101
แบบทดสอบก่อนเรยี นหน่วยท่ี 3
คาสั่ง จงเลอื กคาํ ตอบท่ถี กู ที่สดุ เพียงคาํ ตอบเดยี ว แล้วกาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงในชอ่ ง ใน
กระดาษคาํ ตอบ
1. ในระบบเอสไอ เวลามีหน่วยเปน็
ก. วินาที
ข. นาที
ค. ชว่ั โมง
ง. ถูกทกุ ขอ้
2. ปรมิ าณใดต่อไปนเี้ ป็นหน่วยฐาน ทง้ั หมด
ก. มวล ความยาว แรง
ข. ระยะทาง พนื้ ท่ี ปริมาตร
ค. มวล กระแสไฟฟาู ปรมิ าณของสาร
ง. อุณหภมู ิ มุม พลังงาน
3. กโิ ลกรัมเปน็ หนว่ ยใช้วัดอะไร
ก. วดั ความยาว
ข. วดั เวลา
ค. วดั อณุ หภมู ิ
ง. วดั มวล
4. 12 นิว้ เท่ากบั เท่าไร
ก. 1 เมตร
ข. 1 ฟุต
ค. 1 หลา
ง. 1 ไมล์
5. คําอปุ สรรคที่ใชแ้ ทนตวั พหคุ ูณ 106 มชี อ่ื เรียกว่าอะไร
ก. ฟิโค
ข. นาโน
ค. ไมโคร
ง. มลิ ลิ
102
6. ระยะทางในหนว่ ยเมกะเมตร มีค่าเปน็ กเี่ ท่าในหนว่ ยกโิ ลเมตร
ก. 102
ข. 103
ค. 106
ง. 109
7. ปูนซเี มนต์ 1 ตัน เทยี บเทา่ กบั มวลในขอ้ ใด
ก. 1 จกิ ะกรัม
ข. 1 เมกะกรัม
ค. 1 มิลลกิ รมั
ง. 1 ไมโครกรมั
8. พื้นที่ 7,500,000 ตารางเซนตเิ มตรเทา่ กบั กี่ตารางเมตร
ก. 750 ตารางเมตร
ข. 755 ตารางเมตร
ค. 800 ตารางเมตร
ง. 850 ตารางเมตร
9. อัตราเรว็ 72 กิโลเมตร / ชว่ั โมง มีค่าเท่าไรในหน่วยเมตร / วนิ าที
ก. 10
ข. 20
ค. 30
ง. 40
10. พ้นื ท่ี 20 ตารางเมตรเทา่ กับก่ีตารางเซนติเมตร
ก. 120,000 ตารางเซนตเิ มตร
ข. 200,000 ตารางเซนตเิ มตร
ค. 210,000 ตารางเซนติเมตร
ง. 212,000 ตารางเซนติเมตร
103
เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยท่ี 3
1. ก. วินาที
2. ค. มวล กระแสไฟฟาู ปริมาณของสาร
3. ก. วดั ความยาว
4. ข. 1 ฟุต
5. ค. ไมโคร
6. ข. 103
7. ข. 1 เมกะกรมั
8. ก. 750 ตารางเมตร
9. ข. 20
10. ข. 200,000 ตารางเซนตเิ มตร
แผนการจัดการเรยี นรู้ 104
รหัสวชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชวี ิต พส.8
ชอื่ หนว่ ย หนว่ ยและการวดั
เรือ่ ง คาอปุ สรรค หนว่ ยที่ 3
เวลารวม 6 ชม.
สปั ดาห์ 6/18
จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคัญ
การวดั ปรมิ าณต่างๆ ในทางวทิ ยาศาสตร์ เป็นกระบวนการเปรียบเทยี บปรมิ าณที่ต้องการวัดกับหนว่ ย
ท่ีเปน็ มาตรฐาน โดยอาศัยเครือ่ งมือวัดที่ถูกตอ้ งและเหมาะสม การวัดประกอบด้วยเคร่อื งมอื วัด
ซ่งึ เป็นอปุ กรณท์ ใี่ ชเ้ ป็นตวั กลางในการเปรยี บเทยี บคา่ ของปริมาณทตี่ อ้ งการวดั กบั มาตรฐาน วิธกี ารวัดต้องเปน็
วิธที ี่สะดวก ปลอดภัย และได้คา่ ท่ีละเอียดถูกตอ้ ง และหนว่ ยท่ีเป็นมาตรฐานเดยี วกนั ปจั จุบนั มรี ะบบหน่วยซึง่
ประเทศต่าง ๆ ได้ตกลงใช้ร่วมกนั เปน็ มาตรฐานสากลเพ่อื ใช้ได้ทั่วโลก เรียกว่า ระบบหนว่ ยระหวา่ งชาติ หรือ
เรียกยอ่ ๆ วา่ ระบบ SI ซึง่ ประกอบด้วย หน่วยฐาน หนว่ ยเสรมิ หนว่ ยอนพุ ัทธ์ และคําอปุ สรรค
2. สมรรถนะประจาหน่วย
แสดงความรแู้ ละปฏิบัติเกี่ยวกบั หนว่ ยและการวดั
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. เลอื กใชค้ าอปุ สรรคแทนตวั พหคุ ณู ได้
2. เปล่ียนคาอปุ สรรคหนา้ หนว่ ยได้ (เปลยี่ นหน่วยได้)
4. สาระการเรยี นรู้
1. ระบบของหนว่ ยวดั ทนี่ ิยมใชก้ ันอยู่ในปัจจุบนั ได้แก่ ระบบอังกฤษ ระบบเมตริก และระบบSI
ระบบหน่วย SI ประกอบด้วย หน่วยฐาน (Based Units) หน่วยเสริม (Supplementary Units) หน่วย
อนุพทั ธ์ (Derived Units) และคาํ อปุ สรรค (Prefixes)
2. การวดั (Measurement) คือ การใช้เคร่ืองมือช่วยในการระบุขนาดของปริมาณต่างๆ ของวัตถุ
โดยการเปรยี บเทียบกบั คา่ ปรมิ าณมาตรฐานสากล ตามหน่วยในมาตราต่างๆ ของเคร่ืองมือเหล่านนั้
5. กิจกรรมการเรยี นรู้
1. แบง่ กลุม่ นักเรียนเป็นกลมุ่ ๆ ละ 5 คน
2. ครูใหน้ กั เรยี นดเู นื้อหาหนว่ ยท่ี 3
3. ขนั้ นาํ เข้าสู่บทเรียน ครตู ัง้ คําถามให้นกั เรียนช่วยกนั ตอบ และรว่ มอภิปรายเพือ่ ให้ไดข้ ้อสรปุ
4. ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนท้ังทฤษฎีและปฏบิ ัติ
5. ขัน้ สอน
5.1 ครอู ธบิ าย บรรยายและถามตอบ นักเรยี นศกึ ษาจากเนอ้ื หาในหัวข้อเรือ่ ง
105
5.2 นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ส่งตวั แทนมาอภิปรายหนา้ ชัน้ เรยี นเพื่อสรปุ
5.3 ครใู หค้ วามรเู้ พิ่มเติม โดยใช้สอ่ื PowerPoint
5.4 นักเรียนทํากิจกรรมตามใบกิจกรรมที่ 7
5.5 ขณะนักเรียนทํากจิ กรรมครจู ะสังเกตการทํางานกล่มุ
6. ขน้ั สรุป
6.1 ครูและนกั เรียนรว่ มกันเฉลยกิจกรรม และร่วมอภปิ รายสรุปบทเรียน
6.2 นักเรียนทําแบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยที่ 3 หนว่ ยและการวดั
6. สอ่ื และแหล่งการเรียนรู้
6.1 ส่ือสงิ่ พิมพ์
1. ใบความรู้ เรือ่ งหน่วยและการวัด
2. ใบกจิ กรรมท่ี 7
3. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เร่ืองหนว่ ยและการวัด
4. แบบทดสอบหลังเรียน เรื่องหน่วยและการวัด
6.2 สือ่ โสตทศั น์
PowerPoint สรุปเนอ้ื หาหน่วยและการวดั
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอ้างองิ
1. หนงั สือเรยี นรายวิชา วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพฒั นาทักษะชีวิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กําหนดการประเมินพทุ ธพิ ิสัย
1. เลอื กใชค้ าอุปสรรคแทนตวั พหคุ ณู ได้
2. เปลยี่ นคาอุปสรรคหนา้ หนว่ ยได้
10.2 เครอื่ งมือท่ีใช้ประเมินทกั ษะพิสยั
1. ใบงาน ,ใบกจิ กรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เคร่อื งมือการประเมินจติ พิสยั
1. แบบประเมินจติ พิสยั
106
พส.9
เครื่องมือท่ใี ชใ้ นการประเมนิ
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
แบบประเมินแบบประมาณค่า (Rating scale) เกณฑ์การให้คะแนน
54 321
ประเด็นการประเมนิ
1. เลอื กใชค้ าอุปสรรคแทนตวั พหคุ ณู ได้
2. เปลี่ยนคาอปุ สรรคหนา้ หน่วยได้
รวม
รวมทั้งหมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)
107
พส.10
แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12
รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์
หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ
108
พส.11
บันทึกหลังการจดั การเรยี นรู้
รหัสวชิ า...........................ชื่อวชิ า..................................................................................ระดับช้ัน................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาห์ที่..........วันทสี่ อน.........................................
หน่วยท่.ี ...........ช่อื หนว่ ย.........................................................................................................จาํ นวน..................ชั่วโมง
1. ผลการจดั การเรียนรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปัญหาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
ลงช่อื .......................................................ครผู สู้ อน
(นางสาวกันตยา เลศิ อรุณรัตน์)
........../................/............
ความเห็น................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................
ลงช่ือ...............................................หวั หนา้ แผนกวิชา ลงชอื่ ...........................................รองผู้อาํ นวยการฝาุ ยวชิ าการ
(นางสาวมาละ แก้วบัวดี) (นางสาวนศิ ากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............
