The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kib Kab, 2022-05-12 22:14:07

แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรียนรู้

51

พส.11
บันทึกหลังการจัดการเรยี นรู้
รหัสวิชา...........................ชอื่ วชิ า..................................................................................ระดับช้ัน................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาหท์ ่.ี .........วันที่สอน.........................................
หนว่ ยที.่ ...........ชอื่ หน่วย.........................................................................................................จาํ นวน..................ชั่วโมง

1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงช่ือ.......................................................ครผู ูส้ อน
(นางสาวกนั ตยา เลิศอรุณรัตน์)
........../................/............

ความเห็น................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงชื่อ...............................................หัวหนา้ แผนกวิชา ลงชอื่ ...........................................รองผอู้ ํานวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บวั ดี) (นางสาวนิศากร เจริญดี)
............/................../............
............/................../............

52

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2

ชื่อหนว่ ย โครงงานวทิ ยาศาสตร์

เรื่อง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จานวนชวั่ โมงสอน 3

จุดประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรียนรู้

- จุดประสงค์ทัว่ ไป 1. ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์

1. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในข้ันตอนการทาํ โครงงาน 2. ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์

วทิ ยาศาสตร์ 3. ข้นั ตอนการทําโครงงานวิทยาศาสตร์

2. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจในประเภทของโครงงาน

วิทยาศาสตร์

- จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม

1. อธิบายขนั้ ตอนการทาํ โครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้

2. จาํ แนกประเภทของโครงงานได้

เนอ้ื หาสาระ
ความหมายของโครงงาน

โครงงาน (Project Approach) คือ กจิ กรรมท่เี ปดิ โอกาสให้ ผ้เู รียนไดท้ าการศึกษาค้นควา้ และฝึกปฏบิ ัติด้วย
ตนเองตามความสามารถ ความถนดั และความสนใจ โดยอาศยั กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื กระบวนการ
อ่นื ๆ ไปใชใ้ นการศึกษาหาคาตอบ โดยมคี รูผสู้ อนคอยกระตุ้นแนะนาและใหค้ าปรกึ ษาแก่ผู้เรียนอย่างใกล้ชิด ต้ังแต่
การเลือกหวั ขอ้ ท่จี ะศึกษา คน้ ควา้ ดาเนนิ งานตามแผน กาํ หนดข้ันตอนการดาเนนิ งานและการนาเสนอผลงาน ซึ่ง
อาจทาเป็นบคุ คลหรือเป็นกลมุ่ โครงงาน คือ การศึกษาค้นคว้าเกีย่ วกับส่ิงใดส่งิ หนึ่ง หรือหลายๆส่งิ ทอ่ี ยากรคู้ าตอบ
ให้ลึกซ้ึง หรือเรยี นรู้ในเรอ่ื งนนั้ ๆใหม้ ากขน้ึ โดยใช้กระบวนการ วธิ ีการท่ศี กึ ษาอย่างมรี ะบบ เปน็ ข้นั ตอน มกี าร
วางแผนในการศึกษาอยา่ งละเอยี ด ปฏบิ ัตงิ านตามแผนทว่ี างไว้ จนไดข้ อ้ สรปุ หรอื ผลสรปุ ทเี่ ปน็ คาํ ตอบในเร่ืองนนั้ ๆ

หลกั การทาโครงงาน

 เน้นการแสวงหาความร้ดู ้วยตนเอง

 ผู้เรยี นเปน็ ผู้วางแผนในการศกึ ษาคน้ คว้าเอง

 ลงมอื ปฏบิ ตั เิ อง

 นาเสนอโครงงานเอง

53

 ร่วมกาํ หนดแนวทางวดั ผลและประเมนิ ผล
จุดมุ่งหมายในการทาโครงงาน

 เพ่ือให้ผูเ้ รียนไดศ้ ึกษาขอ้ มูลจากแหล่งความรูต้ ่าง ๆ ด้วยตนเอง

 เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นได้แสดงออกซ่งึ ความคิดริเรมิ่ สร้างสรรค์

 เพ่อื ให้ผเู้ รยี นเกิดคุณลกั ษณะทพ่ี งึ ประสงค์ เช่น ร้จู ักทางานร่วมกบั บุคคลอื่น มคี วามเช่ือมน่ั ในตนเอง มคี วาม
รบั ผดิ ชอบฯ

 เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นใช้ความรูแ้ ละประสบการณ์เลือกทาโครงงานตามความสนใจ
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ การศกึ ษาเพ่อื พบข้อความรูใ้ หม่ สง่ิ ประดิษฐ์ใหมๆ่ ทางวิทยาศาสตร์ดว้ ยตวั

ของผู้เรียนเอง โดยใชว้ ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ในการแก้ปญั หาโดยมคี รอู าจารย์และผ้เู ช่ยี วชาญเปน็ ผู้ให้คาํ ปรึกษา
ประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
โครงงานวทิ ยาศาสตร์มี 4 ประเภท

1. โครงงานประเภทการทดลอง
2. โครงงานประเภทการสํารวจรวบรวมขอ้ มลู
3. โครงงานประเภทการสร้างสง่ิ ประดษิ ฐ์
4. โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎแี ละหลักการ
1. โครงงานประเภทการทดลอง

เปน็ โครงงานท่ีมีการสํารวจรวบรวมข้อมลู แลว้ นาํ มาจาํ แนกเปน็ หมวดหมู่ นําเสนอใน แบบตา่ ง ๆ เพือ่ ให้เห็น
ลักษณะ หรือเป็นโครงงานท่มี ีการออกแบบการทดลองเพ่ือศกึ ษาผลของตัวแปรอิสระที่มตี อ่ ตัวแปรตาม โดย
ควบคมุ ตัวแปรอน่ื ๆ ท่จี ะมีผลต่อการทดลอง ความสมั พันธข์ องเรื่องทศี่ ึกษาได้ชัดเจนข้นึ ตวั อย่างเชน่

โครงงานปลูกผักลอยฟูาไรส้ ารพิษ
โครงงานศึกษาสูตรอาหารไก่ตอน
โครงงานการศกึ ษาขนมอบชนดิ ต่างๆ
โครงงานทดลองปลกู พืชโดยไมใ่ ชด้ นิ
โครงงานการใช้ฮอร์โมนกับกง่ิ กุหลาบ
โครงงานการยืดอายขุ องกหุ ลาบตัดดอก
2. โครงงานประเภทการสารวจรวบรวมข้อมูล
เปน็ โครงงานการศกึ ษาท่ีเกิดจากปัญหาความไม่รู้ ตอ้ งการท่จี ะร้สู ่งิ ใดสง่ิ หน่งึ จงึ ดําเนินการสํารวจ
หรือเก็บรวบรวมขอ้ มูลเรอ่ื งใดเรือ่ งหนงึ่ ท่มี อี ยู่ตามธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม แล้วนําเอาข้อมูลนน้ั มาจาํ แนกเป็น
หมวดหมู่ ในรูปแบบทเ่ี หมาะสม เช่น แบบสอบถาม แบบสมั ภาษณ์ แบบบนั ทกึ เป็นต้น เพ่ือนําไปใชใ้ นการ
วางแผนหรอื พัฒนางาน หรอื ดาํ เนนิ การพัฒนาปรับปรงุ เพ่ิมเตมิ ผลงานและสง่ เสรมิ ผลผลิตให้มคี ุณภาพดียงิ่ ขน้ึ แล้ว
นําเสนอในรปู แบบตา่ งๆ เช่น ตาราง กราฟ แผนภมู ิ และคาํ อธิบายประกอบ เพื่อใหเ้ หน็ ลกั ษณะหรอื
ความสมั พันธ์ในเร่ืองที่ศกึ ษาชดั เจนยิ่งข้นึ โดยข้อมูลน้นั อาจมีผจู้ ัดทาํ แต่มีการแปรเปลย่ี นไปแล้ว ตอ้ งสํารวจจดั ทํา
ข้ึนมาใหมใ่ ห้ทันสมยั อยเู่ สมอ ตัวอย่างเช่น

54

การศกึ ษาพฤตกิ รรมระหวา่ งมดกบั หนอนชอนเปลอื กต้นลองกอง
ศึกษาความสว่างของแสงภายในห้องเรยี นของโรงเรียนปญั ญาวรคณุ
การสํารวจความหลากหลายของแมลงกลางคืนในท้องท่ีอาํ เภอสีควิ้ จังหวัดนครราชสีมา
3. โครงงานประเภทการสรา้ งสง่ิ ประดิษฐ์
เป็นโครงงานท่ีเก่ียวกบั การประยุกตท์ ฤษฎี หรอื หลกั การทางวทิ ยาศาสตรม์ าประดิษฐเ์ ครื่องมือเครอ่ื งใช้ หรือ
อปุ กรณเ์ พื่อประโยชนใ์ ชส้ อยต่าง ๆ อาจคิดประดิษฐข์ องใหม่ หรือปรับปรุง ดัดแปลงของเดมิ ท่มี ีอยู่แลว้ ใหม้ ี
ประสิทธภิ าพสูงขนึ้ ตัวอย่างโครงงานประเภทการสรา้ งส่ิงประดิษฐ์
Digital Counter
เครอื่ งขจัดคราบนํา้ มัน
เครื่องตรวจ(pH)ดนิ เพ่ือปลกู ผัก
เคร่อื งกาํ จัดฝนุ ละอองในโรงงานโม่หนิ
กลอ่ งดักจับแมลงวันไฮเทค (จากพฤติกรรมการบินของแมลงวนั )
4. โครงงานประเภทการสร้างทฤษฎี
เปน็ โครงงานทีไ่ ดเ้ สนอทฤษฎี หลกั การ หรือแนวความคิดใหม่ ๆ ซ่ึงอาจอยใู่ นรปู ของสตู ร สมการ หรอื
คําอธิบายกไ็ ด้ โดยผู้เสนอได้ตงั้ กตกิ า หรือขอ้ ตกลงนัน้ หรืออาจใชก้ ติกาและข้อตกลงเดิมมาอธิบายปรากฏการณ์
ต่างๆ ในแนวใหม่ อาจเสนอหลักการ แนวความคิด หรือจินตนาการที่ยังไม่มีใครคิดมากอ่ น อาจเป็นการขัดแย้ง
หรือขยายทฤษฎเี ดมิ แต่จะต้องมีข้อมลู หรอื ทฤษฎีอื่นมาสนับสนนุ อา้ งองิ ตัวอยา่ งโครงงานประเภทการสร้าง
ทฤษฎี เนอ่ื งจากโครงงานประเภทนี้ ผูท้ าํ โครงงานจะตอ้ งมีพนื้ ฐานความรูท้ างวิทยาศาสตร์เป็นอยา่ งดี และตอ้ ง
ทําการศกึ ษาค้นควา้ เร่ืองราวที่เกีย่ วขอ้ งเป็นอยา่ งมาก จนมคี วามรู้อยา่ งกวา้ งขวาง และลึกซึ้งในเรื่องทเ่ี กยี่ วขอ้ ง
ดงั นนั้ จงึ ยงั ไม่เคยมผี ้ทู าํ โครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทน้ีสง่ เข้าประกวดกับสมาคมวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยศี ึกษา
ไทยเลย ตวั อย่างโครงงานต่อไปนจี้ ึงมไิ ดเ้ ปน็ โครงงานทนี่ ักเรยี นระดบั มัธยมศกึ ษาเป็นผู้ทาํ ไว้
ทฤษฎสี มั พนั ธภาพ (E = mc2)
การอธิบายอวกาศแนวใหม่
กําเนิดของทวีปและมหาสมทุ ร
การกาํ เนดิ ของแผ่นดนิ ไหวในประเทศไทย
การอธิบายเรือ่ งราวการดํารงชวี ิตในอวกาศของมนษุ ย์

