The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kwansasipat, 2021-07-26 05:44:19

ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Keywords: ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

๑๐๑

ในยคุ ปัจจุบนั ไดม้ ีการสร้างพระอุเชนจาลองเป็นลาดบั ดงั น้ี

-ในช่วงที่นายอาทร เพชรรัตน์ ไดเ้ ป็นนายอาเภอฉวาง กไ็ ดม้ ีการหลอ่ พระอเุ ชน

จาลองเม่ือวนั ที่ ๙ กนั ยายน ๒๕๔๒ โดยเชิญเสด็จองคจ์ ริงมาเป็นประธานในพิธี แลว้ ก็ไดท้ าการ

ประดิษฐานไวบ้ นศาลสถิตเทวาลยั หนา้ ที่วา่ การอาเภอเม่ือ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๔๖ โดยนายอาเภอ

บญุ เลิศ ถงั มณี

- ท่ีอาเภอชา้ งกลางกไ็ ดม้ ีการสร้างพระอุเชนจาลองเช่นกนั นายอาเภอธีรพงศ์ ช่วยชู

ไดน้ าชาวบา้ นและขา้ ราชการรดน้า-ขอพรพระอุเชนท่ีหนา้ ท่ีวา่ การอาเภอชา้ งกลางเมื่อ ๙ เมษายน

๒๕๖๐

จากลาดบั เหตุการณ์ดงั กล่าวขา้ งตน้ จึงถือไดว้ า่ พระอเุ ชนเป็นวตั ถมุ งคลยคุ โบราณอนั ล้าคา่

ของชาวชา้ งกลาง ซ่ึงมีส่วนสาคญั ในการประกอบพธิ ีตา่ ง ๆ ของเหล่าศิลปิ นท้งั หลาย แมแ้ ต่กวกี ่อนจะ

เขยี นบทกวียาว ๆ ในทุกเรื่องก็จะมีการไหวพ้ ระพิฆเณศร์ หรือพระอุเชน ซ่ึงเป็นหน่ึงในเทวดาสาคญั

ท้งั ๔ อนั ไดแ้ ก่พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม และพระอุเชนดว้ ย อยา่ งในคาฉนั ท์ “เฉลิมเกียรติ

กรุงรัตนโกสินทร์” ฉบบั ไดร้ ับรางวลั ยอดเยย่ี มของวรรณดี สรรพจิต ชาวชา้ งกลางกย็ งั ไดแ้ ต่งบทไหว้

เทวดาท้งั ๔ รวมถึงพระอุเชน(พฆิ เณศร์)เป็น “สัททุลวิกกีฬิตฉนั ท์ ๑๙” วา่

๏ วนั ทาเทพจตทุ ิศมหิทธิกบดี

เหล่าโลกบาลมี ประมวล

๏ ท้งั เทพทิพยสรวงสวรรคฉ์ พั พกระบวน

รวมองคอ์ ิศวรควร คะนึง

๏ อีกนารายณ์พิฆเณศร์บดีประณตถึง

องคพ์ รหมบดีสึง ก็เสร็จ

๏ อญั เชิญมาอนุรักษอ์ โรคยระเห็จ

เห็นธรรมพ์ ระสรรเพช- ฌญาณ

ฯลฯ

๑๐๒

๔.๒ พระพุทธวชิ ิตมาร

พระพุทธวชิ ิตมาร ประดิษฐานอยใู่ นพระอโุ บสถวดั มะนาวหวาน เป็นพระพทุ ธปฏิมาปาง
มารวชิ ยั แบบสมยั สุโขทยั หนา้ ตกั กวา้ ง ๔๙ นิ้ว ซ่ึงทา่ นผมู้ ีศรัทธา คือจ่าเผน่ ผยองยงิ่ (ชุ่ม สุวรรณ
จินดา) กบั นางทองสุข สุวรรณจินดา สร้างและไดถ้ วายใหว้ ดั มะนาวหวาน ประดิษฐานไว้ ณ พระ
อุโบสถวดั น้ีต้งั แตป่ ี ๒๕๑๔ โดยมีสมเดจ็ พระอริยวงศาคตญาณ พระสังฆราช วดั มกุฏกษตั ริยาราม
ถวายพระนามเม่ือวนั ท่ี ๑๖ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๑๔ วา่ “พระพุทธวชิ ิตมาร ประทานสนั ติสุขสวสั ดี นร
สีหธ์ รรมานุศาสก์ ไตรโลกนาถธรรมบพธิ

เบ้ืองหลงั การไดม้ าซ่ึงพระพุทธวิชิตมารน้ีมีอยวู่ า่ วนั หน่ึงเม่ือปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ขณะท่ี
สมเด็จพระอริยวงศาญาณ พระสังฆราช (จวน อฏุ ฐาย)ี กาลงั ประทบั ในพระตาหนกั ณ วดั
มกฏุ กษตั ริยาราม พร้อมดว้ ยพระมหาเฉลียว ปญฺญากโร ซ่ึงเป็นพระปัจฉาสมณะ ขณะน้นั ไดม้ ีคหบดี
ช่ือ จ่าเผน่ ผยองยง่ิ พร้อมดว้ ยภรรยาไดเ้ ขา้ มากราบสมเด็จพระสังฆราช แสดงความประสงคจ์ ะสร้าง
พระพทุ ธรูปสักองคห์ น่ึงเพ่ือเป็นพทุ ธบูชา ไดท้ ลู ถามวา่ จะประดิษฐไ์ วท้ ี่ไหนดี

สมเดจ็ พระสงั ฆราชองคน์ ้นั ไดห้ นั มาถามพระมหาเฉลียว ผเู้ ป็นปัจฉาสมณะวา่ ควรไวท้ ่ีไหน
พระมหาเฉลียวกท็ ลู ตอบทนั ทีวา่ ไวท้ ่ีวดั มะนาวหวาน เพราะกาลงั สร้างโบสถใ์ หม่ พระพุทธรูปองคน์ ้ี
จึงไดม้ าประดิษฐานเป็นประธานในอุโบสถวดั มะนาวหวานต้งั แต่ ๑๒ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๑๔ พระ
มหาเฉลียวน้นั เป็นชาวคลองงา ตาบลชา้ งกลาง เกิดในสกลุ “ศรีวา่ งพนั ธุ์” ไดไ้ ปอยทู่ ี่วดั
มกฏุ กษตั ริยาราม โดยการนาฝากของพอ่ ท่านผุด(พระพุทธิสารเถร) ผา่ นทางพระมหาเสนอ ญาณทฺต
โต ศิษยส์ ายวดั ราชาธิวาสวหิ าร

๑๐๓

ในคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลท่ี ๙ ไดเ้ สด็จพร้อมดว้ ยพระบรมวงศานุวงศ์
มายกช่อฟ้าพระอโุ บสถวดั มะนาวหวาน เม่ือวนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน ๒๕๑๙ พระองคท์ ่านก็ไดเ้ สดจ็ เขา้
นมสั การพระพทุ ธรูปองคน์ ้ีและทรงถวายใบปวารณาแด่พระครูสถิตวิหารธรรม(ปัจจุบนั คอื พระสิริ
ธรรมราชมุนี) เจา้ อาวาสดว้ ย

๑๐๔

ขณะประทบั ยนื ในพระอุโบสถหนา้ พระพทุ ธวิชิตมาร ก็ทรงมีพระราชดารัสกบั เจา้ อาวาส
ซ่ึงวรรณดี สรรพจิตไดบ้ นั ทึกไวใ้ น “หนงั สือ ๗๒ ปี พระครูสถิตวิหารธรรม” ตามคาท่ีพระสิริธรรม
ราชมนุ ีใหส้ ัมภาษณ์ดงั น้ี

ในหลวง.... “จะมาต้งั นานแลว้ แตไ่ ม่วา่ ง วนั พระมีคนมามากไหม?”
อาจารย.์ ..... “มีมากพอสมควร”
ในหลวง.... “คนหนุ่มคนสาวเขา้ วดั มากไหม?”

๑๐๕

อาจารย.์ .... “นอกจากมาตามปกติธรรมแลว้ กม็ าเรียนธรรมศึกษา ถา้ นดั ประชุมก็
มากนั แทบทกุ ครัวเรือน”

ในหลวง..... “มีการแสดงธรรมหรือไม่?”
อาจารย.์ .... “มีการแสดงธรรมทกุ วนั พระ ๘ ค่า ๑๕ ค่า”
ในหลวง... “แสดงธรรมเรื่องอะไร?”
อาจารย.์ ... “ เรื่องนวโกวาท คหิ ิปฏิบตั ิ”
ในหลวง.... “แสดงแลว้ มีผถู้ ามปัญหาไหม?
อาจารย.์ ... “ มีผถู้ าม แรก ๆ ก็ไมค่ ่อยมี”
ในหลวง... “แสดงธรรมสูงกวา่ น้ีกส็ อนได”้
ในวนั ที่พระองคท์ ่านเสด็จมาท่ีวดั มะนาวน้นั ทรงมีพระชนมายุ ๔๙ พรรษา พระครูสถิต
วิหารธรรม(สอน ขอบขา) เจา้ อาวาสอายุ ๔๒ ปี
๔.๓ พระพุทธสิหิงค์แบบนครศรีธรรมราชจาลอง

การสร้างพระพุทธสิหิงคแ์ บบนครศรีธรรมราชจาลองในวดั มะนาวหวาน เป็ นผลสืบ

เน่ืองมาจากวดั มะนาวหวานไดก้ ่อสร้างศาลาเฉลิมพระเกียรติ ๖๐ พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระ

เจา้ อยหู่ วั รัชกาลที่ ๙ ในการก่อสร้างอาคารดงั กลา่ ว วดั มะนาวหวานมีความประสงคจ์ ะสร้างพทุ ธรูป

ขนาดใหญ่ เป็นประธานไวใ้ นศาลาดว้ ยและมีความเห็นวา่ พระพทุ ธลกั ษณะของพระพุทธสิหิงคท์ ่ี

จงั หวดั นครศรีธรรมราช มีความสวยงามน่าเลื่อมใส

ดงั น้นั เมื่อสร้างศาลาเฉลิมเกียรติเสร็จเรียบร้อยแลว้ จึงไดก้ ราบทูลเชิญสมเด็จพระเทพ

รัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ าริ มาเททองหล่อพระพทุ ธสิหิงคจ์ าลองเพ่ือประดิษฐานเป็น

ประธานในศาลาเฉลิมพระเกียรติ เมื่อวนั ที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๓๔ ในการสร้างพระพทุ ธรูปขนาด

๑๐๖

ใหญ่คร้ังน้ี ทรงไดเ้ ททองหลอ่ พระพุทธสิหิงคข์ นาดหนา้ ตกั ๙ นิ้วอีกจานวนหน่ึง และประทานพระ
นามยอ่ ส.ธ. ประดบั ไวบ้ นผา้ ทิพยท์ ่ีฐานของพระพุทธสิหิงคจ์ าลองดว้ ย

เหตุที่ไดเ้ รียกพระพุทธรูปองคน์ ้ีวา่ พระพทุ ธสิหิงคแ์ บบนครศรีธรรมราชจาลอง ก็เพราะวา่
พระพทุ ธสิหิงคใ์ นประเทศไทยท่ีเป็นตน้ แบบน้นั มีอยู่ ๓ องค์ คอื ที่เชียงใหม่ ท่ีกรุงเทพฯและที่
นครศรีธรรมราช ซ่ึงทางวดั มะนาวหวานไดจ้ าลองแบบนครศรีธรรมราช

พระพทุ ธสิหิงคท์ ้งั ๓ องค์ ท่ีเป็นตน้ แบบในประเทศไทย น้นั มีประวตั ิความเป็นมาดงั น้ี
๑.ท่ีนครศรีธรรมราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวชิ ยั ประทบั ขดั สมาธิเพชรบนฐาน

บวั ควา่ บวั หงาย พระพกั ตร์ค่อนขา้ งกลม มีขนาดหนา้ ตกั ๑๔ นิ้ว (๓๒ ซม.) สูง ๑๖.๘ นิ้ว(๔๒ ซม.)
นบั เป็นพระพทุ ธรูปสาคญั ค่บู า้ นคูเ่ มืองมาแต่โบราณกาล องคน์ ้ีเป็นศิลปะศรีวชิ ยั โดยช่างสกุลนคร
ตามประวตั ิกล่าววา่ เป็นพระพทุ ธสิหิงคท์ ี่จาลองมากจากพระพุทธสิหิงคท์ ่ีไดร้ ับจากกษตั ริยล์ งั กา โดย
ก่อนที่พอ่ คุณรามคาแหงจะอญั เชิญไปประดิษฐานท่ีกรุงสุโขทยั พญาศรีธรรมาโศกราชไดส้ ่งั ให้
จาลองพระพทุ ธสิหิงคอ์ งคท์ ี่นามาจากลงั กาไว้ แต่มีขอ้ แตกตา่ งคอื องคท์ ่ีนามาจากลงั กา ซ่ึงปัจจุบนั
อยทู่ ่ีพพิ ธิ ภณั ฑก์ รุงเทพฯเป็นแบบปางสมาธิ แต่ที่นครเป็นปางมารวชิ ยั เช่นเดียวกบั องคอ์ ยทู่ ี่เชียงใหม่

พระพทุ ธสิหิงคแ์ บบนครศรีธรรมราช

๒.ที่กรุงเทพฯ
พระพุทธสิหิงค์ องคท์ ่ีประดิษฐานอยู่ ณ พระท่ีนงั่ พทุ ไธสวรรย์ พพิ ธิ ภณั ฑส์ ถานแห่งชาติ
กรุงเทพฯ เป็นพระพุทธรูปหลอ่ ดว้ ยสาริด ปางสมาธิ ขดั สมาธิราบ สูง ๙๖ เซนติเมตร หนา้ ตกั กวา้ ง

๑๐๗

๖๖ เซนติเมตรเป็นศิลปะแบบลงั กา ตามประวตั ิกลา่ ววา่ พระเจา้ สีหฬะ กษตั ริยแ์ ห่งลงั กาทรงสร้างข้ึน
เม่ือ พ.ศ. ๗๐๐

เบ้ืองหลงั การสร้างมีตานานเล่าวา่ "การสร้างไดป้ ระกอบข้ึนดว้ ยแรงอธิษฐาน ๓ ประการคือ
๑)คาอธิษฐานของพระอรหนั ตผ์ รู้ ่วมพธิ ี
๒)แรงอธิษฐานของพระเจา้ กรุงลงั กาผสู้ ร้าง
๓)อานุภาพแห่งองคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้

การท่ีพระพทุ ธสิหิงคเ์ สด็จประทบั อยทู่ ่ีใด พระพุทธศาสนายอ่ มรุ่งเรืองดงั ดวงประทีปเสมือน
หน่ึงพระพุทธองคย์ งั ทรงพระชนม์ อยู่

ในสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงครองกรุงสุโขทยั ไดท้ รงทราบกิตติศพั ทเ์ ก่ียวกบั พระพุทธสิหิงค์ วา่
เป็นพระพทุ ธรูปท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ มีพทุ ธลกั ษณะงดงามจึงทรงขอใหพ้ ระเจา้ ศรีธรรมโศกราช จดั ส่งราชฑูต
ไปลงั กา ขอพระพทุ ธรูปองคน์ ้ีมาบูชา ซ่ึงกไ็ ดม้ าตามราชประสงค์ ไดอ้ ญั เชิญมาประดิษฐานท่ี
นครศรีธรรมราช จดั งานพิธีสมโภชใหญโ่ ต เป็นเวลา ๗ วนั การอญั เชิญพระพทุ ธสิหิงคเ์ ขา้ มายงั
ดินแดนไทยโดยผา่ นทางนครศรีธรรมราชซ่ึงเป็นเมืองที่มีการติดตอ่ สัมพนั ธ์อยกู่ บั ลงั กาอยา่ งใกลช้ ิด
ตามประวตั ิน้นั ไดก้ ล่าววา่ พ่อขนุ รามคาแหงเสด็จลงมารับพระพุทธสิหิงคถ์ ึงยงั นครศรีธรรมราชดว้ ย
พระองคเ์ อง ส่วนพระเจา้ ศรีธรรมาโศกราชไดใ้ หช้ ่างทอ้ งถ่ิน จาลองไวบ้ ูชา ๑ องคต์ ามท่ีกลา่ วแลว้
ขา้ งตน้ แลว้ ไดอ้ ญั เชิญองคจ์ ริงไปไว้ ณ กรุงสุโขทยั

พระพทุ ธสิหิงคท์ ่ีกรุงเทพฯ

๑๐๘

ตอ่ มาเม่ือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขนุ หลวงพะงวั่ ) แห่งกรุงศรีอยธุ ยาไดก้ รุงสุโขทยั

เป็นเมืองข้นึ ไดอ้ ญั เชิญพระพุทธสิหิงคม์ าประดิษฐานที่กรุงศรีอยธุ ยา ตอ่ จากน้นั ไดม้ ีผูน้ าไปไวท้ ่ีเมือง

กาแพงเพชรและเชียงราย เมื่อพระเจา้ แสนเมืองมา ซ่ึงเป็นเจา้ นครเชียงใหมย่ กทพั ไปตีเมืองเชียงราย

ได้ จึงไดอ้ ญั เชิญพระพุทธสิหิงคม์ าประดิษฐานท่ีเชียงใหม่พร้อมกบั พระแกว้ มรกต ต่อมาเมื่อสมเด็จ

พระนารายณ์มหาราชตีเมืองเชียงใหม่ไดเ้ มื่อ พ.ศ. ๒๒๐๕ ไดอ้ ญั เชิญพระพุทธสิหิงคม์ าประดิษฐานที่

วดั พระศรีสรรเพชญก์ รุงศรีอยธุ ยาเป็นเวลานานถึง ๑๐๕ ปี เมื่อเสียกรุงศรีอยธุ ยาคร้ังท่ี ๒ แก่พม่าใน

พ.ศ. ๒๓๑๐ ชาวเชียงใหม่ซ่ึงเป็นเมืองข้ึนของพม่าไดอ้ ญั เชิญพระพุทธสิหิงคก์ ลบั ไปที่เชียงใหม่อีก

คร้ันเม่ือ พ.ศ.๒๓๓๘ สมเดจ็ กรมพระราชวงั บวรฯ ยกทพั ข้นึ ไปช่วยเจา้ เชียงใหม่ที่ถกู พม่า

ลอ้ ม ตีกองทพั พมา่ แตกพ่ายไป ตอนกลบั ไดอ้ ญั เชิญพระพทุ ธสิหิงคล์ งมาไวท้ ี่กรุงรัตนโกสินทร์

ประดิษฐานไวท้ ี่พระราชวงั บวร ณ พระที่นงั่ พทุ ไธสวรรย์ ต้งั แต่บดั น้นั เป็นตน้ มา

โดยสรุป พระพุทธสิหิงคอ์ งคท์ ี่ประดิษฐานอยู่ ณ พระท่ีนงั่ พุทไธสวรรยใ์ นปัจจุบนั มีประวตั ิ

อยใู่ นที่ต่าง ๆ ตามเหตุการณ์บา้ นเมืองที่ผนั แปรดงั น้ี

- สร้างข้นึ ที่ลงั กาเม่ือ พ.ศ.๗๐๐

-มาอยทู่ ี่ประเทศไทยต้งั แต่สมยั พญาศรีธรรมาโศกราช ตรงกบั สมยั พระเจา้

รามคาแหง

-อยทู่ ่ีกรุงสุโขทยั ๗๐ ปี

-อยพู่ ิษณุโลก ๕ ปี (ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๒๐ –๑๙๒๔)

- อยกู่ รุงศรีอยธุ ยา ๕ ปี (ระหวา่ ง พ.ศ.๑๙๒๕ – ๑๙๒๙)

- อยกู่ าแพงเพชร ๑ ปี ( พ.ศ.๑๙๓๐)

- อยเู่ ชียงราย ๒๐ ปี (ระหวา่ ง พ.ศ.๑๙๓๑ – ๑๙๔๙)

- อยเู่ ชียงใหม่ ๒๒๕ ปี (ระหวา่ ง พ.ศ.๑๙๕๐ – ๒๒๔๙)

