1
พส.1
การจดั ทาแผนการจัดการเรยี นรู้
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
หลักสูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ ประเภทวชิ าสามัญ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์
จุดประสงค์รายวชิ า
1. มีความรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ หน่วยและการวัด
แรงและการเคล่ือนที่ โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ สารและการเปลี่ยนแปลง ปฏิกิริยาเคมีใน
ชีวติ ประจาํ วนั เทคโนโลยชี ีวภาพ นาโนเทคโนโลยี ระบบนิเวศ
2. มีทกั ษะเกยี่ วกับการใชเ้ ครื่องมอื วดั ปรมิ าณทางฟสิ ิกส์ การทดลองปฏกิ ริ ิยาเคมใี นชีวิตประจาํ วัน
3. มีเจตคตทิ ี่ดีต่อวิชาวทิ ยาศาสตร์ และกจิ นสิ ัยทด่ี ใี นการทาํ งาน
สมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัติเก่ยี วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์
2. แสดงความร้แู ละปฏิบัตเิ กย่ี วกับปรมิ าณทางฟสิ กิ ส์ แรงและการเคล่ือนที่
3. แสดงความร้แู ละปฏิบัติเกี่ยวกับโครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ สารเคมีและการเปลย่ี นแปลงทาง
เคมี ปฏกิ ิริยาเคมใี นชวี ิตประจาํ วัน
4. แสดงความรู้และปฏิบัติเกย่ี วกับนาโนเทคโนโลยี
5. แสดงความรู้และปฏิบัตเิ ก่ียวกบั สงิ่ มีชีวิตและระบบนิเวศ
คาอธบิ ายรายวิชา
ศกึ ษาและปฏิบัตเิ กีย่ วกับ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ หนว่ ยและ
การวดั แรงและการเคล่อื นที่ โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ สารและการเปลี่ยนแปลง ปฏกิ ริ ยิ าเคมีใน
ชีวิตประจําวัน การรักษาดุลยภาพของสง่ิ มชี วี ิตและระบบนิเวศ นาโนเทคโนโลยี ดว้ ยกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์ และบรู ณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
2
พส.2
การวเิ คราะหห์ นว่ ยการเรียนรแู้ ละสมรรถนะรายวชิ า
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
หลักสูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี ประเภทวชิ าสามญั สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์
หน่วยที่ ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ สมรรถนะประจาหน่วย
1
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แสดงความรู้และปฏบิ ัติเกี่ยวกับกระบวนการทาง
2
วทิ ยาศาสตร์
3
4 โครงงานวิทยาศาสตร์ แสดงความร้แู ละปฏิบัตเิ กย่ี วกบั โครงงาน
5 วิทยาศาสตร์
6 หนว่ ยและการวดั แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัติเกย่ี วกับหน่วยและการวัด
7 แรงและการเคลอ่ื นที่ แสดงความรแู้ ละปฏิบัติเก่ียวกบั แรงและการ
8 เคลื่อนท่ี
9
10 โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ แสดงความรูแ้ ละปฏบิ ัตเิ กย่ี วกบั โครงสรา้ งอะตอม
และตารางธาตุ
สารและการเปล่ียนแปลง แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัตเิ กย่ี วกบั สารและการ
เปลย่ี นแปลง
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชีวติ ประจําวัน แสดงความรแู้ ละปฏิบัตเิ กี่ยวกบั ปฏิกริ ิยาใน
ชวี ิตประจําวนั
เทคโนโลยีชีวภาพ แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัติเกี่ยวกบั เทคโนโลยีชีวภาพ
นาโนเทคโนโลยี แสดงความรู้และปฏบิ ัติเกี่ยวกบั นาโนเทคโนโลยี
ระบบนเิ วศ แสดงความรู้และปฏบิ ัตเิ กย่ี วกบั ระบบนเิ วศ
สอบปลายภาค
3
พส.3
ตารางวเิ คราะหห์ ลกั สูตรรายวิชา
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ประเภทวชิ าสามัญ สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์
ระดบั พฤติกรรมท่ีพึงประสงค์
หนว่ ยท่ี ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ พุทธพิ ิสัย ทักษะ จติ เวลา
1 2 3 4 5 6 พิสยั พสิ ยั (ชม.)
1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 6 8 7 7 26
8 26
2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ 68755
3 หน่วยและการวัด 775 7 26
4 แรงและการเคลอ่ื นท่ี 775 6 23
6 29
5 โครงสร้างอะตอมและตาราง 8 7 5
6 26
ธาตุ 6 23
6 26
6 สารและการเปลีย่ นแปลง 775 6 23
6 13
7 ปฏิกิริยาเคมใี นชวี ติ ประจาํ วนั 7 7 5
13
8 เทคโนโลยีชีวภาพ 775
9 นาโนเทคโนโลยี 775
10 ระบบนเิ วศ 665
สอบปลายภาค
รวม 61 71 54 5 64 20 54
ความสาคญั /สดั ส่วนคะแนน 3 1 4 5 2
(รอ้ ยละ)
หมายเหตุ ระดบั พุทธพิ ิสยั 1 = ความจํา 2 = ความเข้าใจ 3 = การนาํ ไปใช้
5 = สงั เคราะห์ 6 = ประเมินค่า
4 = วเิ คราะห์
เกณฑน์ า้ หนกั ชอ่ งละ 10 คะแนน
9-10 คะแนน สาํ คัญที่สดุ
7-8 คะแนน สําคญั มาก
4-6 คะแนน ปานกลาง
2-3 คะแนน สําคญั น้อย
0-1 คะแนน น้อยมากหรือไมส่ ําคญั เลย
4
พส.4
กาหนดการสอน
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
หลักสูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพ ประเภทวิชาสามัญ สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์
หนว่ ยการเรยี นร/ู้ สมรรถนะประจาหนว่ ย เกณฑ์การปฏิบัติงาน ัสปดาห์ท่ี
รายการสอน ่ัชวโมงที่
1.กระบวนการทาง แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัติเก่ยี วกบั ผา่ นเกณฑ์ 50 % ข้ึนไป 1-2 1-6
วิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2.โครงงานวิทยาศาสตร์ แสดงความร้แู ละปฏิบัตเิ กี่ยวกบั ผา่ นเกณฑ์ 50 % ขน้ึ ไป 3-4 7-12
โครงงานวทิ ยาศาสตร์
3.หนว่ ยและการวัด แสดงความรแู้ ละปฏิบัติเกี่ยวกับ ผ่านเกณฑ์ 50 % ขน้ึ ไป
หน่วยและการวดั
5-6 13-18
4.แรงและการเคลอ่ื นที่ แสดงความรแู้ ละปฏิบัติเกีย่ วกับ ผ่านเกณฑ์ 50 % ขน้ึ ไป 7 19-21
แรงและการเคลือ่ นที่
5.โครงสร้างอะตอมและ แสดงความรแู้ ละปฏิบัติเกี่ยวกับ ผ่านเกณฑ์ 50 % ขึ้นไป 8-10 22-30
ตารางธาตุ โครงสร้างอะตอมและตาราง
ธาตุ
6.สารและการ แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัตเิ กี่ยวกับ ผ่านเกณฑ์ 50 % ขน้ึ ไป 11-12 31-36
เปล่ียนแปลง สารและการเปล่ยี นแปลง
7.ปฏกิ ิริยาเคมีใน แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัตเิ ก่ียวกับ ผา่ นเกณฑ์ 50 % ข้ึนไป 13-14 37-42
ชีวติ ประจําวนั ปฏกิ ริ ยิ าในชวี ติ ประจาํ วนั
8.เทคโนโลยชี วี ภาพ แสดงความรูแ้ ละปฏิบัตเิ กี่ยวกับ ผา่ นเกณฑ์ 50 % ข้นึ ไป
เทคโนโลยชี วี ภาพ
15 43-45
5
พส.4
กาหนดการสอน (ตอ่ )
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พฒั นาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชพี ประเภทวิชาสามญั สาขาวชิ าวทิ ยาศาสตร์
หน่วยการเรียนรู้/ สมรรถนะประจาหนว่ ย เกณฑก์ ารปฏิบัติงาน ัสปดาห์ท่ี
รายการสอน ่ัชวโมงที่
9.นาโนเทคโนโลยี แสดงความรู้และปฏบิ ัติเก่ยี วกับ ผ่านเกณฑ์ 50 % ขึน้ ไป
นาโนเทคโนโลยี
16 46-48
10.ระบบนเิ วศ แสดงความรแู้ ละปฏิบัตเิ ก่ยี วกบั ผ่านเกณฑ์ 50 % ขึ้นไป
ระบบนิเวศ
17 49-51
สอบปลายภาค ผา่ นเกณฑ์ 50 % ข้นึ ไป 18 54
6
พส.5
ตารางวิเคราะห์ขอ้ สอบ
รหสั วชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
หลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชพี ประเภทวชิ าสามัญ สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์
รายการสอน พุทธิพิสยั
หนว่ ยการเรยี น (ประเด็นการประเมิน) ความจา รวม
ความเข้าใจ (ขอ้ )
นาไปใช้
ิวเคราะห์
ัสงเคราะห์
ประเ ิมน ่คา
ปรนัย(ข้อ)
อัตนัย( ้ขอ)
1.กระบวนการทาง 1. อธิบายข้นั ตอนของวธิ ีการทาง 3 4 3 10 - 10
10 - 10
วิทยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 10 - 10
2.อธบิ ายทักษะกระบวน
การทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้
3.. ตงั้ สมมตฐิ านจากปัญหาที่
กาํ หนดได้
4.ระบุตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม
และตวั แปรควบคมุ จากปัญหาท่ี
กาํ หนดได้
2.โครงงาน 1. อธิบายขัน้ ตอนการทาํ 33211
วิทยาศาสตร์ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้
2. จาํ แนกประเภทของโครงงาน
3.เขยี นรายงานโครงงาน
วิทยาศาสตร์ได้
4. กําหนดตวั แปรจากชือ่
โครงงานได้
3.หนว่ ยและการวดั 1. บอกช่อื หน่วยวัดพ้ืนฐานใน 4 3 3
ระบบองั กฤษ ระบบเมตริก และ
ระบบ SI ได้
2. อ่านและบนั ทกึ ผลการวดั ได้
3.เลอื กใชค้ าอปุ สรรคแทนตวั
พหคุ ณู ได้
4.เปลีย่ นคาอปุ สรรคหนา้ หนว่ ย
7
พส.5
ตารางวเิ คราะห์ขอ้ สอบ
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
หลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ประเภทวชิ าสามัญ สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์
รายการสอน พุทธิพิสัย
หนว่ ยการเรยี น (ประเดน็ การประเมิน) ความจา รวม
ความเข้าใจ (ขอ้ )
นาไปใช้
ิวเคราะห์
ัสงเคราะห์
ประเมิน ่คา
ปรนัย(ข้อ)
อัตนัย( ้ขอ)
4.แรงและการ 1. อธบิ ายความหมายของแรง 4 4 2 10 - 10
10 - 10
เคลื่อนที่ และผลของแรงได้
10 - 10
2. บอกการเปลีย่ นแปลงรปู ทรง
ของวัตถเุ มอ่ื ถกู แรงตา่ งๆกระทํา
5.โครงสรา้ งอะตอม 1. อธิบายความหมายของ 55
และตารางธาตุ อะตอมได้
2. เขยี นสัญลกั ษณน์ วิ เคลียร์และ
สญั ลักษณข์ องธาตุได้
3. อธิบายไอโซโทป ไอโซบาร์
และไอโซโทน
4. จดั เรยี งอิเลก็ ตรอนในอะตอม
5. สมบตั ิของธาตใุ นตารางธาตุ
6.สารและการ 1. แยกตัวทาํ ละลายและตัว 55
เปลี่ยนแปลง ละลาย
2. จําแนกการเปล่ียนแปลงทาง
กายภาพ และทางเคมขี องสารใน
ชวี ติ ประจําวนั
3.อธบิ ายความแตกต่างระหว่าง
สารเนื้อเดยี วกบั สารเนื้อผสมได้
4.อธบิ ายสมั พันธข์ องพลงั งาน
ความรอ้ นท่เี ก่ียวข้องกบั การ
เปลย่ี นสถานะได้
8
พส.5
ตารางวิเคราะห์ขอ้ สอบ
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
หลักสตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ประเภทวิชาสามัญ สาขาวชิ าวิทยาศาสตร์
รายการสอน พทุ ธพิ ิสยั
หนว่ ยการเรยี น (ประเดน็ การประเมนิ ) ความจา รวม
ความเข้าใจ (ขอ้ )
นาไปใช้
ิวเคราะห์
ัสงเคราะห์
ประเมิน ่คา
ปรนัย(ข้อ)
อัตนัย( ้ขอ)
7.ปฏกิ ริ ิยาเคมใี น 1. ระบสุ ารตั้งต้นและผลติ ภัณฑ์ 5 5 10 - 10
ชวี ิตประจาํ วนั ในสมการเคมีได้ 5 5 10 - 10
2. ดุลสมการเคมีได้
8.เทคโนโลยีชีวภาพ 3. อธิบายปฏิกิรยิ าเคมีท่พี บเหน็
ในชีวิตประจาวนั
1. บอกความหมาย
