The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kwansasipat, 2021-07-26 05:44:19

ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Keywords: ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

๒๕๑

ในปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ขณะอายุ ๖๑ ไดอ้ ปุ สมบทท่ีวดั ปากแพรก อาเภอปากพนงั หลงั จากอยทู่ ่ีน่ี
ได้ ๑ ปี ก็เขา้ กรุงเทพมหานครไปอยวู่ ดั คลองครุ หมู่บา้ นปัฏฐวิกรณ์ อยทู่ ่ีวดั น้ี ๘ ปี กระทง่ั ถึงปี ๒๕๓๙
ไดน้ าเงินบริจาคจากผมู้ ีจิตศรัทธาจานวน ๒ ลา้ นบาทมาสมทบสร้างโบสถว์ ดั ปากแพรกจนแลว้ เสร็จ
พอจะกลบั ข้ึนกรุงเทพฯในปี ๒๕๔๐ กป็ ระจวบกบั พระสุวฒั นฯ์ ซ่ึงเป็นเจา้ อาวาสวดั หนา้ เขาเหมน
เกิดอาพาธ และทา่ นไดเ้ ดินทางกลบั ภูมิลาเนาเดิมที่จงั หวดั กาฬสินธุ์ ช่วงน้นั วดั หนา้ เขาเหมนวา่ งเจา้
อาวาส ทา่ นเจา้ คณุ พระสิริธรรมราชมุนีในสมยั ที่ทา่ นยงั เป็นพระครูสถิตวหิ ารธรรม แห่งวดั มะนาว
หวาน ไดข้ อใหท้ ่านมาเป็นเจา้ อาวาสแทน และทา่ นก็รับหนา้ ท่ีน้ีมาต้งั แต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นตน้ มา

- เริ่มตน้ สมณศกั ด์ิที่ “พระสมุหช์ ูด” ฐานานุกรมในพระครูสถิตวหิ ารธรรม
- ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๔๘ ไดร้ ับสมณศกั ด์ิเป็นฐานานุกรมในพระเดชพระคณุ พระเทพสิริ
โสภณ เจา้ คณะจงั หวดั นครศรีธรรมราชที่ “พระครูสมหุ ช์ ูด”
- ในปี พ.ศ.๒๕๕๔ โอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาฯ ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๔ ไดร้ ับเลื่อนสมณ
ศกั ด์ิเป็นพระครูสัญญาบตั ร ช้นั ตรี ที่ “พระครูมงคลบุญญเขต”
ปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๑) พระครูมงคลบุญเขตมีอายุ ๙๒ ปี แตท่ า่ นยงั มีสุขภาพแขง็ แรง มีสติ-
สมั ปชญั ญะเตม็ ร้อย
ที่วดั หนา้ เขาเหมนน้ี ในปี พ.ศ.๒๕๖๐ นายเกรียงศกั ด์ิ จนั ทพนั ธ์(พราหมณ์เลก็ หนา้ เขาเหมน)
เจา้ หนา้ ท่ีการไฟฟ้าส่วนภมู ิภาคจงั หวดั นครศรีธรรมราช ไดป้ ระสานงานกบั ฝ่ายทหารเพ่ือขอรับพระ
บรมสารีริกธาตุ จากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรินายก เพ่ือ
สร้างพระธาตเุ จดียศ์ รีรัตนชาติไว้ ณ วดั หนา้ เขาเหมน สมเด็จพระสงั ฆราชทรงพระเมตตาไดป้ ระทาน
พระบรมสารีริกธาตุให้ ๙ องคแ์ ละรับสัง่ วา่ ควรสร้างในพทุ ธสถาน เช่นที่วดั เพื่อวา่ สาธุชนผศู้ รัทธา
จะไดส้ ะดวกในการเขา้ ไปกราบไหวบ้ ชู า ในการน้ีจึงไดเ้ ร่ิมวางศิลาฤกษเ์ มื่อวนั อาทิตยท์ ่ี ๒๕
มิถุนายน ๒๕๖๐ โดยมีพลโทปิ ยวฒั น์ นาควานิช แม่ทพั ภาค ๔ เป็นประธาน พระสิริธรรมราชมนุ ี
เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน พระอารามหลวง เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ขณะน้ีกาลงั ดาเนินการก่อสร้าง
ช่ือของ พระธาตุเจดียศ์ รีรัตนช์ าติ องคท์ ่ีสร้างข้ึนใหมน่ ้ีน้ีมีความหมายวา่ เป็นพระธาตแุ ห่ง
ความดีของพระพทุ ธศาสนาค่กู บั แผน่ ดินไทย องคพ์ ระธาตปุ ระกอบดว้ ยส่วนล่างสุดเป็นอาคาร ๒ ช้นั
สาหรับใชเ้ ป็นพิพธิ พรรณ ส่วนเหนืออาคารข้ึนไปเป็นเจดียท์ ่ีก่อดว้ ยอิฐแบบโบราณซ่ึงผลิตมาจาก
อยธุ ยา มีความสูงจากพ้ืนดินถึงยอด ๑๙.๑๙ เมตร ผดู้ าเนินการสร้างมาจากกลุม่ บคุ คลสามฝ่าย คอื
ทหารช่าง เจา้ หนา้ ที่กรมศิลปากร และมวลมหาชนที่มีจิตศรัทธาบริจาคเงินร่วมกนั สร้าง ขณะน้ีได้
ดาเนินงานเสร็จไปแลว้ ประมาณ ๙๐ เปอร์เซ็นต์ อีกไม่นานชาวชา้ งกลางจะไดม้ ีพระธาตุเจดียร์ ัตตน
ชาติงามสง่าอยหู่ นา้ เชิงเขาเหมน คู่บา้ นคเู่ มืองชา้ งกลางสืบไปเบ้ืองหนา้ ชว่ั กาลนาน

๒๕๒

พระครูมงคลบุญเขตเจ้าอาวาสวดั หน้าเขาเหมน

โบสถ์วดั หน้าเขาเมน

๒๕๓

โบสถว์ ดั หนา้ เขาเหมนมีความแปลกแตกตา่ งจากโบสถท์ วั่ ไป เพราะไดม้ ีการสร้างข้นึ เป็น ๒
ช้นั มีช้นั ลอยรองรับตวั โบสถ์ และมีตวั โบสถต์ ้งั อยบู่ นช้นั ลอย ภายในช้นั ลอยน้นั เดิมทีเดียวเป็นที่
พานกั ของเจา้ อาวาสต้งั แตส่ ร้างเสร็จ ภายในช้นั ลอยน้ีจึงมีการประดิษฐานพระพทุ ธรูปอยา่ งมีระเบียบ
และสวยงามดงั ภาพขา้ งลา่ ง

พระพทุ ธรูปใต้โบสถ์

หลวงพ่อทวดและพ่อท่านคล้ายกอ็ ยู่ท่ีน่ี

๒๕๔

รูปป้ันทวดเหมนกอ็ ยู่ที่วัดหน้าเขาเหมนด้วย

ทส่ี ร้างเจดยี ์บรรจุพระสารีริกธาตุ หลักวดั อย่ตู ดิ กนั

๒๕๕

เจดีย์ศรีรัตนชาติ ในวดั หน้าเขาเหมน อยู่ในระหว่างก่อสร้าง

๑๐.๑๐ วดั ควนสงฆ์
วดั ควนสงฆต์ ้งั อยใู่ นหมู่ ๘ ถนนนาบอน-บา้ นจนั ดี ตาบลชา้ งกลาง ปี พ.ศ.๒๕๐๓ พ่อท่าน
คลา้ ยรับนิมนตม์ าต้งั วดั ควนสงฆ์ ซ่ึงเป็นวดั ขององคก์ ารสวนยาง โดยสร้างไวใ้ หช้ ุมชนลูกจา้ งองคก์ าร
สวนยางไดใ้ ชป้ ระกอบพิธีกรรมทางศาสนาอยา่ งสะดวก วดั ควนสงฆเ์ ดิมเป็ นสานกั สงฆ์ โดยองคก์ าร
สวนยางมอบที่ดินให้จานวน ๒๖ ไร่ ปัจจุบนั มีพระครูวรพรตธรรมคุณเป็นเจา้ อาวาส

๒๕๖

๑๐.๑๑ วดั ราษฎร์บารุง(วดั ใต้)
วดั ราษฎร์บารุง(วดั ใต)้ อดีต คอื วดั คุดดว้ น ต้งั อยรู่ ่ิมฝ่ังคลองคุดดว้ น เป็นวดั โบราณต้งั แตค่ ร้ัง
ปลายกรุงศรีอยธุ ยา แต่เพ่ิงไดร้ ับวิสุงคามสีมาเม่ือ พ.ศ.๒๕๑๙ มีเน้ือท่ี ๓๓ ไร่ มีวตั ถโุ บราณสาคญั
คอื เรือแจวยาว ๖ เมตร
สาเหตทุ ่ีไดช้ ื่อวา่ วดั คุดดว้ น เพราะสมยั ก่อน มีตน้ มงั คุดขนาด 3 คนโอบ ตน้ หน่ึง ไม่มียอด
ซ่ึงตน้ ไมไ้ ม่มียอด ภาษาใตท้ อ้ งถ่ิน จะเรียกวา่ “โดดว้ น” ตน้ มงั คดุ โดดว้ น เป็นเอกลกั ษณ์ของวดั เลย
ต้งั ช่ือ วา่ วดั คดุ ดว้ น
วดั คุดดว้ น เป็นวดั เก่าแก่ ในอดีตเคยเป็นวดั ร้างมานาน จนกระทงั่ พระปลดั คง ลกู ศิษยพ์ ระ
อปุ ัชฌายก์ ลาย ไดเ้ ขา้ มาปฏิสงั ขรณ์เสนาสนะและเป็นเจา้ อาวาส แต่เน่ืองจากวดั คุดดว้ นต้งั อยใู่ นที่ลุม่
นาทว่ มขงั บ่อยคร้ัง เลยคิดท่ีจะยา้ ยวดั ไปสร้างที่ใหม่ ทางดา้ นทิศเหนือ ณ ป่ าไมข้ นั ซ่ึงปัจจุบนั คอื วดั
สวนขนั วดั คุดดว้ นจึงเป็นอนั ตอ้ งร้างอีกคร้ังหน่ึง
เม่ือพอ่ ท่านคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ อุปสมบทได้ ๕ พรรษา ท่านกไ็ ดม้ าพานกั ณ วดั คุดดว้ น เพอื่
บูรณเจดียค์ ู่อนั เก่าแก่ วดั จึงฟ้ื นคืนชีพข้นึ มาอีก แตห่ ลงั จากที่ท่านไดไ้ ปศึกษาวิปัสสนากบั อาจารย์
หนู วดั สามพนั อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี วดั คุดดว้ นก็ร้างอีกคร้ัง
จนกระทง่ั ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พอ่ ท่านคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ ขณะเป็นเจา้ อาวาสวดั สวนขนั ท่าน
เลง็ เห็นวา่ วดั คดุ ดว้ น เป็นวดั เก่าแก่ มีส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิควู่ ดั มากมาย อีกท้งั ท่านกเ็ คยมาพานกั อยหู่ ลายคร้ัง
หลายคราว แมก้ ่อนรับตาแหน่งเจา้ อาวาสวดั สวนขนั กเ็ คยมาพานกั บ่อยคร้ัง เมื่อดาริเช่นน้ี ทา่ นเลยให้
ศิษยเ์ อกของทา่ น คือหลวงพ่อเริ่ม อิสิญาโณ มาพลิกฟ้ื นวดั คุดดว้ นข้ึนมาใหม่ รวมพลงั สามคั คกี บั
ชาวบา้ นทุกภาคส่วน จึงพร้อมใจกนั เปลี่ยนช่ือจากวดั คุดดว้ นเดิม เป็นวดั ราษฎร์บารุง (วดั ใต)้
หลวงพอ่ เร่ิม เป็นพระอาจารยท์ ี่ไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นพระอาจารยท์ ี่เก่งในการสอน การ
เทศนา มีความชานาญการป้ันมากท่ีสุด จึงไดร้ ับการแต่งต้งั เป็นเจา้ อาวาสวดั ราษฎร์บารุง(วดั ใต)้ ในปี
พ.ศ.๒๔๙๘ และไดร้ ับสมณศกั ด์ิท่ีพระครูนิมมานโกศล เจา้ คณะตาบลฉวาง ดารงตาแหน่งเจา้ อาวาส
วดั ราษฎร์บารุง (วดั ใต)้ จนกระทงั่ ปี ๒๕๔๖ ท่านกล็ ะสังขารในวยั ๘๕ ปี
พระครูนิมมานโกศล (เร่ิม อิสิญาโณ) มีความสาคญั และเกี่ยวขอ้ งกบั พอ่ ท่านคลา้ ย โดยทา่ น
เป็นลูกศิษยท์ ี่ใกลช้ ิดกบั พ่อท่านคลา้ ยอีกรูป ท่านคอยถือยา่ มและใบสุทธิของพอ่ ทา่ นคลา้ ย ลกู ศิษยผ์ ู้
ใกลช้ ิดพ่อทา่ นคลา้ ยบางท่านกลา่ ววา่ หลวงพ่อเดช วดั สวนขนั เป็นมือขวาและหลวงพ่อเร่ิม วดั ราษฎร์
บารุง(วดั ใต,้ วดั คุดดว้ น)เป็นมือซา้ ยของพอ่ ทา่ นคลา้ ย
ปัจจุบนั วดั ราษฎร์บารุง ต้งั อยใู่ นหมูท่ ี่ ๒ ต.สวนขนั อ.ชา้ งกลาง จ.นครศรีธรรมราช มีพระครู
สัจจปชานุกลู (ศรีจนั ทร์สจฺจสโภ)เป็นเจา้ อาวาส ในขณะที่ยงั เป็นพระสมหุ ศ์ รีจนั ทร์ สจั จาสโภ (ทา่ น
ขนุ )ไดเ้ ป็นผรู้ ิเร่ิมสร้างรูปเหมือนพ่อทา่ นคลา้ ยองคใ์ หญ่ที่สุด ใชง้ บบริจาคเบ้ืองตน้ ๑๗.๒ ลา้ นบาท

๒๕๗

ปัจจุบนั วดั ราษฏร์บารุง ไดก้ ่อสร้างรูปเหมือนพอ่ ท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ องคใ์ หญท่ ี่สุดในโลก
ขนาดหนา้ ตกั กวา้ ง ๑๕ เมตร ๙ นิ้ว และ สูง ๒๕ เมตร ๙ นิ้ว

๒๕๘

บทท่ี ๑๑. บุคคลสาคญั

๑๑.๑ ฝ่ ายบรรพชิต
๑. พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธ์ิ

พ่อทา่ นคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ วดั สวนขนั เป็นเกจิอาจารยท์ ่ีมีช่ือเสียงโด่งดงั ในดา้ นวาจาสิทธ์ิ เกิดที่
โคกทือ ตาบลหลกั ชา้ ง ซ่ึงพระราชวราภรณ์ (เจิม กนั ฺตสีโล ป.ธ.๘) แห่งวดั ราชาธิวาสวหิ ารได้
ตรวจสอบหลกั ฐานตา่ ง ๆ อยา่ งละเอียดแลว้ ไดข้ อ้ ยตุ ิวา่ “พ่อท่านคลา้ ยเกิดวนั ที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.
๒๔๑๙ ตรงกบั วนั องั คาร ข้ึน ๑๕ ค่า เดือน ๔ ปี ชวด จ.ศ.๑๒๓๘ ร.ศ.๙๕” ตรงตามที่บนั ทึกไวใ้ น
ปฏิทิน ๒๐๐ ปี ทกุ ประการ

เมื่อตอนอายุ ๑๔ ปี เกิดอบุ ตั ิเหตถุ กู ไมโ้ ค่นทบั หลงั เทา้ ซา้ ยแตกละเอียด มีอาการเจบ็ ปวดมาก
รักษาไมห่ ายเกิดเป็นรวดหนองแขง็ ในเน้ือ ทา่ นมีใจเด็ดเดี่ยวใชม้ ีดลบั คมกริบตดั ปลายเทา้ ออกเหนือ
ขอ้ เทา้ ดว้ ยมือของทา่ นเอง เป็นเหตใุ หข้ าขา้ งซา้ ยดว้ นต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นตน้ มา ตอ้ งใส่กระบอกไมไ้ ผ่
เพอื่ ใชเ้ ดิน อาจารยศ์ รีจนั ทร์ พุม่ พวงเล่าใหฟ้ ังวา่ ดว้ ยกระบอกไมไ้ ผ่น้นั ขณะที่อยวู่ ดั หนา้ พระธาตุ
ท่านเดินออกไปบิณฑบาตทุกเชา้ เมื่อคร้ังยงั เป็นภิกษุหนุ่ม เพือ่ นภิกษุดว้ ยกนั ยงั แซวท่านวา่ “เห็น
รอยเทา้ มา้ ”

ในช่วงท่ีท่านมีชีวติ อยู่ ไดท้ าคณุ ประโยชนไ์ วใ้ ห้แก่ชาติและประชาชนเป็นอเนกอนนั ต์ เทา่ ท่ี
ประมวลไดใ้ นช่วงท่ีทา่ นเป็นเจา้ อาวาสวดั สวนขนั นานถึง ๖๘ ปี ท่านไดส้ ร้างสิ่งสาธารณะ
พระพุทธรูปและพุทธสถานไวด้ งั น้ี

๒๕๙

-ถนน ๒๐ สาย
- สะพาน ๑๕ แห่ง
- สร้างพระประธานในโบสถใ์ หว้ ดั ตา่ ง ๆ ๑๐ องค์
- สร้างโบสถ์ ๑๕ หลงั
- สถาปนาวดั ข้นึ ใหม่ ๔ วดั
- ผกู พทั ธสีมาใหว้ ดั ต่าง ๆ ๑๔ วดั
- สร้างพระเจดีย์ ๙ แห่ง ท่ีสาคญั คือเจดียว์ ดั ธาตุนอ้ ย ซ่ึงสร้างบนท่ีดิน ๔๖ ไร่ใน
ท่ีดินท่ีไดร้ ับบริจาคจากนายกลบั งามพร้อม เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตทุ ่ีไดม้ าจากนายประคอง
ช่วยพนั ธุ์ ชาวจงั หวดั พะเยา เจดียอ์ งคน์ ้ีมีความสูง ๓๕ วา ฐานส่ีเหล่ียมกวา้ งดา้ นละ ๗๕ เมตร มีปลอ้ ง
ไฉน ๔๓ ปลอ้ ง ต่อมาไดม้ ีนกั ธุรกิจชาวอาเภอหาดใหญ่บริจาคทองคาหนกั ๔๕๐ บาท ทาเป็นยอด
พระธาตุ
เจดียอ์ ีกแห่งที่สมควรกลา่ วถึง ซ่ึงพ่อท่านคลา้ ยไดส้ ร้างไว้ คือเจดียค์ วนสวรรคใ์ นทอ้ งท่ีหมู่
๘ ตาบลนาแว อาเภอฉวาง เดิมทีตรงน้ีมีงบู องหลา(งูจงอาง) เป็นที่กล่าวขวญั กนั วา่ เป็นงูเทวดา พ่อ
ท่านจึงไดส้ ร้างเจดียเ์ มื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ ทาใหช้ าวบา้ นข้ึนสักการะตลอดมา กลายเป็นสถานท่ีศกั ด์ิสิทธ์ิ
ควนสวรรคม์ ีลกั ษณะเป็นภเู ขาลูกเลก็ ๆ ที่ปลีกตวั จากเทือกเขานครศรีธรรมราช สูงประมาณ ๕๐
เมตร ลอ้ มรอบดว้ ยท่ีราบทุง่ นา ปัจจุบนั เป็นท่ีสาธารณะ คร้ังแรกสารวจได้ ๒๓ ไร่ แต่ต่อมาถูกบุก
รุกสร้างสวนยางพาราเหลือเน้ือท่ีเพียง ๑๒ ไร่
พ่อทา่ นคลา้ ยไดช้ ื่อวา่ เป็นผมู้ ีวาจาสิทธ์ิ คอื พดู อะไรก็จะเป็นอยา่ งที่ทา่ นพูด เช่นมีชาวบา้ น
แถวหลกั ชา้ งคนหน่ึงชื่อพริก ชอบลกั เลก็ ขโมยนอ้ ย เมื่อมีชาวบา้ นมาฟ้องพ่อทา่ นคลา้ ยวา่ นายพริก
ชอบขโมยของเป็นระจา ทา่ นพดู กบั นายพริกวา่ “อยา่ ไปลกั พ่อเหอ ขอเขากินดีหวา” นายพริกทา
ตามพอ่ ท่านสอน เลยกลายเป็นคนขอทานต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นตน้ มา มีอาชีพขอทานท้งั ๆ ที่มีอนั จะกิน
ถา้ มองอีกมุมเหมือนกบั ตอ้ งคาสาป

สรีรของพ่อทา่ นคลา้ ยยงั คงต้งั ไวท้ ่ีภายในเจดียว์ ดั ธาตนุ อ้ ย

๒๖๐

ภาพเตียงนอนพอ่ ทา่ นคลา้ ยสมยั ท่ีอยวู่ ดั สวนขนั
สิ่งของที่พ่อท่านเคยใชส้ มยั เม่ืออยวู่ ดั สวนขนั

๒๖๑

พอ่ ท่านคลา้ ยไดช้ ่ือวา่ เป็นผทู้ รงภมู ิปัญญาในดา้ นกวี ไม่วา่ จะเป็นแหลเ่ ทศน์ หรือพรรณนา

เร่ืองใด ทา่ นสามารถแต่งเป็นร้อยกรองไดไ้ พเราะลึกซ้ึงดงั เช่นกวีบทหน่ึงท่านแต่งเป็นสุรางคนางคว์ า่

“.....ศีลสิบโดยต้งั รักษาโดยหวงั

องคศ์ ีลท้งั ผอง สองร้อยยสี่ ิบเจ็ด

สิ้นเสร็จควรตรอง ศีลสิบหม่นหมอง

สองร้อยมรณา........”

