๑๕๑
กาหลอ เดิมเป็นวฒั นธรรมของอินเดียท่ีแพร่กระจายเขา้ มายงั แหลมมลายตู ้งั แตโ่ บราณ ซ่ึง
เกิดแต่สมยั พุทธกาล ใชเ้ ป็นเครื่องประโคมแห่เศียรทา้ วมหาพรหม ต่อมากไ็ ดใ้ ชป้ ระโคมในพธิ ีแห่ศพ
โดยถือวา่ กาหลอเป็นเสียงฆอ้ งกลองสวรรค์ เมื่อพระพุทธเจา้ ปรินิพพาน มีประวตั ิเลา่ ต่อ ๆ กนั มาวา่
ไดม้ ีคณะสงฆช์ ื่อวา่ กาแกว้ การาม กาเดิม และกาชาด ไดช้ ่วยกนั สร้างเคร่ืองดนตรีเพือ่ ประโคมใน
พธิ ีพระบรมศพของพระพุทธเจา้ โดยกาเดิมทาปี่ การามทากลองโทน กาแกว้ ทากลองโทนเพิม่ อีก ๑
ใบ กาชาดทาฆอ้ ง แลว้ ใชเ้ ครื่องดนตรีท้งั ๓ ดงั กลา่ วน้ีประโคมในพธิ ีแห่พระบรมศพไปยงั เชิงตะกอน
ป่ี ฮ้อ
๑๕๒
โรงแสดงกาหลอ
โรงกาหลอ หรือท่ีเรียกวา่ “โรงฆอ้ ง” จะตอ้ งปลกู สร้างข้ึนเป็นการเฉพาะ ขนาดกวา้ ง ๕ ศอก
ยาว๗ ศอก หลงั คารูปจวั่ ยกพ้ืนสูงประมาณ ๑ ฟุตหนั หนา้ โรงไปทางทิศตะวนั ตก ภายในโรงจะตอ้ ง
มีเครื่องประกอบพิธีและเคร่ืองสงั เวยครูกาหลอ ซ่ึงมีเส่ือปูโรงพธิ ี ถาดใส่อาหารหวานคาว ๑๒ ที่ ไก่
ตม้ ๑ ตวั มะพร้าวอ่อน ๑ ลูก แป้งจนั ทน์ น้ามนั หอม พานใส่ดอกไมธ้ ูปเทียน หมาก ดา้ ยขาว เงิน
เบิกปากป่ี เหลา้ ขาวและผา้ ขาวขึงเพดาน
วงกาหลอประกอบดว้ ยผบู้ รรเลง ๓ – ๕ คน ตามจานวนเคร่ืองดนตรี ในจานวนน้ี คนหน่ึง
หรือสองคนทาหนา้ ท่ีประกอบพิธีกรรม
บทเพลงกาหลอ ตามประวตั ิกลา่ วไวว้ า่ มี ๑๒ เพลง และถือวา่ เป็นเพลงแม่บท ผหู้ ดั เป่ าปี่ กา
หลอจะตอ้ งหดั เป่ าท้งั ๑๒ เพลงใหไ้ ดเ้ สียก่อน จึงจะไดร้ ับการยกครูจากครูกาหลอ และออกโรงต้งั
คณะกาหลอได้ เพลง ๑๒ เพลงมี เพลงไหวพ้ ระ ลาพระ นกกรง ทองศรี ยวั่ ยาม สุริยน สมั สาม
ทอมทอ่ ม เหยยี่ วเล่นลม พลายแกว้ พลายทอง มอญโลมลูก แสงแกว้ แสงทอง แตล่ ะเพลงมีช่วง
จงั หวะเวลาในการใชบ้ รรเลงแตกต่างกนั บางเพลงเป็นคาพากย์ แตบ่ างเพลงเป็นคาถา สามารถ
แสดงออกถา่ ยทอดดว้ ยเสียงป่ี อนั ไพเราะจบั ใจ ไมน่ ิยมนามาร้องเลน่ เพราะถือวา่ เป็นอปั มงคลแก่ชีวติ
เพลงกาหลอน้นั ไพเราะอยทู่ า่ มกลางบรรยากาศแห่งความเศร้า สูญเสีย มีมนตข์ ลงั และน่า
สะพงึ กลวั อยใู่ นตวั
ยกตวั อยา่ งเพลง “ทอมท่อม”
“ทอมท่อมเหอ ทอมทอ่ มไปไหน เจา้ สุดใจเหอ้ ทอมท่อมไปนา สาวนอ้ ยแม่จะพายห่อผา้
จะเดียดห่อผา้ ตามหลงั เจา้ ทอมทอ่ มเหอ”
๑๕๓
เพลงนกกรง
“นางนกข้ีกรงเหอ้ นางนกข้ีกรงเหอ นกข้กี รงดีแทเ้ ทียมไดผ้ วั แก่ แปลกท่ีเสียแลว้ นางนกข้ี
กรงเหอ สาวสาวไดผ้ วั แก่ แปลกที่เสียแลว้ นางนกข้กี รงเหอ”
เพลงพลายแกว้ พลายทอง
“พลายแกว้ พลายทองของแมเ่ หอ
เจา้ สุดใจเหอ เจา้ สุดใจแกว้ พลายทอง
พลายแกว้ ตกน้า ใครจะไดต้ ามหา
พลายทองตกตม ใครจะไดต้ ามงม
แม่ไปเมืองไม่รู้มา แม่ไม่ไดร้ ู้มา
ส่งั ไหรกะส่ังเสียตา้ แม่ไปป่ าชา้ แม่ไมไ่ ดอ้ ยสู่ ั่ง
แผน่ ดินหลบหนา้ แผ่นฟ้าหลบหลงั เจา้ สุดใจเหอ
แมไ่ มไ่ ดม้ าวงั เจา้ สุดใจพลายทองเหอ”
สาหรับเพลงพลายแกว้ พลายทองน้ีถือวา่ เป็นเพลงแม่บทของกาหลอ ที่ถอดเน้ือออกมาได้
ตามน้าเสียงของป่ี และฆอ้ ง กลอง ท่ีประโคมก่อนเผาศพ เป็นน้าเสียงที่โศกเศร้า อาลยั อาวรณ์ในกดาร
พลดั พรากอยา่ งยง่ิ
นอกจาก ๑๒ เพลงน้ีแลว้ แตง่ กาหลอยงั มีเพลงอื่น ๆ ใชอ้ ีกหลายเพลง บางวงมีมากถึง ๓๒
เพลง แต่ถือวา่ เป็นเพลงที่เกิดข้นึ ภายหลงั ๑๒ เพลงท้งั สิ้น
๖.๗ เพลงกล่อมผึง้
ในการตีผ้งึ ท่ีป่ าเขาเหมน เขาลา้ น และท่ีใตเ้ พิงผาเขาสงั เกียด ตาบลชา้ งกลางและที่ป่ าคลอง
ปี กเหนือ ตาบลสวนขนั หรือที่อื่น ๆ น้นั ในข้นั ตอนก่อนตีผ้ึงจะมีการร้องเพลงกล่อมผ้ึง หรือท่ีเรียก
ตามภาษาชาวบา้ นวา่ เพลงชา้ ผ้งึ ซ่ึงนายเจริญ อินทองคา ผเู้ ป็นทรัพยากรบุคคลบา้ นคลองงา หมู่ ๒ ได้
บนั ทึกรวบรวมไวว้ า่
“ ในระหวา่ งที่นายหมฺรูน(คนตีผ้ึง)ข้ึนไปบนตน้ ไมท้ ี่ผ้งึ หลวงทารังอยนู่ บั ร้อยรัง จะมี
การขบั เพลงกลอ่ มผ้ึงหรือชา้ ผ้งึ ซ่ึงมีทานองเหมือนเพลงกล่อมเด็ก ถา้ ไดฟ้ ังการร้องเพลงชา้ ผ้งึ ใน
สาเนียงใตข้ องนายหมฺรูน สด ๆ ในยามค่าคืน ซ่ึงสงดั เงียบ วงั เวงบนภูเขาในป่ ากวา้ งยามดึก ฟังดูแลว้
ช่างไพเราะ ไดท้ ้งั อรรถรส ท้งั วิเวก วงั เวง ดงั น้ี
เพลงคารวะและขอพร
ยอไหวเ้ อ๋ย ไหวน้ ายหมฺรูนเก่าหมฺรูนแก่
มาช่วยดูแล มาช่วยคุม้ รักษา(เหอ้ )
เพลงไหวเ้ ทวดาประจาทิศ
ขอไหวเ้ ทวดาทิศปลากหวั นอน พ่อเขชา้ งจร มาช่วยสกั คราวเดียว....เหอ้
๑๕๔
ขอไหวเ้ ทวดาทิศปลากตีน พ่ออยใู่ นธรรม พอ่ จาในศีล มาช่วยสกั คราวเดียว.....เหอ้
ขอไหวเ้ ทวดาทิศปลากออก พ่อเขชา้ งงางอก มาช่วยสักคราวเดียว.....เห้อ
เพลงขออนุญาต
ส่วนตีนนอ้ งเหยยี บราก.....เห้อ ส่วนปาก นอ้ งร้องขอทาง
นายตูอยปู่ าง ขอเบิกล่อง เบิกทาง ใหน้ อ้ งจร...เหอ้
เพลงกลอ่ มนางผ้ึงและเรียกลม
ยอไหว้ ยอไหว้ จะกล่อมนางไมใ้ หน้ อน
แม่พงั ลูกออ่ น นอนเถิดแม่นอน แมน่ อนหลบั เหย
แม่พงั คาเอย้ คนื น้ีแมล่ งนอนดิน
มดแดงกดั กิน ยงั เหลือแต่คราบรัง....เหอ้
พระพายเจา้ เอย้ พดั ตรงน้ี ตรงมือขา้ ช้ี ตรงน้ีพระพายเจา้ เหย
พระพายเจา้ เอย้ อยแู่ คไ่ หนเหลยใหร้ ีบมา นอ้ งวีม๊องคร่าวถา้ เห็นป่ าวงั เวงใจเหอ
พระพายเจา้ เอย้ พดั มาใหค้ ล่อง ส่งประกายม๊องของนอ้ ง ใหพ้ น้ จากตน้ แม่ยวน
ทองอะหร้า...เอย้
๖.๘ ศิลปะภูมิปัญญา
ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่ิน ชุมชนในทอ้ งถ่ินอาเภอชา้ งกลางไดส้ ืบสานความเป็นอยแู่ ละความเจริญ
ข้ึนตามลาดบั โดยอาศยั ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษในทอ้ งถ่ินน้นั ๆ มาก่อน บคุ คลสาคญั ที่ถือไดว้ า่ เป็น
ครูภูมิปัญญาดา้ นการเกษตรกรรม ในรอบ ๑๐๐ ปี ที่ลว่ งมาแลว้ ไดแ้ ก่
๑. นายเถื่อน ขอบขา ท่านผนู้ ้ีเป็นบิดาของพระสิริราชมุนี(สอน ฐิตวีโร) เจา้ อาวาสวดั
มะนาวหวาน พระอารามหลวง นายเถ่ือนป็นรัตตญั ญูบคุ คลที่มีชีวติ ยาวนานถึง ๕ แผน่ ดิน คือต้งั แต่
ตน้ สมยั รัชกาลท่ี ๕ มาถึงกระทงั่ กลางสมยั รัชกาลท่ี ๙ บา้ นของท่านต้งั อยใู่ นบา้ นจนั ดีหม่ทู ี่ ๓ ตาบล
ชา้ งกลาง มีลกั ษณะเสาต้งั ยกพ้ืนสูง ช้นั ล่างเตม็ ไปดว้ ยอปุ กรณ์การเกษตรท่ีเกิดจากภมู ิปัญญาของท่าน
ท้งั สิ้น ซ่ึงมีไวใ้ ชง้ านเฉพาะตนเอง และจาหน่ายจ่ายแจกแก่ชาวบา้ นทว่ั ไป ส่ิงประดิษฐ์ที่เกิดจาก
ภูมิปัญญาของท่านมีดงั น้ี
๑.๑ กระเด่ืองสีขา้ ว นายเถ่ือนประดิษฐ์ข้ึนท้งั แบบใชแ้ รงมือและแรงเทา้ โยกเพอ่ื ให้
กระเด่ืองหมุน กระเด่ืองสีขา้ วมีชิ้นส่วนสาคญั ๓ ชิ้น คอื ชิ้นล่างติดอยกู่ บั ที่ มีชิ้นบนหมนุ บด
ขา้ วเปลือกใหเ้ ป็นขา้ วสาร และชิ้นคนั โยกใชส้ าหรับมือหรือเทา้ โยกใหช้ ิ้นบนหมุนบดขา้ วเปลือก
๑.๒ ครกและสากสาหรับตาขา้ ว เป็นเคร่ืองมือใชแ้ รงคนในการตาขา้ วเปลือกใหเ้ ป็น
ขา้ วสาร
๑.๓ ครกบดขา้ ว ใชส้ าหรับบดขา้ วสารใหล้ ะเอียดเป็นแป้งเพื่อแปรรูปนาไปทาขนม
ต่าง ๆ เช่น ขนมจีน เป็นตน้
๑๕๕
๑.๔ แสก หรือสาแหรก อปุ กรณ์สาหรับใชข้ นขา้ วเปลือกที่เกี่ยวมดั เป็นเลียงแลว้ นา
ใส่แสกแลว้ หาบจากทุง่ มาเขา้ ฉางท่ีบา้ น สาแหรกของนายเถื่อนทาจากหวายหินและหวายเลก็ พร้อม
คนั หาบซ่ึงประดิษฐ์ประดอยอยา่ งงดงาม
๑.๕ กระดง้ มอญ เป็นดง้ ขนาดใหญ่สานดว้ ยไมไ้ ผย่ กขอบ ใชส้ าหรับตากขา้ วเปลือก
ใหแ้ หง้ ก่อนท่ีจะนาไปสีดว้ ยกระเด่ืองสีขา้ ว ทาจากตอกไมไ้ ผ่ ทา่ นสานเป็นลายสองหรือลายสาม
บางชิ้นสานเป็นลายบองหยอง (ลายบองหยองเป็นศิลปการสานมีหลกั สาคญั วา่ ยกสองตอก กดสาม
ตอก)
๑.๖ กระดง้ ฝัด ใชส้ าหรับฝัดขา้ วเมด็ ลีบออกใหเ้ หลือเฉพาะเมด็ ดี ๆ ทาจากไมไ้ ผย่ ก
ขอบ ทา่ นจกั สานเป็นลายนกแกว้
นายเถื่อน ขอบขา นอกจากมีภมู ิปัญญาดา้ นการเกษตรกรรมแลว้ ทา่ นยงั เป็นนายหนงั ตะลุง ที่
มีศิษยม์ าก นอกจากน้ีท่านยงั เป็นศนู ยก์ ลางการดารงชีวิตของชาวบา้ นแทบทุกเร่ือง โดยเฉพาะเร่ืองยา
สมนุ ไพรสาหรับช่วยเหลือชาวบา้ นในยามเจ็บไขไ้ ดป้ ่ วย ที่บา้ นของทา่ นก่อกองไฟไวไ้ ม่ขาด ไม่ดบั
ตลอดเวลา บา้ นใกลเ้ รือนเคยี งเม่ือจะหุงตม้ อาหารจะใหล้ ูก-หลานมาเอาไฟที่บา้ นนายเถื่อนทกุ ราย
ตลอดถึงอปุ กรณ์เคร่ืองใชใ้ นครัวเรือนทุกชนิดที่ใหห้ ยบิ ยืมไปใชไ้ ด้ บริเวณหนา้ บา้ นเป็นลานใหญ่
ใชเ้ ป็นท่ีว่ิงเล่นของเดก็ ๆ ในหม่บู า้ น ตอนเยน็ ที่หนา้ บา้ นของท่านจึงมีเด็ก ๆ วิ่งเลน่ อยมู่ าก
ในยคุ ปัจจุบนั มีภูมิปัญญาทอ้ งถ่ินเกิดข้นึ หลากหลาย กระจายไปทวั่ ท้งั ๓ ตาบล ยกตวั อยา่ ง
ไดแ้ ก่
๒ นายจานงค์ องอาจ ( ลุงนงค์ )
ภูมิปัญญาดา้ น ช่างตีเหล็ก ช่างจกั รสาน ทาเคร่ืองมือจบั ปลา เช่น ขอ้ ง เจย้ และกระบวย
ตกั น้า ไมต้ ราด(กวาด)
ประวตั ิส่วนตวั วนั /เดือน/ปี เกิด -/-/๒๔๙๑ อายุ ๖๙ ปี การศึกษา ประถมศึกษา ๔
๑๕๖
ที่อยปู่ ัจจุบนั เลขที่ ๑๒๘ หม่ทู ี่ ๗ ตาบล ชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั
นครศรีธรรมราช รหสั ไปรษณีย์ ๘๐๒๕๐ โทรศพั ท์ ๐๘๙-๙๗๒๖๑๓๒
ไดร้ ับความรู้โดยวธิ ีการ
-การตีเหลก็ ไดร้ ับความรู้โดยการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ โดยใชร้ ะยะเวลาในการ
ตีเหลก็ มา ๒๓ ปี จนถึงปัจจุบนั
-ทาเครื่องจกั สาน เช่น โดยการศึกษาดว้ ยตนเองโดยการลองผิดลองถูกในการนา
ความรู้มาในการทา
๓ นายประภา ทิพย์ (ลุงภา )
ภมู ิปัญญาดา้ น ทางพธิ ีกรทางศาสนา
ประวตั ิส่วนตวั เกิด ๑ มกราคม ๒๔๘๘ อายุ ๗๑ ปี การศึกษา มธั ยมศึกษาปี ที่
๓
ที่อยปู่ ัจจุบนั เลขท่ี ๖๖ หม่ทู ี่ ๑๔ ตาบล ชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั
นครศรีธรรมราช รหสั ไปรษณีย์ ๘๐๒๕๐ โทรศพั ท์ ๐๘๑-๐๘๘๔๒๘๒
ไดร้ ับความรู้โดยวิธีการ
-สืบทอดมาจากการแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง
-การอบรม
ผลงานที่ไดร้ ับการยกยอ่ ง
-รางวลั เชิดชูเกียรติจากกรมศาสนา
( ขอ้ มูล ณ วนั ที่10/11/59 )
๔ นายปรีดา สุวันทวัฒน์ ( ลุงแดง )
๑๕๗
ภมู ิปัญญาดา้ น บีบคลายเส้น โดยการใชค้ าถาและน้ามนั ท่ียงั ไมใ่ ช้
ประวตั ิส่วนตวั วนั /เดือน/ปี เกิด -/-/2480 อายุ 79 ปี การศึกษา ประถมศึกษา 4
ท่ีอยปู่ ัจจุบนั เลขที่ 20 หมทู่ ี่ 7 ตาบล ชา้ งกลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช
รหสั ไปรษณีย์ 80250 โทรศพั ท์ 089-5904344
ไดร้ ับความรู้โดยวิธีการ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ
(ขอ้ มลู วนั ท่ี 10/11/59)
๑๕๘
บทท่ี ๗. ประเพณีวฒั นธรรม
๗.๑ ประเพณีการตีผงึ้
ในอดีตไม่เกิน ๘๐ ปี ที่ผา่ นมา พ้นื ที่ป่ าในอาเภอชา้ งกลางทกุ หนทุกแห่งเตม็ ไปดว้ ย
ทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายมากมายชนิด โดยเฉพาะแถบเชิงเขาหลวง เขาธง เขาเหมน เขา
ขนั หมาก มีของป่ านานาชนิด มีไมย้ างใหเ้ จาะน้ามนั ยาง ไมเ้ น้ือแขง็ เช่นไมต้ ะเคียน ไมห้ ลมุ พอ ให้
ตดั ฟันสร้างบา้ นและสร้างเรือ มีหวายที่ใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ุกชนิดเช่นหวายพวน หวายพน หวายเลก็
หวายลิง หวายน้า ฯลฯ และทุกปี ระหวา่ งเดือนมกราคม – เมษายน จะมีผ้งึ หลวงเขา้ ทารังแต่ละตน้ นบั
ไดต้ ้งั แต่ ๕๐ ลงั ถึง ๒๐๐ รัง รัฐเขา้ ควบคมุ อยู่ ๒ อยา่ งที่ใครกต็ ามเม่ือจะเขา้ เก็บผลประโยชนจ์ ากป่ า
ตอ้ งเสียค่าภาคหลวง คือการเจาะน้ามนั ยางกบั การจบั ผ้งึ ถา้ มีหลายรายกต็ อ้ งทาการประมูลแข่งขนั กนั
เหมือนกบั การประมลู เก็บรังนกนางแอ่น
ก่อนการเขา้ ประมูล จะมีการสารวจอยา่ งละเอียดวา่ ในป่ าไหน มีตน้ ไมอ้ ะไรที่ผ้งึ เขา้ ทารัง แต่
ละตน้ มีกี่รัง และเมื่อประมลู ไดแ้ ลว้ ตอ้ งมีการดาเนินงานตามข้นั ตอน และถือปฏิบตั ิกนั มาจนเป็น
ประเพณีที่สาคญั คือ
๑.ข้นั เตรียมการ คอื เตรียมวสั ดุท่ีใชใ้ นการตีผ้ึง อนั ไดแ้ ก่
- สายครู(สายโคร๊ะหรือครุ) ทาจากหวายเพื่อใชโ้ ยงรังผ้ึงและหวั น้าผ้งึ ลงมา
จากรังสู่พ้นื ดิน สายครูน้ีตอ้ งมีความยาว ๒ เทา่ ของตน้ ไมท้ ี่ผ้งึ ทารัง
- มอ็ ง คอื คบเพลิงที่ทาจากไมล้ งั ตงั ชา้ ง(คาวา่ ลงั ตงั เพ้ยี นมาจาก “ตะรังตงั ”