เทคโนโลยีชีวภาพได้
2. ยกตัวอยา่ งการนํา
เทคโนโลยชี วี ภาพมาใช้ประโยชน์
ด้านต่างๆในชวี ติ ประจาํ วนั ได้
9.นาโนเทคโนโลยี 1. อธิบายความหมายของนาโน 5 5 10 - 10
10.ระบบนิเวศ เทคโนโลยีได้ 5 5 10 - 10
2. ยกตัวอยา่ งและอธิบายนาโน
เทคโนโลยใี นธรรมชาติ
1. อธบิ ายความหมายของระบบ
นิเวศได้
2. เขยี นห่วงโซอ่ าหารและสายใย
อาหารจากสิง่ มชี วี ติ ทีก่ ําหนดให้
ได้
รวม 44 44 10 1 1 100 100
9
พส.6
กาหนดการประเมินทักษะพสิ ัย
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี ประเภทวิชาสามัญ สาขาวิชาวทิ ยาศาสตร์
หนว่ ยการเรยี น/ สมรรถนะรายหน่วย รปู แบบการประเมิน คะแนน
รวม
รายการสอน
1.กระบวนการทาง แสดงความร้แู ละปฏิบัตเิ กย่ี วกบั Rating Scale 10 10
Rating Scale 10 10
วทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ Rating Scale 10 10
Rating Scale 10 10
2.โครงงานวิทยาศาสตร์ แสดงความรู้และปฏบิ ัติเกี่ยวกบั Rating Scale 10 10
Rating Scale 10 10
โครงงานวิทยาศาสตร์ Rating Scale 10 10
Rating Scale 10 10
3.หน่วยและการวดั แสดงความร้แู ละปฏิบัติเกยี่ วกับ Rating Scale 10 10
Rating Scale 10 10
หนว่ ยและการวดั
4.แรงและการเคลอื่ นที่ แสดงความร้แู ละปฏิบัติเกย่ี วกับ
แรงและการเคลอื่ นที่
5.โครงสร้างอะตอมและ แสดงความรูแ้ ละปฏิบัติเกย่ี วกับ
ตารางธาตุ โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ
6.สารและการเปลี่ยนแปลง แสดงความรู้และปฏบิ ัติเก่ียวกับ
สารและการเปลีย่ นแปลง
7.ปฏกิ ิริยาเคมีใน แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัตเิ กย่ี วกบั
ชีวิตประจําวัน ปฏิกิริยาในชวี ิตประจําวนั
8.เทคโนโลยชี ีวภาพ แสดงความรู้และปฏบิ ัติเกีย่ วกับ
เทคโนโลยีชีวภาพ
9.นาโนเทคโนโลยี แสดงความรู้และปฏิบัตเิ ก่ยี วกับ
นาโนเทคโนโลยี
10.ระบบนเิ วศ แสดงความรู้และปฏบิ ัติเกี่ยวกบั
ระบบนเิ วศ
10
พส.7
กรอบการจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการเปน็ เรอื่ ง/ช้ินงาน/โครงการ
และบูรณาการหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
สมรรถนะดา้ นความพอประมาณ
1. เน้ือหากระบวนการทางวิทยาศาสตร์
สอดคลอ้ งกบั สมรรถนะ ตวั ช้ีวัด เหมาะสม
กบั เวลาท่ีกําหนดและวัยของผู้เรยี น
2. ใชว้ สั ดุอยา่ งประหยัด
สมรรถนะดา้ นความมีเหตผุ ล กระบวนการทาง สมรรถนะด้านความมีภมู คิ ุม้ กนั
1. ผู้เรียนมีความร้ดู ้านกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ 1.สรุปเนื้อหาให้อา่ นเข้าใจงา่ ย มี
วทิ ยาศาสตร์ ภาพประกอบเน้ือหา
2. ทําใหม้ คี วามระเอียดรอบคอบมากขึ้นใน 2.เรียงเน้ือหาตามลําดับการเรียนรู้
การทาํ งาน
เงือ่ นไขด้านคณุ ธรรม จริยธรรม
เงื่อนไขด้านความรูแ้ ละทักษะ คา่ นิยม คณุ ลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์
1. อธิบายวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. ความรับผิดชอบในการปฏิบัติงาน
2. อธบิ ายข้นั ตอนการทาํ โครงงานทาง 2. ความมวี นิ ัย
วทิ ยาศาสตร์ได้ 3. การพง่ึ ตนเอง
3. เลอื กเคร่อื งมือให้เหมาะสมกับการวดั ได้ 4. มีความสนใจใฝุรู้
5. มีความซ่ือสัตยส์ จุ รติ
6. การประหยัด
7. ความเชอ่ื มน่ั ในตนเอง
8. มีความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์
9. มคี วามรอบคอบ ระมัดระวัง
10. มีความเป็นประชาธปิ ไตย
ผลกระทบเพื่อความสมดุล พร้อมรบั การเปล่ียนแปลง
ด้านสงั คม ดา้ นเศรษฐกิจ ดา้ นวัฒนธรรม ด้านส่งิ แวดลอ้ ม
มีสมั พันธ์ทดี่ กี บั เพอ่ื น ใชจ้ า่ ยอย่างประหยัด มสี ัมมาคารวะ ช่วยกันประกนั ทรพั ยากร
แยกขยะทส่ี ามารถนาํ
ชว่ ยเหลือเพื่อน
กลบั มาใชใ้ หม่
แผนการจดั การเรยี นรู้ 11
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชวี ิต พส.8
ชื่อหนว่ ย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เรอื่ ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หน่วยที่ 1
เวลารวม 6 ชม.
สปั ดาห์ 1/18
จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคญั
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เป็นกระบวนการแสวงหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ ประกอบด้วย
วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวิทยาศาสตร์
ประกอบดว้ ย 5 ขั้นตอน คือ การระบปุ ญั หา การตัง้ สมมติฐาน การทดลอง การวเิ คราะหข์ อ้ มูล และการ
สรุปผลการทดลอง
2. สมรรถนะประจาหนว่ ย
แสดงความรูแ้ ละปฏิบัติเกย่ี วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายขั้นตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
2. อธิบายทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้
4. สาระการเรียนรู้
1. วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย 5 ขนั้ ตอน ไดแ้ ก่ ระบปุ ัญหา การตั้งสมมติฐาน การทดลอง
เพอ่ื ตรวจสอบสมมตฐิ าน การวเิ คราะหข์ อ้ มลู การสรุปผลการทดลอง
2. ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรข์ ั้นพ้นื ฐาน มี 8 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ ทักษะการสงั เกต การวัด การ
คาํ นวณ การจําแนกประเภท การหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งสเปสกบั สเปส และสเปสกับเวลา การจัดกระทาํ สือ่
ความหมายขอ้ มูล การลงความเห็นจากขอ้ มูล ทกั ษะการพยากรณ์
3. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ันบูรณาการ มี 5 ทกั ษะ ไดแ้ ก่ทกั ษะการตง้ั สมมติฐาน
กาํ หนดนิยามเชิงปฏิบัตกิ าร กาํ หนดตัวแปร การทดลอง การตคี วามจากข้อมูลและการลงขอ้ สรปุ
4. จติ วิทยาศาสตร์ มีความละเอียดถ่ถี ว้ น อตุ สาหะ อดทน มีเหตุผล ใจกวา้ ง ยอมรับฟังความคิดเห็น
ของผูอ้ ่นื สามารถทํางานรว่ มกับผู้อ่ืนได้ มคี วามกระตือรอื รน้ ซอื่ สัตย์สุจริต ยอมรบั การเปล่ียนแปลงสิ่งใหม่
5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ครูตรวจสอบรายชอื่ ผ้เู ข้าเรยี น
2. ครูช้ีแจงรายละเอียดเกีย่ วกับคําอธิบายรายวชิ า จุดประสงค์การเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล
การเรียน คณุ ลักษณะนิสยั ทต่ี ้องการให้เกิดขึน้ และขอ้ ตกลงในการเรียน
3. นกั เรียนทําแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยท่ี 1 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรใ์ ช้เวลา 20 นาที
12
4. แบง่ กลุม่ นักเรยี นเปน็ กล่มุ ๆ ละ 5 คน
5. ขั้นนําเข้าสูบ่ ทเรียน
ครตู ง้ั คาํ ถามใหน้ กั เรียนช่วยกันตอบ และร่วมอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าการท่ีนักวิทยาศาสตร์
คน้ พบสิง่ ใหมๆ่ นนั้ นกั วทิ ยาศาสตรต์ อ้ งทํางานเปน็ ข้นั ตอน โดยวธิ กี ารที่เรียกว่า วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์
6. ขน้ั สอน
6.1 นักเรียนศึกษาจากเน้ือหาในหัวข้อเรื่องวิธีการทางวิทยาศาสตร์และทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรข์ นั้ พ้นื ฐาน
6.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาอภิปรายหน้าช้ันเรียนเพื่อสรุปข้ันตอนของวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ และทกั ษะกระบวนการวทิ ยาศาสตรข์ ้นั พืน้ ฐาน
6.3 ครูใหค้ วามรเู้ พิม่ เติม โดยใชส้ อ่ื PowerPoint
6.4 นกั เรียนทํากจิ กรรมตามใบกจิ กรรมท่ี 1-2
6.5 ขณะนกั เรยี นทํากจิ กรรมครูจะสงั เกตการทํางานกล่มุ
7. ขน้ั สรปุ
ครูและนักเรยี นร่วมกนั เฉลยกจิ กรรม และร่วมอภปิ รายสรปุ บทเรียน
6. ส่ือและแหล่งการเรียนรู้
6.1 สื่อสิ่งพมิ พ์
1. ใบความรู้ เรื่องกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
2. ใบกิจกรรมท่ี 1-2
3. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรือ่ งกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
4. แบบทดสอบหลังเรยี น เรอ่ื งกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
6.2 ส่อื โสตทัศน์
PowerPoint สรปุ เน้ือหากระบวนการทางวิทยาศาสตร์
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกจิ กรรม
3. แบบทดสอบ
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอา้ งองิ
1. หนงั สือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทักษะชีวิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กําหนดการประเมนิ พทุ ธพิ สิ ัย
13
1. อธบิ ายขน้ั ตอนของวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ได้
2. อธบิ ายทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้
10.2 เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ประเมินทกั ษะพิสัย
1. ใบงาน ,ใบกิจกรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครอ่ื งมือการประเมนิ จิตพิสัย
1. แบบประเมินจิตพสิ ัย
14
พส.9
เคร่อื งมือทีใ่ ชใ้ นการประเมิน
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
แบบประเมนิ แบบประมาณคา่ (Rating scale) เกณฑ์การให้คะแนน
54 321
ประเด็นการประเมิน
1. อธิบายข้ันตอนของวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์
2. อธิบายทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
รวม
รวมทง้ั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)
15
พส.10
แบบประเมนิ จิตพิสัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไมม่ ี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรียนและการทํากิจกรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแต่งกายถกู ตอ้ งตามระเบยี บแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตง้ั ใจและสนใจเรียน 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและสว่ นรวม 7,12
รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห์)
หมายเหตุ บรู ณาการตามคา่ นยิ มหลักของคนไทย 12 ประการ
16
พส.11
บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้
รหัสวิชา...........................ชอื่ วชิ า..................................................................................ระดบั ช้ัน................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาหท์ .่ี .........วันท่ีสอน.........................................
