The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kwansasipat, 2021-07-26 05:44:19

ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Keywords: ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

(ฉบับชาวบ้าน)

นายวรรณดี สรรพจิต

ครภู มู ปิ ญั ญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

เกี่ยวกับ E-book

การเรยี บเรียง

เล่มนี้จัดสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่ ความรู้ เรื่องประวัติช้างกลาง
(ฉบบั ชาวบ้าน)

เนื้อหาจากการเรียบเรียง โดย นายวรรณดี สรรพจิต ผู้เป็น
ปราชญ์ด้านภมู ิปญั ญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

การจัดทำ E-book

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น
อย่างยงั่ ยืน

กิจกรรม : สร้างสขุ สรา้ งรอยยมิ้ ผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลัยราชภฏั นครศรีธรรมราช

อำเภอช้างกลาง

ตำนานเมืองคล้องชา้ ง
นำ้ ยางพันธ์ดุ ี
มากมีผลไม้

พ่อทา่ นคลา้ ยวาจาสิทธิ์



ประวตั ิศาสตร์อาเภอช้างกลาง

(ฉบับชาวบา้ น)

โดย....นายวรรณดี สรรพจิต

ครูภูมปิ ัญญาไทย สาขาภาษาและวรรณกรรม

มาร์ชชา้ งกลาง

อนั ช้างกลางถิน่ น้ชี ือ่ ชีช้ ดั มีประวัตวิ า่ ไว้ หลายสมัย

เมือ่ หมื่นปเี ป็นทีอ่ ยมู่ นุษยไ์ พร เข้าอาศัยประจำถำ้ หมื่นยม

มีกรมการชา้ งกลางแตป่ างกอ่ น เจา้ พระยานครเสกสรรหา

คชลักษณ์เลิศล้ำตามตำรา หลักช้างมาฝึกใช้ในกรมกอง

เกดิ เกจิอาจารยพ์ อ่ ท่านคล้าย วดั สวนขันน้ันได้บญุ สนอง

ดว้ ยเมตตามหานยิ มคมครรลอง คนทงั้ ผองเชิดชมู าบูชา

พวกเราชาวช้างกลางร่างน้อยนิด ลว้ นลกู ศิษย์พอ่ ทา่ นนานนักหนา

ถือศีลสตั ย์สามคั คมี ีจรรยา บำเพ็ญหน้าที่พรอ้ มยอมตัวตาย



คำปรารภ

บ้านเกิด-เมืองนอนเป็นเร่ืองสำคัญของแต่ละคน เพราะเป็นที่มา ที่อาศัย แห่งชีวิตของ
เราทั้งหลาย การบันทึกเร่ืองราว ประวัติศาสตร์ของถิ่นเกิดและความเป็นมาของบรรพบุรุษให้เป็น
ที่ปรากฏ นอกจากเป็นการแสดงกตัญญูกตเวทีแล้ว ยังถือว่าเป็นการจารึกเร่ืองราวของแผ่นดิน
ที่จะส่งผลให้ลูกหลาน อนุชนรุ่นหลังได้เรียนรู้บ้านเมืองของตนเอง ก่อนที่จะไปเรี ยน
ประวัติศาสตร์ชาติไทยสมัยอาณาจักรน่านเจ้า สุโขทัย อยุธยา กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์
การเรียนรู้บ้านเกิดเมืองนอนของตนเองเป็นการปลูกฝังความรัก ความนิยม ความภูมิใจใน
มาตุภูมิ ซึ่งจะเป็นผลให้ร่วมกันก่อร่างสร้างสรรค์บ้านเกิด เมืองนอน ให้มีความเจริญด้วย
วฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี ม ประเพณีอันดงี ามเชอ่ื มโยงกับชาวไทยทั้งชาติ

ประวัติศาสตรอ์ ำเภอช้างกลางที่วรรณดี สรรพจิตได้รวบรวมและเรียบเรียงขึน้ มานี้ถือได้
ว่าเป็นแบบฉบับของชาวบ้านจริง ๆ เพราะทุกเร่ืองเขียนขึ้นด้วยถ้อยคำภาษาธรรมดา เล่าเรื่องที่
เกิดขึ้นจริงของแต่ละเรื่องให้อ่านง่าย เห็นภาพ เห็นความเป็นมาของอดีต ทั้งมีหลักฐานอ้างอิงได้
ให้ความรู้ในเชิงลึกในสิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน แยกเป็นบทเป็นตอนอย่างชัดเจน ประกอบ
กับวรรณดี สรรพจิต เป็นชาวช้างกลางโดยกำเนิด ได้สัมผัสกับบรรยากาศของความเป็นชาวช้าง
กลางมาตั้งแต่เด็ก ต้ังแต่คร้ังที่ช้างกลางยังเป็นป่าดงพงไพร ไม่มีแม้แต่รถยนต์หรือเคร่ืองอำนวย
ความสะดวกใด ๆ ท้ังยังมีช้างป่าให้เห็น ได้ช่วยเลี้ยงลูกช้างป่าที่คุณตาเอียด สันตจิต จับมาเลี้ยง
ไว้ ณ สถานที่ที่ยังเรียกเดี๋ยวนี้ว่า “หาดจับช้าง” บ้านคลองงา การเขียนประวัติศาสตร์ช้างกลาง
ของวรรณดี สรรพจติ จึงเป็นการเขียนขนึ้ ด้วยจติ วิญญาณของคนช้างกลางโดยแท้ ประกอบด้วย
ความเพียรในการค้นคว้าหาความจริง สัมภาษณ์ผู้รู้ ผู้รตั ตัญญูบุคคลทั้งหลาย มีพยานหลักฐาน
อย่างครบถ้วน ควรแก่การเอามาอ้างองิ ได้

ผมได้อ่านต้นฉบับประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลางเล่มนี้อยา่ งละเอียดแล้ว มองเห็นคุณค่า
คุณประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเป็นอเนกประการกับชาวช้างกลาง และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย จึงมีความ
ภูมใิ จจัดพิมพ์หนงั สอื ประวัติศาสตร์เลม่ นีข้ ึน้ เผยแพร่ โดยมคี วามหวงั ตงั้ ใจไว้หลายประการดงั นี้

- เพื่อให้ความจริงตา่ ง ๆ ในอำเภอช้างกลางทีก่ ำลังถูกลบเลือนหายไป ได้เป็นที่
ปรากฏด้วยหลักฐานอ้างองิ ได้ ไม่ใช่เปน็ เพียงตำนาน เรือ่ งเล่า หรอื นิยายที่สรา้ งข้ึน

- เพื่อให้คนทุกระดับในอำเภอช้างกลาง รวมถึงชาวช้างกลางที่อยู่ต่างถิ่นได้รู้
เรื่องราวบรรพบรุ ุษของตนเอง ทีเ่ ปน็ ต้นกำเนิดสกลุ ต่าง ๆ ในอำเภอช้างกลาง

- เพื่อให้ทุกคนได้เข้าถึงและสัมผัสกับประวัติความเป็นมาของชื่อบ้าน-นาม
ท้องถิ่นช้างกลางในทางที่ถูกต้อง



- เพื่อให้ทุกคนได้พบกับบรรยากาศเก่า ๆ ในเร่ืองขนบธรรมเนียม ประเพณี
วัฒนธรรมอนั ดีงาม และช่วยกนั อนรุ กั ษ์ให้คงอยสู่ ืบไป

- ต้ังใจให้หนังสือประวัติศาสตร์ช้างกลางเล่มนี้เป็นข้อต่อเชื่อมระหว่างอดีต
ปัจจบุ นั และอนาคต ในอนั ที่จะรว่ มกนั สร้างส่งิ ดงี ามสืบไปเบือ้ งหน้า

-ประการสุดท้ายหวังให้เป็นการแสดงกตเวทิตาธรรมต่อบรรพบุรุษผู้เป็นต้นแบบ
ในการสร้างช้างกลางให้เราได้อยู่ ได้ดู ได้อาศยั มาถึงปจั จบุ นั

จึงหวังใจว่า หนงั สือประวัติศาสตร์ช้างกลางเล่มน้ีจะเป็นกระจกให้ท่านมองเห็นช้างกลาง
อย่างถูกต้องถ่องแท้ บันดาลใจให้ท่านท้ังหลายได้มีจิตรัก หวงแหน มีความภูมิใจ และช่วยกัน
พัฒนาช้างกลางของเราให้เจรญิ ด้วยขนบธรรมเนยี มประเพณีอันดีงามยิ่ง ๆ ขนึ้ ไป

ด้วยความปรารถนาดีจากผม
จารึก รัตนบุรี

(นายจารึก รัตนบรุ ี)
นายกองค์การบริหารสว่ นตำบลชา้ งกลาง



คำนำ

ในการเขียนประวัติศาสตร์ของเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง ถือว่าเป็นการจารึกเร่ืองน้ัน ๆ ขึ้นเป็น
ลายลักษณ์อักษรให้คงความเป็นจริงไว้ตลอดกาลนาน โดยอาศัยหลักฐาน เหตุการณ์ สถานที่
บุคคล แม้จะเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของเร่ืองท้ังหมดในอดีต แต่ก็ถือได้ว่าจักเป็นมรดกตก
ทอดแก่อนุชนคนรนุ่ หลงั ได้ศึกษาเรียนรู้ความเป็นจริงของเรื่องน้ัน ๆ อย่างถ่องแท้ แล้วเอามาเป็น
ข้อคิด ขยายผล สืบค้นหาประวัติต่อโยงมาจนถึงปัจจุบัน อันกล่าวได้ว่าเป็นวิวัฒนาการของเรื่อง
นั้น ๆ มิใช่เป็นเพียงเร่ืองที่เล่าต่อ ๆ กันมาเป็นมุขปาฐะ แล้วเล่าขยายจนกลายเป็นนิยาย หรือ
นิทานปรัมปรา หรือเป็นตำนานที่หาหลักฐานอ้างอิงมิได้ ดุจดังที่กล่าวไว้ในกาลามสูตรว่า
อาการ ๑๐ อยา่ งทีไ่ ม่ควรให้ความเชอ่ื ถือ เช่น“ อยา่ เชอ่ื ข่าวลือ” ดงั น้ี เปน็ ต้น

การเขียนประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง ผมผู้รวบรวมและเรียบเรียงได้ยึดเอาวิธีการ
ดังกลา่ วโดยใช้หลักอิทธิบาทธรรม ๔ ประการ ดำเนินการด้วยจติ และวิญญาณของชาวช้างกลาง
คือ

๑. ฉันทะ ทำด้วยใจรัก ค้นหาหลักฐาน หาความจริงและความสำเร็จท้ังหลายที่
เกิดขึน้ แล้วในอดีต แล้วเอามาเรียงร้อยถ้อยคำใหน้ ่าอ่าน น่าติดตาม ไม่ใช่เขียนแบบรายงานของ
ทางราชการ ซึ่งมีแต่วิชาการล้วน ๆ คนธรรมดาสามัญอ่านกันไม่คอ่ ยรู้เรอ่ื ง เช่นจะเขียนว่า “การ
เลี้ยงสัตว์จำพวกหมู” ซึ่งคนทั่วไป ยายมา ตาสี ตาสา รู้เรอ่ื งทันทีที่อ่าน แต่ถ้าใช้คำวา่ “การเลี้ยง
ปศุสัตว์จำพวกสุกร” คนทั่วไปก็ไม่เข้าใจ หรือนักวิชาการบางคน แทนที่จะเขียนคำง่าย ๆ ว่า
“วันนี้กินเน้ือเข้าไปมากทำให้ปวดท้อง” แต่ใช้คำอวดว่ารู้มาก เขียนว่า “วันนี้บริโภคมังสะเข้าไป
มากทำให้ปวดอุทรประเทศ” ดงั น้ีฟงั แล้วปวดหวั

๒. วิริยะ มีความเพียรมนั่ คง ไมห่ วนั่ ไหวในการค้นหาความจริงทุกแง่ทุกมุมในทุก
ๆ เรื่อง โดยอาศัยหลกั ฐาน เหตผุ ล บุคคลและสถานที่

๓. จติ ตะ เอาใจใส่ในการทำทุกข้ันตอนโดยไม่ทอดทิง้ โดยถือเป็นภารธุระหนา้ ที่ที่
จะต้องทำ เพราะเป็นประวัติของชาวช้างกลาง ทำให้แก่ชาวช้างกลางและเพื่อชาวช้างกลาง แม้
บางเรอ่ื งจะมีเพียงบรรทัดเดียว แต่ก็ถือวา่ เปน็ ประวตั ิศาสตร์ควรแก่การบนั ทึกไว้

๔ วิมังสา หมั่นไตร่ตรองทบทวนข้อที่เขียนโดยรอบคอบ ตรวจแล้วตรวจอีก แก้
แล้วแก้อีก รวมท้ังปรึกษาผู้รู้ ผู้เป็นรัตตัญญูบุคคล ประชุมผู้เกี่ยวข้องท้ังหลาย อภิปรายจนได้
ข้อยุติแล้วจงึ นำมาเขียน

เพราะฉะนั้นประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลางเล่มนี้จึงเกิดขึ้นจากความรู้ของชาวช้างกลาง
โดยอาศัยข้อมูลหลักฐานเท่าทีห่ าได้ อาศยั เหตุการณ์ จึงตอ้ งมีการอ้างบุคคล เหตุผลและสถานที่
เรื่องนจี้ งึ มคี วามยืดยาวกวา่ ๓๐๐ หนา้



หวังใจว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะให้อนุชนคนในท้องถิ่นได้ศึกษาประวัติศาสตร์บ้านเมืองของ
ตนเอง ก่อนที่จะไปเรียนรู้ศึกษาเร่ืองราวของบ้านอื่นเมืองอื่น เพื่อที่จะได้เกิดความภูมิใจว่าใน
ถิน่ ที่ตนเองเกิด มบี รรพบุรุษชื่ออะไร ได้สร้างสิง่ ทีม่ ีคุณค่าไว้ให้ลูกหลานไว้อย่างไร ที่ไหน เม่ือไร
มีประวัติว่าไว้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่นการกำเนิด “โรงเรียนช้างกลางประชานุกุล” เกิดขึ้นได้
อยา่ งไร มีเหตุผลจำเป็นอย่างไร เมื่อใด ใครเป็นต้นคดิ ใครเป็นผู้เรม่ิ สร้างวางฐาน ใครเป็นครูคน
แรก สิ่งเหล่านี้ต้องบันทึกไว้ให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้ลูกหลานได้เกิดความภูมิใจ อันเป็นการ
เช่อื มโยงไปถึงประวัติศาสตร์ของชาติไทยตั้งแตค่ รั้งสมัยอาณาจักรน่านเจา้ เข้ามายุคกรุงสโุ ขทัย
สู่ยคุ กรุงศรอี ยธุ ยา กรุงธนบรุ ี และกรงุ รัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน

ทั้งหลายทั้งปวง ผมได้รวบรวมไว้ท้ังหมด โดยแยกเปน็ บท ๆ ยืดยาวถึง ๑๖ บท แตล่ ะบท
กล่าวอย่างละเอียดของประวัติ ความเป็นมาในเรื่องนั้นๆ เช่นบทว่าด้วย “ช่ือบ้าน-นามเมือง” ก็
ได้กลา่ วถึงประวตั ิการทีไ่ ด้ชือ่ บ้านน้ัน เมอื งน้ัน และในแต่ละพืน้ ที่นนั่ มีประวัติว่าไว้อย่างไร หากทำ
เป็นรายงานราชการ คงทำได้แต่เพียงรูปแบบ แผนผัง ยังไม่เอื้ออำนวยต่อการล้วงลึกลงใน
รายละเอียด

ในโอกาสนีข้ อขอบคุณ คณุ พอพล อุบลพนั ธุ์ คุณเจริญอนิ ทองคำ คุณสวุ ิทย์ จำปาสิทธิ์
คุณสุธรรม โมรา ที่ช่วยรวบรวมเร่ืงราวและให้ข้อมูลต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะคุณธีระพงศ์
ช่วยชู อดีตนายอำเภอช้างกลางที่มองเห็นก้นบึ้งแท้จริงของชาวช้างกลาง ด้วยการบันทึกคำนิยม
ไว้น่าคิดว่า “ผมมีโอกาสฟัง สนทนา พูดคุยกับคณะกรรมการดำเนินการจัดทำต้นฉบับหนังสือ
ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง ทำให้รับรู้ได้ถึงความเป็นปราชญ์ของคนคล้องช้าง ทุกครั้งที่ได้
พบปะ ได้อ่านเอกสาร ทำให้รสู้ ึกเหมือนได้ดูภาพยนตร์แนวประวัติศาสตรด์ ีดนี ีเ่ อง”

ครับ! ภาพยนตร์แนวประวัติศาสตร์ที่นายอำเภอธีระพงศ์ ช่วยชู ยกขึ้นมากล่าวนี้ ทำให้
ผมภูมิใจว่า ข้อเขียนเร่ืองประวัติศาสตร์ช้างกลางของเรา อ่านแล้วมองเห็นภาพ เห็นสัจจะ เห็น
หลักธรรม เห็นอัตลักษณ์ของความเป็นชาวช้างกลาง ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร การที่
จะให้เขียนประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลางเป็นแนวเดียวกัน กับอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัด
นครศรีธรรมราชทั้ง ๒๓ อำเภอ จึงเป็นไปไม่ได้ และทำไม่ได้ เพราะอัตลักษณ์ไม่เหมือนกัน
ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลางเล่มนี้จึงถือกำเนิดมาอีกรูแบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างไปจากฉบับที่
ราชการกำหนดให้ทำ เลม่ นี้จะเรียกว่า “ ประวัติศาสตร์ช้างกลางฉบบั ชาวบ้าน” ก็ได้ ก็ขอบคุณ
ทกุ ท่านที่มีสว่ นรว่ มเรียบเรียงและให้ข้อมูลในทุกเร่อื ง โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งขอขอบคุณคุณจารึก รัต
นบรุ ี นายกองคบ์ ริหารส่วนตำบลชา้ งกลาง ที่ได้พิมพเ์ ผยแพร่ส่สู าธารณะ

(นายวรรณดี สรรพจิต)
๒๐ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๑



คำนยิ ม

ความเป็นอัตลักษณ์ของคน ชุมชน วัฒนธรรมท้องถิ่น ศาสนา เป็นสิ่งสำคัญที่ต้อง
รักษาและนับวันต้องหวงแหนไม่ให้สูญหาย จะต้องเก็บไว้ให้ลูก ให้หลาน ได้ศึกษาเรียนรู้ เพื่อ
เล่าเรื่องราวของความเปน็ ตวั ตน

หนังสือฉบับนี้ ผมคิดว่าเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งนอกจากจะรวบรวมข้อมูลตำนานเมือง
คล้องช้าง และยังเป็นข้อต่อของประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลางในยุคเทคโนโลยี่ เพราะได้มีการ
รวบรวมและเรียบเรียงตั้งแต่วันนี้ ความเสี่ยงของข้อมูลบางช่วงบางตอนที่เกิดจากการ
เปลี่ยนแปลงซึ่งเร็วยิ่งนกั ก็จะทำให้คงอยู่ต่อไป

ผมมีโอกาสฟัง สนทนา พูดคุยกับคณะกรรมการดำเนินการจัดทำต้นฉบับหนังสือ
ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง ทำให้รับรู้ได้ถึงความเป็นปราชญ์ของคนคล้องช้าง ทุกคร้ังที่ได้
พบปะ ได้อ่านเอกสาร ทำให้รสู้ ึกเหมือนได้ดูภาพยนตร์แนวประวตั ิศาสตรด์ ีดนี ีเ่ อง

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือประวัติสาสตร์อำเภอช้างกลางฉบับนี้ จะได้เผยแพร่ให้ชนรุ่น
หลังได้อ่านกันอย่างแพร่หลาย และผู้อ่านคงจะอิ่มเอมกับความรู้ที่เป็นจ๊ิกซอตัวหนึ่งของเมือง
นครศรธี รรมราช ทีข่ าดไม่ได้จากประวัติศาสตร์เมืองนครศรธี รรมราช

(นายธีระพงศ์ ช่วยชู)
นายอาเภอชา้ งกลาง

(พ.ศ.๒๕๖๐)

๑๐

สารบรรณ

บทสรุปสาหรับผบู้ ริหาร ...............................................................................................๑๔
บทท่ี ๑. ขอ้ มูลเบ้ืองตน้ ................................................................................................... ๒๔

