๕๑
บคุ คลสาคญั ที่เป็นหวั หนา้ กลุ ีรับจา้ งทหารญี่ป่ ุนทาถนนสายยทุ ธศาสตร์ในช่วงผา่ นตาบลชา้ ง
กลาง คอื นายคลา้ ย ศิลารัตน์ ชาวบา้ นจนั ดี ไดเ้ ลา่ ใหฟ้ ังว่า ตนเองไดเ้ ป็นแกนนารวบรวมชาวบา้ น ที่มี
เคร่ืองมือประจาบา้ นดงั กล่าวมารับจา้ งญ่ีป่ นุ ทาถนนสายน้ีดว้ ยกาลงั แรงงานของคนท้งั สิ้น
ปัจจุบนั ถนนสายน้ีประชาชนใชส้ ญั จรไปมาอยา่ งสะดวกสบาย ไดร้ ับการปรับปรุงซ่อมแซม
สวยงาม อนั มีลกั ษณะของถนนยคุ ใหมท่ ี่ทนั สมยั และปลอดภยั ภายใตก้ ารกากบั ดูแลของส่วนราชการ
กรมทางหลงชนบท ใชช้ ื่อวา่ ทางหลวงชนบท รพช. สายบา้ นจนั ดี-บา้ นสาโรง นศ. ๔๐๑๔ แยกจาก
ทางหลวง หมายเลข ๔๐๑๕ ที่สี่แยกบา้ นจนั ดี
- ภัยธรรมชาตคิ ร้ังใหญ่ อาเภอชา้ งเคยประสบกบั ภยั น้าท่วมและวาตภยั หลายคร้ัง
แต่คร้ังท่ีรุนแรงและสร้างความเสียหายมากที่สุดคือมหาวาตภยั คร้ังใหญท่ ี่ถลม่ แหลมตะลุมพกุ เมื่อ
เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๕ ซ่ึงเป็นผลกระทบไปท้งั จงั หวดั นครศรีธรรมราช โดยเฉพาะที่อาเภอชา้ ง
กลางมีผลกระทบทกุ ดา้ นพอสรุปไดด้ งั น้ี
- บา้ นเรือนแทบทกุ หมู่บา้ น ตาบลถูกพายพุ ดั ทาลาย
- สวนยางพาราและสวนผลไมถ้ กู พายพุ ดั โคน่ หมด
- นาขา้ วทุกแห่งจมอยใู่ ตน้ ้า โดยเฉพาะท่ีทงุ่ เจียกกลายเป็นทะเลสาบเห็นแต่น้าจรดฟ้า
ผพู้ บเห็นเหตกุ ารณ์ คอื นายวรรณดี สรรพจิต ไดบ้ นั ทึกความทรงจาในคืนเกิดมหาวาตะภยั
คร้ังใหญ่ไวด้ งั น้ี
“- ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๕ วนั น้ีเกิดมหาพายใุ หญ่พดั ถล่มภาคใต้ ขา้ พเจา้ กาลงั พกั อยกู่ บั แมแ่ ละ
นอ้ ง ๆ ที่บา้ นเลขท่ี ๖๐ หมทู่ ี่ ๓ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง ซ่ึงเป็นช่วงมหาวิทยาลยั ปิ ดเทอม ได้
กลบั มาอยบู่ า้ น ในคนื กลางดึกวนั ท่ี ๒๕ ตุลาคม เกิดพายพุ ดั โหมกระหน่าตลอดท้งั คนื ก่อนหนา้ ท่ีจะมี
พายใุ หญ่ ฝนตกติดต่อกนั มาแลว้ ๓ วนั ๓ คนื และเป็นการตกหนกั ท่ีสุดเท่าที่ขา้ พเจา้ เคยพบเห็น
กระทงั่ ถึงคืนวนั ท่ี ๒๕ ตลุ าคม ๒๕๐๕ ฝนตกหนกั กลางดึก สาดเขา้ บา้ น เปี ยกโชกไปหมด ส่วนพ่อ
ไปติดฝนและพายอุ ยใู่ นเมืองนคร ลมพดั กระหน่าดงั โครมคราม จนแม่ตอ้ งยกมือพนมขอใหพ้ อ่ ท่าน
คลา้ ยคุม้ ครองป้องกนั พอเสียงลมดงั ตึงตงั มาทางทิศตะวนั ตก แม่กไ็ หวไ้ ปทางทิศตะวนั ตก พอดงั
โครมครามทางทิศตะวนั ออก แม่ก็หนั ออ้ นวอนไหวพ้ ่อท่านคลา้ ยไปทางทิศตะวนั ออก ลมพดั หนกั
พร้อมท้งั ฝนตกหนกั ตลอดคืนยนั รุ่ง ไม่ทนั สวา่ งไดย้ นิ เสียงอาจวงร้องเสียงดงั มาจากบา้ นของเขาวา่
“ฉิบหายหมดแลว้ บา้ นพงั น้าทว่ มหมดแลว้ ”
ขา้ พเจา้ รีบเปิ ดประตอู อกไป โอโ้ ห! น่ีมนั ทะเลชดั ๆ น้าท่วมหมด เงยข้นึ ไปหลงั คามีช่องโหว่
หลายแห่ง เพราะกระเบ้ืองลอนคปู่ ลิวไปกบั ลมหลายแผน่ หนา้ บา้ นน้าท่วมสูงเลยเขา่ หลงั บา้ นกท็ ่วม
บา้ นท่ีอยใู่ กลช้ ิดถูกลมพดั กระเบ้ืองปลิวไปเกือบหมด ส่วนบา้ นท่ีมงุ จากไม่มีหลงั คาเหลือเลย
พอสวา่ งดี นึกข้นึ ไดว้ า่ สวนยางพาราท่ีอยหู่ ่างออกไป ๓ กม.ตอ้ งถูกพายพุ ดั หกั โคน่ ดว้ ย
ขา้ พเจา้ ไดอ้ อกไปดู ปรากฎวา่ ตอ้ งปี นป่ ายตน้ ไมท้ ี่โค่นลม้ ขวางถนนไปทว่ั ท้งั สาย พอเดินผา่ นทา้ ยทุ่ง
๕๒
เจียก ก็พบกบั ส่ิงท่ีไม่เคยเห็นมาก่อน นน่ั คือท่งุ เจียกกลายเป็นทะเลสาบกวา้ งใหญไ่ พศาล เห็นแต่น้า
จรดฟ้าไกลลิบๆ เมื่อเดินไปถึงสวนก็จาไม่ไดว้ า่ สวนยางพาราของเราอยตู่ รงไหน เพราะกลายเป็น
พ้นื ที่ตน้ ไมล้ ม้ ระเนนระนาดไปทวั่ ท้งั ตน้ เลก็ ตน้ ใหญ่ขนาดคนโอบกห็ กั โค่นไมเ่ หลือ
คร้ันเลาะลดั ตดั เดินมาถึงสวนยางท่ีเคยกรีดเล้ียงชีพตอนเรียนหนงั สือ ก็พบกบั ความโล่งราบ
พนาสูรไปท้งั ๒๕ ไร่ มนั ถูกพายใุ หญเ่ ม่ือคืนพดั หกั โค่นลงไมม่ ีเหลือ น่ีคือหายนะของชาวปักษใ์ ต้
โดยเฉพาะตวั เราท่ีตอ้ งอาศยั ยางพาราในการเรียนหนงั สือ”
- อทุ กภยั คร้ังใหญ่ เมื่อวนั ที่ ๕ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๘ ไดเ้ กิดอุทกภยั คร้ังใหญ่ มี
ผลกระทบไปทว่ั พ้นื ที่อาเภอชา้ งกลาง แต่ที่เสียหายมากที่สุดท้งั ชีวติ ทรัพยส์ ิน จากการใหค้ า
สัมภาษณ์ของนายเหวยี ง ละลา ไดแ้ ก่
- ที่หมู่ ๑ บา้ นนา ตาบลชา้ งกลาง มีผลู้ ม้ ตาย ๑๒ คน บา้ นของนายอดั โชติ ถกู น้าพดั พาไปท้งั
หลงั ผคู้ นท่ีนอนบนบา้ นในยามค่าคืนกส็ ูญหายไปดว้ ยกนั พบเพียงศพเดียว คือศพนางต้ึง โชติ ผูเ้ ป็น
ภรรยานายอดั ถูกน้าพดั พาจากบา้ นไปไกลถึง ๒ กิโลเมตร
- หมู่ที่ ๒ บา้ นคลองงา คนงานกรีดยางของนายรัตน์ อาลอย ไดส้ ูญหายไป
ผลของการเกิดอุทกภยั ใหญค่ ร้ังน้ีก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงทางภมู ิศาสตร์กายภาพสาคญั ใน
พ้นื ที่หมู่ ๑ ตาบลชา้ งกลาง ดงั น้ี
- ท่ีบา้ นท่งุ ใสใหญ่ เดิมมีลาหว้ ยเลก็ ๆ ไหลผา่ นบา้ นนายอดั โชติ หลงั จากอุทกภยั ไดพ้ ดั พา
เอาบา้ นไปหมดแลว้ ก็เกิดลาคลองใหญ่ข้นึ มาแทน ไหลไปรวมกบั คลองที่มีตน้ น้าเกิดจากภเู ขาลา้ น
เขาเหมน ไหลตอ่ ไปรวมกนั เป็นคลองจนั ดีดงั ที่เป็นอยใู่ นปัจจุบนั
- ท่ีบา้ นทา่ แพ เดิมมีคลองท่าแพแห่งเดียวไหลผา่ นรีสอร์ทของนายกิตติ เจริญพาณิชย์ อดีตใน
สมยั รัชกาลท่ี ๖ เม่ือคร้ังเจา้ ฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศร์ไดเ้ สด็จผา่ น คลองน้ีกวา้ งและมีน้าลึก ไหล
ผา่ นป่ าทึบ กระทงั่ ปัจจุบนั ป่ าถูกหกั ลา้ งถางโค่น จนทาใหเ้ หลือเพียงคลองเลก็ ๆ คร้ันเมื่อเกิดอทุ กภยั
ใหญ่ในวนั ท่ี ๕ มกราคม ๒๕๑๘ ทาใหเ้ กิดคลองทา่ แพใหม่ข้นึ อีก ๑ คลอง ห่างออกไปทางทิศ
ตะวนั ออกของคลองทา่ แพเดิม ๒๐๐ เมตร
- คลองสงั เกียด หลงั จากเกิดอทุ กภยั ใหญ่เม่ือ ๕ มกราคม ๒๕๑๘ ไดเ้ ปล่ียนทิศทางการไหล
จากเดิมทางทิศตะวนั ออก ห่างออกมาทิศตะวนั ตก ประมาณ ๑๐๐ เมตร ชาวบา้ นในทอ้ งถิ่นเรียกคลอง
น้ีวา่ คลอง “อม” อนั เป็นช่ือถ้าตน้ กาเนิดน้า
- อุทกภยั เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๓๑ การเกิดอุกทกภยั คร้ังน้ีแมว้ า่ มีผเู้ สียชีวิต
เพียง ๑ คน คือนายบญุ ฤทธ์ิ บญุ เก้ือ แต่ก่อใหเ้ กิดความเสียหายทางทรัพยส์ ินมากที่สุด โดยเฉพาะการ
สูญเสียทางเศรษฐกิจมากกวา่ ปี พ.ศ.๒๕๑๘
- เหตุการณ์การก่อการร้าย ระหวา่ งช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึง ๒๕๒๖ เกิดก่อการร้าย
ของคอมมิวนิสต์ เขา้ มาเผยแพร่ความคดิ และชกั จูงชาวบา้ นตามหมบู่ า้ นท่ีอยตู่ ิดเชิงเขาเหมน เขาหลวง
๕๓
และเขาธง มี บา้ นนา ควนสา้ น บา้ นจอมทอง บา้ นทา้ ยเหมืองใหเ้ ขา้ ร่วมกบั ขบวนการ แต่ราษฏรใน
พ้ืนที่ไม่มีใครเขา้ ร่วมขบวนการ บางคร้ังเม่ือทราบข่าววา่ พวกคอมมิวนิสตย์ กกาลงั บกุ เขา้ มาใน
หมูบ่ า้ น พวกราษฎรเคยหนีภยั ไปอยใู่ นตลาดนาบอนและตลาดจนั ดีกนั บ่อยคร้ัง
ถึงกระน้นั ในบา้ นทา้ ยเหมืองหมู่ท่ี๑๓ มีการสูญเสียชีวติ ของราษฏรในพ้นื ท่ีเนื่องจากภยั
คอมมิวนิสต์ จานวน ๑ คน คอื นายวฒุ สาร รัตนบุรี หลงั จากน้นั ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๐
ทางตารวจตระเวนชายแดนที่ ๔๒ คา่ ยศรีนครินทรา นาโดย พ.ต.ท.พยอม ทิพยม์ ณี โดยการ
ประสานงานของ พลฯ สุวทิ ย์ นนทสิทธ์ิ ซ่ึงขณะน้นั รับราชการเป็นตารวจตระเวนชายแดนที่ ๔๒ เขา้
มาเป็นหน่วยตารวจเคล่ือนท่ีมวลชนสมั พนั ธ์ ร่วมกนั สร้างหมูบ่ า้ นทา้ ยเหมือง ทาร้ัวหมู่บา้ น ข้ึนป้าย
หมู่บา้ นทุกครัวเรือน และจดั อบรมชาวบา้ นหลกั สูตรมวลชนสมั พนั ธ์ และไดเ้ ลือกนายเปรย รัตนบุรี
เป็นผนู้ าชุมชนไดก้ ่อสร้างศาลาหมู่บา้ นข้ึนในท่ีดินของนายถาวร นนทสิทธ์ิ ซ่ึงไดบ้ ริจาคจานวน ๑ ไร่
เศษ ก่อสร้างในปี ๒๕๓๐ เสร็จในปี ๒๕๓๑
บา้ นทา้ ยเหมืองปัจจุบนั อยใู่ นหมู่ที่ ๑๓ ตาบลชา้ งกลาง ซ่ึงแยกออกมาจากหมู่ ๑๒ บา้ นหนา้
เขาเหมน(สาหรับบา้ นหนา้ เขาเหมนเดิมรวมอยใู่ นหมู่ ๙ บา้ นคลองกยุ เหนือ ซ่ึงในช้นั แรกบา้ นคลอง
กยุ เหนือแยกมาจากหมู่ ๘ บา้ นคลองกุย ในช่วงท่ีนายหอ้ ง บณุ ยเกียรติเป็นผใู้ หญบ่ า้ นเม่ือปี ๒๕๓๓)
ในอดีตบา้ นทา้ ยเหมืองเคยเป็นที่ทาเหมืองแร่ของอ้ึงคา่ ยทา่ ย จึงไดช้ ่ือวา่ บา้ นทา้ ยเหมืองต้งั แตบ่ ดั น้นั
เป็นตน้ มา
๕๔
บทท่ี ๓. ช่ือบ้าน นามเมือง
ดว้ ยเหตุที่อาเภอชา้ งกลางเป็นแผน่ ดินท่ีมีประวตั ิศาสตร์ยาวนานมากดงั กล่าวแลว้ จึงมี
โบราณสถานที่หลายแห่ง ซ่ึงบดั น้ียงั มีร่องรอยเหลือให้เห็น จะกล่าวเฉพาะที่สาคญั ดงั น้ี
๓.๑ ควนพลอง... ถิ่นกาเนิดไมแ้ ดง และท่ีอยขู่ องโขลงชา้ งป่ า
ควนพลอง ในอดีตอุดมสมบรู ณ์ดว้ ยไมแ้ ดง ปัจจุบนั ที่นี่ถา้ มาจากวดั ธาตนุ อ้ ย ทางซา้ ยมือ
เป็นที่ต้งั ท่ีวา่ การอาเภอ และสถานีตารวจภธู รชา้ งกลาง ทางขวามือเป็นท่ีต้งั โรงพยาบาลพ่อท่านคลา้ ย
และวิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช
ยอ้ นหลงั ไปต้งั แต่ปี ๒๕๑๐ เคยเป็นป่ าสงวนแห่งชาติตามประกาศของกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ ฉบบั ที่ ๒๔๖ พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เลม่ ที่ ๘๔ ตอน ๑๖๖ ลงวนั ท่ี
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๑๐ มีเน้ือท่ีรวมกนั จานวน ๑,๘๗๐ ไร่ เดิมเป็นป่ าไมแ้ ดง และทรัพยากรอ่ืน
มากมาย ตอ่ มาถูกบุกรุกลอบตดั โค่นไม้ ประกอบดว้ ยถกู วาตภยั เมื่อ ๒๕ ตลุ าคม ๒๕๐๕ ตน้ ไมท้ ่ี
ยงั เหลือโค่นลม้ ไปบา้ ง ถูกสวมรอยตดั โค่นโดยนายทุนทาไมบ้ า้ ง สภาพป่ าสงวนควนพลองจึงไม่
เหลือทรัพยากรป่ าไมเ้ ลยแมแ้ ต่ตน้ เดียว อดีตเป็นป่ าดิบช้ืนเบญจพรรณ เฉพาะไมแ้ ดงมีมากท่ีสุด
ซ่ึงมีต้งั แตข่ นาดเลก็ จนถึงใหญ่ขนาด ๒ – ๓ โอบ เบียดเสียดเยยี ดยดั กนั ข้ึน สลดั กิ่งล่างตายไปจนสูง
ชะลูดดูเหมือนไมพ้ ลองตะบองยกั ษ์
ไมแ้ ดง จดั เป็นไมย้ นื ตน้ ผลดั ใบขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของตน้ ไดถ้ ึง ๒๕ เมตร
และบางคร้ังอาจสูงไดถ้ ึง ๓๐-๓๗ เมตร ลาตน้ แดงคอ่ นขา้ งเปลาตรงหรือเป็นป่ มุ ปม ลกั ษณะของตน้
เป็นทรงเรือนยอดรูปทรงกลมหรือเกง้ กา้ งไม่ค่อยแน่นอน มีสีเขียวอมแดง เปลือกตน้ เรียบสีเทาอมแดง
๕๕
มีตกสะเกด็ ออกเป็นแผน่ กลมบาง ๆ รอบลาตน้ และเมื่อสับเปลือกทิง้ ไวจ้ ะไดช้ นั ท่ีมีสีแดง ส่วนยอด
อ่อนมีขนสีเหลืองปกคลมุ อยู่
ในป่ าควนพลองมีสตั วน์ านาชนิด โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เป็นท่ีอยขู่ องโขลงชา้ งป่ าจานวนมากมาย
รวมท้งั เสือ อีเกง้ กวาง ชะนี ฯลฯ ต่อมาอิทธิพลเขา้ ครอบงา ไมส้ าคญั ถกู ตดั ไปหมดจนกลายเป็นทุ่ง
หญา้ คา แรกเร่ิมเดิมทีมีเส้นทางเดินจากสถานีคลองจนั ดี ผา่ นควนพลองมาท่ีนาวา ไปคลองงา บา้ นนา
และเขาธง เพอ่ื ไปลานสกา เขา้ ตวั เมืองนครศรีธรรมราช ต่อมาทางเดินน้ีไดก้ ลายเป็นเส้นทางรถยนต์
ขนไมซ้ ุงของโรงเลื่อยจกั รจนั ดีจากหนา้ เขาเหมน ในฤดูแลง้ จึงเป็นถนนฝ่ นุ ถึงฤดูฝนเป็นถนนโคลน
ตม แต่ถึงกระน้นั ก็ยงั เป็นเส้นทางสาคญั ที่นกั เรียนใชส้ ัญจรจากนาวา บา้ นจนั ดี ไปเรียนหนงั สือท่ี
โรงเรียนพ่งึ ตนเอง ใกลส้ ถานีรถไฟคลองจนั ดี
ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งของทางราชการไดเ้ ขา้ จดั การแบ่งเขตพ้ืนท่ีเพื่อปลูก
ป่ าทดแทน แต่ไม่สาเร็จ เพราะพ้นื ท่ีป่ าสงวนควนพลองถูกบกุ รุกจนตอ้ งแบ่งใหค้ นจนรายละ ๕ ไร่
แต่กไ็ มไ่ ดผ้ ล เพราะคนรวยเขา้ กวา้ นซ้ือแปรสภาพเป็นสวนยางในปัจจุบนั ประมาณ ๑,๗๘๕ ไร่
มาท่ีควนพลองตอ้ งมองให้เห็นอดีต จึงจะเห็นชา้ งกลาง ถา้ เห็นแต่ท่ีวา่ การอาเภอ สถานี
ตารวจ วทิ ยาลยั เกษตร ก็มองเห็นแต่ตึกไม่ลึกถึงธรรมชาติป่ า อดีตตรงน้ีเคยเป็นท่ีอาศยั ของชา้ งป่ า
นบั เป็นสิบๆ โขลง โยงไปถึงหลกั ชา้ ง คลองกยุ ไปจรดทุ่งใหญ่ทางทิศตะวนั ตก ส่วนทางทิศ
ตะวนั ออกต้งั แตน่ าวา บา้ นจนั ดี คลองงา ตลอดไปถึงเชิงเขาเหมน เขาธง เขาหลวง อาณาจกั รชา้ งและ
ป่ ากวา้ งใหญไ่ พศาลมีชา้ งนบั ร้อย ๆ เชือก กระทง่ั ในปัจจุบนั น้ี(พ.ศ.๒๕๖๐) มีชา้ งเหลือข้ึนทะเบียน
ในอาเภอชา้ งกลางเพียง ๑ เชือกเทา่ น้นั แต่ปรากฏวา่ มีรูปป้ันชา้ งจาลองมากเพม่ิ ข้ึนเรื่อย ๆ อยา่ งนอ้ ยท่ี
ควนพลองนี่ก็ ๒ เชือก ท่ีนาวา ๔ เชือก และที่อื่นๆ อีกมากมาย
ในสมยั ตอ่ มา แมว้ า่ ป่ าควนพลองจะถกู บุกรุกสร้างสวน สร้างบา้ นเรือน ถูกนายทุนกวา้ นซ้ือ
จนไม่มีสภาพป่ าหลงเหลืออยแู่ ลว้ ก็ตาม แต่ก็มีบคุ คลคณะหน่ึงซ่ึงนาโดยนายจวง สันตจิต มองเห็น
ประโยชน์พ้นื ท่ีป่ าสงวนแห่งน้ีวา่ เป็นท่ีสาธารณะ เมื่อไม่สามารถใหเ้ ป็นป่ าต่อไปไดแ้ ลว้ ก็สมควรที่
ประชาชนคนรุ่นหลงั ไดใ้ ชร้ ่วมกนั อนั เป็นประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม จึงไดร้ วมกลมุ่ กนั ยนื่ เรื่องไป
ยงั ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั ขอเปิ ดพ้นื ที่ป่ าสงวนควนพลองเป็นท่ีต้งั วทิ ยาลยั เกษตรกรรมนครศรีธรรม และ
รณรงคข์ บั ไล่บคุ คลท่ีต้งั บา้ นเรือนอยใู่ นพ้ืนท่ีฝ่ังตรงขา้ มของถนนเพื่อใหเ้ ป็นที่ต้งั ท่ีวา่ การอาเภอชา้ ง
กลางและสถานีตารวจภูธรชา้ งกลาง ซ่ึงกเ็ ป็นผลสาเร็จและไดส้ ร้างสถานที่ดงั กลา่ วมาตามลาดบั ถึง
กระน้นั นายจวง สนั ตจิต ผนู้ ารณรงคเ์ รื่องน้ีก็ถกู หมายปองจอ้ งฆา่ (บนั ทึกของนายจวงเร่ืองประวตั ิชา้ ง
กลาง เม่ือ ๒๕๔๐ ขณะอายุ ๘๐ ปี ) แต่ท่ีรอดมาไดเ้ พราะมือปื นรับจา้ งไม่รู้จกั ตวั นายจวงฯ ไดไ้ ปถาม
นายเวียน สนั ตจิต ซ่ึงเป็นผใู้ หญ่บา้ นหมู่ ๒ และนายเวยี นกเ็ ป็นนอ้ งของนายจวงฯ ดว้ ย จึงไดป้ ลอด
รอดตวั มาจนถึงปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๐ อายุ ๑๐๑ ปี )
๕๖
ออกจากควนพลองมาสองกิโลเมตรก็เขา้ เขตนาวา ปัจจุบนั เป็นที่ต้งั โรงเรียนชุมชนบา้ นนาวา
และวดั เทพกุญชร แถวน้ีช่ืออะไรๆ ท่ีต้งั ข้ึนกไ็ ม่พน้ ชา้ ง แมแ้ ต่อดีตกานนั ก็ชื่อ “หมื่นคชเขต
มชั ฌิมานุการ(ปาน ไพรสณฑ)์ ซ่ึงแปลวา่ หม่ืนชา้ งกลาง
๓.๒ นาวา.....พ้ืนที่เขตเมืองเก่าของนางพญาเลือดขาว
คาวา่ “นาวา” ในแผนท่ีทหาร เขียนวา่ “นาหวา้ ” คงไมใ่ ช่เพราะมีตน้ หวา้ ชื่อน้ีคงเรียกตาม
สาเนียงปักษใ์ ตท้ ่ีคนภาคกลางฟัง “วา” เป็น “หวา้ ” จึงเขียนในแผนท่ีวา่ “นาหวา้ ” คาวา่ นาวา ก็
ไม่ไดแ้ ปลวา่ “เรือ” ท่ีไดช้ ่ือวา่ “นาวา” นายจวง สันตจิต บนั ทึกไวว้ า่ เพราะที่นี่เดิมทีมีไม้ “วา” ข้ึนอยู่