ทา่ นเป็นผู้ มีวาจาสิทธ์ิ มีชยั จนกิตติศพั ทล์ ่วงรู้ไปถึงพระเจา้ แผน่ ดิน ในหลวงไดอ้ าราธนาเขา้

ไปในพระราชวงั สวนจิตรลดา

ในการเขา้ ถวายพระพรแก่ในหลวงคราวน้นั ไดม้ ีคาพระราชดารัสของในหลวงและคาถวาย

พระพรของพ่อทา่ นคลา้ ย ซ่ึงอาจารยศ์ รีจนั ทร์ พมุ่ พวง ไดจ้ ดบนั ทึกไวว้ า่

ในหลวง...กม้ กราบพอ่ ท่านคลา้ ยแลว้ ดารัสวา่ “ขอใหท้ า่ นตบหวั ใหห้ น่อย”

พ่อทา่ นคลา้ ย....สานึกไดว้ า่ ทา่ นเป็นเทวดา เป็นสมมุติเทพ เป็นพระเจา้ แผ่นดิน จะใหพ้ ระป่ า

อยา่ งทา่ นตบหวั หรือลบู พระเศียรไดอ้ ยา่ งไร ทา่ นจึงพูดวา่ “ขอใหม้ หาบพิตรยกพระหตั ถข์ ้นึ ”

ในหลวง.....ยกพระหตั ถ์

๒๖๒

พอ่ ท่านคลา้ ย....รินน้าพระพุทธมนตล์ งบนฝ่าพระหตั ถ์ แลว้ ในหลวงกน็ าข้นึ ลูบพระเศียรของ
พระองคเ์ อง

น่ีคอื ความเป็นผูร้ ู้จกั กาล รู้จกั บคุ คล สถานท่ี ของพอ่ ท่าคลา้ ย ไดเ้ พม่ิ ความศรัทธาใหแ้ ก่ผรู้ ู้ ผู้
เห็น ผไู้ ดย้ นิ ยงิ่ ข้ึน

ท่านมีชีวติ อยจู่ นมาถึงวนั เสาร์ท่ี ๕ ธนั วาคม ๒๕๑๓ พระราชวราภรณ์เขยี นประวตั ิเล่าไวว้ า่
ท่านไดล้ ะสังขาร ณ โรงพยาบาลพระมงกฏุ เกลา้ หอ้ งเบอร์ ๕ เวลา ๒๓.๐๕ น. สิริอายไุ ด้ ๘ รอบ
หยอ่ นอยไู่ มก่ ี่เดือนพ่อทา่ นก็จะมีอายคุ รบ ๙๖ ปี บริบรู ณ์ พรรษา ๗๔ ดารงตาแหน่งเจา้ อาวาสวนั สวน
ขนั ๖๘ ปี หลงั จากน้นั วนั ท่ี ๖ ธนั วาคม๒๕๑๓ เวลา ๘ นาฬิกาเศษ โกหล่วน และนายวิเชียร ไดน้ า
สรีระสงั ขารของพ่อท่านคลา้ ยไปยงั วดั พระเชตุพนฯ โดยรถยนตข์ องโรงพยาบาล ทะเบียน กท.
๕๓๔๒ เวลา ๑๖.๐๐ น.ไดท้ าพิธีสรงน้าศพ ต้งั บาเพญ็ กศุ ลสวดอภิธรรม ๓ คืน คร้ันถึงวนั ท่ี ๙
ธนั วาคม ๒๕๑๓ เวลา ๐๔.๓๐ น. เคลื่อนศพสู่คลองจนั ดี คา้ งแรมที่ประจวบฯ ๑ คนื ถึงจนั ดีวนั ท่ี ๑๑
ธนั วาคม เวลา ๑๓.๒๑ น. นาศพข้ึนต้งั บนโตะ๊ หมบู่ ูชา บาเพญ็ กุศล ๑๐๐ วนั แลว้ นาบรรจุไวใ้ นองค์
เจดียพ์ ระธาตนุ อ้ ย พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั พระราชทานผา้ ไตรหลวงจานวน๒๕ไตรนบั เป็ นพระ
มหากรุณาธิคุณอยา่ งยงิ่

๒๖๓

๒.พ่อท่านหมกึ โกวิโท(หมกึ สันตจิต) หรือพระครูคีรีกนั ทร์คณานนั ท์ ผสู้ ร้างวดั คีรีกนั ทร์

ภาพน้ีถ่ายก่อนผเู้ ขียนเกิด ๖ เดือน
พอ่ ท่านหมึก โกวิโท อดีตเจา้ อาวาสครี ีกนั ทร์ เจา้ คณะอาเภอลานสกา เกิดเม่ือปี พ.ศ.๒๔๒๙
ที่หมู่ ๓ บา้ นจนั ดี ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง(เดิม) จงั หวดั นครศรีธรรมราช อายอุ ่อนกวา่ พ่อท่าน
คลา้ ย ๑๐ ปี เป็นบตุ รสุดทอ้ งของนายสิน สรรพจิต และนางหนูกลิ่น(สกุลเดิม หวานสนิท) มีพ่ีนอ้ ง ๘
คน คือ

๑. นางสีจนั ทร์ สมรสกบั นายยก ตราชู
๒. นายทน สมรสกบั นางสีนวล โพธ์ิชะฎา
๓. นายพดั สมรสกบั นางเจย้
๔. นางสีทอง สมรส ๒ คร้ัง ๆ แรกกบั ชาวกระบ่ีไม่ทราบชื่อ ไดล้ ูกชื่อนายจิบ ทายาท
ลกู -หลานที่สืบสายน้ียงั คงใชส้ กลุ ฝ่ายแมค่ ือ “สรรพจิตต”์ คร้ังที่ ๒ สมรสกบั นายภู่ ทิพย์ ไดล้ กู ช่ือ
นายหลอย นางชีริน
๕. นายเลื่อม สมรสกบั นางหนูน
๖. นางสีแกว้ สมรสกบั นายพมุ่ บริรักษ์
๗. นายเอียด สมรสกบั นางส้ม ตาชู
๘.พระครูคีรีกนั ทร์คณานนั ท(์ หมึก สันตจิต)
ในปี ๒๔๔๘ ขณะอายุ ๑๙ ปี ไดบ้ วชเป็นสามเณรท่ีวดั มะนาวหวาน ตาบลชา้ งกลาง โดยมี
พระอินแกว้ จากวดั เจดียม์ าบวชให้ อยใู่ นวดั น้ีได้ ๑ ปี ออกพรรษาแลว้ ก็ไปอยวู่ ดั เจดีย์ สานกั ของ

๒๖๔

อปุ ัชฌายอ์ ินแกว้ อาเภอลานสกา ไดศ้ ึกษาเล่าเรียนพระธรรมวนิ ยั ที่วดั ดงั กลา่ วน้ีจนกระทง่ั อายคุ รบ
บวช ๒๑ ปี ในพ.ศ ๒๔๕๐ ก็ไดอ้ ุปสมบทโดยมีพระอินแกว้ เป็นอุปัชฌาย์

จากการท่ีท่านมีศีลาจารวตั รอนั งามมาตลอด จึงมีความเจริญข้ึนในพระศาสนาเป็นลาดบั แรก
คอื ไดเ้ ป็นพระปลดั หมึก ประพฤติธรรมวินยั อยา่ งเคร่งครัดอยใู่ นวดั เจดีย์ ๕ ปี มีความคดิ ริเริ่มที่จะ
สร้างวดั ข้นึ ในตาบลเขาแกว้

สร้างวัดคีรีกนั ทร์
คร้ันถึงปี พ.ศ.๒๔๕๕ ตรงกบั ปี ระกา เดือน ๘ ข้ึน ๑๕ ค่า ทา่ นกไ็ ดอ้ อกมาอยใู่ นท่ีดงั กล่าว
ซ่ึงเป็นท่ีดินในความครอบครองของนายยม้ิ กบั นายทองกนั ทร์ เริ่มตน้ สร้างพระพทุ ธรูปสาหรับบูชา ๑
องค์ ต่อมาก็เริ่มสร้างกฎุ อาศยั ๑ หลงั จากน้นั ก็สร้างหอฉนั และพระวิหาร
ในที่สุดไดส้ ร้างโบสถ์ ๑ หลงั ดว้ ยพลงั ศรัทธาของญาติโยมพ่ีนอ้ งท้งั หลาย จากเงินจานวน
๘,๐๐๐ บาท ภายหลงั ไดต้ ้งั ข้นึ เป็นวดั ใหช้ ื่อวา่ วดั “ครี ีกนั ทร์” ซ่ึงมีความหมายวา่ “เป็นวดั ที่อยใู่ น
บริเวณซอกเขา ลาธาร ถ้า”
สิ่งท่ีเป็นอนุสรณ์ในวดั คีรีกนั ทร์ท่ีท่านสร้างไว้ ยงั เหลือมาถึงปัจจุบนั คือ กฎุ ิทรงป้ันหยา
โบราณหลงั ใหญ่ ๒ ช้นั ซ่ึงเดิมสร้างข้ึนดว้ ยไมเ้ น้ือแขง็ ท้งั หลงั หลงั คามุงดว้ ยไม้ ต้งั อยมู่ าจนกระทง่ั
ชารุดทรุดโทรมอยา่ งหนกั และดว้ ยแรงกตญั ญูของลกู หลาน ไดป้ ระสานกบั คุณชินวรณ์ บุญยเกียรติ
ขณะเป็น ส.ส. นครศรีธรรมราชเขต ๓ ของบจากทางการมาได้ ๓ ลา้ นกวา่ บาท ทาการซ่อมแซม
ปรับปรุง โดยใหค้ งรูปแบบเดิมไว้ แต่ช้นั ล่างไดเ้ ปลี่ยนมาก่ออิฐถือปูน กุฎหลงั น้ีจึงยงั คงอยอู่ ยา่ งสง่า
งามมาจนถึงปัจจุบนั กลายเป็นแหล่งท่องเท่ียวศึกษาดา้ นศิลปวฒั นธรรมเป็นอยา่ งดีท่ียงั คงรักษารูป
แบบเดิมท่ีพระครูคีรีกนั ทร์ไดอ้ อกแบบและสร้างไวเ้ ม่ือ ๑๐๐ กวา่ ปี มาแลว้
ปัจจุบนั กรมศิลปากรไดท้ าการบูรณปฏิสงั ขรณ์ เพ่ือเป็นการอนุรักษก์ ารก่อสร้างแบบโบราณ
และใชเ้ ป็นพิพธิ ภณั ฑห์ มบู่ า้ น

๒๖๕

ดว้ ยอานาจแห่งศีลาจารวตั รและเคร่งครัดทางในพระธรรมวยั ดงั กล่าวแลว้ หลงั จากท่ีสร้างวดั
ครี ีกนั ทร์เสร็จ ไดร้ ับข้นึ ทะเบียนเป็นวดั แลว้ ตอ่ มาไม่นานท่านก็ไดเ้ ป็นพระครูคีรีกนั ทร์ เจา้ คณะ
อาเภอลานสกา เป็นพระอปุ ัชฌาย์

ให้กาเนดิ วัดคีรีวรรณา(วดั บา้ นนา)
ในช่วงต้งั แตป่ ี ๒๔๗๑ เป็นตน้ มา ภายหลงั ท่ีไดส้ ร้างวดั ครี ีกนั ทร์และเป็นเจา้ อาวาสท่ีน่ีแลว้
ทา่ นมีความจาเป็นตอ้ งเดินทางจากวดั ซ่ึงต้งั อยใู่ นอาเภอลานสกา ไป-มาหาสู่ญาติพ่นี อ้ งที่หมู่ ๓ บา้ น
จนั ดี ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง เป็นประจา เป็นระยะทางท่ีตอ้ งบกุ ป่ าฝ่าดงไกลถึง ๒๓ กม.ถา้ ไป-
กลบั ก็ประมาณ ๔๖ กม. ในระหวา่ งทางไดม้ ีการแวะพกั ที่บา้ นนาหมู่ ๑ เป็นประจา เพราะท่ีนี่มีพส่ี าว
คือนางสีทอง ซ่ึงมีสามีเป็นผใู้ หญ่บา้ นช่ือภู่ ทิพย์ ทา่ นไดป้ รารภกบั แกนนาท่ีน่ีวา่ ควรต้งั สานกั สงฆ์
เพื่อวา่ จะไดเ้ ป็นที่พกั สงฆท์ ่ีจรไป-มา และจะไดเ้ ป็นท่ีทาบุญของญาติโยมในวนั พระ ๘ ค่า ๑๕ ค่า
โดยไม่ตอ้ งไปไกลถึงวดั มะนาวหวาน หรือวดั คีรีกนั ทร์ สานกั สงฆจ์ ึงไดเ้ กิดข้นึ ที่บา้ นนา ต่อมาก็ได้
ปริวรรตข้ึนเป็นวดั คีรีวรรณา เม่ือปี ๒๔๙๓ (วดั บา้ นนา) ก็ถือไดว้ า่ พ่อท่านหมึกเป็นผใู้ หก้ าเนิดวดั
ครี ีวรรณา เช่นกนั
ท่านถึงแก่มรณะภาพเมื่อวนั ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๙๕ ขณะอายไุ ด้ ๖๖ ปี พรรษา ๔๕
ในปี พ.ศ.๒๔๘๕ ไดม้ ีการสร้างเหรียญที่ระลึก มีการสลกั ชื่อวา่ “พระครูครี ีกณั ฑร์” ตามภาพ

๒๖๖

เหรียญพ่อทา่ นหมึก วดั คีรีกนั ทร์ เน้ือทองแดง รุ่น๑ แห่งเขาแกว้ สร้างในปี พ.ศ.๒๔๘๕ เป็น
เหรียญที่หมนุ เวยี นในสนามพระคอ่ นขา้ งนอ้ ยอีกหน่ึงเหรียญ เน่ืองจากสร้างจานวนนอ้ ย สร้างดว้ ยกนั
๒ เน้ือ เป็นเน้ือเงินและทองแดง นบั เป็นของดีในยคุ สงครามมหาเอเซียบรู พาท่ีหาชมไดย้ ากเตม็ ที เรื่อง
พุทธคณุ เด่นในเร่ืองคงกระพนั พอ่ ทา่ นหมึกท่านยงั เป็นสหธรรมมิกกบั พอ่ ท่านซงั วดั ววั หลุงอีกดว้ ย

๓. พ่อท่านพ่มุ มีชีวิตอยรู่ ะหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๓๖ – ๒๕๒๕ เป็นผทู้ ี่ไดส้ ร้างความ
เจริญใหแ้ ก่วดั หลกั ชา้ งและวดั มะนาวหวานเป็นอเนกประการ สถานะเดิมทา่ นชื่อพุ่ม นามสกลุ วงศ์
นอ้ ย เกิดเมื่อวนั ที่ ๑ กุมภาพนั ธ์ ๒๔๓๖ เป็นบุตรของนายแกว้ – นางสีทอง ซ่ึงอยใู่ นหมทู่ ่ี ๒ ตาบลท่งุ
สง(แกว้ แสน) อาเภอทุง่ สง ต่อมาตาบลน้ีแยกออกมาอยใู่ นอาเภอนาบอน

ภาพจากหนงั สือสุทธิ

๒๖๗

สมยั ยงั เป็นเด็ก ทา่ นไดเ้ ขา้ เรียนท่ีโรงเรียนวดั หลกั ชา้ ง ไดร้ ับวิทยฐานะคือสาเร็จอกั ขรสมยั
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ ทา่ นบวชเม่ือวนั ท่ี ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ โดยพระครูกราย วดั หาดสูง ตาบล
ไมเ้ รียง อาเภอฉวาง เป็นพระอปุ ัชฌาย์ สมยั ท่ีท่านบวชน้นั วดั หลกั ชา้ งมีพอ่ ทา่ นนาคเป็นเจา้ อาวาส
และถือเป็นอาจารยข์ องพ่อท่านพุ่มดว้ ย ทา่ นจึงไดป้ ระจาอยทู่ ่ีวดั หลกั ชา้ งตลอดมา

สมยั เป็ นเจ้าอาวาสวัดมะนาวหวาน
อยมู่ ากระทง่ั เม่ือวนั ที่ ๒๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๑ อนั ถือวา่ เป็นวนั ประวตั ิศาสตร์ของท่าน
และของวดั มะนาวหวาน ขณะน้นั ท่านบวชมาไดแ้ ลว้ ๖ พรรษา ในช่วงเวลาเดียวกนั น้ีวดั มะนาว
หวานกาลงั เกิดขาดแคลนพระ หาพระมาอยปู่ ระจาไมไ่ ด้ วดั มีทีท่าวา่ จะร้าง ในวนั ดงั กล่าวน้ีกไ็ ดม้ ี
ชาวบา้ นประมาณ ๑๘๐ คน มีนายสม ศิลปวิสุทธ์ิ หวั หนา้ ฝ่ายอุบาสก และนางเหมือน คงแกว้ (ยา่
ของนายมงคล คงแกว้ ผเู้ ขียนประวตั ิวดั มะนาวหวาน ลงในหนงั สืออนุสรณ์สมณศกั ด์ิพระครูสถิต
วหิ ารธรรม ปี ๒๕๑๗) หวั หนา้ ฝ่ายอบุ าสิกา ไดพ้ ร้อมใจกนั ไปนิมนตพ์ ระภิกษุพ่มุ ปญฺญาทีโป จาก
วดั หลกั ชา้ ง ตาบลชา้ งกลาง ซ่ึงขณะน้นั ทา่ นยงั ไมไ่ ดเ้ ป็นสมภาร โดยจดั กระบวนแห่หามท่านจากวดั
หลกั ชา้ งมาอยวู่ ดั มะนาวหวาน เม่ือวนั อาทิตย์ ท่ี ๒๓ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๖๑ ตรงกบั เดือน ๘ ข้นึ ๑๕
ค่า ปี มะเมีย จ.ศ. ๑๒๘๐ สมั ฤทธ์ิศก ก็เป็นอนั วา่ วดั มะนาวหวานไดส้ มภารใหม่ และต้งั แต่น้นั มา วดั
มะนาวหวาน ซ่ึงเดิมมีพ้ืนที่ไม่มากนกั กไ็ ดร้ ับการขยายเขตแดน วางแผนพฒั นาท้งั ส่ิงปลกู สร้างและ
เสนาสนะมากมาย เป็นการเริ่มตน้ ยคุ ใหม่
ในสมยั พอ่ ท่านพมุ่ เป็นเจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน มีผบู้ ริจาคท่ีดินใหม้ ากมายดงั น้ี

๒๖๘

- นายนวล บูรพา บริจาคที่ดินทางทิศตะวนั ตกของวดั มะนาวหวาน ๒๒๐ ไร่ นายนวลเป็น

ชาววงั ขวาง ญาตินายคลา้ ย จนั ทร์อ่อนซ่ึงอยหู่ มู่ ๔ ตาบลชา้ งกลาง นายนวลไดย้ า้ ยมาอยหู่ นา้ วดั จบั

จองที่ดินไวม้ าก

- นายช่วง วงศน์ อ้ ย บริจาคท่ีดินทางทิศใตต้ ิดวดั จานวน ๗๕ ไร่ ปัจจุบนั เป็นท่ีต้งั โรงเรียน

ชา้ งกลางประชานุกูล และโรงเรียนวดั มะนาวหวาน อีกส่วนหน่ึงเป็นสวนยาง นายช่วงเป็นนอ้ งของ

พ่อท่านพมุ่

วธิ ีบริจาคท่ีดินสมยั น้นั ทากนั แบบง่าย ๆ อาจารยด์ า พรหมทอง อดีตเจา้ อาวาสเล่าใหฟ้ ังดว้ ย

ไดเ้ ห็นดว้ ยตาตนเองวา่ ผบู้ ริจาคเขยี นคาตอ้ งการบริจาคสลกั หลงั ส.ค. ๑ ที่ครอบครองท่ีดินแลว้ ลงชื่อ

จากน้นั ถวายเอกสาร ส.ค.๑ ใหว้ ดั ก็เสร็จเรื่อง

จากการไดร้ ับบริจาคที่ดินในช่วงที่พ่อท่านพมุ่ เป็นสมภาร ทาใหว้ ดั มะนาวหวานมีพ้นื ท่ีกวา้ ง

ใหญร่ ่วม ๔๐๐ ไร่ (ปัจจุบนั มีจานวน๓๒๔ ไร่๓ งาน ๗๔ ตารางวา)

เมื่อไดเ้ ป็นเจา้ อาวาสวดั มะนาวหวานแลว้ สิ่งสาคญั ที่ทา่ นสร้างไวเ้ ป็นอนุสรณ์ คือปลกู ตน้ ไม้

ที่ใหผ้ ลนานาชนิด มีมะพร้าว มงั คดุ ทุเรียน ลางสาด ตลอดถึงพกิ ุล บนุ นาค ฯลฯ เป็นตน้ ซ่ึงบางชนิด

ยงั คงยนื ตน้ มาถึงปัจจุบนั กม็ ี ถือไดว้ า่ ทา่ นเป็นนกั ปลูกตวั ยง

นอกจากการปลูกตน้ ไมแ้ ลว้ ท่านยงั ไดเ้ ปิ ดสอนปริยตั ิธรรม สอนธรรมศึกษา มีลูกศิษย์

กระจดั กระจายไปทวั่ ไดร้ ับความเคารพนบั ถือและร่วมมือจากชาวบา้ นบูรณะวดั เป็นอยา่ งดี

นอกจากน้ีในปี ๒๔๗๕ ทา่ นยงั ไดเ้ ริ่มสร้างโบสถใ์ หม่ในที่เดิม จากโบสถไ์ มม้ าเป็นโครงคอนกรีต

แทนไม้ นิมนตพ์ ่อท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิมาเป็นประธานก่อสร้าง แต่ยงั ไม่ทนั แลว้ เสร็จ ท่านก็ยา้ ยไป

เป็นเจา้ อาวาสวดั หลกั ชา้ งเม่ือปี ๒๔๘๙ ส่วนพ่อทา่ นคลา้ ยกก็ ลบั วดั สวนขนั โบสถห์ ลงั ดงั กลา่ วน้ีมา

สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ๒๕๑๐ สมยั พระครูสมหุ ์สอน ฐิตวีโร(ปัจจุบนั คือพระสิริธรรมราชมุนี) เป็น

เจา้ อาวาส

ในดา้ นการศึกษาของชาวบา้ น พ่อท่านพุ่มเป็นผูร้ ิเร่ิมให้มีโรงเรียนระดบั ช้นั ประถมข้ึนในวดั

มะนาวหวาน โดยไดจ้ ดั ต้งั ข้นึ เม่ือปี .ศ. ๒๔๗๔ ใชห้ อฉนั เป็นอาคารเรียน มอบหมายใหน้ ายสาราญ

วงั ปรีชา เป็นครูสอนคนแรก มีนกั เรียนระดบั มูลจานวน ๕๐ คน ซ่ึงนกั เรียนแต่ละคนจะตอ้ งจ่ายคา่

เลา่ เรียนคนละ ๑๐ สตางค์ ต่อเดือนสาหรับเป็นค่าจา้ งครูสอน การเรียนในลกั ษณะน้ีเป็นเวลาเกือบปี ก็

เลิกไป เพราะตอ่ มาในวนั ท่ี ๑๗ กนั ยายน ๒๔๗๕ ทางอาเภอฉวางไดจ้ ดั ต้งั โรงเรียนระดบั