- พ้ืนที่ เขตติดตอ่ ประชากร อาชีพ...................................................................๒๔
- ลกั ษณะภูมิประเทศ.........................................................................................๒๕
- คาขวญั ...........................................................................................................๒๙
- มาร์ชชา้ งกลาง.................................................................................................๒๙
บทท่ี ๒. กาเนิดชา้ งกลาง................................................................................................ ๓๐
๒.๑ ยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์............................................................................... ๓๐
๒.๒ ยคุ กาหนดเป็นเขตพ้ืนที่คมุ ชา้ ง................................................................ ๓๖
๒.๓ ยคุ กรมชา้ งกลาง...................................................................................... ๓๗
๒.๔ ยคุ ปริวรรษการปกครองสมยั ร.๕............................................................ ๔๓
๒.๕ ยคุ ปัจจุบนั ................................................................................................ ๔๕
บทที่ ๓.ช่ือบา้ น นามเมือง.............................................................................................. ๕๓
๓.๑ ควนพลอง...ถ่ินกาเนิดไมแ้ ดง.................................................... ............. ๕๓
๓.๒ นาวา.....เขตเมืองเก่านางพญาเลือดขาว....................................... ............. ๕๕
๓.๓ ทุ่งเจียก...แหล่งเกิดอารยะธรรมทอ้ งถิ่น...................................... ............. ๕๘
๓.๔ เขาดินสอ....ที่ต้งั เมืองเก่านางพญาจณั ที.................................................... ๖๒
๓.๕ ควนส้าน-ลมุ่ ในหิน.....ถิ่นพานกั จอมโจรเสือสีนุ่น................................... ๖๔
๓.๖ คลองงา...ที่มาของพลูคลองงา-ยากลาย..................................................... ๖๘
๓.๗ ท่าแพ.....แพขา้ มฝั่งของกรมหลวงลพบรุ ีราเมศร์...................................... ๗๒
๓.๘ สวนขนั ...พ้ืนท่ีซ่อนทพั เจา้ พระยานครพดั ................................................ ๗๖
๓.๙ หลกั ชา้ ง...หวั เมืองสาคญั สมยั พระเจา้ ตากสิน............................................๗๙
๓.๑๐ โคกทือ...ถ่ินเกิดคนหวั หมอ และพ่อทา่ นคลา้ ย....................................... ๘๓
๓.๑๑ ควนตม....พ้นื ท่ีสร้างทางรถไฟยากที่สุด................................................. ๘๖
๓.๑๒ คลองกุย....คอกจบั จา้ งในอดีต................................................................๘๗
๓.๑๓ บา้ นทา้ ยเหมือง...อดีตเหมืองแร่อ้ึงค่ายทา่ ย.............................................๘๙
๓.๑๔ บา้ นด่านไผง่ า...ที่ฝังทรัพยเ์ สือสีนุ่น....................................................... ๙๒
บทที่ ๔. ศาสนสถานโบราณวตั ถุ....................................................................................๙๖
๔.๑ พระพฆิ เนศร์ หรือพระอุเชน......................................................................๙๖
๔.๒ พระพทุ ธวิชิตมาร..................................................................................... ๑๐๑

๑๑

๔.๓พระพุทธสิหิงคแ์ บบนครศรีธรรมราชจาลอง.............................................๑๐๔
๔.๔ พระเชียงแสน............................................................................................๑๐๙
๔.๕ พระประธานในโบสถว์ ดั หลกั ชา้ ง............................................................ ๑๑๑
๔.๖ เจดียส์ องพ่นี อ้ ง..........................................................................................๑๑๓
๔.๗ เจดียว์ ดั สวนขนั .........................................................................................๑๑๗
๔.๘ เจดียว์ ดั ธาตนุ อ้ ย....................................................................................... ๑๑๘
บทท่ี ๕. การคมนาคม.....................................................................................................๑๒๒
๕.๑ ทางบก....................................................................................................... ๑๒๒
๕.๒ ทางน้า.......................................................................................................๑๒๖
บทที่ ๖.บทเพลง ศิลปะภูมิปัญญา...................................................................................๑๒๘
๖.๑ เพลงยาว.....................................................................................................๑๒๘
๖.๒ เพลงบอก...................................................................................................๑๓๙
๖.๓ เพลงกลอ่ มนอ้ ง..........................................................................................๑๔๓
๖.๔ เพลงหนงั ตะลุง..........................................................................................๑๔๕
๖.๕ เพลงโนรา .................................................................................................๑๔๖
๖.๖ เพลงกาหลอ............................................................................................... ๑๔๙
๖.๗ เพลงกลอ่ มผ้งึ ............................................................................................ ๑๕๒
๖.๘ ศิลปะภมู ิปัญญา.........................................................................................๑๕๓
บทที่ ๗.ประเพณี วฒั นธรรม.......................................................................................... ๑๕๗
๗.๑ ประเพณีการตีผ้งึ ........................................................................................๑๕๗
๗.๒ประเพณีเดือนสิบ..................................................................................... ๑๖๑
๗.๓ ประเพณีสงกรานต.์ ..................................................................................๑๖๕
๗.๔ ประเพณีสมโภชขา้ ว................................................................................. ๑๖๖
๗.๕ ประเพณีวนั เพญ็ เดือน ๔ ของชาวคลองงา................................................ ๑๖๗
๗.๖ ประเพณีการแตง่ งาน.................................................................................๑๗๐
บทท่ี ๘. ภาษาและวรรณกรรม........................................................................................๑๗๕
๘.๑ ภาษา..........................................................................................................๑๗๕
๘.๒ วรรณกรรม............................................................................................... ๑๗๗

-ประเภทร้อยแกว้ .................................................................................๑๗๗
-ประเภทร้อยกรอง...............................................................................๑๗๘

๑. กาพย.์ ..........................................................................................๑๗๘

๑๒

๒.กลอน.......................................................................................... ๑๘๑
๓.ฉนั ท.์ ........................................................................................... ๑๘๒
๔. ร่าย..............................................................................................๑๘๒
บทท่ี ๙. การศึกษา...........................................................................................................๑๘๓
๙.๑ การศึกษาในยคุ ตา่ ง ๆ ................................................................................ ๑๘๓
๙.๒ แผนการศึกษาของชาติ.............................................................................. ๑๘๙
๙.๓ ระบบโรงเรียน...........................................................................................๑๙๐
๙.๓.๑ ระดบั ประถมศึกษา...................................................................๑๙๐
๙.๓.๒ ระดบั มธั ยมศึกษา.....................................................................๒๑๐
๙.๓.๓ ระดบั อุดมศึกษา.......................................................................๒๑๗
บทที่ ๑๐. วดั ในอาเภอชา้ งกลาง......................................................................................๒๒๒
๑๐.๑ วดั มะนาวหวาน....................................................................................... ๒๒๒
๑๐.๒ วดั หลกั ชา้ ง.............................................................................................๒๓๑
๑๐.๓ วดั สวนขนั ...............................................................................................๒๓๔
๑๐.๔ วดั คีรีวรรณา............................................................................................๒๓๕
๑๐.๕ วดั ธาตนุ อ้ ย..............................................................................................๒๔๐
๑๐.๖ วดั จนั ดี.....................................................................................................๒๔๑
๑๐.๗ วดั เทพกญุ ชร...........................................................................................๒๔๓
๑๐.๘ วดั ควนสา้ น............................................................................................. ๒๔๖
๑๐.๙ วดั หนา้ เขาเหมน.......................................................................................๒๔๘
๑๐.๑๐ วดั ควนสงฆ.์ ..........................................................................................๒๕๔
๑๐.๑๑ วดั ราษฎร์บารุง(วดั ใต)้ .......................................................................... ๒๕๕
บทท่ี ๑๑. บุคคลสาคญั ....................................................................................................๒๕๗
๑๑.๑ ฝ่ายบรรพชิต
- พอ่ ทา่ นคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ.....................................................................๒๕๗
- พอ่ ทา่ นหมึก......................................................................................๒๖๒
- พอ่ ท่านพมุ่ ....................................................................................... ๒๖๕
- พอ่ ทา่ นผุด........................................................................................๒๖๘
- พอ่ ทา่ นคร้ืน......................................................................................๒๗๔
- พอ่ ท่านสอน......................................................................................๒๗๙

๑๓

๑๑.๒ ฝ่ายฆราวาส
- หลวงไชยศรศิลป์ ............................................................................. ๒๘๑
- กานนั ฉ่า ไพรสณฑ.์ ......................................................................... ๒๘๒
- นายมี จนั ทร์เมือง.............................................................................๒๘๓
- นายเอียด สันตจิต............................................................................. ๒๘๔
- นายเอ้ือม อบุ ลพนั ธุ.์ .........................................................................๒๘๗
- นายจวง สนั ตจิต...............................................................................๒๙๐

บทที่ ๑๒.องคก์ รของรัฐ..................................................................................................๒๙๔
๑๒.๑ องคก์ ารสวนยาง......................................................................................๒๙๔
๑๒.๒ องคก์ ารบริหารส่วนตาบลชา้ งกลาง....................................................... ๒๙๕
๑๒.๓ เทศบาลตาบลหลกั ชา้ ง........................................................................... ๓๐๐
๑๒.๔ เทศบาลตาบลสวนขนั ............................................................................ ๓๐๓
๑๒.๕ โรงพยาบาลพ่อทา่ นคลา้ ย.......................................................................๓๐๖
๑๒.๖ หอ้ งสมุดเฉลิมราชกมุ ารี........................................................................ ๓๐๗

บทที ๑๓. การเสด็จมาของพระมหากษตั ริย์ และพระราชวงศ.์ ....................................... ๓๑๒
๑๓.๑ เจา้ ฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศร์.................................................................๓๑๒
๑๓.๒ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลที่ ๖............................................๓๑๓
๑๓.๓ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลท่ี ๙............................................ ๓๑๕
๑๓.๔ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ................................................................ ๓๑๖

บทที่ ๑๔.แหลง่ ท่องเที่ยวที่สาคญั ...................................................................................๓๑๘
๑๔.๑ แหล่งท่องเท่ียวตามธรรมชาติ................................................................. ๓๑๘
๑๔.๒ แหล่งทอ่ งเท่ียวทางประวตั ิศาสตร์และโบราณคดี.................................. ๓๒๒
๑๔.๓ แหล่งท่องเท่ียวทางวฒั นธรรมและศาสนา..............................................๓๒๓

บทท่ี๑๕.แหลง่ ศึกษาเรียนรู้ทางการเกษตร..................................................................... ๓๒๙
๑๕.๑ ชุมชนคนรักเห็ด......................................................................................๓๒๙
๑๕.๒ กล่มุ เล้ียงผ้งึ โพรง................................................................................... ๓๓๐
๑๕.๓ กลมุ่ ผลิตผา้ บาติก....................................................................................๓๓๑

ทาเนียบนาม...................................................................................................................๓๓๓
๑๖.๑ ปลดั อาเภอผเู้ ป็นหวั หนา้ ก่ิงอาเภอชา้ งกลาง
๑๖.๒ นายอาเภอชา้ งกลาง
๑๖.๓ กานนั

๑๔

- ตาบลชา้ งกลาง
- ตาบลหลกั ชา้ ง
- ตาบลสวนขนั
บรรณานุกรรม................................................................................................................ ๓๓๕

๑๕

ประวตั ิศาสตร์อาเภอช้างกลาง

บทสรุปสาหรับผู้บริหาร

พื้นท่ี
ชา้ งกลางเป็นอาเภอขนาดเลก็ ในกลุ่มลุ่มน้าตาปี ( พิปูน ฉวาง ชา้ งกลาง ถ้าพรรณรา ทุ่งใหญ่)
ต้งั อยตู่ อนกลางคอ่ นไปทางทิศตะวนั ตกของจงั หวดั นครศรีธรรมราช มีเน้ือที่ ๒๓๖.๓ ตาราง
กิโลเมตร โดยแยกการปกครองจากอาเภอฉวางต้งั แต่ ปี พ.ศ.๒๕๓๙ ประกอบดว้ ย ๓ ตาบล ๓๖
หม่บู า้ น คือชา้ งกลาง หลกั ชา้ งและสวนขนั
มีคาขวญั วา่ “ตานานเมืองคลอ้ งชา้ ง น้ายางพนั ธุด์ ี มากมีผลไม้ พอ่ ท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ”
ชื่อช้างกลาง
มีหลกั ฐานกล่าวไวใ้ นหนงั สือ “บุดดา” วา่ พระเจา้ สุวรรณคูตาศรีธรรมาโศกราชผคู้ รอง
แควน้ ศิริธรรมนครต้งั แต่ปี พ.ศ.๑๕๘๐ ไดก้ าหนดเขตดินแดนต่าง ๆ ในความปกครอง ออกเป็น ๔
เขต อนั ไดแ้ ก่เขตของหมอเฒ่าไชย หมอเฒ่าจนั หมอเฒ่าศรีและหมอเฒ่าแกว้ หนงั สือบดุ ดาดงั กลา่ ว
น้ีพบที่ทุ่งเจียก หม่ทู ี่ ๓ ตาบลชา้ งกลางเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๘ กานนั ไดน้ าส่งนายอาเภอ ผา่ นผวู้ า่ จนถึง
กรมพระยาดารงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยสมยั น้นั ทรงพจิ ารณาเห็นวา่ เป็นหลกั ฐาน
สาคญั ที่สามารถยดึ เป็นหลกั ฐานอา้ งอิงได้ ปัจจุบนั เก็บอยู่ ณ หอสมดุ แห่งชาติ
สาหรับเขตปกครองของหมอเฒ่าไชยน้นั ถือวา่ เป็นศูนยก์ ลางในการทาหนา้ ที่ควบคุมดูแล
ชา้ งครอบคลุมหวั เมืองที่เรียกช่ือในปัจจุบนั วา่ หลกั ชา้ ง ฉวาง ละอาย พิปูน
ตอ่ มาพ้นื ท่ีศูนยก์ ลางดงั กลา่ วน้ีไดป้ ริวรรตข้ึนเป็นกรมชา้ งกลางของเจา้ พระยานคร จึงไดช้ ื่อ
“ชา้ งกลาง”ต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นตน้ มา มีเขตพ้ืนที่รับผิดชอบ ควบคมุ ดูแลชา้ งในป่ าต้งั แต่ไหล่เขาหลวง
เขาธง เขาเหมนลงมาบา้ นนา คลองงา ควนตม หลกั ชา้ ง ควนพลอง คุดดว้ น สวนขนั เสลา นาพลาย
จนั ดี คลองกยุ ปากมิน ตลอดไปจนถึงทุ่งใหญ่
ในส่วนเขตของหมอเฒ่าจนั เขตพ้นื ที่เดิมอยหู่ ัวทะเล เป็นชุมชนพราหมณ์มาก่อน ต่อมาได้
ปริวรรตข้ึนเป็นกรมชา้ งซา้ ย ปัจจุบนั เป็นตาบลชา้ งซา้ ย อยใู่ นอาเภอพระพรหม
สาหรับเขตของหมอเฒ่าศรี คุมพ้นื ท่ีแถวทา่ ทอง หรือท่าอแุ ท ซ่ึงเคยเป็นเมืองสาคญั ในยคุ
อาณาจกั รไชยา-ศรีวิชยั ต่อมาไดป้ ริวรรตข้นึ เป็นกรมชา้ งขวา ปัจจุบนั มีฐานะเป็นตาบลชา้ งขวา อยใู่ น
อาเภอกาญจนดิษฐ์ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี
ในส่วนเขตที่มอบใหห้ มอเฒ่า แกว้ ปกครองน้นั อยแู่ ถวชะมาย ซ่ึงเป็นชื่อเดิมของทุ่งสง

๑๖

ต้งั แต่สมยั อยธุ ยาเป็นตน้ มา ถือวา่ กองทพั ชา้ งเป็นกาลงั สาคญั ของนครศรีธรรมราช ดว้ ยเหตุ
ความจาเป็นตอ้ งจบั ชา้ งป่ ามาฝึกหดั ใชใ้ นราชการสงคราม เจา้ เมืองนครศรีธรรมราชจึงต้งั “หวั เมือง”
ข้นึ ๔ หวั เมือง เพ่ือปกครองดูแลชา้ งในอาณาบริเวณน้ี คอื

- หวั เมืองพปิ ูน
- หวั เมืองกะเปี ยด
-หวั เมืองละอาย
- หวั เมืองหลกั ชา้ ง
ตาแหน่งขนุ นางในหวั เมืองดงั กล่าวกาหนดยศในระดบั “หลวง” ดงั เช่นหวั เมืองหลกั ชา้ ง ผู้
ดารงตาแหน่งมีบรรดาศกั ด์ิเป็นหลวง คือ “หลวงจบกระบวนยทุ ธ” ศกั ดินา ๑,๒๐๐ ไร่ มีปลดั คือ
หม่ืนไกรพลหาญ ศกั ดินา ๔๐๐ ไร่ ท้งั ๔ หัวเมืองน้ีข้ึนกบั “กรมพระปลดั ” เมืองนครโดยตรง
โดยมีกรมชา้ งกลางซ่ึงมีหนา้ ที่เฉพาะเกี่ยวกบั เร่ืองการจบั ชา้ ง ฝึกชา้ ง ดูแลชา้ ง แยกออกมาต่างหาก มี
อานาจมากเพราะพ้ืนท่ี “กรมชา้ ง” มีอาณาเขตกวา้ งใหญ่ครอบคลุมหวั เมืองท้งั ๔ ท่ีจะตอ้ งทางาน
ประสานกนั ท้งั ในดา้ นการปกครองและควบคมุ ดูแลชา้ งท้งั หลาย
กรมชา้ งกลางมีฐานะเด่นชดั ข้ึนในสมยั สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช เพราะไดท้ รงต้งั
เจา้ พระยานครข้ึนเทียบเทา่ พระเจา้ แผน่ ดิน มีนามต่อทา้ ยวา่ “พระเจา้ นครศรีธรรมราช เจา้ ขณั ฑสีมา”
ข้นึ ตรงต่อพระเจา้ กรุงธนบรุ ีมีอานาจแตง่ ต้งั กรมข้ึนตรงมากมาย ฐานอานาจของกรมชา้ งกลางกพ็ ลอย
สูงข้นึ ดว้ ย
คร้ันถึงสมยั รัชกาลท่ี ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ไดม้ ีพระบรมราชโองการประกาศแตง่ ต้งั
เจา้ พระยานครนอ้ ยข้นึ เป็นเจา้ พระยานครคนใหม่เมื่อ พ.ศ.๒๓๕๔ ในการน้ีไดป้ ระกาศช่ือกรมตา่ ง ๆ
ที่ข้นึ กบั เจา้ พระยานครมากถึง ๒๘ กรม ในจานวนน้ีมีกรมชา้ งกลางท่ีเป็นกรมสาคญั รวมอยู่ดว้ ย ซ่ึงมี
ขนุ นางต้งั แตร่ ะดบั หลวง ช่ือหลวงพิไชยนาเคนทร์ ศกั ดินา ๑๒๐๐ เป็นเจา้ กรม จนถึงระดบั ขนุ และ
หมื่น รวมแลว้ ๑๘ คน
ลว่ งมาถึงสมยั รัชกาลท่ี ๕ เจา้ พระยานครขณะน้นั ช่ือ เจา้ พระยานครหนูพร้อม คนทว่ั ไป
เรียกวา่ พระยาขนทวน ส่วนเจา้ กรมชา้ งกลางคือหลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) ในช่วงน้นั รัชกาลท่ี ๕ ได้
ปฏิรูปการปกครองแผน่ ดินจากแบบจตุสดมภ์ เวียง วงั คลงั นา มาเป็นแบบกระทรวง ทบวง กรม
โดยใช้ พระราชบญั ญตั ิปกครองทอ้ งที่ ร.ศ.๑๑๖ และ ๑๑๗ ต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๔๑
การเปล่ียนวธิ ีการปกครองดงั กลา่ วน้ี เป็นผลใหฐ้ านอานาจของเจา้ พระยานครหมดไป กรม
ชา้ งท้งั ๓ ของเจา้ พระยานครตอ้ งสลายตวั ลงไปดว้ ย และหมดบทบาทในการควบคุมพ้ืนท่ีดูแลชา้ ง
ต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นตน้ มา มีการต้งั อาเภอข้นึ มาทาหนา้ ท่ีแทน ส่วนกรมชา้ งกลางก็มีฐานะเป็นตาบล
ข้นึ กบั อาเภอฉวางซ่ึงต่อมาในปี ๒๕๓๙ กไ็ ดแ้ ยกการปกครองออกมาเป็นกิ่งอาเภอ และยงั คงใชช้ ่ือ
ชา้ งกลางสืบตอ่ มา