จานวนมาก ชุมชนร่วมกนั ทานาท่ีดงไม้ “วา” จึงไดช้ ื่อวา่ นาวา ตน้ วาเป็นไมป้ ่ าพนั ธุ์พ้ืนเมือง มีลาตน้
ใบและผลคลา้ ยมงั คดุ ผลของมนั รับประทานได้ มีรสหวานเฝื่ อนฝาด แตถ่ า้ กินเขา้ ไปมากๆ จะทาให้
เกิดอาการคล่ืนเหียน ปัจจุบนั ไม่มีเหลือใหเ้ ห็น
ในส่วนนกั วชิ าการประวตั ิศาสตร์ก็วา่ ช่ือน้ีถกู เรียกเพ้ียนมาจากคาวา่ “นาเสเทวา” เพราะบา้ น
นาวาเดิมมีลาคลองคดเค้ียวไหลผา่ น มีการทานาตามริมฝ่ังคลองท่ีคดเค้ยี ว เรียกวา่ “นาเส” ประกอบ
กบั การทานาของคนสมยั ก่อนมีการบชู าเทวดาดว้ ย เรียกวา่ “นาเสเทวา” ตอ่ มาเรียกเพ้ียนเป็น “นาวา”
ใครจะเชื่อตามน้ีกไ็ ม่มีใครหา้ ม เพราะต่างกม็ ีเหตุผลดว้ ยกนั แต่จริง ๆ แลว้ ช่ือบา้ น-นามเมืองในชา้ ง
กลางส่วนใหญ่ท่ีมาของชื่อเรียกกนั ตามธรรมชาติท่ีเป็นไปอยใู่ นขณะน้นั เช่นคลองสังเกียด เหตทุ ี่ช่ือน้ี
ก็เพราะมีไมส้ งั เกียดข้ึนอยสู่ องฝากฝั่งคลองเตม็ ไปหมด
พ้ืนที่ตรงที่เรียกวา่ “นาวา” น้ีมีประวตั ิสาคญั โดยเฉพาะท่ีหมู่ ๕ เด๋ียวน้ีเรียกวา่ “บา้ นด่านไผ่
งา” นกั โบราณคดีและนกั ประวตั ิศาสตร์เชื่อวา่ ที่นี่เคยเป็นเมืองของนางพญาเลือดขาว ซ่ึงต้งั เป็นเมือง
เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘(ราว พ.ศ. ๑๗๘๐) ที่เช่ือเช่นน้นั เพราะมีหลกั ฐานพิสูจน์กนั ไดด้ งั น้ี
- ยงั มีร่องรอยคูเมืองให้เห็นในปัจจุบนั
๕๗
-ในคเู มืองยงั มีร่องรอยตอไม้ ซ่ึงนกั วจิ ยั จากกรมป่ าไมเ้ ขา้ พสิ ูจน์เมื่อวนั ที่ ๘
กรกฎาคม ๒๕๓๑ พบวา่ มีเสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางยาวถึง ๔.๒๐ เมตร งอกข้ึนมาหลงั จากเมืองร้าง มีอายุ
ประมาณ ๗๐๐ ปี และถกู ตดั โค่นในช่วงเมื่อประมาณ ๘๐ ปี ที่ผา่ นมา
- ในบริเวณน้ียงั มีแผ่นอิฐโบราณ แตล่ ะกอ้ นขนาดใหญ่ ยงั คงมีใหเ้ ห็นอยู่
- เม่ือ ๒๒ มิถนุ ายน ๒๕๓๒ คณุ ประภา ศรีทิพย์ ไดข้ ดุ พบกระดูกในบ่อลึก ๒
เมตร พวกชาวบา้ นเขา้ ใจวา่ เป็นกระดูกของนางพญาเลือดขาวผตู้ ้งั เมือง จึงพากนั ทาบญุ บงั สุกลุ
กระดูกอุทิศส่วนกุศล และทาการฌาปนกิจไปหมดแลว้ ท่ีวดั หลกั ชา้ ง(เสียดายที่ไมม่ ีหลกั ฐานเหลือให้
พสิ ูจน)์
- นายจวง สันตจิต(พ.ศ.๒๕๖๐ยงั มีชีวติ อยู่ อายุ ๑๐๑ ปี แลว้ ) ไดพ้ บกระบ่ีโบราณ
ทาดว้ ยทองสัมฤทธ์ิในท่ีพบกระดูก ไดม้ อบใหก้ รมศิลปากร เป็นสมบตั ิของชาติไปแลว้
- นายนอ้ ม อุปรมยั อดีต ส.ส. นครศรีธรรมราช ไดค้ น้ ควา้ หาขอ้ มลู และไดเ้ ขยี น
เรื่องเมืองเก่าท่ีหมู่ ๕ นาวา ของชา้ งกลางวา่ เป็นเมืองที่นางพญาเลือดขาวสร้างข้ึน แตต่ อ่ มาร้างไป
เพราะน้าจนั ดีที่เคยไหลออกท่งุ เจียก เขา้ คลองมิน ไดเ้ ปล่ียนทิศทางไหลผา่ เขา้ เมืองของนางพญาเลือด
ขาว เมืองจึงร้าง
- ใกลเ้ ขตเมืองเก่า มีวดั เก่าแก่ท่ีเชื่อกนั วา่ เป็นวดั นางพญาเลือดขาวสร้าง ชาวบา้ น
เรียกกนั วา่ วดั เก่า แตช่ ่ือจริงคอื วดั นายอด เพราะเดิมอยู่ในบญั ชีวดั เก่าของกรมศาสนา แต่ต่อมาก็ได้
จาหน่ายออกจากสารบบทะเบียนไปแลว้ นายคลา้ ย ศลิ ารัตน์เล่าใหฟ้ ังวา่ ที่ตรงน้ีเคยเป็นสานกั สงฆ์
เรียกวา่ โคกทาเนียบ ซ่ึงหมายถึงทาเนียบนางพญา นายคลา้ ยไดเ้ รียนช้นั ประถมกบั สานกั สงฆท์ ่ีน่ีจน
จบช้นั ป.๓ เดี๋ยวน้ีไม่มีร่องรอยเหลือใหเ้ ห็น เพราะคลองจนั ดีเปลี่ยนทิศทางเดินตลอดมา แตเ่ ม่ือ
ประมาณ ๕๐ ปี ท่ีผา่ นมา พวกหาปลา (นายพชิ ยั สันตจิต) ขดุ ท่ีปักเบด็ ริมฝ่ังคลอง ไดพ้ บหวั กะโหลก
มนุษยโ์ ผล่จากริมตล่ิงซ่ึงลึกจากผวิ ดิน ๓ เมตร (ตรงน้ีน่าเชื่อวา่ เป็นป่ าชา้ ของวดั นายอด......ผเู้ ขียน)
ส่วนที่ดินซ่ึงเป็นโคกทาเนียบเดิม ปัจจุบนั ยงั เป็นเขตธรณีสงฆ์ ๒๔ ไร่ อยใู่ นความดูแลของสานกั
พระพทุ ธศาสนานครศรีธรรมราช มีผเู้ ช่าอาศยั รับช่วงในฐานะทายาทสืบตอ่ ๆ กนั มา คร้ังหลงั สุด
พ.ศ.๒๕๕๘ มีผเู้ ช่า ๔ ราย คือ นายเลก็ ศรแผลง นางพวงเพญ็ ทองแกว้ นายสุวทิ ย์ ทองแกว้ และ
นางองั คณา เดชรักษา
นางพญาเลือดขาวน้ี มีเร่ืองเล่าตอ่ ๆ กนั มาวา่ เป็นแม่เจา้ อยหู่ วั อาณาจกั รสะทิงพระ(พทั ลุง)
ไดม้ าสร้างเมืองที่หมู่ ๕ นาวา พร้อม ๆ กบั การสร้างวดั พอร้างเมืองที่นี่ ก็ไปอยู่กบั พระเจา้ จนั ทร
ภาณุศรีธรรมาโศกราช(องคท์ ่ี ๓ ) อยทู่ ี่ไหนก็สร้างวดั ที่นน่ั ในเมืองนครกไ็ ดส้ ร้างวดั ทา้ วโคตร พระ
เจา้ จนั ทรภาณุไดม้ อบหมายใหเ้ ป็นทูตไปเชิญพระพทุ ธสิหิงคจ์ ากลงั กา(พระพทุ ธสิหิงคอ์ งคน์ ้ีปัจจุบนั
อยทู่ ่ีพิพิธภณั ฑส์ ถานแห่งชาติ กรุงเทพฯ) และภายหลงั พระร่วงเจา้ ชื่อเป็นขอมวา่ กมรเตง็ อญั ศรี
อินทราทิตย์ ไดข้ อไปเป็นพระสนมเม่ือคราวเสด็จมานครศรีธรรมราช
๕๘
เม่ือดูตามประวตั ิในงานวิจยั ของคณะวิจยั ตาบลเจา้ แม่อยหู่ วั อาเภอเชียรใหญ่ ซ่ึงนาโดยคุณ
ชะลอ เอี่ยมสุทธ์ิ แลว้ สรุปไดว้ า่ นางพญาเลือดขาวในตาบลชา้ งกลางเป็นคนเดียวกนั กบั พระนางเลือด
ขาวที่อาเภอเชียรใหญ่ ดว้ ยมีประวตั ิตรงกนั ดงั น้ี
- บา้ นบิดาอยทู่ ่ีพทั ลงุ
- ไดเ้ ป็นมเหสีของพระเจา้ จนั ทรภาณุ แห่งนครศรีธรรมราช
- ช่วงการเกิดและการตายสอดคลอ้ งกนั คือระหวา่ งปี พ.ศ.๑๗๔๔ – ๑๘๑๔ อายุ ๗๐
ปี
- ไดเ้ คยไปอยกู่ รุงสุโขทยั
- ไดไ้ ปอยเู่ มืองทะรัง (เมืองตรัง)
- อยทู่ ่ีไหนสร้างวดั ท่ีนน่ั แถมสร้างเมืองดว้ ย
เม่ือกลางปี ๒๕๕๘ ไดม้ ีคณะวิจยั จากมหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ประกอบดว้ ยอาจารยห์ ัวหนา้
ภาควิชาประวตั ิศาสตร์ไดเ้ ขา้ สารวจร่องรอยคูเมืองนางพญาเลือดขาว หาขอ้ มลู ตามแนวกาแพงเมือง
เก่า ตลอดถึงกอ้ นอิฐท่ีใชท้ ากาแพง ในการน้ีไดจ้ ดั ประชุมเสวนาผูร้ ู้ ผูเ้ กี่ยวขอ้ ง ตลอดถึงกานนั
ผใู้ หญบ่ า้ น นาช้ีสถานท่ีเกี่ยวขอ้ ง เพอื่ ประมวลทาเป็ นประวตั ิศาสตร์เมืองนางพญาเลือดขาวตอ่ ไป
เพราะฉะน้นั เมืองนางพญาเลือดขาวที่หมู่ ๕ ท่ีบา้ นด่านไผง่ าติดกบั นาวา จึงไมใ่ ช่เรื่องตานาน หรือ
นิยาย แตเ่ ป็นเรื่องท่ีมีหลกั ฐานยนื ยนั หลายดา้ น และจกั อยูใ่ นสาระบบประวตั ิศาสตร์ชา้ งกลางต่อ
ภาพอิฐโบราณท่ีพบในคูกาแพงเมือง และที่ฝ่ังหม้อใส่กระดูกหมู่ ๕ บ้านด่านไผ่งา
๕๙
รูปป้ันนางพญาเลอื ดขาวทเ่ี ชียรใหญ่
;
๓.๓ ทุ่งเจียก.....แหล่งเกดิ อารยธรรมท้องถน่ิ
ท่งุ เจียก อยใู่ นเขตหมู่ ๓ บา้ นจนั ดี เดิมเป็นทุง่ ที่กวา้ งใหญ่ไพศาลมาก คนท่ีมีอายุ ๘๐ปี ข้ึนไป
ลว้ นแต่เล่าใหฟ้ ังวา่ เป็นทงุ่ กวา้ งสุดลกู หูลกู ตา ที่นี่นอกจากเป็นที่ทานาของคนในหมู่ ๒ หมู่ ๓ หมู่ ๔
และหมู่ ๕ ในตาบลชา้ งกลางแลว้ ยงั ถือวา่ เป็นแหลง่ เกิดอารยธรรมหลากหลายดา้ นอกั ษรศาสตร์และ
ขนบธรรมเนียมประเพณีดว้ ย เม่ือวนั ท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๐๕ ไดเ้ กิดพายุใหญเ่ ป็นมหาวาตภยั ถล่ม
แหลมตะลมุ พุก ในวนั น้นั ทุ่งเจียกไดก้ ลายเป็นทะเลสาบ มีแตน่ ้าจรดขอบป่ าสุดสายตามอง
ที่เรียกชื่อวา่ ทุ่งเจียก เพราะมีไมล้ าเจียกข้ึนอยจู่ านวนมาก เป็นเครือญาติกบั ตน้ เตยหนาม แต่
ลาตน้ จะคลา้ ยกบั ไมย้ นื ตน้ แตกใบที่ปลายยอด ที่พิเศษคือ ถา้ ตน้ โตเตม็ ที่จะมีรากแตกจากลาตน้ แทง
ปลายลงดินเพ่ือช่วยค้ายนั ตน้ ไมไ้ ม่ใหโ้ คน่ ลงมา ตน้ ลาเจียกจดั เป็นไมย้ นื ตน้ ขนาดเลก็ ลกั ษณะเป็น
ทรงพุ่ม มีความสูงของตน้ ประมาณ ๕ – ๖ เมตร ลาตน้ มีขนาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางประมาณ ๘ – ๒๐
เซนติเมตร โคนตน้ มีรากอากาศช่วยค้าจุนลาตน้ ลาตน้ มีลกั ษณะกลมเป็นสีขาวหรือสีน้าตาลอ่อน ๆ มี
๖๐
หนามแหลมส้ันกระจายอยทู่ วั่ ไป ชอบข้ึนในท่ีช้ืนดินเหนียวหรือดินร่วนซุย ทุ่งเจียกจึงเป็นแหลง่ ชุก
ชุมของไมล้ าเจียกมาแตด่ ้งั เดิม
ตน้ ลาเจียก
ฉะน้นั ทงุ่ เจียก จึงไมใ่ ช่ “ทุ่งเจ๊ียะ” อยา่ งท่ีนกั วชิ าการทางประวตั ิศาสตร์บางคนเขียน เพราะ
เจี๊ยะแปลวา่ กินไม่เก่ียวขอ้ งกนั ทุง่ เจียกเดิมเป็นท่ีรับน้าจากคลองจนั ดีท่ีไหลลอดอุโมงคห์ นา้ วดั
มะนาวหวาน ซ่ึงเป็นอโุ มงคล์ าวาที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ (เด๋ียวน้ีไมม่ ีอโุ มงคเ์ พราะตีบตนั ไป
นานแลว้ ) ลาน้าจากเขาเหมน ไหลออกทงุ่ เจียกตรงที่เกาะสาคู นาของนางนุ่น มณีลาภ ผา่ นนาวา แลว้
ไหลต่อออกทุ่งปอน ไปโคกทือ เขา้ คลองมิน สู่แมน่ ้าตาปี สายน้าท่ีวา่ มาน้ี ปัจจุบนั ไมม่ ีใหเ้ ห็นแลว้
มีแต่ร่องรอยตอนไหลผา่ นนาวาในหมู่ ๗ หากขุดลงไปพบแต่ทรายลึกถึง ๗ – ๘ เมตร ยาวตลอดแนว
ทงุ่ เจียกในอดีต ส่วนที่สูงเป็นเนินก็เรียกโคก เช่น
-โคกปาบ เพราะมีตน้ ปาบข้ึนอยมู่ าก (ตน้ ปาบเป็นไมป้ ่ า มีลกู ตน้ และใบเหมือน
มะม่วง แตม่ ีผลแบน มีรสเปร้ียวมาก รับประทานได้ ชาวบา้ นนามาใส่แกงเหลืองแทนมะนาว
ปัจจุบนั สูญพนั ธุไ์ ปแลว้ ) บริเวณโคกปาบน้ีถือวา่ สาคญั เพราะ
๑. เคยเป็นที่ต้งั ที่วา่ การอาเภอไชยศรศิลป์ ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ ในบทวา่ ดว้ ยการกาเนิดชา้ ง
กลาง นายดา พรหมทอง(เสียชีวิตแลว้ ) เลา่ ใหฟ้ ังวา่ ที่โคกปาบน้ีเดิมเป็นลานกรวดจากริมป่ าลาดลง
ไปสู่ทงุ่ เจียกดา้ นตะวนั ออก มีเขตกวา้ งมาก
๒. เคยเป็นท่ีจดั งานลากพระบกเป็นคร้ังแรกนาโดยนายเงิน สุริโย จดั เป็นงานแห่
ลากพระทางบกจากโคกปาบ – ไปวดั มะนาวหวาน โดยมีชาวบา้ นทกุ รุ่นมาร่วม ในงานมีมหรสพเลน่
๖๑
หนงั ตะลงุ มโนราห์ และแลกเปล่ียนสินคา้ มาซ้ือ-ขายกนั นายเงิน สุริโย พ้ืนเพเดิมเป็นมสุ ลิมโดย
กาเนิดจากเมืองนครฯ เม่ือโตข้นึ ไดม้ าอยกู่ บั ชาวพุทธในหม่ทู ี่ ๓ ตาบลชา้ งกลาง ไดห้ นั มานบั ถือพุทธ
ศาสนา ใชน้ ามสกุลสุริโย และสมรสกบั นางสาวบาง จนั ดี ลกู สาวชาวบา้ นจนั ดี สกุลน้ีตอ่ มาผสู้ ืบสาย
เขยี นเป็น “จนั ทร์ดี” บา้ ง “จนั ทนด์ ี”กม็ ี
๓. เคยเป็นที่จดั พธิ ีสมโภชขา้ วของชาวทงุ่ เจียกทกุ ปี โดยชาวนาต่างเอาขา้ ว ๓ เลียง
ใส่ถาดทนู หวั มาร่วมสมโภชแทบทุกครัวเรือน เพง่ิ จะเลิกประเพณีน้ีเม่ือไมก่ ่ีปี มาน้ีเอง
- โคกเสาธง ท่ีเรียกช่ือน้ี เพราะเคยมีเสาธงของเรือลม่ ตรงน้ี แมจ้ ะไม่มีใหเ้ ห็นแลว้
แตย่ งั มีช่ือติดปากชาวบา้ น ซ่ึงแสดงหลกั ฐานใหเ้ ห็นชดั วา่ ในอดีตน้นั ท่งุ เจียกนอกจากกวา้ งใหญ่
ไพศาลแลว้ ยงั มีน้าลึกสามารถแล่นเรือไดด้ ว้ ย ในกาลต่อไป โคกปาบ โคกเสาธงคงไม่มีชื่อ เพราะ
คนรุ่นใหมไ่ ม่รู้จกั ปัจจุบนั กาลงั กลายเป็นสวนยางพาราไปแทบท้งั หมด
- โคกกรวด อยทู่ างทิศใตข้ องทงุ่ เจียก ตรงน้ีมีแตก่ อ้ นกรวดต้งั แตข่ นาดเลก็ เทา่ เมด็
ทราย จนถึงขนาดใหญย่ าวเป็นเมตร พ่อท่านผุด(ผดุ สุวฒฺฑโน) ไดเ้ คยขดุ บอ่ สาธารณะ น้าใสสด น่า
ดื่มน่ากินมาก และต้งั ศาลาพกั เพือ่ ใหช้ าวบา้ นไดม้ าพกั ผอ่ น อาบ- ด่ืมกินน้า ปัจจุบนั ร่องรอยบ่อยงั มี
อยู่ แต่น้าแหง้ หมด เพราะอายบุ ่อเกือบ ๑๐๐ ปี มาแลว้ คนในถ่ินเล่าใหฟ้ ังวา่ หลงั จากที่มีศาลาและบ่อ
ที่น่ี ผทู้ ่ีมาอยปู่ ระจาคืองูบองหลา(จงอาง) ขนาดใหญ่ จนใคร ๆ ไม่กลา้ มาพกั ตอนกลางคืน
ท่ีทุ่งเจียกไดพ้ บหลกั ฐานสาคญั ชิ้นหน่ึง คือจารึกสมุดขาวเขียนดว้ ยหมึกดา ชาวบา้ น
เรียกวา่ “หนงั สือบุดดา” พบเม่ือ พ.ศ.๒๔๔๘ ผใู้ หญบ่ า้ นมอบใหก้ านนั กานนั มอบตอ่ ๆ ไปเป็น
ลาดบั จนถึงกรมพระยาดารงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยขณะน้นั ไดร้ ับเกบ็ ไวใ้ น
หอ้ งสมุด จารึกน้ีกล่าวถึงเขตควบคมุ ชา้ งของหมอเฒ่า ๔ คนดงั กลา่ วแลว้ ในบทวา่ ดว้ ยการกาเนิดชา้ ง
กลาง
ในอดีตทุ่งเจียกเป็นท่ีเกิดของบุคคลสาคญั หลายคน เท่าที่ประมวลไดม้ ีดงั น้ี
๑. พระสมหุ ก์ นั ที่ไปเป็นเจา้ อาวาสวดั บางนบ อ.หวั ไทร เมื่อปี ๒๔๖๑ ก็เกิดที่ทุ่ง
เจียก ทา่ นผูน้ ้ีไดช้ กั นาพ่อท่านผดุ สุวฒฺฑโน (พระพุทธิสารเถร) ซ่ึงเปรียบเสมือนเพชรน้าเอกที่มา
มอบความสุกใสงดงามใหแ้ ก่ชาวชา้ งกลาง
๒.พระครูคีรีกนั ทร์คณานนั ท์ (หมึก สันตจิต) ซ่ึงมีชีวิตอยรู่ ะหวา่ งปี พ.ศ.๒๔๒๙ –
๒๔๙๕ ท่ีเป็นเจา้ คณะอาเภอลานสกา ผสู้ ร้างวดั คีรีกนั ทร์ และเป็นผใู้ หก้ าเนิดวดั คีรีวรรณา(วดั บา้ นนา)
ก็เกิดที่น่ี
๓.นายประสิทธ์ิ สโมสร อดีตกานนั ตาบลชา้ งกลางเป็นชาวทุ่งเจียกโดยกาเนิด
รวมท้งั ดร.สนิท สโมสรผเู้ ป็นบตุ ร
๔. กานนั ลดั ศรีใส อดีตกานนั ตาบลเขาแกว้ ตลอดถึงแมข่ อง อาจารยเ์ อ้ือม อุบล
พนั ธุ์ กวคี นสาคญั ของชา้ งกลางก็เกิดท่ีนี่
๖๒
๕.พระราชสิริธรรมมงคล (สอน ฐิตวีโร) เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน พระอาราม
หลวงกถ็ ือวา่ เป็นชาวท่งุ เจียก บา้ นจนั ดี หมู่ ๓
๖.ยายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ซ่ึงเกิดในสกุล “สงั ขจาย”
กเ็ ป็นคนทงุ่ เจียกเช่นกนั
๗.กวสี มโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี (วรรณดี สรรพจิต) ผแู้ ต่งกวนี ิพนธ์เรื่อง
“เฉลิมเกียรติกรุงรัตนโกสินทร์ท่ีไดร้ ับรางวลั ยอดเยยี่ ม” ก็เกิดที่ทุง่ เจียก หมทู่ ี่ ๓
เหตกุ ารณ์เม่ือ ๒๕ ตลุ าคม ๒๕๐๕ ท่ีไดเ้ กิดพายถุ ลม่ แหลมตะลุมพกุ ยงั ผลใหท้ งุ่ เจีย
กซ่ึงอยหู่ ่างไกลจากแหลมตะลมุ พกุ เกือบร้อยกิโลเมตร พลอยไดร้ ับกระทบอยา่ งแรง นาขา้ วเสียหาย
ท้งั ร้อยเปอร์เซ็นต์ ท่งุ เจียกกลายเป็นทะเลสาบ เตม็ ไปดว้ ยน้าสุดสายตามอง พายทุ ี่ถลม่ แหลม
ตะลมุ พุกคราวน้นั เป็นพายใุ หญ่ซ่ึงมี ขอ้ มูลจริงจาก เหตกุ ารณ์ "มหาวาตภยั ที่แหลมตะลุมพุก" วา่
-เส้นผา่ ศนู ยก์ ลางของพายมุ ีขนาด ๓๐๐ กิโลเมตร หรือใหญเ่ ท่ากบั จงั หวดั
นครศรีธรรมราช
- ความเร็วลม ๑๘๐ – ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชวั่ โมง
- ความเร็วในการเคลื่อนที่ ๙๒.๖๒๒ กิโลเมตรต่อชวั่ โมง
- เสียงดงั เหมือนเคร่ืองบินไอพน่ , น้าทะเลมว้ นตวั สูงข้นึ เป็นทรงกระบอก สูงกวา่ ตน้
ตาลหลายสิบเท่า
- พายลุ ูกน้ีช่ือ แฮเรียต เป็นพายรุ ะดบั โซนร้อน ยงั ผลใหผ้ คู้ นท่ีแหลมตะลมุ พกุ
เสียชีวติ ๙๑๑ คน สูญหาย ๑๔๖ คน บาดเจบ็ สาหสั ๒๕๒ คน
การที่เกิดคนตาย สูญหายและบาดเจบ็ จานวนมากคราวน้นั นายแจง้ ฤทธิเดช นายอาเภอปาก
พนงั (เคยเป็นนายอาภอฉวาง) ในเวลาน้นั กล่าววา่ ประชาชนฟังประกาศ ของกรมอุตนุ ิยมไมร่ ู้เรื่อง
วทิ ยปุ ระกาศพวกเขากร็ ู้ แตฟ่ ังไม่เขา้ ใจ ถา้ ใชค้ าชาวบา้ นเตือนกนั ก็จะเขา้ ใจมากกวา่ พวกเขาจะไดร้ ู้วา่
พายเุ หลา่ น้นั มีความร้ายแรงแค่ไหน..."