ขนั้ ตอนการทาโครงงานการทาโครงงานมขี น้ั ตอนการปฏิบัติ ดังน้ี
1. การคดิ และการเลอื กหวั เรอ่ื ง ผเู้ รยี นจะตอ้ งคดิ และเลอื กหวั เรอ่ื งของโครงงานด้วยตนเองว่าอยากจะศกึ ษา
อะไร ทาํ ไมจึงอยากศกึ ษา หวั เรื่องของโครงงานมกั จะไดม้ าจากปัญหา คําถามหรอื ความอยากรูอ้ ยากเหน็
เกย่ี วกับเร่ืองต่างๆ ของผู้เรียนเอง หวั เรือ่ งของโครงงานควรเฉพาะเจาะจงและชดั เจน เมื่อใครไดอ้ า่ นชอื่ เร่อื ง
แล้วควรเข้าใจและรเู้ รอื่ งว่าโครงงานนีท้ าํ จากอะไร การกําหนดหวั เรอ่ื งของโครงงานนนั้ มแี หล่งท่จี ะชว่ ย
กระตนุ้ ใหเ้ กดิ ความคิดและความสนใจหลายแหล่งดว้ ยกนั เชน่ จากการอา่ นหนงั สอื เอกสาร บทความ การ
เยี่ยมชมสถานท่ีต่างๆ การฟังบรรยายทางวิชาการ การเขา้ ชมนทิ รรศการหรืองานประกวดโครงงานทาง

55

วิทยาศาสตร์ การสนทนากบั บุคคลตา่ งๆ หรอื จาการสังเกตปรากฏการณต์ ่างๆ รอบตัว เป็นต้น
นอกจากน้ี ควรคาํ นึงถึงประเดน็ ต่อไปนี้
– ความเหมาะสมของระดบั ความรู้ ความสามารถของผเู้ รียน
– วัสดุ อปุ กรณ์ ท่ีใช้
– งบประมาณ
– ระยะเวลา
– ความปลอดภยั
– แหล่งความรู้
2. การวางแผน
การวางแผนการทําโครงงาน จะรวมถงึ การเขียนเค้าโครงของโครงงาน ซึ่งต้องมกี ารวางแผนไว้
ลว่ งหน้า เพ่ือให้การดําเนินการเปน็ ไปอย่างรัดกมุ และรอบคอบ ไมส่ บั สน แล้วนําเสนอตอ่ ผู้สอนหรอื ครูท่ี
ปรกึ ษาเพือ่ ขอความเหน็ ชอบก่อนดําเนินการข้ันตอ่ ไป การเขียนเคา้ โครงของโครงงาน โดยท่วั ไป เขยี นเพ่ือ
แสดงแนวคิด แผนงาน และข้ันตอนการทําโครงงาน ซึ่งควรประกอบดว้ ยหวั ข้อตอ่ ไปนี้
1) ช่อื โครงงาน ควรเปน็ ขอ้ ความทกี่ ะทัดรัด ชัดเจน สื่อความหมายไดต้ รง
2) ชื่อผทู้ ําโครงงาน
3) ช่อื ทป่ี รกึ ษาโครงงาน
4) หลักการและเหตุผลของโครงงาน เป็นการอธบิ ายวา่ เหตุใดจึงเลือกทําโครงงานเรอ่ื งน้ี มีความสาํ คัญ
อย่างไร มีหลกั การหรือทฤษฎอี ะไรท่ีเกี่ยวขอ้ ง เรือ่ งทีท่ าํ เปน็ เรอื่ งใหม่หรอื มีผอู้ น่ื ไดศ้ กึ ษาคน้ คว้าเรือ่ งนไ้ี ว้
บ้างแล้ว ถ้ามีไดผ้ ลอยา่ งไร เรื่องท่ีทําไดข้ ยายเพ่ิมเติม ปรับปรงุ จากเรือ่ งทผ่ี อู้ น่ื ทําไวอ้ ยา่ งไร หรือเป็นการ
ทาํ ซํ้าเพอ่ื ตรวจสอบผล
5) จุดมุ่งหมายหรอื วัตถปุ ระสงค์ควรมีความเฉพาะเจาะจง และสามารถวดั ได้ เปน็ การบอกขอบเขตของงานที่
จะทาํ ได้ชดั เจนขึ้น
6) สมมติฐานของการศึกษาคน้ คว้า (ถ้ามี) สมมติฐานเป็นคาํ ตอบหรือคําอธบิ ายท่ีคาดไว้ล่วงหนา้ ซึง่ อาจจะ
ถูกหรอื ไม่กไ็ ด้ การเขยี นสมมติฐานควรมีเหตมุ ีผลมีทฤษฎหี รอื หลักการรองรับ และท่สี าํ คัญ คอื เป็น
ข้อความทมี่ องเห็นแนวทางในการดาํ เนนิ การทดสอบได้ นอกจากนคี้ วรมีความสัมพันธร์ ะหว่างตวั แปรอสิ ระ
และตวั แปรตามด้วย
7) วิธดี าํ เนนิ งานและข้ันตอนการดาํ เนนิ งาน จะตอ้ งอธบิ ายว่า จะออกแบบการทดลองอะไรอยา่ งไร จะเกบ็
ขอ้ มลู อะไรบ้างรวมท้ังระบุวัสดุอุปกรณ์ทีจ่ ําเป็นต้องใช้ มีอะไรบ้าง
8) แผนปฏบิ ัติงาน อธิบายเก่ยี วกบั กําหนดเวลาตง้ั แตเ่ ริ่มต้นจนเสรจ็ สิน้ การดําเนินงานในแตล่ ะขั้นตอน
9) ผลที่คาดวา่ จะได้รับ
10) เอกสารอา้ งอิง
3. การดําเนินงาน
เมอ่ื ท่ีปรกึ ษาโครงงานใหค้ วามเห็นชอบเค้าโครงของโครงงานแลว้ ต่อไปก็เป็นขั้นลงมอื ปฏบิ ตั ิงานตาม

56

ขัน้ ตอนทรี่ ะบุไว้ ผู้เรยี นตอ้ งพยายามทาํ ตามแผนงานทีว่ างไว้ เตรียมวัสดุอปุ กรณแ์ ละสถานที่ใหพ้ รอ้ ม
ปฏิบตั ิงานดว้ ยความละเอยี ดรอบคอบ คาํ นงึ ถงึ ความประหยดั และปลอดภัยในการทาํ งาน ตลอดจนการ
บนั ทกึ ขอ้ มูลต่างๆ วา่ ไดท้ าํ อะไรไปบา้ ง ได้ผลอย่างไร มปี ญั หาและข้อคิดเห็นอย่างไร พยายามบันทึกให้
เป็นระเบยี บและครบถ้วน
4. การเขียนรายงาน
การเขยี นรายงานเกี่ยวกับโครงงาน เปน็ วธิ สี ือ่ ความหมายวธิ ีหนึง่ ที่จะใหผ้ ู้อนื่ ไดเ้ ข้าใจถึงแนวคิด วธิ ีการ
ดาํ เนนิ งาน ผลท่ีได้ ตลอดจนข้อสรุปและข้อเสนอแนะตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวกบั โครงงานน้นั การเขียนโครงงานควร
ใช้ภาษาทอ่ี า่ นแลว้ เขา้ ใจง่าย ชัดเจนและครอบคลมุ ประเด็นสาํ คญั ๆ ทั้งหมดของโครงงาน
5. การนําเสนอผลงาน
การนําเสนอผลงาน เป็นข้นั ตอนสุดท้ายของการทาํ โครงงานและเขา้ ใจถงึ ผลงานนัน้ การนาํ เสนอผลงาน
อาจทาํ ได้หลายรปู แบบ ขึ้นอย่กู บั ความเหมาะสมต่อประเภทของโครงงาน เนื้อหา เวลา ระดับของผู้เรยี น เชน่
การแสดงบทบาทสมมติ การเล่าเร่ือง การเขียนรายงาน สถานการณจ์ ําลอง การสาธิต การจดั นทิ รรศการ
ซงึ่ อาจมที ง้ั การจดั แสดงและการอธบิ ายดว้ ยคาํ พูด หรอื การรายงานปากเปลา่ การบรรยาย ส่งิ สําคัญคือ
พยายามทาํ ใหก้ ารแสดงผลงานนั้นดึงดดู ความสนใจของผู้ชม มีความชดั เจน เข้าใจง่าย และมีความถูกต้องของ
เนอื้ หา

เอกสารอ้างอิง
https://www.scimath.org/lesson-chemistry/item/7079-2017-05-28-02-19-10
https://krusarayut.wordpress.com/
https://sites.google.com/site/karnngan112/home/naewthang-kar-kheiyn-5-bth

57

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่อื พฒั นาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชื่อหน่วย โครงงานวทิ ยาศาสตร์

เรื่อง โครงงานวิทยาศาสตร์ จานวนชวั่ โมงสอน 3

จุดประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรียนรู้

- จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เครื่องมอื /วสั ดุ-อปุ กรณ์

1. อธิบายข้นั ตอนการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 1. ปากกา

2. จาํ แนกประเภทของโครงงานได้ 2. กระดาษ A4

3. ทํางานร่วมกนั เปน็ กลุม่ ได้ 3. ชิน้ งาน

- ลําดบั ข้ันการทํางาน ขอ้ ควรระวัง

1. ให้นักเรียนแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3 คน 1. ควรใช้อปุ กรณ์ต่างๆด้วยความระมดั ระวัง

2. ใหก้ าํ หนดปญั หาทางวิทยาศาสตร์ 1 ปญั หา มอบงาน

3. ใหเ้ ขียนเค้าโครงของโครงงาน ภายในเวลาทีก่ าํ หนด 1. นําเสนอผลงานพรอ้ มอธิบาย

4. นาํ เสนอหนา้ ช้นั เรียน วดั ผล/ประเมินผล

1. ตรวจช้นิ งาน

2. การนําเสนอผลงาน

3. เกณฑค์ ะแนนผ่าน 50% ขึ้นไป

58

พส.14

ใบปฏิบตั งิ าน (Operation Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2

ช่ือหนว่ ย โครงงานวิทยาศาสตร์

เรอื่ ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จานวนช่วั โมงสอน 3

จุดประสงค์การเรียนรู้
- จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม

1. อธบิ ายขั้นตอนการทําโครงงานวทิ ยาศาสตรไ์ ด้
2. จําแนกประเภทของโครงงานได้
เครือ่ งมือ-อุปกรณ์-วสั ดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. รูปเลม่ โครงงานวทิ ยาศาสตร์
ลาํ ดบั ข้นั การปฏิบตั ิงาน
1. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่มกลมุ่ ละ 3 คน
2. แตล่ ะกลุ่มกําหนดปญั หาทางวทิ ยาศาสตร์ 1 ปัญหา
3. แต่ละกลมุ่ ให้เขียนรายงานโครงงานทางวทิ ยาศาสตร์ 5 บท
4. ใหท้ ําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ภายในเวลาท่ีกาํ หนด
5. ทํารปู เลม่ รายงานใหส้ มบูรณ์ และนาํ เสนอหนา้ ชั้นเรยี น
ขอ้ ควรระวงั
การทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ควรมีความระมดั ระวัง
ขอ้ เสนอแนะ
1. การสง่ งานใหต้ รงตามเวลาท่ีผสู้ อนกําหนด
2. การทดลองควรตรงประเด็นกับหวั ขอ้ โครงงานท่ีตงั้ ไว้
การประเมนิ ผล
1. การประเมินผลงานของแต่ละกลุม่
2. การประเมินรูปเลม่ โครงงาน
3. การประเมนิ ผลการนําเสนอหนา้ ช้นั เรยี น