ประถมศึกษาเป็นทางการโดยยงั คงใชห้ อฉนั ของวดั มะนาวหวานเป็นอาคารเรียน เรียกชื่อวา่

“โรงเรียนประชาบาลตาบลชา้ งกลาง ๒” สมยั นายมี จนั ทร์เมืองเป็นกรรมการอาเภอ

สมยั เป็ นเจ้าอาวาสวัดหลกั ช้าง

ท่านเป็นเจา้ อาวาสวดั มะนาวหวานถึง ๒๘ ปี ในที่สุดเม่ือพอ่ ทา่ นนาคซ่ึงเป็นเจา้ อาวาสวดั

หลกั ชา้ งมรณภาพ ทางการสงฆไ์ ดม้ อบหมายยา้ ยท่านใหเ้ ป็นเจา้ อาวาสวดั หลกั ชา้ ง ซ่ึงตอ่ มาในปี

๒๖๙

๒๕๐๒ ไดร้ ับสมณศกั ด์ิเป็นพระครูสังฆรักษ์ ฐานานุกรมของพระธรรมนาถมนุ ี และไดร้ ับแตง่ ต้งั
เป็นเจา้ คณะตาบล ถดั ถึงปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ไดเ้ ป็นพระอุปัชฌาย์

ในช่วงท่ีท่านเป็นเจา้ อาวาสวดั หลกั ชา้ งต้งั แตป่ ี พ.ศ.๒๔๙๐ น้นั ทา่ นไดอ้ ุปถมั ภโ์ รงเรียนวดั
หลกั ชา้ งมาโดยตลอด สร้างพระอุโบสถแบบก่ออิฐถือปูนดว้ ยงบบริจาคเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท สร้าง
กุฎิไมช้ ้นั เดียวและกุฎคร่ึงตึกคร่ึงไม้ ๒ ช้นั ในปี ๒๔๙๗ ไดไ้ ปประชุมสงั ฆาธิการท่ีวดั สามพระยา

บ้นั ปลายชีวิต ต้งั แต่ปี ๒๕๑๗ เป็นตน้ มากระทงั่ ถึงวนั มรณภาพ ไดม้ าอยกู่ บั ศิษยค์ นสาคญั ท่ี
วดั มะนาวหวานคอื พระครูสถิตวหิ ารธรรม ท่านไดอ้ ยทู่ ี่น่ีมาตลอดจนสิ้นอายขุ ยั

คณะศิษยไ์ ดร้ ่วมกนั ทาฌาปนกิจที่วดั มะนาวหวานเม่ือวนั ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๕ สิริอายไุ ด้
๘๙ ปี

เอกลกั ษณ์ของพอ่ ท่านพ่มุ เวลาสวดมนตร์หรือใหศ้ ีล ใหพ้ ร ใหย้ ถา ท่านมกั จะใชเ้ สียงแหลม
ยาว ซ่ึงไมเ่ หมือนใครและไมม่ ีใครเหมือน ทา่ นเป็นคนพดู ตรงไปตรงมา ไม่มีลบั ลมคมใน เช่นคร้ัง
หน่ึงเม่ือปี ๒๔๙๗ ไปกราบรอยพระพุทธบาทท่ีสระบุรี อาจารยเ์ อ้ือม อุบลพนั ธุ์เลา่ ใหฟ้ ังวา่ มีโยม
หญิงคนหน่ึงถามวา่ ท่านมารถ ๒ แถวหรือ ทา่ นตอบวา่ “มารถ ๔ แถว” เพราะรถเมลม์ ีท่ีนง่ั ๔ แถว

๔.พ่อท่านผุด

พ่อท่านผุด หรือพระพทุ ธิสารเถร มีชีวิตอยรู่ ะหวา่ งปี ๒๔๓๐-๒๕๓๐ เป็นผทู้ ่ีมีส่วนสร้าง
ความเจริญใหแ้ ก่อาเภอ ชา้ งกลาง ในละแวกบา้ นจนั ดี บา้ นคลองงา บา้ นนา ท่าแพ บา้ นควนสา้ น
บา้ นนาเกาะ บา้ นสานกั เคยี น บา้ นมะนาวหวาน บา้ นนาวา ตลอดถึงถ่ินใกลเ้ คยี งต้งั แตค่ ร้ังยงั เป็นป่ าดง
พงไพร ท่านผนู้ ้ีถือวา่ เป็นปูชนียบุคคลของจงั หวดั นครศรีธรรมราช สมณสักด์ิสุดทา้ ยคอื “พระพทุ ธิ
สารเถร” ที่เราเรียกวา่ “ พ่อท่านผดุ ” หรือ“ อาจารยผ์ ุด” ฉายาวา่ “ สุวฑฺฒโน ” นามสกลุ “ พนั ธุช์ ู
” เกิดเมื่อ เดือนกนั ยายน ปี กนุ พ.ศ. ๒๔๓๐ ที่บา้ นใหมใ่ กลท้ ะเลสาบสงขลาในเขต อาเภอ เขาพงั

๒๗๐

ไกร จงั หวดั นครศรีธรรมราช แต่ต่อมาอาเภอน้ีถูกยบุ ทอ้ งที่ส่วนหน่ึงไปข้ึนกบั อาเภอระโนด จงั หวดั
สงขลา อีกส่วนหน่ึงมาข้ึนอาเภอหัวไทร จงั หวดั นครศรีธรรมราช

พ่อทา่ นผดุ มีวิญญาณครูสอนคนต้งั แต่เป็นสามเณรอายุ ๑๗ ปี โดยรวบรวมลกู ชาวบา้ นมา
เรียนหนงั สือที่วดั ต้งั ตวั เองเป็นครู ไมม่ ีเงินเดือน

ในปี ๒๔๖๗ ขณะเป็นภิกษุอายุ ๓๗ ปี ไดต้ ิดตามพระสมุห์กนั ชาวทุ่งจียก มาที่หนกั เคยี น
(ตาหนกั เคียน) ในพ้นื ท่ีตาบลชา้ งกลางเพือ่ หาไมไ้ ปทาเรือ ระหวา่ งท่ีทาเรือ ท่านไดเ้ ห็นน้าใจของ
พวกชาวบา้ นคลองงา วา่ เป็นคนใจบุญ เสียสละ ซื่อสตั ยก์ ตญั ญู แต่ยงั ขาดความรู้ ขาดการศึกษา และ
ยงั เช่ือในผีสางนางไม้ เวลาเจบ็ ไขก้ เ็ ขา้ ทรงลงครูหมอรักษา บนบานอีนุย้ เทวดา ขาดเหตุผล ท่านจึง
ไดส้ อนธรรมข้นั ตน้ แก่คนเหลา่ น้ี และเม่ือถึงข้นั พวกชาวบา้ นดงั กลา่ วมีความเลื่อมใสศรัทธามากข้นึ
ทา่ นไดต้ ้งั ศาลาปฏิบตั ิธรรม สอนวิชาชีวิตแก่ชาวคลองงาและละแวกหมูบ่ า้ นใกลเ้ คียง มีศิษยห์ ลาย
รุ่นหลายวยั โดยสรุปท้งั ชีวิตของท่านไดส้ อนวชิ าต่าง ๆ ที่สามารถนาไปปฏิบตั ิแลว้ รุ่งเรืองทกุ คนนน่ั
คือทา่ น

๑. สอนเรื่อง “ วิธีทาการคา้ ”
๒.สอนเรื่อง “ วิธีการทาเกษตร หัตถกรรมในครัวเรือน”
๓. สอนเรื่อง “ วิธีครองรัก – ครองเรือน ”
๔. สอนเรื่อง “ ระเบียบชีวิต ” ซ่ึงวา่ ดว้ ย

-การรู้จกั กฎระเบียบวนิ ยั
-การรู้จกั คิด กลา้ หาญ
-การรู้จกั ออม
-การรู้จกั เสียสละ
-การรู้จกั พูด
-การรู้จกั ขนบธรรมเนียม ประเพณีอนั ดีงาม
๕.สอนแนว “ พุทธปรัชญา ” และศาสนาอื่นๆ
ผลการเขา้ มาสอน มาสร้างในบา้ นคลองงากวา่ 50 ปี มีลูกศิษยม์ ากมาย ยกช้นั จากชาวบา้ นป่ า
มาเป็นอารยชนเจริญดว้ ยหลกั ธรรมและศาสนสถาน รู้จกั พิจารณาเหตุผลตามท่ีเป็นจริง ลูกหลานชา้ ง
กลางที่เกิดจากคนเหล่าน้ี ในช้นั หลงั ๆ มีความรู้ความสามารถ เป็นใหญ่เป็นโตในแผน่ ดิน ชนิดท่ี
ใครๆ ดูหม่ินดูแคลนไมไ่ ด้ นน่ั เพราะบรรพบุรุษไดร้ ับการอบรมจากพ่อทา่ นผดุ มาอยา่ งดี รับการสอน
ที่ถกู ตอ้ ง ดงั เช่น
๑. ในเรื่องการค้า พอ่ ทา่ นผดุ เนน้ วา่ เป็นอาชีพที่สาคญั ที่สุด ท่ีคนไทยควรยดึ ไวไ้ ม่ใหช้ าติอื่น
มาแยง่ เอาไป ท่านจึงสอนลูกศิษยท์ ุกๆ รุ่นวา่
“ อนั ดบั หน่ึง : ใหย้ ดึ อาชีพการคา้

๒๗๑

อนั ดบั สอง : ถา้ ทาการคา้ ไม่ได้ ใหย้ ดึ อาชีพทาสวนทาเกษตร
อนั ดบั สาม : ถา้ ทาการคา้ ก็ไม่ได้ ทาสวนก็ไมไ่ ด้ ทา่ นวา่ รับราชการก็เอาเถิด ไมห่ า้ ม”
ท่านจดั อาชีพราชการเป็นอาชีพอนั ดบั รองที่สุดในบรรดาอาชีพท่ีทา่ นหวงั ใหล้ กู ศิษยย์ ดึ เอา
เพราะไมต่ อ้ งการใหค้ นเป็นนายคน แต่ตอ้ งการใหค้ นเป็นมนุษย์ ถา้ เป็นมนุษยแ์ ลว้ รับราชการกไ็ มว่ า่
พ่อท่านผดุ ใหค้ ติเร่ืองการคา้ วา่ ข้นั แรกตอ้ งมีทุน ๓ ประการ คอื

๑.ออกแรง เช่นรับจา้ ง
๒.พอไดท้ ุน ใหเ้ ป็นนายทนุ หมนุ การคา้
๓.สาคญั ที่สุด ตอ้ งมีเครดิต คือ ซ่ือสตั ย์ สุจริตกบั ลกู คา้
เพ่ือใหจ้ าง่าย พ่อท่านผดุ ผกู เป็นกลอนวา่
“ อนั ทนุ คา้ ขายมีสามขอ้ ขอแถลง หน่ึงออกแรงกายทาปล้าซ้ือขาย
เช่นรับจา้ งสร้างทาของจาจ่าย สองเป็นนายทนุ หมนุ ทรัพยร์ ับขายซ้ือ
สามเครดิตสุจริตจิตสูงเยย่ี ม ช่ือเสียงเร่ียมอริยชนคนนบั ถือ
เพราะเครดิตเป็นทุนมีบญุ ลือ คนเช่ือถือเครดิตคดิ คา้ เอย ”
๒. ในเรื่องการทาเกษตร หตั ถกรรมในครัวเรือน
- ทา่ นสอนวิชาทาอิฐ ทาหมอ้ ในสมยั ท่ีพ่อท่านผดุ สอนหนงั สือท่ีบา้ นคลองงาน้นั
ทา่ นยงั มีชวั่ โมงสอนหตั ถกรรม การป้ันดินเผา ป้ันเชิงกรานป้ันหมอ้ ป้ันกระทะเลก็ ๆ สาหรับทาควั่
แกงในครัวเรือน ท่านนาปฏิบตั ิของจริง สร้างเตาเผาขนาดใหญ่ ผลที่ไดค้ อื ลูกศษิ ยไ์ ดข้ ายอิฐ ได้
ของใชใ้ นครัวเรือนทกุ ชนิด เช่น หมอ้ เชิงกราน เป็นตน้ วิชาน้ีนายอ่า ประสาร และพอ่ ของ
ผมคอื นายกระจ่าง สนั ตจิต นามาใชป้ ระกอบอาชีพอยรู่ ะยะหน่ึงแตข่ องพ่อต่อมาพฒั นาไปเป็น
เตาเผาฟื นทาถา่ นขาย
บทเรียน บทปฏิบตั ิ เร่ืองเคร่ืองป้ันดินเผาท่ีพ่อทา่ นผดุ สอนน้ีเป็นเวลาพอดีหลงั สงครามโลก
คร้ังท่ี ๒ คนในชาติอตั คตั ขดั สนเคร่ืองอุปโภคบริโภค เป็นการแกไ้ ขปัญหาไดถ้ ูกจุด แตพ่ อถว้ ยโถโอ
ชามทาดว้ ยโลหะสวยงาม แวววาวเกิดข้ึน หมอ้ ดินก็หมดความสาคญั ลงไป ในภาวะเศรษฐกิจรัดตวั
เงินเฟ้อเช่นปัจจุบนั หากเราหนั กลบั ไปหุงขา้ วดว้ ยหมอ้ ดิน คงประหยดั เงินได้ แถมไดก้ ินขา้ วสุกอร่อย
กวา่ หุงดว้ ยหมอ้ ไฟฟ้า
- บา้ นคลองงาแตเ่ ดิมไม่มีสวนผลไม้ จะมีบา้ งกต็ น้ มะพร้าว แต่ปลายเรียวไม่มีลูก
ไม่มีผล พ่อท่านผุดสร้างสวนผลไมใ้ กลศ้ าลาใหด้ ูเป็นตวั อยา่ ง แลว้ ชกั จูงชาวบา้ นสร้างสวน
มะพร้าว สวนกลว้ ย ปลกู ฝ้าย ทา่ นทาก่อนรัฐบาลส่งเสริมใหร้ าษฎร ปลูกฝ้ายเสียอีก การชกั จูงให้
คนบา้ นคลองงาสร้างสวนน้นั ท่านมีวิธีการแปลก ๆ คือถา้ ใครทอ้ ง ท่านจะกาหนดใหผ้ วั ของคนทอ้ ง
นาเมียไปฝากทอ้ งกบั นางสีจนั ทร์ ตราชู หมอตาแย ก่อนคลอด ๓ เดือน แลว้ กาหนดใหผ้ วั ของคน

๒๗๒

ทอ้ งปลกู มะพร้าว ๑๐ ตน้ กลว้ ย ๓๐ ตน้ ปลกู ใหเ้ สร็จก่อนคลอด ปลูกในที่ของตนเองไมต่ อ้ งนาผล
ไปใหห้ มอตาแย และสัง่ ไม่ใหห้ มอตาแยเรียกค่าราดเกินกาหนด คอื คิดเพียงเลก็ นอ้ ย

ในเรื่องการรักษาไข้ ถา้ ใครเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วยใหไ้ ปขอยาจากนายกลอ่ ม ตราชู ตารายาท้งั หมด
ท่านมอบไวใ้ หน้ ายกล่อม ถา้ นายาไปกินแลว้ หาย ทา่ นกาหนดใหค้ นไขท้ ่ีหายแลว้ ปลกู มะพร้าว ๑๐
ตน้ ปลูกกลว้ ย ๓๐ ตน้ ในที่ดินตนเองเช่นกนั และหา้ มนายกล่อมเรียกเงินค่ายาจากคนไข้ คนไขก้ ็
ไมจ่ าเป็นตอ้ งเอาผลไมใ้ หน้ ายกลอ่ ม

ในเร่ืองทาการเกษตรตอ้ งใส่ป๋ ุย ทา่ นสอนวธิ ีการทาป๋ ุย และการใส่ป๋ ยุ ตน้ ไมไ้ วห้ ลายวิธี แต่
วิธีหน่ึงงงา่ ยที่สุดซ่ึงเกิดเป็นปรัชญาสอนลูกศิษยว์ า่ “ จงทาข้ใี หเ้ ป็นผลแต่อยา่ ทาตนใหเ้ ป็นข้ี” ซ่ึงศิษย์
ทุกคนเขา้ ใจดี

๓. ในเร่ืองครองรัก-ครองเรือน พ่อท่านผดุ เถือวา่ เป็นช่วงสาคญั ท่ีสุดของการเริ่มตน้ ชีวิต
ครอบครัว โดยเหตุน้ีท่านจึงต้งั โรงเรียนสอนผวั -เมีย ที่บา้ นคลองงา ทา่ นเป็นครูคนเดียวท่ีสอนเรื่อง
น้ี จนท่ีสุดไดเ้ กิดพิธีมงคลสมรส และถือปฏิบตั ิเป็นประเพณี ตลอดมาจนถึงปัจจุบนั ดงั น้ี ท่านผสู้ นใจ
หาอา่ นไดจ้ ากเรื่อง “พ่อทา่ นผดุ ” โดยวรรณดี สรรพจิต พมิ พเ์ ผยแพร่ในโอกาสฌาปนกิจคุณพอ่ แจง้
สนั ตจิต หนงั สือเล่มน้ีอยใู่ นสารบบของมหาวทยาลยั ทกั ษณิ

ในเร่ืองครองรัก-ครองเรือน จุดสาคญั อยทู่ ่ีท่านเห็นวา่ คู่บา่ วสาวท่ีจะอยกู่ ินกนั ต่อไปขา้ งหนา้
ตอ้ งเกิดลูกหญิง-ชาย ตอ้ งเป็นพมิ พม์ นุษย์ ถา้ แทน่ พิมพไ์ ม่ดีมีความวบิ ตั ิบกพร่องเมื่อตอนต้งั ตน้ เสีย
แลว้ ท่ีไหนจะไดม้ นุษยด์ ี ๆ แลว้ ประเทศชาติกจ็ ะเจริญไมไ่ ด้ ถา้ คนไม่มีอนาคต ทา่ นจึงสอน
แมก้ ระทงั่ วิธีการเขา้ ร่วมห้องหอ และในท่ีสุดใหค้ าถาแก่ฝ่ายชาย เรียกวา่ คาถาไมแ่ คร์ใคร คือ

“ วนั ดี กูกด็ ี วนั ไม่ดี กกู ็ไมท่ าอะไรใคร”( คอื ไม่ด่าวา่ เมีย ไม่ทาร้ายเมีย )
“ อยไู่ ดก้ กู ็อยู่ อยไู่ มไ่ ดก้ ูกไ็ ม่ไปใหน” ( คือเวลาโกรธ ก็ตอ้ งนอนในหอ้ งกบั เมียไม่
ไปกินขา้ ว เทียวนอนท่ีไหน )

คาถากลวั เมียคนเดียว
“ไม่กลวั เมีย กูจะกลวั ใคร คนอ่ืนไมไ่ ดท้ าอะไรใหก้ กู ิน
๔.ในเร่ืองระเบียบชีวิต
- ท่านกาหนดกฎระเบียบวินยั ลกู ศิษยข์ องพอ่ ท่านผดุ ทุกคนตอ้ งอยใู่ นกฎ เรียกวา่
“โคตรกฎ” ทา่ นกาหนดไวย้ อ่ ๆ วา่

“อนั โคตรกฎ พ.ผ.* ยอ่ กาหนด ใหห้ นีปดพนนั ลกั นกั เลงหญิง
ใครล่วงเกินเฆ่ียนไลร่ ้ายแรงจริง หนกั เบายงิ่ ตามเหตุที่เจตนา ”

หมายเหตุ พ.ผ.* คือ พระผุด
- ทา่ นสอนใหม้ ีความกลา้ และรู้จกั คดิ

๒๗๓

พ่อท่านผดุ มีชีวิตยนื ยาวถึง ๙๙ ปี ๗ เดือน ในช่วงท่ีมีชีวิตอยู่ ท่านไดท้ าประโยชน์ไวเ้ หลือ
คณานบั เพราะไดส้ อนคนต้งั แตท่ ่านอายเุ พียง ๑๗ ปี จนกระทงั่ ใกลม้ รณภาพ ช่วยเหลือตวั เองไมไ่ ด้
แตย่ งั มีสติความจาเป็นเลิศ ทา่ นช้ีใหเ้ ห็นวา่ ชีวติ เมื่อทิ้งร่างไปแลว้ ร่างกายเป็นเพยี งซากศพไม่เกิด
ประโยชน์อะไรแก่คนในโลก ทา่ นจึงสัง่ ใหร้ ีบเอาศพของท่านไปฝังเสียใหส้ ิ้นเร่ืองโดยเร็ว ใหเ้ สร็จ
ภายใน ๒๔ ชวั่ โมงภายหลงั การตายและหา้ มเอาศพไปเป็นเครื่องมือทามาหากิน คาสง่ั เช่นน้ี ถา้ มอง
ในแงผ่ นู้ บั ถือศาสนาพทุ ธ จะมองเห็นวา่ ท่านเป็ นคนแหวกแนว แหวกขนบธรรมเนียมประเพณี
เพราะธรรมเนียมชาวพุทธ เม่ือตายไปตอ้ งมีการรดน้า มีการนิมนตพ์ ระมาสวด แลว้ ก็ทาการ
ฌาปนกิจ แต่ศพของท่าน ทา่ นใหร้ ีบเอาไปฝังภายใน ๒๔ ชวั่ โมงหลงั การตาย ดงั มีคาส่งั เม่ือวนั ท่ี
๑๕ มีนาคม ๒๕๒๑ ขณะพกั รักษาตวั อยทู่ ่ีโรงพยาบาลนครศรีธรรมราช ดงั น้ี

คาสั่งและพนิ ัยกรรม
“วนั ที่ 15 มีนาคม 2521 โรงพยาบาลนครศรีธรรมราช
อาตมาเจา้ คณุ พระพทุ ธิสารเถร ( ผดุ พนั ธ์ชู ) อายุ 90 ปี อยวู่ ดั พระบรมธาตุ
วรมหาวิหาร ตาบลในเมือง อาเภอเมืองนครศรีธรรมราช อาตมาขอส่ังความเอาไวว้ ่า เม่ืออาตมา
มรณภาพน้นั อาตมาไดจ้ ดั โลงเอาไวแ้ ลว้ โลงอยทู่ ่ีวดั ใหล้ ูกศิษยท์ ่ีไวใ้ จได้ เช่น นายโชฏึก ณ นคร
หรือ นายจรูญ วิเชียรรัตน์ จดั การเรื่องศพโดยนาใส่โลงท่ีทาไวแ้ ลว้ ใหเ้ อาเหล็กเสียบที่กน้ ทะลุ
ศีรษะ ใหน้ งั่ ตวั ตรงในโลง บรรจุใส่ภูเขา ใหท้ าใหเ้ สร็จภายใน 24 ชว่ั โมงเป็นอยา่ งชา้ ขอใหล้ กู ศิษย์
ทาตามท่ีอาตมาสง่ั ไวด้ ว้ ย