109
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
ช่อื หนว่ ย หนว่ ยและการวดั
เร่ือง คาอปุ สรรค จานวนชั่วโมงสอน 3
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
1. คาอุปสรรคแทนตวั พหคุ ณู
- จุดประสงค์ท่วั ไป 2. การเปล่ียนหน่วย
1. เขา้ ใจความหมายของคาอปุ สรรค
- จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม
1.เลอื กใชค้ าอุปสรรคแทนตวั พหคุ ณู ได้
2.เปลย่ี นคาอุปสรรคหนา้ หน่วยได้
เนอื้ หาสาระ
คาอุปสรรค (PreFixes) เม่อื ค่าในหน่วยฐานหรือหน่วยอนุพนั ธน์ อ้ ยหรือมากเกินไปเราอาจเขียนค่าน้ันอยใู่ นรูป
ตวั เลขคูณดว้ ยตัวพหคุ ูณ (ตัวพหคุ ณู คอื เลขสบิ ยกกาํ ลังบวกหรอื ลบ) ได้เช่น ระยะทาง 0.002 เมตร เขยี นเป็น
2x10-3 เมตร ตัวพหคุ ูณ 10-3 แทนดว้ ยคําอปุ สรรคมิลลิ (m) ดังนน้ั ระยะทาง 0.002 เมตร อาจเขยี นได้วา่ 2
มลิ ลิเมตร คาํ อปุ สรรคที่ใชแ้ ทนตวั พหคุ ณู และสญั ลกั ษณ์ แสดงไว้ในตาราง
110
หลักการเปล่ียนหน่วย (ใหพ้ ิจารณาคําอุปสรรค)
1. เปลี่ยนจากมีคาํ อปุ สรรค ไปเปน็ ไม่มีคําอปุ สรรค ใหน้ าํ ตวั พหุคูณท่ีมีค่าเทา่ กบั คาํ อุปสรรคน้นั มาคณู
2. เปลย่ี นจากไมม่ ีคําอุปสรรค ไปเปน็ มคี าํ อุปสรรค ให้นาํ ตัวพหุคณู ทีม่ ีคา่ เท่ากบั คําอุปสรรคนนั้ มาหาร
3. เปลยี่ นจากมีคาํ อุปสรรค ไปเป็น มีคําอุปสรรค ใหน้ ําตวั พหคุ ูณท่ีมีคา่ เทา่ กบั คาํ อุปสรรคเดมิ มาคูณ แล้วหารด้วย
ตัวพหคุ ูณทม่ี ีคา่ เท่ากบั คําอปุ สรรคใหม่
4. เปล่ียนหนว่ ยอนุพทั ธ์ ให้จดั ให้อยูใ่ นรปู เศษสว่ น เปล่ียนทีละสว่ นแล้วนาํ มาหารกนั
ตัวอย่างท่ี 1 มวลขนาด 0.4 มลิ ลิกรมั มีขนาดก่กี ิโลกรัม
วิเคราะห์โจทย์ เปล่ียนมลิ ลกิ รัม -----> กรมั -------> กิโลกรัม ตามลาํ ดับ
จาก 0.4 mg = 0.4 x g
= g ( g = kg)
= kg
0.4 mg = 0.4 x kg
ดังนั้น 0.4 มลิ ลกิ รัม มขี นาดเทา่ กบั 0.4 x กโิ ลกรมั
อาจใชส้ ตู รเปล่ียนลดั ดงั นี้
เอาตัวต้ังคูณ ตวั เปล่ียนหาร
จากตวั อยา่ งที่ 1 ตอ้ งการเปลี่ยน 0.4 mg ใหเ้ ปน็ kg
ตัวตง้ั คอื m (มิลล)ิ =
ตวั เปลี่ยน คอื k (กโิ ล) =
ดังนั้น 0.4 mg =
0.4 mg = 0.4 x kg
ตวั อยา่ งท่ี 2 ระยะทาง 100 กิโลเมตร มีคา่ กี่มิลลิเมตร, ไมโครเมตร, เมกะเมตร
วิเคราะห์โจทย์ ตัวต้ัง คอื กโิ ล (k)
ตัวเปลีย่ น คือ มลิ ลิ (m) , ไมโคร ( ), เมกะ (M)
ดงั นั้น 100 km = mm
= mm
และ 100 km = m
= m
และ 100 km = Mm
= 0.1 Mm
111
เอกสารอา้ งองิ
https://kruingdoy.wordpress.com/
http://www.rmutphysics.com/charud/oldnews/0/285/22/measurement/exame.html
112
พส.13
ใบงาน (Job Sheets)
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
ช่ือหนว่ ย หนว่ ยและการวัด
เร่ือง คาอปุ สรรค จานวนช่ัวโมงสอน 3 รายการเรยี นรู้
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เครื่องมือ/วัสดุ-อุปกรณ์
1. ปากกา
- จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม 2. กระดาษ A4
1. สามารถเลือกใช้เครือ่ งมอื วดั ได้อย่างเหมาะสม 3. ชิ้นงาน
2. ทาํ งานร่วมกันเป็นกลุม่ ได้ ขอ้ ควรระวงั
1. ควรใช้อปุ กรณ์ตา่ งๆดว้ ยความระมดั ระวัง
- ลาํ ดบั ข้นั การทํางาน มอบงาน
1. ใหน้ ักเรียนแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 3 คน 1. นาํ เสนอผลงานพร้อมอธิบาย
2. ให้แต่ละกลมุ่ หารูปส่งิ ของหรอื วสั ดตุ ่างๆจากแหล่ง วดั ผล/ประเมินผล
ค้นคว้า กล่มุ ละ 10 ชนิด 1. ตรวจช้ินงาน
3. ให้วเิ คราะหว์ า่ สิ่งของหรือวสั ดทุ ่หี ามาควรใช้ 2. การนําเสนอผลงาน
เครอ่ื งมอื วัดชนดิ ใดบ้าง 3. เกณฑ์คะแนนผ่าน 50% ข้ึนไป
4. นําเสนอหน้าช้นั เรยี น
113
พส.14
ใบปฏิบตั งิ าน (Operation Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
ชอื่ หน่วย หน่วยและการวดั
เรอื่ ง คาอุปสรรค จานวนช่ัวโมงสอน 3
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
- จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
1. ผูเ้ รียนสามารถเลอื กใช้เครื่องมือวัดได้ถกู ต้อง
2. ผู้เรยี นจดบนั ทึกผลการวัดไดถ้ ูกตอ้ ง
เคร่ืองมอื -อุปกรณ์-วัสดุ
1. เคร่อื งมือวดั
2. วัตถสุ ่ิงของ
ลาํ ดบั ขน้ั การปฏบิ ัติงาน
1. ให้นักเรยี นแบง่ กลุ่มกลมุ่ ละ 3 คน
2. ให้แต่ละกลุ่มเตรียมวตั ถุส่งิ ของทีจ่ ะนํามาวดั คา่ กลมุ่ ละ 3 ชนิด
3. แตล่ ะกลมุ่ ทําการวดั ส่งิ ทเี่ ตรียมมา แล้วจดบนั ทึกคา่ ท่อี ่านได้
4. ทาํ การวัดซํ้าอกี 2 คร้งั เพ่อื หาค่าเฉล่ยี จากส่งิ ท่ีวดั ค่าได้
5. สรุปผลการทดลอง และนําเสนอหนา้ ชนั้ เรียน
ข้อควรระวัง
ควรเลือกเครื่องมือวัดให้เหมาะสมกับชนิ้ งาน
ข้อเสนอแนะ
- การแบง่ หน้าที่การทํางานในกล่มุ แต่ละคนใหช้ ัดเจน
การประเมินผล
1. การประเมินผลงานของแต่ละกลมุ่
2. การประเมินผลการนาํ เสนอหน้าชนั้ เรียน
เอกสารอา้ งองิ
http://www.psptech.co.th/board/1037/2397
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ตั งิ านในแต่ละข้ัน
114
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2
ชื่อหนว่ ย หน่วยและการวดั
เรอ่ื ง คาอปุ สรรค จานวนชว่ั โมงสอน 3
จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพื่อให้ผูเ้ รียนเลอื กใชค้ าอปุ สรรคแทนตวั พหคุ ูณได้
2. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นเปลีย่ นคาอปุ สรรคหนา้ หนว่ ยได้
แนวทางการปฏบิ ตั งิ าน
ให้ผเู้ รยี นทาํ งานเปน็ กลุม่ กําหนดหน้าทข่ี องแตล่ ะคนให้ชัดเจน จัดลําดับขัน้ ตอนการปฏบิ ัติงานให้เหมาะสม
แหลง่ ค้นควา้
สื่อออนไลน์
คาถาม/ปัญหา
1. ผเู้ รียนวางแผนการทาํ งานเป็นกลุ่มและงานเสร็จตามทีก่ าํ หนดไดห้ รอื ไม่
2. ผู้เรียนเลอื กใชค้ าอปุ สรรคแทนตวั พหคุ ณู ไดห้ รอื ไม่
3. ผเู้ รียนเปลีย่ นคาอุปสรรคหนา้ หนว่ ยได้หรือไม่
กาหนดเวลาทางาน
3 ชั่วโมง
หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบัติงานในแต่ละข้ัน
115
พส.16
ใบกิจกรรมที่ 7
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ที่ 6
หน่วยท่ี 3 ชื่อหน่วย หน่วยและการวดั เวลา 1 ชม.
ชือ่ กิจกรรม ระบบหนว่ ย SI เวลา 1 ชม.
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. เพอื่ ให้นักเรยี นเลือกใช้คาํ อุปสรรคแทนตวั พหคุ ูณได้
2. เพอื่ ใหม้ ีความรูค้ วามเข้าใจเกีย่ วกับหน่วยและการวดั
วัสด/ุ อุปกรณ์
1. สมุด
2. อปุ กรณก์ ารเรยี น
คาสั่ง
ตอนที่ 1
1. ให้นักเรียนจบั คูค่ วามสมั พันธโ์ ดยนาํ เอาอกั ษรทางซ้ายมอื มาใส่ในวงเลบ็ หน้าขอ้ ความดา้ นขวามือ
ให้ถกู ตอ้ ง
2. ใหน้ กั เรยี นทําดว้ ยตนเองห้ามลอกกนั
(….…) 1. ไมโคร( ) ก. 103
(….…) 2. มลิ ลิ (m) ข. 10-3
(.……) 3. เมกะ (M) ค. 106
(….…) 4. เซนติ (c ) ง. 10-6
(….…) 5. เทระ(T) จ. 109
(….…) 6. กิโล(k) ฉ. 10-9
(.……) 7. เฟมโต(f ) ช. 102
(….…) 8. นาโน(n) ซ. 1012
ฌ. 10-2
ญ. 10-15
116
ตอนท่ี 2 จงใช้คําอุปสรรคแทนตัวเลขทีก่ ําหนดใหต้ ่อไปนใ้ี ห้ถกู ตอ้ ง
1. แรงเคลื่อนไฟฟาู 2 300 000 V = ……2.3 106 V = …………….
2. ความยาว 3500 m = …….3.5 103 m = …..……….
3. ความหนา 0.000 000 0075 m = …7.5 10-9 m = ……………
4. กระแสไฟฟูา 0.0056 A = …5.6 10-3 A = ……………
5. งาน 4500 J = ……4.5 103 J = ……………
6. กาํ ลงั ไฟฟาู 2000 W = …….2.0 103 W = …………….
