The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kib Kab, 2022-05-12 22:14:07

แผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์

แผนการจัดการเรียนรู้

301

พส.9

เครื่องมอื ท่ีใช้ในการประเมิน

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทักษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2

แบบประเมินแบบประมาณคา่ (Rating scale) เกณฑก์ ารให้คะแนน
54 321
ประเดน็ การประเมิน

1. อธิบายความหมายของนาโนเทคโนโลยไี ด้
2. ยกตัวอยา่ งและอธิบายนาโนเทคโนโลยใี นธรรมชาติ

รวม
รวมทง้ั หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

302

พส.10

แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)

พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12

รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์

หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ

303

พส.11
บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
รหสั วิชา...........................ชื่อวชิ า..................................................................................ระดับช้ัน................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สัปดาหท์ ่ี..........วันที่สอน.........................................
หนว่ ยท.่ี ...........ชื่อหน่วย.........................................................................................................จาํ นวน..................ช่ัวโมง

1. ผลการจดั การเรียนรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปัญหาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงช่ือ.......................................................ครูผสู้ อน
(นางสาวกนั ตยา เลศิ อรุณรตั น์)
........../................/............

ความเหน็ ................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงชอื่ ...............................................หวั หนา้ แผนกวิชา ลงชอื่ ...........................................รองผ้อู ํานวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บัวดี) (นางสาวนศิ ากร เจริญดี)
............/................../............
............/................../............

304

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชอื่ หนว่ ย นาโนเทคโนโลยี

เรือ่ ง นาโนเทคโนโลยี จานวนช่ัวโมงสอน 3

จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ รายการเรยี นรู้

- จดุ ประสงค์ท่วั ไป 1. ความหมายของนาโนเทคโนโลยไี ด้

อธิบายความหมายของนาโนเทคโนโลยไี ด้ 2. นาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ

- จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม

ยกตัวอยา่ งและอธบิ ายนาโนเทคโนโลยใี นธรรมชาติ

เนอื้ หาสาระ

นาโนเทคโนโลยี

นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) หมายถงึ วิทยาการในการประกอบและผลติ ส่งิ ต่างๆ ขึ้นมาจากการจัดเรียง

อะตอม หรือโมเลกุลเข้าดว้ ยกนั ในระดับนาโนเมตรหรอื ขนาด 1 ในพันลา้ นส่วนของ 1 เมตร โดยเป็นการ

ผสมผสานของวิทยาศาสตร์หลายแขนง เช่น ชีววทิ ยา ชวี เคมี วิศวกรรมศาสตรส์ าขาหุน่ ยนต์ และเครือ่ งจกั รกล

ความเป็นมา
คาํ ว่า “นาโน (Nano) ” มรี ากศัพท์มาจากภาษากรีกวา่ “Nanos” แปลวา่ “แคระ” และมักเรียกกนั ในอีก

ชอื่ หนง่ึ วา่ “ตวั แคระ” ดงั นั้น นาโน จงึ เปน็ สิง่ ของท่เี ล็กมากตัวอยา่ ง เช่น สง่ิ ของท่ีมีขนาด 1 นาโนเมตร ก็หมายถงึ
มีขนาด 1 ในพันล้านเมตร (อกั ษรยอ่ น.ม. - nm) หรอื เทา่ กบั 1/1,000,000,000 เมตร (หนงึ่ ในพันลา้ นส่วนของ
เมตร) โดยปกติแล้วใชเ้ ปน็ คาํ อุปสรรค (prefix) ซง่ึ มคี า่ เท่ากบั หนง่ึ ในพันลา้ นส่วน เมอ่ื นาํ คาํ ว่า “นาโน” ไปใชใ้ น
หนว่ ยใดก็ตาม จะหมายถงึ พนั ล้านส่วนของหนว่ ยนนั้ เช่น 1 นาโนเมตรมีขนาดประมาณ 1 ใน 50,000 สว่ นของ
เส้นผมของคนเรา หรอื เส้นผมมีขนาดประมาณ 50,000 นาโนเมตร หรอื นํา้ 1 นาโนลติ ร จะเทา่ กับนํา้ 1 แกว้ ทไี่ ด้
จากการนาํ นาํ้ 1 ลติ รมาตวงแบง่ ออกเปน็ พนั ลา้ นแก้วเล็กๆ หรือระยะเวลา 1 นาโนวินาที แปลวา่ เปน็ ช่วงเวลาที่
ส้นั มาก แค่เพยี ง 1 ส่วนในพนั ล้านวินาทีหรอื เซลล์แบคทเี รียมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไมก่ ี่รอ้ ยนาโนเมตร หรือสิง่ เลก็