ลงช่ือ พระพุทธิสารเถร
ลงช่ือ นิโรจน์ นราภกั ดี พยาน
ลงช่ือ จรวยศรี สุนทรพนั ธุ์ พยาน
ลงชื่อ อา่ นไม่ออก พยาน และผจู้ ด”
(คาส่งั น้ี ตวั ตน้ ฉบบั ถ่ายพิมพใ์ นหนงั สือ “พุทธิสาร เล่ม 2” พมิ พท์ ่ี ร.พ. ศิริสวสั ด์ิ ท่าวงั
จงั หวดั นครศรีธรรมราช เม่ือปี พ.ศ. 2530)
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ ขณะท่ีทา่ นอายไุ ด้ ๙๒ ปี ยงั มีสติสัมปชญั ญะบริบูรณ์ ท่านได้
ทาพนิ ยั กรรมมอบแก่พระธรรมวราภรณ์ ( เพิม่ ) เจา้ อาวาสวดั ราชาธิวาสวิหาร กรุงเทพฯ เมื่อ ๑๗
เมษายน ๒๕๒๒ มีขอ้ ความดงั น้ี
“เรียน ทา่ นเจา้ คณุ พระธรรมวราภรณ์ ( เพ่ิม )
เวลาน้ีผมมีสติสัมปชญั ญะดี รู้สึกตวั วา่ ชรามากแลว้ ไม่ทราบจะมีชีวติ อยสู่ กั ก่ีเวลา ผมมี
ความไวว้ างใจต่อท่านเจา้ คุณมาก ขอพูดกบั ท่านเจา้ คุณ ดงั ต่อไปน้ี
๑.ถา้ ผมตายลงวนั ใด ขอยกใหเ้ ป็นภาระแก่ทา่ นเจา้ คุณ พระธรรมวราภรณ์ ( เพิ่ม ) วดั
ราชาธิวาสช่วยจดั การศพของผม พระพทุ ธิสารเถร คือขอให้อยา่ มีอาบน้าศพ ใหจ้ ดั แตง่ ตวั ให้

๒๗๔

เรียบร้อย ใหน้ งั่ หนั หนา้ ไปทางเจดียพ์ ระมหาธาตุ และใหบ้ รรจุศพในที่บรรจุซ่ึงทาไวแ้ ลว้ ภายในยส่ี ิบ
ส่ีชวั่ โมง ถา้ ศิษยผ์ ใู้ ดจะช่วยจดั การอยา่ งไร ก็ใหเ้ ป็นไปตามคาสง่ั ของเจา้ คุณ

๒.ส่ิงท่ีเป็นสงั หาริมทรัพย์ อสงั หาริมทรัพย์ และวสั ดุอ่ืนใด ท่ีมีอยู่ ต้งั อยู่ ใน
วดั น้ี หรือนอกจากวดั น้ี ที่เป็นบริขารส่วนตวั ของผม ซ่ึงไดม้ าโดยชอบดว้ ยธรรมวนิ ยั ทกุ ชิ้นทุกส่ิง
รวมท้งั ปัจจยั ท่ีฝากไวใ้ นธนาคาร หรืออยนู่ อกธนาคารทกุ บาททุกสตางค์ ผมขอถวายใหเ้ ป็น
กรรมสิทธ์ิแก่เจา้ คณุ ธรรมวราภรณ์ ( เพ่ิม ) ต้งั แต่วนั น้ีเป็นตน้ ไป หากมีปัจจยั ลาภสิ่งใดเกิดข้นึ
หลงั จากทาหนงั สือน้ี ก็ขอถวายท้งั สิ้น ผมขออาศยั ใชไ้ ปในระหวา่ งมีชีวิตอยู่

ถวายไวต้ ้งั แต่วนั ที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๒๒
ลายเซ็น พระพทุ ธิสารเถร ผถู้ วาย
( พระพทุ ธิสารเถร)
ลายเซ็น พระธรรมวราภรณ์ ผรู้ ับ
(พระธรรมวราภรณ์)
ลายเซ็น บญุ เลิศ คงพฒั น์ ผเู้ ขียน
( สามเณรบุญเลิศ คงพฒั น์)”

ต่อมาเมื่อวนั ที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗ ขณะทา่ นอายไุ ด้ 97 ปี มีคาสงั่ แก่ศิษยานุศิษย์ เป็น
คาส่งั ชิ้นสุดทา้ ยก่อนมรณภาพ มีขอ้ ความดงั น้ี

คาสั่ง
พระพุทธิสารเถร ( ผดุ สุวฑั ฒโน)
เพอ่ื ใหค้ าสงั่ สอน คณะศิษย์ และตวั ท่าน เป็นไปตามหลกั ปฏิบตั ิบชู า จึงใหม้ ีคาสง่ั ไวด้ งั น้ี
๑.เกี่ยวกบั เรื่องคาส่ังสอน ใหศ้ ิษยต์ ระหนกั ในความจา คิด วนิ ิจฉยั ไตร่ตรอง ลง
ความเห็นแลว้ ปฏิบตั ิ ขอ้ ใดปรากฏผลประการใด ใหบ้ นั ทึกทารายงานไวเ้ พื่อสงั่ สอนบุตรหลานต่อไป
๒.เร่ืองเก่ียวกบั ศิษยร์ ่วมสานกั เน่ืองดว้ ยศิษยส์ านกั น้ีมีมากรุ่น มากคน หลายหน
หลายแห่ง ต่างไดร้ ับปลกู ฝังสง่ั สอนในหลกั สูตร มนุสสเทโว มนุสโส ไวเ้ ป็นอยา่ งดี เพ่อื ใหท้ กุ คน
ประสบผลสูงสุด จึงส่งมอบหลกั “อปริหานิยธรรม” ไวใ้ หเ้ ป็นสมบตั ิวิเศษอีกขอ้ หน่ึง
๓.เรื่องเก่ียวกบั ตวั ทา่ น ขณะใหเ้ ขียนคาส่ังน้ี อายทุ ่านได้ ๙๘ ปี เห็นสมควรแตง่ ต้งั
ศิษยข์ ้ึนเป็นที่ปรึกษาของสานกั จึงแตง่ ต้งั ผมู้ ีรายนามต่อไปน้ี
๑.นายเชิญ ตราชู
๒.นายโอภาส ละมยั พรรณ
๓.นายสุธรรม แสงอาไพ
๔.นายไสว บลั ลว์ านิช
๕.นายจรูญ วิเชียรรัตน์

๒๗๕

๖.นายต่วน ภพู่ งศ์
๗.นายบรรจบ ไพรสณฑ์
๘.นายไล่ นิยมชาติ
๙.นายวิภาต วจั นะพนั ธ์
๑๐.สามเณรบุญเลิศ คงพฒั น์
เป็นท่ีปรึกษา ทาหนา้ ที่บริหาร หากทา่ นล่วงลบั ไปวนั ใด ใหป้ ระชุมกนั ปรึกษาปฏิบตั ิ
โดยรอบคอบ คอื “ใหช้ อบดว้ ยธรรม ชอบใจท่าน ชอบใจคณะศิษย์ และชอบใจคณะสงฆ์ จงทุก
ฝ่ าย
คณะท่ีปรึกษาชุดน้ี ใหม้ ีอานาจแตง่ ต้งั ศิษย์ และบุคคลอ่ืนมาเป็นที่ปรึกษาเพ่มิ เติมได้ เพ่อื ใหค้ าสงั่
สอนการของคณะ เจตนารมณ์ อดุ มการณ์ ของทา่ นและสานกั เจริญรุ่งเรือง เป็นปฏิบตั ิบชู าสืบไป
สงั่ ณ วนั ท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๒๗

ลงชื่อ พระพทุ ธิสารเถร
( พระพุทธิสารเถร ผดุ สุวฑั ฒโน)
หลงั จากที่พ่อทา่ นผดุ ไดม้ ีคาสัง่ คร้ังสุดทา้ ยแลว้ ความชรา ที่เรียกกนั หลายนยั วา่ “ชีรณตา
ขณฺทิจฺจงั ปาลิจฺจ ว ลิจตา อายโุ น สหานิ อินฺทริยาน ปาริปาโก” กย็ งิ่ ครอบงาท่านมากข้นึ จนในที่สุด
ตาก็บอด หูกห็ นวกหนกั ลูกศิษยต์ อ้ งป้อนน้าป้อนขา้ ว เพียงเพื่อใหส้ ังขารดารงอยไู่ ด้ จนกระทง่ั
วนั ที่ 5 มีนาคม 2530 ขณะอายไุ ด้ 99 ปี 7 เดือน ท่านก็ป่ วยกะทนั หนั อยไู่ ดม้ าถึงวนั ท่ี 7 มีนาคม
2530 เวลา 7.50 น. ท่านกถ็ ึงแก่มรณภาพขณะท่ียงั ขาดอีก 5 เดือน จะครบ 100 ปี เตม็ แต่ก็ถือวา่
ทา่ นสิ้นอายเุ มื่อครบปี ที่ 100 แลว้
๕.พ่อท่านครื้น

๒๗๖

พอ่ ท่านคร้ืนเป็นผทู้ ่ีเลง็ เห็นประโยชน์ของการศึกษาเป็นอยา่ งยงิ่ ถือวา่ ทา่ นเป็นบคุ คลสาคญั
ในการสร้างทรัพยากรมนุษยช์ าวชา้ งกลางใหม้ ีคณุ คา่ ข้ึน โดยใหก้ ารอปุ ถมั ภโ์ รงเรียนพ่ึงตนเอง ซ่ึง
เป็นสถานที่เรียนช้นั มธั ยมแห่งเดียวที่ลูก-หลานของชาวชา้ งกลางไดเ้ ขา้ มาเรียน ต้งั แต่สมยั เม่ือ ๗๐ ปี
มาแลว้ ผทู้ ่ีประสบความสาเร็จในหนา้ ที่การงาน ไมว่ ่าจะเป็นครู –อาจารย์ นกั กฎหมาย ตลุ าการ
นกั การเมือง การปกครอง ลว้ นแต่เคยเรียนท่ีโรงเรียนพ่ึงตนเองท้งั น้นั บางคนเรียนต้งั แต่ ม.๑ – ๖ น่ีก็
เพราะไดอ้ าศยั พ่อทา่ นคร้ืน เป็นผเู้ บิกทาง เปิ ดแสงสวา่ งให้ ทา่ นจึงเป็นปชู นียบคุ คลที่ควรแก่การไหว้
กราบเป็นอยา่ งยง่ิ

ท่านเกิดเมื่อวนั ที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๕๑ หมทู่ ่ี ๑๒ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง (ปัจจุบนั คื
ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง) เป็นบุตรของนายเขบ็ – นางเน้ียว อินทนู

ท่านไดอ้ ปุ สมบทท่ีวดั สวนขนั (วดั คุดดว้ น) เป็นพระภิกษุคร้ืน ไดร้ ับฉายาวา่ “โสภโณ” ซ่ึง
หมายถึงพระผงู้ ดงามเป็นศรีสงา่ ในพระศาสนา เป็นศิษยข์ องพอ่ ทา่ นคลา้ ย ทา่ นไดเ้ รียนพระธรรมวนิ ยั
จนกระทง่ั สอบผา่ นนกั ธรรมตรี มาถึงตอนน้ีพ่อท่านคลา้ ยใชส้ รรพนามเรียกพอ่ หลวงคร้ืนวา่ “คุณ
คร้ืน” ส่วนพ่อหลวงคร้ืนเรียกพ่อทา่ นคลา้ ยวา่ “อาจารย”์

-บวชได้ ๕ พรรษา พ่อท่านคลา้ ยไดใ้ หม้ าอยวู่ ดั จนั ดี ตอ่ มาก็ไดร้ ับการแตง่ ต้งั เป็นเจา้ อาวาส
วดั จนั ดี

-ในปี พ.ศ.๒๔๙๒ ซ่ึงเป็นปี ที่พอ่ ท่านคลา้ ยไดร้ ับเลื่อนสมณศกั ด์ิที่ พระครูพสิ ิฐอรรถการ พอ่
หลวงคร้ืนก็ไดร้ ับการแต่งต้งั จากเจา้ คณะอาเภอฉวาง ใหเ้ ป็นพระใบฎาคร้ืน โสภโณ ตาแหน่ง
ฐานานุกรมในคราวน้นั ดว้ ย ทา่ นเป็นปชู นียบคุ คลที่ทาประโยชนไ์ วก้ บั ทอ้ งถิ่นเป็นอเนกประการ
โดยเฉพาะเรื่องการบารุงพระศาสนาและการศึกษาของกุลบุตรกลุ ธิดาท้งั หลาย ดงั น้ี

๑.ในด้านพระศาสนา
- วดั จนั ดี หรือวดั ทุ่งปอน(เพ้ยี นมาจากคาวา่ “ทุ่งบอนเพราะมีตน้ บอนคลองข้ึนอยู่

มาก) มีประวตั ิวา่ ต้งั ข้นึ เม่ือปี พ.ศ.๒๔๓๗ ไดร้ ับวิสุงคามสีมาเม่ือปี พ.ศ.๒๔๙๓ เขตวสิ ุงคามสีมา
กวา้ ง ๑๕ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ท่ีดินวดั มี ๒๐ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา ต้งั อยเู่ ลขที่ ๕๗ บา้ นทุ่งปอน หมู่
ท่ี ๑ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง สงั กดั มหานิกาย

ในสมยั ท่ีพอ่ หลวงคร้ืนเป็นเจา้ อาวาสน้นั ทา่ นไดก้ ่อสร้างและพฒั นาทางดา้ นวตั ถุ เสนาสนะ
ไวม้ าก ไดส้ ร้างกฎุ ีข้นึ หลายหลงั ท้งั ใหพ้ ระและเดก็ นกั เรียนอย่อู าศยั โดยเฉพาะกุฎียาว ๑ หลงั แต่
ตอ่ มาถูกดดั แปลงไปบางส่วนแลว้ ส่วนกฎุ ีอื่น ๆ ท่ีทา่ นไดส้ ร้างไวถ้ กู ร้ือถอนไปหมดและสร้างใหม่
ข้นึ มาแทน ยงั เหลือท่ีต้งั เด่นเป็นสง่าอยกู่ ค็ ือพระอุโบสถ ซ่ึงพอ่ หลวงคร้ืนมีส่วนสาคญั ในการ
เสริมสร้างและพฒั นามาตลอด

๒.การพฒั นาโรงเรียนพงึ่ ตนเอง ที่นี่ไดช้ ่ือวา่ เป็นแหล่งให้กาเนิดความเจริญเติบโตของคนใน
พ้ืนท่ีอาเภอชา้ งกลางแทบทุกเหลา่ ทุกรุ่น ต้งั แต่นกั กฎหมาย นกั การปกครอง นกั การเมือง นกั

๒๗๗

ประวตั ิศาสตร์ กวี ลว้ นแลว้ แตเ่ ป็นศิษยข์ องโรงเรียนพ่งึ ตนเอง ความสาเร็จของบุคคลท้งั หลายลว้ น
ถือไดว้ า่ พ่อท่านคร้ืน หรือพระใบฏีกาคร้ืน โสภโณ มีส่วนสาคญั ในการสร้างความเจริญของบคุ คล
เหลา่ น้ีข้นึ มา

- เร่ิมแตใ่ นปี พ.ศ.๒๔๘๘ พอ่ ท่านคร้ืนไดด้ าเนินการรับมอบโรงเรียนพ่งึ ตนเองจากครูมี
จนั ทร์เมือง ซ่ึงต้งั อยเู่ ดิมในสวนเกษมสุขของครูมี มาอยูท่ ี่วดั จนั ดี จดั สถานท่ีเรียนคร้ังแรกคือโรงครัว
ยาว ซ่ึงอยตู่ ิดริมคลองจนั ดี ถึงฤดูน้าทว่ มตอ้ งนง่ั เรือพายท้งั พระ ครูและนกั เรียน ไดร้ ับความลาบาก
มาก รุ่นแรก ๆ ยงั มีผเู้ ขา้ เรียนนอ้ ย ต่อมาไดย้ า้ ยหอ้ งเรียนมาอยใู่ นโรงธรรมวดั จนั ดี จดั ช้นั เรียนต้งั แต่
ม.๑ – ม. ๕ เพราะ ม.๖สมยั น้นั สอบตกกนั มาก

- ลว่ งถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ทา่ นไดท้ าการปรับปรุงหอ้ งเรียน จดั ทาท่ีนงั่ แบบอฒั จนั ทร์ นงั่ เรียน
โตะ๊ ละ ๒ คน มีนกั เรียนเท่าท่ีบนั ทึกไวค้ ือ นายติ้น ภู่พงศ์ นายถวิล ไพรสณฑ์ น.ส.จิรา ศิริมาศ
นายชาลี วงศส์ วสั ด์ิ และนกั เรียนคนอื่น ๆ อีประมาณ ๒๐ – ๓๐ คน สมยั น้นั ท้งั ครูและนกั เรียนอาศยั
อยใู่ นวดั เพราะการไป-มาไม่สะดวก และเนื่องจากเด็กท่ีเขา้ มาเรียนยงั มีนอ้ ย พ่อท่านคร้ืนและนาย
เปลี่ยน หยทู องอินทร์ เที่ยววงิ่ เตน้ หาเด็กมาเรียนจากอาเภอลาทบั จงั หวดั กระบ่ี พิปูน บา้ นนาสาร
บา้ นปลายน้าโกงเหลง บา้ นส้อง บา้ นนาเดิม ทงุ่ สง ทุง่ ใหญ่ ตลอดถึงอาเภอหลงั สวน จงั หวดั ชุมพรก็
มี

- ในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ เมื่อไดน้ กั เรียนเพิม่ มากข้นึ หอ้ งเรียนมีอยเู่ ดิมไมพ่ อ จึงจดั ให้เรียนใน
โรงรถ โรงไฟฟ้า มาถึงปี น้ีครูสงค์ ชาญสวสั ด์ิ ซ่ึงเป็นครู่ใหญ่ ทาการสอนในโรงรถ พ้นื ดิน ฝาก้นั
ไมร้ ะแนง

- คร้ันถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๕ โรงเรียนพ่งึ ตนเองไดร้ ับครูเพม่ิ ข้นึ มีครูสุมิตร นุรักษ์ ครูจรัส นุ
รักษ์ ครูจุรีย์ ตนั ติชูเกียรติ ครูทิพยรันต์ โชติกุลชร ครูสาธร นุรักษ์ ครูวชิ ยั แสงพลสิทธ์ิ ส่วน
ทางดา้ นดนตรีกม็ ีครูจรวย สงสาร ทา่ นผนู้ ้ีจบจากเตรียมธรรมศาสตร์และการเมือง แตถ่ นดั ดา้ น
ดนตรีสากล เดิมอยใู่ นคณะละครจนั ทร์เสน่ห์ มาเปิ ดการแสดงอยทู่ ่ีโรงภาพยนตร์ของนายมณฑล ที่
ตลาดจนั ดี

- ต่อมาเมื่อโรงเรียนไดร้ ับการรับรองวทิ ยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาลแลว้ เมื่อปี พ.ศ.
๒๔๙๙ เพราะผลการเรียนการสอนของโรงเรียนโดดเด่น พ่อท่านคร้ืนใหท้ างโรงเรียนจดั หาครูมา
สอนภาษาองั กฤษ คร้ังแรกก็ไดค้ รูแขก ชื่อ “สงั ขารา” สอนอยู่ ๒ ปี ถดั มาก็จา้ งครูฝร่ังชาวออสเตรเลีย
สญั ชาติอเมริกนั ช่ือ “ฮิวเบิร์ต เฟร็นด”์ (ช่ือสายลบั วา่ โจเซฟ คายส์ เพราะเป็นสายลบั ใหก้ องทพั
สหรัฐอเมริกา) สอนอยหู่ ลายปี

- ยอ้ นไปในปี ๒๔๙๖ ท่านไดส้ ร้างอาคารเรียนข้ึนใหม่ ๑ หลงั ขนาด ๑๐ หอ้ งเรียน พร้อมมี
จวั่ มมุ ๒ หอ้ งสาหรับเป็นห้องพกั ครู และหอ้ งสมดุ ท้งั หมดน้ีไดอ้ าศยั บารมีพอ่ ทา่ นคลา้ ยจนสาเร็จ
การ

๒๗๘

- ในช่วงต่อมาไดส้ ร้างโรงเรียนพ่ึงตนเองข้ึนใหมท่ ี่โคกไมแ้ ดงซ่ึงติดกบั สถานท่ีสร้างวดั ธาตุ
นอ้ ยอีก ๑ หลงั แลว้ ยา้ ยนกั เรียน ม.๕ – ๖ มาเรียนท่ีนี่ พร้อมกบั เริ่มปรับพ้นื ท่ีหนา้ โรงเรียนเพ่ือสร้าง
เจดียพ์ ่อท่านคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ

-คร้ันต่อมา ไดส้ ร้างอาคารโรงเรียนพ่ึงตนเองทางดา้ นหลงั เพมิ่ อีก ๑ หลงั ๘ หอ้ งเรียน แลว้
ยา้ ยนกั เรียนท้งั หมดที่เคยเรียนอยใู่ นอาคารหลงั เก่าวดั จนั ดีมาอยอู่ าคารหลงั ใหม่ท่ีโคกไมแ้ ดง ส่วน
อาคารหลงั เก่าท้งั ๑๐ ห้องเรียนยกใหโ้ รงเรียนวดั จนั ดีต่อไป

๓. การอุปถมั ภ์โรงเรียนวดั จันดี เดิมทีโรงเรียนวดั จนั ดีเปิ ดสอนยใู่ ตถ้ นุ กุฎีสูงของวดั จนั ดี
คร้ันต่อมาโรงเรียนไดร้ ับงบประมาณจากทางราชการสมทบเพยี งเลก็ นอ้ ย เพ่ือสร้างอาคารเรียนตาม
แบบ บ ๑ ก. จานวน ๘ หอ้ งเรียน แต่ดว้ ยงบของทางราชการสนบั สนุนมีไมพ่ อ พอ่ ท่านคร้ืนฯ จึงเป็น
กาลงั สาคญั หลกั จา้ งคนมาทากระเบ้ืองมงุ หลงั คาดว้ ยปนู ซิเมนต์ โดยไดจ้ า้ งช่างจากโคกคราม ๔ คน
ท้งั จา้ งเล่ือยไมเ้ คร่ืองทาอาคาร ทาการสร้างอาคารเรียนจนสาเร็จ ยา้ ยนกั เรียนท้งั หมดจากใตถ้ นุ กฎุ สุ ูง
มาเขา้ เรียนในอาคารใหม่ พ่อทา่ นคร้ืนฯ ไดใ้ ชพ้ ลงั และความเพียรอยา่ งยงิ่ ยวดเพอื่ การศึกษาของ
ลกู หลานไทย และไมไ่ ดจ้ บแค่น้ี ทา่ นยงั ไดด้ าเนินการสร้างอาคารโรงเรียนพ่ึงตนเอง ๑๐ หอ้ งเรียน
ดงั กล่าวแลว้ ขา้ งตน้