ยกตวั อยา่ งคาประกาศของกรมอุตนุ ิยมวทิ ยาที่ประกาศแลว้ ชาวบา้ นทว่ั ไปไม่เขา้ ใจ เช่น
ประกาศกรมอุตนุ ิยมวิทยา ฉบบั 9 เตือนภยั พายุ “เซินติญ”ที่จะมีผลใหฝ้ นตกหนกั วา่
“พายโุ ซนร้อน“เซินติญ” (SON-TINH) ได้อ่อนกาลังลงเป็นพายดุ ีเปรสชันบริเวณชายแดน
ประเทศลาวและเวยี ดนามแล้ว ท่ีละติจูด 20.0 องศาเหนือ ลองจิจูด 104.0 องศาตะวันออก มีความเร็ว
ลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 55 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง พายนุ กี้ าลังเคล่ือนตัวทางทิศตะวนั ตกด้วย
ความเร็ว 20 กิโลเมตรต่อช่ัวโมง คาดว่าจะอ่อนกาลังลงหย่อมความกดอากาศตา่ กาลงั แรงเข้าปกคลมุ
ประเทศลาวตอนบนในวันนี”้ ภาษาของกรมอุตนุ ิยมวิทยาท่ีวา่ มาอยา่ งน้ี ชาวบา้ นฟังแลว้ ไมเ่ ขา้ ใจ เขา
จึงไม่ไดส้ นใจในคาเตือน
๖๓
ทุ่งเจียกปัจจุบนั ไมไ่ ดเ้ ป็นท่งุ อยา่ งในอดีตแลว้ เพราะกลายเป็นสวนยางลอ้ มเขา้ มา จนเหลือท่ี
ทานานิดเดียวดงั ภาพ
๓.๔ เขาดินสอ........พ้นื ที่เมืองเก่าของนางพญาจณั ฑี
ถดั จากทุ่งเจียก หากเดินทางไปท่ีเชิงเขาเหมน ก่อนท่ีจะเดินทางต่อไปยงั ถ้าตา่ ง ๆ รอบเขา
ดินสอในหมทู่ ี่ ๒ เราสามารถข้ึนมาชมววิ ที่เขาเหมนรีสอร์ทไดร้ อบทิศ
ท่ีเขาดินสอน้ีเคยเป็นท่ีสร้างเมืองชว่ั คราวของนางพญาจณั ฑี ซ่ึงนกั ประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถิ่น
ชื่อชาลี ศิลปรัศมี ปริญญาโท ทางประวตั ิศาสตร์ ไดค้ น้ ควา้ หาเรื่องมาเลา่ แต่จะเช่ือหรือไม่ วญิ ญู
ชนพึงใชว้ ิจารณญาณตามหลกั กาลามสูตรของพระพทุ ธเจา้ ไวก้ ่อน อาจารยช์ าลีเล่าวา่ “นางพญาจณั ฑี
เป็นพระราชธิดาของแม่นางแอด แห่งเมืองขวางเมืองสระยคุ ปลาย ไดอ้ ุปภิเษกสมรสกบั มหา
พราหมณ์ ช่ืออุตตมะ ตอ่ มาไดอ้ พยพเขา้ เมืองนครสร้างเมืองชว่ั คราวท่ีเขาดินสอ ใกลถ้ ้าหมื่นยม เชิง
เขาเหมน เม่ือประมาณปี ๑๗๘๕ เพื่อเป็นท่ีเก็บสมบตั ิ
มหาพราหมณ์อุตตมะเป็นผูน้ บั ถือศาสนาพราหมณ์ลทั ธิไศวนิกาย ไดต้ ้งั ช่ือยอดเขาแหลมน้ี
วา่ “เขาพระสุเมร” ซ่ึงเป็นช่ือเดียวกนั กบั เขาพระสุเมรุในเร่ืองรามายณะ รามเกียรต์ิ ตามคติพราหมณ์
วา่ เป็นภูเขาที่สิงสถิตของพระอิศวร หรือศิวะ
นางพญาจณั ฑีเม่ือเขา้ เมืองนคร พ่ึงบารมีพระเจา้ จนั ทรภาณุ ก็ไดร้ ่วมซ่อมแซมพระบรมธาตุ
และในโอกาสน้นั ไดส้ ร้างพระแอด หรือพระนางแอด เพื่ออทุ ิศส่วนกุศลใหแ้ ก่พระมารดาแม่นางแอด
พระแอดองคน์ ้ีมีช่ือในอนุพุทธประวตั ิวา่ พระกจั จายนะ ยงั มีอยใู่ นวดั มหาธาตกุ ระทงั่ ถึงทุกวนั น้ี พอ่
๖๔
ท่านผดุ หรือพระพทุ ธิสารเถร ไดส้ ร้างศาลาประดิษฐานพระแอดองคน์ ้ีไวเ้ ป็นสัดส่วน เพื่อ
พทุ ธศาสนิกชนเขา้ กราบไหวบ้ ูชา”
บริเวณหนา้ เขาเหมนแถว ๆ เขาดินสอน้ี เมื่อประมาณปี ๒๔๙๘ ร.ท.ฮิวเบิร์ต โจเซฟ คายส์
ทหารอเมริกนั เช้ือสายออสเตรเลีย หลงั จากสิ้นสงครามโลกคร้ังท่ีสองแลว้ เขาไดม้ าทางานวิจยั วตั ถุ
โบราณและธรณีวิทยา บริเวณถ้าพระ ถ้าหมื่นยม เขาดินสอ ตลอดถึงการสารวจพ้ืนท่ีภเู ขาเหมน
ผลการสารวจ เขาไดเ้ ขียนนงั สือใหช้ ื่อเรื่องวา่ “The God of Prasumeru” ลงพพิ มใ์ นนิตยสารไทมข์ อง
อเมริกา เรื่องน้ีถา้ ใหช้ ื่อเป็นภาษาไทยคงเป็นเรื่องช่ือวา่ “ทวดเหมน”
ร.ท.ฮิวเบิร์ต โจเซฟ คายส์ อาชีพจริงๆ เป็นสายลบั ใหอ้ เมริกา แตเ่ อาการสอนหนงั สือบงั
หนา้ ไดเ้ ป็นครูสอนภาษาองั กฤษในโรงเรียนพ่ึงตนเอง ระหวา่ งปี ๒๕๐๐ – ๒๕๐๔ (โรงเรียนน้ียงั
เปิ ดสอนอยใู่ นเขตชา้ งกลาง ผมเองก็เคยเป็นลูกศิษยเ์ รียนภาษาองั กฤษกบั ท่านผนู้ ้ี....ผเู้ ขียน) แต่ชื่อที่
เราเรียกกนั ในหมู่นกั เรียนวา่ ครูฮิวเบิร์ต เฟร็นด์ ลูกศิษยท์ ี่ใกลช้ ิดขณะน้นั คือ อดีตกานนั ฉลอง จิต
รัตน์, รัตน์ อินทรโชติ, ครูเจริญ สุขราช บางคนหลงั จากเรียนจบ ม.๖ ที่น้ีแลว้ ก็ยงั ไดเ้ รียน
ภาษาองั กฤษกบั ครูคนน้ีโดยวธิ ีติดต่อทางจดหมายอยหู่ ลายปี
ยอดเขาเหมนมองจากเขาเหมนรีสอร์ท
๖๕
๓.๕ ควนส้าน-ล่มุ ในหิน....ถ่ินพานกั จอมโจรเสือสีนุ่น
ลงจากถ้าเขาดินสอ ผา่ นเขาเหมนรีสอร์ท กลบั มาทางถนนซอย ถา้ เล้ียวซา้ ยก็ไปออกบา้ น
คลองกยุ เหนือ เขา้ ถนน รพช.สายยทุ ธศาสตร์ที่มาจากสี่แยกบา้ นจนั ดี เล้ียวซา้ ยอีกทีก็ไปท่งุ สง แตเ่ รา
ตอ้ งกลบั ทางเดิมเขา้ ถนนสาย ๔๐๑๕ มาที่หลกั กม.๓๖ หนา้ วดั มะนาวหวาน พอขา้ มสะพานก็เล้ียว
ซา้ ยเขา้ ถนนสาย ๔๑๙๔ เพอื่ ไปเท่ียวควนส้าน – บา้ นนาเกาะ – ลุ่มในหิน หมู่ ๖ ไปดูการเล้ียงผ้งึ
โพรงเพื่อธุรกิจการคา้ ของคุณเลก็ และคณะ ซ่ึงเล้ียงผ้ึงโพรงประมาณ ๒๐๐ รังในสวนผลไมเ้ ป็นการ
เพ่มิ รายไดเ้ กษตรกรดว้ ยการขายน้าผ้ึง และยงั มีผลพลอยไดจ้ ากการที่ผ้งึ ผสมเกษตรดอกไม้ ช่วยให้
เพิม่ ผลผลิตข้ึนอีกทางหน่ึง ท่ีนี่นอกจากจาหน่ายน้าผ้งึ แลว้ ทางกลุ่มยงั ผลิตอุปกรณ์เล้ียงผ้ึงขายอีก
ดว้ ย การเดินทาง ถึงหนา้ วดั ควนส้านเล้ียวขวาท่ีทางแยกตรงขา้ มประตูวดั เขา้ ไปประมาณ ๒ กิโลเมตร
ผา่ นสวนยางพาราและขา้ มสะพานแลว้ เล้ียวซา้ ยอีก ๒๐๐ เมตร ถึงท่ีทาการกลุ่ม เป็นกิจการเล้ียงผ้ึงท่ี
ชมและน่าศึกษามาก ปัจจุบนั กิจการเล้ียงผ้งึ โพรงของนายเลก็ ฯ ไดส้ ืบทอดมายงั ทายาท ช่ือนายครรชิต
พรหมชาติ นาไปทาต่อที่ตาบลสวนขนั มีสมาชิก ๒๐ คน เล้ียงผ้ึงประมาณ ๓๐๐ รัง
กลมุ่ เล้ียงผ้งึ ลมุ่ ในหิน ควนสา้ น
คาวา่ “ควนส้าน” ประกอบดว้ ยคา ๒ พยางคค์ อื “ควน” ซ่ึงมีสภาพพ้นื ที่เป็นเนินสูงข้ึนมา
ประกอบกบั คาวา่ “สา้ น” ซ่ึงเป็นท่ีเกิดของไมส้ า้ นใหญ่ เพราะเดิมตรงน้ี เป็นป่ า มีไมเ้ บญจพรรณ
ข้ึนอยมู่ าก หน่ึงในจานวนน้นั กม็ ีไมท้ ี่เรียกวา่ ตน้ “ส้าน” กเ็ รียกกนั ติดปากต่อมาวา่ “ควนสา้ น” น่ีคือ
ที่มาของบา้ นควนส้านท่ียงั ไมเ่ พ้ยี นชื่อ
ไมส้ า้ นเป็นพืชสมุนไพร เปลือกใชต้ ม้ กินแกท้ อ้ งเสีย หรือนามาเค้ยี วพ่นรักษาแผลได้ เป็น
ไมย้ นื ตน้ ขนาดกลาง ผลดั ใบในเดือนกมุ ภาพนั ธุ์ ลาตน้ สีเทาอมเหลือง เปลือกในสีแดงคล้า ดอก
๖๖
เดี่ยว กลีบเล้ียงหนา ๕ กลีบ ออกผลเป็นทรงกลม ชอบข้ึนอยตู่ ามป่ าเบญจพรรณช้ืนท่ีมีความสูงจาก
ระดบั น้าทะเล ต้งั แต่ ๕๐ – ๑,๓๐๐ เมตร
ส่วนคาวา่ “ลมุ่ ในหิน” น้นั เป็นช่ือเพ้ียนมาแลว้ นายจวง สนั ตจิต บนั ทึกไวว้ า่ ช่ือน้ีมาจาก
คาวา่ “ลมุ่ เดื่อหิน” เพราะมีตน้ มะเดื่อเกิดข้ึนบนกอ้ นหินใหญ่ท่ีมีรอยแตกต้งั อยใู่ นทุ่งนา พอโตตน้
มะเดื่อฝังรากลึกลงถึงน้าใตด้ ิน แต่บางทา่ นวา่ มาจากคา “ลุม่ เดือยหิน” ไม่รู้แปลวา่ อะไร เลยยงั หาขอ้
ยตุ ิไมไ่ ดว้ า่ เพ้ยี นมาจากคาไหนแน่
๖๗
บ้านล่มุ ในหนิ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช เป็นชื่อเรียกมาต้งั แต่
สมยั รัชกาลที่ ๖ เป็นที่ต้งั บา้ นของขนุ โจรสีนุ่น หรือท่ีชาวบา้ นขานชื่อวา่ “เสือสีนุ่น” อยไู่ มไ่ กล
จากวดั ควนสา้ น บา้ นเสือนุ่นเป็นบา้ นไมเ้ สาต้งั ใตถ้ นุ โล่ง หลงั คามงุ กระเบ้ืองแบบสี่เหลี่ยมจตั รุ ัส
เรียกกระเบ้ืองชนิดน้ีวา่ “เบ้ืองมลาย”ู หนา้ บา้ นมีบนั ไดข้นึ ตรงนอกชาน มีร้ัวเรียวไผร่ อบ แสดงถึง
คนมีฐานะ ถดั บา้ นเสือสีนุ่นข้นึ ไปบนเขามีน้าตก ปัจจุบนั ยงั เรียกขานกนั วา่ “หนานสีนุ่น”
จากบนั ทึกของขนุ ฉวางวสิ ิษฐ์(ช่วง ศิลปะรัศมี) อดีตกานนั ตาบลฉวาง เขียนไวล้ ะเอียดยดื
ยาว แต่สรุปไดค้ วามวา่ เสือสีนุ่นเกิดแถวๆ บา้ นร่อน อ.ลานสกา พ่อเป็นชาวพม่าในบงั คบั องั กฤษ
เขา้ มาคา้ ขายแถวคลองสารขนุ (ไมใ่ ช่ศาลขนุ เพราะชื่อคลองน้ีเพ้ียนมาจากคาวา่ “สารข่นุ ” คือมีน้าข่นุ
ปนสารที่เกิดจากการร่อนแร่ ซ่ึงเป็นที่ร่อนแร่ผงทองคา...ผเู้ ขยี น) แมข่ องเสือสีนุ่นเป็นจีนลกู คร่ึง (บา
บา) สองผวั – เมียภรรยา ช่วยกนั ทามาหากิน คา้ ขายกบั พวกร่อนแร่ กลางคนื พกั ท่ีบา้ นร่อน
วนั หน่ึงพ่อของ ด.ช.สีนุ่น ถกู โจรปลน้ หายตวั ไป เหลือสองแมล่ ูกเล้ียงชีพดว้ ยความ
ยากลาบาก ภายหลงั ไดย้ า้ ยจากบา้ นร่อนมาอยลู่ ุม่ ในหิน บา้ นควนส้าน เพราะแมข่ องสีนุ่นมีญาติอยู่ท่ีน่ี
ดว้ ยความท่ีสีนุ่นขาดความอบอุ่น ไร้พอ่ ต้งั แต่ยงั เลก็ ประกอบกบั ความยากจนในชีวติ เบ้ืองตน้ พ่อถูก
โจรปลน้ และถกู ฆ่าตาย จึงมีส่วนใหส้ ีนุ่นประพฤติตนเป็นโจรเท่ียวดกั จ้ี ปลน้ ผสู้ ัญจรไป – มาทาง
น้า ต่อมาไดข้ ยายพ้ืนที่ออกไปปลน้ ในแดนไกล มีสมนุ ๒ คน คอื เสือบุตร และเสือดาแพร จนมี
ชื่อเสียงเป็นขนุ โจรลือกระฉ่อนกระจายไปหลายจงั หวดั เป็นท่ีหวนั่ หวาดของชาวบา้ น กระทงั่ ไดช้ ่ือ
วา่ เป็นขนุ โจรปลน้ ไกลถึง ๓ มณฑล คอื มณฑลชุมพร นครศรีฯและปัตตานี
๖๘
เหยอื่ ของเสือสีนุ่น คือ พอ่ คา้ ชาวจีนและชาวพม่าท่ีมาทางน้า เพราะพวกน้ีมีสินคา้ แปลกๆ
เป็นท่ีตอ้ งการของตลาดและชาวบา้ น เช่น เส้ือผา้ น้ามนั กาด เหรียญ เงินสิงคโปร์ กาไลหยก
พลอย สร้อยลูกประคาทอง ยาเส้น ปลาเคม็ ฯลฯ เป็นตน้ ของที่ปลน้ ไดส้ ่วนหน่ึง เสือสีนุ่น นามา
แจกคนจน เช่น น้ามนั กาด เกลือ ยาเส้น ทาใหช้ าวบา้ นใกลเ้ รือนเคยี งเคารพเกรงกลวั บางรายเอา
ของกิน เช่น กลว้ ยผลไมม้ าแขวนไวร้ ิมร้ัวหนา้ บา้ น แลว้ คอ่ ย ๆ ยอ่ งออกไปเงียบๆ
รูปร่างหนา้ ตาของขนุ โจรสีนุ่น ตามคาบอกเลา่ ของขนุ ฉวางวิสิษฐ์ ซ่ึงเป็นหน่ึงในคณะปราบ
เสือสีนุ่นไดส้ าเร็จ เลา่ วา่ ผิวดาแดง ไวห้ นวดประปราย ตาเลก็ หนา้ ผากกวา้ ง จมูกเป็นสนั ยาว นิ้ว
มือตีนยาวผิดปกติ แขวนเคร่ืองราง “ทิดหมอน” (พิสมร – พจนานุกรมวา่ หมายถึง เคร่ืองรางชนิด
หน่ึง เป็นรูปสามเหล่ียม หรือส่ีเหล่ียม ร้อยสาย สาหรับใชป้ ้องกนั อนั ตราย)
การแตง่ กาย ไมส่ วมรองเทา้ ชอบนุ่งกางเกงแพรจีน สวมเส้ือกระดุมไขวแ้ บบพมา่ ใส่หมวก
กะโล่ (หมวกกลุ ีคุมการสร้างทางรถไฟ) มีอาวธุ ประจากาย คอื “พร้าโอ” เวลาพร้าติดเลือดจากการ
ใชต้ อ่ สู้ ก็ลา้ งเลือดโดยแกวง่ ในน้าซา้ ยที – ขวาทีจนเลือดหมด แลว้ หอ้ ยลงจนแหง้ อาวธุ อ่ืนก็มีปื น
คาบศิลา ซ่ึงเป็นปื นโบราณ ชาวโปร์ตเุ กสนาเขา้ ใชใ้ นสมยั สมเดจ็ พระนารายณ์ยคุ อยุธยา เวลายงิ ตอ้ ง
ใส่ดินปื นกระทุง้ ทีหน่ึง ยงิ ทีหน่ึง
ในวนั ปลิดชีพเสือสีนุ่น มีการวางแผนจบั ตายโดยกรมการอาเภอ เอาช่วงเวลาการจดั งานปี
ใหมท่ ่ีฉวาง (งานปี ใหม่ฉวาง เร่ิมมีต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๕๔ ซ่ึงเป็นปี ที่เจา้ ฟ้ากรมขนุ ลพบรุ ีราเมศร์มาทรง
เปิ ดศาลาตรีมขุ ท่ีฉวาง) ในงานมีท้งั หนงั ตะลุง โนราห์ ประชนั กนั ทกุ คนื แมแ้ ตช่ าวบา้ นลุม่ ในหิน –
ควนส้าน ซ่ึงอยไู่ กลก็ลงเรือไปชมกนั คณะจบั ตายออกเดินทางไปลมุ่ ในหินเวลาเดียวกนั ท่ีชาวบา้ น
ไปเท่ียวงานฉวาง
รอกระทงั่ ตีหา้ เสือสีนุ่นลุกข้ึนควั่ ขา้ ว เจา้ เมียก็เตรียมการตาขา้ วแต่เหลือบเห็นตารวจ
เสียก่อน จึงบอกเสือสีนุ่นวา่ จะพาลูกไปอาบน้าในคลอง เสือสีนุ่นรู้ทนั ทีวา่ ถกู ลอ้ มจึงกระโดดไป
หยบิ เคร่ืองราง ควา้ เอาปื นคาบศิลามายงิ ตอ่ สู้ แตส่ ู้ปื นไรเฟิ ลไมไ่ ด้ จนถกู ยงิ ตาย หลงั จากชนั สูตรศพ
แลว้ นายอาเภอฉวางสัง่ ใหต้ ดั ศีรษะเสือสีนุ่นฝังไวค้ นละหลุมกบั ร่าง ณ ป่ าชา้ วดั วงั ม่วง เป็นการสยบ
วญิ ญาณไมใ่ หอ้ อกมาอาละวาด
กรมการอาเภอที่ปราบเสือสีนุ่นคราวน้นั ประกอบดว้ ย
๑. นายภู่ วรานุรักษ์ ปลดั ขวา อาเภอฉวาง เป็นหวั หนา้ ทีม ไดร้ ับการปนู บาเหน็จเป็น
“ขนุ ฉวางวรานุรักษ”์
๒. พนั ช่วง (ช่วง ศิลปรัศมี) กานนั ตาบลฉวาง ไดเ้ ป็น “ขนุ ฉวางวิสิษฐ์ บุคคลผนู้ ้ีเป็นลูก
สุดทอ้ งในจานวนลูก ๑๓ คน ของหลวงไชยศรศิลป์ เจา้ กรมชา้ งกลางคนสุดทา้ ย
๓. สิบตารวจโทบุตร ไดเ้ ลื่อนยศเป็นสิบตารวจเอก
๔. ตารวจอีก ๖ คนไดร้ ับเลื่อนยศทกุ
๖๙
๕.ผใู้ หญบ่ า้ นควนสา้ น ไดเ้ ลื่อนยศเป็นหมื่นคช ตน้ ตระกลู “คชฤทธ์ิ” ปัจจุบนั ยงั มีผสู้ ืบเช้ือ
สายสกุลคชฤทธ์ิอาศยั อยใู่ นหมู่ ๖ บา้ นควนสา้ นและหมู่ ๑๕ บา้ นน้านอ้ ยเหนือจานวนมาก
สมบตั ิเสือสีนุ่นที่สะสมจากการปลน้ แต่ละคร้ัง มีสร้อยทองคา แหวน กาไร พานทองคา
หยก ฯลฯ ใส่ไวใ้ นหีบเหล็กขนาดกวา้ ง ๑ ฟตุ ยาว ๓ ฟุต สูง ๑ ฟุต ฝังไวใ้ นทอนสีนุ่น บา้ น
ด่านไผง่ า หมู่ท่ี ๕ ตาบลชา้ งกลาง ยงั ไมเ่ คยมีการขดุ คน้
คาวา่ “ทอน” คือทางที่น้าไหลผา่ น แลว้ เปลี่ยนทิศทางไปที่อื่น ทาใหม้ ีพืชพนั ธุไ์ มข้ ้ึนงอก
งาม เรียกวา่ “ในทอน”
หีบเหลก็ อีกใบไดม้ อบให้นายพรหม หวานสนิท ขณะอยู่ท่ีไชยา
เสือสีนุ่นไดช้ ่ือวา่ “ขนุ โจร ๓ มณฑล” คือทาการปลน้ ออกไปไกลถึง ๓ มณฑลในสมยั รัชกาล
ท่ี ๖ อนั ไดแ้ ก่มณฑลปัตตานี มณฑลนครศรีธรรมราช และมณฑลชุมพร(มณฑล น้ี ถึงปี ๒๔๕๖
หลงั จาก ร.๖ไดต้ ้งั จงั หวดั สุราษฎร์ฯข้ึนแลว้ ก็ยา้ ยท่ีวา่ การมณฑลมาอยใู่ นสุราษฎร์ฯ) เสือสีนุ่นเคยนา
พวกไปปลน้ ถึงปะทิว ไดส้ มนุ สาคญั มาคนหน่ึง ซ่ึงต่อมาไดต้ ้งั รกรากที่บา้ นจนั ดี เป็นตน้ สกลุ “มาคีรี”
มีลูก-หลาน – เหลน สืบสายโยงใยกนั มา ในช้นั ลูก- หลานก็ต้งั อยใู่ นธรรมสมั มาอาชีวะ ดงั เช่นพวกที่
อยใู่ นสกลุ “มาคีรี” เป็นตน้
เสือสีนุ่นมีลูกสาวคนเดียวชื่อ เลียบ ในวนั ท่ีเสือนุ่นถูกปลิดชีพ ยายเลียบยงั เลก็ มาก กระทง่ั
ในวยั ชรา พ.ศ.๒๕๓๖ ยายเลียบยงั พูดกบั คนทวั่ ไปวา่ พ่อของยายไมใ่ ช่คนชว่ั เขากล่าวหาท้งั เพ
เดี๋ยวน้ีลกู หลานของเสือสีนุ่นท่ีสืบเช้ือสายทางยายเลียบมีมากมายหลายสกลุ ต้งั บา้ นเรือนอยใู่ นคลอง
งาเป็นส่วนมาก คนเหลา่ น้ีลว้ นต้งั อยใู่ นสัมมาอาชีวะ มีธรรมเป็นท่ีพ่ึงเช่นกนั มีใจเดด็ เดี่ยว ทา
อะไรทาจริง มีส่วนร่วมสร้างสรรคส์ ังคมใหเ้ จริญอยา่ งน่ายกยอ่ ง เช่นพวกท่ีอยใู่ นสกุล “โนวนตั ”
เป็นตน้ บรรพบุรุษรุ่นแรก ๆ ของสกุลโนวนตั เป็นศิษยข์ องพอ่ ทา่ นผดุ (ผดุ สุวฒั ฑโน หรือพระพทุ ธิ