- กลบั ไปอยกู่ รุงศรีอยธุ ยาอีก ๑๐๕ ปี (ระหวา่ ง พ.ศ.๒๒๕๐ – ๒๓๑๙)

-กลบั ไปอยเู่ ชียงใหม่อีก ๒๘ ปี ( ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๑๐ – ๒๓๓๗)

- มาอยกู่ รุงเทพ ต้งั แต่ พ.ศ. ๒๓๓๘ - ถึงบดั น้ี (๒๕๖๒) ๒๒๔ ปี

รวมเวลาท่ีพระพุทธสิหิงคอ์ งคท์ ่ีกรุงเทพฯ ไดม้ าอยปู่ ระเทศไทยถึงปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๒) เป็น

เวลา ๖๘๓ ปี พระพุทธรูปองคน์ ้ีมีอายุนบั แตป่ ี ที่สร้าง พ.ศ.๗๐๐ – ๒๕๖๒ นบั ได้ ๑๘๖๒ ปี จึงถือ

เป็นพระพทุ ธรูปคูบ่ า้ นคูเ่ มืองมาแตค่ ร้ังโบราณกาลที่มีอายยุ าวนานมาก

๓. ท่ีเชียงใหม่

พระพทุ ธสิหิงค์ หรือพระสิงคท์ ี่วดั พระสิงมหาวรวิหาร เป็นพระพทุ ธรูปเก่าแก่คบู่ า้ นคเู่ มือง

เชียงใหม่ มีความสาคญั คกู่ บั พระพทุ ธสิหิงคใ์ นกรุงเทพฯ และเมืองนครศรีธรรมราช เป็นพระพทุ ธรูป

ท่ีงดงามมาก ศิลปะเชียงแสน ปางมารวิชยั ขดั สมาธิเพชร หล่อดว้ ยสมั ฤทธ์ิปิ ดทองคาเปลว หนกั ตกั

๑๐๙

กวา้ ง ๔๐ นิ้ว ศิลปะเชียงแสนรุ่นแรก ปัจจุบนั ประดิษฐานในวหิ ารลายคา วดั พระสิงห์มหาวรวหิ าร
จงั หวดั เชียงใหม่

ประวัติวดั พระสิงห์ เชียงใหม่
เอกสารทางประวตั ิศาสตร์ กล่าววา่ พญาผายู โปรดใหส้ ร้างเจดีย์ สูง ๒๓ วา เพ่อื บรรจุอฐั ิ
พญาคาฟู พระบิดาของพระองค์ เม่ือปี พ.ศ.๑๘๘๘ ต่อมาในปี พ.ศ.๑๘๙๐ จึงโปรดให้สร้างบริเวณน้ี
ข้นึ เป็นวดั แต่เนื่องจากหนา้ วดั เป็นสถานท่ีชุมนุม ซ้ือขายแลกเปล่ียนสินคา้ ของชาวเมือง วดั น้ีจึงใหอ้ ีก
ช่ือวา่ “วดั ลีเชียง” (ลี แปลวา่ ตลาด ) แตช่ าวบา้ นเรียกกนั ติดปากวา่ “กาดลี”
เมื่อคร้ังทา้ วมหาพรหม เจา้ เมืองเชียงรายไปไดพ้ ระพุทธสิหิงคม์ าจากเมืองกาแพงเพชรและนา
ข้ึนมาถวายพระเจา้ แสนเมืองมา กษตั ริยเ์ มืองเชียงใหม่ ในขณะอญั เชิญพระพุทธสิหิงคม์ าจากเมือง
เชียงราย เมื่อขบวนชา้ งอญั เชิญมาถึงหนา้ วดั ลีเชียง ชา้ งกไ็ ม่ยอมเดินทางต่อ พระเจา้ แสนเมืองมา จึง
โปรดใหป้ ระดิษฐานพระพทุ ธสิหิงค์ ณ วดั ลีเชียง ประชาชนทางเหนือเรียกพระพุทธสิหิงค์ วา่ "พระ
สิงห"์ จึงเป็นที่มาของช่ือ "วดั พระสิงห"์ แทนชื่อวดั ลีเชียง
กระทงั่ ถึง พ.ศ.๒๔๘๓ วดั พระสิงหไ์ ดร้ ับการสถาปนานายกฐานะข้ึนเป็นพระอารามหลวง
ช้นั เอก ชนิดวรมหาวหิ าร และไดร้ ับนามใหม่วา่ วดั พระสิงห์วรมหาวหิ ารมาจนถึงปัจจุบนั
ในเทศกาลสงกรานต์ จะมีการอญั เชิญพระสิงห์สิหิงคป์ ระดิษฐานบนบุษบกแห่รอบเมือง
เชียงใหมใ่ หป้ ระชาชนสรงน้า เพ่อื ความเป็นสิริมงคลเป็นประจาทกุ

๑๑๐

๔.๔ พระเชียงแสน

ในวดั มะนาวหวาน มีพระพุทธรูปโบราณ ปางสมาธิ ขนาดหนา้ ตกั กวา้ ง ๑๕ นิ้ว ซ่ึงถือวา่
เก่าแก่มากอยอู่ งคห์ น่ึง เรียกช่ือกนั วา่ “พระเชียงแสน” เป็นพระพทุ ธรูปที่ตอ้ งดว้ ยพทุ ธลกั ษณะ
ศิลปะเชียงแสนรุ่นแรกทกุ ประการ จึงถือวา่ มีอายมุ ากกวา่ ๗๐๐ ปี สภาพโลหะที่ฐานผกุ ร่อนเป็นรู
โหวเ่ พราะความเก่าแก่ไปมากแลว้ มีความเป็นมาวา่ เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ.๒๕๐๙ พ่อท่านคลา้ ย
วาจาสิทธ์ิไดม้ อบพระพุทธรูปสมยั เชียงแสนองคน์ ้ีใหแ้ ก่พระสมหุ ์สอน ฐิตวีโร( คือพระสิริธรรมราช
มนุ ี)เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน นครศรีธรรมราช

๑๑๑

ท่ีวา่ เก่าแก่เพราะพระพุทธรูปสมยั เชียงแสนรุ่นแรกน้นั เป็นพระพุทธรูปซ่ึงสร้างในพทุ ธ
ศตวรรษท่ี ๑๖-๒๐ หรือระหวา่ งปี พ.ศ. ๑๖๐๐-๒๐๐๐ โดยเป็นฝีมือของช่างชาวไทยในมณฑลพายพั
แต่มีพบมากและมีความสวยงามคือที่อาเภอเชียงแสน จงั หวดั เชียงราย นกั โบราณคดีจึงใชช้ ่ือเมือง
เชียงแสนในการกาหนดพทุ ธศิลป์ และยกยอ่ งวา่ เป็นพทุ ธศิลป์ ท่ีมีเอกลกั ษณ์ และเขา้ ถึงศิลปะเชียง
แสนอยา่ งแทจ้ ริง

พระพทุ ธรูปเชียงแสนรุ่นแรกน้ีทาตามแบบอยา่ งพระพทุ ธรูปอินเดียสมยั ราชวงศป์ าละ
ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๒๗๓-๑๗๔๐ ทุกประการ คือ

- พระองคอ์ วบอว้ น พระรัศมีเป็นต่อมกลม
- นงั่ ขดั สมาธิเพชร พระหตั ถม์ ารวชิ ยั พระอรุ ะนูน ชายสังฆาฎิอยเู่ หนือราวพระถนั
- พระพกั ตร์กลมส้นั พระโขนงโก่ง พระนาสิกงุม้ พระโอษฐ์เลก็ พระหนุเป็นปม
- เส้นพระศกใหญ่เป็นตอ่ มกลมหรือเป็นเส้นหอยไมม่ ีไรพระศก

๑๑๒

- ฐานบวั มีรอง ท้งั บวั คว่าบวั หงาย

พระพุทธรูปสมยั เชียงแสนรุ่นหลงั เป็นฝีมือช่างไทยชาวลานนาและลานชา้ งทาตามแบบอยา่ ง

พระพุทธรูปสมยั สุโขทยั มีลกั ษณะตา่ งไปจากสมยั เชียงแสนรุ่นแรกคอื ทาพระรัศมีเป็นเปลว

นงั่ ขดั สมาธิราบ ชายสังฆาฎิยาว เสน้ พระศกละเอียด มีไรพระศก รัศมีเป็นเปลว กล่าวโดยสรุป

พระพทุ ธรูปสมยั เชียงแสนปัจจุบนั นิยมแบ่งออกเป็น สิงห์หน่ึง , สิงห์สอง และสิงหส์ าม

สาหรับพระพุทธรูปเชียงแสนท่ีอยวู่ ดั มะนาวหวานองคน์ ้ีงดงามมาก ตอ้ งดว้ ยลกั ษณะ

พระพทุ ธรูปเชียงแสนรุ่นแรกทุกประการ จึงถือวา่ เป็นพระพุทธรูปสร้างในระหวา่ ง พ.ศ.๑๖๐๐ –

๒๐๐๐ ดงั กลา่ วแลว้ ผนู้ ามาถวายแก่พ่อทา่ นคลา้ ย คือคุณขจิต นิธิวานิ และต่อมาในเดือนกรกฎาคม ปี

๒๕๐๙ พ่อทา่ นคลา้ ยวาจาสิทธ์ิไดม้ อบใหเ้ ป็นสมบตั ิวดั มะนาวหวานในฐานะเป็นโบราณวตั ถุมงคล

ในโอกาสวดั มะนาวหวานครบรอบ ๓๓๖ ปี ในเดือนมิถนุ ายน ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ น้ี ทาง

คณะกรรมการจดั งานไดจ้ ดั หล่อพระเชียงแสนองคน์ ้ีออกใหป้ ระชาชนนาไปบชู า ๓ ขนาด

- ขนาดใหญ่กวา่ องคจ์ ริง

- ขนาดเทา่ องคจ์ ริง

- ขนาดรูปเหรียญที่ระลึก

โดยกรรมการฝ่ายจดั หล่อพระเชียงแสนหวงั ใหก้ ารบูชาพระพุทธรูปเป็นไปตามวตั ถุประสงค์

สาคญั คือ

- เพื่อแสดงออกถึงวฒั นธรรมอนั ดีงามของชาวพุทธ

- เพือ่ ระลึกถึงพระพทุ ธเจา้

-เพื่อแสดงออกถึงการบูชาบุคคลท่ีควรบูชาตามหลกั มงคลในทางพระพทุ ธศาสนา

-เพ่ือนอ้ มนาพุทธคณุ และธรรมคุณมาพฒั นาตนเอง

- เพอ่ื ใหจ้ ิตสงบและเกิดสติปัญญาในการแกป้ ัญหาชีวติ

-เพอื่ ลดทิฏฐิมานะและลดกิเลสอนั เป็นเหตุแห่งทุกขท์ ้งั หลาย

- เพอ่ื ความสุขที่แทจ้ ริงซ่ึงเกิดจากการปฏิบตั ิธรรม

๔.๕ พระประธานในโบสถ์ วัดหลกั ช้าง
ในโบสถว์ ดั หลกั ชา้ งถือไดว้ า่ แปลกกวา่ ในโบสถข์ องวดั ทุกแห่ง เพราะท่ีนี่มีพระประธาน ๒
องค์ มีช่ือวา่ “ทา้ วเทพสตรี-ทา้ วศรีสุนทร” ซ่ึงพอ่ ท่านคลา้ ยไดน้ ามาจากวดั โพธ์ิ ตาบลท่าขา้ ม อาเภอ
พุนพนิ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๘ เหตทุ ่ีไดพ้ ระ ๒ องคน์ ้ีมา เพราะมาเขา้ ฝันพ่อท่านคลา้ ยวา่ ใหท้ า่ นไปรับมา
ไวท้ ี่วดั หลกั ชา้ งซ่ึงจากดั สถานที่ไวแ้ ลว้ ประกอบกบั ท่ีเดิมซ่ึงพระพทุ ธรูป ๒ องคน์ ้ีต้งั อยใู่ ตต้ น้ โพธ์ิ
ภายในบริเวณวดั โพธ์ิ น้นั เป็นป่ ารกร้าง มีตวั ต่อแตนต้งั รังชุกชุม พอ่ ท่านคลา้ ยทราบจากความฝันแลว้
ทา่ นก็ไปรับมาโดยล่องเรือข้ึนทางแม่น้าตาปี เขา้ คลองมินมาข้ึนที่ท่าน้าหนา้ วดั หลกั ชา้ ง

๑๑๓

พระพทุ ธรูปคู่น้ีทาดว้ ยหินทรายแดง มีขนาดไมเ่ ทา่ กนั ประดิษฐานอยบู่ นฐานบุษบกสูง ๑๖
ซม. องคโ์ ตสูง ๒.๑๖ เมตร หนา้ ตกั กวา้ ง ๑.๓๐ เมตร ดูเหมือนองคพ์ ใี่ หญก่ วา่ องคน์ อ้ งประมาณ ๑ ใน
๑๐ ดูตามพทุ ธลกั ษณะแลว้ เป็นฝีมือช่างพ้ืนเมือง เพราะรูปลกั ษณ์เหมือนหลวงพอ่ เดิมในวดั มะนาว
หวาน และพระประธานในโรงธรรมวดั จนั ดี แต่ ๒ องคน์ ้ี หนา้ ตากระเดียดไปทางผหู้ ญิง ลุงเคลา้ มณี
ลาภ ชาวบา้ นควนตมเล่าใหฟ้ ังวา่ นี่คือองคแ์ ทท้ ่ีพอ่ ทา่ นคลา้ ยนามาจากวดั โพธ์ิ องคใ์ หญ่ชื่อ “ทา้ วเทพ
สตรี องคร์ องช่ือ “ทา้ วศรีสุนทร” ชาวบา้ นนบั ถือกนั วา่ เป็นพระพทุ ธรูปท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ จึงเป็นที่เคารพ
ศรัทธาของประชาชนท้งั ใกลแ้ ละไกล

เนื่องจากพระพุทธรูป ๒ องคน์ ้ีแกะสลกั จากหินทรายแดง ซ่ึงเป็นหินที่มีลกั ษณะพรุน สีแดง
เรียกตามภาษาวิทยาศาสตร์วา่ ดินแลง quot ซ่ึงเรียกกนั วา่ “ ศิลาแลง ” แมจ้ ะเป็นหินพรุนแตก่ ็
แขง็ แรงทนทานมาก เพราะเกิดจากการออกไซด์ของแร่เหลก็ อลมู ิเนียมและแมงกานิสผสมกลมกลืน
กบั ดินอดั แน่นเป็นสีแดง เมื่อถกู อากาศยงิ่ แขง็ แกร่งมากข้ึน ถึงกระน้นั ก็ไดม้ ีการตกแตง่ องค์
พระพทุ ธรูปคู่น้ีใหมโ่ ดยใชซ้ ีเมนตข์ าวฉาบรอบนอกอีกช้นั หน่ึง

สาหรับแทน่ ที่วางพระพทุ ธรูปคใู่ นโบสถน์ ้นั ทาดว้ ยลกู รัง ซ่ึงเอามาขดั ลา้ งแลว้ ตาเป็นผง
ละเอียด คลุกเคลา้ กบั น้าผ้งึ ผสมน้ามนั ยางใสก่อเป็นแท่น แลว้ นาพระพทุ ธรูป ๒ องคน์ ้ีวางบนแท่น
ดงั กลา่ วน้ี

ดว้ ยเหตทุ ี่ทา้ วเทพสตรี-ทา้ วศรีสุนทรมาเขา้ ฝันพ่อทา่ นคลา้ ยดงั กล่าวแลว้ ท่านจึงใหช้ ่ือ
พระพทุ ธรูปองคโ์ ตวา่ “ทา้ วเทพสตรี” องคร์ องวา่ “ทา้ วศรีสุนทร

อนั ที่จริงในทางประวตั ิศาสตร์น้นั ช่ือของ ๒ นางน้ีเป็นวีรสตรีชาวถลาง คนพชี่ ื่อ “จนั ” คน
นอ้ งชื่อ “มกุ ” ไดต้ ้งั กาลงั ต่อตา้ นพม่าดว้ ยกุศโลบายอนั แยบคาย สามารถเอาชนะกองทพั พมา่ ได้ ตาม

๑๑๔

เรื่องประวตั ิมีมาวา่ แมท่ พั ใหญย่ หี่ วนุ่ (แกงหวนุ่ เมืองย)ี คุมกาลงั 3,000 คน เขา้ ตีหวั เมืองทางชายฝั่ง
ทะเลตะวนั ตก ต้งั แตเ่ มืองกระ ตะกว่ั ป่ า ตะกวั่ ทงุ่ คา่ ยปากพระ โดยมีเป้าหมายสุดทา้ ยท่ีเมืองถลาง
ประจวบกบั ขณะน้นั เจา้ เมืองเสียชีวติ คุณจนั ซ่ึงเป็นภรรยาพร้อมดว้ ยคุณมุกนอ้ งสาวและคณะกรมการ
เมืองวางแผนใหก้ ลมุ่ ผหู้ ญิงแต่งตวั คลา้ ยทหารไทย เอาไมท้ องหลางเคลือบดีบุกมาถือแทนอาวุธ ทาที
ยกขบวนเขา้ เมืองถลางในช่วงดึกลวงพม่าวา่ เมืองถลางมีกาลงั มาเสริมทุกคนื ทาใหพ้ ม่าคาดการณ์กอง
กาลงั เมืองถลางผิดพลาด การศึกคร้ังน้ีกินเวลายาวนานถึง 1 เดือนเศษ กาลงั พม่าท้งั ออ่ นลา้ และขาด
เสบียงอาหาร เม่ือบุกเขา้ โจมตีกถ็ กู ฝ่ายเมืองถลางระดมยงิ ปื นใหญ่แม่นางกลางเมืองถูกตน้ ทองหลาง
หนา้ คา่ ยพม่าหกั ลง กองทพั พมา่ ระส่าระสายเสียขวญั และแตกทพั ไปเมื่อวนั จนั ทร์ เดือน 4 แรม 14 ค่า
ปี มะเส็ง สัปตศก จุลศกั ราช 1147 ตรงกบั วนั ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2328 เป็นวนั ถลางชนะศึก

เม่ือความทราบถึงพระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก กไ็ ดท้ รงโปรดเกลา้ ฯ ใหค้ ุณจนั
เป็น ทา้ วเทพกษตั รี คณุ มุกนอ้ งสาวเป็น ทา้ วศรีสุนทร ดารงยศอนั มีศกั ด์ิแก่ฐานานุรูป เป็นศรีแก่เมือง
ถลาง และวงศต์ ระกูลสืบต่อมา

๔.๖ เจดีย์สองพน่ี ้อง วัดมะนาวหวาน
เป็นเจดียเ์ ก่าแก่ที่สุดต้งั คู่อยหู่ นา้ โบสถว์ ดั มะนาวหวานมานานก่อนสร้างโบสถใ์ หม่ ก่อดว้ ย
อิฐแผ่นใหญ่ ชาวบา้ นเรียกว่าอิฐหนา้ ววั เจดียเ์ ป็นรูประฆงั ควา่ อยใู่ นสภาพปรักหกั พงั ชาวบา้ นเช่ือ
กนั วา่ เป็นเจดียท์ ี่บรรจุอฐั ิสมภารอิน สมภารจนั ผสู้ ร้างวดั มะนาวหวาน จึงพากนั กราบไหวใ้ นฐานะ
เป็นสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ แมแ้ ตค่ ณะมโนราห์ หากยกคณะผา่ นเจดียน์ ้ีตอ้ งวางเครื่องบรรเลงเป็นการบูชาก่อน
ผา่ นไป คณะหนงั ตะลุงกป็ ฏิบตั ิอยา่ งเดียวกนั สมยั ก่อนเม่ือจะแสดงหนงั ตะลใุ นถิ่นน้ี นายหนงั
จะตอ้ งปรายหนา้ บทไหวส้ มภารอิน สมภารจนั ก่อนเป็นเบ้ืองแรก

ภาพท่ี๑ซากเจดีย์สองพนี่ ้องก่อนแต่มีการปรับปรุง

๑๑๕

จนกระทง่ั เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯพร้อมดว้ ยพระบรมวงศานุวงศไ์ ดเ้ สด็จมา
ยกช่อฟ้าพระอโุ บสถเมื่อวนั ที่ ๒๐ กนั ยายน ๒๕๑๙ ไดท้ รงตรัสถามเจา้ อาวาสป็นเชิงแสดงพระราช
ประสงคว์ า่ “จะบูรณะหรือไม่?”