๔. การพฒั นาบคุ ลากร หลงั จากที่โรงเรียนพ่งึ ตนเองไดม้ าอยใู่ นความอปุ การะของพ่อท่าน
คร้ืน ก็มีนกั เรียนชาย-หญิงเขา้ มาเรียนจานวนมากข้นึ ทกุ ปี จึงตอ้ งเปิ ดวดั จนั ดีใหน้ กั เรียนท่ีมาจากต่าง
ถ่ินไกล ๆ เขา้ พกั ท่ีวดั พร้อมท้งั ครูชาย-หญิงท่ีเป็นโสดดว้ ย สาหรับผหู้ ญิงน้นั ท่านให้อยทู่ ่ีโรงครัว ซ่ึง
เป็นอาคารใหม่ ใหผ้ ลดั เวรเกณฑก์ นั ทาอาหารกินเอง มีอยปู่ ระมาณ ๕๐ คน ส่วนท่ีเป็นผชู้ ายท้งั ครู
และนกั เรียน ทา่ นใหพ้ กั อยตู่ ามกุฎตา่ ง ๆ ภายในวดั ผลดั กนั ทาอาหารกินเองเช่นกนั มีอยปู่ ระมาณ ๔๐
คน

พ่อทา่ นคร้ืนฯ เป็นคนเห็นแก่อนาคตของเยาวชน ช้ีแนะแนวทางในการอยรู่ ่วมกนั ในสังคม
ใหท้ กุ คนช่วยเหลือกนั ใหม้ ีความสามคั คตี อ่ หมคู่ ณะ นกั เรียนท่ีเรียนจบจากโรงเรียนพ่ึงตนเอง บาง
คนท่านก็ส่งใหเ้ รียนตอ่ บางคนก็หางานใหท้ าตามความเหมาะสมดว้ ย ความมุมานะบากมนั่ ในการนา
โรงเรียนพ่งึ ตนเองและโรงเรียนวดั จนั ดีใหเ้ จริญดงั กล่าวน้ีเกิดจากจิตวญิ ญาณอนั เป็นพลงั ในตวั ท่าน
โดยเฉพาะการไดต้ ิดตามพ่อท่านคลา้ ยไปโน่น-มาน่ีมิไดข้ าด ทาใหท้ า่ นไดร้ ู้จกั และไดร้ ับการช่วยเหลือ
กิจการของโรงเรียนจากบคุ คลสาคญั ดงั ต่อไปน้ี

๑.ท่านผหู้ ญิงละเอียด พิบลู สงคราม ภรรยา จอมพล ป. พิบูลสงคราม
๒.คณุ หญิงเล่ือน ญาโณทยั
๓. ดร.แสงหยดุ แสงอทุ ยั
๔. คุณหมอสมพร มิตรกลู
๕.คณุ หญิงรามราชภกั ดี

๒๗๙

๖.นายธวชั ชยั บญุ ญะโยธิน
- ท่านท่ีออกนามมาขา้ งตน้ ลว้ นแต่เป็นส่วนสาคญั ในการใหค้ วามช่วยเหลือกิจกรรมของ
โรงเรียนพ่งึ ตนเอง จนโรงเรียนมีชื่อเสียง ทาใหม้ ีนกั เรียนเพม่ิ มากข้ึนเร่ือย ๆ ประมาณ ๗๐๐ – ๘๐๐
คน ซ่ึงต่อมามีช่ือเสียงกระฉ่อนไปไกล ผลการเรียนระดบั ช้นั หลกั คอื ม.๓ และ ม.๖ โดดเด่น เป็นผล
ใหท้ างราชการยอมรับและใหก้ ารรับรองวทิ ยฐานะเทียบเท่าโรงเรียนรัฐบาล ในปี ๒๔๙๙
- นกั เรียนท่ีจบไปจากโรงเรียนพ่งึ ตนเองน้ี แทบทุกคนไดไ้ ปเรียนต่อและออกทางานสร้างชาติ
สร้างบา้ นเมือง ประสบความสาเร็จในชีวิต โดยแยกยา้ ยกนั ไปทาหนา้ ท่ีท้งั ตุลาการ นกั กฎหมาย
นกั การปกครอง นกั การทหาร ตารวจ ครู-อาจารย์ กวยี อดเยยี่ มแห่งกรุงรัตนโกสินทร์สมโภช ๒๐๐ ปี
ผบู้ ริหารองคก์ รรัฐวิสาหกิจ ธุรกิจเอกชน ท่ีเป็นนกั การเมืองกป็ ระสบความสาเร็จสูง ยกตวั อยา่ ง เช่น
นายถวิล ไพรสณฑ์ อดีตรองประธานสภาและรัฐมนตรีวา่ การทบวง นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ อดีต
รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการ ดงั น้ีเป็นตน้ ฯลฯ
๕.คู่บุญของพอ่ ทา่ นคลา้ ย
ดว้ ยเหตุสาคญั ที่พอ่ ทา่ นคร้ืนมีความสมั พนั ธ์กบั พ่อทา่ นคลา้ ยวาจาสิทธ์ิในหลายกรณี จึงเป็น
บุญบารมีส่งเสริมใหท้ ่านทางานใหญ่ ๆ ท้งั หลายสาเร็จลลุ ว่ งไปดว้ ยดี จนคนท้งั หลายกลา่ ววา่ เป็น
คบู่ ญุ คู่ความดีกบั พ่อท่านคลา้ ยดว้ ยเหตุดงั น้ี

- ท้งั พอ่ หลวงคร้ืนและพ่อท่านคลา้ ยเป็นญาติกนั
- พอ่ ทา่ นคลา้ ยมีฐานะเป็น “อาจารย”์ ชนิดท่ีมีลูกศิษยอ์ ยา่ งหลวงพอ่ คร้ืนอยใู่ กลช้ ิด
ตลอดเวลา
- เป็นคู่สร้างความดีมาดว้ ยกนั ไมว่ า่ พอ่ ท่านคลา้ ยจะไปสร้างสิ่งที่เป็นวิหารทาน หรือ
อะไร ณ ที่ไหนก็ตาม จะมีพระใบฎีกาคร้ืน โสภโณติดตามไปดูแลทา่ นทุกแห่ง ในยามปกติหรือ
เจบ็ ป่ วยหลายวนั หากพระใบฎีกาคร้ืนไม่ไดไ้ ปดว้ ย พ่อท่านคลา้ ยจะส่งข่าวมาใหท้ ่านทราบ กรณี
เช่นน้ีพระใบฎีกาคร้ืนจะรีบไปหาพอ่ ท่านคลา้ ยและรับกลบั วดั จนั ดีเสมอเหมือนรู้ใจกนั จนคน
ท้งั หลายพูดติดปากวา่ “ ทา่ นคร้ืนมา พอ่ ทา่ นกลบั ”
- วดั ธาตุนอ้ ยท่ีไดม้ ีข้ึนบนโลกใบน้ี หากมีแตพ่ ระใบฎีกาคร้ืน วดั ธาตนุ อ้ ยก็ไม่เกิด
หากมีแตพ่ ่อทา่ นคลา้ ย ไมม่ ีพระใบฎีกาคร้ืน วดั ธาตุนอ้ ยกไ็ ม่เกิด ดงั น้นั ท้งั สองท่านน้ีจึงเป็นคบู่ ารมี
สร้างความดีร่วมกนั ดงั จะยกตวั อยา่ งตอนเริ่มสร้างวดั ธาตุนอ้ ย ซ่ึงเริ่มต้งั แต่ปี ที่ วดั จนั ดีโดยพอ่ หลวง
คร้ืนเจา้ อาวาส ไดร้ ับบริจาคที่ดินที่โคกไมแ้ ดง ๔๐ ไร่จากผใู้ หญก่ ลบั งามพร้อม ทา่ นไดร้ ิเริ่มใชท้ ่ีดิน
ตรงน้ีสร้างเจดียพ์ ่อทา่ นคลา้ ยและสร้างโรงเรียนพ่งึ ตนเองแห่งใหม่ ดงั น้นั ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ หลวงพอ่
คร้ืนฯจึงไดน้ ิมนตพ์ อ่ ท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิมาสร้างเจดียธ์ าตุนอ้ ยต้งั แต่บดั น้นั เป็นตน้ มา จนบดั น้ี
(๒๕๖๐) วดั ธาตุนอ้ ยไดเ้ จริญวิวฒั นาการพร้อมสรรพดว้ ยพทุ ธสถานสาคญั อนั มีเจดียอ์ นุสรณ์ พระ
พุทธไสยาสน์ “พระพุทธศรีนครธรรม” รอยพระพทุ ธบาท พระอโุ บสถ ศาลาการเปรียญ ศาลา

๒๘๐

เอนกประสงค์ และเสนาสนะมากมายอนั ประกอบดว้ ย กุฎีสงฆ์ ๑๐ หลงั ศาลาบาเพญ็ กุศล ฌาปน
สถาน หอระฆงั เรือนเก็บพสั ดุ รวมถึงกฎุ ิเจา้ อาวาส ช่ือเสียงของวดั ธาตนุ อ้ ยดงั กระฉ่อนไปทว่ั
ประเทศ ดว้ ยเหตุอนั เกิดจากบุญบารมีของท่านท้งั สองคือพ่อหลวงคร้ืนกบั พอ่ ท่านคลา้ ย เป็นปฐมบท
เป็นท่ีมาแห่งเกียรติยศ มองในวงแคบ ๆ ก็บา้ นจนั ดี บา้ นหลกั ชา้ ง เกียรติยศขยายออกไปเป็นอาเภอ
ชา้ งกลาง-ฉวาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช และปักษใ์ ตท้ ้งั หมด

ในที่สุดหลวงพอ่ คร้ืนก็ถึงแก่กรรมในเพศฆราวาสเมื่อวนั ท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๑๗ สิริอายไุ ด้
๖๖ ปี ทา่ นไดส้ ร้างประโยชนใ์ หก้ บั ชาติบา้ นเมืองมากมายเหลือคณานบั โดยเฉพาะการสร้างและ
ทะนุบารุงโรงเรียนพ่งึ ตนเอง อนั เป็นศูนยป์ ลูกขมุ ปัญญาวุธใหแ้ ก่อนุชนคนของชาติไดเ้ จริญกา้ วหนา้
ศิษยานุศิษยท์ ี่เรียนไปจากโรงเรียนพ่ึงตนเอง โรงเรียนวดั จนั ดี ท้งั หลายไดส้ านึกในบุญคุณของทา่ นที่
บาเพญ็ เพยี รพยายามมาตลอด ไดร้ ่วมใจกนั แสดงกตเวทิตาธรรมต่อท่านโดยการ

- หล่อรูปเหมือนของทา่ นประดิษฐานไวท้ ่ีวดั ธาตุนอ้ ย
- จดั ต้งั มูลนิธิพ่อหลวงคร้ืน โสภโณ
-จดั บาเพญ็ กศุ ลรอบปี เพ่ืออุทิศให้ทา่ นทุกวนั ที่๑๐เมษายนของทุกปี

๖.พ่อท่านสอน หรือพระเดชพระคุณ ท่านเจา้ คณุ “พระราชสิริธรรมมงคล”(สอน ฐิตวีโร) เกิด
ท่ีบา้ นจนั ดี ทงุ่ เจียก หมู่ ๓ ท่านงดงามอยใู่ นพระศาสนาต้งั แต่ออกบวชเม่ือปี ๒๔๙๘ ไดร้ ับแต่งต้งั
ใหเ้ ป็นเจา้ อาวาสวดั มะนาวหวานเมื่อปี ๒๕๐๗ เร่ิมตน้ เป็นพระครูสมุห์ ฐานานุกรมของพระธรรม
นาถมุนี แลว้ เจริญไพบลู ยข์ ้ึนตามลาดบั ไดร้ ับพระราชทานสมณศกั ด์ิเป็นพระครูสัญญาบตั รท่ี “สถิต
วหิ ารธรรม” เลื่อนข้นึ เป็นช้นั โท ช้นั เอก ไดร้ ับรางวลั ตา่ ง ๆ มากมายท้งั จากคณะสงฆ์ บา้ นเมือง
องคก์ รต่าง ๆ กระทงั่ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลท่ี ๙ ทรงทราบในกศุ ลศีลาจารวตั ร และ

๒๘๑

การปฏิบตั ิกรณียกิจตา่ ง ๆ จึงไดเ้ สดจ็ พระราชดาเนินพร้อมดว้ ยพระบรมวงศานุวงศม์ ายกช่อฟ้า

อโุ บสถวดั มะนาวหวานเม่ือ ๒๐ กนั ยายน ๒๕๑๙ ท้งั ยงั โปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ

สยามบรมราชกมุ ารีเสด็จพระราชดาเนินแทนพระองคม์ าเททองหลอ่ พระพุทธสิหิงส์จาลอง และเปิ ด

ศาลาเฉลิมพระเกียรติเม่ือ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ กระทง่ั ถึงปี ๒๕๓๙ ไดท้ รงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ

ยกวดั มะนาวหวานข้ึนเป็นพระอารามหลวง หลงั จากน้นั ท่านก็ไดร้ ับปริญญามหาบณั ฑิตกิตติมศกั ด์ิ

“สาขาสังคมศาสตร์เพ่ือการพฒั นา” จากมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครศรีธรรมราช

ความเจริญงอกงามไพบลู ยใ์ นพระพทุ ธศาสนาของท่านมีมาเป็นลาดบั กระทง่ั ไดร้ ับ

พระราชทานสมณศกั ด์ิ เป็นพระราชาคณะมีราชทินนามวา่ “พระสิริธรรมราชมนุ ี” มีตาแหน่งเป็น

“รองเจา้ คณะจงั หวดั ” และหลงั จากน้นั ก็ไดเ้ ป็นที่ปรึกษาเจา้ คณะจงั หวดั นครศรีธรรมราช ต่อมาในปี

๒๕๖๒ ไดร้ ับเล่ือนสมณศกั ด์ิข้นึ เป็นพระราชาคณะช้นั ราช ในราชทินนามวา่ “พระราชสิริธรรม

มงคล” เพราะเนื่องมาจาก

๑. ทา่ นพฒั นาวดั บา้ นนอกธรรมดา เดิมไมม่ ีอะไร อาศยั ความอดทน ความขยนั ความต้งั ใจ

จริง จนวดั มีความมน่ั คงเป็นปึ กแผน่ เป็นอารามรื่นรมยร์ ่มเยน็ สร้างคนใหเ้ กาะติดวดั ได้

๒ สร้างคนใหเ้ ป็นมนุษยโ์ ดยส่งเสริมการศึกษา ติดอาวุธทางปัญญาใหแ้ ก่เดก็ ต้งั สานกั เรียน

ท้งั แผนกธรรมและบาลี มีการใหท้ นุ การศึกษาแก่นกั เรียนโรงเรียนต่าง ๆ ทกุ ปี

๓. สามารถพลิกผนั ตน้ ทนุ ชีวติ มนุษยแ์ ต่ละคนที่ท่านไดส้ ัมผสั ทาใหเ้ กิดประโยชน์แก่สังคม

ประเทศชาติและตนเองได้

๔. สามารถใชค้ นใหท้ างานเพือ่ ส่วนรวมโดยแรงศรัทธาเป็นพ้ืนฐานเตม็ ร้อย

๕. สามารถสร้างมนุษยสัมพนั ธ์ใหช้ นทกุ ช้นั นอ้ มเขา้ มาร่วมดว้ ยช่วยกนั อนั เป็นเกียรติเป็น

ศกั ด์ิศรีแก่วดั และชุมชนจนเลื่องลือไปไกลทว่ั ทุกทิศ

๕.สามารถประนอมยอมความในคดีตา่ ง ๆ ของคนในทอ้ งถ่ินใหต้ ้งั อยใู่ นสามคั คีธรรมได้

น่ีคือค่าของคนเกิดจากผลของงานซ่ึงสามารถเห็นเป็นรูปธรรมมาตลอดกาลอนั ยาวนาน

พระราชสิริธรรมมงคล

๒๘๒

จากอดีตอนั ยาวนานต้งั แต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ ขณะอายุ ๓๐ ปี เป็นพระธรรมดาท่ีชาวบา้ นเรียกกนั

วา่ ท่านสอน เร่ิมจากเลขศนู ย์ ไม่มีอะไร แต่ ๕๐ กวา่ ปี ท่ีผา่ นไป ท่านไดใ้ ชค้ วามเพียรพยายามอยา่ ง

ไมล่ ดละ มีความคิดริเริ่ม มีความอดทน มีความต้งั ใจจริง และทาจริง ๆ ติดต่อกนั สร้างคนให้

เกาะติดวดั ทาคนใหเ้ ป็นมนุษย์ ทาป่ าใหเ้ ป็นบา้ นเป็นเมือง นาคนทุกระดบั ช้นั ให้นอ้ มเขา้ มาหาดว้ ย

ศรัทธา น่ีคือหนทางแห่งการช่วยแกป้ ัญหาชีวติ มนุษย์ สมกบั ท่ีกวเี อ้ือม อบุ ลพนั ธก์ ล่าวถึงท่านไวใ้ น

เกสรบวั ตอนหน่ึงวา่

“ภิกษหุ น่ึงทรงศีลสิกขาบท พากเพียรอดทนสร้างมหากศุ ล

จากรากหญา้ สามญั บรรพชน ถวายตนเป็ นทาสพระศาสดา

บาเพญ็ พรตปลดเปล้ืองมลทินโทษ เปรมปราโมทยม์ นั่ ในไตรสิกขา

สร้างโรงเรียนบา้ นวดั ใหพ้ ฒั นา เป็ นเวลาไกลลิบสี่สิบปี

ใชก้ ารศึกษาสร้างสันติภาพ ใชบ้ ญุ มาลา้ งบาปใหส้ ุขศรี

ใชค้ วามรักลา้ งชงั ต้งั ไมตรี ใชน้ ้ารดอคั คีใหด้ บั ลงฯ

...........

๑๑.๒ ฝ่ ายฆราวาส

๑. หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั )

หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั )เป็นเจา้ กรมชา้ งกลางคนสุดทา้ ยของเจา้ พระยานคร ถือศกั ดินา ๑๒๐๐

เป็นเจา้ กรมระหวา่ ง พ.ศ.๒๔๐๓ – ๒๔๓๙( สมยั ร.๔ – ร.๕)”

ประวตั ิของหลวงไชยศรศิลป์ คนน้ีมีภรรยามากถึง ๑๒ คน มีบตุ รชายหญิง ๑๓ คน ไมท่ ราบ

วนั เดือนปี เกิดที่แน่นอน แต่ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๙ เป็นบรรพบุรุษของคนหลายตระกลู เช่น

ศิลปรัศมี เทพพิชยั ไชยศร ต้งั บา้ นเรือนอยทู่ ่ีโคกทือที่ซ่ึงกรมหลวงลพบรุ ีราเมศร์ ผสู้ าเร็จราชการ

มณฑลปักษใ์ ตเ้ คยเขา้ ประทบั แรมระหวา่ งตรวจราชการ โคกทือน้ียงั เป็นบา้ นเกิดของพ่อท่านคลา้ ย

วาจาสิทธ์ิ และคนหวั หมอดว้ ย

หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ) ถือวา่ เป็นเจา้ กรมคนสุดทา้ ยของกรมชา้ งกลาง ถือศกั ดินา ๑๒๐๐

เป็นเจา้ กรมระหวา่ ง พ.ศ.๒๔๐๓ – ๒๔๓๙( สมยั ร.๔ – ร.๕)” เพราะต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๔๑ เป็นตน้ มา

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลท่ี ๕ ไดป้ ฏิรูปการปกครองแผน่ ดินจากแบบ

จตสุ ดมภ์ เวียง วงั คลงั นา มาเป็นแบบกระทรวง ทบวง กรม โดยใช้ พระราชบญั ญตั ิปกครอง

ทอ้ งที่ ร.ศ.๑๑๖ และ ๑๑๗ มีเทศาภิบาลมณฑล ผวู้ า่ การเมือง มีกานนั ผใู้ หญ่บา้ น ข้นึ มาแทน เป็นผล

ใหก้ รมชา้ งกลางสลายตวั ลงต้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นตน้ มา

๒๘๓

หลวงไชยศรศิลป์ มีบุตรที่เป็นบคุ คลสาคญั ซ่ึงเป็นลกู สุดทอ้ ง คอื ขนุ ฉวางวิสิษฐ(์ ช่วง ศิลป
รัศมี) ผเู้ ป็นหน่ึงในคณะปราบขนุ โจรสีนุ่นท่ีบา้ นควนสา้ น เป็นกานนั ตาบลฉวางคนท่ีสอง และอีกคน
หน่ึงชื่อหมื่นเทพ(คลา้ ย เทพพชิ ยั ) ไดเ้ ป็นกานนั ตาบลชา้ งกลางคนท่ี ๒ ต่อจากหมื่นคชเขตมชั ฌิมานุ
การ(ปาน ไพรสณฑ)์

หลวงไชยศรศิลป์ (กลบั ศิลปะรัศมี) ถึงแก่กรรมเม่ือปี ๒๔๓๙ ไดม้ ีการฌาปนกิจศพที่เปรว(ป่ า
ชา้ )โคกหราด ที่ไดช้ ื่อน้ีเพราะตรงน้ีมีป่ าหญา้ หราดข้ึนอยเู่ ตม็ มีตน้ ไมใ้ หญข่ ้ึนเป็นหย่อม ๆ ป่ าชา้ โคก
หราดน้ีอยตู่ ิดกบั โคกทอ้ นในปัจจุบนั

๒.นายฉ่า ไพรสณฑ์ เป็นกานนั ตาบลชา้ งกลางนานที่สุด และถือไดว้ า่ เป็นผสู้ ร้าง
สรรคค์ วามเจริญใหท้ อ้ งที่มากท่ีสุด มีประวตั ิโดยยอ่ ดงั น้ี

เกิด พ.ศ.๒๔๓๔ เป็นบุตรหม่ืนคชเขตมชั ฌานุการ(ปาน ไพรสณฑ)์ อดีตกานนั ตาบลชา้ ง
กลางคนแรก ถึงแก่กรรมเม่ือ พ.ศ.๒๕๐๕ มีบุตรธิดาจากภรรยา ๓ คน จานวน ๙ คนคือ