หนว่ ยที.่ ...........ชอื่ หน่วย.........................................................................................................จาํ นวน..................ชั่วโมง
1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
ลงชอ่ื .......................................................ครผู ูส้ อน
(นางสาวกันตยา เลิศอรุณรัตน์)
........../................/............
ความเห็น................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................
ลงชื่อ...............................................หัวหนา้ แผนกวิชา ลงชอ่ื ...........................................รองผอู้ ํานวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บวั ดี) (นางสาวนศิ ากร เจริญดี)
............/................../............
............/................../............
17
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทักษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
ชอื่ หนว่ ย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เรอ่ื ง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จานวนชว่ั โมงสอน 3
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
- จดุ ประสงค์ทั่วไป 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
1.มคี วามรู้ ความเข้าใจในขั้นตอนของวธิ ีการทาง 2. วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์
2.มีความรู้ ความเข้าใจในทกั ษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตร์
- จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม
1.อธบิ ายขัน้ ตอนของวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ได้
2.อธิบายทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
เนื้อหาสาระ
“วทิ ยาศาสตร์” มคี วามหมายตรงกบั ภาษาอังกฤษว่า science ตรงกบั รากศัพท์ภาษาละตินว่า science แปลว่า
ความรู้ (knowledge) คอื ความร้ตู ่างๆ ทม่ี ีอยูใ่ นธรรมชาติ หรอื กลา่ วไดว้ ่า วิทยาศาสตร์ (science) คอื องค์
ความรทู้ ีม่ รี ะบบและจดั ไวอ้ ย่างมรี ะเบียบแบบแผน สามารถพิสูจนไ์ ด้ กระบวนการหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คอื
วธิ กี ารและข้ันตอนทใี่ ชด้ าํ เนนิ การค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คือ วิธีการและขนั้ ตอนท่ใี ชด้ าํ เนนิ การคน้ ควา้ หาความรูท้ างวิทยาศาสตร์ อย่างมี
ระบบและมปี ระสทิ ธภิ าพ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทาง
วทิ ยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์
วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย
เปน็ วิธีการทีน่ ักวิทยาศาสตร์ใชใ้ นการแสวงหาความรู้ หรอื หาความจริง หรือใช้ในการแก้ปัญหาตา่ ง ๆ ดงั นั้นการ
แสวงหาความรู้ ความเข้าใจท่ีถูกต้องและน่าเช่ือถือในทุกๆศาสตร์ จะต้องอาศัยวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์เพอ่ื ตอบ
คาํ ถาม และเพือ่ แกป้ ัญหา มี 5 ขั้นตอนได้แก่
ขั้นท่ี 1 ระบุปัญหา
ขั้นท่ี 2 สรา้ งสมมติฐาน
ข้นั ที่ 3 การทดลอง/การรวบรวมข้อมลู
18
ขน้ั ที่ 4 การวิเคราะหข์ ้อมูล
ขัน้ ท่ี 5 สรปุ ผลข้อมูล
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ ความชํานาญและความสามารถในการใช้ การคดิ และ
กระบวนการคดิ เพอ่ื คน้ หาความรู้ รวมทั้งการแก้ปญั หาตา่ งๆ
ทกั ษะท่ี 1 ทกั ษะการสงั เกต (Observation) ความหมาย : เป็นวิธีการหาข้อมูลโดยตรงจากการใชป้ ระสาทสัมผัส
ทัง้ ห้า ได้แก่ การดู การดม การฟัง การชิม และการสมั ผัส ทั้งนี้โดยไมใ่ สค่ วามเหน็ หรือประสบการณ์เดมิ ของผู้
สงั เกตลงไป ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากการสังเกตเป็น ข้อมูล เชงิ ประจักษ์
ทกั ษะท่ี 2 ทักษะการวัด (Measurement) ความหมาย : เป็นการเลอื กและการใช้เคร่ืองมอื ทาํ การวัดหาปรมิ าณ
ของส่งิ ตา่ ง ๆ ออกมาเปน็ ตวั เลขทแี่ นน่ อนได้ เหมาะสม และถูกตอ้ ง โดยมหี น่วยกาํ กบั เสมอ
ทักษะที่ 3 ทักษะการจําแนกประเภท (Classification) ความหมาย : เปน็ การจดั แบ่งหรือเรียงลําดับวตั ถุหรอื
ส่ิงของท่อี ยูใ่ นประสบการณ์ โดยมเี กณฑซ์ งึ่ เกณฑน์ นั้ อาจใชค้ วามเหมือนความแตกต่าง ความสัมพันธ์อยา่ งใดอย่าง
หน่ึงก็ได้
ทักษะท่ี 4 การหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสเปสกับสเปสและสเปสกบั เวลา (Spacs / Spacs Reation and Space
/Time Relation) ความหมาย : เป็นการจัดแบง่ หรือเรียงลาํ ดบั วัตถุหรอื สิง่ ของทีอ่ ย่ใู นประสบการณ์ โดยมเี กณฑ์
ซ่งึ เกณฑน์ น้ั อาจใชค้ วามเหมือน ความแตกต่างความสมั พันธ์อยา่ งใดอย่างหนง่ึ กไ็ ด้
ทกั ษะท่ี 5 การคํานวณ (Using Number) ความหมาย : เปน็ การนบั จํานวนของวัตถแุ ละการนาํ ตัวเลขแสดงจาํ นวน
ทนี่ ับได้มาคดิ คํานวณ โดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือหาค่าเฉล่ยี
ทักษะท่ี 6 การจัดทาํ และสื่อความหมายข้อมูล (Organizing Data and Communication) ความหมาย : เปน็ การ
นําข้อมูลที่ไดร้ ับจากการสงั เกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอนื่ ๆ มาจัดกระทาํ เสียใหม่ โดยการหาความถี่
เรยี งลําดบั จัดแยกประเภท หรอื คํานวณหาคา่ ใหม่ เพ่อื ใหผ้ อู้ ่นื เข้าใจความหมายของข้อมูล ชุดนั้นดีข้ึน โดยการ
นาํ เสนอในรูปของตารางแผนภมู ิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟสมการ หรอื การเขียนบรรยาย
ทกั ษะท่ี 7 การลงความคดิ เห็นจากขอ้ มูล (Inferring) ความหมาย : เป็นการเพมิ่ ความคดิ เหน็ ใหก้ ับขอ้ มลู ทีไ่ ด้ จาก
การสังเกตอยา่ งมเี หตุผล
ทักษะท่ี 8 การพยากรณ์ (Prediction) ความหมาย : เป็นการคาดคะเนคาํ ตอบล่วงหนา้ ก่อนทาํ การทดลอง โดย
อาศยั ประสบการณ์ที่เกิดชา้ ๆ หลกั การ กฎ หรือทฤษฎที ่ีมอี ย่แู ล้ว ในเร่ืองนัน้ มาชว่ ยในการสรปุ เชน่ การพยากรณ์
ข้อมลู ท่ีเก่ยี วกับตวั เลข ไดแ้ ก่ ข้อมลู ทีเ่ ป็นตาราง หรือ กราฟ ซง่ึ ทําได้ 2 แบบ คอื 1. การพยากรณ์ภายในขอบเขต
ของข้อมูล 2. การพยากรณ์ภายนอกขอบเขตของข้อมูล
ทกั ษะที่ 9 การตงั้ สมมตฐิ าน (Formulating Hypothesis) ความหมาย : เป็นการคดิ หาคาํ ตอบล่วงหนา้ ก่อนการ
ทดลอง โดยอาศัยการสงั เกตความรแู้ ละประสบการณ์ เดมิ เป็นฐาน
ทกั ษะท่ี 10 การกําหนดนยิ ามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Defining Operation) ความหมาย : เป็นการกําหนดความหมาย
และขอบเขตของคาํ ตา่ ง ๆ ทอี่ ย่ใู นสมมติฐานทตี่ ้องการทดลองให้ เกดิ ความเข้าใจตรงกนั และสามารถสงั เกตไดห้ รอื
วัดได้ โดยใหค้ ําตอบเกยี่ วกบั การทดลองและบอกวิธวี ดั ตวั แปรทีเ่ กี่ยวกับการทดลองน้นั
19
ทักษะท่ี 11 การกาํ หนดและควบคมุ ตวั แปร (Identifying and Controlling Variables) ความหมาย : เป็นการ
บง่ ชี้ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม และตัวแปรที่ตอ้ งควบคุมในการตั้ง สมมติฐานหน่ึงๆ
ตัวแปรแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. ตัวแปรอสิ ระหรอื ตวั แปรต้น 2. ตวั แปรตาม 3. ตัวแปรทีต่ อ้ งควบคุม
1. ตัวแปรตน้ หรอื ตวั แปรอสิ ระ (Independent Variable) คือตัวแปรท่เี กิดขนึ้ ก่อนหรือเป็นตัวแปรทเ่ี ปน็ เหตุ
ทําใหเ้ กิดผลตามมา
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คอื ตัวแปรทีเ่ กิดขน้ึ เนือ่ งจากตัวแปรตน้ อันเกดิ จากเหตุ
3. ตวั แปรควบคุม (Control Variable) เป็นตวั แปร คือ ตัวแปรท่ีเราต้องจัดให้เหมือนกนั ทัง้ หมดในชดุ ทดลอง
ทกั ษะท่ี 12 การทดลอง (Experiment) ความหมาย : เป็นกระบวนการปฏบิ ตั งิ านเพือ่ หาคําตอบจากสมมตฐิ าน
ที่ตงั้ ไว้ในการทดลอง ซง่ึ ประกอบด้วย 3 ขัน้ ตอน ได้แก่
1. การออกแบบการทดลอง 2. การปฏิบัติการทดลอง 3. การบันทึกผลการทดลอง
ทักษะที่ 13 การตคี วามหมายขอ้ มูลและลงข้อสรุป (Interperting Data and Making) ความหมาย : เปน็ การแปล
ความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมลู ทมี่ ีอยู่ การสรปุ ขอ้ มูลจะตอ้ งให้มี ความสมั พนั ธ์ของขอ้ มูลทงั้ หมด
จติ วิทยาศาสตร์
เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เปน็ องคป์ ระกอบพนื้ ฐานในการเสาะแสวงหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ ซึ่งชว่ ยให้
เข้าถึงหลักวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี และเป็นสิ่งสาํ คญั อย่างหนึง่ ทีจ่ ะตอ้ งปลูกฝังใหเ้ กดิ ขนึ้ เป็นเสมือนตัว
กํากบั ความคิด การกระทํา และการตดั สินใจในการปฏิบัตงิ านทางวิทยาศาสตร์ เจตคติทางวทิ ยาศาสตร์แบ่งได้เปน็
2 ลักษณะคือ
1. เจตคติท่เี กิดจากการใชค้ วามรโู้ ดยใช้กฎเกณฑ์ทฤษฎีและหลกั การตา่ งๆ ทางวิทยาศาสตรก์ ารอธิบาย
ปรากฏการณธ์ รรมชาตใิ นเชิงวิทยาศาสตรโ์ ดยถอื ผลท่ีเกดิ จากการสังเกต ทดลอง ตามทเ่ี กิดจริงโดยอาศยั ข้อมูล
องคป์ ระกอบท่ีเหมาะสม
2. เจตคติท่ีเกิดจากความรสู้ กึ ไดแ้ ก่การทํางานทต่ี ้องใช้ความรูท้ างวทิ ยาศาสตร์เป็นส่ิงท่ีนา่ สนใจและมีคุณค่า การทาํ
กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ม่งุ เพอ่ื กอ่ ให้เกดิ ความคิดใหมๆ่ เพื่ออธบิ ายปรากฏการณธ์ รรมชาติคุณคา่ สําคญั จึงอยู่ ที่
การสร้างทฤษฎี
เอกสารอ้างองิ
http://www.pktc.ac.th/saman/manage/upload_file/O978T4OJsHT20160214144420.pdf
https://ngthai.com/science/21673/scienctificprocessing/
https://sites.google.com/site/teacherreybanis1/ngan-xdirek-laea-khwam-samarth-phises/bth-thi-5-
tawpaer-laea-prapheth-khxng-tawpaer
20
พส.13
ใบงาน (Job Sheets)
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาทกั ษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
ชือ่ หน่วย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เร่ือง กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ จานวนชัว่ โมงสอน 3
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
- จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เครอ่ื งมือ/วัสดุ-อปุ กรณ์
1. อธบิ ายขัน้ ตอนการแก้ปญั หาโดยใชว้ ธิ ีการทาง 1. ปากกา
วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 2. กระดาษ A4
2. อธิบายทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 3. ชน้ิ งาน
3. ทาํ งานร่วมกันเป็นกลมุ่ ได้
- ลําดบั ขนั้ การทํางาน ขอ้ ควรระวงั
1. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลมุ่ กลุม่ ละ 3 คน 1. ควรใชอ้ ปุ กรณ์ต่างๆดว้ ยความระมดั ระวัง
2. ใหแ้ ต่ละกลุ่มเขียนสรปุ ทกั ษะกระบวนการทาง มอบงาน
วิทยาศาสตร์ว่ามีกีท่ ักษะ ทําเป็นแผนที่ความคิด 1. นาํ เสนอผลงานพรอ้ มอธิบาย
3. นําเสนอหน้าชัน้ เรียน วัดผล/ประเมินผล
1. ตรวจชิ้นงาน
2. การนําเสนอผลงาน
3. เกณฑค์ ะแนนผ่าน 50% ข้ึนไป
21
พส.14
ใบปฏบิ ตั งิ าน (Operation Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
ชอ่ื หน่วย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เรือ่ ง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จานวนชั่วโมงสอน 3
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
- จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
1. อธบิ ายขนั้ ตอนการแก้ปญั หาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้
2. อธบิ ายทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
เครอ่ื งมือ-อุปกรณ์-วสั ดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ชน้ิ งาน
ลําดบั ขัน้ การปฏิบตั ิงาน
1. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุม่ กลมุ่ ละ 3 คน
2. ใหก้ ําหนดปญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ 1 ปญั หา
3. ให้เขยี นระบุทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรท์ ค่ี วรใช้ในการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์
4. นาํ เสนอหน้าชั้นเรยี น
ข้อควรระวัง
1. การสง่ งานใหต้ รงตามเวลาที่ผ้สู อนกาํ หนด
2. การหาข้อมูลทตี่ รงประเดน็
ขอ้ เสนอแนะ
การแบ่งหนา้ ท่ีการทาํ งานในกลมุ่ แต่ละคนใหช้ ดั เจน
การประเมนิ ผล
1. การประเมนิ ผลงานของแต่ละกลมุ่
2. การประเมินผลการนําเสนอหนา้ ชน้ั เรยี น
เอกสารอา้ งอิง
http://www.pktc.ac.th/saman/manage/upload_file/O978T4OJsHT20160214144420.pdf
หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบัตงิ านในแต่ละข้นั
22
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
ช่อื หนว่ ย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เรื่อง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จานวนชวั่ โมงสอน 3
จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพอ่ื ให้ผู้เรยี นอธบิ ายวธิ ีการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
2. เพอ่ื ให้ผเู้ รียนอธบิ ายทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
แนวทางการปฏบิ ตั งิ าน
ให้ผเู้ รียนทาํ งานเป็นกลมุ่ กําหนดหน้าที่ของแต่ละคนให้ชัดเจน จดั ลําดับข้นั ตอนการปฏบิ ัติงานใหเ้ หมาะสม
แหล่งคน้ ควา้
สอื่ ออนไลน์
คาถาม/ปัญหา
1. ผเู้ รยี นวางแผนการทาํ งานเป็นกลุ่มและงานเสร็จตามที่กําหนดได้หรอื ไม่
2. ผเู้ รียนอธบิ ายกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้หรอื ไม่
3. ผเู้ รียนอธิบายทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ไดห้ รือไม่
กาหนดเวลาทางาน
3 ช่ัวโมง
หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบัติงานในแตล่ ะข้นั
23
พส.16
ใบกิจกรรมที่ 1
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครัง้ ท่ี 1
หน่วยที่ 1 ชอื่ หนว่ ย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เวลา 1 ชม.