การบรู ณะจึงไดเ้ กิดข้ึนเม่ือ ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๓๔ คณะขดุ เจาะไดแ้ ก่นายเจริญ อินทองคา
นายล่อง มณีลาภ พระภิกษุอุดม ตราชู ฯลฯ มีการขดุ เจาะเจดียอ์ งคห์ น่ึงทางทิศใตเ้ พ่ือการเคล่ือนยา้ ย
การขดุ เจาะคร้ังน้นั ไดพ้ บสิ่งท่ีบรรจุภายในเจดียด์ งั น้ี

- หมอ้ ดิน ภายในหมอ้ มีอฐั ิ
- หวั นโมเงินแท้ ๔๒ อนั
- แหวนทองเน้ือเกล้ียง ๒ วง
- กาไลสัมฤทธ์ิขนาดเลก็ ๔ วง
- หินเหลก็ ไหลหรือเพชรหนา้ ทง่ั ๒ อนั
- มีผอบสองฝาครอบกนั
เป็นท่ีน่าแปลกที่สุด ก็คือส่ิงท่ีพบเห็นภายในเจดียน์ ้ีมีแตเ่ คร่ืองแต่งกายสตรี ไม่มีนิมิตหมาย
วา่ เป็นของใชส้ าหรับพระภิกษเุ ลย

ภาพวตั ถโุ บราณท่ีบรรจุอยภู่ ายในเจดีย์

โบราณวตั ถุภายในเจดียด์ งั กลา่ วน้ีเป็นท่ีมาแห่งการทาใหเ้ ช่ือวา่ น่าจะเป็นที่บรรจุอฐั ิของ
นางพญาเลือดขาวกบั นางพญาจณั ฑี แต่กไ็ มม่ ีหลกั ฐานพิสูจน์ฯ เป็นแต่เพยี งความคาดหมาย จึงถือเอา

๑๑๖

เป็นประวตั ิศาสตร์โบราณคดีไม่ได้ แต่ถา้ หากวา่ เจดียส์ องพ่ีนอ้ งเป็นที่บรรจุอฐั ิของสองนางพญา
ดงั กล่าวจริง อายขุ องเจดียก์ ็คงเก่าแก่กวา่ วดั มะนาวหวานมาก เพราะสมยั ของสองนางพญาอยใู่ นยคุ
พระเจา้ จนั ทภาณุผคู้ รองเมืองนครศรีธรรมราชในราวปลายพทุ ธศตวรรตท่ี ๑๘ คือ ราว พ.ศ. ๑๗๘๐
นกั ประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่ินกล่าววา่ เดิมสองนางพญาน้ีทะเลาะกนั ถึงข้นั ทาลายเมืองนางพญาเลือดขาว
โดยเปิ ดน้าใหไ้ หลท่วมเมือง เม่ือสองนางพญาไดค้ ืนดีกนั ก็ไดส้ ร้างเจดียไ์ วเ้ ป็นอนุสรณ์ แตจ่ ะสร้าง
ไวต้ รงไหนไมม่ ีใครพสิ ูจนไ์ ด้ เม่ือท้งั สองนางเสียชีวติ ก็ไดม้ ีการเอาอฐั ิฝังไวใ้ นเจดียพ์ ร้อมสิ่งของ
เคร่ืองใช้

ดงั น้นั ในโอกาสที่ขดุ เจาะเจดียอ์ งคห์ น่ึงหนา้ โบสถว์ ดั มะนาวหวาน ไดพ้ บอฐั ิและเครื่องแตง่
กายสตรีดงั กลา่ วขา้ งตน้ ความเชื่อด้งั เดิมที่วา่ เป็นเจดียเ์ ก็บอฐั ิของสมภารอิน สมภารจนั กค็ ลายความ
เชื่อลงไป ประกอบกบั การสร้างเจดียใ์ หมค่ รอบองคเ์ ดิมเป็นแบบอยธุ ยา ทาใหม้ องไม่เห็นรูปร่าง
ซากเดิมของเจดีย์ ความเช่ือเดิมกย็ งิ่ หดหายไป เพราะมองอยา่ งไรกย็ งั คงเห็นเป็นของใหม่

ภาพที่ ๓ เจดีย์สองพี่น้องเมื่อคร้ังกาลังสร้างโบสถ์ใหม่ปี ๒๕๑๐

๑๑๗

เจดียอ์ งคท์ ิศใตซ้ า้ ยมือของโบสถ์ ซ่ึงเป็น ๑ ใน ๒ เจดียส์ องพน่ี อ้ ง ไดม้ ีการซ่อมแซมดงั ภาพที่
๓ ซ่ึงซ่อมโดยภรรยาของนายชุบ มนุ ิกานนท์ อดีตผอู้ านวยการองการสวนยาง ปรากฏวา่ เจดียอ์ งคน์ ้ี
แมจ้ ะต้งั อยกู่ ่อนหลายร้อยปี แต่เม่ือเม่ือมีการสร้างโบสถใ์ หม่ในที่เดิมปรากฎวา่ เป็นการขวางหนา้
โบถส์ จึงไดม้ ีการเคล่ือนยา้ ย โดยขดุ คน้ เจาะเขา้ ไปในใจกลางเจดียเ์ ดิม และก็พบวตั ถมุ งคลดงั กลา่ ว
ขา้ งตน้

เจดียส์ องพน่ี อ้ งหลงั บูรณะแลว้ ห่างกนั ประมาณ ๖.๕๐ เมตร เป็นแบบทรงอยธุ ยา เพ่ือเป็น
อนุสรณ์วา่ เจดียส์ องพ่นี อ้ งสร้างมาแต่คร้ังอยธุ ยา สวยหรู แต่มองไม่เห็นของเก่า เพราะสร้างของใหม่
ทบั เอาไว้ ความศกั ด์ิสิทธ์ิที่เห็นเป็นรูปธรรมก็เลือนหายคลายลงดว้ ย

ภาพที่ ๔ เจดีย์ถูกบูรณะแล้วหลังจากถูกขดุ และเคล่ือนย้ายออกมา

๑๑๘

๔.๗ เจดยี ์วัดสวนขัน
เป็นเจดียร์ ูปทรงโอควา่ พ่อทา่ นคลา้ ยสร้างข้นึ ต้งั แตป่ ี ๒๔๖๙ เป็นที่บรรจุอฐั ิพระอรหันต์
และกระดูกของพส่ี าวพ่อทา่ นคลา้ ยที่ช่ือ นางเพง็ เพชรฤทธ์ิ องคเ์ จดียส์ ูง ๒๘ เมตร ต้งั อยบู่ นฐาน ๒
ช้นั คอื ฐานช้นั นอก และฐานช้นั ใน ที่ฐานช้นั นอกซ่ึงเป็นช้นั ติดพ้ืนดินมีช่องเปิ ดกวา้ งในแนวยาว
ดา้ นทิศตะวนั ออก และทิศตะวนั ตกปิ ดก้นั ดว้ ยกระจกใส เม่ือยนื ที่พ้ืนองคเ์ จดีย์ มองผา่ นกระจกใส
สามารถมองเห็นโกศทองเหลืองบรรจุอฐั ิพระอรหนั ต์
พระภิกษุป่ นุ เล่าวา่ พอ่ ท่านคลา้ ยไดอ้ ฐั ิพระอรหนั ต์ จากสามเณรองคห์ น่ึงซ่ึงมาหาพ่อทา่ น
คลา้ ยก่อนฉนั เพลในวนั หน่ึง แลว้ ก็หายตวั ไป อฐั ิน้ีมีขนาดเท่าเมลด็ ขา้ วโพด
การก่อสร้างองคพ์ ระเจดียไ์ ดใ้ ชไ้ มห้ ลาวโอนแทนเหลก็ ผนงั รอบนอกขององคเ์ จดียว์ าดรูป
นูนปนู ป้ันเทวดาและอสูรชูพญานาคในอิริยาบถต่าง ๆ เจดียน์ ้ีเกิดรอยร้าวในระยะตอ่ มาเม่ือมี
รถบรรทุกและเคร่ืองจกั รกลมาทาถนนหนา้ วดั สวนขนั ฉะน้นั ในปี ๒๕๔๒ พระครูกิตติวมิ ล เจา้
อาวาสปัจจุบนั ก็ไดท้ าการซ่อมแซมโดยช่างกรมศิลปากร เจดียจ์ ึงยงั คงต้งั เด่นเป็นสงา่ อยถู่ ึงทกุ วนั น้ี

๑๑๙

รูปพระเจดยี ์วดั สวนขัน

๔.๘ เจดีย์ธาตุน้อย วดั ธาตุนอ้ ย ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง

๑๒๐

เจดียธ์ าตุนอ้ ยต้งั อยบู่ ริเวณควนไมแ้ ดง หมู่ ๑ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง เป็นเจดียท์ ่ีถอด
แบบมาจากพระบรมธาตุ วดั พระมหาธาตฯุ นครศรีธรรมราช สาเหตทุ ่ีไดส้ ร้างพระเจดียธ์ าตุนอ้ ย สืบ
เนื่องมาจากเม่ือปี ๒๕๐๒ พ่อทา่ นคลา้ ยไดร้ ับกิจนิมนตไ์ ปที่กวา๊ นพะเยา(เด๋ียวน้ีเป็นจงั หวดั พะเยา) ใน
งานน้ีไดม้ ีนายประคอง ช่วยพนั ธุ์ ไดน้ าผอบ(ตลบั )ทองคามาถวาย ภายในผอบมีพระสารีริกธาตุบรรจุ
อยู่ นายประคองเล่าใหพ้ ่อท่านคลา้ ยฟังวา่ ไดข้ ้ึนไปบนดอยพบซากปรักหกั พงั ของเจดียอ์ งคห์ น่ึง เขา
ไดข้ ดุ คุย้ หาวตั ถุโบราณ ไดพ้ บผอบดงั กล่าวจึงไดน้ ามาบูชา เกิดนิมิตฝันวา่ วา่ ผอบพระสารีริกธาตนุ ้ีมี
เจา้ ของ เมื่อพบเจา้ ของแลว้ ใหม้ อบแก่เจา้ ของเขาไป โดยบอกลกั ษณะเจา้ ของไวอ้ ยา่ งละเอียด เม่ือได้
พบกบั พ่อท่านคลา้ ย พจิ ารณาลกั ษณะของทา่ นแลว้ ตรงกบั ท่ีบ่งไวใ้ นความฝันทกุ ประการ จึงไดน้ า
ผอบมาถวาย พอ่ ท่านคลา้ ยไดร้ ับไวเ้ ฉพาะพระสารีริกธาตุ ส่วนผอบทองคืนคุณประคองฯไป

เมื่อไดพ้ ระสารีริกธาตุ ทา่ นกม็ ีความคดิ ท่ีจะสร้างพระเจดียเ์ พือ่ บรรจุ จึงไดเ้ ริ่มวางศิลาฤกษ์
เม่ือวนั ท่ี ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๕ ตรงกบั วนั อาทิตยข์ ้ึน ๙ ค่า เดือนยี่ ปี ฉลู บนท่ีดินของผใู้ หญ่กลบั
งามพร้อม ซ่ึงไดถ้ วายพอ่ ท่านคลา้ ยต้งั แต่ปี พ.ศ.๒๔๘๗ โดยพอ่ ทา่ นคลา้ ยเป็นประธานสงฆป์ ระกอบ
พธิ ี พล.ต.ต.ขนุ พนั ธรักษร์ าชเดชเป็นประธานฝ่ายฆราวาส, และหลวงพอ่ คร้ืนหรือพระใบฎีกาคร้ืน
โสภโณ เป็นผอู้ านวยการก่อสร้าง

แนวคิดในการท่ีจะสร้างพระเจดียธ์ าตุนอ้ ยน้นั เกิดข้นึ ในวนั หน่ึงก่อนเขา้ พรรษาเม่ือปี พ.ศ.
๒๕๐๔ ขณะท่ีพ่อท่านคลา้ ยนง่ั อยบู่ นกฏุ ิเลก็ ๆ ใตต้ น้ จิก ในวดั จนั ดี ท่านเหลือบมองพระเจดียท์ รง
ระฆงั คว่าที่อยหู่ นา้ โบสถก์ ็ไดค้ วามคดิ และกล่าวกบั พระใบฎีกาคร้ืน โสภโณ เจา้ อาวาสวดั จนั ดีวา่
“ฉานจะสร้างเจดียอ์ งคใ์ หญ่สักองค์ ใหเ้ หมือนพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช แต่ไม่ใหใ้ หญ่กวา่
เพราะพระบรมธาตนุ ้นั เจา้ เคา้ สร้าง”

เจดียห์ นา้ โบสถว์ ดั จนั ดีองคน์ ้ีแหละที่บนั ดาลใจใหพ้ ่อท่านคลา้ ยสร้างเจดียธ์ าตุนอ้ ยลือชื่อใน
ปัจจุบนั

๑๒๑

ในการขดุ ดินวางฐานรากไดข้ ดุ เป็นวงกลม ลึกประมาณ ๒ เมตรเศษ ตอกเสาเขม็ ดว้ ยเสาเขม็
ไมแ้ ดง หลงั จากน้นั เทคอนกรีตทบั เสาเขม็ กบั หินกอ้ นใหญ่ ซ่ึงการรถไฟนามาบริจาคช่วยเหลือ วาง
หินทบั หนา้ ประมาณคร่ึงเมตร ต่อจากน้นั ต้งั คานคอนกรีตเสริมเหลก็ รางรถไฟ ผา่ นแทน่ ฐานผา่ น
วงกลมออกไปเชื่อมโยง ถึงตวั คานขา้ งนอกและต้งั คานซอย ซ่ึงคานคอนกรีตจะใชเ้ หลก็ รางรถไฟแทบ
ท้งั สิ้น

ในการสร้างพระธาตุเจดียธ์ าตุนอ้ ย ไดน้ าเอาพระบรมธาตุ นครศรีธรรมราชเป็นตน้ แบบ
พร้อมท้งั องคป์ ระกอบต่างๆที่สาคญั มาท้งั สิ้นคอื

๑.พระธาตุเจดีย์ หมายถึงพระนิพพาน
๒.พระพุทธไสยาสน์ หมายถงึ พระพุทธเจา้
๓.เจดียบ์ ริวาร(เจดียร์ าย) หมายถึงพระอรหนั ต์
๔.พระดา้ น(พระพทุ ธรูปรอบพระเจดีย)์ หมายถึงพระอรหนั ตท์ ้งั ๑,๒๕๐ รูป
องคป์ ระกอบโดยรวมท้งั หมดดงั ที่ไดก้ ล่าวขา้ งตน้ มาสร้างเสร็จสมบูรณ์หลงั จากท่ีพอ่ ทา่ น
คลา้ ยไดม้ รณภาพไปแลว้ ซ่ึงก่อนท่ีพอ่ ทา่ นจะมรณภาพในปี พ.ศ.๒๕๑๓ พระเจดียธ์ าตุนอ้ ยไดส้ ร้าง
เสร็จเฉพาะเพยี งองคพ์ ระเจดีย์

๑๒๒

ส่วนวดั ธาตุนอ้ ยน้นั ไดร้ ับอนุญาตใหส้ ร้างตามหนงั สือของอธิบดีกรมศาสนา เมื่อวนั ที่ ๑๔
มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๐ และไดร้ ับอนุญาตใหต้ ้งั ข้ึนเป็นวดั ไดเ้ ม่ือวนั ท่ี ๑๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐ โดย
นายภิญโญ สาธร รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการผรู้ ับสนองพระบรมราชโองการใหช้ ่ือวดั วา่
“วดั ธาตนุ อ้ ย” (รองมาจากพระธาตเุ มืองนครศรีธรรมราช)

ในปี เดียวกนั ไดข้ อพระราชทานวสิ ุงคามสีมาและไดร้ ับพระบรมราชานุญาต เมื่อวนั ที่ ๖
กนั ยายน พ.ศ.๒๕๒๒ (ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาลงวนั ที่ ๖ กนั ยาน ๒๕๒๒) ต่อมาศิษยานุ
ศิษยข์ องพอ่ ทา่ นคลา้ ย ไดอ้ าราธนานิมนตพ์ ระราชพุทธิรังสีสมยั เมื่อเป็นพระครูพิบูลนวเขต เจา้ คณะ
อาเภอฉวางไดม้ าเป็นเจา้ อาวาสวดั ธาตุนอ้ ยจนถึงปัจจุบนั (มรณภาพแลว้ ) โดยท่านพระราชพทุ ธิรังสี
พทุ ธศาสนิกชนและศิษยานุศิษยข์ องพอ่ ทา่ นคลา้ ย ไดร้ ่วมแรงร่วมใจกนั สร้างเสนาสนะต่างๆที่ยงั คา้ ง
คาอยจู่ นสมบรู ณ์ทุกประการดงั เห็นในปัจจุบนั

วดั ธาตุนอ้ ย อยใู่ นทะเบียนเลขท่ี ๒๘๑ หมูท่ ่ี๑ ต.หลกั ชา้ ง อ.ชา้ งกลาง จ.นครศรีธรรมราช
๘๐๒๕๐(สมยั ก่อนจุดน้ีเป็นหมู่เดียวกนั กบั บา้ นโคกทือ สถานท่ีเกิดของพ่อทา่ นคลา้ ย)

๑๒๓

+

บทที่ ๕. การคมนาคม

เส้นทางคมนาคมในพ้ืนที่อาเภอชา้ งกลางมีมาแตค่ ร้ังโบราณท้งั ทางบกและทางน้าซ่ึงมี
เส้นทางหลกั และมีประวตั ิความเป็นมาดงั น้ี

