The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kwansasipat, 2021-07-26 05:44:19

ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

เรียบเรียงโดย นายวรรณดี สรรพจิต
ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ วรรณกรรม

ภายใต้โครงการ : ติดอาวุธทางปัญญาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน
กิจกรรม : สร้างสุขสร้างรอยยิ้มผู้สูงวัยตามรอยพ่อ
คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช

Keywords: ประวัติศาสตร์อำเภอช้างกลาง

๒๐๑

พ.ศ. ๒๕๔๔ สร้างอ่างเล้ียงปลาหนา้ อาคาร ๑ และหนา้ อาคาร ๓ พร้อมท้งั ปรับปรุงหอ้ งทางานครู

ช้นั บนและช้นั ลา่ ง พร้อมท้งั จดั ทาป้ายคาขวญั เมืองนครศรีธรรมราช และป้ายคาขวญั อาเภอชา้ ง กลาง

พ.ศ. ๒๕๔๕ ปรับปรุงภูมิทศั น์บริเวณโรงเรียน ดาเนินการเล้ียงปลานิลเพือ่ การศึกษา

พ.ศ. ๒๕๔๖ นายปรีชา ศิลปวิสุทธ์ิ เกษยี ณอายรุ าชการ นายสุวิทย์ จาปาสิทธ์ิ มาปฏิบตั ิ

หนา้ ท่ีผอู้ านวยการโรงเรียน เมื่อวนั ที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๖

พ.ศ.๒๕๔๗ ปรับปรุงภูมิทศั น์บริเวณโรงเรียน ดาเนินการปลูกผกั ปลอดสารพิษ

พ.ศ.๒๕๔๘ โรงเรียนไดป้ รับปรุงอาคารเรียนโดยการทาสีอาคารเรียน

พ.ศ. ๒๕๔๙ โรงเรียนไดร้ ับคดั เลือกเป็นโรงเรียนดีเด่นดา้ นการเฝ้าระวงั ป้องกนั และควบคุม

โรคไขเ้ ลือดออก ของกระทรวงสาธารณสุข

พ.ศ. ๒๕๕๐ โรงเรียนไดร้ ับรางวลั การจดั การศึกษาระดบั ปฐมวยั ดีเด่น ไดร้ ับการรับรอง

มาตรฐานระดบั ทองโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ ระดบั ทอง ของกระทรวงสาธารณสุข ไดร้ ับรางวลั

ครูผสู้ อนภาษาไทยดีเด่น ครูผสู้ อนภาษาต่างประเทศดีเด่น แนะแนวดีเด่น การแกป้ ัญหาทกั ษะ การ

อ่านดีเด่น ผบู้ ริหารสถานศึกษาดีเด่นท้งั ระดบั ศูนยเ์ ครือข่ายและสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา

นครศรีธรรมราช เขต ๒

พ.ศ. ๒๕๕๑ โรงเรียนไดร้ ับการรับรองคณุ ภาพระดบั ปฐมวยั จาก สมศ. โรงเรียนดีเด่น

ขนาดเลก็ ๑๒๑ - ๓๐๐ ครูผสู้ อนภาษาไทยดีเด่น ครูผสู้ อนภาษาต่างประเทศดีเด่น แนะแนวดีเด่น

การแกป้ ัญหาทกั ษะการอา่ นดีเด่น และครูสอนสังคมดีเด่นของสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา

นครศรีธรรมราช เขต ๒

พ.ศ. ๒๕๕๒ โรงเรียนไดร้ ับการรับรองมาตรฐานโรงเรียนส่งเสริมคณุ ภาพ ระดบั ทอง ของ

กระทรวงสาธารณสุข นายสุวทิ ย์ จาปาสิทธ์ิ ไดร้ ับรางวลั ผบู้ ริหารโรงเรียนดีเด่นระดบั เขตพ้นื ท่ีเขต

พ้ืนที่การศึกษานครศรีธรรมราช เขต ๒ นางแสงจนั ทร์ พนั ธุ์วิริยรัตน์ ไดร้ ับรางวลั ผลงานวจิ ยั ยอด

เยย่ี ม ของสานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษานครศรีธรรมราช เขต ๒

พ.ศ. ๒๕๕๓ มีการปรับปรุงภมู ิทศั นข์ องโรงเรียนและนกั เรียนสอบนกั ธรรมช้นั โทได้

จานวน ๑๐ คน

พ.ศ. ๒๕๕๔ นางแสงจนั ทร์ พนั ธุ์วริ ิยรัตน์ ไดร้ ับรางวลั ครูสอนดี ของอบจ.

นครศรีธรรมราช นายธนั วา ณ นคร นายสุรินทร์ นินทศรี และนางป่ิ นมณี ตราชู ไดร้ ับ

รางวลั หน่ึงแสนครูดีของคุรุสภา

พ.ศ.๒๕๕๕ นางแสงจนั ทร์ พนั ธุ์วิริยรัตน์ นางอามร เพง็ หนู และนางไมตรี พรหมรัตน์

ไดร้ ับรางวลั หน่ึงแสนครูดีของคุรุสภา นายสุวิทย์ จาปาสิทธ์ิ นางปิ่ นมณี ตราชู นายสุรินทร์ นิ

นทศรี นายประสิทธ์ิ คอแกว้ นางนุกลู พรหมจรรย์ และ นางสุวมิ ล บญุ วรรณ ไดร้ ับรางวลั ครูผู้

๒๐๒

มีวนิ ยั คณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพดีเด่นของสมาคมผปู้ ระกอบวชิ าชีพ ครูอาเภอชา้ ง
กลาง

พ.ศ. ๒๕๕๖ นางวภิ าวลั ย์ สทานสัตย์ นางนุกูล พรหมจรรย์ และนายปริทรรศน์
บญุ วรรณไดร้ ับรางวลั หน่ึงแสนครูดีของคุรุสภา นางอามร เพง็ หนู นางแสงจนั ทร์ พนั ธุ์วริ ิยรัตน์
นางสุณาวรรณ จนั ทร์ทอง นางไมตรี พรหมรัตนแ์ ละนายโสภนา ชูยงค์ ไดร้ ับรางวลั ครูผมู้ ีวินยั
คณุ ธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพดีเด่นของสมาคมผปู้ ระกอบวิชาชีพ ครูอาเภอชา้ งกลาง

พ.ศ. ๒๕๕๗ นางนุกูล พรหมจรรย์ นายสุรินทร์ นินทศรี นางอรุโณทยั ทวั่ จบ นางวิภา
วลั ย์ สทานสัตย์ และนางสุณาวรรณ จนั ทร์ทอง ไดร้ ับรางวลั ครูผมู้ ีวินยั คุณธรรม จริยธรรม
จรรยาบรรณวชิ าชีพดีเด่นของสมาคมผปู้ ระกอบวชิ าชีพ ครูอาเภอชา้ งกลาง

พ.ศ.๒๕๕๘ นางปิ่ นมณี ตราชู นางสาวหทยั กาญจน์ ชาญณรงค์ นางสุนนั ทา วิมล
นางสาวพรรณิภา คุณสนอง ประสิทธ์ิ คอแกว้ นายจาลอง สวน ไดร้ ับรางวลั ครูผมู้ ีวนิ ยั คณุ ธรรม
จริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชีพดีเด่นของสมาคมผปู้ ระกอบวชิ าชีพ ครูอาเภอชา้ งกลาง นางสุณาวรรณ
จนั ทร์ทอง ไดร้ ับรางวลั หน่ึงแสนครูดี

- โรงเรียนบ้านนา

ประวตั แิ ละทต่ี ้ัง หมทู่ ี่ ๑ ถนนนครศรีฯ-บา้ นส้อง ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง ก่อต้งั เม่ือ

๑ กรกฎาคม ๒๔๗๘ เดิมทีโรงเรียนต้งั อยใู่ นวดั ครี ีวรรณาเป็นสาขาของโรงเรียนวดั มะนาวหวาน มี

นายนาค ศรีเกิด เป็นครูคนแรก

เม่ือวนั ท่ี ๒ สิงหาคม ๒๔๘๐ ไดต้ ้งั เป็นโรงเรียนประชาบาลตาบลชา้ งกลาง “บา้ นนา”พ.ศ.

๒๕๑๕ ไดย้ า้ ยท่ีต้งั มาอยใู่ นท่ีปัจจุบนั ติดทางหลวงสาย ๔๐๑๕ ซ่ึงมีเน้ือที่ ๑๒ ไร่ ๓ งาน

ผ้บู ริหาร ตามลาดบั ดงั น้ี

๑. นายเอียด(ครูสุนทร) ตราชู ครูใหญ่ ระหวา่ งปี ๒๔๘๓ – ๒๔๘๕

๒. นายนาค ศรีเกิด ครูใหญ่ ระหวา่ งปี ๒๔๘๕ – ๒๕๐๗

๓. นายสาราญ วงั ปรีชา ครูใหญ่ ระหวา่ งปี ๒๕๐๘ – ๒๕๑๕

๔. นายกิตติ เอียดทองใส ครูใหญ่ ระหวา่ งปี ๒๕๑๖ – ๒๕๓๒

๕. นายราวี ศิลารัตน์ อาจารยใ์ หญ่ ระหวา่ งปี ๒๕๓๒- ๒๕๓๗

๖. นายสมพงษ์ ศิริเขต อาจารยใ์ หญ่ ระหวา่ งปี ๒๕๓๗ – ๒๕๔๐

๗. นายทวี พรหมแกว้ ผอู้ านวยการ ระหวา่ งปี ๒๕๔๐ – ๒๕๔๘

๘. นายจิระศกั ด์ิ อนุพงศ์ ผอู้ านวยการ ระหวา่ งปี ๒๕๔๘ – ๒๕๕๑

๙. นายธีรพงศ์ คงแกว้ ผอู้ านวยการ ระหวา่ งปี ๒๕๕๑ – ปัจจุบนั (๒๕๖๐)

ลาดบั การพฒั นา

๒๐๓

พ.ศ.๒๕๑๕ ไดร้ ับงบประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ บาทสร้างอาคารเรียน ป ๑ ก. ๔ หอ้ งเรียน
พ.ศ.๒๕๑๗ ไดร้ ับงบประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท สร้างบา้ นพกั ครู ๑ หลงั ต่อมาในปี ๒๕๔๑
ไดร้ ับอนุญาตใหร้ ้ือถอน
พ.ศ.๒๕๒๑ ไดร้ ับงบประมาณ ๑๗๐,๐๐๐ บาท สร้างอาคารเรียน ป ๑ ก. ๔ หอ้ งเรียน และ
ชุมชนร่วมบริจาคสร้างเพิ่มอีก ๑ หอ้ ง เป็นเงิน ๓๒,๖๖๐ บาท
พ.ศ.๒๕๒๒ ไดร้ ับงบประมาณ ๙๐,๐๐๐ บาท สร้างโรงฝึ กงาน ๑ หลงั ปัจจุบนั (๒๕๖๐) ใช้
เป็ นโรงอาหาร
พ.ศ. ๒๕๒๓ ไดร้ ับงบประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ บาท สร้างอาคารเรียน ๐๑๗ จานวน ๑ หลงั
พ.ศ.๒๕๓๗ ไดร้ ับงบประมาณ ๙๐,๐๐๐ บาท สร้างสว้ ม ๖๐๑/๒๖ จานวน ๔ ที่นงั่
ชุมชนสัมพนั ธ์
พ.ศ.๒๕๕๔ มีนกั เรียน ๒๗๘ คน บุคลากร ๑๗ คน ไดพ้ ฒั นาโรงเรียนดว้ ยงบประมาณและ
บริจาคของชุมชนดงั น้ี

- ครอบครัวนายสาราญ วงั ปรีชา บริจาคเงินเขา้ กองทุนการศึกษา จานวน ๑๐,๐๐๐
บาท

- ไดร้ ับการคดั เลือกเขา้ โครงการโรงเรียนดีประจาตาบล ไดร้ ับงบประมาณ
๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท ในการทาถนนคอนกรีต ปรับปรุงอาคารเรียน

- ครอบครัวคุณสุจินดา สุตระ ไดส้ ร้างพระพุทธรูปต้งั ทางเขา้ โรงเรียนเป็นเงิน
๑๔๐,๐๐๐ บาท

- โรงเรียนชุมชนบ้านนาวา
โรงเรียนชุมชนบา้ นนาวา เดิมชื่อโรงเรียนประชาบาลตาบลชา้ งกลาง ๘ (ไพรสณฑพ์ ิศิษฐ)์
ต้งั อยหู่ มทู่ ่ี ๗ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช เปิ ดทาการสอนคร้ังแรก
เม่ือวนั ที่ ๒๙ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๘๒ โดย นายฉ่า ไพรสณฑ์ กานนั ตาบลชา้ งกลางในสมยั น้นั ได้
บริจาคท่ีดิน จานวน ๓๐ ไร่ ใหเ้ ป็นสถานที่ต้งั โรงเรียนและสร้างอาคารเรียนชวั่ คราวข้นึ
ตอ่ มาในปี ๒๔๙๙ นายฉ่า ไพรสณฑ์ ไดร้ ่วมกบั คณะครู ผปู้ กครองนกั เรียนและประชาชน
ร่วมกนั ทอดผา้ ป่ าไดเ้ งิน ๘,๙๔๖ เป็นทนุ ก่อสร้างอาคารเรียนถาวรแบบ ป.๑ ก. ขนาด ๙ X ๖ เมตร
จานวน ๓ หอ้ งเรียน และตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๕๐๓ ไดร้ ับงบประมาณจานวน ๓๐,๐๐๐ บาท กก่อสร้าง
ต่อเติมจนสาเร็จเรียบร้อย แตใ่ นปัจจุบนั ไดร้ ้ือถอนไปแลว้
ในปี ๒๕๑๕ คณะครู ผปู้ กครองละประชาชนไดร้ ่มกนั จดั งานหาเงินได้ ๗๘,๔๘๗ บาท
สร้างอาคารเรียน แบบ ป.๑ ก. ๕ หอ้ งเรียน แลว้ หลงั จากน้นั ในปี ๒๕๑๘ ไดร้ ับงบสร้างบา้ นพกั ครู ๑
หลงั และสร้างอาคารเรียน แบบ ๐๑๗ จานวน ๔ หอ้ งเรียน

๒๐๔

โรงเรียนชุมชนบา้ นนาวาไดว้ ิวฒั นาการมาตามลาดบั ท้งั ในดา้ นการสร้างอาคารตา่ ง ๆ และ
การเรียนการสอน จนกระทงั่ ปัจจุบนั เปิ ดทาการสอนต้งั แต่ช้นั อนุบาล ถึง ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๓ เป็น
โรงเรียนในฝันรุ่นท่ี ๑ และเป็นโรงเรียนดีประจาอาเภอชา้ งกลาง

- โรงเรียนบ้านคลองกุย
โรงเรียนบา้ นคลองกยุ ต้งั อยหู่ มทู่ ่ี ๘ ตาบลชา้ งกลาง สงั กดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
นครศรีธรรมราช เขต ๒ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีเน้ือที่
๑๕ ไร่ ๒ งาน ๑๖ ตารางวา ตาม นส.๓เลขท่ี ๑๔๐๓ – ๑๔๐๔
มีประวตั ิความเป็นมาในการก่อต้งั โรงเรียน เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของผมู้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ ง
ในขณะน้นั โดยมีผรู้ ิเร่ิมคือ นายมี จนั ทร์เมือง กรรมการอาเภอฉวางสมยั น้นั โดยขอความร่วมมือ
จากนายฉ่า ไพรสนฑ์ กานนั ตาบลชา้ งกลาง นายหมึก รัตนบุรี กานนั ตาบลทุ่งสง นางเหว บุณย
เกียรติ(ยา่ ของนายชินวรณ์) นายนาค ใหมอ่ ่อน นายเจ้ียนสุข แซ่ด่าน นายควา่ ย แซ่หลีและนายแดง
ทองคาชุม ครูใหญ่โรงเรียนวดั หลกั ชา้ ง บคุ คลเหล่าน้ีบางท่านสละที่ดิน อุปกรณ์การสอนและการ
ก่อสร้างและไดท้ าการเปิ ดสอนคร้ังแรกเมื่อวนั ที่ 2 สิงหาคม 2481
ปัจจุบนั (ปี ๒๕๖๐) โรงเรียนบา้ นคลองกุยมีอตั รากาลงั ผบู้ ริหาร ๑ คน ครู ๔ คน ครูธุรการ ๑
คน พนกั งานบริการ ๑ คน เปิ ดสอนต้งั แตร่ ะดบั ช้นั ปฐมวยั ถึงระดบั ประถมศึกษาปี ที่ ๖ มีจานวน
นกั เรียน ๘๓ คน

๒๐๕

- โรงเรียนบ้านกุยเหนือ
โรงเรียนบา้ นกยุ เหนือ ต้งั อยเู่ ลขท่ี ๑๗ หมู่ ๙ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง เปิ ดสอน
ระดบั ช้นั อนุบาล ๑ ถึงระดบั ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๖ มีเน้ือท่ี ๗ ไร่ ๘๐ ตารางวา เขตพ้ืนท่ีบริการคือหมู่
๙ หมู่ ๑๒ และหมู่ ๑๓ ตาบลชา้ งกลาง เปิ ดทาการสอนคร้ังแรกเม่ือ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ ดว้ ยความ
ร่วมมือของชุมชน โดยมีผูน้ าชุมชนที่ร่วมดาเนินการคือ พระอธิการชู เจา้ อาวาสวดั ควนสา้ น นายมี
จนั ทร์เมือง ศึกษาการอาเภอฉวาง นายขอ้ ย จนั ทร์เมือง ผนู้ าชุมชน และนายนาค นวลศรี ผอู้ ุทิศท่ีดิน
ต้งั แต่เปิ ดการเรียนการสอนในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ จนถึงปี ๒๕๖๐ มีผบู้ ริหารตามลาดบั ดงั น้ี

๑. นายเฉลียว สงั ขวรรณ ระหวา่ งปี พ.ศ.๒๕๐๒ – ๒๕๑๘
๒. นายเกลื่อน นามสนธ์ิ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๑๘ – ๒๕๓๒
๓. นายวรศกั ด์ิ เพชรลิ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๓๒ – ๒๕๓๔
๔. นายมงั กรแกว้ ดรุณศิลป์ ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๓๔ – ๒๕๓๘
๕. นายบุญเลิศ ขวญั นิมิตระวา่ งปี พ.ศ.๒๕๓๘ – ๒๕๕๑
๖. นางสาวอญั ชลี นามสนธ์ิ ต้งั แต่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๑ ถึงปัจจุบนั
โรงเรียนบา้ นกยุ เหนือไดร้ ับการรับรองมาตรฐานการศึกษาท้งั ระดบั ก่อนประถมศึกษาและ
ระดบั ประถมศึกษาจากสานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา(องคก์ รมหาชน) เม่ือ
พ.ศ. ๒๕๕๔
ในปี พ.ศ.๒๕๕๗ มีนกั เรียน ๑๓๑ คน เป็นโรงเรียนขนาดกลาง คร้ังหลงั สุดในปี ๒๕๕๗
ไดร้ ับงบประมาณจาหสานกั คณะกรรมการดารศึกษาข้นั พ้ืนฐาน(สพฐ.)ใหส้ ร้างอาคารเรียน ๑๐๕/๒๙
จานวน ๕ หอ้ งเรียนดว้ ยงบ ๓,๖๑๓,๑๐๐ บาท แทนอาคาร ป ๑ ก

- โรงเรียนบ้านนาปราน
โรงเรียนบา้ นนาปราน เดิมช่ือ โรงเรียนชา้ งกลาง "อาลอยนฤมิตร" เปิ ดทาการสอนคร้ังแรก
เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โรงเรียนบา้ นนาปราน
โรงเรียนไดก้ ่อต้งั ข้ึนภายใตก้ ารนาของ นายหมี อาลอย และคณะรวม ๕๑ คน ไดจ้ ดั หา
ที่ดินซ่ึงไดม้ าโดยการบริจาคร่วมกนั ประมาณ ๔๐ ไร่ ชื่อโรงเรียนบา้ นนาปราน
ที่ต้งั ๑๕๕ หมู่ท่ี ๓ บา้ นนาปราน ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช
สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต ๒ เปิ ดสอนระดบั ช้นั อนุบาล
๑ ถึง ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๖ ขตพ้ืนที่บริการ ไดแ้ ก่ หมูท่ ่ี ๓ หมทู่ ี่ ๕ และหมทู่ ่ี ๘ของตาบลหลกั ชา้ ง

- โรงเรียนบ้านควนตม

๒๐๖

โรงเรียนบา้ นควนตม(ตารมยว์ ิทยา) ต้งั อยู่ ๔๕๕ หมทู่ ่ี ๒ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง
จงั หวดั นครศรีธรรมราช โดยมีนายพรัด ตารมย์ อดีตครูประชาบาลเป็นผรู้ ิเร่ิมจดั ต้งั ดว้ ยสาเหตุเด็ก
ในบริเวณบา้ นโคกทือ บา้ นโคกสะทอ้ น บา้ นควนตม บา้ นนาหลกั ทอง บา้ นควนพลองตอ้ งเดินทางไป
เรียนท่ีโรงเรียนวดั จนั ดี บางส่วนตอ้ งไปเรียนท่ีโรงเรียนวดั หลกั ชา้ ง ซ่ึงเป็นระยะทางไกลมาก และ
หนทางลาบาก ดว้ ยเหตุน้ีเอง นายพลดั ตารมย์ จึงไดช้ กั ชวนใหร้ าษฎรในทอ้ งท่ีจดั ต้งั โรงเรียนข้ึน นาย
พลดั ตารมย์ ไดบ้ ริจาคที่ดินเป็นที่ต้งั โรงเรียน จานวน ๑๔ ไร่ ๓ งาน ๙๗ ตารางวา สร้างเป็นอาคาร
ชว่ั คราว เปิ ดทาการสอนคร้ังแรกเม่ือวนั ที่ ๑ พฤษภาคมพ.ศ.๒๔๘๔ ต้งั แตช่ ้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๑ ถึง
ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๔ และไดเ้ ปล่ียนผบู้ ริหารมาจนถึงปัจจุบนั

ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ นายเที่ยง ศรีวฒั นวรัญญู ไดเ้ ปิ ดขยายช้นั เรียนจนถึงช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี ๖
และไดช้ กั ชวนราษฎร์ สร้างอาคารชว่ั คราวข้ึน ๑ หลงั ขนาด ๒ หอ้ งเรียน และไดส้ บั เปล่ียนผบู้ ริหาร

ปี พ.ศ ๒๕๓๙ ไดส้ บั เปล่ียนผบู้ ริหาร นาย จิต แนะแกว้ ไดม้ าดารงตาแหน่งแทนนายเท่ียง
ศรีวฒั นวรัญญู

ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ นายเจริญ สุขราช มาดารงตาแหน่งผบู้ ริหารและไดเ้ กษียณอายรุ าชการ ได้
ยา้ ยนายจิระศกั ด์ิ อนุพงศ์ มาดารงตาแหน่ง

ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ นายจิระศกั ด์ิ อนุพงศไ์ ดย้ า้ ยไปดารงตาแหน่งโรงเรียนบา้ นนา นายสุรินทร์
นานาผล ไดย้ า้ ยมาเป็นผบู้ ริหารและในปี พ.ศ. 2548 นายสุรินทร์ นานาผล ไดย้ า้ ยไปดารงตาแหน่ง ท่ี
จงั หวดั กาฬสินธุ์

วนั ที่ ๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ นายปราโมทย์ คงเสน ไดย้ า้ ยจากโรงเรียนวดั สวนขนั มาดารง
ตาแหน่ง ผอู้ านวยการโรงเรียนบา้ นควนตม

ปี การศึกษา ๒๕๔๙ ไดป้ ลูกปาลม์ จานวน ๙๐ ตน้ ไดด้ าเนินงานตามพระราชดาริฯ เศรษฐกิจ
พอเพยี ง ทางโรงเรียนมงุ่ เนน้ การอ่านออกเขียนไดข้ องนกั เรียน ปรับปรุงส่ือการเรียนรู้ของหอ้ งสมุด
และปรับปรุงสภาพแวดลอ้ มใหเ้ อ้ือต่อการเรียนรู้ และทางเดินเทา้ ตอ่ เชื่อมอาคารเรียน ๓ กบั หอ้ งพกั ครู

พ.ศ.๒๕๕๐ไดป้ รับปรุงสิ่งแวดลอ้ มสร้างเตาเผาขยะและปทู างเทา้ ระหวา่ งอาคาร
อเนกประสงคก์ บั อาคาร ๓ และก่อแปลงผกั จานวน ๑๔ แปลง เพ่อื ให้เด็กไดเ้ รียนรู้การปลูกผกั ปลอด
สารพษิ

พ.ศ. ๒๕๕๔ ไดร้ ับงบประมาณจากสามาคมไทยซิกขแ์ ห่งประเทศไทย ก่อสร้างอาคารไทยซิกข์
จานวน ๑ หลงั

พ.ศ. ๒๕๕๗ ไดด้ าเนินการซ่อมแซมอาคารเรียน หอ้ งน้า อุปกรณ์ไฟฟ้าในหอ้ งเรียน ทาสี
อาคารเรียนทุกอาคาร ปรับปรุงและทาสีสนามเดก็ เลน่ และทางโรงเรียนไดร้ ับจดั สรรโทรทศั น์ 6
เครื่อง พร้อมจานดาวเทียม จากโรงเรียนไกลกงั วลเพอื่ ใชใ้ นการจดั การศึกษาของโรงเรียนขนาดเลก็

๒๐๗

พ.ศ. ๒๕๕๘ ไดด้ าเนินการซ่อมแซมอาคารเรียน หอ้ งน้า อุปกรณ์ไฟฟ้าในหอ้ งเรียน หอ้ งพกั
ครู ซ่อมแซมระบบประปา ทาสีอาคารเรียนทุกอาคารและอาคารไทซิกข์ ปรับปรุงพ้นื ท่ีในการปลูกผกั
ปลอดสารพิษ ปรับปรุงและทาสีสนามเดก็ เลน่ ตลอดจนไดด้ าเนินการพฒั นาสิ่งแวดลอ้ มปริเวณ
โรงเรี ยนให้เป็ นปัจจุบนั

