The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kib Kab, 2022-05-12 22:14:07

แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรียนรู้

201

พส.10

แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)

พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดาํ รัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12

รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์

หมายเหตุ บูรณาการตามค่านิยมหลกั ของคนไทย 12 ประการ

202

พส.11

บนั ทึกหลังการจดั การเรยี นรู้
รหัสวชิ า...........................ชอ่ื วิชา..................................................................................ระดบั ชั้น................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สัปดาหท์ .ี่ .........วันทสี่ อน.........................................
หนว่ ยท่ี............ชือ่ หน่วย.........................................................................................................จาํ นวน..................ช่ัวโมง

1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปัญหาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงช่ือ.......................................................ครูผ้สู อน
(นางสาวกันตยา เลศิ อรุณรัตน์)
........../................/............

ความเหน็ ................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงชือ่ ...............................................หวั หน้าแผนกวิชา ลงชอื่ ...........................................รองผอู้ ํานวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บัวดี) (นางสาวนิศากร เจริญดี)
............/................../............
............/................../............

203

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทกั ษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2

ชอื่ หนว่ ย สารและการเปลย่ี นแปลง

เรื่อง สารและการเปล่ยี นแปลง จานวนชั่วโมงสอน 3 รายการเรยี นรู้
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. สมบัติทางกายภาพและทางเคมี
2. สารในชีวิตประจาํ วันได้
- จุดประสงค์ทั่วไป
1. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเร่ืองตัวทําละลายและตวั ละลาย
2. มีความรู้ ความเขา้ ใจเรอ่ื งการเปล่ียนแปลงทางกายภาพ และทาง
เคมขี องสารในชวี ติ ประจําวัน
- จุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
1. สามารถแยกตวั ทําละลายและตวั ละลายได้
2. จําแนกการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ และทางเคมีของสารใน
ชวี ิตประจาํ วันได้

เนอ้ื หาสาระ
การเปลี่ยนแปลงสาร

การเปล่ียนแปลงสาร แบง่ ออกเป็น 2 รปู แบบ คอื
- การเปลยี่ นแปลงทางกายภาพ ( Physical Change ) หมายถึง การเปล่ียนแปลงของสารที่เก่ียวกบั สมบตั ิ
กายภาพ โดยไมม่ ผี ลต่อ องค์ประกอบภายใน และ ไม่เกิดสารใหม่ เช่น การเปล่ยี นสถานะ , การละลายนาํ้
- การเปลยี่ นแปลงทางทางเคมี ( Chemistry Change ) หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงของสารท่เี กี่ยวขอ้ งกบั
สมบตั ทิ างเคมซี ึ่งมีผลตอ่ องคป์ ระกอบภายใน และจะมสี มบตั ิต่างไปจากเดิม น่นั คอื การเกิดสารใหม่ เชน่ กรดเกลือ
( HCl ) ทาํ ปฏิกริ ิยากบั ลวด แมกนีเซยี ม ( Mg ) แล้วเกดิ สารใหม่ คือ กา๊ ซไฮโดรเจน ( H2 )
การจัดจาแนกสาร

จะสามารถจาํ แนกออกเปน็ 4 กรณี ได้แก่
1. การใชส้ ถานะเปน็ เกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุม่ คอื
- สถานะท่ีเปน็ ของแขง็ ( Solid ) จะมรี ูปร่าง และ ปริมาตรคงที่ ซ่ึงอนภุ าคภายในจะอย่ชู ิดติดกนั เช่น ด่าง
ทับทิม ( KMnO4 ) , ทองแดง ( Cu )
- สถานะทีเ่ ปน็ ของเหลว ( Liquid ) จะมรี ปู รา่ งตามภาชนะทบ่ี รรจุ และ มีปริมาตรท่ีคงที่ ซ่ึงอนภุ าค
ภายในจะอยู่ชิดกันนอ้ ยกว่าของแขง็ และ มสี มบัติเป็นของไหล เช่น นาํ้ มัน , แอลกอฮอล์ , ปรอท ( Hg ) ฯลฯ
- สถานะท่เี ปน็ ก๊าซ ( Gas ) จะมีรูปรา่ ง และ ปรมิ าตรทไ่ี ม่คงที่ โดยรูปร่าง จะเปล่ยี นไปตามภาชนะทบี่ รรจุ

204

อนุภาคภายในจะอยู่ หา่ งกนั มากทส่ี ดุ และ มีสมบัตเิ ป็นของไหลได้ เชน่ กา๊ ซหงุ ต้ม , อากาศ
2. การใชเ้ น้อื สารเป็นเกณฑ์ จะมสี มบตั ิทางกายภาพของสารทไ่ี ดจ้ ากการสงั เกตลกั ษณะความแตกต่าง

ของเนื้อสาร ซงึ่ จะจาํ แนกไดอ้ อกเปน็ 2 กลุ่ม คือ
- สารเนือ้ เดยี ว ( Homogeneous Substance ) หมายถึง สารทมี่ ีเน้ือสารเหมือนกนั ทุกสว่ น ทําให้สารมี

สมบัติเหมอื นกนั ตลอดทกุ สว่ น เชน่ แอลกอฮอล์ , ทองคํา ( Au ) , โลหะบัดกรี
- สารเนือ้ ผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถงึ สารทม่ี ีเนือ้ สารแตกต่างกันในแตล่ ะส่วน จะทํา

ใหส้ ารนน้ั มสี มบตั ิ ไม่เหมอื นกนั ตลอดทุกส่วน เช่น น้าํ อบไทย , นํา้ คลอง ฯลฯ
3. การละลายนา้ เปน็ เกณฑ์ จะจาํ แนกไดอ้ อกเป็น 3 กลมุ่ คอื
- สารท่ีละลายนํา้ ได้ เชน่ เกลือแกง ( NaCl ) , ด่างทับทมิ ( KMnO4 ) ฯลฯ
- สารท่ีละลายนา้ํ ไดบ้ า้ ง เช่น ก๊าซคลอรนี ( Cl2 ) , กา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซด์ ( CO2 ) ฯลฯ
- สารที่ไมส่ ามารถละลายนาํ้ ได้ เช่น กาํ มะถัน ( S8 ) , เหล็ก ( Fe ) ฯลฯ
4. การนาไฟฟา้ เปน็ เกณฑ์ จะจําแนกได้ออกเปน็ 2 กล่มุ ได้แก่
- สารทีน่ าํ ไฟฟาู ได้ เช่น ทองแดง ( Cu ) , น้ําเกลอื ฯลฯ
- สารทไี่ ม่นําไฟฟูา เช่น หินปนู ( CaCO3 ) , กา๊ ซออกซิเจน ( O2 )

1. สมบตั ิของสาร
สมบัติของสาร หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะตัวของสารที่สามารถบ่งบอกวา่ สารชนิดนัน้ คืออะไร สารแต่

ละชนิดจะมีสมบตั ิของสารที่สังเกตได้ คอื สี กล่นิ รส สถานะ เนอื้ สาร ถ้าตอ้ งการตรวจสอบว่าของเหลวใส ไมม่ ีสี
เปน็ สารละลายนํ้าตาลหรือสารละลายเกลอื แกง ต้องทดสอบสมบัติเฉพาะตวั คอื รส หรือทดสอบการนําไฟฟาู

สมบตั ิ เคร่ืองมอื ทีใ่ ช้หรือวิธใี ช้ในการตรวจสอบ

1. การนําไฟฟาู ของสาร - ชดุ เคร่ืองตรวจการนาํ ไฟฟูา
2. การละลาย - นาํ ไปละลายในตัวทาํ ละลาย
3. ความเปน็ กรด-เบส - ใชก้ ระดาษลิตมสั ทดสอบสารละลาย ถ้าเป็นของแขง็ ตอ้ งละลายน้ํากอ่ น
4. อุณหภูมิ ทดสอบดว้ ยกระดาษลิตมัส สารละลายทีม่ ีสมบตั ิเป็นกรดจะเปลี่ยนสี
5. มวล กระดาษลติ มัสจากสีนาํ้ เงินเปน็ สีแดงสารละลายที่มสี มบัตเิ ป็นเบสจะเปลย่ี น
6. จุดหลอมเหลว สกี ระดาษลิตมัสจากสแี ดงเปน็ สีน้าํ เงนิ
7. จดุ เดือด - เทอรม์ อมิเตอร์
- เคร่อื งชัง่

- ใชเ้ ทอร์มอมเิ ตอร์วัดอณุ หภมู ขิ ณะหลอมเหลว

- ใชเ้ ทอรม์ อมิเตอร์วัดอณุ หภูมขิ ณะเดอื ด

2. สารเนอื้ เดยี ว
สารเน้ือเดียว (Homogeneous Substance) หมายถงึ สารท่ีมลี ักษณะของเน้อื สารผสมกลมกลืนกนั

เป็นเนื้อเดยี ว และมีอัตราส่วนของผสมเท่ากัน ถ้านําสว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของสารเน้ือเดยี วไปทดสอบจะมีสมบัติ

205

เหมอื นกนั ทุกประการ
สารเน้ือเดยี วมไี ดท้ ั้ง 3 สถานะ คือ

1.สารเนอ้ื เดยี วสถานะของแขง็ เชน่ เหลก็ ทองคํา ทองแดง สงั กะสี เปน็ ตน้
2.สารเนื้อเดียวสถานะของเหลว เชน่ นาํ้ กลัน่ นํ้าเกลือ นาํ้ ส้มสายชู นาํ้ อัดลม เปน็ ต้น
3.สารเน้ือเดียวสถานะแกส๊ เช่น อากาศ แกส๊ หงุ ตม้ แกส๊ ออกซิเจน เปน็ ตน้
นกั วิทยาศาสตร์จําแนกสารเนอ้ื เดยี วออกเปน็ 2 ประเภท คอื
1.สารบริสทุ ธ์ิ ( Pure Substance ) เปน็ สารเน้ือเดยี วท่ีประกอบด้วยสารเพียงอยา่ งเดียว ไมม่ ีสาร
อ่นื เจือปน ไดแ้ ก่ ธาตุและสารประกอบ
2.สารไมบ่ รสิ ุทธ์ิ เป็นสารเนอ้ื เดียวที่ประกอบดว้ ยสารบรสิ ทุ ธต์ิ ้ังแต่ 2 ชนิดขึน้ ไปดว้ ยอัตราส่วนทไี่ ม่
แนน่ อน ไม่มีปฏิกริ ิยาเคมีเกิดข้ึน สารทเี่ กดิ ใหมจ่ ะมีสมบัตไิ ม่คงทีข่ ้นึ อยู่กับปริมาณของสารบรสิ ุทธ์ิท่ีนํามาผสมกัน
ได้แก่ สารละลาย คอลลอยด์
3. สารเน้อื ผสม
สารที่มองเหน็ ด้วยตาเปลา่ ไมเ่ ป็นเน้ือเดียวกันตลอดทุกส่วน สารท่เี กิดจากสารตั้งแต่ 2 ชนิดมา
รวมกนั โดยมีอตั ราส่วนทไี่ มแ่ น่นอน อาจเป็นสารทีอ่ ยใู่ นสถานะเดยี วกนั หรอื ตา่ งสถานะมารวมกนั ได้สารเนอ้ื ผสม
เชน่ พรกิ กับเกลือ นา้ํ กบั แปูง ลอดชอ่ งน้ํากะทิ เป็นต้น แบง่ เปน็ 2 ชนดิ คือ
1 สารแขวนลอย คือ ของเหลวทม่ี ีอนุภาคของของแขง็ ขนาดเล็กแทรกอยู่ มีเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางใหญ่
กวา่ 10-4 เซนติเมตร ซ่งึ เป็นสารเนือ้ ผสมทมี่ ขี นาดอนุภาคขนาดใหญ่ ทาํ ให้สามารถมองเห็นสว่ นผสมไดอ้ ยา่ ง
ชดั เจน ง่ายต่อการแยกออก เช่น นํา้ แปูง นํ้าโคลน เปน็ ต้น
2 คอลลอยด์ คือ สารเนอื้ ผสมทม่ี ีความกลมกลืน มขี นาดอนุภาคเลก็ กว่าสารแขวนลอยแตใ่ หญก่ ว่า
สารละลาย มขี นาดเส้นผา่ นศูนย์กลางประมาณ 10-7 -10-4 เซนติเมตร เช่น สบ่เู หลว โฟมล้างหนา้ นมสด เป็นตน้
สารเน้ือผสมมีได้ทั้ง 3 สถานะ เช่น
1. สารเน้อื ผสมสถานะของแขง็ เชน่ ทราย คอนกรตี ดนิ เปน็ ตน้
2. สารเนื้อผสมสถานะของเหลว เช่น น้ําคลอง นาํ้ โคลน นํา้ จม้ิ ไก่ เป็นตน้
3. สารเน้อื ผสมสถานะแกส๊ เชน่ ฝุนละอองในอากาศ เขม่า ควนั ดําในอากาศ เป็นต้น
4. สารแขวนลอย
สารแขวนลอย คือสารผสมของสสารตา่ งชนิดกันทไี่ ม่เปน็ เน้ือเดยี วกนั และมีอนภุ าคใหญ่กว่า 1
ไมโครเมตร ในหนึ่งมิติเป็นอย่างนอ้ ย ซ่ึงใหญ่กวา่ อนุภาคของคอลลอยด์ อนภุ าคในสารแขวนลอยสามารถ
ตกตะกอนได้เม่ือตง้ั ทง้ิ ไว้ และอาจสามารถแยกออกจากกันได้ ตัวอย่างสารแขวนลอย โคลนหรือน้าํ ข่นุ ซ่ึงมี
อนุภาคของดนิ อยูใ่ นนํา้ แปงู หรือผงชอลก์ ท่ีแขวนลอยในน้ํา ดงั รูปทางขวามอื อนภุ าคของฝุนทแี่ ขวนลอยในอากาศ
5. สารละลาย
สารละลาย (solution) หมายถงึ สารเนือ้ เดยี วทไ่ี ม่บริสทุ ธิ์ เกดิ จากสารตง้ั แต่ 2 ชนดิ ขน้ึ ไปมารวมกนั
สารละลายแบ่งสว่ นประกอบได้ 2 ส่วนคือ
1. ตัวทําละลาย (solvent) หมายถึง สารที่มคี วามสามารถ ในการทําให้สารต่างๆ ละลายได้ โดยไม่