๕.๑ ทางบก
- ถนนหมายเลข ๔๐๑๕ เส้นทางหลกั ของอาเภอชา้ งกลาง คอื ถนนหมายเลข ๔๐๑๕
จากนครฯ-บา้ นส้อง มีประวตั ิวา่ เมื่อราวพุทธศตวรรษท่ี ๘ เคยเป็นเสน้ ทางหลกั เชื่อมระหวา่ ง
อาณาจกั รศรีวิชยั ที่ไชยากบั อาณาจกั รศรีวชิ ยั ท่ีนครฯ แรกๆ ก็เกิดเป็นทางโดยการเดินเทา้ ของคนและ
สตั ว์ จากไชยา มาบา้ นส้อง ผา่ นฉวาง เขา้ ควนสงสาร ผ่านคลองจนั ดี เขา้ นาวา ออกบา้ นจนั ดี ไป
บา้ นนา ขา้ มเขาธงไปนครศรีธรรมราช
ในสมยั ตน้ รัตนโกสินทร์ เจา้ เมืองนครและเจา้ เมืองไชยา ไดใ้ ชเ้ ส้นทางน้ีเดินทางไปมาหาสู่
กนั เป็นประจาเพือ่ บูชาพระธาตุไชยาและพระธาตุนครศรีธรรมราช จนมาถึงปลายรัชกาลท่ี ๕ จึงเกิด
ชื่อวา่ “หนกั เคยี น”และ “หนกั พลา” ที่คลองงา ซ่ึงเพ้ียนมาจากคาวา่ “สานกั เคยี น และสานกั พลา” นน่ั
หมายถึงที่พกั ระหวา่ งทางของเจา้ เมืองท้งั สอง
ในยคุ ๑๐๐ กวา่ ปี ที่ผา่ นมา คอื นบั ต้งั แต่วนั ท่ี ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔(ตามจดหมายเหตุ
เขาพงั ไกร) เจา้ ฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ไดเ้ คยใชเ้ สน้ ทางน้ีโดยใชช้ า้ งเป็นพาหนะจากเมืองนครฯ
เดินทางขา้ มเขาธง ลงทา่ แพ ผา่ นคลองสงั เกียด เขา้ ควนสงสาร(ส่งสาร)ไปฉวาง
ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ไดพ้ ฒั นาข้ึนมาตามลาดบั ดงั น้ี
๑.ในปี ๒๔๘๒ พ่อท่านผดุ (พระพทุ ธิสารเถร) จากวดั บางนบ ใน อ.หวั ไทร มาสอนชาว
คลองงาในตาบลชา้ งกลาง ไดต้ ้งั สานกั สงฆข์ ้ึนท่ีน้ี นาชาวบา้ นทาถนนจากคลองงาไปนาวา ผา่ นหนา้
วดั มะนาวหวาน เพือ่ สะดวกแก่พระไปเรียนที่สานกั สงฆบ์ า้ นคลองงา โดยมีครูมี จนั ทร์เมือง และ
กานนั ฉ่า ไพรสณฑ์ เป็นแกนนา
๒.ตอ่ มาในช่วงปี ๒๔๘๘ เกิดมหาสงครามเอเชียบรู พา ญ่ีป่ นุ ข้นึ เมืองนครฯไดจ้ า้ งชาวบา้ น
ทาถนนสายยทุ ธศาสตร์จากทุ่งสง ผา่ นมาที่ส่ีแยกบา้ นจนั ดี เขา้ นาวา ผา่ นสามแยกโต ตามเส้นทางท่ี
พอ่ ทา่ นผดุ ทาไวเ้ ดิม แลว้ ตดั เขา้ ฉวาง ไปทานพอ กะเบียด ในช่วงเสน้ ทางผา่ นบา้ นจนั ดี นายคลา้ ย
ศิลารัตน์ เป็นหวั หนา้ กุลีรับเหมาทาถนน สมยั น้นั ทาดว้ ยเครื่องมือจอบ เสียม ขวาน เท่าน้นั
๓.ในช่วงต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นตน้ มา พอ่ ท่านคลา้ ยไดช้ กั ชวนชาวบา้ นทาถนนไปเขาธง
เร่ิมจากตลาดคลองจนั ดี ผา่ นควนพลอง นาวา สี่แยกบา้ นจนั ดี บา้ นมะนาวหวาน คลองงา บา้ นนา
ขา้ มเขาธง เชื่อมตอ่ กบั ถนนท่ีตดั มาจาก อ.ลานสกา
มีเร่ืองเล่าวา่ วนั หน่ึงในขณะกาลงั ทาถนนกนั อยบู่ นยอดเขาธง วนั น้นั ต้งั แต่เชา้ ถึงเท่ียงพอ่ ท่าน
คลา้ ยนงั่ เงียบขรึมอยใู่ นศาลา ๔ เสา และเรียกหาทา่ นวนั่ อยตู่ ลอดหลายหนหลายคร้ัง ปรากฎวา่ ตอน

๑๒๔

เท่ียงของวนั น้นั เกิดมีพายพุ ดั ตน้ ไมใ้ หญ่หกั ก่ิงไมฟ้ าดลงมาท่ีศาลาทา่ นวน่ั ถาวรธมฺโม ถูกศีรษะถึงแก่
มรณภาพ แสดงวา่ พ่อทา่ นท่านทราบก่อนลว่ งหนา้ จึงเรียกหาท่านวนั่ หลายคร้ัง แตไ่ ม่ไดพ้ บกนั ทา่ น
วน่ั หรือพระใบฎีกาวน่ั ถาวรธมฺโม เป็นเจา้ อาวาสวดั ครี ีวรรณา(บา้ นนา) เป็นหวั แรงสาคญั ในการนา
ชาวบา้ นหมู่ ๑ ข้ึนไปช่วยพ่อทา่ นคลา้ ยในการทาถนนสายดงั กลา่ ว ช่วงบนเขาธง การมรณภาพดว้ ย
อุบตั ิเหตุของท่านเป็นโศกนาฏกรรมนาความโศกเศร้ามาสู่มวลชาวบา้ นท่ีอทุ ิศตนต่องานสาธารณะยงิ่
นกั

๔.ในปี ๒๕๐๘ นายสนั ต์ เอกมหาชยั ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นครศรีธรรมราชขณะน้นั ไดต้ ้งั
งบผกู พนั สร้างถนนสายนคร – บา้ นส้อง ทบั เส้นทางเดิมทุกระยะตามที่กลา่ วมาแลว้

ในปัจจุบนั เป็นถนนสายหลกั หมายเลข ๔๐๑๕ ผา่ นพ้ืนท่ีอาเภอชา้ งกลางประมาณ ๒๑
กิโลเมตร เร่ิมตน้ ท่ีสะพานสุกรี กม.ที่ ๔๗ ไปสุดทางท่ียอดเขาธงหมู่ ๑๔ บา้ นนา กม.ที่ ๒๖ ถนน
สายน้ีไดป้ ริวรรตข้ึนมาจากเส้นทางโบราณดงั กลา่ วแลว้

นอกจากเสน้ ทางหลกั หมายเลข ๔๐๑๕ แลว้ ในพ้นื ท่ีชา้ งกลางช่วงตอ่ มามีพลเมืองเพ่มิ ข้นึ
การติดต่อไป-มามีความจาเป็นมากข้ึนจึงไดเ้ กิดถนนสายต่าง ๆ ลว้ นแต่สร้างทบั เสน้ ทางเดินเดิมดงั น้ี

- ถนนสาย ๔๐๑๙ เร่ิมจากควนพลอง กม.ท่ี ๔๔ ตดั ออกสถานีรถไฟหลกั ชา้ ง ไป
จบที่ถนนเอเชีย กม.ท่ี ๒๑๕ รวม ๑๐ กม.

- ถนนสาย ๔๑๙๔ เริ่มที่หวั สะพานวดั มะนาวหวาน ตดั ผา่ นควนสา้ น เขา้ สวนขนั
ทบั เจา้ ยา (ท่ีพกั พลของกองทพั เจา้ พระยานครพดั ) ผา่ นป่ าพาดไปจบท่ีเขต อ.ฉวาง และ อ.พิปูน
ระยะทาง ๒๕ กม.

- ถนน รพช.ที่ปริวรรตจากถนนสายยทุ ธศาสตร์ ในคราวมหาสงครามเอเชียบรู พา ปี
๒๔๘๘ ทหารญ่ีป่ ุนไดจ้ า้ งคนไทยและกลุ ีจีนทาถนนสายน้ี ในจานวนน้ีมีนายคลา้ ย ศิลารัตน์ ชาวบา้ น
จนั ดีรับจา้ งเป็นหวั หนา้ คนงานทาถนนดว้ ย เร่ิมตน้ ท่ีส่ีแยกบา้ นจนั ดีผา่ นคลองกยุ เหนือ ออกทุ่งสงใน
บา้ นนาเหนือ ระยะทาง ๓๐ กม.

- ถนนสาย ๔๒๓๐ เร่ิมท่ีส่ีแยกบา้ นจนั ดี ไปอาเภอนาบอน ระยะทาง ๑๐ กม.
ผา่ นทุ่งเจียก องคก์ ารสวนยาง ในช่วงจากส่ีแยกบา้ นจนั ดี – องคก์ ารสวนยางน้นั พอ่ ทา่ นผดุ ไดน้ า
ชาวบา้ นตดั เป็นถนนประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๒

ภาพช่วงหน่ึงของถนนสาย ๔๐๑๕ บนยอดเขาธงในปัจจุบนั

๑๒๕

- ทางรถไฟ ทางรถไฟสายใต้ ซ่ึงมีความยาวท้งั หมด ๑,๑๐๓ กม. น้นั แมว้ า่ จะผา่ นพ้นื ท่ีอาเภอ
ชา้ งกลางในช่วงหลกั ชา้ งและคลองกยุ เพียง ๑๐ กิโลเมตร แต่ถือวา่ มีความสาคญั อยา่ งยิ่ง มีประวตั ิซ่ึง
สมควรบนั ทึกไว้ ณ ท่ีนี่วา่ นบั ต้งั แต่รัชกาลที่ ๕ ไดต้ ้งั กรมรถไฟข้นึ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๓ แลว้ ได้
มอบหมายใหก้ รมพระกาแพงเพชรอคั รโยธิน (พระองคเ์ จา้ บรุ ฉตั รไชยากร ผเู้ ป็นพระเจา้ ลกู ยาเธอ)
บริหารจดั การ

ต่อมาไดต้ ้งั โครงการสร้างทางรถไฟสายใตไ้ วส้ องระยะ ในการน้ีไดท้ รงต้งั คณะกรรมการ
ประกอบดว้ ย กรมพระยาดารงราชานุภาพ พระยาสุขมุ นยั วินิต(ป้ัน สุขมุ ) และพระยาสริยานุวตั ร(เกิด
บุนบาค) พิจารณาสร้างทางรถไฟสายใต้ โดยใชง้ บเงินกูจ้ ากรัฐบาลสหพนั ธรัฐมลายาขององั กฤษใน
วงเงิน ๔ ลา้ นปอนดส์ เตอร์ลิง (สมยั น้นั ๑ ปอนดเ์ ท่ากบั ๑๓ บาท จานวน ๔ ลา้ นปอนดเ์ ทียบเงินไทย
ประมาณ ๕๒ ลา้ นบาท อตั ราเงินเฟ้อปี ละ ๕ เปอร์เซ็นต์ต่อปี จากปี ๒๔๓๓ ถึงปี ๒๕๖๐ นบั ได้
๑๒๗ ปี เงินเฟ้อข้ึน ๖๓๕ เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นปัจจุบนั ไดป้ ระมาณ ๓๓,๐๒๐ ลา้ นบาท ยงั ไม่รวม
ดอกเบ้ียร้อยละ ๔ )

ในข้นั เจรจา องั กฤษยนิ ยอมใหก้ ูแ้ ต่มีเง่ือนไขวา่ รัฐบาลไทยตอ้ งยนิ ยอมยกดินแดนอนั เป็นรัฐ
ไทรบรุ ี กลนั ตนั ตรังกานู ปะลิศและเกาะใกลเ้ คยี งใหแ้ ก่องั กฤษ โดยมีดอกเบ้ียเงินกูร้ ้อยละ ๔ ตอ่ ปี
ไทยจายอมตอ้ งปฏิบตั ิตาม มิฉะน้นั ก็ไมม่ ีโอกาสไดส้ ร้างทางรถไฟสายใตอ้ นั ยาวเหยยี ดซ่ึงเราไดใ้ ชม้ า
จนถึงปัจจุบนั และท่ีสาคญั ท่ีสุดเป็นการโยงศนู ยอ์ านาจการปกครองจากส่วนกลางลงสู่ปักษใ์ ต้ เพ่ือ

๑๒๖

ป้องกนั การลา่ เมืองข้นึ ของชาติยโุ รป ทางรถไฟสายใตม้ าเสร็จสิ้นสมบรู ณ์ในปี พ.ศ.๒๔๖๑ ตรงสมยั

รัชกาลที่ ๖ การสร้างทางรถไฟช่วงหลงั สุด คอื ระยะทางจากหาดใหญ่ – ระแงะ ระยะทาง ๑๘๐ กม. มา

เสร็จสิ้นในปี พ.ศ. ๒๔๖๑

ปัญหาอปุ สรรคในการสร้างทางรถไฟสายใตส้ มยั รัชกาลท่ี ๕ ที่สาคญั มีอยู่ ๒ ประการ

- ประการแรก คอื ขาดบคุ ลากรในการทางานทุกระดบั ไมว่ า่ จะเป็นช่างฝีมือ หรือผบู้ ริหาร

จดั การ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การขาดแรงงานกรรมกรเป็นอยา่ งมาก เพราะในช่วงน้นั ราษฎรในชนบทยงั

มีอยนู่ อ้ ย ถึงมีพวกเขาก็ไม่ยอมสมคั รเป็นกรรมกรใชแ้ รงงาน เน่ืองจากนิสยั ส่วนใหญ่รักอิสระและไม่

อดทน เพราะมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ เก้ือกูล ยืนยงอนนั ตก์ ลา่ วไวใ้ นขอ้ เขยี นเร่ืองการพฒั นาการ

คมนาคมสมยั ร.๕วา่ รัฐบาลตอ้ งแกป้ ัญหาโดยการวา่ จา้ งกรรมกรจากจีน ซ่ึงสามารถทางานหนกั ได้

วนั ละเกือบ ๑๒ ชวั่ โมง ท้งั มีความเป็นอยอู่ ยา่ งงา่ ย แตถ่ ึงกระน้นั พวกเขากล็ ม้ ป่ วงลงมากเหมือนกนั

การสร้างทางรถไฟช่วงชุมพร – ทุง่ สง ซ่ึงผา่ นควนตม หลกั ชา้ ง คลองกยุ พ้ืนท่ีชา้ งกลางใช้

แรงงานกรรมกรจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยมีพระยารัษฎานุประดิษฐ์( คอซิมบ้ี ณ ระนอง) เป็นผรู้ ับเหมา

จดั หาแรงงานโดยจดั เรือสาเภาไปรับแรงงานกรรมกรจากประเทศจีน ส่วนใหญ่เป็นชาวแตจ้ ิ๋ว

ไหหลา ฮกจิ้วและแคะ

ประการท่ีสอง การสร้างทางรถไฟในช่วงผา่ นพ้ืนที่อาเภอชา้ งกลางที่หลกั ชา้ งและบา้ นคลอง

กุย น้นั เป็นช่วงผา่ นควนตม ติดป่ าควนพลองถิ่นชา้ งอาศยั อยมู่ ากหลายโขลง ซ่ึงเป็นการตดั ขวาง

ทางเดินของชา้ ง

ธรรมชาติของชา้ งถือเอาดวงอาทิตยข์ ้นึ เป็นเวลาออกหากิน จึงม่งุ หนา้ สู่ทิศตะวนั ออก เจอสิ่ง

กีดขวางทางเดิน โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างทางรถไฟ ก็ทาลาย ยกร้ือรางที่พวกคนงานกาลงั วางไว้ พอตก

เยน็ ดวงอาทิตยใ์ กลจ้ ะลบั ขอบฟ้า พวกชา้ งท้งั หลายกเ็ ดินทางกลบั ที่พกั นอนของตนตามทิศที่ดวง

อาทิตยต์ กดิน เดินผา่ นเส้นทางรถไฟกาลงั สร้างอีก ก็ตรงเขา้ ยกร้ือส่ิงกีดขวางทางเดิน ไมว่ า่ จะเป็น

แคมป์ ค่าย หรือวสั ดุส่ิงใด หากวางขวางทางเดิน พวกเขาจะเขา้ ทาลายหมด เป็นปัญหาแก่การสร้าง

ทางรถไฟเป็นอยา่ งยง่ิ

ภายหลงั ท่ีสร้างทางรถไฟช่วงชุมพรถึงทุ่งสงเสร็จสิ้น ในหลวงรัชกาลท่ี ๖ ไดอ้ าศยั เส้นทางน้ี

เสดจ็ มาทอดพระเนตรการจบั ชา้ งที่คอกคลองกุยเม่ือวนั ที่ ๑๗ กรกฎาคม ปี พ.ศ.๒๔๕๘ (ปัจจุบนั เป็น

พ้นื ที่วดั คลองกยุ ) บุคคลที่ทนั เห็นในหลวงรัชกาลที่ ๖ มาประทบั ที่นี่ คือนางเหว บุณยเกียรติ ยา่ ของ

คุณชินวรณ์ เลา่ ใหล้ กู หลานฟังซ่ึงบนั ทึกไวใ้ นหนงั สือพระราชทานเพลิงศพนายหอ้ ง บณุ ยเกียรติวา่

“...รัชกาลท่ี ๖ ไดเ้ สด็จไปคลอ้ งชา้ งท่ีสถานีรถไฟบา้ นคลองกุย และไดท้ รงเสดจ็ ประทบั ท่ีหนา้ บา้ น

ของยา่ ยา่ ดีใจและต่ืนเตน้ มาก ในขณะน้นั ยา่ ทอ้ งแก่ใกลค้ ลอด แต่ก็พยายามที่จะรอเฝ้ารับเสด็จใหไ้ ด้

เม่ือเสด็จคลอ้ งชา้ งเป็นท่ีเรียบร้อยแลว้ กเ็ สด็จกลบั พระนคร”

๑๒๗

๕.๒ทางน้า เส้นทางสญั จรทางน้าท่ีสาคญั คือคลองจนั ดีท่ีเกิดจากเขาหลวง เขาธง
คลองมิน คลองลาปี เหาะ คลองกุย ท่ีเกิดจากเขาเหมน คลองท้งั หมดไหลลงสู่แมน่ ้าตาปี ซ่ึงแต่เดิมช่ือ
แม่น้าหลวง แตพ่ อถึงสมยั รัชกาลท่ี ๖ ทรงเปลี่ยนช่ือเป็นแมน่ ้าตาปี หมายความวา่ ไหลอยชู่ ว่ั นิรันดร์

เส้นทางน้าดงั กลา่ วน้ีมีความสาคญั ท้งั ในดา้ นการปกครองและการคา้ มาตามลาดบั
ในดา้ นการปกครอง ใชเ้ ป็นเสน้ ทางข้ึน-ลอ่ งเพอื่ ปกครองดูแลทอ้ งถิ่น เพราะใชเ้ รือ

สะดวกกวา่ การเดินทางบก สมยั เม่ือมีการปราบเสือสีนุ่นที่ลุม่ ในหิน บา้ นควนส้าน (ตามบนั ทึกของ
ขนุ ฉวางวสิ ิษฐ)์ คณะกรมการเมืองอาเภอฉวางกไ็ ดอ้ าศยั คลองจนั ดีซ่ึงกวา้ งและลึก ล่องเรือข้นึ มาจบั
ตายเส้ือสีนุ่นตอนใกลร้ ุ่ง

ในดา้ นการคา้ คลองจนั ดี คลองมิน คลองกุย เป็นสายน้าหลกั ท่ีไหลลงสู่แม่น้าตาปี
คนจีนฮกจิวไดอ้ าศยั สายน้าเหลา่ น้ีข้นึ มาต้งั รกรากเป็นชุมชนตา่ ง ๆ เช่นชุมชนคลองกยุ ตลาดหลกั ชา้ ง
ตลาดคลองจนั ดี ตลาดฉวาง และข้ึนมาคา้ ขายตามหมู่บา้ นริมฝั่งคลองท้งั ๒ ขา้ ง ท้งั คนในถิ่นก็ไดอ้ าศยั
นาสินคา้ พ้ืนเมืองออกไปขายที่ฉวาง บา้ นดอน นายเอียด สันตจิต(มีชีวิตระหวา่ ง ๒๔๒๕- ๒๕๑๒)
เล่าใหฟ้ ังวา่ ไดร้ ่วมกบั เจ๊กแง่ นาลูกกอ ลกู ประ หมากแหง้ น้าผ้งึ น้ามนั ยางซ่ึงเป็นผลิตผลจากป่ าบา้ น
จนั ดี บา้ นคลองงา บา้ นหนา้ เหมน บา้ นนา ลงเรือไปขายที่ฉวาง บา้ นดอนเป็นประจาทุกปี และไดม้ อบ
ใหน้ ายกระจ่าง ผบู้ ุตร ไปฝึกอบรมการคา้ ขายกบั เจ๊กแง่ นาผลผลิตจากป่ าไปขายถสานที่ดงั กลา่ วใน
ระยะตอ่ มา

สภาพคลองจนั ดีท่ีหนา้ วดั มะนาวหวานปัจจุบนั ตามภาพแสดงต้ืนเขินเดินขา้ มได้ ในอดีตเมื่อ
ช่วง ๗๐ ปี ก่อนมีปลาชื่อวา่ “อา้ ยเขยี ว” รูปลกั ษณ์คลา้ ยปลาช่อน แต่ตวั โตขนาด๑๐กิโลกรัมข้ึนไป
อาศยั อยหู่ ลายพนั ตวั เพราะสายน้ากวา้ งใหญ่และลึก ๒ – ๓ เมตร ท้งั มีแอ่งน้าลึกถึง ๔ เมตรก็มี