305

จิว๋ ท่ีสดุ ทม่ี นุษย์สามารถมองเหน็ ไดโ้ ดยไมต่ ้องมีเคร่ืองช่วยมีขนาดเสน้ ผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 10,000 นาโนเมตร
หรืออะตอมของไฮโดรเจน 10 ตัวรวมกันเทา่ กบั 1 นาโนเมตรมีผู้ให้ความหมายของ นาโนเทคโนโลยี ไว้หลากหลาย
เชน่ นาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) เปน็ เทคโนโลยีทเ่ี ก่ียวกบั สงิ่ ที่เล็กมาก สิ่งของท่มี ขี นาด 1 นาโนเมตร ก็
หมายถึงมีขนาด 1 ในพันลา้ นเมตร โดยอาจเปรียบเทยี บไดอ้ ย่างง่ายๆ ว่า ผูช้ ายท่สี งู 2 เมตรเท่ากบั ผชู้ ายคนน้ีสูงถงึ
2 พนั ลา้ นนาโนเมตร ส่ิงทเ่ี ลก็ มาก เช่น ดีเอ็นเอ (DNA ตัวยอ่ ของ Deoxy ribonucleic acid) ที่เคยไดย้ นิ กนั บอ่ ยๆ
นั้น มีความกว้างของโมเลกุลประมาณ 2.5 นาโนเมตรนาโนเทคโนโลยี เปน็ การสร้างเทคโนโลยจี ากอะตอม และ
โมเลกลุ ของส่ิงต่าง ๆ ท่ีไมม่ ีชีวิตขนาด 1 ในพนั ลา้ นส่วน มาใช้ให้เกิดประโยชนใ์ นชีวิตประจําวันมากท่ีสดุ
โดยเฉพาะการชว่ ยใหป้ ระชาชนมีสุขภาพดี และสามารถรกั ษาโรค ซึ่งเรอ่ื งนี้ กําลังเปน็ ทแ่ี พร่หลายในวงการแพทย์
ของญปี่ ุนและอเมรกิ า เพราะสามารถสร้างเคร่อื งมอื ขนาดจว๋ิ รักษาโรคในระดับเซลล์ หรือโมเลกุลในร่างกายได้
อยา่ งเช่นโรคมะเรง็

นาโนเทคโนโลยี หมายถึง เทคโนโลยีทเี่ กย่ี วข้องกับกระบวนการ สรา้ ง การสงั เคราะหว์ สั ดุ อุปกรณ์
เครื่องจักรหรอื ผลิตภณั ฑ์ซ่งึ มีขนาดเลก็ มากในระดับนาโนเมตร เทยี บเท่ากบั ระดับอนภุ าคของโมเลกุลหรอื อะตอม
รวมถงึ การออกแบบหรอื การใช้เคร่อื งมอื สร้างวสั ดุทอ่ี ยูใ่ นระดบั ท่เี ล็กมาก หรือการเรยี งอะตอมและโมเลกุลใน
ตาํ แหน่งทตี่ ้องการ ไดอ้ ยา่ งแม่นยาํ และถกู ต้อง ทําใหโ้ ครงสรา้ งของวัสดหุ รอื สสารมีคุณสมบัตพิ ิเศษ ไมว่ ่าทางดา้ น
ฟิสกิ ส์ เคมี หรอื ชวี ภาพ สง่ ใหม้ ีผลประโยชนต์ ่อผู้ใช้สอยเดิมมนษุ ย์สนใจสรา้ งสิ่งท่มี ีขนาดใหญ่ เชน่ ปริ ามดิ กาํ แพง
เมืองจนี ปราสาทราชวงั ตา่ งๆ ส่วนส่งิ ท่มี ขี นาดเล็กกส็ นใจเชน่ กัน เช่น โทรทศั น์ วิทยุ โทรศพั ท์ คอมพวิ เตอร์ ตอ่ มา
ทงั้ โทรทัศน์ วทิ ยุ โทรศัพท์ คอมพิวเตอรม์ ีขนาดเล็กลงเรอ่ื ยๆเพอ่ื ความสะดวกในการนําตดิ ตัวไป กลายเป็น
โทรศัพท์มือถือ และคอมพิวเตอร์แบบกระเป๋าหิว้ (Notebook) เปน็ ตน้ ตัวอย่างทีช่ ัดเจนอกี อยา่ งหน่งึ คอื การ
พัฒนาการเก็บข้อมลู ทเี่ ปลี่ยนจากการใชแ้ ผน่ เก็บข้อมลู (floppy disk) ที่มีเนอื้ ท่ีให้เกบ็ ไฟล์ขนาดใหญ่มากไม่ได้ จงึ
จาํ เป็นตอ้ งใช้หลายๆแผ่นตอ่ กนั เพ่ือเก็บไฟลข์ นาดใหญ่มากเพยี งไฟล์เดยี ว มาเปน็ การใชแ้ ผ่นซดี ี (compact disc;
CD) เพียง 1 แผ่น กส็ ามารถเก็บขอ้ มูลไดม้ ากกวา่ หลายเทา่ ตัว ตัวอย่างเหลา่ น้นี ับเป็นสงิ่ ท่แี สดงถึงความเขา้ ใจของ
นกั วิทยาศาสตรเ์ ทคโนโลยแี ละวิศวกรรมทต่ี ระหนักในความสําคญั ของสง่ิ ทมี่ ขี นาดเล็กแตม่ ีประสิทธิภาพสงู จงึ ทํา
ให้นักวิจยั สนใจในการศกึ ษาเรือ่ งของนาโนเทคโนโลยกี นั เรือ่ ยมาจนถึงปจั จบุ นั และจะกา้ วหน้าตอ่ ในอนาคต นาโน
เทคโนโลยี มีจดุ เร่ิมต้นโดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เป็นผศู้ กึ ษาขนาดและการเคลือ่ นไหวของ
โมเลกุลนํ้าตาล ซ่ึงถือว่าเป็นหลักเกณฑท์ ี่สาํ คัญมากของการศึกษาอนภุ าคระดบั นาโนในเวลาตอ่ มา หลังจากนั้นไดม้ ี
การศึกษาวจิ ัยนวัตกรรมทางดา้ นนาโนเทคโนโลยีขน้ึ มากมาย