๑๗

ในช่วงที่กรมชา้ งกลางสลายตวั ตามพระราชบญั ญตั ิปกครองทอ้ งท่ี ร.ศ.๑๑๖และ ๑๑๗
ดงั กลา่ วแลว้ พ้นื ที่ที่เคยควบคุมดูแลชา้ งก็ไดม้ ีการต้งั เป็นอาเภอข้นึ มาปกครองแทน

ในช่วงน้ีมีประวตั ิวา่ หลวงพานกั นิคมคาม (ขาว ณ นคร) นายอาเภอทงุ่ สงสมยั น้นั ไดร้ ับ
คาสง่ั ใหส้ ารวจพ้ืนท่ีในเขตหัวเมืองหลกั ชา้ ง พปิ นู กะเปี ยด ละอาย ซ่ึงมีอาณาเขตกวา้ งไกลไพศาล
ติดแดนไชยา ที่เคยเป็นพ้ืนที่ของกรมชา้ งกลาง วา่ สมควรจะต้งั เป็นอาเภอหรือไม่ ในท่ีสุด ผลการ
สารวจใหจ้ ดั ต้งั ได้ ๒ อาเภอ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๓ คือ

- อาเภอไชยศรศิลป์ ต้งั ท่ีโคกปาบ ริมทุ่งเจียก(ปัจจุบนั คือ หมู่ ๓ ตาบลชา้ งกลาง)
- อาเภอฉวาง ต้งั ท่ีท่าชี (ปัจจุบนั อยใู่ นเขตไชยา)
สาหรับอาเภอไชยศรศิลป์ น้นั คณุ มงคล คงแกว้ (เสียชีวิตแลว้ ) ปราชญช์ าวบา้ นเล่าใหฟ้ ังวา่
ที่วา่ การอาเภอไชยศรศิลป์ น้ีต้งั อยบู่ ริเวณโคกปาบ ริมทุ่งเจียกดา้ นทิศตะวนั ออก แต่ต้งั ไดไ้ มน่ านก็ถกู
ยบุ ไปเมื่อยา้ ยที่วา่ การอาเภอฉวางจากท่าชี มาต้งั ที่หมู่ ๕ ตาบลนาแว เพราะอยใู่ กลก้ นั อาเภอไชยศร
ศิลป์ หลงั จากถูกยบุ ไปแลว้ กไ็ มม่ ีหลกั ฐานหรือประวตั ิใด ๆ หลงเหลืออยเู่ ลย อนุชนคนรุ่นหลงั จึงไมม่ ี
ใครรู้จกั ชื่ออาเภอไชยศรศิลป์ ซ่ึงต้งั ตามช่ือของเจา้ กรมชา้ งกลางคนสุดทา้ ยคือหลวงไชยศรศิลป์ (กลบั )
แต่โคกปาบยงั เป็นอนุสรณ์สถานสาคญั เพราะตอ่ มาเป็นบ่อเกิดขนบธรรมเนียมประเพณีของตาบลชา้ ง
กลางหลายอยา่ ง เช่น การลากพระบก การจดั งานสมโภชขา้ ว การจดั งานแสดงศิลปะหนงั ตะลุ โนรา
ลว้ นจดั ข้นึ ณ บริเวณโคกปาบท้งั สิ้น ที่ไดเ้ รียกวา่ โคกปาบเพราะมีตน้ ปาบใหญ่อยตู่ น้ หน่ึงข้ึนอยู่
ทา่ มกลางบริเวณลานโลง่ ดา้ นตะวนั ออกของทงุ่ เจียกซ่ึงเป็นป่ า อาณาบริเวณรอบ ๆ ประกอบดว้ ยป่ า
ไมเ้ บญจพรรณนา นา ชนิด จึงเป็นรมณียสถานเหมาะแก่การจดั งานหลายอยา่ ง
ส่วนอีกอาเภอหน่ึง ใหช้ ื่อวา่ “อาเภอฉวาง” เร่ิมต้งั คร้ังแรกที่ทา่ ชี แดนต่อกบั ไขยา ไดต้ ้งั
“หลวงปราบประทษุ ราษฎร์” (เอียด ณ นคร) เป็นนายอาเภอคนแรกต้งั แต่ปี พ.ศ.๒๔๔๓ ตอ่ มายา้ ย
ท่ีวา่ การมาต้งั ที่หมู่ ๕ ตาบลนาแว เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๔ มีขนุ ราชเมืองขวาง(ข้ีนาค)เป็นนายอาเภอ ก็
ยบุ อาเภอไชยศรศิลป์ เพราะต้งั อยใู่ กลก้ นั ดงั กลา่ วแลว้ ซ่ึง
ในส่วนของกรมชา้ งกลาง หลงั จากท่ีหลวงไชยศรศิลป์ (กลบั )ไดถ้ ึงแก่กรรมในพ.ศ. ๒๔๓๙
แลว้ กรมพระปลดั กไ็ ดย้ บุ กรมชา้ งกลาง เป็นผลใหก้ รมชา้ งขวา ที่กาญจนดิตถ์ และกรมชา้ งซา้ ย ที่
(อาเภอ)พระพรหม กรมยอ่ ยในสงั กดั ถูกยบุ ไปดว้ ย
หลงั จากยบุ กรมชา้ งท้งั ๓ แลว้ กเ็ ขา้ สู่ยคุ การปฏิรูปการปกครองทอ้ งท่ี ชา้ งกลางมีฐานะเป็น
ตาบลข้นึ กบั อาเภอฉวางต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๔๓ เป็นตน้ มา มีพ้ืนท่ีคลมุ ถึงหวั เมืองหลกั ชา้ งและหวั เมือง
ละอาย จนกระทง่ั ถึงวนั ท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙ คือ ๙๖ ปี ต่อมา ไดร้ ับการแยกตวั ออกมาเป็นกิ่ง
และเป็นอาเภอในปัจจุบนั ชื่อชา้ งกลางจึงมีประวตั ิยาวนานต้งั แตป่ ระมาณปี ๑๕๘๐ ถึงปัจจุบนั
(๒๕๖๐) นบั ได้ ๙๘๐ ปี

๑๘

เมื่อคร้ังต้งั เป็นตาบล คนปกครองดูแลท่ีเคยเรียกวา่ นายแขวงกเ็ ปล่ียนมาเป็นกานนั
- คนแรกคอื หม่ืนคชเขตมชั ฌิมานุการ(ปาน ไพรสณฑ)์
- คนถดั มาคอื หมื่นเทพ (คลา้ ย เทพพิชยั ) บุตรของหลวงไชยศรศิลป์ (กลบั )
- ต่อมากเ็ ป็นกานนั เงิน และกานนั แจง้
- ถดั มากเ็ ป็นกานนั ฉ่า ไพรสณฑ์ ลกู ของหม่ืนคชเขตมชั ฌิมานุการ
- แลว้ ก็กานนั เคลา้ ลกู กานนั ฉ่า
- ถดั จากกานนั เคลา้ กม็ า กานนั ประสิทธ์ิ สโมสร กานนั ประโยชน์ รัตนบุรี กานนั ฉลอง จิตร
รัตน์ กานนั วเิ ชียร ทิพยส์ ุราษฎร์ กานนั จารึก รัตนบุรี จนมาถึงปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๐)คือกานนั พิสัณฑ์
บณุ ยเกียรติ
พื้นทช่ี ้างกลาง แมจ้ ะเป็นอาเภอขนาดเลก็ แตม่ ีส่ิงท่ีน่าประทบั ใจ น่าท่องเที่ยว และน่า
ติดตามศึกษาต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั หลายประการดงั น้ี
๑.ได้ชื่อว่าเป็ นเมือง ๒ ธรรม คอื ธรรมะและธรรมชาติ

- ในฐานะเป็ นเมือง “ธรรมะ”
๑.๑ มพี ่อท่านคล้ายวาจาสิทธ์ิ ที่ไดช้ ื่อวา่ เป็นเกจิอาจารยโ์ ด่งดงั เป็นบ่อเกิด

แห่งธรรมท้งั หลาย ท่านเกิดที่โคกทือ ตาบลหลกั ชา้ ง มีอายยุ นื ยาว ๙๖ ปี เป็นเจา้ อาวาสวดั สวนขนั
นานถึง ๖๕ ปี แมข้ าของทา่ นดา้ นหน่ึงดว้ นไปเพราะอุบตั ิเหตุ แต่ทา่ นกไ็ ดเ้ ดินทางไปสร้างสาธารณะ
ประโยชน์ไวม้ ากเป็นอเนกอนนั ตแ์ ทบทกุ แห่ง และไดถ้ ือโอกาสน้นั ๆสอนมวลมนุษยท์ ้งั หลายให้
ต้งั อยใู่ นศีล ในธรรมมาโดยตลอด คาพดู ของท่านเป็นสัจจะ จริงแทแ้ น่นอน จึงไดน้ ามต่อทา้ ยวา่
“วาจาสิทธ์ิ” ความดีของท่านไดล้ ว่ งรู้ไปถึงพระกรรณของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยฯู่ รัชกาลท่ี ๙ ทรง
อาราธนาทา่ นเขา้ วงั สวนจิตรลดา ในวนั ที่เขา้ เฝ้า พ่อท่านคลา้ ยเล่าใหเ้ หล่าลูกศิษยฟ์ ังวา่ เหมือนเป็น
วนั ที่ไดพ้ บกบั เทวดา ไดส้ นทนากบั เทวดา และยงั ไดร้ ดน้าอวยพรใหพ้ ระเจา้ อยหู่ วั ฯ ผเู้ ป็นเทวดาดว้ ย

แมว้ า่ พ่อทา่ นคลา้ ยไดม้ รณภาพไปแลว้ ต้งั แต่ปี ๒๕๑๓ แต่ความศรัทธาในความดีของพ่อท่าน
คลา้ ยยงั แนบแน่นอยใู่ นหม่ชู นท้งั หลาย ลกู หลานชาวชา้ งกลางเอง ไมว่ า่ จะไปอยใู่ นทิศไหนถ่ินใดก็
ตาม จะนาพ่อท่านคลา้ ยไปอยดู่ ว้ ย ซ่ึงมีท้งั ภาพถา่ ย รูปป้ัน รูปเหมือน เหรียญ พระพิมพห์ รือชาน
หมาก ทกุ คร้ังท่ีมีวบิ ตั ิขดั ขอ้ ง ของหาย หรือป้องกนั อบุ ตั ิภยั พวกเขาจะบนบานขอใหพ้ ่อทา่ นคลา้ ย
คุม้ ครอง ช้ีของท่ีหายและก็ไดเ้ ป็นไปตามคาบนบานท้งั สิ้น ท้งั มิตอ้ งแกบ้ นแตป่ ระการใดเม่ือบรรลุผล
แลว้

มีวดั ที่เป็นหลกั ซ่ึงเป็นเสมือนเรือนร่าง จิตวิญญาณและบารมีของพ่อทา่ นคลา้ ยอยู่ ๓ วดั นน่ั
คือ วดั ธาตุนอ้ ย วดั สวนขนั และวดั ราษฎร์บารุง

๑. วดั ธาตุนอ้ ย ซ่ึงเป็นที่เกบ็ สรีระของท่าน ยงั สถิตอยทู่ ีน่ี ทุกคนท่ีไปกราบไหว้ ยงั
ไดเ้ ห็นร่างของทา่ นนอนอยอู่ ยา่ งสงบ เป็นส่วนทาใหเ้ ห็นธรรม คืออนิจจ ทุกข อนตฺตา ยงิ่ ข้ึน

๑๙

๒.วดั สวนขนั เป็นวดั ท่ีท่านเป็นเจา้ อาวาสอยนู่ านถึง ๖๕ ปี จิตวญิ ญาณของท่านยงั
แนบแน่นในศรัทธาของคนท้งั หลาย จนมีชื่อเสียงคู่กบั หลวงพ่อทวดวา่ ถา้ ไหวห้ ลวงพ่อทวด ตอ้ งไป
วดั ชา้ งให”้ ถา้ ไหวพ้ ่อท่านคลา้ ย ตอ้ งมา “วดั สวนขนั ” เพราะนน่ั คอื จิตวิญญาณที่ฝังแน่นในใจผู้
ศรัทธาท้งั หลาย จนพูดกนั ติดปากวา่ “หลวงพ่อทวดวดั ชา้ งให้ หลวงพอ่ คลา้ ยวดั สวนขนั ” จึงเป็นส่วน
ดึงคนท้งั หลายใหโ้ นม้ เขา้ มาหา

๓.วดั ราษฎร์บารุง หรือวดั ใต้ ถือเป็นตน้ กาเนิดของวดั สวนขนั เดิมช่ือวดั คดุ ดว้ น แต่
ถูกน้าเซาะจนเหลือท่ีวดั นิดเดียว จึงไดย้ า้ ยมาต้งั วดั ใหม่ท่ี “สวนขนั ” แตถ่ ึงกระน้นั ท่ีเก่ากย็ งั คงเป็นวดั
เป็นบารมีของพอ่ ทา่ นคลา้ ย ผศู้ รัทธาท้งั หลายไดร้ ่วมกนั สร้างรูปป้ันพ่อท่านคลา้ ยท่ีใหญ่ท่ีสุดในโลก
ณ วดั น้ี

๑.๒ มีพ่อท่านผุด หรือพระพทุ ธิสารเถร เป็นผูเ้ บิกแสงสวา่ งทางธรรม แก่ชาวชา้ ง
กลางในละแวกบา้ นคลองงา บา้ นนา นาวา บา้ นควนสา้ น และหมู่บา้ นใกลเ้ คียงตา่ งๆ ต้งั แต่ปี ๒๔๖๑
ทา่ นต้งั ศนู ยส์ อนธรรมะประเพณีนิยมต่าง ๆ จนเป็นบ่อเกิดแห่งอารยธรรมสมยั ใหมข่ ้นึ สืบตอ่ มาจนถึง
ปัจจุบนั คนรุ่นหลงั ไดเ้ จริญรอยตาม ท้งั เป็นผตู้ ้งั ศูนยศ์ ิลปาชีพ ใหค้ วามรู้ในดา้ นศิลปะต่าง ๆ ต้งั แต่
การเป็นช่างป้ัน ช่างทอ การเกษตร การพาณิชย์ การคมนาคม การมงคลสมรส การก่อต้งั โรงเรียน
ฯลฯ

๑.๓ มีวดั ท่ีเก่าแก่เกิดมาแต่คร้ังสมยั อยธุ ยา คือวดั มะนาวหวาน
- ในฐานะเป็ นเมืองธรรมชาติ อาเภอชา้ งกลางไดช้ ่ือวา่ มีธรรมชาติที่สวยงามมากมาย
หลายแห่ง ท่ีสาคญั ไดแ้ ก่
๑. น้าตกทา่ แพ อยใู่ นหมู่ ๑๔ ห่างจากถนนสาย ๔๐๑๕ เขา้ ไปประมาณ ๒ กิโลเมตร
มีน้าตก ๑๐ ช้นั แต่เปิ ดใหท้ ่องเที่ยวพกั ผอ่ นหยอ่ นใจเพียง ๓ ช้นั สาหรับผทู้ ่ีสนใจศึกษาธรรมชาติ
ทางอทุ ยานแห่งชาติไดจ้ ดั ทาเส้นทางศึกษาธรรมชาติ ถึงน้าตกช้นั ที่ ๗ แตท่ ้งั น้ีตอ้ งอยใู่ นความ
ควบคุมดูแลของเจา้ หนา้ ท่ี
นอกจากน้าตกทา่ แพแลว้ ในตาบลชา้ งกลางยงั มีน้าตกคลองสงั เกียด น้าตกคลองเหมน
น้าตกคลองแหน และน้าตกหนา้ เขาเหมน
๒. ถ้าต่าง ๆ ท่ีเชิงเขาเหมน มีถ้าท่ีน่าศึกษาท้งั ดา้ นธรรมชาติและประวตั ิศาสตร์ เช่น
ถ้าหม่ืนยม ที่ฝังสมบตั ิของพราหมณ์ฮินดู ถ้าคา้ งคาว แหลง่ ธรรมชาติกาเนิดป๋ ยุ ถ้าน้า ถ้าพระ ที่ฝัง
พระพุทธรูป พระดินเผามากมาย ถ้าอม ถ้าหมอ้ นอกจากน้ียงั มีถ้าและหนา้ ผาที่เขาสังเกียด ในอดีตมี
ผ้ึงลงทารับนบั ร้อยรังในแต่ละปี ซ่ึงยงั เป็นธรรมชาติเตม็ ร้อย
๓. เขาเหมน ชื่อน้ีเพ้ยี นเสียงมาจาก “เขาพระสุเมรุ” ในทางธรณีวทิ ยาถือวา่ เป็นภเู ขา
ท่ีเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟเมื่อหลายแสนปี มาแลว้ เพราะท่ียอดเขายงั มีแอ่งน้าซ่ึงเป็นปลอ่ งภูเขา
ไฟ มีเปลือกหอยทะเลและท่ีเชิงเขายงั มีหินรอยลาวา ปัจจุบนั มีทางเท่ียวข้ึนยอดเขา ซ่ึงสูง ๑,๓๑๕

๒๐

เมตร จากระดบั น้าทะเล มีธรรมชาติหลากหลายใหช้ ่ืนชมท้งั ไมป้ ่ า และสัตวป์ ่ า รวมท้งั มอร์ส เฟิ ร์น

และสัตวป์ ่ าที่หายาก

ในโลกน้ีมีภูเขาท่ีช่ือ “พระสุเมรุ” ซ่ึงพวกพราหมณ์อินดูในลทั ธิไศวนิกายเป็นผตู้ ้งั ช่ือมีอยู่ ๔

แห่ง แต่เรียกเพ้ยี นไปตามภาษาของทอ้ งถ่ินประเทศน้นั ๆ พระอธิการอรุณ ญาณวโร เขียนไวใ้ น

หนงั สือ “ฉวาง-สุวรรณภมู ิ” คือ

- ที่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย เรียกชื่อวา่ “เซเมรู”

- ท่ีประเทศกมั พูชา เรียกวา่ “มเหนทรา”

- ที่ยอดเขาหิมาลยั ประเทศอินเดีย เรียก “เขาพระสุเมรุ”

- ท่ีอาเภอชา้ งกลาง ประเทศไทยเรียก “เขาเหมน”

๔.น้าตกสวนขนั อยหู่ มู่ที่ 3 ตาบลสวนขนั บริเวณรอบน้าตกยงั เป็นป่ าธรรมชาติท่ี
สมบูรณ์สวยงาม เหมาะแก่การเดินป่ า ชมธรรมชาติ ศึกษาพนั ธุ์ไม้

๒.เป็ นเมืองประวัตศิ าสตร์

ในท่ามกลางท่ีเป็ นเมืองธรรมะและเมืองธรรมชาติ ชา้ งกลางยงั ไดช้ ื่อวา่ เป็นเมืองที่มี

ประวตั ิศาสตร์ยาวนานมาต้งั แต่คร้ังสมยั พระเจา้ สุวรรณคูตาศรีธรรมาโศกราช กระทง่ั ถึงปัจจุบนั เกือบ

พนั ปี จึงมีช่ือบา้ น-นามเมืองเกิดข้ึนจากประวตั ิต่าง ๆ กนั เช่น

- บา้ นนาวา บา้ นด่านไผง่ า เคยเป็นท่ีต้งั เมืองของนางพญาเลือดขาว เม่ือพุทธศตวรรษ

ที่ ๑๘ ยงั มีร่องรอยกาแพงเมืองและวดั เก่าท่ีสร้างในสมยั น้นั

- บา้ นสวนขนั เคยเป็นที่ซ่อนทพั ของเจา้ พระยานครพดั เม่ือคราวเกิดศึก ๙ ทพั ของ

พม่าเม่ือปี ๒๓๒๙ ยงั มีช่ือ “ทบั เจา้ ยา” คอื ที่ต้งั กองทพั ในเน้ือท่ี ๑,๒๐๐ ไร่ “โคกทาเนียบ”

ที่ต้งั พลบั พลาของเจา้ พระยานครพดั และ “ควนสงสาร” ที่ส่งขา่ ว-สาร ซ่ึงยงั คงเรียกกนั มาจนถึง