สารเถร) และเป็นแกนนาของหมูบ่ า้ นในระยะต่อมา
อนุสรณ์เสือสีนุ่นท่ียงั หลงเหลืออยจู่ นกระทงั่ ทุกวนั น้ี คือชื่อ “ทอนสีนุ่น” อยทู่ ่ีด่านไผง่ า หมู่
๕ นาวา ซ่ึงเช่ือกนั วา่ เป็นที่ฝังสมบตั ิของเสือสีนุ่นดงั กล่าวแลว้ กบั ชื่อน้าตกท่ีอยหู่ ่างจากบา้ นน้านอ้ ย
ไปทางเหนือประมาณ ๑ กิโลเมตร เรียกวา่ “หนานสีนุ่น” ชาวบา้ นยงั เรียกชื่อน้ีอยมู่ าจนถึงปัจจุบนั
๓.๖ คลองงา......พลคู ลองงาคู่กบั ยากลาย
ในแผนท่ีทหารเขยี นวา่ “คลองหา้ ” ซ่ึงไมม่ ีความหมายอะไร เพราะที่น่ีไม่มีคลองหา้ คลอง
หกเหมือนธญั บรุ ี ก็เป็นการเขยี นเพ้ยี นมาจากคลองงานน่ั เอง เพราะเขยี นตามสาเนียงชาวปักษใ์ ตท้ ่ี
ออกเสียงวา่ “คลองงา้ ” แลว้ ฟังเป็น “คลองหา้ ”
พ้นื ที่ที่เรียกวา่ “คลองงา” อยใู่ นเขตหมูท่ ี่ ๒ ตาบลชา้ งกลาง มีคลองงา ซ่ึงตน้ น้าเกิดจาก
เทือกเขาหลวงทางทิศเหนือ ไหลลงสูทิศใต้ ผา่ นหมู่ ๑ บา้ นนา แลว้ ไหลลงคลองจนั ดี ท่ีบา้ นคลองงา
๗๐
มีสะพานสร้างโดยงบเงินผนั สมยั ม.ร.ว.คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี แรกเร่ิมเดิมทีที่คลองงามี
บา้ นแค่ ๗ หลงั คอื บา้ นนางสีจนั ทร์ สันตจิต บา้ นนายอิน เพชรทอง บา้ นนายขา โนวนดั บา้ งนาง
เจย้ นางนวล นายพ่มุ บริรักษแ์ ละบา้ นนายเอียด สนั ตจิต
ท่ีไดช้ ่ือน้ีมีที่มาจากหลายสาเหตุ ยงั หาขอ้ ยตุ ิไม่ไดด้ งั น้ี
๑. นายเวยี น สนั ตจิต(เสียชีวิตแลว้ ) อดีตผใู้ หญบ่ า้ นหมู่ ๒ บนั ทึกไวว้ า่ เป็นท่ี
ประลองงาของชา้ งป่ า เพราะไดเ้ คยเห็นตรงที่คลองไหลผา่ นน้ีมีตลิ่งสูง ฝงู ชา้ งป่ าลงด่ืม อาบ พวก
ชา้ งพลายใชง้ าท่ิมแทงริมตลิ่งเป็นประจา เป็นการประลองงา
๒.นกั ประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่ินกลา่ ววา่ ที่น้ีเคยเป็นที่รวบรวมงาชา้ งไวเ้ ป็นจานวนมาก
โดยต้งั ข้ึนเป็นกอง ต่อมาเรียกพ้นื ท่ีน้ีวา่ “กองงา” แลว้ เพ้ียนชื่อเป็น “คลองงา” (ช่ือน้ีไมน่ ่าจะ
เป็นไปได้ เพราะถึงแมจ้ ะมีชา้ งมาก แตก่ ็คงไม่มีงามากมายขนาดน้นั ....ผูเ้ ขียน)
ในอดีต คลองงามีช่ือเสียงเร่ืองใบพลู เพราะท่ีน้ีเคยมีสวนพลชู ้นั ดี ลกั ษณะใบเรียว ขนาด
เลก็ กวา่ ใบพลูปกติ แต่มีความหนา และรสเผด็ คูก่ บั “ยากลาย” ที่ตาบลกลาย อาเภอท่าศาลา ซ่ึงได้
ชื่อวา่ ปลกู ใบยาไดย้ อดเยย่ี ม เม่ือแปลงสภาพเป็นยาเสน้ ที่เรียกวา่ “ยากลาย” มีรสดีเป็นที่นิยมของคน
ท้งั หลาย โดยเฉพาะมีพ่อคา้ นามาจาหน่ายถึงอาเภอชา้ งกลาง จึงเรียกกนั ติดปากวา่ “พลูคลองงา-ยาก
ลาย” พลูคลองงาที่ข้ึนช่ือลือชาวา่ รสเผด็ น้นั ในอดีตปลูกกนั แทบทกุ บา้ น โดยเฉพาะที่บา้ นนายแกว้
เพชรา ปลูกมากกวา่ เพอ่ื น
ในพ้นื ท่ีคลองงามีทางเดินไปสู่ถ้าหม่ืนยมได้ ซ่ึงเป็นถ้าท่ีกรมหลวงลพบุรีราเมศร์ เทศาภิบาล
มณฑลนครศรีธรรมราชเคยเสด็จมาเยย่ี มชมเมื่อวนั ท่ี ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๕๔ ตามจดหมายเหตุเขาพงั
ไกรของนายเทพ เดชสุวรรณ แตป่ ัจจุบนั กาลงั หมดชื่อ เพราะพงั ทลายลงมาหมดแลว้ เม่ือไม่กี่ปี มา
นี่เอง
นอกจากถ้าแลว้ คลองงายงั ไดช้ ื่อวา่ เป็นถ่ินท่ีมีสานกั และวงั มาก
สานกั ไดแ้ ก่สานกั เคยี น หรือหนกั เคียน เพราะมีไมต้ ะเคยี นมาก ส่วน “สานกั พลาที่ชาวบา้ น
เรียกวา่ “หนกั พลา” เพราะที่น่ีในอดีตเป็นที่พกั ของเจา้ เมืองไชยาซ่ึงเดินทางดว้ ยชา้ งเพื่อไปเยย่ี มเจา้
เมืองนคร ขณะน้นั นายเอียด สันตจิตเป็นผใู้ หญ่บา้ น ไดท้ าพลบั พลาใหเ้ จา้ เมืองเขา้ พกั และ
รับประทานอาหารท่ีน่ี
ส่วนวงั ในท่ีนี่หมายถึงส่วนท่ีลึกของน้าท่ีไหลคดเค้ียวไปตามลาคลอง เมื่อน้าไหลมาถึงที่คดก็
เกิดน้าไหลวน เซาะดินและทรายส่วนน้นั ๆ ลึกกวา่ ธรรมดา ชาวบา้ นเรียกคุง้ คลองส่วนที่คดมีน้าวน
น้นั วา่ “วงั ” ซ่ึงมีหลายวงั คุณเจริญ อินทองคาบนั ทึกไวว้ ่า เริ่มจากวงั เหรียง แลว้ ก็มาวงั ควนดินสอ
วงั พอ วงั ตะเคียน วงั ถ้า วงั ปลิง วงั หวายพวน วงั หว้ ยแดน วงั สุดทา้ ยน้ีอยใู่ กลก้ บั “หาดจบั ชา้ ง”
๗๑
หาดจบั ชา้ งซ่ึงอยตู่ ิดวงั หว้ ยแดน หมู่ ๒ บา้ นคลองงา ในอดีตซ่ึงเล่าตอ่ ๆ กนั มาจากรุ่นสู่รุ่น
วา่ เป็นสถานท่ีเคยมีเพนียดฝึ กชา้ งป่ าท่ีจบั มาไดก้ ่อนนาไปใชง้ าน นายเอียด สนั ตจิต และนายดา ตราชู
๒ คนน้ีถือไดว้ า่ เป็นศูนยจ์ ดั การเร่ืองการฝึกชา้ งป่ าท่ีจบั มาได้ ผเู้ ขียนยงั ไดเ้ ห็นวธิ ีการฝึ กชา้ งป่ าที่นี่
คลองงาในอดีต นอกจากเป็นศูนยฝ์ ึกชา้ งและเล้ียงชา้ งป่ าแลว้ ต่อมายงั ไดช้ ่ือวา่ เป็นศนู ยศ์ ิลปา
ชีพและศูนยอ์ ารยะธรรม ซ่ึงพ่อทา่ นผดุ สุวฑฺฒโนเป็นผใู้ หก้ าเนิดหลายประการ จนปัจจุบนั ชาว
คลองงาถือเป็นสมบตั ิทางวฒั นธรรมท่ีสาคญั ดงั น้ี
พ้นื ท่ีหมู่ ๒ บา้ นคลองงาปัจจุบนั มีเขตทิศเหนือติดบา้ นควนส้านหมู่ ๖ ทิศใตต้ ิดบา้ นหนา้ เห
มนหมู่ ๑๐ ทิศตะวนั ออกติดบา้ นนาหมู่ ๑ ทิศตะวนั ตกติดบา้ นนาเกาะหมู่ ๑๗
- ศูนย์สอนธรรม เร่ิมตน้ ที่บา้ นหนกั เคยี น(สานกั เคยี น) หนา้ บา้ นนายอินทร์ สุริโย พ่อทา่ น
ผดุ ต้งั เป็นเพงิ สอนศิษยร์ ุ่นแรกในปี พ.ศ. ๒๔๖๗ ซ่ึงมีนางสีจนั ทร์ สนั ตจิต(ภรรยานายยก ตราชู) นาง
เจย้ (ภรรยานายพดั สนั ตจิต) นางพลอย โนวนดั นางลกู พลบั หนูพ่วง ๔ คนน้ีเป็นศิษยร์ ุ่นแรกซ่ึง
ลว้ นแตม่ ีอายมุ ากแลว้ ทา่ นเร่ิมสอนต้งั แตใ่ หถ้ ึง “พระรัตนตรัยดว้ ยคาวา่ พทุ ฺธ สรณ คจฺฉามิ...ก่อน”
ลกู ศิษยล์ ว้ นแต่เฒ่าแก่ชรา กวา่ จะจากนั ไดต้ อ้ งสอนกนั อยู่สิบหา้ วนั
นายอ่า ประสารเล่าใหฟ้ ังเป็นบทกวีสุรางคนางค์ ๒๘ วา่
“ท่านต้งั ใจสอน คนท้งั ส่ีก่อน
๗๒
ดว้ ยพุทธาสิบหา้ วนั กรรมเวรกระไรเลย
จาไมไ่ ดป้ ้าสีจนั ทร์ อาจารยเ์ กาหวั คนั
เกือบลา้ นหมดลงจดหู...”
ตอ่ มาท่านไดต้ ้งั ศาลาคลองงาที่หนา้ บา้ น นายเอียด สันตจิต หมู่ ๒ (ปัจจุบนั ยงั คงมีอย)ู่ ให้
ความรู้แก่ชาวคลองงาและละแวกใกลเ้ คียงในทกุ สาขาวชิ า ซ่ึงเรียกวา่ วชิ าชีวิต ไดแ้ ก่วิชาทาสวน วิชา
ทาอิฐ หมอ้ ไห วิชาทาป๋ ุยอินทรีย์ วชิ าทาการคา้ วชิ าธรรมะ วชิ าทาราชการ แมแ้ ต่วิชาการครองรัก-
ครองเรือนทา่ นก็สอน ที่นี่ตอ่ มาจึงถือวา่ เป็นศนู ยก์ ลางการเกษตร ศูนยก์ ิจกรรมธรรมสวนะ ศูนย์
ศิลปาชีพ และเป็นแหล่งกาเนิดขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ตามแบบที่พ่อท่านผดุ ใหก้ าเนิด ซ่ึงยงั
ถือปฏิบตั ิกนั เป็นประเพณีมาจนกระทงั่ ปัจจุบนั เรียกกนั วา่ “สมบตั ิชาวคลองงา” ลูก-หลานเหลนที่
เกิดในยคุ ตอ่ มาหูตาสวา่ งดว้ ยวชิ าความรู้ เพราะพ่อท่านผดุ เป็นผเู้ ปิ ดแสงส่องสวา่ งใหแ้ ก่บรรพบุรุษ
ของพวกเขา เช่นมีอยูร่ ายหน่ึงเมื่อตอนเด็กเขาเรียกกนั วา่ เดก็ ชายขวด โตแลว้ แมแ้ ต่แพะยงั ไมร่ ู้จกั
เพราะไมเ่ คยเห็น คร้ันพ่อทา่ นผดุ พาไปสอน ใหเ้ รียนในโรงเรียนในเมืองนครศรีฯ พอเรียนจบ
สอบแข่งขนั เขา้ เป็นปลดั อาเภอได้ รับราชการตามแนวที่พอ่ ท่านผดุ สอน ท่านผูน้ ้ีก็ไดเ้ ป็นนายอาเภอ
ในที่สุด ช่ือวา่ นายอาเภอเชิญ ตราชู
บรรพบุรุษของชาวคลองงาคนสาคญั รุ่นแรกท่ีไดร้ ับการถ่ายทอดความรู้จากพ่อท่านผุดไดแ้ ก่
นายเอียด สนั ตจิต นางสีจนั ทร์ สันตจิต นายกล่อม ตราชู นายชง่ั ชูยงค์ นายดา ตราชู นายเขยี ว ไพร
สณฑ์ นายอ่า ประสาร นายกระจ่าง สันตจิต นางสีแกว้ บริรักษ์ นายชื่น ตราชู นายกลน่ั หวานสนิท
นางพลอย โนวนตั ฯลฯ
- ศูนย์ศิลปาชีพ ท่ีคลองงาก่อนปี พ.ศ. ๒๔๖๗ นอกจากทานาแลว้ พวกพชื ผลอ่ืนก็มีมะพร้าว
และผลไมอ้ ื่น ๆ แทบทุกอยา่ ง แต่เดิมปล่อยใหข้ ้นึ ตามธรรมชาติ จากผลการพร่าสอนของพอ่ ท่านผดุ
ชาวคลองงาไดผ้ ดุ ออกมาเห็นแสงสวา่ ง โดยเฉพาะเร่ืองการสร้างสวนผลไม้ ท่านเริ่มจากค่ทู ่ีจะ
แต่งงานกนั ใหม่ ๆ ใหฝ้ ่ายหญิงตกสินสอด-ทองหม้นั โดยใหฝ้ ่ายชายปลกู มะพร้าวใหไ้ ด้ ๑๐๐ ตน้ หรือ
๒๐๐ ตน้ ก่อนแลว้ จึงใหแ้ ตง่ งานกนั แมแ้ ตล่ ูกจะคลอดออกมา ทา่ นใหเ้ พอ่ื นบา้ นท่ีไปเยย่ี มนามะพร้าว
งอกมามอบเป็นของขวญั ท่านแนะวิธีปลูก วิธีทาป๋ ยุ การใส่ป๋ ยุ ทุกครัวเรือนทา่ นแนะนาใหป้ ลูกไม้
ผลเพื่อกินเองและแจกจ่ายชาวบา้ น เหลือแลว้ คอ่ ยขาย น่ีคือหลกั เศรษฐกิจพอเพียง
ในช่วงหลงั สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ (ระหวา่ งพ.ศ.๒๔๘๐ - ๒๔๙๕))เกิดขา้ วยากหมากแพง
เส้ือผา้ อาภรณ์ไมม่ ีใหใ้ ส่ โตแลว้ ยงั แกผ้ า้ กนั อยู่ ทา่ นแนะนาใหป้ ลกู ฝ้าย ทอผา้ ใชเ้ อง ถว้ ยโถโอชามหา
สวย ๆ เหมือนเดี๋ยวน้ีไมไ่ ด้ ท้งั ขาดแคลนอยา่ งหนกั พ่อทา่ นผดุ สอนใหค้ นที่น่ีทาหมอ้ ไห ชาม อา่ ง
ดว้ ยดิน แลว้ ต้งั เตาเผา มีสีแดง-เหลืองอร่าม หมอ้ ดินใชห้ ุงขา้ วไดอ้ ร่อยนกั นอกจากน้ีท่านยงั ไดส้ อน
ใหท้ าอิฐออกมาสร้างบา้ น สร้างโรงเรียนรุ่นแรก เรื่องท่ีพ่อทา่ นผดุ ทาประโยชน์ให้ถิ่นน้ีมีมากเป็น
อเนกปริยาย สามารถหาอ่านไดจ้ ากหนงั สือและบนั ทึกที่ลูกศิษยท์ าไวต้ า่ งกรรมตา่ งวาระ เช่นหนงั สือ
๗๓
“พทุ ธิสารเถร” หนงั สือ “สมบตั ิชาวคลองงา” เร่ืองพ่อท่านผดุ ท่ีพิมพใ์ นโอกาสฌาปนกิจศพคุณ
พ่อจง้ สนั ตจิต ฯลฯ เป็นตน้
พอ่ ท่านผดุ เป็นชาวหัวไทร มีชีวติ อยรู่ ะหวา่ งปี พ.ศ.๒๔๓๐ – ๒๕๓๐ เป็นผทู้ ่ีมีส่วนสร้าง
ความเจริญใหแ้ ก่อาเภอชา้ งกลาง ในละแวกบา้ นจนั ดี บา้ นคลองงา บา้ นนา บา้ นควนส้าน บา้ นนา
เกาะ บา้ นหนกั เคยี น บา้ นทุ่งเจียก บา้ นด่านไผง่ า นาวา ตลอดถึงทอ้ งถิ่นใกลเ้ คียงต้งั แต่คร้ังยงั เป็นป่ าดง
พงไพร ทา่ นผนู้ ้ีถือวา่ เป็นปูชนียบุคคลของจงั หวดั นครศรีธรรมราช อยปู่ ระจาวดั มหาธาตุฯ ภายหลงั
ไดส้ มณศกั ด์ิที่ “พระพทุ ธิสารเถร” ที่เราเรียกวา่ “ พ่อท่านผดุ ” หรือ“ อาจารยผ์ ดุ ” ทา่ นเป็นอาจารย์
ของคนท่ีน่ีต้งั แต่ช้นั ป่ ู จนถึงช้นั หลาน (ผเู้ ขียนอยใู่ นช้นั หลานก็เป็นศิษยข์ องท่าน)
นี่คอื พ่อท่านผดุ หรือพระพุทธิสารเถรของเรา
๓.๗ ท่าแพ....แพขา้ มฝั่งของกรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
หากเรายอ้ นกลบั มาท่ีถนนสายบา้ นส้อง-นครศรีฯ หมายเลข ๔๐๑๕ ตรงหนา้ บา้ นคลองงา
แลว้ เดินทางต่อไปที่บา้ นนา-ท่าแพ หมู่ ๑๔ ตาบลชา้ งกลาง ตรงหนา้ เรือนผกั กูดรีสอร์ทของนายกิตติ
๗๔
เจริญพาณิชย์ ที่น่ีมีสะพานขา้ มคลองท่าแพใหม่ ไม่มีประวตั ิอะไรมากนกั แต่หากเดินยอ้ นข้นึ ไป
อีกประมาณ ๑๐๐ เมตร ถึงสะพานขา้ มท่าแพเก่า
ตรงน้ีถือไดว้ า่ มีประวตั ิเก่ียวขอ้ งท่ีสาคญั เพราะเคยเป็นทา่ ขา้ มโดยแพของกรมหลวงลพบุรีรา
เมศวร์เม่ือวนั ท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๔๕๔ ตามกล่าวไวใ้ นจดหมายเหตุเขาพงั ไกร กรมหลวงลพบรุ ีราเม
ศวร์ ขณะน้นั เป็นขา้ หลวงเทศาภิบาลมณฑลนครศรีธรรมราช ท่านไดเ้ สดจ็ จากเมืองนครศรีธรรมราช
ผา่ นลานสกา เขา้ มาชา้ งกลางทางช่องเขาธงท่ามกลางป่ าอนั หนาทึบ สายน้าแตล่ ะสายในช่วงเวลาน้นั
ลว้ นแตเ่ ป็นสายน้าที่กวา้ งและลึก ในจดหมายเหตกุ ล่าวลาดบั การเสดจ็ เดินทางเพื่อไปตรวจราชการใน
เขตตา่ ง ๆ จากลานสกา เขา้ ชา้ งกลาง ไปฉวาง เขา้ ทุ่งสง – ออกร่อนพบิ ลู ยแ์ ลว้ กลบั เขา้ เมืองนครฯ
ระหวา่ งทาง ลงจากเขาธงแลว้ ท่านไดข้ า้ มทา่ แพ แลว้ ก็ไดเ้ ขา้ พกั ที่ “หนกั พลา” ซ่ึงเรียกชื่อ
เพ้ียนมาจาก “สานกั พลา” ริมคลองสงั เกียดซ่ึงเป็นคลองท่ีเกิดจากเขาสังเกียด ท่านพกั ที่ตรงน้ี ๑ คนื
กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์
ช่ือคลองสังเกียดน้ีชาวบา้ นเรียกขานกนั มานาน เพราะมีไมส้ งั เกียดข้นึ อยหู่ นาแน่นต้งั แตช่ ่วง
เขาสังเกียด กระทงั่ สองฝั่งคลอง ไมส้ งั เกียดเป็นไมเ้ น้ือแขง็ ตวั เน้ือไมส้ ีน้าตาลแก่ ใชท้ าดา้ มขวาน
ดา้ มจอบไดด้ ีนกั เพราะมีความเหนียว ทนทานเป็นที่หน่ึง แตต่ ่อมาทางราชการใหช้ ่ือตรงสะพานขา้ ม
คลองสังเกียดวา่ “คลองรังเกียจ” ซ่ึงเพ้ียนไปจนไมร่ ู้วา่ อะไรเป็นอะไร มีท่ีมาอยา่ งไร ซ้ายงั เป็นช่ือท่ีไม่
เป็นมงคลดว้ ย กระทงั่ ต่อมาในปี ๒๕๖๐ ไดม้ ีการประชุมคณะกรรมการเพื่อจดั ทาประวตั ิศาสตร์
อาเภอชา้ งกลาง เม่ือ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ไดย้ กเร่ือง “คลองรังเกียจ”ข้ึนมาพิจารณ์ สรุปไดว้ า่ เป็นที่
ชื่อที่ผิดไปจากท่ีมา ท้งั ไมม่ ีความหมายเป็นมงคลอะไร ซ้าร้ายยงั กลายเป็นช่ือกาลกิณีเสียดว้ ยซ้า
๗๕
นายอาเภอธีรพงศ์ ช่วยชู จึงไดด้ าเนินการเปล่ียนกลบั มาเป็นชื่อเดิมคอื “สะพานคลองสงั เกียด”ตามมติ
ของที่ประชุม ก็เป็นอนั วา่ ไดข้ อ้ ยตุ ิ
หนั กลบั มากลา่ วต่อเรื่องของคณะเจา้ ฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ เม่ือมาเจอกระแสน้า
มหาศาลดุจแม่น้าไหลจากน้าตกผา่ นที่ตรงน้ี คือที่ถนนตรงสะพานทา่ แพเก่า(ขณะน้นั ยงั เป็นป่ าทึบ)
พาหนะท่ีขา้ มไปไดท้ นั ทีคอื ชา้ ง แต่ชา้ งไม่อาจขนสัมภาระไปไดท้ ุกอยา่ ง จึงทาแพมดั ไมไ้ ผ่ มดั ละ
๕ – ๑๐ ลา เรียกวา่ แพลูกบวบ แลว้ เอาแพลูกบวบแต่ละมดั มารวมเขา้ หลายๆ มดั เป็นแพใหญ่ ขน
คน ขนสมั ภาระขา้ มไดท้ ีละมากๆ โดยใชห้ วายขนาดใหญ่ผกู หวั – ทา้ ย ถา้ จะไปฝั่งขวา คนท่ียนื ทาง
ฝั่งขวากด็ ึงแพเขา้ ไป ถา้ จะขา้ มมาฝั่งซา้ ย คนที่ยนื ทางฝ่ังซา้ ยก็ดึงแพเขา้ ไป คณะของพระองคท์ า่ น
รวมท้งั ขา้ วของกข็ า้ มทา่ ตรงน้ีไดส้ าเร็จ จึงไดช้ ่ือตรงน้ีวา่ “ท่าแพ” ต้งั แต่บดั น้นั เป็นตน้ มา คลองน้ีก็
พลอยไดช้ ่ือคลองท่าแพ รวมถึงน้าตกที่อยเู่ หนือคลองก็ไดช้ ื่อน้าตกทา่ แพดว้ ยเช่นกนั และยงั คงเรียก
ขานกนั มาจนถึงปัจจุบนั
เมื่อคร้ังเกิดอุทกภยั ใหญใ่ นวนั ท่ี ๕ มกราคม ๒๕๑๘ มีน้าไหลหลากขา้ มถนนช่วงน้ี ทาใหเ้ กิด