ชื่อกจิ กรรม ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสังเกต เวลา 1 ชม.
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เพ่ือใหม้ คี วามร้คู วามเข้าใจเกีย่ วกับทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการสงั เกต
2. อธบิ ายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้
วัสด/ุ อปุ กรณ์
1. สมดุ
2. อปุ กรณก์ ารเรียน
คาสั่ง
1. ใหน้ กั เรยี นทาเครอ่ื งหมายถกู ()หนา้ ขอ้ ความท่ีบนั ทกึ การสงั เกตไดถ้ กู ตอ้ ง
2. ให้นักเรยี นทําด้วยตนเองหา้ มลอกกนั
….….1 ดนิ น้ํามันก้อนนมี้ ีเนอื้ ละเอียดและมสี ีเขยี วออ่ น
……..2 ผลไม้มีรสหวานและมกี ลนิ่ หอม
……..3 มะเขือนผี้ ลยาวใหญเ่ พราะดนิ ท่ีปลกู
……..4 งเู หลือมตวั น้ียาวประมาณ 3 เมตร
……..5 รถเบรกเสยี งดงั เอ๊ียด
……..6 เทียนไขเลม่ นท้ี ํามาจากไขปลาวาฬ
……..7 ชายคนน้รี ูปร่างท้วมนาํ้ หนักประมาณ 70 กิโลกรัม
……..8 วนั นอ้ี ากาศร้อนมากสงสัยฝนจะตก
……..9 เมื่อหยดกรด A ลงไปในสาร B เกดิ ฟองก๊าซ 2-3 ฟอง
……..10 เครือ่ งแกงมีเน้ือหยาบเพราะใชเ้ วลาในการบดนอ้ ย
การประเมินผล
1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นกั เรยี นทาํ ผา่ น 50 % ขึน้ ไป
24
พส.16
ใบกิจกรรมท่ี 2
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครงั้ ท่ี 1
หน่วยที่ 1 ช่อื หน่วย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เวลา 1 ชม.
ชอ่ื กจิ กรรม ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การตั้งสมมตฐิ าน เวลา 1 ชม.
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. เพ่ือให้มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกบั ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะการตั้งสมมติฐาน
2. อธบิ ายกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
วัสดุ/อปุ กรณ์
1. สมดุ
2. อปุ กรณ์การเรยี น
คาสั่ง
1. ใหน้ ักเรียนตั้งสมมติฐานจากปญั หาที่กําหนดใหต้ ่อไปนี้
2. ให้นักเรยี นทาํ ด้วยตนเองห้ามลอกกัน
ปัญหาที่ 1. ปริมาณนํา้ ท่พี ืชไดร้ บั มผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพชื หรอื ไม่
สมมตฐิ าน 1.1…………………………………………………….
1.2……………………………………………………
ปัญหาท่ี 2. ชนิดของดนิ ทใี่ ช้ปลกู พชื มีผลตอ่ การงอกของเมลด็ หรอื ไม่
สมมติฐาน 2.1…………………………………………………….
2.2…………………………………………………….
ปญั หาท่ี 3. ปรมิ าณแสงมีผลต่อการงอกของเมลด็ พชื หรอื ไม่
สมมตฐิ าน 3.1…………………………………………………….
3.2…………………………………………………….
ปัญหาท่ี 4. ชนิดของปุย๋ มผี ลต่อการเจรญิ เตบิ โตของพืชหรือไม่
สมมติฐาน 4.1…………………………………………………….
4.2…………………………………………………….
การประเมินผล
1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นกั เรียนทําผ่าน 50 % ขึน้ ไป
25
เฉลยใบกจิ กรรมที่ 1
… ….1. ดนิ น้าํ มนั กอ้ นน้มี เี นอ้ื ละเอียดและมีสีเขียวออ่ น
……..2. ผลไมม้ รี สหวานและมกี ลนิ่ หอม
……...3 มะเขือนีผ้ ลยาวใหญเ่ พราะดนิ ทปี่ ลกู
……..4 งเู หลือมตวั น้ยี าวประมาณ 3 เมตร
……..5 รถเบรกเสยี งดงั เอ๊ียด
……..6 เทียนไขเลม่ น้ีทํามาจากไขปลาวาฬ
……..7 ชายคนน้ีรูปรา่ งทว้ มนํ้าหนกั ประมาณ 70 กิโลกรมั
……..8 วันนีอ้ ากาศร้อนมากสงสัยฝนจะตก
……..9 เมอื่ หยดกรด A ลงไปในสาร B เกิดฟองกา๊ ซ 2-3 ฟอง
……..10 เครื่องแกงมเี นื้อหยาบเพราะใชเ้ วลาในการบดนอ้ ย
เฉลยใบกิจกรรมที่ 2
ปญั หาท่ี 1. ปริมาณน้าํ ทพ่ี ืชไดร้ บั มผี ลต่อการเจริญเติบโตของพืชหรอื ไม่
สมมติฐาน 1.1 ถา้ ปริมาณน้าํ มีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื แลว้
ดังน้ันพชื ที่ไดร้ บั นา้ํ มากจะเจริญได้ดกี ว่าพืชทีไ่ ด้รบั น้ําน้อย
1.2 ปริมาณนา้ํ มีผลต่อการเจริญเติบโตของพืช
ปญั หาท่ี 2. ชนิดของดนิ ทใ่ี ช้ปลกู พืชมีผลตอ่ การงอกของเมล็ดหรอื ไม่
สมมติฐาน 2.1 ถ้าชนดิ ของดนิ ท่ีใชป้ ลูกพืชมีผลต่อการงอกของเมล็ดแลว้
ดงั น้ันถา้ ดินตา่ งชนิดกนั การงอกของเมล็ดจะแตกตา่ งกนั
2.2 ชนดิ ของดินมีผลตอ่ การงอกของเมล็ด
ปญั หาที่ 3. ปริมาณแสงมผี ลต่อการงอกของเมล็ดพชื หรือไม่
สมมติฐาน 3.1 ถ้าปริมาณแสงมีผลต่อการงอกของเมล็ดแลว้
ดังน้ันเมล็ดพืชทีไ่ ดร้ บั แสงจะงอกไดด้ ีกว่าเมลด็ ทไ่ี ม่ไดร้ ับแสง
3.2 ปริมาณแสงมีผลตอ่ การงอกของเมล็ด
ปญั หาที่ 4. ชนดิ ของปยุ๋ มผี ลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื หรอื ไม่
สมมตฐิ าน 4.1 ถา้ ชนดิ ของป๋ยุ มีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื แลว้
ดังนนั้ พืชท่ีไดร้ ับป๋ยุ ตา่ งชนิดกันจะเจริญเติบโตตา่ งกนั
4.2 ชนิดของปยุ๋ มผี ลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื
26
แบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยท่ี 1
คาส่ัง จงเลอื กคําตอบทีถ่ กู ที่สดุ เพียงคาํ ตอบเดียว แลว้ กาเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ใน
กระดาษคําตอบ
1. ขอ้ ใดกลา่ วถึงลกั ษณะของวิทยาศาสตร์ไดถ้ กู ตอ้ งทส่ี ดุ
ก. วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ ความรู้ทไ่ี ด้จากการค้นพบด้วยความบงั เอญิ
ข. วิทยาศาสตร์เปน็ การศึกษาเกี่ยวกบั ปรากฏการณ์ธรรมชาติเทา่ น้ัน
ค. วทิ ยาศาสตร์เปน็ ความรู้ท่ีได้จากการทดลองค้นคว้าและการพยากรณ์
ง. วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ องคค์ วามรู้และกระบวนการในการแสวงหาความรูท้ างวิทยาศาสตร์
2. “ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ” ขอ้ ใดกลา่ วถูกต้อง
ก. วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์
ข. ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ค. เจตคติทางวิทยาศาสตร์
ง. ถูกทกุ ข้อ
3. ข้อใดกลา่ วถูกตอ้ งเกีย่ วกับการตงั้ สมมตฐิ าน
ก. การคาดคะเนคําตอบของปัญหาอยา่ งมีเหตุผล
ข. ข้อเท็จจริงท่ไี ด้จากการสงั เกตหรอื ทดลอง
ค. สิ่งทีเ่ ป็นข้อปฏบิ ตั ิหรือหลกั ปฏิบัติ
ง. สิง่ ทไี่ ด้รบั การยอมรบั ว่าถกู ต้องอยา่ งมเี หตผุ ล
4. ข้อใดเรยี งลําดับขั้นตอนวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ถูกต้องท่ีสดุ
ก. การสังเกต การทดลอง การตั้งสมมุติฐาน การวิเคราะหข์ อ้ มูล การสรปุ ผล
ข. การสงั เกต การต้ังสมมตุ ิฐาน การทดลอง การวิเคราะห์ขอ้ มูล การสรปุ ผล
ค. การระบุปัญหา การตั้งสมมุติฐาน การทดลอง การสรุปผล
ง. การต้งั สมมตุ ิฐาน การระบปุ ัญหา การทดลอง การวิเคราะห์ขอ้ มูล การสรปุ ผล
5. ข้อใดไม่ใชข่ ้นั ตอนของวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์
ก. การพยากรณ์ ข. การระบุปัญหา
ค. การสรปุ ผลการทดลอง ง. การทดลอง
6. ข้อใดบันทึกการสงั เกตได้ถูกตอ้ ง
ก. มะเขือเทศผลยาวใหญเ่ พราะดินทป่ี ลกู
ข. กลว้ ยมีรสหวานและมกี ลิ่นหอม
ค. เทียนไขเล่มนท้ี ํามาจากไขปลาวาฬ
ง. วนั น้อี ากาศรอ้ นมากสงสัยฝนจะตก
27
7. ขอ้ ใดเปน็ ขอ้ มูลจากการสังเกตลิปสตกิ
ก. ลปิ สติกสีสวย ราคาแพง
ข. ลปิ สตกิ เปน็ แทง่ ยาวประมาณ 5 cm
ค. ลิปสตกิ นีท้ ําในเมืองไทย
ง. ลิปสตกิ น้คี วรเก็บไวใ้ นทีเ่ ยน็ จะได้ไมเ่ ละ
8. การสอบวัดผลวิชาวทิ ยาศาสตร์พน้ื ฐานของนกั เรียน 10 คน มนี กั เรยี นทาํ ขอ้ สอบไดด้ งั นี้
คะแนนทีไ่ ด้ จาํ นวนนกั เรยี น(คน)
12 2
14 4
16 3
18 1
คะแนนเฉลีย่ ของการสอบวชิ าวิทยาศาสตร์พน้ื ฐาน มคี ่าเท่าไร
ก. 13.8 ข. 14.6 ค. 15.2 ง. 15.8
9. เครอ่ื งมอื ชดุ ใดเหมาะสําหรบั การวดั ความยาวรอบของใบไม้
ก. ไมบ้ รรทัด ลวด เทปใส
ข. เชือก ไม้บรรทดั เทปใส
ค. ไม้บรรทดั ดินสอ กรรไกร
ง. ไม้บรรทัด ดนิ สอ แผน่ กระดาษ
10. ในการทดลองเพาะเหด็ ฟาง 2 แปลง ในพน้ื ที่เดยี วกนั เวลาเดยี วกัน อาหารเสริมและปรมิ าณน้ําท่ใี ช้
เหมือนกัน และใชเ้ วลาในการเพาะเท่ากนั ดงั น้ี