ปัจจุบนั

- บา้ นควนสา้ น เคยเป็นท่ีต้งั บา้ นเสือสีนุ่น ขนุ โจรผปู้ ลน้ ไปไกลถึง ๓ มณฑลใน

สมยั รัชกาลที่ ๖ แตใ่ นท่ีสุดถูกจบั ตายดว้ ยกรมการอาเภอฉวาง ศพถูกตดั หวั ฝังไวค้ นละแห่งกบั ร่างที่

วดั วงั ม่วง ยงั มีช่ือ “หนานสีนุ่น” และ “ทอนสีนุ่น” ที่บา้ นด่านไผง่ า

- บา้ นทุ่งเจียก เคยเป็นแหล่งเกิดอารยธรรม ประวตั ิศาสตร์สาคญั ของ

นครศรีธรรมราชจารึกไวใ้ นหนงั สือสมดุ ไทย ที่เรียกวา่ บดุ ดา ไดพ้ บท่ีน่ี ปัจจุบนั เก็บไวใ้ นฐานะ

เอกสารโบราณที่หอสมดุ แห่งชาติ และคนสาคญั ในอดีตส่วนใหญ่เกิดท่ีน่ี

- บา้ นคลองกยุ สถานที่ที่รัชกาลที่ ๖ เคยเสด็จมาทอดพระเนตรการคลอ้ งชา้ งเม่ือปี

๒๔๖๘

- บา้ นคลองงา แหล่งเรียนรู้ธรรมะ บ่อเกิดประเพณี โดยมีพระพทุ ธิสารเถระ เป็นผนู้ า

เขา้ สู่อารยะธรรมสมยั ใหม่

๒๑

- บา้ นโคกทือ เป็นหมบู่ า้ นในตาบลหลกั ชา้ ง แต่มีความสาคญั ในฐานะเป็นถิ่นเกิด
ของพอ่ ท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ ถ่ินกาเนิดคนหวั หมอ และถ่ินพานกั ของเจา้ กรมชา้ งกลางคนสุดทา้ ย คือ
หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) ที่นี่มีนกั ปราชญค์ นสาคญั คือนายอินทร์ สีนิล บิดาพ่อท่านคลา้ ยที่มีความรู้
เช่ียวชาญท้งั ภาษาไทยและภาษาขอม

- บา้ นหลกั ชา้ ง ยอ้ นรอยต้งั แต่ปี ๒๔๔๑ ข้ึนไป ไดช้ ่ือว่าเป็น ๑ ใน ๔ หวั เมือง
ดา้ นตะวนั ตกของนครศรีธรรมราช ซ่ึงไดแ้ ก่หัวเมืองหลกั ชา้ ง กะเบียด ละอาย และพิปูน ถา้ ถามวา่
หวั เมืองชา้ งกลางอย่ตู รงไหน ก็ตอ้ งตอบวา่ ชา้ งกลางเดิมเป็นช่ือกรมชา้ ง ไม่ใช่ช่ือเมือง กรมชา้ งมี
หนา้ ท่ีจบั ชา้ ง เล้ียงชา้ ง ฝึกชา้ ง เพื่อใชง้ านดา้ นยทุ ธการ การรักษาความปลอดภยั ของบา้ นเมือง ชา้ ง
กลางเพ่งิ ไดก้ ลายมาเป็นชื่อบา้ น-นามเมืองเม่ือกรมชา้ งกลางสลายลงแลว้ และมีฐานะเป็นเพียงแขวง
เรียกวา่ แขวงชา้ งกลางในปลายรัชกาลที่ ๕ หวั หนา้ แขวงเรียกวา่ “กานนั ” ในกาลต่อมา

- บา้ นมะนาวหวาน ไดช้ ่ือตามวดั มะนาวหวานที่สร้างข้ึนต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา
เป็นวดั ที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลที่ ๙ ไดเ้ สดจ็ พร้อมดว้ ยสมเด็จพระบรมราชินีนาถและ
บรมราชวงศม์ ายกช่อฟ้าพระอุโบสถ และทรงใหย้ กข้ึนเป็นพระอารามหลวง ซ่ึงในนครศรีธรรมราชมี
เพยี ง ๔ วดั เท่าน้นั วดั น้ีสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ไดเ้ คยเสด็จมาถึง ๓ คร้ัง
นบั วา่ เป็นวดั ท่ีไดร้ ับการเชิดชูเกียรติอยา่ งยงิ่

- บา้ นทา้ ยเหมือง ในอดีตน้นั อาเภอชา้ งกลางเคยมีเหมืองแร่สาคญั ดาเนินการโดยอ่ึง
คา่ ยท่าย หรือนายค่ายท่าย แซ่อ่ึง ซ่ึงไดร้ ับสัมปทานทาเหมืองแร่ฉีด ต้งั แต่คร้ังก่อนสมยั สงครามโลก
คร้ังที่สอง คนทวั่ ไปใหส้ มญานามวา่ “มงั กรเมืองคอน” มีภรรยาเป็นคนไทยชื่อจวน ชาวท่าศาลา
บคุ คลผนู้ ้ีไดม้ ีส่วนสร้างประโยชน์ใหแ้ ก่สงั คมไวเ้ ป็นอเนกประการ เช่น มอบท่ีดิน ๗๐ ไร่ใหร้ ัฐบาล
สร้างนิคมสาหรับผปู้ ่ วยโรคเร้ือนที่บา้ นพุดหง ฯลฯ เป็นตน้ เมื่อเหมืองไดร้ ้างไปเพราะหมดความ
จาเป็น แต่อนุสรณ์ที่เหลือไว้ คอื ช่ือบา้ นทา้ ยเหมือง ปัจจุบนั อยใู่ นหมทู่ ี่ ๑๓ ตาบลชา้ งกลาง

- ถ้าหม่ืนยม เป็นถ้าท่ีสมเด็จเจา้ ฟ้า กรมหลวงลพบรุ ีราเมศวร์เคยเสด็จมาเยยี่ มชมเมื่อ
ปี ๒๔๕๓ มีประวตั ิวา่ เคยเป็นท่ีฝังทรัพยข์ องมหาพราหมณ์อุตตมะ ผใู้ หช้ ื่อยอดเขาเหมนวา่ “เขาพระ
สุเมรุ”

๓. เป็ นเมืองทม่ี ีโบราณวัตถุสาคัญ
- พระอุเชน หรือพระพิฆเณศร์ อยทู่ ่ีวดั สวนขนั แกะสลกั จากหินทรายแดง มีอายุ
ประมาณ ๑,๐๐๐ กวา่ ปี เทวรูปองคน์ ้ีถือกนั วา่ เป็นเทพเจา้ แห่งชา้ ง เทพเจา้ แห่งศิลปะวิทยาการ ตาม
ประวตั ิกล่าววา่ สร้างในสมยั พราหมณ์มาลี และพราหมณ์มาลา ชาวอินเดีย ซ่ึงไดเ้ ขา้ มาอยแู่ ถวเวียง
สระไดจ้ ดั ใหส้ ร้างเทวรูปองคน์ ้ีข้ึน ต้งั แต่ตน้ พทุ ธศตวรรษที่ ๑๔ พระอุเชนไดม้ าอยทู่ ่ีถ้าพรรณรา และ
วงั ไอล้ อ่ นตามลาดบั แลว้ ต่อมาพ่อทา่ นคลา้ ย วาจาสิทธ์ิไดอ้ ญั เชิญมาอยวู่ ดั สวนขนั จนถึงปัจจุบนั

๒๒

- พระเชียงแสน เป็นพระพุทธรูปโบราณ ปางสมาธิ ขนาดหนา้ ตกั กวา้ ง ๑๕ นิ้ว ซ่ึง
ถือวา่ เก่าแก่มากอยอู่ งคห์ น่ึง เรียกชื่อกนั วา่ “พระเชียงแสน” เป็นพระพุทธรูปท่ีตอ้ งดว้ ยพุทธ
ลกั ษณะศิลปะเชียงแสนรุ่นแรกทกุ ประการ จึงถือวา่ มีอายมุ ากกวา่ ๗๐๐ ปี สภาพโลหะที่ฐานผกุ ร่อน
เป็นรูโหวเ่ พราะความเก่าแก่ไปมากแลว้ ปัจจุบนั อยใู่ นวดั มะนาวหวาน พระอารามหลวง

๔. เป็ นเมืองของนกั ปราชญ์ บิดาของพ่อทา่ นคลา้ ยท่ีช่ือนายอิน สีนิลถือกนั วา่ เป็น
นกั ปราชญ์ มีความรู้เช่ียวชาญท้งั ภาษาขอม ภาษาไทย ในเบ้ืองตน้ ชีวิตวยั เดก็ ของพอ่ ทา่ นคลา้ ยไดเ้ ร่ิม
เรียนความรู้ภาษาขอมท้งั อา่ นและเขียนจากบิดาของทา่ น

๕.เมืองเกษตรสมบูรณ์
๔.๑ ท้องถิ่นผลไม้ ในชา้ งกลางอุดมสมบูรณ์ดว้ ยพชื พนั ธุ์ธญั ญาหารนานาชนิด เพราะ
เป็นเขตร้อนช้ืน ฝนตกชุกแทบท้งั ปี ท่ีเรียกวา่ ฝน ๘ แดด ๔ จึงมีพืชผกั ผลไมท้ ุกชนิด ท้งั ทเุ รียนช้นั ดี
พนั ธุ์หมอนทอง ทเุ รียนพนั ธุ์พ้ืนบา้ นหลงลบั แล และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะมงั คุด เงาะ ลองกอง
สละ มะละกอ ฯลฯ มีมากมาย ท้งั รสหวาน อร่อย
๔.๒ ท้องถิน่ เรียนรู้ทางการเกษตร มีชุมชนคนรักเห็ด ใหค้ วามรู้วิธีการเพาะเห็ดทกุ
ชนิด ชุมชนคนเล้ียงผ้งึ ใหค้ วามรู้วิธีการเล้ียงผ้ึงโพรง การทาอุปกรณ์เล้ียงผ้ึง นอกจากน้ียงั มีฟาร์ม
เพาะพนั ธุป์ ลาแรด
๕. เมืองทีเ่ จริญด้วยการศึกษา
การศึกษาในอาเภอชา้ งกลางแรกเริ่มเดิมที ผรู้ ู้หนงั สือก็มีแตผ่ ไู้ ดผ้ า่ นการบวชเรียนจากวดั
เทา่ น้นั ต่อมาสมยั รัชกาลที่ ๕ ไดเ้ ริ่มตน้ ต้งั โรงเรียนข้นึ ในวดั เกิดมีความตื่นตวั ทางการศึกษายง่ิ ข้นึ
ทาใหบ้ ุคคลในทอ้ งถิ่นท้งั ผนู้ าและประชาชนมีความกระหายใคร่เรียนรู้เพิ่มข้ึน จึงไดข้ ยายความรู้การ
อ่านออก-เขียนไดอ้ อกไปเป็นระดบั ประถม แลว้ เขา้ สู่ช้นั มธั ยมศึกษาและระดบั การศึกษาวชิ าชีพช้นั
ปวช. ปวส. ตลอดจนถึงข้นั อุดมศึกษา สมบูรณ์อยใู่ นเขตพ้ืนที่ปัจจุบนั
การศึกษาท่ีสมบรู ณ์ท้งั หลายดงั กล่าวน้ีเป็นผลใหล้ กู -หลานของชาวชา้ งกลางไดร้ ับการศึกษา
เป็นอยา่ งดี ก่อใหเ้ กิดศิลปะ ประเพณี ท้งั กวี-วรรณกรรม โด่งดงั ไปทวั่ ประเทศ การศึกษาทุกระดบั มี
ผลใหเ้ กิดนกั ปราชญ์ ศิลปิ น นกั การเกษตร พอ่ คา้ ขา้ ราชการ นกั กฎหมาย นกั การปกครอง ต้งั แต่
ระดบั ช้นั ปริญญาตรีจนถึงช้นั ดอกเตอร์ ปริญญาเอกกม็ ี บางคนเป็นนกั การเมืองประสบความสาเร็จ
ไดเ้ ป็นรองประธานสภาผแู้ ทนราษฎร และรัฐมนตรีกม็ ี ลว้ นแตม่ ีศกั ด์ิศรีท้งั สิ้น
๖.แหล่งท่องเท่ยี วท่ีสาคัญ
๖.๑ แหล่งท่องเท่ียวทางวัฒนธรรมและศาสนา เช่น
-วดั ธาตุนอ้ ยมีเจดียธ์ าตนุ อ้ ยรูปทรงเหมือนพระบรมธาตทุ ี่วดั มหาธาตุ
นครศรีธรรมราช พระเจดียธ์ าตุนอ้ ยน้ี พ่อทา่ นคลา้ ยไดส้ ร้างข้ึนต้งั แต่ ปี พ.ศ.๒๕๐๔ ภายหลงั เมื่อพอ่
ท่านคลา้ ยไดม้ รณภาพในปี ๒๕๑๓ แลว้ ร่างของท่านกย็ งั ไดส้ ถิตอยู่ ณ ที่วดั แห่งน้ี

๒๓

- วดั สวนขนั เป็นวดั ท่ีพ่อท่านคลา้ ยเป็นเจา้ อาวาสนานถึง ๖๕ ปี มีอนุสรณ์สถาน

และโบราณวตั ถทุ ่ีเกี่ยวกบั พ่อท่านคลา้ ยหลายอยา่ ง ท้งั มีวตั ถมุ งคลใหเ้ ช่าบชู าอยา่ งครบครัน

-วดั มะนาวหวาน เป็นวดั โบราณที่สร้างมาต้งั แต่คร้ังกรุงศรีอยธุ ยา เมื่อปี ๒๒๒๕ มี

อนุสรณ์สถานโบราณ เช่นเจดีย์ ๒ พน่ี อ้ งฯลฯ เป็นตน้

๖.๒ แหล่งท่องเทีย่ วทางธรรมชาติ เช่น

- น้าตกท่าแพ ตน้ น้าสาคญั ของแม่น้าตาปี มีเรือนผกั กดู รีสอร์ท คลองทา่ แพเป็น

ศนู ยก์ ลาง

- ถ้าหมื่นยม และถ้าต่าง ๆ ตลอดถึงผนื ป่ าธรรมชาติเชิงเขาเหมน มีเขาเหมนรีสอร์ท

เป็นศูนยก์ ลาง

กวเี อ้ือม อบุ ลพนั ธ(์ เสียชีวิตแลว้ ) อดีต ส.ส.จงั หวดั นครศรีธรรมราช ชาวอาเภอชา้ งกลางได้

เขยี นถึง “ชา้ งกลาง” เป็นเชิงชวนเชิญมวลชนมาเที่ยวชมวา่

เชิงเขาธงตรงทิศตะวนั ตก ราบลมุ่ ชุ่มป่ าปกอนั ไพศาล

“ชา้ งกลาง”เมืองคลอ้ งชา้ งอา้ งตานาน เป็นกรมการชา้ งกลางแต่ปางบรรพ์

ถิ่นกาเนิดพ่อท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ เดิมสถิตอารามนามสวนขนั

มีเมตตามหานิยมพรหมจรรย์ ชนทุกช้นั บชู าบารมี

มีสวนยางพนั ธุ์ดี สวนผลไม้ ผลิตผลใหส้ ุขเกษมเตม็ ทอ้ งที่

สวยสายธารไหลรินชุ่มดินดี แผน่ ดินน้ี “แผน่ ดินธรรม แผน่ ดินทอง”

มีวดั มะนาวหวานอารามหลวง เป็นประทีปโชติช่วงประภสั สร์ผอ่ ง

พระธาตุนอ้ ยลอยฟ้าสุดตามอง ไทยเทศทอ่ งเที่ยวมาบชู าชิน

มีน้าตกทา่ แพแผธ่ ารทอด มีรีสอร์ตริมสายกระแสสินธุ์

จุดชมวิวถ้าหมื่นยมสมใจจินต์ อาหารไทยทอ้ งถ่ินกโ็ อชา

ชาวชา้ งกลางต่างมีไมตรีจิต สมานมิตรญาติสายเสน่หา

รอคอยคนมาชมภิรมยา เชิญแวะมาชา้ งกลางบา้ งเถิดเอย

๗. การปกครองส่วนท้องถ่ิน ประกอบดว้ ย

๑. เทศบาล จานวน ๒ แห่ง คอื เทศบาลตาบลหลกั ชา้ ง,เทศบาลตาบลสวนขนั

๒. องคก์ ารบริหารส่วนตาบล จานวน ๑ แห่ง คือ อบต.ชา้ งกลาง

เทศบาล/อบต จดั ต้งั เมื่อ พ้ืนที่ตารางกิโลเมตร

ชา้ งกลาง ๒๑ พ.ย. ๓๘ ๙๖.๘๔

หลกั ชา้ ง ๓๐ มี.ค.๓๙ ๔๗

สวนขนั ๑๖ ธ.ค.๓๙ ๖๒.๓๙

๘. การเสดจ็ มาของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

๒๔

๑. กรมหลวงลพบรุ ีราเมศร์เสด็จมาชมถ้าหมื่นเมื่อ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๕๔
๒. รัชกาลท่ี ๖ ไดเ้ สด็จมาทอดพระเนตรการคลอ้ งชา้ งที่คลองกุยเม่ือวนั ท่ี ๑๗
กรกฎาคม ๒๔๕๘
๓. รัชกาลที่ ๙ พร้อมดว้ ยพระบรมวงศานุวงศ์ ซ่ึงมีพระบรมราชินีนาถสิริกิต์ิ สมเด็จ
พระเทพรัตนราชสุดา และสมเด็จเจา้ ฟ้าจุฬาภรณ์วลยั ลกั ษณ์ ไดเ้ สดจ็ มายกช่อฟ้าอุโบสถวดั มะนาว
หวาน เมื่อวนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน ๒๕๑๙
๔. สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาไดเ้ สดจ็ เฉพาะพระองคม์ าท่ีอาเภอชา้ งกลาง ๓ คร้ัง
ดงั น้ี

- เพื่อทรงเปิ ดอาคารเฉลิมพระเกียรติ และเททองหลอ่ พระพทุ ธสิหิงค์
นครศรีธรรมราชจาลอง เมื่อ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔

- เพ่ือพระราชทานเพลิงศพนายเปรม ชอบผล ท่ีวดั มะนาวหวานเม่ือ ๑๑
ตุลาคม ๒๕๕๐

- เพอื่ ทรงเปิ ดหอสมดุ “เฉลิมราชกุมารี” เม่ือ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗
๕. สมเด็จพระเจา้ หลานเธอ พระองคเ์ จา้ สิริวณั ณนารีรัตน์ไดเ้ สดจ็ มาสักการะเจดียว์ ดั
ธาตุนอ้ ย เม่ือ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๐

๒๕

บทที่ ๑. ข้อมูลเบื้องต้น

- พื้นท่ี เขตตดิ ต่อ ประชากร อาชีพ
อาเภอชา้ งกลางแยกการปกครองออกจากอาเภอฉวางมาต้งั เป็นกิ่งอาเภอต้งั แต่ พ.ศ.๒๕๓๙
มี ๓ ตาบล คือ ชา้ งกลาง หลกั ชา้ ง และสวนขนั รวม ๓๖ หมบู่ า้ น มีเน้ือท่ีรวม ๒๓๖.๓ ตาราง
กิโลเมตร หรือประมาณ ๑๔๕,๓๐๐ ไร่ ( ๑ ตารางกิโลเมตร เทา่ กบั ๖๒๕ ไร่) พ้ืนท่ีต้งั อยตู่ อนกลาง
ค่อนไปทางทิศตะวนั ตกของจงั หวดั นครศรีธรรมราช มีอาณาเขต

- ทิศเหนือติดเขตตาบลละอาย
- ทิศใตต้ ิดเขตอาเภอนาบอน
- ทิศตะวนั ออกติดเขตอาเภอลานสกา
- ทิศตะวนั ตกติดเขตอาเภอฉวาง และตาบลจนั ดี
ที่วา่ การอาเภอต้งั อยใู่ นทะเบียนเลขที่ ๙ หมทู่ ่ี ๗ ตาบลชา้ งกลาง

จานวนประชากร จากขอ้ มูลของอาเภอชา้ งกลาง ณ วนั ที่ ๑๒ ก.พ.๒๕๕๗ มี ๓ ตาบล
๓๖ หมบู่ า้ น จานวน ๑๐,๐๔๒ ครัวเรือน มีจานวนประชากรดงั น้ี