7. ความยาว 0.000 008 m = …8.0 10-6 m = ……………..
8. แรง 65000 N = …65103 N = …………….
การประเมินผล
1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นกั เรียนทําผา่ น 50 % ขน้ึ ไป
117
ตอนท่ี 1 เฉลยใบกิจกรรมท่ี 7
(…ค…) 1. ไมโคร( ) ก. 103
(…ข…) 2. มลิ ลิ(m) ข. 10-3
(…ค…) 3. เมกะ (M) ค. 106
(…ฌ…) 4. เซนติ (c ) ง. 10-6
(…ซ…) 5. เทระ(T) จ. 109
(…ก…) 6. กโิ ล(k) ฉ. 10-9
(…ญ…) 7. เฟมโต(f ) ช. 102
(…ฉ…) 8. นาโน(n) ซ. 1012
ฌ. 10-2
ญ. 10-15
ตอนที่ 2 = ……2.3 106 V = …… 2.3 MV……
1. แรงเคลื่อนไฟฟาู 2 300 000 V
2. ความยาว 3500 m = …….3.5 103 m = … … 3.5 km ……
3. ความหนา 0.000 000 0075 m
4. กระแสไฟฟูา 0.0056 A = …7.5 10-9 m = …… 7.5 nm …..
5. งาน 4500 J
6. กําลังไฟฟูา 2000 W = …5.6 10-3 A = …… 5.6 mA……
7. ความยาว 0.000 008 m = ……4.5 103 J = ………4.5 kJ……..
8. แรง 65000 N
= …….2.0 103 W = …… 2.0 kW…..
= …8.0 10-6 m = ………8.0 m…
= …65103 N = ……… 65 kN ……..
118
แบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 3
คาสั่ง จงเลอื กคาํ ตอบท่ถี กู ที่สดุ เพียงคาํ ตอบเดยี ว แล้วกาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงในชอ่ ง ใน
กระดาษคาํ ตอบ
1. ในระบบเอสไอ เวลามีหน่วยเปน็
ก. วินาที
ข. นาที
ค. ชว่ั โมง
ง. ถูกทกุ ขอ้
2. ปรมิ าณใดต่อไปนเี้ ป็นหน่วยฐาน ทง้ั หมด
ก. มวล ความยาว แรง
ข. ระยะทาง พนื้ ท่ี ปริมาตร
ค. มวล กระแสไฟฟาู ปรมิ าณของสาร
ง. อุณหภมู ิ มุม พลังงาน
3. กโิ ลกรัมเปน็ หนว่ ยใช้วัดอะไร
ก. วดั ความยาว
ข. วดั เวลา
ค. วดั อณุ หภมู ิ
ง. วดั มวล
4. 12 นิว้ เท่ากบั เท่าไร
ก. 1 เมตร
ข. 1 ฟุต
ค. 1 หลา
ง. 1 ไมล์
5. คําอปุ สรรคที่ใชแ้ ทนตวั พหคุ ูณ 106 มชี ือ่ เรียกว่าอะไร
ก. ฟิโค
ข. นาโน
ค. ไมโคร
ง. มลิ ลิ
119
6. ระยะทางในหนว่ ยเมกะเมตร มีค่าเปน็ กเี่ ท่าในหนว่ ยกโิ ลเมตร
ก. 102
ข. 103
ค. 106
ง. 109
7. ปูนซเี มนต์ 1 ตัน เทยี บเทา่ กบั มวลในขอ้ ใด
ก. 1 จกิ ะกรัม
ข. 1 เมกะกรัม
ค. 1 มิลลกิ รมั
ง. 1 ไมโครกรมั
8. พื้นที่ 7,500,000 ตารางเซนตเิ มตรเท่ากบั กี่ตารางเมตร
ก. 750 ตารางเมตร
ข. 755 ตารางเมตร
ค. 800 ตารางเมตร
ง. 850 ตารางเมตร
9. อัตราเรว็ 72 กิโลเมตร / ชว่ั โมง มีค่าเท่าไรในหน่วยเมตร / วนิ าที
ก. 10
ข. 20
ค. 30
ง. 40
10. พ้นื ท่ี 20 ตารางเมตรเทา่ กับก่ีตารางเซนติเมตร
ก. 120,000 ตารางเซนตเิ มตร
ข. 200,000 ตารางเซนตเิ มตร
ค. 210,000 ตารางเซนติเมตร
ง. 212,000 ตารางเซนติเมตร
120
เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 3
1. ก. วินาที
2. ค. มวล กระแสไฟฟาู ปริมาณของสาร
3. ก. วดั ความยาว
4. ข. 1 ฟุต
5. ค. ไมโคร
6. ข. 103
7. ข. 1 เมกะกรมั
8. ก. 750 ตารางเมตร
9. ข. 20
10. ข. 200,000 ตารางเซนตเิ มตร
แผนการจดั การเรยี นรู้ 121
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทกั ษะชีวติ พส.8
ชอ่ื หนว่ ย แรงและการเคลื่อนที่
เรือ่ ง แรงและการเคล่ือนที่ หน่วยที่ 4
เวลารวม 3 ชม.
สัปดาห์ 7/18
จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคัญ
แรง เป็นสาเหตุสาํ คญั ที่ทําใหว้ ัตถเุ ปลีย่ นขนาดของความเร็ว เปลี่ยนทิศทางการเคลือ่ นที่ และทําให้
วัตถมุ ีการเปลีย่ นรปู ร่าง หน่วยวัดของแรงในระบบ SI คอื นิวตัน แรงทเ่ี กิดขึ้นในธรรมชาติมีหลายชนิด ได้แก่
แรงโน้มถ่วง แรงแมเ่ หล็ก แรงไฟฟูา แรงนวิ เคลียร์ มนษุ ย์ไดน้ ําความรู้เกี่ยวกบั แรงมาใช้ ประโยชนใ์ นดา้ นต่าง
ๆ เชน่ ด้านอุตสาหกรรม ด้านเกษตรกรรม แรงมผี ลทําให้วตั ถุเกดิ การเคล่ือนที่แบบเลอื่ นตาํ แหน่ง แบบหมุน
และแบบส่นั
2. สมรรถนะประจาหน่วย
แสดงความรแู้ ละปฏิบัติเกี่ยวกบั แรงและการเคล่ือนท่ี
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธบิ ายความหมายของแรงและผลของแรงได้
2. บอกการเปล่ยี นแปลงรูปทรงของวตั ถเุ มือ่ ถกู แรงต่างๆกระทําได้
4. สาระการเรยี นรู้
1. แรง (Force) คือ อํานาจอย่างหน่ึงท่ีพยายามทําให้วัตถุเปลี่ยนสภาพการเคล่ือนที่ เปล่ียนขนาด
และรูปรา่ งของวตั ถุได้ ผลของแรงทาํ ใหเ้ กดิ การเปลี่ยนแปลงตอ่ วตั ถทุ ี่ถูกกระทําดงั ตอ่ ไปน้ี เช่น วตั ถุทอี่ ยู่น่ิงเกิด
การเคลอื่ นท่ี วตั ถทุ ่กี าํ ลังเคล่อื นท่ีมคี วามเรว็ เพ่มิ ข้นึ หรอื ลดลง เปลยี่ นทศิ ทาง หรือทําให้วัตถุเปลี่ยนรูปร่างอาจ
เห็นชดั เจน หรือไม่ชดั เจน
2. การแบง่ ชนดิ ของแรงโดยอาศยั ลักษณะของแรงทมี่ ากระทาํ ประกอบกับการเปลย่ี นรูปร่างของวัตถุ
เปน็ เกณฑ์ แบ่งไดค้ อื แรงดงึ แรงอดั หรอื แรงกด แรงบิด แรงเฉอื น
3. ในธรรมชาติแรงท่ีกระทําต่อสิ่งต่างๆ รอบตัวน้ัน แบ่งได้ 4 ชนิด คือ แรงโน้มถ่วงของโลก
(Gravitation Force) แรงแม่เหล็ก (Magnetic Force) แรงไฟฟูาสถิติ (Electrostatic Force) และแรง
นวิ เคลียร์ (Nuclear Force)
4. แรงชนดิ อืน่ และการใชป้ ระโยชน์ ในการออกแรงดงึ วตั ถุให้เคล่อื นที่ไปตามพื้น จะมีแรงต่างๆ มา
กระทําต่อวัตถุ เช่น น้ําหนักของงวัตถุที่กดลงบนพื้น แรงปฏิกิริยาที่พื้นกระทําต่อวัตถุ แรงดึงเชือก และแรง
เสยี ดทาน
122
5. ลักษณะการเคล่ือนที่ของวัตถุ แบ่งได้ 3 ลักษณะ ได้แก่ การเคล่ือนที่แบบเลื่อนตําแหน่ง การ
เคล่ือนท่ีแบบหมุน และการเคลื่อนที่แบบส่ัน การเคลื่อนที่มีปริมาณต่างๆ ท่ีเก่ียวข้อง คือ ระยะทาง
(Distance) การกระจัด (Displacement) อัตราเร็ว (Speed) ความเร็ว (Velocity) ความเร่ง (Acceleration)
เวลา (Time)
5. กิจกรรมการเรียนรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกชื่อ สํารวจการแต่งกาย พร้อมทั้งบันทึกลงในแบบ
สังเกตความมวี นิ ยั และความรบั ผิดชอบ
2. ขั้นนําเข้าสู่บทเรยี น
2.1 ครูฉายภาพรถยนตท์ อี่ ยูใ่ นสภาพปกติกบั ภาพรถยนต์ท่ีถูกชนพังยับทั้งคันให้นักเรียนดู แล้ว
ถามนกั เรยี นวา่ ภาพทัง้ สองตา่ งกันอยา่ งและรว่ มกันอภปิ รายจนได้ข้อสรุปว่ารถยนต์คันที่พังยับท้ังคันเนื่องจาก
มแี รงมากระทาํ จากการชนกัน
2.2 ครแู จง้ จุดประสงค์การเรียนรแู้ ละใหน้ ักเรยี นทําแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 4 แรงและ
การเคล่อื นที่ โดยเน้นใหท้ ําดว้ ยความซอื่ สัตย์ ไม่ลอกคําตอบของผู้อ่นื
3. ขั้นสอน
3.1 นกั เรยี นจัดกลมุ่ ๆ ละ 4-5 คน
3.2 นักเรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษา เร่อื ง ความหมายของแรงและทาํ ใบกิจกรรมที่ 8
3.3 ขณะนักเรียนทํากิจกรรม ครูสังเกตการณ์ทํากิจกรรมกลุ่มโดยใช้แบบสังเกต การปฏิบัติ
กจิ กรรมกลุ่ม
3.4 ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปกิจกรรมท่ีทําจากนั้นครูให้ความรู้เร่ือง ชนิดชองแรง แรงใน
ธรรมชาติ โดยใช้ส่ือ PowerPoint ประกอบการอภปิ รายแลกเปลีย่ นความคดิ เห็น
3.5 ครใู หน้ กั เรียนทาํ ใบกจิ กรรมที่ 9
3.6 ครแู ละนักเรียนรว่ มสรปุ กิจกรรมโดยใชค้ ําถามในใบกจิ กรรม ประกอบใน การสรุปผล
3.7 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับแรงอ่ืน และการนําไปใช้ประโยชน์ เช่น แรง
นิวเคลียร์ แรงเสียดทาน ลักษณะการเคลื่อนที่และปริมาณท่ีเกี่ยวข้องกับการเคล่ือนท่ี ตามรายละเอียดในเอ
สารประกอบการสอน โดยใช้สือ่ PowerPoint ประกอบ
4. ขั้นสรุป
4.1 นักเรียนแตล่ ะกลุม่ สรุปบทเรยี น โดยการเขียนเปน็ แผนทีค่ วามคิด
6. สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้
6.1 สื่อส่ิงพิมพ์
1. ใบความรู้ เรือ่ งแรงและการเคล่ือนท่ี
2. ใบกิจกรรมที่ 8-9
3. แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่องแรงและการเคล่ือนที่
4. แบบทดสอบหลงั เรยี น เร่ืองแรงและการเคลอ่ื นท่ี
123
6.2 ส่อื โสตทัศน์
PowerPoint สรุปเนอ้ื หาแรงและการเคลอื่ นท่ี
7. หลักฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกจิ กรรม
3. แบบทดสอบ
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอ้างอิง
1. หนงั สือเรียนรายวชิ า วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พฒั นาทักษะชวี ิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กาํ หนดการประเมนิ พุทธิพสิ ัย
1. อธิบายความหมายของแรงและผลของแรงได้
2. บอกการเปล่ียนแปลงรปู ทรงของวัตถุเมือ่ ถูกแรงต่างๆกระทาํ ได้
10.2 เครือ่ งมือทใี่ ช้ประเมนิ ทักษะพิสัย
1. ใบงาน ,ใบกิจกรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เคร่อื งมอื การประเมินจิตพิสยั
1. แบบประเมนิ จติ พสิ ยั
124
พส.9
เคร่อื งมือท่ใี ชใ้ นการประเมิน
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
แบบประเมินแบบประมาณค่า (Rating scale) เกณฑ์การใหค้ ะแนน
54 321
ประเดน็ การประเมนิ
1. อธิบายความหมายของแรงและผลของแรงได้
2. บอกการเปลี่ยนแปลงรปู ทรงของวัตถุเม่อื ถกู แรงต่างๆกระทาํ ได้
รวม
รวมท้งั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)
125
พส.10
แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12
รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์
หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ
126
พส.11
บันทึกหลงั การจัดการเรยี นรู้
รหสั วชิ า...........................ช่อื วิชา..................................................................................ระดบั ชั้น................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาห์ที่..........วันท่ีสอน.........................................