ศาสตราจารยร์ ชิ ารด์ ฟายน์แมน (Richard Feynman) (ค.ศ. 1918-1988) เปน็ ผู้ให้ความคดิ ว่า วนั หนึง่
นกั วทิ ยาศาสตร์จะสามารถจดั เรียงอะตอมได้ จากการที่เขาได้ปาฐกถาเร่ือง There's plenty of room at the
bottom เมื่อปี ค.ศ. 1959 วา่ "สกั วนั หนงึ่ เราจะสามารถประกอบสงิ่ ต่างๆ ผลิตสง่ิ ตา่ งๆ ขึ้นมาจากการจดั เรียง
อะตอมไดด้ ว้ ยความแม่นยํา และเท่าทขี่ ้าพเจา้ รู้ ไม่มกี ฎทางฟิสกิ สใ์ ดๆ แมแ้ ต่หลักแห่งความไม่แนน่ อน
(Uncertainty Principle) ท่จี ะมาขัดขวางความเป็นไปได้นี้" ตอ่ มาเขาได้รบั รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกสเ์ มือ่ ปี ค.ศ.
1965 จากทฤษฎีควอนตมั ค.ศ. 1981 เกริ ์ด บนิ น่งิ (Gred Binning) และ ไฮน์รชิ โรห์เฮอร์ (Heinrich Rohrer)
ประสบความสําเรจ็ ในการสรา้ งกล้อง Scanning tunneling microscope ทสี่ ามารถมองเห็นการจัดเรียงตวั ของ

306

อะตอมของสสารตา่ ง ๆ ได้อยา่ งชัดเจน ค.ศ. 1986 หนงั สือช่อื “จักรกลแหง่ การสร้างสรรค์ (Engines of
Creation)” ซึ่งมเี นื้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยี ท่ีแตง่ โดย อรี คิ เดรกเลอร์ (Eric Drexler) ได้เริม่ วาง
จาํ หนา่ ยและไดร้ บั ความนยิ มเปน็ อยา่ งมาก คําว่า นาโนเทคโนโลยี จงึ ติดตลาดแต่นั้นมา จนกระท่งั ปี ค.ศ. 2000
รัฐบาลสหรฐั ได้ผลักดนั ให้เกิดโครงการรเิ ริ่มทางเทคโนโลยีแหง่ ชาติขนึ้ มา ทาํ ให้โลกเกิดกระแสตน่ื ตวั เก่ยี วกับการ
พัฒนานาโนเทคโนโลยีข้นึ อย่างมากสว่ นทางประเทศเอเชยี ประเทศญ่ปี ุนได้จดั ตัง้ ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์นาโนและนาโน
เทคโนโลยี ขึ้นในมหาวิทยาลัยโอซากา มกี ารวิจยั ด้านนาโนเทคโนโลยี และให้ความสําคญั กับนาโนเทคโนโลยมี าก
ทั้งการให้ทนุ วจิ ยั และการศึกษา โดยการศกึ ษาในระดบั ปรญิ ญาตรีของมหาวทิ ยาลัย ได้มีการจัดการเรียนการสอน
ด้านนาโนเทคโนโลยีนีข้ ึน้ และมกี ารเรยี นดา้ นสร้างสรรคอ์ ตุ สาหกรรมใหม่ ทอ่ี ย่บู นพื้นฐานของวทิ ยาศาสตร์นาโน
นอกจากนั้นในมหาวทิ ยาลยั โทโฮคกุ ม็ ีการเรยี นด้านวศิ วกรรมการแพทย์ในอนาคต ท่อี ยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยี
นาโนชวี ภาพอีกดว้ ย

สําหรบั ประเทศไทย เริม่ ดาํ เนนิ การวจิ ยั ทางดา้ น Computational Nanoscience เป็นครงั้ แรกโดยผชู้ ่วย
ศาสตราจารย์ ดร. ธีรเกียรติ์ เกดิ เจรญิ ทภี่ าควชิ าฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เมอื่ ปี พ.ศ. 2538
ซ่งึ ขณะน้ันคนสว่ นใหญ่ในเมอื งไทยคิดวา่ "นาโนเทคโนโลยี" เป็นเร่ืองท่เี ป็นไปไม่ไดต้ อ่ มาได้มีการตงั้ ศูนยน์ าโน
เทคโนโลยี มหาวิทยาลยั มหิดล และ ดร.ธีรเกียรติ์ เกิดเจริญได้ทําการวจิ ยั เกยี่ วกบั นาโนเทคโนโลยีเร่ือยมา มี
งานวจิ ัยทางนาโนเทคโนโลยที ีห่ ลากหลายโดยมี ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ธรี เกียรติ์ เกิดเจรญิ และทีมงานรวมทั้ง
นักศกึ ษาร่วมทีมวจิ ยั มหี วั ขอ้ งานวิจัยทางนาโนเทคโนโลยี ท่นี า่ สนใจ เช่น โพลิเมอร์นําไฟฟูา (Conductive
Polymers) – เซน็ เซอร์ตรวจโรค ทอ่ นาโนคาร์บอน (Carbon Nanotube) ระบบรับรูก้ ล่นิ อุปกรณเ์ ปล่งแสง
อินทรีย์ เป็นตน้ ต่อมาปี พ.ศ.2544 สํานักงานกองทุนสนบั สนนุ การวิจยั (สกว.) อนมุ ัตใิ ห้ดําเนนิ การวิจัยทางด้าน
อปุ กรณโ์ มเลกลุ นบั เป็นโครงการวจิ ัยทางดา้ นนาโนศาสตร์ โครงการแรกของประเทศไทยท่ีไดร้ บั การสนบั สนนุ จาก
หนว่ ยงานระดบั ชาติ ปี พ.ศ. 2546 คณะรฐั มนตรีอนุมตั ิการจดั ตัง้ ศูนยน์ าโนเทคแห่งชาตแิ ละใหม้ กี ารจดั ทํา
Roadmap ด้านนาโนเทคโนโลยี โดยรวมหน่วยงานตา่ งๆ ทุกกระทรวง มาบรู ณาการสร้างความเขม้ แขง็ ให้
อตุ สาหกรรมไทย โดยใช้นาโนเทคโนโลยีเขา้ มาชว่ ย
ความเก่ียวขอ้ งระหวา่ งนาโนเทคโนโลยกี บั อตุ สาหกรรม