ตาบล จานวนหม่บู า้ น ครัวเรือน ชาย หญิง รวม

๒๖

๑ ชา้ งกลาง ๑๗ ๕,๖๖๖ ๘,๕๓๗ ๘,๗๕๙ ๑๗,๒๙๖

๒ หลกั ชา้ ง ๑๐ ๒,๖๒๕ ๓,๘๑๒ ๓,๙๐๙ ๗,๗๒๑

๓ สวนขนั ๙ ๑,๗๕๑ ๒,๔๕๗ ๒,๕๗๐ ๕,๐๒๗

รวม ๓๖ ๑๐,๐๔๒ ๑๔,๘๐๖ ๑๕,๒๓๘ ๓๐,๐๔๔

- ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ เป็นที่ราบเชิงเขาดา้ นตะวนั ตกของเทือกเขาหลวง เขาธง และเขาเหมน

อนั เป็นตน้ กาเนิดคลองตา่ ง ๆ ไหลผา่ น ดงั น้ี

๑.เขตตาบลชา้ งกลาง มีคลองทา่ แพ คลองหินดาด คลองแหน คลองเหมน คลองงา

คลองอม คลองสงั เกียด คลองลาปี เหาะ คลองกุย คลองปาบ คลองจนั ดี

๒.เขตตาบลสวนขนั มีคลองคดุ ดว้ น คลองปี ก คลองทองออก คลองไทรงาม

๓ เขตตาบลหลกั ชา้ ง มี คลองมิน

คลองท้งั หลายท่ีไหลผา่ นท้งั สามตาบลดงั กลา่ วเหล่าน้ีลว้ นไหลลงสู่แมน่ ้าตาปี ท้งั สิ้น

พ้ืนท่ีในอาเภอชา้ งกลาง นอกจากมีลาคลองต่าง ๆ มากมายแลว้ ยงั หลากหลายดว้ ยดว้ ยภมู ิ

ประเทศทกุ อยา่ ง คือมีท้งั หนองน้า โคก ควน ทงุ่ นา วงั น้าวนและถ้าแถบเชิงเขาเหมนดงั น้ี

๑.ประเภทหนอง ไดแ้ ก่หนองเตย หนองไหล หนองแมค่ ง หนองหา้ มในทงุ่ เจียก

(อดีตเคยหา้ มจบั ปลา)ฯลฯประเภทหนองยงั รวมถึง ทอ้ งที่ท่ีเรียกวา่ พรุ ซ่ึงเป็นท่ีลุ่มกวา้ งใหญ่ ไดแ้ ก่

พรุไขเ่ ตา่ ในหมู่ ๘ ตาบลหลกั ชา้ งซ่ึงมีเน้ือที่ ๙๔ ไร่ ปัจจุบนั ไดพ้ ฒั นาข้ึนเป็นท่ีสาธารณะ ใช้

ประโยชน์ร่วมกนั ของชาวบา้ นในหม่บู า้ นดงั กลา่ วดว้ ย

๒.ประเภทโคก ไดแ้ ก่โคกไมแ้ ดง โคกทือ โคกกระทอ้ น โคกนาทราย โคกกรวด

โคกปาบ โคกหลงั เขียว

๓.ประเภทควน ซ่ึงเป็นเนินลาดสูงไดแ้ ก่ ควนจอมทอง(ตาบลสวนขนั ) ควนปาน

ควนทึงทึง ควนแหน ควนหว้ ยแวน่ ควนนิยม ควนส้าน ควนพลอง(ตาบลชา้ งกลาง) ควนตม(ตาบล

หลกั ชา้ ง) บนควน

๔.ในท่ีลุ่มก็เป็นประเภทนาและทุง่ ไดแ้ ก่ ทุง่ บา้ นนา ทุ่งคลองงา นาเกาะ นาวา นา

ปราน นาหรัม นาใหม่ นาหมอสัน ทุง่ เจียก ท่งุ ปอน ทงุ่ นุย้ ทุ่งคาด รวมถึงพรุไข่เต่าดว้ ย

๕. ประเภทวงั น้าวน ไดแ้ ก่วงั ตลิ่งสูง วงั ควนดินสอ วงั พอ วงั ตะเคียน วงั ถ้า วงั ปลิง

วงั หวายพวน วงั หว้ ยแดน วงั สุดทา้ ยน้ีอยใู่ กลก้ บั “หาดจบั ชา้ ง”

๖.ประเภทถ้า ไดแ้ ก่ ถ้าเขาสงั เกียด ถ้าหมื่นยม ถ้าคา้ งคาว ถ้าน้า ถ้าพระ ถ้าอม ถ้า

หมอ้ เชิงเขาเหมน

ชื่อดงั กลา่ วท้งั หมดน้ีลว้ นมีประวตั ิและมีท่ีมาแห่งช่ือที่น่าศึกษา ซ่ึงจะไดย้ กเฉพาะชื่อท่ีสาคญั

กล่าวในบทต่อไป

๒๗

อน่ึง เทือกเขาหลวง เขาธง ซ่ึงเป็นแหล่งกาเนิดตน้ น้าตาปี ที่สาคญั ดงั กลา่ วมาน้ี ทาง
ธรณีวทิ ยาถือวา่ เป็นภเู ขาท่ีมีช้นั หินใตด้ ินที่แขง็ แกร่งก่ึงโลหะ สามารถส่ือไฟฟ้าได้ พวกมนุษยย์ คุ หิน
นาเอาหินชนิดน้ีไปดดั แปลงใชเ้ ป็นอาวุธลา่ สตั ว์ บางคร้ังทิ้งไวแ้ ถวโคนไม้ เป็นส่ือใหเ้ กิดฟ้าผา่ คน
รุ่นหลงั พบเขา้ คิดวา่ เป็นขวานฟ้า ท่ีเมฆขลาล่อแกว้ ให้รามสูรขวา้ งลงมา

ที่เทือกเขาหลวงยงั เป็นแหล่งเกิดหินทรายแดง ซ่ึงเกิดจากการทบั ถมของทรายแดงเน้ือ
ละเอียดจากอิทธิพลของกระแสน้าพดั มาทบั ถม หินทรายแดงมีคณุ สมบตั ิพเิ ศษคือ เน้ือละเอียดไมม่ ี
คม ไม่แตกหกั ขนยา้ ยไดส้ ะดวก แกะสลกั ไดง้ ่าย โดยเหตุน้ีจึงมีการแกะสลกั พระพุทธรูปสาคญั
เช่น พระประธานคู่ในโบสถว์ ดั หลกั ชา้ งก็แกะดว้ ยหินทรายแดง พระพฆิ เนศวร์ หรือที่เรียกวา่ พระ
อเุ ชน ที่วดั สวนขนั ก็แกะสลกั ดว้ ยหินทรายแดง

ในส่วนของภูเขาเหมน เขาขนั หมาก ซ่ึงทางธรณีวิทยาถือวา่ เป็นภูเขาท่ีเกิดจากการระเบิดของ
ภเู ขาไฟเม่ือหลายแสนปี มาแลว้ ที่เชิงเขาจึงประกอบดว้ ยถ้าใหญน่ อ้ ยมากมาย เช่นถ้าหม่ืนยม ถ้าอม
ถ้าหมอ้ ถ้าพระ โดยเฉพาะท่ีเขาดินสอ ยงั สามารถเห็นร่องรอยแห่งธารลาวาไดอ้ ยา่ งชดั เจน และที่ยอด
เขาเหมน หากมองมาจากบา้ นนาบอน จะเห็นยอดเขาเป็นแอ่งดุจปลอ่ งภูเขาไฟ ซ่ึงตามความจริงแลว้
ที่ยอดเขาเหมนกม็ ีแอ่งน้าบนยอดเขา แตถ่ า้ มองจากบา้ นจนั ดี จะเห็นเป็นยอดแหลมเหมือนภูเขาไฟฟู
จิยามาในญี่ป่ ุน

ลกั ษณะอากาศ พ้นื ที่ทวั่ ชา้ งกลางมีอากาศร้อนช้ืน ไดร้ ับลมมรสุมท้งั ทางฝ่ังทะเลอนั ดามนั
ดา้ นทิศตะวนั ตก และฝั่งอ่าวไทยทางทิศตะวนั ออก เป็นเหตใุ นฝนตกชุกแทบท้งั ปี ท่ีอาจเรียกไดว้ า่
ฝน ๘ แดด ๔ คือมีฝนตกถึงแปดเดือนระหวา่ งพฤษภาคม – ธนั วาคม และมีแดดสี่เดือนระหวา่ ง
มกราคม – เมษายน ในฤดูมีแดดน้ีนบั ไดว้ า่ ร้อนจดั มาก โดยเฉพาะตอนเที่ยงวนั ช่วงเดือนมีนาคม –
เมษายน อากาศอบอา้ ว ร้อนจดั รอใหฝ้ นมาตก มนั ก็ไมย่ อมมา แตพ่ อถึงฤดูฝนน้นั ตกติดต่อกนั คราว
ละหลายวนั ไมเ่ ป็นอนั ไดก้ รีดยาง เรียกไดว้ า่ เมื่อฝนมาแลว้ มนั ไม่ยอมกลบั

การคมนาคม มีถนนสายหลกั ๕ สาย ดงั น้ี
๑. หมายเลข ๔๐๑๕ นคร – บา้ นส้อง ตดั ผา่ นอาเภอชา้ งกลางต้งั แตช่ ่วงหลกั กม.

๒๔ จากนครเขา้ มาที่บา้ นนา – คลองงา – มะนาวหวาน – สี่แยกบา้ นจนั ดี - นาวา - ควนพลอง ไป
สิ้นสุดที่สะพานสุกรีขา้ มคลองจนั ดี ระยะทาง ๒๑ กม.

๒ ถนนสาย ๔๐๑๙ เริ่มจากควนพลอง กม.ที่ ๔๔ ตดั ออกสถานีรถไฟหลกั ชา้ ง
ไปบรรจบท่ีถนนเอเชีย กม.ที่ ๒๑๕ รวม ๑๐ กม.

๓ หมายเลข ๔๑๙๔ ต้งั ตน้ ท่ีหวั สะพานวดั มะนาวหวาน ตดั ผา่ นควนสา้ น สวนขนั
ทบั เจา้ ยา (ที่พกั พลของกองทพั เจา้ พระยานครพดั ) ผา่ นป่ าพาดไปบรรจบท่ีเขต อ.ฉวาง และ อ.พปิ นู
ระยะทาง ๒๕ กม.

๒๘

๔ ถนน รพช.ท่ีปริวรรตจากถนนสายยทุ ธศาสตร์ของญ่ีป่ ุน ในคราวมหาสงคราม
เอเชียบูรพา ปี ๒๔๘๘ ทหารญี่ป่ ุนไดจ้ า้ งคนไทยและกลุ ีจีนทาถนนสายน้ี เร่ิมตน้ ที่สี่แยกบา้ นจนั ดี
ผา่ นกยุ เหนือ ออกทงุ่ สงในบา้ นนาเหนือ รวมระยะทาง ๓๐ กม.

๕ หมายเลข ๔๒๓๐ เร่ิมตน้ ที่ส่ีแยกบา้ นจนั ดี ไปอาเภอนาบอน ระยะทาง ๑๐
กม. ผา่ นทงุ่ เจียก องคก์ ารสวนยาง

ทางรถไฟ มีเส้นทางส้ัน ๆ เพยี ง ๑๐ กม. ผา่ น หลกั ชา้ งและคลองกยุ
การได้มาซึ่งชื่ออาเภอช้างกลาง เป็นขอ้ ตกลงของบุคคลหลายฝ่ายที่ลงมติเมื่อตอนต้งั ข้ึนเป็น
อาเภอใหช้ ื่อวา่ อาเภอชา้ งกลาง ซ่ึงเป็นไปตามพระราโชบายของลน้ เกลา้ ฯ รัชกาลที่ ๕ กบั กรมพระยา
ดารงราชานุภาพท่ีวา่ “หากต้งั อาเภอในทอ้ งที่ของตาบลใดกใ็ หใ้ ชช้ ื่อตาบลน้นั เป็นชื่ออาเภอ” ช่ือ
อาเภอชา้ งกลางจึงตอ้ งดว้ ยพระราโชบายดว้ ยประการฉะน้ี
เขตการปกครอง อาเภอชา้ งกลางไดร้ ับการยกฐานะข้ึนเป็นอาเภอตามพระราชกฤษฎีกา ซ่ึง
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเลม่ ท่ี ๑๒๔ ตอนที่ ๔๖ ลงวนั ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ไดแ้ บ่งเขต
การปกครองออกเป็น ๓ ตาบล ๓๖ หมู่บา้ นดงั น้ี

๑. ตาบลช้างกลางมี ๑๗ หมู่บา้ น ประกอบดว้ ย
- หมู่ที่ ๑ บา้ นนา
- ๒ บา้ นคลองงา
- ๓ บา้ นจนั ดี
- ๔ บา้ นมะนาวหวาน
- ๕ บา้ นด่านไผง่ า
- ๖ บา้ นควนส้าน
- ๗ บา้ นนาวา
- ๘ บา้ นคลองกุย
- ๙ บา้ นคลองกยุ เหนือ(แยกจากหมู่ ๘บา้ นคลองกุย)
- ๑๐ บา้ นหนา้ เหมน(แยกจากหมู่ ๒ บา้ นคลองงา)
- ๑๑ บา้ นวงั ทอง(เดิมช่ือบา้ นลุม่ เดือยหิน แยกจากหม่๖ู บา้ นควนส้าน)
- ๑๒ บา้ นหนา้ เขาเหมน(แยกจากหมู่ ๙ บา้ นคลองกุยเหนือ)
- ๑๓ บา้ นทา้ ยเหมือง(แยกจากหมู่ ๑๒บา้ นหนา้ เขาเมน)
- ๑๔ บา้ นท่าแพ(แยกจากหมู่ ๑ บา้ นนา)
- ๑๕ บา้ นน้านอ้ ยเหนือ(แยกจากหมู่ ๖บา้ นควนส้าน)
- ๑๖ บา้ นบนควน(ท่ีต้งั องคก์ ารสวนยางแยกจากหมู่ ๘ สมยั ท่ียงั เป็นหมู่ ๖ )
- ๑๗ บา้ นนาเกาะ(แยกจากหมู่ ๔บา้ นมะนาวหวาน)

๒๙

๒. ตาบลหลกั ช้าง มี ๑๐ หมบู่ า้ นประกอบดว้ ย
- ๑. บา้ นท่งุ ปอน
- ๒. บา้ นโคกทือ
- ๓.บา้ นนาปราน
- ๔. บา้ นหนองเตย
- ๕.บา้ นหนองไหล
- ๖. บา้ นหลกั ชา้ ง
- ๗.บา้ นตน้ ซาง
- ๘.บา้ นบนควน(พรุไข่เต่า)
- ๙บา้ นโคกสะทอ้ น
- ๑๐.บา้ นควนพิศิษฐ์(เดิมควนพลอง)

๓. ตาบลสวนขนั มี ๙ หม่บู า้ น ประกอบดว้ ย
- ๑ บา้ นสวนขนั
- ๒ บา้ นเทพรัตน์
- ๓ บา้ นยางในลุ่ม
- ๔ บา้ นน้านอ้ ย
-๕ บา้ นไทรงาม
-๖ บา้ นคลองปี กเหนือ
- ๗ บา้ นนายน
- ๘ บา้ นพรุแชง(หนองเหรียง)
- ๙ บา้ นจอมทอง

๓๐

คาขวัญ ตานานเมืองคลอ้ งชา้ ง น้ายางพนั ธุ์ดี มากมีผลไม้ พอ่ ท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ

เพลงประจาอาเภอ

มาร์ชช้างกลาง

อนั ชา้ งกลางถิ่นน้ี ช่ือช้ีชดั มีประวตั ิวา่ ไว้ หลายสมยั

เมื่อหม่ืนปี เป็นท่ีอยมู่ นุษยไ์ พร เขา้ อาศยั ประจาถ้าหมื่นยม

มีกรมการชา้ งกลางแตป่ างก่อน เจา้ พระยานครเสกสรรหา

คชลกั ษณ์เลิศล้าตามตารา หลกั ชา้ งมาฝึกใชใ้ นกรมกอง

เกิดเกจิอาจารยพ์ อ่ ท่านคลา้ ย วดั สวนขนั น้นั ไดบ้ ุญสนอง

ดว้ ยเมตตามหานิยมคมครรลอง คนท้งั ผองเชิดชูมาบูชา

พวกเราชาวชา้ งกลางร่างนอ้ ยนิด ลว้ นลกู ศิษยพ์ อ่ ท่านนานนกั หนา

ถือศีลสตั ยส์ ามคั คมี ีจรรยา บาเพญ็ หนา้ ท่ีพร้อมยอมตวั ตาย

เน้ือร้อง.........วรรณดี สรรพจิต กวกี รุงรัตนโกสินทร์สมโภช ๒๐๐ ปี

๓๑

บทที่ ๒. กาเนิดช้างกลาง

๒.๑ ยุคก่อนประวตั ิศาสตร์
ยอ้ นรอยก่อนยคุ ประวตั ิศาสตร์ เมื่อประมาณ ๑๐,๐๐๐ ปี มาแลว้ ในทอ้ งท่ีตาบลชา้ งกลาง
บริเวณถ้าหม่ืนยม หมู่ ๑ รวมท้งั ถ้าตา่ ง ๆ บริเวณเขาดินสอ ตลอดมาถึงท่ีต้งั วดั มะนาวหวาน หมู่ ๔
ตรงน้ีเคยเป็นที่อยขู่ องมนุษยย์ คุ หินกลาง ท้งั น้ีไดม้ ีการสารวจของกรมศิลปากรภาคสนาม ซ่ึงตีพมิ พ์
ใน “หนงั สือนครศรีธรรมราช ประวตั ิมหาดไทย ส่วนภูมิภาค” เมื่อปี ๒๕๒๗ ยนื ยนั วา่ ไดพ้ บ
เคร่ืองมือหินเก่าแก่ที่ถ้าหม่ืนยม
เคร่ืองมือหินดงั กล่าวจดั เขา้ ในยคุ ไพลสโตนซีนตอนปลาย มีลกั ษณะกระเทาะหนา้ เดียว รูป
ไข่ คมรอบ ปลายแหลม ดา้ นบนคลา้ ยรอยโดนตดั จดั เป็นเครื่องมือหินยคุ กลาง อายปุ ระมาณ
๑๐,๐๐๐ ปี จึงกล่าวไดว้ า่ ในถ้าหมื่นยมและบริเวณถ่ินดงั กล่าวน้ี รวมถึงท่ีราบเชิงเขาเหมนเป็นท่ีอยู่
ของมนุษยย์ คุ หินมาก่อน โดยมีที่พกั อาศยั ในถ้าหม่ืนยม ซ่ึงต่อมาถ้าน้ีไดพ้ งั ทลายลงแลว้ เมื่อไมก่ ่ีปี มา
น่ีเอง ในคืนที่ถ้าหม่ืนยมพงั ลงมาน้นั เสียงดงั สนนั่ หวน่ั ไหวไดย้ นิ เสียงดงั ออกไปไกลหลายกิโลเมตร
ถ้าหมื่นยมคงเหลือไวแ้ ต่เร่ืองราวในอดีตที่เคยมีมนุษยย์ คุ หินกลางเคยอาศยั อยู่

วตั ถุโบราณในถา้ หมืน่ ยม

ถา้ หม่นื ยม

๓๒

สภาพถ้าหมนื่ ยมหลังจากพงั ลงมาแล้ว

ถดั จากถ้าหมื่นยม กม็ ีหลกั ฐานทางโบราณคดียคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ อายเุ ก่าที่สุดที่พบใน
จงั หวดั นครศรีธรรมราช ไดแ้ ก่โบราณวตั ถุประเภทเครื่องมือหินกะเทาะ จดั อยใู่ นยคุ หินกลาง อายุ
ราว ๖,๕๐๐ – ๔,๒๐๐ ปี ก่อน พ.ศ. ซ่ึงพบที่บา้ นวงั เหรียง ตาบลสวนขนั อาเภอชา้ งกลาง นอกจากน้ียงั
มีพบท่ีอาเภอสิชล อาเภอนบพิตา เคร่ืองมือหินน้ีใชข้ ุด หรือตดั เน้ือสตั ว์ แสดงวา่ ในพ้นื ท่ีอาเภอชา้ ง
กลางมีมนุษยย์ คุ หินกลางอาศยั อยเู่ ช่นกนั