- โรงเรียนบ้านจันดี
ต้งั อยใู่ นหมทู่ ่ี ๓ ตาบลชา้ งกลาง ห่างจากท่ีวา่ การอาเภอ ๗ กม. มีถนนสาย รพช.สี่แยกบา้ นจนั
ดี – ท่งุ ส่งตดั ผา่ น

โรงเรียนบา้ นจนั ดี ก่อสร้างโดยมติที่ประชุมของคณะดาเนินการร่วมกบั ผปู้ กครองนกั เรียน
โดยมีพระครูสถิตวิหารธรรม (ปัจจุบนั คือพระสิริธรรมราชมุนี) เป็นผอู้ ุปถมั ภ์ นายอาดูร บริรักษเ์ ป็น
ผนู้ าในการดาเนินการร่วมกบั ประชาชนในหมบู่ า้ นและหมบู่ า้ นใกลเ้ คยี งอาศยั งบประมาณและวสั ดุ
อปุ กรณ์จากชาวบา้ นช่วยกนั บริจาค ส่วนที่ดินไดม้ าจากท่ีสาธารณะของหม่บู า้ น ซ่ึงเดิมเป็นของนาง
แจ่ม สมแกว้ ไดบ้ ริจาคใหเ้ ป็นที่สาธารณะจานวน ๕ ไร่ นางเนียน สรรพจิต บริจาคเพมิ่ ให้ ๒ ไร่
๑ งาน นายสร้าง ชนาชน บริจาคเพิม่ ให้จานวน ๑ ไร่ รวมเป็นที่ดินที่ใชส้ ร้างโรงเรียนท้งั หมด ๘
ไร่ ๑ งาน

โรงเรียนไดเ้ ปิ ดเรียนคร้ังแรกเมื่อวนั ที่ ๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๙ และปัจจุบนั (ปี ๒๕๖๐)
โรงเรียนเปิ ดทาการเรียนการสอนต้งั แต่ระดบั ช้นั อนุบาลปี ที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปี ท่ี ๖ มีจานวน

๒๐๘

นกั เรียนท้งั หมด ๘๔ คน มีผอู้ านวยการ ๑ คน ครู ๖ คน ครูอตั ราจา้ ง จานวน ๑ คน และมี นาย
สุขสรรค์ จิตรสารวย เป็นประธานคณะกรรมการสถานศึกษาข้นั พ้ืนฐานของโรงเรียน

- โรงเรียนองค์การสวนยาง ๑
ต้งั อยหู่ มทู่ ี่ ๑๖ บา้ นองคก์ ารสวนยาง ตาบลชา้ งกลาง ก่อต้งั เม่ือ๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๓
โดยการดาริและภายใตก้ ารดาเนินการของนายชุบ มุนิกานนท์ ผอู้ านวยการองคส์ วนยาง กระทรง
เกษตรและสหกรณ์สมยั น้นั ผมู้ าทาพิธีเปิ ดคือนายปรีชา รสจนั ทร์ ศึกษาธิการอาเภอฉวางในขณะน้นั
ส่วนการดาเนินงานของโรงเรียนน้นั ไดร้ ับความอุปการะจากองคก์ ารสวนยางดว้ ยดีตลอดมา
การเปล่ียนแปลงเก่ียวกบั ชื่อโรงเรียน
๑๗ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เป็นสาขาของโรงเรียนประชาบาลตาบลชา้ งกลาง
๑๒ ธนั วาคม ๒๔๙๔ ไดร้ ับการยกฐานะเป็นโรงเรียนประชาบาล ตามหนงั สือจงั หวดั ท่
๑๕๑๔๖/๒๔๙๔
๔ มิถนุ ายน ๒๔๙๕ เปล่ียนเป็นโรงเรียนองคก์ ารสวนยางนาบอน โดยกระทรวงศิษาธิการ
๑ ตลุ าคม ๒๕๐๙ โอนไปสงั กดั องคก์ ารบริหารส่วนจงั หวดั นครศรีธรรมราช
๖ กมุ มภาพนั ธ์ ๒๕๒๑ เปลี่ยนเป็น โรงเรียนองคก์ ารสวนยาง ๑ จนถึงปัจจุบนั
คาขวญั ของโรงเรียน “วชิ าการดีเยยี่ ม เป่ี ยมดว้ ยคุณธรรม เลิศล้าการกีฬา พฒั นาสิ่งแวดลอ้ ม
นอ้ มนาชุมชน”

- โรงเรียนบ้านไทรงาม
ต้งั อยหู่ มูท่ ่ี ๕ ตาบลสวนขนั อาเภอชา้ งกลาง ก่อต้งั เมื่อ ๓ กรกฎาคม ๒๔๙๐ ห่างจากที่วา่
การอาเภอ ๘ กม. ทาการเรียนการสอนเมื่อวนั ท่ี ๓ เดือนกรกฎาคม ๒๔๙๐
เป็นโรงเรียนที่สร้างข้ึนโดยผูป้ กครอง เดิมมีอาคารชว่ั คราวขนาดกวา้ ง ๖ เมตร ยาว ๗ เมตร
เปิ ดสอนระดบั ป.๑ – ป.๔ มีชื่อวา่ “โรงเรียนประชาบาลตาบลชา้ งกลาง ๔” สาขาโรงเรียนวดั
ควนส้าน มีนายโมฬี บุญมี รักษาการแทนครูใหญ่ ต่อมาในวนั ท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๔๙๐ ไดม้ ีการ
แต่งต้งั นายจบั รักษา จากโรงเรียนประชาบาลตาบลละอาย ๕ (หกสหาย) มาเป็นครู มีนกั เรียน
ขณะน้นั ๓๖ คน
ในระยะต่อมาเมื่อ ๑๔ ตลุ าคม ๒๔๙๕ ฐานะของโรงเรียนไดร้ ับการแยกออกจากสาขาของ
โรงเรียนวดั ควนสา้ น มาบริหารโดยเอกเทศ ชื่อโรงเรียนประชาบาลตาบลละอาย ๗ คร้ันถึงวนั ที่ ๔
มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๙๖ ไดเ้ ปลี่ยนชื่อเป็นโรงเรียนบา้ นไทรงาม เมื่อทางการไดย้ า้ ยนายโมฬี บุญมีไป
ทาหนา้ ท่ีรักษาการแทนครูใหญ่โรงเรียนบา้ นโคกยางในเดือนมิถุนายน ๒๕๐๑ ก็ไดม้ ีการยา้ ยนาย
อนนั ต์ ปรีชา ครูใหญจ่ ากโรงเรียนบา้ นป่ าพาดมาดารงตาแหน่งครูใหญ่ คณะครูและผปู้ กครองได้
ช่วยกนั สร้างอาคารเรียนท่ียงั คา้ งอยจู่ นเสร็จสมบรู ณ์ใชเ้ งินจากการบริจาคท้งั สิ้น ๑,๑๙๙ บาท

๒๐๙

ปัจจุบนั โรงเรียนบา้ นไทรงามเปิ ดทาการเรียนการสอนสอนต้งั แตร่ ะดบั อนุบาล- ประถมศึกษา
ปี ที่ ๖

- โรงเรียนบ้านคลองปี ก
โรงเรียนบา้ นคลองปี ก ต้งั อยหู่ มูท่ ่ี ๘ ตาบลสวนขนั ไดท้ าการเปิ ดสอนเม่ือวนั ท่ี ๒๕
พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยคณะผจู้ ดั ต้งั จานวน ๖ คน คอื นายขาว มฏั ฐาพนั ธ์ นายแบน สิทธิ
เดช นายแกว้ บางโรย นายช่วย คงแกว้ นายหมี ราชรักษ์ และนายอ่อน ทิพยก์ ลู ผบู้ ริจาคพ้ืนที่
จดั ต้งั โรงเรียน มีนายอ่อน ทิพยก์ ลู จานวน ๑๒ ไร่เศษ และนายแบน สิทธิเดช จานวน ๓ ไร่เศษ
รวมพ้ืนที่ดินท้งั หมด ๑๖ ไร่ ๑ งาน ๔๖ ตารางวา ครูใหญ่คนแรก คือ นายศรีจนั ทร์ พุ่มพวง ทา
การเปิ ดสอนต้งั แต่ช้นั ประถมปี ท่ี ๑ – ๔ มีนกั เรียน จานวน ๖๑ คน ช่ือเดิมของโรงเรียน ชื่อวา่
“โรงเรียนประชาบาลตาบลละอาย๕ หกสหาย”
ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ทางอาเภอฉวางให้ตาบลละอายรวมกบั ตาบลชา้ งกลาง โรงเรียนได้
เปล่ียนชื่อวา่ “ โรงเรียนประชาบาลตาบลละอาย๑๒” ต่อมาปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ทางอาเภอฉวางใหต้ าบล
สวนขนั แยกจากตาบลชา้ งกลาง โรงเรียนไดเ้ ปล่ียนชื่อเป็น “โรงเรียนบา้ นคลองปี ก” จนกระทง่ั ถึง
ปัจจุบนั

- โรงเรียนบ้านหนองเตย
๑.ที่ต้งั อยหู่ มทู่ ่ี ๔ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
นครศรีธรรมราช เขต ๒ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน เปิ ดทาการสอนต้งั แตป่ ี
๒๕๑๑ การเดินทางไมม่ ีรถโดยสารประจาทาง การไป – กลบั ในการปฏิบตั ิหนา้ ท่ีของขา้ ราชการครู
ตอ้ งใชย้ านพาหนะตนเองหรือรถจกั รยานยนตร์ ับจา้ ง ซ่ึงตอ้ งเสียค่าใชจ้ ่ายในการเดินทางสูงในแต่ละ
วนั โรงเรียน มีที่ดินท่ีไดจ้ ากการบริจาคท้งั หมด ๑๓ ไร่ ๓ งาน ๙๘ ตารางวา
๒. การจัดต้งั ก่อนปี พ.ศ.๒๕๑๑ ผใู้ หญบ่ า้ น คือนายพรัด ฤทธ์ิมาก ไดป้ ระชุมปรึกษาหารือ
กบั กลมุ่ บคุ คล ประกอบดว้ ยนายนกแกว้ สุดใจ นายทวี สุดใจ นายเทียบ ทว่ั จบ ซ่ึงขณะน้นั เป็นครู
โรงเรียนวดั หลกั ชา้ ง นายเคลา้ มณีลาภ นายพรัด แสงแกว้ นายคลอ้ ย มณีลาภ นายสาย เพชร
นาคินทร์ นายซุน้ แซ่เอ้ียว นายทวน คาแกว้ นายเปรม จุลละเอียด นายแคลว้ จินดานคร นายปาน
เชิงดี นายเติม บุญช่วยรอด คณะบคุ คลดงั กลา่ วไดเ้ ร่ิมดาเนินการ เช่นการติดต่อประสานงานกบั ทาง
ราชการตน้ สงั กดั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง การก่อสร้างอาคาร การบริจาควสั ดุอปุ กรณ์การก่อสร้าง แรงงานและ
อื่น ๆ จนอาคารสาเร็จเรียบร้อยเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๑ ตามแบบ ป ๑ ก. เป็นอาคารไม้ หลงั คาสงั กะสี
๓. ทด่ี นิ โรงเรียนมีที่ดินที่ไดร้ ับบริจาคดงั น้ี

- แปลงที่ ๑ ผบู้ ริจาคคือ นายนกแกว้ สุดใจ นายทวี สุดใจ และนายเคลา้ มณีลาภ
ต่อมาในปี ๒๕๑๓ นายจวน เชิงดี ไดบ้ ริจาคเพมิ่ อีก ๑๐๐ ตารางวา รวมเป็นจานวน ๕ ไร่ ๙๔ ตาราง

๒๑๐

วา ซ่ึงใชก้ ารไดเ้ พียงคร่ึงเดียว เพราะอีกคร่ึงหน่ึงเป็นท่ีลุ่มมีหนองน้าขงั ตลอดปี ในส่วนที่ดินท่ีใชง้ าน
ได้ ก็ไดก้ ่อสร้างอาคารเรียนหลงั แรกดงั กลา่ วขา้ งตน้ ตอ่ มาไดก้ ่อสร้างอาคารเรียนและอาคาร
ประกอบอ่ืน ๆ เพ่ิมเติม จากเงินงบประมาณของทางราชการ ไดแ้ ก่อาคารแบบ ป ๑ ข. ๔ หอ้ งเรียน
พ.ศ.๒๕๒๑

ในที่ดงั กล่าวน้ี ผปู้ กครองนกั เรียนและประชาชนไดร้ ่วมกนั สร้างศาลา ๑ หลงั เป็นอนุสรณ์พ่อ
ท่านคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ ศาลาน้ีไดใ้ ชเ้ ป็นท่ีประกอบพิธีทางศาสนาของชาวบา้ นในวนั สาคญั ทางศาสนา
ซ่ึงผชู้ ราและคนสูงอายไุ ม่สามารถเดินทางไปทาบุญท่ีวดั หลกั ชา้ งได้ ระยะหลงั ไดก้ ่อสร้างเพมิ่ เติม
ขยายพ้นื ท่ีใชก้ ารไดม้ ากข้นึ ใชเ้ ป็นที่ประชุมราษฎรของหมู่บา้ น จดั งานประเพณีประจาปี เนื่องในวนั
สงกรานต์ (งานวนั กตเวทิตาคณุ ) ตลอดถึงใชใ้ นภารกิจอ่ืน ๆ ของทางราชการ อนั ถือไดว้ า่ เป็นศูนย์
สงเคราะหร์ าษฎรประจาหมู่บา้ น

- แปลงที่ ๒ ผบู้ ริหารโรงเรียนขณะน้นั (นายวจิ ิตร จนั ทน์ดี) ไดต้ ิดต่อขอบริจาคท่ีดิน
ซ่ึงรกร้างวา่ งเปล่า ใชท้ าการเกษตรปลกู พืชผลใด ๆ ไมไ่ ด้ เพราะเป็นพ้ืนที่ดินทราย เน้ือท่ี ๘ ไร่ จาก
นายแสง-นางแช่ม นาคฤทธ์ิ ผคู้ รอบครอง เม่ือไดท้ าการโอนสิทธ์ิกนั เรียบร้อย กไ็ ดป้ รับปรุงใชเ้ ป็น
สนามกีฬา ท่ีดินดงั กลา่ วถือวา่ เป็นที่ราชพสั ดุ อยใู่ นความดูแลของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลงั
ปัจจุบนั ให้โรงเรียนบา้ นหนองเตยเป็นผดู้ ูแลรักษาและใชป้ ระโยชน์ ในการน้ีมีเทศบาล หมู่บา้ น และ
ตาบลใชเ้ ป็นสนามแข่งขนั กีฬาของหน่วยงานดงั กล่าวเป็นประจาทุกปี

๔. การเรียนการสอน เดือนมิถุนายนพ.ศ. ๒๕๑๑ รับโอนนกั เรียนช้นั ป.๑ จากโรงเรียนวดั
หลกั ชา้ ง และถดั มาไดร้ ับโอนช้นั ป.๒ อีก ๑ ช้นั รวมนกั เรียนในขณะน้นั ๔๘ คน ครู ๑ คนคือนาย
เทียบ ทว่ั จบ ซ่ึงทาหนา้ ที่ท้งั บริหารและครูผสู้ อน หากวนั ใดท่ีนายเทียบฯ ตอ้ งไปประชุมหรือติด
ราชการอื่น ๆ ตอ้ งขอครูจากโรงเรียนวดั หลกั ชา้ งมาทาการแทน ปี ต่อมาไดข้ ยายช้นั เรียนเป็น ป.๓และ
ป.๔ หลงั สุดขยายช้นั เรียนต้งั แตอ่ นุบาล ถึง ป.๖

๕.ทาเนยี บผู้บริหาร
๕.๑ ครูคนแรก และต่อมาเป็นผบู้ ริหารตาแหน่งครูใหญ่ คือนายเทียบ ทว่ั จบ

เกษียณอายรุ าชการเมื่อ ๓๐ กนั ยายน ๒๕๑๕
๕.๒ นายวจิ ิตร จนั ทน์ดี ตาแหน่งครูใหญ่ อาจารยใ์ หญ่ ต้งั แต่ ๑ ตลุ าคม ๒๕๑๕ –

๓๐ กนั ยายน ๒๕๔๒
๕.๓ นายธีรพงศ์ คงแกว้ ตาแหน่งอาจารยใ์ หญ่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๒
๕.๔ นางฎารณี ส่งทวี ตาแหน่งผอู้ านวยการโรงเรียน ๒๔ ธนั วาคม ๒๕๔๗
๕.๕ นายอนุสรณ์ ถึงสุขวงศ์ ตาแหน่งผอู้ านวยการโรงเรียน ๗ ธนั วาคม ๒๕๕๐
๕.๖ นายมงคล ช่องลมกรด ตาแหน่งผอู้ านวยการโรงเรียน ๕ มกราคม ๒๕๕๒

๒๑๑

๕.๗ นายสมชาติ คงแกว้ (เสียชีวติ แลว้ ) ครูวิทยฐานะ ครูชานาญการ รักษาการแทน
ผบู้ ริหาร จนกระทง่ั โรงเรียนถูกยบุ เพราะเหลือเดก็ นอ้ ยมาก(ประมาณ ๑๐ คนเศษ) นกั เรียนและ
บุคลากรไปรวมกบั โรงเรียนวดั หลกั ชา้ ง

๙.๓.๒ ระดบั มธั ยมศึกษา
- โรงเรียนพงึ่ ตนเอง เป็นโรงเรียนราษฎร์ซ่ึงเริ่มเกิดข้ึนต้งั แต่ปี ๒๔๘๖ ผใู้ หก้ าเนิดคือครูมี
จนั ทร์เมือง ซ่ึงเป็นศึกษาธิการอาเภอฉวางในขณะน้นั ก่อนแต่จะใหช้ ื่อวา่ “โรงเรียนพ่ึงตนเอง” ท่าน
ไดก้ ล่าวปรารภไวเ้ ม่ือวนั ที่ ๓ มิถนุ ายน ๒๔๘๖ ซ่ึงคุณอรุณี จนั ทร์เมืองเขยี นไวใ้ นหนงั สืออนุสรณ์
อาจารยก์ ตญั ญู พระใบฎีกาคร้ืน โสภโณ ไวต้ อนหน่ึงวา่
“โรงเรียนน้ีไดบ้ งั เกิดข้ึนดว้ ยความต้งั ใจของขา้ พเจา้ มาไม่นอ้ ยกวา่ ๒๐ ปี ต้งั แตไ่ ดเ้ ป็นครู
สอนเดก็ มาเป็นเวลานานมากพอ จนรู้สึกเฉลียวใจถึงการนา้ วโนม้ หวั ใจเด็กถึง ๙๙ เปร์เซ็นตซ์ ่ึงคิดแต่
จะพ่งึ ผอู้ ื่น มีรัฐบาลเป็นตน้ แทนที่ไดไ้ ดเ้ ตรียมตวั “พ่ึงตนเอง” ถา้ ยวุ ชนของเรายงั มงุ่ ท่ีจะเป็นกาฝาก
ของชาติหรือของผอู้ ื่นอยตู่ ราบใด ชาติไทยก็ไม่มีวนั ที่จะกา้ วไปถึงเขต- อารยะอยู่ตราบน้นั พทุ ธ
ภาษิต อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนนนั่ แหละเป็นท่ีพ่งึ ของตน” “Self done and soon done” ดงั น้ี สัจ
ธรรมดงั กลา่ วสอดคลอ้ งตอ้ งกนั ชดั แจง้ วา่ จงเป็นตวั ของท่านเอง ความตอ้ งการเราทุกคนไดร้ ับการ
อบรมมาในทางน้ีคอื ใหพ้ ่งึ ราชการ นิสยั อนั น้ีกเ็ ลยติดเอาศิษยต์ ่อ ๆ มาตามลาดบั จนกระทง่ั ครูผกู้ าลงั
สอนเดก็ อยใู่ นขณะน้ี กห็ าละสินยั อนั น้ีไปไม่ ขา้ พเจา้ ขอออ้ นวอนอยา่ งหนกั วา่ คุณครูทกุ ๆ ท่าน
ขอใหช้ ่วยขา้ พเจา้ เตม็ กาลงั เถิด ในอนั ท่ีจะกลอ่ มเกลานิสัยเด็กใหไ้ ปในทางพ่งึ ตนเอง และเลิกการ
นิยมเป็นกาฝากต้งั แต่บดั น้ีเป็นตน้ ไป โดยการกระทาและพร่าสอนดว้ ยกุศโลบายใด ๆ กต็ าม ใหเ้ ดก็ มี

๒๑๒

ความสามารถและพ่ึงตนเองไดไ้ ปทีละเลก็ ละนอ้ ยต้งั แตบ่ ดั น้ีเป็นตน้ ไป ก็จะไดช้ ื่อวา่ คุณครูทุก ๆ ทา่ น
ไดช้ ่วยขา้ พเจา้ อยา่ งแทจ้ ริง”

พ.ศ. ๒๔๘๖ แรกเปิ ดโรงเรียน
ในท่ีสุดกไ็ ดช้ ่ือวา่ “โรงเรียนพ่ึงตนเอง” ตามความปรารถนาของครูมี จนั ทร์เมือง และเปิ ด
เรียนชว่ั คราวเมื่อ ๒๓ มิถนุ ายน ๒๔๘๖ ในสวนเกษมสุข ซ่ึงเป็นที่ดินของครูมีขา้ งสถานีคลองจนั ดี
เขตอาเภอฉวาง และต่อมาก็ไดร้ ับอนุญาตใหเ้ ปิ ดทาการเรียน-การสอนแบบสหศึกษาในช้นั มธั ยม
วสิ ามญั ศึกษาต้งั แต่ปี ๒๔๘๗ เป็นตน้ มา ในปี น้ีมอบให้

- นายพรัด ตารมย์ อดีตครูโรงเรียนวดั จนั ดี เป็นผจู้ ดั การ
- นายประโลม นาคะ เป็นครูใหญ่
- นายเอ้ียน คงทน และนางสาวสมร เป็นครูประจาช้นั
พ.ศ.๒๔๘๙ ย้ายกจิ การโรงเรียน
มาถึงปี พ.ศ.๒๔๘๙ นายประโลม นาคะลาออกไปรับราชการ โรงเรียนไดข้ ออนุญาตต้งั นาย
เชาวลิต สุรภกั ดี เป็นครูใหญ่ และต้งั นายตว่ น ภ่พู งศ์ นายวิโชค คงแกว้ เป็นครูประจา แต่ในปี น้ี
โรงเรียนตอ้ งประสบกบั ภาวะเศรษฐกิจตกต่าอยา่ งหนกั บุญกศุ ลชื่อ “พ่ึงตนเอง” ยงั ไมส่ ิ้น พระคุณ
เจา้ พระใบฎีกาคร้ืน โสภโณ เจา้ อาวาสวดั จนั ดี ผมู้ ีวญิ ญาณรักการศึกษายงิ่ กวา่ ชีวิต กไ็ ดย้ น่ื มือเขา้
อปุ การะโรงเรียนทนั ที ดงั น้นั ในปี ๒๔๘๙ น้ี โรงเรียนไดถ้ ูกยา้ ยจากสวนสุขเกษม ไปเปิ ดทาการ
สอนที่โรงธรรมวดั จนั ดี
- ข้นึ ปี ๒๔๙๐ นายตว่ น ภูพงศล์ าออก โรงเรียนไดต้ ้งั นายสนน่ั เพชรฤทธ์ิเป็นครู
แทน
- ปี น้ีรัฐบาลใหเ้ งินอุดหนุนรายหวั แก่ครู และ ๑๐ เปอร์เซ็นตข์ องเงินรายหวั ช่วยเหลือ
โรงเรียน กิจการของโรงเรียนเร่ิมกระเต้ืองข้ึน
พ.ศ.๒๔๙๓ เปิ ดสอนถึง ม.๖
เมื่อสิ้นปี ๒๔๙๒ ครูลาออกท้งั ชุดเพ่ือไปรับราชการเป็นครูโรงเรียนประชาบาล โรงเรียนได้
แต่งต้งั นายเขยี น รัตนบรุ ี เป็นครูใหญ่ แลว้ ไดข้ ยายกิจการเปิ ดทาการสอนถึงช้นั มธั ยมปี ท่ี ๖ และ
แตง่ ต้งั นายกาพล พยตั ติกลุ นายเจิม สุขา เป็นครูประจา พอสิ้นปี ๒๔๙๓ นายเขยี นลาออกไป
ประกอบอาชีพอยา่ งอ่ืน ทางโรงเรียนกไ็ ดต้ ้งั นายสงค์ ชาญสวสั ด์ิเป็นครูใหญ่ และใหน้ ายกาพล พยตั ติ
กุลเป็นผจู้ ดั การอีกตาแหน่งหน่ึงดว้ ย
พ.ศ.๒๔๙๖ โรงเรียนเจริญรุดหน้า
พอสิ้นปี ๒๔๙๕ นายสงค์ ชาญสวสั ดล์ าออกไปรับราชการครูโรงเรียนประชาบาล โรงเรียน
ไดต้ ้งั นายเปลี่ยน หยทู องอินทร์ เป็นผจู้ ดั การ พอเร่ิมปี ๒๔๙๖ ไดต้ ้งั นายสุมิตร นุรักษ์ เป็นครูใหญ่ ปี
น้ีไดข้ ยายกิจการโรงเรียนดงั น้ี