นาโนเทคโนโลยีเก่ยี วขอ้ งกบั ทุกอตุ สาหกรรม เช่น ในดา้ นการส่ือสาร โทรคมนาคม ไฟฟาู อีเล็กทรอนกิ ส์ ท่ี
นกั วจิ ยั กาํ ลังทมุ่ เทขะมักเขม้นทาํ การคน้ ควา้ พัฒนาอุปกรณข์ นาดเลก็ ประเภทนาโนอเี ลก็ ทรอนกิ ส์หรอื นาโน
อุปกรณต์ ่างๆ ซงึ่ ก็เกย่ี วขอ้ งโดยตรงกบั วัสดุจําพวกพลาสตกิ เซรามกิ ส์ วัสดุก่ึงตวั นาํ และโลหะ ทจี่ ะสง่ ผลอยา่ งใหญ่
หลวงกบั พัฒนาการของโลกของเทคโนโลยชี ั้นสงู ใหไ้ ดเ้ ป็นแบบซูเปอรจ์ ว๋ิ แต่แจว๋ ประเภทซูเปอร์คอมพิวเตอร์
หุ่นยนต์ พลงั งาน การผลติ ยวดยาน จรวดและอาวธุ สงคราม ไปจนถงึ เร่ืองของการสาํ รวจโลกและอวกาศ
นอกจากน้ยี ังสนใจอุตสาหกรรมยาและผลติ ภัณฑ์ทางการแพทยท์ ไ่ี ดจ้ ากนาโนเทคโนโลยี อุตสาหกรรมสิ่งทอที่
ตอ้ งการผลิตเสือ้ ผ้าที่มคี ุณสมบัตพิ เิ ศษ อุตสาหกรรมกระดาษ สีและเครือ่ งสาํ อาง เป็นตน้ นาโนเทคโนโลยยี ังใชใ้ น
อตุ สาหกรรมอืน่ ๆ เชน่ เครือ่ งสาํ อาง หวั ไม้กอล์ฟ หรอื แม้แตช่ ดุ ช้นั ใน โดยใชอ้ นุภาคนาโนเคลอื บท่ีเสน้ ใยผ้าชว่ ยให้
สวมใส่สบายขน้ึ เน่ืองจากตวั อนุภาคจะชว่ ยดูดความชืน้ อีกทง้ั ยังมีวิตามนิ อชี ว่ ยบํารุงผวิ อีกดว้ ย จะเห็นไดว้ า่ นาโน
เทคโนโลยีนั้นอยรู่ อบๆ ตวั เรา และแนวโน้มในอนาคตอันใกลน้ ี้ จะมีการใช้ชพิ นาโนในอปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกสแ์ ละ

307

เครอื่ งใชไ้ ฟฟาู ในบ้านมากขึ้น นาโนเทคโนโลยียังมผี ลกระทบตอ่ การเปลยี่ นแปลงของอุตสาหกรรมเปน็ อยา่ งมากอีก
ดว้ ย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมทางการแพทย์ ในอนาคตการผ่าตดั แบบดงั้ เดมิ อาจเปลยี่ นไปเป็นการผ่าตดั ระดับนา
โน (nanosurgeons) โดยการควบคุมหุ่นยนต์นาโน (nanorobots) เข้าไปตรวจจบั และทําลายเซลมะเร็ง หรือไวรัส
ท่ตี อ้ งการโดยไมเ่ ปน็ อันตรายตอ่ เซลอ่นื สําหรับอุตสาหกรรมอนื่ ๆ เชน่ อุตสาหกรรมอเิ ล็กทรอนกิ ส์ คอมพวิ เตอร์
ผลิตภัณฑจ์ ะมขี นาดเลก็ ลง สามารถบรรจขุ ้อมูลได้ถงึ ลา้ นล้านล้านตัวอักษรในขนาดเท่าก้อนนา้ํ ตาล นอกจากนย้ี ังมี
นาโนเทคโนโลยีทใ่ี ชใ้ นระดับอุตสาหกรรมเรียบรอ้ ยแล้ว เช่น ผลติ ภัณฑ์เครอื่ งสาํ อางแปงู ทีม่ อี นุภาคนาโน ทาํ ให้
แปูงไม่สะทอ้ นแสงช่วยให้ใบหน้าดูออ่ นเยาว์ขึน้ ผลติ ภณั ฑ์ครีมบาํ รุงผิวอนภุ าคนาโนทีด่ ดู ซึมเข้าสู่ผวิ หนงั ดีขึ้น เปน็
การเพ่ิมประสทิ ธภิ าพของครมี และยงั มีนาโนเทคโนโลยีท่ีจะใชไ้ ดจ้ ริงในอีก 5-6 ปขี ้างหนา้ อกี เช่น ตัวเซนเซอร์
ทางการแพทย์ ช้ินสว่ นต่างๆ ของหนุ่ ยนต์ เซนเซอร์นาโนตดิ รถยนต์ อวัยวะเทียม กระดูกเทียมทม่ี ีอนุภาคใน
ระดบั นาโนสําหรบั ผู้พกิ าร เปน็ ตน้

สาขาย่อยของนาโนเทคโนโลยี
นาโนเทคโนโลยเี กย่ี วข้องกบั หลายสาขาวชิ าด้วยกนั ดังนี้
1.นาโนอีเล็กทรอนกิ ส์ (Nano Electronics) มีการวิจยั และพฒั นานาโนอีเล็กทรอนกิ ส์ในหลายแงม่ ุม ทง้ั จาก