ขวานหินขดั ในยคุ หินกลางที่ชาวบา้ นเรียกกนั วา่ ขวานฟ้า

๓๓

ถดั จากน้ีก็ไดม้ ีการคน้ พบกลองมโหระทึกทาดว้ ยสมั ฤทธ์ิท่ีคลองคุดดว้ น (บา้ นควน) มีอายุ
ประมาณ ๒,๐๐๐ ปี จึงยนื ยนั ไดว้ า่ ชา้ งกลางเคยมีชุมชนในถิ่นน้ีและบริเวณใกลเ้ คียงมาแลว้ และได้
มีการแลกเปลี่ยนวฒั นธรรมกบั ชุมชนอ่ืนโดยทางเรือ กลองมโหระทึกน้นั เป็นเครื่องมือตีชนิดหน่ึง
ซ่ึงใชใ้ นงานพธิ ี หรือพธิ ีกรรมทางศาสนาของ “ดองซอง” สืบเน่ืองกนั มาต้งั แตก่ ่อนยคุ ประวตั ิศาสตร์

“กลองมโหระทึก” เป็นกลองชนิดหน่ึงที่ทาจากโลหะผสมระหวา่ งทองแดง ดีบกุ และตะกว่ั
เรียกวา่ สาริด บนหนา้ กลองมกั ทารูปกบประดบั ตกแต่งจึงมีอีกช่ือวา่ “กลองกบ”

รูปร่ างกลองมโหระทึก

เทา่ ท่ีพบในจงั หวดั นครศรีธรรมราช เป็นกลองมโหระทึกที่ทาข้ึนระหวา่ ง พ.ศ. ๓๐๐- พ.ศ.
๕๐๐ คาวา่ “ดองซอง” เป็นช่ือแหล่งผลิตกลองมโหระทึกคร้ังแรก คือหมูบ่ า้ นดองซองอยใู่ กลเ้ มือง
“ถน่ั หวั ” ในประเทศเวยี ดนามตอนเหนือ วฒั นธรรมดองซองไดอ้ พยพเคลื่อนยา้ ยเขา้ สู่ดินแดนภาคใต้
ของประเทศไทยระหวา่ ง พ.ศ. ๓๐๐ - พ.ศ. ๕๐๐

นอกจากการพบกลองมโหระทึกท่ีคุดดว้ นแลว้ ยงั ไดพ้ บซากอิฐสีแดง แผน่ โต ๆ ๓ แห่งใน
ตาบลชา้ งกลาง คอื ท่ีหมู่ ๕ บา้ นด่านไผง่ า ท่ีเขาดินสอใกลถ้ ้าหม่ืนยม หมู่ ๒ และท่ีเจดียส์ องพน่ี อ้ ง
ในวดั มะนาวหวาน หมู่ ๔ นกั ประวตั ิศาสตร์ดา้ นโบราณคดีลงความเป็นแนวเดียวกนั วา่ เป็นแผน่ อิฐ
ที่เกิดจากการสร้างเมืองท้งั ที่หมู่ ๕ และท่ีเขาดินสอ เชิงเขาเหมน เม่ือกลางพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ (พ.ศ.
๑๗๘๐ – ๑๗๙๙) และท่ียนื ยนั ไดแ้ น่นอนกค็ ือแผน่ อิฐที่ใชส้ ร้างเจดียส์ องพีน่ อ้ งหนา้ โบสถว์ ดั
มะนาวหวาน ก็เป็นอิฐแบบเดียวกนั ชาวบา้ นเรียกวา่ “อิฐหนา้ ววั ” เป็นท่ีน่าเสียดายวา่ ท่ีวดั มะนาว
หวานไดส้ ร้างเจดียใ์ หม่ทบั ไวโ้ ดยมิไดเ้ กบ็ เอาอิฐไวเ้ พ่อื การศึกษา

โดยสรุปยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์ ทอ้ งที่ หมู่ ๑ หมู่ ๒ ในอาเภอชา้ งกลางปัจจุบนั เคยเป็นท่ีอยู่
อาศยั ของมนุษยย์ คุ หินกลาง ซ่ึงอาศยั ในถ้าต่าง ๆ แถบเชิงเขาเหมน เขาดินสอ

๓๔

นอกจากถ้าหม่ืนยมเป็นหลกั แลว้ ยงั มีถ้าอ่ืน ๆ อีกมากมายท่ีอยใู่ กลก้ นั เช่นถ้าคา้ งคาว ถ้าน้า
ถ้าหว้ ยเตรอะ ถดั มาที่เขาดินสอแถบเชิงเขาเหมนก็มีถ้าพระ ถ้าหมอ้ ถ้าอม โดยเฉพาะ ๓ ถ้าหลงั น้ี
ไดม้ ีคณะของอาจารยช์ าลี ศิลปรัศมี และอาจารยส์ ุจินต์ ศิริ ไดข้ ้นึ สารวจเมื่อ ๔ ตลุ าคม ๒๕๓๙ บนั ทึก
ไวว้ า่ พบร่องรอยกาแพงเต้ียๆ และอิฐสีแดงอดั แน่นมากมาย เช่ือวา่ เป็นที่ต้งั เมืองเก่าของนางพญา
จณั ฑี

ถ้าตา่ ง ๆ ดงั กล่าวน้ีไดช้ ่ือตามเหตุการณ์ประกอบกนั ดงั น้ี
- ถา้ หม่ืนยม ต้งั อยทู่ ี่หมู่ ๑ ต.ชา้ งกลาง มีถ้าเลก็ ถ้านอ้ ยจานวนมากมาย เช่น ถ้าวงหวี ถ้าชี ถ้า
หนา้ บา้ น ถ้าพระ เป็นถ้าท่ีอยูส่ ูงจากพ้ืนดินประมาณ ๑๕ เมตร ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่เล่าใหฟ้ ังวา่ เป็นถ้าที่หม่ืนยม
และขนุ ไกรสรสองพราหมณ์ไดเ้ อาสมบตั ิของนางพญาจณั ทีผสู้ ร้างเมืองที่เขาดินสอมาซ่อนไวท้ ่ีนี่ เม่ือ
ขนุ ไกรสรตาย เหลือหมื่นยมเฝ้าทรัพยอ์ ยคู่ นเดียวจนตาย จึงไดช้ ื่อวา่ “ถ้าหม่ืนยม” ก่อนแตพ่ งั ลงมา
ถ้าน้ีมีบนั ไดข้นึ ไป มีหินงอก หินยอ้ ย มีเพดานถ้าเป็นโพรง มีพระพทุ ธรูปฝีมือชาวบา้ น เคยมีพระภิกษุ
เขา้ อยปู่ ระจา อาศยั ชาวบา้ นที่ศรัทธานาขา้ วปลาอาหารไปถวาย กอ้ นหินเชิงบนั ไดมีลกั ษณะคลา้ ยหิน
ลาวา รอยเดือดเหมือนหินภเู ขาไฟ บดั น้ีถ้าหม่ืนยมเหลือเพยี งชื่อ ท่ีกาลงั จะเลือนลบหายไปจากความ
ทรงจาของคนท้งั หลาย เพราะไมม่ ีสภาพเป็นถ้าแลว้
ในอดีตเป็นที่เก็บพระดินเผา โดยเฉพาะพระพมิ พด์ ินดิบสีแดงซ่ึงขดุ ไดจ้ ากถ้าน้ีมากมาย จน
ไดช้ ื่อเล่ืองลือไปทว่ั วา่ “กรุพระเขาเหมน” เด๋ียวน้ียงั เชื่อกนั วา่ มีพระพทุ ธรูปทองคาสูงเมตรคร่ึงฝังอยู่
ชาวบา้ นขดุ คน้ หาไม่พบ ไดแ้ ต่พระพิมพก์ นั คนละองคส์ ององค์ บางคนไดแ้ ต่เพียงเกศ องคส์ าคญั ที่
ขดุ ได้ คือ พระพุทธรูปสูงเมตรคร่ึง ขณะน้ีอยทู่ ่ีวดั คีรีวรรณา ในบริเวณถ้ามีซอกหิน มีหลืบมากมาย
เคยมีพระดินดิบสีแดงนบั พนั องค์ เดก็ เล้ียงววั ไม่รู้เร่ือง เอามาทาต่างกระสุนยงิ หนงั สต๊ิกเล่น แต่
เด๋ียวน้ีคน้ หากนั แทบพลิกแผน่ ดิน เพราะในปี ๒๕๓๙ มีคา่ สูงข้นึ ถึงองคล์ ะ ๗๐,๐๐๐ บาท เทา่ ท่ี
ทราบขณะน้ีมีอยทู่ ่ีคุณจกั ราวุธ สันตจิตร สี่แยกบา้ นจนั ดีอยู่ ๑ องค์ อยทู่ ี่คุณจดั บุญทอง ๑ องค์
ลกั ษณะพระกรุเขาเหมน เป็นพทุ ธศิลป์ ยคุ ศรีวชิ ยั ตอนตน้ ระหวา่ ง พ.ศ.๑๒๐๐ – ๑๔๐๐ ในนิกาย
มหายานหรืออาจาริยวาท ดูลกั ษณะการแตง่ กายของพระยงั มีโพกหัวเหมือนพราหมณ์ เพราะเป็นพุทธ
ศิลปผสมกบั พราหมณ์ฮินดูมาก่อนดงั ภาพ

๓๕

ภาพขา้ งตน้ คือ พระยอดขุนพล ใบพทุ รา กรุถ้าหมื่นยม(พิมพน์ ิยม) ตาบลชา้ งกลาง
ขณะน้ีบริเวณถ้าหม่ืนยมไดร้ ับงบประมาณจากองคก์ ารบริหารส่วนตาบลชา้ งกลางจานวน
หน่ึง ในการพฒั นาเพ่ือเป็นแหลง่ ทอ่ งเที่ยวที่สาคญั อีกแห่งหน่ึ
- ถา้ อม ท่ีไดช้ ่ือน้ีเพราะมีน้าไหลเขา้ ปากถ้า แลว้ ไหลยอ้ นออกมาไปดา้ นฝ่ังตรงขา้ ม เป็นถ้า
อยใู่ นบริเวณเขาดินสอ
- ถา้ หม้อ ในถ้าน้ีพบเศษหมอ้ ผิวเกล้ียงแบบก่อนสุโขทยั คณุ สงค์ ศิริ ชาวบา้ นแถบน้ีเล่าให้
ฟังวา่ ตอนเด็ก ๆ เคยมาเที่ยวเล่นท่ีน่ีพบหมอ้ ใส่กระดูกมากมาย จึงไดช้ ื่อวา่ ถ้าหมอ้
- ถา้ พระ เป็นถ้าท่ีมีซอก มีหลืบมากมาย ใชเ้ ป็นท่ีเกบ็ พระดินเผา ถ้าพระเกิดจากภูเขาลกู
เลก็ ๆ เชิงเขาเหมน แต่มีถ้าบริเวณใกลเ้ คยี งมากมาย เช่น ถ้าหมอ้ ถ้าอม ท่ีไดช้ ื่อว่าถ้าพระ เพราะมี
พระเคร่ืองฝังไวม้ ากโดยเฉพาะพระพิมพด์ ินดิบสีแดง
- ถา้ ค้างคาว อยถู่ ดั ถ้าหมื่นยมมาทางทิศตะวนั ออก ยงั มีสภาพด้งั เดิมคอื เถาวลั ยพ์ นั เก่ียวเล้ียว
ลดหลน่ั เตม็ ไปหมด หากมองลงมาดา้ นล่างจะเห็นเป็นโพรงใตด้ ินเป็นรูปถ้าสงบวงั เวง ขา้ งในมี
คา้ งคาวอาศยั ถ่ายมลู ไวห้ นาเตอะ
- ถา้ นา้ ที่ไดช้ ื่อน้ี เพราะที่ปากถ้ามีลาหว้ ยขนาดกวา้ ง ๓- ๕ เมตรไหลเขา้ ไปในปากถ้าซ่ึงมี
เพดานสูง ๓ เมตร น้าที่ไหลเขา้ ปากถ้าแลว้ จะหมนุ เวยี นเป็นเกลียวเลียบผนงั ถ้าแลว้ ลอดหายไปจากถ้า
อยา่ งน่าอศั จรรย์
บริเวณรอบถ้าท้งั หลายดงั กล่าวน้ี หลงั จากปี ๒๔๙๓ ชาวบา้ นไดข้ ้ึนหกั ร้างถางพงสร้างเป็น
สวนยางแทบท้งั หมด ไมม่ ีสิ่งใดหลงเหลือใหเ้ ห็นเป็นอนุสรณ์ จะมีกเ็ พียงเศษกอ้ นอิฐแดงขนาดใหญ่
ซ่ึงเชื่อกนั วา่ เป็นอิฐท่ีใชส้ ร้างเมืองชวั่ คราวของนางพญาจณั ทีบริเวณเขาดินสอ ซ่ึงจะไดก้ ล่าวต่อไปใน
บทวา่ ดว้ ยช่ือบา้ น-นามเมือง

บริเวณถ้าแถวเขาดินสอใกล้ ๆ กบั ถ้าหม่ืนยม

๓๖

กองอิฐโบราณที่ยงั มีใหเ้ ห็นอยู่

สรุปพ้นื ท่ีชา้ งกลางยคุ ก่อนประวตั ิศาสตร์น้นั เป็นท่ีอยขู่ องมนุษยย์ คุ หินกลางเม่ือประมาณ
๑๐,๐๐๐ ปี ท่ีผา่ นมา โดยมีศูนยก์ ลางอยทู่ ่ีถ้าหม่ืนยมและถ้าบริวารท้งั หลาย ลว่ งมาถึงยคุ ประวตั ิศาสตร์
เมื่อ ๒,๐๐๐ ปี มาแลว้ ก็ไดเ้ ป็นท่ีต้งั ของชุมชนบริเวณคลองคดุ ดว้ น

๓๗

๒.๒ ยุคกาหนดเป็ นเขตพืน้ ท่ีคมุ ช้าง
จากคมั ภีร์จบั ชา้ งเมืองนครศรีธรรมราช พ.ศ.๒๑๖๗ ไดก้ ล่าวถึงวธิ ีการจบั ชา้ งและดินแดนที่
เป็นเขตชา้ งกลางเด๋ียวน้ีมาแลว้
ยงิ่ ไปกวา่ น้นั ยงั มีหลกั ฐานสาคญั คอื จารึกสมุดไทยขาวตวั หนงั สือสีดา หรือที่ชาวบา้ นเรียก
กนั วา่ “หนงั สือบุดดา” เพราะ เขยี นเป็นตวั อกั ษรหมึกดาซ่ึงพบท่ีทงุ่ เจียก หมู่ ๓ ตาบลชา้ งกลาง เมื่อปี
พ.ศ.๒๔๔๘ จารึกหนงั สือไทยดงั กลา่ วน้ี กานนั ไดน้ าส่งนายอาเภอ ผา่ นผวู้ า่ จนถึงกรมพระยาดารงรา
ชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยสมยั น้นั ทรงพิจารณาเห็นวา่ เป็นหลกั ฐานสาคญั ที่สามารถยดึ
เป็นหลกั ฐานอา้ งอิงได้ ปัจจุบนั เกบ็ อยู่ ณ หอสมุดแห่งชาติ
หนงั สือบดุ มีหลายขนาด คือขนาดใหญ่มีความกวา้ ง ๒๐ ถึง ๓๐ เซนติเมตร ยาว ๖๕ ถึง ๗๕
เซนติเมตร ขนาดกลางมีความกวา้ ง ๑๐ ถึง ๒๐ เซนติเมตร ขนาดเลก็ มีความกวา้ ง ๕ ถึง ๑๐ เซนติเมตร
ยาว ๒๐ ถึง ๓๕ เซนติเมตร เทา่ ท่ีพบในนครศรีธรรมราชหนงั สือบุดกลางแพร่หลายมากที่สุดอกั ษร
และ

ภาษาที่ใชใ้ นหนงั สือบุด
อกั ษรและภาษาท่ีใชห้ นงั สือบดุ มี ๓ แบบ คือ
๑. อกั ษรภาษาไทย
๒. อกั ษรขอมภาษาไทย เรียกวา่ “ขอมไทย”
๓. อกั ษรขอมภาษาบาลี เรียกวา่ “ขอมบาลี”

๓๘

สาหรับจารึกสมดุ ไทยเล่มพบที่ทงุ่ เจียกน้นั เป็นอกั ษรภาษาไทย ไดก้ ล่าวถึงพระเจา้ สุวรรณคู
ตาศรีธรรมาโศกราช ผสู้ ร้างเมืองท่ีหาดทรายแกว้ เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ประมาณปี พ.ศ.๑๕๘๐ วา่
ไดก้ าหนดเขตพ้นื ที่ควบคมุ ชา้ งออกเป็น ๔ อาณาเขตดงั น้ี

๑. เขตท่ีหน่ึงใหห้ มอเฒ่า “ไชย” เป็นผดู้ ูแล มีพ้นื ท่ีคลุมหวั เมืองที่เรียกช่ือ
ปัจจุบนั วา่ หลกั ชา้ ง ฉวาง ชา้ งกลาง พิปูน ละอาย ซ่ึงต่อมาไดป้ ริวรรตเป็นกรมชา้ งกลางของ
เจา้ พระยานคร เดิมเป็นดินแดนท่ีควบคุมดูแลชา้ งป่ าอนั ครอบคลมุ ต้งั แตไ่ หล่เขาหลวง เขาลา้ น เขาธง
เขาเหมนลงมาบา้ นนา คลองงา ควนตม หลกั ชา้ ง ควนพลอง เสลา นาพลาย คุดดว้ น จนั ดี คลองกุย
ปากมิน ทงุ่ ใหญ่ ซ่ึงจะไดก้ ล่าวรายละเอียดในบทวา่ ดว้ ยกรมชา้ งกลาง มีสานกั อยทู่ ่ีหมู่ ๕ นาวา
ตาบลชา้ งกลาง ทบั พ้นื ท่ีเมืองเก่าของนางพญาเลือดขาว เจา้ กรมคนสุดทา้ ยคือ หลวงไชยศรศิลป์
(กลบั ) มีชีวิตอยใู่ นระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๓๕๓ – ๒๔๓๙

๒. เขตท่ีสองเป็นของหมอเฒ่า “จนั ” เขตพ้นื ท่ีเดิมอยหู่ วั ทะเล ต่อมาเป็นกรมชา้ ง
ซา้ ย ปัจจุบนั เป็นตาบลอยใู่ นอาเภอพระพรหม ซ่ึงในอดีตต่อมาบริเวณน้ีเป็นชุมชนพราหมณ์มาก่อน
ดงั น้นั จึงไดช้ ่ือวา่ อาเภอพระพรหม

๓. เขตท่ีสามเป็นของหมอเฒ่า “ศรี” อยแู่ ถวทา่ ทอง ช่ือเดิมของเมืองกาญจนดิษฐ์
ตอ่ มาไดป้ ริวรรษข้นึ เป็นกรมชา้ งขวา ปัจจุบนั มีฐานะเป็นตาบลช่ือ “ชา้ งขวา” อยใู่ นอาเภอกาญจน
ดิษฐ์ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ท่าทองหรือท่าอุแทเคยเป็นเมืองสาคญั ในยคุ อาณาจกั รไชยา-ศรีวชิ ยั ท่ีตรง
น้ีตอ่ มามีชื่อวา่ “สระอเุ ลา” เป็น ๑ ใน ๑๒ นกั ษตั รที่ข้นึ กบั เมืองนครศรีธรรมราช

๔. เขตท่ีส่ี เป็นของหมอเฒ่า “แกว้ ” อยแู่ ถวชะมาย ซ่ึงเป็นช่ือเดิมของทงุ่ สง มี
เสน้ ทางสญั จรท้งั ทางบกและทางน้าไปออกฝ่ังทะเลตะวนั ตกได้ โดยเฉพาะเสน้ ทางโบราณจากเขาพบั
ผา้ มาสู่ท่ีวงั ก่อนเขา้ เมืองนครได้ เม่ือสิ้นยคุ การคมุ พ้นื ท่ีก็มิไดป้ ริวรรษข้ึนเป็นกรมชา้ งแตอ่ ยา่ งใด แตก่ ็
กลายเป็นส่วนหน่ึงในเขตปกครองของกรมชา้ งซ้ายในยคุ ถดั มา