๑.นายเคลา้ ไพรสณฑ์
๒.นางยพุ ิน สันตจิต
๓.นายแฉลม้ ไพรสณฑ์
๔. นางลาดวน ปรีชา
๕. นางประทีป กาญจนรักษ์
๖. นางสงวน ไศลแกว้
๗. ดาบตารวจอรุณ ไพรสณฑ์
๘. นายถวิล ไพรสณฑ์
๙. นางลดั ดา อินทวงศ์

๒๘๔

ผสู้ ืบสกลุ “ไพรสณฑ”์ น้ีไดเ้ ป็นกานนั ตาบลชา้ งกลางถึง ๓ คน คือ นายปาน ไพรสณฑ์ ผพู้ อ่
ไดเ้ ป็นหมื่นคชเขมชั ฌิมนุการ ต่อมากน็ ายฉ่า ไพรสณฑ์ ผบู้ ุตร และนายเคลา้ ไพรสณฑ์ ผเู้ ป็นหลาน

สาหรับกานนั ฉ่า ไพรสณฑน์ ้นั ท่านชอบกีฬาในร่มคือหมากรุก เป็นอยา่ งมาก หากวา่ งงาน
เม่ือใดจะเห็นทา่ นนงั่ โขกหมากรุกกบั ค่แู ขง่ ที่มีฝีมือ นายฉ่าฯเป็นผทู้ ี่มีคณุ ูปการต่อตาบลชา้ งมากมาย
ที่เห็นไดช้ ดั คอื การมอบที่ดินจานวน ๑๐๐ ไร่ร่วมกบั นายเอ่ียม แกมกิจ แพทยป์ ระจาตาบล ใหเ้ ป็นท่ี
สาธารณะประโยชนต์ ่อพระศาสนาและการศึกษา โดยแบง่ ใหเ้ ป็นท่ีสร้างวดั เทพกุญชร ๗๐ ไร่ ให้
เป็นที่สร้างโรงเรียนชุมชนบา้ นนาวา ๓๐ ไร่ต้งั แต่ พ.ศ.๒๔๙๒ เพราะในอดีตน้นั ทา่ นไดถ้ ือครองท่ีดิน
ที่อยใู่ นเขตหมทู่ ่ี ๗ ( ปัจจุบนั ) แห่งตาบลชา้ งกลางไวม้ าก

บุตรธิดาและประชาชนท่ีเคารพ ระลึกถึงคณุ วามดีของท่าน ไดส้ ร้างรูปหล่อเท่าตวั จริงดว้ ย
ทองสาริดในอิริยาบถยนื ประดิษฐานเป็นอนุสรณ์สถาน ณ บริเวณระหวา่ งวดั เทพกญุ ชรกบั โรงเรียน
ต้งั แต่ปี พ.ศ.๒๕๓๗

เม่ือคร้ังเปิ ดก่ิงอาเภอชา้ ง ในวนั ท่ี ๒๗ สิงหาคม ๒๕๓๙ ทางราชการไดใ้ ชอ้ าคารสถานท่ีวดั
เทพกุญชรเป็นท่ีทาการกิ่งอาเภอชา้ งกลางเป็นการชว่ั คราว เหลา่ ประชาชนที่ยงั ราลึกในคณุ ูปการท่ี
ท่านมอบให้ ไดแ้ วะเวียนไปเยย่ี มเคารพรูปอนุสาวรียข์ องทา่ นโดยมิขาด กข็ อบารมีความดีของทา่ น
จงใหค้ วามคมุ้ ครองไปชวั่ กาลนาน

๓.นายมี จันทร์เมือง เป็นชาวอาเภอท่าศาลา จงั หวดั นครศรีธรรมราช ถือไดว้ า่ เป็น
นกั การศึกษาคนสาคญั ของอาเภอฉวาง- ชา้ งกลางในอดีต เดิมเป็นครูใหญ่โรงเรียนประจาจงั หวดั ได้
ถกู ขอร้องจากอาจารยผ์ ดุ สุวฒฺฑโน ซ่ึงตอ่ มาคือพระพุทธิสารเถร แห่งวดั มหาธาตุฯ ใหล้ าออกจาก
ครูใหญม่ าเป็นกรรมการอาเภอฉวาง ช่ือกรรมการอาเภอต่อมาเป็นศึกษาธิการอาเภอ เพราะอาจารยผ์ ดุ
เห็นวา่ คนในฉวางชา้ งกลางยงั อ่อนดอ้ ยต่อการศึกษา เมื่อนายมี จนั ทร์เมือง มาเป็นศึกษาธิการอาเภอ
ฉวาง ไดด้ าเนินการจดั ต้งั โรงเรียนในระดบั ประถมศึกษามากมาย โดยเฉพาะตาบลชา้ งกลางมีมากถึง
๑๑ โรง ใหห้ มายเลขโรงเรียนตามลาดบั ต้งั ก่อนหลงั ดงั น้ี

๑) โรงเรียนวดั หลกั ชา้ ง เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๑
๒) โรงเรียนวดั มะนาวหวาน เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๒
๓) โรงเรียนวดั จนั ดี เนโรงเรียนชา้ งกลาง ๓
๔)โรงเรียนวดั ควนส้าน เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๔
๕) โรงเรียนบา้ นนา เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๕
๖) โรงเรียนบา้ นคลองงา เป็นโรงเรียนชา้ งงกลาง ๖
๗) โรงเรียน บา้ นคลองกยุ เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๗
๘) โรงเรียน บา้ นนาวา เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๘
๙. โรงเรียน ควนตม เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๙

๒๘๕

๑๐) โรงเรียนบา้ นนาปราน เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๑๐
๑๑) โรงเรียนองคก์ ารสวนยาง ๑ เป็นโรงเรียนชา้ งกลาง ๑๑
นอกจากริเริ่มจดั ต้งั โรงเรียนดงั กลา่ วแลว้ นายมี จนั ทร์เมืองยงั ไดเ้ ป็นผใู้ หก้ าเนิดโรงเรียน
ราษฎร์ ระดบั ช้นั มธั ยม โดยใหช้ ื่อวา่ “โรงเรียนพ่งึ ตนเอง” ต้งั ในท่ีดินของตนเอง ตอ่ มาโรงเรียนน้ีได้
ยา้ ยเขา้ มาอยใู่ นวดั จนั ดีในความอุปถมั ภข์ องพระใบฎีกาคร้ืน โสภโณ เจา้ อาวาสวดั จนั ดี ซ่ึงเป็น
โรงเรียนราษฎร์แห่งเดียวในตาบลชา้ งกลางที่ไดผ้ ลิตนักเรียนจนจบมธั ยม ๖ เป็นผลใหค้ นในพ้นื ท่ีน้ีมี
ปัญญาวุธ ยกระดบั ไดศ้ ึกษาต่อ มหาวทิ ยาลยั และไดเ้ ป็นครู อาจารย์ เป็นปราชญ์ กวี เป็นนกั กฎหมาย
นกั การเมือง ตลอดถึงไดเ้ ป็นรัฐมนตรี ก็มี ยกตวั อยา่ งเช่นนายถวิล ไพรสณฑ์ ไดเ้ ป็นรัฐมนตรีวา่ การ
ทบวงมหาวทิ ยา นายชินวรณ์ บณุ ยเกียรติ ไดเ้ ป็นรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการย นาวรรณดี
สรรพจิต เป็นกวีรัตนโกสินทร์สมโภช ๒๐๐ ปี ลว้ นแต่เป็นศิษยเ์ ก่าของโรงเรียนพ่ึงตนเองท้งั น้นั

๔.นายเอยี ด สันตจติ หรือ สรรพจิต มียศขนุ นางนามวา่ “หมื่นไกรปรีชาราษฎร์ผดุง”
เป็นชาวบา้ นคลองงา หมู่ท่ี ๒ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง(ขณะน้นั )

นายเอียด สันตจิต ไดช้ ่ือวา่ เป็นบุคคล ๕ แผน่ ดิน คือเกิดเมื่อเดือนกนั ยายน พ.ศ.๒๔๒๖ ซ่ึง
เป็นปี ที่รัชกาลที่ ๕ ครองราชยแ์ ลว้ ๑๕ ปี และถึงแก่กรรมเมื่อวนั ท่ี ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ซ่ึงเป็นปี ท่ี
รัชกาลท่ี๙ ครองราชยแ์ ลว้ ๒๔ ปี รวมอายไุ ด้ ๘๖ ปี สมยั ก่อนรัชกาลท่ี ๖ คนไทยยงั ไมม่ ีนามสกุลใช้
กนั การเรียกช่ือจะมีสร้อยตาม เพอ่ื บ่งช้ีใหช้ ดั เจนวา่ หมายถึงใคร ช่ือเอียดน้นั มีหลายคน เช่นเอียดดา
เอียดแดง ซ่ึงบ่งถึงผวิ สี แต่สาหรับนายเอียดคนน้ี ชาวบา้ นเรียกวา่ “เอียดหัวลาย” เพราะที่หวั มีลาย
เกิดข้นึ เองตามธรรมชาติ ไม่ไดส้ กั ยนั ตห์ รือเขียนข้ึนแต่อยา่ งใด
ภาพนายเอียด สนั ตจิตเม่ือคราวฉลองปริญญานายวรรณดี สรรพจิต เมื่อ๑๐ เมษายน ๒๕๐๘

๒๘๖

นายเอียด สันตจิต เป็นกวีที่สามารถใชศ้ ิลปกวีเป็นส่ือบอกเลา่ ข่าวสารเร่ืองราวใหช้ าวบา้ น
รับทราบ ยงิ่ ไปกวา่ น้นั ท่านยงั สามารถแตง่ เป็นจินตกวีนิยาย เลา่ นิทานท่ีแตง่ ข้นึ เองในเร่ือง “ศึกพระ
ยาแลน” และสามารถสอดมขุ ตลก อารมณ์ขนั คาสอน สุภาษิต และธรรมะ ลงในเร่ืองท่ีท่านแต่งทกุ
เรื่อง รวมท้งั เป็นผถู้ า่ ยทอดขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมทอ้ งถ่ินเมื่อ ๑๐๐ กวา่ ปี ท่ีผา่ นมา ใหเ้ รา
ไดร้ ับทราบในบทเพลงน้นั ๆ ดว้ ยลีลาภาษาอนั ไพเราะที่ผสมผสานระหวา่ งศพั ทส์ าเนียงใตก้ บั สาเนียง
กลางไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกลมกลืน

นายเอียดแตง่ เพลงยาวเลา่ เร่ืองท่ีเกิดข้ึนจริงในสมยั น้นั ไวก้ วา่ ๒๐ เรื่อง แตท่ ่ีเหลือมาจนถึง
ปัจจุบนั มีเพยี ง ๙ เรื่อง เพราะชมรมผสู้ ูงอายโุ รงพยาบาลสมเดจ็ พระยพุ ราชฉวาง-ชา้ งกลางไดพ้ ิมพไ์ ว้
เป็นอนุสรณ์ในโอกาสครบรอบ ๑๒๐ ปี กวีเอียดเม่ือปี พ.ศ.๒๕๔๖ หนงั สือเลม่ น้ีอยใู่ นสาระบบของ
มหาวิทยาลยั พายพั มหาวทิ ยาลยั บรู พา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ฯ ซ่ึงอาจหาอ่านไดจ้ ากแหลง่ อา้ งอิง
ดงั กล่าว เพลงยาว ๙ เร่ืองในหนงั สือดงั กลา่ วไดแ้ ก่

- บทไหวค้ รู
- โองการขบั ผี
- ศึกพระยาแลน
- คงคนธรรพ์
- ยกั ษแ์ ดงกวาง
- ยกั ษส์ งั ข์
- ทิดช่ืน
- นิราศแตกสามคั คี

๒๘๗

- นิราศลาตาย
บางเร่ืองดงั กล่าวขา้ งตน้ ศนู ยป์ ระสานเครือข่ายองคก์ รดาเนินงานผสู้ ูงอายุ จงั หวดั
นครศรีธรรมราชไดน้ าไปพิมพเ์ ผยแพร่เม่ือปี ๒๕๕๑ ดว้ ย
นอกจากเป็นกวผี แู้ ต่งเพลงยาวแลว้ นายเอียดยงั ไดช้ ื่อวา่ เป็นผพู้ พิ ากษาประจาหมู่บา้ น
สมยั ก่อนเมื่อมีกรณีพิพาทกนั ระหวา่ งชาวบา้ น ไม่วา่ จะเป็นเร่ืองเขตแดน เร่ืองของสูญหายเพราะเกิด
การขโมย หรือเกิดการทะเลาววิ าทกนั ดว้ ยเหตุใดกต็ าม ในหม่บู า้ นคลองงามีบคุ คลสาคญั ท่ีตดั สิน
กรณีพิพาทโดยไม่ตอ้ งข้นึ โรงข้นึ ศาลมีอยู่ ๒ คน คอื นายดา ตราชู และนายเอียด สันตจิต เม่ือเร่ือง
ขดั แยง้ ใดเกิดข้นึ จะมาถึงนายดาฯ ก่อน คนน้ีจะทาหนา้ ท่ีประนีประนอม ช้ีแจงใหร้ ู้เหตรุ ู้ผล กรณี
พพิ าทส่วนใหญ่มกั จบลงในช้นั น้ี แต่ถา้ เรื่องใดตกลงกนั ไมไ่ ด้ กน็ าข้ึนสู่นายเอียด สนั ตจิตให้
พิจารณาตดั สิน ซ่ึงเปรียบเสมือนศาลสูง เม่ือนายเอียดตดั สินฯแลว้ เรื่องขดั แยง้ กจ็ บลงดว้ ยดี ไมม่ ีใคร
ขดั ขนื บคุ คล ๒ ท่านน้ีเป็นท่ียอมรับนบั ถือกนั ทว่ั ไปในสมยั น้นั ดว้ ยเหตนุ ้ี นายเอียดฯ จึงไดร้ ับยศขนุ
นางท่ี “หม่ืนไกรปรีชาราษฎร์ผดุง”
นายเอียดเป็นบุตรของนายสิน สนั ตจิตและนางหนูกล่ิน หวานสนิท มีพ่ีนอ้ งร่วมบิดา-มารดา
๘ คน ตามลาดบั ดงั น้ี

๑. นางสีจนั ทร์ สมรสกบั นายยก ตราชู
๒. นายทน สมรสกบั นางสีนวล โพธ์ิชะฎา
๓. นายพดั สมรสกบั นางเจย้
๔. นางสีทองสมรสกบั นายภู่ ทิพย์
๕. นายเลื่อม สมรสกบั นางหนูน อาลอย
๖. นางสีแกว้ สมรสกบั นายพมุ่ บริรักษ์
๗. นายเอียด สมรสกบั นางสม้ ตราชู
๘ พระครูคีรีกนั ทร์คณานนั ท์ เจา้ คณะอาเภอลานสกา และเจา้ อาวาสวดั คีรีกนั ทร์
บุคคลท้งั ๘ ไดม้ ีลูกหลาน หลิน เหลนสืบสายขยายหน่อออกไปกวา้ งขวางร่วม ๔๐๐ สกลุ ใน
ปัจจุบนั ในช้นั ลูกของนายเอียดฯ ไมม่ ีใครสืบมรดกกวีไว้ แต่ในช้นั หลานไดส้ ืบรอยกวีของท่านไว้
ท้งั การจดจาทุกเรื่องที่ท่านแต่ง และนาไปแต่งเพ่มิ เติม ภายหลงั ไดพ้ ฒั นาการดา้ นกวีจนไดร้ ับคดั เลือก
ใหเ้ ป็นกวยี อดเยย่ี มในคราวสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี ในผลงาน “กวนี ิพนธ์เฉลิมเกียรติกรุง
รัตนโกสินทร์” นนั่ คือนายวรรณดี สรรพจิต ผเู้ ป็นหลาน หนงั สือกวีนิพนธเ์ ลม่ ดงั กล่าวน้ีรัฐบาลได้
พมิ พเ์ ผยแพร่ในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี เม่ือ พ.ศ.๒๕๒๕ จานวน ๖๐,๐๐๐ เล่ม
ก่อนเสียชีวิต ท่านไดแ้ ตง่ นิราศลาตายไวย้ ดื ยาว คือลาทุกอยา่ งที่เคยเป็นเครื่องใชไ้ มส้ อย ลาผล
หมากรากไมท้ ี่ทา่ นไดป้ ลกู ไว้ ลาพรรคพวกพี่นอ้ งเพ่ือนฝงู ลาลูกลาหลานท้งั หมดดงั ตวั อยา่ งตอนลา
ลูก ๆ ของทา่ นตอนหน่ึงวา่

๒๘๘

“...เณรแจง้ จ่างพ่อจะห่างจากเจา้ กนั นึกแลว้ กล้นั ชลนาน้าตาไหล

โอแ้ ต่น้ีจะดบั สารับใหใ้ คร หนูทรัพยซ์ อ้ นพ่อลาไปแลว้ ใจดี

พจนาของพ่อขอลาแลว้ ร่มโพธ์ิแกว้ โพธ์ิทองเศร้าหมองศรี

ร่มพธ์ิแกว้ คือองคช์ นนี สิ้นชีวีดบั ขนั ธ์เม่ือวนั ก่อน

ยงั แตร่ ่มโพธ์ิทองพ่อเจา้ เอง กลา่ วเป็นเพลงล่าลาสุดาสมร

ผใู้ หญเ่ วยี นแดงชอ้ งร้องเป็นกลอน เจา้ อยกู่ ่อนลกู น่ะพอ่ จะลาตาย”

๕. นายเอื้อม อุบลพนั ธ์ุ มีชีวติ อยรู่ ะหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๖๙ – ๒๕๕๗ ไดช้ ื่อวา่ เป็น

ปราชญแ์ ห่งชา้ งกลาง และกวา้ งไกลออกไปท้งั เมืองนครฯ เป็นผรู้ อบรู้ เช่ียวชาญเรื่องวฒั นธรรม

ประเพณี ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน เป็นที่ยอมรับนบั ถือ ยกยอ่ ง ในระดบั จงั หวดั และภาคใต้ มีความสามารถ

เป็นเอกดา้ นภาษา ท้งั ภาษาถิ่น ภาษาบาลี สนั สกฤต โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในดา้ นการประพนั ธบ์ ทร้อย

กรอง มีความชานาญในการแตง่ คาประพนั ธ์ทกุ ชนิด มีผลงานกลอนท่ีแต่งไดย้ อดเยี่ยมท้งั ฉนั ทลกั ษณ์

อรรถรส และการเรียงร้อยถอ้ ยคาอนั ประณีตที่ใหค้ วามหมายลึกซ้ึง กินใจ และความไพเราะดว้ ยลีลา

อารมณ์กลอนอนั เป็นเลิศ มีผลงานประพนั ธล์ งตีพิมพใ์ นนิตยสารตา่ ง ๆ อยา่ งสม่าเสมอ เช่นคอลมั น์

สรวงสวรรคช์ ้นั กวี ในนิตยสารวทิ ยาสารโดยนายตารา ณ เมืองใต้ หรืออาจารยเ์ ปล้ือง ณ นคร เป็นผู้

ประสาน ควบคุม ไดส้ ร้างช่ือเสียงใหเ้ ป็นที่รู้จกั ในนามนกั กลอนผมู้ ีความสามารถโดดเด่น ในส่วน

ของงานประพนั ธ์ท่ีส่งเขา้ ประกวดกบั หน่วยงานตา่ ง ๆ ไดร้ ับรางวลั ชนะเลิศเป็นจานวนมาก อาทิ

รางวลั นกั กลอนยอดเยยี่ มระดบั ประเทศ สโมสรสุนทรภู่

ความสามารถอีกดา้ นหน่ึง คือการพูด การใชภ้ าษาและถอ้ ยคาที่โนม้ นา้ ว จูงใจดว้ ยวาทศิลป์
และสมบรู ณ์ดว้ ยเน้ือหา ประเดน็ ความรู้ท่ีทนั เหตุการณ์ การแสดงแนวความคิดที่เฉียบคม เป็นนกั
โตว้ าทีฝีปากเอกท่ีเดินทางพร้อมคณะไปแขง่ ขนั โตว้ าทีในจงั หวดั ทว่ั ภาคใต้ ไดร้ ับรางวลั ชนะเลิศ
เหนือทีมอ่ืน ๆ ในยคุ ราวปี พ.ศ. ๒๕๑๐

๒๘๙

อาจารยเ์ อ้ือม อบุ ลพนั ธ์ เป็นแบบอยา่ งในการดาเนินชีวิตตามทานองคลองธรรม ความมี
ระเบียบวนิ ยั ยดึ มนั่ ในกฎเกณฑข์ องสงั คม และจารีตประเพณี ปฏิบตั ิหนา้ ที่ดว้ ยใจรัก ดว้ ยความ
รับผิดชอบ จริงจงั จริงใจ ความมงุ่ มนั่ ในการกอปรกิจที่เป็นประโยชน์ตอ่ ส่วนรวม และเป็นผใู้ หโ้ ดย
ไมห่ วงั ผลตอบแทน มีความรักหนกั แน่นในถ่ินฐานบา้ นเกิดและกตญั ญรู ู้คณุ เป็นผบู้ ริจาคท่ีดินส่วนตวั
สร้างสถานีอนามยั บา้ นจนั ดี ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง ๑ ไร่ ปัจจุบนั ไดย้ กฐานะข้ึนเป็น
“โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล บา้ นจนั ดี”

ดว้ ยความท่ีท่านเป็นผเู้ ชี่ยวชาญทางดา้ นวรรณศิลป์ เป็นนกั กลอน จึงมีผลงานหลากหลาย
และไดร้ ับรางวลั มากมาย เฉพาะที่สาคญั มีดงั น้ี

- ยอดกตญั ญูคากลอน แสดงเรื่องสุวรรณสามชาดก ซ่ึงพิมพเ์ ผยแพร่ในโอกาสต่าง ๆ
มาแลว้ ๙ คร้ัง อนุญาตใหพ้ มิ พแ์ จกเป็นกศุ ลวิทยาทาน

- หนงั สือเรื่อง “ความกตญั ญ”ู สาหรับสอนเดก็ ในงานพระราชพธิ ีวสิ าขบูชาปี
๒๕๒๖ ไดร้ ับพระราชทานรางวลั

- หนงั สือรวมบทร้อยกรองชื่อ “เกสรบวั ” จดั พิมพส์ าหรับงานสปั ดาหส์ ่งเสริม
พระพทุ ธศาสนาเนื่องในเทศกาลวิสาขบูชา ประจาปี ๒๕๔๒

- เป็นนกั กลอนดีเด่นของสโมสรสุนทรภู่ สมาคมภาษาและหนงั สือ สมาคมหอสมดุ
และหนงั สือพมิ พว์ ิทยาสารระจาปี ๒๕๑๔