คลองเพ่ิมข้นึ อีก ๑ คลอง ห่างออกไปทางทิศตะวนั ตกของคลองทา่ แพเดิม ๑๐๐ เมตร เรียกกนั วา่
“คลองท่าแพใหม่”
จดหมายเหตุเขาพงั ไกรของนายเทพ เดชสุวรรณ ชาวอาเภอหัวไทรไดบ้ นั ทึกการเสดจ็ ของ
คณะเจา้ ฟ้ากรมหลวงลพบรุ ีราเมศวร์ไวว้ า่ ในวนั ที่ ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔ หลงั จากขา้ มแม่น้า
ลึกและกวา้ งที่ทา่ แพมาแลว้ ก็ไดเ้ ดินทางต่อมาพกั ที่ “สานกั พลา ริมคลองสังเกียด หรือท่ีปัจจุบนั ชาว
คลองงาเรียกวา่ “หนกั พลา” ซ่ึงเพ้ยี นมาจากคาวา่ “สานกั พลา” ทา่ นก็พกั ที่น่ี ๑ คนื รุ่งข้นึ เวลาบ่าย ๓
โมงของวนั ท่ี ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๕๔ กไ็ ดเ้ สดจ็ มาชมถ้าหม่ืนยม
ต่อมาวนั ท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๔๕๔ เมื่อพระองคเ์ สวยพระกระยาหารกลางวนั แลว้ ช่วงบ่าย
เสด็จออกเดินทางมายงั ฉวาง ผา่ นควนสงสาร ทรงเขา้ ประทบั แรมท่ีอาคารของโรงเรียนประถมฉวาง(
น.ศ.๑๑)ซ่ึงทรงทาพิธีเปิ ดใหม่
วนั ที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๕๔ มีพระกรณียกิจหลายประการ เวลา ๓ โมงเชา้ เสด็จจากฉวาง
ผา่ นคลองจนั ดี เดินทางต่อไปที่หลกั ชา้ ง เขา้ พกั ท่ีโคกทือ บา้ นพนั ช่วง กานนั ตาบลฉวาง(พนั ช่วงเป็น
ลกู คนสุดทอ้ งของหลวงไชยศรศิลป์ เจา้ กรมคนสุดทา้ ยของกรมชา้ งกลาง ต่อมาไดเ้ ลื่อนยศเป็นขนุ
ฉวางวิสิษฐ์ เพราะมีส่วนปราบเส่ือสีนุ่นไดส้ าเร็จ) การพกั ที่โคกทือในคนื น้นั ไดเ้ กิดฟ้าผา่ ววั ชาวบา้ น
ตายไป ๔ ตวั รุ่งเชา้ เจา้ ของววั มาร้องเรียนวา่ "ท่านเป็นถึงเจา้ ฟ้า แต่ทาไมปลอ่ ยฟ้าใหม้ าผา่ ววั ผม" ท่ีนี่
จึงไดเ้ ป็นที่เกิดของคนหวั หมอต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นตน้ มา
วนั ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๕๔ เสดจ็ ออกตรวจราชการทวั่ ไป
วนั ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๔๕๔ เพลา ๒ โมงเชา้ เสดจ็ ไปท่งุ สง ผา่ นหลกั ชา้ ง เขา้ ทุ่งสง”
ฯลฯ
๗๖
สภาพน้าตกท่าแพปัจจุบนั อยู่ลึกไปประมาณ ๒ กิโลเมตร มีช้นั น้าตก ๑๐ ช้นั ทางอทุ ยาน
แห่งชาติเปิ ดใหท้ ่องเที่ยวพกั ผอ่ นหย่อนใจเพยี ง ๓ ช้นั สาหรับผสู้ นใจศึกษาธรรมชาติ ทางอทุ ยาน
แห่งชาติไดจ้ ดั ทาเส้นทางศึกษาธรรมชาติถึงน้าตกช้นั ท่ี ๗ ไดแ้ ก่หนานแพนอ้ ย หนานนางครวญ
หนานเตย หนานอา้ ยซวย หนานปู หนานไผ่ และหนานน้าราง แตท่ ้งั น้ีตอ้ งอยใู่ นความดูแลของอทุ ยาน
แห่งชาติ
นา้ ตกท่าแพ
ส่วนสภาพคลองท่าแพในปัจจุบนั มีนา้ น้อย ตืน้ เขิน
๗๗
เดิมทอ้ งที่ท่าแพอยใู่ นหมทู่ ี่ ๑ บา้ นนา ตาบลชา้ งกลาง ตอ่ มาเกิดมีชุมชนเพ่ิมข้ึน จึงไดแ้ ยก
การปกครองออกมาเป็นหมูท่ ่ี ๑๔ เรียกวา่ “บา้ นท่าแพ” มีคาขวญั ประจาหมู่บา้ นวา่
“อนั ตานานเป็นเมืองท่าที่น่าอยู่ เทือกเขาค่รู ายเรียงเคียงขนาน
ป่ าไมส้ วยน้าตกหรูดูตระการ ดงั่ คาขานเป็นประตูสู่ชา้ งกลาง”
๓.๘ สวนขัน....พ้นื ที่ซ่อนทพั ของเจา้ พระยานครพดั
สวนขนั ปัจจุบนั เป็นตาบลหน่ึงในสามตาบลของอาเภอชา้ งกลาง เดิมเป็นทอ้ งที่อยใู่ นตาบล
ละอายหมู่ ๖ ต่อมาเมื่อ ๑๘ กนั ยายน ๒๕๒๗ ไดแ้ ยกเป็นตาบลสวนขนั ข้ึนกบั อาเภอฉวาง คร้ัน
เม่ือตาบลชา้ งกลาง ไดร้ ับการยกฐานะข้นึ เป็นกิ่งอาเภอในปี ๒๕๓๙ ตาบลสวนขนั ก็มาข้ึนกบั ก่ิง
อาเภอชา้ งกลาง มี ๙ หมบู่ า้ นคอื บา้ นสวนขนั หมู่ ๑ บา้ นเทพรัตนา(บา้ นกลางทงุ่ ) หมู่ ๒ บา้ นยางใน
ลมุ่ หมู่ ๓ บา้ นน้านอ้ ย หมู่ ๔ บา้ นไทรงาม หมู่ ๕ บา้ นคลองปี กเหนือ หมู่ ๖ บา้ นนายน หมู่ ๗
บา้ นหนองเหรียง หมู่ ๘ และบา้ นจอมทอง หมู่ ๙
พ้ืนที่ทิศเหนือติดตาบลละอาย ทิศใตต้ ิดตาบลชา้ งกลาง ทางทิศตะวนั ออกติดตาบลกาโลน
อาเภอลานสกา ส่วนทิศตะวนั ตกติดตาบลจนั ดี อาเภอฉวาง
ที่ไดช้ ื่อสวนขนั เพราะมีไมข้ นั ข้นึ อยจู่ านวนมาก เป็นไมย้ นื ตน้ ทรงพุ่มหนาสกลุ เดียวกบั ไม้
หนั ไมเ้ ตียว มีใบเรียว ดอกสีชมพอู อ่ นกลีบเล้ียงสีแดง ผลเป็นรูปกลมรี นิยมสกดั เอาน้ามนั มาใชใ้ น
พธิ ีไสยศาสตร์ ปัจจุบนั ยงั ปลูกอนุรักษไ์ วใ้ นวดั สวนขนั ซ่ึงเป็นวดั ที่ไดช้ ่ือตามไมข้ นั เช่นกนั
๗๘
ตน้ ไมข้ นั น้ี
- ถา้ ข้ึนท่ีเชียงใหม่ เรียกวา่ “ใครยอ้ ย, สารภีน้า”
- ท่ีบรุ ีรัมย์ เรียกวา่ “แตว้ น้า”
- ที่จงั หวดั เลย เรียกวา่ “ปูมปาม”
- ท่ีนราธิวาส เรียกวา่ “กาบมะพร้าว”
- แต่ถา้ ข้นึ ท่ีสุราษฎร์ธานี เรียกวา่ “คลา้ ยสองหู, ผีหน่ายหรือมุ่นน้า”
บริเวณคลองคดุ ดว้ น สวนขนั ไดช้ ื่อวา่ เป็นพ้ืนที่ประวตั ิศาสตร์สาคญั ในยคุ กรุงรัตนโกสินทร์
ตอนตน้ เพราะวา่ ท่ีน่ีเคยเป็นพ้ืนท่ีซ่อนทพั ของเจา้ พระยานครพดั ปัจจุบนั ยงั มีช่ือทพั เจา้ ยา ซ่ึง
เพ้ียนมาจากคาวา่ “ทพั เจา้ พระยา” และชื่อ “โคกทาเนียบ” ซ่ึงเป็นท่ีต้งั สานกั ทาเนียบชว่ั คราวของ
เจา้ พระยานครพดั เช่นกนั สาหรับโคกทาเนียบน้นั ในปัจจุบนั เป็นท่ีต้งั บา้ นของอาจารยศ์ รีจนั ทร์ พมุ่
พวง(เสียชีวิตแลว้ )
จากประวตั ิศาสตร์ดงั กลา่ ว พ้นื ท่ีบริเวณคุดดว้ น-สวนขนั แทบท้งั หมดจึงถกู กาหนดให้เป็นที่
ราชพสั ดุต้งั แตค่ ร้ังกรมพระยาดารงราชานุภาพ ปัจจุบนั ยงั ราคาคาซงั กนั ระหวา่ งราษฎรผคู้ รอบครอง
และหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ งยงั หาขอ้ ยตุ ิไมไ่ ด้ ทาใหห้ ลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ในทอ้ งที่น้ีเลือนหายไป
แทบหมดสิ้น แมว้ า่ ผคู้ รอบครองไดเ้ อกสารสิทธ์ิเป็นหนงั สือ น.ส.๓ ก แตก่ ็เอาไปจานอง จานา หรือค้า
ประกนั ไมไ่ ด้ เพราะธนาคารไมร่ ับเนื่องจากเป็นท่ีราชพสั ดุดงั กล่าวแลว้
ในอดีต มีประวตั ิในพงศาวดารภาคท่ี ๕๓ เลา่ วา่ เมื่อคร้ังพม่ายกกองทพั เรือมาตีภาคใต้ คร้ัง
น้นั ชื่อวา่ สงคราม ๙ ทพั ตรงกบั พ.ศ.๒๓๒๙ ในรัชกาลที่ ๑ พระเจา้ องั วะมอบใหแ้ กงหวนุ่ เมืองยี
เป็นแมท่ พั ใหญ่ เนมโยคงุ หรัด เป็นทพั หนา้ ยกเขา้ ตีเมืองชุมพร ไชยา(ขณะน้นั ยงั ไม่มีจงั หวดั สุ
ราษฎร์ธานี) เจา้ พระยานครพดั ไดจ้ ดั คนพนั เศษมาขดั ตาทพั พมา่ อยทู่ ี่ทา่ ทอง ต่อแดนไชยา อยคู่ นละ
ฝั่งแม่น้ายงั ไมไ่ ดร้ บกนั พมา่ ออกอุบายใหค้ นร้องบอกหลอกกองทพั เมืองนครฯ วา่ กรุงเทพฯ เสีย
แก่พม่าแลว้ ใหร้ ีบอ่อนนอ้ มยอมมอบเมืองเสียแต่โดยดี อยา่ มารบเลย ขา่ วน้ีรู้ไปถึงเจา้ พระยานครพดั
ที่เมืองนครฯ กห็ ลงเชื่อว่าเป็นจริงจึงไดพ้ าพวกเทครัวพร้อมกองทพั ใหญ่หนีพม่าไปทางร่อนพบิ ลู ย์
แต่พอไปถึงเทือกเขา กองทพั เดินต่อไปไมส่ ะดวก จึงไดเ้ ปลี่ยนทิศทางใหม่กลบั มาทางยวนแหล ครี ี
วง ออกลานสกา ขา้ มเขาธงมาออกบา้ นนา เขา้ ปลายคลองคุดดว้ น สวนขนั ปัจจุบนั เห็นวา่ ท่ีตรงน้ี
เหมาะท่ีจะซ่อนทพั พมา่ ยากที่จะติดตาม และหากรุกเขา้ มาก็ยงั มีโอกาสหนีไปทางตะวนั ตกไดง้ า่ ย
เพราะเป็ นท่ีราบและมีลาน้ าหลายสายไหลลงไปออกทะเล
ปัจจุบันมปี ้ายซอยทพั เจ้าพระยาอยู่ใน หมู่ ๙ บ้านจอมทอง ตาบลสวนขนั
๗๙
ท่ี ๆ เจา้ พระยานครพดั ต้งั กองทพั คราวน้นั ครอบคลมุ พ้ืนท่ีถึง ๑,๒๐๐ ไร่ โดยแยกได้ ๒
ส่วน คอื ดา้ นตะวนั ออกติดเชิงเขา มีน้าตก พืชพนั ธุ์ธญั ญาหารบริบูรณ์ เป็นดุจกาแพงป้องกนั ศตั รูได้
ส่วนดา้ นตะวนั ตก ทิศเหนือและใต้ เป็นที่ราบ เหมาะแก่การพานกั ปลูกผกั ผลไมเ้ พ่อื การบริโภค
ในคร้ังน้นั มีประตูเขา้ – ออกกองทพั ๒ ช้นั คือประตูช้นั นอกและช้นั ใน โดยมีนายด่านต้งั
กองระวงั รักษาหนา้ ท่ีในการเขา้ – ออกและส่งขา่ วสาร ที่ตรงน้ีต่อมาชาวบา้ นเรียกวา่ “ควนสงสาร”
คอื เป็นที่ส่งขา่ วสาร ไม่ใช่ “สงสาร” ท่ีแปลวา่ น่าเวทนาตามความหมายของภาษาไทย
พงศาวดารเล่าต่อไปวา่ ภายหลงั เม่ือกรมพระราชวงั บวร (บญุ มา) ยกกองทพั มาถึงเมืองชุมพร
ไดม้ ีพระบณั ฑูรดารัสสงั่ ใหพ้ ระยากลาโหมราชเสนา ยกกองทพั บกล่วงหนา้ ลงมาต้งั อยู่ ณ เมืองไชย
(ไชยา) ทา่ ทอง ณ ที่ตรงน้ีแหละท่ีบรรพบรุ ุษของสุเทพ เทือกสุบรรณชื่อนายสมฯไดร้ ับการแตง่ ต้งั ให้
เป็นผปู้ กครองเมืองท่าทอง ภายหลงั ไดเ้ ล่ือนเป็นพระยาสงครามภกั ดี
ฝ่ายกองทพั พม่าเม่ือมาเจอกองทพั ของพระยากลาโหมราชเสนากย็ กหนีไปทางตะวนั ตก คร้ัง
น้นั ไดพ้ จิ ารณาโทษเจา้ พระยานครพดั ที่ละทิ้งเมือง สรุปความวา่ ไม่มีความผิด กย็ กโทษใหแ้ ละให้
เป็นเจา้ พระยาครองเมืองนครศรีธรรมราชตอ่ มา เมื่อถึงแก่อสัญกรรม ก็บรรจุอฐั ิไวท้ ี่วดั ประดู่ ซ่ึง
เป็นวดั ท่ีมารดาของทา่ นไดส้ ร้างไวแ้ ตค่ ร้ังปลายแผน่ ดินอยธุ ยา
ทางดา้ นเมืองนครศรีธรรม ต่อมาเมื่อถึง พ.ศ.๒๓๕๔ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้
นภาลยั รัชกาลที่ ๒ กไ็ ดม้ ีพระบรมราชโองการประกาศแต่งต้งั เจา้ พระยานครนอ้ ย เช้ือสายพระเจา้ ตาก
สินปกครองสืบต่อมา สาหรับเจา้ พระยานครน้อยน้ีถือวา่ เป็นลูก ๒ พอ่ คอื
- ในทางทะเบียนถือวา่ เป็นลกู ของเจา้ พระยานครพดั เพราะมีแม่คือหญิงปรางท่ีพระ
เจา้ ตากสินประทานใหเ้ จา้ นครพดั
๘๐
- ในทางสายเลือดถือวา่ เป็นโอรสพระเจา้ ตาก เพราะตอนที่ทรงประทานหญิงปราง
ใหเ้ จา้ พระยานครพดั น้นั ต้งั ครรภก์ บั พระเจา้ ตากสินแลว้ ๒ เดือน
สาหรับทหารท่ียกกองทพั มาอยทู่ ี่ทพั เจา้ พระยาในพ้ืนท่ีสวนขนั คดุ ดว้ น-สวนขนั บางส่วนก็
ยงั คงต้งั รกรากอยใู่ นพ้ืนที่ดงั กลา่ วน้ี กลายเป็นบรรพบุรุษของหลายตระกูลในทอ้ งที่ตาบลละอาย
สวนขนั และชา้ งกลาง ทอ้ งที่น้ีจึงไดเ้ กิดบคุ คลสาคญั มากมาย นบั ไดต้ ้งั แต่เป็นนายกคนท่ี ๒๖ ลงมา
จนถึงระดบั ครู –อาจารย์ ชาวสวน ชาวไร่ที่อยกู่ ินอยา่ งอุดมสมบูรณ์
ทพั เจา้ พระยาปัจจุบนั คอื ทอ้ งท่ีปลายคลองคดุ ดว้ น ตาบลสวนขนั ราษฎรเขา้ จบั จองเป็น
เจา้ ของทาสวนยางพารา สวนผลไมเ้ ตม็ พ้ืนที่ ท่ีดินของ อาจารยศ์ รีจนั ทร์ พ่มุ พวงผเู้ คยเป็นครูสอนนาย
สมชาย วงศส์ วสั ด์ิอดีตนายกฯคนท่ี ๒๖ ก็อยใู่ นบริเวณน้ีดว้ ย
ในปี ๒๕๓๑ ทพั เจา้ พระยาตรงน้ีไดป้ ระสบอทุ กภยั จนไม่เหลืออะไรท่ีเป็นเครื่องหมายทพั
เจา้ พระยาเลย ต่อไปกค็ งเป็นเพียงชื่อที่เรียกขาน และนานๆ ไปกเ็ พ้ียนเสียงมีการเรียก “ทพั เจา้ ยา”
อยา่ งท่ีเรียกกนั หากไม่บนั ทึกไว้ ช่ือน้ีจะไมม่ ีปรากฏแก่ลูกหลาน และไมร่ ู้วา่ ทพั เจา้ พระยา และโคก
ทาเนียบคืออะไร
ตาบลสวนขนั นอกจากเป็นพ้นื ท่ีประวตั ิศาสตร์ดงั กล่าวแลว้ ยงั เป็นท่ีต้งั ศาสนสถานสาคญั
คือมีวดั สวนขนั ซ่ึงเป็นวดั ท่ีพ่อท่านคลา้ ย วาจาสิทธ์ิเป็นเจา้ อาวาสนานถึง ๖๕ ปี และเป็นแหลง่
ทอ่ งเที่ยวดว้ ย ที่หมู่ ๙ บา้ นจอมทอง ซ่ึงอยใู่ นเขตอทุ ยานแห่งชาติเขาหลวง มีน้าตก ๓ ช้นั ยงั มี
ธรรมชาติที่สวยงามเหมาะแก่การไปเที่ยวชมและศึกษาพนั ธุไ์ ม้
๓.๙ หลกั ช้าง.....หวั เมืองสาคญั สมยั พระเจา้ ตาก
หลกั ชา้ งเป็นหน่ึงในสามตาบลของอาเภอชา้ งกลาง มีเน้ือท่ี ๔๕ ตารางกิโลเมตร จากเน้ือท่ี
ท้งั หมด ๒๓๒ ตารางกิโลเมตร ของอาเภอชา้ งกลาง มีโรงเรียนระดบั ช้นั ประถมศึกษา ๕ โรง มีวดั
๓ วดั ปัจจุบนั แบ่งเขตการปกครองออกเป็น ๑๐ หมู่บา้ นดงั น้ี
แถววดั ธาตนุ อ้ ย เรียกโคกไมแ้ ดง อยใู่ นเขตบา้ นทงุ่ ปอนหมู่ ๑ บา้ นโคกทือถดั ไปทางทิศใต้
อยใู่ นเขตหมู่ ๒ บา้ นนาปรานทิศตะวนั ออกหมู่ ๓ บา้ นหนองเตย หมู่ ๔ บา้ นหนองไหล หมู่ ๕
บา้ นหลกั ชา้ งหมู่ ๖ บา้ นตน้ ซาง หมู่ ๗ บา้ นพรุไข่เตา่ หมู่ ๘ บา้ นโคกกระทอ้ น หมู่ ๙ บา้ นทุ่ง
ปอน หมู่ ๑๐
คาวา่ “หลกั ชา้ ง” เป็นช่ือด้งั เดิมมาแต่อดีต ซ่ึงหมายความวา่ เป็นที่ๆ ไล่ตอ้ นชา้ งป่ าใหเ้ ขา้
คอกเพือ่ คลอ้ งบว่ งจบั โดยต้งั คอกจบั ในบริเวณที่เป็นวดั คลองกยุ เด๋ียวน้ี(ปัจจุบนั อย่ใู นเขตอาเภอนา
บอน) ซ่ึงที่น่ีพระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๖ ไดเ้ คยเสดจ็ มาทอดพระเนตรการ
คลอ้ งชา้ งท่ีคลองกุยเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๕๘ เป็นการจดั ตามประเพณี ๓ ปี คร้ังของกรมการอาเภอฉวาง
ส่วนหลกั ชา้ งน้นั จึงหมายถึงการไล่, ตอ้ น, ดกั ชา้ งใหไ้ ปเขา้ คอกชา้ งคลองกยุ (คาวา่ “หลกั ” ของชาว
๘๑
ใตห้ มายถึง ดกั , ตอ้ น, ไล่, ซ่ึงท่ีจริงไมค่ วรเขียนวา่ “หลกั ” เพราะถา้ เขยี นอยา่ งน้ีหมายถึง หลกั ปัก
หรือหมดุ ปักสาหรับผกู สัตว์ เช่นหลกั ปักผกู ววั ฯลฯ เป็นตน้ คาวา่ “หลกั ”สาเนียงใตอ้ อกเสียงวา่ “ลกั๊ ”
แตถ่ า้ “ลกั ” สาเนียงใตจ้ ะออกเสียงวา่ “หลกั ”...ผเู้ ขียน )
หลกั ชา้ งในอดีต ยอ้ นรอยต้งั แต่ปี ๒๔๔๑ ข้ึนไป ไดช้ ่ือวา่ เป็น ๑ ใน ๔ หวั เมืองดา้ น
ตะวนั ตกของนครศรีธรรมราช ซ่ึงไดแ้ ก่หวั เมืองหลกั ชา้ ง กะเบียด ละอาย และพปิ นู ถา้ ถามวา่ หวั
เมืองชา้ งกลางอยตู่ รงไหน ก็ตอ้ งตอบวา่ ชา้ งกลางเดิมเป็นชื่อกรมชา้ ง ไมใ่ ช่ช่ือเมือง กรมชา้ งมี
หนา้ ที่จบั ชา้ ง เล้ียงชา้ ง ฝึกชา้ ง เพอ่ื ใชง้ านดา้ นยทุ ธการ การรักษาความปลอดภยั ของบา้ นเมือง ชา้ ง
กลางเพิง่ ไดก้ ลายมาเป็นช่ือบา้ น-นามเมืองเมื่อกรมชา้ งกลางสลายลงแลว้ และมีฐานะเป็นเพียงแขวง
เรียกวา่ แขวงชา้ งกลางในปลายรัชกาลที่ ๕ หวั หนา้ แขวงเรียกวา่ “กานนั ” ในกาลต่อมา
เมื่อคร้ังหลวงพานกั นิคมคาม (ขาว ณ นคร) อดีตนายอาเภอทุ่งสง ไดร้ ับคาส่ังจากส่วนกลาง
ใหส้ ารวจพ้ืนท่ี ๔ หวั เมือง คือ หลกั ชา้ ง กะเปี ยด ละอาย พิปนู ซ่ึงมีอาณาเขตกวา้ งใหญไ่ พศาลไปถึง
ไชยา เพอื่ จดั ต้งั เป็นอาเภอ ผลการสารวจ ปรากฏวา่ สามารถจดั ต้งั ไดถ้ ึง ๒ อาเภอ คอื อาเภอไชย
ศรศิลป์ และอาเภอฉวาง ดงั ไดก้ ลา่ วในตอนทงุ่ เจียกแลว้
ในการที่จะใหร้ ู้เรื่องหลกั ชา้ งอยา่ งละเอียด ตอ้ งมาที่วดั หลกั ชา้ งเป็นอนั ดบั แรก เพราะท่ีน้ีมี