๒๑๓

- มีเด็กเขา้ เรียนเพ่มิ มากข้นึ
- บรรจุครูเพมิ่ ๑๗ คน
- สร้างอาคารเรียน ๑ หลงั ๑๐ หอ้ งเรียน ขนาด ๙ คูณ ๕๐ เมตร
- ขยายสนามกีฬาออกใหญ่โตเพ่ือเหมาะสมแก่การที่โรงเรียนจดั แข่งขนั กีฬาภายใน
ซ่ึงช่วงน้นั จดั กลุม่ เป็น ๔ พรรค ไดแ้ ก่ พรรคนาวนิ เชิดชยั วรี ชยั และสิงหราช
- จดั ใหม้ ีหอ้ งวทิ ยาศาสตร์ ห้องปัจจุบนั พยาบาล หอ้ งสมุด การไฟฟ้า
- สร้างโรงอาหาร หอ้ งน้าหอ้ งส้วมไดม้ าตรฐาน
- ต้งั วงดนตรีของโรงเรียน
พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้รับการรับรองวทิ ยฐานะ
เริ่มปี ๒๔๙๘ ทางโรงเรียนไดแ้ จง้ ขอใหท้ างราชการรับรองวทิ ยฐานะ ในการน้ี นายเฉลิม โร
จนหสั ดิน ผชู้ ่วยศึกษาธิการจงั หวดั และนายสงั เวียน สีนวลดี พร้อมดว้ ยเจา้ หนา้ ท่ีผเู้ กี่ยวขอ้ งไดม้ า
ตรวจกิจการ ปรากฏวา่ โรงเรียนเขา้ มาตรฐาน ตามหลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ ดงั น้ี
- ผลการเรียนช้นั มธั ยมปี ท่ี ๓ มีจานน ๑๐๐ กวา่ คน สอบไล่สมทบกบั โรงเรียนรัฐบาล
ได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ๔ ปี ติดต่อกนั
- มธั ยมปี ที่ ๖ มีจานวนนกั เรียน ๙๘ – ๑๒๐ คน ใน ๓ ปี ที่ผา่ นมาสามารถสอบไล่
สมทบกบั โรงเรียนรัฐบาลไดม้ ากถึง ๙๙ เปอร์เซ็นต์
ดงั น้นั ในปี ๒๔๙๙ กระทรวงศึกษาธิการก็ใหก้ ารรับรองวิทยฐานะเทียบเทา่ โรงเรียนรัฐบาล
พ.ศ.๒๕๐๐ ขยายกจิ การ
ถึงปี น้ีโรงเรียนพ่ึงตนเองไดข้ ยายอาคารเรียน แบบ ป.๑ เพิ่มข้ึนอีกหลงั หน่ึงในพ้ืนที่ ๒๐ ไร่
เป็นอาคาร ๖ หอ้ งเรียน ขนาดหอ้ งละ ๙ คูณ ๖ เมตร ยาว ๕๔ เมตร ออกมุขหนา้ อีก ๒.๕ เมตร
ในปี ๒๕๐๑ โรงเรียนไดส้ ร้างหอ้ งรับรองและหอ้ งน้าท่ีทนั สมยั มีเคร่ืองใชไ้ มส้ อยครบถว้ น
ท้งั ที่ซ้ือมาและไดร้ ับการอปุ สาระ ณ โรงเรียนหลงั ใหมน่ ้ีมีสนามมาตรฐาน แต่ต่อมาไดอ้ ุทิศสนาม
ใหพ้ ่อทา่ นคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ สร้างเจดียใ์ หญ่ ซ่ึงต่อมากไ็ ดเ้ ป็นวดั ธาตนุ อ้ ย
ในปี ๒๕๐๒ ไดต้ ้งั นายสุมิตร นุรักษ์ เป็นผจู้ ดั การเพม่ิ อีกตาแหน่งหน่ึง โรงเรียนกา้ วหนา้
มากยง่ิ ข้นึ มีนกั เรียนร่วม ๗๐๐ คน บรรจุครูเพ่มิ เป็น ๒๒ คน ในปี น้ีครูแนม ไกรนรา ครูสอน
วทิ ยาศาสตร์ไดข้ ยายกิจกรรมดา้ นวทิ ยาศาสตร์ใหเ้ จริญข้ึน ท้งั ไดจ้ า้ งครูฝร่ังและครูแขก มาสอน
ภาษาองั กฤษตามลาดบั
ปี ๒๕๐๕ นายสุมิตร นุรักษล์ าออก ทางโรงเรียนไดต้ ้งั นายดาเนิน ขาวลว้ น ซ่ึงเป็นศิษยร์ ุ่น
แรก ๆ ของโรงเรียนน้ี ใหเ้ ป็นผจู้ ดั การ ต้งั นายคลอ้ ง รอดฉวาง เป็นครูใหญ่ ช่วงน้ีโรงเรียนมีครูที่มี
วุฒิทางครูมากถึง ๒๐ คน ยงั มีความเจริญรุดหนา้ อยา่ งไม่หยดุ ย้งั ปี น้ีโรงเรียนมธั ยมบุญคงอปุ การและ

๒๑๔

โรงเรียนวิทยานุเคราะห์ อาเภอท่งุ สง ไดส้ ่งนกั เรียนช้นั ประโยคมธั ยม(ม.๓ ม.๖) มาสมทบสอบดว้ ย
ถือวา่ เป็นการไดร้ ับเกียรติและไดร้ ับการไวว้ างใจจากทางราชการอยา่ งสูงยงิ่

นบั ต้งั แต่ต้งั มาเม่ือปี ๒๔๘๖ มาถึงปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๑) นบั ได้ ๗๕ ปี มีนกั เรียนท่ีเคยเขา้
เรียนในสถาบนั น้ีนบั ไดห้ ลายพนั คน จบไปแลว้ สามารถเขา้ เรียนตอ่ ในสถาบนั ช้นั อุดมศึกษาไดอ้ ยา่ ง
เตม็ ภาคภูมิ ลว้ นแต่มีความเจริญกา้ วหนา้ ในสาขาวิชาตา่ ง ๆ ซ่ึงมีท้งั ครู-อาจารย์ ตลุ าการ นกั กฎหมาย
นกั การเมือง การปกครอง รัฐมนตรี พ่อคา้ วาณิชย์ เกษตรกร กวีของชาติ ลว้ นแต่จบจากที่นี่และดารง
ตนอยใู่ นสมั มาทิฏฐิตลอดมา ไดช้ ่ือวา่ ต้งั ตวั ไดเ้ พราะ “พ่ึงตนเอง” ยกตวั อยา่ งที่เป็นตลุ าการ ไดแ้ ก่
ร.อ.อาทิตย์ นุ่นทิพย์ ที่เป็นนกั การเมืองไดแ้ ก่ นายถวลิ ไพรสณฑ์ และนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ เป็น
ตน้

โรงเรียน “พ่งึ ตนเอง” จึงเป็นท้งั จิตและวิญญาณของผพู้ ่งึ ตนเองท้งั หลาย กต็ อ้ งนอ้ มราลึกถึง
คุณูปการของครูมี จนั ทร์เมือง ที่ท่านมอบช่ือ “พ่ึงตนเอง” ใหแ้ ก่โรงเรียนแห่งน้ีดว้ ยจิตและวญิ ญาณ
ของทา่ น เพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแก่ผมู้ ีคณุ ูปการท่านน้ี คณะบรรณาธิการประวตั ิศาสตร์ชา้ งกลางได้
เขยี นประวตั ิของทา่ นไวใ้ นบทวา่ ดว้ ยบคุ คลสาคญั ในชา้ งกลาง

- โรงเรียนช้างกลางประชานุกูล

ประวัตคิ วามเป็ นมา

เป็นโรงเรียนสงั กดั กองการมธั ยมศึกษา กรมสามญั ศึกษา ต้งั อยใู่ นที่ธรณีสงฆว์ ดั มะนาว

หวาน หมู่ ๔ ตาบลชา้ งกลาง เน้ือที่ ๔๐ ไร่ สภาพพ้นื ที่เป็นเนินเต้ีย ๆ ลาดเอียดลงไปจรดลาหว้ ยเสียด

ทางทิศตะวนั ออก ดา้ นทิศตะวนั ตกติดถนนควนนิยม ทิศเหนือติดวดั มะนาวหวาน ทิศใตต้ ิดพ้ืนท่ีของ

เอกชน

ดว้ ยเหตุท่ีตาบลชา้ งกลางเป็นตาบลใหญท่ ่ีสุดของอาเภอฉวาง ในอดีตน้นั มีจานวนมากถึง ๑๕

หมูบ่ า้ น(ปัจจุบนั ๑๗ หม่บู า้ น) ประชาชนมีความตื่นตวั ในดา้ นการศึกษาเป็นอยา่ งมาก โดยเฉพาะ

ทา่ นเจา้ คุณ พระสิริธรรมราชมนุ ี เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน ในขณะที่ท่านยงั เป็นพระครูสถิตวหิ าร

ธรรม มีความปรารถนาเป็นอยา่ งยง่ิ ที่จะใหม้ ีโรงเรียนระดบั มธั ยมในตาบลน้ี ก็ประจวบเหมาะกบั ใน

วนั ท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๕๒๐ นายภิญโญ สาธร รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการไดล้ งมาตรวจ

ราชการภาคใต้ ไดเ้ ดินทางมาท่ีฉวางผา่ นตาบลชา้ งกลาง ไดแ้ วะนมสั การเจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน

ในโอกาสน้ีพระครูสถิตวหิ ารธรรมไดป้ รารภถึงความจาเป็นและความตอ้ งการทางการศึกษา

วา่ มีเด็กนกั เรียนจานวนมากเรียนจบช้นั ประถมศึกษาตอนปลาย(ป.๗)แลว้ ไมม่ ีสถานท่ีศึกษาจะเขา้

เรียนต่อ จึงขอให้ทา่ นรัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการไดก้ รุณาอนุญาตใหเ้ ปิ ดโรงเรียน

มธั ยมศึกษา ณ ตาบลชา้ งกลาง โดยทางวดั และประชาชนจะสร้างอาคารเรียนชวั่ คราวใหต้ ามเง่ือนไข

๒๑๕

ของทางราชการทกุ ประการ รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการไดน้ มสั การใหค้ วามหวงั ตอ่ พระครู
สถิตวหิ ารธรรม และมีบญั ชาใหด้ าเนินการตามลาดบั ข้นั

หลงั จากน้นั พระครูสถิตวหิ ารธรรม นายอาเภอฉวาง(นายประยรู พรหมพนั ธุ์) ศึกษาธิการ
จงั หวดั (นายกาญจน์ อินทองคา) ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นครศรีธรรมราช(นายเสน่ห์ วฒั นาธร) จึงได้
ดาเนินการขอเปิ ดโรงเรียนตามลาดบั ช้นั และวธิ ีทางราชการ โดยจะขอเปิ ดในปี การศึกษา ๒๕๒๐ แต่
ทางการไมอ่ นุญาตให้เปิ ดในปี น้นั ดว้ ยเหตวุ า่ เป็นการรีบด่วนกระช้นั ชิดเกินไป

แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน ตลอดถึงนายอาเภอและประชาชนชาวตาบลชา้ ง
กลางก็มิไดล้ ะความพยายามหรือเลิกลม้ ความต้งั ใจ ไดเ้ ตรียมการเพื่อจะเปิ ดโรงเรียนมธั ยมศึกษาข้นึ
ในตาบลชา้ งกลางใหไ้ ด้

กระทงั่ ในวนั ที่ ๗ เดือนกมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๒๑ จงั หวดั นครศรีธรรมราชไดม้ ีหนงั สือที่ นศ.๒๓/
๒๕๒๑ แจง้ ใหท้ ราบวา่ กรมสามญั ศึกษาอนุญาตใหเ้ ปิ ดโรงเรียนมธั ยมศึกษาประจาตาบลในอาเภอ
ฉวางจานวน ๑ โรงเรียบร้อยแลว้

เมื่อไดร้ ับทราบความสัมฤทธ์ิผลแลว้ ประชาชนตาบลชา้ งกลาง โดยการนาของพระครูสถิต
วิหารธรรม ตามดว้ ยนายประโยชน์ รัตนบุรี ผใู้ หญ่บา้ นหมู่ ๔ และผนู้ าทอ้ งถ่ินอ่ืนๆ ไดเ้ ร่ิมดาเนินการ
จดั สร้างอาคารเรียนชวั่ คราวเม่ือ ๑ เมษายน ๒๕๒๑ ดว้ ยแรงงานร่วมใจและเงินบริจาค ๓๕๐,๐๐๐
บาท เงินบริจาคจานวนน้ีเป็นคา่ ใชจ้ ่ายรวมถึงค่าชดใชส้ ถานท่ีส่ิงปลกู สร้างและบา้ นเรือนที่ต้งั อยเู่ ดิม
ดว้ ย๔๐,๐๐๐ บาท คณะกรรมการเพ่อื การน้ีกไ็ ดล้ งมติใหใ้ ชช้ ื่อวา่ “โรงเรียนชา้ งกลางประชานุกลู ”
ต้งั แต่บดั น้นั เป็นตน้ มา

พระสิริธรรมราชมุนี ในขณะยงั เป็นพระครูสถิตวิหารธรรมผใู้ หก้ ารอปุ ถมั ภ์

๒๑๖

อาคารที่สร้างข้ึนน้ีมีเสาเหลี่ยม หลงั คามุงกระเบ้ืองลอนคู่ กวา้ ง ๗ เมตร ยาว ๕๔ เมตร
ก้นั หอ้ งดว้ ยไมก้ ระดาน พ้ืนลาดซีเมนต์ ประกอบเป็นหอ้ งเรียน ๖ หอ้ ง

การรับนกั เรียนในปี การศึกษาแรก ทางกรมสามญั ศึกษาแจง้ ใหท้ ราบวา่ ใหร้ ับนกั เรียนช้นั
มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑(ม.๑) และช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑(มศ.๑) ช้นั ละ ๒ หอ้ งเรียน เป็นสหศึกษา หอ้ งเรียน
ละไม่เกิน ๔๕ คน

โรงเรียนไดเ้ ปิ ดการเรียนการสอนเป็นคร้ังแรกในวนั ท่ี ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๒๑ ซ่ึงต่อมาถือ
วา่ วนั น้ีเป็นวนั เกิดของโรงเรียนชา้ งกลางประชานุกูล และไดถ้ ือเอาวนั น้ีจดั กิจกรรมเนื่องในวนั คลา้ ย
วนั กาเนิดโรงเรียนเป็นประจาทุกปี เสมอมา ในโอกาสน้ี พระครูสถิตวิหารธรรม ซ่ึงเป็นผใู้ หก้ าร
อปุ ถมั ภ์ ใหท้ ศั นะทางการศึกษาวา่

“สัตวโ์ ลกมีอยู่ ๒ ชนิด คอื เดรัจฉานกบั มนุษย์ ความแตกต่างของสตั วโ์ ลกท้งั ๒ ชนิดน้นั
ข้ึนอยกู่ บั คุณสมบตั ิ ๒ ประการ ท่ีมี และไมม่ ี คือ

๑.สติปัญญา
๒.คุณธรรม
แตเ่ ดิมมาท้งั มนุษยแ์ ละสตั วเ์ ดรัจฉาน ต่างก็อยอู่ าศยั ในป่ าในถ้าดว้ ยกนั กินอาหารดิบ ๆ มา
ดว้ ยกนั เครื่องนุ่งห่มปกปิ ดร่างกายกนั หนาว กนั ร้อนก็เหมือน ๆ กนั แตม่ นุษยม์ ีสติปัญญา รู้จกั
ดดั แปลงอาหารการกิน ที่อยอู่ าศยั เคร่ืองนุ่งห่มใหพ้ ฒั นาข้ึนจนทิง้ ห่างจากเดรัจฉานอยา่ งท่ีเห็น ๆ กนั
อยู่
อาจจะมีคนเถียงวา่ เดรัจฉานก็มีสติปัญญา มีมนั สมอง เช่น ปลวก ผ้งึ นกกระจาบ ที่ทารังรวง
สวยงาม ก็ขอใหล้ องคดิ ดูวา่ มด ปลวก ตวั ผ้งึ และนก ท่ีทารังสวยงามดงั กล่าวน้นั มนั ทามาแลว้ กี่ร้อย
ก่ีพนั ปี ก็ยงั คงรูปอยอู่ ยา่ งน้นั เป็นการยนื ยนั วา่ มนุษยม์ ีมนั สมอง สติ ปัญญามากกวา่ เดรัจฉาน
ในเร่ืองคณุ ธรรมอาจจะมองเห็นไดช้ ดั ลกู คนปฏิบตั ิต่อพ่อแม่ดีกวา่ ลกู สตั ว์ พ่อแม่ของคนก็
ปฏิบตั ิต่อลูกดีกวา่ พอ่ แมข่ องสัตว์ แมม้ นั จะมีความรักระหวา่ งพ่อแม่ลกู ก็เพยี งระยะหน่ึงเท่าน้นั เช่น
ความดุของสตั วแ์ มล่ ูกอ่อน นานไปกข็ าดความรักห่วงระหวา่ งกนั สิ้นเชิง จึงเห็นชดั วา่ เดรัจฉานกบั
มนุษยม์ ีคณุ ธรรมมากนอ้ ยกวา่ กนั อยา่ งห่างไกล
ท้งั สติปัญญาและคุณธรรมไม่ใช่เป็นมรดกที่ติดมาแต่กาเนิด แตเ่ ป็นเรื่องที่เสริมสร้างเพิม่ พนู
ไดใ้ นภายหลงั
สติปัญญา เกิดไดใ้ นตวั คนดว้ ยการฝีกฝนศึกษา
คณุ ธรรม เกิดไดใ้ นตวั คนดว้ ยการปฏิบตั ิ
พระพุทธเจา้ ตรัสไวว้ า่ บรรพชิตตอ้ งอาศยั ปัจจยั ส่ีเป็นเคร่ืองดารงชีวิต หมายถึงการดารงชีวติ
อยา่ งสันโดษแบบพระสงฆ์ แต่ในสมยั ปัจจุบนั คนยดึ ถือเอาปัจจยั ๔ อยา่ งวา่ เป็นท้งั หมดของชีวิต

๒๑๗

และพยายามหาปัจจยั เพิ่มเติมเป็นลาดบั ที่ ๕ อนั เป็นวตั ถุธรรมเพ่มิ ข้ึน เช่นตอ้ งการยานพาหนะเป็น
ปัจจยั ท่ี ๕ ตอ้ งการความบนั เทิงเป็นลาดบั ที่ ๖ หาท่ีสิ้นสุดมิได้ ตามวิสัยของโลกียชน

อาตมาเองคิดเห็นวา่ ถา้ จะเพ่มิ ปัจจยั ที่ ๕ สาหรับชีวิตเขา้ มากน็ ่าจะเป็นเร่ือง “การศึกษา”
เพราะการเรียนรู้ การฝึกฝน จะเป็นเครื่องประกนั สภาวะของมนุษยใ์ หส้ ูงกวา่ เดรัจฉาน ดว้ ยสติปัญญา
และคุณธรรม

การศึกษานาไปสู่การปฏิบตั ิดี การปฏิบตั ิดีปฏิบตั ิชอบเป็นหนทางแห่งสันติสุข หากห่างเหิน
จากการศึกษา ละเลยในการปฏิบตั ิดีงาม สภาวะท่ีสูงกวา่ เดรัจฉานกจ็ ะจางลงจนอาจจะยอ้ นรอยถอย
หลงั กลบั ไปเหมือนเมื่อพนั ปี ก่อน ถา้ ดงั น้นั กจ็ ะเป็นความอปั ยศของมนุษยชาติท้งั มวล”

แรกเร่ิมเปิ ดเรียนปี ๒๕๒๑
- เปิ ดเรียน ๒ แผนการเรียน คือแผนการเรียนภาษาองั กฤษ-คณิต และแผนการเรียน

ภาษาองั กฤษ-เกษตรกรรม
- มีนกั เรียนจานวน ๒๐๒ คน
- นายปริญญา หิรัญวฒั นสุข รักษาการในตาแหน่งครูใหญ่ นายเจริญ สุขราช ครู

โรงเรียนวดั มะนาวหวานมาช่วยราชการ
- บรรจุครูใหม่ ๗ คน ไดแ้ ก่ นายนิกร ชินาพนั ธุ์ นายโกเมศร์ นนทามิตร นายวชิ ยั

ช่วยชู นางสุคนธ์ คงคาวงษ์ นางสาวเรวดี โชติพนั ธุ์ นายบญุ เศียร คงเคลา้ นายวีรพนั ธ์ บญุ ญานุรักษ์
ในจานวนครู ๗ คนน้ี มีนายบญุ เศียร คงเคลา้ คนเดียวท่ีอยู่สอนจนถึงวนั เกษียณอายุเม่ือปี พ.ศ.๒๕๖๐

ตอ่ มาในปี การศึกษา ๒๕๒๒ ไดเ้ ปิ ดรับนกั เรียนช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ (ม.๑) เพิม่ อีก ๔ หอ้ ง มี
นกั เรียนเพ่ิมข้ึนเป็นจานวน ๓๕๖ คน ปี น้ีกรมสามญั ศึกษาส่ังใหน้ ายสมคดิ เกตุแกว้ มาเป็นครูใหญ่
แทนนายปริญญาฯ ที่ยา้ ยไปเป็นครูใหญโ่ รงเรียนอินทร์วิทยาคม อาเภอปากพนงั

ในช่วงระหวา่ งปี การศึกษา ๒๕๒๓ – ๒๕๒๗ โรงเรียนไดเ้ ปิ ดการเรียนการสอนโดยยดึ
นโยบายของกรมสามญั ศึกษาและหน่วยงานทางการศึกษาท่ีเก่ียวขอ้ ง ยดึ หลกั ธรรมทางพทุ ธศาสนา
ควบคูก่ นั ดว้ ย ก็มีความเจริญกา้ วหนา้ มาตามลาดบั ไดร้ ับงบประมาณสร้างอาคารเรียน ๒๑๖ ค ในปี
๒๕๒๔ จานวน ๑ หลงั พร้อมบา้ นพกั ครูและอาคารโรงฝึ กงาน มีนกั เรียนและครูเพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเร็ว
ถึงกบั ตอ้ งใชอ้ าคารเรียนชว่ั คราวเป็นท่ีเรียนของนกั เรียนบางส่วน

ในปี การศึกษา ๒๕๒๕ โรงเรียนไดร้ ับรางวลั “โรงเรียนจริยธรรมดีเด่นระดบั เขตการศึกษา
๓”

ช่วงสู่เจริญรุดหน้า
ดว้ ยผลงานการเรียนการสอนและความต้งั ใจของผเู้ กี่ยวขอ้ งที่ใหก้ ารสนบั สนุนท้งั หลายท้งั
ปวง พอถึงปี การศึกษา ๒๕๒๗ โรงเรียนก็ไดร้ ับงบประมาณสร้างอาคารเรียนวทิ ยาศาสตร์ ๑ หลงั

๒๑๘

อาคารคหกรรม ๑ หลงั อาคารช่างอุตสาหกรรม ๑ หลงั และอาคารอเนกประสงคอ์ ีก ๑ หลงั รวมท้งั
ไฟฟ้าประปาและปรับปรุงภูมิทศั นร์ อบโรงเรียน เป็นผลใหเ้ จริญรุดหนา้ ดงั น้ี

ในปี การศึกษา ๒๕๒๘ สามารถเปิ ดแผนการเรียนไดถ้ ึงจานวน ๒๔ หอ้ งเรียน จากแผนการ
เรียน ๙ แผน จานวนครูเพม่ิ เป็น ๕๑ คน นกั เรียนเพิ่มเป็ นจานวน ๑,๐๓๒ คน มีลกู จา้ งประจา ๕ คน
นายสมคดิ เกตแุ กว้ จากตาแหน่งครูใหญท่ ี่นี่ ไดไ้ ปเป็นอาจารยใ์ หญ่โรงเรียนทงุ่ สงวทิ ยา อาเภอทุ่งสง
กรมสามญั ศึกษาไดบ้ า้ ยนายศรีมงคล ศรีมีชยั มาเป็นอาจารยใ์ หญแ่ ทน

ในปี ๒๕๓๐ โรงเรียนไดร้ ับอนุญาตใหข้ ยายการเรียนการสอนระดบั มธั ยมตอนปลาย ม.๔ ปี
น้ีจึงไดเ้ ปิ ด ๒ หอ้ งเรียน มีแผนการเรียนวทิ ยาศาสตร์-คณิตศาสตร์และแผนการเรียนองั กฤษ-ไทย-
สงั คม มีนกั เรียนท้งั หมด ๑,๐๔๗ คน ครู ๕๘ คน มีหอ้ งเรียนท้งั หมด ๒๖ หอ้ งเรียน

ในปี การศึกษา ๒๕๓๑ โรงเรียนขยายช้นั เรียนเพ่มิ คือช้นั มธั ยมปี ที่ ๕ จึงมีนกั เรียนเพ่ิมข้นึ
เป็นจานวน ๑,๒๕๐ คน มีครูเพ่มิ เป็น ๕๙ คน หอ้ งเรียนเพ่มิ เป็นจานวน ๒๘ หอ้ งเรียน

ฉลองครบรอบ ๑๐ ปี
สิบปี แห่งความกา้ วหนา้ ของโรงเรียนชา้ งกลางประชานุกลู เพราะฉะน้นั ในวนั ท่ี ๒๒
พฤษภาคม ๒๕๓๑ จึงไดจ้ ดั งานใหญ่