หนว่ ยที่............ชอื่ หนว่ ย.........................................................................................................จํานวน..................ชั่วโมง
1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปัญหาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
ลงช่ือ.......................................................ครผู ้สู อน
(นางสาวกนั ตยา เลศิ อรุณรัตน์)
........../................/............
ความเห็น................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................
ลงชื่อ...............................................หวั หนา้ แผนกวิชา ลงชื่อ...........................................รองผูอ้ ํานวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แก้วบัวดี) (นางสาวนิศากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............
127
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
ชือ่ หน่วย แรงและการเคลือ่ นท่ี
เร่อื ง แรงและการเคลือ่ นที่ จานวนช่ัวโมงสอน 3
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรยี นรู้
- จดุ ประสงค์ทว่ั ไป 1. ความหมายของแรง
อธบิ ายความหมายของแรงและผลของแรงได้ 2. การเปลย่ี นแปลงรปู ทรงของวัตถเุ ม่ือถกู แรงต่างๆ
- จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม กระทํา
บอกการเปล่ยี นแปลงรูปทรงของวตั ถุเม่ือถูกแรงต่างๆ
กระทําได้
เนื้อหาสาระ
ความหมายของแรง
แรง (force) คอื อาํ นาจอย่างหนง่ึ ทพ่ี ยายามทําให้วัตถเุ ปลยี่ นสภาพการเคลื่อนที่เปลี่ยนขนาดและรูปร่าง
ของวตั ถุได้ ผลของแรง ทาํ ใหเ้ กิดการเปลีย่ นแปลงตอ่ วตั ถทุ ี่ถกู กระทําดังตอ่ ไปน้ี เช่น วัตถุที่อยู่น่ิงเกิดการเคลื่อนที่
วัตถทุ ่ีกําลังเคลอ่ื นที่ มคี วามเร็วเพิ่มข้ึนหรือลดลง หรือเปลี่ยนทิศทาง หรือทําให้วัตถุเปล่ียนรูปร่างอาจเห็นชัดเจน
หรือไม่ชดั เจน ดังภาพที่ 1
(ก) 1000 km/h
500 km/h
(ก)
(ข)
ภาพที่ 1 เคร่ืองบนิ เปลี่ยนความเรว็ (ก) รถเปล่ยี นรปู รา่ งเพราะมแี รงมากระทํา (ข)
128
การออกแรงทํากิจกรรมตา่ งๆ นั้น เราจะสงั เกตพบว่า การห้วิ กระเปา๋ จะออกแรงนอ้ ยกว่าการผลักรถยนต์
ให้เคลือ่ นทหี่ รอื การถือสมดุ 1 เล่ม จะออกแรงน้อยกว่าการยกกองสมุด 20 เล่ม การใช้ความรู้สึกบอกขนาดของ
แรง เป็นการคาดคะเนความรสู้ ึกของแต่ละบคุ คล ซ่ึงไมเ่ ปน็ มาตรฐานเดยี วกนั วธิ ีการงา่ ยๆ ในการวัดขนาดของแรง
ท่กี ระทําตอ่ วัตถกุ ็ คอื การใชเ้ ครอื่ งช่ังสปริงเกย่ี ววตั ถไุ วแ้ ลว้ ออกแรงดึงเครื่องช่งั สปรงิ เขม็ ชีบ้ นสเกลของเครื่องช่ังจะ
บอกขนาดของแรง สาํ หรบั หน่วยของแรงตามระบบ
เอสไอ (SI) คอื นิวตนั (N)
แรง 1 นวิ ตนั (N) คือ แรงที่ทาํ ให้มวล 1 กโิ ลกรัม เคลอ่ื นท่ี ด้วยความเร่ง 1 เมตร/วินาที2
ดังน้นั 1 นิวตัน = 1 กิโลกรมั - เมตร/วินาที2 หรอื 1 N = 1 kg m/s2
ภาพท่ี 2 เปรียบเทียบการใชแ้ รงมาก หรือการใช้แรงน้อยในการทํากจิ กรรมต่างๆ
นอกจากแรงจะมีขนาดแล้วยังมีทิศทางอีกด้วย เมื่อเราออกแรงยกวัตถุต่างๆ ขึ้นมา เช่น การยกสิ่งของ
เปน็ การออกแรงในแนวดิง่ สง่ิ ของต่างๆ จะเคล่อื นท่ขี นึ้ มาตามแนวดงิ่ ตามแนวแรงเช่นกันเม่ือออกแรงในแนวระดับ
เพื่อผลักรถซึง่ เดิมจอดอยูน่ งิ่ ให้เคลือ่ นที่รถจะเคลื่อนท่ไี ปในทิศทางเดยี วกับทิศของแรงท่ีกระทําต่อรถ การออกแรง
แต่ละคร้ังจะต้องมีทิศทางไปทางใดทางหน่ึงเสมอ ดังนั้นแรงจึงเป็นปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เรียกว่า
ปรมิ าณเวกเตอร์
ปรมิ าณทางฟิสิกส์ มี 2 ชนดิ คือ ปรมิ าณเวกเตอร์ และปรมิ าณสเกลาร์
ปริมาณเวกเตอร์ (vector quantity) หมายถึง ปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง เช่น แรง ความเร็ว
ความเร่ง น้าํ หนกั เปน็ ตน้
ปรมิ าณสเกลาร์ (scalar quantity) หมายถงึ ปรมิ าณทมี่ ีแต่ขนาดอย่างเดียวไม่มีทิศทาง เช่น พลังงาน
อณุ หภมู ิ เวลา พื้นท่ี ปรมิ าตร อตั ราเรว็ เป็นตน้
2. ชนิดของแรง
เมื่อวัตถุถูกแรงกระทํา การเปลี่ยนแปลงขนาดและรูปร่างของวัตถุจะข้ึนอยู่กับขนาดและทิศทางของแรง
กระทํา การแบง่ ชนิดของแรงโดยอาศัยลักษณะของแรงท่ีมากระทําประกอบกับ การเปล่ียนรูปร่างของวัตถุเป็น
เกณฑ์ แบง่ ไดด้ ังนี้
2.1 แรงดงึ เป็นแรงท่ีพยายามทําให้วตั ถุยดื ออกไปจากเดิม เช่น ลวดสลงิ ยดึ เสาไฟฟูา
2.2 แรงอดั หรือแรงกด เปน็ แรงทพ่ี ยายามทําให้วตั ถยุ ุบตัวหรอื สน้ั ลง เชน่ เสาในอาคารก่อสร้าง จะอยู่ใน
ลกั ษณะท่รี บั แรงอัด
129
2.3 แรงบิด เปน็ แรงทีพ่ ยายามทาํ ใหว้ ัตถุบิดเป็นเกลียวโดยท่ีอาจสังเกตเห็นได้หรือไม่ก็ตาม เช่น แรงบิด
ของเพลาหมนุ ในเครื่องจกั รกลตา่ งๆ
2.4 แรงเฉือน เปน็ แรงท่ีกระทําตอ่ วตั ถแุ ลว้ พยายามทําใหเ้ น้ือวตั ถุขาดขนานกับแนวแรงกระทาํ เชน่ แรง
เฉอื นของกรรไกรที่ตดั เหลก็ เสน้ หรอื ตดั โลหะ
(ก) แรงดึง (ข) แรงเฉือน
(ค) แรงบิด (ง) แรงอดั หรือแรงกด
ภาพท่ี 3 แสดงแรงชนดิ ตา่ ง ๆ
3. แรงในธรรมชาติ
ในธรรมชาตแิ รงทีก่ ระทาํ ต่อสิง่ ตา่ งๆ รอบๆ ตัวเราน้ัน แบง่ ได้ 4 ชนดิ คอื
3.1 แรงโน้มถ่วงของโลก (gravitation force)
แรงโน้มถ่วงของโลก คอื แรงดงึ ดดู ทมี่ วลของโลกกระทําต่อมวลวัตถเุ พื่อดึงดูดวัตถุน้ันเข้าสู่ศูนย์กลาง
ของโลก แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทาํ ตอ่ วัตถุขนึ้ อย่กู ับมวลของวัตถุน้ันและระยะห่างระหว่างมวลกับจุดศูนย์กลาง
ของโลก ยิ่งวัตถุอยู่ห่างจากจุดศูนย์กลางของโลกมากเท่าไร แรงโน้มถ่วงของโลกท่ีกระทําต่อวัตถุจะยิ่งน้อยลง
เทา่ น้นั นักวิทยาศาสตรท์ ี่คน้ พบแรงโนม้ ถ่วงของโลก คอื เซอร์ไอแซกนวิ ตัน เป็นการคน้ พบโดยบังเอญิ ขณะทเ่ี ขาน่ัง
อยใู่ ต้ต้นแอปเป้ิล และสังเกตเหน็ ผลแอปเปล้ิ ตกจากต้นลงสพู่ ้นื ดนิ
ภาพท่ี 4 เซอรไ์ อแซก นวิ ตัน ผคู้ น้ พบกฎแห่งความโน้มถ่วง
นวิ ตนั อธบิ ายแรงโน้มถ่วง โดยใช้กฎแรงดึงดดู ระหวา่ งมวล ซ่งึ มีใจความสรุปไดด้ ังนี้
130