- ไดร้ ับพระราชทานเกียรติบตั รจากสมเดจ็ พระสงั ฆราช สกลมหาสังฆปรินายกใน
ฐานะผบู้ าเพญ็ คณุ ประโยชน์เก้ือกลู กิจการศนู ยศ์ ึกษาพุทธศาสนา

- ไดร้ ับการคดั เลือกเป็นผทู้ าคุณประโยชน์ต่อพระพทุ ธศาสนา ประจาปี พ.ศ.๒๕๔๒
จากมหาเถรสมาคม เป็นผรู้ ิเริ่มผลกั ดนั สร้างวทิ ยาลยั เกษตรกรรมนครศรีธรรมราช

ฯลฯ
อนั เน่ืองมาแตไ่ ดบ้ วชหลายพรรษา ประจาอยวู่ ดั เบญจมบพิตร ร่าเรียนทางธรรมจนไดเ้ ปรียญ
ธรรม ๗ ประโยค ไดป้ ระกาศนียบตั รครูพิเศษมธั ยม อาชีพหลกั ของกวีเอ้ือม อุบลพนั ธ์จึงเป็นครูท้งั
ในโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนรัฐบาลร่วม ๓๐ ปี ระยะหลงั ๆ กเ็ ป็นผบู้ ริหารโรงเรียนดว้ ย แต่ถึง
กระน้นั ดว้ ยใจรักทางการเมือง ในช่วงหลงั ของชีวติ ไดส้ มคั รและไดร้ ับเลือกต้งั เป็นสมาชิกสภาผแู้ ทน
ราษฎร สงั กดั พรรคกิจสังคมของ ม.ร.ว.คกึ ฤทธ์ิ ปราโมช อยรู่ ะยะหน่ึง แมห้ มดภาระหนา้ ที่ ส.ส.แลว้
ท่านยงั คงเป็นนกั ศึกษาเรียนรู้รอบศิลปะท้งั หลาย จนในปี พ.ศ.๒๕๔๒ ไดร้ ับปริญญาครุ าศาสตร์
บณั ฑิตกิตติมศกั ด์ิ จากสถาบนั ราชภฏั นครศรีธรรมราช
เมื่อทา่ นสิ้นชีวิตในปี ๒๕๕๗ ไดร้ ับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั
รัชกาลที่ ๙ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ โปรดกระหม่อมพระราชทานเพลิงศพ ที่เมรุวดั มะนาวหวาน ใน
งานน้ีไดม้ ีผกู้ ลา่ วขวญั ถึงท่าน ดงั น้ี

๒๙๐

-พระสิริธรรมราชมุนี เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน กล่าวตอนหน่ึงวา่ “....ท่านมหาเอ้ือม ถือเป็น

เพชรเม็ดงามท่ีส่องประกายคุณความดีงาม ความดีท่ีจบั ตาจบั ใจผคู้ นในทอ้ งถิ่นและสงั คมชาวเมือง

นครศรีธรรมราช แมเ้ ม่ือทา่ นตอ้ งจากโลกน้ีไปดว้ ยกฎของอนิจจงั แตค่ ุณงามความดีท้งั น้นั จะคงอยู่

และเปล่งประกายใหแ้ สงสวา่ งส่องทางธรรมแก่ลกู หลาน เครือญาติ ลกู ศิษยล์ ูกหา ผทู้ ่ีเคารพนบั ถือ

ไม่มีวนั สิ้นแสง อาตมาเชื่อว่า กุศลกรรมท้งั ปวงที่ทา่ นมหาเอ้ือม อุบลพนั ธุ์ ไดส้ ร้างสมมาตลอดชีวติ

จะเป็นแสงธรรมนาทางท่านไปสู่สุคติทกุ เม่ืองอยา่ งแน่นอน”

-รศ.วมิ ล ดาศรี อธิการบดีมหาวิทยาลยั ราชภฏั กล่าววา่ “ท่านเป็นครูแห่งศาสตร์และศิลป์ ทาง

ภาษาไทยท่ีไดฝ้ ากฝีไมล้ ายมือไวใ้ นบรรณพภิ พซ่ึงแพร่หลายท้งั ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค นบั

เนื่องและยาวนานหลายทศวรรษ”

- นายสวสั ด์ิ กฤตรัชตนนั ต์ อดีตผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นครศรีธรรมราช กลา่ วถึงครูเอ้ือมว่า

“ ทา่ นเอ้ือมเป็นบคุ คลมีคณุ ค่า เสริมสง่าแก่เมืองนครศรีฯ

ในชีวติ เป็น สส.กเ็ คยมี แต่สุดดีเห็นอยคู่ ือครูกลอน

นอกจากน้ีท่ีรู้ครูนกั โต้ มีวาทีอา่ โอโ่ ชวค์ าสอน

เปล่งวจีทีใดใสสุนทร เหตแุ ละผลแน่นอนจรกระจาย”

- นายถวลิ ไพรสณฑ์ อดีตรัฐมนตรีวา่ การทบวงมหาวทิ ยาลยั กลา่ วตอนหน่ึงวา่ “ ตลอดเวลาท่ี

อยกู่ บั ท่านในฐานะศิษยว์ ดั ผมไดร้ ับการดูแลจากท่านมหาเอ้ือมเหมือนกบั ญาติสนิท หลายส่ิงหลาย

อยา่ งท่ีทา่ นสง่ั สอนและกวดขนั ผม ทาใหผ้ มประสบผลสาเร็จท้งั ในการเรียนและความประพฤติซ่ึง

เท่าท่ีผมจาไดค้ ือ

-หา้ มผมพดู ภาษาปักษใ์ ตก้ บั ทา่ นเพราะทา่ นเกรงวา่ ในอนาคตผมจะพดู ทองแดง

-ใหผ้ มหิ้วปิ่ นโตไปบิณฑบาตที่ตลาดนางเลิ้งทกุ เชา้ กบั ทา่ น

-ใหผ้ มเขา้ โบสถท์ กุ วนั อาทิตยเ์ พ่อื ฟังพระสง่ั สอน

-เมื่อพกั เที่ยงท่ีโรงเรียนใหม้ ากินขา้ วท่ีกฎุ

-ใหก้ ลบั บา้ นปี ละ ๑ คร้ัง

-ใหอ้ า่ นหนงั สือทกุ คืน เขา้ นอนไมเ่ กิน ๒๑.๐๐ น.และตื่น ๐๕.๐๐ น.

-และอา่ น ๆ อีกหลายอยา่ งที่ท่านสั่งสอน เช่น การฝึกพูดกบั ท่าน เพราะทา่ นเป็น

นกั เทศน์ท่ีมีชื่อเสียงรูปหน่ึง”

- รศ.ดร.สืบพงศ์ ธรรมชาติ จากอาศรมวฒั นธรรมวลยั ลกั ษณ์ มหาวทยาลยั วลยั ลกั ษณ์เขยี นไว้

ตอนหน่ึงวา่

“เป็นครูดีครูกวีแห่งนครศรีธรรมราช แสนเรื่องปราดรวยรินศิลป์ ภาษา

ครูเอ้ือม อุบลพนั ธุ์ กวีวรรณช้นั เมธา เป็นศิลปิ นดา้ นอกั ขราแห่งนาคร

เกิดอาเภอชา้ งกลางมุง่ สร้างสรรค์ มาลยั วรรณแผ่นดินกล่ินอกั ษร

๒๙๑

ร่วมกาเนิดเปิ ดงานสารนคร ชื่อขจรคนรู้จกั มกั อา่ นกนั ..”
- ดร.ณฏั ฐวฒั น์ สุดประเสริฐ เขียนถึงวา่
ในตน
“เอ้ือม เอาธรรมเทิดไว้ เด่นหลา้
อุ บตั ิ เป็นครูคน บานตื่น
บล บวั ปริ่มสายชล ดง่ั แกว้ กาว”ี
พนั ธุ์ เพือ่ นดีกลอนกลา้

๖. นายจวง สันตจติ เป็นรัตตญั ญบู ุคคลท่ีมีชีวิตยาวนานกวา่ ศตวรรษ เกิดมาต้งั แต่ พ.ศ.
๒๔๖๐ ถึงวนั สิ้นชีวติ เมื่อ ๓ มีนาคม ๒๕๖๒ นบั ได้ ๑๐๓ ปี

ในขณะที่ยงั มีชีวิตน้นั ไดช้ ่ือวา่ นายจวงเป็นคนมีสุขภาพดี ไม่มีโรคภยั ป่ วยไขแ้ ต่อยา่ งใด ท้งั
ยงั มีสติต่ืนตวั ตลอดเวลา นายจวงฯ เป็นผทู้ ี่มีประสบการณ์อยา่ งกวา้ งขวาง มีวสิ ัยทศั นต์ อ่ การพฒั นา
บา้ นเมือง ยดึ มน่ั ในหลกั คาสอนของพระพทุ ธศาสนา ไดร้ ับการยกยอ่ งชูเกียรติท้งั ในระดบั จงั หวดั
และระดบั ประเทศ ถือไดว้ า่ เป็นทรัพยากรบุคคลที่ทรงคุณค่า สมควรบนั ทึกประวตั ิเกียรติคุณไวเ้ ป็น
เยย่ี งอยา่ งแก่อนุชนคนรุ่นหลงั เพอื่ การศึกษาดงั จะกล่าวต่อไปน้ี

๒๙๒

๑. บรรพบรุ ุษ นายจวงสืบเช้ือสายทางฝ่ายมารดาจากขุนไชย ชาวคลองตาล บา้ นส้อง ขนุ
ไชยมีตาแหน่งเป็นกานนั มีชีวิตอยใู่ นช่วงรัชกาลที่ ๒,๓, ๔ มีบตุ รชายคนหน่ึงซ่ึงตอ่ มาไดเ้ ป็น หมื่น
เทพ ผเู้ ป็นตน้ ตระกลู ไชยเทพ และ ตราชู

ขนุ ไชยน้นั เป็นผสู้ นิทชิดเช้ือกบั เจา้ พระยานคร(หนูพร้อม) ซ่ึงเป็นเจา้ พระยานครคนสุดทา้ ย
ในสมยั รัชกาลท่ี ๕ คนทวั่ ไปเรียกกนั วา่ “เจา้ พระยาขนทวน” ทกุ คร้ังท่ีเจา้ พระยาขนทวนมาบญั ชาการ
ซ่อมพระธาตุไชยา จะเขา้ พกั อยทู่ ี่บา้ นขนุ ไชยเป็นประจา คร้ันกลบั วงั ท่ีนครก็ไดข้ อเอาตวั “เจา้ เทพ”
ไปเล้ียงดว้ ยต้งั แต่อายุ ๑๕ ปี การเดินทางระหวา่ งเมืองนครกบั ไชยาสมยั รัชกาลที่ ๕ น้นั นายเอียด พ่อ
นายจวงเล่าใหฟ้ ังวา่ ยงั คงใชช้ า้ งเป็นยานพาหนะ โดยใชเ้ ส้นทางเดินโบราณสมยั ศรีวชิ ยั คือจากไชยา
มาบา้ นส้อง เขา้ ฉวาง ผา่ นควนสงสาร คลองงา ขา้ มเขาธง ลงวงั ไพ ไปเมืองนคร ระหวา่ งทางจะแวะ
พกั ที่ “หนกั เคียน “ หรือ “สานกั เคยี น” ท่ีผใู้ หญ่บา้ นสร้างไวใ้ หเ้ ป็นท่ีพกั เจา้ พระยานครและเจา้ เมืองไช
ยาท่ีคลองงา

เด็กชายเทพ อยใู่ นวงั เมืองนครกระทง่ั อายุ ๒๐ ปี เจา้ พระยานคร(หนูพร้อม) สั่งใหไ้ ป
ประเมินท่ีดินเพ่ือเสียค่าบารุงทอ้ งท่ี ไดผ้ ลดีกลบั มา จึงแต่งต้งั เป็น “หมื่นเทพ” มีภรรยาคนแรกชื่อ
“ทรัพย”์ ตอ่ มาเจา้ พระยาขนทวนยกนางหา้ มใหเ้ ป็นภรรยาอีกคน ชื่อ “เฉียบ” เท่าน้นั ยงั ไมพ่ อหม่ืน
เทพขอเพิม่ อีก เจา้ พระยาขนทวนใจดี ยกนางหา้ มใหอ้ ีกชื่อ “หีด” พร้อมท้งั แถม “นางปราง” ผนู้ อ้ งให้
ดว้ ย ลกู หลานที่เกิดจากหญิงเหล่าน้ี ส่วนใหญใ่ ชส้ กลุ ไชยเทพ โดยเอาช่ือของขนุ ไชย ผเู้ ป็นป่ ูผสมกบั
เทพ ซ่ึงเป็นชื่อของพ่อผสมเขา้ ดว้ ยกนั ใชช้ ่ือสกุลวา่ “ไชยเทพ”

เม่ือมีลกู เมียมากข้ึน ครอบครัวขยายใหญ่ หม่ืนเทพกย็ า้ ยออกจากวงั ในนครมาอยทู่ ่ีคลองงา
หนา้ เหมน ท่ีน่ีไดภ้ รรยาเพ่มิ อีกคน ชื่อ “นวล” จากสกุล “ศรีทิพย”์ ซ่ึงเป็นสกุลท่ีมีญาติเยอะ ตอนหลงั
ไดแ้ ตกสายขยายหน่อออกไปมากมาย มีท้งั นกั วิชาการ ปราชญ์ ศิลปิ น ลว้ นแตห่ ากินในทางสุจริต

หมื่นเทพมีบุตรชาย-หญิงกบั นางนวล ๕ คนๆ โต ช่ือหวาน ใชส้ กลุ ตราชู ต่อมาประมาณปี
พ.ศ. ๒๔๒๔ นายหวานไดส้ มรสกบั นางหนูน ชูยงค์ มีลกู ๔ คน ๆ โต ช่ือสม้ หรือส้มปอย เพราะมี
มืองอหงิกมาแตก่ าเนิด คนรองชื่อดา คนถดั มาชื่อกลอ่ ม และคนสุดทา้ ยเป็นหญิงช่ือ สาหรับ น.ส.สม้
ปอย ตราชู ไดส้ มรสกบั นายเอียด สันตจิต มีลกู ดว้ ยกนั ๗ คน หน่ึงในจานวนน้นั คือนายจวงฯ ซ่ึงเกิด
เม่ือปี พ.ศ.๒๔๖๐ ท่ีกาลงั กล่าวประวตั ิน่ีแหละ

จึงสรุปวา่ นายจวงเกิดแต่นางสม้ ๆ เกิดแตน่ ายหวาน ๆ มีพ่อช่ือหมื่นเทพ ๆ มีพอ่ ช่ือขนุ ไชย
การสืบเช้ือสายหลายชว่ั อายคุ นต้งั แตข่ นุ ไชย มาถึงนายจวงเกิดนบั ประมาณได้ ๑๐๐ ปี และต้งั แต่นาย
จวงเกิดมาจนถึงวนั ตายคือวนั ท่ี ๓ มีนาคม ๒๕๖๒ นบั เพ่ิมไดอ้ ีก ๑๐๓ ปี รวมเป็น ๒๐๓ ปี เกือบเทา่
อายกุ รุงรัตนโกสินทร์ซ่ึงถึงปี น้ีมีอายลุ ่วงไปแลว้ ๒๓๗ ปี

๒๙๓

ส่วนบรรพบุรุษทางฝ่ายบิดาน้นั สืบไดต้ ้งั แตช่ ้นั ป่ ขู องนายจวง คือนายสิน สนั ตจิต สมรสกบั
นางหนูกล่ิน หวานสนิท มีบุตรชาย- หญิง ๘ คน คนท่ี ๗ ชื่อนายเอียด ไดส้ มรสกบั นางสม้ ตราชู มีลูก
ดว้ ยกนั ๗ คน คนที่ ๓ คอื นายจวงฯ ดงั กล่าวแลว้

๒.ชีวติ และงาน นายจวงฯ ไดช้ ื่อวา่ เป็นนกั คิด นกั พดู นกั จา นกั ธรรม และนกั ทา จึงเกิดผล
งานมากมายที่สร้างคุณประโยชนใ์ หแ้ ก่แผน่ ดินทอ้ งถ่ินชา้ งกลาง โดยเร่ิมต้งั แตค่ ร้ังยงั เป็นหนุ่ม พอแก่
ตวั ลงกย็ ง่ิ หา้ วหาญในการต่อสู้กบั ความไมถ่ กู ตอ้ งทกุ ดา้ น จนถึงกบั ถกู หมายปองจอ้ งฆ่าของกลมุ่
อิทธิพลท้งั หลาย แต่ท่ีรอดชีวิตมาไดอ้ ยจู่ นถึงปัจจุบนั เพราะบญุ นากรรมส่ง และผลงานท่ีสร้างไวแ้ ต่
อดีตช่วยค้าจุน แตถ่ ึงกระน้นั กย็ งั รับวิบากกรรมอยมู่ ากมายตามธรรมดาของโลกที่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย
งานท่ีทาในช่วงชีวิตยาวนาน สรุปไดด้ งั น้ี

-สมัยที่เป็ นครูน้นั เร่ิมแรกนายจวงฯไดร้ ับการบรรจุเป็นครูสอนท่ีโรงเรียนวดั จนั ดี สมยั นายมี
จนั ทร์เมือง เป็นศึกษาธิการอาเภอฉวาง ทาหนา้ ที่สอนเด็กช้นั ประถมอยา่ งจริงใจและจริงจงั ตรงไหน
มีปัญหาก็แกไ้ ขใหล้ ลุ ว่ งไปไดท้ ุกเรื่อง เมื่อไดผ้ ลดีเป็นท่ีพอใจของนกั การศึกษา ครูจวงฯจึงถูกยา้ ยให้
ไปสอนและดารงตาแหน่งครูใหญ่แทบทกุ โรงเทา่ ที่มีในตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง เพอื่ แกป้ ัญหา
นานาชนิดของการศึกษาท่ีเพิ่งเร่ิมตน้ ในระยะแรก ไดแ้ ก่โรงเรียนบา้ นหลกั ชา้ ง บา้ นคลองกุย บา้ นนา
ปราน วดั ควนส้าน วดั มะนาวหวาน บา้ นนา องคก์ ารสอนยาง ๑ และโรงเรียนบา้ นคลองงา รวมแลว้
๙ โรงเรียน นายจวงฯเป็นครูนานถึง ๓๔ ปี มีประสบการณ์การเรียน-การสอนและการบริหารมากมาย

- สมยั ที่เป็ นผ้ใู หญ่บ้าน หมู่ที่ ๗ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง นาน ๕ ปี นายจวงฯ เป็นผนู้ าใน
การปราบผกู้ ่อการร้าย สร้างถนน สร้างสะพานเช่ือมติดต่อกนั ระหวา่ งหมบู่ า้ นอื่น ๆ เป็นผลให้
หมู่บา้ นปราศจากโจรผรู้ ้าย นายจวงฯมีความคิดกวา้ งไกล วิสยั ทศั นก์ า้ วหนา้ ชกั ชวนชาวบา้ นต้งั กลุม่
อาชีพตา่ ง ๆ มีกล่มุ เกษตร กลุม่ ปรับปรุงคณุ ภาพยางแผน่ กลมุ่ ออมทรัพย์ กลมุ่ เยาวชน ศนู ยเ์ ด็กเลก็
ทาใหช้ าวบา้ นสงบสุขและมีฐานะดีข้นึ ไดร้ ับการประกาศเกียรติคุณจากสานกั เร่งรัดพฒั นาชนบท
กระทรวงมหาดไทยวา่ เป็นผูต้ ้งั กลุม่ ปรับปรุงคณุ ภาพยางแผน่ ดีเด่นในปี ๒๕๒๙

- สมัยหลงั การเกษียณอายุ นายจวงฯ เร่ิมรณรงคใ์ หส้ ภาพบา้ นเมืองในตาบลชา้ งกลางดีข้นึ
เร่ิมแรกเป็นผนู้ าต่อสูก้ บั นายทุนท่ีจะทาเหมืองแร่เทือกเขาธง เขาหลวงและเขาเหมน อนั เป็นตน้ น้า
หล่อเล้ียงชาวชา้ งกลางท้งั หลาย หากเหมืองแร่น้ีเกิดข้ึน ชาวอาเภอชา้ งกลางจะไดร้ ับสารข่นุ ขน้ ปนพิษ
ที่มากบั สายน้า ผลกค็ ือนายทุนไม่สามารถจดั ต้งั เหมืองแร่ได้ คร้ันต่อมานายจวงฯ เป็นหวั หนา้ รณรงค์
ขบั ไล่พวกนายทุนท่ียดึ ครองป่ าสงวนควนพลอง ซ่ึงในอดีตเคยเป็นป่ าไมแ้ ดงกวา้ งใหญ่ไพศาล มีโขลง
ชา้ งอาศยั อยมู่ ากมาย คร้ันนายทนุ ใชอ้ ิทธิพลเขา้ หกั ลา้ งถางเตียน เอาไมอ้ อกจาหน่าย ภายหลงั เหลือ
แตห่ ญา้ คาข้ึนมาแทน ก็ใชอ้ ุบายเขา้ ยดึ ครองพ้ืนท่ีโดยมิชอบ นายจวงฯ ผมู้ ีวสิ ยั ทศั น์กวา้ งไกลมองเห็น
วา่ ที่แหล่งน้ีเดิมเป็นป่ าสงวน เมื่อกลายเป็นป่ าหญา้ คาแลว้ ก็ควรจะตอ้ งเป็นพ้ืนที่สาธารณะ ประชาชน
ควรมีสิทธ์ิใชร้ ่วมกนั จึงไดร้ ้องเรียนและเสนอแนะใหท้ างราชการต้งั วิทยาลยั เกษตร และต้งั ที่วา่ การ

๒๙๔

อาเภอชา้ งกลางในพ้ืนที่ดงั กลา่ ว ตามลาดบั จนไดผ้ ลมาถึงปัจจุบนั แมก้ ระทง่ั โรงพยาบาลพ่อท่าน
คลา้ ยกไ็ ดต้ ้งั ท่ีนี่ แต่ผลที่นายจวงฯไดร้ ับคือวบิ ากกรรมจากนายทุน จอ้ งฆ่า แต่ก็เอาตวั รอดไดเ้ พราะ
ผลบุญท่ีทาไวแ้ ตก่ าลก่อน จึงไมไ่ ดต้ ายเพราะถกู ฆา่ ดงั ท่ีไดก้ ลา่ วแลว้ ในตอนตน้

- สมัยวัยชราแล้ว ในปี ๒๕๔๒ นายจวงมีอายุ ๘๒ ปี ยงั ชกั ชวนพี่นอ้ งต้งั ธนาคารหมู่บา้ นตาม
แนวพระราชดาริของในหลวงรัชกาลท่ี ๙ เร่ิมตน้ ไดเ้ งินกองทุน ๔๐,๐๐๐ กวา่ บาทจากสมาชิกท่ีเป็นพี่
นอ้ งลกู หลานในสกลุ สนั ตจิต ต่อมากองทนุ น้ีไดจ้ ดั ต้งั เป็นธนาคารหมู่บา้ นตามแนวพระราชดาริ
ดาเนินการติดต่อกนั มาตามลาดบั มีสมาชิกเพ่มิ ข้นึ ทุกปี ทาใหก้ องทนุ ขยายใหญ่ มีกาไรแบง่ ปันผลกนั
ไดท้ กุ ปี กระทง่ั มาถึง พ.ศ. ๒๕๖๐ มีเงินงบเงินกองทุนจากสมาชิกที่เป็นชาวบา้ นทวั่ ไป ๘๖๐ คน
เป็นเงิน ๑๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท

ในบ้นั ปลายชีวติ หลงั จากพน้ หนา้ ท่ีการเป็นผใู้ หญบ่ า้ นแลว้ นายจวงฯ เร่ิมเป็นนกั พูดตวั ยง
เริ่มจากเวทีเลก็ ๆ ในหมู่ญาติพ่ีนอ้ ง ลูกหลาน เขาพูดทุกเร่ืองที่เป็นประโยชน์แก่การดารงชีวิต แลว้ ก็
ข้ึนเวทีพูดธรรมะในวนั พระ ๘ ค่า ๑๕ ค่า ตอ่ มาก็ร่วมกบั คณุ ประยงค์ รณรงค์ เจา้ ของรางวลั แมกไซไซ
สมยั ท่ียงั เริ่มตน้ กต็ ระเวนไปพดู ทุกแห่งตามที่ไดร้ ับเชิญและไม่ไดร้ ับเชิญ เร่ืองท่ีพูดกค็ งเป็นปรัชญา
ธรรมะ การดารงชีวติ การอาชีพ การออมทรัพย์ การต้งั กล่มุ จดั ทาประโยชน์ นายจวงฯพูดไดค้ ลอ่ ง
เพราะจาไดเ้ ก่ง และสามารถลาดบั เรื่องการพดู เป็นข้นั ตอนไดอ้ ยา่ งดี ทาใหผ้ ฟู้ ังเขา้ ใจง่าย แต่เน่ืองจาก
ความจริงจงั และจริงใจในการพดู ทาใหผ้ ฟู้ ังเกิดความเครียดถา้ ฟังนายจวงฯพดู นาน ๆ แตถ่ ึงกระน้นั
นายจวงฯกไ็ ดร้ ับการประกาศเกียรติคณุ ให้เป็นพ่อตวั อยา่ งแห่งชาติในปี พ.ศ.๒๕๒๕ และเป็น
ครอบครัวอบอุ่น จากสานกั คณะกรรมการวฒั นธรรมแห่งชาติ ในปี พ.ศ.๒๕๔๕
อา้ งอิง

- บนั ทึกของครูลาภ ศรีนอ้ ย หลานหม่ืนเทพ อยบู่ า้ นส้อง
- สมั ภาษณ์นายเอียด สันตจิต โดยนายวรรณดี สรรพจิตที่ศาลานายเอียดฯเมื่อ ๒๕ ธนั วาคม
๒๕๐๘
- เร่ืองราวของครูจวง บนั ทึกโดยนายเฉลิมชยั จิตสารวย ผอ.โรงเรียนบา้ นหนา้ เหมน

.......................