๙.๓.๓ ระดับอุดมศึกษา
- วิทยาลัยเกษตรกรรมและเทคโนโลย่ี
วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช เป็นศนู ยก์ ลางบริหารของสถาบนั การ
อาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ต้งั อยใู่ นจงั หวดั นครศรีธรรมราช โดยสถาบนั การศึกษาน้ีเปิ ดสอน ๒
หลกั สูตร คอื ประกาศนียบีตรวชิ าชีพ (ปวช.) ประกาศนียบีตรวชิ าชีพช้นั สูง (ปวส.) สถานศึกษาแห่ง
น้ียคุ ก่อต้งั ใชช้ ื่อวา่ “วิทยาลยั เกษตรกรรมนครศรีธรรมราช” (ควนพลอง)
ยคุ ก่อต้งั พ.ศ. ๒๕๒๒
วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช เริ่มแรกก่อต้งั ใชช้ ่ือวา่ “วิทยาลยั
เกษตรกรรมนครศรีธรรมราช” (ควนพลอง) เป็นสถานศึกษาระดบั สูงสายอาชีพของจงั หวดั
นครศรีธรรมราช มีประวตั ิการจดั ต้งั การบริหาร กิจกรรมภายในและนอกสถานศึกษา ใหบ้ ริการ
ทางวิชาการท้งั แก่นกั เรียนนกั ศึกษาและเกษตรกรทว่ั ไป โดยผา่ นการอบรมใหค้ วามรู้เชิงปฏิบตั ิดา้ น
เกษตรอยา่ งกวา้ งขวางและต่อเนื่อง
ในสมยั อดีตวทิ ยาลยั เกษตรกรรมเดิมคือวิทยาลยั เกษตรกรรมไสใหญ่ อาเภอทงุ่ สง ไดย้ ก
ฐานะข้ึนเป็นระดบั อดุ มศึกษา ซ่ึงเดิมเคยรับนกั เรียนท่ีจบช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๓ มาเปลี่ยนเป็นรับ
นกั เรียนท่ีจบมธั ยมศึกษาปี ที่ ๖ หรือ ประกาศนียบตั ร ปวส. แทน ส่งผลใหเ้ กิดปัญหากบั ผปู้ กครอง
ในจงั หวดั นครศรีธรรมราช ตอ้ งส่งลูกหลานไปเรียนดา้ นเกษตรกรรมระดบั ตน้ – สูง (ปวช. ปวส.) ท่ี

๒๑๙

จงั หวดั ตรัง พทั ลงุ สงขลา ที่เปิ ดทาการเรียนการสอนอยแู่ ลว้ ไดร้ ับความเดือดร้อนท้งั ดา้ นการเงิน
การเดินทาง ที่พกั อาศยั

พ.ศ. ๒๕๒๓ รัฐบาลกาหนดใหเ้ ป็นปี เกษตรกรและมีนโยบายจะขยายสถานศึกษาทาง
การเกษตรข้ึนในจงั หวดั ตา่ งๆ ๑๐ จงั หวดั คือ

๑.จงั หวดั ชยั นาท
๒. จงั หวดั นครสวรรค์
๓.จงั หวดั อุทยั ธานี
๔.จงั หวดั เพชรบูรณ์
๕.จงั หวดั เชียงใหม่
๖.จงั หวดั กาญจนบุรี
๗.จงั หวดั กระบี
๘.จงั หวดั ระนอง
๙.จงั หวดั มหาสารคาม
๑๐.จงั หวดั นครศรีธรรมราช
ประกาศการจดั ต้งั วิทยาลยั เกษตรกรรมชุดน้ีเป็นประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ ลงวนั ท่ี
๒๒ มกราคม ๒๕๒๒ โดยกาหนดวา่ จะก่อสร้างอาคารใหเ้ สร็จในปี งบประมาณ ๒๕๒๓ และเปิ ด
ทาการเรียนการสอนในปี การศึกษา ๒๕๒๔ คณะรัฐมนตรีอนุมตั ิดาเนินการเมื่อ ๖ กุมภาพนั ธ์
๒๕๒๒
สถานที่ก่อสร้าง เป็นเร่ืองสาคญั ทางจงั หวดั นครศรีธรรมราชประสงคจ์ ะขอใชป้ ่ าสวน
แห่งชาติควนพลอง ตาบลชา้ ง อาเภอฉวาง (ในขณะน้นั ) จงั หวดั นครศรีธรรมราช เป็นที่ต้งั วิทยาลยั
ป่ าสงวนแห่งชาติควนพลอง เป็นพ้นื ที่สวยงาม อยใู่ นยา่ นกลางชุมชนชนบท เป็นป่ าสงวนแห่งชาติ
ตามประกาศของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ฉบบั ที่ ๒๔๖ พ.ศ. ๒๕๑๐ ประกาศในราชกิจจา
นุเบกษา เล่มที่ ๘๔ ตอน ๑๖๖ ลงวนั ท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๑๐ มีเน้ือท่ีรวมกนั จานวน ๑,๘๗๐
ไร่ เดิมเป็นป่ าไมแ้ ดง และทรัพยากรอื่นมากมาย ตอ่ มาถกู บกุ รุกลอบตดั โค่นไม้ ประกอบดว้ ยถกู
วาตภยั เมื่อ ๒๕ ตลุ าคม ๒๕๐๕ ตน้ ไมท้ ่ียงั เหลือโค่นลม้ ไปบา้ ง ถกู สวมรอยตดั โค่นโดยนายทนุ
ทาไมบ้ า้ ง สภาพป่ าสงวนควนพลองจึงไม่เหลือทรัพยากรป่ าไมเ้ ลยแมแ้ ต่ตน้ เดียว จนกระทงั่
รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อนุมตั ิใหจ้ งั หวดั นครศรีธรรมราชเขา้ ทาประโยชนส์ ร้าง
วทิ ยาลยั เกษตรกรรมจานวน ๗๘๑ ไร่ โดยมีเง่ือนไข ๒ ประการ คอื
๑.ดูแลรักษาไมท้ ี่ปลูกไวแ้ ลว้
๒.เป็นผปู้ ลกู ไมเ้ พิ่มเติมเท่าจานวนท่ีท่ีไดร้ ับอนุญาตใหใ้ ช้

๒๒๐

วทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช ไดเ้ ปิ ดดาเนินการอยา่ งเตม็ รูปแบบ ต้งั แตป่ ี

การศึกษา ๒๕๒๕ ในระยะเริ่มแรกมีสาระดงั ต่อไปน้ี

ปี การศึกษา ๒๕๒๕ รับนกั ศึกษาระดบั ปวช. ๕๙ คน

ปี การศึกษา ๒๕๒๘ รับนกั ศึกษาระดบั ปวส. ๖๗ คน

คณะท่ีเปิ ดสอนเร่ิมแรก

๑.คณะวิชาพ้ืนฐาน ๒.คณะวชิ าพืชศาสตร์ ๓.คณะวชิ าสัตวศาสตร์ ๔.คณะวชิ าประมง ๕.

คณะวชิ าช่างกลเกษตร ๖.คณะวชิ าธุรกิจเกษตร ๗.คณะวิชาอตุ สาหกรรมเกษตร

นอกจากน้ีคณะวิชาท้งั หมดที่กลา่ วมาน้นั วทิ ยาลยั ยงั มีงานและโครงการอื่นๆ อีก คอื งาน

หลกั สูตรพเิ ศษ โครงการฝึ กอบรมเกษตรกรเคล่ือนที่ โครงการพิเศษตา่ งๆ โครงการบริการชุมชน

องคก์ ารเกษตรในอนาคต (อกท.)

ยคุ ปัจจุบนั

วนั ที่ ๒๖ กนั ยายน ๒๕๓๙ ไดเ้ ปลี่ยนชื่อเป็น “วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยี

นครศรีธรรมราช”เป็นสถานศึกษาสงั กดั สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

ปัจจุบนั น้ีวิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช ไดเ้ ปิ ดการเรียนการการสอนใน

ระดบั ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ (ปวช.) และระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพช้นั สูง (ปวส.) มีสาขาวิชา

และสาขางานดงั ต่อไปน้ี

๑.ระดบั ปวช. ๑ รับนกั เรียนจบ ม. ๓ เรียนต่อ ๓ ปี

- ประเภทวิชาเกษตรกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขางาน พืชศาสตร์ สตั วศาสตร์

ช่างเกษตร ผลิตสตั วน์ ้า เกษตรกรรม (อศ. กช.)

- ประเภทวชิ าพานิชยกรรม สาขาวชิ าและสาขางาน การบญั ชี การตลาด

คอมพิวเตอร์ธุรกิจ

๒.ระดบั ปวส. ๑ รับนกั เรียนจบ ม.๖ หรือ ปวช. เรียนต่อ ๒ ปี

- ประเภทวชิ าเกษตรกรรม สาขาวชิ าพชื ศาสตร์ สาขางานพชื สวน สาขาวิชาสตั ว

ศาสตร์ สาขางานการผลิตสัตว์ สาขาวิชาอตุ สาหกรรมเกษตร สาขางานอุตสาหกรรมเกษตร สาขาวชิ า

ช่างกลเกษตร สาขางานเคร่ืองจกั รกลเกษตร

- ประเภทวิชาประมง สาขาวิชาเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า สาขางานเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า

- ประเภทวชิ าบริหารธุรกิจ สาขาวชิ าการบญั ชี สาขางานการบญั ชี สาขาการตลาด

สาขางานการตลาด สาขาวิชาคอมพวิ เตอร์ธุรกิจ สาขางานเทคโนโลยสี านกั งาน

รายนามผบู้ ริหารวิทยาลยั เกษตรกรรมนครศรีธรรมราชควนพลอง มีผบู้ ริหารมาแลว้ ท้งั สิ้น ๙

ทา่ น คือ

๑.นายอาสา คงวิทยากุล พ.ศ. ๒๕๒๓ - ๒๕๒๙

๒๒๑

๒.นายปลอบ หนูยม้ิ ซา้ ย พ.ศ. ๒๕๒๙ - ๒๕๓๒

๓.นายจงรัก วณิชาชีวะ พ.ศ. ๒๕๓๒ – ๒๕๓๖

๔.นายประกอบ รัตนพนั ธ์ พ.ศ. ๒๕๓๖ – ๒๕๔๓

๕.นายประเสริฐ ชูแสง พ.ศ. ๒๕๔๔ – ๒๕๕๑

๖.นายนิวตั ร ตระกูลสนั ติ พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๒๕๕๒ (รักษาการ)

๗.นายวิศวะ คงแกว้ พ.ศ. ๒๕๕๒ – ๒๕๕๙

๘.นายนิวตั ร ตระกูลสนั ติ พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๕๙ (รักษาการ)

๙.นายบญุ ศกั ด์ิ ต้งั เกียรติกาจาย พ.ศ. ๒๕๕๙ – ปัจจุบนั

สถานภาพวิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช

วิทยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช นอกจากจะเป็นสถานท่ีศึกษา ฝึกอบรม

โครงการตา่ งๆ บริการทางวิชาการแลว้ ยงั เป็นสมบตั ิของทอ้ งถิ่นโดยบริการทางสถานท่ี อาคารห้อง

ประชุมประกอบกิจกรรมของชุมชน คณาจารย์ นกั ศึกษามีความคุน้ เคยแนบแน่นกบั ประชาชนใน

พ้นื ที่ สร้างภาพพจนท์ ่ีดีงามตลอดมา

วทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช มีทิศทางในการทางานประกอบดว้ ยภารกิจ

หลกั ๓ ประการ คอื วิชาการเพื่อนกั ศึกษา บริการวิชาการเพ่ือชุมชน อุดมการณ์เพือ่ สังคมไทย

สถานที่ติดต่อราชการวทิ ยาลยั เกษตรและเทคโนโลยนี ครศรีธรรมราช ๒๔๔ หมู่ที่ ๗ ตาบล

ชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช ๘๐๒๕๐ หมายเลขโทรศพั ท์ ๐๗๕-๔๔๕๗๓๔

- สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้

อีก ๑๗ ปี ตอ่ มา คือเม่ือวนั ที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ กระทรวงศึกษาธิการ ประกาศ

กฎกระทรวง เร่ือง "การรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษา เพือ่ จดั ต้งั “สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตร พ.ศ.

๒๕๕๖” โดยใหจ้ ดั ต้งั สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรออกเป็น ๔ แห่งดงั ต่อไปน้ี

- สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคเหนือ

- สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ

-สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคกลาง

-สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้

สาหรับสถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคใตไ้ ดเ้ กิดข้นึ โดยควบรวมเอาวทิ ยาลยั เกษตรและ

เทคโนโลยใี นกลมุ่ ภาคใต้ จานวน ๙ แห่ง และวิทยาลยั ประมง จานวน ๒ แห่ง เพอื่ จดั การเรียนการ

สอนในระดบั ปริญญาตรีสายปฏิบตั ิการแลว้ ใหช้ ่ือวา่ “สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต”้ โดยมี

ศนู ยก์ ลางบริหารอยทู่ ี่ ๒๔๔ หมูท่ ่ี ๗ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง มีพ้นื ท่ีท้งั หมด 783 ไร่ 300

ตารางวา

๒๒๒

- วิทยาลยั เกษตรกรรม ๙ แห่งไดแ้ ก่ ศนู ยก์ ลางนครศรีธรรมราช(ควนพลอง) กระบ่ี ชุมพร
ตรัง พงั งา พทั ลงุ ระนอง สงขลา สตูล สุราษฎร์ธานี

- วิทยาลยั ประมง ๒ แห่งไดแ้ ก่ วทิ ยาลยั ประมงติณสูลานนท์ และชุมพรเขตรอดุ มศกั ด์ิ
สถาบนั การอาชีวศึกษาเกษตรภาคใต้ ไดร้ ับอนุมตั ิใหเ้ ปิ ดสอนหลกั สูตรปริญญาตรีสาย
เทคโนโลยหี รือสายปฏิบตั ิการ จากกระทรวงศึกษาธิการ เปิ ดสอนดงั น้ี
๑.หลกั สูตรระยะส้ัน
๒.หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ รับนกั เรียนจบ ม.3 เรียนตอ่ 3 ปี

- สาขาวชิ าเกษตรศาสตร์
- สาขาวชิ าพณิชยการ
๓.หลกั สูตรประกาศนียบีตรวิชาชีพช้นั สูง รับนกั เรียนจบ ม.6 หรือ ปวช. เรียนต่อ 2 ปี
-สาขาวชิ าการตลาด
- สาขาวชิ าการบญั ชี
- สาขาวิชาคอมพวิ เตอร์ธุรกิจ
-สาขาวชิ าเทคโนโลยภี ูมิทศั น์
-สาขาวชิ าพชื ศาสตร์
- สาขาวชิ าเพาะเล้ียงสตั วน์ ้า
-สาขาวชิ าสัตวศาสตร์
-สาขาวิชาอุตสาหกรรมเกษตร
๔.ระดบั ปริญญาตรี (ตอ่ เนื่อง) ๒ ปี

๒๒๓

บทท่ี ๑๐ วัดในอาเภอช้างกลาง

อาเภอชา้ งกลางไดช้ ่ือวา่ เป็นเมือง ๒ ธรรม คือธรรมชาติ มีทรัพยากรธรรมชาติเช่นน้าตก ป่ า
ไม้ ถ้า และภูเขาสลบั ซบั ซอ้ น และธรรมะในฐานะท่ีมีพระเกจิอาจารย์ เช่นพ่อท่านคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ
เป็นตน้ นอกจากน้ียงั มีวดั ท่ีเกิดข้ึนต้งั แตค่ ร้ังโบราณ เช่นวดั มะนาวหวาน วดั หลกั ชา้ ง เป็นตน้ ในบท
น้ีจึงกล่าวถึงประวตั ิ ความเป็นมาของวดั ตา่ ง ๆ ดงั น้ี

๑๐.๑ วัดมะนาวหวาน
วดั มะนาวหวาน พระอารามหลวง ต้งั อยใู่ นทะเบียนเลขที่ ๑๒๖ หมู่ ๔ ตาบลชา้ งกลาง
อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช ตรงหลกั กิโลเมตรที่ ๓๖ ของทางหลวงหมายเลข ๔๐๑๕
มีเน้ือท่ี ๓๒๔ ไร่๓ งาน ๗๔ ตารางวา แบง่ เป็นเขตพุทธาวาสและสงั ฆาวาส ๓๗ ไร่ ๓ งาน ๗ ตาราง
วา ท่ีเหลือนอกน้นั เป็นเขตธรณีสงฆ์ ๒๘๗ ไร่ ปัจจุบนั มีพระสิริธรรมราชมนุ ี เป็นเจา้ อาวาส
วดั ต้งั อยบู่ นฝ่ังคลองจนั ดีตรงที่ราบลุ่มเชิงเขาเหมนซ่ึงมีคลองคลองเหมน คลองแหน คลอง
งา คลองอม และคลองสงั เกียด เป็นตน้ น้า
มีการเลา่ ตอ่ ๆ กนั มาวา่ วดั น้ีสร้างโดยภิกษุ ๒ พีน่ อ้ งชื่ออินและจนั หลกั ฐานท่ีเป็นทางการ
น้นั กรมศาสนาไดอ้ อกหนงั สือรับรองวา่ วดั มะนาวนาวหวานสร้างเม่ือ พ.ศ.๒๒๒๕ และไดร้ ับ
พระราชทานวสิ ุงคามสีมาเม่ือพ.ศ. ๒๒๓๐ ตามหนงั สือแจง้ ที่ ศธ.๐๔๐๕/๔๒๙๕ ลงวนั ที่ ๒๗
เมษายน ๒๕๓๐ ตามหนงั สือที่ยนื ยนั น้ีก็เป็นอนั ถือไดว้ ่า วดั มะนาวหวานเกิดข้ึนต้งั แต่คร้ังแผน่ ดิน
สมเดจ็ พระนารายณ์มหาราช กษตั ริยอ์ งคท์ ี่ ๒๗ แห่งกรุงศรีอยธุ ยา
มีการถกเถียงกนั วา่ ชื่อวดั มะนาวหวานน้ีเป็นช่ือด้งั เดิม หรือเพ้ยี นมาจากคาวา่ “นาหวา่ น”
พวกที่เช่ือวา่ น่าจะเพ้ียนมาจากคาวา่ “นาหวา่ น” ก็มีเหตุอนั ควรเชื่อได้ ๒ ประการ

- ประการท่ีหน่ึง อาณาบริเวณน้ีเป็นท่ีราบล่มุ เชิงเขา อาชีพราษฎรแต่ก่อนเก่าน้นั
ลว้ นทานา ตรงที่ล่มุ กท็ านาดา คือปักดาตน้ ขา้ ว ท่ีเป็นเนินกท็ านาหวา่ น คอื เอาเมล็ดขา้ วมาหวา่ น ก็
แถวบริเวณเชิงเขาเหมนน้ีมีที่ราบเชิงเขามากมายเหมาะแก่การทานา ไมว่ า่ ท่ีบา้ นนา คลองงา ควนส้าน
ทงุ่ เจียก นาวา ทุ่งปอน นาหมอสนั ทุง่ นุย้ ลว้ นป็นท่ีทานาท้งั สองอยา่ ง คือนาปักดาและนาหวา่ น

- ประการท่ีสอง สาเนียงชาวปักษใ์ ต้ ออกเสียงคาวา่ “นาหวา่ น” เป็น “นาหวา้ น”
คนภาคอื่นฟังนาหวา้ น เป็นนาหวาน นาหวานน้นั ไม่มีความหมายอะไร ก็คงใหช้ ื่อเป็น “มะนาว
หวาน” เพราะฉะน้นั คาวา่ มะนาวหวานจึงเพ้ยี นมาจากคาว่า “นาหวา่ น” ดว้ ยประการฉะน้ี

ส่วนพวกที่เชื่อวา่ วดั มะนาวหวานน้นั เป็นช่ือที่เรียกกนั มาแต่ด้งั เดิม โดยเรียกตามพืชใน
สกุลสม้ ลกู กลมรี เปลือกดา้ นในมีสีขาวออกรสหวานปะแลม่ ๆ เรียกวา่ “มะนาวหวาน” ผลคลา้ ย
มะนาวคลาน เคยมีอยมู่ ากในบริเวณต้งั วดั แมป้ ัจจุบนั ก็มีตน้ หน่ึงซ่ึงอยหู่ นา้ กฏุ ิเจา้ อาวาส(หลงั เก่า)

๒๒๔

ปลกู โดย พล.ท.พิศิษฐ์ อาจคมุ้ วงศ์ อดีตแม่ทพั ภาค ๔ ในโอกาสมาวางศิลาฤกษส์ ร้างอาคารเฉลิม
พระเกียรติฯ วดั น้ีจึงไดช้ ื่อวดั มะนาวหวานมาแต่ด้งั เดิม นี่ก็เป็นความเช่ืออีกสายหน่ึง

ใครจะเช่ือวา่ อยา่ งไร ก็ใชเ้ หตุและผลพจิ ารณาเอากแ็ ลว้ กนั
เจดีย์สองพน่ี ้อง
ในวดั น้ีเดิมมีเจดียเ์ ก่าแก่อยคู่ ู่หน่ึง ต้งั อยหู่ นา้ โบสถว์ ดั มะนาวหวาน ชาวบา้ นเรียกกนั วา่
“เจดีย์ ๒พีน่ อ้ ง” ซ่ึงหมายถึงเจดียท์ ี่บรรจุอฐั ิของสมภารอิน-สมภารจนั ผสู้ ร้างวดั คนท้งั หลายจึงกราบ
ไหวบ้ ูชาเจดียน์ ้ีในฐานะเป็นของศกั ด์ิสิทธ์ิ จากความเชื่ออยา่ งน้ี เมื่อเกิดวิบตั ิขดั ขอ้ งหรือตอ้ งการเรื่อง
ใดกจ็ ะมาบนบานท่ีเจดีย์ โดยจุดธูปเทียนบชู า ขอใหส้ มภารอิน – สมภารจนั บาบดั ขจดั ทุกขป์ ้องกนั
ภยั ต่าง ๆ แมแ้ ตค่ ณะมโนราห์ สมยั เม่ือ ๖๐ ปี มาน้ีเม่ือเดินโรงผา่ นเจดียส์ องพนี่ อ้ งจะตอ้ งต้งั เคร่ือง
บรรเลงสักการะบชู า หนงั ตะลงุ เม่ือจะแสดงในถ่ินน้ี ตอ้ งปรายหนา้ บทไหวส้ มภารอิน – สมภารจนั
ก่อน เพอื่ ช่วยขจดั ปัดเป่ าอุปสรรคและช่วยเพ่มิ โฉลกโชคลาภ ประกอบกบั สภาพเจดียเ์ ป็นสิ่ง
ปรักหกั พงั ดูเป็นของเก่ามาก จึงเพม่ิ ความขลงั ข้ึน
น่ีคอื ภาพเจดียส์ องพน่ี อ้ ง ก่อนปี พ.ศ.๒๕๑๙ มีลกั ษณะดงั ภาพ

คณุ มงคล คงแกว้ ไดเ้ ขียนไวใ้ นหนงั สืออนุสรณ์สมณศกั ด์ิพระครูสถิตวิหารธรรม พิมพเ์ ผยแพร่เมื่อปี
๒๕๑๗ วา่

“ วดั น้ีเคยร้างสมยั หน่ึงเป็นเวลานาน จนกระทงั่ ตน้ ไมข้ ้ึน มีเถาวลั ยค์ ลุมเป็นป่ าดง มีสัตวป์ ่ า
นา ๆ ชนิดเขา้ มาอาศยั คร้ันต่อมามีพรานป่ าคนหน่ึง เที่ยวไล่ล่าสัตวเ์ ขา้ มาถึงเขตวดั พบเขต
วิสุงคามสีมา มีใบเสมาทาดว้ ยหิน” ซ่ึงใบเสมาน้ียงั ปรากฎใหเ้ ห็น โผล่จากพ้ืนดินในขณะสร้าง
โบสถใ์ หม่ เป็นท่ีน่าเสียดายวา่ ไมม่ ีใครสนใจ จึงถกู รถไถกลบ ใบเสมาท่ีวา่ น้ีก็หายไป

๒๒๕

คณุ มงคลฯ กล่าวต่อไปวา่ “พรานไดพ้ บเจดียส์ องพน่ี อ้ งในสภาพปรักหกั พงั กค็ ดิ วา่ เป็นวดั ร้าง
แน่ เกิดกุศลเจตนาละเลิกฆ่าสัตวต์ ดั ชีวิต ชกั ชวนเพื่อนบา้ นญาติพ่ีนอ้ งช่วยกนั หกั ร้างถางพง บรู ณ
ซ่อมแซม ปลกู สร้างกฎุ ี และเสนาสนะอื่น ๆ ข้ึนใหม่ ทาใหว้ ดั คนื ชีพอีกคร้ัง”

ในช่วงหลงั จากการคืนชีพกม็ ีสมภารเจา้ วดั ที่เป็นคนในทอ้ งถิ่นสืบต่อกนั มาหลายสมยั บาง
ช่วงมีพระนอ้ ยมาก บางปี มีเพียงรูปเดียว เกือบจะเป็นวดั ร้างหลายคร้ัง กระทงั่ ในปี พ.ศ.๒๔๖๑ ในวดั
มีพระเพยี งรูปเดียว ชาวบา้ นเห็นวา่ วดั จะร้างอีก ก็ไดร้ วมตวั กนั ไปนิมนตพ์ ระพุม่ จากวดั หลกั ชา้ ง มา
เป็นสมภาร โดยวธิ ีหามแห่กนั มา ในสมยั ที่พ่อท่านพมุ่ เป็นสมภาร ท่านไดป้ ลูกตน้ ไมผ้ ลไวเ้ ยอะ มี
มงั คดุ ทุเรียน ลางสาด เป็นตน้ ขยายเน้ือท่ีวดั โดยการรับบริจาคออกไปกวา้ งขวางมาก ผบู้ ริจาคคน
สาคญั คอื นายนวล บูรพา บริจาคท่ีดินทางทิศตะวนั ตกของวดั มะนาวหวาน ๒๒๐ ไร่ นายช่วง วงศ์
นอ้ ย นอ้ งของพ่อท่านพมุ่ บริจาคที่ดินทางทิศใตต้ ิดวดั จานวน ๗๕ ไร่ วิธีบริจาคง่าย ๆ เพียงเขยี นคา
บริจาคแลว้ ลงชื่อไวห้ ลงั หลกั ฐานเอกสารท่ีดิน ส.ค.๑แลว้ มอบเอกสารน้นั ใหว้ ดั ก็เป็นอนั เสร็จสิ้น

สิ้นสมยั พอ่ ท่านพุ่ม ซ่ึงตอ่ มาไดส้ มณศกั ด์ิท่ี พระครูสงั ฆรักษ์ ก็มีสมภารสืบต่อมากนั หลายรูป
แตล่ ะสมยั ไดเ้ พ่ิมการพฒั นาวดั ตามกาลงั ความรู้ ความสามารถเท่าที่ทากนั ได้ แตท่ ี่สาคญั คือเป็นฐาน
ใหค้ นในทอ้ งถ่ินไดท้ าบุญและออกบวชตามประเพณีสืบต่อ ๆ กนั มาไม่ขาดสาย

ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ วดั มะนาวหวานไดส้ มภารหนุ่ม อายุ ๓๐ ปี นนั่ คือพระสอน ฐิตวโี ร ท่าน
พฒั นาวดั ทุกดา้ น จนวดั เจริญข้ึนตามลาดบั ท้งั ดา้ นการศึกษา ดา้ นส่ิงก่อสร้างเสนาสนะ พุทธสถาน
โบสถเ์ จดีย์ วหิ าร ไดเ้ กิดข้ึนดว้ ยแรงศรัทธาของมวลชน

จนกระทง่ั พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯ พร้อมดว้ ยพระบรมวงศานุวงศ์ ไดเ้ สด็จมายกช่อ
ฟ้าพระอโุ บสถวดั มะนาวหวานเม่ือวนั ที่ ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ในโอกาสน้นั พระองคท์ า่ นได้
ทอดพระเนตรเห็นความเก่าแก่และทรุดโทรมของเจดียส์ องพ่นี อ้ งดงั กลา่ วแลว้ ขา้ งตน้ จึงไดต้ รัสถาม
เจา้ อาวาส (พระครูสถิตวิหารธรรม) เป็นเชิงแสดงพระราชประสงคว์ า่ “จะบรู ณะหรือไม่?”