59

เอกสารอา้ งองิ
https://www.scimath.org/lesson-chemistry/item/7079-2017-05-28-02-19-10
https://krusarayut.wordpress.com/

หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบตั ิงานในแตล่ ะขั้น

60

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2

ชอื่ หน่วย โครงงานวิทยาศาสตร์

เร่อื ง โครงงานวิทยาศาสตร์ จานวนชว่ั โมงสอน 3

จดุ ประสงค์การมอบงาน
1. เพื่อให้ผ้เู รียนอธบิ ายข้ันตอนการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตรไ์ ด้
2. เพอื่ ใหผ้ ู้เรียนจําแนกประเภทของโครงงานได้
แนวทางการปฏบิ ตั ิงาน

ให้ผ้เู รยี นทาํ งานเปน็ กลุม่ กําหนดหนา้ ที่ของแตล่ ะคนให้ชัดเจน จดั ลําดับขั้นตอนการปฏบิ ัติงานใหเ้ หมาะสม
แหลง่ ค้นคว้า

สอ่ื ออนไลน์
คาถาม/ปัญหา
1. ผู้เรียนวางแผนการทาํ งานเปน็ กลุ่มและงานเสร็จตามทีก่ าํ หนดได้หรือไม่
2. ผูเ้ รยี นอธิบายขนั้ ตอนการทาํ โครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้หรือไม่
3. ผูเ้ รียนจําแนกประเภทของโครงงานได้หรอื ไม่
กาหนดเวลาทางาน

3 ช่ัวโมง

หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏบิ ัตงิ านในแต่ละข้ัน

61

พส.16

ใบกิจกรรมท่ี 4

รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทกั ษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2 สอนคร้ังที่ 3
หน่วยที่ 2 ชือ่ หน่วย โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เวลา 1 ชม.
ชือ่ กิจกรรม ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์ เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรียนรู้

1. เพอ่ื ให้มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจเกีย่ วกับประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์

2. อธิบายกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรไ์ ด้

วัสด/ุ อุปกรณ์

1. สมุด

2. อุปกรณ์การเรียน

คาส่ัง

1. ใหน้ กั เรยี นทาเครอื่ งหมายถกู ()ลงในช่องประเภทของโครงงานทถี่ กู ต้อง

2. ให้นกั เรยี นทาํ ด้วยตนเองห้ามลอกกนั

ขอ้ ชือ่ โครงงาน ประเภทของโครงงาน

ทดลอง สาํ รวจ สิ่งประดษิ ฐ์ ทฤษฏี

1 โคมไฟอิเลก็ ทรอนิกส์

2 เครอ่ื งรดี เมลด็ สะตอ

3 การศึกษาปริมาณและชนิดของนกในอุทยาน

แหง่ ชาตทิ ะเลบนั

4 การศกึ ษาเปรียบเทียบการลดความเค็มของดินจาก

พืชทะเลสามชนิด

5 ไมเ้ ท้านําทางคนตาบอด

6 เพือ่ ศกึ ษาผลของการดับกล่ินกระเทียมโดยใช้นํ้ายา

บ้วนปากจากสมุนไพรชนดิ ตา่ ง ๆ

7 เคร่ืองวดั ระยะทางคดโค้ง

8 การศึกษาชนิดและปริมาณของสารปนเป้ือนใน

อาหารทีข่ ายในวทิ ยาลยั เทคนคิ สุราษฎรธ์ านี

9 คลนื่ การเดนิ ของกงิ้ กือ

62

ข้อ ชือ่ โครงงาน ประเภทของโครงงาน ทดลอง
ทดลอง สํารวจ สง่ิ ประดิษฐ์

10 เครอ่ื งหวา่ นลูกหอยแครง
11 การอธิบายการเกดิ ระบบสรุ ยิ ะ
12 ความเข้มข้นของคลอรีนที่มีผลต่อการอยู่รอดของ

ปลาหางนกยูง
13 ชนิดของพันธุ์ปลาท่ีพบในอ่างเก็บน้ําเข่ือนเช่ียว

หลาน
14 ผลของปยุ๋ นํ้าหมกั ชีวภาพตอ่ การเจริญเติบโตของต้น

หน้าวัว
15 เครื่องใหอ้ าหารสุนขั ทางโทรศัพท์

การประเมินผล
1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นกั เรียนทาํ ผา่ น 50 % ขน้ึ ไป

63

เฉลยใบกิจกรรมที่ 4

ขอ้ ชือ่ โครงงาน ประเภทของโครงงาน ทฤษฏี
ทดลอง สํารวจ สิง่ ประดษิ ฐ์

1 โคมไฟอิเลก็ ทรอนกิ ส์  
2 เครือ่ งรีดเมลด็ สะตอ 
3 การศึกษาปริมาณและชนิดของนกในอุทยาน 

แห่งชาติทะเลบัน 
4 การศึกษาเปรียบเทียบการลดความเค็มของดินจาก 

พชื ทะเลสามชนดิ 
5 ไมเ้ ท้านําทางคนตาบอด
6 เพอ่ื ศึกษาผลของการดับกลิ่นกระเทียมโดยใช้น้ํายา  

บ้วนปากจากสมุนไพรชนดิ ตา่ ง ๆ 
7 เครอ่ื งวัดระยะทางคดโค้ง
8 การศึกษาชนิดและปริมาณของสารปนเปื้อนใน 

อาหารที่ขายในวิทยาลยั เทคนคิ สรุ าษฎรธ์ านี
9 คล่ืนการเดนิ ของกิ้งกือ
10 เคร่ืองหว่านลกู หอยแครง
11 การอธบิ ายการเกิดระบบสุริยะ
12 ความเข้มข้นของคลอรีนท่ีมีผลต่อการอยู่รอดของ 

ปลาหางนกยูง
13 ชนิดของพันธ์ุปลาที่พบในอ่างเก็บนํ้าเข่ือนเช่ียว

หลาน
14 ผลของป๋ยุ นาํ้ หมักชีวภาพต่อการเจริญเตบิ โตของต้น 

หน้าวัว
15 เคร่อื งใหอ้ าหารสนุ ัขทางโทรศัพท์

64

แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 2

คาสง่ั จงเลือกคําตอบท่ถี ูกท่ีสดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว แลว้ กาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงในชอ่ ง  ใน

กระดาษคําตอบ

1. ข้อใดหมายถึงโครงงานวิทยาศาสตร์

ก. กิจกรรมทนี่ กั ศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตนเองอย่างเป็นระบบโดยใช้วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์

ข. กจิ กรรมทีน่ ักศกึ ษารวมกลมุ่ กันผลิตสินค้าเกี่ยวกบั วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อจาํ หน่าย

ค. กจิ กรรมท่คี รมู อบหมายให้นกั ศึกษาไปคน้ ควา้ ด้วยตนเอง

ง. เอกสารรายงานเกย่ี วกับการทดลองทางวทิ ยาศาสตร์ท่นี ักเรยี นทําส่งครู

2. โครงงานวทิ ยาศาสตร์มกี ี่ประเภท

ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท

3. ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์

ก. เพื่อใหน้ กั เรยี นใช้ความรูแ้ ละประสบการณ์เลอื กทําโครงงานตามความสนใจ

ข. เพอื่ ใหน้ ักเรยี นได้ศึกษาคน้ ควา้ หาความรูจ้ ากแหล่งเรยี นรู้ตา่ ง ๆ ด้วยตนเอง

ค. เพือ่ ใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงออกซ่ึงความคิดรเิ ริ่มสร้างสรรคแ์ ละมจี ิตวิทยาศาสตร์

ง. เพอ่ื ให้นักเรยี นมคี วามมน่ั ใจในตนเอง

4. ขอ้ ใดไมใ่ ชโ่ ครงงานวิทยาศาสตร์ประเภทสิ่งประดิษฐ์

ก. เคร่อื งใหอ้ าหารสุนขั ข. ต้ไู ปรษณียเ์ สยี งเพลง

ค. เคร่อื งวดั ความหวานของสบั ปะรด ง. กระเบื้องโมเสกจากเปลอื กไข่

5. ในการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั ตอนแรกคือขั้นตอนใด

ก. การคิดและเลือกหวั ข้อทาํ โครงงาน

ข. การศึกษาเอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งกับเร่อื งทท่ี าํ โครงงาน

ค. การเขียนเค้าโครงย่อในการทําโครงงาน

ง. การเตรียมวัสดุอปุ กรณ์

6. ถ้าต้องการศกึ ษาผลของโปรตีนต่อการออกไขข่ องนกกระทา จะต้องทําการทดลองตามข้อใด

ก. เล้ยี งนกกระทา 2 กลุม่ ด้วยอาหารท่ีมีเปอร์เซ็นต์ของโปรตีนเหมอื นกัน

ข. เลยี้ งนกกระทา 3 กล่มุ ด้วยอาหารที่มเี ปอร์เซ็นตข์ องโปรตนี เหมอื นกัน

ค. เลย้ี งนกกระทา 1 กลุม่ ดว้ ยอาหารทม่ี ีเปอร์เซน็ ต์ของโปรตนี ตา่ งกัน

ง. เลี้ยงนกกระทา 2 กลุ่ม ดว้ ยอาหารท่มี ีเปอรเ์ ซ็นตข์ องโปรตีนตา่ งกนั

7. การทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขอ้ ใดท่ีทําให้ผทู้ ําโครงงานมองเหน็ แนวทางในการทาํ โครงงานตงั้ แตเ่ รมิ่ ตน้ จน

เสรจ็ สน้ิ โครงงาน

ก. บทนํา ข. เอกสารที่เก่ยี วข้อง

ค. เคา้ โครงยอ่ โครงงาน ง. ผลการทดลอง

65

8. ในการนําเสนอแผงแสดงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ข้อใดไมจ่ ําเป็นต้องนําเสนอ

ก. บทคัดยอ่ ข. เอกสารทีเ่ กี่ยวข้อง

ค. จดุ มุ่งหมาย ง. วิธีดําเนินการทดลอง

9. การทดสอบสมมติฐานที่ว่า “เลนส์ช่วยให้มองเหน็ วตั ถุได้อย่างชัดเจน” ข้อใดเปน็ การกําหนดนยิ าม

เชิงปฏิบัตกิ ารของคําวา่ การมองเห็นอยา่ งชดั เจน ได้ถูกตอ้ งท่ีสดุ

ก. การมองเหน็ วัตถใุ นระยะท่ีกําหนด

ข. การมองเห็นวัตถุทีใ่ นระยะทก่ี าํ หนดและสามารถบรรยายรายละเอียดไดถ้ กู ตอ้ ง

ค. การมองเห็นสงิ่ ตา่ ง ๆ ทีอ่ ย่รู อบตัวไดอ้ ย่างชัดเจนในเวลาอนั สนั้

ง. การมองเหน็ สิ่งท่กี ําหนดแลว้ บอกไดว้ า่ ส่ิงนั้นคอื อะไร

10. นกั เรียนตงั้ สมมตฐิ านวา่ “ถา้ อัตราการทํางานของเอนไซม์ข้นึ อยกู่ ับอณุ หภูมิ ดงั นน้ั ถ้าอุณหภมู ติ ่างกัน การ

ทาํ งานของเอนไซมจ์ ะแตกต่างกัน” ตัวแปรต้นในสมมติฐานดงั กล่าวคือขอ้ ใด

ก. ความแตกต่างของอุณหภูมิ ข. ความเข้มข้นของเอนไซม์

ค. การทํางานของเอนไซม์ ง. ชนดิ ของเอนไซม์

66

เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยที่ 2

1. ก. กจิ กรรมท่ีนกั ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองอย่างเป็นระบบโดยใช้วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์
2. ค. 4 ประเภท
3. ง. เพื่อใหน้ กั เรยี นมีความม่ันใจในตนเอง
4. ง. กระเบอื้ งโมเสกจากเปลอื กไข่
5. ก. การคิดและเลอื กหัวข้อทําโครงงาน
6. ง. เลย้ี งนกกระทา 2 กลุ่ม ดว้ ยอาหารที่มีเปอรเ์ ซ็นตข์ องโปรตีนต่างกนั
7. ค. เค้าโครงยอ่ โครงงาน
8. ข. เอกสารทเ่ี กยี่ วข้อง
9. ข. การมองเหน็ วตั ถทุ ่ีในระยะทก่ี าํ หนดและสามารถบรรยายรายละเอียดไดถ้ กู ตอ้ ง
10. ก. ความแตกต่างของอณุ หภูมิ

67

พส.8

แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 2
เวลารวม 6 ชม.
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทกั ษะชีวติ

ชื่อหนว่ ย โครงงานวทิ ยาศาสตร์ สัปดาห์ 4/18

เรอ่ื ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จานวน 3 ชม.