"วตั ถุ 2 ก้อนทอี่ ยู่หา่ งกนั จะเกดิ แรงดึงดูดซง่ึ กันและกัน โดยขนาดของแรงจะแปรผนั ตรง
กบั ขนาดของมวลท้งั 2 และแปรผกผนั กับระยะห่างระหวา่ งมวลท้ัง 2 ยกกาลงั สอง"
การตกของวัตถภุ ายใตแ้ รงโนม้ ถว่ งของโลก เมื่อไม่คิดแรงต้านของอากาศ วัตถุจะตกลงสู่พ้ืนด้วยความเร่ง
9.81 m/s2 ดงั น้ันการนาํ ยานอวกาศ ดาวเทียม หรืออุปกรณป์ ระเภทอืน่ ขนึ้ สู่อวกาศ เป็นการกระทําท่ีต้านกับแรง
โน้มถ่วงของโลก จรวดจะต้องมีแรงขับเคลื่อนสูงมาก เพ่ือเอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลก การเคลื่อนที่ของจรวด
อธิบายได้ด้วยกฎของนิวตัน ข้อที่ 3 ท่ีกล่าวว่า แรงกริยา เท่ากับแรงปฏิกิริยา จรวดจะปล่อยแก๊สร้อนขับ
ออกมาทางท่อ (แรงกริยา) ทําใหจ้ รวดเคลือ่ นท่ไี ปขา้ งหน้า (แรงปฏิกิรยิ า)
3.2 แรงแมเ่ หล็ก (magnetic force)
แม่เหล็กมี 2 ขว้ั คอื ขว้ั เหนอื และขั้วใต้ ขว้ั แม่เหล็กเหมือนกนั จะออกแรงผลักกันข้ัวต่างกันจะออก
แรงดึงดดู กนั บริเวณรอบๆ แทง่ แมเ่ หล็กจะมสี นามแม่เหลก็ เกิดข้นึ มีทิศจากขวั้ เหนอื ไปสู่ข้ัวใต้ ดงั ภาพที่ 5
ภาพที่ 5 สนามแมเ่ หล็ก
วัตถุท่ีเป็นสารแม่เหล็ก เมื่ออยู่ในบริเวณสนามแม่เหล็กจะถูกแม่เหล็กดูดได้ เส้นแรงแม่เหล็กจะเห็นได้
ชดั เจนเมอื่ โรยผงตะไบเหล็กรอบๆ แท่งแม่เหล็ก ผงตะไบเหล็กจะเกิดการเรยี งตวั ตามเสน้ แรงแมเ่ หล็กที่ออกมารอบ
แท่งแมเ่ หลก็ ดังภาพท่ี 6
ภาพที่ 6 ผงตะไบเหล็กจัดเรยี งตวั ตามเสน้ แรงแมเ่ หล็ก
วัตถุที่เป็นสารแม่เหล็ก เมื่ออยู่ในบริเวณสนามแม่เหล็กจะถูกแม่เหล็กดูดได้ จากสมบัติดังกล่าว จึงนํา
แม่เหล็กไปใช้ประโยชน์ต่างๆ เช่น การแยกสารแม่เหล็กที่ผสมรวมอยู่กับสารอ่ืนให้ออกจากกัน หรือการสร้าง
เครือ่ งมือ เชน่ ไขควงจะสร้างให้มีสมบัติเป็นแม่เหล็กเพื่อสะดวกใน การจับหัวน๊อตให้ติดกับไขควงขณะใช้งานดัง
ภาพที่ 7 เปน็ ตน้
131
(ก) (ข)
ภาพที่ 7 การใชแ้ ม่เหล็กดูดเศษตะปูออกจากกองวัสดุ (ก) และการใช้ไขควงแมเ่ หล็ก(ข
3.3 แรงไฟฟ้าสถิต (electrostatic force)
นกั เรียนทราบแล้วว่าอนุภาคทเ่ี ล็กทส่ี ุดของสารคืออะตอมซ่งึ ประกอบด้วยอนุภาคมูลฐาน 3 ชนิด คือ
โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน ปกติอะตอมเป็นกลางทางไฟฟูาเนื่องจาก มีจํานวนโปรตอน ( +) เท่ากับ
อิเล็กตรอน (-) ถ้าอะตอมเสียอิเล็กตรอนจะเกิดเป็นอนุภาคที่มีประจุไฟฟูาบวก ในทางตรงกันข้ามถ้าอะตอมรับ
อเิ ลก็ ตรอนจะเกิดเปน็ อนุภาคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟูาลบ
แรงระหว่างประจุไฟฟูามี 2 ชนิด คือ แรงผลัก และ แรงดูด กล่าวคือ ประจุเหมือนกันจะออกแรง
ผลกั กนั ประจตุ า่ งกนั จะออกแรงดงึ ดดู กนั
+ +- -
ภาพที่ 8 ประจุเหมอื นกนั ผลกั กนั
-+
ภาพที่ 9 ประจตุ า่ งกนั ดดู กัน
132
3.4 แรงนวิ เคลียร์ (nuclear force)
จากโครงสรา้ งของอะตอมประกอบดว้ ยอนุภาค 3 ชนดิ คือ โปรตอน นวิ ตรอนและอิเลก็ ตรอน โปรตอน
และนวิ ตรอนอัดกนั แนน่ อยตู่ รงกลาง เรียกวา่ นวิ เคลยี ส จากการทอี่ นุภาคโปรตอนซงึ่ มปี ระจไุ ฟฟูาเปน็ บวก
เหมอื นกันมารวมอยูด่ ้วยกนั ในนวิ เคลียสจะเกิดแรงผลักกันมหาศาล แต่ทโี่ ปรตอนอยูด่ ้วยกันไดแ้ สดงว่า ต้องมีแรงท่ี
ทําให้โปรตอนกับโปรตอนยดึ ติดกันได้ แรงดังกล่าวเรยี กวา่ แรงนิวเคลยี ร์
การทําลายนิวเคลยี สของธาตุบางชนดิ หรือการสลายตัวของธาตุกมั มนั ตรังสี
จะไดพ้ ลังงานออกมาสูงมาก เรยี กวา่ พลังงานนวิ เคลยี ร์
พลังงานนวิ เคลยี รเ์ ปน็ พลงั งานรปู หน่งึ ท่มี นษุ ย์นํามาใชป้ ระโยชน์ นกั วิทยาศาสตรช์ าวผร่ังเศส ชือ่ องั รีเบก
เคอเรล ได้ค้นพบโดยบงั เอญิ เมื่อ พ.ศ.2439 แต่คนทวั่ ไปเร่ิมรจู้ ักพลังงานนวิ เคลยี ร์หลงั จากท่ีมกี ารท้งิ ระเบดิ
ปรมาณทู ีเ่ มืองฮิโรชมิ า และนางาซากิ ประเทศญ่ีปนุ เมอ่ื พ.ศ.2488 ในชว่ งปลายสงครามโลกคร้งั ทส่ี อง มีผลทาํ ให้
สงครามโลกครง้ั ทส่ี องยุติแต่ผลของระเบิดปรมาณูในคร้ังนัน้ ได้ทําลายชวี ติ มนษุ ยไ์ ปเปน็ จํานวนมากรวมทัง้ อาคาร
บ้านเรอื น และสิ่งก่อสรา้ งอ่ืนๆ นอกจากนีก้ ัมมนั ตภาพรังสที ีเ่ กิดขน้ึ จากการระเบิดยังก่อใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงของ
สง่ิ แวดลอ้ มและมีผลต่อผ้รู อดชวี ิตในระยะยาวอกี ด้วย ดังภาพท่ี 10
(ก) (ข)
ภาพที่ 10 ระเบิดปรมาณู (ก) เด็กชายเมอื งนางาซากถิ กู กมั มันตรงั สีจากปรมาณู (ข)
ในปจั จบุ นั ไดน้ ําเอาพลังงานจากปฏิกริ ยิ านิวเคลียรม์ าใช้ประโยชน์ในทางสันติมากมาย เช่น โรงไฟฟูาพลัง
นิวเคลยี ร์ การขับเคลื่อนเรือเดินสมทุ รขนาดใหญ่ การขุดคลองขนาดใหญ่
4. แรงชนิดอื่นและการใช้ประโยชน์
ในการออกแรงดึงวตั ถุใหเ้ คลอื่ นท่ไี ปตามพ้นื จะมแี รงต่างๆ มากระทาํ ต่อวตั ถุ เชน่ นาํ้ หนักของวัตถุที่กดลง
บนพนื้ แรงปฏกิ ิรยิ าทพี่ ืน้ กระทําต่อวตั ถุ แรงดึงเชอื ก และแรงเสยี ดทาน ดังภาพท่ี 11
T X T
T
W N T Y
f
ภาพท่ี 11 แสดงทศิ ทางของแรงตา่ งๆ ทีก่ ระทําขณะดงึ วัตถุ
133
แทน น้ําหนักของวตั ถุท่ีกดลงบนพน้ื
W
แทน แรงปฏกิ ริ ยิ าท่พี นื้ กระทําในทศิ ทางตัง้ ฉากกับวัตถุ
N
T แทน แรงดงึ วัตถุ
f แทน แรงเสยี ดทาน
น้าหนกั
4.1 (weight) ใช้สัญลักษณ์ W
หมายถงึ แรงโน้มถว่ งท่ีกระทาํ ต่อมวลของวัตถเุ กิดจากแรงดึงดูดของโลกกระทําต่อมวลวัตถุมีทิศทาง
ลงตามแนวดง่ิ เสมอ
N
4.2 แรงปฏิกริ ยิ า (normal reaction force) ใชส้ ัญลกั ษณ์
หมายถึง แรงโต้ตอบจากพื้นท่ีผิวสัมผัส มีทิศต้ังฉากกับผิวสัมผัสเสมอ และมีทิศตรงข้ามกับน้ําหนัก
ของวัตถุท่กี ดลงบนพื้น
4.3 แรงตงึ ในเส้นเชือก (tension) ใช้สัญลักษณ์ T
หมายถงึ แรงดงึ ท่ีเชือกกระทาํ ต่อวัตถุ มีทิศจากจุดสมั ผัสพุ่งเข้าสู่ภายในเส้นเชือก แรงตงึ ในเส้น
เชอื กสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น ใชเ้ ชือกแขวนวตั ถุนําเชือกไปใช้ในการลากจงู การใช้เชือกคลอ้ งผ่านรอกดึง
วัตถุ
4.4 แรงเสยี ดทาน (friction forcef) ใช้สญั ลกั ษณ์
หมายถงึ แรงทเี่ กดิ ระหวา่ งผวิ สมั ผัสของวัตถุ เป็นแรงต้านการเคล่ือนทขี่ องวตั ถุ มที ิศตรงขา้ มกับทิศ
การเคล่ือนท่ขี องวัตถุเสมอ