๑๒๘

ปัจจุบนั ปลาเขียวดงั กลา่ วน้ีสูญสิ้นไปหมดเพราะแต่ละปี ในช่วงฤดูฝนเกิดน้าหลาก พดั พาเอาตวั ปลา
เขียวไปตามกระแสน้าจนหมดสิ้น แมล้ กู ปลาตวั เลก็ ๆ สายพนั ธุป์ ลายเขียวก็ไมม่ ีหลงเหลืออยเู่ ลย

นอกจากคลองจนั ดีแลว้ ยงั มีคลองคดุ ดว้ นท่ีเกิดจากเทือกเขาหลวงไหลผา่ นตาบลสวนขนั
คลองน้ีเป็นที่มาแห่งการเกิดชุมชนเม่ือราว ๒,๐๐๐ ก่อนหนา้ น้ีแลว้ เพราะไดม้ ีการคน้ พบกลอง
มโหระทึกทาดว้ ยสัมฤทธ์ิท่ีคลองคุดดว้ น (บา้ นควน) มีอายปุ ระมาณ ๒,๐๐๐ ปี จึงยนื ยนั ไดว้ า่ ชา้ ง
กลางเคยมีชุมชนในถิ่นน้ีและบริเวณใกลเ้ คียงมาแลว้ โดยอาศยั ลาคลองเป็นเสน้ ทางหลกั และไดม้ ีการ
แลกเปล่ียนวฒั นธรรมกบั ชุมชนอื่นโดยทางเรือมานานนกั หนาแลว้

๑๒๙

บทท่ี ๖. บทเพลงและศิลปะภูมปิ ัญญา

๖.๑ เพลงยาว วิถีชีวิตด้งั เดิมของคนในอาเภอชา้ งกลางต้งั แต่คร้ังป่ ูยา่ ตาทวดเมื่อร้อย

กวา่ ปี ที่ผา่ นมาอยกู่ บั ธรรมชาติป่ าเขาลาเนาไพร ขาดการติดต่อส่ือสาร มีผอู้ า่ นออกเขียนไดน้ อ้ ยคน

ไม่มีหนงั สือหรือเครื่องมือสื่อสารใด ๆ ใหพ้ บเห็น จะมีก็แตห่ นงั สือพระ หนงั สืออกั ขระขอม ซ่ึงเป็น

หนงั สือสมุดไทยขาวบา้ ง สมดุ ดาบา้ ง หรือท่ีเราเรียกกนั วา่ หนงั สือบดุ ขาว บุดดา นนั่ แหละ

เพราะฉะน้นั การส่ือสารจึงใชม้ ขุ ปาฐะ เรียกวา่ บอกกนั ดว้ ยปากต่อ ๆ กนั มา ซ่ึงมีการเลา่ กนั แบบ

ธรรมดาบา้ ง แบบร้อยกรองบา้ ง ถา้ เป็นแบบร้อยกรองก็เรียกวา่ เพลง เช่นเพลงบอก บอกเร่ือง

สงกรานต์ บอกบุญ ฯลฯ ถา้ บอกกนั เป็นเรื่องยาว ๆ กเ็ รียก “เพลงยาว” ผเู้ ลา่ ตอ้ งมีความรู้ในเรื่องการ

ร้อยกรองภาษากวีเป็นพ้ืนฐาน และเร่ืองที่นามาเลา่ ส่วนมากเป็นเร่ืองจริงที่เกิดข้นึ ในทอ้ งถ่ิน หรือไม่

ก็เป็นนิทานที่คิดแตง่ ข้ึนเองเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน เพราะฉะน้นั การเล่าเรื่องในรูป “เพลง

ยาว” จึงเลา่ เป็นบทกวีหลายรูปแบบ

นกั ร้องเพลงยาวในอาเภอชา้ งกลางเม่ือร้อยกวา่ ปี ท่ีผา่ นมามีหลายคน เช่นนายทองดา หนา้ พ่อ,

นายไข่ บรรณราช (บิดาของนางละมา้ ย คงแกว้ ) นายสาบ อินทรทศั น์ แตผ่ ทู้ ่ีเขียนและร้องไวม้ ากถึง

๒๐ เรื่องกไ็ ดแ้ ก่ นายเอียด สนั ตจิต ส่วนใหญ่สูญหายไปเพราะผจู้ ดจาท้งั หลายลม้ หายตายจากไป

หมด เช่นนางจาเนียร สันตจิต ลูกสะใภข้ องนายเอียดฯ จาไดแ้ ทบทุกเร่ือง อีกคนหน่ึงคือนายซน้ บณุ ย

เกียรติ บิดาของคณุ ชินวรณ์น้นั ท่านจาเพลงยาวของนายเอียดฯไดม้ ากเช่นกนั แต่พอท่านเหลา่ น้ี

สิ้นชีวติ ไปไม่มีใครรับทอดก็สิ้นสูญไปดว้ ย ที่ยงั เหลืออยจู่ นถึงปัจจุบนั มี ๙ เรื่อง เพราะนายวรรณดี

สรรพจิต ผูเ้ ป็นหลานจาไวท้ ้งั หมดอยา่ งสมบรู ณ์ ชมรมผสู้ ูงอายโุ รงพยาบาลยพุ ราชฉวางไดจ้ ดั พิมพ์

เผยแพร่ในโอกาสครบรอบ ๑๒๐ ปี กวีเอียดเม่ือ พ.ศ. ๒๕๔๖ ต่อมาเครือข่ายชมรมผสู้ ูงอายจุ งั หวดั

นครศรีธรรมราชไดเ้ ลือกสรรบางเร่ืองพิมพเ์ ผยแพร่อีกคร้ังหน่ึง และหนงั สือน้ีเล่มน้ีก็อยใู่ นสาระบบ

อา้ งอิงของมหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณดว้ ย

เพื่อใหท้ ่านไดส้ มั ผสั กบั รสวรรณกรรมทอ้ งถ่ินแบบเพลงยาวที่ทา่ นกวเี อียดไดร้ จนาไว้

ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๕๐ – ๒๕๑๒ ซ่ึงมีคาปักษใ์ ตแ้ ท้ ๆ ปะปนอยมู่ าก จะยกตวั อยา่ งเพลงที่ทา่ นแต่งใน

รูปแบบตา่ ง ๆ ท่ีเพียบพร้อมไปดว้ ยการแทรกขนบธรรมเนียม ประเพณี วฒั นธรรม อารมณ์ขนั ซ่ึง

ลว้ นเป็นของจริงดงั น้ี

- บทไหว้ครู เป็นการไหวค้ รูที่แปลกไปจากบทไหวค้ รูท้งั หลาย คือแทนที่จะไหว้

พระรัตนตรัยและสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ิ ทา่ นไหวค้ นท่ีมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่นคนท่ีชอบแม่หมา้ ยกบ็ ูชาดว้ ย

แมห่ มา้ ย คนที่เป็นโรคเร้ือนเกล้ือนกลากกบ็ ูชาดว้ ยใบชุมเห็ด เพราะใบชุมเห็ดรักษาโรคเกล้ือนกลาก

ได้ คนท่ีเป็นหมอตาแยกบ็ ูชาดว้ ยหญิงทอ้ งแก่ใกลค้ ลอด ทา่ นแต่งเป็นกาพยส์ ุราคนางค์ ๒๘ วา่

๏ สิบนิ้วขา้ ไหว้ ครูเต่งหลวงนาย

ทกุ ขร์ ้อนกอ้ นใหญ่ เชิญมานง่ั หนา้

๑๓๐

ตวั ขา้ ดว้ ยไว แลว้ ขา้ จะไป

ยมื แมห่ มา้ ยมา

๏ “พีเ่ จ่ย พกี่ าว” สวยลิบสิบสาว

“มดุ ทอง”ตอ้ งค่า “อีส้มม่ิง ส้มปราง”

ไปจา้ งเขามา เอามาต้งั หนา้

บูชาใหเ้ ตม็ ใจ

๏ ของบูชาท้งั น้นั แลว้ แตค่ รูเลือกสรร

เอาใครคนไหน มาต้งั เรียงราย

ใหค้ รูลานใจ เชิญมาไวไว

เถิด!ครูเต่งฉานเอย

ฯลฯ

อีกคนหน่ึงเป็นเกล้ือนกลากช่ือ “ขลุด” กวีเอียดก็บชู าครูดว้ ยใบชุมเห็ด เพราะสามารถรักษา

โรคกลากเกล้ือนได้ ท่านเขยี นวา่

๏ นา้ ขลุดครูขา้ ฯ ฉนั ใหเ้ คร่ืองบูชา

ผดิ กวา่ ของเพื่อน เส้ือช้นั นอกช้นั ใน

ใหใ้ ส่ปิ ดเกล้ือน เชิญมาอยา่ เชือน

มารับเคร่ืองบารุงกาย

๏ ใบชุมเห็ดใหญ่ มากมายหลายใบ

ต้งั เคียงเรียงราย ถิ้มตาทาผง

สีลงก็ตอ้ งหาย เพราะเคยไดใ้ ช้

จึงถวายใหพ้ ระครู

ฯลฯ

อีกคนเป็นหมอตาแย ชื่อเฒ่าฉิม เป็นภรรยาของนายแกว้ รัตนบุรี เรียกวนั วา่ “แกว้ หน๊อย”มี

ลกู หลายคนเช่นนายตาบ นายคลาด นายคลอ้ ย เป็นตน้ กวเี อียดบูชาดว้ ยคนทอ้ งแก่ มีคาร้องเป็นบท

เพลงวา่

๏ อญั เชิญแกว้ หน๊อย เอวบางร่างนอ้ ย

พอ่ มาสิงมาสู่ ของบูชาท้งั หลาย

แต่งถวายพระครู คนพงุ ใหญ่อยู่

มากมายหลายคน

๏ กานดทศมาส แกว้ หน๊อยมาช่วยกาศ

ตายายใหส้ ักหน ยา่ บางยา่ ย่ี

๑๓๑

จนั สีชีคง แกว้ มาช่วยดารง
ใหห้ วั เดก็ เขา้ เขอ
ช่วยทาใหเ้ ตม็ ใจ
๏ มาแลว้ อยา่ ไปไหน หวานหนงั ลกู ศิษย์
รับเด็กใส่เฌอ เม่ือหวั เด็กเขา้ เขอ
ใชช้ ิดอยเู่ สมอ
หวานเป่ าหม่อมส่ง

ฯลฯ

- บทเล่าเหตกุ ารณ์ หรือวิกฤตการณ์ท่ีเกิดข้ึนในทอ้ งถ่ิน เขียนเป็นกลอนแปดหลาย

เร่ือง เช่นเร่ืองโจรฉุดหญิง(ภาษาใตใ้ ชว้ า่ “โจรลากหญิ”) ไมไ่ ดบ้ นั ทึกไว้ จึงสูญหายไป แต่ท่ียงั

เหลืออยู่ ๔ เรื่อง คือ

- คงคนธรรพ์

- ประวตั ิทิดช่ืน

- ยกั ษแ์ ดงกวาง

- ยกั ขส์ งั ข์

ยกตวั อยา่ ง เร่ืองคงคนธรรพ์ เป็นการเล่าพฤติกรรมของคน ๆ หน่ึงชื่อ “คง” เติมทา้ ยวา่

“คนธรรพ”์ เพราะต้งั กระท่อมอยใู่ นป่ า มีความยากจน ในบทเพลงยาวน้ีใชภ้ าษาถ่ินปักษใ์ ตอ้ ยมู่ าก

การฟังใหไ้ ดอ้ รรถรสตอ้ งร้องเป็นทานองเสียงปักษใ์ ตด้ งั น้ี

“จะสาธกยกเร่ืองอา้ ยคนธรรพ์ อยเู่ ชิงช้นั ตีนเขาเหมนในเกณฑฉ์ วาง

อยบู่ า้ นเดี่ยวเปล่ียวใจในป่ ายาง ใกลส้ วนยางจีนปิ หระระยะคน

ในพ้ืนเตียนมีทุเรียนมากเสียครัน บิดาแกลง้ สร้างสรรคม์ นั ใหผ้ ล

การอาชีพทานาบนบ่าตน ไดร้ ับผลเป็นสุขสนุกสบาย

ในพ้นื บา้ นกวา้ งประมาณสกั สองร้อย ผลอาสิณเลก็ นอ้ ยไมท่ ่ีหยาย(ขยาย)

มีกลุ ี(ควาย)ทางานในบา้ นนาย ประมาณไดร้ ้อยตวั ทว่ั ในพ้ืน

แลเตียนตลอดจอดป่ าควนหว้ ยแวน่ สนุกแสนสนุกเป็นสุขสืน

มีนายคมุ เฝ้าประจาทุกค่าคืน จนดึกดื่นก่อไฟในคอกนอน

ยงั มีตึกกวา้ งพลิ ึกสักหกศอก มุงเบ้ืองตอกหมากหล่นอยบู่ นขอน

ฝาตึกก้นั เหลก็ ขาวพวมพร้าวออ่ น พ้นื ที่นอนปูลาดดว้ ยสาดกรอง

บนหลงั คาถา้ ฝนแลง้ เบ้ืองแหง้ หู่ ตอ้ งลงอยชู่ ้นั ลา่ งที่วางของ

เพอ่ื นเป็นหมา้ ยไร้คู่จะอยคู่ รอง คดิ ถึงเมียแลว้ ร้องสงั เวชตวั

มนั ทิง้ เราให้นอนเปลา่ กอดเข่าคราง สงสารนางแดงงามเจา้ ตามผวั

๑๓๒

ไม่คดิ เห็นพี่มง่ั คราวต้งั ตวั ไปหลงมวั กบั เขิมพรานพรานบา้ นจนั ดี

ฯลฯ

-บทนิราศ

กวเี อียดไดเ้ ลา่ เป็นเพลงไว้ ๒ เร่ือง แตก่ แ็ ปลกไปจากการเขียนนิราศของกวีอื่น ๆ แทนท่ีจะ

เป็นนิราศท่องเที่ยวไปที่ต่าง ๆ แตเ่ ป็นนิราศแตกสามคั คแี ละนิราศลาตาย โดยพรรณนาเรื่องจริงท่ีได้

ประสบพบเห็นดงั จะยกตวั อยา่ งมาดงั น้ี

- นริ าศลาตาย

“นิราศร้างห่างรักไม่หกั หาย

ลาไปสู่โลกลบั นบั วา่ ตาย สงสารสายนยั นาขอลาเลย

แมม่ ่ิง “หมอน” พไี่ ดน้ อนอยเู่ คียงขา้ ง ตอ้ งจาพรากจากนางแลว้ ร่างเหย

เมื่อแตก่ ่อนเคยไดส้ อดอยกู่ อดเกย ขอลาเลยจากกนั แมข่ วญั ใจ

แม่หนู “พรม” เคยอบรมมากบั พ่ี เป็นเวลาสิบปี ไม่วา่ ไหร

จะนงั่ บนนอนอยบู่ นไม่สนใจ จะหาใครหามาไดห้ าไมค่ น

แม่ “ลนั่ ไต” ใจดีของพีช่ าย พี่ไดน้ อนรองตายแลว้ ไดผ้ ล

ลากนั หมดทวั่ หนา้ ประชาชน มาในงานทุกคนฉานขอลาฯ”

มีตอนหน่ึงไดล้ าบุคคลต่าง ๆ ท้งั ในหมู่ ๒ หมู่ ๔ วา่ ดงั น้ี

“ลาครูตว่ น, ลาดวน, หว้ น, เอ่ียม, สงค,์ เคล่ือน, คลิง้ , แผว้ , เดด็ , ลงสิ้นสงสัย

ลาหนูนาด, หนูพริ้ง, จริงร่าไร ก็ลาไปถึง สวง, สร้อง, ร้องขอลา

ลาสม้ ขรบ, หนูจดั , สวสั ดี ต้งั แต่น้ีเราคอยพบในชาติหหนา้

ลาร้อง, หอ้ ง, ร้องลารั่น, ฉนั ขอลา อยเู่ ถิดน่ะคอ่ ยพบประสบกนั

ขอลาเน้ียว,แลว้ กเ็ ก้ียวมาถึง นิน, ลาท้งั สิ้นพร้อม เจิม เฉลิมขวญั

ขอลาลาภ ลาทิม ทบั สลบั กนั ต้งั แต่น้ีเป็นวนั จากกนั ไป”

- นิราศแตกสามัคคี

เร่ืองน้ีเกิดข้ึนเพราะพวกญาติ ๆ ท้งั หลายท่ีเคยนบั ถือครูหมอ ทรงเจา้ หนั ไปนบั ถือพ่อทา่ นผดุ

สุวฑฒโน ท่ีเขา้ มาสอนชาวคลองงาใหร้ ู้ธรรมอยา่ งแทจ้ ริง ทาใหเ้ ลิกการทรงเจา้ เขา้ ผี ซ่ึงทาใหน้ าย

เอียดนอ้ ยใจ แตง่ เป็นนิราศแตกสามคั คี เริ่มตน้ วา่

“นิราศรักหกั ห่วงจากปวงญาติ

ผมหม่ืนไกรปรีชาฯ ใช่วา่ ปราชญ์ แตง่ นิราศเล่าเร่ืองดว้ ยเคืองใจ

หวงั ใหพ้ วกคณะหมไู่ ดร้ ู้เหตุ วิบตั ิเกิดในประเทศดว้ ยเหตไุ หร

ต่อไปน้ีฉนั จะเลา่ ใหเ้ ขา้ ใจ ธรรม “พระผุด”เกิดในบา้ นคลองงา

เม่ือเดือนสี่วนั เพญ็ สมโภชขา้ ว พระผดุ ธเจา้ มาเทศน์เฉพาะหนา้

๑๓๓

โปรดนางนวลนางพลบั ไดโ้ สดา ขา้ มสมทุ รหลดุ ราคาพน้ จากภยั

ท้งั หนายเขม็ นายอ่านายดากลอ่ ม มีกนั พร้อมประจาขาผใู้ หญ่

ท้งั เจียมเจ่ยศรีจนั ทร์ปัญญาไว ลงเห็นไดข้ า้ มสมทุ รหลดุ ทุกคน

ยงั เหลือแต่อาตมา ขา้ ฯ หวั ลาย ปล้าตวั วา่ ยกลิ้งเกลือกเที่ยวเสือกสน

เพือ่ นทิง้ หมดน่าเห็นดูอดสูทน ต้งั หนา้ จนแถกวา่ ยสายวาริน

แลเห็นฝ่ังแตย่ งั ไกลหวั ใจหาย เพราะน้าเวยี นเอาไวใ้ นสายสินธุ์

ดว้ ยกรรมมากไมห่ ลุดจากมลทิน คดิ จะบินถึงจุดขา้ มสมุทรไทย

ไปไมไ่ ดเ้ ลยพอ่ คณุ บญุ ผมนอ้ ย ตกน้าลอยกลางมหาชลาไหล

สายสมทุ รสุดกวา้ งหนทางไกล ลอยอยใู่ นสินธูแต่รู้ตวั ฯ”

นอกจากกวเี อียดฯแลว้ ยงั มีอีกทา่ นหน่ึงท่ีทรงภูมิรู้ในเรื่องการเขียนนิราศลาตายของอาเภอ

ชา้ งกลาง คือนายไข่ บรรณราช ชาวบา้ นนาวา หมู่ ๗ ตาบลชา้ งกลาง ลูก-หลานไดบ้ นั ทึกนิราศลา

ตายแจก-จ่ายในโอกาสงานฌาปนกิจศพของท่าน ณ วดั เทพกุญชร เม่ือวนั ท่ี ๒๖ ธนั วาคม ๒๕๓๘

ดว้ ยเหตุที่มีอายยุ นื ถึง ๑๐๐ ปี บุคคลที่ท่านลาตายลว้ นแต่ตายก่อนผลู้ าแทบท้งั สิ้น ตวั อยา่ งนิราศลาตาย