206

ทาํ ปฏกิ ิรยิ าเคมกี บั สารน้ัน
2. ตวั ละลาย (solute) หมายถึง สารท่ีถูกตวั ทําละลายละลายให้กระจายออกไปท่วั ในตัวทาํ ละลาย

โดยไมท่ ําปฏกิ ริ ิยาเคมีต่อกัน
สารละลายมีทงั้ 3 สถานะ คอื สารละลายของแข็ง สารละลายของเหลว และสารละลายแก๊ส

1. ตัวทําละลาย (solvent) หมายถึง สารท่มี คี วามสามารถ ในการทําใหส้ ารต่างๆ ละลายได้ โดยไม่
ทําปฏกิ ิริยาเคมกี ับสารนน้ั

2. ตวั ละลาย (solute) หมายถงึ สารทถ่ี กู ตวั ทาํ ละลายละลายให้กระจายออกไปท่วั ในตวั ทาํ ละลาย
โดยไมท่ ําปฏกิ ิริยาเคมีต่อกัน
สารละลายมีท้งั 3 สถานะ คอื สารละลายของแข็ง สารละลายของเหลว และสารละลายแก๊ส

สารละลายของแข็ง หมายถงึ สารละลายที่มตี วั ทาํ ละลายมีสถานะเป็นของแข็ง เชน่ ทองเหลือง นาก
โลหะบัดกรี สัมฤทธ์ิ เปน็ ต้น

สารละลายของเหลว หมายถึง สารละลายทม่ี ีตวั ทาํ ละลายมีสถานะเป็นของเหลว เช่น นํา้ เชื่อม
นา้ํ หวาน นํ้าเกลือ นา้ํ ปลา น้าํ สม้ สายชู นา้ํ อัดลม เปน็ ต้น

สารละลายแก๊ส หมายถึงสารละลายท่มี ตี ัวทาํ ละลายมีสถานะเป็นแกส๊ เช่น อากาศ แกส๊ หงุ ตม้ ลกู
เหมน็ ในอากาศ ไอนาํ้ ในอากาศ เปน็ ต้น

ตัวละลายแต่ละชนดิ จะใชต้ วั ทําละลายท่ีแตกต่างกัน ทั้งนี้ขน้ึ อยู่กบั ความสัมพนั ธร์ ะหว่างตวั ทาํ
ละลายและตวั ถกู ละลาย ซ่ึงสารทัง้ 2 ชนิดนนั้ จะตอ้ งรวมเปน็ เนือ้ เดียวกันและไม่ทาํ ปฏิกริ ยิ าเคมีต่อกัน
ตัวอย่างเชน่

- เกลอื นํ้าตาลทราย สีผสมอาหาร จนุ สี สารสม้ กรดเกลือ กรดกํามะถนั ใช้นํ้าเป็นตวั ทาํ ละลาย
- โฟม ยางพารา พลาสตกิ ใช้น้าํ มนั เบนซินเปน็ ตวั ทําละลาย
การละลายของสารในตวั ทําละลาย
เราสามารถทราบไดว้ า่ สารละลายแต่ละชนิดน้ันมีสารใดเปน็ ตวั ทําละลายและมีสารใดเป็นตัวละลาย
โดยมวี ธิ กี ารสังเกตตวั ทําละลายและตัวละลายดังนี้
1. ใช้สถานะของสารละลายเปน็ เกณฑ์ ถา้ สารละลายนั้นเกิดจากสารทมี่ ีสถานะตา่ งกันละลายเปน็
เนื้อเดยี วกัน สารใดทีม่ ีสถานะเดียวกนั กับสารละลาย สารนน้ั จะเป็นตัวทาํ ละลาย เช่น
- น้ําเกลือ ประกอบดว้ ยน้าํ เป็นตวั ทําละลายและเกลอื เปน็ ตวั ละลาย
- นา้ํ ด่างทบั ทิม ประกอบนา้ํ เป็นตวั ทําละลายและด่างทบั ทมิ เป็นตัวละลาย
- นาํ้ อัดลม ประกอบดว้ ยนํ้าเปน็ ตวั ทําละลายและแกส๊ คาร์บอนไดออกไซดเ์ ป็นตัวละลาย
2. ใชป้ ริมาณของสารแต่ละชนิดเป็นเกณฑ์ ถา้ สารละลายน้นั เกดิ จากสารทีม่ ีสถานะเดยี วกันละลาย
เปน็ เนอื้ เดียวกัน สารใดที่มปี ริมาณมากกว่า สารน้ันจะเปน็ ตัวทําละลาย เชน่
- ทองเหลอื ง ประกอบดว้ ยทองแดงเป็นตัวทําละลายและสังกะสีเปน็ ตวั ละลาย
- นาก ประกอบดว้ ยทองแดงเป็นตัวทําละลายและทองคําเป็นตัวละลาย
- สมั ฤทธิ์ ประกอบดว้ ยทองแดงเป็นตวั ทาํ ละลายและดีบกุ เป็นตัวละลาย

207

6. การกรอง
คอื การทาํ ใหข้ องแขง็ และของเหลวแยกออกจากกนั โดยใช้วสั ดุตา่ ง ๆนอกเหนือจากกระดาษกรองก็

ได้ เช่น ผ้าขาวบางหรอื ผา้ ชนิดตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ส่วนวิธกี รองนนั้ กน็ ําทมี่ สี ่งิ อืน่ ๆเจอื ปนมาเทลงทีก่ ระดาษกรองทพ่ี บั
เป็นรูปกรวยและใส่กรวยแกว้ ไวแ้ ล้วถา้ ของแข็งทีเ่ จอื ปนอยใู่ นของเหลวนั้นมีขนาดใหญก่ ว่า10-4 ของแข็งนัน้ กไ็ ม่
สามารถผา่ นกระดาษกรองไปได้แต่ถา้ เลก็ กว่าก็จะสามารถผา่ นได้ สาํ หรบั กรณีทข่ี องแขง็ เลก็ กวา่ 10-4 นนั้ เราก็
สามารถใชก้ ระดาษเซลโลเฟนทีม่ ีขนาด10-7 ก็ได้

เอกสารอา้ งองิ
https://sites.google.com/site/kikubmt12/kar-peliynpaelng-khxng-sar
http://it.cmtc.ac.th/std2561/web/it1a/group1/Page/detailLearn/01_substances.html

208

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2

ช่อื หนว่ ย สารและการเปลีย่ นแปลง

เร่ือง สารและการเปลยี่ นแปลง จานวนชั่วโมงสอน 3

จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรียนรู้

- จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม เครอื่ งมอื /วัสดุ-อปุ กรณ์

1. สามารถแยกตัวทําละลายและตัวละลายได้ 1. ปากกา

2. ทาํ งานร่วมกนั เปน็ กลมุ่ ได้ 2. กระดาษ A4

3. ชิน้ งาน

- ลําดับขน้ั การทาํ งาน ขอ้ ควรระวัง

1. ให้นักเรียนแบง่ กลุ่มกลมุ่ ละ 3 คน 1. ควรใชอ้ ปุ กรณ์ต่างๆดว้ ยความระมดั ระวัง

2. ให้แต่ละกลุม่ สบื เรือ่ งสารละลาย กลมุ่ ละ 5 สาร มอบงาน

3. ให้วเิ คราะห์ว่าสารนั้นๆมสี ารใดเปน็ ตวั ทําละลาย 1. นาํ เสนอผลงานพรอ้ มอธิบาย

และสารใดเปน็ ตวั ละลาย วดั ผล/ประเมินผล

4. นําเสนอหน้าชนั้ เรียน 1. ตรวจชิน้ งาน

2. การนาํ เสนอผลงาน

3. เกณฑ์คะแนนผ่าน 50% ขนึ้ ไป

209

พส.14

ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต

ชอื่ หน่วย สารและการเปลย่ี นแปลง

เร่ือง สารและการเปลี่ยนแปลง จานวนชวั่ โมงสอน 3

จุดประสงค์การเรียนรู้
- จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม

1. จาํ แนกการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ และทางเคมีของสารในชวี ติ ประจําวนั ได้
2. ทาํ งานรว่ มกันเป็นกลุ่มได้
เครือ่ งมือ-อปุ กรณ์-วัสดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ชิน้ งาน
ลําดับข้นั การปฏิบตั ิงาน
1. ใหน้ กั เรยี นแบ่งกลุม่ กล่มุ ละ 3 คน
2. ให้แต่ละกลุ่มสบื ค้นหาสารต่างๆในชีวติ ประจาํ วัน
3. ใหจ้ ําแนกสารนั้นว่าเปน็ สารประเภทใด ทาํ เปน็ แผนที่ความคดิ
ขอ้ ควรระวงั
1. ควรใชอ้ ุปกรณ์ต่างๆด้วยความระมัดระวงั
ข้อเสนอแนะ
1. การสง่ งานให้ตรงตามเวลาท่ีผู้สอนกําหนด
2. การทดลองควรตรงประเด็นกับหัวขอ้ โครงงานท่ีต้ังไว้
การประเมนิ ผล
1. การประเมนิ ผลงานของแตล่ ะกลุ่ม
2. การประเมินผลการนาํ เสนอหนา้ ชัน้ เรยี น
เอกสารอ้างอิง
https://sites.google.com/site/kikubmt12/kar-peliynpaelng-khxng-sar
http://it.cmtc.ac.th/std2561/web/it1a/group1/Page/detailLearn/01_substances.html
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏิบัติงานในแตล่ ะขนั้

210

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2

ชือ่ หนว่ ย สารและการเปลี่ยนแปลง

เรอ่ื ง สารและการเปลยี่ นแปลง จานวนชัว่ โมงสอน 3

จดุ ประสงค์การมอบงาน
1. เพ่ือให้ผเู้ รยี นสามารถแยกตวั ทําละลายและตวั ละลายได้
2. เพือ่ ให้ผู้เรยี นจําแนกการเปล่ียนแปลงทางกายภาพ และทางเคมีของสารในชวี ติ ประจําวันได้
แนวทางการปฏบิ ตั ิงาน

ให้ผู้เรยี นทาํ งานเป็นกลมุ่ กําหนดหน้าที่ของแต่ละคนให้ชัดเจน จัดลําดบั ข้ันตอนการปฏบิ ัติงานใหเ้ หมาะสม
แหล่งค้นควา้

สอ่ื ออนไลน์
คาถาม/ปัญหา
1. ผูเ้ รียนวางแผนการทํางานเป็นกลุ่มและงานเสร็จตามทกี่ าํ หนดได้หรอื ไม่
2. ผเู้ รียนสามารถแยกตวั ทาํ ละลายและตัวละลายได้หรอื ไม่
3. ผูเ้ รียนสามารถจาํ แนกการเปล่ยี นแปลงทางกายภาพ และทางเคมีของสารในชวี ิตประจาํ วนั ไดห้ รือไม่
กาหนดเวลาทางาน

3 ช่ัวโมง

หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏบิ ตั งิ านในแตล่ ะข้ัน

211

พส.16

ใบกิจกรรมท่ี 14

รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ที่ 11

หนว่ ยที่ 6 ช่อื หนว่ ย สารและการเปลย่ี นแปลง เวลา 1 ชม.