ภาษามลายู มีหลายชนิดเช่นลงั ตงั ชา้ ง ลงั ตงั กวาง ลงั ตงั ไก่) โดยตดั จากตน้ แบง่ เป็นท่อน ๆ ละ ๑
เมตร ทุบให้แตกแยกเป็นริ้ว ผ่งึ แดดใหแ้ หง้ สนิท มดั ติดกนั เป็นฟ่ อนขนาดพอจบั ได้ ไมล้ งั ตงั ชา้ ง เป็น
ไมย้ นื ตน้ ขนาดยอ่ ม มีพษิ ท้งั ที่ตน้ และใบ หากโดนตรงไหนของร่างกายจะปวดแสบปวดร้อน แต่ถา้
หากแหง้ แลว้ พิษจะเจือจางลงไป เป็นไมม้ ีเน้ือเหนียว ติดไฟง่าย มีประกายไฟดี มีควนั มาก ไมด่ บั ง่าย ๆ
เหมาะสาหรับใชไ้ ล่ตวั ผ้ึงใหบ้ ินออกจากรัง
- ไมต้ รี คือไมท้ ี่ใชก้ วาดตวั ผ้ึงและแซะรังผ้งึ ทาดว้ ยไมใ้ ผต่ ง ยาวประมาณ
๑ ศอก ผา่ เป็นซีกขนาด ๑.๕ – ๑ นิ้ว เหลาดา้ นปลายใหเ้ ป็นคมคลา้ ยมีด
- ครุ หรือ โคร๊ะ ก็เรียก คือภาชนะสาหรับใส่รังผ้ึง ทาดว้ ยหนงั ววั หรือหนงั
ควาย โดยตดั เยบ็ ใหส้ ่วนปากกวา้ งประมาณ ๕๐ X ๖๐ ซม. ส่วนกน้ เยบ็ ใหล้ ีบเป็นเน้ือเดียวกนั ใส่น้า
ไดไ้ มร่ ่ัว ช่วงหลงั ใชว้ สั ดุอ่ืนที่มีคุณภาพเทียมหนงั
- ลกู ทอย คอื ไมไ้ ผต่ งตดั ติดขอ้ ที่ดา้ นโคน เหลาแหลมท่ีดา้ นปลาย ขนาดโต
๑ นิ้ว ยาว ๑ คบื ใชส้ าหรับตอกตน้ ไมท้ ่ีผ้งึ ทารัง เพื่อใชเ้ ป็นที่วางเทา้ ปี นข้นึ โดยเอาไมแ้ ม่ร่องมาผกู
ตรึงกบั ลูกทอยแต่ละข้นั จนกวา่ จะถึงรังผ้งึ
๑๕๙
- ไมต้ อกลูกทอย คอื ไมฆ้ อ้ นสาหรับตีตอกลกู ทอยทาดว้ ยไมเ้ น้ือแขง็ เป็นรูป
สี่เหลี่ยมท่ีดา้ นใชต้ ีลูกทอย ส่วนดา้ นปลายถากใหก้ ลมเพอ่ื สะดวกแก่การจบั
- แมร่ ่อง คือลวดไมม้ ีความยาวตามท่ีหาได้ ใชส้ าหรับผกู ตรึงกบั ลูกทอย
โดยใชห้ วายหรือเถาวลั ยจ์ กั ใหเ้ ป็นริ้วเลก็ ๆ ผกู ใหต้ ่อเนื่องเป็นอนั เดียวกนั ต้งั แต่ลกู ทอยลกู แรกจนถึง
ลกู สุดทา้ ย ปลายเชือกบนสุดตรึงกบั คาคบใหแ้ น่น
๒.ข้นั ดาเนินงาน การจบั ผ้ึงทกุ ข้นั ตอนเป็นพธิ ีการที่มีความเชื่อบวกศรัทธายดึ ถือ
สืบเนื่องกนั ตอ่ ๆ มา แตถ่ ือเป็นประเพณีอยา่ งสาคญั คือ หา้ มตีผ้ึงในวนั พระและในรอบหน่ึงปี มีฤดูตี
ผ้ึงได้ ๒ เดือน คือ เดือน ๕ เป็นช่วงที่น้าผ้ึงมีรสหวานเป็นพเิ ศษ และจะตีอีกคร้ังในเดือน ๙ ซ่ึงการมี
ขอ้ ปฏิบตั ิและระยะเวลาตีผ้ึงเช่นน้ี ทาใหผ้ ้งึ ไดม้ ีโอกาสไดข้ ยายพนั ธุ์
- เริ่มแตก่ ารตอกลกู ทอยอนั แรกสาหรับใชย้ ดึ ยนั แม่ร่อง ก็ใชค้ าถาวา่ “ลึก”
พร้อมกบั ตอกไมท้ อยลงบนลูกทอย ๓ คร้ัง ลูกทอยตวั แรกน้ีไมผ่ กู กบั แม่ร่อง แตเ่ มื่อจบั ผ้ึงเสร็จแลว้
ใหถ้ อดออก เพราะถือวา่ สาคญั ยงิ่ บางทา่ นร่ายคาถาเวลาตอกลงวา่ “นโมพุทธายะ” โดยแยกพยางคว์ า่
นะ – ผกู , โน- มดั , พทุ - รัด, ธา- รึง, ยะ- ตรึง แขง็ อยู่
- ตอกลกู ทอยตวั ถดั ไปมีระยะห่างที่กา้ วยา่ งเหยยี บถึงโดยใชไ้ มแ้ มร่ ่องผกู ทุก
ข้นั หากทาไมเ่ สร็จในวนั เดียวก็เหลือไวบ้ างส่วนท่ีไมส่ ามารถปี นข้ึนไปได้ เพื่อป้องกนั คนขโมย
- ในคืนข้นึ ตีผ้ึงจะมีการทาพธิ ีต้งั เคร่ืองสงั เวยเทวดาท่ีโคนตน้ ไมผ้ ้ึงทารัง
บนบานเทพารักษ์ เจา้ ป่ าเจา้ เขา ซ่ึงเป็นท่ีนบั ถือของคนในถิ่นน้นั วา่ ในการจบั ผ้งึ คร้ังน้ีขออยา่ ใหม้ ี
อปุ สรรคใด ๆ และที่สาคญั ท่ีสุดเนน้ ความสามคั คใี นทีมผรู้ ่วมงาน หา้ มพูดจาเหลวไหลไร้สาระ
ซ่ือสัตยต์ ่อกนั เป็นสาคญั
- บุคคลสาคญั ในการข้ึนตน้ ไมต้ ีผ้ึง เรียกวา่ “นายหมฺรูน” มีความหาญกลา้
สามารถปี นป่ าย ไมก่ ลวั ความสูง มีใจเด็ดเด่ียวเพราะตอ้ งทางานคนเดียวบนตน้ ไมใ้ นยามดึก ท้งั
สามารถในการตีผ้งึ และขบั เพลงกลอ่ มนางผ้ึง ที่เรียกวา่ “ชา้ ผ้ึง” ดว้ ย เท่าที่ทราบกนั ก็มีนายภู่ โชติ
นายกระจ่าง สันตจิต นายประสิทธ์ิ ชูยงค์ ฯลฯ
- การข้ึนไปตีผ้งึ อปุ กรณ์ติดตวั ก็มี “มอ๊ ง”คบเพลิงไลต่ วั ผ้ึง “ไมต้ รี” สาหรับ
กวาดตวั ผ้ึงและแซะรัง สายโคระหรือสายครูสาหรับโยงท่ีผกู ติดกบั ตวั โคระเพ่ือโยงรังผ้งึ ลงมาใหผ้ อู้ ยู่
ดา้ นลา่ งดาเนินการ เมื่อผูต้ ีผ้ึงข้นึ ไปถึงรังแลว้ กใ็ ชอ้ ปุ กรณ์ดงั กล่าวตามหนา้ ท่ีของมนั จนกวา่ จะแลว้
เสร็จในคืนน้นั
- ในระหวา่ งการจบั ผ้ึง มีการกลอ่ มเพลงชา้ นางผ้ึง ในยามค่าคนื สงดั เงียบ
บนภูเขาป่ ากวา้ งกลางดึก หากใครไดย้ นิ เพลงกล่อมผ้ึงจากนายหมฺรูนแลว้ จะเกิดวิเวก วงั เวง ได้
อรรถรสท้งั สาเนียงและภาษาเป็นอยา่ งยง่ิ ยกตวั อยา่ งเพลงกล่อมนางผ้ึงท่ีวา่
“ส่วนตีนนอ้ งเหยยี บราก(เหอ้ ) ส่วนปากนอ้ งร้องขอทาง
๑๖๐
นายตูอยปู่ าง ขอเบิกลอ่ ง เบิกทางใหน้ อ้ งจร(เหอ้ )”
- ท่ีโคนตน้ ไมร้ ังผ้ึง จะมีผทู้ าหนา้ ท่ีคอยรับโคร๊ะใส่รวงผ้ึง น้าผ้ึง ที่นายหมฺ
รูนโยงลงมา มีที่พกั ต้งั อยดู่ า้ นเหนือลม ปิ ดแสงไฟท้งั หมด เมื่อรับโคร๊ะมาแลว้ กจ็ ดั การแยกค้นั น้าผ้งึ
ใส่ขวด แยกรังลกู ผ้งึ ออกเป็นส่วน ๆ พวกที่อยดู่ า้ นล่างน้ีเขาหา้ มพดู ทะล่ึง หรือพดู จาไร้สาระเด็ดขาด
เพราะมีความเชื่อกนั วา่ อาจถูกเจา้ เขาเจา้ ป่ าใหโ้ ทษได้ บางอยา่ งเห็นเป็นภาพลวงตา เช่นวา่ ขณะ
นายหมฺรูนโยงรังผ้งึ ลงมา จะเห็นเป็นหมีขนาดใหญ่เขา้ รับ หากมีใครพดู ข้นึ วา่ “หมี” คนื น้นั ท้งั คณะท้งั
บนตน้ และท่ีอยใู่ ตต้ น้ จะถูกผ้ึงรุมต่อยตอ้ งผละจากหนา้ ที่ ทางานไมไ่ ด้ โดยเฉพาะนายหมฺรูนถูกผ้ึงรุม
ตอ่ ยขนาดหนกั
๓. การตีผ้งึ ตามที่กลา่ วขา้ งตน้ เป็นการจบั ผ้งึ บนตน้ ไม้ แต่ยงั มีผ้งึ หลวงบางกลมุ่ ไป
ลงทารังท่ีเพงิ ใตห้ นา้ ผาสูงชนั กรรมวธิ ีการตีผ้ึงพวกน้ีกแ็ ตกต่างในการข้ึนไปใหถ้ ึงรัง ที่อาเภอชา้ ง
กลางมีหนา้ ผาเขาสงั เกียด ซ่ึงเป็นหนา้ ผาที่มีส่วนเวา้ เขา้ เป็นเพิง ผ้งึ เขา้ ทารังในส่วนเวา้ น้ี เขาใชบ้ นั ได
หวายโยงลงไปจากสันหนา้ ผา มีลาดบั ข้นั ตอนการดาเนินงานดงั น้ี
- จดั ทาบนั ไดหวาย ท่ีตวั บนั ไดใชห้ วายขนาดใหญ่ท้งั ลา ส่วนข้นั บนั ไดใช้
หวายผา่ ซีกเอามาประกบผกู ติดกนั แน่นระยะห่างเทา้ ยา่ งเหยยี บถึง ส่วนตรงกลางบนั ไดใชห้ วายท้งั ลา
อีกเสน้ หน่ึงผกู ติดไว้ เวลาปี นข้ึนไป หรือโยงลงมา นายหมฺรูนจะเหยยี บท่ีข้นั บนั ไดหวายโดยวางเทา้
ตรงระหวา่ งหวาย ๓ เส้นน้ี
- เม่ือลงตีผ้งึ เขาจะหยอ่ นบนั ไดหวายลงมา โดยผกู บนั ไดดา้ นหน่ึงไวบ้ นสนั
หนา้ ผา นายหมฺรูนท่ีลงมาตีผ้ึงสามารถทาได้ ๒ แบบ คอื แบบใชไ้ มต้ า่ งมือ ต่อกบั คบเพลิงรมควนั
และประกายไฟไล่ผ้งึ ไมต้ รีแซะรังผ้ึง ไมค้ ้ายนั โคร๊ะรองรับน้าผ้งึ หรืออีกแบบหน่ึง ใชเ้ ชือกโอบ
บนั ไดดึงเขา้ ใกลร้ ังผ้งึ โดยไมต่ อ้ งใชไ้ มต้ ่างมือ แตใ่ ชเ้ ชือกผกู ไวท้ ี่หนา้ ผาดา้ นหน่ึง อีกดา้ นหน่ึงลาก
โอบบนั ไดดึงเขา้ ชิดเพิงหนา้ ผา ผกู ตรึงไวเ้ ช่นกนั วธิ ีน้ีเรียกวา่ “ป้านเช้ือก” เชือกเส้นที่ใชโ้ อบบนั ได
น้ีเรียก “สายป้าน” ส่วนการจบั หรือตีผ้งึ ก็ใชว้ ธิ ีเดียวกนั เพียงแตต่ วั โคร๊ะและสายโยงรังผ้ึง ใชไ้ มย้ นั
ไวท้ ่ีหนา้ ผา อีกดา้ นหน่ึงไวท้ ี่บนั ได แลว้ สายโยงโคร๊ะหยอ่ นลงเบ้ืองล่างเช่นกนั
การจบั ผ้งึ ที่หนา้ ผาเขาสังเกียดน้ีเคยมีอุบตั ิเหตุร้ายแรง คือนายภู่ โชติ ชาวบา้ นคลองงา หมู่ ๒
ตาบลชา้ งกลาง เป็นนายหมฺรูน เวลาข้นึ ตีผ้ึงทุกคร้ัง แกจะเค้ยี วหมากแลว้ อมใวใ้ นกระพงุ้ แกม้ สองขา้ ง
ไวเ้ ตม็ พอถกู ผ้ึงต่อยเขาจะพ่นหมากซ่ึงเสกมนตแ์ ลว้ ออกมาดบั พิษผ้งึ คร้ังหน่ึงขณะโหนบนั ไดลงจบั
ผ้ึงในเพิงหนา้ ผาสูงชนั ท่ีเขาสังเกียดแห่งน้ี นายกระจ่าง สนั ตจิตเล่าใหฟ้ ังวา่ แกเกิดพลาดหลน่ ตกลง
มาติดก่ิงตน้ ทุเรียนป่ า ใคร ๆ คิดวา่ คงไมร่ อด ทกุ คนตา่ งกรูเขา้ มาดู เห็นแกนอนเค้ียวหมาก และพน่
หมากไปตามลาตวั ตนเอง เป็นที่อศั จรรยอ์ ยา่ งยง่ิ ที่รอดตายไดอ้ ยา่ งปาฏิหาริย์
การทารังของผ้งึ หลวง
๑๖๑
ตวั อยา่ งการตีผ้งึ ใตเ้ พิงผา
ความรู้เก่ียวกบั เรื่องตีผ้งึ ของไทย นอกจากในอาเภอชา้ งกลางแลว้ ยงั อาจหาอ่านไดจ้ าก
หนงั สือวชิรญาณวเิ ศษ ร.ศ.๑๐๙ ถึง ร.ศ.๑๑๐ (พ.ศ.๒๔๓๓-๒๔๓๔) ซ่ึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกมุ ารี ไดม้ ีพระราชดาริให้จดั พิมพห์ นงั สือเก่าหายาก เพือ่ สืบอายหุ นงั สือทรงคุณค่าและ
เร่ืองราวตา่ ง ๆ ของชาวสยาม กรมศิลปากร พมิ พเ์ ผยแพร่ เม่ือพ.ศ.๒๕๕๑
๑๖๒
๗.๒ ประเพณเี ดือนสิบ
ชาวอาเภอชา้ งกลางทวั่ ทุกพ้ืนท่ี เมื่อถึงเทศกาล “สารท” เดือนสิบก็จะมีการทาบุญให้
ญาติ บรรพบุรุษผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ ในวนั สิ้นเดือนสิบ คือแรม ๑๕ ค่า เช่นเดียวกบั พ้นื ท่ีอ่ืน ๆ ในภาคใต้
โดยเฉพาะที่วดั มะนาวหวานจะมีการยก “หมฺรับ” แห่จาด เตน้ ตวั เปรตหรือที่เด็ก ๆ เรียกกนั วา่ “ทอง
สูง”
นี่ไงเปรตท่ีวดั มะนาวหวาน
การจดั “หมฺรับ”
๑๖๓
การทาบุญ “สารท” มีตน้ กาเนิดมาจากธรรมเนียมพราหมณ์ในอินเดีย ซ่ึงมีมาก่อนพุทธกาล
คือเม่ือมารดา บิดา หรือป่ ูยา่ ตายายตายไป ก็ต้งั พิธีทาบญุ “ศราทธ์” ให้ โดยเอาช่วงวนั สิ้นเดือนสิบ
ในพธิ ีจะมีพราหมณ์เขา้ รับเล้ียง รับแจกของไทยทาน เราไดร้ ู้เร่ืองน้ีดีจากพทุ ธประวตั ิคร้ังมชั ฌิมโพธิ
กาลกล่าวไวว้ า่ พระเจา้ พิมพสิ าร ราชาแห่งแควน้ มคธทรงทาพิธีน้ีตามธรรมเนียมพราหมณ์มาตลอด
แตเ่ ป็นการทาแบบเดิมเหมือนเซ่นไหว้ เซ่นผบี รรพบรุ ุษป่ ู ยา่ ตา ยาย ไม่มีการอุทิศ ไมม่ ีการ
อนุโมทนา เป็นเพียงทาทานกบั พราหมณ์เฉย ๆ ตอ่ มาภายหลงั เมื่อไดห้ นั มานบั ถือพระพุทธศาสนา
แลว้ กย็ งั ทาพธิ ีแบบพราหมณ์ แต่นิมนตพ์ ระพทุ ธเจา้ พร้อมภิกษสุ งฆม์ ารับภตั ตาหาร ถวายไทยทาน
แทนการเชิญพราหมณ์
พระพุทธเจา้ ทรงอนุโมทนาดว้ ยถอ้ ยคาวา่ “อทาสิเม อกาสิเม......” ซ่ึงหมายความวา่ ท่าน
ไดใ้ หอ้ ปุ การะแลว้ แก่เรา ท่านไดท้ าแลว้ แก่เรา “ญาติมิตฺตา สขา จเม” ทา่ นเป็นญาติ เป็นมิตร เป็น
สาขาของเรา การใหท้ กั ษิณาทานเพ่ือเปตชน ไมพ่ งึ ทาการร้องไห้ เศร้าโศก ราพนั ถึง เพราะการ
อยา่ งน้นั ไม่เป็นไปเพ่อื ประโยชนแ์ ก่เปตชน
แมป้ ัจจุบนั เม่ือญาติโยมทาบุญเพอื่ อทุ ิศแก่ผตู้ าย พระทา่ นก็ยงั ใชค้ าถาน้ีวา่
“ อทาสิเม อกาสิเม ญาติมิตฺตา สขา จ เปตาน ทกฺขิณ ทชฺชา ปพุ ฺเพ กตมนุสฺสร”
ซ่ึงก็แปลไดค้ วามตามที่กล่าวแลว้
พระพุทธเจา้ ยงั ทรงอนุโมทนาต่อไปวา่ “ทกั ขณิ าท่ีท่านท้งั หลายบริจาค ทาใหต้ ้งั ไวด้ ีแลว้
ในสงฆ์ ยอ่ มสาเร็จแก่เปตชนน้นั โดยฐานะสิ้นกาลนาน ท่านท้งั หลายไดแ้ สดงญาติธรรมดว้ ย ไดท้ า
บชู าเปตชนใหย้ ง่ิ ดว้ ย ไดเ้ พิ่มกาลงั ใหแ้ ก่ภิกษุท้งั หลายดว้ ย เป็นอนั ไดบ้ ญุ ไม่นอ้ ยเลย”
ตอ่ มาพระอรรถกถาจารยไ์ ดอ้ ธิบายขยายความเพม่ิ เติมตรงน้ีวา่ ทานที่จะใหผ้ ลแก่เปตชนผู้
ลว่ งลบั จะตอ้ งประกอบดว้ ยองค์ ๓ คือ
๑.ไทยทานท่ีจะนามาเป็นทานตอ้ งกลา่ วอทุ ิศ
๒.ทกั ขิเณยบุคคล คือคนรับทาน ตอ้ งเป็นผบู้ ริสุทธ์ิ
๓.ตอ้ งไดร้ ับการอนุโมทนาจากทกั ขิเณยบคุ คลคือผรู้ ับทานน้นั
เร่ืองน้ีคงมีเคา้ มาจากพระไตรปิ ฎก เร่ืองเปตวตั ถุ สงั เขปความวา่ “ มีพรานเน้ือคนหน่ึงเมื่อไป
ไล่เน้ือกลบั มาถึงบา้ น กแ็ จกเน้ือใหแ้ ก่เดก็ ๆ ท้งั ปวง วนั หน่ึงพรานไปไล่เน้ือตามปกติแต่ไมไ่ ดเ้ น้ือ
จึงเก็บดอกตะแบกหรือดอกราชพฤกษก์ ็วา่ ประดบั กายและหาบมาเป็นอนั มาก คร้ันเม่ือมาถึงประตู
บา้ น เด็ก ๆ ท้งั ปวงกม็ าขอเน้ือตามเคย พรานจึงแจกดอกตะแบกใหค้ นละช่อ คร้ันพรานน้นั ตายไป
เกิดในเปตะนิกาย มีดอกตะแบกเป็นเทริดประดบั ศีรษะเดินไปในน้าหวงั จะไปหาอาหารที่บา้ นเดิม
ในเวลาน้นั โกฬิยะอามาตยข์ องพระเจา้ พิมพิสารออกไปชาระความผรู้ ้ายตามหวั เมือง ลอ่ งเรือมาเห็น
เปรตน้นั ไตถ่ ามไดค้ วามแลว้ กม็ ีความกรุณา จึงวา่ ขา้ วสัตตขู องเรามี ทาไฉนท่านจึงจะได้ เปรตน้นั
ตอบวา่ ถา้ ในเรือน้ีมีอุบาสกต้งั อยใู่ นสรณะ ทา่ นจงให้ขา้ วสตั ตูน้นั แก่อบุ าสกแลว้ อุทิศส่วนกุศลน้นั
๑๖๔
ใหแ้ ก่เรา อามาตยน์ ้นั ก็ทาตาม เปรตไดอ้ นุโมทนาต้งั อยูใ่ นความสุขแลว้ จึงส่ังวา่ ใหท้ ่านท้งั หลาย
กรุณาแก่เปตะนิกาย เมื่อทากศุ ลสิ่งใด ๆ แลว้ ใหอ้ ุทิศส่วนบญุ ให้ คร้ันเม่ืออามาตยก์ ลบั ถึงบา้ น