การบรู ณะจึงไดเ้ ร่ิมข้ึนเมื่อวนั ที่ ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๓๔ โดยอยใู่ นความควบคมุ ดูแลของ
หน่วยศิลปากรที่ ๘ การบูรณะไดด้ าเนินการเป็นข้นั เป็นตอน เร่ิมแต่การสารวจ ขดุ ร้ือ ออกแบบ
และก่อสร้างทบั คร่อมข้ึนใหม่ กลายเป็นเจดียท์ รงอยธุ ยา ทาสีออกขาวตามที่เห็นสวยเด่นเป็นสง่าอยู่
ขณะน้ี

องคท์ างทิศใตข้ องโบสถจ์ าเป็นตอ้ งเคลื่อนยา้ ยออกไปใหเ้ หมาะสมกบั โบสถท์ ี่สร้างใหม่ จึง
ไดข้ ดุ เจาะลึกลงไปจนถึงที่เก็บอฐั ิ พบวา่ ภายในเจดียม์ ีแท่นสี่เหล่ียมวางอยู่ บนแท่งมีหมอ้ ดินซ่ึงชารุด
ภายในหมอ้ ดินมีอฐั ิ นอกน้นั มีส่ิงมีคา่ ดงั น้ี

๑.หวั นโมเงินแท้ ๔๒ อนั หวา่ นโดยรอบวตั ถุอื่น ๆ
๒.แหวนทองเน้ือเกล้ียง ๒ วง
๓.กาไลสมั ฤทธ์ิขนาดเลก็ ( ๔ ซม.) ๔ วง

๒๒๖

๔.หินเหลก็ ไหล หรือเพชรหนา้ ทงั่ ๒ อนั
๕.มีผอบ ๒ ฝาครอบกนั ”

เป็นที่น่าแปลกท่ีสุดก็คอื สิ่งท่ีไดพ้ บเห็นภายในกรุเจดียเ์ ก่าน้ีมีแต่เครื่องแต่งกายสตรี ท้งั มีหิน
เหลก็ ไหลซ่ึงเป็นวตั ถมุ งคลเครื่องป้องกนั ภยั ไมม่ ีส่ิงใดท่ีเป็นวตั ถขุ องใชส้ าหรับพระภิกษุสงฆแ์ ต่
อยา่ งใด ทาใหน้ กั ประวตั ิศาสตร์ทอ้ งถ่ิน ซ่ึงไดศ้ ึกษาเร่ืองราวประวตั ิศาสตร์ในอาเภอชา้ งกลางอยา่ ง
ละเอียดมีความเช่ือวา่ น่าจะไม่ใช่เป็นท่ีบรรจุอฐั ิของสมภารอิน-สมภารจนั โบราณวตั ถภุ ายในเจดีย์
ดงั กล่าวน้ีเป็นที่มาแห่งการทาใหเ้ ชื่อวา่ น่าจะเป็นที่บรรจุอฐั ิของนางพญาเลือดขาวกบั นางพญาจณั ฑี
แต่กไ็ มม่ ีหลกั ฐานพิศจู น์ฯ จึงเป็นแต่เพียงความคาดหมาย ถา้ หากวา่ เจดียส์ องพ่นี อ้ งเป็นที่บรรจุอฐั ิ
ของสองนางพญาดงั กล่าว อายขุ องเจดียก์ ็คงเก่าแก่กวา่ วดั มะนาวหวานมาก เพราะสมยั ของสอง
นางพญาอยใู่ นยคุ พระเจา้ จนั ทภาณุ(องคท์ ี่ ๓) ผคู้ รองเมืองนครศรีธรรมราชในราวปลายพทุ ธศตวรรต
ท่ี ๑๘ คือ ราว พ.ศ. ๑๗๘๐ นกั ประวตั ิศาสตร์กล่าววา่ เดิมสองนางพญาน้ีทะเลาะกนั ถึงข้นั ทาลายเมือง
นางพญาเลือดขาวโดยเปิ ดน้าใหไ้ หลทว่ มเมือง เมื่อสองนางพญาไดค้ นื ดีกนั กไ็ ดส้ ร้างเจดียไ์ วเ้ ป็น
อนุสรณ์ แต่จะสร้างไวต้ รงไหนไม่มีใครพศิ จู น์ได้ เมื่อท้งั สองนางเสียชีวติ ก็ไดม้ ีการเอาอฐั ิฝังไวใ้ น
เจดียพ์ ร้อมสิ่งของเคร่ืองใช้

ดงั น้นั ในโอกาสท่ีขดุ เจาะเจดียอ์ งคห์ น่ึงหนา้ โบสถว์ ดั มะนาวหวาน ไดพ้ บอฐั ิและเคร่ืองแต่ง
กายสตรีดงั กล่าวขา้ งตน้ ความเช่ือด้งั เดิมที่วา่ เป็นเจดียเ์ ก็บอฐั ิของสมภารอิน สมภารจนั กค็ ลายความ
เช่ือลงไป ประกอบกบั การสร้างเจดียใ์ หม่ครอบองคเ์ ดิมเป็นแบบอยธุ ยา ทาใหม้ องไมเ่ ห็นรูปร่าง
ซากเดิมของเจดีย์ ความเช่ือเดิมก็ยงิ่ หดหายไป เพราะมองอยา่ งไรก็ยงั คงเห็นเป็นของใหม่

เจดียอ์ งคน์ ้ีแหละที่ถกู ขดุ คน้ และเคล่ือนยา้ ยออกไปทางทิศใตข้ องโบสถ์

๒๒๗

เจดียอ์ งคน์ ้ีที่มีรูปร่างผดิ ไปจากของเดิม เพราะไดร้ ับการบูรณะมาก่อนแลว้ จากภรรยานายชุบ
มนุ ิกานนท์ อดีตผอู้ านวยการ องคก์ ารสวนยาง แตก่ ย็ งั ไม่ทนั สาเร็จ กม็ ีการสร้างโบสถใ์ หม่และถกู
เคลื่อนยา้ ยออกไปพอเหมาะกบั ที่อยหู่ นา้ โบสถ์

๒๒๘

สภาพเจดีย์สองพน่ี ้องหลังจากบูรณะแล้ว

- ในช่วงท่ีพระสอน ฐิตวีโร(พระสิริธรรมราชมุนี)เป็นเจา้ อาวาส วดั มะนาวหวานไดร้ ับการ
พฒั นาทกุ ดา้ น ศรัทธาประชาชนจากทกุ สารทิศหลงั่ ไหลเขา้ สู่วดั ช่วยบริจาคสร้างถาวรวตั ถุ พทุ ธ
สถานเสนาสนะมากมายนบั ไมถ่ ว้ น โดยเฉาะอยา่ งยงิ่ ไดส้ ร้างโบสถส์ าเร็จ และสร้างศาลาเฉลิมพระ
เกียรติซ่ึงเป็นอนุสรณ์สถานสาคญั ของวดั

ทา่ นผนู้ ้ีเป็นเจา้ อาวาสต้งั แตป่ ี ๒๕๐๗ นามเดิมชื่อสอน ขอบขา เกิดที่บา้ นจนั ดีหมู่ที่ ๓ เมื่อ
๔ ตลุ าคม ๒๔๗๗ บวชเมื่อปี ๒๔๙๘ พระครูญาณวรากรเป็นพระอุปัชฌาย์ เรียนจบนกั ธรรมเอก
จากวดั มมุ ป้อม พอจะเรียนตอ่ บาลีก็ประสบปัญหาสุขภาพ หลงั จากพระอาจารยว์ งั ลาสิกขาบทเม่ือปี
๒๕๐๖ คณะสงฆอ์ าเภอฉวาง โดยพระครูรังสรรคอ์ ธิมุตต์ ไดข้ อตวั ทา่ นมาเป็นเจา้ อาวาสต้งั แต่ปี
๒๕๐๗ ต่อมาปี ๒๕๑๖ ไดร้ ับพระราชทานสมณศกั ด์ิเป็นพระครูสถิตวหิ ารธรรม ไต่เตา้ จากช้นั ตรี
โท เอก และรับตาแหน่งตามลาดบั เป็นเจา้ คณะตาบล เจา้ คณะอาเภอฉวาง อุปัชฌาย์ และรองเจา้ คณะ
จงั หวดั ตอ่ มาในปี ๒๕๔๙ ไดร้ ับปริญญาศิลปศาสตร์มหาบณั ฑิตกิตติมศกั ด์ิ สาขาสังคมศาสตร์เพ่ือ
การพฒั นา จากมหาวิทยาลยั ราชถฏั นครศรีธรรมราช

๒๒๙

เมื่อวนั ที่ ๕ ธนั วาคม ๒๕๕๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ลื่อนสมณศกั ด์ิท่ี “พระสิริธรรม
ราชมุนี”

จากผลงานท่ีเกิดจากอิทธิบาทธรรมของท่านพระครูสถิตวหิ ารธรรม ท่ีกระทามาโดยตลอด
ยงั ผลใหว้ ดั มะนาวหวานไดร้ ับเกียรติคณุ ตามลาดบั ดงั น้ี

๑. พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั ฯ รัชกาลที่ ๙ ขณะชนมายุ ๔๙ พรรษา พร้อมดว้ ย
สมเด็จพระนางเจา้ ฯ พระบรมราชินีนาถ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี และเจา้
ฟ้าจุฬาภรณ์วลยั ลกั ษณ์อคั รราชกุมารี ไดเ้ สด็จพระราชดาเนินมายกช่อฟ้าพระอโุ บสถวดั มะนาวหวาน
เม่ือวนั ท่ี ๒๐ กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ ยงั ความปล้ืมปิ ติยนิ ดี ชื่นชมโสมนสั แก่พสกนิกรโดยถว้ นหนา้

๒๓๐

๒. สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดเ้ สดจ็ พระราชดาเนินแทน
พระองคม์ าเททองหลอ่ พระพทุ ธสิหิงค์ แบบนครศรีธรรมราชจาลอง และทรงเปิ ดศาลาเฉลิมพระ
เกียรติเมื่อ ๑๖ สิงหาคม๒๕๓๕

โบสถ์และศาลาเฉลิมพระเกยี รตทิ ่สี ร้างขน้ึ ใหม่ในวดั มะนาวหวาน

๓.ในปี พ.ศ.๒๕๓๙ วดั มะนาวหวานไดร้ ับการยกข้ึนเป็นวดั หลวง ช้นั ตรี ชนิดสามญั
ซ่ึงเป็นวดั เดียวท่ีอยใู่ นทอ้ งถ่ินชนบท จากจานวน ๖๑๙ วดั ของจงั หวดั นครศรีธรรมราช นบั เป็นเกียรติ
ประวตั ิสูงยง่ิ

โดยสรุปวดั มะนาวหวานเป็นศนู ยก์ ลางของหมู่บา้ นท้งั หลายในอดีตอนั ยาวนาน ซ่ึงไดแ้ ก่บา้ น
นา คลองงา ควนส้าน บา้ นมะนาวหวาน บา้ นจนั ดี บา้ นไผง่ า บา้ นคลองกุย บา้ นท่งุ เจียก วดั น้ีไดห้ ล่อ
หลอมคนในหมู่บา้ นเหล่าน้ีใหม้ ีนิสยั ออ่ นโยน โอบออ้ มอารีย์ รักพ่ีรักนอ้ ง เป่ี ยมไปดว้ ยศีลธรรม
จรรยา รักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีอนั ดีงามของทอ้ งถ่ินตลอดมา เป็นบ่อเกิดแห่งศิลปวฒั นธรรม
ตา่ ง ๆ แมจ้ ะไม่เจริญทางวตั ถุ แตท่ างจิตใจน้นั คนเหล่าน้ีไดร้ ับการศึกษาอบรมจากวดั มาหลายชวั่
อายคุ น เป็นส่วนผลกั ดนั ใหเ้ กิดวรรณกรรมพ้ืนบา้ นต่าง ๆ เช่นเพลงกล่อมเดก็ เพลงกลอ่ มผ้ึง เพลง
ยาว เพลงบอก ศิลปะพ้นื บา้ น หนงั ตะลุง มโนราห์ กาหลอ(ศิลปะการแสดงในงานศพ) ฯลฯ เป็น
ตน้ นอกเหนือยงิ่ ไปกวา่ น้นั ช่วยผลกั ดนั ใหล้ ูกหลานเหลนไดศ้ ึกษาต่อ ไดม้ ีโอกาสทางานตาแหน่ง
หนา้ ที่สูง ๆ กนั มากมาย ถา้ จะยกตวั อยา่ งเป็นรายตวั ขณะน้ีก็นบั ไมถ่ ว้ น บางคนไดเ้ ป็นรัฐมนตรี
อธิบดี เป็นดอกเตอร์ เป็นผพู้ ิพากษา นกั กฎหมาย นกั ปกครอง เป็นกวี ตารวจ ทหาร นกั การ ภาร
โรง ชาวสวน ชาวนา เป็นตน้ ฯ ล ฯ วดั มะนาวหวานยงั คงเป็นศนู ยเ์ พาะจริยธรรม คุณธรรม
คณุ ภาพ คณุ ประโยชน์ แผก่ ระจายไปทว่ั จนกระทง่ั ปัจจุบนั

อ้ายเขียววดั มะนาวหวาน

๒๓๑

“อา้ ยเขยี ว” คือชื่อปลาใหญ่เคยอยคู่ ูก่ บั วดั มะนาวหวานมาแต่โบราณกาล ไม่มีใครทราบวา่ มี
มาเม่ือใด เทา่ ที่ผเู้ ขยี นจาได้ เมื่อ ๖๕ ปี มาแลว้ (พ.ศ.๒๔๙๔) เคยมีบ่อหินติดริมคลองทา่ น้าวดั มะนาว
หวาน มีอา้ ยเขยี ววา่ ยน้าวนเวียน เขา้ -ออกพลุกพลา่ นเตม็ ทวั่ ท่าน้า คณุ มงคล คงแกว้ เลา่ ไวใ้ นหนงั สือ
อนุสรณ์สมณศกั ด์ิพิมพถ์ วายพระครูสถิตวหิ ารธรรม เม่ือ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๑๗ วา่ “วดั มะนาวหวานยงั มี
ของสงวนไว้ค่แู ผ่นดินไทยอย่างหนึ่ง คือปลาใหญ่จานวนอเนกอนนั ต์ ปลาเหล่านมี้ มี าค่กู ับวดั มะนาว
หวานแต่โบราณกาล ชาวบ้านเรียกว่าปลาอ้ายเขยี ว ตัวโตสีดาคลา้ จนมองเห็นเป็นสีเขยี ว จึงเรียกว่า
ปลาอ้ายเขยี ว ขณะน(ี้ ปี ๒๕๑๗) คะเนดูจะมจี านวน ๓๐๐ – ๔๐๐ ตัว ตวั โตที่สุดเคยช่ังดูเมื่อตายแล้ว
มีนา้ หนัก ๑๑ กิโลกรัม

ตามปกติจะไม่ขึน้ หรือลงพ้นเขตท่านา้ อันเป็นอาณาเขตของวัด อาหารของมนั คือข้าวสุก
ผลไม้และอื่น ๆ ท่ีพระ-เณรและเดก็ วดั เลีย้ งเป็นประจา และบางทีบรรดาผ้ทู ี่สัญจรไปชมเป็นครั้งคราว
จะโปรยอาหารให้ มันกิน”

ท่านพระครูสงั ฆรัก(์ พ่มุ ปัญญาทีโป) เจา้ คณะตาบลชา้ งกลาง อดีตสมภารวดั มะนาวหวานเคย
เล่าใหฟ้ ังวา่ “ในสมยั เม่ือ ๔๐ – ๕๐ ปี มาแล้ว(พ.ศ.๒๔๖๗ – ๒๔๗๗....ผ้เู ขียน) ปลาเหล่านมี้ ีจานวน
มากกว่านสี้ ี่เท่าตวั บัดนีจ้ านวนลดน้อยลง เพราะความตืน้ เขินของแม่นา้ ลาคลอง ไม่มวี ัง(แอ่งนา้ ลึก)
ให้มนั อยู่ ประกอบกบั นา้ ไหลหลากท่วมท้นทุกปี ได้พัดพาเอาอ้ายเขยี วไปด้วย”

เลา่ กนั วา่ สมยั ก่อนมีผนู้ าระเบิดไปปาปลา ลูกระเบิดกลบั แฉลบมาระเบิดที่ผปู้ ายนื อยู่ ปลา
เหล่าน้ีหากใครกินจะเกิดอาการ ๒ อยา่ ง คอื เมา หรือมิฉะน้นั ก็เกิดโรคเร้ือนเกล้ือนดลาก

ต้งั แตป่ ี ๒๕๔๙ เป็นตน้ มา ไมม่ ีปลาดงั กล่าวหลงอยใู่ หล้ กู หลานเห็น และไมม่ ีใครถ่ายภาพ
เก็บไว้ หรือมีหลงเหลืออยู่บา้ งกเ็ ป็นปลาตวั เลก็ ท่ีมีหนา้ ตาไม่เหมือนตน้ แบบอา้ ยเขยี ว จึงเป็นท่ีน่า
เสียดายวา่ สมบตั ิที่คูก่ บั วดั มาแต่โบราณไดเ้ กิดวิบตั ิไปเพราะภยั ธรรมชาติ และภยั อนั เกิดจากน้ามือ
มนุษย์ ท่ีทาใหอ้ า้ ยเขยี วไมม่ ีท่ีอยู่ หรือยไู่ มไ่ ด้

ชาวบา้ นขา้ งวดั เคยเล่าใหฟ้ ังว่า “นา้ หลากในเดือนสิบสองนองเจิ่งท่วมเล้าหมู พอนา้ แห้งเคย
เห็นอ้ายเขียวติดอย่ใู นเล้าหมูกม็ ี บางปี เกิดอุทกภยั อย่างหนกั กระแสนา้ เช่ียวกรากพดั พาอ้ายเขยี วพลดั
พรากจากวดั ไปไกลถึงหมู่ ๕ ด่านไผ่งา ห่างจักวัด ๓ กม. ชาวบ้านพบเมื่อนา้ แห้ง กช็ ่วยกันจับใส่เปล
เชือกไนล่อนหามส่งคืนวัด มีนา้ หนักเกิน ๑๑ กิโลกรัมท้ังนั้น”

นางหนูพฤกษ์ เสนาพนั ธุ์ เลา่ ใหฟ้ ังวา่ “วนั หน่ึงประมาณกลางฤดูร้อนปี ๒๕๐๒ แม่พุ่ม หวาน
สนิท ได้ลงอาบนา้ ท่ีท่านา้ ชุมชนวดั มะนาวหวาน เห็นอ้ายเขียวตัวใหญ่มากลอยมาในนา้ ตืน้ กเ็ ข้าไป
ประคองเข้าฝ่ัง มนั ตายแล้ว กต็ ะโกนเรียกชาวบ้านมาดู เมื่ออ้าปากออกปรากฏว่าฟันหักหมดแล้ว ทกุ
คนลงความเห็นว่าอ้ายเขยี วตัวนตี้ ายเพราะชราภาพ นาไปช่ังได้นา้ หนกั ๑๑.๕ กิโลกรัม กช็ ่วยกนั หาม
ไปฝังภายในบริเวณวัด”

๒๓๒

พระสิริธรรมราชมนุ ี สมยั ท่ียงั เป็นพระครูสถิตวิหารธรรม ไดเ้ พียรพยามอนุรักษป์ ลาอา้ ยเขยี ว
ไวท้ กุ วถิ ีทาง ทาเขอ่ื นขุดลอกคลอง ทาแอง่ น้า(วงั ) ปักป้ายเขตอนุรักษ์ แต่ในที่สุดตอ้ งเป็นไปตามกฎ
ธรรมชาติ คือเกิดข้ึน ต้งั อยแู่ ลว้ ก็ดบั ไป

อา้ ยเขยี วจึงเหลือแตช่ ่ือ และเป็นเรื่องเล่าในอดีต อา้ ยเขียวเป็นของมีคา่ ในเชิงประวตั ิศาสตร์
และโบราณคดี ถา้ ไมไ่ ดบ้ นั ทึกความจริงเอาไว้ ต่อไปกค็ งกลายเป็นนิยาย จึงเสียดายอยา่ งยงิ่ ท่ีไม่
สามารถหาภาพอา้ ยเขยี วมาใหด้ ูไม่ได้ แต่อา้ ยเขยี วกเ็ ป็นอนุสสรณียใ์ ห้เราได้ราลึกนึกถึงคาสอนของ
พระพทุ ธเจา้ วา่ ทุกอยา่ งเป็นอนิจจงั ทกุ ขงั อนตั ตา เกิดข้นึ แลว้ ต้งั อยู่ แลว้ ก็ดบั ไปในท่ีสุด ยดึ เอา
อะไรเป็นตวั เป็นตนไมไ่ ดด้ ว้ ยปราะการฉะน้ีแล

๑๐.๒วัดหลกั ช้าง

หลกั ชา้ ง เดิมเป็นท่ีเส้นทางสัญจรท้งั ทางบกและทางน้า โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆผ์ า่ นเสน้ ทาง
น้ีบอ่ ยๆ จึงต้งั สานกั สงฆห์ ลกั ชา้ งข้ึนมาก่อน ต่อมาไดเ้ ลื่อนฐานะเป็นวดั หลกั ชา้ ง และที่ไดช้ ื่อเช่นน้ีก็
เพราะหลกั ชา้ งเคยเป็นท่ีตอ้ นชา้ งจากแหล่งป่ าตา่ ง ๆ ให้มารวมกนั ท่ีน่ีเพ่ือตอ้ นเขา้ คอกจบั ชา้ งท่ีคลอง
กยุ ที่นีจึงไดช้ ่ือวา่ ”หลกั ชา้ ง”

๒๓๓

ในปี พ.ศ.๒๓๑๒ พระเจา้ ตากสินมหาราชไดโ้ ปรดใหพ้ ระยาจกั รีแขกรวมพลที่หวั เมืองหลกั
ชา้ งตรงบริเวณท่ีเป็นวดั หลกั ชา้ งเดี๋ยวน้ี พร้อมระดมชา้ งท้งั หมดของกรมชา้ งกลางไดถ้ ึง ๒๐๐ เชือก
ก่อนยกทพั เขา้ ปราบชุมนุมเจา้ นคร

วดั หลกั ชา้ งจึงมีความสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ดงั กล่าวต้งั แตค่ ร้ังยงั เป็นสานกั สงฆ์ แลว้ ต่อมา
ไดส้ ร้างข้ึนเป็นวดั ข้ึนในสมยั ตน้ กรุงรัตนโกสินทร์ แต่เพง่ิ ไดผ้ กู ใบพทั ธสีมาพระอุโบสถเมื่อพ.ศ.
๒๔๗๖ มีเจา้ อาวาสต้งั แตต่ ้งั วดั จนถึงปัจจุบนั ไดแ้ ก่

๑.หลวงพ่อดา หรือขรัวดา มีความศกั ด์ิสิทธ์ิในการรักษาคนป่ วยใหห้ ายจากโรคทุก
คนดว้ ยยาสมนุ ไพร