ช่ือกจิ กรรม สารละลาย เวลา 1 ชม.
จุดประสงค์การเรียนรู้

1. เพือ่ ให้ผเู้ รยี นสามารถแยกตวั ทําละลายและตวั ละลายได้
วัสด/ุ อุปกรณ์

1. สมุด
2. อปุ กรณก์ ารเรียน
คาสั่ง
1. ให้นักเรยี นพจิ ารณาองค์ประกอบของสารละลายทก่ี ําหนดให้ตอ่ ไปน้ีแลว้ จาํ แนกเปน็ ตวั ทําละลาย
และตัวละลาย เขียนตอบลงในชอ่ งตารางให้ถกู ตอ้ ง
2. ใหน้ ักเรียนทาํ ด้วยตนเองห้ามลอกกนั

ชนดิ ของสารละลาย องคป์ ระกอบของสารละลาย ตัวทาละลาย ตัวละลาย

อากาศ
นาก 35 %
น้ําโซดา
เหรียญบาท
แก๊สหุงตม้
เงินอะมลั กมั
(ของแข็ง)

ทอง 18 k

การประเมินผล
1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นกั เรียนทําผา่ น 50 % ขึ้นไป

212

พส.16

ใบกจิ กรรมที่ 15

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ท่ี 11
หน่วยที่ 5 ช่ือหนว่ ย สารและการเปลี่ยนแปลง เวลา 1 ชม.
ชือ่ กจิ กรรม การเปลีย่ นแปลงของสาร เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. เพอื่ ใหม้ คี วามรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกบั การเปลยี่ นแปลงของสาร

วัสดุ/อุปกรณ์

1. สมุด

2. อุปกรณ์การเรยี น

คาสง่ั

1. ใหน้ กั เรียนจดั จําแนกการเปล่ียนแปลงของสารให้ถกู ตอ้ งโดยการทําเครื่องหมาย  (ถูก) ลงใน

ช่องวา่ งทกี่ ําหนดให้

2. ให้นักเรียนทาํ ดว้ ยตนเองห้ามลอกกนั

การเปลยี่ นแปลงของสาร ประเภทของการเปล่ียนแปลง เหตุผล

ทางกายภาพ ทางเคมี

น้ํากลายเปน็ นา้ํ แขง็

มะม่วงเน่า

การหลอมเทยี น

การเกดิ ฟองกา๊ ซเมอ่ื

เตมิ หนิ ปูนในกรด

ไฮโดรคลอรกิ

การยอ่ ยอาหาร

การจดุ พลุไฟ

เหล็กถูกตะไบใหเ้ ป็นผง

การทาํ ขา้ วหมาก

เกลือละลายน้ํา

ดา่ งทบั ทิมละลายนํ้า

ตะปูเปน็ สนิม

213

การประเมนิ ผล

1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นกั เรยี นทาํ ผา่ น 50 % ข้นึ ไป

เฉลยใบกิจกรรมที่ 14 214

ชนิดของ องคป์ ระกอบของสารละลาย ตัวทาํ ละลาย ตวั ละลาย
สารละลาย แกส๊ ไนโตรเจน
แก๊สไนโตรเจน 78.09% แก๊สออกซิเจน
อากาศ แก๊สออกซิเจน 20.93 % ทองแดง แก๊สอารก์ อน
แกส๊ อารก์ อน 0.93 % น้ํา แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์
นาก 35 % แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ 0.03% และ และแกส๊ อืน่ ๆ
นํ้าโซดา ทองแดง
แก๊สอนื่ ๆ พรอเพน ทองคาํ และเงิน
ทองคาํ 35% ทองแดง 60 %
เงนิ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
และเงนิ 5 % ทองคํา นกิ เกิล
บิวเทน
นํา้ กบั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ปรอท
เงนิ
เหรียญบาท ทองแดง 75 % นิกเกลิ 25 %
แก๊สหงุ ตม้ พรอเพน 70 % บิวเทน 30 %
เงินอะมลั กมั เงนิ (ของแขง็ ) กับ ปรอท(ของเหลว)
(ของแข็ง)
ทองคํา 75 % เงิน 25 %
ทอง 18 k

การเปลยี่ นแปลงของสาร เฉลยใบกิจกรรมที่ 15 215

นํา้ กลายเป็นน้ําแข็ง ประเภทของการเปล่ยี นแปลง เหตุผล
มะมว่ งเน่า ทางกายภาพ ทางเคมี
การหลอมเทยี น
การเกดิ ฟองก๊าซเมือ่ 
เติมหินปูนในกรด 
ไฮโดรคลอริก
การย่อยอาหาร 
การจดุ พลไุ ฟ 
เหลก็ ถูกตะไบใหเ้ ป็นผง
การทาํ ข้าวหมาก 
เกลือละลายนาํ้ 
ดา่ งทบั ทมิ ละลายน้ํา 
ตะปเู ปน็ สนมิ 




216

แบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยท่ี 6

คาสงั่ จงเลือกคําตอบทีถ่ กู ที่สดุ เพยี งคําตอบเดียว แลว้ กาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงในช่อง  ใน
กระดาษคาํ ตอบ
1. ขอ้ ใดเป็นสมบตั ิทางเคมีของสาร

ก. นาํ้ ตาลมรี สหวาน
ข. ทองแดงนาํ ไฟฟูาได้
ค. เหล็กเกิดสนมิ
ง. เกลือละลายน้าํ
2. สารใดต่อไปน้เี ป็นสารเน้ือผสม
ก. อากาศ
ข. คอนกรตี
ค. นาํ้ เชอ่ื ม
ง. แกส๊ หงุ ต้ม
3. สารในขอ้ ใดเป็นสารประกอบ
ก. นํา้
ข. คารบ์ อน
ค. นํ้าเกลอื
ง. ออกซิเจน
4. สารในข้อใดเปน็ สารแขวนลอย
ก. นํ้านม
ข. น้ําสลดั
ค. น้ําเชอ่ื ม
ง. นํ้าอบไทย
5. ปรากฏการณ์ทินดอลล์จะเกดิ ขึ้นกับสารประเภทใด
ก. สารละลาย
ข. คอลลอยด์
ค. สารบริสุทธ์ิ
ง. สารแขวนลอย
6. สารใดทม่ี ีอนุภาคลอดผ่านกระดาษกรองได้ แต่ไมล่ อดผา่ นกระดาษเซลโลเฟน
ก. น้าํ นม
ข. น้ําเกลือ
ค. นํ้าโคลน
ง. นาํ้ เชื่อม

217

7. แอลกอฮอล์ฆ่าเชอื้ มีสารใดเปน็ ตวั ทําละลาย
ก. น้ํา
ข. เอทานอล
ค. ฟอรม์ าลีน
ง. ไอโอดีน

8. การเปลี่ยนแปลงใดเป็นการเปลี่ยนแปลงท่ีคายความรอ้ น
ก. น้ํากลายเปน็ ไอ
ข. หมิ ะละลาย
ค. แอลกอฮอลร์ ะเหย
ง. การเกิดน้าํ คา้ ง

9. การเปล่ยี นแปลงใดเป็นการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
ก. ทองคาํ ผสมกบั ทองแดงไดน้ าก
ข. นา้ํ ยาลา้ งหอ้ งนํ้าเทลงบนปูนเกิดฟองแกส๊
ค. นํา้ ทะเลระเหยไปเหลือผลึกเกลือ
ง. ไอนา้ํ ในอากาศกลัน่ ตวั เปน็ น้าํ ฝน

10. การเผาไหมข้ องแก๊สหงุ ต้มได้สารใดเป็นผลติ ภัณฑ์
ก. ออกซิเจนกับนาํ้
ข. ออกซิเจนกบั คาร์บอน
ค. คารบ์ อนไดออกไซดก์ บั นาํ้
ง. คารบ์ อนไดออกไซดก์ บั ออกซเิ จน

218

เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยท่ี 6

1. ค. เหล็กเกิดสนมิ
2. ข. คอนกรตี
3. ก. นาํ้
4. ง. นํ้าอบไทย
5. ข. คอลลอยด์
6. ก. นา้ํ นม
7. ข. เอทานอล
8. ง. การเกดิ น้ําคา้ ง
9. ข. นํา้ ยาลา้ งหอ้ งนา้ํ เทลงบนปูนเกิดฟองแก๊ส
10. ค. คารบ์ อนไดออกไซด์กับนํ้า

219

พส.8

แผนการจดั การเรยี นรู้ หน่วยท่ี 6
เวลารวม 6 ชม.
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ

ชอ่ื หนว่ ย สารและการเปลี่ยนแปลง สัปดาห์ 12/18

เรอื่ ง สารและการเปลีย่ นแปลง จานวน 3 ชม.

1. สาระสาคัญ

สารต่าง ๆ ในโลกมมี ากมายหลายชนดิ การศกึ ษาเก่ยี วกบั สารจงึ ตอ้ งจดั หมวดหม่เู พื่อประโยชนต์ อ่

การศึกษาค้นควา้ โดยการกําหนดเกณฑ์เพือ่ ใช้ในการจําแนกสาร เมื่อใช้เนือ้ สารเป็นเกณฑจ์ ะจําแนกสาร

ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สารเนื้อเดียว และสารเนื้อผสม สารเนอื้ เดยี วยงั แบง่ ออกเป็นสารละลายและสาร

บรสิ ทุ ธ์ิ และสารบริสุทธย์ิ ังแบง่ ออกเป็นธาตุกับสารประกอบ การจดั จาํ แนกสารเมื่อใชอ้ นุภาคเปน็ เกณฑ์จะ

แบง่ ได้ 3 ประเภท เรยี งลาํ ดับตามขนาดของอนุภาคจากใหญ่ไปเลก็ ได้แก่ สารแขวนลอย คอลลอยด์ และ

สารละลายสารต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไดต้ ลอดเวลา อาจเปน็ การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพหรือการ

เปลยี่ นแปลงทางเคมี ซึง่ การเปล่ียนแปลงทงั้ สองอยา่ งนี้จะแตกตา่ งกันโดยการเปล่ียนแปลงทางเคมีจะมสี าร

ใหม่เกดิ ขึ้นทําใหก้ ารยดึ เหน่ยี วของอะตอมในโครงสรา้ งเปลยี่ นไป

2. สมรรถนะประจาหนว่ ย

แสดงความรู้และปฏบิ ัตเิ กย่ี วกับสารและการเปล่ียนแปลง

3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้

1. อธบิ ายความแตกตา่ งระหว่างสารเนื้อเดียวกับสารเนือ้ ผสมได้

2. อธิบายสมั พนั ธ์ของพลงั งานความร้อนที่เกยี่ วขอ้ งกับการเปล่ยี นสถานะได้

4. สาระการเรยี นรู้

1. สาร (Substance) หมายถึงสิง่ ต่าง ๆ ทอ่ี ยู่รอบตวั ของเราซ่ึงสามารถสมั ผัสได้ด้วยประสาททัง้ 5

2. สมบตั ขิ องสาร แบ่งเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สมบตั ทิ างกายภาพ และสมบตั ิทางเคมี

3. การจาํ แนกสาร

3.1 การจําแนกสารเม่ือใช้ลักษณะเน้ือของสารเป็นเกณฑ์ สารเนื้อเดียวยังแบ่งออกเป็น 2 ชนิด

ได้แก่ สารบรสิ ุทธ์ิ และสารละลาย

3.2 การจัดกลุ่มสารเม่ือใช้ขนาดของอนุภาคเป็นเกณฑ์ จะแบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ สารแขวนลอย

คอลลอยด์ และสารละลาย

4. การเปล่ียนแปลงของสาร หมายถึง การท่ีสารมีสมบัติต่างไปจากเดิม เช่น มีสีกล่ิน รส รูปร่าง

หรอื สถานะเปลีย่ นไป การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจทําให้มีสารใหม่เกิดข้ึน หากใช้สมบัติของสารเป็นเกณฑ์

จะสามารถจําแนกประเภทของการเปลี่ยนแปลงได้ 2 ประเภท คือ การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ และการ

เปล่ียนแปลงทางเคมี

220

5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกช่ือ สํารวจการแต่งกาย พร้อมท้ังบันทึกลงในแบบ

สังเกตความมวี ินยั และความรับผดิ ชอบ
2. ข้ันนาํ เข้าสูบ่ ทเรยี น
3. ข้ันสอน ครูให้ความรู้ บรรยาย อธิบาย โดยใช้ส่ือ PowerPoint ประกอบ และให้นักเรียนทําใบ

กิจกรรมที่ 16-17
4. ครูและนกั เรียนรว่ มสรุปกจิ กรรมท่ที ํา
5. ขั้นสรปุ ครใู หน้ ักเรยี นแต่ละกลมุ่ สรปุ บทเรยี น และทดสอบหลงั เรยี น

6. ส่อื และแหลง่ การเรียนรู้
6.1 ส่ือส่งิ พมิ พ์
1. ใบความรู้ สารและการเปลีย่ นแปลง
2. ใบกจิ กรรมท่ี 16-17
3. แบบทดสอบกอ่ นเรียน สารและการเปลี่ยนแปลง
4. แบบทดสอบหลังเรียน สารและการเปลยี่ นแปลง
6.2 สือ่ โสตทศั น์
PowerPoint สรุปเน้ือหาสารและการเปล่ียนแปลง

7. หลักฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกจิ กรรม
3. แบบทดสอบ

8. กิจกรรมเสนอแนะ -
9. เอกสารอ้างอิง

1. หนังสือเรียนรายวชิ า วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทักษะชีวิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กําหนดการประเมินพุทธพิ ิสัย

1. อธบิ ายความแตกตา่ งระหว่างสารเน้ือเดยี วกับสารเนอ้ื ผสมได้
2. อธบิ ายสมั พนั ธ์ของพลังงานความร้อนท่ีเก่ียวขอ้ งกับการเปล่ยี นสถานะได้
10.2 เครือ่ งมือทใ่ี ชป้ ระเมนิ ทักษะพสิ ัย
1. ใบงาน ,ใบกจิ กรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครื่องมือการประเมินจติ พิสยั
1. แบบประเมินจติ พสิ ัย

221

พส.9

เครือ่ งมือที่ใช้ในการประเมิน

รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

แบบประเมินแบบประมาณคา่ (Rating scale) เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
54 321
ประเดน็ การประเมนิ

1. อธบิ ายความแตกตา่ งระหว่างสารเนอ้ื เดียวกบั สารเนอ้ื ผสมได้
2. อธบิ ายสมั พนั ธข์ องพลงั งานความร้อนทเี่ ก่ยี วขอ้ งกบั การเปลยี่ น
สถานะได้

รวม
รวมทง้ั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

222

พส.10

แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)

พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12

รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์

หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ

223

พส.11

บันทึกหลงั การจัดการเรยี นรู้
รหสั วชิ า...........................ช่อื วิชา..................................................................................ระดบั ชั้น................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สัปดาหท์ ี่..........วันท่ีสอน.........................................
หนว่ ยที่............ชอื่ หนว่ ย.........................................................................................................จาํ นวน..................ช่ัวโมง

1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปัญหาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงช่ือ.......................................................ครูผู้สอน
(นางสาวกนั ตยา เลศิ อรุณรตั น์)
........../................/............

ความเห็น................................................................................. ความเห็น.................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงชื่อ...............................................หัวหนา้ แผนกวิชา ลงชื่อ...........................................รองผูอ้ ํานวยการฝาุ ยวชิ าการ
(นางสาวมาละ แก้วบัวดี) (นางสาวนิศากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............

224

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชื่อหน่วย สารและการเปลี่ยนแปลง

เร่ือง สารและการเปลยี่ นแปลง จานวนช่วั โมงสอน 3 รายการเรียนรู้
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1. สารเนือ้ เดียวกับสารเน้ือผสม
2. พลงั งานความรอ้ นทีเ่ ก่ียวข้องกบั การ
- จุดประสงค์ทั่วไป เปลี่ยนสถานะ
1. มีความรู้ ความเขา้ ใจในความแตกต่างระหว่างสารเนอ้ื เดยี วกับสาร
เน้อื ผสม
2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจถึงสัมพันธ์ของพลงั งานความร้อนที่เกีย่ วข้อง
กบั การเปลีย่ นสถานะ
- จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
1. อธบิ ายความแตกต่างระหว่างสารเนอ้ื เดยี วกบั สารเนือ้ ผสมได้
2. อธิบายสมั พนั ธ์ของพลงั งานความร้อนทเี่ ก่ียวขอ้ งกับการเปลยี่ น
สถานะได้

เนื้อหาสาระ
1. สารเนอื้ เดียว

สารเน้อื เดียว (Homogeneous Substance) หมายถงึ สารท่ีมีลักษณะของเนอื้ สารผสมกลมกลืนกนั
เป็นเนือ้ เดียว และมีอัตราส่วนของผสมเท่ากนั ถ้านาํ สว่ นใดส่วนหน่งึ ของสารเน้ือเดียวไปทดสอบจะมีสมบัติ
เหมือนกนั ทุกประการ
สารเนื้อเดยี วมไี ดท้ ัง้ 3 สถานะ คอื

1.สารเนอื้ เดียวสถานะของแข็ง เช่น เหล็ก ทองคํา ทองแดง สงั กะสี เป็นต้น
2.สารเนอื้ เดยี วสถานะของเหลว เช่น น้าํ กล่นั นา้ํ เกลอื นา้ํ ส้มสายชู นาํ้ อดั ลม เปน็ ต้น
3.สารเนื้อเดยี วสถานะแกส๊ เช่น อากาศ แกส๊ หุงต้ม แกส๊ ออกซเิ จน เปน็ ตน้
นกั วทิ ยาศาสตร์จาํ แนกสารเน้อื เดยี วออกเป็น 2 ประเภท คอื
1.สารบรสิ ทุ ธิ์ ( Pure Substance ) เป็นสารเนอื้ เดียวทปี่ ระกอบด้วยสารเพยี งอย่างเดยี ว ไม่มสี าร
อนื่ เจือปน ได้แก่ ธาตแุ ละสารประกอบ
2.สารไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ เป็นสารเนื้อเดียวที่ประกอบดว้ ยสารบริสุทธติ์ ง้ั แต่ 2 ชนิดข้นึ ไปดว้ ยอตั ราสว่ นทไ่ี ม่
แนน่ อน ไมม่ ีปฏิกริ ิยาเคมีเกดิ ขึน้ สารทเี่ กิดใหมจ่ ะมีสมบัติไม่คงท่ขี น้ึ อยกู่ ับปริมาณของสารบรสิ ุทธิ์ท่ีนํามาผสมกนั
ไดแ้ ก่ สารละลาย คอลลอยด์

225

2. สารเนอื้ ผสม
สารทม่ี องเห็นดว้ ยตาเปล่าไม่เป็นเนอ้ื เดียวกันตลอดทกุ ส่วน สารทเี่ กิดจากสารต้งั แต่ 2 ชนดิ มา

รวมกัน โดยมอี ตั ราสว่ นท่ไี ม่แน่นอน อาจเปน็ สารท่อี ยู่ในสถานะเดยี วกนั หรอื ตา่ งสถานะมารวมกัน ได้สารเน้ือผสม
เช่น พริกกับเกลอื นา้ํ กบั แปูง ลอดชอ่ งน้าํ กะทิ เป็นต้น แบง่ เป็น 2 ชนดิ คือ

1 สารแขวนลอย คอื ของเหลวทมี่ ีอนภุ าคของของแข็งขนาดเลก็ แทรกอยู่ มเี ส้นผา่ นศูนยก์ ลางใหญ่
กว่า 10-4 เซนติเมตร ซ่งึ เปน็ สารเนอ้ื ผสมท่ีมีขนาดอนุภาคขนาดใหญ่ ทําให้สามารถมองเห็นสว่ นผสมไดอ้ ย่าง
ชดั เจน งา่ ยต่อการแยกออก เชน่ นาํ้ แปูง นํา้ โคลน เป็นต้น

2 คอลลอยด์ คอื สารเนอื้ ผสมทม่ี ีความกลมกลืน มขี นาดอนุภาคเล็กกวา่ สารแขวนลอยแตใ่ หญก่ ว่า
สารละลาย มขี นาดเส้นผา่ นศนู ย์กลางประมาณ 10-7 -10-4 เซนติเมตร เช่น สบูเ่ หลว โฟมลา้ งหนา้ นมสด เป็นตน้
สารเนือ้ ผสมมีได้ทั้ง 3 สถานะ เชน่

1. สารเนอ้ื ผสมสถานะของแข็ง เช่น ทราย คอนกรีต ดิน เปน็ ต้น
2. สารเนอื้ ผสมสถานะของเหลว เช่น นา้ํ คลอง นํา้ โคลน น้าํ จิ้มไก่ เป็นต้น
3. สารเนือ้ ผสมสถานะแก๊ส เช่น ฝุนละอองในอากาศ เขม่า ควนั ดําในอากาศ เปน็ ต้น
3. สารแขวนลอย
สารแขวนลอย คอื สารผสมของสสารต่างชนดิ กันท่ไี มเ่ ป็นเนอ้ื เดยี วกันและมอี นุภาคใหญ่กวา่ 1
ไมโครเมตร ในหนงึ่ มติ ิเป็นอย่างนอ้ ย ซึ่งใหญก่ วา่ อนุภาคของคอลลอยด์ อนุภาคในสารแขวนลอยสามารถ
ตกตะกอนได้เมื่อต้ังทง้ิ ไว้ และอาจสามารถแยกออกจากกันได้ ตัวอย่างสารแขวนลอย โคลนหรอื น้ําขุ่น ซึง่ มี
อนุภาคของดนิ อย่ใู นน้ํา แปงู หรือผงชอลก์ ทีแ่ ขวนลอยในนํ้า ดังรูปทางขวามือ อนภุ าคของฝุนท่แี ขวนลอยในอากาศ
ระบบและการเปล่ยี นแปลงของสาร
ระบบ (system)
หมาย ถึง สิ่งทอ่ี ยู่ภายในขอบเขตทตี่ ้องการศึกษา การกําหนดองค์ประกอบของระบบ ขึ้นอย่กู บั จุดมุง่ หมาย
ของการศึกษา ซึง่ ต้องกําหนดหรอื ระบใุ ห้ชดั เจน
สิ่งแวดล้อม (environment)
หมาย ถึง ส่งิ ตา่ งๆ ท่ีอยนู่ อกขอบเขตท่ีตอ้ งการศึกษา ตัวอยา่ งการกาํ หนดองค์ประกอบของระบบ เชน่
การศกึ ษาการละลายของนาํ้ ตาลทรายในนาํ้ โดยสารละลายนํ้าตาลทรายจะเป็นระบบ ส่วนบกี เกอร์ ภาชนะ และ
แท่งแก้วจัดเป็นส่ิงแวดลอ้ ม
ภาวะของระบบ
หมาย ถึง สมบัติต่าง ๆ ของสาร และปัจจยั ทีม่ ผี ลต่อสมบัตขิ องระบบ เชน่ ความดันบรรยากาศ อุณหภูมิ
ปริมาณของสาร เมื่อระบบเกิดการเปล่ยี นแปลงแล้วจะมกี ารถ่ายเทพลังงานระหวา่ งระบบกบั สง่ิ แวดล้อม ดังน้ี
 ระบบท่ีมกี ารเปลีย่ นแปลงประเภทคายความร้อน
คือ ระบบทีเ่ ม่อื เกิดการเปลีย่ นแปลงแลว้ ระบบจะถา่ ยเทความร้อนให้แก่สง่ิ แวดลอ้ ม ทําให้ส่งิ แวดล้อมรอ้ นขน้ึ
 ระบบทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงประเภทดดู ความร้อน
คอื ระบบที่เมื่อเกดิ การเปลี่ยนแปลงแล้ว ระบบจะดดู ความร้อนจะสงิ่ แวดลอ้ มทําให้สิ่งแวดลอ้ มน้ันเยน็ ลง

226

ประเภทของระบบ
การเปลีย่ นแปลงพลงั งานระหว่างระบบและสิ่งแวดลอ้ ม จะใช้การถา่ ยเทมวลของสารเปน็ เกณฑ์ในการแบ่ง

ประเภทของระบบ ดงั น้ี
 ระบบเปิด (open system)
หมายถึง ระบบที่มกี ารถ่ายเทมวลให้กับส่งิ แวดล้อม
 ระบบปดิ (close system)
หมายถงึ ระบบที่ไมม่ กี ารถ่ายเทมวลให้กับสง่ิ แวดลอ้ ม
 ระบบโดดเดย่ี ว (lone system)

หมายถงึ ระบบที่ไม่มีการถ่ายเทมวลและพลงั งานใหก้ บั ส่ิงแวดลอ้ ม

การเปล่ียนแปลงพลงั งานของระบบ
การเปลีย่ นแปลงพลังงานของระบบมี 2 ประเภท คอื
การเปล่ยี นแปลงประเภทคายความร้อนหรอื ประเภทคายพลงั งาน