นิมนตพ์ ระพทุ ธเจา้ กบั พระสงฆบ์ ริษทั มาถวายทาน แลว้ กราบทูลเร่ืองเปรตน้นั ใหท้ รงทราบ
พระองคจ์ ึงทรงอธิษฐานใหม้ หาชนประชุมพร้อมกนั แลว้ แสดงเปตะนิกายใหป้ รากฎดงั กล่าวแลว้ ”
ประเพณีเดือนสิบของชาวอาเภอชา้ งกลางมีการจดั เหมือนกบั ชาวใตท้ ว่ั ไป คอื จะมีขนม ๕
อยา่ งสาหรับทาบญุ
ขนม ๕ อย่าง
เทศกาลสารทเดือนสิบน้นั เริ่มต้งั แต่วนั แรม ๑ ค่า เดือนสิบ ซ่ึงถือวา่ เป็นวนั ท่ีเปรตไดร้ ับการ
ปลดปลอ่ ยใหม้ าพบญาติ การทาบุญกเ็ ริ่มทาไดแ้ ลว้ ต้งั แต่แรม ๑ ค่า เรียกวา่ บญุ ตอ้ นรับตายาย พอถึง
วนั แรม ๑๕ ค่า ซ่ึงเปรตจะตอ้ งถูกเรียกตวั กลบั มีเวลามาพบญาติแค่ ๑๕ วนั แต่ญาติที่อยไู่ กลตาม
เมืองต่าง ๆ มีกรุงเทพ ฯ เป็นตน้ จะตอ้ งกลบั บา้ น การทาบญุ ให้ญาติจะจา้ งวานใหค้ นอื่นทาแทน
ไม่ได้ เพราะเปรตจะตอ้ งไดร้ ับการอุทิศจากญาติและตอ้ งการพบญาติเทา่ น้นั
เพราะฉะน้นั วนั แรม ๑๓ ค่าก็เริ่มเป็นวนั สาคญั คือจบั จ่ายซ้ือของเตรียมการทาบุญ เรื่องของ
ที่จะทาทานอุทิศใหแ้ ก่เปตชนก็เน่ืองมาแต่พิธีพราหมณ์เช่นกนั อินเดียโบราณเขาจะเตรียมขา้ วยาคู
(ขา้ วใหม่) และขา้ วทิพย์ (อาหารกวนจากชญั พืชหลายอยา่ ง) ไวเ้ ป็นทานแจกพวกพราหมณ์ เหตุที่ตอ้ ง
ใหท้ านเฉพาะพราหมณ์ เพราะชาวอินเดียถือวา่ พราหมณ์เป็นตวั แทนนายหนา้ ที่จะนาไปพดู กบั พระ
เจา้ คอื พระพรหม พบพระเจา้ เป็นตน้ แมก้ ระทงั่ วา่ มีลกู สาวซ่ึงยงั มิไดม้ ีสามี เขาจะเชิญพราหมณ์มา
นอนดว้ ยกบั ลูกสาวเสียหน่ึงคนื ลูกสาวท่ีเสียตวั แก่พราหมณ์น้นั ถือวา่ ไดร้ ับความสวสั ดิมงคลอยา่ งยง่ิ
แมแ้ ตง่ งานกบั ชายใด ชายน้นั ก็ไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นผมู้ ีหนา้ มีตา ไดเ้ มียดี เมียท่ีเคยเสียตวั ใหก้ บั
พราหมณ์ตวั แทนพระพรหม แตก่ ่อนน้นั พระพหรมไม่มีเพศ ต่อมาพราหมณ์เห็นวา่ หากเป็นอยา่ งน้ี
ตอ่ ไปจะไม่มีใครยาเกรง ไม่มีเดชไม่มีตบะ ภายหลงั พวกพราหมณ์จึงไดก้ าหนดใหพ้ ระพรหมเป็นเพศ
ชาย มาถึงตอนน้ีเห็นไกช้ ดั วา่ มนุษยเ์ ป็นผสู้ ร้างพระเจา้ ไม่ใช่พระเจา้ สร้างมนุษยด์ งั แต่ก่อน กลบั
เป็นเช่นน้ีกม็ ีในโลกอนั ประหลาดน้ี
สาหรับชาวใตเ้ รา โดยเฉพาะในพ้ืนท่ีอาเภอชา้ งกลาง เมื่อใกลถ้ ึงวนั สารทกท็ าขนม ๕ อยา่ ง
แต่ก่อนเกือบทกุ บา้ นทากนั เอง แต่เดี๋ยวน้ีหาซ้ือในตลาด เพราะสะดวกกวา่ ขนมพวกน้นั คอื
๑.ขนมพอง เป็นสัญลกั ษณ์แทนเรือแพท่ีบรรพบุรุษใชข้ า้ มหว้ งมหรรณพ
๒.ขนมลา เป็นสัญลกั ษณ์แทนแพรพรรณ เคร่ืองนุ่งห่ม
๓.ขนมบา้ เป็นสญั ลกั ษณ์แทนลกู สะบา้ สาหรับใชเ้ ล่นตอ้ นรับสงกรานต์
๔.ขนมดีซา เป็นสัญลกั ษณ์แทนเงิน แทนเบ้ียสาหรับใชส้ อย
๕.ขนมกง (ไข่ปลา) เป็นสญั ลกั ษณ์แทนเครื่องประดบั
ขนม ๕ อยา่ งตามคือภาพเคร่ืองใชส้ อยสาหรับเปรต
๑๖๕
จึงเห็นไดว้ า่ ขนม ๕ อยา่ ง ไม่ใช่ของกินสาหรับเปรต เป็นเพยี งเครื่องใช้ ซ่ึงเป็นหวั ใจของงาน
บญุ ศราทธ์ ต่อจากน้ีจะตอ้ งจดั ซ้ือของสาหรับจดั “หมฺรับ” ซ่ึงมีพืชผกั ผลไมแ้ ละของแหง้ เช่น
ขา้ วสาร ปลาเคม็ กะปิ น้าปลา หอม กระเทียม ฯลฯ เป็นตน้
การจัด “หมฺรับ”
คาวา่ “หมฺรับ” เป็นคาปักษใ์ ตต้ รงกบั คาวา่ “สารับ”ในภาษากลาง ชาวเหนือเรียก“ขนั โตก”
หมายถึงภาชนะที่ใส่กบั ขา้ วคาวหวาน แตก่ ารจดั หมฺรับ เพอื่ ทาบุญศราทธเ์ ดือนสิบ มีการทาที่ยงิ่ ไป
กวา่ การจดั กบั ขา้ วคาวหวาน เพราะมีพธิ ีรีตองและประจงแต่งอยา่ งงดงาม เพ่อื เขา้ ประกวดและเขา้
ขบวนแห่ดว้ ย เรียกวา่ “แห่หมฺรับ”
อาเภอชา้ งกลาง ในละแวกบา้ นจนั ดี คลองงา บา้ นนา มีการจดั หมฺรับคไู่ ปกบั การทาจาด คาวา่
จาดมาจากคาวา่ กระจาด หมายถึงภาชนะสาน ทรงเต้ีย ปากกวา้ ง ชาวจีน ชาวญวนใชเ้ ป็นภาชนะ
ใส่ส่ิงของทาทาน เพ่อื เอาไปทิง้ ทาน เรียกพิธีน้นั วา่ พิธีทิง้ กระจาด แตข่ องชาวอาเภอชา้ งกลางใส่
เคร่ืองทาบุญศราทธ์ จดั เป็ นจาดสวยงามต้งั กระบวนแห่เขา้ วดั มีทองสูง คือตวั เปรต คอยาว ตวั ยาว
มือยาว เดินทา้ ยขบวน ในบางปี มีการประกวดการทาจาด เหมือนกบั ที่ในเมืองนครทา “หมฺรับ”
ประกวดเช่นกนั
ใน หมฺรับ น้นั จดั เฉพาะอาหารหวานคาว แต่ในจาดบรรจุใชข้ องท่ีจาเป็น เช่นขา้ วสาร ของ
แหง้ หอม กะปิ กะเทียม เกลือ ปลาเคม็ พชื ผกั ผลไมต้ ่าง ๆ นอกจากน้ียงั มีไมข้ ดี เขม็ ดา้ ย ธูป
เทียน บางจาดที่แห่เขา้ วดั มะนาวหวาน เคยเห็นใส่แผ่นยางพาราแหง้ ประดบั กม็ ี ถดั มาช้นั นอกสุด
ซ่ึงเป็นหวั ใจของจาด คบื รรจุอาหาร ๕ อยา่ ง บรรจงแต่งอยา่ งงดงาม บนยอดสุดของ หมฺรับ หรือ
จาด สมยั ก่อนทาเป็นกระทงเลก็ ๆ ใส่กบั ขา้ วคาวหวานท่ีพระฉนั ไดท้ นั ที โดยมีกรวยแหลมเหมือนฝา
ชีครอบไว้ แลว้ ปักธูป เทียนและธงสี เรียกส่วนน้ีวา่ ยอดหมฺรับ แตป่ ัจจุบนั ยอดหมฺรับไดเ้ ปลี่ยนเป็น
ธนบตั รแทนธง
ในวนั แรม ๑๕ ค่า เดือนสิบ เรียกวา่ วนั “ยกหมฺรับ” ไปถวายพระ ที่นครปี ๒๕๕๑ มีพธิ ีแห่
หมฺรับวนั ท่ี ๒๘ กนั ยายน หมฺรับที่แห่ในวนั แรม ๑๕ ค่าน้ีเป็นหมฺรับ ที่บรรจุอาหารแหง้ ของใช้
พระทา่ นจะไดไ้ ปโดยการหยิบสลาก ท่านจะไมร่ ับประเคน ดงั น้นั เม่ือหยบิ สลากไดแ้ ลว้ มคั ทายกจะ
นาไปเก็บไวแ้ ลว้ นามาประกอบเป็นอาหารถวายภายหลงั จึงไมถ่ ือวา่ พระภิกษสุ ะสมอาหารอนั ตอ้ ง
อาบตั ินิสสัคคีย์
นอกจากยก หมฺรับ ในวนั แรม ๑๕ ค่าเดือนสิบแลว้ ในวนั น้นั ยงั มีการนาอาหารคาวหวานไป
ถวายพระดว้ ย เหลือจากพระฉนั กน็ ามาร่วมเล้ียงกนั ระหวา่ งพนี่ อ้ งญาติมิตรท่ีเดินทางมาจากท่ีไกล
ซ่ึงเป็นโอกาสไดพ้ บปะสังสรรคก์ นั ปี ละคร้ัง เป็นการผกู พนั ฉนั ญาติแน่นแฟ้นยงิ่ ข้ึน เพราะฉะน้นั
ช่วงทาบญุ สิ้นเดือนสิบจึงเป็นช่วงเวลาของการรวมญาติเพ่ือแสดงความกตญั ญตู ่อบรรพบรุ ุษ ถือเป็น
ประเพณีท่ีมีคณุ ค่ายงิ่ ของชาวนครศรีธรรมราช
๑๖๖
การต้ังเปรต
การต้งั เปรต คือการบริจาคทานใหแ้ ก่ผตู้ ายท่ีไมม่ ีญาติ หรือมีลกู หลาน แตล่ ูกหลานไมไ่ ดม้ า
ทาบญุ ในโอกาสน้นั จึงมีการต้งั เปรต วธิ ีการง่าย ๆ กค็ อื การนาอาหารหวานคาวใส่กระทง แลว้
นาไปวางใตโ้ คนไม้ หรือตามที่ต่าง ๆ นอกบริเวณวดั คนท่ีผา่ นไป- มารู้วา่ เป็นของเขาต้งั เปรต จึง
ถือเอาไปโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะถือวา่ เป็นบุญ แต่การต้งั เปรตน้ี ถือเป็นเพยี งเซ่นเปรต เซ่นผี
มิไดเ้ ป็นไปตามท่ีพระพทุ ธเจา้ กาหนดไวใ้ นเปตวตั ถุ คือมิไดใ้ หท้ านแก่ผตู้ ้งั อยใู่ นไตรสรณคมน์ มิได้
กล่าวอุทิศ และมิไดม้ ีการอนุโมทนา การต้งั เปรตท่ีถูกตอ้ งตามแบบพทุ ธศาสนาก็คือต้งั เสา หรือศาลา
แลว้ เอาของไปแขวน ไปวางโดยรอบ เอาดา้ ยสายสิญจพ์ นั เสา หรือศาลาโยงไปยงั ท่ีพระ แลว้ กลา่ ว
อทุ ิศ เมื่อพระสวดบงั สุกุลและอนุโมทนาเสร็จแลว้ บรรดาลูกหลาน หรือใคร ๆ กไ็ ดท้ ี่ไม่ใช่ญาติเขา้
แยง่ ชิงส่ิงของที่ต้งั เปรตน้นั เรียกวา่ “ชิงเปรต” ซ่ึงถา้ ใครไดข้ องจากการชิงเปรต ถือวา่ จะไดก้ ศุ ลแรง
บรรพบุรุษจะใหพ้ รเป็นสิริมงคลแก่ผชู้ ิงเปรต
๗.๓ ประเพณสี งกรานต์
เทศกาลสงกรานตร์ ะหวา่ งวนั ท่ี ๑๓ – ๑๔ –๑๕ เมษายนถือวา่ เป็นเทศกาลข้นึ ปี ใหมม่ าแต่
ด้งั เดิม แมจ้ ะถูกยกเลิกไป แต่พอถึงตรุษสงกรานตท์ ีไร ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนชีวิตไดก้ า้ วมาถึงวนั
ปี ใหม่ ยงั ฝังใจคนไทยมิรู้ลืม จึงยดึ ถือเป็นประเพณีของชาติตลอดมา เมื่อถึงวนั สงกรานต์ ชาวบา้ น
ท้งั ในเมืองและชนบท ต่างออกมาร่วมทาบุญและร่วมสนุก คือ
- ตอนเชา้ ตกั บาตร หลงั จากน้นั ทาบญุ อุทิศส่วนกุศลแก่ญาติท่ีตายไปแลว้
- เวลาบา่ ยสรงน้าพระ รดน้าดาหวั ผเู้ ฒ่าผแู้ ก่
- เวลาท่ีเหลือนอกน้ี มกั เป็นการเลน่ สนุกตามประเพณีตา่ ง ๆ โดยเฉพาะพวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ
เช่น เล่นโยนลูกสะบา้ เลน่ ไมห้ ่ึง เล่นชกั เยอ่ และเล่นมอมหนา้ กนั ฯ ล ฯ
สาหรับในตอนรดน้าดาหวั น้นั มีท้งั รดน้าใหแ้ ก่ผหู้ ลกั ผใู้ หญเ่ พ่ือขอพร แลว้ รดน้าให้แก่กนั
เป็นการอวยพรและใหค้ วามเมตตาต่อกนั
สาหรับในอาเภอชา้ งกลางเม่ือถึงเทศกาลสงกรานต์ นอกจากจะมีการทาบุญตามประเพณีแลว้
ในอดีตมีการละเล่นเหมือนกบั ทอ้ งถ่ินอื่น ๆ โดยเฉพาะเร่ืองเลน่ ไฮโลมากที่สุด เลน่ กนั ท้งั ชาย-หญิง
เด็กและผใู้ หญ่ ยดึ แนวป่ าใกลว้ ดั เป็นที่เล่น โดยยดึ เป็นหลกั ประเพณีวา่ ถึงสงกรานตเ์ ป็ นวนั วา่ งเตรียม
สตางคไ์ วเ้ ลน่ ตามที่ยดึ ถือกนั มา เพงิ่ จะเลิกไปเม่ือไมน่ านมาน้ี ตอ่ มาก็มีการเนน้ เร่ืองการรดน้าอวย
พรใหผ้ สู้ ูงอายุ ซ่ึงจดั กนั แทบทกุ หมบู่ า้ นคือ
- รดน้า ขอพรผสู้ ูงอายุ ที่จดั ตามบา้ น รดน้าให้ พ่อ แม่ ป่ ู ยา ตา ยาย ของแตล่ ะ
ครอบครัว หรือแตล่ ะสกุล เป็นงานเลก็ พอเป็นพิธีบา้ ง บางรายจดั กนั ใหญโ่ ตโอฬาร จดั กนั ในช่วง
ก่อนถึงวนั สงกรานต์
๑๖๗
- รดน้า ขอพรผสู้ ูงอายุ จดั ณ สานกั อบต.ชา้ งกลาง วนั เวลาแลว้ แตโ่ อกาส
- รดน้า ขอพรผสู้ ูงอายแุ ละสรงน้ารูปเหมือนพ่อท่านคลา้ ย ของส่วนราชการอาเภอ
ชา้ งกลาง จดั ทุกวนั ท่ี ๙ เดือนเมษายน ของทุกปี ณ ท่ีวา่ การอาเภอชา้ งกลาง
- รดน้า ขอพรผสู้ ูงอายแุ ละสรงน้าพระพทุ ธรูป(มีพอ่ ท่านคลา้ ย หลวงพอ่ เชียงแสน
พระพุทธสิหิงค)์ ท่ีวดั มะนาวหวาน หมู่ ๔ ตาบลชา้ งกลาง จดั กนั ทกุ วนั ที่ ๑๕ เมษายน ของทกุ ปี
- สรงน้ารูปเหมือนพ่อทา่ นคลา้ ยท่ีสานกั สงฆเ์ ขาธง
ในช่วงหลงั ๆ มาน้ี เป็นที่น่าเสียดายวา่ ประเพณีการรดน้าไดป้ ฏิรูปจนมองไม่เห็นวฒั นธรรม
อนั ดีงามด้งั เดิม เพราะไดม้ ีการต้งั กลมุ่ สาดน้ากนั ตามริมถนน จึงเป็นผลให้
- การดน้า วิวฒั นาการมาเป็นการสาดน้า
- จากการสาดน้า กลายมาเป็นยงิ ปื นน้า
- จากการยงิ ปื นน้าธรรมดา มาเจือปนแป้ง บางรายเป็นแป้งเปี ยก ถูกเส้ือผา้ ยากจะ
ซกั ออกได้
- บางรายนอกจากใชน้ ้าปนเป้ื อนแลว้ ยงั คอยหาโอกาสสาดน้าเขา้ หู เขา้ ตา ทาให้หู
อ้ือ ตาบวม ลว้ นแต่เป็นอนั ตรายท้งั สิ้น
- ร้ายยงิ่ ไปกวา่ น้นั บางคนเล่นพิเรน ใชน้ ้าแขง็ ห่อผา้ เวลาสาว ๆ ผา่ นมากแ็ อบเอา
ไปแตะท่ีร่างกาย หวงั เพยี งเพอื่ ฟังเสียงร้องวี๊ดวา๊ ยของพวกสาว ๆ
การกระทาอุตริดงั กล่าวเกิดข้ึนแทบทกุ หนทุกแห่ง จนรัฐบาลตอ้ งเขา้ ควบคุม ออกกฎสง่ั หา้ ม
จากดั เวลาและสถานทีเลน่ สงกรานต์ เพอ่ื ความปลอดภยั และความสงบเรียบร้อยของบา้ นเมือง
๗.๔ ประเพณีสมโภชข้าว
ในปี ๒๔๖๘ ชาวบา้ นคลองงา หมู่ ๒ จานวน ๓๐ ครัวเรือน เกบ็ เก่ียวขา้ วได้ ๘๐๐
กวา่ เลียง พอ่ ทา่ นผุด(พระพทุ ธิสารเถร ผดุ สุวฑฺฒโน) ซ่ึงมาสอนธรรมแก่คนท่ีน่ี ไดป้ รึกษา
ผเู้ ก่ียวขอ้ ง มีนายเอียด สนั ตจิต นายดา ตราชู นายเขียว ไพรสณฑ์ เป็นตน้ จดั ทาพธิ ีสมโภช
ขา้ วเป็นคร้ังแรก ในงานมีหนงั ตะลงุ แสดงตลอดคืน นายเขียว ไพรสณฑ์ ใหพ้ ร้า ๑ เลม่ เป็นคา่ ราด
โรง รุ่งเชา้ ข้ึน ๑๕ ค่า จดั ใหม้ ีพระเทศน์ แลว้ ถวายภตั ตาหารเพล เป็ นเสร็จพิธี
วตั ถปุ ระสงคข์ องการสมโภชขา้ ว ท่านแตง่ เป็นประวตั ิยดื ยาวโดยมีวตั ถุประสงคว์ า่
“เพ่อื สร้างสรรคก์ ลน่ั สิ่งดียง่ิ เลิศ เป็นบอ่ เกิดนิธิบุญอดุลขลงั
ไวใ้ นชาติศาสนาโลกาต้งั ตวั ตายยงั เกิดผลตามตนไป”
ต้งั แต่บดั น้นั มาทุกๆ ปี ไดม้ ีการสมโภชขา้ วหลงั เกบ็ เกี่ยวจนถึงปัจจุบนั วธิ ีจดั สมโภชขา้ ว
กาหนดเป็นบทร้อยกรองซ่ึงพอ่ ท่านผดุ ไดเ้ ขยี นไวว้ า่
“จะขอยอ่ พิธีการงานส้ันส้ัน ไดท้ ากนั เป็นหลกั ปักเป็นเหล่ียม
แลว้ มอบใหบ้ ุตรหลานสะอา้ นเอี่ยม หมอ้ น้าเตรียมเทียนชยั ไวใ้ นพาน
๑๖๘
นิมนตพ์ ระมาสวดชยั มงคล เขา้ มณฑลพิธีกรรมทาหลกั ฐาน
เครื่องประโคมกล่อมงามยามตอ้ งการ ไดฤ้ กษง์ านรุ่งดีเดือนส่ีเพญ็
เพลาเชา้ เล้ียงพระฉนั ยาคู เสร็จแลว้ ครูหวั หนา้ ท่ีตาเห็น
ต้งั พิธีอฏั ฐโยคชยั โชคเป็น แปลประเดน็ วา่ รูปพระภควนั
ผลกั ใหน้ อนหงายแบนดูแปลนของ ต้งั แตท่ อ้ งไปถึงเศียรวเิ ชียรขา
กองขา้ วขวญั ทาศอ, หวั , คอ, จา อุราทาขา้ วของกองแทนทราย
วาลกุ าเจดียก์ ่อที่ทอ้ ง หมอ้ น้ารองเทียนชยั มาลยั ถวาย
เป็นแถวเรียงเคยี งดบั ระยบั พราย สะเอวไวร้ ะยะของสองศอกกวา่