๒.พ่อทา่ นคุม้
๓.ขรัว ชู ๔ ขรัวคง ๕ พอ่ ท่านมี ๖. หลวงพ่อหนู ๗. อาจารยเ์ ขบ็ (ปากมิน)
๘.พอ่ ท่านนาค สาหรับพ่อท่านนาคน้ีเก่งทางไสยศาสตร์
๙.พ่อท่านพมุ่ ในช่วงท่ีพ่อทา่ นพุ่มเป็นเจา้ อาวาสน้ี เขตแดนของวดั ไดข้ ยายออกไป
กวา้ งขวาง
๑๐. พระจรัส
๑๑ พระใบฎีกาศรีจนั ทร์(ท่านเทศา)
๑๒.พระมหาจรินทร์ ท่านผูน้ ้ีไดเ้ คยเป็นเจา้ อวาส ๒ คร้ัง มาจนถึงปัจจุบนั
ในปี พ.ศ.๒๔๖๘ พ่อทา่ นคลา้ ยไดอ้ ญั เชิญพระพุทธรูปโบราณ ๒ องคช์ ่ือวา่ “ทา้ วเทพสตรี
ทา้ วศรีสุนทร” ซ่ึงทาดว้ ยศิลาแดงจากวดั โพธ์ิ ต.ท่าขา้ ม อ.พุนพนิ จ.สุราษฏร์ธานี มาประดิษฐานใน
พระอุโบสถวดั หลกั ชา้ ง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ในการอญั เชิญพระท้งั สองพี่นอ้ งน้ีมาน้นั ไดน้ า
ล่องมาทางแม่น้าตาปี มาข้ึนฝ่ังท่ีบา้ นวงั พร้าว หมู่ ๔
ที่ฐานสาหรับวางทา้ วเทพสตรี ทา้ วศรีสุนทร ในโบสถน์ ้นั พ่อท่านคลา้ ยใหท้ าดว้ ยลกู รังที่
เอามาขดั ลา้ งแลว้ ตาเป็นผงละเอียดผสมน้าผ้งึ กบั น้ามนั ยางใสจนสาเร็จเป็นแท่น หลงั จากน้นั กไ็ ดน้ า
พระปฏิมาสององคด์ งั กลา่ วน้ีข้ึนวางเป็นพระประธานในในโบสถต์ ้งั แตบ่ ดั น้นั เป็นตน้ มา

๒๓๔

พระประธาน๒องค์ในโบสถ์วัดหลักช้าง

พอ่ ทา่ นพุม่ ปัญญาทีโปอดีตเจา้ อาวาสวดั หลกั ชา้ ง ซ่ึงต่อมาไดเ้ ป็นพระครูสังฆรักษไ์ ดน้ ิมนต์
พอ่ ทา่ นคลา้ ยมาสร้างพระอุโบสถหลงั ใหม่วดั หลกั ชา้ ง ต.ชา้ งกลาง อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช(เร่ิม
สร้างในปี พ.ศ.๒๔๙๕ แลว้ เสร็จในปี พ.ศ.๒๔๙๘) โดยพระครูสังฆรักษพ์ ุม่ เป็นศิษยน์ อ้ งของพ่อทา่ น
คลา้ ย(เกิดพ.ศ.๒๔๓๖) ไดบ้ วชกบั พระอปุ ัชฌายก์ รายเช่นกนั และในเหตุการณ์คร้ังน้นั มีเร่ืองเลา่ วา่
ชาวบา้ นในละแวกใกลเ้ คยี งต่างมาช่วยกนั สร้างพระอุโบสถที่วดั หลกั ชา้ ง สมยั น้นั ทรายค่อนขา้ งหา
ยาก ในคลองมินที่ไหลผา่ นหนา้ วดั หลกั ชา้ งเป็นทรายปนดินไม่สามารถเอามาใชใ้ นการก่อสร้างได้
ชาวบา้ นจึงตอ้ งช่วยกนั ขนทรายมาจากท่ีอื่น โดยชาวบา้ นตอ้ งไปเอาทรายมาจากวดั จนั ดี ผใู้ หญบ่ า้ นจึง
ตอ้ งเกณฑช์ าวบา้ นจานวนมากมาช่วยกนั ขนทราย เลา่ กนั วา่ ชาวบา้ นที่มาช่วย ไดย้ นื ต่อแถวขนทราย
เป็นทอดๆจากวดั จนั ดีไปจนถึงวดั หลกั ชา้ ง พ่อท่านคลา้ ยทา่ นก็อยเู่ ป็นประธานดว้ ย พ่อท่านเห็นแลว้
สงสาร นง่ั น่ิงอยคู่ รู่หน่ึง แลว้ พดู วา่ “กลบั ไปทานากนั ก่อนเถิดบ่าวเห่อ มีทรายแลว้ คอ่ ยมาทาหล่าว”
การก่อสร้างอโุ บสถจึงตอ้ งหยดุ ลงชวั่ คราว

ในคนื น้นั เองฝนตกลงมาอยา่ งหนกั ทวั่ บริเวณน้นั ทาใหค้ ลองในวดั มีน้าเตม็ ตล่ิง ฝนตกจน
ใกลร้ ุ่งจึงหยดุ เมื่อผา่ นไปสองสามวนั ดงั คากลา่ วของพ่อทา่ นคลา้ ย ชาวบา้ นไปพบทรายกองอยทู่ ่ีหาด
ทรายริมคลองหนา้ วดั ห่างจากตาแหน่งที่สร้างพระอุโบสถประมาณ ๘๐ เมตร ชาวบา้ นที่พบกองทราย
น้นั จึงรีบวงิ่ ไปบอกพ่อท่านคลา้ ยซ่ึงกาลงั นง่ั ฉนั เพลอยใู่ นศาลาหลงั นอ้ ยใตต้ น้ พกิ ุล พ่อทา่ นคลา้ ยยม้ิ

๒๓๕

ตอบและพูดวา่ “ตาเหมน(เทวดาอารักษเ์ ขาเหมน)เคา้ เอาทรายมาใหแ้ รกคืนวาโนน้ บ่าวเห่อ” หลงั จาก
น้นั ชาวบา้ นจึงมาช่วยกนั ขนทรายและก่อสร้างจนพระอุโบสถเสร็จสมบรู ณ์ ดงั ปรากฏอยใู่ นปัจจุบนั

๑๐.๓วัดสวนขัน
ในอดีตยอ้ นไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๒๙ ซ่ึงเป็นปี ท่ีเจา้ พระยานครพดั ไดย้ กกองทพั หนีภยั พม่ามาอยู่
บริเวณคลองคดุ ดว้ น สวนขนั ละอาย คือประมาณ ๒๐๐ ปี มาแลว้ มีวดั อยวู่ ดั หน่ึงเรียกวา่ “วดั คดุ
ดว้ น” ไมป่ รากฎวา่ ใครเป็นผสู้ ร้าง ในตอนน้นั มีตน้ มงั คุดยอดดว้ นข้ึนอยู่ จึงเรียกวา่ วดั คุดดว้ น มีลา
คลองเกิดจากภูเขาหลวงเรียกวา่ “คลองใหญ่” ไหลตรงลงมาผา่ นวดั คุดดว้ น จึงเรียก “คลองคุดดว้ น”
ที่ตรงวดั คุดดว้ น หรือวดั ใต้ (วดั ราษฎร์บารุง) หรืออีกช่ือหน่ึงชาวบา้ นเรียกวา่ “วดั หลมุ ป่ าหวาย”
เพราะมีหวายข้นึ อยเู่ ตม็ ในขณะน้นั เกิดน้าเซาะตล่ิงอย่ทู กุ ปี ในท่ีสุดตน้ มงั คุดยอดดว้ นถูกน้าพดั พา
หายไป วดั คุดดว้ นก็พลอยถูกน้ากดั เซาะดว้ ย เหลือเน้ือท่ีเพียงเลก็ นอ้ ย จึงไดย้ า้ ยวดั มาต้งั ในท่ีปัจจุบนั
ที่เรียกวา่ วดั สวนขนั ทางดา้ นเหนือ แรก ๆ ชาวบา้ นเรียกวดั เหนือ เพราะคูก่ บั วดั ใต้
เดิมทีตรงน้ีเป็นป่ า มีไมข้ นั ข้นึ ชุกชุม มีเจา้ ของช่ือจนั ทร์และอินทร์ไดบ้ ริจาคให้ ๑๐ ไร่
ต่อมากม็ ีผบู้ ริจาคเพิม่ อีก เม่ือสร้างเสร็จก็เรียกชื่อวา่ “วดั สวนขนั ” มีสมภารครองวดั ตามลาดบั ดงั น้ี

-รูปแรกชื่อพระขนั
- ลาดบั ต่อมากเ็ ป็นพระสิน
- พระปลดั คง
- พระทอง
- พอ่ ท่านคลา้ ยเป็นเจา้ อาวาสรูปท่ี ๕
- ต่อมาก็เป็นหลวงพอ่ เดช ฐิตจาโร ซ่ึงไดส้ มณศกั ด์ิที่ “พระครูพศิ ิษฐ์อรรถการ”
เช่นกนั
- ปัจจุบนั คือพระครูกิตติวิมล เป็นเจา้ อาวาสรูปท่ี ๗
สาหรับพ่อทา่ นคลา้ ยน้นั เป็นเจา้ อาวาสต้งั แตป่ ี ๒๔๔๕ - ๒๕๑๓ รวม ๖๘ ปี ดว้ ยเหตุท่ีทา่ น
ครองวดั น้ีอยนู่ าน จนคนท้งั หลายพูดกนั ติดปากวา่ พ่อท่านคลา้ ย วดั สวนขนั ต่อมาวลีน้ีเป็นคาพูด
ตอ่ ทา้ ยวา่ “ หลวงป่ ูทวดวดั ชา้ งไห้- พ่อทา่ นคลา้ ยวดั สวนขนั ”
แมว้ า่ พ่อท่านคลา้ ยไดเ้ ป็นสมภารวดั น้ีมานาน แต่ท่านกม็ ิไดเ้ ป็นพระอปุ ัชฌาย์ เหตุท่ีไม่ได้
เป็นพระอุปัชฌายก์ ส็ ืบเน่ืองมาจากทา่ นไมย่ อมรับตาแหน่งน้ี ท้งั ๆ ทพ่ี ระธรรมวโรดม เซ่ง อตุ ฺตม
เถระ) รองเจา้ คณะหนใตไ้ ดป้ ระชุมสงฆเ์ มื่อคราวมาตรวจการคณะสงฆภ์ าคใตท้ ่ีวดั วงั มว่ งเมื่อเดือน
เมษายน ๒๔๗๔ ท่ีประชุมตกลงแต่งต้งั ใหพ้ ่อทา่ นคลา้ ยเป็นพระอุปัชฌาย์ พระราชวราภรณ์เล่าไวใ้ น
หนงั สือประวตั ิพอ่ ท่านคลา้ ยตอนน้ีซ่ึงเป็นคาของท่านวา่ “เกลา้ ฯ เป็นคนมีวตั ถวุ บิ ตั หากไดร้ ับ
แตง่ ต้งั ใหเ้ ป็นอปุ ัชฌายแ์ ลว้ ไซร้ ตอ่ ไปภายหนา้ พระที่เกลา้ ฯ บวชให้ ก็จะถกู เพ่ือนสหธรรมิก

๒๓๖

ท้งั หลายลอ้ เลียนวา่ เป็นสัทธิวิหาริกของพระตีนดว้ น ..” ท่านจึงไม่ยอมรับตาแหน่งพระอุปัชฌายด์ ว้ ย
ประการฉะน้ี

จากประวตั ิวดั สวนขนั ท่ีถือกาเนิดมาเกือบ ๒๐๐ ปี น่ีเอง จึงเป็นที่มาของการเกิดชุมชนบา้ น
สวนขนั เมื่อต้งั อาเภอฉวางข้นึ ต้งั แต่ปี ๒๔๔๑ บา้ นสวนขนั ก็เป็นทอ้ งท่ีริมฝั่งคลองคดุ ดว้ นข้ึนอยกู่ บั
ตาบลละอาย กระทง่ั ในวนั ที่ ๑๘ กนั ยายน ๒๕๒๗ ไดแ้ ยกตวั ออกมาเป็นตาบลสวนขนั เมื่อต้งั อาเภอ
ชา้ งกลางต้งั แตป่ ี ๒๕๓๙ ตาบลสวนขนั ซ่ึงประกอบดว้ ยหมบู่ า้ นต่าง ๆ ๙ หมู่บา้ นก็มารวมกบั อาเภอ
ชา้ งกลางดงั กลา่ วแลว้

เนื่องจากสวนขนั เป็นช่ือซ่ึงมีที่มาจากไมข้ นั เพราะฉะน้นั จึงใคร่แนะนาใหร้ ู้จกั ไมข้ นั ในท่ีน้ี
ดว้ ย ช่ือไมข้ นั น้นั เรียกกนั เฉพาะในจงั หวดั นครศรีธรรมราชเทา่ น้นั ส่วนในพ้นื เมืองจงั หวดั อื่น ๆ
เขาเรียกช่ือแตกตา่ งกนั ไป ดงั น้ี

- ถา้ ข้ึนท่ีเชียงใหม่ เรียกวา่ “ใคร้ยอ้ ย, สารภีน้า”
- ถา้ ข้ึนที่กาญจนบุรี เรียกวา่ “จิก, ดอกปี ใหม่”
- ถา้ ข้นึ ที่บรุ ีรัมย์ เรียกวา่ “แตว้ น้า”
- ถา้ ข้ึนท่ีจงั หวดั เลย เรียกวา่ “ปมู ปาม”
- ถา้ ข้นึ ที่สุราษฎร์ธานี เรียกวา่ “คลา้ ยสองหู, ผหี น่าย, มุ่นน้า”
- ถา้ ข้ึนที่ปัตตานี เรียกวา่ “อะโน”
- ถา้ ข้ึนที่นราธิวาส เรียกวา่ “กาบมะพร้าว”
ไมข้ นั เป็นไมย้ นื ตน้ สูง ๕ – ๓๐ เมตร ใบเดี่ยวเรียงสลบั ปลายใบแหลม โคนใบรูปล่ิม
ออกดอกเป็นช่อ มีกล่ินหอม ดอกมี ๓ สี คือขาว เหลือง ชมพู ยามออกดอกในเดือนมกราคม
ตอ้ นรับลมหนาวสวยงามมาก ส่วนผลเป็นอาหารนก สามารถสกดั เอานามนั จากผลมาใชใ้ นพิธีทาง
ไสยศาสตร์ซ่ึงพวกนิยมไสยใชก้ นั
๑๐.๔ วดั ครี ีวรรณา(บ้านนา)
จากสานกั สงฆ์เม่ือปี ๒๔๗๑
วดั ครี ีวรรณาหรือท่ีชาวบา้ นเรียกวา่ “วดั บา้ นนา” ไดถ้ ือกาเนิดข้ึนจากสาเหตคุ วามจาเป็นหลาย
ประการ ท่ีสาคญั คือ พ้ืนที่ตรงน้ีเดิมเป็นถ่ินท่ามกลางป่ าเขาลาเนาไพร ห่างไกลวดั มาก ถา้ จะไปวดั
ครี ีกณั ทร์ทางทิศตะวนั ออกตอ้ งเดินทางขา้ มเขาธงไปไกลถึง ๑๕ กม. หากจะไปวดั มะนาวหวานทาง
ทิศตะวนั ตกก็ไกลออกไป ๘ กม. สมยั เมื่อร้อยปี ท่ีผา่ นมา การสญั จรไป-มาของผคู้ นใชว้ ิธีการเดินเป็น
หลกั หรืออยา่ งมากก็ใชช้ า้ ง แต่คนที่นี่ก็นบั ถือศาสนาพทุ ธ มีความศรัทธาในพระสงฆอ์ งค์เจา้ เป็นอยา่ ง
มาก อยากที่จะทาบุญเหมือนคนในทอ้ งถิ่นทวั่ ไป แตก่ ารที่จะไปทาบญุ ท่ีใดก็ลาบากดว้ ยการเดิน
ทางไกล

๒๓๗

ครูสาราญ วงั ปรีชา(เสียชีวิตแลว้ ) ซ่ึงเป็นผมู้ ีชีวติ อยใู่ นบา้ นนาน้ีมาต้งั แตก่ ่อนสงครามโลก
คร้ังที่ ๑ เป็นรัตตญั ญบู ุคคลที่ผา่ นกาลอนั ยาวนาน ไดบ้ นั ทึกเร่ืองราวการเกิดข้ึนของวดั คีรีวรรณาไว้
ดงั น้ี

“ เม่ือปี พ.ศ.๒๔๗๑ ก่อนเกิดสงครามโลกคร้ังที่ ๒ และก่อนท่ีจะมีการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ไดม้ ีภิกษรุ ูปหน่ึง ถ่ินฐานบา้ น
เกิดอยใู่ นหมู่ ๓ บา้ นจนั ดี ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง ชื่อวา่ “พระหมึก โกวิโท”(ท่านหมึกเป็น นอ้ ง
นายเอียด สนั ตจิตหรือ สรรพจิต ) เดิมทา่ นบวชอยทู่ ่ีวดั เจดีย์ ตาบลลานสกา กิ่งอาเภอลานสกา จงั หวดั
นครศรีธรรมราช ท่านมีศีลาจารวตั รอนั งามมาตลอด จึงมีความเจริญข้ึนในพระศาสนาตามลาดบั คือ
ไดเ้ ป็นพระปลดั มึก เป็นพระอปุ ัชฌาย์ และเป็นพระครูสญั ญาบตั ร สมณศกั ด์ิท่ี “พระครูคีรีกนั ทร์
คณานนั ท”์ กบั ท้งั ไดเ้ ป็นเจา้ อาวาสวดั คีรีกนั ทร์และเป็นเจา้ คณะอาเภอลานสกาดว้ ย

ดว้ ยเหตุที่บา้ นเกิดของท่านอยทู่ ่ีบา้ นจนั ดี หมทู่ ่ี ๓ ตาบลชา้ งกลาง จึงจาเป็นตอ้ งเดินทางไปมา
หาสู่ญาติพีน่ อ้ งเป็นประจา ทางเดินกท็ รุ กนั ดารผา่ นภูเขาลาหว้ ยมากมาย และท่ีสาคญั ตอ้ งผา่ น
หมูบ่ า้ นหน่ึงซ่ึงเรียกวา่ “บา้ นนา” ท่านกต็ อ้ งแวะที่น่ีเป็นประจาเพื่อพกั พบญาติพี่นอ้ ง เพราะเป็นถิ่น
ต้งั บา้ นเรือนของพสี่ าว คอื นางสีทอง สนั ตจิต ซ่ึงเป็นภรรยาของผใู้ หญ่บา้ น คือนายภู่ ทิพย์ กอปร
กบั คนท้งั หมบู่ า้ นน้ีมีความสนิทสนมกลมเกลียวสามคั คีกนั เป็นอยา่ งดี มีความศรัทธาในพทุ ธศาสนา
มาก การไปทาบุญแต่ละคร้ังกล็ าบากเพราะตอ้ งเดินทางไกลและทุรกนั ดารดงั กลา่ วแลว้

ดว้ ยเหตุน้ีท่านจึงไดป้ รึกษากบั บคุ คลระดบั แกนนา เพ่ือทาศาลาท่ีพกั สงฆส์ าหรับพระสงฆท์ ี่
เดินทางผา่ นไป-มา จะไดแ้ วะเขา้ พกั อาศยั และในวนั พระ ๘ ค่า ๑๕ ค่า จะไดส้ ่งพระมาให้
พุทธศาสนิกชนไดม้ าร่วมทาบุญ แกนนาคร้ังแรกที่ท่านปรึกษาดว้ ยกม็ ี

๑. นายภู่ ทิพย์ และนางสีทอง ภรรยา ผใู้ หญ่บา้ นหมู่ ๑
๒.นายพูน และนางน่ิม ละลา
๓.นายหวาน หวานสนิท
๔.นายเทียน นางหนูน หวานสนิท
การปรึกษากนั คร้ังน้นั กไ็ ดต้ กลงมีความเห็นพร้อมกนั วา่ ใหม้ ีการสร้างศาลาพกั สงฆช์ ว่ั คราว
ข้นึ โดยขอที่ดินจากนายปาน ละลา เป็นท่ีสร้างศาลาพกั สงฆ์ ซ่ึงนายปานกม็ อบท่ีดินให้ ส่วนหน่ึงเป็น
ดงข้ีแรดและดงหนามยากแก่การบกุ เบิก แต่ถึงกระน้นั ดว้ ยศรัทธาอนั ยง่ิ ยวด ชาวบา้ นนากส็ ามารถ
สร้างศาลาพกั สงฆช์ วั่ คราวจนสาเร็จ ท่านอาจารยห์ มึกก็ไดใ้ ชท้ ่ีศาลาน้ีเป็นศูนยใ์ หช้ าวบา้ นนามาร่วม
ทาบญุ กนั มาตลอด โดยทา่ นมาดว้ ยตนเอง จึงเป็นประธานสงฆร์ ูปแรกของที่น่ี
ต่อมาเมื่อทา่ นมีภาระมากข้นึ กไ็ ดส้ ่งพระชื่น หวานสนิทมาประจาต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๔๗๕ พระ
ชื่นไดจ้ ดั การสร้างศาลาถาวรข้นึ การสร้างคร้ังน้นั ก็เป็นไปดว้ ยความยากลาบาก เพราะไม่มีเครื่องทุ่น

๒๓๘

แรง ตอ้ งใชก้ าลงั กายของคนท้งั สิ้น แต่ดว้ ยศรัทธาแรงกลา้ และกุศโลบายอนั แยบยลของพระชื่นฯ
ศาลาถาวรกส็ าเร็จอยา่ งรวดเร็วตามประสงค์ มีแกนนาสาคญั ในการสร้างศาลาน้ีไดแ้ ก่

๑. นายชาม นางเสงี่ยม ทิพยส์ ุราษฎร์
๒. นายคลิง้ ขวญั ใน
๓. นายนาค ศรีเกิด
๔. นายขาว ศรีเกิด
๕. นายปลอด ชูเช้ือ
บริเวณรอบศาลาซ่ึงเป็นดงป่ าข้แี รดน้นั พระช่ืนฯไดแ้ นะนาใหช้ าวบา้ นแบ่งกนั แผว้ ถางและ
ปราบพ้ืนท่ีจนเตียน แลว้ ให้หนุ่มสาวช่วยกนั ปลูกถวั่ ลิสงเป็นรายไดข้ องแตล่ ะคน การทางานท้งั หมด
ดงั กลา่ วน้ีมีผลพลอยไดม้ าก เป็นตน้ วา่ เวลากลางวนั มีท้งั ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่ ตลอดจนหนุ่ม ๆ สาว ๆ และเด็ก ๆ
มาที่แปลงปลูกถวั่ กนั แทบทุกครัวเรือนดว้ ยความสนุกสนาน เพลินใจ พอตกค่า พระช่ืนฯจะอบรม
ศีลธรรม ปรากฏวา่ มีชาวบา้ นมาฟังกนั เป็นจานวนมาก
พระชื่นฯ ประจาอยทู่ ี่ศาลาถาวรน้ีหลายปี นบั ไดว้ า่ ท่านเป็นประธานสงฆข์ องสานกั น้ีรูปท่ี ๒
ที่ไดส้ ร้างความเจริญท้งั กายและใจใหแ้ ก่ชาวบา้ นท่ีน่ี แตใ่ นท่ีสุดท่านกไ็ ดล้ าสิกขาออกไป
ตอ่ มาทา่ นพระครูคีรีกณั ทร์ฯ ไดส้ ่งพระแกว้ คงรักษ์มาอยแู่ ทน ท่านอยไู่ ดพ้ รรษาเดียวกล็ า
สิกขาเช่นกนั แต่กถ็ ือวา่ เป็นประธานสงฆร์ ูปท่ี ๓
ตอ่ จากน้ีชาวบา้ นเห็นวา่ ศาลาจะร้างพระสงฆ์ ในปี ๒๔๘๕ จึงไดร้ ่วมใจกนั ไปนิมนตพ์ ระ
ใบฎีกาวนั่ ถาวรธมฺโม จากวดั สอ(สรรเสริญ) อาเภอลานสกา ซ่ึงเป็นลูกศิษยข์ องพระครูครี ีกณั ทร์ฯ มา
จาพรรษา ในปี น้ีไดม้ ีกลุ บุตรในหมบู่ า้ นเขา้ อุปสมบท ๘ คน ใชค้ ลองแหนเป็น “วิสุงคามสีมา” เพราะ
คลองแหนเป็นลาคลองท่ีกวา้ ง สามารถเอาไมไ้ ผผ่ กู เป็นแพลอยกลางน้า ทาเป็นเขตวสิ ุงคามสีมา
เพือ่ ใหก้ ารอุปสมบทตามพระวนิ ยั บญั ญตั ิได้
ต้งั เป็ นวดั ในปี ๒๔๙๓
ในระหวา่ งที่พระใบฎีกาวนั่ อยทู่ ี่น่ี ไดส้ ร้างกฏุ ิถาวรดว้ ยไมเ้ น้ือแขง็ หลงั คามงุ กระเบ้ือง ๓
หลงั และต่อมาเมื่อปี ๒๔๙๓ ไดข้ ออนุญาตกรมศาสนาต้งั สานกั สงฆแ์ ห่งน้ีข้ึนเป็นวดั ใหช้ ื่อวา่ วดั
“คีรีวรรณา” และไดร้ ับอนุญาตใหต้ ้งั เป็นวดั ต้งั แตป่ ี น้นั และท่านกไ็ ดร้ ับการแต่งต้งั ใหเ้ ป็นสมภารวดั น้ี
มาโดยตลอด
ส่วนทางดา้ นพระครูครี ีกณั ทร์ ซ่ึงเป็นอาจารยก์ ็ไดม้ รณภาพเมื่อวนั ที่ ๒๐ ตลุ าคม ๒๔๙๕
ในปี พ.ศ.๒๕๐๑ ไดม้ ีเหตุการณ์ที่เศร้าโศกบงั เกิดข้นึ แก่ทุกคน คอื วนั หน่ึงทา่ นหวน่ั ฯ ไดน้ า
ราษฎรในหมู่บา้ นไปตดั ทางทาถนนขา้ มเขาธง แต่บงั เอิญในวนั น้นั ไดเ้ กิดพายพุ ดั มา ตน้ ไมต้ น้ หน่ึงได้
ลม้ ทบั ร่างของท่านถึงแก่มรณภาพ ท่ามกลางความโศกเศร้าของคนท้งั หลายเป็นอยา่ งมาก