4.4.1 ปัจจัยที่มีผลต่อแรงเสียดทาน แรงเสยี ดทานจะมากหรือนอ้ ยขึ้นอยกู่ ับ
1) นาํ้ หนกั ของวตั ถุทก่ี ดลงบนผวิ สัมผัส ถ้านาํ้ หนักมาก แรงเสียดทานจะมาก ถ้านํา้ หนกั น้อย
แรงเสยี ดทานจะน้อย
2) ลักษณะของผิวสมั ผัส ถ้าผวิ สัมผัสขรขุ ระมาก แรงเสยี ดทานจะมีค่ามาก ถ้าผิวขรุขระ
น้อย แรงเสยี ดทานจะน้อย
อยา่ งไรกต็ าม แรงเสยี ดทานจะไมข่ ้ึนกบั ขนาดของพืน้ ที่ผวิ สัมผสั และความเร็วในการเคลื่อนที่
ของวัตถุ ดังภาพท่ี 12
ภาพท่ี 12 แสดงแรงเสียดทานไมข่ นึ้ กับขนาดของผวิ สมั ผัส และความเร็วในการเคลือ่ นที่
134
4.4.2 ชนดิ ของแรงเสียดทาน แรงเสียดทานทีเ่ กิดขึ้นระหว่างผวิ สมั ผัสของวัตถุทเี่ ปน็ ของแข็งมี
หลายชนิด ไดแ้ ก่
1) แรงเสียดทานสถิต (static friction) คือ แรงเสียดทานที่เกิดขึ้นเม่ือวัตถุพยายามจะ
เคลื่อนที่ ซงึ่ มีคา่ สูงสุดขณะท่วี ตั ถเุ ร่มิ เคลื่อนท่ี
2) แรงเสยี ดทานจลน์ (kinetic friction) คอื แรงเสยี ดทานทีเ่ กิดขน้ึ เมือ่ วัตถกุ าํ ลงั เคลอ่ื นท่ี
3) แรงเสียดทานหมุน (rolling friction) คอื แรงเสียดทานท่ีเกิดข้ึนเมื่อวัตถุเคล่ือนที่โดยการ
หมนุ ไปบนผวิ ของอกี วตั ถุหนงึ่ เช่น ลอ้ รถเคลื่อนทไี่ ปบนถนน ล้อรถไฟเคลอ่ื นทไ่ี ปตามราง
เม่ือเปรียบเทียบค่าแรงเสียดทานท้ัง 3 ชนิด พบว่า แรงเสียดทานสถิตมีค่ามากกว่า แรงเสียด
ทานจลน์ และแรงเสยี ดทานจลนม์ คี า่ มากกว่าแรงเสียดทานหมุน
เอกสารอ้างอิง
http://cms575.bps.in.th/group13/force-and-motion2
https://sites.google.com/site/sciencetechnology2551/home/bth-thi-1-raeng-laea-kar-kheluxnthi
https://sites.google.com/site/pktcscience/home/raeng-laea-kar-kheluxnthi-khxng-watthu
135
พส.13
ใบงาน (Job Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
ชื่อหน่วย แรงและการเคลอื่ นท่ี
เร่อื ง แรงและการเคล่ือนท่ี จานวนช่วั โมงสอน 3 รายการเรียนรู้
เครื่องมือ/วัสดุ-อปุ กรณ์
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1. ปากกา
- จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม 2. กระดาษ A4
1. บอกการเปลี่ยนแปลงรูปทรงของวตั ถเุ มื่อถูกแรง 3. ชน้ิ งาน
ต่างๆกระทาํ ได้
2. ทํางานรว่ มกันเป็นกลุ่มได้
- ลําดบั ขน้ั การทํางาน ขอ้ ควรระวงั
1. ให้นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 3 คน 1. ควรใช้อปุ กรณ์ตา่ งๆด้วยความระมดั ระวัง
2. ใหแ้ ต่ละกลมุ่ ทําแผนทคี่ วามคิดเร่ืองชนิดของแรง มอบงาน
3. นําเสนอหน้าชน้ั เรียน 1. นําเสนอผลงานพรอ้ มอธิบาย
วัดผล/ประเมินผล
1. ตรวจชิ้นงาน
2. การนาํ เสนอผลงาน
3. เกณฑค์ ะแนนผา่ น 50% ขนึ้ ไป
136
พส.14
ใบปฏบิ ตั ิงาน (Operation Sheets)
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชีวติ
ช่ือหนว่ ย แรงและการเคลือ่ นท่ี
เร่อื ง แรงและการเคลือ่ นที่ จานวนช่ัวโมงสอน 3
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
- จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม
1. บอกการเปลี่ยนแปลงรปู ทรงของวตั ถุเมื่อถกู แรงต่างๆกระทาํ ได้
2. ทํางานร่วมกันเปน็ กลุ่มได้
เคร่อื งมอื -อปุ กรณ์-วสั ดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ชิ้นงานลําดบั ขน้ั การปฏิบตั ิงาน
1. ใหน้ ักเรียนแบง่ กลุม่ กลุ่มละ 3 คน
2. ให้แต่ละกลมุ่ สบื คน้ หาการกระทําต่างๆทที่ ําใหเ้ กดิ แรงมา 5 อยา่ ง
3. ให้วเิ คราะห์วา่ กิจกรรมท่ีสบื คน้ น้ันมแี รงชนิดใดมาเกย่ี วขอ้ งบ้าง
ข้อควรระวงั
ควรเลือกเครือ่ งมอื วัดใหเ้ หมาะสมกับชนิ้ งาน
ข้อเสนอแนะ
- การแบง่ หนา้ ที่การทํางานในกลมุ่ แต่ละคนให้ชัดเจน
การประเมนิ ผล
1. การประเมนิ ผลงานของแตล่ ะกลุม่
2. การประเมินผลการนําเสนอหน้าชั้นเรยี น
เอกสารอา้ งองิ
http://cms575.bps.in.th/group13/force-and-motion2
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ตั ิงานในแต่ละขัน้
137
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
ชอื่ หน่วย แรงและการเคล่ือนที่
เร่ือง แรงและการเคล่ือนท่ี จานวนช่ัวโมงสอน 3
จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพ่อื ใหผ้ ้เู รียนอธิบายความหมายของแรงและผลของแรงได้
2. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนบอกการเปลีย่ นแปลงรปู ทรงของวตั ถเุ มื่อถูกแรงตา่ งๆกระทาํ ได้
แนวทางการปฏบิ ตั ิงาน
ให้ผู้เรยี นทาํ งานเป็นกล่มุ กําหนดหนา้ ทข่ี องแต่ละคนใหช้ ัดเจน จดั ลําดับข้นั ตอนการปฏิบัติงานให้เหมาะสม
แหลง่ คน้ คว้า
สอื่ ออนไลน์
คาถาม/ปัญหา
1. ผู้เรยี นวางแผนการทํางานเปน็ กล่มุ และงานเสร็จตามทกี่ าํ หนดได้หรือไม่
2. ผเู้ รียนอธบิ ายความหมายของแรงและผลของแรงได้หรือไม่
3. ผเู้ รยี นบอกการเปลีย่ นแปลงรูปทรงของวัตถเุ ม่ือถูกแรงต่างๆกระทาํ ได้
กาหนดเวลาทางาน
3 ชว่ั โมง
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏิบตั ิงานในแต่ละขั้น
138
พส.16
ใบกจิ กรรมท่ี 8
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ท่ี 7
หน่วยท่ี 4 ชื่อหน่วย แรงและการเคล่ือนที่ เวลา 1 ชม.
ช่ือกจิ กรรม การเคลอ่ื นที่ของวตั ถุ เวลา 1 ชม.
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. เพือ่ ใหม้ คี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกยี่ วกับการเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุแบบต่างๆ
วัสด/ุ อุปกรณ์
1. สมดุ
2. อปุ กรณ์การเรียน
คาสงั่
1. ให้นกั เรยี นโยงเสน้ จากภาพทีก่ ําหนดให้ความสัมพนั ธก์ ับประเภทของการเคล่ือนที่
2. ใหน้ กั เรียนทําด้วยตนเองห้ามลอกกนั
139
การเคล่อื นทแี่ บบ
เลื่อนตาแหน่ง
การเคลอ่ื นท่ี
แบบหมุน
การเคล่ือนที่
แบบส่ัน
การประเมนิ ผล
1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นกั เรยี นทาํ ผา่ น 50 % ขึ้นไป
140
พส.16
ใบกิจกรรมท่ี 9
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ที่ 7
หน่วยที่ 4 ชื่อหน่วย แรงและการเคลอ่ื นที่ เวลา 1 ชม.
ชือ่ กจิ กรรม แรงและการเคลอ่ื นท่ี เวลา 1 ชม.