คอื การเปลีย่ นแปลงท่รี ะบบคายพลังงานให้แก่สง่ิ แวดลอ้ ม เนื่องจากระบบมีอุณหภูมิสงู กว่าส่งิ แวดลอ้ ม จึง
ถ่ายเทพลงั งานจากระบบไปสู่สิง่ แวดลอ้ ม เช่น การละลายของโซดาไฟในนา้ํ อณุ หภมู ขิ องสารละลายสูงขนึ้
จึงถ่ายเทพลังงานให้กบั สง่ิ แวดล้อม เพอื่ ทาํ ใหอ้ ุณหภูมิของระบบลดลงจนอุณหภูมขิ องระบบเทา่ กบั อณุ หภมู ิ
ของ สิ่งแวดล้อม
การเปล่ียนแปลงประเภทดดู ความรอ้ นหรือประเภทดดู พลงั งาน
คือ การเปลย่ี นแปลงท่ีระบบดูดพลังงานจากส่ิงแวดลอ้ ม เน่ืองจากระบบมอี ุณหภูมิต่ํากวา่ สงิ่ แวดล้อม ระบบจะ
ปรับตวั โดยดูดพลงั งานความร้อนจากสิ่งแวดลอ้ มเข้าสู่ระบบ เพ่อื ทําใหอ้ ุณหภูมขิ องระบบเทา่ กับอุณหภูมิของ
สิง่ แวดล้อม เชน่ การละลายของเกลือแกงในนาํ้ อุณหภมู ิของสารละลายตาํ่ ลง จงึ ดูดพลงั งานเข้าสู่ระบบ เพือ่ ทาํ ให้
อุณหภมู ิของระบบสงู ขนึ้ จนอุณหภมู ขิ องระบบเท่ากับอณุ หภูมิของ ส่งิ แวดลอ้ ม

227

การเปล่ียนสถานะของสาร
สาร ต่างๆ อาจอยูใ่ นสถานะก๊าซ ของเหลว หรือของแขง็ ก็ได้ ขึ้นอย่กู บั ชนิดของสาร สารแต่ละชนดิ จะมจี ดุ เดือด
และจุดหลอมเหลวต่างกนั ซง่ึ เป็นคณุ สมบัติเฉพาะตัวของสาร การเปลย่ี นแปลงอุณหภูมิจะมีผลตอ่ การเปล่ียนแปลง
สถานะของสาร โดยทพ่ี ิจารณาตามหลักการ ดังภาพ

 การเปล่ยี นแปลงของสารจากสถานะของแขง็ เป็นของเหลว เรียกวา่ การหลอมเหลว อุณหภมู ขิ ณะน้นั จะ
คงท่ีเรยี นกวา่ จุดหลอมเหลว

 การเปลย่ี นสถานนะของสารจากของเหลวกลายเป็นไอ เรียกว่า การเดอื ด อุณหภูมขิ ณะน้ันจะคงท่ี
เรยี กวา่ จดุ เดอื ด

พลังงานกบั การเปลยี่ นแปลงของระบบ
การ เปลย่ี นแปลงของสารมี 3 ลักษณะ คอื การเปลี่ยนสถานะ , การละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี โดย

การเปล่ียนแปลงของสารจะ เกย่ี วข้องกบั พลังงานดงั ตอ่ ไปนี้
พลังงานกับการเปลยี่ นสถานะ สารมี 3 ลักษณะ คอื ของแข็ง , ของเหลว และกา๊ ซ

เมือ่ สารเปลีย่ นสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว หรือของเหลวเปน็ กา๊ ซ หรือของแข็งเปน็ ก๊าซจะตอ้ งดดู ความร้อน
จากสิ่งแวดล้อม ถา้ สารเปลย่ี นสถานะจากก๊าซเป็นของเหลว หรือของเหลวเปน็ ของแขง็ หรือก๊าซเปน็ ของแขง็
จะต้องคายความรอ้ นใหก้ ับส่ิงแวดลอ้ มขณะที่สาร เปล่ียนสถานะ อุณหภมู ขิ องสารจะไมเ่ ปลีย่ นแปลงแม้วา่ จะดดู
ความร้อนตลอดเวลา เพราะความร้อนถูกใช้ในการเปลย่ี นสถานะ ปรมิ าณความ ร้อนทใี่ ชใ้ นการเปลี่ยนสถานะ
เรียกวา่ " ความร้อนแฝง " ความรอ้ นแฝงจะมีหลายชนดิ ข้ึนอยู่กับสถานะของสาร
พลังงานกับการละลายในการละลายเกดิ จากสารต้ังแต่ 2 ชนดิ ข้นึ ไปมาผสมเป็นเนอ้ื เดียวกันโดยไม่เกดิ ปฏกิ ริ ิยา
เมอ่ื สารเกิดการละลายจะเกี่ยวข้องกับพลังงานทกุ ขนั้ การละลายมี 2 ข้นั ตอน ดงั น้ี

1. อนุภาคของแข็งแยกตัวออกเปน็ อนภุ าคเลก็ ๆ ของแข็งมีจํานวนมากมายอย่รู วมกนั โดยมแี รงยึดเหนยี่ ว

228

ระหว่างกัน การแยกอนภุ าคของแขง็ ออกจากเป็นอนภุ าคเลก็ ๆ ต้องใช้พลังงาน (ดดู พลงั งานจาก
สิ่งแวดล้อม) พลงั งานนเี้ รียกวา่ " พลังงานแลตทิซ " (Lattice Energy)
2. อนภุ าค เล็ก ๆ ของของแข็งรวมตวั กบั อนุภาคของเหลว เมือ่ ของแข็งแยกตัวออกเป็นอนุภาคเลก็ ๆ แล้ว
อนภุ าคเลก็ ๆ เหล่านีจ้ ะกระจาย แทรกตัวอยูร่ ะหว่างอนภุ าคของเหลว ทําให้อนภุ าคเลก็ ๆ สร้างแรงยดึ
เหน่ียวกับอนภุ าคของเหลว การสรา้ งแรงยึดเหนี่ยวจะเกิดการคายพลงั งานซงึ่ พลังงานน้ีเรียกวา่ " พลงั งาน
โซลเวชนั " (Solvation Energ) ถา้ ของเหลวท่ีเป็นตวั ทําละลายคือ น้ํา พลังงานนเ้ี รยี กว่า " พลงั งานไฮเดร
ชัน " (Hydration Energy)
ผลการละลายนาํ้ ของสารมกี ารเปลยี่ นแปลงพลงั งานแบบใดจะต้องพิจารณาจากพลงั งานแลตทิซ และพลงั งานไฮ
เดรชัน ดงั นี้
 การเปลยี่ นแปลงแบบดูดความรอ้ น

เมือ่ พลังงานแลตทิซมากกวา่ พลังงานไฮเดรชัน เช่น การละลายน้ําของโพแทสเซียมไนเตรต
 การเปล่ียนแปลงแบบคายความร้อน
เมือ่ พลังงานไฮเดรชันมากกว่าพลงั งานแลตทซิ เช่น การละลายนํ้าของโซเดียมไฮดรอกไซด์
พลังงานกับการเปล่ียนแปลงสถานะ
การเปลย่ี นสถานะของสารเปน็ การเปล่ยี นแปลงทางกายภาพ การเปลย่ี นสถานะของสารอาจเปน็ การ
เปลย่ี นแปลงประเภทดูดพลังงานหรอื คายพลงั งาน ดังภาพ

เมอ่ื สารไดร้ ับความรอ้ นขณะทม่ี ีการเปลย่ี นสถานะ อณุ หภมู ิของสารจะไม่มีการเปล่ยี นแปลง โดยจะนาํ ความรอ้ น
ท่ไี ด้รบั ไปใช้เปล่ยี นสถานะ ซงึ่ เรยี กค่าพลังงานท่ีนาํ ไปใชใ้ นการเปลยี่ นแปลงของสารวา่ ความร้อนแฝงจาํ เพาะของ
สาร สารแต่ละชนิดจะมคี ่าความร้อนแฝงจําเพาะ 2 คา่ ดว้ ยกนั คือ

 ค่าความร้อนแฝงจําเพาะของการหลอมเหลว
เป็นคา่ พลงั งานความร้อนท่นี าํ มาใชเ้ ปล่ียนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว

 คา่ ความร้อนแฝงจาํ เพาะของการกลายเปน็ ไอ
เปน็ คา่ พลังงานความรอ้ นท่ีนําไปใช้ในการเปลยี่ นสถานะจากของเหลวเปน็ ไอ

229

o นํา้ มคี ่าความรอ้ นแฝงจําเพาะของการหลอมเหลว 80 แคลอรีตอ่ กรัม หมายความว่าในการทํา
นาํ้ แข็ง 1 กรมั ให้หลอมเหลวเป็นนาํ้ ตอ้ งใชพ้ ลังงานความรอ้ น 80 แคลอรี

o น้าํ มคี า่ ความ ร้อนแฝงจําเพาะของการกลายเป็นไอ 600 แคลอรตี อ่ กรัม หมายความว่าในการทาํ
นํา้ 1 กรมั อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส ใหเ้ ปลี่ยนเปน็ ไอน้ํา 1 กรมั อุณหภมู ิ 100 องศา
เซลเซยี ส ตอ้ งใหพ้ ลงั งานความร้อน 600 แคลอรี

พลังงานกบั การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี
เมอ่ื สารเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีจะตอ้ งมีสารใหมเ่ กิดขนึ้ ทกุ ครั้ง วธิ ีพจิ ารณาสารใหม่ให้สงั เกตการเปล่ียนสี กลนิ่ และสิง่
ใหม่ทีเ่ กิดขน้ึ เช่น ฟองกา๊ ซ , ตะกอน หรือควนั เป็นต้น การเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีจะต้องเกดิ 2 ขนั้ ตอนเหมือนกับการ
ละลายคอื

1. ต้องสลายแรงยึดเหนยี่ วของสารตง้ั ตน้ ( สารเดมิ ) ซ่งึ จะต้องใชพ้ ลงั งาน ( ดูดพลงั งาน ) แยกอนุภาคของ
สารออกจากกนั

2. อนุภาคที่แยกตัวออกมาจะสร้างแรงยดึ เหนีย่ วใหม่กับอนุภาคอน่ื ซ่งึ ตอ้ งคายพลงั งานออกมาดว้ ย

ซงึ่ ปฏิกิรยิ าเคมีท่ีพลงั งานข้นั ท่ี 1 มากกว่าขั้นท่ี 2 จะเปน็ การเปลย่ี นแปลงแบบดูดความร้อน เช่น ปฏกิ ิริยา
ระหวา่ งแอมโมเนยี มคลอไรด์ (NH4Cl) กบั แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Ca(OH)2) แต่ถ้าปฏกิ ริ ยิ าเคมที ีพ่ ลังงานขั้นที่ 1
นอ้ ยกวา่ ขนั้ ท่ี 2 จะเปน็ การเปล่ียนแปลง แบบคายความรอ้ น เช่น ปฏิกริ ิยาระหวา่ งด่างทับทมิ (KMnO4) , นา้ํ ตาล
ทราย และนา้ํ ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้เชอื้ เพลงิ เป็นตน้
การวดั ความร้อน (Calorimetry)
การวดั ความรอ้ นที่เปล่ียนแปลงของปฏิกริ ิยาเคมี โดยใช้ Calorimeter

q = ms T = C T

q = ปรมิ าณความร้อน ( J )
m = มวล ( g )
s = ความรอ้ นแฝงจาํ เพาะ หรอื specific heat ( J / g oC )
C = ความจุความรอ้ นของสาร หรอื heat capacity ( J / oC )

T = อุณหภมู ทิ เ่ี ปลยี่ นแปลงไป ( T2 - T1 ) ( oC )

ตวั อย่าง
นํา้ 500 กรมั ร้อนขน้ึ จาก 5 0C เปน็ 75 0C จงคํานวณปรมิ าณความร้อนที่น้าํ ดูดกลนื เขา้ ไป กําหนดใหค้ วามร้อน
จาํ เพาะของนํ้า = 4.184 J/g 0C

แทนคา่ q = ms T
= (500 g)(4.184 J/g oC)(75 – 5 oC)

230

= 1 .46 x 10 5 J
= 146 kJ

พลงั งานกับการละลาย
การละลาย หมายถงึ การท่ีอนุภาคของสารตงั้ ตันสองชนิดข้นไปแทรกรวมเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั เม่อื ของแข็งละลายน้าํ
จะแตกตัวออกเป็นอนุภาคเลก็ ๆ ในการแตกตวั ออกจากกนั ระบบจะต้องใช้พลงั งานจํานวนหนงึ่ ซงึ่ ระบบต้องดูด
พลงั งานเพอื่ ทาํ ใหอ้ นุภาคของของแข็งทรี่ วมตัวกนั อยูแ่ ยกออก จากกัน และเม่อื อนุภาคของของแขง็ กระจายแทรก
อยูร่ ะหวา่ งโมเลกลุ ของนํา้ จะยดึ เหน่ียว กับโมเลกุลของนาํ้ ได้ ระบบจะตอ้ งคายพลงั งานออกมาจํานวนหนง่ึ ดังนน้ั
การละลายของสารชนดิ หน่ึงอาจเปน็ การเปล่ียนแปลงประเภทดดู ความร้อนหรอื คายความร้อน ขึ้นอยกู่ บั ผลต่าง
ของพลังงานทใี่ ช้แยกอนุภาคของของแข็งกับพลงั งานท่ีคายออก มา เพ่ือใหอ้ นภุ าคของของแข็งยดึ เหนย่ี วกับนํ้า