ของนายไข่ บรรณราช ตอนหน่ึงวา่

“ลาผใู้ หญช่ ุ่ม นอ้ งพุมและนอ้ งพวั กราบลาทวั่ ญาติสนิทมิตรสหาย

ลา มาด มิตร แมง มด หมดหญิงชาย กราบลาตายเหมือนหลบั หรือดบั เกียง

ลาผใู้ หญ่บา้ น คณะ หมทู่ ่ีแปด เคยพ่ึงแดดลมฝนลาไปจนสุดเสียง

ลาจนั ดีใตใ้ กลต้ ลาดญาติใกลเ้ คยี ง ฝากสาเนียงไวผ้ อู้ ่านท่านผฟู้ ัง

ลานาหรา นาปราน บา้ นนาใหม่ ไวอ้ าลยั เพอ่ื นหญิงชายอยภู่ ายหลงั

ลานาหวานทวั่ ร้านคา้ ท่านมหาพจนงั ลาทวั่ ท้งั ผใู้ หญ่สิงห์ คณะครูหญิงชาย

ลาจนั ดี สี่แยก ไม่แปลกหนา้ ลาบรรดาญาติสนิทมิตรสหาย

ลาหมสู่ อง บา้ นคลองงา ขอลาตาย ลาท้งั ชายและหญิงไม่หวงั ส่ิงตอบแทน

ลาผใู้ หญ่เวียน สันตจิต ยงั คิดถึง ควรทึงทึง ญาติพีน่ อ้ ง บา้ นคลองแหน

ยงั คิดถึงพี่นอ้ งดว้ ยบา้ นหว้ ยแดน ไมข่ าดแคลนลาทว่ั ทุกตวั คน

ลาหมู่สามความไมตรีมีแก่จิต ญาติสนิทไมห่ วงั ท้งั ลาภผล

ลาชาวนา ชาวสวน ถว้ นทุกคน ตลอดจนสวนกาแฟและสวนยาง

ลาแม่สุ้น ท้งั คุณร้อยโทประภาส เสมอญาติพบปะเคยสะสาง

ลาพระแสงวดั ควนสงฆล์ าองคก์ ารสวนยาง ทว่ั ระวางเจา้ นายไพร่กรรมกร

ลาหมหู่ า้ บรรดา พวกญาติมิตร เหยยี บไม่ผดิ นุ่มแก่แลสลอน

จากบา้ นตกลงมาใตใ้ กลส้ าคร เดิมแตก่ ่อนเป็นถ่ินฐานเกิดมารดา

ลาหญิงชาย คณะ ผใู้ หญ่เหลก็ มีแก่เดก็ อยใู่ นวยั ศึกษา

๑๓๔

ลา เปล่ียน แขก ไทย บา้ นไผง่ า แลว้ กราบลา ครูมงคล ลานุ่น กนั

ลานอ้ งฝ้าย นอ้ งนอ้ ม พร้อม เขมิ เขียม ลานายเปี่ ยม นอ้ งเกล้ียง คนขยนั

ลานายชุ่ม ทอง ดา้ ย คลา้ ย นอ้ งจนั ทร์ แสงเจ็ดพนั กล่อม ผา้ ง เดินทางไกล

เพราะความตายใกลเ้ ขา้ มาเหมือนฟ้าแลบ โลกคบั แคบไม่มีที่อาศยั

คงไมช่ า้ ถา้ ฟังเสียงเคร่ืองไฟ เด็กผใู้ หญ่หญิงชายไดร้ าวง

ขอแต่เพยี งอยา่ งเล้ียงเหลา้ และฆา่ สตั ว์ ฆ่าหมมู ดั ววั ควายเมามายหลง

เม่ือเราตายสัตวท์ ้งั หลายพลอยตายลง มากนอ้ ยคงสักนิดติดเวรา

นอกจากน้ีสารพดั ไมค่ ดั คา้ น ทกุ ทุกทา่ นหญิงชายขอขมา

กรรมอนั ใดท่ีทาดว้ ยใจกายวจา จะตอ่ หนา้ หรือลบั หลงั พลาดพล้งั ไป

ต่อวงศาคณามิตรสนิทหนา้ มารท้งั หา้ สารพดั สัตวน์ อ้ ยใหญ่

อโหสิกรรมให้เป็ นธรรมศรี วิไล เกิดชาติใหม่เวรอยา่ มีใหท้ นั พระศรี

อารย”์

- บทเล่านิทาน กวีเอียดแตง่ เป็นจินตนิยายท่ีคดิ ผกู ข้นึ เป็นนิทานใหช้ ่ือวา่ “ศึกพระ

ยาแลน” ซ่ึงมีกองทพั ของพวกสตั วก์ ระโดด อนั มีกบเป็นหัวหนา้ ฝ่ายหน่ึง กบั สัตวพ์ วกเล้ือยคลานซ่ึงมี

แลนหรือตะกวดฝ่ายหน่ึง กาหนดใหย้ กทพั มารบกนั ท่านแตง่ เป็นกาพยย์ านี ๑๑ โดยเริ่มต้งั เมืองกบ

วา่

๏ ยงั มีเมืองหน่ึงกวา้ ง แตก่ ่อนสร้างดว้ ยผานไถ

กาแพงรอบเวยี งไชย ทาดว้ ยจอบรอบนคั รา

๏ ประตูน้าไหลริน ปิ ดดว้ ยดินไวแ้ น่นหนา

คา่ ยคพู วกปูนา รักษารอบขอบนคร

๏ เพือ่ นเป็นพลทหาร ท้งั สี่ดา้ นไมย่ อ่ หยอ่ น

ขดุ รูไม่อยนู่ อน คอยศตั รูจู่เขา้ มา

๏ นามชื่อวา่ หม่อมเขยี ด รูปเจา้ เอียดนอ้ ยนกั หนา

เอวองคท์ รงกายา อยใู่ นกลากองข้คี วาย

๏ เจา้ เมืองตีนด่างสิ้น เป็ นกาเนิดของตายาย

ครอบครองในหนองควาย นึกวา่ ไดป้ ราสาทวงั

ฯลฯ

นอกจากกวเี อียดและนายไข่ บรรณราช แลว้ ยงั มีนกั ร้องเพลงยาวอื่น ๆ อีกหลายคน ส่วน

ใหญ่วา่ กนั ปากเปล่า จากนั ไดเ้ ฉพาะยคุ น้นั พอลว่ งกาลผา่ นมายคุ หลงั ไมม่ ีใครจดจากนั กส็ ูญหายไป

หมด เช่นของตาทองดา หนา้ พ่อ ร้องเพลงยาวโตก้ บั กวีเอียดฯ เป็นบทเพลงข้นึ ตน้ เรื่องวา่

“อโณทยั ไขสวา่ งกระจ่างฉอน

๑๓๕

ตามบา้ นควนควรคะนึงถึงปลาอ่อน เมื่อแต่ก่อนเราไดเ้ คยเสวยลมฯ”

-บทร่ายยาว

อีกคนหน่ึงชื่อนายลาภ ศรีใส มีท่ีอยหู่ ลายแห่ง เอาแน่นอนไมไ่ ด้ บางคร้ังอยเู่ ขาแกว้ อาเภอ

ลานสกา บางเวลาอยู่บา้ นนา อาเภอชา้ งกลาง นงั่ ตรงไหนพอมีคนมาลอ้ มฟัง ท่านก็ยกเอาพฤติกรรม

ของคนในทอ้ งถ่ินมาเลา่ แบบร้อยกรองสัมผสั กนั ตลอดแบบร่ายยาว ซ่ึงเป็นการเล่าเรื่องจริง ฟังดูแลว้

ตลก ดงั ตวั อยา่ งท่านเล่าถึงพฤติกรรมพวกแมค่ า้ ในตลาดคลองจนั ดีซ่ึงส่วนใหญ่เป็นคนเช้ือสายจีน

ตอนหน่ึงวา่

“หวั ไมค้ รูมี เศรษฐีนายแมง แขง็ แรงอีหวั๊ ไมม่ ีผวั นอ้ งแผว้

กินไมร่ ู้แลว้ บา้ นไอช้ อ้ ย กินไมห่ รอยร้านเล่าเก่า ขายน้าเปลา่ -

โรงไอต้ ี่ ข้ที อ้ งเมียไอห้ รั่ง ชงั ก้งั เมียไอก้ ่า เท่ียวยงั ค่าเมียม่อเห่ง

พงุ เทา่ เผลง้ เมียไอฝ้ ้ัน นอนเท่ียงไอช้ ิเด่ ขายปเู ลเมียไอก้ ่าฯ.....”

บคุ คลที่นายลาภฯ กล่าวถึงเป็นร่ายยาวโดยใชภ้ าษาถิ่นปักษใ์ ตล้ ว้ น ๆ น้ี ไดส้ ิ้นชีวิตไปแลว้

ท้งั น้นั

- บทสุภาษติ เป็นบทเพลงยาวแต่งโดยนายสาบ อินทรทศั น์ ชาวบา้ นจนั ดี หมทู่ ่ี ๔

ตาบลชา้ งกลาง ซ่ึงมีชีวติ อยู่ระหวา่ ง พ.ศ.๒๔๗๖ – ๒๕๔๙ ทา่ นผนู้ ้ีมีความรู้ธรรมอยา่ งลึกซ้ึง

สามารถแตง่ เป็นบทภาษิตที่มีคาคมคลอ้ งจองกนั ยดื ยาวหลายสิบหนา้ กระดาษ ในที่น่ีจะยกเอามาเป็น

บางตอน เพ่ือการศึกษา ทา่ นไดบ้ นั ทึกไวใ้ นตอนจบเร่ืองท่ีแต่งเป็นสุภาษิตวา่

“ จะหยดุ บทงดความลงนามทา้ ย ขา้ ชื่อนายสาบจดกาหนดเขียน

นามสกลุ อินทรทศั น์ฝึกหดั เพียร จิตเจตน์เจียรจอจดเป็นบทเอย

ตัวอย่างบทภาษิตบางตอนของท่านมดี ังนี้

ผรู้ ักชาติ

ผรู้ ักชาติศาสนาพระมหากษตั ริย์ พึงฝึกหดั ตนก่อนสอนลกู หลาน

สงบกายวจีจิตละกิจพาล ประกอบการลว้ นสะอาดปราศโทษภยั

ศีลปาณาฆ่าสตั วต์ ดั ใหข้ าด ขอ้ น้ีอาจเป็นประโยชนพ์ น้ โทษ

ใหญ่

แมข้ โมยทาร้ายสัตวใ์ ดใด ไมม่ ีใครกลา่ วหาวา่ เราเลย

ท้งั เงินทองของขา้ วมีเจา้ ของ ไมห่ มายปองทุจริตต้งั จิตเฉย

แตน่ อ้ ยนิดกไ็ มค่ ดิ ลกั ฉอ้ เลย ผอู้ ื่นเคยไวเ้ น้ือยอ่ มเชื่อใจ

สุจริตไม่ไดค้ ิดทาชูส้ าว ใหเ้ ขาร้าวแรงร้อนนอนไมไ่ หว

ไมล่ ดั เล้ียวเก้ียวพาลูกเมียใคร เขาก็ไมข่ ้ึงโกรธกลา่ วโทษกนั

มิมุสาด่าทอกลา่ วส่อเสียด ใหเ้ ขาเกลียดเพราะแกลง้ แสร้งเสกสรร

๑๓๖

กล่าวแต่ที่มีประโยชน์ทกุ สิ่งอนั เขาก็ยอ่ มสรรเสริญวา่ สจั จาจริง
ท้งั เหลา้ ฝ่ินกญั ชาพาประมาท ตดั ใหข้ าดข้ีเมาเหล่าผสี ิง
ปลูกสติปัญญาหาจองจริง ยอ่ มเป็นส่ิงแนะนาทาพูดคิด
ปฏิบตั ิศีลหา้ กลั ยาณธรรม ใหป้ ระจาหนทางคงห่างผิด
ประพฤติงามความสะอาดท้งั ญาติมิตร จะมีจิตเยือกเยน็ เป็นแน่นอน

............ จะไปคลายกรรมเขาเบาท่ีไหน
กรรมของเอง็ ผอู้ ่ืนไกลไหนจะคลายใหห้ ายกรรม
“กรรมของเอง็ ก็เตม็ กาปล้าไม่หาย ถา้ หากรู้กม็ ิร้ายขยายขยา
ใครเจา้ ของก็ตอ้ งกากนั ร่าไป รู้จกั กรรมกนั ชวั่ ตวั ราคีฯ”
กรรมของตวั ชว่ั ดีที่มีอยู่
รู้ชนิดผิดชอบประกอบธรรม มิควรหมายม่งุ มาดปรารถนา
............. ปรารถนาเหาะเหินเห็นเกินการ
เหลือวสิ ยั
“สิ่งอนั ใดเหลือวิสยั จะพึงได้ คงไมอ่ าจสูร้ ับกบั คมขวาน
เราไม่มีปี กหางอยา่ งสกุณา เขาตอ้ งการแตผ่ ลตน้ เจริญฯ”
ตะเคียนใหญ่ใบสูงอยา่ ประมาท
พนั ธุ์ดกสาหรับใชร้ ับประทาน ไม่สามารถรู้สิ้นทุกแห่งหน
.............. รู้เหตุผลธรรมดาราคาแพง
วิชาความรู้ พงึ สงั เกตใหร้ ู้ผแู้ สวง
“อนั วชิ าความรู้แมผ้ ฉู้ ลาด ความแสวงตามกาลงั ยงั ผลดีฯ”
รู้หนา้ ท่ีดีแทไ้ ม่แปรปน
ท้งั สวนนาคา้ ขายหลายประเภท ไดอ้ า้ งวา่ บุพกรรมทาถว้ นถ่ี
กิจประกอบชอบภูมิฐานสะอา้ นแรง ถึงปลายปี กส็ ่งผลใหต้ นรับ
.................. เหมือนนง่ั อยใู่ นรถแลว้ ไมข่ บั
การทาบญุ นอกจากนบั วา่ ตนเป็นรู้ฯ”
“การทาบุญจุนเจือเผอ่ื ภายหนา้
เหมือนเมด็ พชื เพาะไวใ้ นธรณี
เรียนรู้รอบไมป่ ระกอบตามความรู้
ไมถ่ ึงผลอนั ตนจะพึงรับ
.................
การรับจา้ ง

๑๓๗

“การรับจา้ งอา้ งวา่ ขายหนา้ เขา กระเป๋ าเปลา่ เไมเ่ หมาะน่ะพ่อหนู

ถือแต่ยศหมดทรัพยอ์ บั อุดอู้ เท่ียวเชิดชูชื่อโซเอาโง่แซม

คร้ันถึงคราวเขา้ สนามยามขดั ขอ้ ง ยมื ขา้ วขอ้ งเขาแตง่ ตนเป็นคนแหลม

จนมิหนาซ้ามิเจียมทาเทียมแกม เขารู้แตม้ ก็บุย้ ปากขากน้าลาย

เราเป็นคนต่าตอ้ ยค่อยสงวน อยา่ เรรวนคิดทะเยอทะยานหมาย

ไมท่ นั เขากอ็ ยา่ จอ้ งของเทียมจ่าย ยอ้ มแมวขายประจานชื่อใหล้ ือจน

ตอ้ งการมากอยากไดท้ างจ่ายทรัพย์ ต้งั หนา้ นบั วนั ขดั วบิ ตั ิผล

ไมร่ ู้สิ่งยงิ่ หยอ่ นควรผอ่ นปรน ถึงอบั จนก็เพราะจ่ายฟูมฟายเกินฯ”

....................

เป็ นชายชาติ

“เป็นชายชาติอยา่ ประมาทวา่ ชาติชาย เสือมีลายเขาก็กลวั แต่ตวั เสือ

คนไมจ่ ริงพูดอะไรใครจะเช่ือ ดูซิเกลือเคม็ แทไ้ ม่แปรปรวน

ความชว่ั ดีกิริยาวาจาแสดง เขายอ่ มแจง้ ประจกั ษไ์ มพ่ กั ไต่

สวน

เขยี นลายหลอกตะคอกข่ดู ูไม่ควร เขาจะสรวลเสใหล้ ะอายใจฯ”

......................

เป็นผใู้ หญ่

“เป็นผใู้ หญ่ใจเดก็ เหลก็ ข้ีสนิม ใหเ้ ขายมิ้ เยย้ เยาะไม่เหมาะเหมง็

หากความดีมีในตนคนจึงเกรง เป็นนกั เลงคงไม่เรียบเอาเปรียบกนั

ถือขนั ตีอยา่ ขนั ต่อก่อขนั แตก เอาดีแทรกแกร้ ้อนค่อยผ่อนผนั

ร้ายแต่เขาเราอดทนเป็ นกลกนั หาหวานมนั เทระดมขมค่อยคลายฯ”

......................

อนั พอ่ แม่

“อนั พ่อแมเ่ ล้ียงลูกปล้าปลกู ฝัง มิใช่หวงั อามิสจิตถวลิ

หากลกู ดีมีสง่าหมดราคิน ทา่ นกส็ ิ้นกงั วลไมป่ นทุกข์

ฉะน้ีแน่พวกเราเหลา่ กุลบุตร เป็นมนุษยป์ รารถหาความสุข

ถา้ ลกู ตวั ชวั่ แทพ้ ่อแมท่ ุกข์ ดงั เพลิงลกุ ติดไพรพฤกษาลามฯ”

........................

การทาดี

“การทาดีเหมือนพายเรือข้นึ เหนือน้า ถา้ ไม่ปล้าไหนจะถึงซ่ึงสวรรค์

คนไมร่ ู้ดูกย็ ากลาบากครัน แมข้ ยนั สกั เทา่ ไรคงไม่ดี

๑๓๘

ดูตาราเชื่อตารามกั พาผิด เชื่อความคิดตนก็อาจพลาดวิถี

โลกไม่ขางทางธรรมชอบประกอบดี น้นั แหละมีประโยชนพ์ น้ โทษภยั

ฯ”

...............

ความประมาท

“ความประมาทก็เพราะขาดเสียสติ ท้งั หิริโอตตปั ปะละลืมหาย

ประพฤติหยาบบาปไม่กลวั ชวั่ ไม่อาย สร้างอบายมขุ เขา้ คุกจา

ขาดไมห่ าหนาไมถ่ ากมากไม่ทิ้ง ยงั เยอ่ หยง่ิ ชวนทะเลาะไม่เหมาะขา

ถือของหนกั รักไม่วางอา้ งวา่ กรรม พูดถลาทาไถลใจงมงายฯ”

..................

เรื่องโกรธา

“เรื่องโกรธาราวีไมด่ ีหนอ เป็นเหตุก่อกรรมชวั่ ตวั ฉิบหาย

มิใช่ตายแต่เขาเรากต็ าย ผลสุดทา้ ยสูญต่อสูญคูณกนั เอง

เขาลบหลูด่ ูแคลนเพราะแสนชวั่ ก็เพราะตวั เหลวไหลใจโฉงเฉง

เที่ยวซมซานพาลขา้ งทางนกั เลง ต้งั ตวั เองเป็นมิจฉาปาปะกรรมฯ”

....................