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. เพื่อใหม้ ีความรคู้ วามเขา้ ใจเก่ียวกบั แรงและการเคลอ่ื นที่
วัสด/ุ อปุ กรณ์
1. สมุด
2. อุปกรณก์ ารเรยี น
คาสง่ั
1. ใหน้ กั เรยี นตอบคําถามโดยเติมคําลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ ง
2. ใหน้ ักเรยี นทําดว้ ยตนเองหา้ มลอกกนั
1. แรงในทางฟิสิกสห์ มายถงึ ..................................................................................................................
2. ผลทีเ่ กิดจากการกระทาํ ของแรงกอ่ ใหเ้ กิดผลต่อวตั ถุดังนค้ี อื ..............................................................
3. จงอธิบายลกั ษณะสําคัญของแรงต่างๆตอ่ ไปนี้
3.1 แรงดึงหมายถงึ .......................................................................................
3.2 แรงอดั หมายถึง.......................................................................................
3.3 แรงบดิ หมายถงึ .......................................................................................
3.4 แรงเฉือนหมายถงึ .....................................................................................
4. ผู้คน้ พบกฎแรงโนม้ ถว่ งของโลกคือ…….............และค่าความเร่งเนื่องจากแรงโนม้ ถ่วงของโลกมีค่....................
5. จากภาพการตกอยา่ งอิสระภายใตแ้ รงโนม้ ถ่วงของโลกความเร็วของวตั ถุ ณ ตําแหนง่ ตา่ งๆมีค่าดังน้ี
วนิ าทีท่ี 1 ความเรว็ = ..........
วนิ าท่ีที่ 4 ความเรว็ = ...........
141
6. แรงแม่เหล็กสามารถนําไปใช้ประโยชน์ดงั นี้ .................................................................................
7. แรงนวิ เคลยี ร์คือ........................................................................................
8. แรงเสยี ดทานคือ........................................................................................
9. วิธีลดแรงเสียดทานในงานช่างทาํ ไดโ้ ดยวิธกี ารดงั ต่อไปน้ี
1. .................................................................................
2. .................................................................................
3. .................................................................................
4. .................................................................................
10. การเคลอื่ นท่ีของวตั ถตุ อ่ ไปนจ้ี ัดเปน็ การเคลอื่ นท่ีแบบใด
10.1 ล้อรถกาํ ลงั เคล่อื นทบี่ นถนน….......................................................................
10.2 มะพร้าวหล่นจากต้น……...............................................................................
10.3 การเคลอ่ื นทขี่ องลูกตมุ้ นาฬิกา…....................................................................
10.4 การเคลอ่ื นท่ีของลกู ข่าง……............................................................................
การประเมนิ ผล
1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นกั เรยี นทําผ่าน 50 % ข้นึ ไป
142
เฉลยใบกจิ กรรมท่ี 8
การเคลื่อนทแ่ี บบ
เล่ือนตาแหน่ง
การเคลอ่ื นที่
แบบหมุน
การเคลื่อนท่ี
แบบส่ัน
143
เฉลยใบกิจกรรมที่ 9
1. แรงในทางฟิสิกส์หมายถงึ ......อาํ นาจอยา่ งหน่ึงทพี่ ยายามทําให้วัตถุเปล่ยี นสภาพการเคลอื่ นที่ เปล่ียนขนาด
และรูปรา่ งของวตั ถไุ ด้.....................................................................................................
2. ผลท่เี กดิ จากการกระทําของแรงก่อใหเ้ กดิ ผลต่อวตั ถุดังนี้คือ..........วัตถทุ อี่ ยู่น่งิ เกดิ การเคลือ่ นที่วัตถทุ ีก่ ําลงั
เคล่ือนที่ มีความเร็วเพิ่มข้นึ หรอื ลดลง หรือเปลี่ยนทศิ ทาง หรอื ทาํ ให้วัตถุเปลี่ยนรูปรา่ งอาจเหน็ ชัดเจน
หรือไมช่ ดั เจน.............................................................................................................
3. จงอธิบายลกั ษณะสําคัญของแรงต่างๆต่อไปนี้
3.1 แรงดึงหมายถงึ แรงทพี่ ยายามทาํ ให้วัตถุยืดออกไปจากเดิม เชน่ ลวดสลิงยึดเสาไฟฟาู
3.2 แรงอัดหมายถงึ แรงท่ีพยายามทาํ ใหว้ ตั ถุยุบตัวหรือสน้ั ลง เช่นเสาในอาคารกอ่ สร้าง จะอย่ใู น
ลักษณะทีร่ บั แรงอดั
3.3 แรงบิดหมายถึงแรงท่ีพยายามทําใหว้ ัตถุบดิ เปน็ เกลียวโดยท่ีอาจสังเกตเห็นไดห้ รอื ไม่กต็ าม เช่น
แรงบิดของเพลาหมนุ ในเครื่องจักรกลตา่ ง ๆ
3.4 แรงเฉือนหมายถึง แรงท่กี ระทําต่อวตั ถแุ ล้ว พยายามทาํ ใหเ้ นือ้ วตั ถุขาดขนานกับแนวแรงกระทํา
เช่น แรงเฉอื นของกรรไกรทต่ี ัดเหล็กเส้น หรือ ตดั โลหะ
4. ผู้คน้ พบกฎแรงโนม้ ถ่วงของโลกคือ……เซอร์ ไอแซกนวิ ตนั ..........และคา่ ความเร่งเนือ่ งจากแรงโนม้ ถ่วงของ
โลกมีค่าเท่ากับ…….9.81 m/s2..................................................................................
5. จากภาพการตกอย่างอสิ ระภายใต้แรงโน้มถว่ งของโลกความเร็วของวัตถุ ณ ตําแหนง่ ต่างๆมีคา่ ดังน้ี
วนิ าทีที่ 1 ความเรว็ = ... 9.81 m/s.......
วนิ าท่ีที่ 4 ความเรว็ = ....39.24 m/s.......
6. แรงแมเ่ หลก็ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ดงั น้ี .......ใช้ในการแยกสารแม่เหล็กท่ีผสมรวมอยกู่ ับสารอน่ื ให้ออก
จากกนั หรอื การสร้างเคร่ืองมือ เช่นไขควงจะสร้างให้มีสมบตั ิเปน็ แมเ่ หลก็ เพือ่ สะดวกในการจับหวั นอ๊ ตให้ตดิ
กับไขควงขณะใช้งาน..........................................................................
7. แรงนิวเคลียร์คือ.......แรงทเ่ี กิดขน้ึ ในนวิ เคลียสท่ีทาํ ใหโ้ ปรตอนกับโปรตอนอยรู่ วมกนั กันได้
8. แรงเสียดทานคือ .......แรงทเ่ี กิดระหว่างผิวสมั ผัสของวตั ถุ เป็นแรงต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ มีทิศตรงขา้ ม
กับทศิ การเคล่อื นทีข่ องวตั ถเุ สมอ แบง่ ออกเปน็ 3 ชนดิ ได้แก่ แรงเสียดทานสถติ
144
แรงเสียดทานจลน์ แรงเสียดทานหมุน.............................................................................................
9. วธิ ลี ดแรงเสียดทานในงานชา่ งทาํ ไดโ้ ดยวธิ ีการดงั ตอ่ ไปนี้
1. ทําให้ผิวหนา้ สัมผสั เรยี บ
2. การชโลมด้วยนา้ํ มัน หรือ การใชจ้ าระบี
3. การใชแ้ บริง ในงานชา่ งบางอย่าง เช่นการหมนุ ของเพลาตา่ งๆ จะมีการเสยี ดสรี ะหว่างหนา้ สัมผสั
ของเพลากับตวั รองรบั แบริงท่ีใช้ ไดแ้ ก่ บอลแบริง โรลเลอรแ์ บรงิ นีดเดิลแบริง
4. การใช้วสั ดุลดความฝืด โดยใช้วิธีการเคลอื บบนผวิ ชนิ้ งานทม่ี ีการเสยี ดสี วัสดลุ ดความฝดื ไดแ้ ก่
ตะกั่วผสมทองแดง สงั กะสผี สมทองแดง และ พลวง
10. การเคลื่อนท่ขี องวัตถุตอ่ ไปนีจ้ ัดเป็นการเคล่อื นที่แบบใด
10.1 ล้อรถกําลงั เคลอื่ นทีบ่ นถนน….การเคลื่อนท่ีแบบหมุน และ เลือ่ นตาํ แหนง่ ................
10.2 มะพร้าวหลน่ จากตน้ ……การเคลอื่ นท่ีแบบเลื่อนตาํ แหนง่ ..........................................
10.3 การเคล่ือนท่ีของลกู ตมุ้ นาฬกิ า…....การเคลอ่ื นที่แบบสั่น............................................
10.4 การเคล่ือนทขี่ องลกู ข่าง……การเคลอื่ นที่แบบหมุน....................................................