เอกสารอา้ งอิง
https://sites.google.com/site/kikubmt12/kar-peliynpaelng-khxng-sar
http://it.cmtc.ac.th/std2561/web/it1a/group1/Page/detailLearn/01_substances.html
https://sites.google.com/site/thermophysic/heateffect

231

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2

ชอื่ หน่วย สารและการเปลี่ยนแปลง

เร่ือง สารและการเปลย่ี นแปลง จานวนช่วั โมงสอน 3

จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นอธิบายความแตกตา่ งระหวา่ งสารเน้อื เดียวกบั สารเนื้อผสมได้
2. เพ่อื ให้ผู้เรยี นอธบิ ายสมั พันธข์ องพลงั งานความร้อนท่เี กยี่ วข้องกับการเปลี่ยนสถานะได้
แนวทางการปฏิบัตงิ าน

ให้ผูเ้ รยี นทํางานเป็นกลุม่ กําหนดหนา้ ทีข่ องแตล่ ะคนใหช้ ัดเจน จัดลําดับขั้นตอนการปฏบิ ตั ิงานให้เหมาะสม
แหลง่ ค้นคว้า

สือ่ ออนไลน์
คาถาม/ปญั หา
1. ผเู้ รียนวางแผนการทํางานเป็นกลุ่มและงานเสร็จตามท่กี าํ หนดไดห้ รอื ไม่
2. ผู้เรยี นอธบิ ายความแตกต่างระหวา่ งสารเน้ือเดียวกับสารเนือ้ ผสมได้หรอื ไม่
3. ผ้เู รียนอธิบายสมั พนั ธข์ องพลังงานความร้อนทีเ่ ก่ียวข้องกับการเปลย่ี นสถานะได้ได้หรือไม่
กาหนดเวลาทางาน

3 ช่ัวโมง

หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบัตงิ านในแต่ละขนั้

232

พส.16

ใบกิจกรรมที่ 16

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ที่ 12

หนว่ ยที่ 6 ชอ่ื หน่วย สารและการเปลี่ยนแปลง เวลา 1 ชม.

ชอ่ื กจิ กรรม ประเภทของสาร เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นสามารถจําแนกประเภทของสารได้ถกู ตอ้ ง

วสั ด/ุ อุปกรณ์
1. สมุด
2. อปุ กรณ์การเรยี น

คาสง่ั
1. ให้นักเรยี นพิจารณาสารท่ีกาํ หนดให้ตอ่ ไปน้ี แล้วจัดจําแนกประเภทของสารใหถ้ กู ต้องโดยการทํา

เคร่ืองหมาย  (ถูก) ลงในช่องท่ีกําหนดให้
2. ให้นักเรยี นทําดว้ ยตนเองหา้ มลอกกัน

สารที่กาหนด สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย ธาตุ สารประกอบ
แก๊สมีเทน
เงนิ
ควนั ธปู
นา้ํ อัดลม
น้ํานม
ด่างทบั ทมิ
เหรยี ญบาท
ยาธาตุนํ้าขาว
นํา้ ปลา
ทองคํา
การประเมนิ ผล

1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นกั เรยี นทําผา่ น 50 % ขนึ้ ไป

233

พส.16

ใบกจิ กรรมที่ 17

รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครั้งที่ 12

หนว่ ยท่ี 5 ช่อื หน่วย สารและการเปลยี่ นแปลง เวลา 1 ชม.

ชื่อกจิ กรรม การเปลี่ยนสถานะของสาร เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. เพ่ือให้มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกยี่ วกบั การเปล่ยี นแปลงของสาร

วสั ด/ุ อปุ กรณ์

1. สมุด

2. อุปกรณก์ ารเรยี น

คาส่งั

1. ใหน้ กั เรยี นพจิ ารณาสถานการณ์ท่กี าํ หนดใหต้ ่อไปนี้ แลว้ จดั จําแนกประเภทของพลงั งานที่มา

เกี่ยวขอ้ งใหถ้ ูกตอ้ งโดยการทาํ เครอื่ งหมาย  (ถกู ) ลงในชอ่ งตารางทกี่ ําหนดให้

2. ให้นกั เรียนทําดว้ ยตนเองห้ามลอกกัน

สถานการณ์ทีก่ ําหนดให้ ประเภทของการเปล่ียนแปลง

ดูดความร้อน คายความรอ้ น

1. หมิ ะละลาย

2. การเกิดน้ําค้าง

3. การตดิ ไฟของแก๊ส

4. ลูกเหมน็ ในตู้มีขนาดเลก็ ลง

5. เกลอื ละลายนํ้า

6. ฝนตก

7. สาร X ละลายได้ 12 กรัมเมื่อ

อุณหภูมิ 35 และละลายได้

10 กรมั เม่อื อณุ หภมู ิเป็น 45

8. หยดนา้ํ ลงบนแคลเซียมคารไ์ บด์

(CaC2) จะเกดิ ความรอ้ น
9. แอลกอฮอลร์ ะเหยกลายเปน็ ไอ

10. บนดอยอากาศหนาวมีแม่คะน้ิง

เกาะตามยอดหญ้า

234

การประเมนิ ผล

1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นกั เรยี นทาํ ผา่ น 50 % ข้นึ ไป

235

เฉลยใบกิจกรรมท่ี 16

สารที่กาหนด สารละลาย คอลลอยด์ สารแขวนลอย ธาตุ สารประกอบ

แก๊สมีเทน 

เงนิ 

ควันธปู 

น้ําอดั ลม 

นาํ้ นม 

ด่างทับทมิ 

เหรยี ญบาท 

ยาธาตนุ ้ําขาว 

นาํ้ ปลา 

ทองคํา 

เฉลยใบกิจกรรมที่ 17

สถานการณท์ ี่กําหนดให้ ประเภทของการเปลย่ี นแปลง

1. หมิ ะละลาย ดดู ความรอ้ น คายความรอ้ น
2. การเกดิ นา้ํ คา้ ง
3. การตดิ ไฟของแกส๊ 
4. ลูกเหมน็ ในต้มู ขี นาดเลก็ ลง
5. เกลือละลายนาํ้ 
6. ฝนตก
7. สาร X ละลายได้ 12 กรัมเมื่อ 

อณุ หภมู ิ 35 และละลายได้ 
10 กรัมเมอ่ื อุณหภูมเิ ปน็ 45
8. หยดน้าํ ลงบนแคลเซียมคาร์ไบด์ 
(CaC2) จะเกดิ ความรอ้ น
9. แอลกอฮอล์ระเหยกลายเปน็ ไอ 
10. บนดอยอากาศหนาวมีแม่คะนง้ิ
เกาะตามยอดหญา้ 






236

แบบทดสอบหลงั เรยี นหนว่ ยท่ี 6

คาสงั่ จงเลือกคําตอบทีถ่ กู ที่สดุ เพยี งคําตอบเดยี ว แล้วกาเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ลงในช่อง  ใน
กระดาษคาํ ตอบ
1. ขอ้ ใดเป็นสมบตั ิทางเคมีของสาร

ก. นาํ้ ตาลมรี สหวาน
ข. ทองแดงนาํ ไฟฟูาได้
ค. เหล็กเกิดสนมิ
ง. เกลือละลายน้าํ
2. สารใดต่อไปน้เี ป็นสารเน้ือผสม
ก. อากาศ
ข. คอนกรตี
ค. นาํ้ เชอ่ื ม
ง. แกส๊ หงุ ต้ม
3. สารในขอ้ ใดเป็นสารประกอบ
ก. นํา้
ข. คารบ์ อน
ค. นํ้าเกลอื
ง. ออกซิเจน
4. สารในข้อใดเปน็ สารแขวนลอย
ก. นํ้านม
ข. น้ําสลดั
ค. น้ําเชอ่ื ม
ง. นํ้าอบไทย
5. ปรากฏการณท์ ินดอลล์จะเกดิ ขึ้นกับสารประเภทใด
ก. สารละลาย
ข. คอลลอยด์
ค. สารบริสุทธ์ิ
ง. สารแขวนลอย
6. สารใดทม่ี ีอนุภาคลอดผ่านกระดาษกรองได้ แตไ่ ม่ลอดผ่านกระดาษเซลโลเฟน
ก. น้าํ นม
ข. น้ําเกลือ
ค. นํ้าโคลน
ง. นาํ้ เชื่อม

237

7. แอลกอฮอล์ฆ่าเชอื้ มีสารใดเปน็ ตวั ทําละลาย
ก. น้ํา
ข. เอทานอล
ค. ฟอรม์ าลีน
ง. ไอโอดีน

8. การเปลี่ยนแปลงใดเปน็ การเปลี่ยนแปลงท่ีคายความรอ้ น
ก. น้ํากลายเปน็ ไอ
ข. หมิ ะละลาย
ค. แอลกอฮอลร์ ะเหย
ง. การเกิดน้าํ ค้าง

9. การเปล่ยี นแปลงใดเป็นการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
ก. ทองคาํ ผสมกบั ทองแดงได้นาก
ข. นา้ํ ยาลา้ งหอ้ งนํ้าเทลงบนปูนเกิดฟองแกส๊
ค. นํา้ ทะเลระเหยไปเหลือผลกึ เกลือ
ง. ไอนา้ํ ในอากาศกลัน่ ตวั เปน็ น้าํ ฝน

10. การเผาไหมข้ องแก๊สหงุ ต้มได้สารใดเปน็ ผลติ ภัณฑ์
ก. ออกซิเจนกับนาํ้
ข. ออกซิเจนกบั คาร์บอน
ค. คารบ์ อนไดออกไซดก์ บั นาํ้
ง. คารบ์ อนไดออกไซดก์ บั ออกซเิ จน

238

เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี นหนว่ ยท่ี 6

1. ค. เหล็กเกิดสนมิ
2. ข. คอนกรตี
3. ก. นาํ้
4. ง. นํ้าอบไทย
5. ข. คอลลอยด์
6. ก. นา้ํ นม
7. ข. เอทานอล
8. ง. การเกดิ น้ําคา้ ง
9. ข. นํา้ ยาลา้ งหอ้ งนา้ํ เทลงบนปูนเกิดฟองแก๊ส
10. ค. คารบ์ อนไดออกไซด์กับนํ้า

239

พส.8

แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 7
เวลารวม 3 ชม.
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชีวิต

ชือ่ หนว่ ย ปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชวี ิตประจาํ วนั สปั ดาห์ 13/18

เร่อื ง การดุลสมการเคมี จานวน 3 ชม.

1. สาระสาคัญ

รอบๆ ตวั เราและในร่างกายเรามีปฏกิ ริ ิยาเคมีเกดิ ข้ึนอย่ตู ลอดเวลา ปฏิกริ ิยาเคมีเกิดจากกระบวนการ

เปล่ยี นแปลงโครงสรา้ งของสารต่างๆ มีผลใหพ้ ลงั งานของระบบเปลีย่ นไป และให้ผลติ ภัณฑ์หรือสารใหมเ่ กดิ ข้นึ

ปฏกิ ิรยิ าเคมบี างชนดิ เกิดขนึ้ เอง แต่บางชนิดตอ้ งไดร้ ับพลงั งานจาํ นวนหนง่ึ ก่อนจึงจะเกดิ ปฏกิ ริ ิยาไดป้ ฏกิ ิริยา

เคมีหลายชนิดสามารถนาํ มาใช้ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาํ วนั ในอุตสาหกรรมเกษตรกรรม และทางการแพทย์ ใน

ขณะเดียวกันปฏิกิรยิ าบางชนิดก็ใหผ้ ลลบต่อส่งิ แวดล้อมและชีวติ ของมนุษยเ์ องปฏิกิรยิ าเคมแี ต่ละชนิดมอี ัตรา

การเกิดปฏิกิรยิ าท่แี ตกต่างกัน ขึน้ อยู่กับปจั จยั หลัก 5 ประการ ไดแ้ ก่ ความเข้มข้น พืน้ ทผี่ ิวอุณหภมู ิ ตวั เร่ง

ปฏกิ ริ ิยา และธรรมชาตขิ องสาร ผลของปจั จัยดงั กลา่ วหาไดจ้ ากการทดลองการท่ีมนษุ ย์สามารถปรับเปลี่ยน

และควบคุมปัจจัยต่างๆ ดงั กล่าว ทําให้มนษุ ย์สามารถใชป้ ระโยชน์จากปฏกิ ริ ยิ าเคมีได้

2. สมรรถนะประจาหน่วย

แสดงความรู้และปฏิบัตเิ กยี่ วกบั ปฏิกิรยิ าในชวี ติ ประจําวนั

3. จุดประสงค์การเรียนรู้

1. ระบสุ ารตั้งต้นและผลิตภัณฑใ์ นสมการเคมีได้

2. ดลุ สมการเคมีได้

4. สาระการเรียนรู้

1. ปฏกิ ิริยาเคมี (Chemical Reaction) หมายถึง การเปล่ียนแปลงท่ีทําให้เกิดสารใหม่ มีสมบัติต่าง