1. สาระสาคญั

โครงงานวทิ ยาศาสตร์ หมายถงึ การศึกษาเพอื่ พบข้อความรู้ใหม่ สิ่งประดษิ ฐใ์ หม่ ๆ

ทางวิทยาศาสตร์ด้วยตัวของผู้เรียนเอง โดยใชว้ ิธีการทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการแกป้ ญั หาโดยมีครอู าจารย์และ

ผู้เช่ียวชาญเปน็ ผ้ใู ห้คําปรึกษา

2. สมรรถนะประจาหน่วย

แสดงความรู้และปฏิบัติเกีย่ วกบั โครงงานวิทยาศาสตร์

3. จุดประสงค์การเรียนรู้

1. เขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้

2. กาํ หนดตวั แปรจากช่ือโครงงานได้

4. สาระการเรียนรู้

1. โครงงานทางวทิ ยาศาสตร์ มี 4 ประเภท ประกอบดว้ ย ประเภทการทดลอง สํารวจรวบรวม

ข้อมลู สิง่ ประดษิ ฐ์ และทฤษฎี

2. การเขียนโครงงานทางวิทยาศาสตรป์ ระกอบดว้ ย 5 บท ได้แก่ บทท่ี 1 บทนาํ บทท่ี 2 ทฤษฎีที่

เกย่ี วของกบั การจดั สร้างโครงงาน บทท่ี 3 วธิ ดี ําเนินการ บทที่ 4 ผลการดําเนินการโครงงาน บทท่ี 5 การ

สรปุ ผลการจัดสร้างโครงงานปัญหาและข้อเสนอแนะ

5. กิจกรรมการเรียนรู้

1. ครูตรวจสอบรายช่ือผเู้ ขา้ เรียน

2. ครชู แ้ี จงรายละเอียดเกีย่ วกับคําอธบิ ายรายวิชา จดุ ประสงค์การเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล

การเรียน คุณลกั ษณะนสิ ัยที่ตอ้ งการใหเ้ กดิ ขึน้ และข้อตกลงในการเรยี น

3. แบง่ กลมุ่ นักเรียนเปน็ กลุ่มๆ ละ 5 คน

4. ข้นั นาํ เขา้ สบู่ ทเรยี น

ครตู ้งั คําถามใหน้ ักเรียนชว่ ยกนั ตอบ และร่วมอภปิ รายเพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ สรุปวา่ รายงานโครงงาน

วทิ ยาศาสตร์มกี บ่ี ท แต่ละบทคอื อะไร

5. ขั้นสอน

5.1 นกั เรียนศึกษาจากเน้อื หาในหวั ขอ้ เร่อื งโครงงานวิทยาศาสตร์

5.2 ครใู หค้ วามรูเ้ พิ่มเติม โดยใช้ส่อื PowerPoint

68

5.3 นักเรยี นทํากิจกรรมตามใบกจิ กรรมท่ี 5
5.4 ขณะนักเรียนทาํ กิจกรรมครจู ะสงั เกตการทํางานกลุ่ม
6. ข้ันสรุป
6.1 ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั เฉลยกจิ กรรม และร่วมอภิปรายสรุปบทเรยี น
6.2 นักเรยี นทําแบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยท่ี 2 โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ใช้เวลา 20 นาที
6. สอ่ื และแหลง่ การเรยี นรู้
6.1 สื่อส่งิ พมิ พ์
1. ใบความรู้ เรอื่ งโครงงานวิทยาศาสตร์
2. ใบกิจกรรมที่ 5
3. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอ่ื งโครงงานวิทยาศาสตร์
4. แบบทดสอบหลงั เรียน เร่ืองโครงงานวทิ ยาศาสตร์
6.2 ส่ือโสตทัศน์
PowerPoint สรุปเนอื้ หาโครงงานวทิ ยาศาสตร์
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ
8. กิจกรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอ้างองิ
1. หนังสือเรียนรายวิชา วิทยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาทักษะชวี ิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กาํ หนดการประเมินพุทธพิ สิ ยั

1. เขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ได้
2. กําหนดตวั แปรจากชือ่ โครงงานได้
10.2 เครือ่ งมอื ทีใ่ ชป้ ระเมินทักษะพสิ ัย
1. ใบงาน ,ใบกจิ กรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครอ่ื งมือการประเมินจติ พิสัย
1. แบบประเมนิ จติ พิสยั

69

พส.9

เครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการประเมิน

รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทกั ษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2

แบบประเมินแบบประมาณค่า (Rating scale) เกณฑ์การใหค้ ะแนน
54 321
ประเด็นการประเมนิ

1. เขียนรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตรไ์ ด้
2. กําหนดตวั แปรจากชื่อโครงงานได้

รวม
รวมทัง้ หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

70

พส.10

แบบประเมนิ จิตพิสัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)

พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไมม่ ี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรียนและการทํากิจกรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแต่งกายถกู ต้องตามระเบยี บแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตง้ั ใจและสนใจเรียน 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและสว่ นรวม 7,12

รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห์)

หมายเหตุ บรู ณาการตามคา่ นยิ มหลักของคนไทย 12 ประการ

71

พส.11
บันทึกหลงั การจัดการเรยี นรู้
รหัสวิชา...........................ชอื่ วชิ า..................................................................................ระดับช้ัน................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาห์ท่.ี .........วันที่สอน.........................................
หนว่ ยที.่ ...........ชอื่ หน่วย.........................................................................................................จาํ นวน..................ช่ัวโมง

1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงช่ือ.......................................................ครผู ูส้ อน
(นางสาวกันตยา เลศิ อรุณรัตน์)
........../................/............

ความเห็น................................................................................. ความเห็น.................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงชื่อ...............................................หวั หนา้ แผนกวิชา ลงชอื่ ...........................................รองผอู้ ํานวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บวั ดี) (นางสาวนศิ ากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............

72

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พื่อพฒั นาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2

ชอ่ื หนว่ ย โครงงานวทิ ยาศาสตร์

เรือ่ ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จานวนชวั่ โมงสอน 3

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรยี นรู้

- จุดประสงค์ท่ัวไป การเขยี นรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์

1. มีความรู้ ความเข้าใจในการเขียนรายงานโครงงาน

วทิ ยาศาสตร์

2. มีความรู้ ความเข้าใจในการกาํ หนดตวั แปรจากชือ่

โครงงาน

- จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม

1. เขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้

2. กาํ หนดตัวแปรจากชื่อโครงงานได้

เนอื้ หาสาระ
การเขียนรายงานโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย 5 บท ไดแ้ ก่
บทท่ี 1 บทนํา
บทที่ 2 ทฤษฎีท่ีเกีย่ วของกับการจดั สร้างโครงงาน
บทท่ี 3 วิธีดําเนนิ การ
บทท่ี 4 ผลการดําเนินการโครงงาน
บทที่ 5 การสรปุ ผลการจัดสรา้ งโครงงานปญั หาและข้อเสนอแนะ
การเขยี นรายงานโครงงานเปน็ รปู แบบหน่ึงของการนําเสนอผลงานของโครงงานทผี่ ้เู รียนได้ศกึ ษาคน้ ควา้ ต้ังแต่ตน้
จนจบ การกําหนดหัวข้อในการเขยี นรายงานโครงงานอาจไม่ระบตุ ายตัวเหมอื นกนั ทกุ โครงงาน ส่วนประกอบ
ของหวั ข้อในรายงานตอ้ งเหมาะสมกับประเภทของโครงงานและระดับชน้ั ของผเู้ รยี น องคป์ ระกอบของการเขียน
รายงานโครงงาน แบ่งกว้างๆ เป็น 3 สว่ น ดังน้ี
1. ส่วนปกและสว่ นต้น ส่วนปกและสว่ นตน้ ประกอบดว้ ย
1) ชื่อโครงงาน
2) ชอ่ื ผู้ทําโครงงาน ชน้ั โรงเรียน และวันเดอื นปที ่จี ดั ทํา
3) ช่อื อาจารย์ท่ปี รึกษา