145
แบบทดสอบหน่วยที่ 4
คาสั่ง จงเลือกคาํ ตอบท่ีถกู ที่สดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว แลว้ กาเครือ่ งหมายกากบาท (X) ลงในชอ่ ง ใน
กระดาษคาํ ตอบ
1. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ความหมายของแรง
ก. อาํ นาจอยา่ งหนงึ่ ทีท่ ําใหว้ ตั ถุมีความเรง่
ข. เปน็ ปริมาณท่มี ีท้งั ขนาด และ ทิศทาง
ค. ทําให้วตั ถเุ ปลีย่ นทิศทางการเคล่อื นที่ หรอื เปลี่ยนรปู รา่ ง
ง. สิ่งทีท่ าํ ให้วตั ถุมวล 1 กโิ ลกรัม เคล่อื นที่ด้วยความเรว็ 1 เมตร/วนิ าที
2. ข้อใด ไมใ่ ช่ ผลที่เกิดจากการกระทําของแรง
ก. มะมว่ งหลน่ จากต้น
ข. สมพงษถ์ กู มดี บาดมอื
ค. รถยนตม์ คี วามเร็วลดลง
ง. รถยนตม์ ีความเรว็ คงที่
3. แรงใดทต่ี น้ กาํ เนดิ ของแรงไม่จําเปน็ ตอ้ งสัมผัสกับวัตถุแต่ทําให้วัตถุเคล่ือนทีไ่ ด้
ก. แรงดึง ข. แรงผลกั
ค. แรงโน้มถ่วง ง. แรงลม
4. การกระทําในขอ้ ใดทาํ ใหเ้ กิดแรงอดั
ก. แดงนั่งบนเกา้ อี้ ข. ดําใชก้ รรไกรตดั แผ่นเหล็ก
ค. เขยี วบิดผ้าเม่ือซกั เสรจ็ แล้ว ง. ส้มขงึ ลวดราวตากผ้า
5. วตั ถุทข่ี ีดเสน้ ใต้ขอ้ ใดได้รบั แรงดึง
ก. การตอกเสาเข็ม ข. การตัดเหล็ก
ค. การเคลื่อนท่ีของเพลาในเครื่องจกั ร ง. ลวดสลิงยึดเสาไฟฟูา
6. ข้อใด ไมใ่ ช่ แรงพืน้ ฐานในธรรมชาติ
ก. แรงโนม้ ถว่ ง
ข. แรงดงึ เชือก
ค. แรงนวิ เคลยี ร์
ง. แรงแม่เหลก็
7. ข้อใดเป็นการเคล่อื นท่แี บบหมุนและเลอื่ นตําแหน่งพร้อมกนั
ก. การเคล่อื นท่ีของชิงชา้
ข. การเคลอ่ื นทข่ี องล้อรถยนต์
ค. การเคลอ่ื นทข่ี องใบพัดของพดั ลมโคจร
ง. การเตะลูกฟุตบอลใหโ้ ดง่
146
8. การเคล่ือนท่ีในข้อใดท่ีทาํ ใหก้ ารกระจัดมคี ่าเป็นศูนย์
ก. การเคลื่อนที่ของลมพายุผา่ นเส้นศูนย์สูตร
ข. การเคล่อื นทข่ี องบั้งไฟพญานาค
ค. การโยนก้อนหินขึ้นไปในอากาศและตกกลับสู่จุดเดิม
ง. การหล่นของลูกมะพร้าวลงสูพ่ ้นื ดนิ
9. ขอ้ ใดเป็นการนําความรูเ้ รอ่ื งแรงนิวเคลียร์มาใช้ประโยชน์
ก. ใชผ้ ลิตกระแสไฟฟูา
ข. ใช้เป็นระบบนาํ รอ่ งในการบิน
ค. ใช้ผลิตหลอดภาพอิเลก็ ตรอน
ง. ขับเคล่อื นเคร่อื งบินความเรว็ สงู
10. การคมนาคมขนสง่ ในปัจจบุ ัน เปน็ การใช้ประโยชน์จากการเคลือ่ นทีแ่ บบใดมากท่ีสุด
ก. การเคล่ือนที่แบบมีคาบ
ข. การเคลอ่ื นท่แี บบเล่อื นตาํ แหน่ง
ค. การเคลอื่ นที่แบบหมนุ
ง. การเคล่อื นท่แี บบส่ัน
147
เฉลยแบบทดสอบหนว่ ยท่ี 4
1. ง. สงิ่ ที่ทาํ ใหว้ ตั ถมุ วล 1 กโิ ลกรมั เคลื่อนท่ดี ้วยความเรว็ 1 เมตร/วนิ าที
2. ง. รถยนตม์ ีความเร็วคงท่ี
3. ค. แรงโนม้ ถ่วง
4. ก. แดงนั่งบนเก้าอ้ี
5. ง. ลวดสลิงยึดเสาไฟฟูา
6. ข. แรงดงึ เชอื ก
7. ข. การเคล่อื นท่ขี องล้อรถยนต์
8. ค. การโยนกอ้ นหินขนึ้ ไปในอากาศและตกกลับส่จู ดุ เดมิ
9. ก. ใช้ผลติ กระแสไฟฟูา
10. ข. การเคลอ่ื นท่ีแบบเลอื่ นตําแหน่ง
แผนการจดั การเรยี นรู้ 148
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทกั ษะชีวิต พส.8
ชือ่ หน่วย โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ
เร่อื ง โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ หนว่ ยที่ 5
เวลารวม 9 ชม.
สัปดาห์ 8/18
จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคัญ
อะตอม เปน็ อนุภาคท่เี ล็กมองไมเ่ หน็ ดว้ ยตาเปลา่ การศึกษาโครงสร้างอะตอมนกั วทิ ยาศาสตร์ตอ้ ง
สร้างแบบจาํ ลองอะตอม และตัง้ ทฤษฎขี ึ้นมาเพือ่ ใชอ้ ธบิ ายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ทีเ่ กิดขึ้นจากการทดลอง
แบบจําลองอะตอมมกี ารพัฒนาเปลีย่ นแปลงไปตลอด เนอ่ื งจากมกี ารทดลองค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ที่เกดิ ข้ึนใน
อะตอม และแบบจําลองอะตอมเดมิ ไมส่ ามารถใช้อธิบายได้ นักวทิ ยาศาสตร์จึงต้องสรา้ งแบบจําลองอะตอมขน้ึ
ใหม่เพือ่ ใชอ้ ธบิ าย
2. สมรรถนะประจาหนว่ ย
แสดงความรแู้ ละปฏบิ ัตเิ กยี่ วกบั โครงสรา้ งอะตอมและตารางธาตุ
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายความหมายของอะตอมได้
2. เขียนสัญลักษณ์นิวเคลียรแ์ ละสญั ลกั ษณ์ของธาตุได้
4. สาระการเรยี นรู้
1. การพัฒนาแบบจําลองอะตอม
อะตอม เป็นอนุภาคทเ่ี ล็กมองไมเ่ หน็ ด้วยตาเปล่า การศึกษาโครงสร้างอะตอมนักวิทยาศาสตร์ต้อง
สร้างแบบจําลองอะตอม และต้ังทฤษฎีขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นจากการทดลอง
แบบจําลองอะตอมมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตลอด เนื่องจากมีการทดลองค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ท่ีเกิดขึ้นใน
อะตอม และแบบจาํ ลองอะตอมเดิมไม่สามารถใชอ้ ธบิ ายได้ นกั วิทยาศาสตรจ์ ึงต้องสร้างแบบจําลองอะตอมขึ้น
ใหม่เพื่อใชอ้ ธิบาย
2. อนุภาคมูลฐานของอะตอม
ในปี ค.ศ.1932 (พ.ศ.2475) เจมส์ แซดวิก นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้ทําการทดลอง
ยิงอนุภาคแอลฟาไปยังธาตุต่าง ๆ และพบอนุภาคที่เป็นกลางทางไฟฟูาอยู่ในนิวเคลียส และเรียกช่ือว่า
“นิวตรอน” การค้นพบนวิ ตรอนทําให้ความรูเ้ กยี่ วกับนิวเคลียสของอะตอมกระจ่างขึ้น ทําให้ทราบว่า อะตอม
ประกอบด้วยอนุภาค 3 ชนิด คือ โปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน และเรียกอนุภาคท้ังสามชนิ ดนี้ว่า
“อนภุ าคมลู ฐานของอะตอม”
149
3. สัญลักษณ์นวิ เคลยี ร์
สัญลักษณ์นิวเคลียร์เป็นสัญลักษณ์ที่เขียนขึ้น เพื่อให้รายละเอียดเก่ียวกับจํานวนโปรตอน
นวิ ตรอน และอิเล็กตรอน การเขียนสญั ลกั ษณ์นวิ เคลยี ร์จะตอ้ งระบุเลขอะตอมไว้ตรงมุมล่างซ้าย และระบุเลข
มวลไว้ที่มมุ บนซ้ายของสัญลักษณ์ดังนี้
เลขมวล สญั ลกั ษณข์ องธาตใุ ด ๆ
เลขอะตอม
เมื่อ X แทน สญั ลักษณ์ของธาตุใด ๆ
A แทน เลขมวล (= โปรตอน + นิวตรอน)
Z แทน เลขอะตอม (= โปรตอน = อิเลก็ ตรอน)
ดงั นัน้ จาํ นวนนิวตรอน = A – Z (เลขมวล – เลขอะตอม)
5. กิจกรรมการเรยี นรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกชื่อ สํารวจการแต่งกาย พร้อมท้ังบันทึกลงในแบบ
สงั เกตความมีวินยั และความรบั ผิดชอบ
2. ขั้นนาํ เข้าสบู่ ทเรียน
2.1 ครูฉายภาพดิโมครติ ุส นักปราชญ์ชาวกรีกให้นักเรียนดูแล้วสนทนา เร่ือง ความเชื่อของคน
ในสมัยโบราณเก่ียวกับอะตอมว่า เป็นสิ่งที่เล็กที่สุดไม่สามารถแบ่งแยกได้ แต่ปัจจุบันความคิดดังกล่าว
เปลย่ี นไปแลว้ จากนั้นโยงเข้าสกู่ ารเรียนเก่ยี วกบั โครงสรา้ งอะตอม
2.2 ทําแบบทดสอบกอ่ นเรียน
3. ขนั้ สอน
3.1 นกั เรยี นจดั กลุ่มๆ ละ 4-5 คน
3.2 ครใู ห้นกั เรยี นทําใบกิจกรรมที่ 10
3.3 นักเรยี นตัวแทนกล่มุ นําเสนอผลการทํากจิ กรรมและรว่ มกนั อภิปรายกับครผู ู้สอน
3.4 ครูให้ความรู้ เร่ือง แบบจําลองอะตอมของดอลตัน แบบจําลองอะตอมของ ทอมสัน
แบบจําลองอะตอมของรัทเทอรฟ์ อร์ด แบบจําลองอะตอมของนีลส์โบร์ และแบบจาํ ลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก
และอนุภาคมลู ฐานของอะตอม และสญั ลกั ษณน์ ิวเคลียร์ โดยใช้สอื่ PowerPoint
4 . ขั้นสรปุ
ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายสรปุ ผลการทํากจิ กรรมเพ่ือสรปุ เนอื้ หาที่เรยี น
6. ส่ือและแหล่งการเรียนรู้
6.1 สื่อส่ิงพมิ พ์
1. ใบความรู้ โครงสร้างอะตอมและตารางธาตุ
150
2. ใบกิจกรรม 10
3. แบบทดสอบก่อนเรยี น โครงสรา้ งอะตอมและตารางธาตุ
4. แบบทดสอบหลงั เรียน โครงสรา้ งอะตอมและตารางธาตุ
6.2 ส่อื โสตทัศน์
PowerPoint สรุปเนื้อหาโครงสรา้ งอะตอมและตารางธาตุ
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกจิ กรรม
3. แบบทดสอบ
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอา้ งองิ
1. หนังสือเรยี นรายวิชา วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชีวิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมินผล
10.1 กําหนดการประเมินพทุ ธพิ สิ ยั
1. อธิบายความหมายของอะตอมได้
2. เขยี นสญั ลักษณน์ วิ เคลยี ร์และสญั ลกั ษณ์ของธาตไุ ด้
10.2 เครอื่ งมือทใ่ี ชป้ ระเมินทกั ษะพสิ ยั
1. ใบงาน ,ใบกจิ กรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครอื่ งมอื การประเมนิ จิตพสิ ัย
1. แบบประเมนิ จติ พิสัย