กลุ่มนกั วจิ ัยในมหาวิทยาลยั จากห้องปฏิบัตกิ ารของหนว่ ยงานในภาครัฐและในภาคเอกชน มกี ารค้นคว้าตัง้ แต่
ระดบั ของสมบตั ิโมเลกุลเดี่ยว การประกอบเป็นอุปกรณอ์ ีเลกทรอนิกส์ การสรา้ งวงจรอยา่ งงา่ ยๆ ไปจนถึงการ
พฒั นา “นาโนคอมพิวเตอร์” หรอื คอมพวิ เตอรข์ นาดจิ๋ว และการทําคอมพวิ เตอร์ที่เร็วข้นึ ลา้ นเทา่ เป็นต้น

2.นาโนเคมี (Nano Chemistry) กําเนดิ ขึ้นตง้ั แต่ปี ค.ศ. 1985 เมอ่ื ศาสตราจารย์รชิ ารด์ สมอลลีย์ ภาควชิ า
เคมี มหาวิทยาลัยไรช์ รัฐเทคซัส ประเทศสหรัฐอเมรกิ า ได้คน้ พบฟลู เลอรล์ นี และพัฒนาไปเป็นทอ่ นาโน ตลอดจน
เฟืองนาโน อนั เป็นตน้ กาํ เนดิ ของเครื่องจกั รนาโนหรือจุลจกั รกลท่มี ีการศึกษากนั อยา่ งกวา้ งขวางอย่ใู นปจั จุบัน
ตัวอย่างผลงานจากนาโนเคมีอีกหนงึ่ ตวั อย่างคอื คอนกรตี ชนิดหนง่ึ ใช้เทคโนโลยนี าโน คือใช้ Biochemical ทํา
ปฏกิ ริ ิยาย่อยสลายกบั มลภาวะที่เกดิ จากรถยนต์ เชน่ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ในประเทศอังกฤษได้เริม่ มีการใช้
เทคโนโลยีนใ้ี นการสร้างถนนและอุโมงคต์ า่ งๆ เพ่ือลดมลภาวะบนท้องถนน และขณะเดียวกนั เทคโนโลยนี าโน ทํา

308

ใหอ้ นุภาคคอนกรตี มขี นาดเลก็ มาก ฝุน และแบคทีเรยี ไมส่ ามารถฝงั ตวั ในเนอ้ื คอนกรีตได้ ทําให้อาคารท่ีใช้
คอนกรีตชนดิ น้ี ดใู หม่เสมอ และยงั คงไม่สะสมเชื้อโรค

3.นาโนเทคโนโลยีชีวภาพ (Nano Biotechnology) เชน่ การสร้างอาหารทไี่ มม่ ีวนั หมด การรกั ษาโรคมะเร็ง
โดยการด่ืมเพียงนํา้ ผลไมท้ ่มี ีหนุ่ ยนตจ์ ๋ิวแบบทม่ี องไมเ่ หน็ การใชห้ ุ่นยนตน์ าโนในการปูองกันเชื้อโรค ซอ่ มแซมผนัง
เซลล์ รกั ษาอาการไขมนั อดุ ตันในเส้นเลอื ด หรือการสร้างหุน่ ยนตน์ าโนทีส่ ามารถเคลอื่ นทีใ่ นกระแสเลอื ดเพื่อเข้า
ทาํ ลายเชอ้ื โรคหรือเซลล์มะเรง็ ในร่างกายโดยไมต่ ้องมีการผ่าตดั ทเ่ี ส่ยี งอนั ตราย สําหรับในเมืองไทยเราจะเน้น
ทางด้านสรา้ งเสริมสุขภาพอนามัยเป็นหลกั โดยนําสิง่ ทเี่ รามีบนผืนแผน่ ดนิ ไทย ซงึ่ นบั เปน็ มรดกอันมีคา่ มาใช้
ประโยชน์ใหไ้ ด้มากทสี่ ุด เนื่องจากเมอื งไทยมีพืชพันธ์ุธัญญาหารท่อี ุดมสมบรู ณ์ ประกอบกับมีนกั วิทยาศาสตรไ์ ทย
ท่มี คี วามสามารถในการเพาะเล้ียงอาหารโปรตนี ท่ีมีคณุ ค่าระดบั โมเลกลุ

4.วัสดุนาโน (Nano Material) เรยี กกนั ว่า “วสั ดุสดุ จิ๋ว” หรอื “วสั ดุซเู ปอรจ์ ว๋ิ ” คือเป็นวสั ดุท่ีมีโครงสรา้ งทม่ี ี
ขนาดเลก็ กวา่ 100 นาโนเมตร หรอื เปน็ การรวมตวั กนั ของอะตอมเป็นกล่มุ กอ้ นที่มขี นาดเลก็ กว่า 100 นาโนเมตร
และมขี นาดเล็กกวา่ ขนาดของอนภุ าคท่ัวๆไป 10,000 เท่า

5.นาโนวิศวกรรม (Nano Engineering) เช่น การใชพ้ ลงั งานแสงอาทิตยอ์ ย่างเตม็ ท่ี การสร้างท่อนาโน
(Nano Tube) แลว้ อาจจะดดั แปลงนาํ มาใช้เป็นเกียร์และแบริ่ง สําหรบั สง่ กําลงั ในทางวิศวกรรมเคร่ืองกลระดบั
โมเลกลุ

นอกจากนีย้ งั มสี าขาวิชาท่ีหลากหลาย เชน่ นาโนเซนเซอร์ (Nano Sensor) การแพทย์นาโน (Nano
Medicine) เช่น การรักษาโรคมะเรง็ นาโนมอเตอร์ (Nano Motor) หรอื นาโนอุปกรณ์ (Nano Device) นาโน