73

4) คํานาํ
5) สารบญั
6) สารบัญตาราง หรอื ภาพประกอบ (ถา้ ม)ี
7) บทคัดย่อสนั้ ๆ ท่ีบอกเค้าโครงอยา่ งย่อๆ ซง่ึ ประกอบดว้ ย เร่ือง วตั ถุประสงค์ วิธกี ารศึกษา ระยะเวลา และ
สรุปผล
8) กติ ติกรรมประกาศ เพอ่ื แสดงความขอบคุณบุคคล หรอื หน่วยงานทใี่ ห้ความช่วยเหลือหรือมีสว่ นเก่ียวขอ้ ง
2. ส่วนเน้อื เร่อื ง
ส่วนเน้อื เรอื่ ง ประกอบด้วย
1) บทนํา บอกความเป็นมา ความสําคญั ของโครงงาน บอกเหตุผล หรือเหตุจูงใจในการเลอื กหวั ขอ้ โครงงาน
2) วตั ถุประสงค์ของโครงงาน
3) สมมติฐานของการศกึ ษาค้นคว้า
4) การดําเนนิ งาน อาจเขียนเปน็ ตาราง แผนผังโครงงานเพอ่ื ให้การดําเนินงานเปน็ ไปตามหัวข้อเรอ่ื ง ตรงตาม
วตั ถปุ ระสงค์ของโครงงาน และพิสจู น์คําตอบ (สมมติฐาน) ตามประเดน็ ท่ีกําหนด
ในแผนผงั โครงงานทาํ ใหเ้ หน็ ระบบการทํางานอย่างมเี ปาู หมาย มกี ารวางแผนการทาํ งาน จะเหน็ ได้ว่าส่ิงทต่ี ้องการ
ทราบ คือ หวั ข้อยอ่ ย หรอื คําถามย่อยของหัวขอ้ โครงงาน ถ้ามมี ากกว่า 1 ขอ้ กจ็ ะเรยี งลาํ ดับทีละหัวข้อ พรอ้ มทงั้
บอกสมมติฐาน วธิ ศี ึกษา และแหล่งศึกษาคน้ ควา้ ตามแผนผังให้ครบทกุ ข้อ สิง่ ที่ต้องการทราบ สมมติฐาน วธิ ี
การศึกษา แหล่งศึกษา/แหลง่ ขอ้ มูล หวั ข้อยอ่ ยจากหัวข้อเร่อื งของโครงงานที่ตอ้ งการหาคาํ ตอบ การตอบคาํ ถาม
ล่วงหน้า คน้ คว้า สอบถาม สัมภาษณ์ สังเกต ศึกษาโดยการดู-ฟัง จากส่ือชนดิ ตา่ งๆ – เอกสาร หนังสอื – สถานที่
บุคคล
5) สรปุ ผลการศึกษา เป็นการอธิบายคาํ ตอบทีไ่ ด้จากการศึกษาค้นคว้า ตามหวั ข้อยอ่ ยทตี่ อ้ งการทราบวา่ เปน็ ไป
ตามสมมติฐานหรือไม่
6) อภิปรายผล บอกประโยชน์ หรอื คุณคา่ ของผลงานท่ีได้ และบอกข้อจาํ กดั หรือปัญหา อุปสรรค (ถา้ มี) พร้อมทั้ง
บอกข้อเสนอแนะในการศึกษาคน้ คว้า โครงงานลกั ษณะใกล้เคียงกัน
3. สว่ นท้าย ประกอบดว้ ย
1) บรรณานุกรม หรอื เอกสารอา้ งองิ หรอื เอกสารที่ใช้ค้นควา้ ซง่ึ มีหลายประเภท เช่น หนงั สือ ตํารา บทความ
หรือคอลมั น์ ซ่งึ จะมีวธิ ีการเขยี นบรรณานุกรมตา่ งกนั เช่น
หนงั สือ ชอื่ นามสกลุ . ชอื่ หนังสอื . สถานทีพ่ มิ พ์ : สาํ นักพมิ พ์, ปีทีพ่ ิมพ์
บทความในวารสาร ชอื่ ผู้เขียน “ชื่อบทความ,” ชอื่ วารสาร. ปที ีห่ รือเลม่ ท่ี : หนา้ ;วนั เดอื น ปี.
คอลัมน์จากหนังสือพิมพ์ ชอ่ื ผูเ้ ขียน “ชอื่ คอลัมน์ : ชอื่ เรือ่ งในคอลัมน์” ช่อื หนังสอื พิมพ.์ วนั เดือน ป.ี หนา้ .
2) ภาคผนวก เชน่ โครงรา่ งโครงงาน ภาพกิจกรรม แบบสอบถาม บทสมั ภาษณ์

เอกสารอา้ งองิ
https://sites.google.com/a/samakkhi.ac.th

74

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพฒั นาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2

ชือ่ หน่วย โครงงานวทิ ยาศาสตร์

เรอื่ ง โครงงานวิทยาศาสตร์ จานวนช่ัวโมงสอน 3

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้

- จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เครอื่ งมอื /วสั ดุ-อปุ กรณ์

1. เขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ได้ 1. ปากกา

2. กาํ หนดตัวแปรจากชอ่ื โครงงานได้ 2. กระดาษ A4

3. ทํางานร่วมกันเป็นกลุม่ ได้ 3. ชน้ิ งาน

- ลาํ ดบั ขั้นการทาํ งาน ขอ้ ควรระวัง

1. ใหน้ ักเรียนแบ่งกล่มุ กลุ่มละ 3 คน 1. ควรใชอ้ ปุ กรณ์ตา่ งๆด้วยความระมดั ระวัง

2. ใหก้ าํ หนดปัญหาทางวิทยาศาสตร์ 1 ปัญหา มอบงาน

3. ให้เขยี นเค้าโครงของโครงงาน ภายในเวลาทก่ี ําหนด 1. นําเสนอผลงานพร้อมอธิบาย

4. นาํ เสนอหนา้ ช้ันเรยี น วัดผล/ประเมินผล

1. ตรวจช้นิ งาน

2. การนาํ เสนอผลงาน

3. เกณฑ์คะแนนผ่าน 50% ข้ึนไป

75

พส.14

ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheets)

รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2

ช่ือหน่วย โครงงานวิทยาศาสตร์

เรอื่ ง โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จานวนช่ัวโมงสอน 3

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
- จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม

1. เขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ได้
2. กาํ หนดตัวแปรจากช่อื โครงงานได้
เคร่อื งมือ-อปุ กรณ์-วัสดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. รูปเลม่ โครงงานวิทยาศาสตร์
ลาํ ดับขั้นการปฏิบตั ิงาน
1. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุ่มกลุ่มละ 3 คน
2. แตล่ ะกล่มุ กาํ หนดปญั หาทางวิทยาศาสตร์ 1 ปัญหา
3. แต่ละกลุ่มให้เขยี นรายงานโครงงานทางวิทยาศาสตร์ 5 บท
4. ให้ทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ภายในเวลาทก่ี าํ หนด
5. ทาํ รปู เลม่ รายงานใหส้ มบูรณ์ และนาํ เสนอหน้าชัน้ เรียน
ข้อควรระวัง
การทดลองทางวิทยาศาสตรค์ วรมีความระมดั ระวงั
ข้อเสนอแนะ
1. การสง่ งานให้ตรงตามเวลาท่ีผู้สอนกําหนด
2. การทดลองควรตรงประเดน็ กบั หวั ขอ้ โครงงานที่ตงั้ ไว้
การประเมินผล
1. การประเมนิ ผลงานของแตล่ ะกลุ่ม
2. การประเมนิ รูปเล่มโครงงาน
3. การประเมนิ ผลการนาํ เสนอหนา้ ช้ันเรยี น

76

เอกสารอา้ งองิ
https://www.scimath.org/lesson-chemistry/item/7079-2017-05-28-02-19-10
https://krusarayut.wordpress.com/

หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบตั ิงานในแตล่ ะขั้น

77

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พฒั นาทักษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2

ชอ่ื หน่วย โครงงานวิทยาศาสตร์

เรื่อง โครงงานวิทยาศาสตร์ จานวนชวั่ โมงสอน 6

จุดประสงค์การมอบงาน
1. เขียนรายงานโครงงานวิทยาศาสตรไ์ ด้
2. กาํ หนดตวั แปรจากชอื่ โครงงานได้
แนวทางการปฏิบัติงาน

ให้ผเู้ รยี นทํางานเปน็ กล่มุ กําหนดหนา้ ท่ขี องแตล่ ะคนให้ชัดเจน จดั ลําดับขั้นตอนการปฏบิ ัติงานใหเ้ หมาะสม
แหล่งคน้ คว้า

สอ่ื ออนไลน์
คาถาม/ปญั หา
1. ผู้เรยี นวางแผนการทํางานเปน็ กลุม่ และงานเสร็จตามท่กี าํ หนดได้หรือไม่
2. ผูเ้ รยี นเขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ได้หรือไม่
3. ผูเ้ รียนกาํ หนดตวั แปรจากชื่อโครงงานได้หรือไม่
กาหนดเวลาทางาน

3 ชวั่ โมง

หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏิบัติงานในแต่ละข้นั

78

พส.16

ใบกิจกรรมท่ี 5

รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนคร้ังที่ 4
หน่วยท่ี 2 ชอื่ หนว่ ย โครงงานวทิ ยาศาสตร์ เวลา 1 ชม.
ชอ่ื กิจกรรม กําหนดตัวแปรจากช่อื โครงงาน เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรียนรู้

1. เพอื่ ให้มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ียวกบั โครงงานวทิ ยาศาสตร์

2. เพ่อื ใหก้ ําหนดตวั แปรจากชือ่ โครงงานได้

วสั ด/ุ อุปกรณ์

1. สมุด

2. อปุ กรณ์การเรียน

คาส่งั

1. ใหน้ ักเรียนเขียนตัวแปรตน้ และตัวแปรตามจากช่ือโครงงานท่ีกําหนดให้

2. ให้นกั เรยี นทําดว้ ยตนเองหา้ มลอกกัน

ลาดบั ช่อื โครงงาน ตวั แปรตน้ ตวั แปรตาม

1 การศกึ ษาการเจริญเติบโตของดาวเรอื ง

โดยใชป้ ุ๋ยคอกตา่ งชนิดกนั

2 นาํ้ มะพรา้ วรักษาความสดของผกั

3 ผลการกาํ จัดแกส๊ คาร์บอนมอนอกไซด์

จากไอเสยี รถยนต์ ดว้ ยสนิมเหลก็

4 ผลการใชส้ มุนไพรตอ่ ความเขม้ ของสีไข่

แดงในไขไ่ ก่

5 ศกึ ษาการยืดอายุการเก็บรกั ษาผล

มะนาวโดยใชส้ ารไคโตซาน

6 การกระตุ้นความเขม้ สขี องปลากัดไทย

โดยใชน้ า้ํ หมักจากพืชแห้ง

7 การฝงั เข็มเพอ่ื เพ่ิมขนาดของผลมะนาว

8 ศึกษาความเขม้ ข้นของออกซีเ่ ตตรา้

ซัยคลนิ ต่ออตั ราการฟักไขป่ ลาเทวดา

79

ลาดบั ช่อื โครงงาน ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม
9 ผลการใชข้ มน้ิ ชนั ต่อความเข้มของสไี ข่
แดงในไขไ่ ก่
10 การศึกษาความเขม้ ข้นของแคลเซียม
คลอไรดท์ ม่ี ีผลต่อความหนาผลิตภัณฑ์
ยางประเภทประจมุ่

การประเมินผล
1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นกั เรียนทําผ่าน 50 % ขึ้นไป

เฉลยใบกิจกรรมที่ 5 80

ลาดบั ช่อื โครงงาน ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม
1 การศกึ ษาการเจรญิ เตบิ โตของดาวเรือง ป๋ยุ คอกชนิดตา่ งๆ การเจริญเติบโตของ
โดยใชป้ ยุ๋ คอกตา่ งชนิดกนั ดาวเรอื ง
2 น้ํามะพร้าวรักษาความสดของผกั นาํ้ มะพร้าว ความสดของผกั
3 ผลการกาํ จัดแกส๊ คาร์บอนมอนอกไซด์ สนิมเหลก็ ปรมิ าณแกส๊
จากไอเสียรถยนต์ ดว้ ยสนิมเหลก็ คาร์บอนไดออกไซด์ที่
ถกู กาํ จัด
4 ผลการใชส้ มุนไพรตอ่ ความเขม้ ของสีไข่ สมนุ ไพร ความเข้มของสไี ข่
แดงในไข่ไก่ แดงในไขไ่ ก่
อายกุ ารเกบ็ รกั ษาผล
5 ศึกษาการยดื อายุการเกบ็ รกั ษาผล สารไคโตซาน มะนาว
มะนาวโดยใช้สารไคโตซาน ความเข้มของสปี ลา
กัดไทย
6 การกระตุ้นความเข้มสขี องปลากัดไทย นํา้ หมักจากพืชแห้ง ขนาดของผลมะนาว
โดยใชน้ ํา้ หมักจากพืชแหง้

7 การฝังเขม็ เพื่อเพ่ิมขนาดของผลมะนาว การฝงั เข็ม

8 ศกึ ษาความเข้มข้นของออกซ่ีเตตรา้ ความเข้มขน้ ของ อัตราการฝักไขข่ อง
ซัยคลนิ ต่ออัตราการฟกั ไข่ปลาเทวดา ออกตร้าชัยคลิน ปลาเทวดา
ขมน้ิ ชัน ความเขม้ ของสีไข่
9 ผลการใช้ขมิ้นชนั ตอ่ ความเขม้ ของสีไข่ แดงในไข่ไก่
แดงในไขไ่ ก่ ความเขม้ ขน้ ของ ความหนาของ
แคลเซียมคลอไรด์ ผลติ ภัณฑ์ยาง
10 การศกึ ษาความเข้มขน้ ของแคลเซียม ประเภทจ่มุ
คลอไรด์ท่ีมผี ลต่อความหนาผลิตภณั ฑ์
ยางประเภทประจ่มุ