ท่ีพระเพลาเอาสารับประดบั ลง ภิกษสุ งฆน์ งั่ ท่ีเข่าปลายเพลาจ๋า
ทายกนงั่ ท้งั สองพระพาหา ตามตาราอฏั ฐโยเดโชชยั
เสร็จแลว้ นงั่ ต้งั จิตสนิทสงบ นอ้ มเคารพเทวาพระเป็นใหญ่
แลว้ หวั หนา้ วา่ บทสัคเคไป พระคุณใหญ่โสภาวา่ นะโม
แลว้ วา่ อรหงั ท้งั สามบท บชู าหมดอิมินาสง่าโส
แลว้ อาราธนาศีลถือซื่อตรงโด่ ไดถ้ วายโภชนงั เป็นสังฆทาน
พระฉนั แลว้ เล้ียงกนั สนนั่ สนุก บรมสุขปรีด์เปรมเกษมศานต์ิ
อาราธนาน้าตามตอ้ งการ ใหพ้ ระทา่ นถวายพรพระบาลี ฯ
เรื่องวิธีสมโภชขา้ วน้ีท่านไดแ้ ต่งเป็นประวตั ิไวย้ ดื ยาวเพื่อใหค้ นรุ่นหลงั ปฏิบตั ิไดถ้ กู ตอ้ งและ
ไมต่ อ้ งถกเถียงกนั ภายหลงั
หลงั จากที่พอ่ ทา่ นผดุ ไดใ้ หม้ ีการสมโภชขา้ วที่คลองงาแลว้ หลงั จากน้นั ท่ีทงุ่ เจียกก็ไดม้ ีการ
จดั งานสมโภชขา้ วที่โคกปาบ ซ่ึงเป็นที่จดั งานลากพระบกทุกปี ดว้ ย วธิ ีการกค็ อื ใหช้ าวบา้ นทุ่งเจียกท่ี
เกบ็ ขา้ วกนั แลว้ นาขา้ วเปลือก ๓ เลียงใส่ถาดทนู มาร่วมสมโภชดว้ ย พิธีไดท้ าอยตู่ ลอดมาจนถึง
ปัจจุบนั เพิ่งเลิกไปเมื่อไมก่ ่ีปี มาน้ีเอง
๗.๕ ประเพณวี ันเพญ็ เดือน ๔ ของชาวคลองงา
ต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๗ เป็นตน้ มา พ่อทา่ นผดุ เร่ิมใหม้ ีการทาบญุ พอ่ แมใ่ นวนั เพญ็ เดือนส่ี โดย
วตั ถุประสงคว์ า่
“วนั เพญ็ เดือนส่ีทุกๆ ปี เรียกวา่ วนั ใหก้ าเนิดพระศาสนาแก่ชาวบา้ นคลองงา วนั น้ีเป็นวนั ที่เริ่ม
วางหลกั ปลูกมนุษยธรรมแก่ชาวบา้ นราษฎรทวั่ ๆ ไป ใหเ้ ป็นผถู้ ึงพร้อมดว้ ยศีลธรรมอนั ดี
โดยเฉพาะการฝึกหัดใหแ้ สดงความกตญั ญูตอ่ บิดามารดา และท่านบุพการีท้งั หลาย เช่น ทาพธิ ี
เคารพ ให้อามิสแก่บิดา มารดา ครูอาจารย์ บุตร ภรรยา มิตรสหาย สมณะพราหมณ์ และคนใช้
เพื่ออบรมจิตใจของตนให้เป็นที่อยขู่ องตวั “บุญ” ถึงพร้อมดว้ ยมนุษยธรรม”
พิธีทาบญุ พอ่ -แมใ่ นวนั เพญ็ เดือนส่ี ภาคพธิ ีการ เวลา ๐๘.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. มีลาดบั ดงั น้ี
๑๖๙
- ใหค้ นเฒ่า-คนแก่อนั เป็นที่เคารพของคนในหมู่บา้ นนงั่ เป็นแถวในที่จดั ไว้
- ลูก-หลานนากบั ขา้ วคาวหวาน พร้อมพานดอกไมธ้ ูปเทียน หากตอ้ งการทาบุญเป็นเงินก็ใส่
พร้อมในพานวางหนา้ พ่อแม่ ผเู้ ฒ่า ผแู้ ก่
- จากน้นั ก็กลา่ วคาขอขมาลาโทษ โดยมีผวู้ า่ นา
- ตอ่ จากน้ีกม็ ีพธิ ีสงฆ์ จนเสร็จแลว้ ถวายภตั ตาหารเพล จากน้นั กเ็ ล้ียงกนั เองในระหวา่ งลูก-
หลาน เครือญาติท้งั ปวง
ในการกล่าวขอขมาโทษ ให้วา่ ตามผนู้ าดงั ตอ่ ไปน้ี
“มาตา ปิ ตา กุเลเชษฺฐา, ครวาริยา จ โน, ชีวิตญฺเจว สุขสทฺทึ วุฒิตา ทินฺนา ยาว,หิโต อมฺเห เมตฺ
ตาย กรุณาย จ ปเปสุ นิพย สพฺพ ปมาเห อฺจจคา มย ติหิ, ทวาเรหิ ชานามะ ปมาเท ชคิต อิท, ตสฺมา จิตฺต
นิวตฺติตฺวา สวริตฺตฺวา จ วายตึ เมตฺตา กรุณา จ ปูชาย ยถาพล ชีวาตาเนน เทเสม กตญฺญกู ตเวทิโน
เอเตน สจฺจวชฺเชน จ พยสฺส จ อาภาวสฺเสว ทานสฺส นิมิตฺตาย หิตาย, โน อิม อปปฺ ว สกฺการ
คเหตฺวานวร สทา สมฺปานสฺส อมฺเหหิ ทเทถ สุวฑฒิโยติ”
แปลวา่ “ บิดา มารดา ผเู้ ป็นประธานในสกลุ และครูอาจารยท์ ้งั หลาย ผปู้ ระสาธน์ชีวิต
กบั ท้งั ศิลปวทิ ยาและความสุขกบั ความเจริญ ใหก้ ระผม (ดิฉนั ) ถึงความปลอดภยั ท้งั ปวง ดว้ ยเมตตา
กรุณา กระทงั่ ถึงกาลบดั น้ี กระผมไดล้ ว่ งเกินโดยไตรทวารในฐานประมาท มาสานึกตวั ไดว้ า่ น่ี
เป็นความพล้งั พลาดไปเพราะประมาท ฉะน้นั กระผม (ดิฉนั ) จึงกลบั ใจและจะสารวมระวงั ต่อไป จะ
ขอแสดงความกตญั ญูกตเวทีดว้ ยการพลีชีวิต เพือ่ บชู าพระเมตตากรุณาตามสติกาลงั ดว้ ยความสัจ
จริงน้ี ขอทา่ นไดโ้ ปรดรับเครื่องสกั การบูชาเพยี งนอ้ ยนิดน้ี เพ่ือเป็นเครื่องหมายใหค้ วามไมม่ ีโทษ
ไม่มีภยั แลว้ ขอจงไดป้ ระสาธน์พรใหก้ ระผม (ดิฉัน) ถึงซ่ึงความสุข ความเจริญ ทกุ เมื่อเทอญ”
ในระหวา่ งท่ีพระฉนั ภตั ตาหารเพล จะมีคณะนกั ร้องซ่ึงฝึกไวอ้ ยา่ งดี มาร้องบท “ระลึกคณุ บิดา-
มารดา”ซ่ึงทา่ นไดแ้ ตง่ ไวด้ งั น้ี
“ขา้ ขอนอ้ มเศียรอภิวาท แทบบาทบิดาคุณมหนั ต์
อีกท้งั มารดาคุณอนนั ต์ เฉกฉนั ทบ์ ุตรผภู้ กั ดี
ต้งั แต่ยงั เยาว์ เบาปัญญา ไดพ้ ่ึงมารดาเฉลิมศรี
บิดรวอนว่าด่าตี หวงั ใหบ้ ุตรดีสมใจ
ควรจะรู้สึกกตญั ญู รู้จกั บญุ คุณผใู้ หญ่
ทดแทนบุญคุณท่านไซร้ ให้เป็นเยย่ี งอยา่ งกตเวที
ยามท่านพิโรธโกรธข้งึ ควรคานึงความผิดของเราน้ี
แกไ้ ขใหก้ ลบั เป็นดี ใหเ้ ป็นที่ตอ้ งใจทุกส่ิงอนั
ทา่ นจะวา่ อะไรไม่ควรเถียง ทา่ นไมม่ ีลาเอียงเป็นแม่นบนั่
รักเราจึงตอ้ งเฝ้าราพนั ช้ีแจงสิ่งสรรพใ์ หเ้ ราฟัง
๑๗๐
คณุ ลน้ พน้ ยงิ่ กวา่ ชนปวง ยงิ่ กวา่ จอมสรวงสุดขลงั
ควรคดิ ผกู จิตใหจ้ ีรัง ควรจะต้งั รักไวไ้ มว่ ายเอย”
ตอ่ จากน้ีก็ใหร้ ้องเพลง “บทสวดเคารพคุณบิดา-มารดา”ท่านแต่งไวใ้ ห้ร้องดงั น้ี
อนนฺตคณุ สมฺปนฺนา ชเนตฺติ ชนกาอุโภ, มยฺห มาตาปิ ตุนว ปาเท วนฺทามิสาตร
(นา) ขา้ ขอนบชนกคุณ (พร้อมกนั ) ชนนีเป็นเคา้ มูล
ผกู้ อปรนุกูลพูน ผดุงจวบเจริญวยั
ฟูมฟักทะนุถนอม บ่บาราศนิราไกล
แสนยากเท่าไร ๆ บ่คิดยากลาบากกาย
ตรากทนระคนทุกข์ ถนอมเล้ียงฤารู้วาย
ปกป้องซ่ึงอนั ตราย จนไดร้ อดเป็นกายา
เปรียบหนกั ชนกคุณ ชนนีคอื ภผู า
ใหญพ่ ้ืนพสุธา กบ็ ่เทียบบ่เทียมทนั
เหลือที่จะแทนทด จะสนองคณุ อนนั ต์
แทป้ ูชนยั อนั อุดมเลิศประเสริฐคณุ
สุดทา้ ยร้องเพลง “อวยพร”
“อายุ วรรณะ สุข พละน้ี จงมีแก่ทา่ น จะกอปรกิจการงาน ขอใหไ้ ดด้ งั ใจจง
จะคิดสิ่งใดขอใหไ้ ดด้ งั ความประสงค์ ใหอ้ ายยุ นื ยงอยชู่ วั่ ฟ้าดิน”
นอกจากน้ีให้ร้องเพลง “อนั ชนกชนนีมีพระคณุ ” ในทานอง “พสุธากนั แสง”ซ่ึงไดส้ อนไว้
แลว้ ในตอน “ พิธีแต่งงาน”
การทาบุญพ่อแม่ใน “วนั เพญ็ เดือนส่ี” ยงั มีพิธีภาคบา่ ยหลงั จากเล้ียงดูกนั แลว้ คอื พิธีอาบน้า
คนเฒ่าคนแก่และการแขวนของใหท้ าน วิธีการก็คือ ท่านใหน้ าของท่ีจะไปแขวนเป็นทานเช่น
มะพร้าว กลว้ ย ออ้ ย ขนมนมเนย หรือสิ่งของอะไรกไ็ ด้ ใหเ้ ขยี นคาอุทิศไวบ้ นของที่จะแขวนน้นั
เพ่อื อทุ ิศส่วนกุศลใหแ้ ก่ผลู้ ว่ งลบั ไปแลว้ เสร็จแลว้ รวบรวมต้งั กระบวนแห่จากมณฑลพิธี แลว้ นาไป
แขวนตามที่สาธารณะ เช่น ริมถนนหนทาง เป็นตน้
งานวนั เพญ็ เดือนส่ีในปี ตอ่ ๆ มา ประชาชนต่างหม่บู า้ นเกิดเลื่อมใสศรัทธากนั มาก เม่ือถึง
กาหนดงานก็มาร่วมพธิ ีเพ่ิมข้ึนทกุ ปี จึงเกิดประเพณีขอขา้ วหมอ้ แกงหมอ้ จากคนในบา้ นคลองงามาใช้
เล้ียงคนที่มาจากท่ีอื่นดว้ ย สถานที่เดิมท่ีเคยจดั ทุกปี ก็คบั แคบ ท่านจึงไดป้ รึกษากบั พระกล่อม
ธมฺมคตุ ฺโต ชาวคลองงาโดยกาเนิด ซ่ึงขณะน้นั บวชอยวู่ ดั พระมหาธาตฯุ ดาริท่ีจะสร้างอาคารบาเพญ็
บญุ หลงั ใหม่ เพราะนานวนั ไปขา้ งหนา้ ประชาชนมากกวา่ น้ีและวสั ดุก่อสร้างจะยง่ิ หายากข้นึ ใน
ที่สุดศาลาหลงั ใหม่ขนาด๑๐ X ๑๙ เมตร กส็ ร้างสาเร็จในปี ๒๕๐๔ โดยการนาของนายเอ้ือม
ตราชู นายขนั ศรีวไิ ล นายมณี ประโยชน์
๑๗๑
อาคารหลงั ใหมน่ ้ีเป็นอาคาร ๒ ช้นั ก้นั และปกู ระดาน หลงั คามุงดว้ ยกระเบ้ืองซีเมนต์ ช้นั ล่าง
เทคอนกรีต ไดเ้ งินจากการเร่ียไรคนในบา้ นส่วนมาก ส่วนหน่ึงกไ็ ดจ้ ากคนนอกหมู่บา้ น อีกส่วน
หน่ึงไดจ้ ากการบริจาคเป็นขา้ วสารมาสมโภชในงานวนั เพญ็ เดือนส่ีแลว้ ประมูลขาย
พิธีทาบุญพอ่ แม่วนั เพญ็ เดือนส่ีไดย้ า้ ยจากศาลาเดิมมาทาท่ีอาคารแห่งใหม่ต้งั แต่ปี ๒๕๐๔ พอ่
ทา่ นผดุ กม็ าร่วมในพธิ ีทุกคร้ังมิไดข้ าด กระทงั่ ปี ๒๕๑๓ เป็นปี สุดทา้ ยท่ีท่านมา ต่อจากน้นั ท่าน
กม็ าร่วมพธิ ีไม่ไดเ้ พราะชราภาพมากอายลุ ว่ งไปแลว้ ถึง ๙๓ ปี แตส่ ่ิงที่ท่านใหก้ าเนิด คือ วนั เพญ็
เดือนสี่ วนั ทาบญุ พ่อ-แม่ ยงั เป็นประเพณีที่ทาติดต่อกนั มาจนถึงทกุ วนั น้ี นบั เป็นสมบตั ิชาวบา้ น
คลองงา ที่ทา่ นมอบใหไ้ ว้ มีคณุ คา่ ลน้ เหลือที่จะคณานบั
๗.๖ ประเพณีการแต่งงาน
พ่อท่านผดุ (พระพทุ ธิสารเถร) ผใู้ หก้ าเนิดโรงเรียนแต่งงานแก่บา้ นคลองงา
ในเร่ืองการแต่งงานหรือพธิ ีมงคลสมรส ชาวอาเภอชา้ งกลางไดส้ ืบทอดประเพณีวฒั นธรรม
น้ีมาเหมือนกบั ทอ้ งถ่ินอ่ืน ๆ แตเ่ ฉพาะที่บา้ นคลองงา ซ่ึงพอ่ ท่านผดุ (พระพุทธิสารเถรแห่งวดั
มหาธาตฯุ )ไดเ้ ขา้ มารสอนชาวบา้ นต้งั แต่ปี พ.ศ.๒๕๖๑ น้นั ถือวา่ การแต่งงาน เป็นช่วงสาคญั ท่ีสุดของ
การเริ่มตน้ ชีวิตครอบครัว โดยเหตนุ ้ีท่านจึงต้งั โรงเรียนสอนผวั -เมีย ที่บา้ นคลองงา ทา่ นเป็นครูคน
๑๗๒
เดียวท่ีสอนเร่ืองน้ี จนที่สุดไดก้ าหนดพธิ ีแตง่ งานที่สอดคลอ้ งกนั ท้งั ทางโลกและทางธรรม และถือ
ปฏิบตั ิเป็นประเพณีในบา้ นคลองงาและละแวกใกลเ้ คยี ง ตลอดมาจนถึงปัจจุบนั ดงั น้ี
ในข้นั เตรียมงาน ตอ้ งเตรียมโตะ๊ หมู่ ประกอบดว้ ยแจกนั ดอกไม้ ธูปเทียน แวน่ เทียน มี
พระพทุ ธรูปต้งั ทางขวาของพระสงฆ์ ต้งั พระบรมฉายาลกั ษณ์ทางขวาของพระพุทธรูป ทางซา้ ยอาจ
เป็นธงชาติหรือรูปบุคคลสาคญั ที่หนา้ โต๊ะหม่มู ีหมอนกราบ ๒ใบ มีเงินเหรียญ หมาก พลู เทียน ๙
เล่ม สาหรับติดท่ีแวน่ เทียน
ในข้นั พธิ ีแบง่ เป็น ๒ ตอน ต้งั แต่เวลา ๐๗.๓๐ น.
๑. พธิ ีพระ
- พระมานงั่ ในพิธีแลว้ พอเจา้ บา่ วมาถึงใหก้ ราบพระพทุ ธรูป แลว้ ไหวพ้ ระสงฆต์ ามลาดบั
(ไม่ตอ้ งกราบ )
- คณะของเจา้ บา่ ว นาของตกหรือสินสอด ทองหม้นั และเครื่องขนั หมากมาวาง
- ฝ่ายเจา้ สาวตรวจส่ิงตก เมื่อเห็นวา่ ถูกตอ้ งแลว้ ฝ่ายเจา้ สาวกน็ าเจา้ สาวมานงั่ ทางซา้ ยเจา้ บ่าว
กราบพระพุทธรูป ๓ คร้ัง แลว้ ไหว้ พระสงฆ์
- จากน้นั เริ่มนาไหวพ้ ระ อาราธนาศีล รับศีล (ใหเ้ ป็นหนา้ ที่ของเจา้ บา่ วนา ) เสร็จแลว้ ตกั
บาตร
- พระสงฆใ์ หโ้ อวาท ขณะน้ีคู่สมรสประนมมือ พอโอวาทจบ กราบ ๑ คร้ัง
๒. พธิ แี ต่งงาน
- คสู่ มรสตา่ งแยกไปเคารพพ่อแมฝ่ ่ายตน เป็นเชิงขออนุญาตไปมีสามี-ภรรยา โดยการกราบ
๓ คร้ัง คร้ังที่ ๓ ฟุบอยกู่ บั ท่ี ถึงตอนน้ีพ่อแม่ ประพรมน้าพระพุทธมนต์ ใหล้ ูกต้งั จิตอธิษฐานราลึก
นึกถึงคณุ พอ่ คุณแม่
- ท้งั คู่กลบั นงั่ ท่ีเดิม ประนมมือไหวพ้ ระ กลา่ วคาสัตยแ์ ก่กนั ตามคาท่ีผนู้ าให้วา่ ตาม เสร็จแลว้
ลดมือลง ฝ่ายหญิงหนั มาไหวเ้ จา้ บา่ ว เจา้ บ่าวรับไหว้ แลว้ สวมแหวนหรือสร้อยมือ เสร็จแลว้ หัน
หนา้ ไปทางพระพุทธรูป กล่าวอธิษฐาน ตามผนู้ าใหว้ า่ ตาม
- ผเู้ ฒ่าท่ีทรงคณุ ใหโ้ อวาทแก่คสู่ มรส โดยค่สู มรสประนมมือ จบแลว้ กราบพร้อมกนั ๑ คร้ัง
ผเู้ ฒ่าประพรมน้าพระพุทธมนต์ จุดเทียนแวน่ เทียนเวียนขวา พอพระใหช้ ยนั โตเสร็จ คณะนกั ร้องที่
เตรียมไว้ ร้องเพลง “อวยชยั ”
- หลงั จากน้นั ค่สู มรสไหวพ้ ่อ-แม่ท้งั สองฝ่าย แลว้ ไหวญ้ าติตามลาดบั จนถึงแขกคนสาคญั
เสร็จแลว้ คู่สมรสกลบั นง่ั ยงั ที่เดิม กราบพระ ๓ คร้ัง คร้ังที่ ๓ ฟบุ อยกู่ บั ที่ หวั หนา้ พธิ ีกล่าวขอ
อานาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบนั ดาลใหค้ ่สู มรสประสบผลตามพิธีน้ีทกุ ประการ
ในแต่ละข้นั ตอนของพิธีดงั กลา่ วน้ีท่านใหร้ ้องเพลงที่ทา่ นแต่งข้ึนเองประกอบทกุ ข้นั ตอนเช่น
๑๗๓
๑.ข้นั ตอนไหวพ้ ่อ-แม่ฝ่ายตน ใหร้ ้องเพลง “อนั ชนกชนนี” ทานองพสุธากนั แสง มี
เน้ือร้องวา่
“ อนั ชนกชนนีมีพระคณุ ไดก้ ารุณเล้ียงรักษามาจนใหญ่
อมุ้ อทุ รป้อนขา้ วมาเท่าใด หวงั จะไดพ้ ่ึงพาธิดาดวง
หากเราน้ีมีจิตคิดอปุ ถมั ภ์ กุศลล้าเลิศเท่าภเู ขาหลวง
จะปรากฏยศยงิ่ สิ่งท้งั ปวง กวา่ จะลว่ งลถุ ึงซ่ึงนิพพาน ”
๒.ข้นั ตอนกลา่ วคาสัตยป์ ฏิญาณแก่กนั เมื่อกลา่ วจบร้องเพลง “สมรส” วา่
“เวลาฤกษอ์ ดุ มสมรสเสพ พร้อมหนา้ เทพทกุ ทิศอธิษฐาน
บูชาชาติศาสนาและวิญญาณ เจา้ ตากทา่ นทา้ วเทพกษตั รีย์
เอาสิงคโปร์อยู่นานถิ่นอินโดดา้ ว ดิฉนั สาวบ่าวรสสุขสดสี
สละสุขแบกทุกขห์ นกั รักชาติดี เชิญรับพลีบูชาลงทรงเถิดเอย”
๓.ข้นั ตอนพระใหช้ ยนั โต พอจบใหร้ ้องเพลง “อวยชยั ” วา่
“ นอ้ มใจ พร้อมใจ มาช่วยอวยชยั ในวนั มงคล ใหอ้ ายทุ ่านยนื ชุ่มชื่นฤดี
สุขเกษมเปรมปรีดใ์ หท้ า่ นมีลาภผล ท้งั เกียรติท้งั ยศ ปรากฎแก่คน หวงั ใด