จากหลกั ฐานขอ้ มลู ดงั กล่าวขา้ งตน้ กพ็ อสรุปไดว้ า่ กรมชา้ งท้งั ๓ ของเจา้ พระยานครมี
พ้นื ฐานเดิมเริ่มมาจากการกาหนดเขตควบคมุ พ้ืนท่ีชา้ งของพระเจา้ สุวรรณคูตาศรีธรรมาโศกราชต้งั แต่
พทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ คือประมาณ พ.ศ. ๑๕๘๐ โดยใหม้ ีหมอเฒ่าท้งั ๔ เป็นหวั หนา้ ดูแล แตย่ งั ไม่
เรียกวา่ เป็นกรม หรือมีเจา้ กรม จนกระทงั่ ต่อมาพ้นื ท่ีดงั กล่าวไปปริวรรตข้ึนเป็นกรมชา้ งกลาง กรม
ชา้ งซา้ ย และกรมชา้ งขวา ของเจา้ พระยานครศรีธรรมราช

๒.๓ ยคุ กรมช้างกลาง
ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยา เร่ิมต้งั แต่พระเจา้ อทู่ องสร้างกรุงศีอยธุ ยาในปี พ.ศ.๑๘๙๑ ขณะชนมายุ
๓๖ ปี มีพระนามวา่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ สมยั น้นั พระเจา้ อทู่ องมีเมืองข้ึน ๑๖ เมือง รวมท้งั
นครศรีธรรมราชดว้ ย ไดแ้ ก่เมืองมะละกา เมืองชวา เมืงตะนาวศรี เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมือง

๓๙

เมาะลาเลิง เมืองนครศรีธรรมราช เสืองสงขลา เมืองจนั ทบุรี เมืองพษิ ณุโลก เมืองสุโขทยั เมืองพิชยั
เมืองสวรรคโล เมืองกาแพงเพชร เมืองพิจิตร เมืองนครสวรรค์

รูปแบบการปกครองนครศรีธรรมราชไดจ้ ดั ต้งั ระบบศกั ดินารวมศูนยเ์ ช่นเดียวกบั อยธุ ยา ซ่ึง
ต่อมามีหลกั ฐานปรากฏชดั เจนในสมยั สมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศวา่ มีกรมชา้ งกลางเป็นกรมหน่ึงใน
จานวนสามสิบกวา่ กรมแลว้

คร้ันมาถึงสมยั พระเจา้ ตากสิน ซ่ึงครองกรุงธนบุรีระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๑๑ – ๒๓๒๕ ตาม
พงศาวดารฉบบั พนั จนั ทนุมาศ กลา่ ววา่ พระเจา้ ตากสินไดย้ กฐานะเมืองนครศรีธรรมราชข้ึนเป็น
ประเทศราช โดยแต่งต้งั เจา้ พระยานครหนู (ในฐานะพระสัสสุระหรือพอ่ ตา) ใหม้ าครองเมืองนครสืบ
ต่อจากเจา้ นราสุริยวงศผ์ ถู้ ึงแก่พริ าลยั พระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณบฏั วา่ “พระเจา้ ขตั ิยราช
นิคม สมมติมไหศวรรย์ พระเจา้ นครศรีธรรมราช เจา้ ขณั ฑสีมา” มีฐานะเป็นพระเจา้ แผ่นดินครองเมือง
นครศรีธรรมราช ปี น้นั ตรงกบั พ.ศ.๒๓๑๙ ในช่วงน้ีกรมชา้ งกลางมีบทบาทมากข้นึ เพราะผลพวง
จากการที่ชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราชเคยถูกพระเจา้ ตากยกทพั มาปราบเม่ือปี ๒๕๑๒ ไดถ้ ูกกองทพั
ของเจา้ พระยาจกั รีระดมชา้ งท่ีหวั เมืองหลกั ชา้ งเขา้ กองทพั ถึง ๒๐๐ เชือก ทาใหช้ า้ งของเจา้ พระยานคร
ลดลงไป เมื่อเจา้ พระยานครหนูไดเ้ ป็นพระเจา้ แผน่ ดินนครศรีธรรมราชกฟ็ ้ื นฟูกรมชา้ งท้งั ๓ ใน
จานวน ๒๘ กรม เพ่ือเพม่ิ กาลงั กองทพั ชา้ งใหแ้ ขง็ แกร่งข้นึ ท้งั ยงั ไดข้ ดุ คลองในเขตชะมาย(ทุง่ สง)
เช่ือมต่อไปยงั ฝ่ังทะเลตะวนั ตกดว้ ย

ตอ่ มาในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ คร้ังรัชกาลท่ี ๒ มีหลกั ฐานจากหนงั สือเรื่อง “ชุมชนท่ี
สาบสูญ? ทาเนียบขา้ ราชการเมืองนครศรีธรรมราช” กรมศิลปากรพมิ พเ์ ผยแพร่เม่ือ พฤศจิกายน
๒๕๔๑ กลา่ วไวว้ า่ กรมชา้ งกลางไดม้ ีฐานะเป็นกรมหน่ึงในจานวนสามสิบกวา่ กรม ของเจา้ พระยา
นคร

ในช่วงท่ีตรงกบั สมยั รัชกาลท่ี ๒ ดงั กล่าวน้ี คือในปี พ.ศ. ๒๓๕๔ ไดม้ ีพระบรมราชโองการ
ประกาศ แต่งต้งั เจา้ พระยานครนอ้ ยข้นึ ครองเมืองนคร ในการน้ีไดม้ ีประกาศ ช่ือ กรม ตา่ ง ๆ ท้งั ปวง
ของเจา้ พระยานคร ในจานวนน้นั มีกรมชา้ งกลาง ประกอบดว้ ย เจา้ กรม ๑ คน ขนุ ๑๒ คน หมื่น ๕
คน รวมเป็น ๑๘ นาย มีรายชื่อดงั น้ี

๑. หลวงพิไชยนาเคนทร์ เป็นเจา้ กรม ถือศกั ดินา ๑๒๐๐ ไร่ ถือตรารูปคนข่ชี า้ ง
๒. ขนุ ภกั ดีกุญชร ปลดั กรม ศกั ดินา ๖๐๐ ไร่
๓.ขนุ ไชยกญุ ชร ถือศกั ดินา ๓๐๐
๔. ขนุ ทรนาเคนทร์ ถือศกั ดินา ๓๐๐
๕. ขนุ อินทคชลกั ษณ์ ถือศกั ดินา ๓๐๐
๖. ขนุ ศกั ด์ิคชบาล ถือศกั ดินา ๓๐๐
๗. ขนุ ทิพคชฤทธ์ิ ถือศกั ดินา ๓๐๐

๔๐

๘. ขตุ เทพคชฤทธ์ิ ถือศกั ดินา ๓๐๐
๙. ขนุ อินทคชกรรม หมอชา้ ง ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๐. ขนุ พรหมคชกรรม ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๑. ขนุ ศกั ดิคชพล ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๒. ขนุ ศรีคชพล ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๓. ขนุ เทพคชพล ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๔. หมื่นทิพคชพล ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๕. หม่ืนราชคชพล ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๖. หมื่นจบอารัญ ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๗. หม่ืนจ่าภกั ดี สมุหบ์ ญั ชี ถือศกั ดินา ๒๐๐
๑๘. หม่ืนจงภกั ดี ถือศกั ดินา ๒๐๐

นอกจากประกาศชื่อกรมต่าง ๆ แลว้ ยงั ไดม้ ีการประกาศช่ือเมืองต่าง ๆ มากมาย เช่นเมืองนา
บอน เมืองหลกั ชา้ ง กะเบียด ฯลฯ เป็นตน้

สาหรับเจา้ พระยานคร(นอ้ ย) ซ่ึงครองแผ่นดินนครศรีธรรมราชในสมยั รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุง
รัตนโกสินทร์ มีกรมชา้ งกลางอยใู่ นสังกดั น้นั เกิดเม่ือวนั จนั ทร์ท่ี ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๓๑๙ ที่เมือง

๔๑

นครศรีธรรมราช ในรัชสมยั สมเด็จพระเจา้ กรุงธนบุรี เป็นพระราชโอรสสมเด็จพระเจา้ ตากสิน

มหาราช ประสูติแต่เจา้ จอมมารดาเจา้ หญิงปราง และยงั เป็นบตุ รบุญธรรมของเจา้ พระยาสุธรรมมนตรี

(พฒั น์) ซ่ึงมีบนั ทึกในจดหมายเหตุความทรงจาของกรมหลวงนรินทรเทวี ตอนท่ีตรัสถึงเจา้ พระยา

นคร (นอ้ ย) และเจา้ จอมมารดาปรางในสมเด็จพระเจา้ ตากสินมหาราชวา่

"เจ้าจอมมารดาปรางในพระเจ้ากรุงธนบรุ ี พระราชทานแก่อปุ ราชพัฒน์ มคี วามชอบชนะศึก

ชายาถึงแก่กรรม รับส่ังว่าอย่าเสียใจนักเลยจะให้เลีย้ งหลาน ท้าวนางกราบทูลว่า เร่ิมตงั้ ครรภ์ได้ ๒

เดือนแล้ว แต่รับสั่งตรัสแล้วไม่คืนคา พระราชวิจารณ์รัชกาลที่ ๕ ว่าไม่ทรงทราบหรือเป็นราโชบายให้

เชือ้ สายไปครองเมืองให้กว้างขวางออกไป แนวเดียวกับให้กรมขนุ อินทรพิทักษ์ไปครองเขมร

เจ้าพฒั น์รับตั้งไว้เป็นนางเมือง มิได้เป็นภรรยาเป็นเรื่องเล่ากระซิบกันอย่างเปิ ดเผย บุตรติดครรภ์เป็น

ชายชื่อ น้อย เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช สาเร็จราชการเมืองนครศรีธรรมราช มีอานาจวาสนากว่า

เจ้านครทุกคน"

ในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์ กรมชา้ งกลางมีหนา้ ที่เด่นชดั ข้ึน อาจารยช์ าลี ศิลปรัศมี เขยี นไวใ้ น
สารนครศรีธรรมราชฉบบั เดือนธนั วาคม ๒๕๔๗วา่ มีเจา้ กรมรับผิดชอบข้ึนตรงต่อเจา้ กรมพระปลดั
เมืองนคร มีหนา้ ท่ีดงั น้ี

๑. สารวจชา้ งป่ าวา่ มีกี่โขลง ๆ ละกี่ตวั เป็นชา้ งพลาย ชา้ งพงั ก่ีตวั ตกลกู มาใหม่ ๆ เท่าใด แต่
ละโขลงหากินอยใู่ นถ่ินไหน ลาน้าใด

๔๒

๒. จบั ชา้ งตามพระราชประเพณี ๓ ปี คร้ัง โดยมีเหตุผลวา่ ใหช้ า้ งท่ีต่ืนตกใจหนีการถูกจบั จะ
ไดล้ ืมเหตกุ ารณ์ท่ีผา่ นมา และลกู ชา้ งที่กาลงั กจ็ ะไดโตเตม็ ที่

๓. ฝึกหดั ชา้ งป่ าใหเ้ ป็นชา้ งบา้ น ฟังภาษาควาญรู้เร่ือง คาเรียก เช่น มา กเ็ รียก “ เมือ” คาสั่งให้
นงั่ ก็วา่ “ซูม” ตลอดถึงใหย้ นื ใหเ้ ดิน จนเชื่องดีแลว้ ก็ส่งไปใหก้ รมชา้ งซา้ ย เพือ่ ฝึกเป็นกรณีพเิ ศษเป็น
เร่ือง ๆ ไป เช่นฝึกใหเ้ ป็นชา้ งศึก ชา้ งพระท่ีนงั่ ชา้ งโดยสาร ชา้ งบรรทุกสัมภาระ เป็นตน้

๔. ประสานภารกิจร่วมกบั กรมชา้ งซา้ ย และกรมชา้ งขวาในการฝึก การจบั ชา้ ง การสับเปล่ียน
หนา้ ท่ี

๕. รับคาสงั่ ตรงจากเจา้ กรมพระปลดั เมืองนคร
เทา่ ท่ีมีหลกั ฐาน กรมชา้ งกลางยคุ กรุงรัตนโกสินทร์น้ีมีเจา้ กรม ๔ คน ลว้ นมีช่ือ “ไชย”
รวมอยู่ อนั เป็นช่ือของหมอเฒ่าไชยผคู้ วบคมุ ดูแลมาแตด่ ้งั เดิม คือ
๑.ออกหลวงไชยสุรินทร์อินทรเสนา ถือศกั ดินา ๑๒๐๐ เป็นเจา้ กรมระวา่ ง พ.ศ. ๒๓๒๕ –
๒๓๖๔(ตรงกบั สมยั ร.๑ ถึง ร.๒)
๒.หลวงพไิ ชยนาเคนทร์ ถือศกั ดินา ๑๒๐๐ เป็นเจา้ กรมระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๖๔ – ๒๓๘๕(สมยั
ร.๒ –ร.๓)
๓.หลวงไชยศรศิลป์ อินทรเสนา ถือศกั ดินา ๑๒๐๐ เป็นเจา้ กรมระหวา่ ง ๒๓๘๕ – ๒๔๐๓
(สมยั ร.๓ – ร.๔)
๔.หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) ถือศกั ดินา ๑๒๐๐ เป็นเจา้ กรมระหวา่ ง พ.ศ.๒๔๐๓ – ๒๔๓๙(
สมยั ร.๔ – ร.๕)”
หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) ถือวา่ เป็นเจา้ กรมคนสุดทา้ ยของกรมชา้ งกลาง เพราะต้งั แต่ พ.ศ.
๒๔๔๑ เป็นตน้ มา พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลท่ี ๕ ไดป้ ฏิรูปการปกครอง
แผน่ ดินจากแบบจตสุ ดมภ์ เวียง วงั คลงั นา ซ่ึงมีมาต้งั แตค่ ร้ังสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มาเป็น
แบบกระทรวง ทบวง กรม โดยใช้ พระราชบญั ญตั ิปกครองทอ้ งท่ี ร.ศ.๑๑๖ และ ๑๑๗ มีเทศาภิบาล
มณฑล ผวู้ า่ การเมือง มีกานนั ผใู้ หญบ่ า้ น ข้นึ มาแทน เป็นผลใหก้ รมชา้ งกลางสลายตวั ลงต้งั แตบ่ ดั
น้นั เป็นตน้ มา
ประวตั ิของหลวงไชยศรศิลป์ คนน้ีมีภรรยามากถึง ๑๒ คน มีบุตรชายหญิง ๑๓ คน ถึงแก่
กรรมเม่ือปี พ.ศ.๒๔๓๙ เป็นบรรพบรุ ุษของคนหลายตระกูล เช่นศิลปรัศมี เทพพิชยั ไชยศร ต้งั
บา้ นเรือนอยทู่ ่ีโคกทือท่ีซ่ึงกรมหลวงลพบรุ ีราเมศร์ ผสู้ าเร็จราชการมณฑลปักษใ์ ตเ้ คยเขา้ ประทบั แรม
ระหวา่ งตรวจราชการ โคกทือน้ียงั เป็นบา้ นเกิดของพอ่ ท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ และคนหวั หมอดว้ ย
หลวงไชยศรศิลป์ มีบตุ รที่เป็นบุคคลสาคญั ซ่ึงเป็นลูกสุดทอ้ ง คือ ขนุ ฉวางวิสิษฐ์(ช่วง ศิลป
รัศมี) ผูเ้ ป็นหน่ึงในคณะปราบขนุ โจรสีนุ่นท่ีบา้ นควนส้าน และอีกคนหน่ึงชื่อหม่ืนเทพ(คลา้ ย เทพ
พิชยั ) ไดเ้ ป็นกานนั ตาบลชา้ งกลางคนที่ ๒ ตอ่ จากหม่ืนคชเขตมชั ฌิมานุการ(ปาน ไพรสณฑ)์

๔๓

หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั )

หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) เป็นเจา้ กรมชา้ งกลางระหวา่ ง พ.ศ.๒๔๐๓ – ๒๔๓๙
ช้างป่ าพนั ธ์ุดีล้วนมที ี่มาจากช้างกลาง

๔๔

๒.๔ ยคุ ปริวรรษการปกครองสมัย ร.๕
ในปี สุดทา้ ยของการครองตาแหน่งเจา้ กรมชา้ งกลางของหลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) คือ พ.ศ.
๒๔๓๙ ซ่ึงเป็นช่วงที่เจา้ พระยาสุธรรมมนตรีศรีธรรมราช (หนูพร้อม) เป็นเจา้ พระยานครระหวา่ ง
พ.ศ.๒๔๑๐ – ๒๔๔๐ คนทวั่ ไปเรียกวา่ พระยาขนทวน ถือเป็นปี ท่ีสิ้นสุดของกรมชา้ งกลาง
เพราะไดก้ ลา่ วมาแต่ตน้ แลว้ วา่ พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลที่ ๕ ไดป้ ฏิรูปการ
ปกครองแผ่นดินจากแบบจตุสดมภ์ เวียง วงั คลงั นา ซ่ึงมีมาแต่คร้ังสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พ.ศ. ๑๙๙๑ มาเป็นแบบกระทรวง ทบวง กรม โดยใช้ พระราชบญั ญตั ิปกครองทอ้ งที่ ร.ศ.๑๑๖ และ
๑๑๗ ต้งั แต่ปี ๒๔๔๑ มีการรวมหวั เมืองตา่ ง ๆ ในปักษใ์ ตเ้ ขา้ เป็นมณฑล มีมณฑลนครศรีธรรมราช
เป็นตน้ ผวู้ า่ การมณฑลเรียกวา่ เทศาภิบาล หวั เมืองเดิมเปลี่ยนช่ือเป็นอาเภอ ตาแหน่งนายแขวงมา
เป็นกานนั และนายบา้ นมาเป็นผใู้ หญบ่ า้ น
การเปล่ียนวธิ ีการปกครองดงั กลา่ วน้ี เป็นผลใหฐ้ านอานาจของเจา้ พระยานครคนสุดทา้ ย
คือเจา้ พระยานครหนูพร้อม หมดไปต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๔๑ กรมชา้ งท้งั ๓ ในจานวน ๒๘ กรมของ
เจา้ พระยานครตอ้ งสลายตวั ลงไปดว้ ย และหมดบทบาทในการควบคมุ พ้ืนท่ีดูแลชา้ ง มีการต้งั อาเภอ
ข้นึ มาแทน
ชา้ งกลางเคยมีที่วา่ การอาเภออยทู่ ่ีบา้ นจนั ดี เรียกวา่ “อาเภอไชยศรศิลป์ ” คุณมงคล คงแกว้
(เสียชีวิตแลว้ ) ปราชญช์ าวบา้ นเลา่ ใหฟ้ ังวา่ ที่วา่ การอาเภอน้ีต้งั อยบู่ ริเวณโคกปาบ ริมทงุ่ เจียกดา้ นทิศ
ตะวนั ออก แต่ต้งั ไดไ้ มน่ านกถ็ ูกยบุ ไปเม่ือยา้ ยท่ีวา่ การอาเภอฉวางจากทา่ ชี มาต้งั ท่ีหมู่ ๕ ตาบลนาแว

๔๕

เพราะอยใู่ กลก้ นั อาเภอไชยศรศิลป์ หลงั จากถกู ยบุ ไปแลว้ กไ็ ม่มีหลกั ฐานหรือประวตั ิใด ๆ หลงเหลือ
อยเู่ ลย อนุชนคนรุ่นหลงั จึงไม่มีใครรู้จกั ชื่ออาเภอไชยศรศิลป์ กนั

ความเป็นมาของการต้งั อาเภอไชยศรศิลป์ ที่ทุ่งเจียก บา้ นจนั ดีน้นั มีประวตั ิวา่ หลงั จากที่ได้
ประกาศใชพ้ ระราชบญั ญตั ิปกครองทอ้ งท่ี ร.ศ.๑๑๖ และ ๑๑๗ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๑ แลว้ หลวงพานกั
นิคมคาม (ขาว ณ นคร) นายอาเภอทุง่ สงสมยั น้นั ไดร้ ับคาสัง่ จากส่วนกลาง ใหส้ ารวจพ้ืนที่ในเขตหวั
เมืองหลกั ชา้ ง ฉวาง พิปนู กะเปี ยด วา่ สมควรจะต้งั เป็นอาเภอหรือไม่ ผลการสารวจใหจ้ ดั ต้งั ได้ ๒
อาเภอ คือ