จากสารเดมิ สารในการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมีจะตอ้ งมีสารทเ่ี ขา้ ทําปฏิกิริยาซึ่งเรียกว่า สารตั้งต้น (Substrate) และมี

สารท่ีใหม่ที่เกิดข้ึนจากปฏิกิริยาเคมีซ่ึงเรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (Product) การเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจสังเกตได้จากการ

เปลีย่ นแปลงต่าง ๆ เชน่ สงั เกตจากสที ีเ่ ปลีย่ นไป สังเกตจากการเกดิ ตะกอน สงั เกตจากกลิ่นทีเ่ กิดข้นึ เปน็ ต้น

2. การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีพลังงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ถ้าใช้การถ่ายเทพลังงานเป็นเกณฑ์

จะแบง่ ปฏกิ ริ ยิ าเคมีออกเป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ ปฏิกริ ยิ าคายความร้อน ปฏกิ ริ ิยาดูดความร้อน

3. ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดข้ึนได้เร็วหรือไม่สามารถวัดได้จากอัตราการเกิดปฏิกิริยา ซ่ึงพิจารณาจาก

ปริมาณของสารต้ังต้นที่ลดลงหรือปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่เพ่ิมมากข้ึนต่อหน่วยเวลา ซ่ึงอาจดูได้จากความ

เขม้ ข้น ปรมิ าตร หรือมวลของสารทีเ่ ปล่ียนแปลงไปหลงั จากเกดิ ปฏกิ ิริยา

4. ปฏิกิรยิ าเคมจี ะเกดิ ขนึ้ เรว็ หรอื ช้าข้นึ อยู่กับปัจจัยต่างๆ หลายประการ พื้นท่ีผิว ความเข้มข้นของ

สารตง้ั ตน้ ตัวเรง่ ปฏกิ ริ ิยา ตัวหน่วงปฏกิ ริ ิยา อุณหภมู ิ ความดัน

240

5. กจิ กรรมการเรียนรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกชื่อ สํารวจการแต่งกาย พร้อมทั้งบันทึกลงในแบบ

สงั เกตความมวี ินัยและความรบั ผดิ ชอบ
2. ข้นั นาํ เขา้ สบู่ ทเรียน
3. ให้นกั เรยี นทําแบบทดสอบกอ่ นเรียนเรื่อง ปฏิกิรยิ าในชวี ติ ประจาํ วัน
4. ข้ันสอน ครใู หค้ วามรู้ บรรยาย อธบิ าย และให้นกั เรยี นทาํ ใบกิจกรรมที่ 18
5. ครแู ละนกั เรยี นร่วมสรุปกิจกรรมทที่ ํา
6. ขน้ั สรุป ครูใหน้ กั เรียนแตล่ ะกลุม่ สรปุ บทเรยี น

6. สือ่ และแหล่งการเรียนรู้
6.1 สอ่ื สิง่ พิมพ์
1. ใบความรู้ ปฏิกริ ยิ าเคมีในชวี ติ ประจําวนั
2. ใบกิจกรรมท่ี 18
3. แบบทดสอบกอ่ นเรียน ปฏกิ ิริยาเคมีในชวี ิตประจาํ วัน
4. แบบทดสอบหลังเรยี น ปฏกิ ริ ิยาเคมีในชวี ิตประจาํ วัน
6.2 ส่ือโสตทศั น์
PowerPoint สรุปเนอ้ื หาปฏกิ ิรยิ าเคมใี นชวี ติ ประจาํ วัน

7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกจิ กรรม
3. แบบทดสอบ

8. กิจกรรมเสนอแนะ -
9. เอกสารอา้ งอิง

1. หนงั สือเรยี นรายวชิ า วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชวี ติ
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กําหนดการประเมินพทุ ธิพสิ ยั

1. ระบสุ ารต้งั ต้นและผลติ ภณั ฑ์ในสมการเคมีได้
2. ดลุ สมการเคมีได้
10.2 เคร่ืองมือท่ใี ช้ประเมนิ ทักษะพสิ ยั

1. ใบงาน ,ใบกิจกรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครื่องมือการประเมนิ จิตพสิ ยั
1. แบบประเมินจิตพิสยั

241

พส.9

เครอื่ งมือที่ใช้ในการประเมนิ

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

แบบประเมนิ แบบประมาณคา่ (Rating scale) เกณฑก์ ารให้คะแนน
54 321
ประเด็นการประเมนิ

1. ระบุสารตั้งตน้ และผลิตภัณฑใ์ นสมการเคมีได้
2. ดลุ สมการเคมีได้

รวม
รวมทั้งหมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

242

พส.10

แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)

พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12

รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์

หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ

243

พส.11
บนั ทึกหลังการจัดการเรียนรู้
รหสั วชิ า...........................ชอ่ื วชิ า..................................................................................ระดับชั้น................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาหท์ ่.ี .........วันทสี่ อน.........................................
หนว่ ยท่ี............ช่ือหน่วย.........................................................................................................จาํ นวน..................ชั่วโมง

1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปัญหาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงช่อื .......................................................ครผู ูส้ อน
(นางสาวกนั ตยา เลศิ อรณุ รตั น์)
........../................/............

ความเหน็ ................................................................................. ความเห็น.................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงช่อื ...............................................หัวหน้าแผนกวิชา ลงชื่อ...........................................รองผู้อาํ นวยการฝาุ ยวิชาการ
(นางสาวมาละ แก้วบวั ดี) (นางสาวนศิ ากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............

244

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชือ่ หนว่ ย ปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นชวี ิตประจําวัน

เรอ่ื ง ปฏกิ ิริยาเคมีในชีวิตประจาํ วัน จานวนชั่วโมงสอน 3

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรยี นรู้

- จดุ ประสงค์ท่วั ไป 1. ระบุสารต้ังตน้ และผลติ ภัณฑ์ในสมการเคมีได้

1. มีความรู้ ความเขา้ ใจในสารตั้งตน้ และผลติ ภัณฑใ์ น 2. ดุลสมการเคมไี ด้

สมการเคมี

2. มีความรู้ ความเขา้ ใจในการดุลสมการเคมี

- จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม

1. ระบสุ ารต้งั ตน้ และผลิตภัณฑ์ในสมการเคมีได้

2. ดลุ สมการเคมีได้

เนอ้ื หาสาระ
ปฏกิ ริ ยิ าเคมี คอื กระบวนการเปล่ยี นของสารตั้งต้นไปเปน็ สารใหม่ โดยปรมิ าณสารตั้งต้นจะลดลง และปริมาณ
สารใหมจ่ ะเกิดข้ึน และเพ่ิมปรมิ าณขน้ึ เรอื่ ยๆ เมอ่ื เวลาผ่านไป โดยสามารถเขยี นให้เข้าใจงา่ ยดว้ ยสมการเคมี
ปฏิกิรยิ าเคมีจาํ แนกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ปฏกิ ิรยิ าเคมีสมบูรณ์ คือ การเกิดสารใหม่ขณะทสี่ ารตัง้ ตน้ ตวั ใดตวั หนึ่งหมดไปหรอื หมดทุกตวั
2. ปฏิกิรยิ าเคมีไมส่ มบูรณ์ คือ การเกิดสารใหม่ขณะที่สารต้ังต้นยังเหลือทกุ ตัว ไม่มีตัวใดตัวหนึง่ หมดไป
ทฤษฎที ีเ่ กีย่ วข้องกบั ปฏกิ ริ ิยาเคมี
1. ทฤษฎีการชนโมเลกุล (Collision Theory) กล่าวถึง โมเลกุลของสารต้องมกี ารชนซงึ่ กนั และกนั ซงึ่ การชนกนั แต่
ละครง้ั ไม่จาํ เปน็ ต้องเกดิ ปฏิกริ ิยา
2. ทฤษฎีจลนข์ องโมเลกุล (Kinetic Theory) กล่าวถึง โมเลกลุ ต้องมกี ารเคลื่อนทช่ี ้าลง ซ่งึ กอ่ ใหเ้ กิดพลังงานจลน์
โดยโมเลกลุ ต้องมีพลงั งานสงู พอจึงจะเกิดปฏกิ ิรยิ าได้

245

สถานะการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี
1. ตอ้ งมจี าํ นวนโมเลกลุ มากพอ
2. ต้องมกี ารชนกันระหว่างโมเลกุล
3. ต้องมพี ลังงานสงู พอ โดยอย่างน้อยตอ้ งเทา่ กับพลังงานก่อกัมมนั ต์
4. ต้องมที ศิ ทางที่เหมาะสม
ศาสตร์ทางเคมีท่เี ก่ียวข้องกับการศกึ ษาอตั ราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี เรียกว่า จลนศาสตรเ์ คมี (chemical kinetics)
โดยคาํ ว่า จลนศาสตร์ มีความหมายเก่ยี วข้องกบั การเคลื่อนที่ของสาร ซง่ึ เก่ยี วข้องกับอตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี
(Rate of chemical reaction) โดยการเกิดปฏิกิริยาหนงึ่ ๆที่อยใู่ นสภาวะเดียวกันจะมีอัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยา
เฉพาะคา่ โดยข้นึ อยกู่ ับสภาวะธรรมชาติของสารนนั้ ๆ เชน่ อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าของกา๊ ซไฮโดรเจนกับก๊าซ
ฟลูออรีน และกา๊ ซไนโตรเจน
อตั ราการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี (Rate of chemical reaction) หมายถึง การเปลยี่ นแปลงปรมิ าณสารในหน่งึ หนว่ ย
เวลาของการเกิดปฏิกริ ิยาของสารนั้น
อัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี = ปรมิ าณสารตง้ั ต้นที่ลดลง

เวลา
อัตราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี = ปริมาณสารทีเ่ ปล่ยี นไป

เวลา
อัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี = ปริมาณสารทเี่ พิ่มขึ้น

เวลา
ชนดิ อตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมี แบง่ เป็น 2 ชนิด
1. อัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเฉลย่ี หมายถึง อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาท่คี าํ นวณจากการเปล่ยี นแปลงปรมิ าณสารทง้ั หมด
ในหนึ่งหน่วยเวลา
2. อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยา ณ ขณะใดขณะหน่ึง หมายถึง อัตราการเกิดปฏิกิริยาท่ีคาํ นวณจากการเปล่ียนแปลง
ปรมิ าณสารในชว่ งเวลาใดเวลาหนึง่
สรปุ ประเดน็ ท่ีเก่ียวข้อง