81

แบบทดสอบหลงั เรยี นหนว่ ยที่ 2

คาสง่ั จงเลือกคําตอบท่ถี ูกท่ีสดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว แลว้ กาเครอ่ื งหมายกากบาท (X) ลงในชอ่ ง  ใน

กระดาษคําตอบ

1. ข้อใดหมายถึงโครงงานวิทยาศาสตร์

ก. กิจกรรมทนี่ กั ศกึ ษาค้นควา้ ดว้ ยตนเองอยา่ งเปน็ ระบบโดยใช้วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์

ข. กจิ กรรมทีน่ ักศกึ ษารวมกลมุ่ กนั ผลิตสินค้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เพื่อจําหนา่ ย

ค. กจิ กรรมท่คี รมู อบหมายให้นกั ศกึ ษาไปค้นควา้ ด้วยตนเอง

ง. เอกสารรายงานเกย่ี วกับการทดลองทางวทิ ยาศาสตรท์ ่นี ักเรยี นทาํ สง่ ครู

2. โครงงานวทิ ยาศาสตร์มกี ี่ประเภท

ก. 2 ประเภท ข. 3 ประเภท ค. 4 ประเภท ง. 5 ประเภท

3. ข้อใดไม่ใช่จุดมงุ่ หมายของการทําโครงงานวิทยาศาสตร์

ก. เพื่อใหน้ กั เรยี นใช้ความรูแ้ ละประสบการณเ์ ลอื กทาํ โครงงานตามความสนใจ

ข. เพอื่ ใหน้ ักเรยี นได้ศึกษาคน้ คว้าหาความรจู้ ากแหลง่ เรียนรู้ต่าง ๆ ดว้ ยตนเอง

ค. เพือ่ ใหน้ กั เรยี นไดแ้ สดงออกซึง่ ความคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรคแ์ ละมจี ิตวทิ ยาศาสตร์

ง. เพอ่ื ใหน้ ักเรยี นมคี วามมน่ั ใจในตนเอง

4. ขอ้ ใดไมใ่ ชโ่ ครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทส่งิ ประดษิ ฐ์

ก. เคร่อื งให้อาหารสุนขั ข. ตไู้ ปรษณยี ์เสียงเพลง

ค. เคร่อื งวดั ความหวานของสบั ปะรด ง. กระเบื้องโมเสกจากเปลอื กไข่

5. ในการทาํ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขน้ั ตอนแรกคือขน้ั ตอนใด

ก. การคิดและเลือกหวั ข้อทาํ โครงงาน

ข. การศึกษาเอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั เรอ่ื งทีท่ ําโครงงาน

ค. การเขียนเค้าโครงย่อในการทําโครงงาน

ง. การเตรียมวัสดุอุปกรณ์

6. ถ้าต้องการศกึ ษาผลของโปรตีนต่อการออกไข่ของนกกระทา จะต้องทาํ การทดลองตามขอ้ ใด

ก. เล้ียงนกกระทา 2 กลุม่ ด้วยอาหารทม่ี ีเปอร์เซ็นต์ของโปรตนี เหมือนกัน

ข. เลยี้ งนกกระทา 3 กล่มุ ด้วยอาหารที่มเี ปอรเ์ ซ็นต์ของโปรตนี เหมอื นกัน

ค. เลย้ี งนกกระทา 1 กลุม่ ดว้ ยอาหารท่มี ีเปอร์เซ็นตข์ องโปรตีนตา่ งกนั

ง. เลี้ยงนกกระทา 2 กลุ่ม ดว้ ยอาหารทมี่ ีเปอรเ์ ซ็นตข์ องโปรตนี ต่างกัน

7. การทําโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ขอ้ ใดท่ีทาํ ให้ผู้ทาํ โครงงานมองเหน็ แนวทางในการทาํ โครงงานตงั้ แตเ่ ร่มิ ตน้ จน

เสรจ็ สน้ิ โครงงาน

ก. บทนํา ข. เอกสารที่เก่ยี วข้อง

ค. เคา้ โครงยอ่ โครงงาน ง. ผลการทดลอง

82

8. ในการนําเสนอแผงแสดงโครงงานวิทยาศาสตร์ ขอ้ ใดไมจ่ ําเป็นต้องนําเสนอ

ก. บทคัดยอ่ ข. เอกสารทีเ่ กี่ยวข้อง

ค. จดุ มุ่งหมาย ง. วิธดี ําเนินการทดลอง

9. การทดสอบสมมติฐานที่ว่า “เลนส์ชว่ ยให้มองเหน็ วตั ถุได้อย่างชดั เจน” ข้อใดเปน็ การกําหนดนยิ าม

เชิงปฏิบัตกิ ารของคําวา่ การมองเห็นอย่างชดั เจน ได้ถูกต้องทีส่ ดุ

ก. การมองเหน็ วัตถใุ นระยะท่ีกําหนด

ข. การมองเห็นวัตถุทีใ่ นระยะท่กี าํ หนดและสามารถบรรยายรายละเอยี ดไดถ้ กู ตอ้ ง

ค. การมองเห็นสงิ่ ต่าง ๆ ทีอ่ ยู่รอบตัวไดอ้ ย่างชัดเจนในเวลาอันส้นั

ง. การมองเหน็ สิ่งทีก่ ําหนดแล้วบอกไดว้ า่ ส่ิงน้ันคอื อะไร

10. นกั เรียนตงั้ สมมตฐิ านวา่ “ถา้ อัตราการทํางานของเอนไซม์ข้นึ อยกู่ ับอณุ หภมู ิ ดงั นน้ั ถ้าอุณหภมู ติ ่างกัน การ

ทาํ งานของเอนไซมจ์ ะแตกต่างกัน” ตัวแปรตน้ ในสมมติฐานดงั กล่าวคอื ข้อใด

ก. ความแตกต่างของอุณหภูมิ ข. ความเขม้ ขน้ ของเอนไซม์

ค. การทํางานของเอนไซม์ ง. ชนดิ ของเอนไซม์

83

เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยท่ี 2

1. ก. กจิ กรรมท่ีนกั ศกึ ษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเองอยา่ งเป็นระบบโดยใชว้ ิธีการทางวิทยาศาสตร์
2. ค. 4 ประเภท
3. ง. เพื่อใหน้ กั เรยี นมีความม่ันใจในตนเอง
4. ง. กระเบอื้ งโมเสกจากเปลอื กไข่
5. ก. การคิดและเลอื กหัวข้อทําโครงงาน
6. ง. เลย้ี งนกกระทา 2 กลุ่ม ดว้ ยอาหารที่มเี ปอรเ์ ซ็นตข์ องโปรตนี ตา่ งกัน
7. ค. เค้าโครงย่อโครงงาน
8. ข. เอกสารทเ่ี กยี่ วข้อง
9. ข. การมองเหน็ วตั ถทุ ่ีในระยะท่กี ําหนดและสามารถบรรยายรายละเอยี ดไดถ้ ูกต้อง
10. ก. ความแตกต่างของอณุ หภูมิ

แผนการจัดการเรยี นรู้ 84

รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พฒั นาทกั ษะชีวิต พส.8
ช่อื หน่วย หนว่ ยและการวัด
เร่ือง หน่วยและการวดั หน่วยที่ 3
เวลารวม 6 ชม.
สปั ดาห์ 5/18
จานวน 3 ชม.

1. สาระสาคัญ
การวัดปริมาณต่างๆ ในทางวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการเปรียบเทยี บปรมิ าณทตี่ ้องการวัดกบั หนว่ ย

ทเี่ ปน็ มาตรฐาน โดยอาศยั เครื่องมือวัดที่ถกู ตอ้ งและเหมาะสม การวัดประกอบด้วยเครอ่ื งมือวัด
ซ่ึงเป็นอปุ กรณ์ท่ใี ช้เป็นตัวกลางในการเปรียบเทยี บคา่ ของปรมิ าณท่ตี อ้ งการวัดกับมาตรฐาน วธิ กี ารวดั ตอ้ งเป็น
วิธที สี่ ะดวก ปลอดภัย และได้คา่ ทลี่ ะเอียดถกู ต้อง และหนว่ ยท่เี ป็นมาตรฐานเดียวกนั ปัจจบุ ันมรี ะบบหนว่ ยซ่งึ
ประเทศต่าง ๆ ไดต้ กลงใชร้ ว่ มกนั เปน็ มาตรฐานสากลเพอ่ื ใชไ้ ด้ทวั่ โลก เรียกว่า ระบบหน่วยระหวา่ งชาติ หรอื
เรียกย่อ ๆ ว่า ระบบ SI ซึง่ ประกอบด้วย หน่วยฐาน หนว่ ยเสรมิ หนว่ ยอนุพทั ธ์ และคําอปุ สรรค
2. สมรรถนะประจาหนว่ ย

แสดงความรู้และปฏบิ ัตเิ ก่ียวกับหน่วยและการวดั
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. บอกชื่อหนว่ ยวดั พน้ื ฐานในระบบอังกฤษ ระบบเมตรกิ และระบบ SI ได้
2. อา่ นและบนั ทกึ ผลการวดั ได้
4. สาระการเรยี นรู้
1. ระบบของหนว่ ยวัดทน่ี ยิ มใช้กันอย่ใู นปจั จบุ ัน ไดแ้ ก่ ระบบองั กฤษ ระบบเมตริก และระบบSI
ระบบหน่วย SI ประกอบด้วย หน่วยฐาน (Based Units) หน่วยเสริม (Supplementary Units) หน่วย
อนุพทั ธ์ (Derived Units) และคาํ อปุ สรรค (Prefixes)
2. การวดั (Measurement) คือ การใช้เครื่องมือช่วยในการระบุขนาดของปริมาณต่างๆ ของวัตถุ
โดยการเปรยี บเทียบกบั คา่ ปรมิ าณมาตรฐานสากล ตามหน่วยในมาตราต่างๆ ของเครื่องมอื เหล่าน้ัน
5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. นักเรียนทาํ แบบทดสอบก่อนเรียนหน่วยที่ 3 หนว่ ยและการวัด
2. แบง่ กลุม่ นกั เรียนเป็นกลุ่มๆ ละ 5 คน
3. ครูใหน้ ักเรียนดเู นอื้ หาหนว่ ยท่ี 3
4. ขน้ั นําเข้าส่บู ทเรยี น ครตู ั้งคําถามใหน้ ักเรียนช่วยกันตอบ และรว่ มอภปิ รายเพ่อื ให้ได้ขอ้ สรุป
5. ครแู จ้งจุดประสงค์การเรียนทงั้ ทฤษฎีและปฏบิ ตั ิ
6. ขัน้ สอน

85

6.1 ครอู ธบิ าย บรรยายและถามตอบ นกั เรียนศกึ ษาจากเนื้อหาในหัวข้อเร่อื ง
6.2 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ส่งตัวแทนมาอภิปรายหน้าช้นั เรยี นเพื่อสรปุ
6.3 ครูให้ความรเู้ พ่มิ เตมิ โดยใชส้ อ่ื PowerPoint
6.4 นักเรียนทาํ กจิ กรรมตามใบกจิ กรรมที่ 6
6.5 ขณะนักเรียนทาํ กจิ กรรมครูจะสงั เกตการทาํ งานกลุ่ม
7. ขั้นสรปุ ครูและนักเรียนร่วมกนั เฉลยกจิ กรรม และร่วมอภปิ รายสรุปบทเรยี น
6. สื่อและแหล่งการเรยี นรู้
6.1 ส่อื สงิ่ พมิ พ์
1. ใบความรู้ เรอ่ื งหน่วยและการวัด
2. ใบกจิ กรรมที่ 6
3. แบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื งหน่วยและการวัด
4. แบบทดสอบหลังเรยี น เรอ่ื งหนว่ ยและการวัด
6.2 สอื่ โสตทศั น์
PowerPoint สรุปเน้อื หาหน่วยและการวดั
7. หลักฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ
8. กิจกรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอ้างองิ
1. หนงั สือเรยี นรายวิชา วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชวี ิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กําหนดการประเมนิ พทุ ธพิ ิสัย