ประวตั ิยดื ยาว ต้งั แตค่ ราวพระเจา้ ตากสินยกกองทพั มาปราบชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช เมื่อปี
๒๓๑๒ ซ่ึงตอนน้นั มีปลดั หนูผรู้ ้ังเมืองไดต้ ้งั ตวั เป็นหัวหนา้ ชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราช
๘๒
การยกกองทพั มาปราบปรามชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราชคร้ังน้นั ไดเ้ ดินทางบก มีพระยายม
ราชเป็นกองทพั หนา้ เจา้ พระยาจกั รี(แขก)เป็นแมท่ พั ใหญ่ พระยาพชิ ยั ราชาเป็นแม่ทพั รอง เดินทพั
ทางบกจากธนบรุ ี ผา่ นนครปฐม เพชรบุรี เขา้ ประจวบคีรีขนั ธ์ ออกชุมพร ไชยา มาบา้ นดอน ล่อง
แม่น้าตาปี เขา้ คลองมิน ชุมนุมพลที่บริเวณเป็นวดั หลกั ชา้ งเด๋ียวน้ี
ส่วนกองทพั ของพระเจา้ ตากสินมาทางเรือ เลียบฝ่ังทะเลแลว้ ตรงมาไชยา ออกทา่ ตระนอม
(ขนอม) ยกพลข้นึ บกที่ปากพญา เพื่อเขา้ ตีเมืองนครทางทิศเหนือ
ผลการเขา้ ตีเมืองนครพร้อมกนั ทกุ ทพั คราวน้นั สามารถปราบชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราชได้
เจา้ พระยานครหนูหนีไปพ่งึ พระยาตานี เจา้ พระยาจกั รีติดตามไปเอาตวั มาถวายพระเจา้ ตากสิน เสนา
ขนุ พลท้งั หลายลงมติใหป้ ระหาร แต่ดว้ ยความพระเมตตากรุณาของพระเจา้ ตากสิน ทรงดาริวา่ ตวั
เจา้ พระยานครหนูมิไดเ้ ป็นปรปักษศ์ ตั รูกบั พระองค์ แต่ดว้ ยเหตทุ ่ีกรุงศรีอยธุ ยาแตก เจา้ นครหนูซ่ึง
เป็นใหญใ่ นแผน่ ดินภาคใตอ้ ยแู่ ลว้ กต็ ้งั ตวั เป็นหวั หนา้ ชุมนุมข้ึน ดว้ ยเหตุดงั กล่าวพระเจา้ ตากสินจึง
ทรงเอาตวั ไปชุบเล้ียงที่กรุงธนบุรี ใหด้ ื่มน้าพพิ ฒั น์สัตยา ทาราชการสืบต่อมา
ส่วนท่ีนครน้นั เมื่อปราบชุมนุมเจา้ นครศรีธรรมราชไดแ้ ลว้ ก็ทรงต้งั “เจา้ นราสุริยวงศ”์ ผเู้ ป็น
พระเจา้ หลานเธอ เป็นเจา้ นครต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๓๑๒ เจา้ นราสุริยวงศ์ เป็นเจา้ นครได้ ๖ ปี ก็ถึงแก่
พริ าลยั ในช่วงเวลาน้นั พระเจา้ ตาก ซ่ึงตอ่ มาเรียกกนั วา่ พระเจา้ กรุงธนบุรีไดธ้ ิดาของพระยานครหนู
ถึง ๓ คนเป็นบาทบริจาแลว้ อนั ไดแ้ ก่เจา้ ฉิม เจา้ จวนและเจา้ ปราง ๓ พ่นี อ้ ง จึงไดโ้ ปรดใหเ้ จา้ พระยา
นครหนูมาเป็นเจา้ พระยานคร มีศกั ด์ิเทียบช้นั พระเจา้ แผ่นดินโดยพระราชทานนามจารึกใน
สุพรรณบฏั วา่ “พระเจา้ ขตั ิยราชนิคม สมมตุ ิมไหศวรรย์ พระเจา้ นครศรีธรรมราช เจา้ ขณั ฑสีมา”
เมื่อปี ๒๓๑๙ มีอานาจแตง่ ต้งั พระยา อคั รมหาเสนา และจตสุ ดมภส์ าหรับเมืองนครได้ เม่ือไดเ้ ป็น
เจา้ แผน่ ดินแห่งนครศรีธรรมราชแลว้ เจา้ พระยานครหนูไดใ้ หข้ ดุ คลองมินใหม่ในหลกั ชา้ งท่ีเป็นสาขา
ของแมน่ ้าตาปี ใหไ้ ปเช่ือมกบั คลองวงั หีบในทงุ่ สงซ่ึงเป็นสาขาแมน่ ้าตรัง เพ่ือใหเ้ ป็นเส้นทางน้า
ระหวา่ งมหาสมทุ รแปซิฟิ คกบั อา่ วไทย ปัจจุบนั ยงั เรียกกนั วา่ “คลองขดุ ”
ผลพวงจากการพกั พลและระดมพลเขา้ กองทพั ท่ีหลกั ชา้ งของเจา้ พระยาจกั รีคร้ังน้นั ทาให้
หลกั ชา้ งกลายเป็นเมืองประวตั ิศาสตร์เก่ียวโยงกบั กรุงธนบรุ ี และกรุงรัตนโกสินทร์ในระยะต่อมา
เพราะท่ีน่ีเจา้ พระยาจกั รีไดร้ ะดมพลทหารจาก ๗,๐๐๐ คนเป็น ๑๐,๐๐๐ คน ระดมชา้ งเขา้ สงคราม
ได้ ๒๐๐ เชือก มา้ ได้ ๑๐๐ ตวั เช่ือกนั วา่ ไดม้ ีการปลูกไมม้ งคลในบริเวณหลกั ชา้ ง ซ่ึงขณะน้นั คง
เป็นเพียงสานกั สงฆเ์ พราะดูตามหลกั ฐานของกรมศาสนาแลว้ เพิง่ ไดส้ ถาปนาข้ึนเป็นวดั เม่ือปี
๒๓๒๕ ซ่ึงเป็นปี แรกท่ีเริ่มต้งั กรุงรัตนโกสินทร์ ไมม้ งคลท่ีปลูกคราวน้นั คงเป็นไมพ้ กิ ุล บุนนาค
ตน้ มะขาม ตน้ โพธ์ิเงิน โพธ์ิทอง เจริญเติบโตมาจนถึงปัจจุบนั เหลือเพยี งมะขามเฒ่ากบั ตน้ โพธ์ิทอง
อีกตน้ หน่ึง
๘๓
หลกั ชา้ งในอดีต นอกจากจะเป็นชยั ภูมิชุมพลของเจา้ พระยาจกั รีแลว้ ยงั เป็นทา่ น้าของการ
เขา้ มาต้งั ถิ่นฐานบา้ นช่องของชาวจีนฮกจิว* ซ่ึงเขา้ มาทางบา้ นดอนทวนกระแสแม่น้าตาปี แลว้ เขา้ มา
ทางปากน้ามิน ต้งั ชุมชนที่เป็นตลาดหลกั ชา้ งเดียวน้ี ส่วนหน่ึงแยกเขา้ คลองกยุ ต้งั ชุมชนท่ีบา้ นคลอง
กยุ ซ่ึงเป็นบรรพบุรุษฝ่ายบิดาของนายชินวรณ์ บณุ ยเกียรติ อดีตรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการ
ส่วนหน่ึงข้ึนทาสวนยางในบริเวณควนกรอบท่ีเป็นสวนขององคก์ ารสวนยางเดี๋ยวน้ี ซ่ึงต่อมานายชุม
มนุ ิกานนท์ อดีตผอู้ านวยการองคก์ ารสวนยางดาเนินการยดึ มาเป็นของรัฐโดยอาศยั อานาจพระราช
กฤษฎีกาท่ีตราข้นึ เพ่ือการน้ีเม่ือปี พ.ศ.๒๔๙๘
-----------------------------------
ชาวฮกจิว* คือกล่มุ ชาวจีนฮกเกีย้ นที่อพยพมาจากทางตอนเหนือของมณฑลฮกเกยี้ น (ฝเู จีย้ น) มีเมือง
เอกคือเมืองฮกจิว (ฝูโจว) พืน้ ที่เขตของชาวฮกจิ่ว คือต้งั แต่ตอนเหนือของมณฑลลงมาจนสิ้นสุด
รอยต่อระหว่างเมืองเอ้หมึง ชาวฮกจิวท่ีอพยพเข้าเมืองไทย คาดว่าน่าจะมเี ยอะท่ีสุดและเป็นที่แรกท่ี
ชาวฮกจิวอย่ใู นประเทศไทย กค็ ือ จังหวัดภเู กต็
หลกั ชา้ งในระยะตอ่ มามีความสาคญั ยงิ่ ข้นึ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๓๖๓ – ๒๔๐๕ ช่วงรัชกาลท่ี
๓ ต่อที่ ๔ ไดม้ ีฐานะเป็นหวั เมืองสาคญั ๑ ใน ๔ หวั เมืองทางทิศตะวนั ตกของนครศรีธรรมราช
เรียกวา่ “หวั เมืองหลกั ชา้ ง” ขนุ ฉวางวิสิษฐ์ กานนั คนท่ี ๒ ของตาบลฉวางไดเ้ ขยี นบนั ทึกไวใ้ น
อตั ตะชีวประวตั ิเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๕ เก่ียวกบั หวั เมืองหลกั ชา้ ง สรุปไดว้ า่ ผดู้ ารงตาแหน่งมีบรรดาศกั ด์ิ
เป็นหลวง คือ “หลวงจบกระบวนยทุ ธ” ศกั ดินา ๑,๒๐๐ ไร่ มีปลดั คือหมื่นไกรพลหาญ ศกั ดินา
๔๐๐ ไร่ การสัญจรทางน้า มีคลองมิน คลองกยุ คลองจนั ดี เป็นหลกั ส่วนทางบกมีทางเดินจาก
ฉวาง มาหลกั ชา้ ง ออกทงุ่ สง
ถึงหลกั ชา้ งตอ้ งมาชมวดั หลกั ชา้ ง ท่ีนี่มีของแปลก ๓ อยา่ ง คอื
๑. พระประธานในโบสถ์ โบสถน์ ้ีมีพระประธาน ๒ องค์ ผดิ กบั ท่ีวดั อ่ืนๆ ท่ีมีพระ
ประธานเพียงองคเ์ ดียว มีประวตั ิวา่ พ่อทา่ นคลา้ ยไดน้ าพระพทุ ธรูป ๒ องคน์ ้ีมาจากวดั โพธ์ิ อาเภอ
พนุ พินเมื่อปี ๒๔๖๗ คร้ังแรกนามาพกั ที่วดั จนั ดี แลว้ ลากผา่ นควนตมเลียบรางรถไฟจนถึงวดั หลกั
ชา้ ง เชิญประดิษฐานไวใ้ นโบสถ์ ที่น่าแปลกคือพระพุทธรูป ๒ องคน์ ้ีมีขนาดไม่เท่ากนั ดูเหมือน
เป็นองคพ์ ี่องคน์ อ้ ง พ่อท่านคลา้ ยใหช้ ื่อองคใ์ หญ่วา่ “ทา้ วเทพกระษตั รี” องคร์ องวา่ “ทา้ วศรีสุนทร”
ก็เป็นที่น่าแปลก เพราะชื่อน้ีเป็นวีรสตรีของเมืองถลาง (ภเู ก็ต) เม่ือคราวสูก้ บั พมา่ ในสงครามเกา้ ทพั
พ.ศ.๒๓๒๙ สมยั รัชกาลท่ี ๑ เหตใุ ดจึงเป็นเช่นน้นั พ่อท่านคลา้ ยบอกวา่ มีคนเสนอชื่อถึงในหลวง
โปรดเกลา้ ฯ ใหใ้ ชช้ ื่อน้ี เมื่อมาเทียบเคียงดูค่ายทหารที่กะปาง ทุ่งสง ไมเ่ กี่ยวกบั เมืองถลางเลย แต่
ทางการกใ็ หถ้ ือวา่ “ค่ายเทพสตรีฯ” ซ่ึงเป็นหน่ึงในสองวีสตรีของเมืองถลาง เช่นกนั
๒.ท่ีวดั น้ีมีใบเสมาแฝด คือมีคู่เหมือนวดั สอ (สรรเสริญ) อ.ลานสกา และวดั
มหาธาตุ ที่ อ.เมืองนครฯ วดั ใดมีใบเสมา (พทั ธสีมา) คู่ ถือวา่ วดั น้นั เป็นวดั ท่ีเจา้ นายช้นั สูงสร้าง
๘๔
หรือกษตั ริยเ์ ป็นผสู้ ร้าง สาหรับวดั มะนาวหวาน ผเู้ ขยี นไดเ้ ห็นคร้ังสุดทา้ ยประมาณปี ๒๕๑๐ โผล่
จากพ้ืนดินริมโบสถเ์ ก่า เป็นใบเสมาเด่ียว แลว้ ก็อนั ตรธานไปเมื่อมีการไถปรับดินรอบโบสถเ์ พอื่ ทา
โบสถใ์ หม่ น่าเสียดายท่ีหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์สูญไป
๓.ท่ีวดั หลกั ชา้ งมีตน้ มะขามยกั ษ์ และตน้ โพธ์ิทอง ประมาณวา่ มีอายุ ๒๐๐ ปี คง
จะปลูกพร้อมๆ กบั ตน้ มงั คุดท่ีวดั สอ อ.ลานสกา
สถานรี ถไฟหลกั ช้าง
๓.๑๐ โคกทือ....ถ่ินเกิดคนหวั หมอและพ่อท่านคลา้ ย
โคกทือ อยใู่ นเขตหมู่ ๒ สามารถเดินทางจากวดั หลกั ชา้ งไดต้ ามเส้นทางหมายเลข ๔๐๑๙
หรือเขา้ ทางถนนซอย ออกทะลกุ นั ไดท้ กุ หมู่บา้ น โคกทือในอดีตมีความสาคญั ดงั น้ี
-โคกทือ...เป็ นทเ่ี กดิ ของคนหัวหมอ ท่ีพูดกนั ทว่ั ไปวา่ คนเมืองนครเป็นคนหวั หมอ
ตน้ กาเนิดเกิดที่โคกทือนี่เอง คอื เม่ือคราวสมเด็จเจา้ ฟ้ากรมขนุ ลพบุรีราเมศวร์ เสด็จตรวจราชการหัว
เมืองปักษใ์ ตแ้ ละไดแ้ วะประทบั แรมที่บา้ นพนั ช่วง ซ่ึงเป็นบา้ นเดิมของหลวงไชยศรศิลป์ เม่ือวนั ท่ี
๑๘ พฤษภาคม ๒๔๕๔ (ตามหลกั ฐานจดหมายเหตุเขาพงั ไกร) ท่ีโคกทือ วนั น้นั ขณะที่สมเดจ็ เจา้ ฟ้า
กรมหลวงลพบรุ ีราเมศวร์กาลงั เล่นหมากรุกกบั มหาดเลก็ บงั เอิญฝนตก เกิดฟ้าผา่ ววั ชาวบา้ นตายไป
๔ ตวั ผเู้ ป็นเจา้ ของววั ไดม้ าเฝ้าสมเดจ็ เจา้ ฟ้ากรมขนุ ลพบรุ ีราเมศวร์ ทลู วา่ ท่านเป็นถึงเจา้ ฟ้าทาไมจึง
ปล่อยฟ้าใหผ้ า่ ววั ผม สมเด็จเจา้ ฟ้าฯ ทรงสรวลดว้ ยความพอพระทยั แลว้ ถามวา่ จะเอาค่าเสียหาย
๘๕
เท่าใด ชายคนน้นั ตอบวา่ ๓ บาท ทา่ นประทานให้ ๔ บาท เทียบกบั ค่าเงินปัจจุบนั คงมาก เพราะ
สมยั น้นั ยงั ใชเ้ งินเฟ้ื องสลึงกนั อยู่ ท่ีนี่จึงเป็นตน้ กาเนิดของคนหวั หมอ แลว้ กก็ ระจายออกไปทว่ั ชา้ ง
กลาง ฉวาง รวมไปถึงเมืองนครฯ ท้งั จงั หวดั คนปักษใ์ ตจ้ ากนครศรีธรรมราชเขา้ กรุงเทพฯ เขาวา่
คนนครฯ นี่หวั หมอ เร่ืองน้ีประยทุ ธ์ สิทธิพนั ธุ์ เล่าไวใ้ นหนงั สือ ลกู เสือส่ีแผน่ ดิน
- โคกทือ......บ้านเกดิ ของพ่อท่านคล้าย วาจาสิทธ์ิ
ช่ือพอ่ ทา่ นคลา้ ยน้ีติดแผ่นดินแทบทกุ แห่งในภาคใต้ แมภ้ าคอ่ืน หากมีคนปักษใ์ ตไ้ ปอยทู่ ่ีใด
ก็จะพาท่านไปอยดู่ ว้ ย เช่นคณุ อุดม ศรีทิพยจ์ ากบา้ นจนั ดีไปอยบู่ ึงกาฬ ก็พาพอ่ ทา่ นคลา้ ยไปอยทู่ ่ีนน่ั
คุณพิชยั สันตจิตจากบา้ นมะนาวหวานไปอยพู่ ิษณุโลก ก็พาทา่ นไปอยู่ดว้ ยเช่นกนั ส่ิงท่ีคนท้งั หลาย
นาไปอยดู่ ว้ ย บา้ งก็เป็นรูปถ่าย พระเครื่อง ชานหมาก พระหล่อรูปเหมือน
พ่อทา่ นคลา้ ยมีชีวิตยรู่ ะหวา่ งปี พ.ศ.๒๔๑๙ – ๒๕๑๓ ตามประวตั ิท่ีพระราชวราภรณ์(เจิม
กนฺตสีโล ป.ธ.๘)แห่งวดั ราชาธิวาส ตรวจสอบและไดข้ อ้ ยตุ ิเขียนไวว้ า่ “พอ่ ทา่ นคลา้ ยเกิดที่บา้ น
โคกทือ เม่ือปี ชวด เดือน ๔ ข้นึ ๑๕ ค่า จุลศกั ราช ๑๒๓๘ อฏั ฐศก ตรงกบั วนั องั คารที่ ๒๗
มีนาคม ๒๔๑๙” คือเมื่อ ๑๔๑ ปี มาแลว้ (๒๕๖๐) และละสังขารดว้ ยอาการสงบที่โรงพยาบาลพระ
๘๖
มงกฎุ เกลา้ เม่ือวนั ท่ี ๕ ธนั วาคม ๒๕๑๓ เวลา ๒๓.๐๕ น. สิริอายไุ ด้ ๙๖ ปี รูปป้ันพ่อท่านคลา้ ยบาง
รุ่นเขยี นท่ีฐานวา่ ๓๔๑ นนั่ หมายความวา่ ทา่ นเกิดวนั องั คารเดือนสี่ปี ชวด
- ๓ คอื วนั องั คาร
- ๔ คอื เดือน ๔
- ๑ คอื ปี ชวด
พอ่ ท่านคลา้ ย คือพระเกจิอาจารยท์ ่ีไดส้ มณศกั ด์ิวา่ “พระครูพิศิษฐอ์ รรถการ” ซ่ึงหมายถึง
“ทา่ นผทู้ ี่มีถอ้ ยคาอนั เลิศ” คาวา่ “พิศิษฐ์”มาจากคาบาลีวา่ “วสิ ิฐ” แปลวา่ “เลิศ”ถอ้ ยคาท่ีเรียกวา่ เลิศ
หรือประเสริฐน้นั คือถอ้ ยคาพูดที่เป็นความสัจ ความจริง ความถูกตอ้ ง พอ่ ท่านคลา้ ยพดู แตถ่ อ้ ยคา
ดงั กล่าวน้ีมาตลอดชีวิตในทุกเหตกุ ารณ์ และทกุ สถานท่ี ดว้ ยเหตุน้ีทา่ นจึงไดส้ มญานามต่อทา้ ยช่ือวา่
“วาจาสิทธ์ิ” ยกตวั อยา่ งคาพูดที่เป็นวาจาสิทธ์ิของท่านคอื
- มีชาวบา้ นโคกทือรายหน่ึง ช่ือนายพริก ชอบลกั เลก็ ขโมยนอ้ ยเป็นประจา จน
ชาวบา้ นเอือมระอามาฟ้องพ่อท่านคลา้ ยวา่ “อา้ ยพริก มนั ลกั เหลือเหตุ แกไ้ ขปรือละพอ่ ทา่ น?” ต่อมา
เมื่อมีคนพานายพริกไปพบ ทา่ นบอกนายพริกวา่ “อยา่ ลกั ของเขาพอ่ เหอ ขอเขากินดีหวา” และต้งั แต่
บดั น้นั เป็นตน้ มา นายพริกกเ็ ที่ยวเดินขอเขาตลอดมา ท้งั ๆ ที่มีฐานะอนั มีจะกินจะใชอ้ ยา่ งบริบูรณ์
แต่ยงั เท่ียวขอทานตลอดชีวิต มีคนถามวา่ “ทาไม่เป็นขอทานล่ะ” นายพริกตอบวา่ “พอ่ ทา่ นสั่งใหข้ อ”
น่ีก็เหมือนตอ้ งคาสาป คอื ถูกพ่อท่านคลา้ ยสาปใหเ้ ป็นขอทาน ความจริงพอ่ ทา่ นคลา้ ยไมไ่ ดส้ าป
หรอก ท่านเพยี งตอ้ งการสอนนายพริกใหต้ ้งั อยใู่ นศีลในธรรม วา่ อยา่ เป็นโจรเป็นขโมย เพราะมนั ผิด
ศีลขอ้ ท่ี ๒ และนายพริกก็คอื เอาคาสอนของพ่อทา่ นคลา้ ยมาปฏิบตั ิอยา่ งจริงจงั ไม่ขาดเลย จน
กลายเป็นขอทานในสายตาของชาวบา้ น
-อีกตวั อยา่ งหน่ึงที่ถือวา่ เป็น “วาจาสิทธ์ิ” คอื เม่ือคราวสร้างโบสถห์ ลงั ใหม่วดั หลกั
ชา้ งสมยั พ่อท่านพุ่มเป็นเจา้ อาวาส ไดน้ ิมนตพ์ ่อทา่ นคลา้ ยมาเป็นประธานการสร้าง คราวน้นั ไม่มี
ทรายก่อสร้าง ชาวบา้ นตอ้ งช่วยกนั ขนทรายจากท่ีอื่นไดร้ ับความลาบากมาก พ่อท่านคลา้ ยเห็นแลว้
สงสาร นง่ั น่ิงอยคู่ รู่หน่ึง แลว้ พูดวา่ “กลบั ไปทานากนั ก่อนเถิดบ่าวเห่อ มีทรายแลว้ ค่อยมาทาหล่าว”
การก่อสร้างอโุ บสถจึงจาตอ้ งหยดุ ลงชวั่ คราว แต่ปรากฎต่อมาวา่ ในคืนน้นั เองฝนตกลงมาอยา่ งหนกั
ทาใหค้ ลองใกลว้ ดั มีน้าเตม็ ตล่ิง พอน้าลดมีทรายกองอยทู่ ี่หาดทรายริมคลองหนา้ วดั ห่างจากตาแหน่ง
ท่ีสร้างพระอุโบสถประมาณ ๘๐ เมตร ชาวบา้ นที่พบกองทรายน้นั จึงรีบว่ิงไปบอกพอ่ ท่านคลา้ ยซ่ึง
กาลงั นงั่ ฉนั เพลอยใู่ นศาลาหลงั นอ้ ยใตต้ น้ พกิ ลุ พ่อทา่ นคลา้ ยยมิ้ ตอบและพูดวา่ “ตาเหมน(เทวดา
อารักษเ์ ขาเหมน)เคา้ เอาทรายมาใหแ้ รกคนื วาโนน้ บา่ วเห่อ” หลงั จากน้นั ชาวบา้ นจึงมาช่วยกนั ขน
ทรายและก่อสร้างจนพระอุโบสถเสร็จสมบูรณ์ ดงั ปรากฏอยใู่ นปัจจุบนั วาจาสิทธ์ิเรื่องน้ีอยทู่ ่ีวา่ ท่าน
เป็นผรู้ ู้เห็นเหตกุ ารณ์ของธรรมชาติท่ีเป็นไปอยู่
๘๗
โคกทือสมยั ท่ีพอ่ ทา่ นคลา้ ยเกิดน้นั มีคนที่เป็นนกั ปราชญส์ ามารถอา่ น-เขยี นไดท้ ้งั ภาษาไทย
และภาษาขอมอยา่ งชานาญอยคู่ นหน่ึง คือ นายอินทร์ สีนิล บิดาของพอ่ ทา่ นคลา้ ย นน่ั เอง ดว้ ยเหตุ
น้ีที่โคกทือจึงเป็นท้งั สานกั และครูคนแรกที่ใหพ้ ่อทา่ นคลา้ ยไดเ้ รียนรู้มาต้งั แต่เด็กๆ
- โคกทือ...เป็ นท่ีต้งั บ้านของหลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) เจา้ กรมชา้ งกลางคนสุดทา้ ยของ