309

ยนต์ หรอื หุ่นยนตน์ าโน (Nano Robot) เกษตรกรรมยคุ นาโน (Nano Agriculture) อาหารยุคนาโน (Nano
Food) นาโนโซลาร์เซลล์ (Nano Solacell) และ โรงงานนาโน (Nano Factory) อนุภาคนาโน (Nanoparticle)
วัสดผุ สมผสานนาโน (Nanocomposites) เส้นใยนาโน (Nanofibers) โครงสร้างนาโนของคาร์บอน และ โพรงนา
โน (Nanotubes and Nanopores)
ฟลอมบางนาโน (Thin Fim Nanostructure) และ ลกู คดิ นาโน (Nanoabacus) เปน็ ต้น
ตวั อยา่ งหนว่ ยงานในประเทศไทยท่ที าการวจิ ัยทางด้านนาโนเทคโนโลยี

1.ศูนยน์ าโนเทคโนโลยี ภาควิชาฟิสกิ ส์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล ทาํ การวิจยั ในด้านของประดษิ ฐกรรมและ
วิศวกรรมนาโนเทคโนโลยี เชน่ มผี ลงานวจิ ัยในการผลิตโพลิเมอรเ์ รอื งแสง โดยใชน้ าโนเทคโนโลยี ต้ังเปาู นําไป
ทดแทนอปุ กรณ์ช้นิ ส่วนอเิ ล็กทรอนิกส์ในไฟฟูา ประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไฟแบบเดมิ และไมเ่ กดิ ขยะ
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เพราะย่อยสลายสู่สภาพแวดลอ้ มได้งา่ ย
ศูนย์นาโนเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยมหิดล ยงั รบั สมัครนกั ศกึ ษาเขา้ เรยี นหลักสูตร Computational Science
ระดบั ปริญญาโท และ ปริญญาเอก ผา่ นระบบทางไกล โดยลงทะเบียนเรยี น เพือ่ รบั ปริญญาของมหาวิทยาลัยวลัย
ลักษณ์ จ. นครศรธี รรมราช แต่ทาํ วิจัยและเรยี นจริงที่ ศนู ย์นาโนเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยมหิดล กรุงเทพฯ
ปริญญา:Master of Science (M.Sc.) and Doctor of Philosophy (Ph.D.) in Computational Scienceออก
โดย มหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์

2.คณะวศิ วกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ได้จดั ต้งั หอ้ งปฏบิ ตั ิการวิจัยสิ่งประดษิ ฐ์สารกึง่ ตัวนํา
(SDRL) และไดท้ าํ การศกึ ษาวจิ ยั พฒั นา และตรวจสอบสารกงึ่ ตวั นาํ

3.ภาควิชาฟิสกิ ส์ คณะวทิ ยาศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย ไดจ้ ดั ตั้งห้องปฏิบตั ิการวิจยั ฟิสิกสส์ ารกึ่งตัวนาํ
และทาํ การศึกษาสารประกอบกึง่ ตัวนํา ซึ่งเป็นสารท่ีมศี ักยภาพสูงในการใชเ้ ป็นสารประกอบเพ่อื ผลิตเซลล์
แสงอาทติ ย์

4.ภาควชิ าฟสิ กิ ส์ คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่ ทาํ การวิจยั ทางด้านสารกง่ึ ตวั นําทีเ่ ก่ยี วข้องกบั
นาโนเทคโนโลยี

5.หอ้ งปฏิบัตกิ ารวจิ ัยไมโครอิเลก็ ทรอนกิ ส์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบงั การวจิ ยั
ได้มุ่งเนน้ ในการผลิตส่ิงประดิษฐ์โครงสรา้ งของ MOS และไดม้ ีการพฒั นาแผน่ ฟิลม์ ท่ที ําด้วยเพชร โดยใช้วิธี CVD

6.มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น มกี ารวจิ ัยโดยเนน้ ไปทางดา้ นการใช้เทคนคิ CVD มาผลิตฟิล์มท่ีทําด้วยเพชร
7.ศนู ยป์ ฏบิ ตั กิ ารวิจยั เครือ่ งกาํ เนดิ แสงซนิ โครตรอนแหง่ ชาติ (ตงั้ อยูใ่ นมหาวิทยาลยั เทคโนโลยี สรุ นารี โดย
การกํากบั ดูแลของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสง่ิ แวดลอ้ ม) ทําการศกึ ษาความเป็นไปไดใ้ นการสรา้ งเครื่อง
กําเนิดแสงซนิ โครตอนขึ้นในประเทศไทย ผลสรปุ พบว่าประเทศไทยมศี ักยภาพเพียงพอในการดาํ เนินการสรา้ ง
เคร่อื งกําเนิดแสงซิโครตอน
8.สถาบันวจิ ัยโลหะและวสั ดุ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รว่ มกบั สํานกั งานนวัตกรรมแห่งชาติ
กระทรวงวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สนช.) และบริษทั ยูไนเต็ด เท็กไทล์ มิลส์ จาํ กัด ประสบความสําเรจ็ ในการ
ผลติ “เส้ือกีฬานาโนเทคโนโลยี” โดยพัฒนาเทคนคิ จาก “อนุภาคเงนิ ” แทรกลงใยผ้าได้ทุกชนดิ ชว่ ยยับย้ัง
แบคทีเรียจากเหงื่อและรอยดํา พร้อมขจัดกลิน่ ไมพ่ ึงประสงค์อนั เกิดจากเชือ้ รา ซักแลว้ 30 ครงั้ ผงเงินยงั ไม่จาง