๒๓๙

ในวนั ท่ีเกิดอบุ ตั ิเหตุน้ี น้ีพอ่ ท่านคลา้ ยไดม้ านง่ั เป็นประธานในการสร้างทาถนน มีชาวบา้ น
จานวนมากมายมาร่วมสร้าง ช่วยกนั ขดุ ช่วยกนั แบก ช่วยกนั ทาครัว เลา่ กนั วา่ ในคนื หน่ึงพ่อท่านคลา้ ย
เอ่ยวา่ “เขาน้ีเป็นแดนคนธรรพ์ คนธรรพก์ ็มาร่วมสร้างเหมือนกนั นงั่ รวมอยใู่ นพวกเราน้ีแหละ” อีก
เร่ืองหน่ึงเลา่ วา่ ในการทางานอยบู่ นยอดเขา วนั หน่ึงต้งั แตเ่ ชา้ ถึงเท่ียงพ่อทา่ นคลา้ ยนง่ั เงียบขรึมอยใู่ น
ศาลา ๔ เสา และเรียกหาท่านหวน่ั อยตู่ ลอดหลายหนหลายคร้ัง ตอนเที่ยงของวนั น้นั มีพายพุ ดั ตน้ ไม้
ใหญห่ กั กิ่งไมฟ้ าดลงมาที่ศาลาทา่ นหวน่ั และถกู ศีรษะทา่ นหวน่ั ถึงแก่มรณภาพ แสดงวา่ พ่อทา่ นท่าน
ทราบก่อนลว่ งหนา้ จึงเรียกหาท่านหวน่ั หลายคร้ัง

วดั คีรีวรรณาก็ขาดผนู้ าอีก ชาวบา้ นท้งั หลายร่วมใจกนั ไปขอพระจากพระครูสังฆรักษ์ (พอ่
ทา่ นพุ่ม ปญฺญาทีโป) เจา้ คณะตาบล วดั หลกั ชา้ ง ทา่ นไดส้ ่งพระคลาด กตปฺญโญ มาจาพรรษา และ
ต่อมาก็ไดร้ ับการแต่งต้งั ให้เป็นเจา้ อาวาส ทา่ นไดส้ ร้างอาคารถาวร ๑ หลงั แลว้ ก็ลาสิขาบทเม่ือครองวดั
ได้ ๓ ปี หลงั จากน้ีก็มีพระพวั จากตาบลละอาย อาเภอฉวาง มาอยไู่ ด้ ๑ ปี ก็มีพระพวงจากวดั สระแกว้
อาเภอทุ่งส่งมาอยไู่ ด้ ๑ ปี ถดั จากน้ีกม็ ีพระเผือกมาอยู่ ๒ ปี ช่วงน้ีไดส้ อนชาวบา้ นใหร้ ู้จกั หลกั
วปิ ัสสนากรรมฐาน เมื่อท่านออกไปอยทู่ ่ีวดั มะขามเม่ือปี ๒๕๐๙ อาเภอลานสกา ชาวบา้ นก็ไดไ้ ป
นิมนตพ์ ระเจริญ อโนมปัติโต จากวดั ชายเขา อาเภอลานสา มาอยไู่ ดเ้ พยี งปี เดียวก็จากไป

ในปี ๒๕๑๐ มีพระธูป ฐิตสจฺโจ พร้อมดว้ ยพระเจริญ อโนมปัติโต เขา้ มาอยแู่ ละไดต้ ้งั ตนเอง
เป็นสมภาร ไดข้ ออนุญาตกรมศาสนาสร้างวิสุงคามสีมา กระทงั่ ปี ๒๕๑๓ กไ็ ดร้ ับอนุญาตใหฝ้ ังเขต
วิสุงคามสีมา แต่ภายหลงั ไดเ้ กิดมาการฆ่า ยงิ กนั ในวดั พระธูปก็ไดอ้ อกจากวดั ไป คงเหลือแต่พระใน
ถิ่นบวชใหม่ ๑ รูป คือพระศรีจนั ทร์ จนั ทสโม ไดอ้ ยแู่ ทนเจ้าอาวาสชวั่ คราว ไดข้ อใหน้ ายสาราญ วงั
ปรีชาไปขอพระจากพระครูสถิตวหิ ารธรรม เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวานมาเป็นสมภาร ทา่ นได้
มอบหมายใหพ้ ระประยงค์ เขมจิตโต มารักษาการในตาแหน่งเจา้ อาวาส และใหพ้ ระประ ฐานธมฺโม
เป็นผชู้ ่วย พร้อมพระลกู วดั อีก ๖ รูป

คร้ันถึงปี ๒๕๑๖ พระประยงคฯ์ ลาสิกขาโดยใหพ้ ระประทาหนา้ ที่รักษาการเจา้ อาวาส และ
ต่อมาก็ไดร้ ับแต่งต้งั ใหเ้ ป็นเจา้ อาวาสจากคณะสงฆ์ ในช่วงท่ีทา่ นเป็นเจา้ อาวาส ๘ ปี ไดส้ ร้าง
ถาวรวตั ถดุ งั น้ี

- โรงครัว พ้ืนคอนกรีต ฝากระดาน ลงั คามุงกระเบ้ือง
- โรงธรรม พ้ืนเทคอนกรีต หลงั คามุงสงั กะสี
- สร้างสะพานถาวรขา้ มคลองเหมน ยาว ๔๐ เมตร
ในปี ๒๕๒๓ หลงั จากพระสมหุ ์ประ ออกจากวดั ไปดว้ ยเหตไุ ม่ทราบ ชาวบา้ นกไ็ ดไ้ ปนิมนต์
พระสังข์ กตปญุ ฺโญ ซ่ึงเป็นชาวบา้ นนา จากวดั คีรีกนั ทร์มาอยตู่ ้งั แต่วนั ที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๒๔ พระ
สังขม์ ีความรู้ช้นั นกั ธรรมเอก เพียบพร้อมดว้ ยศีลาจารวตั ร ทา่ นไดส้ ร้างถาวรวตั ถุมากมาย โดยเฉพาะ

๒๔๐

ไดส้ ร้างโบสถจ์ นสาเร็จ ไดร้ ับสมณศกั ด์ิท่ี “พระครูบรรพตสมาจารย”์ ชาวบา้ นส่วนหน่ึงจาสมณศกั ด์ิ
ของท่านไม่ได้ จึงเรียกกนั วา่ “หลวงพอ่ ภูเขา” เพราะบรรพต แปลวา่ ภูเขา

สรุปต้งั แตส่ ร้างศาลาพกั สงฆจ์ นกระทง่ั ไดเ้ ป็นวดั คีรีวรรณา มีพระสงฆเ์ ขา้ มาอยดู่ ูแลดงั น้ี
- เมื่อคร้ังยงั เป็นศาลาสงฆ์
๑. พระครูคีรีกนั ทร์คณานนั ท์
๒. พระชื่น หวานสนิท
๓. พระแกว้ คงรักษ์
- เม่ือคร้ังสถาปนาเป็นวดั
๑.พระใบฎีกาวนั่ ฐานธมฺโม ระหวา่ งปี ๒๔๘๕ – ๒๕๐๑ มีตราต้งั เป็นเจา้ อาวาส
๒. พระคลาด กตปุญฺโญ ระหวา่ งปี ๒๕๐๑- ๒๕๐๔ มีตราแตง่ ต้งั เจา้ อาวาส
๓. พระพวั ปี ๒๕๐๓ – ๒๕๐๔ ไมม่ ีตราต้งั
๔. พระพวง ปี ๒๕๐๔ – ๒๕๐๖ ไมม่ ีตราต้งั
๕. พระเผือก ปี ๒๕๐๗ – ๒๕๐๘ ไม่มีตราต้งั
๖. พระเจริญ อโนมปัตโต ปี ๒๕๐๙ ไม่มีตราต้งั
๗. พระธูป ฐิตสัจฺโจ ปี ๒๕๑๐ – ๒๕๑๓ ไมม่ ีตราต้งั
๘. พระประยงค์ เขมจิตฺโต ปี ๒๕๑๔- ๒๕๑๖ ไมม่ ีตราต้งั
๙. พระประ ฐานธมฺโม ปี ๒๕๑๗ –๒๕๒๓ มีตราแต่งต้งั เจา้ อาวาส
๑๐. พระสงั ข์ กตปญุ ฺโญ ต้งั แตป่ ี ๒๕๒๓ – ปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๒ )

พระครูบรรพตสมาจาร พ่อท่านสงั ข์ กตปุญฺโญ(หวานสนิท) เจา้ อาวาสปัจจุบนั อยใู่ นวยั ชรา
มากช่วยตวั เองไม่ไดแ้ ลว้

๒๔๑

๑๐.๕ วดั ธาตนุ ้อย

วดั ธาตนุ อ้ ยไดเ้ กิดข้ึนดว้ ยเหตเุ พราะ พ่อทา่ นคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ ตอ้ งการที่จะสร้างพระเจดีย์
บรรจุพระบรมธาตุใหเ้ หมือนรูปแบบของพระบรมธาตทุ ่ีนครศรีธรรมราช จึงไดส้ ร้างเจดียจ์ ้ึนมาก่อน
ตอ่ จากน้นั ก็สร้างเป็นวดั ไดร้ ับอนุญาตใหส้ ร้างตามหนงั สือของอธิบดีกรมศาสนา เม่ือวนั ที่ ๑๔
มิถุนายน ๒๕๒๐ และไดร้ ับอนุญาตใหต้ ้งั เป็นวดั ไดเ้ มื่อวนั ที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๒๐ โดยนายภิญโญ
สาธร รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงศึกษาธิการผรู้ ับสนองพระบรมราชโองการใหช้ ่ือวดั วา่ “วดั ธาตนุ อ้ ย”
(รองมาจากพระธาตเุ มืองนครศรีธรรมราช) ในปี เดียวกนั ไดข้ อพระราชทานวสิ ุงคามสีมาและไดร้ ับ
พระบรมราชานุญาต เม่ือวนั ท่ี ๖ กนั ยายน ๒๕๒๒ (ประกาศในพระราชกิจจานุเบกษาลงวนั ท่ี 6 กนั
ยาน 2522 วดั ธาตุนอ้ ยมีเน้ือท่ี ๔๖ ไร่ สร้างข้นึ บนที่ดินซ่ึงนายกลบั งามพร้อม ถวายแด่พ่อทา่ น
คลา้ ยต้งั แต่ปี ๒๔๘๗ แรกเริ่มเดิมทีทา่ นไดส้ ร้างพระธาตนุ อ้ ยข้ึนมาก่อนต้งั แต่ปี เมื่อปี ๒๕๐๔ ซ่ึง
ต้งั อยเู่ ลขท่ี ๒๘๑ หมูท่ ่ี ๑ ต.หลกั ชา้ ง อ.ชา้ งกลาง จ.นครศรีธรรมราช

ตามประวตั ิท่ีบนั ทึกไวว้ า่ “ เม่ือวนั ที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๕ ตรงกบั วนั อาทิตยข์ ้ึน ๙ ค่า
เดือนยี่ ปี ฉลู พอ่ ทา่ นคลา้ ยไดเ้ ป็นประธานสงฆว์ างศิลาฤกษส์ ร้างพระเจดีย์ “ธาตนุ อ้ ย” โดยมีพล.ต.ต.
ขนุ พนั ธรักษร์ าชเดช” เป็นประธานฝ่ายฆราวาส, และ “หลวงพ่อคร้ืน” เป็นผอู้ านวยการก่อสร้าง”

เมื่อพ่อทา่ นคลา้ ยถึงแก่มรณะเมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๓ พระเจดียธ์ าตนุ อ้ ยไดส้ ร้างเสร็จเฉพาะเพียง
องคพ์ ระเจดีย์

ภายในวดั แบ่งท่ีดินเป็นเขต คือ
- เขตพทุ ธาวาส มีพระเจดีย์ อโุ บสถ พระพุทธไสยาสน์
- เขตธรรมาวาสและสงั ฆาวาส มีสถานท่ีปฏิบตั ิธรรม และกฏุ ิที่อยพู่ ระสงฆ์

๒๔๒

- เขตบาเพญ็ ประโยชน์ มีโรงเรียนพ่งึ ตนเอง
- เขตสาธารณะประโยชนม์ ีหอ้ งให้เช่าอาศยั 10 หอ้ ง
ปัจจุบนั คณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไดจ้ ดั วดั น้ีเป็นสถานท่ีท่องเท่ียว เพ่ือ
นมสั การพ่อทา่ นคลา้ ยวาจาสิทธ์ิ พระเจดีย์ พระพุทธไสยาสน์ รอยพระพุทธบาท พระกจั จายนะ และ
พระกวนอิมโพธิสัตว์

๑๐.๖ วัดจนั ดี
วดั จนั ดี หรือวดั ทงุ่ ปอน คาวา่ “ทุ่งปอน” เป็นช่ือที่เพ้ยี นมาจากคาวา่ “ทุ่งบอน”เพราะเดิมมี
หนองน้าเตม็ ไปดว้ ยตน้ บอนคลองข้นึ อยมู่ าก วดั จนั ดีเป็นวดั ราษฎร์ สงั กดั มหานิกาย ต้งั ข้นึ เมื่อปี พ.ศ.
๒๔๓๗ ไดร้ ับวสิ ุงคามสีมาเม่ือปี พ.ศ.๒๔๙๓ เขตวสิ ุงคามสีมากวา้ ง ๑๕ เมตร ยาว ๒๐ เมตร ท่ีดินวดั
มี ๒๐ ไร่ ๓ งาน ๖ ตารางวา ต้งั อยเู่ ลขที่ ๕๗ บา้ นทุ่งปอน หมทู่ ่ี ๑ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง
ประวตั ิความเป็นมาของวดั จนั ดีท่ีไดเ้ กิดข้ึนน้นั เป็นผลพวงอนั เนื่องมาแต่นโยบายขยาย
การศึกษาในสมยั รัชกาลท่ี ๕ ท่ีตอ้ งการให้วดั เป็นศนู ยก์ ารศึกษาของเดก็ ท่ีมีอายุระหวา่ ง ๘ – ๑๖ ปี ไดม้ ี
ที่ศึกษาเล่าเรียน ดว้ ยเหตุน้ีวดั ในทอ้ งถิ่นต่าง ๆ จึงเกิดข้ึนจากการดาเนินการของขา้ หลวงเทศาภิบาล
ดว้ ยความช่วยเหลือของ กานนั ผใู้ หญบ่ า้ น วดั จนั ดีกถ็ ือเป็น ๑ ใน ๑๐ ท่ีกถ็ ือกาเนิดเพราะเหตนุ ้ี
ยอ้ นหลงั ไปเม่ือคร้ังลน้ เกลา้ ฯ รัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั พร้อม
ดว้ ยสมเดจ็ พระบรมโอรสาธิราช( ร.๖) และเจา้ ฟ้ากรมขนุ ลพบุรีราเมศร์ ไดเ้ สด็จมายงั จงั หวดั
นครศรีธรรมราชเม่ือปี ๒๔๔๘ ในโอกาสน้นั พระยาสุขมุ นยั วินิต ขา้ หลวงมณฑลนครศรีธรรมราชได้
ทูลรายงานรายช่ือวดั ที่ต้งั ข้ึนท้งั เก่าและใหมเ่ พอ่ื ประโยชน์ทางการศึกษา ๑๐ กวา่ วดั ในจานวนน้ีมี
“วดั ทุ่งปอน" ซ่ึงเป็นวดั ท่ีพระยาสุขมุ นยั วินิต จดั ต้งั ขณะที่ยงั เป็นพระวิจิตรวรสาส์น รวมอยดู่ ว้ ย

๒๔๓

วดั ทงุ่ ปอนสร้างข้นึ ริมฝั่งคลองจนั ดี ในปี ๒๔๓๗ ซ่ึงขณะน้นั ยงั เป็นคลองที่กวา้ งใหญ่ น้า
ไหลลึก อาจเรียกไดว้ า่ เป็นแม่น้า ซ่ึงเป็นทางสัญจรคา้ ขายของชาวจีน-ไทยทางเรือ ตรงท่ีสร้างวดั น้ีมี
บา้ นเรือนยกู่ ่อนแลว้ ประมาณ ๒๐ หลงั คาเรือน แต่เน่ืองจากต้งั ติดป่ าไมท้ ่ีกวา้ งใหญไ่ พศาล มีชา้ งป่ า
จานวนมากรวมท้งั เสือดว้ ย ชาวบา้ นหลายครอบครัวไดย้ า้ ยไปอยถู่ ่ินอ่ืนเพื่อหนีภยั จากเสือและชา้ งป่ า
ทาใหว้ ดั ร้างเป็นบางปี จนกระทง่ั ถึงปี ๒๔๕๗ เป็นช่วงการสร้างทางรถไฟช่วงฉวาง-ทุ่งสง ผา่ นควน
ตมสาเร็จ ซ่ึงช่วงน้ีถือไดว้ า่ เป็นการสร้างทางรถไฟที่ยากลาบากท่ีสุด เพราะโขลงชา้ งป่ าบุกทาลาย
แคมป์ ค่ายคนงาน และทางรถไฟท้งั เชา้ และเยน็ อนั เป็นเหตุใหม้ ีการจบั ชา้ งป่ าไปขายสิงคโปร์ เม่ือ
จานวนชา้ งลดลง คนกเ็ พ่มิ ข้ึน ก็ไดม้ ีการยา้ ยครอบครัวมาต้งั เป็นชุมชนวดั ทงุ่ ปอน และบริเวณตลาด
จนั ดีมากข้นึ วดั กพ็ ลอยฟ้ื นคืนชีพข้ึนมาดว้ ย

อดีตเจ้าอาวาส
ต้งั แต่สร้างข้ึนเป็นวดั ในปี ๒๔๓๗ จนกระทงั่ ถึงปี ๒๕๔๐ มีเจา้ อาวาสดงั น้ี
๑. พอ่ หลวงจนั เป็นพระภิกษจุ ากวดั สวนขนั เป็นชาวคุดดว้ น เป็นเจา้ อาวาสระหวา่ งปี พ.ศ.
๒๔๓๘ – ๒๔๔๘ ในช่วงน้ีเมื่อปี ๒๔๓๘ พอ่ ทา่ นคลา้ ยขณะน้นั อายุ ๑๘ ปี ไดบ้ รรพชาเป็นสามเณร
ที่วดั น้ีกบั พ่อหลวงจนั พร้อมกบั สามเณรยอ้ ย รุ่งเรือง หมอแผนโบราณในเวลาต่อมา
๒. พ่อหลวงคลา้ ย เป็นเจา้ อาวาสชว่ั คราวช่วงตน้ ปี ๒๔๔๘ แตพ่ อปลายปี กไ็ ปอยวู่ ดั สวนขนั
๓. พอ่ หลวงมี ชาวคุดดว้ น อุปสมบทจากวดั สวนขนั มาเป็นเจา้ อาวาสระหวา่ งปี ๒๔๔๙ –
๒๔๗๑ ช่วงน้ีวดั ไดถ้ ูกเปลี่ยนช่ือจากวดั ทุ่งปอน มาเป็นชื่อวดั จนั ดี โดยเจา้ คุณรัตนธชั มุนี(ศรี) เจา้ คณะ
จงั หวดั นครศรีธรรมราช
๔. พอ่ หลวงเกลือน ชาวโคกทือ อุปสมบทที่วดั สวนขนั มาเป็นเจา้ อาวาสระหวา่ งปี ๒๔๗๑
– ๒๔๗๔
๕. หลวงพอ่ กลบั ชาวคุดดว้ น อุปสมบทท่ีวดั สวนขนั มาเป็นเจา้ อาวาสระหวา่ งปี ๒๔๗๘ –
๒๔๗๙
๖. พอ่ หลวงคร้ืน โสภโณ ในช่วงน้ี วดั จนั ดีไดร้ ับการพฒั นามาก เพราะพอ่ ทา่ นคร้ืนได้
ก่อสร้างเสนาสนะไวค้ รบครัน โดยเฉพาะกฎุ ีท่ีอยอู่ าศยั ของพระ-เณรตลอดท้งั ใหเ้ ด็กนกั เรียนท่ีเขา้
เรียนในโรงเรียนพ่งึ ตนเองไดอ้ ยอู่ าศยั ดว้ ย ทา่ นสร้างกฎุ ียาว ๑ หลงั แต่ตอ่ มาถกู ดดั แปลงไปบางส่วน
แลว้ ส่วนกุฎีอื่น ๆ ท่ีทา่ นไดส้ ร้างไวถ้ กู ร้ือถอนไปหมดและสร้างใหมข่ ้นึ มาแทน ยงั เหลือที่ต้งั เด่นเป็น
สงา่ อยกู่ ็คือพระอุโบสถ ซ่ึงพ่อหลวงคร้ืนมีส่วนสาคญั ในการเสริมสร้างและพฒั นามาตลอด
-ในปี พ.ศ.๒๔๙๒ ซ่ึงเป็นปี ที่พ่อทา่ นคลา้ ยไดร้ ับเล่ือนสมณศกั ด์ิท่ี พระครูพิสิฐอรรถการ พ่อ
หลวงคร้ืนกไ็ ดร้ ับการแต่งต้งั จากเจา้ คณะอาเภอฉวาง ใหเ้ ป็นพระใบฎาคร้ืน โสภโณ ตาแหน่ง
ฐานานุกรมในคราวน้นั ดว้ ย

๒๔๔

ต้งั แต่ปี ๒๕๐๕ เป็นตน้ มา พ่อท่านคลา้ ยไปสร้างเจดียว์ ดั ธาตนุ อ้ ยหวงั ให้เป็นพทุ ธาวาสและ
ใหว้ ดั จนั ดีเป็นเขตสงั ฆาวาส โดยมีพ่อท่านคร้ืนเป็นผชู้ ่วยระดบั มือขวา จนกระทง่ั พอ่ ทา่ นคลา้ ย
มรณภาพเมื่อวนั ท่ี ๕ ธนั วาคม ๒๕๑๓ พอ่ ท่านคร้ืนก็ยงั เป็นเจา้ อาวาสอยกู่ ระทง่ั ไดล้ าสิกขาบทไป

๘. พอ่ ทา่ นพ่วง จากวดั พระพรหม กิ่งอาเภอพระพรหมมาเป็นเจา้ อาวาสระหวา่ งปี ๒๕๑๓ –
๒๕๑๕ ในช่วงน้ี พ่อท่านพ่วงเสนอเปล่ียนวดั จนั ดี เป็น “วดั จนั ดีธาราราม” แต่ต่อมาเกิดขดั แยง้ กบั
ชาวบา้ น ท่านไดก้ ลบั ไปอยวู่ ดั พระพรหมตามเดิม

๙. พอ่ ทา่ นปลอบ เป็นชาวบา้ นนาพลาย ขา้ งวดั โคกหาด ไปอปุ สมบทท่ีวดั ไมเ้ รียง ตาบลไม้
เรียง ศิษยพ์ ระครูญาณวรากร เจา้ อาวาสวดั ไมเ้ รียง ส่งมาเป็นเจา้ อาวาสวดั จนั ดี ต้งั แต่ปี ๒๕๑๕ –
๒๕๓๗ ต่อมาเป็นท่ีพระครูพพิ ธิ สาธุการ

วัตถโุ บราณในวัดจนั ดี
๑. พระอุโบสถ พ่อท่านคลา้ ยสร้างข้ึนเม่ือปี พ.ศ.๒๔๙๗ อายทุ า่ นขณะน้นั ๔๓ ปี
๒. เจดีย์ ขนาดเลก็ ท่ีเป็นตน้ แบบ ใหพ้ อ่ ท่านคลา้ ยสร้างเจดียน์ อ้ ยในระยะตอ่ มา
๓.ตน้ โพธ์ิ อยกู่ ลางวดั มีอายุ ๓๐๐ กวา่ ปี เป็นที่เช่ือกนั วา่ พอ่ ท่านคลา้ ยไดน้ าอฐั ิของโยมแม่มา
ไวท้ ่ีตน้ โพธ์ิน้ี เพราะเม่ือทา่ นเดินทางเขา้ -ออก สมยั น้นั ใคร ๆ กเ็ ห็นท่านไหวต้ น้ โพธ์ิเป็นประจา

.............................
อา้ งอิง: ขอ้ มลู จากบทความของ อ.ชาลี ศิลปะรัศมี

๑๐.๗วัดเทพกุญชร

๒๔๕

วดั เทพกุญชรต้งั อยทู่ ี่บา้ นนาวา หมูท่ ี่ ๗ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง ผดู้ าเนินการสร้างวดั

คอื นายฉ่า ไพรสณฑ์ อดีตกานนั ตาบลชา้ งกลาง โดยไดม้ อบท่ีดินส่วนตวั ร่วมกบั นาย เอ่ียม แกมกิจ

อดีตแพทยป์ ระจาตาบล ชา้ งกลางจานวนรวมกนั ๑๐๐ ไร่ ในจานวนน้ีแบง่ เพ่อื สร้างโรงเรียนบา้ น

นาวา (ไพรสณฑ์ พสิ ิทธ์ิ) จานวน ๓๐ ไร่ โดยไดเ้ ปิ ดสอนเม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๒

การสร้างวดั เร่ิมแต่ ปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ท่านกานนั ฉ่า ไดป้ ระชุมร่วมกบั พ่นี อ้ งบา้ นนาวาทุก

ครอบครัว วา่ จาเป็นจะตอ้ งสร้างวดั เพราะการไปทาบุญที่วดั ควนสา้ นก็ไกล วดั มะนาวหวานก็ไกล

จึงพร้อมใจกนั สร้างวดั ในพ้ืนท่ีจานวน ๗๐ ไร่

หลงั จากน้นั กม็ ีการปรับพ้นื ท่ีสร้างวดั โดยอาศยั แรงคน และแรงชา้ ง ๒ เชือก ขนลากรากไม้

ไผท่ ี่ชาวบา้ นขดุ ข้ึนมาเป็นจานวนมาก

ชา้ ง ๒ เชือกท่ีจะลืมเสียมิได้ เชือกท่ี ๑ คือนางพงั ตาม(เป็นชา้ งพงั ) ของกานนั ฉ่า มีควาญชา้ ง

คือนายปอย ชยั สวสั ด์ิ เชือกท่ี ๒ ช่ือพลายดุสิต (เป็นชา้ งพลาย)ของนายเคลา้ ไพรสณฑ์ ผเู้ ป็นควาญ