ไดด้ ลดุจหวงั ดงั ปอง พรชยั ไพจิต ทวยเทพทรงฤทธ์ิ มาช่วยประสิทธ์ิ ให้
พรสนอง โชคชยั ยงิ่ ล้า ดงั คาขา้ พร้อง ปวงชนแช่ซร้อง เกียรติกอ้ งเกรียง
ไกร”
๔.ข้นั ตอนไหวพ้ ่อ-แม่ และญาติ ใหร้ ้อง เพลง “ อายวุ รรณะ ”วา่
“ อายุ วรรณะ สุขะ พละ น้ีจงมีแก่ท่าน
จะกอปรกิจการงาน ขอใหไ้ ดด้ งั ใจจง
จะคดิ สิ่งใดขอใหไ้ ดด้ งั ความประสงค์ ใหอ้ ายคุ งอยชู่ วั่ ฟ้าดิน”
๕.ข้นั ตอนกราบพระ จบพธิ ีใหร้ ้องเพลง “พทุ ธานุภาพ” ๓ จบ
“ พทุ ธานุภาพนาผล เกิดสรรพมงคลนอ้ ยใหญ่
เทวาอารักษท์ ว่ั ไป ขอใหเ้ ป็นสุขสวสั ดี
ธรรมานุภาพนาผล เกิดสรรพมงคลเฉลิมศรี
เทพช่วยเมตตาปรานี ใหส้ ุขสวสั ดีทวั่ กนั
สงั ฆานุภาพนาผล เกิดสรรพมงคลแม่หมนั่
เทเวศรคุม้ ครองป้องกนั สุขสวสั ด์ิสรรพท์ วั่ ไป”
เม่ือการดาเนินงานเสร็จไปแลว้ ท้งั พธิ ีพระและพิธีแตง่ งาน พอมาถึงข้นั ตอนส่งคู่บ่าว-สาว
เขา้ หอร่วมหอ้ ง เป็นเร่ืองความลบั เฉพาะ ผวั -เมีย ทา่ นจะเรียกบ่าว-สาวมาสอนเฉพาะ ๒ คน
ไมใ่ หใ้ ครเกี่ยวขอ้ ง อนั ที่จริง ถา้ จะมองในแง่มุมมองของพระ ไม่ใช่หนา้ ท่ีของเพศบรรพชิต ใคร
๑๗๔
ๆ อาจเห็นวา่ การสอนเรื่องน้ีไมเ่ หมาะสม แตน่ ี่เป็นพ่อท่านผดุ ทา่ นสอนวิชาชีวติ ท่านป้ันดินให้
เป็นหมอ้ ทา่ นจึงตอ้ งขยาดิน เคลา้ ดิน ตีดิน ผสมดิน กลึงดิน แมม้ ือจะเลอะเปรอะเป้ื อนไปบา้ ง
แตใ่ จสะอาดบริสุทธ์ิประสงคจ์ ะใหไ้ ดห้ มอ้ สวยงามมีคณุ ภาพดี อายกุ ารใชง้ านไดน้ าน ท่านจึงทาทกุ
วิถีทาง เทคนิคการป้ันคนใหเ้ ป็นมนุษยก์ ็เหมือนกนั ทา่ นเห็นวา่ คบู่ ่าวสาวท่ีจะอยกู่ ินกนั ต่อไป
ขา้ งหนา้ ตอ้ งเกิดลูกหญิง-ชาย ตอ้ งเป็นพมิ พม์ นุษย์ ถา้ แท่นพมิ พไ์ ม่ดีมีความวิบตั ิบกพร่องเม่ือตอน
ต้งั ตน้ เสียแลว้ ท่ีไหนจะไดม้ นุษยด์ ี ๆ แลว้ ประเทศชาติก็จะเจริญไมไ่ ด้ ถา้ คนไมม่ ีอนาคต ทา่ นจึง
สอนแมก้ ระทง่ั เขา้ ร่วมห้องหอ คบู่ ่าว-สาวใดนาไปใชต้ ามวธิ ีของท่านก็น่าจะดี ทา่ นสอนไวว้ า่
“๑.ก่อนนอนใหส้ ามี-ภรรยาจูบกนั ทุกคร้ัง เพอ่ื ใหเ้ กิดเป็นนิสยั ปฏิบตั ิไปจนแก่ เพราะตอน
หนุ่ม ๆ มกั มากกนั ดว้ ยความรักใคร่ พอแก่ตวั ความใคร่หมดไป เหลือแต่ความเยน็ ชาจนที่สุดแมไ้ ม่
หยา่ ร้างแตม่ กั แยกกนั อยู่ การใหส้ ามี-ภรรยาจูบกนั ก่อนนอนต้งั แต่วนั แตง่ งาน แลว้ ถือปฏิบตั ิ
ตลอดไปเป็นกิจวตั ร แมภ้ ายหลงั จะมีเรื่องจุกจิก โกรธกนั แต่พอถึงเวลานอนตอ้ งจูบกนั ก่อนทุก
คร้ัง จะเป็นนิสยั ติดไปจนแก่เฒ่า หาความสุขไดใ้ นครอบครัวตลอดไป การปฏิบตั ิเช่นน้ีมิได้
หมายถึงการมีกามารมณ์ แตต่ อ้ งการใหเ้ ป็นนิสัยติดตอ่ ไปจนแก่ อนั น้ีเป็นเคลด็ ลบั โรงเรียนผวั -
เมียของพ่อท่านผดุ ขอ้ ที่หน่ึง
๒.ขอ้ ที่สอง เวลาจะร่วมประเวณีกนั ตอ้ งใหฝ้ ่ายภรรยายนิ ยอมพร้อมใจ วธิ ีน้ีอาจเป็นเหตุ
ใหฝ้ ่ายชายไปหาความสุขนอกบา้ นได้ ถา้ วนั ไหนเมียไม่ยนิ ยอมพร้อมใจ เหตุสาคญั ที่ท่านกาหนด
อยา่ งน้ี เพราะตอ้ งการใหฝ้ ่ายชายรับรู้ธรรมชาติความตอ้ งการของฝ่ายหญิง คอื
๒.๑ ตอ้ งการใหฝ้ ่ายชายมีความอดทนใหพ้ อ ๆ กบั ที่ฝ่ายหญิงอดทนได้ ตอ้ งการให้
เขม้ แขง็ พอๆกนั
๒.๒ ตอ้ งการใหฝ้ ่ายชายมี หิริ-โอตตปั ปะ
๒.๓ ป้องกนั การหยา่ ร้างภายหลงั เพราะเหตเุ สพยส์ มไมส่ ุขสม
๒.๔ ตอ้ งการใหท้ ้งั ๒ ฝ่ายเขา้ ใจเรื่องเพศศึกษา เขา้ ใจความตอ้ งการทางเพศที่ไม่
เหมือนกนั หรืออาจจะไมต่ รงกนั เพื่อป้องกนั การหยา่ ร้างภายหลงั ชาวยโุ รปโดยเฉพาะพวกอเมริกา
มีการหยา่ ร้างหลงั แต่งานเพยี งปี สองน้ี เพราะขอ้ น้ีเป็นเหตุมากท่ีสุด ในอเมริกาจึงทดลองอยคู่ กู่ นั
ก่อน ถา้ อยกู่ นั ได้ กค็ อ่ ยแต่งงานครองรัก-ครองเรือนกนั ภายหลงั อยา่ งน้ีก็มี
๓.ขอ้ ท่ีสาม ตอ้ งคอยปลอบใจ ใหก้ าลงั ใจเม่ือฝ่ายหน่ึงฝ่ ายใดเป็นทุกข์ เป็นกงั วลไม่วา่ เรื่อง
ใด เพอ่ื ขจดั เช้ือเลวร้ายท่ีจะเกิดข้ึนในครอบครัว
๔.ขอ้ ท่ีสี่ เม่ือถึงเวลาอนั ควร นอกจากจะชวนกนั ไปทาบญุ วนั พระแลว้ ท้งั คคู่ วรทาบญุ ให้
สามี-ภรรยา ใหพ้ ่อตา แม่ยาย พ่อผวั แม่ผวั ในโอกาสวนั เกิด หรือวนั ข้ึนปี ใหม่ เป็นการกระชบั
ความรัก ความห่วงใยในคู่ และญาติของคคู่ รอง
๑๗๕
๕.ขอ้ ที่หา้ ใหท้ ้งั ๒ ฝ่ายวา่ กล่าวตกั เตือน สง่ั สอนกนั ได้ แต่ใหว้ า่ กลา่ วกนั เม่ือลูกหลบั แลว้
เพราะเร่ืองบางอยา่ งไมค่ วรใหล้ กู ไดย้ นิ ระหวา่ งท่ีสอนหรือตกั เตือนกนั มีขอ้ หา้ มฝ่ายถูกตกั เตือน
โตต้ อบ หรือเถียงเป็นอนั ขาด ตอ้ งฟังอยา่ งเดียว เรื่องท่ีนามาสอนอาจจะเป็นความผิดของฝ่ายใดฝ่าย
หน่ึงที่ทามาแลว้ ฝ่ายท่ีรับฟังตอ้ งทาใจหนกั แน่น มิฉะน้นั จะเป็นชนวนใหเ้ กิดความร้าวฉานอีก
๖.ขอ้ ที่หก ทา่ นใหค้ าถาเป็นพิเศษแก่ฝ่ายชายใหท้ ่องเป็นประจาโดยเฉพาะในยามโกรธเมีย
เรียกวา่ “ คาถาไมแ่ คร์ใคร”
คาถาไมแ่ คร์ใคร
“ วนั ดี กูก็ดี วนั ไม่ดี กูก็ไม่ทาอะไรใคร”
( คือไมด่ ่าวา่ เมีย ไม่ทาร้ายเมีย )
“ อยไู่ ดก้ กู อ็ ยู่ อยไู่ มไ่ ดก้ กู ็ไมไ่ ปใหน”
( คือเวลาโกรธ ก็ตอ้ งนอนในหอ้ งกบั เมียไม่ไปกินขา้ ว เทียวนอนที่ไหน )
คาถากลวั เมียคนเดียว
“ไมก่ ลวั เมีย กจู ะกลวั ใคร คนอ่ืนไมไ่ ดท้ าอะไรใหก้ ูกิน
๑๗๖
บทที่ ๘. ภาษาและวรรณกรรม
๘.๑ ภาษา
ภาษาคอื คาท่ีใชเ้ ปลง่ ออกมาเป็นสื่อใหเ้ ขา้ ใจกนั บางคาใชพ้ ดู และเขา้ ใจกนั เฉพาะในถ่ินหน่ึง
ๆ เทา่ น้นั สาเนียงใตข้ องคนชา้ งกลางก็ไม่ไดแ้ ตกตา่ งไปจากสาเนียงใตข้ องคนอาเภออ่ืนในจงั หวดั
นครศรีธรรมราชเท่าใดนกั แต่ก็ถือไดว้ า่ อาเภอชา้ งกลางร่ารวยทางภาษามาก ท้งั น้ีเพราะมีชนตา่ งชาติ
ซ่ึงส่วนมากเป็นคนจีนไดเ้ ขา้ มาคา้ ขายทางน้า ไดน้ าภาษาจีนและมลายเู ขา้ มาดว้ ย ประกอบกบั ในช่วง
ตอ่ มามีชาวปากพนงั หวั ไทร เชียรใหญย่ า้ ยถ่ินมาอยรู่ ่วมมากท่ีสุด ไดน้ าเอาสาเนียงภาษาในถิ่นเดิมมา
ใชผ้ สมกบั สาเนียงของคนในถิ่น และท่ีสาคญั ยงั ไดส้ มรสกนั ระหวา่ งคนตา่ งถ่ินดว้ ย ก่อใหเ้ กิดภาษาที่
เป็นเอกลกั ษณ์ชองชาวชา้ งกลางโดยเฉพาะ ดงั จะยกตวั อยา่ ง
-คาท่ีแปลวา่ “ตาย” คาน้ีทอ้ งถ่ินอื่นมีไมม่ าก แต่ท่ีอาเภอชา้ งกลางมีมากมายไดแ้ ก่
“พลิกอีตกุ , พลิกตุก, เพลง้ , แพลด็ ,ปัดซิเหนียงเกียงกลอ้ ง,ม่องเท่ง,ดบั เกียง,เหม่ียง, ปับปะชิคอ๊ ง, พระ
ยมิ้ ( มกั ใชพ้ ดู ลอ้ เลียนกบั คนท่ีไมค่ วรข้นึ ตน้ ไม้ เช่นคนชราวา่ เดี๋ยวตกลงมาพระยมิ้ แหละ นนั่ หมายถึง
ตายพระไดส้ วด)
- คาที่แปลวา่ “หมด” พวกเราพดู กนั หลายคา เช่นวา่ แหมด็ , เกล้ียงแผก็ ,แหมด็ ฉ๊าดคือ
หมดไมเ่ หลือ
- คาทีหมายถึง ยยุ ง, แหย,่ แยง,แทง, ทิ่ม, ยใุ หร้ าตาใหร้ ่ัว พดู ใหส้ องฝ่ายทะเลาะกนั
คนชา้ งกลางพูดคาเดียววา่ “ยอน” เช่นประโยควา่ “แกอยา่ ยอนใหเ้ ขาแตกกนั ” นนั่ หมายความวา่ อยา่ ยุ
ยง แตถ่ า้ พูดวา่ “วนั น้ีไปยอนบ้ึง” หมายถึงวา่ ไปแยงในรูของตวั บ้ึงเพ่ือดึงไข่บ้ึงมากิน (บ้ึงคือแมงมุม
ชนิดหน่ึงที่ชื่อ ทารันทลู า่ ภาษาไทยเรียกวา่ บ้ึง ตวั โตมาก เป็นสัตวม์ ีพษิ แตไ่ ม่ร้ายแรงนกั ยกเวน้ คน
แพพ้ ษิ มีมากในอาเภอชา้ งกลาง )
- คาท่ีหมายถึงสวยมาก เช่น “เฉง้ วบั สวยเฉง้ ”
- คานามท่ีไม่ค่อยมีพูดในทอ้ งถิ่นอ่ืน เช่น
“นายหมฺรูน” คือคนท่ีข้ึนไปตีผ้งึ บนตน้ ไม้ หรือหนา้ ผา เรียกวา่ นายหมฺรูน
“มอ็ ง” คือคบเพลิงท่ีทาดว้ ยตน้ ลงั ตงั ชา้ ง(ตะรังตงั ชา้ งเป็นภาษามลาย)ู
สาหรับใชค้ วนั ไลต่ วั ผ้ึงออกจากรัง
“โคร๊ะ” คือภาชนะใส่รังผ้งึ
“ไมต้ รี” คือไมก้ วาดตวั ผ้งึ และใชส้ าหรับแซะรังผ้งึ
“ชะนง่ั ได”้ คอื เคร่ืองมือดกั ปลาที่ดา้ นในมีเง่ียงดกั ปลาเขา้ แลว้ ออกไมไ่ ด้
๑๗๗
“หนะหวายพวน” คือส่วนที่เป็นหนามยาวของหวายพวน บางเสน้ ยาวถึง ๒
เมตร เป็นหนามแหลมทวนทางปลาย ถา้ แหยเ่ ขา้ ไป เวลาดึงออกตวั “หนะหวาย” จะกระชากสิ่งกีด
ขวางขาดกระจุยได้ หวายพวนเป็นหวายป่ าขนาดใหญแ่ ละยาวมาก
“เหลก็ ดอกบอน” คอื เครื่องมือเจาะฝีมือภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน
“ขวานถาจีน” ขวานของพวกคนจีนท่ีใชส้ ับกระดูกชิ้นใหญข่ องววั ควาย หมู
ที่แลเ่ น้ือแลว้
“เอน็ หมายกุ ” คอื เอน็ ร้อยหวาย หลงั ขอ้ เทา้
“เฌอ” ภาชนะใส่ของหนกั
“แสก” คอื สาแหรกท่ีทาจากหวาย มี ๔ สาย ดา้ นบนรวบปลายหวายเป็นหู
สาหรับสอดไมค้ าน ดา้ นลา่ งขดั กนั เป็ นส่ีเหลี่ยมสาหรับวางกระจาด มี ๒ ชุด เพือ่ ใหส้ มดุลยเ์ วลาหาบ
หาม
“ม่า” ภาชนะใชต้ กั น้าจากบ่อซ่ึงทาดว้ ยกาบหมาก มาจากคาวา่ “ทิม่า”ใน
ภาษามลายู เด๋ียวน้ีไม่มีใหเ้ ห็นแลว้
“ตดู ” เครื่องมือเป่ าที่ทาดว้ ยเขาควาย ใชส้ าหรับเป่ าเป็นสญั ญาณบอกเวลา
หรือเหตกุ ารณ์ต่าง ๆบง่ หมายใหม้ าร่วมประชุม เวลาเป่ าจะออกเสียง ปดู ๆ ดงั กงั วานออกไปไกล
“ครกบด” เครื่องมือสาหรับโม่แป้ง ทาดว้ ยหินหรือปูนซีเมนต์ รูปทรงกลม
ฐานขา้ งมีรางโดยรอบ ฝาบนเจาะเป็นรูใส่ไมแ้ ขนไวเ้ พ่ือใชจ้ บั ขณะบด ครกบดโดยทวั่ ไปมีขนาด ฐาน
ครกประมาณ ๑.๕ – ๕.๕ ฟุต
“ลูกประ” หรือลกู กระเกิดจากไมป้ ระ นามาแปรรูปเป็นลูกประดอง ลูกประ
คว่ั เคยลกู ประ มีมากท่ีเทือกเขาเหมน เขาหลวง รสออกหวานมนั อร่อยลิ้น
“ไมต้ ราด” คือไมก้ วาดที่ทาจากไมไ้ ผแ่ ก่จดั ตดั ยาว ๒ เมตร ดา้ นโคนผา่ เป็น
ซีกเลก็ ๆ แลว้ กรองดว้ ยหวาย ใชส้ าหรับกวาดใบไม้ ใบหญา้
กุนหย”ี คือดอกบานมิรู้โรย มาจากภาษามลายใู นคาวา่ “เบอระกุนี”
ส่วนคานามที่มาจากภาษาจีนก็มี โกป้ี เล่าเตง้ โอยว๊ั ะ ฯลฯ ท่ีมาจากภาษา
มลายู ไดแ้ ก่ ลงั ตงั ภาษามลายวู า่ “ตะรังตงั ” มี ๓ ชนิด คือลงั ตงั ไก่ ลงั ตงั กวาง ลงั ตงั ชา้ ง
“มะม่วงหิมพานต”์ ท่ีนี่พูดไดท้ ้งั หลายคา เช่นวา่ เมด็ ทา้ ยลอ่ , ยา่ หมู,ยา่ โหย้
, ยาร่วง,เมด็ ม่องล่อ
- คากริยาท่ีใชพ้ ดู เฉพาะในถิ่น ตวั อยา่ งไดแ้ ก่
“สีน” คอื ตดั หรือ หนั่ เป็นชิ้น เช่นประโยควา่ “กจู ะสีนดว้ ยมีดโต”้ หรือบท
โนราโกลนที่วา่ “ นงั่ ๆ ผนั หนา้ ไปปลากออก แกงควั่ รอกสบั ใหเ้ นียน ตดั ตีนสีนเศียรผา่ หลอดทา้ ย
เอาใสโ้ ยน”
๑๗๘
“กาศ” คากลา่ วประกาศ อญั เชิญส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิ
“แหมด็ ” คือ กด หรือหยกิ เช่น “ฉนั จะแหมด็ แกใหเ้ จบ็ จนตาย”
“แหมด๊ ” หมดเกล้ียงไม่เหลือ เช่น “แกงน้ีหรอยเกินกินจนแหม๊ดฉาด”
“ขบ” กดั
“สี” ทา หรือขย้ี
“ชงั ก้งั ” คาพดู แผลง ๆ เรียกวา่ พดู ชงั ก้งั
“ลม้ ยกั หาย” คอื ลม้ หงายหลงั
“น้าพ่ะ” ฝนตกติดต่อกนั นาน ๆ จนน้านองตลิ่ง เรียกวา่ “น้าพ่ะ” คาน้ีมา
เพ้ียนมาจากภาษามลายวู า่ "“เบอรฺพะ”
- คาพดู แสดงคุณลกั ษณะ เช่น
“จวั๊ ะ” ขาว เรามกั พูดวา่ ขาวจวั๊ ะ
“ปื๊ ด” ดา คอื ดาปื๊ ด
“แจด๊ ” แดง
“จ๋อย” คอื สี เหลือง
“ปื๋ อ” คือสีเขียว
“ป๋ี ” คอื เคม็ ถา้ พูดวา่ เคม็ ป๋ี หมายถึงเคม็ มาก
หา้ คาน้ีท่ีจริงเป็นภาษากะเหร่ียง ใชพ้ ูดกนั ทุกภาค ชาวชา้ งกลางนามาใชพ้ ดู ดว้ ย เพ่ือเป็นการ
เนน้ ในลกั ษณะน้นั ๆ เช่น แดงแจ๊ด เหลืองจ๋อย เคม็ ป๋ี ฯลฯ เป็นตน้
นอกจากตวั อยา่ งที่ยกมาแสดงน้ีแลว้ ยงั มีคาอื่น ๆ อีกมากมายท่ีใชพ้ ูด ซ่ึงสามารถประมวล
เป็นพจนานุกรมภาษาถ่ินชา้ งกลางได้
๘.๒ วรรณกรรม
วรรณกรรม ที่เกิดจากผลงานของคนในทอ้ งถ่ินชา้ งกลางมีมากมายท้งั ร้อยแกว้ และร้อยกรอง
โดยเฉพาะประเภทร้อยกรองน้นั เป็นผลงานระดบั ชาติที่ไดร้ ับรางวลั ยอดเยย่ี ม ดงั จะกล่าวต่อไปน้ี
ก.ประเภทร้อยแก้ว วรรณกรรมประเภทร้อยแกว้ โดยมากเป็นหนงั สืออนุสรณ์พมิ พข์ ้ึนใน
โอกาสตา่ งๆ ซ่ึงมีท้งั การอนุรักษป์ ระเพณีวฒั นธรรม การฉลองอายวุ ฒั นะ การทอดกฐิน การ
พระราชทานเพลิงศพ ที่สาคญั ไดแ้ ก่เรื่องตา่ ง ๆ ดงั ต่อไปน้ี
- “สมบตั ิชาวคลองงา” เป็นหนงั สืออนุรักษป์ ระเพณีสาคญั พิมพเ์ ม่ือ พ.ศ. ๒๕๐๙
- “เคลด็ ลบั แห่งความสาเร็จในการขาย” หนงั สือแปลโดยนายวรรณดี สรรพจิต พิมพ์
เผยแพร่เพ่ือนกั ศึกษาวชิ าการขาย และนกั การขาย เม่ือ พ.ศ.๒๕๑๗
-- ฉวาง-สุวรรณภูมิ” เรียบเรียงโดยพระอธิการอรุณ ญาวโร พิมพเ์ ผยแพร่เม่ือ พ.ศ.