246

1. ปฏกิ ริ ิยาเคมีหนึ่งๆ จะมีข้ันตอนการเกิดปฏิกิริยาหลายขั้นตอน ท้งั ขั้นทีเ่ กิดเร็ว และขนั้ ท่เี กิดช้า โดยมขี ั้นสําหรบั
ควบคุมปฏกิ ิรยิ าหรือข้นั กาํ หนดอตั รา (Rate determing step) คอื ขั้นท่ีดําเนนิ ไปที่ชา้ ท่ีสุด
2. ขณะท่ีการเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมดี ําเนินไป ปฏกิ ริ ิยาเคมใี นขนั้ เร่มิ ตน้ จะมอี ตั ราการเกิดที่รวดเรว็ เนื่องจากปรมิ าณสาร
ตง้ั ต้นมีมาก และเม่ือปฏกิ ริ ิยาผา่ นไประยะหน่งึ อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาจะชา้ ลงเมอื่ เทียบกับในช่วงเริ่มต้น เนื่องจาก
ปริมาณสารตัง้ ต้นมีปริมาณลดลง
3. สารเคมีแต่ละชนดิ ในปฏกิ ริ ยิ าเคมีจะมีอตั ราเรว็ ไมเ่ ทา่ กัน
4. การคํานวณหาอตั ราการเกิดปฏิกิริยา สามารถหาไดจ้ ากสารใดก็ได้ ดว้ ยวิธี คอื
– หากเป็นของแข็ง สามารถหาไดโ้ ดยการชงั่ น้ําหนกั
– หากเปน็ ของเหลว สามารถหาไดโ้ ดยการชง่ั นาํ้ หนกั หรอื การวดั ปรมิ าณ
– หากเปน็ สารละลาย สามารถหาได้จากความเขม้ ขน้
– หากเปน็ ก๊าซ สามารถหาได้โดยการวดั ปริมาตรหรอื วัดความดนั
ปัจจัยที่มผี ลตอ่ การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี
1. ธรรมชาตขิ องสารตั้งต้น และผลติ ภัณฑ์
ความเรว็ หรือช้าของการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมจี ะขน้ึ อยู่กบั สภาพธรรมชาตขิ องสารเหลา่ นั้น เชน่ สารประเภทไอออนิกท่ี
เขา้ ทาํ ปฏกิ ิริยากันจะเกดิ ความเรว็ ของปฏกิ ิริยาได้ดีกวา่ สารทเี่ ป็นโควาเลนท์ หรือสารทาํ ปฏิกิรยิ าที่เปน็ กา๊ ซจะทํา
ปฏิกิรยิ าไดเ้ ร็วกวา่ สารท่ีมสี ถานะอ่ืน
2. ความเข้มข้นสารต้งั ตน้ และผลติ ภณั ฑ์
ความเรว็ ของปฏกิ ิริยาจะแปรผันตามความเขม้ ขน้ ของสารต้ังต้น และจะแปรผกผนั กบั ความเขม้ ข้นของสาร
ผลติ ภัณฑ์ กลา่ วคือ เมื่อปริมาณสารตัง้ ต้นมมี ากอตั ราการเกิดปฏกิ ิรยิ าก็จะเร็ว และเม่ือเวลาผ่านไปปริมาณสารตั้ง
ตน้ ลดลง ปฏิกริ ิยากจ็ ะค่อยๆลดลงตามปรมิ าณผลิตภณั ฑท์ เ่ี พมิ่ ข้นึ
3. พนื้ ทผี่ วิ
พื้นท่ีผวิ ของสารจะเปน็ จุดของการเกิดปฏกิ ิริยา หากสารมพี ้นื ท่ีผิวมากกจ็ ะทําใหเ้ กดิ ปฏิกิริยาได้เร็วข้ึน เช่น การทาํ
ปฏิกิริยาของหนิ ปูนกบั กรดไฮโดรคลอรกิ จะไดก้ ๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หากหนิ ปูนมีความละเอยี ดเปน็ ผงขนาดเลก็
มีพื้นท่ีผิวมากก็ย่อมทาํ ปฏิกริ ิยากบั กรดไฮโดรคลอริกได้อย่างรวดเรว็
4. อณุ หภมู ิ
อุณหภูมถิ อื เปน็ ปจั จัยหนงึ่ ทช่ี ว่ ยกระตนุ้ ความเรว็ ของการเกดิ ปฏกิ ิริยา เชน่ การอุ่นน้ํามนั ด้วยความร้อนเพยี งน้อย
นิดจะทําให้นํา้ มันอุน่ เท่าน้นั แตห่ ากเพ่ิมความร้อนจนทําใหน้ ํา้ มันกลายเปน็ ไอก็สามารถลกุ ตดิ ไฟได้งา่ ย
5. ความดัน
ความดันท่เี กยี่ วขอ้ งกบั อตั ราการเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมีมักพบมากในสารทีเ่ ป็นกา๊ ซ เพราะการเพ่มิ ความดันให้กา๊ ซจะทํา
ใหโ้ มเลกุลของก๊าซเกดิ การชนกันมากขึ้น
สมการเคมี
สมการเคมี (chemical equation) คือ สัญลักษณท์ ่เี ขยี นขนึ้ แทนปฏกิ ิริยาเคมขี องการทําปฏกิ ริ ิยาเคมีของสารตงั้
ตน้ ทาํ ให้เกดิ สารผลิตภณั ฑ์ใหม่เมื่อเวลาผา่ นไป

247

หลักการดุลสมการเคมี
1. เขยี นสูตรเคมีของสารตง้ั ตน้ ไว้ด้านซา้ ยมอื
2. เขียนสูตรเคมีของสารผลติ ภัณฑไ์ วด้ า้ นขวามือ โดยใชส้ ัญลกั ษณ์ → คัน่ กลาง
3. ระบสุ ถานะของสารต้ังต้น และสารผลติ ภัณฑใ์ นวงเลบ็ ดา้ นหลงั ของสารนั้นๆ ไดแ้ ก่ (s) = ของแข็ง, (l) =
ของเหลว, (g) = ก๊าซ และ (aq) = สารละลาย
4. ทําการดุลสมการเคมี โดยทาํ ให้ตวั เลขอะตอมของทุกธาตใุ นดา้ นซา้ ยมอื และดา้ นขวามือเทา่ กนั ด้วยการเติม
ตวั เลขใดใสด่ า้ นหน้าของสารเหลา่ น้ันที่ เม่ือคูณกับจํานวนเลขอะตอมของแตล่ ะธาตแุ ลว้ สามารถทาํ ให้เลขอะตอม
ของธาตดุ ้าน ซ้ายมอื และขวามอื เทา่ กัน เชน่
2KMnO4 (s) + 16HCl (aq) → 2KCl (aq) + 2MnCl (aq) + 8H2O (l) + 5Cl2 (g)
การทดสอบวา่ การดลุ สมการถกู ต้องหรือไม่ เพ่ือให้ทราบผลท่ีแนช่ ัด และถูกตอ้ งน้นั สามารถทดสอบด้วยวธิ กี าร
ทดลองทางเคมี ทีเ่ รียกว่า การไทเตรต (titration) เชน่ การทาํ ปฏิกิริยาระหวา่ งกรดกบั เบส ณ จุดท่ีทาํ ปฏกิ ิรยิ ากนั
พอดีจะอยทู่ ่จี ดุ อุณหภูมิสงู สุด การทาํ ปฏกิ ิรยิ าระหว่างหวา่ งออกซเิ จน (O2) กับแมกนีเซียมซลั เฟต (MnSO4) และ
โพแทสเซยี มไฮดรอกไซด์ (2KOH) ในการฟิกออกซิเจนจนเกิดตะกอนน้ําตาลแดงของ 2MnO(OH)2
กฏทรงมวล

สิ่งแวดลอ้ ม หมายถงึ ส่วนท่อี ยภู่ ายนอกขอบเขตการศึกษา เชน่ ภาชนะ อุปกรณ์ เตรื่องมดื วัด อากาศ
โดยรอบ เปน็ ต้น

ระบบ หมายถึง ส่วนท่อี ยูภ่ ายในขอบเขตการศกึ ษาที่ประกอบดว้ ยก่อนการเปลี่ยนแปลง และหลังการ
เปลยี่ นแปลง ประกอบดว้ ย 2 ระบบ คอื

1. ระบบปดิ คือ ระบบที่ไม่มีการถา่ ยเทหรือแลกเปลี่ยนมวลสารกับสง่ิ แวดลอ้ มทาํ ให้มปี ริมาณมวลสารใน
ระบบเทา่ เดมิ

2. ระบบเปดิ คือ ระบบทมี่ ีการถา่ ยเทหรือแลกเปลีย่ นมวลสารกับสิ่งแวดล้อมทาํ ให้มีปริมาณมวลสารในระบบ
ลดลงหรอื เพม่ิ ข้ึน

หากมวลสารทําปฏกิ ิริยาในระบบปดิ จะทาํ ให้ปริมาณสารก่อนทาํ ปฏิกิริยา และหลงั ทําปฏิกิรยามีปรมิ าณ
เทา่ กัน สมมติฐานนถี้ ูกอธิบายดว้ ยกฏของอองตวน-โลรอง ในปี พ.ศ. 2317 ทไี่ ดท้ าํ การทดลองเผาสารในหลอดท่ี
ปิดสนทิ ซ่งึ พบว่า มวลรวมของสารก่อนการเกดิ ปฏิกริ ิยา และหลังการเกดิ ปฏิกริ ิยามปี ริมาณเท่ากัน จงึ ต้ังกฏน้วี ่า
“กฏทรงมวล”
ปรมิ าตรกา๊ ซในปฏกิ ริ ิยาเคมี

ก๊าซ มีสมบัตใิ นการฟุูงกระจาย และมมี วลนอ้ ย ดงั นัน้ การวดั มวลสารโดยตรงจึงทาํ ไดย้ าก ปัจจบุ นั จงึ นยิ มวดั
ในหนว่ ยปริมาตรแทน โดยใช้กฎต่อไปในการอธบิ าย
1. กฎของเกยล์ ุสแซก
กฎ น้เี กิดขน้ึ เม่อื ปี พ.ศ. 2351 เมอ่ื โซเซฟ ลุย เก ลุสแซก ได้ทาํ การวัดปริมาตรของกา๊ ซท่ีทําปฏกิ ริ ิยากันพอดี ณ
อุณหภูมิ และความดันเดียวกนั แล้วสรปุ เปน็ กฎการรวมปริมาตรของกา๊ ซวา่ “ในปฏิกริ ยิ าเคมีทเ่ี ปน็ กา๊ ซ อัตราส่วน
โดยปรมิ าตรของก๊าซที่ทําปฏกิ ริ ิยากนั พอดี และปริมาตรของก๊าซทเ่ี กดิ ปฏกิ ิรยิ า ณ อุณหภมู ิ และความดันเดยี วกัน

248

จะเปน็ เลขจํานวนเตม็ ลงตวั นอ้ ยๆ”
2. กฎอาโวกาโดร
ปี พ.ศ. 2354 อาเมเดโอ อาโวกาโดร ได้ศึกษากฎของเกย์ลสุ แซก ไดอ้ ธิบายถงึ อัตราส่วนโดยปรมิ าตรของก๊าซท่ีเข้า
ทําปฏิกริ ยิ า และท่ีได้จากปฏกิ ิริยาเป็นเลขจาํ นวนเตม็ จาํ นวนน้อย อาจเนื่องจากปรมิ าตรของก๊าซมีความสัมพันธก์ ับ
จาํ นวนอนภุ าคที่รวมตวั กนั เปน็ สารประกอบอาโวกาโดร พร้อมเสนอสมมตฐิ านข้ึนว่า “ณ อณุ หภมู ิ และความดัน
เดียวกันกา๊ ซทกุ ชนิดทมี่ ีปรมิ าตรเทา่ กันจะมีจาํ นวนโมเลกุลเท่ากนั ” เช่น ปฏกิ ิริยาของกา๊ ซไฮโดรเจนกับออกซิเจน
เกิดเป็นนา้ํ

เอกสารอ้างองิ
http://www.krusarawut.net/wp/?p=17662
https://www.siamchemi.com/

249

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2

ชอ่ื หนว่ ย ปฏิกริ ิยาเคมีในชวี ิตประจําวัน

เรือ่ ง สารตง้ั ต้นและผลิตภัณฑ์ จานวนช่ัวโมงสอน 3

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้

- จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม เคร่อื งมือ/วสั ดุ-อปุ กรณ์

1. ระบุสารตั้งตน้ และผลติ ภัณฑใ์ นสมการเคมีได้ 1. ปากกา

2. ทาํ งานร่วมกนั เป็นกลุ่มได้ 2. กระดาษ A4

3. ชน้ิ งาน

- ลาํ ดบั ข้นั การทํางาน ขอ้ ควรระวัง

1. ให้นกั เรยี นแบง่ กลุ่มกลุ่มละ 3 คน 1. ควรใชอ้ ปุ กรณ์ต่างๆด้วยความระมดั ระวัง

2. ให้แต่ละกลมุ่ สืบคน้ หาสมการเคมีมา 5 สมการ มอบงาน

3. ใหว้ เิ คราะห์ว่าแต่ละสมการมีสารตวั ไหนเป็นสารตั้ง 1. นาํ เสนอผลงานพรอ้ มอธิบาย

ต้น และสารตัวไหนเป็นผลิตภณั ฑ์ วดั ผล/ประเมนิ ผล

4. นาํ เสนอหน้าชั้นเรียน 1. ตรวจชน้ิ งาน

2. การนําเสนอผลงาน

3. เกณฑค์ ะแนนผ่าน 50% ขนึ้ ไป

250

พส.14

ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheets)

รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชีวิต

ชอ่ื หน่วย ปฏิกิรยิ าเคมีในชีวิตประจําวนั

เร่อื ง การดุลสมการเคมี จานวนชั่วโมงสอน 3

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
- จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม

1. ดุลสมการเคมีได้
2. ทาํ งานรว่ มกันเป็นกลุม่ ได้
เครื่องมือ-อปุ กรณ์-วสั ดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ช้ินงาน
ลําดบั ขนั้ การปฏิบัตงิ าน
1. ใหน้ ักเรียนแบ่งกล่มุ กลุ่มละ 3 คน
2. ใหแ้ ต่ละกลุ่มเลอื กสมการเคมีท่ยี ังไมด่ ุล จากโจทยท์ ่กี ําหนดให้
3. ทาํ การดุลสมการทีไ่ ดแ้ ละนาํ เสนอหน้าช้นั เรยี น
ข้อควรระวงั
1. ควรใช้อุปกรณ์ตา่ งๆด้วยความระมัดระวงั
ข้อเสนอแนะ
1. การส่งงานให้ตรงตามเวลาที่ผู้สอนกําหนด
2. การทดลองควรตรงประเด็นกับหัวขอ้ โครงงานที่ตง้ั ไว้
การประเมินผล
1. การประเมินผลงานของแตล่ ะกล่มุ
2. การประเมินผลการนาํ เสนอหน้าชั้นเรียน
เอกสารอา้ งองิ
http://www.krusarawut.net/wp/?p=17662

หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ตั ิงานในแตล่ ะข้นั


Click to View FlipBook Version