แปลงท่ี 1 วัสดทุ ่ีใช้เพาะเห็ดฟาง ไดแ้ ก่ ฟางข้าว
แปลงที่ 2 วสั ดทุ ี่ใชเ้ พาะเห็ดฟาง ได้แก่ ต้นถัว่ ผสมเปลอื กฝักถัว่
การทดลองน้ีมีสมมติฐานวา่ อยา่ งไร
ก. แสงมผี ลตอ่ การเจริญเตบิ โตของเห็ดฟาง
ข. อาหารเสริมมีผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของเหด็ ฟาง
ค. ความชืน้ มผี ลต่อการเจรญิ เตบิ โตของเห็ดฟาง
ง. วัสดุท่ใี ช้เพาะเหด็ ตา่ งกันการเจรญิ เตบิ โตของเหด็ ฟางจะต่างกนั
28
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยท่ี 1
1. ง. วิทยาศาสตร์เป็นองคค์ วามรแู้ ละกระบวนการในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
2. ง. ถูกทกุ ขอ้
3. ก. การคาดคะเนคําตอบของปญั หาอย่างมีเหตุผล
4. ง. การต้งั สมมุติฐาน การระบุปญั หา การทดลอง การวิเคราะหข์ ้อมูล การสรปุ ผล
5. ก. การพยากรณ์
6. ข. กลว้ ยมีรสหวานและมกี ลนิ่ หอม
7. ข. ลิปสตกิ เปน็ แท่งยาวประมาณ 5 cm
8. ข. 14.6
9. ง. ไม้บรรทัด ดนิ สอ แผน่ กระดาษ
10. ง. วัสดุท่ีใช้เพาะเห็ดต่างกันการเจริญเติบโตของเห็ดฟางจะตา่ งกัน
29
พส.8
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 1
เวลารวม 6 ชม.
รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตร์เพอื่ พฒั นาทักษะชีวติ
ช่ือหนว่ ย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ สัปดาห์ 2/18
เร่ือง สมมติฐาน ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคมุ จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคัญ
การตั้งสมมตฐิ านจดั เปน็ ทักษะทางวทิ ยาศาสตรท์ ักษะหน่งึ สมมตฐิ านเป็นการเขยี นคาดการณ์ส่ิงท่ี
เกดิ ข้ึนหรอื แสดงความสมั พันธร์ ะหว่างตัวแปร 2 ตวั แปรข้ึนไป ซ่งึ ตวั แปรมีท้งั หมด 3 ประเภท คอื ตวั แปรตน้
ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคมุ
2. สมรรถนะประจาหน่วย
แสดงความร้แู ละปฏบิ ัติเกยี่ วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ต้งั สมมติฐานจากปัญหาทกี่ าํ หนดได้
2. ระบุตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุมจากปญั หาท่ีกาํ หนดได้
4. สาระการเรียนรู้
1. สมมตฐิ าน คอื การกาํ หนดขอ้ ความที่คาดคะเนคาํ ตอบของปัญหา หรอื เร่อื งที่สนใจไว้ก่อนจะ
ทาํ การศึกษาซึ่งการคาดคะเนคําตอบน้ัน ม่งุ หวังให้คาํ ตอบหรือผลท่ไี ดจ้ ากการศึกษาถูกต้องมากทสี่ ุด ดงั นั้น
การต้ังสมมติฐาน จึงใช้หลกั การของการทาํ นายผล หรอื การคาดเดาเหตกุ ารณจ์ ากประสบการณ์ของแต่ละคน
2. ตัวแปรต้น คอื สิ่งที่เปน็ สาเหตุทท่ี าํ ใหเ้ กดิ ผลหรอื สง่ิ ที่ตอ้ งการทดลองเพ่ือใหท้ ราบว่าเปน็ สาเหตุ
ของผลทีเ่ กิดขึ้นหรอื ไม่
3. ตัวแปรตาม คือ ผลท่ีเกิดจากการกระทําของตวั แปรตน้ ในการทดลอง
4. ตัวแปรควบคมุ คือ ปจั จัยอืน่ ๆ นอกเหนอื จากตวั แปรตน้ ที่อาจมีผลมตี อ่ การทดลองที่ต้องควบคุมให้
เหมอื นกันหรือคงท่ขี ณะการทดลอง
5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. ครตู รวจสอบรายชือ่ ผ้เู ขา้ เรยี น
2. ครูชีแ้ จงรายละเอยี ดเก่ียวกับคาํ อธิบายรายวชิ า จดุ ประสงค์การเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล
การเรียน คุณลกั ษณะนิสัยทีต่ อ้ งการให้เกิดข้ึน และขอ้ ตกลงในการเรยี น
3. ขนั้ นาํ เขา้ สู่บทเรียน
ครูตง้ั คาํ ถามใหน้ ักเรียนชว่ ยกนั ตอบ และร่วมอภิปรายเพ่อื หาความหมายของสมมตฐิ าน
ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม
4. ขนั้ สอน
30
4.1 นกั เรียนศกึ ษาจากเนื้อหาเรอ่ื งสมมติฐาน ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม
4.2 นักเรยี นแตล่ ะกลมุ่ ส่งตวั แทนมาอภปิ รายหน้าช้ันเรียนเพอื่ สรปุ สมมติฐาน ตวั แปรต้น ตัวแปร
ตาม และตัวแปรควบคุม
4.3 ครูให้ความรเู้ พ่ิมเตมิ โดยใช้สื่อ PowerPoint
4.4 นักเรยี นทํากิจกรรมตามใบกิจกรรมท่ี 3
5. ขัน้ สรุป
5.1 ครแู ละนักเรยี นร่วมกันเฉลยกจิ กรรม และร่วมอภิปรายสรุปบทเรียน
5.2 นกั เรยี นทําแบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยที่ 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใชเ้ วลา 20 นาที
6. สอ่ื และแหล่งการเรยี นรู้
6.1 ส่ือส่ิงพิมพ์
1. ใบความรู้เร่ือง สมมตฐิ าน ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม
2. ใบกิจกรรมท่ี 3
3. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอื่ งกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
4. แบบทดสอบหลังเรยี น เรือ่ งกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
6.2 สอื่ โสตทัศน์
PowerPoint สรปุ เนือ้ หากระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ
8. กิจกรรมเสนอแนะ -
9. เอกสารอ้างองิ
1. หนงั สือเรียนรายวิชา วิทยาศาสตร์เพอ่ื พฒั นาทักษะชวี ิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมินผล
10.1 กาํ หนดการประเมินพทุ ธพิ สิ ยั
1. ตัง้ สมมติฐานจากปญั หาทีก่ าํ หนดได้
2. ระบตุ ัวแปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุมจากปัญหาท่ีกาํ หนดได้
10.2 เคร่ืองมือท่ใี ชป้ ระเมินทกั ษะพิสัย
1. ใบงาน ,ใบกจิ กรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครื่องมือการประเมนิ จติ พสิ ัย
1. แบบประเมินจิตพสิ ัย
31
พส.9
เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการประเมิน
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
แบบประเมินแบบประมาณค่า (Rating scale) เกณฑก์ ารให้คะแนน
54 321
ประเดน็ การประเมิน
ตงั้ สมมติฐานจากปญั หาทกี่ ําหนดได้
ระบุตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม และตัวแปรควบคมุ จากปญั หาทก่ี าํ หนดได้
รวม
รวมทง้ั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)
32
พส.10
แบบประเมนิ จิตพิสัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไมม่ ี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรียนและการทํากิจกรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแต่งกายถกู ตอ้ งตามระเบยี บแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตง้ั ใจและสนใจเรียน 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและสว่ นรวม 7,12
รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห์)
หมายเหตุ บรู ณาการตามคา่ นยิ มหลักของคนไทย 12 ประการ
33
พส.11
บันทกึ หลงั การจัดการเรยี นรู้
รหัสวิชา...........................ชอื่ วชิ า..................................................................................ระดบั ช้ัน................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาห์ที่..........วันท่ีสอน.........................................
หนว่ ยที.่ ...........ชอื่ หน่วย.........................................................................................................จาํ นวน..................ช่ัวโมง
1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
ลงช่ือ.......................................................ครผู ู้สอน
(นางสาวกันตยา เลศิ อรณุ รัตน์)
........../................/............
ความเห็น................................................................................. ความเห็น.................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................
ลงชื่อ...............................................หัวหนา้ แผนกวิชา ลงชอื่ ...........................................รองผู้อํานวยการฝาุ ยวชิ าการ
(นางสาวมาละ แกว้ บวั ดี) (นางสาวนิศากร เจริญดี)
............/................../............
............/................../............