๒๕๒๑
๑๗๙
- “พุทธิสาร” พิมพเ์ ผยแพร่ในโอกาสบาเพญ็ กุศล อายคุ รบ ๘ รอบ ๙๖ ปี ของพระ
พทุ ธสารเถร เม่ือ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๒๖ ตอ่ จากน้ีกม็ ีการพมิ พฉ์ บบั ท่ี ๒ และที่ ๓ ตามมา
- “เรือนพ่อ” รวบรวมโดยนายศรีจนั ทร์ พุม่ พวง พมิ พเ์ ป็นที่ระลึกในงานสมโภช
มณฑป พ่อทา่ นคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ วดั สวนขนั เม่ือ ๒๒ ธนั วาคม ๒๕๓๒
- “พระราชพิธี ๗ เร่ือง” พมิ พใ์ นโอกาสถวายผา้ พระกฐินพระราชทาน ณ วดั มะนาว
หวานเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙
- “พระธาตุเจดีย์ ๕ องค”์ พิมพใ์ นโอกาสฉลองอายุ ๖๐ ปี พระครูสถิตวหิ ารธรรม
เมื่อ ตุลาคม ๒๕๓๗
- “อนุสรณ์อาจาริยกตญั ญู” พิมพใ์ นโอกาสรวมทุนก่อต้งั มูลนิธิหลวงพอ่ คร้ืน โสภ
โณ ท่ีวดั เจดียน์ อ้ ย เมื่อ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๙
ข. ประเภทร้อยกรอง ในอาเภอชา้ งกลางมีกวีเกิดข้ึนมากมายท้งั ในอดีตและปัจจุบนั พอท่ีจะ
ประมวลไดด้ งั น้ี
๑. กาพย์
- เร่ือง “สุภาษิตสอนลูกหลาน” ของพระภิกษกุ ล่อม ธมฺมคุตฺโต(ตราชู)
พมิ พเ์ ผยแพร่เม่ือปี ๒๔๙๖ พระกลอ่ ม ธมฺมคุตฺโต (ตราชู) เป็นชาวคลองงา หมู่ ๒ ตาบลชา้ ง
กลาง บิดาช่ือนายหวาน ตราชู มารดาชื่อนางหนูน (ชูยงค)์ เม่ือบ้นั ปลายชีวติ ไดอ้ อกบวชอยวู่ ดั พระ
มหาธาตุฯ กบั พระพทุ ธิสารเถร(พ่อท่านผดุ ) มีความรู้ทางยาสมุนไพรดว้ ย ท่านไดแ้ ตง่ สุภาษิตสอน
ลูกหลานเป็นกาพยย์ านี ๑๑ ออกพมิ พเ์ ผยแพร่คร้ังแรกเม่ือคราวอปุ สมบท ๖ พฤษภาคม ๒๔๙๖ และ
พิมพอ์ ีกคร้ังในงานศตมวารราลึกครูเอ้ือม ตราชู ผูเ้ ป็นลกู ของพี่ชายเม่ือ พ.ศ.๒๕๐๘ สุภาษติ ดงั กลา่ ว
น้ียาวหลายหนา้ กระดาษ จึงไดต้ ดั เอามาบางตอนเพอื่ ใหด้ ูเป็นตวั อยา่ งดงั น้ี
ยานี ๑๑
๏ หากินใหส้ ุจริต อยา่ กอบกิจวิสยั พาล
คา้ ขายตอ้ งหมายการ ท่ีไมเ่ ห็นเป็นบาปกรรม
๏ ตราชงั่ ถงั ทะนาน ประกอบการใหเ้ ท่ียงธรรม
อยา่ เป็นเช่นใจดา ทาของปลอมยอ้ มแมวขาย
๏ การฉอ้ พดู ล่อลวง ไมพ่ น้ หว้ งแห่งอบาย
หาลาภดว้ ยหยาบคาย ถึงเก็บไวก้ ไ็ มน่ าน
๏ ดีนกั สกั เพยี งบุตร คงสิ้นสุดไม่ถึงหลาน
ยากจนสูท้ รมาน อนั การฉ้ออยา่ พอใจ
๏ ซ้ือขายใหเ้ รียบร้อย จะกลา่ วถอ้ ยอธั ยาศยั
๑๘๐
มิตรสหายท่ีใกลไ้ กล เอาใจกนั น้นั แหละดี
๏ คดโกงทาโฉงเฉง ใครจะเกรงอะไรมี
นอกแต่แผไ่ มตรี ไม่เป็ นที่คนนิยม
๏ เพื่อนบา้ นอยา่ พาลโกรธ เสียประโยชนไ์ ม่เห็นสม
ความดีเป็ นท่ีนิยม ของมหาประชาชน
๏ อยา่ แลแต่โทษท่าน พงึ วจิ ารณ์ดูโทษตน
ติฉินนินทาคน มกั เกิดความไม่งามดี
๏ รักตนสงวนท่าน เพอ่ื เป็นการสามคั คี
รังเกียจพดู เสียดสี มีแตเ่ รื่องเคืองราคาญ
๏ อยา่ แกวง่ ตีนหาเส้ียน เบียนร่างกายไมเ่ ขา้ การ
จงมีไมตรีสมาน กบั เพือ่ นบา้ นและหญิงชาย
๏ อยา่ ใหเ้ ขาเกลียดชงั คอยระวงั รักษากาย
วาจาอยา่ หยาบคาย ใหอ้ อ่ นหวานเป็นการดี
๏ เรือนเหยา้ ของเราอยู่ จงแลดูใหถ้ ว้ นถี่
ปัดกวาดสะอาดดี จะเป็นที่อยสู่ บาย
๏ เงินทองของนิดหน่อย คอยรักษาอยา่ ใหห้ าย
เป็นทรัพยส์ าหรับกาย แมต้ กร้ายไดช้ ่วยตวั
๏ นุ่งห่มพอสมพกั ตร์ ถา้ เกินศกั ด์ิคนมกั หวั ฯ
เลน่ อะไรอยา่ ใหม้ วั่ ส่ิงท่ีชว่ั ควรกลวั เกรง
๏ กนั ชาสุราฝิ่น อยา่ สูบกินเป็นนกั เลง
ทาชวั่ ใส่ตวั เอง ต่อเมื่อทุกขจ์ ะฉุกใจ
๏ อน่ึงเล่นการพนนั อยา่ สาคญั วา่ สนุกใหญ่
เสียประโยชนเ์ กิดโทษภยั ยอ่ มแจง้ ใจแลว้ ทุกคน
๏ อยา่ เห็นเลน่ สนุก จะเกิดทุกขเ์ ป็นภยั ผล
ถึงมีวิชาตน วนั เคราะหร์ ้ายไม่ไดก้ าร
๏ ผใู้ ดใครมาหา ตอ้ งทกั ทาปราศรัยสาร
เวลาไปหาทา่ น อยา่ นงั่ นานกลบั มาเรือน
๏ การเหยา้ เอาใจใส่ ใครทาผิดคดิ ตกั เตือน
ถ่ินฐานและบา้ นเรือน ระวงั เหตุดูเภทภยั
๏ สนธยาราตรีกาล เม่ือมีงานก็ทาไป
เสร็จสรรพลาดบั ไว้ เอาไฟส่องตามหอ้ งนอน
๑๘๑
๏ หนา้ ตา่ งและประตู จงตรวจดูสักกลอน
ตามกาลโบราณสอน แลว้ จึงนนผอ่ นสบาย
๏ ยามรุ่งพงุ่ สุริยาจงต่ืนตาอยา่ นอนสาย
ลุกนงั่ ระวงั ไว้ อยา่ กีดขวางหนทางคน
๏ ชะโงกนง่ั โยกตวั มาแบกหวั ไมช่ อบกล
เดินทางกลางถนน สารวมตนอยา่ ลนลาน
๏ เกลือกสดุดสิ่งอนั ใด จะป่ วยเทา้ ไมเ่ ขา้ การ
อยา่ งเร่งเริงร่าราญ หวั เราะพลางกลางมรรคา
๏ พบพานทา่ นผดู้ ี หรือมีวยั และยศฐา
พงึ แสดงกิริยา โดยเรียบร้อยท้งั ถอ้ ยคา
๏ ควรนบนอบนอ้ มไหว้ ควรนอ้ มกายก็พงึ ทา
กริยาน้ีประจา สาหรับตนของคนดี
๏ ยามกินโภชนาหาร พอเพียงการประมาณมี
เค้ียวดงั ฟังไมด่ ี มกั จะมีที่นินทา
๏ แกงกอ้ ยยอ้ ยหยมู หยาม เป้ื อนปากทรามไมง่ ามตา
ตอ้ งมีกิริยา จะกินอยดู่ ูระวงั
๏ พูดจาวา่ ส่ิงใด อยา่ หยามใหญ่ส่งเสียงดงั
คาวหูหมู่ชนงั เป็นที่ชงั ไมบ่ งั ควร
- เร่ือง “ศึกพระยาแลน” ของนายเอียด สันตจิต พิมพใ์ นโอกาสครบรอบ
๑๒๐ ปี กวีเอียด ปี ๒๕๔๖ โดยชมรมผสู้ ูงอายโุ รงพยาบาลสมเดจ็ พระยพุ ราชฉวาง-ชา้ งกลาง
ยกตวั อยา่ งตอนที่พระยากบรับสารพระยาแลน รู้สึกแคน้ เคอื ง ท่านแต่งเป็นกาพยส์ ุรางคนางค์ ๒๘ วา่
ดงั น้ี
“๏ วนั น้นั แต่เชา้ พระยากบตวั เฒ่า
ทา่ นทา้ วเสด็จนง่ั ทาคางยบั ยบั
อยหู่ นา้ พลบั พลาวงั ทอดทดนยั นงั
เห็นอา้ ยตงั กวดมา
๏ นอ้ มเกลา้ ดุษณีตรัสถามทนั ที
วา่ จะไปไหนหนา ติ้งกวดตอบความ
ไปตามสจั จา บอกวา่ ตวั ขา้ ฯ
มาหาเจา้ พระคณุ
๏ ถือตราพระยาจกั ร เฉพาะพระพกั ตร์
๑๘๒
ภเู บนทร์นเรทร์สูรย์ พอนทบั รับสาร
อ่านขา่ วเคา้ มลู รู้วา่ เจา้ พระคณุ
อยหู่ วั แลนทอง
๏ ยกทพั ขบั พล มาตอ่ ประจณ
จะชิงเอาหนอง ในสารจาเพาะ
ใหอ้ อกรับรอง เห็นผดิ ทานอง
ธรรมเนียมกษตั รา
๏ อา่ นจบประสบเรื่อง พระยากบแคน้ เคอื ง
ทืบพระบาทฉาดฉ่า น้าฟ้งุ ท้งั หนอง
จึงร้องถามมา ผใู้ ดใจกลา้
ที่รับอาสาแทน
๏ เป็นจอมทพั พล มาตอ่ ประจณ
ชิงเอาเขตแดน ถา้ เราไมต่ าย
ไม่ใหเ้ ป็นแม่น เอง็ ไปทลู แทน
ตามคาเราส่งั
๏ เรื่องศึกเราผดั ขอสัญญานดั
ผดั ไวส้ ักคร้ัง ภายในสามวนั
บอกกนั วา่ เราสง่ั เอง็ จงกลบั หลงั
ไปทูลคดีฯ”
๒.กลอน มีผลงานของกวีชา้ งกลางดงั น้ี
๒.๑ นายเอ้ือม อบุ ลพนั ธ์มีหลายเร่ือง ไดแ้ ก่
- ยอดกตญั ญู จานวนพิมพ์ ๑๐ กวา่ คร้ัง
- เกสรบวั พมิ พใ์ นโอกาสต่าง ๆ หลายคร้ัง
๒. ๒ นายสาบ อินทรทศั น์ ไดแ้ ก่สุภาษติ สนลูก-หลาน
๒.๓ นายเอียด สันตจิตไดแ้ ก่ เรื่อง
- คงคนธรรพ์
- ประวตั ิทิดช่ืน
- ยกั ษแ์ ดงกวาง
- ยกั ษส์ งั ข์
- นิราศแตกสามคั คี
- นิราศลาตาย
๑๘๓
หกเรื่องขา้ งตน้ น้ี ชมรมผสู้ ูงอายโุ รงพยาบาลยพุ ราชฉวางพิมพเ์ ผยแพร่ในโอกาส ๑๒๐ ปี กวี
เอียดเม่ือ พ.ศ.๒๕๔๐
๒.๔ กลอนเพลงบอกเร่ืองระวตั ิสงกรานตข์ องนายอานวย สุวรรณ
๒.๕ กลอนเพลงหนงั ตะลงุ และโนราของนายแจง้ กระจ่างจบ
๓. คาฉันท์ มีผลงานของนายวรรณดี สรรพจิต ครูภูมิปัญญาไทย สาขาภาษาและ
วรรณกรรม หลายเรื่องดงั น้ี
- “ราชินีสดุดีพจน”์ เป็นคาฉันท์ รับรางวลั ชนะเลิศจากพระองคเ์ จา้ เปรม บุร
ฉตั ร เนื่องในงาน “นิทรรศการร้อยกรองคร้ังแรกแห่งประเทศไทย” ณ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ เม่ือปี
พ.ศ.๒๕๐๗”
- “เฉลิมเกียรติกรุงรัตนโกสินทร์” เป็นหนงั สือกวีนิพนธ์คาฉนั ทห์ นา ๒๑๕
หนา้ ไดร้ ับรางวลั ยอดเยยี่ มจากรัฐบาล เป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท กรมศิลปากรพมิ พเ์ ผยแพร่ในโอกาส
สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปี เม่ือ พ.ศ.๒๕๒๕
-“บารมีพระร่มเกลา้ ” เป็นหนงั สือกวนี ิพนธค์ าฉนั ท์ รับรางวลั ชมเชยจาก
รัฐบาลเป็นเงิน ๒๕,๐๐๐ บาท กรมศิลปากรพมิ พเ์ ผยแพร่ในโอกาส “พระราชพธิ ีรัชมงั คลาภิเษก”
พ.ศ. ๒๕๓๑
- สิงคาลกสูตร และกาลามสูตร คาฉนั ท”์ พิมพใ์ นโอกาสงานฌาปนกิจศพ
นายกระจ่าง สนั ตจิตเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕
- พระเจา้ ตากสินมหาราชคาฉนั ท”์ กาลงั จดั พมิ พโ์ ดยหนงั สือพิมพม์ ติชน
เป็นคาฉนั ทท์ ี่ยาวที่สุดในประวตั ิศาสตร์ชาติไทย เพราะมีความยาวถึง ๔๒๐ หนา้
- พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั คาฉนั ท์ ยงั เป็นตน้ ฉบบั
๔. ร่าย ไดแ้ ก่ร่ายเรื่อง “โองการขับผ”ี เป็นร่ายยาวของนายเอียด สนั ตจิต ซ่ึงชมรม
ผสู้ ูงอายโุ รงพยาบาลยพุ ราชฉวางพิมพเ์ ผยแพร่ในโอกาส ๑๒๐ ปี กวีเอียดเม่ือปี ๒๕๔๐ หนงั สือเลม่ น้ี
อยใู่ นสารบบของมหาวทิ ยาลยั บรู พา มีตวั อยา่ งข้ึนตน้ วา่ ดงั น้ี
“โอม! สิทธิการ ครูอาจารย์ ครูกชู ่ือเอียดดาและเอียดหวั ลาย ท่านประสิทธ์ิมนตต์ นน้ีไว้
ใหแ้ ก่ตวั กู ใหช้ ่ือวา่ พระมหาแสบ มนั แสบแรงกวา่ น้าดีปลีข้ีนก พระครูจึงยกเอกกาเนิดฝงู ผที ้งั หลาย
ท้งั ผปี ่ าผไี ม้ ผชี ายผีชิน สลบั วา่ พนั ธุผ์ ีใดใดที่อาศยั อยใู่ นแผน่ ดิน พระครูกสู้ ิ้นทุกพนั ธุ์ผี จึงบงั คบั ให้
ตวั กนู ้ี กาจดั พวกสูท้งั หลาย ไม่ใหอ้ าศยั อยไู่ ดใ้ นรูปพระธรรม กจู ะขยาใหถ้ กู ตรงสะดือ จะเขา้ ไปเถือ
เอาเย่อื ใน ไชรูหู แลว้ กจู ะไชดว้ ยเหลก็ ดอกบอนผใู้ หญจ่ ุย้ กจู ะคุย้ กจู ะควกั กูจะชกั เอาหวั ใจ แลว้
เอาหนะหวายพวนเสน้ ใหญ่ยอนเขา้ ไปในปาก กูจะชากเอาลิ้น จะกินเอาตบั กูจะสบั เอาฟัน กูจะยนั
ดว้ ยกริชข้หี นิม แลว้ จะถิ้มดว้ ยสากหวั ป้าน จะผา่ ดว้ ยขวานถาจีน กูจะสีนดว้ ยมีดโตข้ า้ งไฟ จะจบั สู
ไป แลว้ ซดั ใหไ้ ปถูกเอียดหม่ืนไกร กจู ะไชรูหู แยง้ ตตู้ ้ี กจู ะตีดว้ ยคอ้ นเห้ียนผใู้ หญก่ ุง้ กจู ะจบั ใส่ถุง
๑๘๔
ปากรูด กูจะขดู ดว้ ยหอยแครง แกงทอดหวั ข่า แลว้ ไปหาอา้ ยเกล้ียงใหม้ าด่าวนั สามหน กูจะแทงดว้ ยย
นของกลบั พ่อหมา้ ย ถา้ ผใี ดยงั ทนอยไู่ ดไ้ ม่ออกมา กูจะไปหาไขข่ นุ นทบ์ า้ นนาใหม้ าฉีกตาหลอก ถา้ สู
ยงั ไม่ออก กูจะไปบอกอีทองอบใหม้ าขบกบั ทวด กจู ะสวดดว้ ยยตั ิโตหงั ภคั ินี กูจะตีดว้ ยไมห้ ลกั ตู ถา้ ผี
ใดยงั ไมฟ่ ังคากู จะไปหาไขกรดบา้ นตกใหม้ าเหยยี บลงสักร้อย สูจะยอ่ ยสูจะยบั กจู ะสบั กจู ะยา ก็
จะหยาใหข้ ้ึนเปื อกเลด็ เลด็ แลว้ เหมด็ ใหถ้ ูกเอ็นหมายกุ กูจะจุกดว้ ยเปลือกสม้ เมา่ ไข่ปลา พระครูจะให้
กูวา่ พทุ ธงั กระจาย ฝงู ผที ้งั หลายกระจายดว้ ยพทุ ธงั ธรรมงั กระจาย ทนบท้งั หลายกระจายดว้ ยธรรมงั
สังฆงั กระจาย คณุ ยาท้งั หลายกระจายดว้ ยสังฆงั ....สยั ยะทธิ งั หุโล หุโล สวา่ งหาย”
บทที่ ๙.การศึกษา
๙.๑ การศึกษาในยคุ ต่าง ๆ
- สมัยโบราณ
ในอดีต พ้นื ท่ีชา้ งกลางท้งั หมดเป็นบา้ นป่ า บา้ นดง ชีวิตความเป็นอยขู่ องคนในพ้นื ท่ีข้นึ กบั
ธรรมชาติท่ีเตม็ ไปดว้ ยสัตวป์ ่ านานาชนิด ต้งั แตส่ ัตวใ์ หญ่ มีชา้ ง จนถึงสัตวเ์ ลก็ ชะนีอีเห็น ฯลฯ เป็นตน้
การศึกษาหาความรู้ของคนท่ีน่ีต้งั แต่สมยั โบราณส่วนใหญ่จึงเป็นการศึกษาจากธรรมชาติ ซ่ึงถือวา่
เป็นการศึกษาภาคบงั คบั เพ่ือใหช้ ีวติ อยูร่ อด บรรพบุรุษของคนในชา้ งกลางไดเ้ รียนรู้โดยการผา่ น
ประสบการณ์และสั่งสมความรู้น้นั สู่ลูก-หลานจากรุ่นสู่รุ่น เป็นภูมิปัญญาในสาขาตา่ งๆ ท้งั ดา้ น
ขนบธรรมเนียมประเพณี วฒั นธรรม ภาษา วรรณกรรม ศิลปะการแสดง การเกษตร เวชกรรม รวม
ตลอดถึงยาสมนุ ไพร ลว้ นแต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการดารงชีวติ เพ่ือใหอ้ ยรู่ อดนี่เอง
ยอ้ นหลงั ไปเมื่อสมยั ท่ีชาวอินเดียอพยพหนีภยั อิสลามจากอินเดียมาข้ึนฝั่งที่กระบี่เขาชวาปาบ
เมื่อราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๖ พวกหน่ึงซ่ึงนาโดยพราหมณ์มาลีและมาลา ตามที่ปรากฎในศิลาจารึกหลกั
ท่ี ๒๕ จารึกไวว้ า่ พราหมณ์สองพ่นี อ้ งน้ีไดย้ า้ ยถ่ินเขา้ มาอยใู่ นเวยี งสระ(เดิมช่ือเมืองขวาง) และก่อนที่
จะยา้ ยไปสร้างเมืองที่หาดทรายแกว้ ไดน้ าสมบตั ิมาฝังไวท้ ่ีถ้าหม่ืนยมในทอ้ งท่ีหมู่ ๑ ตาบลชา้ งกลาง
ไดน้ าเอาความรู้ตา่ ง ๆ มาเผยแพร่ ทิ้งร่องรายไวม้ ากมาย โดยเฉพาะพิธีกรรมต่าง ๆ เม่ือสร้างเมืองที่
หาดทรายแกว้ ในทอ้ งที่อาเภอพระพรหมปัจจุบนั พราหมณ์ผพู้ ่ีที่ชื่อมาลีไดต้ ้งั ตนเป็น พญาศรีธรรมา
โศกราช พราหมณ์ผนู้ อ้ งที่ชื่อ มาลา เป็นอปุ ราช เป็นปฐมวงศใ์ นสกลุ ปทมุ วงศ์” หรือ “ปัทมวงศ”์ ทกุ
องคท์ ี่ข้นึ ครองเมืองช่ือวา่ “จนั ทรภาณุ” ท้งั สิ้น นน่ั คือประวตั ิที่จารึกไวใ้ นหลกั ท่ี ๒๕ซ่ึงพบที่ไชยา
และหลกั ท่ี ๓๕ ซ่ึงพบท่ีดงแม่นางเสือง อาเภอบรรพตพสิ ัย จงั หวดั นครสวรรค์ จารึกไวเ้ มื่อประมาณ
พุทธศตวรรษที่ ๑๘เป็นภาษาสันสกฤต อกั ษรอินเดีย ท้งั สองท่านน้ีถือไดว้ า่ เป็นศูนยก์ ารเรียนรู้ของ
คนนครศรีธรรมราชรวมถึงชา้ งกลางมาแต่คร้ังโบราณ
- ในยุคกรุงสุโขทัย
๑๘๕
เม่ือเขา้ ยคุ กรุงสุโขทยั พ่อขนุ รามคาแหงไดป้ ระดิษฐ์อกั ษรไทยข้นึ ใชเ้ ป็นภาษาเขียนในปี
พ.ศ.๑๘๒๖ โดยไดด้ ดั แปลงจากอกั ษรมอญและขอม ท่ีเชื่อเช่นน้นั เพราะมีหลกั ฐานยนื ยนั ในศิลาจารึก
ระบวุ า่ พ่อขนุ รามคาแหงไดป้ ระดิษฐ์อกั ษรไทยข้นึ ใชใ้ นปี มหาศกั ราช ๑๒๐๕ หากบวก ๖๒๑ ตาม
หลกั การคานวณหาปี พ.ศ. กต็ รงกบั ปี พ.ศ.๑๘๒๖ ดงั กล่าวแลว้ ซ่ึงเป็นอกั ษรไทยด้งั เดิม คงได้
เผยแพร่มาสู่นครศรีธรรมราชต้งั แต่สมยั ท่ีพระองคท์ ่านไดเ้ สด็จลงมารับพระพุทธสิหิงคไ์ ป
ประดิษฐานที่กรุงสุโขทยั
ในยคุ กรุงสุโขทยั น้ี เราไดร้ ับอิทธิพลจากมอญและขอม การเรียนหนงั สือไทยส่วนใหญจ่ ะ
เป็นการเรียนภาษามอญและขอมผา่ นมาทางวดั ที่สาคญั ตา่ ง ๆ แมจ้ ะล่วงเลยมาหลายศตวรรษ แต่
อิทธิพลภาษามอญและขอมยงั ตรึงแน่นอยกู่ บั คนไทยจากรุ่นสู่รุ่น คนในอาเภอฉวางและชา้ งกลางยคุ
แรก ๆ ที่มีความรู้ดา้ นภาษา ส่วนใหญ่จะสามารถเขียน-อ่านภาษาขอมได้ อยา่ งเช่น ขนุ รัตนสิทธ์ิ
บรรจง ชาวทานพอ บิดาพระราชวราภรณ์(เจิม กนฺตสีโล) นายอินทร์ สีนิล ชาวชา้ งกลาง บิดาของพ่อ
ท่านคลา้ ย วาจาสิทธ์ิ ท่านมีความรู้ดา้ นภาษาขอมเป็นอย่างดี จึงเป็นศูนยศ์ ึกษาอกั ขรสมยั ของพ่อทา่ น
คลา้ ยในคร้ังปฐมวยั ก่อนท่ีจะไดไ้ ปเรียนรู้ในที่อื่น ๆ ตอ่ ไป การเขียนอกั ษรไทยและอกั ษรขอม
แตกต่างกนั อยา่ งไร ดงั จะเห็นตวั อยา่ งจากผงั การแสดงซ่ึงรวบรวมบางส่วนจากหนงั สือลายสือไทย
๗๐๐ ปี ของศาสตราจารยก์ าธร สถิรกลุ ขา้ งล่างน้ี แสดงการเขียน ก ไก่ ค ควาย น หนู และ ธ ธง ซ่ึง
ววิ ฒั นาการจากเขยี นเป็นภาพ แลว้ กลายมาเป็นอกั ษร ๔ ตวั ดงั น้ี
- สมัยอยธุ ยา
๑๘๖
เม่ือล่วงมาถึงยคุ กรุงศรีอยธุ ยา ชนชาติตา่ ง ๆ ท้งั ในยโุ รปและเอเชียไดเ้ ขา้ มาติดตอ่ คา้ ขาย ได้
นาเอาวชิ าความรู้และภาษาตา่ ง ๆ เขา้ มาเผยแพร่ ทาใหเ้ ราไดเ้ รียนรู้ภาษาและขนบธรรมเนียมประเพณี
จากชาติต่าง ๆ มากข้ึน ขณะเดียวกนั สมยั น้ีไดม้ ีการสร้างวดั เป็นศนู ยก์ ลางเรียนรู้แพร่หลายมากข้นึ
ในช่วงสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไดเ้ กิดหนงั สือจินดามณี แตง่ โดยพระโหราธิบดี
พระมหาราชครู มีเน้ือหาเป็นเกี่ยวกบั เร่ือง อกั ษรศพั ท์ คาศพั ทท์ ี่มกั เขียนผดิ ความหมายของศพั ทท์ ่ียมื
มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต และเขมร ตวั อยา่ งคาท่ีใช้ ส, ศ, ษ ตวั อยา่ งคาที่ใชไ้ มม้ ว้ น ไมม้ ลาย เป็นตน้
