่มมากข้ึนเม่ือมีการใชพลังงานมากข้ึน จึงมี
การกําหนดความตองการไธอะมินตอพลังงานที่ไดรับจากอาหาร จากการศึกษาพบวาผูใหญปกติเมื่อ
ไดรับไธอะมินต่ํากวา 0.16 มิลลิกรัมตอพลังงาน 1,000 กิโลแคลอรี จะเกิดอาการของโรคเหน็บชา คือ
ตัวบวมและหัวใจลมเหลว (wet beriberi) และชาตามปลายมือปลายเทา (dry beriberi) เมื่อ
อาสาสมัครไดร บั ไธอะมนิ เพ่ิมข้ึนเปน 0.3 มลิ ลกิ รัมตอ พลงั งาน 1,000 กิโลแคลอรี อาการนนั้ จะหายไป
ปรมิ าณไธอะมนิ ทีค่ วรไดร ับนัน้ คณะกรรมการจัดทําขอกําหนดสารอาหารประจําวันสําหรับคน
ไทย ไดจัดทํา “ปริมาณสารอาหารอางอิงท่ีควรไดรับประจําวันสําหรับคนไทย พ.ศ. 2546” (Dietary
Reference Intake :DRI) ไดกําหนดปริมาณไธอะมินอางอิงท่ีบุคคลในวัยตางๆ ควรไดรับดังตารางที่
2.8
แหลงอาหารท่ใี หวติ ามนิ บี 1
ไธอะมินมีท้ังในอาหารจากสัตวและพืช โดยมีมากในเนื้อหมู อาหารท่ีมีไธอะมินมากกวา 0.3
มิลลิกรัมตอน้ําหนักอาหาร 100 กรัม ไดแก เน้ือหมู ขาวซอมมือ ถ่ัวลิสง ถั่วเหลือง ถ่ัวดํา และงา ขาว
ขาวหรือขาวที่ขัดสีแลวจะมีไธอะมินนอยกวาขาวซอมมือ ไธอะมินในขาวสวนใหญจะอยูที่จมูกขาว
ปรมิ าณไธอะมินในอาหาร ดังแสดงในตารางท่ี 7.6
226
ตารางท่ี 7.6 ปรมิ าณวิตามนิ บี 1 ในอาหารบางชนิด (มลิ ลกิ รัมตอ 100 กรัม)
อาหาร ปริมาณไธอะมิน
(มก.ตอ อาหาร 100 กรัม)
เนือ้ หมู สด 0.65
เน้อื ววั ไมม มี ัน 0.16
เน้ือไก 0.08
ปลาทูน่งึ 0.09
หอย 0.01
ไขเปด ทั้งฟอง 0.28
ขา วเจา นงึ่ 0.01
ขาวเจา ซอมมือ 0.34
ขนมจนี แปง หมัก นอยมาก
ขนมปง ปอนด 0.21
ท่ีมา (กองโภชนาการ, กรมอนามยั , กระทรวงสาธารณสขุ , 2546, หนา 238)
สารตา นฤทธิ์ไธอะมิน (Antithiamin Factor : ATF)
สารตานฤทธ์ไิ ธอะมนิ แบงออกเปน 2 ประเภท ไดแก
1. สารตานฤทธ์ิไธอะมินชนิดไมทนตอความรอน ไดแก เอนไซมไธอะมิเนส 1 และ 2
เอนไซมไธอะมิน 1 พบไดในอวัยวะภายในของปลาน้ําจืด หอยชนิดตางๆ แบคทีเรียพวก Bacillus
thiaminolyticus และ Clostridium thiaminolyticus สําหรับเอนไซมไธอะมิเนส 2 พบไดในจุลินทรีย
หลายชนิด เชน Bacillus aneurolyticus และ Candida aneurolytica
2. สารตา นฤทธิ์ไธอะมินชนดิ ทนตอ ความรอ น พบไดใ นใบชา และหมากพลู
ผลจากการขาดวิตามนิ บี 1
การขาดวิตามินบี 1 หรือไธอะมิน เกิดข้ึนจากการท่ีรางกายไดรับไธอะมินไมเพียงพอหรือ
ไดร ับไธอะมินจากอาหารนอยเกินไป หรือรางกายมีปญหาในการดูดซึมหรือการเก็บสะสมไธอะมินหรือ
ในคนท่ีด่มื เหลา เปนประจํา หรือในคนท่บี ริโภคอาหารทีม่ ีสารตานฤทธไ์ิ ธอะมนิ เปน ประจํา และยังพบใน