๒๙๕

บทท่ี ๑๒. องค์กรของรัฐ
๑๒.๑ องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) เป็นอดีตรัฐวิสาหกิจในสังกดั กระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ ผกู้ ่อต้งั คือนายชุบ มนุ ิกานนท์ และก่อต้งั ข้นึ เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๐๔ มีสานกั งานใหญต่ ้งั อยทู่ ่ี
อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช ตอ่ มาถูกยบุ รวมเขา้ เป็นการยางแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ.
๒๕๕๘

ประวัติ
กิจการสวนยางในประเทศไทย เริ่มตน้ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ โดยรัฐมนตรีวา่ การ
กระทรวงการคลงั ไดม้ อบเงินจานวนหน่ึงใหพ้ ระยาอนุวตั ิวนรักษ์ หวั หนา้ กองการยาง กรมป่ าไม้ เพ่อื
ซ้ือท่ีดินสวนยาง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ไดม้ ีพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตหวงหา้ มท่ีดินในทอ้ งที่
ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช หวงหา้ มที่ดินดงั กล่าวไวเ้ พื่อการเกษตร รวมเน้ือ
ท่ีประมาณ ๑๒,๐๐๐ ไร่ แต่ในช่วงเวลาดงั กลา่ วเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ทาใหไ้ มส่ ามารถ
ดาเนินการไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี โดยในระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๘๕ ถึงปี พ.ศ. ๒๔๙๐ กิจการสวนยางดงั กลา่ วอยู่
ในความดูแลขององคก์ ารอตุ สาหกรรมป่ าไม้ และโอนไปรวมกบั บริษทั แร่และยาง จากดั ในปี พ.ศ.

๒๙๖

๒๔๙๐ แตย่ งั ไม่ทนั ไดด้ าเนินการบริษทั แร่และยาง จากดั ก็ตอ้ งเลิกกิจการไปเสียก่อน จึงตอ้ งโอน
กลบั มาสังกดั องคก์ ารอุตสาหกรรมป่ าไมเ้ ช่นเดิม

ในปี พ.ศ.๒๔๙๑ กรมสวสั ดิการทหารบก ไดเ้ ขา้ มาศึกษาดูกิจการสวนยาง แต่กไ็ ม่ไดม้ ีการเขา้
มาดาเนินการแต่อยา่ งใด จนกระทงั่ ในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ คณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติใหย้ กฐานะกิจการสวน
ยางข้ึนเป็น "องคก์ ารสวนยางนาบอน" สังกดั สานกั งานปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี
วตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อผลิตยางแผน่ รมควนั น้ายางสดจาหน่าย และดาเนินการคน้ ควา้ ทดลอง ฝึกอบรม
เกษตรกรไทยในการผลิตยาง ดว้ ยเงินทุนจากกระทรวงการคลงั จานวน 3.4 ลา้ นบาท

กระทง่ั ในปี พ.ศ.๒๕๐๔ ไดม้ ีการตราพระราชกฤษฎีกาจดั ต้งั องคก์ ารสวนยาง พ.ศ.๒๕๐๔
กาหนดใหอ้ งคก์ ารสวนยางเป็นนิติบุคคล

พ้ืนที่ขององคก์ ารสวนยาง
องคก์ ารสวนยาง มีพ้ืนท่ีทาประโยชน์ จานวน ๔๑,๘๐๐ ไร่ ดงั น้ี
- ท่ีดินในหมู่ที่ ๑๖ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช จานวน ๑๐,๒๐๐
ไร่ เป็นที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตหวงหา้ มที่ดินในทอ้ งท่ีตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง
จงั หวดั นครศรีธรรมราช พ.ศ. ๒๔๘๔
- ที่ดินในตาบลกรุงหยนั อาเภอทงุ่ ใหญ่ จงั หวดั นครศรีธรรมราช จานวน ๓๑,๖๐๐ ไร่ เป็น
ที่ดินท่ีกรมป่ าไมม้ อบใหท้ าประโยชน์ ตามมติคณะรัฐมนตรี
ต่อมาเม่ือวนั ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๘ องคก์ ารสวนยางไดถ้ กู ยบุ รวมกบั หน่วยงานอ่ืน
อีกสองหน่วยงานคือ สถาบนั วจิ ยั ยาง กรมวชิ าการเกษตร และ สานกั งานกองทนุ สงเคราะหก์ ารทา
สวนยาง เป็น การยางแห่งประเทศไทย ซ่ึงเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตาม
พระราชบญั ญตั ิการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๕๕๘(๔) สานกั งานใหญ่ต้งั อยทู่ ่ี ๖๗/๒๕ ถนนบาง
ขนุ นนท์ แขวงบางขนุ นนท์ เขตบางกอกนอ้ ย กรุงเทพมหานคร ๑๐๗๐๐

๑๒.๒ องค์การบริหารส่วนตาบลช้างกลาง

๒๙๗

ประวตั ิการจดั ต้งั

เนื่องจากอาเภอฉวางเดิม มีอาณาเขตท่ีกวา้ งขวาง มีประชากรเป็นจานวนมาก การคมนาคมไม่

สะดวก อยหู่ ่างไกล ทาใหย้ ากแก่การใหบ้ ริการแก่ประชาชนอยา่ งทวั่ ถึงและรวดเร็ว ดงั น้นั เพ่ือ

ประโยชน์ในการปกครองและอานวยความสะดวกแก่ประชาชน กระทรวงมหาดไทยจึงไดแ้ บง่ ทอ้ งท่ี

ส่วนหน่ึงของ อาเภอฉวาง ออกเป็น ๓ ตาบล คอื ตาบลชา้ งกลาง ตาบลหลกั ชา้ ง และตาบลสวนขนั

ออกมาต้งั เป็นก่ิงอาเภอชา้ งกลาง ใหม้ ีผลต้งั แตว่ นั ที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยมีเน้ือท่ี

๒๓๖.๓๒ ตารางกิโลเมตร ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยลงวนั ท่ี ๒๖ มิถุนายน ๒๕๓๙

ตอ่ มาในวนั ที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๐ ไดม้ ีพระราชกฤษฎีกายกฐานะข้ึนเป็น “อาเภอชา้ ง

กลาง”ตามพระราชกฤษฎีกาจดั ต้งั อาเภอชา้ งกลาง พ.ศ.๒๕๕๐ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เลม่ ท่ี

๑๒๔ ตอนท่ี ๔๖ หนา้ ๑๔ ลงวนั ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ โดยมีผลบงั คบั ต้งั แต่วนั ที่ ๘ กนั ยายน

๒๕๕๐

ในเขตการปกครองส่วนทอ้ งถิ่นของตาบลชา้ งกลาง มีเน้ือท่ี ๙๖.๘๔ ตารางกิโลเมตร

ประกอบดว้ ยชุมชน ๑๗ หมู่บา้ น คือ

ชื่อหมบู่ า้ น จานวนครัวเรือน

หมู่ที่ ๑ บา้ นนา ๔๑๒

หมู่ที่ ๒ บา้ นคลองงา ๓๑๓

๒๙๘

หมูท่ ี่ ๓ บา้ นจนั ดี ๒๖๘

หมทู่ ่ี ๔ บา้ นมะนาวหวาน ๓๗๒

หมู่ที่ ๕ บา้ นด่านไผง่ า ๑๔๐

หมทู่ ่ี ๖ บา้ นควนสา้ น ๒๑๕

หมู่ท่ี ๗ บา้ นนาวา ๓๖๘

หมูท่ ่ี ๘ บา้ นคลองกุยใต้ ๑๔๓

หมู่ที่ ๙ บา้ นคลองกยุ เหนือ ๑๖๐

หมู่ที่ ๑๐ บา้ นหนา้ เหมน ๑๖๑

หมทู่ ี่ ๑๑ บา้ นวงั ทอง ๑๕๕

หมู่ท่ี ๑๒ บา้ นหนา้ เขาเหมน ๑๓๑

หมู่ที่ ๑๓ บา้ นทา้ ยเหมือง ๑๑๗

หมู่ที่ ๑๔ บา้ นทา่ แพ ๑๙๓

หม่ทู ่ี ๑๕ บา้ นน้านอ้ ยเหนือ ๗๖

หม่ทู ี่ ๑๖ บา้ นบนควน ๑๘๔

หมทู่ ่ี ๑๗ บา้ นนานางเกาะ ๑๖๑

ปัจจุบนั ประชากรในตาบลชา้ งกลางมีจานวนท้งั สิ้น ๑๑,๔๑๙ คน (ชาย ๕,๖๑๗ คน, หญิง

๕,๘๐๒ คน) จานวนครัวเรือนท้งั สิ้น ๓,๕๖๙ ครัวเรือน

ท่ีมา ข้อมลู จานวนครัวเรือนจากจปฐ.สนง.พัฒนาชุมชน ปี ๒๕๖๑

มีประวัติพฒั นาการขององค์กรดงั กลา่ ว ดงั น้ี

สภาตาบล

- ในช่วงท่ียงั เป็นตาบลชา้ งกลางของอาเภอฉวางน้นั ไดร้ ับการจดั ต้งั สภาตาบลข้ึนเม่ือปี พ.ศ.

๒๕๓๗ ตามพระราชบญั ญตั ิสภาตาบลและองคก์ ารบริหารส่วนตาบล พ.ศ. ๒๕๓๗ โดยมีนายฉลอง

จิตรัตน์ กานนั ตาบลชา้ งกลางเป็นประธานสภาคนแรก ถดั มากม็ ีนายศรีวชิ ยั แดงหวาน นายพงษศ์ กั ด์ิ

คงแกว้ และนายมติ ขอบขา ในฐานะประธานกรรมการบริหารตาบลชา้ งกลางเป็นคนสุดทา้ ยระหวา่ ง

ปี พ.ศ.๒๕๔๓ – ๒๕๔๖

องค์การบริหารส่วนตาบล

- ต้งั แตช่ ่วงปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ขณะยงั เป็นตาบลหน่ึงของอาเภอฉวางเช่นกนั ตาบลชา้ งกลาง

ไดร้ ับการจดั ต้งั ข้ึนเป็นองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ขนาดเลก็ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เม่ือ

วนั ท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๘ โดยมีนายมติ ขอบขา เป็นนายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลชา้ งกลางคนแรก

ถดั มากน็ ายจาลอง นนทสิทธ์ิ ในปัจจุบนั (๒๕๖๑) ไดแ้ ก่นายจารึก รัตนบุรี ต้งั แต่ ๑๓ พฤศจิกายน

๒๕๕๔ และยงั คงอยใู่ นตาแหน่งจนกวา่ จะไดม้ ีประกาศใหม้ ีการเลือกต้งั ใหม่

๒๙๙

การเลือกต้งั
ตาบลชา้ งกลางแบ่งเขตการเลือกต้งั ออกเป็น ๑๗ เขตเลือกต้งั มีหน่วยเลือกต้งั ๒๑ หน่วย
จานวนผมู้ ีสิทธ์ิเลือกต้งั คร้ังล่าสุด ๑๑,๕๘๗ คน (ขอ้ มูลเม่ือวนั ท่ี ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔)
“นายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลและสมาชิกมาจากการเลือกต้งั เม่ือวนั ท่ี ๑๓ พฤศจิกายน
๒๕๕๔ และไดห้ มดวาระลงแลว้ เมื่อวนั ท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ปัจจุบนั นายจารึก รัตนบุรี
รักษาการในตาแหน่งตามคาสงั่ หวั หนา้ คสช.ท่ี ๑/๒๕๕๗ เร่ือง การไดม้ าซ่ึงสมาชิกสภาทอ้ งถิ่นหรือ
ผบู้ ริหารทอ้ งถ่ินเป็นการชว่ั คราว และยงั ไม่มีกาหนดการเลือกต้งั ใหม่”
พนั ธกจิ
1. ก่อสร้างและบารุงรักษาเส้นทางคมนาคม
2. การส่งเสริมการประกอบอาชีพของประชาชน
3. การจดั บริการสาธารณสุขและอนามยั
4. การจดั การดา้ นการศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม
5. การคุม้ ครอง ดูแล และบารุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม
6. การพฒั นาคน สงั คม และชุมชนใหเ้ ขม้ แขง็
7. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของราษฎรในการพฒั นาทอ้ งถิ่น
8. การส่งเสริมการท่องเที่ยว
ลกั ษณะทางกายภาพ
-ทิศเหนือ จดเขตตาบลจนั ดี และตาบลสวนขนั เป็นพ้ืนที่หมู่ 6, 7,11 และหม่ทู ี่ 15
ทิศใต้ จดเขตอาเภอนาบอน เป็นพ้ืนท่ีของหมทู่ ี่ 8,13 และหมทู่ ี่ 16
ทิศตะวนั ออก จดเขตอาเภอลานสกา เป็นพ้นื ที่ของหมู่ที่ 14
ทิศตะวนั ตก จดเขตตาบลหลกั ชา้ ง เป็นพ้ืนที่ของหม่ทู ่ี 3,7,8
เน้ือที่ องคก์ ารบริหารส่วนตาบล มีเน้ือท่ี ๙๖.๘๔ ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ ๖๐,๒๙๙ ไร่

ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ
ลกั ษณะภมู ิประเทศตาบลชา้ งกลางโดยทว่ั ไป เป็นท่ีราบเชิงเขา ประกอบดว้ ยป่ าไมแ้ ละภเู ขา
มีแหลง่ น้าตามธรรมชาติท่ีสาคญั หลายสาย เช่น คลองเหมน คลองทา่ แพ คลองรังเกียจ คลองแหน
คลองทองออก คลองจนั ดี คลองน้าข่นุ คลองกยุ เป็นตน้ ประกอบดว้ ย 2 ส่วน ดงั น้ี
ส่วนท่ี ๑ เป็นพ้นื ท่ีราบลุ่ม พ้นื ท่ีส่วนน้ีลาดเทจากเชิงเขานครศรีธรรมราช ในส่วนที่มีชื่อเรียก
เขาเหมน เขาธง เขาลา้ น ภมู ิประเทศในส่วนน้ี ราษฎรประกอบอาชีพ ทาสวนผลไม้ สวนทุเรียน เงาะ
มงั คดุ ลางสาด ลองกอง สวนมะพร้าว สวนยาง และเล้ียงสัตว์ ประกอบดว้ ยหมู่ ๓ บา้ นจนั ดี หมู่ ๔
บา้ นมะนาวหวาน หมู่ ๕ บา้ นด่านไผง่ า หมู่ ๗ บา้ นนาวา หมู่ ๘ บา้ นคลองกยุ หมู่ ๙ หมู่ ๑๑ บา้ นวงั
ทอง หมู่ ๑๖ บา้ นบนควน และหมู่ ๑๗ บา้ นนาเกาะ

๓๐๐

ส่วนที่ ๒ พ้นื ที่เชิงเขาดา้ นตะวนั ออก พ้ืนที่ส่วนน้ีใชป้ ลูกสวนยางพารา ทาสวนผลไม้

ประกอบดว้ ย หมทู่ ่ี ๑๕ บา้ นน้านอ้ ยเหนือ หมทู่ ี่ ๖ บา้ นควนส้าน หมทู่ ี่ ๒ บา้ นคลองงา หมู่ท่ี ๑ บา้ น

นา หมทู่ ่ี ๑๔ บา้ นท่าแพ หมทู่ ่ี ๑๐ บา้ นหนา้ เหมน หมู่ท่ี ๑๒ บา้ นหนา้ เขาเหมน หมทู่ ี่ ๑๓ บา้ นทา้ ย

เหมือง

สถานทีท่ ่องเทย่ี ว

(๑) น้าตกท่าแพ หมูท่ ่ี ๑๔

(๒) น้าตกคลองเหมน หมูท่ ี่ ๑

(๓) น้าตกคลองทองออก หมู่ท่ี ๑๕

(๔) น้าตกคลองแหน หมูท่ ี่ ๒

(๕) น้าตกคลองสังเกียด หมู่ท่ี ๑

(๖) น้าตกหนา้ เขาเหมน หมทู่ ี่ ๑๐

(๗) ถ้าหมื่นยม หมูท่ ี่ ๑

ในเขตองคก์ ารบริหารส่วนตาบลชา้ งกลางมีแหลง่ ทอ่ งเที่ยวทางธรรมชาติหลายแห่ง

แตอ่ าจยงั ไมเ่ ป็นที่รู้จกั ของนกั ท่องเท่ียวโดยทว่ั ไป ปัจจุบนั คณะผบู้ ริหารไดม้ ีนโยบายส่งเสริมการ

ท่องเท่ียววิถีไทย วถิ ีธรรมชาติ เชิงอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ และไดส้ ่งเสริมการท่องเท่ียวเชิงเกษตร

เนน้ พืชผลการเกษตรที่สาคญั รวมท้งั การจดั งานประเพณีทอ้ งถิ่นเพ่อื อนุรักษใ์ หค้ งอยตู่ ลอดไป

การอุตสาหกรรม

ในพ้ืนท่ีตาบลชา้ งกลางมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดเลก็ (มีคนงานต่ากวา่ ๑๐ คน

หรือมีทรัพยส์ ินถาวรเกิน ๑ ลา้ นบาท) ซ่ึงไดแ้ ก่ โรงรมควนั ยางพารา และนอกจากน้ีมีกิจการแปรรูป

ไมย้ างพารา คอนกรีตผสมเสร็จ โรงงานผลิตน้าดื่ม จานวนท้งั สิ้น ๒๓ แห่ง

ตาราง แสดงรายละเอียดสถานประกอบการอุตสาหกรรมในอาเภอชา้ งกลาง

ท่ี ชื่อสถานประกอบการหรือเจา้ ของ ประกอบกิจการ สถานที่ประกอบการ

๑ โรงงาน ๓ องคก์ ารสวนยาง ผลิตยางแผน่ รมควนั หมทู่ ่ี ๙ ต. ชา้ งกลาง

๒ โรงงาน ๑ องคก์ ารสวนยาง ผลิตยางแทง่ STR, ยางเครป หมทู่ ี่ ๑๖ ต.ชา้ งกลาง

๓ นายรนยั หวานสนิท ผลิตยางแผน่ ดิบ ยางแผนรมควนั หมทู่ ี่ ๓ ต.ชา้ งกลาง

๔ นายบณั ฑิต จินพนั ทงั ทายางแผน่ ดิบ, ยางแผน่ รมควนั หมทู่ ี่ ๑๗ ต.ชา้ งกลาง

๕ นายประเสริฐ คมุ้ ขนาบ ทายางแผน่ ดิบ, ยางแผน่ รมควนั หม่ทู ี่ ๔ ต.ชา้ งกลาง

๖ น.ส.สิรินดา ชาสวสั ด์ิ ทายางแผน่ ดิบ, ยางแผน่ รมควนั หมทู่ ่ี ๔ ต.ชา้ งกลาง

๗ นายสิทธิศกั ด์ิ คงอิน ทายางแผน่ ดิบ, ยางแผน่ รมควนั หมทู่ ่ี ๙ ต.ชา้ งกลาง

๘ นายวลั ลภ นาคฤทธ์ิ ทายางแผน่ ดิบ, ยางแผน่ รมควนั หมู่ท่ี ๔ ต.ชา้ งกลาง

๙ นายอรุณ บุญมา ทายางแผน่ ดิบ, ยางแผน่ รมควนั หม่ทู ่ี ๖ ต.ชา้ งกลาง


Click to View FlipBook Version