310

และทดสอบยังไมพ่ บอาการแพ้ พร้อมสง่ ตอ่ เทคโนโลยีใหภ้ าคอุตสาหกรรมพัฒนาใช้เชิงพาณิชย์ตามโครงการ
“แปลงเทคโนโลยีเป็นทุน” ล่าสุดบรษิ ทั ยูไนเตด็ เท็กซไ์ ทล์ มลิ ล์ จํากัด หนงึ่ ในกลมุ่ บรษิ ัทผนู้ ําอตุ สาหกรรมสิ่งทอ
และบรษิ ัท อนิ โนเทค เทก็ ซ์ไทล์ จํากัด ได้จัดทําเสื้อฉลองครองราชย์ 60 ปี ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ภายใต้แบ
รนด์ I-TEX ด้วยนวตั กรรม I-TEX (SILVER NANO เสื้อไรแ้ บคทีเรีย) เนือ่ งในวโรกาสฉลองสริ ริ าชสมบัติครบ 60 ปี
ของพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ ัว โดยเปน็ การสร้างมูลค่าเพม่ิ ใหก้ ับผลติ ภณั ฑ์สงิ่ ทอไทย และเป็นทรพั ย์สนิ ทาง
ปญั ญาทค่ี นไทยวจิ ัยคิดคน้ ข้นึ มา โดยไดม้ กี ารจดสิทธบิ ตั รถูกตอ้ งเปน็ ทเี่ รียบร้อยแลว้ และเป็นผลงานการวิจยั ของ
สถาบันวิจยั โลหะและวัสดุ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย รว่ มกับ บรษิ ัท ยไู นเต็ด เทก็ ซไ์ ทล์ มิลล์ จํากัด โดยการ
สนับสนนุ จากสํานกั งานนวัตกรรมแหง่ ชาติ กระทรวงวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ปกติแลว้ นวตั กรรมนาโนจะใช้ในวงการตา่ งๆ แตส่ ําหรบั วงการอตุ สาหกรรมส่ิงทอ เราถอื เปน็ เจ้าแรกของโลกทน่ี ํา
นวัตกรรมซิลเวอรน์ าโนมาใช้ โดยผลวจิ ยั ของคนไทยจากหอ้ งปฏบิ ตั ิการ โดยผลงานชน้ิ น้ีไดร้ บั คัดเลือกใหเ้ ป็นสุด
ยอดนวัตกรรมแห่งชาตปิ ี 2548 เปน็ รางวัลอันดับ 1 ดว้ ย ซง่ึ คณุ สมบัตขิ องซลิ เวอร์นาโนจะไปยบั ย้ังการเจริญเตบิ โต
ของแบคทเี รยี ระงับกลิ่นเหงอ่ื และไม่เกิดการระคายเคอื งตอ่ ผวิ หนัง ซง่ึ เหมาะกับประเทศไทยเป็นอยา่ งมาก เพราะ
มีอากาศร้อน นอกจากน้ี วถิ ชี วี ิตที่เร่งรีบของคนในปัจจบุ ัน ท่ีไมไ่ ด้ซกั ผ้าในทนั ทีหรอื ทุกวัน ทาํ ใหผ้ ้าทถี่ ูกกองเกบ็ ไว้
เกดิ การสะสมเชอ้ื โรค ซึ่งคุณสมบตั ิพิเศษของซิลเวอรน์ าโนจะชว่ ยลดแบคทีเรียท่ีเกิดขนึ้ ได้ โดยคาดว่า ภายใน
ระยะเวลาไม่เกนิ 6 เดือน เส้ือซิลเวอรน์ าโน จะไดร้ บั ความนิยมจากผบู้ รโิ ภคอย่างสูง

9.ศนู ย์นาโนเทคโนโลยแี หง่ ชาติ (นาโนเทค) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ทําการวิจยั เรอื่ ง “การ
ผลติ เสน้ ใยนาโนในโพลเิ มอร์ เพ่ือการพฒั นาระบบนาํ ส่งยาปฏิชีวนะ” โดยไดพ้ ฒั นาเส้นใยนาโนผสมยารักษาแผล
ผปู้ ุวยโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่ในการนาํ สง่ ยาเพื่อการรกั ษาโรค คาดวา่ ไมเ่ กนิ 2 ปี จะแลว้ เสร็จ
นาโนเทคโนโลยีกับการศกึ ษา

นาโนเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีทีม่ ศี ักยภาพสูงในการสร้างผลิตภัณฑ์ทางอตุ สาหกรรมได้หลากหลายชนิด ซ่งึ
ไมส่ ามารถทําได้ด้วยเทคโนโลยีในปัจจบุ ัน เช่น การทาํ คอมพวิ เตอรข์ นาดจิ๋ว และการทําคอมพวิ เตอรท์ ่เี รว็ ขึ้นลา้ น
เท่า การสร้างหนุ่ ยนต์นาโนทส่ี ามารถเคลอื่ นที่ในกระแสเลือดเพื่อเข้าทาํ ลายเช้อื โรคหรือเซลลม์ ะเรง็ ในรา่ งกายโดย
ไม่ต้องมกี ารผา่ ตดั ที่เส่ียงอนั ตราย หรอื การรักษาโรคมะเรง็ โดยการดืม่ เพียงนาํ้ ผลไม้ทม่ี หี ุน่ ยนตจ์ ๋ิวแบบทมี่ องไม่
เหน็ สิง่ เหล่าน้คี งไม่นานเกนิ รอแนน่ อน