ธรรมดาเหลก็

“ธรรมดาเหลก็ กลา้ เขาวา่ แขง็ เผาไฟแดงแลว้ ก็ดดั ไม่ขดั สน

คนคดขดั ดดั ยากลาบากคน ถึงละลนใหล้ ะลายไม่หายคด

การคบคา้ หามิตรคดิ ทาบุญ เหมือนลงทุนหวงั กาไรใจกาหนด

ตน้ ไมค้ ดเขาก็ใชข้ ่างฝ่ายคด ถา้ คนคดเขาก็ลดราคาลง

สุภาษิตพระกล่อม

พระกล่อม ธมฺมคุตฺโต (ตราชู) เป็นชาวคลองงา หมู่ ๒ ตาบลชา้ งกลาง บิดาชื่อนายหวาน

ตราชู ผสู้ ืบสายโลหิตจากขุนไชย มารดาช่ือนางหนูน (ชูยงค)์ เมื่อบ้นั ปลายชีวิตไดอ้ อกบวชอยวู่ ดั พระ

มหาธาตุฯ กบั พระพทุ ธิสารเถร(พ่อทา่ นผุด) มีความรู้ทางยาสมนุ ไพรดว้ ย ท่านไดแ้ ต่งสุภาษติ สอน

ลูกหลานเป็นกาพยย์ านี ๑๑ ไว้ ขอยกตวั อยา่ งดงั น้ี

“๏ ไดค้ ดิ ลิขติ สาร ไวใ้ หอ้ า่ นเป็นคาสอน

พอเปล้ืองเคร่ืองนิวรณ์ เสียก่อนบา้ งแต่ยงั วนั

๏ หวงั ไวใ้ หต้ า่ งหนา้ เม่ือเวลาไม่เห็นกนั

ถอ้ ยคาเป็นสาคญั เพ่อื ระลึกนึกไดน้ าน

๏ คดิ คาทาแต่พอสังเขปขอ้ ไมพ่ ิสดาร

๑๓๙

เพราะเราเหลา่ วงศว์ าน ชาวบา้ นนอกและคอกนา

๏ ใช่เชิงชานาญพจน์ จดขอ้ ความตามประสา

มวั มณั ฑะปัญญา ไม่สวา่ งกระจ่างใจ

๏ ขอปราชญฉ์ ลาดอรรถ แม่ทา่ นทศั นานยั

ลิขติ ผดิ ขอ้ ใด อยา่ ใยภยั เยาะเยย้ กนั

๏ จงมีไมตรีจิต ช่วยประดิษฐแ์ สดงฉนั ท์

ใหต้ อ้ งตามคลองธรรม์ อนั ไพเราะเสนาะดี

๏ เป็นคนควรคดิ ญาติ อยา่ ใหข้ าดทางไมตรี

ทุกขภ์ ยั สิ่งใดมี ไดเ้ ป็นที่เก้ือกูลกนั

๏ เกิดมาอยา่ พึงหมาย วา่ สบายทุกนิรันดร์

แตด่ วงพระสุริยฉ์ นั ไม่ตลอดวนั พลนั อบั แสง

๏ จนมีดีและร้าย อาการตายยอ่ มเปล่ียนแปลง

ขา้ วยากและหมากแพง ฝนชุกแลง้ ตามธรรมดา

๏ อยา่ เห็นวา่ เป็นสุข บา้ งมีทุกขฉ์ ุกเฉินมา

เมื่อมีญาติกา ไดเ้ ห็นหนา้ เวลาจน

๏ วชิ ชาเป็นอาภรณ์ ยอ่ มถาวรดว้ ยลาภผล

แมว้ า่ ถา้ จิตตน ประพฤติชว่ั กลวั มวั หมอง

๏ มีทรัพยเ์ ขานบั หนา้ ญาติวงศามากก่ายกอง

คร้ันกินสิ้นเงินทอง ถึงพวกพอ้ งไมม่ องแล

๏ ถา้ ดีมีสนั ดาน ใชไ้ ดน้ านจนเฒ่าแก่

ถึงยากมากเหลือแหล่ แมท้ าดีมีคนชู

๏ อยา่ งต้งั อหงั การ ใหเ้ พ่ือนบา้ นท่านเอน็ ดู

จิตมน่ั กตญั ญู อยา่ ลบลู่ผมู้ ีคุณฯ”

- เพลงยาวพยากรณ์ พ.ศ.๓๐๐๐ เป็นบทเพลงยาวแต่งโดยกวีเอ้ือม อุบลพนั ธุ์

นกั ปราชญท์ างภาษาและวรรณกรรมชาวชา้ งกลาง มีชีวิตอยรู่ ะหวา่ งปี ๒๔๖๙ – ๒๕๕๗ เป็นลกู เขย

ของนายเอียด สนั ตจิต ทา่ นมีผลงานดา้ นกววี รรณกรรมมากมาย ไดแ้ ต่งบทเพลงพยากรณ์น้ีไวต้ ้งั แตป่ ี

๒๕๑๒ แสดงใหเ้ ห็นถึงความเป็นนกั คิด นกั เขียน ดงั น้ี

อบุ ลพนั ธุ์สรรคาทาอกั ษร

เป็นลายลกั ษณ์อกั ขราพยากรณ์ ดว้ ยสงั หรณ์เหตุรหสั ปัจจุบนั

เทียบทานองนมนานกาลอดีต แจง้ จารีตอนั พึงจะผวนผนั

ในแหลมทองประเทศเขตสามนั ต์ เม่ือสามพนั พทุ ธกาลบนั ดาลดล

๑๔๐

จานวนนรชนจะลน้ โลก วปิ โยคยากเกิดกุลาหล

อดอาหารหิวกระหายทุรายทรุ น ตอ้ งแบง่ ผลปันโภชนากิน

เมด็ ประมาณนิ้วมีดตอ่ ม้ือหน่ึง ผสมถึงถว้ นโภชนาศิลป์

กินเพ่ืออยกู่ ูก้ ายหมายชีวิน ใช่จะอยเู่ พื่อกินดารงกาย

ออกกฎบตั รรัดกุมคมุ กาเนิด กนั การเกิดเกินเกณฑก์ ฎหมายหมาย

ใครเกิดบตุ รเกินหน่ึงโทษถึงตาย นโยบายบงั คบั ในสงั คม

การแต่งกายใกลเ้ ปลือยจะเปล้ืองผา้ ดงั คนป่ าคนเถื่อนคร้ังประถม

หญิงจะสู่ขอชายเป็นคู่ชม จารีตลม่ โลเลประเวณี

หว้ ยละหานเหือดแหง้ ทกุ แห่งหน จะขดั สนธารใสเคยไหลร่ี

บนแนวเขนิ เนินเขาเขตพงพี จะไมม่ ีหมสู่ ัตวอ์ าศยั เนา

ถกู ถางราบปราบเตียนตลอดโล่ง ปลูกเรือนโรงร้านบา้ นบนยอดเขา

คนจะบม่ บาปบญุ สิดูเบา จะคดิ เอาแตไ่ ดส้ ะดวกดาย

ประการหน่ึงทายาทพระศาสนา คือสงฆส์ าวกเส่ือมระส่าระสาย

จะบวชเพียงเพือ่ เล้ียงสกนธก์ าย ไมข่ วนขวายขบั มูลกิเลศมาร

คนมีแรงรังแกคนแอออ่ น ทบุ ตีตอ้ นไล่ส่งไมส่ งสาร

บตุ รจะด้ือดึงโหดอหงั การ รังควานแมพ่ ่อดงั ทรพี

ปวงบณั ฑิตดอ้ ยทรัพยศ์ ฤงคารสาร พวกคนพาลรวยสินเป็นเศรษฐี

เสียงปื นเปร้ียงกอ้ งโลกเป็นโกลี ดงั ดนตรีโลกนั ตบ์ รรเลงเพลง

ในวดั วาอารามเคยหลามลน้ จะมีคนร่อยหรอจนโหรงเหรง

ในบาร์บอ่ นมากคนอยคู่ ร้ืนเครง ลว้ นนกั เลงเหลา้ เลน่ พนนั กนั

ศศิธรเคยแสงแจง้ จรัส แมมหมองรัศมีเหมือนจะโศกศลั ย์

กลบั จากเพญ็ เป็นแรมอยนู่ ิรันดร์ ดาราน้นั เผือดแสงจนสูญไป

ดวงอาทิตยท์ อแสงเผาแหลง่ หลา้ จนไหมห้ ญา้ แหง้ สุกถึงลุกไหม้

ดงั จะลา้ งคนเลวเหล่าจญั ไร ใหป้ ระลยั ลา้ งโลกมลายลง

พายรุ ้ายแรงพดั กระพือผา่ น ท้งั สายธารทว่ มทาใหผ้ ยุ ผง

เมืองจะร้างโรยราเป็นป่ าดง อปั มงคลครอบท้งั เมืองคน

ฯลฯ

๖.๒ เพลงบอก เป็นเพลงท่ีนิยมใชร้ ้องในงานตา่ ง ๆ โดยเฉาะช่วงเทศกาลสงกรานต์

แตเ่ ดิมน้นั ร้องบอกไปในยามค่าคนื คือบอกใหท้ ราบวา่ ปี น้ีจุลศกั ราชเทา่ ใด วนั ใด เวลาใดเป็นวนั

มหาสงกรานต์ ใครเป็นนางสงกรานต์ ช่ืออะไร แต่งตวั อยา่ งไร มีอะไรเป็นอาหาร มีอะไรเป็น

อาวุธ มีสัตวใ์ ดเป็นพาหนะ โดยบอกเล่าไปตามบา้ นเรือนในยามค่าคืนวนั ท่ี ๑๓ – ๑๔ – ๑๕ เมษายน

๑๔๑

ของทุกปี คณะที่ออกไปบอกเลา่ ยามค่าคนื เช่นน้ีเรียกวา่ “คณะเพลงบอก “ ประกอบดว้ ยแม่เพลง

และลูกครู่ ้องรับ ๔ – ๕ คน โดยมีฉ่ิงเป็นเคร่ืองดนตรีชิ้นเดียว

คณะเพลงบอกท่ีเที่ยวตระเวนเล่นไปตามบา้ นในเทศกาลดงั กล่าวยามค่าคืนสมยั เมื่อ ๗๐ ปี

มาแลว้ ไม่ไดห้ วงั เงินทอง หรือลาภสกั การะใดๆ นอกจากความเพลิดเพลิน และไดร้ ับการตอ้ นรับ

จากเจา้ ของบา้ น แมด้ ึกด่ืนเพียงใดก็เปิ ดประตูออกตอ้ นรับ ส่ิงที่นาออกตอ้ นรับก็มีเพียงขา้ วเหนียวน่ึง

มะพร้าวขดู ผสมน้าตาล หรืออาหารที่เตรียมไวส้ าหรับทาบุญในเทศกาลสงกรานต์ เท่าน้นั

ในชา้ งกลางมีครูเพลงบอกคนสาคญั คอื นายเถ่ือน ขอบขา บิดาของท่านเจา้ คุณพระสิริธรรม

ราชมุนี ลงุ เถื่อนฯ มีลูกศิษยห์ ลายคน เช่นครูแจง้ กระจ่างจบ นายตนู นายเขมิ สุถาพรฯลฯ เป็นตน้

จึงถือไดว้ า่ เป็นศิลปะพ้นื บา้ นขนานแทม้ าแต่ด้งั เดิมของชาวอาเภอชา้ งกลางมาแต่คร้ังโบราณ บรรดา

ศิษยท์ ้งั หลายไดส้ ืบสานมรดกน้ีไว้ บางรายต้งั เป็นคณะ เช่นคณะมโนราห์เพ่ิม-โพธ์ิ

ในช่วง ๘๐ ปี ต่อมาต้งั แตป่ ระมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๐ มีชาวหวั ไทร เชียรใหญ่ ปากพนงั ไดย้ า้ ย

จากถ่ินเดิมมาอยใู่ นทอ้ งท่ีชา้ งกลาง กระจดั กระจายกนั อยู่ในหลายหมบู่ า้ น โดยเฉพาะแถวคลองงา –

หนา้ เหมน มีหลายคนท่ีเก่งทางดา้ นเพลงบอกกไ็ ดน้ าเอาศิลปะเพลงดงั กล่าวมาเผยแพร่ดว้ ย ในจานวน

น้ีมีบคุ คลสาคญั ท่านหน่ึงชื่อวา่ พ่อท่านผดุ (พระพทุ ธิสารเถร) ซ่ึงเป็นชาวหวั ไทรเขา้ มาสอนคนคลอง

งา- ชา้ งกลาง ทา่ นกไ็ ดส้ อนการร้องเพลงบอกแก่ลูกศิษยด์ ว้ ย คนสาคญั ท่ีไดร้ ับการถ่ายทอดศิลปะน้ี

จนใชก้ ารไดก้ ็คือนายสุนทร ตราชู

เพลงบอกที่เขียนไวเ้ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษรน้นั หายากมาก เพราะช่ือกบ็ อกอยแู่ ลว้ วา่ เป็นเพลง

บอก มีเหตกุ ารณ์อะไรกร็ วมกลมุ่ กนั มาบอกเลา่ เป็นเพลง

ตวั อยา่ งเพลงบอกท่ีเขียนไวก้ ็มีของนายอานวย สุวรรณ(หมอแอบ) ซ่ึงอยใู่ นชุมชนบา้ น

มะนาวหวาน หมู่ ๔ ตาบลชา้ งกลางไดแ้ ต่งเพลงบอกไวห้ ลายเร่ือง เช่นเร่ือง “ธรรมบาลเทพบุตร” แตง่

ไวเ้ ม่ือปี ๒๕๒๖ มีอยู่ตอนหน่ึงวา่

“วนั สงกรานตม์ ีนิทานประกอบ วา่ ตามระบอบแบบฉบบั

ซ่ึงมีตารับกล่าวไว้ ใหท้ า่ นไดค้ น้ หา

เรื่องธรรมบาลเทพบุตร ไม่ใช่มนุษยธ์ รรมดา

มานพนานเหลือคณา ท่ีเราจะวา่ ไป

เป็นประเพณีของตา่ งประเทศ ซ่ึงอยใู่ นเขตลงั กาวงศ์

แลว้ วา่ ใหต้ รงตามที่มา ทา่ นอยา่ สงสัย

เร่ืองราวในคราวยคุ ทมิฬ ไดค้ รองแผน่ ดินมาแต่ไร

อานาจยง่ิ ใหญ่ดบั ด้ิน ไดม้ าสิ้นลง

มาคร้ังหลงั ลงั การับไว้ แลว้ จึงมอบใหก้ บั ฝ่ายศาสน์

เรายงั สามารถรักษาได้ เพราะอยกู่ บั ฝ่ายสงฆ์

๑๔๒

เราท้งั หลายไดย้ ดึ เป็นหลกั ยงั ปกปักษอ์ ยมู่ น่ั คง

แต่ยงั ยนื ยงอยไู่ ด้ มาต้งั หลายพนั ปี ฯ”

กลอนเพลงบอกน้ีถือวา่ เป็นศิลปกวอี ยา่ งหน่ึงซ่ึงมีเฉพาะในภาคใตเ้ ทา่ น้นั มีฉนั ทลกั ษณ์

สัมผสั ใน สมั ผสั นอกคลอ้ งจองกนั ตลอด ซ่ึงมีหลกั ดงั น้ีคือ

๑.บท ในบทหน่ึงมี ๔ บาท หรือ ๔ วรรค รวม ๒๑ คาหรือพยางค์

๒.วรรค ในวรรคแรกมี ๖ คา วรรคท่ี ๒ มี ๖ คา วรรคที่ ๓ มี ๕ คา วรรคท่ี ๔ มี ๔ คา รวม

๒๑ คา

๓.สัมผสั ใน - คาสุดทา้ ยของวรรคแรก สัมผสั กบั คาท่ี ๓ ของวรรคที่ ๒

- คาสุดทา้ ยของวรรคท่ี ๒ ไปสัมผสั คาที่ ๓ ของวรรคท่ี ๓

- คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๓ ไปสัมผสั คาท่ี ๓ ของวรรคท่ี ๔

- นอกจากสัมผสั ตามบงั คบั น้ีแลว้ อาจสัมผสั ในท้งั พยญั ชนะและสระ วรรณยกุ ต์

ไดอ้ ีก ทาใหไ้ พเราะยง่ิ ข้ึน

๔.สมั ผสั นอก

- คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๔ ในบทแรก ไปสมั ผสั กบั คาสุดทา้ ยของวรรคที่ ๒ ในบทท่ี



- คาสุดทา้ ยของบทที่ ๒ ไปสัมผสั กบั คาสุดมา้ ยในวรรคที่ ๔ ของบทที่ ๓

๕. ยกตวั อยา่ ง บทเพลงบอกที่ถกู ตอ้ งตามแบบฉนั ทลกั ษณ์ทกุ ประการของทา่ นเจา้ คุณพระ

ราชวราภรณ์( เจิม กนฺตสีโล ป.ธ.๘) แห่งวดั ราชาธิวาส ท่านเป็นชาวฉวางโดยกาเนิด แตเ่ ป็นอาจารย์

ของวรรณดี สรรพจิต ชาวชา้ งกลางในดา้ นกวฉี นั ทศาสตร์ ดงั น้ี

๏ หตั ถท์ ้งั สองประคองชิด ยกประดิษฐข์ ้ึนเหนือเศียร

ตา่ งธูปเทียนบบุ ผา พวงสุมาลยั

๏ นอบนอ้ มองคพ์ ระทรงศกั ด์ิ โสภาครัตน์ชโนดม

พระบรมศาสดา สุดจะหาไหน

๏ ทรงร้ือสัตวจ์ ากวฏั ฏส์ าม ขจรนามทว่ั แดนไตร

ไม่มีใครเทียบองค์ พระผทู้ รงธรรม์

๏ นบพระธรรมคอื คาสอน ดงั ทินกรอนั แจ่มหลา้

ปวงชนานอบนบ คงจะสบสันต์ิ

๏ ควรนอ้ มมาเขา้ หาตน ไดเ้ ป็นผลอนนั ตค์ รัน

ดุจตะวนั แสงธรรม คุณน้นั อาไพ

๏ เคารพสงฆผ์ ทู้ รงศีล บุตรมุนินทร์ชินนาถ

ผสู้ ืบศาสนา คณุ จะหาไหน

๑๔๓

๏ ปฏิบตั ิตรงทรงความดี ท่านไมม่ ีซ่ึงเลศนยั

แต่น้าใจผ่องผดุ สมเป็นพทุ ธวงศ์

๏ ถวายบงั คมบรมกษตั ริย์ ประมขุ รัฐไทยประเทศ

กระเดื่องเดชไพบลู ย์ พระประยรู หงส์

๏ ทรงทศพธิ ราชธรรม ทา่ นผนู้ าที่เท่ียงตรง

เสมือนองคเ์ ทพฤทธ์ิ ผปู้ ระสิทธ์ิคณุ

๏ นบชนกและชนนี พระคณุ มีอเนกนนั ต์

สุดจะสรรคาใด ใหว้ ไิ ลสุนทร์

๏ วหิ ารธรรมประจาจิต สิงสถิตซ่ึงใบบุญ

ประมวลคุณใส่เกลา้ ลกู ทกุ เชา้ เยน็

๏ ไหวค้ รูบาอาจารยส์ อน ใหท้ ราบกลอนอกั ษรวทิ ย์

ทุกชนิดเช่นครู ศิษยไ์ ดร้ ู้เห็น

๏ สอนความรู้ไม่ดูดาย ท่านขยายทกุ ประเด็น

ในเชิงเช่นกระวี ความที่มีมา

๏ นบอารักษส์ ่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ ท่ีสถิตในไตรภพ

ขจรจบลือฤทธ์ ิ ทวั่ ทุกทิศา

๏ อปุ ถมั ภบ์ ารุงรัฐ เป็ นเหมือนฉัตรชาวประชา

ขอเชิญมาดลจิต ฉนั จะคดิ กลอน

๏ กลอนเพลงบอกบา้ นนอกเรา เป็ นลาเนานครศรี

ตามเคยมีแต่หลงั ทา่ นยงั สง่ั สอนฯ

ในโอกาสวนั ถวายเพลิงพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี ๙ ที่ทอ้ งสนามหลวง เมื่อวนั ท่ี

๒๖ ตลุ าคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะท่ีวดั มะนาวหวานไดม้ ีพิธีการถวายดอกไมจ้ นั ทนข์ องหน่วยราชการใน

อาเภอชา้ งกลางร่วมกบั พสกนิกร ผมในนามครูภูมิปัญญาไทย สาขา ภาษาละวรรณกรรม ไดแ้ ตง่ บท