34
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
ชือ่ หนว่ ย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เรื่อง สมมตฐิ าน ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคุม จานวนชั่วโมงสอน 3
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรียนรู้
- จุดประสงค์ทวั่ ไป 1. สมมตฐิ าน
1.อธบิ ายสมมตฐิ านได้ 2. ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม
2.อธิบายตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตัวแปรควบคมุ ได้
- จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม
1.ตง้ั สมมตฐิ านจากปญั หาทกี่ ําหนดได้
2.ระบตุ ัวแปรตน้ ตัวแปรตาม และตวั แปรควบคุมจากปัญหาที่
กําหนดได้
เน้อื หาสาระ
สมมติฐาน (Hypothese)
สมมติฐาน คอื การกาํ หนดขอ้ ความทีค่ าดคะเนคาํ ตอบของปัญหา หรือเร่ืองท่ีสนใจไวก้ ่อนจะ
ทําการศึกษาซึง่ การคาดคะเนคําตอบนน้ั มุ่งหวังให้คาํ ตอบหรือผลทไี่ ดจ้ ากการศึกษาถกู ต้องมากทส่ี ุด ดังนน้ั การ
ตัง้ สมมตฐิ าน จึงใช้หลกั การของการทํานายผล หรือการคาดเดาเหตุการณ์จากประสบการณ์ ความรู้ท่ตี ดิ ตวั ของแต่
ละคน การต้งั สมมติฐานจัดเปน็ ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ทกั ษะหนงึ่
ความหมายของสมมตฐิ าน
พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของคาํ ว่า "สมมติฐาน" หมายถึง ขอ้ คดิ
ห็นหรือถ้อยแถลงท่ีใช้เปน็ มลู ฐานแห่งการหาเหตุผล การทดลอง หรือการวจิ ัย
วิกพิ เิ ดยี สารานกุ รมเสรี ไดอ้ ธิบายว่า สมมติฐาน คือ การอธบิ ายความหมายคาดหมายล่วงหนา้ สาํ หรับ
ปรากฏการณท์ ่สี ามารถสงั เกตได้ มกั ใชเ้ ปน็ มลู ฐานแหง่ การหาเหตผุ ล การทดลองหรอื การวิจยั นอกจากน้ัน ยัง
หมายถงึ การลองเดาคาํ ตอบของปัญหาทีเ่ ป็นการคาดเดาอย่างมีหลักการไว้เป็นการลว่ งหนา้
จะเห็นได้ว่าสมมตฐิ านเปน็ การคาดคะเนหาคําตอบท่อี าจเปน็ ไดอ้ ย่างสมเหตุสมผล สําหรับประเด็นปญั หา
ที่ตั้งไว้ การคาดคะเนอาจจะเปน็ จริงหรอื ไม่นั้น ตอ้ งทาํ การพิสจู น์ หรอื ทดลองเพื่อหาข้อเท็จจริงโดยอาศัยขอ้ มูล
ตา่ งๆ ท่ไี ด้จากการศึกษาหลักการ ทฤษฎี วิถกี ารทางสถติ ิ หรอื ขอ้ คน้ พบจากการศกึ ษาทท่ี ํามากอ่ นน้ี แต่การ
ยอมรับสมมตฐิ านท่ีผา่ นการทดลองพสิ จู น์มาแล้ว อาจจะถกู ลบลา้ งไดด้ ้วยผลการทดลอง หรอื การตรวจสอบและ
การพสิ จู น์ใหม่ๆ ได้
35
ลกั ษณะของสมมติฐาน
1. สมมติฐานเป็นการคาดคะเนเพอื่ หาคําตอบ จึงเป็นการกล่าวถงึ ส่งิ ทีเ่ ปน็ เหตแุ ละส่งิ ทเ่ี ป็นผล นั่น
หมายความว่า จะต้องมสี ่ิงใดส่ิงหนึง่ เป็นเหตุและสิ่งใดสงิ่ หน่ึงเปน็ ผลท่ีเกิดจากเหตุ เราเรียกสง่ิ ที่เปน็ ตวั เหตทุ ี่ทาํ ให้
เกดิ ผลตามมาว่า "ตวั แปรอิสระ หรือตัวแปรต้น" และส่ิงท่เี ปน็ ผลอันเกิดจากตวั เหตุว่า "ตัวแปรตาม” เชน่ ต้นพืช
ที่ปลูกในบรเิ วณท่ไี ดร้ ับแสงแดดไม่เท่ากนั จะมกี ารเจริญเติบโตแตกต่างกัน หมายความว่า แสงแดดเป็นตัวแปร
อสิ ระ หรือตัวแปรต้น ท่ีเป็นสาเหตทุ ําให้เกิดตวั แปรตาม คอื ตน้ พชื เจรญิ เติบโต
2. ในสถานการณ์หน่งึ ๆ อาจต้งั หน่ึงสมมตฐิ านหรือหลายสมมติฐานก็ได้ สมมติฐานทีต่ ั้งขนึ้ อาจจะถูกหรอื
ผิดกไ็ ด้ ดงั น้นั จําเปน็ ต้องมีการทดลองเพื่อตรวจสอบวา่ สมมติฐานที่ต้ังข้ึนนั้นเป็นทยี่ อมรับหรือไมซ่ งึ่ จะทราบ
ภายหลังจากการทดลองหาคําตอบแล้ว
สมมติฐาน (Hypotheses) สามารถใหแ้ นวทางในการรวบรวมขอ้ มูลและการวิเคราะห์ขอ้ มูล หากผล
การ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ปรากฏในหลักฐานสนับสนนุ หรอื ยืนยนั สมมติฐาน ผู้ศกึ ษาก็ยอมรบั สมมติฐาน นัน่ ถือวา่
สมมตฐิ านท่ีตัง้ ไว้ไมใ่ ชค่ ําตอบสมมติแต่เปน็ คําตอบทเ่ี ป็นจรงิ เชือ่ ถอื ได้ การเขยี นสมมติฐานเขยี นไดเ้ ป็น 2 แบบ
แบบท่ี 1 เขียนในรูปของสมมติฐานวา่ งหรือสมมตฐิ านศูนย์ มกั เขียนในรูปของการปฏิเสธ ไดแ้ ก่
ไม่แตกต่างหรอื ไม่มีความสัมพนั ธ์
แบบที่ 2 เขยี นในรปู ของตรงกนั ขา้ มกบั สมมติฐาน คอื ระบุลงไปวา่ มคี วามแตกต่าง หรอื มคี วามสมั พนั ธ์
การเขยี นสมมตฐิ านท่ีดี ควรมลี ักษณะดงั น้ี
1. กลา่ วถึงความสมั พนั ธข์ องตัวแปรอสิ ระ หรอื ตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตาม
2. มีความชัดเจน สามารถทดสอบความสมั พันธข์ องตัวแปรไดโ้ ดยใชว้ ธิ ที างสถิติ
3. เขยี นดว้ ยภาษาที่เข้าใจง่าย ชัดเจน ไม่สลับซบั ซอ้ น ควรเขยี นในรูปประโยคบอกเล่า
4. สามารถใชอ้ ธบิ ายปรากฏการณอ์ ื่นในอนาคต หรือตอบประเด็นปญั หาได้
5. ตอ้ งมีความสมเหตุสมผลตามหลกั การ ทฤษฎี และความูร้พืน้ ฐาน
6. ควรเขียนใหส้ อดคล้องสมั พันธก์ บั วัตถปุ ระสงคข์ องประเด็นทต่ี ้องการศกึ ษาคน้ ควา้
ตัวแปร (Variable)
ตวั แปร หมายถึง คุณลักษณะหรอื คณุ สมบตั ิของเฉพาะของส่ิงทไ่ี ดจ้ ากการสังเกต วัด สอบถามจากหนว่ ยท่ี
ศกึ ษาท่มี คี ่าได้หลายคา่ และเปล่ียนแปลงได้ ซ่งึ อาจเป็นสง่ิ ที่มีชวี ติ หรือสงิ่ ทีไ่ ม่มีชีวติ กไ็ ด้ เชน่ อายุ เพศ ระดบั
การศกึ ษา อาชีพ ตาํ แหนง่ งาน เปน็ ตน้
เมื่อหนว่ ยศึกษาแตกตา่ งกัน ขอ้ มลู ท่ไี ดก้ ็แตกต่างกันออกไป เชน่ ตัวแปร คือ อายุ ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากหนว่ ยท่ี
ศึกษาอาจมีอายุเปน็ 18, 20, 30 เป็นตน้ หรอื ตวั แปรคอื ระดบั การศกึ ษา ขอ้ มลู ท่ีได้จากหน่วยศึกษาอาจเป็นระดบั
มัธยมศึกษา ปรญิ ญาตรี ปริญญาโท เป็นตน้ หากหน่วยทไี่ ด้ศึกษาใดก็ตามให้ข้อมูลเหมือนกนั หมดหรืออยา่ งเดยี ว
จะไม่เรยี กหน่วยศึกษานนั้ ว่าตัวแปร เช่น ความเร็วของเครอ่ื งคอมพิวเตอรใ์ นหน่วยงานเทา่ กันหมด ความเรว็ ของ
เคร่อื งคอมพิวเตอรก์ ไ็ มจ่ ัดว่าเปน็ ตัวแปร เป็นต้น สาํ หรบั ตวั แปรทางดา้ นรฐั ประศาสนศาสตร์ สว่ นใหญจ่ ะเป็นเรื่อง
ความคิดเห็น ความพงึ พอใจ การมสี ่วนรว่ ม เป็นต้น
36
ประเภทของตัวแปร
โดยท่วั ไปตวั แปรจะแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1. ตวั แปรเชงิ คุณภาพ (Qualitative Variable)
2. ตวั แปรเชงิ ปริมาณ (Quantitative Variable)
ตวั แปรเชิงปรมิ าณ คือตวั แปรท่ปี ระกอบด้วยขอ้ มลู ทีเ่ ป็นตัวเลข เกีย่ วขอ้ งกับสิง่ ทีเ่ ปน็ รปู ธรรมสามารถวดั
ขอ้ มูลสามารถแสดงออกมาในรูปสถิตไิ ด้ ใชแ้ ทนขนาดหรือปริมาณ เช่น อายุ ประกอบดว้ ยอายุต่าง ๆ หน่วยเปน็ ปี
เปน็ ต้น
ตวั แปรเชงิ คณุ ภาพ หรอื อาจเรยี กวา่ ตัวแปรเชงิ กลุ่ม คือ ตวั แปรที่ประกอบด้วยข้อมูลทไี่ ม่สามารถวัด
ออกมาเป็นตัวเลขได้ เชน่ เพศ อายุ รายได้ เชื้อชาติ ความคดิ เห็น เจตคติ ความคิดเห็น การมสี ่วนรว่ ม ความเป็น
ผู้นํา ทัศนคติ ตวั อย่าง เพศ จะประกอบดว้ ยเพศต่าง ๆ ไม่มีหน่วยวดั แตส่ ามารถแทนคา่ เปน็ ตวั เลขได้โดยไม่
สามารถนาํ มาคํานวณแทนได้ เช่น เพศชายให้แทนค่าเปน็ หมายเลข 1 เพศหญงิ ใหแ้ ทนคา่ เป็นหมายเลข 2 เปน็ ตน้
เก่ยี วขอ้ งกับส่งิ ท่ีเปน็ นามธรรม
ลกั ษณะและชนดิ ของตวั แปร
ในการวจิ ัยผู้วจิ ยั จาํ เป็นต้องจาํ แนกตัวแปรตามการวิเคราะห์ว่าตวั แปรท้ังหมดกต่ี ัว มอี ะไรบ้าง และเปน็ ตัว
แปรชนิดใดบ้าง ซ่งึ สามารถจาํ แนกตวั แปรได้ ดงั นี้
1. ตวั แปรต้นหรอื ตัวแปรอสิ ระ (Independent Variable) คือตัวแปรท่ีเกิดขน้ึ ก่อนหรอื เป็นตวั แปรที่
เปน็ เหตุ ทําให้เกิดผลตามมา
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) คือตวั แปรทเี่ กิดขน้ึ เน่ืองจากตัวแปรต้น หรือเป็นตวั แปรผล
อันเกิดจากเหตุ
3. ตัวแปรควบคมุ (Control Variable) เป็นตวั แปร คอื ตวั แปรทีเ่ ราต้องจดั ใหเ้ หมอื นกันทัง้ หมดในชดุ
ทดลอง
4. ตัวแปรแทรกซ้อนหรือเรียกวา่ ตัวแปรเกิน (Extraneous Variable) เปน็ ตัวแปรท่ีไมต่ อ้ งการศึกษา
ของงานวิจยั เรื่อง หนง่ึ ๆ ในขณะนัน้ มีลักษณะเหมอื นตัวแปรอสิ ระ ตัวแปรแทรกซ้อนน้ีจะสง่ ผลมารบกวนตวั แปร
อสิ ระท่ศี กึ ษา ทําให้ผลการวัดคา่ ตวั แปรคลาดเคลื่อนไปได้ ตวั แปรชนดิ น้จี ึงต้องทําการควบคมุ ให้เกิดขน้ึ น้อยท่สี ดุ
ตวั แปรชนิดนี้ผวู้ จิ ยั คาดการณไ์ ดว้ ่าจะมอี ะไรบ้าง จึงสามารถทําการควบคุมได้ลว่ งหนา้ ตัวอยา่ งเช่น ในการทดลอง
การอบรมทีก่ ลา่ วมาแล้ว เพ่ือจะศึกษาว่า ผนู้ าํ จะมผี ลสัมฤทธท์ิ างการอบรมแตกต่างกนั หรอื ไม่ สง่ิ ทเ่ี ป็นตัวแปร