เจา้ พระยานคร ต่อมาบา้ นหลงั น้ีตกแก่ทายาทคนสุดทอ้ งคือขนุ ฉวางวสิ ิษฐ์(ช่วง ศิลปรัศมี) กานนั คนท่ี
สองของตาบลฉวาง ซ่ึงเป็นผหู้ น่ึงท่ีไดร้ ่วมกนั ปราบขนุ โจรเสือสีนุ่นในขณะท่ียงั มียศเป็นพนั ช่วง
- โคกทือ.....มีสุสานหอยซ่ึงยงั ไม่มีการพิศจู น์อายุ แตม่ ีเปลือกหอยเป็นลา้ น ๆ
สุสานหอยในโคกทือ หมู่ ๒ ตาบลหลกั ชา้ ง
๓.๑๑ ควนตม.....พืน้ ท่สี ร้างทางรถไฟยากทส่ี ุด
บา้ นควนตมอยใู่ นหมู่ ๒ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง ในอดีตเป็นป่ าทึบท่ีเช่ือมตอ่ กบั ป่ า
สงวนควนพลอง เป็นที่เดินผา่ นของโขลงชา้ งป่ าหลายโขลง ซ่ึงส่วนหน่ึงมาจากป่ าในท่งุ ใหญ่ การ
๘๘
สร้างทางรถไฟสมยั รัชกาลที่ ๕ ระหวา่ งฉวาง-ทงุ่ สง ตอ้ งผา่ นป่ าควนตม ไดช้ ื่อวา่ เป็นการสร้างทาง
รถไฟท่ีมีอุปสรรคมากท่ีสุด การต้งั แคมป์ ค่ายคนงานกท็ าไมไ่ ด้ เพราะที่น่ีเป็นทางเดินผา่ นของโขลง
ชา้ ง เมื่อพบส่ิงกีดขวาง ชา้ งจะทาลายท้งั ตอนเชา้ และเยน็ ธรรมชาติของชา้ งถือเอาดวงอาทิตยข์ ้นึ เป็น
เวลาออกหากิน จึงมงุ่ หนา้ สู่ทิศตะวนั ออก เจอส่ิงกีดขวางทางเดิน โดยเฉพาะส่ิงก่อสร้างทางรถไฟ ก็
ทาลาย ยกร้ือรางท่ีพวกคนงานกาลงั วางไว้ พอตกเยน็ ดวงอาทิตยใ์ กลจ้ ะลบั ขอบฟ้า พวกชา้ งท้งั หลาย
กเ็ ดินทางกลบั ท่ีพกั นอนของตนตามทิศท่ีดวงอาทิตยต์ กดิน เดินผา่ นเสน้ ทางรถไฟกาลงั สร้างอีก ก็
ตรงเขา้ ยกร้ือสิ่งกีดขวางทางเดิน ไม่วา่ จะเป็นแคมป์ ค่าย หรือวสั ดุส่ิงใด หากวางขวางทางเดิน พวก
เขาจะเขา้ ทาลายหมด เป็นปัญหาแก่การสร้างทางรถไฟเป็นอยา่ งยง่ิ
ในท่ีสุด การแกป้ ัญหาน้ีก็คือทางการรถไฟตอ้ งร่วมมือกบั กรมการอาเภอฉวางจดั การจบั ชา้ ง
ป่ าที่นี่ออกไปขายให้แก่พวกฝร่ังท่ีปี นงั สิงคโปร์ เป็นจานวนมาก กส็ ามารถหยดุ ย้งั การทาลายราง
รถไฟท่ีกาลงั สร้างใหมไ่ ด้ ก็ผา่ นอุปสรรคสาคญั ลงไปได้ แตก่ ระน้นั เราตอ้ งเสียชา้ งไปเยอะ
การสร้างทางรถไฟสายใตช้ ่วงระหวา่ งสุราษร์-นครศรีฯ น้นั เป็นช่วงที่สร้างไดย้ ากท่ีสุด เพราะ
นอกจากจะตอ้ งสร้างผา่ นแม่น้าตาปี แลว้ ยงั ตอ้ งสร้างผา่ นควนตม ถ่ินชา้ งอีกดว้ ย เพราะเป็นการ
ตดั ขวางทางเดินของชา้ งท่ีใชด้ วงอาทิตยเ์ ป็นเป้าหมายในการออกหากินและกลบั ท่ีพกั นอนดงั กล่าว
แลว้
๓.๑๒ คลองกยุ .....คอกจบั ช้างในอดีต
บา้ นคลองกุยอยใู่ นทอ้ งท่ี ม.๘ ตาบลชา้ งกลางท่ีเรียกช่ือหมบู่ า้ นแห่งน้ีวา่ “คลองกุย” เพราะ
ไดช้ ื่อตามพืชชนิดหน่ึงท่ีชื่อวา่ “ตน้ กุย”ลาตน้ คลา้ ยกบั ตน้ ข่า ใตใ้ บเป็นกุยหรือขุย ผลสีแดง
รับประทานได้ มีรสเปร้ียวอมหวาน ผลออกท่ียอดเป็นช่อ ข้ึนตามริมคลอง จึงเรียกบริเวณดงั กล่าวน้ี
วา่ “คลองกยุ ”
๘๙
มีประวตั ิความเป็นมาวา่ บา้ นคลองกยุ ซ่ึงเดิมรวมไปถึงวดั คลองกยุ (ปัจจุบนั วดั คลองกุยอยใู่ น
เขตอาเภอนาบอน) มีความสาคญั มากเพราะเป็นคอกจบั ชา้ ง ที่สถานีรถไฟ ซ่ึงปัจจุบนั ยงั คงเป็นเพยี ง
ป้ายจอดรถไฟ เมื่อวนั ท่ี ๑๗ กรกฎาคม ปี พ.ศ.๒๔๕๘ เคยเป็นที่จุดรถไฟพระท่ีนงั่ ของรัชกาลท่ี ๖
มาหยดุ และเสดจ็ ทอดพระเนตรการจบั ชา้ งที่คอกคลองกุย(ปัจจุบนั เป็นพ้นื ที่วดั คลองกุย) บคุ คลท่ีทนั
เห็นในหลวงรัชกาลที่ ๖ มาประทบั ที่นี่ คือ
- นางเหว บุณยเกียรติ ยา่ ของคุณชินวรณ์ เล่าใหล้ กู หลานฟังซ่ึงบนั ทึกไวใ้ นหนงั สือ
พระราชทานเพลิงศพนายหอ้ ง บณุ ยเกียรติวา่ รัชกาลท่ี ๖ ไดเ้ สด็จมาทอดพระเนตรการคลอ้ งชา้ งท่ี
สถานีรถไฟบา้ นคลองกยุ และไดท้ รงเสดจ็ ประทบั ท่ีหนา้ บา้ นของท่าน นางเหวเลา่ วา่ ดีใจและต่ืนเตน้
มาก ในขณะน้นั กาลงั ทอ้ งแก่ใกลค้ ลอด แตก่ พ็ ยายามทีจ่ ะรอเฝ้ารับเสดจ็ ใหไ้ ด้ เม่ือเสดจ็ คลอ้ งชา้ ง
เป็นที่เรียบร้อยแลว้ กเ็ สด็จกลบั พระนคร
- หลวงพ่อแสง แห่งวดั คลองกยุ ขณะอายุ ๙๓ ปี ไดเ้ ลา่ ใหน้ ายชาลี ศิลปรัศมี ฟังซ่ึงบนั ทึกไว้
เมื่อ พ.ศ.๒๕๓๕ วา่
“วนั ท่ีรับเสด็จพระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๖ คนมารับเสด็จกนั มืดฟ้ามวั ดินแน่นไปหมดท้งั ๒
ฟากทางรถไฟ ชา้ งของกานนั ผใู้ หญ่บา้ น นบั ร้อยยนื อยทู่ ว่ั ไปตามราวป่ า หลวงพ่อแสงเองขณะน้นั อายุ
๑๒ ปี ยงั เป็นวยั รุ่น แตง่ กายพายเหน่ง ผา้ ถงุ พาดเฉียงบ่า พอรถไฟพระที่นง่ั หยดุ สนิท ผทู้ ี่ออกมาก่อน
คอื หมาตวั ใหญ่ ๒ ตวั ล่ามโซ่ทอง จูงดว้ ยเด็กชายวยั รุ่น ๒ คน แตง่ ชุดขาว ต่อมาก็มีเด็กชายชุดขาว
๙๐
เหมือนกนั ประมาณ ๗ – ๘ คน กรูเกรียวลงมาจากรถไฟโดยมีทหารเดินนาหนา้ เดก็ เหลา่ น้ีไดย้ นิ เขา
เรียกกนั วา่ “พระ-หน่อ” (ตวั แทนของกษตั ริย)์
สกั พกั กม็ ีทหารออกมายนื รับเสดจ็ ประมาณ ๑๑ – ๑๒ คน แลว้ ก็มีเสือป่ าอาเภอฉวาง ๘ นาย
หามพระเกา้ อ้ีคานหามมาเทียบประตรู ถไฟแลว้ กห็ ามไปยงั ปะราพิธี คนที่นงั่ บนเกา้ อ้ีคือ พระ
เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๖ ทรงชุดเสือป่ า”
วัดคลองกยุ ปัจจุบนั อย่ใู นอาเภอนาบอน
จากจุดน้ีหากตอ้ งการเท่ียวทางรถไฟตามรอยรัชกาลท่ี ๖ ใหข้ ้ึนรถไฟที่สถานีคลองกุย ไป
หลกั ชา้ งแวะชมวดั หลกั ชา้ ง นมสั การพระพุทธรูปคู่ซ่ึงเป็นของโบราณทาดว้ ยหินทรายแดง
ประดิษฐานอยใู่ นโบสถว์ ดั หลกั ชา้ ง
๓.๑๓ บ้านท้ายเหมือง.....อดีตเหมืองแร่อ่ึงค่ายท่าย
บา้ นทา้ ยเหมืองปัจจุบนั อยใู่ นหมทู่ ่ี ๑๓ ตาบลชา้ งกลาง ซ่ึงแยกออกมาจากหมู่ ๑๒ บา้ นหนา้
เขาเหมน(สาหรับบา้ นหนา้ เขาเหมนเดิมรวมอยใู่ นหมู่ ๙ บา้ นคลองกุยเหนือ ซ่ึงในช้นั แรกบา้ นคลอง
กยุ เหนือแยกมาจากหมู่ ๘ บา้ นคลองกุย ในช่วงที่นายห้อง บณุ ยเกียรติเป็นผใู้ หญบ่ า้ นเม่ือปี ๒๕๓๓
ยงั เป็นหมู่ ๖ เดิม)
ที่ไดช้ ่ือวา่ “บา้ นทา้ ยเหมือง” เพราะเดิมทีก่อนเกิดสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ เป็นพ้นื ที่ที่มีการทา
เหมืองแร่ฉีดของ “อ่ึงค่ายท่าย” ทา่ นผนู้ ้ีมีชื่อไทยเรียกกนั วา่ นายค่ายท่าย แซ่อ่ึง ซ่ึงคนทวั่ ไปให้
สมญานามวา่ “มงั กรเมืองคอน” มีภรรยาเป็นคนไทยชื่อจวน ชาวทา่ ศาลา
๙๑
โดยขณะน้นั อ่ึงคา่ ยท่าย หลงั จากท่ีไดร้ ับสมั ปทานใหท้ าเหมืองแร่ที่บา้ นทา้ ยเหมืองแลว้ ก็ได้
นาคนงานท้งั ชาวไทย และชาวจีนเขา้ มาขดุ แร่แบบเหมืองหาบหรือเหมืองอุโมงคท์ ี่น่ี
อ่ึงคา่ ยท่ายเป็นบคุ คลท่ีน่าเอาแบบอยา่ ง มีประวตั ิตามท่ี“ษรวฒั น์” เขียนไวใ้ นหนงั สือพอ่
ทา่ นคลา้ ยวาจาสิทธ์ิสรุปไดว้ า่ “เกิดเมื่อปี ๒๔๒๗ ที่เมืองเซ่ียเหมิน มีช่ือตามภาษาฮกเก้ียนวา่ เอห้ มึง
มณฑลฝเู จ้ียน ประเทศจีน(ปัจจุบนั สาธารณรัฐประชาชนจีน)
ในปี ๒๔๕๒ ปลายสมยั รัชกาลท่ี ๕ ขณะอายุ ๒๕ปี อ่ึงคา่ ยทา่ ยไดเ้ ดินทางเขา้ เมืองไทปิ ง
(ปัจจุบนั อยใู่ นรัฐเปรัคของมาเลเซีย) ณ ท่ีนี่เขาไดส้ มคั รเป็นคนงานเหมืองแร่ฉีดของชาวจีน ต่อมาได้
ยา้ ยไปทางานในเหมืองแร่ขดุ ของมิสเตอร์คิง ชาวออสเตรเลีย เมื่อมิสเตอร์คิงเดินทางเขา้ ประเทศไทย
เพือ่ ขอสัมปทานทาเหมืองแร่ท่ีบา้ นหนองเป็ด อาเภอร่อนพิบลู ย์ นายอ้ึงคา่ ยท่ายกต็ ิดตามเขา้ ประเทศ
ไทยในฐานะคนงานเหมืองแร่ดว้ ย จากการทางานดว้ ยความขยนั ซื่อสตั ย์ และกตญั ญูรู้คณุ คน ทาให้
นายคิงไวว้ างใจมากกไ็ ดเ้ ล่ือนเขาใหเ้ ป็นหวั หนา้ คนงาน และสอนวธิ ีการสารวจแหล่งแร่จนอ้ึงค่ายทา่ ย
ชานาญ ถึงข้นั สามารถช้ีชดั ไดว้ า่ แหลง่ ใดมีแร่ชนิดใดมากนอ้ ยเพียงใด
ดว้ ยเหตุน้ีต่อมาอ้ึงค่ายทา่ ยไดข้ อสมั ปทานทาเหมืองแร่ของตนเองในจงั หวดั นครศรีธรรมราช
หลายแห่ง เช่นที่ เหมืองไมห้ ลา อาเภอร่อนพิบูลย์ เหมืองโรงเหลก็ อาเภอนบพิตา เหมืองเขาแกว้ ท่ี
อาเภอลานสกา เหมืองกะทูน อาเภอพิปนู รวมมาถึงบา้ นทา้ ยเหมืองในเขตตาบลชา้ งกลางที่กล่าวถึงน้ี
ดว้ ย ส่วนในจงั หวดั อื่น ๆ กม็ ีเหมืองหว้ ยยอด ท่ีตรัง เหมืองทบั สะแกที่จงั หวดั ประจวบคีรีขนั ธ์
เหมืองเฉียงพร้าที่นาสาร จงั หวดั สุราษฎร์ธานี ฯลฯ เป็นตน้
จากการรับสมั ปทานทาเหมืองแร่หลายแห่งของอ้ึงคา่ ยท่ายน้ีเอง ทาใหฐ้ านะเศรษฐกิจดีข้ึน
มากจนไดช้ ่ือวา่ เป็นเศรษฐีเมืองนครฯ แต่ถึงกระน้นั เขาสอนลกู หลานเสมอวา่ “เม่ือเราไดม้ ีชีวติ มีกิน
มีใชอ้ ยใู่ นแผน่ ดินน้ี เราจึงตอ้ งตอบแทนบุญคณุ แผน่ ดินใหม้ ากท่ีสุดเท่าท่ีจะทาได”้ ดว้ ยเหตุน้ีอ้ึงคา่ ย
ท่ายจึงไดม้ ีส่วนสร้างสังคมในจงั หวดั นครศรีธรรมราชมากหมายหลายแห่ง เช่น
-มอบที่ดิน ๗๐ ไร่ใหร้ ัฐบาลสร้างนิคมสาหรับผปู้ ่ วยโรคเร้ือนท่ีบา้ นพดุ หง อาเภอ
ร่อนพบิ ลู ย์
-มอบท่ีดิน ๓๐ ไร่ เพ่อื สร้างวดั พศิ ิษฐอ์ รรถาราม ที่อาเภอนาบอน
-สร้างโบสถห์ ลงั ใหม่ใหว้ ดั เสมาเมือง
-สร้างอาคารเรียนใหโ้ รงเรียนกลั ยาณีศรีธรรมราช ฯลฯ เป็นตน้
อ่ึงคา่ ยท่ายถึงแก่กรรมในปี ๒๔๙๓ รวมอายไุ ด้ ๖๖ ปี มีทายาท ๔ คน ลว้ นแต่เดินตามรอย
บิดา อยา่ งเช่นนายวรศกั ด์ิ อดิเทพวรพนั ธุ์ หรือโกหง่า แห่งท่งุ สง เป็นตน้ ซ่ึงสนิทสนมและสัมพนั ธ์
กบั พอ่ ทา่ นคลา้ ยวาจาสิทธ์ิอยา่ งแนบแน่น”
อ่งึ ค่ายท่าย เจ้าของเหมอื งแร่ที่บ้านท้ายเหมอื ง ตาบลช้างกลาง
๙๒
วรศักด์ิ อดเิ ทพวรพนั ธ์ุ(โกหว่า) ทายาทที่เดินตามรอยบิดา
ในช่วงเกิดสงครามโลกคร้ังที่ ๒ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๘๔ – ๒๔๘๘ การทาเหมืองแร่ที่บา้ น
ทา้ ยเหมืองและที่อ่ืนๆ ก็ไดส้ ะดุดหยดุ ลง คนงานทาเหมืองของอ้ึงค่ายท่ายตา่ งแยกยา้ ยกลบั ภูมิลาเนา
เดิม คงเหลือคนงานบางส่วนซ่ึงมีท้งั ชาวไทยและคนจีนซ่ึงไดส้ มรสกบั คนไทย และไดจ้ บั จองที่ดิน
ปลูกขนาและทาไร่ขา้ วรวมท้งั ปลกู ยางพาราลงในพ้นื ท่ีเหมืองแร่ โดยประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๐ ไดม้ ีรา
ษฏรนบั ไดป้ ระมาณ ๙ ครัวเรือน
ตอ่ มาต้งั แต่ ปี พ.ศ.๒๕๐๐ ไดม้ ีราษฏรอพยพเขา้ มาอยูใ่ นหมบู่ า้ นเพิม่ ข้ึนอีกหลายครัวเรือน
ทางอาเภอฉวางไดแ้ ต่งต้งั นายถาวร นนทสิทธ์ิ เป็นผชู้ ่วยผใู้ หญ่บา้ นของนายหอ้ ง บณุ ยเกียรติ ซ่ึง
ขณะน้นั เป็นหมทู่ ่ี ๑๒ ของตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง โดยมี ร.ท.แดง อิทธิชยั เป็นนายอาเภอ นาย
เคลา้ ไพรสณฑ์ เป็นกานนั ราษฏรท่ีเขา้ มาอยอู่ าศยั ไดม้ าสร้างหลกั ปักฐานประกอบอาชีพทานา ทา
สวนยาง สวนกาแฟ ระหวา่ งช่วงปี พ.ศ. ๒๕๑๗ ถึง ๒๕๒๖ เกิดก่อการร้ายของคอมมิวนิสต์ เขา้
๙๓
มาเผยแพร่ความคิดและชกั จูงชาวบา้ นทา้ ยเหมืองใหเ้ ขา้ ร่วมกบั ขบวนการ แตร่ าษฏรในพ้ืนที่ไม่มีใคร
เขา้ ร่วมขบวนการ ถึงกระน้นั ก็มีการสูญเสียชีวติ ของราษฏรในพ้ืนท่ีเนื่องจากภยั คอมมิวนิสต์ จานวน
๑ คน คือ นายวฒุ สาร รัตนบุรี หลงั จากน้นั ประมาณปี พ.ศ.๒๕๒๙ ถึง ๒๕๓๐ ทางตารวจตระเวน
ชายแดนท่ี ๔๒ คา่ ยศรีนครินทรา นาโดย พ.ต.ท.พยอม ทิพยม์ ณี โดยการประสานงานของ พลฯ สุวทิ ย์
นนทสิทธ์ิ ซ่ึงขณะน้นั รับราชการเป็นตารวจตระเวนชายแดนท่ี ๔๒ เขา้ มาเป็นหน่วยตารวจเคล่ือนที่
มวลชนสมั พนั ธ์ ร่วมกนั สร้างหมบู่ า้ น ทาร้ัวหมูบ่ า้ น ข้นึ ป้ายหมู่บา้ นทุกครัวเรือน และจดั อบรม
ชาวบา้ นหลกั สูตรมวลชนสมั พนั ธ์ และไดเ้ ลือกนายเปรย รัตนบุรี เป็นผนู้ าชุมชนไดก้ ่อสร้างศาลา
หมู่บา้ นข้ึนในท่ีดินของนายถาวร นนทสิทธ์ิ ซ่ึงไดบ้ ริจาคจานวน ๑ ไร่เศษ ก่อสร้างในปี ๒๕๓๐
เสร็จในปี ๒๕๓๑
ประชากรส่วนใหญ่ของบา้ นทา้ ยเหมืองในปัจจุบนั ประกอบอาชีพทาสวนยางพารา สวนผลไม้
คา้ ขายบางส่วน ส่วนเหมืองแร่ก็เป็นส่วนสาคญั ท่ีใหบ้ า้ นน้ีไดช้ ่ือวา่ “บา้ นทา้ ยเหมือง” อยสู่ ุดเขตของ
อาเภอชา้ งกลางดา้ นทิศใต้
๓.๑๔ บ้านด่านไผ่งา.....ทีฝ่ ังทรัพย์เสือสีนุ่น
บา้ นด่านไผง่ าอยใู่ นหมู่ ๕ ตาบลชา้ งกลาง ท่ีเรียกวา่ “ด่าน” เพราะเป็นจุดเปล่ียนผา่ นจากทาง
บกลงสู่ทางน้า และจากทางน้าข้ึนสู่ทางบก ตรงบริเวณน้ีเดิมทีมีกอไผง่ าข้ึนอยมู่ าก จึงเรียกจุดปล่ียน
ผา่ นทางสญั จรตรงน้ีวา่ “ด่านไผง่ า” ในอดีตมีประวตั ิศาสตร์เกี่ยวพนั กบั ด่านไผง่ าหลายเรื่องดงั น้ี
๑. ในฐานะเป็นจุดเปล่ียนเส้นทางเดินสมยั โบราณ
- ทางบก เป็นเสน้ ทางโบราณจากฉวาง ผา่ นควนสงสาร เขา้ นาวาผา่ นเมืองเก่า
นางพญาเลือดขาว เขา้ ด่านไผง่ า(หมู่ ๕ เดี๋ยวน้ี) เมื่อมาถึงตรงน้ีอาจลงเรือล่องข้ึนตามน้าไปควนส้าน
มะนาวหวาน บา้ นนาได้ แต่ถา้ ไมล่ งเรือ กใ็ ชเ้ ส้นทางบกเดินทางต่อจากด่านไผง่ าไปมะนาวหวาน
คลองงา บา้ นนา เขา้ ช่องเขาธง ออกบา้ นร่อน ไปลานสกา เขา้ สู่เมืองนครฯ เสน้ ทางน้ีใชม้ าต้งั แตส่ มยั
กรุงศรีอยธุ ยาตอนตน้ และก่อนหนา้ น้นั ยอ้ นรอยไปเม่ือราวพุทธศตวรรษท่ี ๘ ก็เคยเป็นเสน้ ทางหลกั
เชื่อมระหวา่ งอาณาจกั รศรีวชิ ยั ท่ีไชยากบั อาณาจกั รศรีวชิ ยั ท่ีนครฯ
๙๔
เขาเหมนมองจากบ้านด่านไผ่งาบนเส้นทางถนนหมายเลข๔๐๑๕
- ทางน้า มีเสน้ ทางหลกั คือคลองจนั ดี เดิมทีเป็นแม่น้าใหญ่ เกิดจากเทือกเขาหลวง มี
คลองท่าแพเป็นหลกั ไหลรวมลงมาจากคลองหลายสาย ผา่ นบา้ นนา คลองงา มะนาวหวาน ควนส้าน
ผา่ นด่านไผง่ า(เมืองเก่า หมู่ ๕) เมื่อมาถึงตรงน้ี สามารถเปล่ียนเสน้ ทางเดินบกไดส้ ะดวก ถา้ จะ
เดินทางน้าตอ่ ก็ไปถึงปากน้ามิน ผา่ นตลาดคลองจนั ดี เดิมทีตรงน้ีมีทา่ เรือใหญ่ เป็นที่แลกเปล่ียน
สินคา้ นา ๆ ชนิดจากชาวจีนท่ีเขา้ มาต้งั ถิ่นฐานตามริมแม่น้าตลอดสาย สาหรับทา่ เรือที่ด่านไผง่ าน้นั
นางหนูพฤกษ์ เสนาพนั ธ์ เลา่ ใหฟ้ ังวา่ “คลองจนั ดี” เมื่อ ๘๐ ปี ที่ผา่ นมาเป็นคลองกวา้ งน้าใสและลึก
เรือของชาวจีนจะนาสินคา้ ข้ึนมาขาย เม่ือมาถึงทา่ น้าสาคญั จะจอดเรือและเคาะระฆงั ดงั ไปไกลให้
ชาวบา้ นไดร้ ู้วา่ เรือสินคา้ นาของมาขายแลว้ ก็จะนาเงินหรือของแลกเปล่ียนไปซ้ือ-ขายแลกเปลี่ยนกนั