ดา้ นบทประพนั ธร์ ้อยกรอง ไดอ้ ธิบายโคลง ฉนั ท์ กาพย์ กลอนประเภทตา่ งๆ รวมท้งั ยกตวั อยา่ งฉนั ท
ลกั ษณ์น้นั ๆ ประกอบดว้ ย
นอกจากน้ี เรื่องจินดามณียงั เป็นตาราท่ีไดร้ วบรวมถอ้ ยคาท่ีอาจเขียนผดิ เช่น คายมื
ภาษาตา่ งประเทศ คาพอ้ งรูป-พอ้ งเสียง ซ่ึงเป็นคาท่ีใชใ้ นภาษาเขยี น รวมถึงการอธิบาย พร้อม
ยกตวั อยา่ งวิธีการแตง่ คาประพนั ธต์ ่างๆ จึงสนั นิษฐานว่า หนงั สือจินดามณี เป็นแบบเรียนสาหรับผทู้ ี่
จะถวายตวั เขา้ รับราชการ หรือผทู้ ี่ฝึกหดั เป็นกวีในสมยั น้นั
ภาพตวั อย่างสมดุ ไทยดาเร่ืองจินดามณี
ในช่วงปลายรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ปี พ.ศ.๒๒๒๕ ชา้ งกลางก็ไดเ้ กิดวดั สาคญั คือวดั
มะนาวหวาน ช่ือวดั น้ีเดิมน่าจะมาจากคาวา่ “นาหวา่ น” เพราะปัจจุบนั คนที่นี่ยงั เรียกวา่ “นาหวา้ น”
แลว้ เพ้ยี นเสียงเป็น “นาหวาน” ใส่ “มะ”ลงมาทีหลงั เพือ่ ใหเ้ ป็นคาสมบูรณ์ วดั มะนาวหวานถือวา่ เป็น
ศนู ยก์ ลางเรียนรู้จริยธรรม ศาสนาและภาษามาแตโ่ บราณ สมยั หน่ึงคงมีอิทธิพลของพระมอญเขา้
มาถึงวดั น้ี เพราะมีเสาหงส์ต้งั อยใู่ นวดั เพิง่ จะสูญหายไปเมื่อ ๖๐ ปี ที่ผา่ นมา เสาหงส์น้นั เป็นนิมิต
๑๘๗
หมายของเมืองหงสาวดี มอญหงสาวดีคงมีบทบาทมาถึงวดั มะนาวหวานมาแต่โบราณ และไดน้ าเอา
ความรู้ด้งั เดิมของมอญมาเผยแพร่ดว้ ย เช่นการห่มผา้ ของพระภิกษุแบบมอญ เป็นตน้
แหล่งศึกษาสาคญั ของคนในชา้ งกลางแทบทกุ ดา้ นไดอ้ าศยั วดั มะนาววานเป็นที่ประสิทธ์ิ
ประสาธนค์ วามรู้จากรุ่นสู่รุ่น ชายไทยทุกคนถือประเพณีกนั ตอ่ ๆ มาวา่ ก่อนท่ีจะแต่งงานตอ้ งบวช
เรียนเสียก่อน คนในทอ้ งถ่ินน้ีที่เป็นชายแทบทุกคนไดผ้ า่ นการบวชเรียนตามประเพณีมาแลว้ ท้งั น้นั
จึงไดส้ ัมผสั กบั พระธรรมวนิ ยั ไดเ้ รียนรู้อ่านเขยี นท้งั อกั ษรไทยและอกั ษรขอม
- สมยั กรุงธนบรุ ี ในการเสียกรุงศรีอยธุ ยาคร้ังท่ี ๒ เมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ ตาราต่าง ๆ ถูก
พม่าเผาทาลายไปเป็นจานวนมาก พระเจา้ ตากสินไดร้ วบรวมเอาตาราตา่ ง ๆ จากนครศรีธรรมราชมา
ฟ้ื นฟูใหม่ โดยเฉพาะพระไตรปิ ฎกไดล้ อกแบบไวอ้ ยา่ งสมบรู ณ์
ตัวอย่างภาพในสมดุ ไตรภมู ิฉบบั กรุงธนบุรี
๑๘๘
นอกจากน้ีพระเจา้ ตากสินทรงโปรดใหร้ วบรวมตาราตา่ ง ๆ มาไวท้ ี่พระอารามหลวง แลว้
แพร่หลายกระจายออกสู่ทอ้ งถิ่นท่ีเคยแตกเป็นชุมนุมไดเ้ รียนรู้ในกระบวนเดียวกนั
- สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในสมยั แผน่ ดินตน้ กรุงรัตนโกสินทร์ ผรู้ ู้หนงั สือในทอ้ งถ่ินตา่ ง ๆ ไดส้ มั ผสั กบั เรื่องรามเกียรต์ิ
ซ่ึงแต่งในสมยั รัชกาลท่ี ๑ เพิ่มข้ึนมาจากเร่ือง “จินดามณี” ท่ีมีอยเู่ ดิมต้งั แต่สมยั กรุงศรีอยธุ ยา
คร้ันถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ ัว กาหนดใหใ้ ชห้ นงั สือไทย ประถม
ก กา และ ประถม มาลา
นบั เป็นแบบเรียนเล่มท่ี ๒ และ ๓ ตอ่ จากหนงั สือจินดามณี นอกจากน้ียงั ไดม้ ีการจารึกวิชาความรู้
แทบทุกสาขาไวท้ ี่ระเบียงวดั พระเชตพุ นฯ จนมีผกู้ ลา่ ววา่ เป็นมหาวิทยาลยั แห่งแรกในประเทศไทย
ส่วนหนงั สือปฐมมาลา เป็นหนงั สือแบบเรียนหนงั สือไทยโบราณ แตง่ ในสมยั รัชกาลที่ 3
โดย พระเทพโมลี วดั ราชบูรณะ สอนตวั สะกดในแมก่ น แมก่ ง แม่กก แม่กด แม่กบ แม่กม แม่
เกย อกั ษรท่ีใชใ้ นบาลี
ตวั อย่างหนงั สือประถม มาลา
๑๘๙
๑๙๐
ยคุ กลางรัตนโกสินทร์ สมยั รัชกาลที่ ๔ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดเกลา้ ฯ
ใหค้ นไทยเรียนภาษาองั กฤษ โดยจา้ งนางแอนนา เอช.เลียวโนเวนส์เป็นครูสอนพระเจา้ ลกู ยาเธอ แต่
น้นั มาก็มีการศึกษาภาษาองั กฤษกนั อยา่ งแพร่หลาย ส่วนที่เป็นสตรีราชสานกั ก็เรียนรู้แตเ่ ฉพาะการ
เยบ็ ปักถกั ร้อย การครัว กิจการบา้ นเรือน การเรียนหนงั สือจึงยงั คงไมม่ ีในหมู่ผหู้ ญิง สืบมาจนกระทงั่
สมยั รัชกาลที่ ๕ ไดเ้ ปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองจากระบบเวียง วงั คลงั นา ซ่ึงมีมาต้งั แต่สมยั สมเดจ็
พระบรมโกศ เป็นแบบกระทรวง ทบวง กรม ใน ร.ศ. ๑๑๒ การปกครองทอ้ งท่ีมีการแบ่งเป็นมณฑล
เมือง ตาบล หมบู่ า้ น ไดก้ าหนดใหม้ ีการศึกษาอยา่ งจริงจงั โดยมอบใหว้ ดั เป็นศูนยก์ ลางการเรียนการ
สอน ดว้ ยเหตนุ ้ีเป็นผลพวงใหเ้ กิดโรงเรียนแรกในตาบลชา้ งกลาง คอื โรงเรียนวดั มะนาวหวาน
ในระบบการศึกษาของทอ้ งถ่ิน ซ่ึงรับรูปแบบมาจากส่วนกลาง เริ่มแต่สมยั รัชกาลที่ ๕ ใชช้ ุด
“มลู บรรพกิจ” เป็นหลกั สูตรวิชาช้นั ตน้ ต่อมาเปล่ียนเป็นแบบเรียนเร็ว ๓ เลม่ อนั เป็นผลใหก้ ารเรียน
สมยั น้นั มีหลกั สูตรภาษาไทยแบง่ เป็น ๓ ประโยค และมีการสอบไลค่ วามรู้กนั แตล่ ะประโยค
ถึงสมยั รัชกาลท่ี ๖ ไดน้ าเอาวิชาลกู เสือจากประเทศองั กฤษมาต้งั กองเสือป่ า ต้งั ตาราวรรณคดี
ตา่ ง ๆ โดยทรงแปลจากตา่ งประเทศหลายเร่ือง เกิดการเฟื่ องฟดู า้ นการศึกษาไปทวั่ ประเทศ และเม่ือมี
การต้งั กองลูกเสือหญิงในปี พ.ศ.๒๔๕๙ เป็นผลใหเ้ กิด “เนตรนารี” ในยคุ ปัจจุบนั
พอมาถึงสมยั รัชกาลที่ ๗ พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ไดป้ ระกาศใชก้ ฎหมาย
ประถมศึกษา ในชา้ งกลางกพ็ ลอยไดร้ ับอานิสสงค์ เริ่มมีโรงเรียนระดบั ประถมศึกษามากข้นึ แตถ่ ึง
กระน้นั ก็ยงั ขาดงบประมาณที่จะสร้างสถานศึกษาใหเ้ ตม็ รูปแบบ ยงั คงอาศยั สถานที่ของวดั เป็นที่เล่า
เรียน แต่ความกระหายของคนทอ้ งถิ่นท่ีจะเรียนหนงั สือมีมากข้นึ บางแห่งยอมจ่ายค่าครูสอนเดือนละ
๑๐ สตางคก์ ็มี ดงั เช่นที่โรงเรียนวดั มะนาวหวานซ่ึงเกิดต้งั แตป่ ี พ.ศ.๒๔๗๔ มีครูสาราญ วงั ปรีชา
ไดร้ ับคา่ สอนจากผเู้ ขา้ เรียนรายละ ๑๐ สตางคต์ อ่ เดือนดงั น้ีเป็นตน้
- สมยั เปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.๒๔๗๕ คณะ
ราษฎร์ไดป้ ระกาศแผนการศึกษา ซ่ึงเป็น ๑ในหลกั ๖ ประการ คือ จะตอ้ งใหก้ ารศึกษาอยา่ งเตม็ ท่ีแก่
ราษฎร อนั เป็นผลใหม้ ีการจดั ต้งั สภาการศึกษา เม่ือปี พ.ศ.๒๔๗๕
๙.๒ แผนการศึกษาของชาติ
๒.๑ แผนการศึกษาฉบบั พ.ศ. ๒๔๗๙ เมื่อมีการต้งั สภาการศึกษาแลว้ ก็เริ่มใช้
แผนการศึกษาในปี พ.ศ. ๒๔๗๙ แต่เน่ืองจากภาวการณ์ในขณะน้นั ยงั ไม่มีความพร้อม โดยเฉพาะดา้ น
เศรษฐกิจ ในแผนน้ีจึงมีการปรับปรุงภาคบงั คบั ในช้นั ประถมจาก ๖ ปี เหลือ ๔ ปี การศึกษายงั ไม่
บรรลุผลตามที่ประกาศไว้
๒.๒ แผนการศึกษาฉบบั พ.ศ.๒๔๙๔ สมยั จอมพล ป.พบิ ลู สงคราม เป็น
นายกรัฐมนตรี มีเป้าหมายใหพ้ ลเมืองมีความรู้ ความคิดและความเชื่อตามที่รัฐประสงค์ หลกั สูตร
๑๙๑
ความรู้ของโรงเรียน วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เกิดข้นึ ตามขอ้ กาหนดของรัฐบาล มีการจาแนกเป็นพุทธ
ศึกษา จริยศึกษา และพละศึกษา เป้าหมายสาคญั คือสร้างพลเมืองในเป็นพลงั ในการสร้างสงั คม
ประชาธิปไตย ยคุ น้ีเจา้ นายในเช้ือพระวงศถ์ กู เพง่ เลง็ และถกู จบั กุมคุมขงั ก็มี
๒.๓ แผนการศึกษาฉบบั พ.ศ.๒๕๐๓ สมยั จอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ เป็น
นายกรัฐมนตรี ไดเ้ ริ่มมีแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ จึงมีการกระจายการศึกษาไปยงั
ทอ้ งถิ่นแทบทุกท่ี โดยเฉพาะคนในตาบลชา้ งกลางมีความต่ืนตวั ทางการศึกษามาก นอกจากมี
โรงเรียนระดบั ช้นั ประถมเกือบทุกหมู่บา้ นแลว้ ยงั ไดม้ ีการพฒั นาโรงเรียนราษฎร์ในระดบั ช้นั มธั ยม
ม.๑ – ม.๖ ใหม้ ีหลกั สูตรการเรียนการสอนเทียบเทา่ ของรัฐบาล อยา่ งเช่นโรงเรียนพ่งึ ตนเอง ในตาบล
หลกั ชา้ ง เป็นตน้ การเรียนการสอนสมยั น้ียงั เนน้ ใหน้ กั เรียนทอ่ งจา โนม้ นาในทางวตั ถนุ ิยมและทุน
นิยม ยงั ละเลยการสอนให้รู้จกั คน้ คิด ทาให้เกิดช่องวา่ งระหวา่ งคนจนกบั คนรวย จนเกิดชนช้นั ใน
สงั คม และเกิดการคอรับชนั่ ตามมา
๒.๔ แผนการศึกษาฉบบั ปี ๒๕๒๐ สมยั พลเอกเกรียงศกั ด์ิ ชมะนนั ท์ เป็น
นายกรัฐมนตรี สาหรับแผนน้ีมีการปรับปรุงการศึกษาใหส้ อดคลอ้ งกบั ภาวการณ์ท่ีเปลี่ยนแปลงไป
ลดช้นั ประถมลง ๑ ปี เหลือ ๖ ปี และเพ่ิมช้นั มธั ยมจาก ๕ ปี เป็น ๖ ปี รวมเวลาเรียน ๑๒ ปี
๒.๕ แผนการศึกษาฉบบั ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ สมยั นายอานนั ท์ ปันยารชุน เป็น
นายกรัฐมนตรี มุ่งเนน้ พฒั นาบุคคลใน ๔ ดา้ น คอื ดา้ นปัญญา ดา้ นจิตใจ ดา้ นร่างกาย และดา้ นสงั คม
๒.๖ แผนการศึกษาฉบบั ปี พ.ศ. ๒๕๔๕ สมยั พ.ต.ท.ทกั ษณิ ชินวตั ร เป็น
นายกรัฐมนตรี เป็นแผนการศึกษาที่ออกมาสอดคลอ้ งกบั พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ซ่ึง
ถือวา่ เป็นกฎหมายการศึกษาฉบบั แรกของไทยท่ีออกตามความในมาตรา๘๑ แห่งรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทยฉบบั ที่ ๑๖ ปี พ.ศ.๒๕๔๐ ในแผนการศึกษาฉบบั น้ีมีเป้าหมาย ๑๕ ปี ม่งุ เนน้ พฒั นา
บคุ คลรอบดา้ น หวั ใจหลกั อยทู่ ่ีสอนใหน้ กั เรียน เก่ง ดี มีสุข ตอ่ มาแผนน้ีไดม้ ีการปรับปรุงเมื่อ พ.ศ.
๒๕๕๒ ในสมยั นายอภิสิทธ์ิ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
๙.๓ ระบบโรงเรียน
๙.๓.๑ ระดับประถมศึกษา การกาเนิดประถมศึกษาในอาเภอชา้ งกลาง ถือวา่ วดั เป็น
ศนู ยก์ ารศึกของระดบั ประถมมาแต่ตน้ ซ่ึงส่วนใหญ่นาโดยพระภิกษุผเู้ ป็นเจา้ อาวาสแห่งวดั น้นั ๆ เป็น
ผใู้ หก้ าเนิดแตกต่างกนั ไปตามเหตุการณ์และสถานที่ ดงั จะเห็นจากประวตั ิของโรงเรียนต่อไปน้ี
- โรงเรียนวดั สวนขัน เป็นโรงเรียนเก่าแก่ เริ่มต้งั เม่ือปี ๒๔๕๓ หลงั จากพ่อ
ทา่ นคลา้ ยเป็นเจา้ อาวาสวดั สวนขนั ได้ ๘ ปี ท่านจึงมีส่วนสร้างร่วมกบั กรมการอาเภอฉวาง ขณะน้นั ก็
มี “หลวงสกลกิจจานุวตั ร” นายอาเภอ ร่วมดว้ ย “หม่ืนทิพยธ์ านี” กานนั ตาบลอะอาย เป็นหวั หนา้ นา
ทุนและแรงงานชาวบา้ นสร้างโรงเรียนคร้ังแรกเป็นเรือนไม้ หลงั คามุงจาก ฝาก้นั ไมข้ ดั แตะ ในบริเวณ
๑๙๒
วดั สวนขนั หมู่ ๖(เดิม) ใหช้ ่ือวา่ “โรงเรียนประชาบาลตาบลละอาย” โดยมีนายสอน จนั จงเป็นครูคน
แรก และครูคนเดียวสอนอยู่ ๕ ปี ก็ลาออกประเกอบอาชีพส่วนตวั
โรงเรียนวดั สวนขนั ต้งั แต่เร่ิมเปิ ดสอนจนกระทงั่ ปัจจุบนั น้ีมีผบู้ ริหารที่วิวฒั นาการมาจากครู
คนเดียว จนมีครูใหญ่ อาจารยใ์ หญ่ และตาแหน่งผูอ้ านวยการ รวมแลว้ ต้งั แต่ต้งั โรงเรียนจนถึง
ปัจจุบนั (พ.ศ.๒๕๖๐) มีผบู้ ริหาร ๑๗ คน ครูใหญ่ที่สอนโรงเรียนน้ีนานท่ีสุดร่วม ๑๗ ปี คอื ครูศรี
จนั ทร์ พุ่มพวง(เสียชีวติ แลว้ ) ท่ีสาคญั ไดเ้ ป็นครูสอนลูกศิษยค์ นหน่ึงซ่ึงตอ่ มาไดเ้ ป็นนายกรัฐมนตรีคน
ที่ ๒๖ ดว้ ยนน่ั คอื คุณสมชาย วงสวสั ด์ิ ซ่ึงเดิมเป็นชาวบา้ นสวนขนั อยใู่ นเขตตาบลละอาย
โรงเรียนวดั สวนขนั ไดม้ ีการจดั งานฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปี เมื่อ ๙ ธนั วาคม ๒๕๕๓
- โรงเรียนบ้านคลองงา เริ่มตน้ จากการท่ีพ่อท่านผุด สุวฑั ฺฒโนไดเ้ ขา้ มาสอนชาว
คลองงาต้งั แต่ปี ๒๔๖๖ เมื่อเห็นวา่ การสั่งสอนคนไดผ้ ลทุก ๆ ดา้ นแลว้ ทา่ นจึงคิดถึงการศึกษาของ
เด็กๆ ในหมูบ่ า้ น ซ่ึงสมยั น้นั ไม่มีโรงเรียน ท่านไดป้ รึกษากบั นาย มี จนั ทร์เมือง ศึกษาธิการ
อาเภอฉวาง ขณะน้นั เรียกวา่ “ธรรมการอาเภอ” ในท่ีสุด กไ็ ดจ้ ดั ต้งั โรงเรียนในบา้ นคลองงา เมื่อ
วนั ท่ี ๑๓ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๑ เรียกวา่ “โรงเรียนประชาบาลตาบลชา้ งกลาง ๖” ณ ศาลาคลอง
งา หรือท่ีเรียกวา่ “สโมสรคลองงา” เปิ ดสอนตามหลกั สูตรกระทรวง ในเดก็ ที่ยากจนไมอ่ าจเขา้
เรียนในช้นั มธั ยมได้ ท่านจดั หาครูมาสอนแลว้ สมคั รสอบปลายปี มีครูภกั ด์ิ คงเสน ซ่ึงเป็นศิษย์
ของท่านมาช่วยสอน ปรากฏไดผ้ ลดีเป็นท่ีน่าพอใจ
ในโรงเรียนที่เปิ ดใหม่น้ี ท่านไดจ้ ดั ชว่ั โมงพิเศษ เรียกวา่ “ชว่ั โมงกสิกรรม” เพื่อใหเ้ ด็ก
ไดเ้ รียนรู้เร่ืองการปลูกตน้ ไม้ การทาป๋ ุยคอก วิธีการบารุง ตกแต่งตน้ ไมด้ ว้ ย
๑๙๓
เมื่อเปิ ดดาเนินการโรงเรียนแลว้ ท่านกาหนดใหม้ ีวนั คลา้ ยวนั กาเนิดโรงเรียน โดยถือเอา
วนั ที่ ๑๓ มิถนุ ายนของทุกปี เป็นวนั งาน มีวตั ถุประสงคเ์ หมือนการทาบญุ พ่อ-แม่ คอื ใหร้ ู้จกั
กตญั ญกู ตเวทิตาตอ่ ผมู้ ีพระคุณ โดยเนน้ ที่ตวั ครู-นกั เรียน และศิษยเ์ ก่าเก่ียวขอ้ งทุกคนมาร่วมพิธี มี
ลาดบั การดาเนินงานดงั น้ี
๑.ใหเ้ ชิญพอ่ แมห่ รือผปู้ กครองของนกั เรียน และกรรมการเก่ียวขอ้ งทุกคนมาร่วม
เพือ่ ใหค้ รูและนกั เรียน ไดแ้ สดงกตญั ญู โดยมีพระบรมฉายาลกั ษณ์ประดบั ดว้ ย
๒.ใหน้ ิมนตเ์ จา้ อาวาสวดั มะนาวหวานเป็นประธาน เพื่อใหส้ านึกวา่ วดั มะนาวหวาน
เป็นมาตภุ ูมิของถิ่นน้ีทุกคน (ในการน้ีจึงมีขอ้ หา้ มสร้างวดั เพ่ิม และการจดั งานทกุ คร้ังใหน้ ิมนตเ์ จา้
อาวาสวดั มะนาวหวานมาเป็นประธานในพิธี)
๓.ใหเ้ ชิญคณะกรมการอาเภอ ถา้ เป็นสมยั น้ีเรียกนายอาเภอมาเป็นประธานตลอดถึง
ใหเ้ ชิญ ธรรมการอาเภอ กานนั ผใู้ หญบ่ า้ น ซ่ึงเรียกพวกน้ีวา่ เป็น “กุลเชฏฐา ปจาย”ี ดว้ ย
๔.ใหจ้ ดั คมั ภีร์พระพุทธศาสนา หนงั สือรัฐธรรมนูญหรือภาพรัฐธรรมนูญ ต้งั ไวแ้ ทน
กรณีไมม่ ีหนงั สือ
๕.ใหเ้ ตรียมดอกไม้ ธูปเทียนใส่พานอยา่ งนอ้ ย ๘ ชุด เพ่ือบชู าธงชาติ ๔ ชุด บูชา ชาติ
ศาสนา พระมหากษตั ริย์ และรัฐธรรมนูญอยา่ งละชุด
๖.เมื่อเรียบร้อยตามลาดบั แลว้ ใหค้ รูชกั ชวนบคุ คลท่ีมาร่วมกิจกรรม ต้งั จิตระลึกถึง
พระคุณของบิดามารดา พระรัตนตรัย ราลึกถึงคุณของชาติ ศาสนา พระมหากษตั ริย์ รัฐธรรมนูญ
ในวนั น้ีครูคนใดท่ีผิดพอ้ งหมองใจกบั เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวาน หรือกบั เจา้ หนา้ ท่ีหน่วยราชการคน
ใด จะลบหลู่ไม่ได้ แต่จะตอ้ งแสดงความเคารพดว้ ยกายและใจ
๑๙๔
ครูที่มาสอนเด็กโรงเรียนน้ี ท่านวางกฎไวว้ า่ นอกจากจะตอ้ งเรียนเร่ืองทิศหกใหจ้ าไดแ้ ลว้
ยงั มีขอ้ ตกลงอีกอยา่ งหน่ึงคือตอ้ งจดั ใหม้ ีการลงคะแนนเลือกครูดีเด่นประจาปี โดยชาวบา้ นซ่ึง
ติดตามดูแลผลการปฏิบตั ิงานที่ผา่ นมาในรอบปี เป็นผใู้ หค้ ะแนน ถา้ ไม่เป็นท่ีวางใจของชาวบา้ น ครู
คนน้นั ตอ้ งลาออก หรือยา้ ยไปอยทู่ ี่อื่น ดงั น้นั วนั ที่เปิ ดสอนเป็นคร้ังแรก ครูที่มาสอนในโรงเรียน
น้ี ตอ้ งเซ็นชื่อในใบลาออกไวใ้ หเ้ รียบร้อย โดยยงั ไม่ตอ้ งลงวนั เดือนปี ท่ีลาออก มอบไวใ้ หก้ บั
กรรมการของศาลาเกบ็ ไว้ หากเกิดไมไ่ วว้ างใจในวนั เลือกครู ก็จะลงวนั ที่ส่งศึกษาธิการสมยั น้นั
อยา่ งไรก็ตามต้งั แต่เปิ ดโรงเรียนมา ไม่ปรากฏคนตอ้ งออกเพราะเหตุน้ี และวิธีการน้ีก็ไดห้ มดสมยั ไป
ในเวลาตอ่ มา
- โรงเรียนวัดมะนาวหวาน
เริ่มตน้ จากพอ่ ทา่ นพุม่ ปัญฺญาทีโป เจา้ อาวาสวดั มะนาวหวานไดจ้ ดั ต้งั ข้นึ เมื่อปี พ .ศ. ๒๔๗๔
โดยใชห้ อฉันเป็นอาคารเรียน มีนายสาราญ วงั ปรีชา เป็นครูสอนคนแรก มีนกั เรียนระดบั มลู จานวน
๕๐ คน ซ่ึงนกั เรียนแตล่ ะคนจะตอ้ งจ่ายค่าเลา่ เรียนคนละ ๑๐ สตางค์ ตอ่ เดือนสาหรับเป็นคา่ จา้ งครู