- อาเภอไชยศรศิลป์ ต้งั ที่บา้ นจนั ดี
- อาเภอฉวาง ต้งั ที่ท่าชี
สองอาเภอน้ีมีเขตปกครองกวา้ งใหญ่ไพศาล ทิศตะวนั ออกคลุมต้งั แต่ยอดเขาหลวง เขาธง
ทิศตะวนั ตกคลมุ ถึงเมืองไชยา ซ่ึงขณะน้นั ยงั ไม่เกิดจงั หวดั สุราษฎร์ ที่อาเภอฉวางน้นั ต้งั “หลวง
ปราบประทษุ ราษฎร์” (เอียด ณ นคร) เป็นนายอาเภอคนแรก ตอ่ มายา้ ยท่ีวา่ การมาต้งั ท่ีหมู่ ๕ ตาบล
นาแว เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๔๔ มีขนุ ราชเมืองขวาง(ข้ีนาก)เป็นนายอาเภอ ก็ยบุ อาเภอไชยศรศิลป์ ซ่ึงช่วง
หลงั น้ีก็ไมม่ ีประวตั ิอะไรหลงเหลือใหไ้ ดศ้ ึกษา นอกจากคาบอกเลา่ ของผเู้ ฒ่าผูแ้ ก่ ซ่ึงลว่ งกาลผา่ นวยั
ตา่ งตายไปหมดแลว้ ส่วนอาเภอฉวางต่อมาก็ยา้ ยมาอยใู่ นวงั ไอล้ อ่ น(ไอล้ อ่ นคือแมลงที่เดินบนน้าได้
ชาวบา้ นเรียกวา่ แมงโยง่ ยา่ ง....ผเู้ ขียน) บนฝ่ังคลองคุดดว้ น ตรงขา้ มวดั โคกหาด เม่ือ พ.ศ.๒๔๕๒
ตอ่ มาที่วา่ การอาเภอฉวางกถ็ ูกยา้ ยเป็นคร้ังที่ ๓ มาต้งั ท่ีปากคลองถลงุ เพราะท่ีน่ีเคยเป็นท่ี
ถลุงแร่ แต่ชาวบา้ นเรียกวา่ “คลองลุง” ต้งั อยไู่ ด้ ๒ ปี กย็ า้ ยอีกทีเป็นคร้ังท่ี ๔ มาต้งั ในที่ปัจจุบนั
ซ่ึงเป็นทอ้ งท่ีหมู่ ๑ ถนนภกั ดีราษฎร์ ในตาบลฉวางเด๋ียวน้ี การยา้ ยคร้ังสุดทา้ ยน้ีเกี่ยวเน่ืองดว้ ยการ
ควบคมุ ชา้ งในพ้ืนท่ีเป็นส่วนสาคญั เพราะกรมการอาเภอฉวางมีหนา้ ที่ในการสารวจและการจบั ชา้ ง
ป่ าแทนกรมชา้ งกลางเดิมดว้ ย
ในส่วนของชา้ งกลาง เมื่อเขา้ สู่ยคุ การปฏิรูปการปกครองทอ้ งท่ี ก็มีฐานะเป็นตาบลข้นึ กบั
อาเภอฉวางต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๔๑ เป็นตน้ มา จนกระทงั่ ถึงวนั ท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙ คือ ๙๘ ปี ตอ่ มา
ไดร้ ับการแยกตวั ออกมาเป็นก่ิงและเป็นอาเภอในปัจจุบนั ชื่อชา้ งกลางจึงมีประวตั ิยาวนานต้งั แต่
ประมาณปี ๑๕๘๐ ถึงปัจจุบนั (๒๕๖๐) นบั ได้ ๙๘๐ ปี
เมื่อคร้ังต้งั เป็นตาบล คนปกครองดูแลท่ีเคยเรียกวา่ นายแขวงกเ็ ปล่ียนมาเป็นกานนั
- คนแรกคอื หมื่นคชเขตมชั ฌิมานุการ(ปาน ไพรสณฑ)์ เป็นบุคคลคนเดียวกบั ที่ช่ือ
หมื่นคชเขตประชาราษฎร์นุกูล เพราะกล่าวไวห้ ลายที่ เขยี นไมเ่ หมือนกนั แตส่ ืบไดว้ า่ เป็นชื่อบุคคล
คนเดียวกนั
- คนถดั มาคือหมื่นเทพ (คลา้ ย เทพพิชยั ) ลกู หลวงไชยศรศิลป์ แลว้ มากานนั เงิน
กานนั แจง้

๔๖

- ถดั มาก็เป็นกานนั ฉ่า ไพรสณฑ์ แลว้ กก็ านนั เคลา้ ลูกกานนั ฉ่า ตระกลู ไพรสณฑน์ ้ี

เป็นกานนั ตาบลชา้ งกลางถึง ๓ คน ลูกของกานนั ฉ่าอีกคน คอื นายถวิล ไพรสณฑ์ เขา้ สู่วงการเมือง

ในช่วงปี ๒๕๓๘ไดเ้ ป็นรัฐมนตรีวา่ การทบวงมหาวทิ ยาลยั และก่อนหนา้ น้นั กไ็ ดเ้ ป็นรอง

ประธานสภาผแู้ ทนราษฎร

- ถดั จากกานนั เคลา้ กม็ า กานนั ประสิทธ์ิ สโมสร กานนั ประโยชน์ รัตนบุรี กานนั

ฉลอง จิตรรัตน์ กานนั วิเชียร ทิพยส์ ุราษฎร์ กานนั จารึก รัตนบุรี จนมาถึงปัจจุบนั คือกานนั พสิ ัณฑ์

บณุ ยเกียรติ อนุสาวรียก์ านนั ฉ่าไพรสณฑ์ ผบู้ ริจาคท่ีดินสร้างวดั เทพกุญชร

ต้งั อยขู่ า้ งวดั เทพกุญชร หมู่ ๗ ตาบลชา้ งกลาง

กวีเอ้ือม อบุ ลพนั ธ์(เสียชีวติ แลว้ ) ไดเ้ ขยี นถึง “ชา้ งกลาง” เป็นเชิงชวนเชิญมวลชนมาเท่ียวชม

ไวต้ อนหน่ึงวา่

งามน้าตกทา่ แพแผธ่ ารทอด มีรีสอร์ตริมสายกระแสสินธุ์

จุดชมวิวถ้าหม่ืนยมสมใจจินต์ อาหารไทยทอ้ งถิ่นกโ็ อชา

ชาวชา้ งกลางต่างมีไมตรีจิต สมานมิตรญาติสหายเสน่หา

รอคอยคนมาชมภิรมยา เชิญแวะมาชา้ งกลางบา้ งเถิด

๒.๕ ยคุ ปัจจบุ นั

การที่อาเภอฉวาง เป็นอาเภอที่มีพ้ืนที่การปกครองกวา้ งขวางเกินไป มีประชากรมากมาย

เมื่อสรุปขอ้ ความท่ีปรากฏในหนงั สือ “ประวตั ิมหาดไทยส่วนภูมิภาค จงั หวดั นครศรีธรรมราช พ.ศ.

๔๗

๒๕๒๗” (ยดึ หนงั สือเล่มน้ีประกอบการเขียน เพ่อื ใหเ้ ห็นภาพในอดีต) ทาใหเ้ ราไดร้ ู้วา่ อาณาเขต

และจานวนราษฎรในช่วงสมยั น้นั มีมากดงั น้ี

๑.มีพ้ืนท่ี ๑,๑๑๒.๐๔ ตารางกิโลเมตร

๒.ประชากร ๑๐๙,๓๘๙ คน

๓.ต้งั เป็นอาเภอเม่ือ พ.ศ. ๒๔๔๓

๔.มีนายอาเภอปกครองมาแลว้ จนถึงปัจจุบนั ๓๘

ตอ่ มาภายหลงั จึงจาเป็นแยกเขตการปกครองออกไปโดยลาดบั คือ

๑.พ.ศ. ๒๕๑๕ แยกเป็นก่ิงอาเภอพปิ นู

๒.พ.ศ. ๒๕๓๓ แยกเป็นกิ่งอาเภอถ้าพรรณรา

ถึงแมจ้ ะแยกออกไปต้งั ก่ิงอาเภอและเจริญเติบโตเป็นอาเภอแลว้ ทอ้ งท่ีอาณาเขตการปกครอง

กย็ งั คงกวา้ งขวาง ยากแก่การใหบ้ ริการและความสะดวกแก่ประชาชนอยา่ งรวดเร็วและทว่ั ถึง

กระทรวงมหาดไทย จึงประกาศจดั ต้งั กิ่งอาเภอชา้ งกลาง แยกจากอาเภอฉวาง อีกคร้ังหน่ึงในปี พ.ศ.

๒๕๓๙ โดยใหม้ ีผลบงั คบั ต้งั แต่วนั ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๙ ตามเอกสารประกาศ

กระทรวงมหาดไทย ดงั น้ี

๔๘

- ระยะเริ่มแรกก่อนมาเป็ นอาเภอช้างกลาง
ช่ือก่ิงอาเภอและสถานที่ต้งั ท่ีวา่ การกิ่งอาเภอ ไดม้ ีการระดมสมองและสรรพกาลงั ประชุมจาก
หลายฝ่าย ท้งั ส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทว่ั ไป ในพ้นื ที่ ตาบลชา้ งกลาง ตาบลสวน
ขนั ตาบลหลกั ชา้ ง เม่ือเดือนกุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ณ ศูนยร์ าชการตาบลชา้ งกลาง สี่แยกบา้ น
จนั ดี ในการหาขอ้ สรุปใน ๒ เร่ืองน้ี
๑.ช่ือ กิ่งอาเภอ มีการประชุมเรื่องการต้งั ช่ือกนั อยา่ งกวา้ งขวางและหลากหลาย เชน่ กิ่ง
อาเภอธาตนุ อ้ ย ก่ิงอาเภอไชยศรศิลป์ ก่ิงอาเภอเมืองเก่า ก่ิงอาเภอจนั ดี ก่ิงอาเภอชา้ งกลาง เป็นตน้
เมื่อมีการนาช่ือก่ิงอาเภอจากที่ประชุมแลว้ และนาเสนอต่อส่วนราชการโดยสภาจงั หวนั ครศรี
ธรรมราชเป็นผพู้ ิจารณาและมีมติอนุมตั ิใหใ้ ชช้ ื่อ “ชา้ งกลาง” แลว้ เสนอชื่อน้ีไปกรมการปกครอง
กระทรวงมหาดไทย และใหป้ ระกาศชื่อ “กิ่งอาเภอชา้ งกลาง” ในหนงั สือราชกิจานุเบกษา ในเดือน
เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙
๒.สถานที่ต้งั ที่วา่ การกิ่งอาเภอชา้ งกลาง มีการพิจารณาสถานท่ีท่ีเหมาะสมอยู่ หลายสถานท่ี
เช่น

๔๙

- บริเวณวดั มะนาวหวาน หมู่ที่ ๔ เพราะมีพ้นื ที่กวา้ งขวาง เป็นศนู ยร์ วมของ
เศรษฐกิจ ร้านคา้ ชุมชน วดั โรงเรียน เป็นตน้

- บริเวณบา้ นจนั ดี หมู่ท่ี ๓ เพราะอยหู่ ่างจากอาเภอลานสกาและอาเภอฉวาง พอๆ
กนั และเป็นระยะที่เหมาะสม

- บริเวณป่ าสงวนแห่งชาติควนพลอง หมูท่ ี่ ๗ มีเน้ือที่ท่ีจะต้งั ไดป้ ระมาณ ๑๐๕
ไร่ คนละฝ่ังถนนกบั วทิ ยาลยั เกษตรกรรมนครศรีธรรมราช

จากการพจิ ารณาของทุกฝ่าย ดว้ ยความเหมาะสมในหลายประการในเรื่องสถานที่ต้งั ท่ีวา่ การ
กิ่งอาเภอชา้ งกลาง จึงมีมติใหต้ ้งั ที่วา่ การก่ิงอาเภอชา้ งกลางในบริเวณพ้นื ท่ีป่ าสงวนแห่งชาติควน
พลอง บริเวณตรงขา้ มกบั วทิ ยาลยั เกษตรกรรมนครศรีธรรมราช (ควนพลอง) มีเน้ือท่ีประมาณ
๑๐๕ ไร่ ติดถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๐๑๕ สายนคร-บา้ นส้อง ตรงกบั กิโลเมตรท่ี ๔๔
(ชาลี ศิลปรัศมี “สารนครศรีธรรมราช,๒๕๓๙:๖๒)

ป่ าสงวนแห่งชาติแห่งน้ีเป็นป่ าสงวนแห่งชาติ ตามประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ฉบบั ท่ี ๒๔๖ พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เลม่ ที่ ๘๔ ตอน ๑๖๖ ลงวนั ที่ ๒๘
พฤษภาคม ๒๕๑๐ มีเน้ือที่ ๑,๘๗๐ ไร่ แต่เกิดมหาวาตภยั ในปี ๒๕๐๕ และการบุกรุกโคน่ ทาลาย
ของพอ่ คา้ นายทุน จึงสิ้นสภาพป่ าสงวนแห่งชาติอยา่ งสิ้นเชิง

กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ขออนุญาตเขา้ ทาประโยชน์ เพื่อสร้างวทิ ยาลยั
เกษตรกรรมและไดร้ ับอนุญาตตามขอ ในปี ๒๕๒๓ จานวน ๗๘๑ ไร่ หลงั จากน้นั กรมทหาร
พรานท่ี ๔๔ ไดเ้ ขา้ มาต้งั ฐานปฏิบตั ิการในท่ีซ่ึงคาบเกี่ยว หรือใกลเ้ คียงกบั ท่ีซ่ึงกรมอาชีวศึกษาไดร้ ับ
อนุญาตแลว้ (ฐานปฏิบตั ิการน้ียบุ เลิกไปแลว้ ) ส่วนท่ีต้งั ที่วา่ การกิ่งอาเภอชา้ งกลางก็เป็นที่ท่ีกรม
อาชีวศึกษาไดร้ ับอนุญาตแลว้ เช่นกนั (เอ้ือม อุบลพนั ธุ์ “สารนครศรีธรรมราช” ๒๕๓๙:๓๑)

ในระยะเริ่มแรกไดม้ ีท่ีต้งั ท่ีวา่ การก่ิงอาเภอชา้ งกลาง (ชว่ั คราว) ดงั น้ี
๑.อาคารกฎุ ิเจา้ อาวาสวดั เทพกุญชร หมทู่ ่ี ๗ ตาบลชา้ งกลาง เป็นที่ต้งั และทางาน

ของทุกส่วนราชการ (ยกเวน้ สถานีตารวจ)
๒. ศาลาเอนกประสงคว์ ดั มะนาวหวาน หมู่ที่ ๔ ตาบลชา้ งกลาง เป็นท่ีต้งั สถานี

ตารวจกิ่งอาเภอชา้ งกลาง
ตอ่ มาใน วนั ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ไดม้ ีพระราชกฤษฎีกายกฐานะก่ิงอาเภอชา้ งกลาง

ข้ึนเป็น อาเภอชา้ งกลาง โดยมีผลบงั คบั ต้งั แตว่ นั ท่ี ๘ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๕๐
- เหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา

สงครามมหาเอเชียบูรพา (Greater East Asia War) หรือ สงครามแปซิฟิ ก (Pacific War) เป็น
เขตสงครามหน่ึงของสงครามโลกคร้ังที่สอง สู้รบกนั ในมหาสมทุ รแปซิฟิ กและเอเชียตะวนั ออกเป็น
หลกั

๕๐

สงครามมหาเอเชียบรู พา เร่ิมต้งั แตว่ นั ท่ี ๗ หรือ ๘ ธนั วาคม พ.ศ.๒๔๘๔ (ค.ศ.๑๙๔๑) เม่ือ
ญ่ีป่ ุนบกุ ครองประเทศไทยและโจมตีอาณานิคมของบริติช ไดแ้ ก่ มาลายา สิงคโปร์ และฮ่องกง
ตลอดจนฐานทพั สหรัฐในหมู่เกาะฮาวาย หมู่เกาะเวก เกาะกวมและฟิ ลิปปิ นส์

จกั รวรรดิญ่ีป่ ุนเริ่มนโยบายชาตินิยมโดยใชค้ าขวญั ที่วา่ "เอเชียเพื่อชาวเอเชีย" (Asia for
Asiatics) โดยเริ่มต้งั แตว่ นั ที่ ๓ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๓๘ ไดป้ ระกาศนโยบาย "การจดั ระเบียบใหมใ่ น
เอเชียตะวนั ออกและการสร้างวงไพบลู ยร์ ่วมแห่งมหาเอเชียบรู พา" ( New order in East Asia and the
Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) และใหค้ วามร่วมมือกบั ฝ่ายอกั ษะ โดยมีเป้าหมายยดึ ครอง
ประเทศจีนและประเทศในเอเชียอนั ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวนั ตก

สงครามสิ้นสุดลงดว้ ยการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ถลม่ ฮิโระชิมะและนะงะซะกิ และการทิง้ ระเบิด
ทางอากาศคร้ังใหญโ่ ดยกองทพั อากาศสหรัฐอเมริกา ประกอบกบั การรุกรานแมนจูเรียของสหภาพโซ
เวยี ต เมื่อวนั ที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘(ค.ศ. ๑๙๔๕) ส่งผลใหญ้ ี่ป่ นุ ยอมจานนและเป็นจุดสิ้นสุดของ
สงครามโลกคร้ังที่สองเมื่อวนั ที่ ๑๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๘ การยอมจานนอยา่ งเป็นทางการเกิดข้ึนบน
เรือรบยเู อสเอส มิสซูรี ท่ีทอดสมอในอา่ วโตเกียวเมื่อวนั ท่ี ๒ กนั ยายน พ.ศ.๒๔๘๘

ช่วงเวลาท่ีเกิดสงคราม ญี่ป่ นุ ใชป้ ระเทศไทยเป็นทางผา่ นเพื่อใหก้ องทพั เดินทางต่อไปยงั
ประเทศอ่ืนๆ ต่อไป เช่น พม่า เวียตนาม ลาว เพ่อื ปฏิบตั ิการสงครามต่อไป การเดินทางของ
กองทพั ทหารญ่ีป่ นุ แยกกนั ไปหลายเส้นทาง เสน้ ทางตา่ งๆ น้นั กองทพั ญี่ป่ นุ จะเป็นผบู้ กุ เบิกและ
ก่อสร้างท้งั หมด (หกั ร้างถางพง) เพอื่ ใชใ้ นการเคลื่อนยา้ ยกาลงั พลและอาวธุ ยทุ โธปกรณ์

สิ่งท่ีปรากฏเป็นหลงั ฐานที่เก่ียวขอ้ งเหตกุ ารณ์สงครามมหาเอเชียบูรพาในอาเภอชา้ งกลาง
ปัจจุบนั น้ี คือ “ถนนสายยทุ ธศาสตร์” เป็นเสน้ ทางคมนาคมสายหลกั อีกแห่งหน่ึงท่ีใชเ้ ดินทางจาก
อาเภอทงุ่ สงมายงั อาเภอชา้ งกลางและสามารถเดินทางตอ่ ไปพ้ืนที่อื่นๆ ไดห้ ลายสถานที่ โดยใช้
เสน้ ทางเก่า

ถนนสายน้ี ประชาชนทวั่ ไปท้งั ในพ้นื ท่ีและนอกพ้ืนที่ เรียกช่ือวา่ “ถนนสายยทุ ธศาสตร์”
ถูกสร้างข้นึ ในคราวมหาสงครามเอเชียบรู พา ปี ๒๔๘๘ ทหารญี่ป่ นุ ไดจ้ า้ งคนไทยและกุลีจีนจานวน
มากทาถนนสายน้ี จุดประสงคเ์ พอื่ ใชล้ าเลียงกาลงั พลทหารญ่ีป่ ุน และอาวุธยทุ โธปกรณ์จากทุ่งสงสู่
พ้นื ท่ีเป้าหมายต่อไปขา้ งหนา้ คอื จนั ดี ฉวาง เวยี งสระ และสุราษฎร์ธานี การดาเนินการสร้างใช้
แรงงานคนเป็นหลกั ในการสร้างท้งั สิ้นโดยไมใ่ ชเ้ ครื่องจกั รกล เครื่องมือมีแค่ จอบ เสียม เป็นหลกั
เร่ิมตน้ ที่ส่ีแยกบา้ นจนั ดี หมู่ท่ี ๓ ตาบลชา้ งกลาง ผา่ นบา้ นกุยเหนือ บา้ นทา้ ยเหมือง บา้ นคลองจงั
(น้าตกคลองจงั ) อาเภอนาบอน สิ้นสุดที่อาเภอทงุ่ สงในบา้ นสาโรง รวมระยะทาง ๒๒.๖๕๐
กิโลเมตร


Click to View FlipBook Version