1. บอกชอื่ หน่วยวดั พื้นฐานในระบบองั กฤษ ระบบเมตริก และระบบ SI ได้
2. อา่ นและบันทึกผลการวดั ได้
10.2 เครอ่ื งมือท่ีใชป้ ระเมินทักษะพิสัย
1. ใบงาน ,ใบกิจกรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เคร่ืองมือการประเมนิ จิตพสิ ัย
1. แบบประเมนิ จติ พิสัย

86

พส.9

เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการประเมิน

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2

แบบประเมินแบบประมาณค่า (Rating scale) เกณฑ์การใหค้ ะแนน
54 321
ประเด็นการประเมนิ

1. บอกชอ่ื หนว่ ยวดั พื้นฐานในระบบองั กฤษ ระบบเมตริก
และระบบ SI ได้
2. อา่ นและบนั ทึกผลการวดั ได้

รวม
รวมทั้งหมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

87

พส.10

แบบประเมนิ จิตพิสัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)

พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไมม่ ี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรียนและการทํากิจกรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแต่งกายถกู ตอ้ งตามระเบยี บแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตง้ั ใจและสนใจเรียน 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและสว่ นรวม 7,12

รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห์)

หมายเหตุ บรู ณาการตามคา่ นยิ มหลักของคนไทย 12 ประการ

88

พส.11

บันทกึ หลงั การจัดการเรียนรู้
รหสั วิชา...........................ชอ่ื วชิ า..................................................................................ระดับช้ัน................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาหท์ .ี่ .........วันท่ีสอน.........................................
หน่วยที.่ ...........ชอ่ื หน่วย.........................................................................................................จํานวน..................ชั่วโมง

1. ผลการจดั การเรียนรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงชอ่ื .......................................................ครผู ูส้ อน
(นางสาวกนั ตยา เลิศอรณุ รตั น์)
........../................/............

ความเห็น................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงชื่อ...............................................หัวหนา้ แผนกวิชา ลงชื่อ...........................................รองผ้อู าํ นวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บัวดี) (นางสาวนิศากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............

89

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทกั ษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2

ชือ่ หน่วย หนว่ ยและการวัด

เรอ่ื ง หนว่ ยและการวดั จานวนชัว่ โมงสอน 3

จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้

- จุดประสงค์ทวั่ ไป 1. หน่วยวดั พืน้ ฐานในระบบอังกฤษ ระบบเมตริก

1. มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องหนว่ ยวดั พน้ื ฐานในระบบ และระบบ SI

องั กฤษ ระบบเมตริก และระบบ SI ได้ 2. เคร่ืองมือวัด

- จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม

1. บอกช่อื หนว่ ยวัดพื้นฐานในระบบองั กฤษ ระบบ

เมตริก และระบบ SI ได้

2. อ่านและบนั ทกึ ผลการวดั ได้

เนื้อหาสาระ
การวดั และหน่วยวัด
ระบบการวัด

การวดั เปน็ สง่ิ ทเ่ี ราพบเจอในชีวติ ประจําวัน โดยเฉพาะในสายงานด้านอุตสาหกรรมการวัดถือเปน็ ส่ิงทีจ่ ําเปน็
และมีความสําคัญเปน็ อยา่ งมาก เพราะการวดั จะทําให้เราทราบถึงปริมาณ ค่าต่างๆ ท่ีเราตอ้ งการ ดงั น้นั หน่วยการ
วดั กถ็ ือเป็นเรือ่ งทสี่ ําคญั ดว้ ยเช่นกัน

ระบบการวัด คือ กลุ่มหนว่ ยวัดทสี่ ามารถใชร้ ะบุส่งิ ใดๆ ซ่ึงสามารถวดั ได้ ซง่ึ สมยั ก่อนมีการใช้ระบบการวดั
ทหี่ ลากหลายมาก แตเ่ พอื่ ให้เขา้ ใจตรงกนั ทวั่ โลกจึงมีระบบการวัดท่ีเป็นมาตรฐานและให้กันทว่ั โลก ในปัจจุบันที่
นยิ มใช้ ได้แก่ ระบบเมตริก ระบบองั กฤษและระบบ SI

ซึง่ ในระบบการวัดจะมีด้วยกนั หลายแบบ เช่น อุณหภูมิ ความยาว พน้ื ท่ี หรือปรมิ าตร แตใ่ นบทความนี้เราจะ
ขอเนน้ ไปที่ ความยาว โดยหนว่ ยการวัดความยาวน้ีจะรวมไปถงึ ความลกึ ความกวา้ ง ความสงู
1. ระบบเมตรกิ

เรมิ่ ใช้กันภายหลงั การปฏวิ ตั ใิ นฝร่ังเศส ในปี ค.ศ. 1789 นักวทิ ยาศาสตรช์ าวฝรง่ั เศสได้ประชุมร่วมกนั จัดต้งั
มาตรฐานในการวัดขึน้ โดยหน่วยวัดความยาวของระบบเมตริก คอื มิลลิเมตร (millimeter:mm) เซนติเมตร
(centimeter:cm) เมตร (meter:m) กิโลเมตร (kilometer:km)

10 mm = 1 cm
100 cm = 1 m

90

1000 m = 1 km
2. ระบบอังกฤษ

ท่ีระบบอังกฤษเปน็ ท่นี ยิ ม เน่ืองมาจากในสมัยก่อนองั กฤษเปน็ จักรวรรดโิ ลกที่แผ่อํานาจคลมุ ไปเกอื บทัว่ ทํา
โลก ทําให้ระบบการวัดขององั กฤษเปน็ ทร่ี จู้ กั และใช้กันสืบเนอ่ื งมาถงึ ปัจจุบัน ระบบวดั อังกฤษมักนิยมใช้กันใน
ประเทศอังกฤษและอเมรกิ า ซ่ึงหน่วยความยาวในระบบเมตรกิ น้ันมี น้ิว (inch:in) ฟุต (foot:ft) หลา (yard:yd)
ไมล์ (mile:mi)

12 in = 1 ft
3 f = 1yd
1760 yd = 1 mi
โดยสว่ นใหญ่หน่วยการวัดความยาวในประเทศไทยนิยมใช้เปน็ ระบบเมตรกิ ซ่ึงเราสามารถแปลงหน่วยการวดั ความ
ยาวในระบบองั กฤษเทียบกบั ระบบเมตริกได้ ดงั น้ี
1 in = 2.54 cm
1 yd = 0.9144 m
1 mi = 1.6093 km
3. ระบบ เอสไอ (SI)
เปน็ ระบบมาตรฐานระหวา่ งชาติ ท่เี รยี กว่า หนว่ ยระหว่างชาติ (International System of Units หรือ
Systeme-International d’ Unites) และกําหนดใหใ้ ชอ้ ักษรยอ่ แทนชื่อระบบน้ีว่า “SI” หรอื หนว่ ยเอสไอ (SI
unit) เพอ่ื ใชใ้ นการวัดทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ระบบหนว่ ยระหว่างชาติ หรือ เอสไอ ประกอบด้วย หนว่ ย
ฐาน หน่วยอนพุ ทั ธ์ และคาอุปสรรค ซึ่งมรี ายละเอียดดงั น้ี
หน่วยฐาน (Base Units) เป็นหนว่ ยหลกั ของเอสไอ มที ้ังหมด 7 หน่วย ดังตาราง

หน่วยอนุพทั ธ์ (Derived Units) เปน็ หนว่ ยซ่ึงมหี นว่ ยฐานหลายหนว่ ยมาเก่ยี วขอ้ งกัน เชน่ หน่วยของความเร็วเป็น
เมตร/วนิ าที ซง่ึ มีเมตร และวินาทเี ปน็ หน่วยฐาน หนว่ ยนี้มอี ยู่หลายหนว่ ย และบางหนว่ ยก็ใชช้ ่อื สัญลกั ษณเ์ ป็น
พเิ ศษ ดงั ตวั อยา่ งในตาราง

91

เครอื่ งมอื วัด
เครือ่ งมือวัด (Measuring Tool) คือ เครอ่ื งมือสาํ หรบั ใช้ในการวดั เพือ่ บ่งช้บี อกระยะหรือขนาดในการกาํ หนด

ตําแหน่ง ตรวจสอบระยะหรือขนาดความกว้าง ความยาว ความสูงหรือความหนาของวสั ดชุ ิ้นงาน ฯลฯ เครอื่ งมือ
วัดมีหลายชนิด แตล่ ะชนดิ มีลักษณะ รปู ร่างทแ่ี ตกตา่ งกันตามประโยชนใ์ ชง้ าน
1. ฟตุ เหลก็ หรือบรรทัดเหล็ก (Stainless Steel Ruler) ทําจากเหลก็ กล้าไร้สนิม ทนต่อการสึกหรอ และคราบ
นาํ้ มัน ใชว้ ัดขนาดท่ีไมต่ ้องการความละเอียดมากนกั

2. เวอรเ์ นียคาลิเปอร์( Vernier Caliper) ใชว้ ดั งานละเอียดได้ถึง 0.01 ม.ม. หรือ 0.001 น้วิ วัดได้ทง้ั วดั นอก วัด
ใน และวดั ความลกึ ระยะกวา้ งสุดวดั ได้ถงึ 6 นว้ิ หรอื 120 ม.ม.