ชาวบา้ นท่ีไมม่ ีเงินบางคนจะนาไขส่ ดไปแลกกบั ไข่เคม็ กม็ ี เพราะสมยั น้นั คนไทยยงั ไมร่ ู้วิธีทาไข่เคม็
๒. ในฐานะเป็นท่ีฝังสมบตั ิของเสือสีนุ่น ซ่ึงเรียกวา่ “ทอนสีนุ่น” อยหู่ ่างจากด่านไผ่
งาเพยี ง ๒๐๐ เมตร เดิมท่ีตรงน้ีเป็นท่ีท่ีแม่น้าจนั ดีไหลผา่ น(ที่เรียกวา่ แมน่ ้า เพราะสมยั โบราณเป็น
สายน้ากวา้ งใหญแ่ ละลึก (เรือใหญ่ๆ เขา้ มาได)้ ภายหลงั สายน้าเปล่ียนทิศทาง ที่ตรงน้ีก็กลายเป็นท่ีล่มุ
มีน้าขงั เป็นแอ่ง จึงเรียกวา่ “ทอน” ทอนสีนุ่นกบั ด่านไผง่ า เป็นพ้นื ที่ประวตั ิศาสตร์อนั เดียวกนั
เสือสีนุ่น ตามบนั ทึกของขุนฉวางวศิ ิษฏ์ ซ่ึงเป็น ๑ ใน ๑๐ คน ท่ีปราบเสือสีนุ่น บนั ทึกใวเ้ มื่อ
ปี ๒๔๙๕ วา่ เป็นขนุ โจรสมยั รัชกาลที่ ๖ มีบา้ นอยทู่ ี่ล่มุ ในหิน ควนส้าน ต.ชา้ งกลาง ออกปลน้ ๓
มณฑล คือนครศรีฯ ปัตตานี ชุมพร สมบตั ิที่ปลน้ มาไดใ้ นส่วนท่ีเป็นสร้อย แหวน กาไล พานทองคา
๙๕
พลอย จะเกบ็ ใส่ในหีบเหลก็ ขนาดกวา้ ง ๑ ฟุต ยาว ๓ ฟุต สูง ๑ ฟุต จานวน ๓ – ๕ ใบฝังใวใ้ น “ทอน”
น้ี ตอ่ มาคนจึงเรียกวา่ “ทอนสีนุ่น” จนกระทง่ั ปัจจุบนั และสมบตั ิก็ยงั อยทู่ ่ีน่ี ไมม่ ีใครคน้ เจอ
เสือสีนุ่นถูกกรมการอาเภอฉวางจบั ตายโดยใชป้ ื นไรเฟิ ลยิง ถูกตดั หวั ฝังใวท้ ี่วดั วงั มว่ ง
อาเภอฉวาง โดยแยกคนละหลุมกบั ร่าง เพือ่ เป็นการสะกดวิญญาณและส่งวญิ ญาณผตู้ ายไปสู่สุคติ มิ
ใหต้ ามมารังควานคณะผปู้ ราบท้งั ๑๐ คนคราวน้นั
๓.ในฐานะที่เป็นพ้ืนท่ีเดียวกนั กบั เมืองเก่าของนางพญาเลือดขาวซ่ึงไดก้ ล่าวไวอ้ ยา่ ง
เอียดแลว้ ในตอนชื่อบา้ น-นามเมืองนาวาแลว้ ปัจจุบนั ราษฎรเขา้ ครอบครองและมีสิทธ์ิเตม็ พ้ืนที่
เพราะไมใ่ ช่ธรณีสงฆ์ แต่ก็มีหลกั ฐานหลายประการที่พิสูจนใ์ หเ้ ห็นวา่ ท่ีตรงน้ีเคยเป็นเมืองเก่าในสมยั
พุทธศตวรรษที่ ๑๘(ราว พ.ศ.๑๗๘๐)
๔ ในฐานะเป็นท่ีต้งั วดั เก่า หมู่ ๕ นาวาบริเวณด่านไผง่ าน้นั มีวดั เก่าอยวู่ ดั หน่ึง ซ่ึง
เช่ือกนั จากรุ่นสู่รุ่นโดยมีหลกั ฐานวา่ เป็นวดั ท่ีสร้างข้ึนโดยนางพญาเลือดขาว(ประมาณ พ.ศ.๑๗๘๐)
เช่นกนั วดั เก่าน้ีต่อมาร้างก็เกิดมีสานกั สงฆต์ ้งั อยบู่ ริเวณโคกทาเนียบข้ึนแทน ทางกรมศาสนาไดย้ ก
ฐานะข้นึ เป็นวดั ใหช้ ่ือวา่ “วดั นายอด” เมื่อเกิดการร้างมานาน กรมศาสนาจาหน่ายช่ือวดั ออกจากสา
รบบบญั ชีไปแลว้ นายคลา้ ย ศิลารัตนเ์ ลา่ ใหฟ้ ังวา่ ประมาณช่วงปี พ.ศ. ๒๔๕๐ – ๒๕๕๓ ทา่ นไดเ้ คย
ไปเรียนระดบั ประถมกบั สานกั สงฆแ์ ห่งน้ี ไดค้ วามรู้ระดบั ประถม ๓ ซ่ึงมีศิษยร์ ุ่นเดียวกนั ไดแ้ ก่นาย
สิงห์ หมวดชนะ นายเปลี่ยน นนทสิทธ์ิ นายดา ขอบขา นายทนั จนั ประสิทธ์ิ นายร่ืน วนุ่ จินรา
เมื่อคร้ังมีการสร้างถนนสายยทุ ธศาสตร์สมยั สงครามโลกคร้ังท่ี ๒ เม่ือปี ๒๔๘๘ โดยทหาร
ญี่ป่ ุนซ่ึงสร้างถนนดงั กล่าวจากบา้ นด่านไผง่ า ไปทงุ่ สง ทา่ นก็ไดเ้ ป็นหวั หนา้ คนงานรับจา้ งสร้างถนน
สายน้ีดว้ ย
ปัจจุบนั สถานที่ท่ีเป็นวดั นายอด ยงั คงมีอยู่ ๒๕ ไร่ไดก้ ลายเป็นท่ีดินของกรมการศาสนา มีผู้
เช่าจากรุ่นสู่รุ่นในฐานะทายาทอยู่ ๔ ราย อนั เป็นการช้ีชดั วา่ ที่ดินน้ีเป็นท่ีดินของวดั นายอด ซ่ึงสืบ
เนื่องมาจากวดั เก่าท่ีนางพญาเลือดขาวสร้างไว้ อนั เป็นท่ีธรณีสงฆไ์ มอ่ าจซ้ือ-ขายกนั ได้ ใคร
ครอบครองอยกู่ ็ตอ้ งเช่ากนั ตลอดมาและตลอดไป
๕. ในฐานะเป็นพ้ืนที่ท่ีเคยเป็นที่ต้งั ของ กรมชา้ งกลาง ต้งั แต่สมยั โบราณเป็นตน้ มา
จนกระทง่ั ถึงสมยั เจา้ กรมคนสุดทา้ ยคือ หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) ไดไ้ ปต้งั บา้ นเรือนอยู่ที่โคกทือ ตาบล
หลกั ชา้ ง
ในยคุ ปัจจุบนั ด่านไผง่ าไดเ้ กิดศูนยต์ า่ ง ๆ ท่ีเป็นแกนนาคนในสงั คมให้รวมตวั กนั ทางาน
ร่วมกนั ดว้ ยความสามคั คีธรรม สร้างสรรคป์ ระโยชน์ร่วม ท่ีสาคญั มีดงั น้ี
- ศูนยป์ ราชญซ์ ่ึงนาโดยนายธีรนิตย์ เรืองจรัส ไดจ้ ดั การใหค้ วามรู้เรื่องการเกษตร
ทฤษฎีใหมต่ ามแนวเศรษฐกิจพอเพียง มีผเู้ ขา้ รับการอบรมผา่ นหลกั สูตรไปหลายรุ่น ไมต่ ากวา่ ๑,๐๐๐
คน แตภ่ ายหลงั ท่านผนู้ ้ีเสียชีวิต ไม่มีผสู้ านต่อกห็ ยดุ ชะงกั ไป
๙๖
- ชุมชนคนรักเห็ด แหลง่ เพาะและจาหน่ายเห็ดหลายชนิด อาทิ เห็ดหอม เห็ดหูหนู
เห็นนางฟ้า และเป๋ าฮ้ือ นอกจากน้ียงั จาหน่ายอปุ กรณ์และถุงเพาะเช้ือเห็ด รวมท้งั ใหค้ าแนะนาในการ
เพาะเล้ียงเห็ดแก่เกษตรกรและผสู้ นใจทวั่ ไป ดาเนินงานโดยนายสุรินทร์ รอดพน้ และนายสุธน รอด
พน้
- ศนู ยจ์ ดั การศตั รูพชื ชุมชนอาเภอชา้ งกลาง นาโดยนายราวี ศิลารัตน์ จดั ทาโครงการ
กาจดั ศตั รูพืช ปรับปรุงพชื พนั ธุ์ รวมท้งั การส่งเสริมการปลกู ไมผ้ ลอยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยมี
วิสัยทศั น์รวมไปถึงการพฒั นาโครงสร้างพ้ืนฐานของสงั คมในถิ่นน้ีวา่
“ส่งเสริมกลุ่มอาชีพ ปรับปรุงแหลง่ ทอ่ งเที่ยว ยดึ เหน่ียวธรรมาภิบาล พฒั นา
โครงสร้างพ้ืนฐาน บริการสาธารสุข ปลกู จิตสานกั รักบา้ นเกิด เทิดทูนสถาบนั ”
- เพลงมาร์ชด่านไผง่ า....ประพนั ธโ์ ดยนายวรรณดี สรรพจิต กวีสมโภชกรุง
รัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี
“ในชา้ งกลางถิ่นน้ีหมู่ที่หา้ ด่านไผง่ าเลื่องลือช่ือประจกั ษ์
มีเมืองเก่าวดั เก่าเนานานนกั นางพญาชกั ชวนสร้างแต่ปางบรรพ์
สานกั สงฆส์ ืบสายมาหลายสมยั ต้งั อยใู่ นโคกทาเนียบต่อเนื่องน้นั
บงั เกิดปราชญเ์ กิดครูอยมู่ ากครัน ปัจจุบนั สืบสายลายไผง่ า
มีชุมนุมชุมชนคนรักเห็ด ทาไดเ้ ด็ดระบือลือลน่ั หลา้
ศูนยเ์ กษตรต้งั ใหม่โยงใยมา เชื่อมความสามคั คมี ีกาลงั
พนั ธกิจพฒั นาเชิงอาชีพ การเกษตรเร่งรีบไม่รอร้ัง
ชาวไผง่ าธรรมดาไม่เด่นดงั แตก่ ต็ ้งั ใจหมายใหช้ าติเจริญ...ไชโย
๙๗
บทที่ ๔. ศาสนสถาน โบราณวตั ถุ
๔.๑ พระพฆิ เณศร์ หรือพระอเุ ชน
พระอเุ ชนตามภาพขา้ งตน้ น้ีอยทู่ ่ีวดั สวนขนั ตาบลสวนขนั อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั
นครศรีธรรมราช อายกุ ารสร้างประมาณ ๑,๐๐๐ กวา่ ปี ตามรูปศพั ทเ์ ดิมมาจากคาภาษาสนั สกฤต วา่
“วฆิ ฺเนศฺวร” แลว้ แผลงเป็น พฆิ เนศวร์ หรือ คเณศวร์ มีความหมายวา่ เป็นหวั หนา้ นาคณะขา้ มความ
ขดั ขอ้ ง นบั ถือกนั วา่ เป็นเทพเจา้ เหนือการรจนาหนงั สือใด ๆ ดว้ ย เพราะเป็นผเู้ ขียนคมั ภีร์มหาภารตะ
จากวาจาของพระฤๅษีวยาส ลกั ษณะของพระพิฆเนศวร์ รูปกายเป็นมนุษยอ์ ว้ นเต้ีย ทอ้ งพลุย้ หูยาน มี
เศียรเป็นชา้ ง มีงาขา้ งเดียว
สาหรับองคท์ ี่อยใู่ นวดั สวนขนั น้ี มีประวตั ิกล่าวไวเ้ กี่ยวกบั การต้งั เมืองนครฯ ในศิลาจารึก
หลกั ที่ ๒๕ ซ่ึงพบท่ีไชยา และหลกั ที่ ๓๕ ซ่ึงพบที่ดงแม่นางเสือง อาเภอบรรพตพสิ ยั จงั หวดั
นครสวรรค์ จารึกไวเ้ ม่ือประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘เป็นภาษาสันสกฤต อกั ษรอินเดีย กลา่ วไว้
ตรงกนั กบั ตานานเวียงสระและตานานทงุ่ ตึก (พงั งา) วา่ มีพราหมณ์สองพน่ี อ้ ง ช่ือมาลีและมาลา
ไดอ้ พยพหนีภยั พวกอิสลามจากอินเดีย มาข้ึนบกท่ีทุ่งตึก (พงั งา) แลว้ ต่อมายา้ ยถ่ินมาท่ีกระบ่ี เชิง
เขาชวาปราบ แลว้ ยา้ ยอีกทีมาอยทู่ ่ีเวียงสระ ท่ีนี่ไดส้ ร้างส่ิงสาคญั ไวอ้ ยา่ งหน่ึง คือพระอุเชน หรือที่
เรียกเป็นทางการวา่ พระพฆิ เนศร์ สลกั จากหินทรายแดง มีประวตั ิวา่ อยทู่ ี่ถ้าพรรณราเป็นเวลานาน
๙๘
แผนท่ีการเดินทางของพวกพราหมณ์จากอินเดยี เข้าพงตึกหรือขึน้ ฝั่งที่คลองท่อมกระบี่แล้วมาเวยี ง
สระ
ที่เวยี งสระขณะน้นั เกิดไขห้ ่า (อหิวาตกโรค) พราหมณ์ท้งั ๒ กย็ า้ ยถิ่นอีกทีมาต้งั ท่ีหาดทราย
แกว้ ในทอ้ งที่อาเภอพระพรหมปัจจุบนั พราหมณ์ผพู้ ่ีท่ีชื่อมาลีไดต้ ้งั ตนเป็น พญาศรีธรรมาโศกราช
พราหมณ์ผนู้ อ้ งท่ีช่ือ มาลา เป็นอปุ ราช เป็นปฐมวงศใ์ นสกลุ ปทมุ วงศ์” หรือ “ปัทมวงศ”์ ทุกองคท์ ่ี
ข้นึ ครองเมืองช่ือวา่ “จนั ทรภาณุ” ท้งั สิ้น
หลกั ฐานท่ีปรากฏในหนงั สือบุดดา คือตวั หนงั สือดาซ่ึงพบที่ทุ่งเจียก กล่าวช่ือ พญาศรีธรรมา
โศกราช วา่ “พระเจา้ คูตาศรีธรรมาโศกราช” ต้งั เมืองนครในราวปี พ.ศ. ๑๕๘๐
ชาวอินเดียสมยั โบราณ ลอ่ งเรือขา้ มมาสมุทรมาคา้ ขายยงั ดินแดนสุวรรณภมู ิข้ึนฝั่งที่ทุ่งตึก
(พงั งา) แลว้ เดินทางต่อมาที่กระบ่ี เชิงเขาชวาปราบ แลว้ ยา้ ยอีกทีมาอยทู่ ่ีเวยี งสระ
สาหรับพระอุเชนที่สร้างไวท้ ่ีเวียงสระ ตอ่ มาไดม้ าอยทู่ ่ีถ้าพรรณรา เม่ือไดม้ ีการยา้ ยท่ีวา่ การ
อาเภอฉวาง จากหมู่ ๕ นาแว มาอยวู่ งั ไอล้ อ้ นเมื่อปี ๒๔๔๖ ก็ไดย้ า้ ยพระอุเชนจากถ้าพรรณรา มา
อยวู่ งั ไอล้ อ้ นดว้ ย โดยทาเป็นศาลาประดิษฐานพระอเุ ชนไวท้ ่ีหนา้ ที่วา่ การอาเภอ คร้ันต่อมาเม่ือยา้ ย
ที่วา่ การอาเภอฉวางคร้ังที่ ๓ และคร้ังท่ี ๔ กระทง่ั มาอย่ใู นที่ปัจจุบนั แต่พระอเุ ชนองคน์ ้ียงั อยทู่ ี่เดิม
กาลเวลาลว่ งมาหลายสิบปี วงั ไอล้ อ่ นก็รกร้างวา่ งเปลา่ จากผคู้ น เกิดปรากฏแสดงอภินิหารมีเสียง
เหมือนคนโห่อยตู่ ลอดเวลา ๑๐ ปี ในระหวา่ งน้นั มีชาวบา้ นเขา้ หกั ร้างถางพงทาไร่ แต่พอปลูกขา้ ว
ตน้ โต ชา้ งออกมากินเรียบ ชาวบา้ นบนบานออกชื่อพระอุเชนอยา่ ใหช้ า้ งมากินขา้ วแลว้ ถวายเทียน
สามงา่ ม โขลงชา้ งป่ าไมอ่ อกมาทาลายเลย
๙๙
พระราชวราภรณ์ (เจิม กนฺตสีโล ป.ธ.๘) แห่งวดั ราชาธิวาสวิหาร กรุงเทพฯ ผเู้ ขียน
ประวตั ิพ่อท่านคลา้ ย ไดก้ ลา่ วตอนท่ีพ่อทา่ นคลา้ ยนาพระอเุ ชนมาไวท้ ี่วดั สวนขนั ตอนหน่ึงวา่
“วนั หน่ึงนายเงิน บวั ทอง กบั ลกู ชายจะไปทาไร่ในวงั ไอล้ อ้ น เอาพร้าฟันเสียงเหมือน
กระทบหินท่ีต้งั ขา้ งตน้ ไม้ พลิกดูเห็นตวั เทวดา หวั เป็นชา้ งมีงาขา้ งเดียว ตาขา้ งเดียว จึงยกข้นึ พิง
ตน้ ไมส้ ่อมใหญ่ หลงั จากน้นั เกิดฝนตกหนกั ติดตอ่ กนั เจ็ดวนั เจ็ดคืน นายเงินคดิ ว่าคงเป็นอภินิหาร
ของหินหัวชา้ งกอ้ นน้นั จึงไปพลิกกลบั ไวด้ ้งั เดิม ฝนกห็ ยดุ ตก
พ่อทา่ นคลา้ ยทราบเรื่องอภินิหารของพระอุเชนมาโดยตลอด กระทง่ั วนั ที่ ๒๖ เมษายน
๒๔๖๙ ท่านพร้อมดว้ ยนายนุ่น ธราพร และพรรคพวก ๕ คน นาเรือยาว ๓ วา ล่องลงมาทาง
คลองคดุ ดว้ น ไปรับพระอุเชนมาไวท้ ่ีวดั สวนขนั
ในพิธีอญั เชิญพระอุเชน พ่อทา่ นจุดเทียนกลา่ วคาอญั เชิญท่ามกลางสายฝน แต่เทียนไม่ดบั
พอคนยกพระอุเชนลงเรือ เทียนดบั ทนั ที ในระหวา่ งทางที่นามาวดั สวนขนั ฝนตกหนกั ตลอดทาง
ถึงวดั ก็นาเขา้ ต้งั ในโบสถ์ ทาพิธีสมโภชมโหฬาร
ต่อมาเม่ือปี ๒๕๑๖ ช่วงที่หลวงพอ่ เดชเป็นเจา้ อาวาส พระอเุ ชนองคน์ ้ีกถ็ ูกขโมยไปขายท่ี
กรุงเทพฯเมื่อปี ๒๕๑๖ ในราคา ๑,๖๐๐ บาท ภายหลงั โจรกลบั ใจไดม้ ามอบตวั นายศิริ พานิชกุลเล่า
วา่ หลวงพอ่ เดชใหเ้ งิน ๒,๕๐๐ บาทเพื่อไปถ่ายคืนมา โดยมอบให้ตนเองกบั สิบเอกสุฤทธ์ิ นวลนุช
พร้อมกบั ตวั โจรกลบั ใจข้นึ รถไฟไปท่ีร้านรับซ้ือพระอเุ ชนในกรุงเทพ ขณะเดินทางท้งั ๓ คนใส่กญุ แจ
มือ ๒ อนั ติดกนั ไวป้ ้องกนั โจรหนี โดยเอาผา้ ขาวมา้ ปิ ดทบั ไมใ่ หค้ นเห็น เม่ือพบร้านรับซ้ือพระอเุ ชน
ก็บอกความจริงวา่ ชาวบา้ นร้องไหเ้ สียใจท่ีพระหาย ทางร้านเห็นใจก็คืนใหม้ าโดยไม่เอาเงินค่าไถ่ ซ้า
ยงั ใหเ้ งินมาอีก ๕๐๐ บาท เมื่อกลบั มาอยใู่ นวดั สวนขนั ดงั เดิม ผคู้ นทราบขา่ วกม็ าสกั การะกนั มากมาย
ดีใจปิ ติท้งั น้าตา กไ็ ดจ้ ดั พิธีสมโภชตอ้ นรับองคพ์ ระ แต่ถึงกระน้นั พระนาภี(สะดือ)ของพระอุเชนถกู
เจาะไปแลว้ พวกโจรคิดวา่ คงมีการฝังสมบตั ิไวใ้ นองคเ์ ทวรูปอุเชน จึงไดเ้ จาะจนสะดือโหวก่ ไ็ ม่พบ
อะไร
ต่อมาในสมยั พระครูกิตติวมิ ล (พระมหาบญุ ฤทธ์ิ สวสั ดี) เป็นเจา้ อาวาสวดั สวนขนั ใน
ปัจจุบนั เกรงวา่ จะถกู ขโมยอีก ท่านก็นาไปประดิษฐานไวท้ ี่กุฏิเจา้ อาวาส
พระอุเชนที่ทาเป็นเหรียญบูชาจากวดั สวนขนั
๑๐๐
บางคนสงสยั วา่ เหตใุ ดพระอุเชนมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่หวั เหมือนชา้ ง เรื่องน้ีมีที่มาใน
หนงั สือกาเนิดเทวดาของศาสนาพราหมณ์ กลา่ ววา่ พระอิศวร หรือศิวะ มีมเหสี ชื่อ พระอมุ า มี
พระโอรส ๒ องค์ ช่ือ พระขนั ธกุมาร กบั พระคเณศ หรือที่เราเรียกวา่ “พระพิฆเณศร์” ที่ชา้ งกลาง
เราเรียก “พระอุเชน”
เม่ือพระคเณศอายไุ ด้ ๘ ขวบ วนั หน่ึงพระอมุ า พระลกั ษมี และพระสุรัสวดี ซ่ึงเป็นมเหสี
ของเทพเจา้ ท้งั ๓ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม(ตรีมรู ติ) ไดอ้ าบน้ากนั ในที่ลบั ส่ัง
ใหพ้ ระพิฆเณศร์(พระอุเชน)เฝ้าประตู อยา่ ใหใ้ ครเขา้ มา แต่พระศิวะจะเขา้ ไปดู จึงทะเลาะกบั พระพิฆ
เณศร์ ผเู้ ป็นโอรส พระอิศวรเผลอใชต้ รีศูลตดั ศรีษะขาด พระอุมาผเู้ ป็นมารดาเสียใจมาก พระอิศวร
รับวา่ จะต่อเศียรใหค้ นื ชีพดงั เดิม จึงใชพ้ ระวษิ ณุ (หรือที่ชาวชา้ งกลางเราเรียกวา่ พระเวสหนู) ไปหา
เศียรมนุษย์ พระวษิ ณุเที่ยวหาไปตลอดก็ไมไ่ ด้ แตม่ าเห็นชา้ งตวั หน่ึงนอนตากแดดหนั หวั ไปทางทิศ
ตะวนั ตก จึงตดั เศียรชา้ งมาถวายพระอิศวร พระอิศวรต่อหวั ใหพ้ ระพฆิ เณศร์ฟ้ื นข้ึนมีหวั เป็นชา้ ง
ต้งั แตบ่ ดั น้นั มา
ตามประวตั ิในหนงั สือกาเนิดเทวดาน้นั พระพฆิ เณศร์มีชายา ๒ องคค์ ือ พระสุทธิ กบั พระ
พุทธ ท้งั สององคเ์ ป็นธิดาพระนารอดฤาษี ผมู้ ีมือถือกรับและบณั เฑาะว์ ทาดนตรีอยเู่ สมอ ดว้ ยเหตุน้ี
พระฤาษีนารอดจึงเป็น “พอ่ ครู” หวั ฤาษีของคณะลิเก มโนรา หนงั ตลงุ และโขน ตลอดมาจนถึง
ปัจจุบนั
ส่วนพระพิฆเนศร์ที่มี พระสุทธิกบั พระพทุ ธเป็นชายาน้นั มีลกู คนละคนช่ือวา่ เกษม กบั ลาภ
ดงั น้นั ใครก็ตามท่ีบชู าพระพิฆเนศร์จะไดล้ าภยศสรรเสริญและความสุขเกษมเปรมปรีด์ิไปพร้อม ๆ กนั
ตวั อยา่ งหวั ฤาษขี องศิลปะการแสดง ๓ ประเภท