สอน การเรียนในลกั ษณะน้ีเป็นเวลาเกือบปี ก็เลิกไป
ตอ่ มาในวนั ท่ี ๑๗ กนั ยายน ๒๔๗๕ ทางอาเภอฉวางไดจ้ ดั ต้งั โรงเรียนข้ึนท่ีวดั มะนาวหวาน
เป็นทางการโดยยงั คงใชห้ อฉนั เป็นอาคารเรียน เรียกชื่อว่า “โรงเรียนประชาบาลตาบลชา้ งกลาง ๒”
นายมี จนั ทร์เมืองซ่ึงเป็นธรรมการอาเภอไดต้ ้งั นายภกั ด์ิ คงเสน ลกู ศิษยร์ ุ่นแรกของพ่อทา่ นผดุ สุวฑั ฺฒ
โน มาเป็นครูสอน ตอนน้นั มีนกั เรียน ๘๒ คน ต่อมาทางอาเภอไดต้ ้งั นายเขบ็ จิตสารวยมาช่วยสอน
อีกคนหน่ึง มีการจดั การศึกษา ๒ ระดบั คอื
๑. ระดบั มลู รับนกั เรียนที่ไม่มีความรู้มาก่อน
๑๙๕
๒. ระดบั ช้นั ประถมปี ที่ ๑ รับผทู้ ี่เคยผา่ นการเรียนช้นั มลู เมื่อปี ๒๔๗๔ มาแลว้
ช่วงน้ีเปิ ดเรียนถึงช้นั ประถมปี ท่ี ๕ แต่ต่อมาในปี ๒๔๗๙ กระทรวงธรรมการสั่งยกเลิกช้นั
ประถมปี ที่ ๕
ในปี ๒๔๘๐ ทางอาเภอฉวางไดจ้ ดั งบประมาณ ๑,๐๐๐ บาท รวมกบั ที่ประชาชนบริจาคอีก
๑,๒๐๐ บาท จดั ซ้ือวสั ดุก่อสร้างอาคารเรียนแบบ ฉ.๑ แทนหอฉันโดยไดแ้ รงงานจากชาวบา้ น อาคาร
เป็นแบบยกพ้ืนสูง ขา้ งลา่ งเป็นลานโล่ง สร้างแลว้ เสร็จเม่ือ ๒ เมษายน ๒๔๘๒ ท่ีเสาตน้ หน่ึงสลกั ชื่อ
วา่ “นายเยน็ คงแกว้ ” ผรู้ ่วมก่อสร้าง ใชอ้ าคารหลงั น้ีมาจนกระทง่ั ปี ๒๕๑๔ กไ็ ดร้ ับงบประมาณจาก
ทางราชการต่อเติมช้นั ล่างและซ่อมแซมอาคารจนแลว้ เสร็จ
ในปี ๒๕๑๘ ไดข้ ยายช้นั เรียนถึงประถมปี ท่ี ๗ และไดง้ บประมาณพิเศษจากพระองคเ์ จา้
วิภาวดีรังสิตรับสั่งใหน้ ายศุภโยค พาณิชวทิ ย์ ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั นครศรีธรรมราชเพ่ือแกป้ ัญหาการ
ขาดแคลนอาคารเรียน ซ่ึงต่อมาไดส้ ร้างอาคารเรียนแบบ ป.๑ ก. จานวน ๓ ห้องเรียน และไดง้ บ
ระมาณตามโครงการสร้างงานในชนบท(เงินผนั ) อีก ๒ หอ้ งเรียน โดยอาคารหลงั น้ีไดจ้ ดั สร้างบน
ท่ีดินแปลงใหมใ่ นที่ธรณีสงฆว์ ดั มะนาวหวาน พ้ืนท่ี ๑๗ ไร่ ๓ งาน ห่างจากหลงั แรก ๔๐๐ เมตร
ต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เป็นตน้ มา ไดจ้ ดั การเรียนการสอนตามหลกั สูตรพุทธศกั ราช ๒๕๒๐
ต้งั แต่ ช้นั ประถมปี ท่ี ๑ – ๖ เป็นช่วงที่นายฟอง สันตจิต ไดย้ า้ ยไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนวดั ควนสา้ น
และนายกนั ไชยชิต มาเป็นครูใหญ่แทน ทางราชการไดจ้ ดั งบประมาณสร้างโรงฝึกงานแบบ ๓๒๑
จานวน ๑ หลงั ปี ถดั มากส็ ร้างบา้ นพกั ครูแบบกรมสามญั ๑ หลงั ในปี ๒๕๒๓ ก็ไดง้ บประมาณ
สร้างอาคารเรียนแบบ ๐๑๗ ขนาด ๔ หอ้ งเรียนเพ่ิมอีก ๑ หลงั
ในปี ๒๕๓๙ ไดร้ ับอนุญาตใหเ้ ปิ ดสอนช้นั เด็กเลก็ และไดย้ า้ ยท่ีทาการกลุ่มมะนาวหวานไป
เปิ ดทาการท่ีโรงเรียนบา้ นคลองงา และในปี น้ีเช่นกนั ก็ไดร้ ับงบสร้างอาคารเรียนแบบ สปช๑๐๒/๒๖
จานวน ๑ หลงั ๔ หอ้ งเรียน
อดีตครูโรงเรียนวดั มะนาวหวาน ต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๔ – ๒๕๔๓
๑ นายสาราญ วงั ปรีชา ๒๒ นายสญั ญา อาลอย
๒ นายภกั ด์ิ คงเสน ๒๓ นางสุวรรณี เกตแุ กว้
๓ นายเขบ็ จิตสารวย ๒๔ นางละออง หนูยม้ิ ซา้ ย
๔ นายแจง้ กระจ่างจบ ๒๕ นางอบุ ล ชินราช
๕ นายประสิทธ์ิ สโมสร ๒๖ นางสุวรรณี อน้ เงิน
๖ นางพจนา สองแกละ ๒๗ นางอมั พร เพชรา
๗นายจวง สรรพจิตร ๒๘ น.ส.อุดมพร สงสุวรรณ
๘ นายวิโชค คงแกว้ ๒๙ นายวิจิตร รัตนสุภา
๙ นายฟอง สนั ตจิต ๓๐ นางปิ ยนารถ ชนาชน
๑๙๖
๑๐.นางชิด คงแกว้ ๓๑ นายจรูญ พงั แพร่
๑๑ นายสุนทร ตราชู ๓๒ นายณงค์ สุดไกรไทย
๑๒ นายเพ้ยี น ยกยอ่ ง ๓๓ นางจิตร ลิกขไชย
๑๓. นางจรวย นวลใย ๓๔ นายอมั ฤก สุนทรนนท์
๑๔ นายเจริญ สุขราช ๓๕ นางมนฤดี คงแกว้
๑๕ นายเท่ียง ศรีรัตนวรัญญู ๓๖ นายสมพงษ์ สิริเขต
๑๖ นายชยั โรจน์ สมบตั ิ ๓๗ นายปรีชา ศิลปวิสุทธ์ิ
๑๗นางสะอ้ืน สุขราช ๓๘ นายกรีฑา โสมนวม
๑๘ นายอวยพร ชูโลก ๓๙ นางลออ ชูเพง็
๑๙ นายกนั ไชยชิต
๒๐ นายวทิ ยา วิทยาวณิชชยั
๒๑ นางทิพยร์ ัตน์ ไชยชิต
ปัจจุบนั โรงเรียนวดั มะนาวหวานเป็นโรงเรียนขนาดกลาง เปิ ดสอนต้งั แต่ช้นั อนุบาล –
ประถมปี ท่ี ๖ สังกดั สานกั งานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ สีประจาโรงเรียนคอื “น้าเงิน –
เหลือง” อกั ษรยอ่ วา่ “ ม.ว.” คาขวญั ประจาโรงเรียนคือ “เรียนดี กีฬาเด่น เนน้ คณุ ธรรม”
- โรงเรียนวัดหลกั ช้าง
ต้งั อยู่ หมทู่ ี่ ๖ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช สงั กดั สานกั งาน
คณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เปิ ดสอนระดบั ช้นั อนุบาลถึงระดบั ช้นั
มธั ยมศึกษาตอนตน้ เน้ือที่ ๒๔ ไร่ ๑ งาน ๘๐ ตารางวา เขตพ้ืนท่ีบริการ ๑ หมู่บา้ น คอื หมู่ท่ี ๖
ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช
ประวตั ิโดยยอ่ โรงเรียนวดั หลกั ชา้ ง ต้งั เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๓ เดิมช่ือ “โรงเรียนชา้ งกลาง ๑” ใช้
ศาลาวดั หลกั ชา้ งเป็นสถานที่เรียน ตอ่ มามีคณะกรรมการดาเนินงาน ๓ ท่าน ไดแ้ ก่ นายเดช ภกั ดี
ประพนั ธ์ ครูใหญ่ กบั นายเทือก ฉบั พลนั กานนั ตาบลชา้ งกลางและพระอธิการนาค บญุ รัตน์ เจา้
อาวาสวดั หลกั ชา้ ง ไดจ้ ดั หาท่ีต้งั อาคารเรียนใหมเ่ ป็นเอกเทศ จานวน ๒๕ ไร่ ซ่ึงเป็นท่ีรกร้างวา่ งเปล่า
ไมม่ ีเจา้ ของต้งั อยทู่ างทิศเหนือของวดั ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๑๙ไดย้ า้ ยสถานท่ีเรียนจากวดั มาเรียนใน
อาคารเรียนหลงั ใหม่ และไดส้ ารวจข้ึนทะเบียนเป็นท่ีราชพสั ดุเลขที่ทะเบียน ๔๗๔
ต่อมา พ.ศ.๒๕๓๖ ไดม้ ีการสร้างถนนลาดยางสาย กระบ่ี - นครศรีธรรมราช ดา้ นตะวนั ตก
ของโรงเรียน ปัจจุบนั โรงเรียนวดั หลกั ชา้ งสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษา
นครศรีธรรมราช เขต 2 สานกั งานคณะกรรมการข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
มีการจดั การเรียนการสอนมาตามลาดบั ดงั น้ี
๑๙๗
-ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๔๖๓ - พ.ศ.๒๕๑๙ จดั สอนหลกั สูตรช้นั ประถมศึกษาปี ที่ ๑ - ช้นั
ประถมศึกษาปี ท่ี ๔
- ระหวา่ ง ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ - พ.ศ. ๒๕๒๑ สอนหลกั สูตร ช้นั ประถมศึกษาปี ที่๗
- ระหวา่ ง ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ - พ.ศ. ๒๕๔๑ สอนหลกั สูตร ช้นั อนุบาล - ช้นั
ประถมศึกษาปี ที่ ๖
- ต้งั แต่ ปี พ.ศ. ๒๕๔๒- ถึงปัจจุบนั โรงเรียนวดั หลกั ชา้ งไดเ้ ป็นโรงเรียนขยาย
โอกาสจดั การศึกษาจากระดบั ช้นั อนุบาล - ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๓
- โรงเรียนวดั จนั ดี
โรงเรียนวดั จนั ดี ต้งั อยหู่ มู่ท่ี ๑๐ ตาบลหลกั ชา้ ง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช
แรกเร่ิมจดั ต้งั เป็นโรงเรียนโดยใชศ้ าลาวดั เป็นสถานที่เรียน มีนายแยม้ บุญรักษา เป็นครูคนแรก
ร่วมกบั พระภิกษสุ ามเณรในวดั จนั ดี
วนั ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๔๗๕ ไดจ้ ดั ต้งั เป็นโรงเรียนโดยสมบรู ณ์ มีช่ือวา่ โรงเรียน
ประชาบาลตาบลชา้ งกลาง ๓ เปิ ดสอน ป.๑ – ป.๔ โดยมีนายพลดั ตารมย์ เป็นครูใหญ่
ปี การศึกษา ๒๕๑๗ เปิ ดสอน ป.๑ –ป.๗
ปี การศึกษา ๒๕๔๐ เป็นโรงเรียนโครงการปฏิรูปการศึกษา
ปี การศึกษา ๒๕๔๒ เปิ ดสอน ๓ ระดบั คือ ระดบั ก่อนประถมศึกษา มีช้นั อนุบาล ๑ – ๑
ระดบั ประถมศึกษาปี ที่ ๑ – ๖ และระดบั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑ – ๓
วนั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๕๕ ไดร้ ับการรับรองให้เป็นตน้ แบบโรงเรียนในฝัน รุ่นที่ ๓
(โรงเรียนดีประจาอาเภอ)
- โรงเรียนวดั ควนส้าน
๑๙๘
โรงเรียนวดั ควนส้าน ต้งั อยทู่ ่ีเลขทะเบียน ๑๐๕ หม่ทู ่ี ๖ ถนนมะนาวหวาน-ป่ าพาด ตาบลชา้ ง
กลาง อาเภอชา้ งกลาง จงั หวดั นครศรีธรรมราช
อาคารเรียน๐๑๗สร้างเมื่อปี ๒๕๐๙
ข้อมูลทั่วไป
สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ท่ีการศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราช เขต ๒ โทร ๐๗๕-
๔๕๐๐๐๑ e-mail Watkuansan@g_mail.com website www.wks-school.com เปิ ดสอนระดบั ช้นั
อนุบาล ๑ ถึงระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ ๓ เน้ือท่ี ๙ ไร่ ๑๐ ตารางวา เขตพ้ืนท่ีบริการ หมทู่ ี่
๖,๑๑,๑๕ ตาบลชา้ งกลาง หมู่ที่ ๔ ตาบลสวนขนั
ประวัติ
ก่อต้งั เมื่อ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ มีพระอธิการชู ติสฺสโร เจา้ อาวาสวดั ควนสา้ น
เป็นผดู้ าเนินการ โดยการชกั ชวนเดก็ ใหม้ าเรียนหนงั สือที่วดั ไมเ่ กบ็ ค่าเลา่ เรียน ประชาชนในตาบล
และหมู่บา้ นไดช้ ่วยเหลือในดา้ นวสั ดุ ครุภณั ฑ์ ตามแตห่ ามาได้
ตอ่ มาในปี พ.ศ.๒๔๗๙ทางราชการไดย้ กฐานะเป็นโรงเรียนประชาบาลสังกดั
กระทรวงศึกษาธิการ ชื่อโรงเรียนประชาบาล ตาบลชา้ งกลาง ๔ (วดั ควนสา้ น) และแต่งต้งั นายเย้อื น
รัตนจาลอง มาเป็นครูใหญ่
พ.ศ. ๒๔๘๐ ทางราชการยา้ ยนายเยอ้ื น รัตนจาลอง และแต่งต้งั นายประสิทธ์ิ สโมสร
รักษาการในตาแหน่งครูใหญ่ และในปี เดียวกนั ยา้ ยนายประสิทธ์ิ สโมสร ไปโรงเรียนวดั มะนาว
หวาน แตง่ ต้งั นายภกั ด์ิ คงเสน เป็นครูใหญ่ และบรรจุ นายขาบ บญุ วรรณ เป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๔๘๑ ทางราชการไดจ้ ดั สรรงบประมาณ สร้างอาคาร แบบ ฉ.๑ จานวน ๖ หอ้ งเรียน
ใชง้ บประมาณ ๕,๐๐๐ บาท
พ.ศ. ๒๔๘๒ ทางราชการยา้ ยนายภกั ด์ิ คงเสน และแต่งต้งั นายขาบ บญุ วรรณ รักษาการ
ครูใหญบ่ รรจุ นายเอ้ือม ตราชู นายฟุ้ง ชลรัตน์ เป็นครูนอ้ ย
๑๙๙
พ.ศ. ๒๔๘๓ ยา้ ยนายขาบ บุญวรรณ และแต่งต้งั ใหน้ ายจวง สรรพจิต รักษาการตาแหน่ง
ครูใหญ่
พ.ศ. ๒๔๘๔ ยา้ ยนายจวง สรรพจิต และยา้ ยนายขาบ บุญวรรณ มาดารงตาแหน่ง
ครูใหญ่
พ.ศ. ๒๔๘๕ นายขาบ บญุ วรรณ ลาออกจากราชการ จึงแตง่ ต้งั นายเอ้ือม ตราชู มา
รักษาการในตาแหน่งครูใหญ่
พ.ศ. ๒๔๘๖ ยา้ ยนายเอ้ือม ตราชู และแตง่ ต้งั นายถนอม ณฤทธ์ิ มารักษาการใน
ตาแหน่งครูใหญ่
พ.ศ. ๒๔๘๗ ยา้ ยนายถนอม ณฤทธ์ิ และยา้ ยนายจวง สรรพจิต มาเป็นครูใหญ่ พร้อม
แตง่ ต้งั นายสุจินต์ จิตติมงคล มาเป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๔๙๐ ยา้ ยนายจวง สรรพจิต แตง่ ต้งั นายสุนทร ตราชู เป็นครูใหญ่ และยา้ ย นาย
นวล ฤทธิรงค์ มาเป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๔๙๖ นายนวล ฤทธิรงค์ เป็นครูใหญ่ ยา้ ยนายสุนทร ตราชู ไปวดั มะนาวหวาน
พ.ศ. ๒๕๐๐ ทางโรงเรียนไดง้ บประมาณต่อเติมอาคารแบบ ฉ.๑ ช้นั ลา่ ง ๓๐,๐๐๐ บาท
และชาวบา้ นจดั ทาการก่อสร้างตอ่ จนเสร็จ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๕
พ.ศ. ๒๕๐๑ ทางราชการไดบ้ รรจุนายนอ้ ม แลว้ ไทย มาเป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๕๐๓ ทางราชการไดบ้ รรจุนายทวี บุญคง มาเป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๕๐๖ ทางโรงเรียนไดร้ ับอนุญาต ใหข้ ยายช้นั เรียนถึงช้นั ประถมศึกษาตอนปลาย และ
บรรจุ น.ส.สุคนธ์ อกั ษรทอง มาเป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๕๐๗ ทางราชการไดบ้ รรจุนายจรูญ จวั นาน และนายเอ้ือม อบุ ลพนั ธ์ มาเป็นครู
นอ้ ย
พ.ศ. ๒๕๐๘ ทางราชการไดบ้ รรจุนายบญั ชา สุนา มาเป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๕๐๙ ทางราชการไดจ้ ดั สรรงบประมาณก่อสร้างอาคารแบบ ๐๑๗ จานวน ๑ หลงั
๔ หอ้ งเรียน ราคา ๒๒๐,๐๐๐ บาท พร้อมอุปกรณ์ ช้นั ลา่ งลาดพ้ืน
พ.ศ. ๒๕๑๐ ทางราชการแต่งต้งั นายศรีจนั ทร์ พมุ่ พวง มาเป็นครูใหญ่โท แตง่ ต้งั นายนวล
ฤทธ์ิรงค์ เป็นผชู้ ่วยครูใหญ่ ยา้ ยนายโชติ บญุ ปราบ นายวเิ ชียร ฤทธ์ิรงค์ มาเป็นครูนอ้ ย
พ.ศ. ๒๕๑๑ ทางราชการไดย้ า้ ยนายเอ้ืยน คงทน มาเป็นหวั หนา้ หมวดสงั คมศึกษา
นายสมเกียรติ ยกประสพรัตน์ มาเป็นหวั หนา้ หมวดภาษาไทย และไดย้ า้ ยนายเอ้ือม อุบลพนั ธ์ ไป
เป็นครูใหญ่โรงเรียนองคก์ ารสวนยางนาบอน
พ.ศ. ๒๕๑๒ ทางราชการไดย้ า้ ยนายศรีจนั ทร์ พมุ่ พวง ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนวดั โคกเมรุ
และยา้ ยนายเทียบ คงสิทธ์ิ เป็นครูใหญ่
๒๐๐
พ.ศ. ๒๕๑๓ ทางราชการไดย้ า้ ยนายเทียบ คงสิทธ์ิ ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนวดั โคกเมรุ
และยา้ ย นายประทีป ปรีชา มาเป็นครูใหญ่โรงเรียนวดั ควนส้าน และในปี น้ีเอง ทางราชการไดย้ า้ ย
นายวิเชียร ฤทธ์ิรุฒม์ ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนบา้ นปากน้า และไดบ้ รรจุ น.ส.อนงค์ ผิวนวล มาเป็น
ครูโรงเรียนวดั ควนส้าน
พ.ศ. ๒๕๑๔ ทางราชการไดย้ า้ ยนางละออง เพชรสงค์ มาเป็นครูโรงเรียนวดั ควนสา้ น
และไดย้ า้ ย นายปรีชา ศิลปวสิ ุทธ์ ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนบา้ นคลองงา
พ.ศ. ๒๕๑๗ ทางราชการไดย้ า้ ยนายประทีป ปรีชา ไปช่วยราชการโรงเรียนฉวาง และ
แตง่ ต้งั นายสมเกียรติ ยกประสพรัตน์ เป็นครูใหญ่
พ.ศ. ๒๕๑๘ นายสมเกียรติ ยกประสพรัตน์ ไปเป็นครูใหญโ่ รงเรียนวดั ควนส้าน และ
มอบหมายใหน้ ายจรูญ จวั นาน รักษาการครูใหญ่ และในเวลาเดียวกนั นายจรูญ จวั นาน เป็น
หวั หนา้ ฝ่ายวชิ าการที่จงั หวดั นครศรีธรรมราช และมอบหมายให้นายมงคล จนั ทร รักษาการครูใหญ่
พ.ศ. ๒๕๒๑ ทางราชการไดย้ า้ ยนายฟอง สนั ตจิตร มาดารงตาแหน่งอาจารยใ์ หญ่ และ
แต่งต้งั นายประทีป ปรีชา, นายอนนั ต์ ปรีชา มาเป็นหวั หนา้ หมวด และนายมงคล จนั ทร ได้
สมคั รใจไปเป็นหัวหนา้ หมวดวทิ ยาศาสตร์ท่ีโรงเรียนวดั จนั ดี และไดย้ า้ ยนายวชั รินทร์ วฒั นภิรมย์,
นางเยาวมาลย์ บุญรัตน์ ยา้ ยนายเจิม เพชรสงค์ ไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนองคก์ ารสวนยาง ๑
พ.ศ. ๒๕๒๓ ทางราชการใหง้ บประมาณก่อสร้างอาคารเรียนแบบ ๐๑๗ ๑ หลงั จานวน ๔
หอ้ ง
พ.ศ. ๒๕๒๗ ยา้ ยนายไพรินทร์ เทพราช มาดารงตาแหน่งอาจารยใ์ หญ่ และไดแ้ ต่งต้งั ให้
นายศิรินทร์ วงศส์ วสั ด์ิ เป็นผชู้ ่วย ไดร้ ับงบประมาณก่อสร้างอาคารเรียนแบบ ๐๑๗ อีกหน่ึงหลงั
จานวน ๔ หอ้ งเรียน
พ.ศ. ๒๕๓๔ ทางราชการใหง้ บประมาณตอ่ เติมอาคาร ๐๑๗ ช้นั ลา่ งอีก ๔ ห้องเรียน
โดยมี นายไพรินทร์ เทพราช ยา้ ยไปโรงเรียนวดั สวนขนั นายเจริญ สุขราช มาดารงตาแหน่ง
อาจารยใ์ หญ่
พ.ศ. ๒๕๔๐ ทางราชการยา้ ยนายเจริญ สุขราช และยา้ ยนายปรีชา ศิลปวิสุทธ์ิ มาดารง
ตาแหน่งอาจารยใ์ หญแ่ ทน
พ.ศ. ๒๕๔๑ ปรับปรุงอาคารเรียนช้นั ล่าง ๓ หอ้ งเรียน เป็นอาคารหอ้ งสมุด หอ้ งคหกรรม
และปรับปรุงอาคารสานกั งานดว้ ยเงินบริจาคอีก ๑ หลงั
พ.ศ. ๒๕๔๒ ทางราชการอนุมตั ิใหส้ ถานศึกษาปรับปรุงผบู้ ริหารเป็นตาแหน่งผอู้ านวยการ
โรงเรียน ไดป้ รับปรุงอาคารสานกั งาน หอ้ งวิชาการมธั ยม หอ้ งพยาบาล หอ้ งแนะแนว หอ้ งสื่อ และ
หอ้ งสหกรณ์
พ.ศ. ๒๕๔๓ ไดป้ รับปรุงโรงอาหาร โดยก้นั ฝาผนงั สร้างอา่ งลา้ งหนา้ สร้างถงั เก็บน้าฝน