แทรกซ้อนจะได้แก่ วทิ ยากร ถ้าใชว้ ิทยากรคนละคนอาจจะมีผลทําใหผ้ ลสมั ฤทธทิ์ างการอบรมของผู้นาํ ตา่ งกนั ได้
ดังนน้ั จึงต้องควบคุมโดยใชว้ ิทยากรคนเดียวกัน นอกจากนน้ั พ้ืนฐานของผเู้ ข้าอบรม ทัศนคตแิ ละความสนใจ
ของผเู้ ขา้ อบรมที่มตี ่อวิธีการอบรมกระบวนการวชิ าท่ใี ชอ้ บรม เพศของผเู้ ขา้ อบรม เปน็ ต้น สงิ่ เหล่านเ้ี ป็นตัวแปร
แทรกซอ้ น ผวู้ จิ ัยตอ้ งทาํ การควบคุมตัวแปรเหลา่ นี้ให้เกิดมีขึน้ นอ้ ยทสี่ ุด เพ่อื ให้ตวั แปรตามที่วดั เกิดจากการ
กระทาํ ของตัวแปรอสิ ระแตเ่ พียงอย่างเดียว ผลการวิจัยจงึ จะถูกต้องมากท่ีสุด
37
ตัวอย่างเรือ่ ง ตวั แปร
ตัวอยา่ งที่ 1 เดก็ ชายบอยตอ้ งการศกึ ษาว่าดนิ ตา่ งชนิดกนั มผี ลต่อความสงู ของตน้ พืชหรือไม่
ทาํ การทดลองโดยปลูกตน้ ถว่ั เขยี ว ลงในกระถางทมี่ ขี นาดเท่าๆกัน โดยกระถางแต่ละใบใสด่ นิ 3 ชนิด คือ ดนิ
เหนียว ดนิ รว่ น ดินทราย รดนา้ํ ปกติ ทาํ การทดลองเปน็ เวลาสามสปั ดาห์
ตัวแปรตน้ คอื ชนิดของดนิ ท่เี ราใช้ปลูกต้นถั่วเขียวนนั่ เอง (เปล่ยี นชนิดของดิน เพื่อดคู วามสงู ของต้นถั่ว
เขียวว่าเหมอื นกนั หรอื ไม)่
ตวั แปรตาม คอื ความสูงของตน้ ถว่ั เขยี ว (เปน็ ผลของการทดลอง เปน็ สิ่งท่เี ราต้องเก็บค่า)
ตวั แปรควบคมุ คือ พนั ธุข์ องถ่วั เขียวทป่ี ลูก, ปริมาณนํา้ ท่ีรด, ปรมิ าณแสง, ขนาดกระถาง เปน็ ต้น (เป็นสิ่ง
ท่ีเราต้องทาํ ให้เหมือนกัน เป็นสิง่ ที่เราต้องควบคุม เพราะสง่ ผลต่อการทดลอง สมมตวิ า่ ถ้ากระถางหนึง่ รดนา้ํ อีก
กระถางหน่ึงไม่ได้รด กอ็ าจทาํ ให้ความสงู ของตน้ ถว่ั เขยี วแตกต่างกันกไ็ ด้ )
เอกสารอ้างอิง
https://sites.google.com/a/nonghanwit.ac.th/
https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th/
https://sites.google.com/site/teacherreybanis1
38
พส.13
ใบงาน (Job Sheets)
รหัสวชิ า 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
ช่ือหน่วย กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
เรือ่ ง สมมตฐิ าน ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตวั แปรควบคุม จานวนชั่วโมงสอน 3
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรียนรู้
- จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม เครื่องมือ/วสั ดุ-อปุ กรณ์
1.ตง้ั สมมติฐานจากปญั หาทก่ี ําหนดได้ 1. ปากกา
2.ระบุตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม และตวั แปรควบคุมจาก 2. กระดาษ A4
ปญั หาทก่ี ําหนดได้ 3. ชน้ิ งาน
3. ทาํ งานร่วมกันเปน็ กลมุ่ ได้
- ลาํ ดับขั้นการทาํ งาน ข้อควรระวงั
1. ให้นกั เรยี นแบ่งกลุ่มกลมุ่ ละ 3 คน 1. ควรใช้อปุ กรณ์ตา่ งๆด้วยความระมดั ระวัง
2. ให้แต่ละกลมุ่ สบื คน้ โครงงานทางวทิ ยาศาสตร์มา 5 มอบงาน
โครงงาน 1. นาํ เสนอผลงานพรอ้ มอธิบาย
3. ใหเ้ ขียนระบุปัญหา สร้างสมมตฐิ าน รวบรวมข้อมูล วัดผล/ประเมินผล
วิเคราะห์ขอ้ มูล และสรุปผลข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา 1. ตรวจชิ้นงาน
ภายในเวลาทีก่ ําหนด 2. การนําเสนอผลงาน
3. นําเสนอหนา้ ชั้นเรียน 3. เกณฑ์คะแนนผ่าน 50% ข้นึ ไป
39
พส.14
ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheets)
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
ชือ่ หน่วย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เรอ่ื ง สมมตฐิ าน ตวั แปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรควบคมุ จานวนชั่วโมงสอน 3
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
- จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
1.ตั้งสมมตฐิ านจากปัญหาท่ีกําหนดได้
2.ระบตุ ัวแปรตน้ ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุมจากปัญหาท่ีกําหนดได้
เคร่ืองมอื -อปุ กรณ์-วสั ดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ช้ินงาน
ลาํ ดับขนั้ การปฏบิ ัติงาน
1. ให้นักเรียนแบง่ กลุ่มกลุม่ ละ 3 คน
2. ให้กาํ หนดปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 1 ปญั หา
3. ใหเ้ ขยี นระบปุ ัญหา สรา้ งสมมติฐาน รวบรวมข้อมูล วเิ คราะหข์ อ้ มูล และสรุปผลขอ้ มลู เพื่อแกป้ ัญหา
4. นาํ เสนอหน้าชั้นเรยี น
ขอ้ ควรระวงั
1. การส่งงานใหต้ รงตามเวลาที่ผูส้ อนกําหนด
2. การหาข้อมลู ทตี่ รงประเด็น
ข้อเสนอแนะ
การแบ่งหน้าทกี่ ารทาํ งานในกลุม่ แต่ละคนใหช้ ัดเจน
การประเมนิ ผล
1. การประเมนิ ผลงานของแต่ละกลุม่
2. การประเมนิ ผลการนาํ เสนอหน้าช้ันเรยี น
เอกสารอ้างองิ
http://www.pktc.ac.th/saman/manage/upload_file/O978T4OJsHT20160214144420.pdf
หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบัตงิ านในแต่ละขน้ั
40
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
ช่อื หนว่ ย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
เรอื่ ง สมมติฐาน ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุม จานวนชั่วโมงสอน 3
จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพ่อื ให้ผเู้ รียนตัง้ สมมติฐานจากปัญหาทก่ี ําหนดได้
2. เพื่อให้ผู้เรยี นระบตุ วั แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุมจากปญั หาทีก่ าํ หนดได้
แนวทางการปฏบิ ัตงิ าน
ให้ผู้เรียนทํางานเปน็ กล่มุ กําหนดหน้าท่ขี องแตล่ ะคนใหช้ ัดเจน จัดลําดับขั้นตอนการปฏิบตั ิงานให้เหมาะสม
แหลง่ คน้ ควา้
สอ่ื ออนไลน์
คาถาม/ปญั หา
1. ผ้เู รียนวางแผนการทาํ งานเปน็ กลุม่ และงานเสร็จตามทีก่ ําหนดไดห้ รอื ไม่
2. ผู้เรียนต้ังสมมติฐานจากปัญหาทีก่ าํ หนดได้ได้หรือไม่
3. ผ้เู รียนระบตุ วั แปรต้น ตัวแปรตาม และตวั แปรควบคุมจากปัญหาทก่ี ําหนดได้หรอื ไม่
กาหนดเวลาทางาน
3 ชั่วโมง
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ตั ิงานในแตล่ ะข้ัน
41
พส.16
ใบกิจกรรมที่ 3
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครั้งที่ 2
หนว่ ยที่ 1 ชอื่ หนว่ ย กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เวลา 1 ชม.
ชื่อกิจกรรม ทกั ษะการกําหนดและควบคมุ ตวั แปร เวลา 1 ชม.
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. ต้ังสมมติฐานจากปญั หาท่กี ําหนดได้
2. ระบตุ วั แปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรควบคุมจากปญั หาที่กําหนดได้
วัสดุ/อปุ กรณ์
1. สมุด
2. อุปกรณก์ ารเรียน
คาสงั่
1. ใหน้ กั เรยี นตง้ั สมมตฐิ านและตวั แปรจากปญั หาทีก่ ําหนดให้ต่อไปน้ี
2. ให้นักเรยี นทําดว้ ยตนเองหา้ มลอกกนั
ปัญหาที่ 1. ปริมาณนาํ้ ที่พืชได้รบั มผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพืชหรือไม่
สมมติฐาน …………………………………………………………..
ตัวแปรต้น …………………………………………………………..
ตัวแปรตาม …………………………………………………………
ตัวแปรควบคุม …………………………………………………….
ปญั หาท่ี 2. ชนิดของดินทใ่ี ช้ปลกู พชื มีผลต่อการงอกของเมล็ดหรือไม่
สมมตฐิ าน …………………………………………………………..
ตัวแปรตน้ …………………………………………………………..
ตัวแปรตาม …………………………………………………………
ตัวแปรควบคมุ …………………………………………………….
42
ปัญหาท่ี 3. ปริมาณแสงมผี ลต่อการงอกของเมล็ดพชื หรือไม่
สมมติฐาน …………………………………………………………..
ตวั แปรต้น …………………………………………………………..
ตวั แปรตาม …………………………………………………………
ตัวแปรควบคุม …………………………………………………….
ปัญหาที่ 4. ชนดิ ของปุ๋ยมผี ลต่อการเจรญิ เติบโตของพืชหรือไม่
สมมติฐาน …………………………………………………………..
ตวั แปรต้น …………………………………………………………..
ตวั แปรตาม …………………………………………………………
ตวั แปรควบคมุ …………………………………………………….
การประเมินผล
3. ตรวจใบกิจกรรม
4. นักเรียนทําผา่ น 50 % ขึ้นไป
43
เฉลยใบกิจกรรมที่ 3
ปัญหาท่ี 1. ปริมาณน้าํ ที่พืชไดร้ ับมผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของพืชหรอื ไม่
สมมตฐิ าน ปริมาณนํ้ามีผลต่อการเจรญิ เติบโตของพชื
ตัวแปรต้น ปริมาณนํ้า
ตวั แปรตาม การเจรญิ เตบิ โตของพชื
ตัวแปรควบคุม ชนิดของดนิ ปรมิ าณดนิ ขนาดกระป๋อง ชนิดของเมลด็ พชื จํานวนเมล็ดท่ปี ลกู
ปญั หาที่ 2. ชนดิ ของดินท่ีใช้ปลกู พืชมีผลตอ่ การงอกของเมลด็ หรือไม่
สมมตฐิ าน ชนิดของดนิ มผี ลตอ่ การงอกของเมลด็
ตัวแปรตน้ ชนดิ ของดนิ .