92

3. ไมโครมเิ ตอรค์ าลิเปอร์ (Micrometer Caliper) วัดได้ละเอียดกว่าเวอร์เนีย ฯ ใช้หลักการเคลอ่ื นทข่ี องเกลยี วใน
การวัดระยะ เมอ่ื หมุนไมโคร ฯ 1 รอบ จะได้ระยะเคล่อื นท่เี ทา่ กับระยะ พิช (Pitch) ของเกลยี ว

4.ฟลี เลอรเ์ กจ (Feeler gauge) ใช้สาํ หรับการตงั้ ระยะหา่ งของวาลว์ ไอดี และวาลว์ ไอเสียเพือ่ การปรับแตง่
เคร่ืองยนต์

5. บรรทดั ฉาก (เหล็ก) ใช้สาํ หรบั วดั มุมของชิ้นสว่ นเพื่อใหไ้ ด้ฉาก 90 องศา จะไมค่ อ่ ยนํามาใช้ในงานช่างยนต์

6. มเิ ตอร์วัดไฟ (Meter) เปน็ ท้ังมเิ ตอร์วัดแรงเคลื่อน และกระแสไฟ และความตา้ นทาน สามารถปรบั ค่าการวัดได้
ตามต้องการ ใช้ตรวจเช็คอปุ กรณไ์ ฟฟูาต่าง ๆ

93

7. ไขควงวัดไฟ ใชก้ ับการวดั แรงเคลือ่ นไฟฟูาในอุปกรณไ์ ฟฟูาในรถยนต์ จักรยานยนตโ์ ดยเฉพาะ โดยมีหลอดไฟ
เป็นสัญาณบอกสถานะด้านใน

8. ตลบั เมตร (Measurement tape) ใชส้ ําหรบั วัดขนาดหรือกําหนดขนาดอยา่ งครา่ ว ๆ เชน่ การวัดขนาดความ
ยาว ความกวา้ งของเครอ่ื งยนต์ วัดฐานของเครอ่ื งยนต์ เป็นตน้

9. ไดอัลเกจ ( Dial Gauge) ใช้วัดระยะห่างการเคลือ่ นที่ โดยยดึ ฐานของเกจ ไว้กับแท่นท่ีมั่นคง ปลายไดอัลเกจจะ
วัดระยะรนุ (End Play) หรอื ระยะหลวมคลอนตา่ ง ๆ ของชิ้นสว่ นเครอื่ งยนต์
10. เครือ่ งทดสอบหัวฉีด ( Injection nozzle tester ) เป็นอุปกรณท์ ใี่ ช้ทดสอบการทํางานของหวั ฉีดนํา้ มัน

94

11. เกจความลกึ ( Depth gage ) เป็นเครือ่ งวัดท่ีใช้สําหรับวัดค่าความลกึ ของชิ้นส่วน เช่น กระบอกสูบ เป็นตน้

12. ไฮโดรมิเตอร์ (Hydrometer ) เป็นเคร่ืองมอื วดั ความถว่ งจาํ เพาะของของเหลว เช่น ความถ่วงจําเพาะ ( ถ.พ. )
ของสารละลายในแบตเตอรี่

13. เกจวดั ความดัน (Pressure plate ) เป็นเครือ่ งมอื ทใ่ี ชว้ ัดความดันของก๊าซหรอื ของเหลว เช่น ความดันลมหรือ
ความดันน้ํามันหลอ่ ลื่น
14. เครือ่ งทดสอบหมอ้ นา้ํ และฝาหม้อนาํ้ ( Rediator and Cap tester ) เป็นอปุ กรณ์ท่ใี ชอ้ ทดสอบหมอ้ น้าํ และฝา

95

หมอ้ นํ้าว่ามกี ารรวั่ ไหลหรอื ไม่ และการเปิดปิดของวาลว์ บนฝาหม้อนํา้ ทํางานถกู ตอ้ งหรือไม่

การเลอื กเคร่อื งมอื วัดพืน้ ฐาน ควรคํานงึ ถงึ สิ่งตอ่ ไปนี้
1. เชื่อถือได้ (Reliability)
ความน่าเชือ่ ถือเปน็ ปจั จัยหลักของการเลือกซ้อื เครือ่ งมอื วัด เนื่องจากเคร่อื งมือวัดจะแสดงค่าที่คนไม่สามารถ
คาํ นวณออกมาได้ด้วยตาเปลา่ จึงตอ้ งอาศยั การใช้งานเครื่องมอื วัดเพ่อื ให้ได้ค่าทีเ่ ช่อื ถอื ได้
2. ความไวในการวัด (Sensitivity)
เคร่อื งมือวัดบางชนิดจําเปน็ ต้องให้ค่าการอา่ นในทันทที ันใดเชน่ เคร่ืองวัดอุณหภูมทิ ่ีตอ้ งเปลีย่ นแปลงทันทเี มื่อ
อณุ หภมู ิแวดล้อมเปลีย่ นแปลง หรือเครือ่ งมือวัดท่ีทาํ งานโดยระบบดจิ ทิ ัล ก็ต้องมีการใหค้ ่าตวั เลขอย่างรวดเร็วใน
ขณะทีท่ าํ การวัด
3. ความถูกตอ้ ง (Accuracy)
แมว้ า่ เครื่องมอื วัดแต่ละชนิดจะให้ค่าออกมาตามการวัด แต่ตัวเลขทีไ่ ดอ้ าจไมม่ ีความถกู ต้อง ซง่ึ เกิดจากความ
คลาดเคลื่อน ทาํ ให้ไดต้ วั เลขท่ีไม่แน่นอนหรือตัวเลขท่ีผดิ พลาดไปจากท่ตี ้องการ ดงั น้นั เคร่อื งวัดที่มมี าตรฐานควรให้
คา่ ตวั เลขทต่ี รงตามความเป็นจรงิ และมีความถูกต้อง
4. ความเที่ยงตรง (Precision)
ความเทยี่ งตรงของเครือ่ งวัดเป็นการแสดงค่าการวัดออกมา ใหไ้ ดค้ ่าตามเดมิ ทุกครั้งท่ีทาํ การวดั กับอุปกรณ์หรอื
ระบบทต่ี อ้ งการวัด

เอกสารอา้ งอิง
https://www.scimath.org/lesson-physics/item/7260-2017-06-12-16-08-32
https://web.rmutp.ac.th/woravith/?page_id=1488
http://www.psptech.co.th/board/1037/2397/
https://www.sumipol.com/knowledge/5-measurement-tools/
https://mall.factomart.com/systems-of-units-measurement/

96

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2

ชื่อหน่วย หน่วยและการวัด

เร่อื ง หน่วยและการวดั จานวนชั่วโมงสอน 3 รายการเรียนรู้
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เครื่องมอื /วสั ดุ-อปุ กรณ์
1. ปากกา
- จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม 2. กระดาษ A4
1. สามารถเลือกใชเ้ ครื่องมือวัดได้อยา่ งเหมาะสม 3. ชิ้นงาน
2. ทาํ งานรว่ มกนั เป็นกล่มุ ได้ ข้อควรระวงั
1. ควรใช้อปุ กรณ์ต่างๆด้วยความระมดั ระวัง
- ลาํ ดับขั้นการทํางาน มอบงาน
1. ให้นกั เรยี นแบ่งกลุม่ กลุ่มละ 3 คน 1. นาํ เสนอผลงานพร้อมอธิบาย
2. ให้แต่ละกลุ่มหารูปสิง่ ของหรือวัสดตุ ่างๆจากแหลง่ วดั ผล/ประเมนิ ผล
ค้นควา้ กลมุ่ ละ 10 ชนิด 1. ตรวจช้นิ งาน
3. ให้วิเคราะหว์ ่าส่ิงของหรือวัสดทุ ่หี ามาควรใช้ 2. การนาํ เสนอผลงาน
เคร่อื งมอื วัดชนดิ ใดบา้ ง 3. เกณฑค์ ะแนนผ่าน 50% ขึ้นไป
4. นาํ เสนอหน้าชนั้ เรยี น

97

พส.14

ใบปฏบิ ตั งิ าน (Operation Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชื่อหน่วย หนว่ ยและการวัด

เรอื่ ง หนว่ ยและการวดั จานวนช่ัวโมงสอน 3

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
- จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม

1. ผู้เรียนสามารถเลือกใชเ้ ครื่องมอื วดั ไดถ้ ูกตอ้ ง
2. ผู้เรียนจดบันทกึ ผลการวัดได้ถกู ต้อง
เครอ่ื งมอื -อุปกรณ์-วสั ดุ
1. เคร่ืองมือวัด
2. วตั ถสุ ิ่งของ
ลาํ ดับขัน้ การปฏบิ ตั ิงาน
1. ให้นักเรียนแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 3 คน
2. ให้แต่ละกลุ่มเตรยี มวัตถุส่งิ ของท่จี ะนํามาวัดค่ากลมุ่ ละ 3 ชนิด
3. แตล่ ะกลมุ่ ทําการวัดส่ิงท่ีเตรียมมา แลว้ จดบนั ทึกค่าท่ีอา่ นได้
4. ทาํ การวดั ซํ้าอกี 2 ครงั้ เพื่อหาคา่ เฉลยี่ จากสง่ิ ท่ีวัดค่าได้
5. สรุปผลการทดลอง และนําเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น
ข้อควรระวงั
ควรเลอื กเครอ่ื งมอื วัดให้เหมาะสมกบั ชนิ้ งาน
ข้อเสนอแนะ

- การแบ่งหน้าท่ีการทาํ งานในกลุ่มแต่ละคนใหช้ ดั เจน
การประเมนิ ผล
1. การประเมนิ ผลงานของแต่ละกลมุ่
2. การประเมินผลการนาํ เสนอหนา้ ชั้นเรียน
เอกสารอา้ งองิ
http://www.psptech.co.th/board/1037/2397

หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ัตงิ านในแต่ละข้นั

98

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2

ชื่อหนว่ ย หนว่ ยและการวัด

เร่อื ง หนว่ ยและการวัด จานวนชว่ั โมงสอน 3

จดุ ประสงค์การมอบงาน
1. เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นบอกชือ่ หนว่ ยวดั พนื้ ฐานในระบบองั กฤษ ระบบเมตรกิ และระบบ SI ได้
2. เพื่อใหผ้ ู้เรยี นอา่ นและบันทึกผลการวดั ได้
แนวทางการปฏิบตั ิงาน

ให้ผู้เรียนทํางานเป็นกลุ่ม กําหนดหนา้ ที่ของแตล่ ะคนใหช้ ัดเจน จัดลําดบั ข้ันตอนการปฏิบตั งิ านใหเ้ หมาะสม
แหลง่ คน้ ควา้

ส่ือออนไลน์
คาถาม/ปัญหา
1. ผู้เรียนวางแผนการทํางานเป็นกล่มุ และงานเสร็จตามที่กําหนดได้หรือไม่
2. ผูเ้ รียนบอกชอื่ หน่วยวดั พน้ื ฐานในระบบอังกฤษ ระบบเมตริก และระบบ SI ได้หรอื ไม่
3. ผ้เู รียนอา่ นและบันทึกผลการวัดไดห้ รอื ไม่
กาหนดเวลาทางาน

3 ชว่ั โมง

หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏิบตั งิ านในแตล่ ะข้นั

99

พส.16

ใบกจิ กรรมท่ี 6

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครัง้ ท่ี 5

หนว่ ยท่ี 3 ชื่อหน่วย หน่วยและการวัด เวลา 1 ชม.

ชื่อกจิ กรรม การวัด เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. เพื่อให้มีความรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั โครงงานวิทยาศาสตร์
2. เพอ่ื ใหก้ าํ หนดตัวแปรจากชือ่ โครงงานได้

วสั ดุ/อปุ กรณ์
1. สมุด
2. อุปกรณก์ ารเรยี น

คาส่งั
1. ใหน้ ักเรยี นจงตอบคาํ ถามโดยเติมลงในช่องวา่ งใหถ้ ูกต้อง
2. ใหน้ กั เรยี นทําดว้ ยตนเองห้ามลอกกัน

จากภาพ แสดงสเกลผลการวดั กระแสไฟฟา้
1.ความละเอียดช่องสเกล =
2.ความละเอยี ดของการวัด =
3. บันทกึ ผลการวัด =

จากภาพ แสดงสเกลผลการวดั กระแสไฟฟา้
1.ความละเอียดชอ่ งสเกล =
2.ความละเอียดของการวัด =

A 3. บนั ทึกผลการวัด =

การประเมนิ ผล
1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นกั เรยี นทาํ ผา่ น 50 % ขึน้ ไป

100

เฉลยใบกจิ กรรมท่ี 6

จากภาพ แสดงสเกลผลการวัดกระแสไฟฟา้

1.ความละเอยี ดชอ่ งสเกล = 1 A หรือ 0.1 A

10

2.ความละเอยี ดของการวดั = 1 A หรือ 0.01A

100

3. บนั ทกึ ผลการวัด = 2.45  0.01 A

จากภาพ แสดงสเกลผลการวัดกระแสไฟฟา้
1.ความละเอยี ดช่องสเกล = 1 A

2.ความละเอียดของการวัด = 1 A หรอื 0.1 A

10

A 3. บนั ทกึ ผลการวัด = 10.5  0.1 A


Click to View FlipBook Version