ชา้ งคอื นายขาบ บรรณราช

ทาอยปู่ ระมาณเกือบปี พ้นื ที่จึงราบเรียบพอที่จะยกกฏุ ิได้ พี่นอ้ งที่ร่วมกนั ปราบพ้ืนที่ตกลงเป็น

เอกฉนั ทใ์ หช้ ่ือวา่ วดั เทพกุญชร กวีเอ้ือม อบุ ลพนั ธุ(์ เสียชีวิตแลว้ )ไดเ้ ขยี นเป็นบทกววี า่

วดั ใจไทยทวั่ ท้งั พารา

เทพ ไทยทว่ั โลกา แซ่ซอ้ ง

กญุ ชาติฉทั ทนั ตม์ า เป็นช่ือ วดั เอย

ชร ชุ่มช่ืนฉ่าขอ้ ง เกียรติกอ้ ง ไพรสณฑ์

ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ เมื่อปรับพ้นื ที่เรียบร้อยพอสมควรจึงไดส้ ร้างกฏุ ิข้ึน ๔ หลงั ปลกู เป็นเรือนไม้

๒ หลงั ก้นั ดว้ ยฝาไมไ้ ผ่ ๒ หลงั ศาลาการเปรียญ ๑ หลงั กานนั ฉ่าฯ มอบหมายใหน้ ายเดช จิตรัตน์

เป็นมคั นายก ไปนิมนต์ พระมหาคร่ัน ติสสโร เปรียญธรรม ๔ ประโยค นกั ธรรมช้นั เอกและเป็น

องคก์ ารศึกษาอาเภอฉวาง จากวดั มะปรางงาม ตาบลละอาย อาเภอฉวาง มาเป็นเจา้ อาวาสของวดั เทพ

กญุ ชร

ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ พระมหาคร่ัน ติสสโรเจา้ อาวาส ไดร้ ับพระราชทานสมณศกั ด์ิ เป็นพระครูช้นั

โท ท่ี“พระครูบวรสมาธิคณุ ”

ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ พระครูบวรสมาธิคณุ ไดล้ าเพศบรรพชิต

พระครูบวรสมาธิคณุ มีศิษยม์ าก แตก่ ระจดั กระจายไปคนละทิศ คนละถิ่นตามวิสัยโลก ที่

ใกลช้ ิดมีอยู่ ๓ คน คอื พระมหาเอ้ือม อบุ ลพนั ธ์ (เปรียญธรรม 7 ประโยค) , คุณกมล เจริญพงศ์ และคุณ

สวาท แกว้ มณี ศิษยท์ ้งั ๓ คน รักกนั มาก ถือมน่ั เสมอในคาสอนไวเ้ ป็นคติประจาใจวา่ “ทา่ นอาจารยค์ ือ

พอ่ คนที่ ๒ ที่สร้างเขามา”

๒๔๖

ปี พ.ศ. ๒๕๐๒ นายเดช จิตรัตน์ พร้อมดว้ ย นายนาม ไพรสณฑ์ ไดไ้ ปอาราธนา พระมหานพ
ฐิตเตโช เปรียญธรรม ๔ ประโยคนกั ธรรมช้นั เอก เลขานุการเจา้ คณะจงั หวดั พงั งา มาเป็นเจา้ อาวาส
แทนพระครูบวรสมาธิคณุ และไดเ้ ปิ ดสอนพระปริยตั ิธรรมและบาลีสืบทอดเจตนาเจา้ อาวาส รูปก่อน

ปี พ.ศ. ๒๕๑๘ พระมหานพ ไดร้ ับพระราชทานสมณศกั ดเ์ ป็นพระครูช้นั โทท่ี พระครู
ประจกั ษส์ ุตกิจ

ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ พระครูประจกั ษส์ ุตกิจ ไดม้ รณภาพดว้ ยอุบตั ิเหตทุ ่ี จงั หวดั สงขลา
ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ไดม้ ีการแต่งต้งั พระครูสถิตเทวธรรม ข้ึนดารงตาแหน่งเป็นเจา้ อาวาส จนถึง
ปัจจุบนั
ประวตั ิความเป็นมาโดยสงั เขปของพระครูสถิตเทวธรรม
ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ เป็นรองเจา้ อาวาสวดั เทพกุญชร สมณศกั ด์ิเดิมคอื พระปลดั สุเทพ ฉายา ฐิตธมั
โม อายุ ๔๓ ปี พรรษา ๑๙ นกั ธรรมช้นั เอก
ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ไดเ้ ป็นผรู้ ักษาการแทนเจา้ อาวาสวดั เทพกุญชร และตอ่ มาในปี พ.ศ. ๒๕๓๘
ข้นึ ดารงตาแหน่งเป็นเจา้ อาวาส ต้งั แตไ่ ดร้ ับการแตง่ ต้งั ใหเ้ ป็นเจา้ อาวาสวดั เทพกุญชร ไดด้ าเนินการ
ก่อสร้าง เสนาสนะ ตลอดถึงการบรู ณะปฏิสงั ขรณ์ภายในวดั มาตามลาดบั ดงั น้ี
-ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ สร้างซุม้ ประตวู ดั ค.ส.ล. ทรงไทย กวา้ ง ๔ เมตร รวมเป็นเงินท้งั สิ้น
๓๐๐,๐๐๐ บาท (สามแสนบาท)
-ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ สร้างเมรุเผาศพ ทรงมณฑปขนาดกวา้ ง ๖ เมตร ยาว ๑๒ เมตร รวมเป็นเงิน
ท้งั สิ้น ๑,๓๐๐,๐๐๐บาท (หน่ึงลา้ นสามแสนบาท) ปัจจุบนั (ปี ๒๕๖๒) ไดป้ รับสภาพข้ึนเป็นเมรุเผา
ดว้ ยระบบไฟฟ้า
-ปี พ.ศ. ๒๕๓๖ สร้างศาลาบาเพญ็ กศุ ลศพ ค.ส.ล. ทรงไทยขนาดกวา้ ง ๑๓ เมตร ยาว ๒๖
เมตร รวมเป็นเงินท้งั สิ้น ๑,๒๐๐,๐๐๐ บาท (หน่ึงลา้ นสองแสนบาท)
-ปฏิสงั ขรณ์ ศาลาการเปรียญทรงไทยช้นั เดียว ขนาดกวา้ ง ๒๐ เมตร ยาว ๒๔ เมตรจานวนเงิน
ท้งั สิ้น ๕๐๐,๐๐๐ บาท (หา้ แสนบาท)
-สร้างกาแพงวดั จานวน ๗๗ ช่อง ๆ ละ ๓ เมตร จานวน ๒๒๑ เมตร รวมเป็นเงินท้งั สิ้น
๓๐๘,๐๐๐ บาท (สามแสนแปดพนั บาท)
-ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ สร้างกฏุ ิ ๒ ช้นั ค.ส.ล. ขนาดกวา้ ง ๕ เมตร ยาว ๗ เมตร รวมเป็นเงินท้งั สิ้น
๓๘๐,๐๐๐ บาท (สามแสนแปดหม่ืนบาท)
-ปี พ.ศ. ๒๕๓๘ สร้างกฏุ ิทรงไทยช้นั เดียว จานวน ๗ หลงั ขนาดกวา้ ง ๓ เมตร ยาว ๖ เมตร
หลงั ละ ๗๐,๐๐๐ บาท
-สร้างอุโบสถลกั ษณะทรงไทยหลงั คามุงกระเบ้ือง กวา้ ง ๖ เมตร ยาว ๒๔ เมตร จานวนเงิน
ท้งั สิ้น ๖,๗๔๙,๕๑๕ บาท (หกลา้ นเจ็ดแสนสี่หม่ืนเกา้ พนั หา้ ร้อยสิบหา้ บาท)

๒๔๗

-ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ปฏิสงั ขรณ์ ศาลาหอฉนั ค.ส.ล. ๓ ช้นั ขนาดกวา้ ง เมตร ยาว เมตร
อน่ึง ในการสร้างงานสาธารณูปการในวดั เทพกุญชร ไดม้ ีนายถวลิ ไพรสณฑ์ อดีต
รัฐมนตรีวา่ การทบวงมหาวิทยาลยั ซ่ึงเป็นลูกของนายฉ่า ไพรสณฑ์ เขา้ มาเป็นโยมอปุ ัฏฐาก จดั หาทุน
โดยการทอดกฐินและผา้ ป่ ามาจดั สร้างตามลาดบั ดงั น้ี
๑. กฏุ ิทรงไทยช้นั เดียว จานวน ๗ หลงั
๒. ศาลาการเปรียญทรงไทยช้นั เดียว จานวน ๑ หลงั
๓. ปฏิสังขรณ์ศาลาหอฉนั ๑ หลงั
๔. สร้างอุโบสถลกั ษณะทรงไทยพ้ืนหินอ่อน ๑ หลงั
๕. สระเก็บน้า ขนาดกวา้ ง ๗ ไร่ จานวน ๑ สระ
๖. พฒั นาสร้างถนนปรับปรุงพ้ืนท่ีบริเวณในวดั และหนา้ กาแพงวดั
๗. จดั หาและดาเนินการปลกู ตน้ ไมผ้ ล และไมม้ งคลยนื ตน้ รวมถึงการจดั หาทนุ มาพฒั นาวดั

๑๐.๘ วัดควนส้าน

ประวตั ิและสมภารวดั ควนส้าน ตามที่จะกลา่ วตอ่ ไปน้ีเป็นขอ้ เขยี นของนายชุ่ม ศิลปวิสุทธ์ิ
ผใู้ หญบ่ า้ น ไดเ้ ขียนไวเ้ ม่ือปี พ.ศ.๒๕๒๐ พอจะสรุปไดด้ งั น้ี

วดั น้ีต้งั อยบู่ นท่ีเนินสูง หรือบนควนในเขตหมู่ ๖ ตาบลชา้ งกลาง อาเภอฉวาง ต้งั ข้ึนเม่ือ
ประมาณปี ๒๔๕๐ ในบริเวณป่ าไมส้ ้าน หรือส้านกวาง และอุดมสมบณู ์ดว้ ยจาพวกวา่ นนานาชนิด
วดั น้ีจึงไดน้ ามวา่ “วดั ควนสา้ น”

เริ่มตน้ ท่ี พระภิกษแุ ดง หมวดทิพย์ ร่วมกบั ชาวบา้ นไดเ้ ขา้ มาบกุ เบิกที่นี่ คร้ังแรกก็สร้างเป็น
สานกั สงฆ์ อยตู่ ่อมาประมาณ ๒๐ ปี ไดม้ ีบคุ คลผมู้ ีความเห็นวา่ วดั ควนสา้ น ซ่ึงมีพระภิกษุสกุล
“หมวดทิพย”์ รูปแรกท่ีเขา้ ไปบุกเบิกเร่ิมสร้าง จึงเติมคาตอ่ ทา้ ยของควนส้านวา่ “วดั ควนส้านเทพ

๒๔๘

ประสิทธ์ิ” แตค่ าน้ีเป็นที่น่าเสียดาย เพราะไม่ไดม้ ีการเรียกช่ือกนั อยา่ งเป็นทางการ ชาวบา้ นคงเรียก
เฉพาะชื่อ วดั ควนส้าน” มาจนถึงปัจจุบนั

พระภิกษรุ ูปที่ ๒ คือพระอธิการหวาน สุวณฺโณ ไดเ้ ขา้ อยูจ่ าพรรษา ดาเนินการก่อสร้างและ
รักษาศาสนสมบตั ิของวดั ถดั มา

พระภิกษรุ ูปท่ี ๓ คือพระแดง กิจจะ เขา้ อยู่จาพรรษา มีการบุกเบิกแผว้ ถางปราบพ้ืนท่ีท่ีเป็น
เนินสูงใหร้ าบเรียบ ปลกู ผลไมอ้ าสินตา่ ง ๆ เช่น มะพร้าว เงาะ มงั คดุ จาปา ลางสาด ยางพารา และ
สร้างกุฎิ – วิหาร – โรงฉนั ฯ

พระภิกษรุ ูปท่ี ๔ คอื พระอธิการชู ติสฺสโร พระภิกษุรูปน้ีมีความสาคญั มาก เพราะเมื่อ
ประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ท่านไดเ้ ปิ ดสอนหนงั สือไทยในช้นั ประถมใหแ้ ก่ลูกหลานของชาวบา้ นใน
ถิ่นน้ีไดร้ ู้หนงั สือโดยทวั่ หนา้ กนั จึงไดช้ ื่อวา่ เป็นผใู้ หก้ าเนิดโรงเรียนประชาบาลข้นึ ที่นี่ และในที่สุด
ไดป้ ริวรรตข้นึ มาเป็นโรงเรียนวดั ควนส้านในปัจจุบนั

พระภิกษุรูปที่ ๕ คอื พระอธิการฉี่ คุณงฺกโร รูปน้ีไดเ้ ขา้ มาอยจู่ าพรรษา ไดช้ กั นาประชาชน
ก่อสร้างโบสถ์ ๑ หลงั กฎุ ิ ๑ หลงั โดยมีพระครูพศิ ิษฐ์อรรถการ(พ่อทา่ นคลา้ ย) เป็นประธานในการ
ก่อสร้าง จนสาเร็จเรียบร้อย

พระภิกษรุ ูปท่ี ๖ คือพระเจริญ ฐิตวิริโย ไดเ้ ขา้ มาอยจู่ าพรรษาดาเนินการก่อสร้างเจดียแ์ ลละ
หอ้ งน้าหอ้ งสว้ มฯ

พระภิกษรุ ูปที่ ๗ คอื พระประดบั ท่านไดท้ าการบบรู ณะโรงธรรม และจดั การสร้าง
พระพทุ ธรูปเป็นประธานประดิษฐานไวใ้ นโรงธรรมพร้อมกบั โตะ๊ หมบู่ ูชา ๑ ชุด

พ.ศ.๒๕๐๗ พระภิกษุรูปที่ ๘ คอื พระมหาสุภร เตชปุญฺโญ ไดเ้ ขา้ มาเป็นเจ้าอาวาสมาจนถึง
ปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๒) ในช่วงน้ีไดม้ ีกิจกรรมต่าง ๆ ดงั น้ี

- เปิ ดสอนนกั ธรรม เทศนาสอนประชาชน
- ชกั นาประชาชนในการก่อสร้าง เช่นสุสาน- บอ่ น้า บูรณะอุโบสถ – กุฏิ- วหิ าร ท่ี
ชารุดใหค้ งสภาพเดิมไว้
- ปราบพ้นื ที่ท่ีเป็นเนินสูงใหเ้ รียบร้อย สร้างสวนยางพนั ธุด์ ี ๒๐ ไร่ จดั สร้างเครื่อง
ไฟฟ้า ๑ เคร่ือง
- บูรณะหอฉนั ใหถ้ าวรดีข้นึ สร้างศาลาพกั ร้อน ๑ หลงั
- ก่ออิฐถือปูนเป็นกาแพงก้นั ดินท่ีเป็นแนวเนินสูงเป็นข้นั บนั ไดทางข้ึนสู่โรงธรรม
ศาลา เพื่อไม่ใหด้ ินพงั และเพ่ือความสวยงาม
- สร้างกุฏิถาวร ตึกคร่ึงไม้ ราคาแสนคร่ึง สวยงามเป็นที่เชิดหนา้ ชูตาของบรรดาญาติ
มิตร และพุทธศาสนิกชนที่มาเยอื น
- ปัจจุบนั ท่ีโดดเด่นมากที่สุดคอื โบสถห์ ลงั ใหมต่ ้งั เด่นเป็นสง่า สวยงามยงิ่ นกั

๒๔๙

๑๐.๙ วัดหน้าเขาเหมน
๑.ปฐมบท
วดั หนา้ เขาเมนไดเ้ กิดข้นึ จากความศรัทธาของชาวชุมชน ๔ หมบู่ า้ น ซ่ึงต้งั อยดู่ า้ นหนา้
เทือกเขาหลวงนครศรีธรรมราช อนั มียอดเขา ๒ ยอดติดกนั ทางดา้ นตะวนั ออก คือเขาเหมนและเขา
ขนั หมาก ความเป็นบา้ นหนา้ เขาเมนน้นั ประกอบดว้ ยชุมชน ๔ หมู่บา้ น คือ
- หม่ทู ่ี ๙ บา้ นคลองกุยเหนือ มีโรงเรียนบา้ นคลองกุยเหนือเป็นศูนยข์ องหมบู่ า้ น
- หมู่ท่ี ๑๐ บา้ นหนา้ เหมน มีโรงเรียนบา้ นหนา้ เหมนเป็นศูนยก์ ลางของหมู่บา้ น
- หมู่ท่ี ๑๒ เป็นที่ต้งั ของวดั หนา้ เขาเหมน
- หมู่ท่ี ๑๓ บา้ นทา้ ยเหมือง อดีตเหมืองแร่ของอ่ึงคา่ ยท่าย
ท้งั ๔ หมบู่ า้ นเดิมเป็นเขตป่ าสงวนแห่งชาติ ประมาณปี พทุ ธศกั ราช ๒๔๙๕ ชาวลุ่มน้าปาก
พนงั จากอาเภอปากพนงั อาเภอหวั ไทร อาเภอเชียรใหญ่ อาเภอชะอวดและอาเภอเมือง ไดเ้ ขา้ จบั จอง
บุกป่ าเป็นที่ทากินและสร้างชุมชน ซ่ึงในจานวนบุคคลเหลา่ น้นั กลุ่มแรกไดเ้ ขา้ ไปเป็นคนงานของ
องคก์ ารสวนยาง และมองเห็นช่องทางที่จะต้งั ถ่ินฐานข้ึนในบริเวณท้งั ๔ หมบู่ า้ นข้ึนในตาบลชา้ ง
กลาง
๒. สาเหตแุ ห่งการต้งั วดั
หลงั จากต้งั ชุมชนข้นึ ในบริเวณดงั กลา่ วผา่ นไป ๕ ปี การไปวดั ทาบุญตามเทศกาล และบุญ
ประเพณี ประชาชนใน ๔ หม่บู า้ นน้ีจะไปวดั ท่ีตนสะดวกและสามารถเดินเทา้ ไปไดไ้ ม่ยาก สะดวกท่ี
จะไปวดั ไหนกจ็ ะไปวดั น้นั ๆ เช่นพวกอยหู่ มทู่ ี่ ๙ บา้ นคลองกุยเหนือก็จะไปวดั ควนสงฆ์ ซ่ึงต้งั อยู่
ใกลส้ านกั งานองคก์ ารสวนยางนาบอน พวกอยหู่ มูท่ ่ี ๑๐ และหมทู่ ี่ ๑๒ กไ็ ปวดั มะนาวหวาน ส่วนที่
อยหู่ มู่ ๑๓ ไปวดั อมั พวนั ใกลส้ ถานีรถไฟคลองจงั
นายบุญคง มีประดิษฐ์ ผทู้ รงคุณวุฒิของชุมชนสมยั น้นั มองเห็นความลาบากของการไป
ทาบญุ ในบญุ เทศกาลและบญุ ประเพณี หรือเมื่อมีการเสียชีวติ ของคนในชุมชนขณะน้นั ในการน้ีนาย
บุญคงฯ ไดป้ รึกษากบั ผทู้ รงคุณวฒุ ิคนอ่ืน ๆ โดยนางบุญคง นางหว้ น มีประดิษฐ์แสดงเจตจานงคท์ ่ีจะ
บริจาคท่ีดินจานวน ๖ไร่ เพอ่ื สร้างเป็นท่ีพกั สงฆ์ และต้งั ความปรารถนาที่จะใหม้ ีวดั ใน
พระพทุ ธศาสนาข้ึน ณ บา้ นหนา้ เขาเหมน พ่นี อ้ งชาวบา้ นหนา้ เขาเหมนในขณะน้นั ก็มีความ
อนุโมทนาท่ีจะร่วมกนั สร้างที่พกั สงฆบ์ นท่ีดินท่ีนายบุญคง นางหว้ น มีประดิษฐ์บริจาคดว้ ยความ
ศรัทธาอยา่ แรงกลา้
๓. การก่อต้งั
ปี พทุ ธศกั ราช ๒๕๐๑ คณะผทู้ รงคุณวุฒิจาก ๔ หมบู่ า้ นไดร้ ่วมกนั สร้างกฏุ ิ ศาลา เป็นการ
สร้างดว้ ยวสั ดุธรรมชาติที่มีมากขณะน้นั เช่นไมก้ ลม ใชเ้ ป็นเสาและเคร่ืองประกอบ ใชไ้ มไ้ ผท่ าฝาก้นั
เพือ่ ใหเ้ ป็นกฏุ ิพอพระสงคเ์ ขา้ จาพรรษาได้

๒๕๐

ในระยะแรกมีพระสงฆเ์ ขา้ จาพรรษาติดต่อกนั ๕ ปี ตามท่ีพอจะนิมนตม์ าได้ และบางปี กม็ ี
ลูกหลานของคนบา้ นนา้ เขาเหมนบวชเขา้ มา หลงั จากน้นั กไ็ มม่ ีพระเขา้ มาจาพรรษาจนถึงปี พ.ศ.
๒๕๑๖ คณะผทู้ รงคุณวุฒิไดน้ ิมนตพ์ ระเถระจากวดั เขาพงั ไกร อาเภอหวั ไทร ชื่อพระพนู สินมาจา
พรรษาอยู่ตอ่ เนื่อง ๓ ปี ไดด้ าเนินการสร้างเสนาสนะข้นึ พอเป็นสัปปายะใหพ้ ระสงฆไ์ ดจ้ าพรรษา ใน
การน้ีพระพูนสินไดช้ กั ชวนญาติโยมสร้างที่พกั สงฆส์ ะดวกสบายมากข้ึนโดยไดร้ ับความอนุเคราะห์
จากท่านพระครูสถิตวิหารธรรม เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน(ปัจจุบนั คือพระสิริธรรมราชมุนี)

ในระยะที่สอง หลงั จากพระพูนสินตอ้ งกลบั วดั เขาพงั ไกร อาเภอหวั ไทร บา้ นเดิมของทา่ น
ในฤดูพรรษาจะมีพระมาเขา้ จาพรรษาทุกปี แต่หลงั จากออกพรรษาแลว้ จะไมม่ ีพระอยปู่ ระจา กระทง่ั
ถึงปี พ.ศ.๒๕๒๙ พระมหาสวสั ด์ิ โกวิโท เจา้ อาวาสวดั คลองครุ หมู่บา้ นปัฏฐวิกรณ์
กรุงเทพมหานคร ท่านมีญาติอยใู่ นหมู่บา้ นหนา้ เขาเหมนหลายครอบครัว ไดน้ ิมนตพ์ ระลกู วดั ของ
ท่านซ่ึงเป็นคนจงั หวดั กาฬสินธุ์ ชื่อพระสุวฒั น์ สิริภทั ฺโธ(สกุลมงคลธรรม) มาจาพรรษา

พระสุวฒั นฯ์ ไดน้ าญาติโยมพฒั นาวดั จนมีความเจริญต่อเนื่องเป็นเวลา ๑๒ ปี ทา่ นไดร้ ับการ
แต่งต้งั เป็นเจา้ อาวาสรูปแรก กระทงั่ ถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ไดอ้ าพาธแลว้ กลบั ไปมรณภาพท่ีบา้ นเดิม
จงั หวดั กาฬสินธุ์

๔. สถานภาพวดั
ผเู้ ก่ียวขอ้ งท้งั หลายมีนายบุญคงฯ ผบู้ ริจาคท่ีดิน เป็นตน้ ไดด้ าเนินการขอรับอนุญาตต้งั วดั
บา้ นหนา้ เขาเหมนตามระเบียบคณะสงฆป์ ี พ.ศ.๒๕๒๘ จนกระทง่ั ไดร้ ับอนุญาตจากกรมศาสนาต้งั แต่
ปี พ.ศ.๒๕๓๒ ไดช้ ื่อเป็นทางการวา่ “วดั หนา้ เขาเหมน”
ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ หลงั จากพระสุวฒั น์ฯไดอ้ าพาธและออกจากวดั ไปแลว้ ทางวดั ก็ไดพ้ ระ
สมุห์ชูดจากวดั ทุง่ ครุ กรุงเทพมหานครไดเ้ ขา้ มาจาพรรษาเป็นประธานสงฆ์ ในปี แรกท่านไดช้ กั ชวน
ญาติโยมพุทธบริษทั ท้งั ใกลแ้ ละไกลร่วมพฒั นาวดั จนสามารถสร้างความเจริญในพุทธสถานทกุ ดา้ น
มีโบสถ์ วหิ าร ศาลา กฏุ ิ กุฏิรับรองฯลฯ ดงั ที่ปรากฏเห็นอยใู่ นปัจจุบนั ตลอดถึงไดข้ ยายพ้ืนที่วดั ไป
ทางดา้ นตะวนั ออกถึงคลองยายแดงอีก ๕ ไร่โดยการซ้ือจากชาวบา้ นไร่ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท รวมแลว้ วดั
มีเน้ือที่ ๘ ไร่ ๒ งาน จึงเป็นวดั ที่เจริญเหมาะแก่การจาพรรษา ศึกษาพระธรรมวินยั ของพระสงฆ์ ทกุ
ปี จะจดั งานปฏิบตั ิธรรมใหอ้ ุบาสก อุบาสิกาท้งั ใกลแ้ ละไกลไดป้ ฏิบตั ิอยา่ งตอ่ เน่ือง
๕. สมณศักด์ิเจ้าอาวาส
- เจา้ อาวาสรูปปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๑) คอื พระครูมงคลบุญเขต เดิมชื่อพระชูด สกลุ ทองอ่อน
ทา่ นเป็นชาวตาบลปากแพรก อาเภอปากพนงั อดีตเคยรับราชการตารวจต้งั แต่ยศช้นั พลตารวจลูกแถว
ณ สถานีตารวจภธู รอาเภอฉวางจนกระทงั่ เกษยี ณอายุเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๙ ในยศคร้ังสุดทา้ ยคือนายดาบ
ตารวจ และหลงั เกษียณแลว้ ไดร้ ับยศ รตต.


Click to View FlipBook Version