ตัวแปรตาม การงอกของเมลด็
ตวั แปรควบคมุ ปริมาณนา้ํ ปริมาณดิน ขนาดกระป๋อง ชนดิ ของเมล็ดพชื จํานวนเมล็ดทีป่ ลูก
ปญั หาท่ี 3. ปรมิ าณแสงมผี ลต่อการงอกของเมล็ดพชื หรอื ไม่
สมมติฐาน ปรมิ าณแสงมผี ลต่อการงอกของเมลด็
ตวั แปรต้น ปรมิ าณแสง
ตวั แปรตาม การงอกของเมลด็
ตวั แปรควบคุม ปริมาณนํา้ ชนิดของดิน ปรมิ าณดนิ ขนาดกระปอ๋ ง ชนิดของเมลด็ พืช
จํานวนเมล็ดท่ีปลกู ปุ๋ย
ปัญหาท่ี 4. ชนดิ ของปยุ๋ มผี ลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื หรอื ไม่
สมมตฐิ าน ชนิดของปุ๋ยมผี ลต่อการเจริญเติบโตของพชื
ตวั แปรตน้ ชนดิ ของปุย๋
ตวั แปรตาม การเจรญิ เติบโตของพืช
ตัวแปรควบคมุ พนั ธุ์พืช อายุความสูงของต้นกลา้ ดินทป่ี ลูก การใหน้ าํ้ ปุ๋ย แสงสว่าง
44
แบบทดสอบหลังเรียนหนว่ ยท่ี 1
คาสง่ั จงเลอื กคาํ ตอบที่ถกู ท่ีสดุ เพียงคาํ ตอบเดยี ว แลว้ กาเคร่อื งหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ใน
กระดาษคาํ ตอบ
8. ข้อใดกล่าวถึงลักษณะของวิทยาศาสตร์ได้ถูกตอ้ งทสี่ ดุ
จ. วทิ ยาศาสตร์เปน็ ความรู้ทไ่ี ด้จากการค้นพบด้วยความบังเอญิ
ฉ. วทิ ยาศาสตร์เปน็ การศกึ ษาเก่ยี วกับปรากฏการณธ์ รรมชาติเท่านน้ั
ช. วิทยาศาสตรเ์ ป็นความรู้ทไ่ี ด้จากการทดลองค้นคว้าและการพยากรณ์
ซ. วิทยาศาสตร์เป็นองค์ความรแู้ ละกระบวนการในการแสวงหาความรูท้ างวิทยาศาสตร์
9. “ กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ” ขอ้ ใดกลา่ วถกู ต้อง
ก. วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์
ข. ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ค. เจตคติทางวิทยาศาสตร์
ง. ถูกทุกข้อ
10. ข้อใดกล่าวถกู ต้องเกีย่ วกบั การตง้ั สมมตฐิ าน
ก. การคาดคะเนคําตอบของปญั หาอย่างมเี หตุผล
ข. ข้อเท็จจรงิ ทไ่ี ดจ้ ากการสังเกตหรือทดลอง
ค. สิ่งทเี่ ปน็ ข้อปฏบิ ัตหิ รอื หลกั ปฏบิ ัติ
ง. สง่ิ ทไ่ี ดร้ ับการยอมรบั วา่ ถกู ต้องอย่างมีเหตุผล
11. ขอ้ ใดเรยี งลําดับขัน้ ตอนวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ถูกตอ้ งท่ีสดุ
จ. การสังเกต การทดลอง การตงั้ สมมุตฐิ าน การวิเคราะหข์ ้อมลู การสรปุ ผล
ฉ. การสงั เกต การต้ังสมมตุ ิฐาน การทดลอง การวเิ คราะห์ขอ้ มลู การสรปุ ผล
ช. การระบปุ ญั หา การต้ังสมมตุ ฐิ าน การทดลอง การสรุปผล
ซ. การตงั้ สมมตุ ฐิ าน การระบปุ ัญหา การทดลอง การวเิ คราะหข์ อ้ มูล การสรปุ ผล
12. ข้อใดไม่ใชข่ ้นั ตอนของวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์
ข. การพยากรณ์ ข. การระบุปัญหา
ค. การสรปุ ผลการทดลอง ง. การทดลอง
13. ขอ้ ใดบันทกึ การสงั เกตได้ถูกตอ้ ง
จ. มะเขือเทศผลยาวใหญ่เพราะดินท่ปี ลูก
ฉ. กล้วยมรี สหวานและมกี ลน่ิ หอม
ช. เทยี นไขเลม่ นที้ าํ มาจากไขปลาวาฬ
ซ. วันน้ีอากาศรอ้ นมากสงสยั ฝนจะตก
45
14. ข้อใดเปน็ ขอ้ มูลจากการสงั เกตลปิ สติก
จ. ลปิ สติกสสี วย ราคาแพง
ฉ. ลปิ สตกิ เปน็ แทง่ ยาวประมาณ 5 cm
ช. ลปิ สติกนี้ทําในเมืองไทย
ซ. ลปิ สตกิ นีค้ วรเกบ็ ไว้ในท่ีเยน็ จะไดไ้ มเ่ ละ
8. การสอบวัดผลวชิ าวทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐานของนักเรียน 10 คน มีนักเรยี นทาํ ขอ้ สอบไดด้ งั นี้
คะแนนทีไ่ ด้ จาํ นวนนักเรียน(คน)
12 2
14 4
16 3
18 1
คะแนนเฉลีย่ ของการสอบวิชาวิทยาศาสตรพ์ ื้นฐาน มคี า่ เท่าไร
ก. 13.8 ข. 14.6 ค. 15.2 ง. 15.8
11. เครื่องมอื ชดุ ใดเหมาะสาํ หรบั การวัดความยาวรอบของใบไม้
จ. ไม้บรรทัด ลวด เทปใส
ฉ. เชอื ก ไม้บรรทดั เทปใส
ช. ไม้บรรทดั ดินสอ กรรไกร
ซ. ไมบ้ รรทัด ดนิ สอ แผ่นกระดาษ
12. ในการทดลองเพาะเหด็ ฟาง 2 แปลง ในพน้ื ท่ีเดยี วกนั เวลาเดียวกนั อาหารเสริมและปรมิ าณน้ําท่ใี ช้
เหมือนกนั และใช้เวลาในการเพาะเท่ากนั ดงั น้ี
แปลงที่ 1 วัสดุท่ีใชเ้ พาะเหด็ ฟาง ไดแ้ ก่ ฟางข้าว
แปลงที่ 2 วสั ดทุ ี่ใช้เพาะเห็ดฟาง ไดแ้ ก่ ต้นถัว่ ผสมเปลอื กฝกั ถ่ัว
การทดลองนี้มีสมมติฐานว่าอย่างไร
จ. แสงมผี ลตอ่ การเจริญเตบิ โตของเห็ดฟาง
ฉ. อาหารเสรมิ มผี ลตอ่ การเจริญเติบโตของเห็ดฟาง
ช. ความช้ืนมผี ลต่อการเจรญิ เติบโตของเหด็ ฟาง
ซ. วัสดุท่ีใช้เพาะเหด็ ต่างกนั การเจริญเตบิ โตของเห็ดฟางจะต่างกนั
46
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 1
1. ง. วิทยาศาสตร์เป็นองคค์ วามรแู้ ละกระบวนการในการแสวงหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์
2. ง. ถูกทกุ ขอ้
3. ก. การคาดคะเนคําตอบของปญั หาอย่างมีเหตุผล
4. ง. การต้งั สมมุติฐาน การระบุปญั หา การทดลอง การวเิ คราะหข์ ้อมูล การสรปุ ผล
5. ก. การพยากรณ์
6. ข. กลว้ ยมีรสหวานและมกี ลนิ่ หอม
7. ข. ลิปสตกิ เปน็ แท่งยาวประมาณ 5 cm
8. ข. 14.6
9. ง. ไม้บรรทัด ดนิ สอ แผน่ กระดาษ
10. ง. วัสดุท่ีใช้เพาะเห็ดต่างกันการเจริญเติบโตของเห็ดฟางจะตา่ งกัน
47
พส.8
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 2
เวลารวม 6 ชม.
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาทักษะชีวิต
ชือ่ หน่วย โครงงานวิทยาศาสตร์ สปั ดาห์ 3/18
เร่ือง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคญั
โครงงานวิทยาศาสตร์ หมายถงึ การศกึ ษาเพ่อื พบข้อความรู้ใหม่ สงิ่ ประดิษฐใ์ หมๆ่ ทางวทิ ยาศาสตร์
ด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดยใชว้ ธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ในการแกป้ ัญหาโดยมคี รอู าจารยแ์ ละผเู้ ช่ยี วชาญเป็นผู้ให้
คาํ ปรึกษา
2. สมรรถนะประจาหน่วย
แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัติเกย่ี วกบั โครงงานวทิ ยาศาสตร์
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายข้ันตอนการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ได้
2. จาํ แนกประเภทของโครงงานได้
4. สาระการเรียนรู้
1. โครงงานทางวิทยาศาสตร์ มี 4 ประเภท ประกอบดว้ ย ประเภทการทดลอง สาํ รวจรวบรวม
ข้อมูล ส่งิ ประดษิ ฐ์ และทฤษฎี
2. การเขยี นโครงงานทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 5 บท ได้แก่ บทท่ี 1 บทนาํ บทท่ี 2 ทฤษฎีท่ี
เกย่ี วของกับการจดั สรา้ งโครงงาน บทท่ี 3 วธิ ดี ําเนินการ บทท่ี 4 ผลการดาํ เนนิ การโครงงาน บทท่ี 5 การ
สรุปผลการจัดสร้างโครงงานปญั หาและข้อเสนอแนะ
5. กิจกรรมการเรียนรู้
1. ครตู รวจสอบรายช่ือผเู้ ขา้ เรยี น
2. ครูชแ้ี จงรายละเอยี ดเก่ยี วกบั คําอธิบายรายวชิ า จดุ ประสงค์การเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล
การเรียน คณุ ลักษณะนิสยั ทต่ี อ้ งการใหเ้ กดิ ขนึ้ และข้อตกลงในการเรยี น
3. นักเรยี นทําแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยที่ 2 โครงงานวิทยาศาสตร์ ใช้เวลา 20 นาที
4. แบ่งกลมุ่ นักเรียนเป็นกลุม่ ๆ ละ 5 คน
5. ขั้นนาํ เขา้ สู่บทเรยี น
ครูตั้งคาํ ถามให้นกั เรียนชว่ ยกันตอบ และร่วมอภิปรายเพ่ือให้ได้ข้อสรุปว่าโครงงานวิทยาศาสตร์
คืออะไร
6. ขน้ั สอน
6.1 นักเรยี นศึกษาจากเนือ้ หาในหัวข้อเรื่องโครงงานวิทยาศาสตร์
48
6.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาอภิปรายหน้าช้ันเรียนเพ่ือสรุปประเภทของโครงงาน
วทิ ยาศาสตร์
6.3 ครใู ห้ความร้เู พิ่มเติม โดยใช้สอ่ื PowerPoint
6.4 นกั เรียนทํากจิ กรรมตามใบกจิ กรรมท่ี 4
6.5 ขณะนักเรียนทํากิจกรรมครจู ะสังเกตการทาํ งานกลมุ่
7. ขนั้ สรุป
ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั เฉลยกิจกรรม และรว่ มอภิปรายสรปุ บทเรียน
6. ส่อื และแหลง่ การเรยี นรู้
6.1 ส่อื สิ่งพมิ พ์
1. ใบความรู้ เรือ่ งโครงงานวทิ ยาศาสตร์
2. ใบกจิ กรรมท่ี 4
3. แบบทดสอบก่อนเรียน เร่อื งโครงงานวทิ ยาศาสตร์
4. แบบทดสอบหลงั เรียน เรอ่ื งโครงงานวิทยาศาสตร์
6.2 สื่อโสตทัศน์
PowerPoint สรุปเนอ้ื หาโครงงานวิทยาศาสตร์
7. หลกั ฐานการเรียนรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอา้ งองิ
1. หนังสอื เรยี นรายวิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทักษะชีวติ
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กาํ หนดการประเมินพทุ ธิพิสยั
1. อธิบายขัน้ ตอนการทาํ โครงงานวิทยาศาสตร์ได้
2. จําแนกประเภทของโครงงานได้
10.2 เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ประเมนิ ทกั ษะพสิ ัย
1. ใบงาน ,ใบกิจกรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครอื่ งมอื การประเมินจติ พสิ ยั
1. แบบประเมนิ จติ พิสัย
49
พส.9
เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการประเมนิ
รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
แบบประเมินแบบประมาณคา่ (Rating scale) เกณฑ์การใหค้ ะแนน
54 321
ประเด็นการประเมิน
1. อธิบายขั้นตอนการทําโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้
2. จาํ แนกประเภทของโครงงานได้
รวม
รวมทงั้ หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)
50
พส.10
แบบประเมนิ จิตพิสัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไมม่ ี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรียนและการทํากิจกรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแต่งกายถกู ตอ้ งตามระเบยี บแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตง้ั ใจและสนใจเรียน 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและสว่ นรวม 7,12
รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห์)
หมายเหตุ บรู ณาการตามคา่ นยิ มหลักของคนไทย 12 ประการ