เพลงบอกใหค้ ณะเพลงบอกของนายหนงั เจริญ บุญนวล ไปร่วมร้องสดุดีดงั น้ี

๏ ถวายบงั คมบรมกษตั ริย์ คอื องคร์ ัชท่ีเกา้ น้นั

บารมีอนั ไพบลู ย์ พระประยรู ..หงส์

๏ ทรงทศพิธราชธรรม ทา่ นผนู้ าชาวประชา

ดุจมหาเทพฤทธ์ ิ ผปู้ ระสิทธ์ิ...ทรง

๏ อุปถมั ภบ์ ารุงรัฐ เป็นดงั ฉัตรแผบ่ ุญบง

ประมวลคงใส่เกลา้ ลูกทุกเชา้ ...เยน็

๏ ทา่ นสวรรคตหมดไปสิ้น ดงั แผน่ ดินแผน่ ฟ้าดบั

๑๔๔

สามโลกลบั ตะวนั พลบ ไม่ไดพ้ บ...เห็น

๏ ยะเยยี บยามน้าตาหนาว สะทา้ นพราวทกุ ขนเสน้

ยะเยอื กเยน็ ทุกหยอ่ มหญา้ ลว้ นแตพ่ า...หมอง

๏ สานึกในคณุ ความดี ทรงมากมีตอ่ มวลไทย

จะหาไหนเทียบทา่ น สุดประมาณ...มอง

๏ ตรึงตราแน่นทวั่ แผน่ ดิน ตราบสุดสิ้นขยั กปั กอง

โลกท้งั ผองยงั มี ลว้ นแตด่ ี...งาม

๏ สัญลกั ษณ์ภกั ดีตอ่ องคไ์ ท จึงร่วมใจ กนั ทาพลี

สร้างความดีสูงสุด เป็ นอนุส...สรณ์

๏ ร่มโพธ์ิทองของชาวไทย ท่านจากไป เราอาวรณ์

ดุจบิดรกาเนิด ชวนกนั เชิด...ชู

๏ โลกลือลนั่ สนน่ั กอ้ ง ทว่ั ท้งั ทอ้ งธรณินทร์

เกิดแผน่ ดินไหวหวนั่ ดว้ ยแรงกตญั ...ญู

๏ วางดอกไมจ้ นั ทน์ในวนั ถวาย พระเพลิงไทไ้ ดค้ ้าชู

เพื่อส่งสู่สวรรค์ อยใู่ นช้นั ...สูง

๏ ขอต้งั จิตอธิษฐาน ปณิธานอยา่ งมนั่ คง

เดินตามองคร์ อยบาท สิ้นทกุ ชาติ...เทอญ

๖.๓ เพลงกล่อมน้อง (เพลงช้าน้อง) หรือเพลงร้องเรือในอาเภอชา้ งกลาง ส่วนมาก

เกิดตามธรรมชาติอารมยส์ ุนทรียข์ องผเู้ ล้ียงลกู เล้ียงนอ้ ง ท่ีตอ้ งการกล่อมใหห้ ลบั การร้องเพลงจึง

เป็นไปตามธรรมชาติ ตามเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน หลาย ๆ หมบู่ า้ นจึงร้องลอกเลียนแบบกนั มาก เพราะ

เหตกุ ารณ์มนั คลา้ ย ๆ กนั จนไมร่ ู้วา่ ของใครลอกมากจากใคร เพลงกลอ่ มเด็กของชาวปักษใ์ ตบ้ างเพลง

จึงใชร้ ้องกนั ทวั่ ไป แตล่ ะเพลงมี ๒ บทกาหนดไวช้ ดั วา่ ในบทหน่ึง ๆ มี ๔ บาท แต่ละบาทกาหนดไว้

๔ - ๖ คา มีการสมั ผสั ในและสมั ผสั นอกเหมือนกลอน ๔ แต่ท่ีแปลกไปคือ บาทที่ ๓ ของบทท่ี ๒ ใช้

ซ้ากบั บาทที่ ๔ ในบทที่ ๑ เพลงกลอ่ มนอ้ งตอ้ งข้ึนตน้ ดว้ ยคาวา่ “ฮาเออ” เพ่ือเป็นการเนน้ การใชเ้ สียง

กลอ่ มเสียก่อนการใชเ้ น้ือเพลง แลว้ จบลงดว้ ยคาวา่ “เหอ” ทกุ บท มีตวั อยา่ งท่ีร้องกนั มากดงั ต่อไปน้ี

เพลงกลอ่ มนอน

ฮาเออ...นอนเถิดเจา้ นอน นอนหลบั ใหด้ ี

แมเ่ ซอ้ ท้งั ส่ี มาช่วยพทิ กั ษร์ ักษา

อาบน้าป้อนขา้ ว ช่วยรักษาเจา้ ทุกเวลา

มาช่วยพทิ กั ษร์ ักษา เด็กอ่อนยงั นอนเปล...เหอ

เพลงไก่เถื่อน

๑๔๕

ฮาเออ...ไก่เถ่ือนเหอ ขนั เทือนท้งั บา้ น

ลูกสาวข้ีคร้าน นอนให้แม่ปลกุ

ฉวยไดด้ า้ มขวาน แยงวานดงั พลกุ

นอนใหแ้ มป่ ลุก โลกสาวข้คี ร้าน...เหอ

เพลงหมูเถ่ือน

ฮาเออ...หมูเถื่อนเหอ แลน่ เทือนท้งั บาง

พลดั ลงบ่อร้าง ไมไ่ ดเ้ ห็นเดือนเห็นหวนั

ส้มสูกลูกไมไ้ ม่ไดข้ บ ไม่พบท้งั บวั และหวั มนั

ไม่ไดเ้ ห็นเดือนเห็นหวนั ตายอยใู่ นบอ่ ร้าง...เหอ

เพลงข้นึ เขา

ฮาเออ...ข้นึ เขาเหอ ไปแลงเู ห่ามนั ทานา

คางคกถอนกลา้ ปูนาช่วยดา

หอยขา้ วหอยโขง โกง้ โคง้ ยงั ค่า

ปูนาช่วยดา แลว้ ส่งน้าลกู ...เหอ

เพลงถางไร่-ปลกู มนั

ฮาเออ...ไปไหนเหอ พานอ้ งไปกนั

ถางไร่ปลกู มนั มนั เหอมนั ไม่ลงหวั

แผน่ ดินหมนั ดี แต่พนั ธุ์มนั หมนั ชวั่

มนั หมนั ไม่ลงหวั สาวยา่ นใหว้ วั กิน..เหอ

เพลงฝนตก

ฮาเออ...ฝนตกเหอ ตกลงดงั ฉา

ไปเอาตะกร้า มารับน้าฝน

ตอใดจะเตม็ ตอใดจะลน้

มารับน้าฝน ตกแลว้ กพ็ น้ ไป...เหอ

..........

ฮาเออ...ฝนตกเหอ ตกลงเส็กเส็ก

ปลาช่อนตวั เลก็ วา่ ยน้าตีแปลง

ตวั หน่ึงพนั ธุ์ดา อีกตวั หน่ึงพนั ธุ์แดง

วา่ ยน้าตีแปลง สองตวั เคยี งเคยี งกนั ...เหอ

เพลงข้ึนเขา

ฮาเออ..ข้นึ เขาเหอ ไปตดั หวายเลาเอามาคลอ้ งชา้ ง

๑๔๖

ทาบว่ งใหก้ วา้ ง คลอ้ งชา้ งบนภูเขาเขยี ว

ชา้ งอ่ืนท้งั ส่ีหา้ ร้อย ไม่เหมือนพลายนอ้ ยเราตวั เดียว

คลอ้ งชา้ งบนภเู ขาเขียว ตวั เดียวเปล่ียวลิงโลด...เหอ

เพลงฟ้าลน่ั

ฮาเออ...ฟ้าลนั่ เหอ ลน่ั มาผางผาง

เอามือไปเทา้ คาง เอาหลงั ไปพงิ กบั ตน้ ไม้

สงสารสาวพรหมจารีย์ วนั น้ีจะไดเ้ ชยพ่อหมา้ ย

เอาหลงั ไปพิงกบั ตน้ ไม้ พ่อหมา้ ยไดเ้ มียสาว...เหอ

เพลงอีโยน้

ฮาเออ...อีโยน้ เหอ พานอ้ งไปโยนที่ไร่แตง

ไดส้ ารสองแล่ง หมอ้ นุย้ ใส่ถงุ

เอาหวกั แหนบ็ หนา้ ฝามีแหนบ็ พงุ

หมอ้ นุย้ ใส่ถงุ ค่าไหนนอ้ งนอนนนั่ ...เหอ

เพลงนอ้ งนอน

ฮาเออ...นอ้ งนอนเหอ พ่ไี ปบา้ นหวั นอนสักเดียว

ไปซ้ือสารเหนียว แทงตม้ ลากพระ

ถกู ถูกแพงแพง อีแดงไมว่ า่

แทงตม้ ลากพระ ไมว่ า่ สักวนั เดียว

เพลงควายขาว

ฮาเออ...ควายขาวเหอ เขายาวคา่ หู

ออกไปเล่นชู้ ท่องเมาเขาแดง

ตวั หน่ึงเสือขบ ตวั หน่ึงอา้ ยขโมยลกั แทง

ท่องเมาเขาแดง จบั โจรแทงควายถึก...เหอ

เพลงไปเหนือ

ฮาเออ...ไปเหนือเหอ ซ้ือเรือน้าคา้ ง

ผวั ร้าง เมียร้าง จบั ชา้ งมาปล่อย

ชา้ งเขา้ ป่ าหนาม ตามเอาแต่รอย

จบั ชา้ งมาปลอ่ ย ตามเอาแต่รอย ตีน...เหอ

๖.๔ เพลงหนงั ตะลงุ บา้ นจนั ดี เคยมีคณะหนงั ตะลุงของนายเถื่อน ขอบขา คณะของ

นายเถ่ือนมีชื่อเสียงโด่งดงั มากสมยั เม่ือร้อยกวา่ ปี มาแลว้ ถดั มาก็คณะของหนงั ไขน่ ุย้ ซ่ึงมีทายาทเป็น

นกั ร้องท่ีมีชื่อเสียงคอื “คม เมืองนคร”(สิ้นชีวิตแลว้ ) หลงั จากน้ีกเ็ ป็นหนงั ตะลงุ ของคณะเอ.แดง บท

๑๔๗

ร้องเพลงหนงั ตะลงุ ของนายหนงั เหล่าน้ีเน่ืองจากไมไ่ ดเ้ ขียนไว้ ไมม่ ีใครไดจ้ ดจา จึงเลือนหายไปหมด
หลงั จากเจา้ ของหนงั สิ้นชีวิต มีแตข่ องครูแจง้ กระจ่างจบซ่ึงเป็นศิษยข์ องนายหนงั เถ่ือน ขอบขา เขียน
ไวย้ ดื ยาวเพอ่ื ให้โนราห์หนูพฤกษ์ เสนาพนั ธุ์ร้อง จึงยกตวั อยา่ งลายเขยี นตอนหน่ึงของครูแจง้ ดงั น้ี

๖.๕ เพลงโนรา ชื่อน้ีถา้ เขียนวา่ “โนรา” หมายถึงเป็นชื่อท่ีชาวบา้ นเรียกกนั ทว่ั ๆ ไป

อนั สืบเนื่องมาจากการ ร่ายราของอินเดียโบราณก่อนสมยั ศรีวิชยั แตถ่ า้ เขียนวา่ “มโนราห”์ หมายถึง

คาท่ีมาจาก เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ ท่ีเขาเอามาแสดงเป็นละครชาตรี ฉะน้นั จึงเขียนไดท้ ้งั สองช่ือ

อาเภอชา้ งกลางในอดีตมีคณะโนราท่ีมีชื่อเสียงอยหู่ ลายคณะ ไดแ้ ก่คณะโนราเพ่ิม-โพธ์ิ –

อนงค์ (ขณะน้ียงั มีทายาทสืบสายแสดงการร่ายราในงานต่าง ๆ อย)ู่ คณะของนายไข่นุน้ หวานสนิท

คณะนายวอน กระจ่างจบ คณะนายตูน จินพนั ทงั แถมมีนายเขิม สุภาพร ซ่ึงชานาญการออกพราน มี

ลูกสาวชื่อหนูพฤกษเ์ ป็นนางโนราดว้ ย ปัจจุบนั โนราหนูพฤกษอ์ ยใู่ นวยั ชรา มีอายมุ ากแลว้ เมื่อตอน

สาวๆ ครูแจง้ กระจ่างจบ ซ่ึงเป็นครูโรงเรียนวดั มะนาวหวานไดเ้ ขยี นบทโนราเป็นกลอนส่ีใหโ้ นรา

หนูพฤกษ์ ร้อง วา่ ดงั น้ี

ลบค่าย่าฆอ้ ง ฟังนอ้ งหนูพฤกษ์

ยกกลอนตอนดึก นงั่ นึกเป็นทกุ ข์

๑๔๘

เวลาอานวย ช่วยส่งเสริมสุข
ปลอดภยั ไกลทุกข์ ถึงยคุ รื่นเริง
เริดร้างห่างกลอน ตบั ตอนเหลือเหลิง
ทิ้งกลอนนอนเซิง นมนานผา่ ยวยั
เหลือตดั ขาดเติม ช่วยเสริมแซมใส่
คากลอนตอนใด ขาดตกยกชู
ก่อนพฤกษโ์ นรา ลือชาสวยรู
เทียบข้นั ช้นั ครู ชนรู้ทว่ั จบ
แสดงแขง่ ขนั ประชนั ไมห่ ลบ
คณะอยากพบ พฤกษห์ ลบจากวงศ์

๑๔๙

เมื่อคร้ังพอ่ ทา่ นผดุ มอบหมายใหน้ ายกระจ่าง สรรพจิต เบิกที่นาขา้ งหลงั เกาะริมทงุ่ เจียก เม่ือ

ประมาณปี ๒๔๘๐ ทาการเผาพ้ืนท่ีแลว้ ก็รับคณะโนราเขิมไปเลน่ ฉลอง คืนน้นั โนราหนูพฤกษร์ า ต้งั

ทา่ ทาไมร้ าโพธ์ิใบหลน่ พ่อท่านผดุ นง่ั ดูอยู่ พอโนราเลิกแลว้ ทา่ นเรียกนายเขมิ เจา้ ของโนราไปให้

คาแนะนาวา่ โนราของตวั ทาทา่ ไมร้ าโพธ์ิใบหล่นไม่ถูก ใบหล่นลงรวดเร็วเกินไป ปกติใบไมท้ ่ีหลน่

จากตน้ มนั ค่อย ๆ ร่อนลง ไม่ใช่หล่นวบู เดียวถึงดิน นี่คอื เรื่องจริงในอดีต

ศิลปะการแสดงโนรา เป็นการละเล่นที่มีท้งั การร่ายรา บทร้องประกอบดนตรี บทเจรจา และ

บางทีกม็ ีการแสดงเรื่องดว้ ย เคร่ืองดนตรีของโนราคลา้ ยกบั เครื่องดนตรีของหนงั ตะลงุ คือมี ทบั

กลอง ปี่ โหมง่ ฉ่ิง และแตระ เคร่ืองดนตรีเหล่าน้ีจะใชป้ ระกอบจงั หวะและเสียงร้องใหเ้ ขา้ กนั กบั การ

รา

การแสดงจะเริ่มดว้ ยการโหมโรงและกาศครู ก่อนตวั แสดงจะออกมาร่ายราหนา้ เวที มีการ

กล่าวบทหนา้ ม่านท่ีเรียกวา่ "กาพรัดหนา้ ม่าน" โดยใชล้ ีลากลอนหนงั ตะลุง ดงั ตวั อยา่ งท่ีกวเี อียดเขยี น

กลา่ วบทหนา้ ม่าน ในบทเพลงยาวเรื่องยกั ษส์ งั ข์ ตอนท่ีลกู สาวเขา้ หาบิดา วา่

“ยกเจา้ โฉมอาพนั ขวญั ม่ิงสมร เหมือนอมรแบง่ ภาคจากช้นั ขวาง

จะดูไหนแลวไิ ลไปท้งั ร่าง สาเอ่ียมอา่ งโอ่สะอาดเหมือนราชหงส์

เม่ือวนั น้นั เจา้ สถิตอยใู่ นหอ้ ง แตแ่ ดดลมกม็ ิตอ้ งกายอนงค์

ผวิ ขาวนวลชวนใหพ้ วกชายหลง ทว่ั ท้งั องคเ์ อ่ียมอ่องในนอ้ งนาง

ชนั ษาสิบหา้ สามเดือนปลาย เจา้ ตกเกล้ือนดอกไมล้ ายห่างห่าง

กาลงั สาวเคร่งครัดกาดดั ร่าง วนั น้นั นางแจว้ แจว้ แหว้ พระกรรณ

ไดย้ นิ เสียงบิตเุ รศมีเหตุเรียก ฟังสาเหนียกจาแทแ้ น่แลว้ ฉนั

ลาดบั องคท์ รงเคร่ืองนางอาพนั สร้อยสุวรรณสังวาลเพชรเม็ดมณิน

เพชรจินดาคา่ ควรสิบตวั ควาย เจา้ ทรงไวก้ บั กายหมดท้งั สิ้น

ท้งั หวีสบั เครื่องประดบั ลว้ นเพชรนิล โฉมยพุ นิ เอามาทรงกบั องคน์ าง

เส้ือช้นั ในใส่ใหร้ ัดคดั ปิ ดถนั ช้นั นอกน้นั ปิ ดดว้ ยทองกรองห่างห่าง

สไบคลมุ ปิ ดหุม้ พระกายนาง เสร็จแลว้ ยา่ งเลยเทา้ เฝ้าบิดรฯ”

คาท่ีใชใ้ นบทน้ีติดอยกู่ บั ภาษาถ่ินเป็นอยา่ งมาก ท้งั น้ีเพอื่ ใหเ้ ขา้ กบั บรรยากาศการแสดงโนรา

แบบพ้นื เมือง

ต่อจากน้นั ตวั แสดงแต่ละตวั จะออกมาร่ายรา เสร็จแลว้ เขา้ ไปนงั่ ที่พนกั ซ่ึงแต่เดิมทาดว้ ยไมไ้ ผ่

แตป่ ัจจุบนั ใชเ้ กา้ อ้ีแทน วา่ บทร่ายแตระแลว้ ทาบท "สีโต ผนั หนา้ " โดยร้องบทและตีท่าตามบทน้นั ๆ

หลงั จากราบทร่ายแตระเสร็จแลว้ กจ็ ะวา่ กลอนส่ี กลอนหก กลอนแปด กล่าวกบั ผชู้ าย หรือวา่ เรื่องอื่น

ๆ โดยมีลกู ครู่ ับ แต่หากเป็นการแข่งโนราประชนั โรง ก็จะมีวิธีการซบั ซอ้ นกวา่ น้ี

๑๕๐

๖.๖ เพลงกาหลอ เคยมีการละเล่นกาหลอเป็นประจาในอาเภอชา้ งกลาง นายกระจ่าง
สันตจิตไดพ้ ยายามสืบสานวฒั นธรรมดา้ นน้ีอยรู่ ะยะหน่ึง แต่ไม่มีผสู้ ืบช่วงตอ่ ถดั มา จึงไม่เหลือให้
เห็นในปัจจุบนั เพราะผเู้ ลน่ ลม้ หายตายจากไปหมด ไมม่ ีหลกั ฐานอะไรท่ีเอามาอา้ งอิงได้ แต่เน่ืองจาก
การเล่นกาหลอเป็นการเล่นที่ใชเ้ พลงประโคมคุมศพ โดยจะประโคมที่บา้ นของผตู้ าย หรือบางทีใช้
ประโคมแห่ศพ เฉพาะตอนแห่ศพไปวดั หรือป่ าชา้ และประโคมขณะที่เผาจนเสร็จพิธี เป็นประเพณี
สาคญั มาแต่โบราณ

กาหลอมีเคร่ืองดนตรีตีประกอบเพลงที่เป็นหลกั คือ กลองโทนหรือกลองทน ๒ ใบ ๒ หนา้
ฆอ้ ง ๑ ใบ และป่ี ฮอ้ ( ปี่ หอ้ ) เวลาบรรเลงดนตรีท้งั ๓ อยา่ งประกอบเพลงแลว้ จะมีเสียงดงั “อ่อ...อี๋...แอ๋
...ตะลมุ ...ทมุ ... โหม่ง หรือ ทุงทงั ทุงทงั ....ทงุ โหมง่ ...อ่อ...อ๋ี...แอ๋...” เสียงโหยหวนครวญคราง เขา้ กบั
บรรยากาศงานศพยงิ่ นกั นกั ร้องและนกั เล่นเพลงกาหลอในตาบลชา้ งกลางเคยมีหลายคณะ เช่นคณะ
ของนายนุย้ บา้ นทุง่ นุย้ หมู่ ๓ คณะของนายสุนทร ตราชู หมู่ ๖

เครื่องดนตรี ๓ อยา่ งของกาหลอ คือฆอ้ ง กลองโทน ๒ ใบ และป่ี ฮอ้


Click to View FlipBook Version