อยา่ งไรกต็ ามถงึ แม้นาโนเทคโนโลยีมีความสามารถในการสร้างสรรคส์ งิ่ ที่เปน็ ไปไดใ้ นโลกจํานวนมากมาย แต่
จะถกู จํากัดดว้ ยความสามารถในการคดิ และจินตนาการของมนุษย์ ส่งิ ทเี่ ราตอ้ งพงึ ระลกึ ไว้กค็ ือการใชน้ าโน
เทคโนโลยีมีความเป็นไปไดท้ จ่ี ะทาํ ให้เกดิ การสร้างสรรคแ์ ละการเสย่ี งต่ออนั ตราย จึงเปน็ สง่ิ ทน่ี กั วิจยั ควรจะ
พยายามลดการเสี่ยงอนั ตรายใหน้ ้อยที่สุด
นาโนเทคโนโลยใี นธรรมชาติ
1. ตีนต๊กุ แก สัตวเ์ ลือ้ ยคลานอย่างต๊กุ แกและจงิ้ จกสามารถปีนกําแพงหรอื เกาะตดิ ผนังทรี่ าบเรียบและลืน่ ไดอ้ ย่าง
มนั่ คง และในบางคร้ังกส็ ามารถหอ้ ยตวั ติดเพดานอยู่ด้วยนิ้วตีนเพยี งนิว้ เดยี ว ทเี่ ป็นเชน่ นี้ก็เพราะบรเิ วณใตอ้ งุ้ ตนี
ของตกุ๊ แกจะมขี นขนาดเลก็ ท่ีเรียกวา่ ซเี ต้ (setae) จาํ นวนนบั ล้านเสน้ เรียงตวั อดั แน่นอยู่ โดยทสี่ ่วนปลายของขน
ซีเตแ้ ต่ละเส้นนี้กย็ งั มเี สน้ ขนทมี่ ีขนาดเลก็ กวา่ ทีเ่ รียกว่าสปาตูเล่ (spatulae) ประกอบอยอู่ ีกหลายร้อยเส้น โดย

311

ทีส่ ปาตเู ล่แต่ละเส้นจะมขี นาดเล็กประมาณ 200 นาโนเมตรและท่ีปลายของสปาตูเล่แต่ละเสน้ จะสามารถสร้างแรง
ดงึ ดดู ทางไฟฟูาท่เี รียกว่าแรงวานเดอวาลส์ (van der Waals force) เพอ่ื ใหใ้ นการยดึ ตดิ กบั โมเลกุลของสสารท่ีเปน็
ส่วนประกอบของผนงั หรอื เพดานได้ ถึงแมว้ ่าแรงวานเดอวาลส์จะเปน็ แรงยดึ เหน่ยี วทอ่ี ่อนแอมาก แต่การที่
ตนี ตุก๊ แกมีเสน้ ขนสปาตูเล่อย่หู ลายล้านเส้นจึงทําให้เกดิ แรงยดึ เหนยี่ วทางไฟฟาู ข้นึ อยา่ งมหาศาลจนสามารถทําให้
ตนี ตุก๊ แกยดึ ติดกับผนังได้อย่างเหนียวแนน่ ดว้ ยหลกั การนเี้ องจงึ ทําให้นกั วิทยาศาสตรไ์ ด้คดิ ค้นเทคโนโลยแี ถบยึด
ตุ๊กแก (Gecko Tape) ข้นึ มาจากวสั ดสุ ังเคราะหช์ นดิ ใหม่ทีม่ ลี ักษณะเป็นขนขนาดนาโน (nanoscopic hairs)
เลียนแบบขนสปาตเู ลท่ อี่ ยบู่ นตีนต๊กุ แกในธรรมชาติ เพ่ือนําไปผลิตแถบยึดทีป่ ราศจากการใช้กาว และผลิตภณั ฑ์
ใหม่ๆ อยา่ ง ถงุ มอื ผ้าพนั แผล ตลอดจนสามารถพัฒนาไปเปน็ ล้อของหุ่นยนต์ท่ีสามารถไต่ผนังหรือเคล่ือนทข่ี น้ึ ลง
ในแนวด่ิงได้อีกดว้ ย
2. ใบบัว (สารเคลือบนาโน) การที่ใบบัวมคี ุณสมบัติท่เี กลียดน้าํ ก็เพราะว่าพน้ื ผิวของใบบวั มลี กั ษณะคล้ายกับหนาม
ขนาดเลก็ จํานวนมหาศาลเรียงตัวกระจายอยอู่ ย่างเป็นระเบยี บโดยทห่ี นามขนาดเลก็ เหลา่ นี้ก็ยังจะมีปุมเล็กๆ ทีม่ ี
ขนาดในชว่ งระดับนาโนเมตรและเปน็ สารทม่ี ีคุณสมบัตคิ ล้ายข้ีผงึ้ ซง่ึ เกลยี ดนํ้าเคลอื บอย่ภู ายนอกอีกด้วย จึงทําให้
น้ําท่ีตกลงมาบนใบบวั มีพนื้ ท่ีสัมผัสนอ้ ยมาก และไม่สามารถซมึ ผ่านหรือกระจายตวั แผข่ ยายออกในแนวกวา้ งบนใบ
บัวได้ ดังนน้ั นํา้ จึงตอ้ งมว้ นตัวเป็นหยดน้ําขนาดเล็กกลิง้ ไปรวมกันอยู่ท่ีบรเิ วณทตี่ ํา่ ทีส่ ุดบนใบบัว นอกจากน้ีสง่ิ
สกปรกท้งั หลายไม่วา่ จะเป็นผงฝนุ เชื้อแบคทีเรยี และเช้อื รา ก็ไม่สามารถเกาะตดิ แนน่ อยู่กับใบบวั ได้เชน่ เดยี วกัน
เพราะวา่ มพี ้ืนท่สี ัมผสั กบั ใบบวั ได้แค่เพียงบริเวณปลายยอดของหนามเล็กๆ แต่ละอนั เท่านัน้ ดงั นน้ั เมื่อเวลาทม่ี ี
นํ้าตกลงมาส่ิงสกปรกท่เี กาะอยู่บนใบบวั กจ็ ะหลดุ ติดไปกบั หยดนํ้าอย่างง่ายดายจึงทําให้ใบบัวสะอาดอย่ตู ลอดเวลา
นกั วิทยาศาสตร์จึงไดน้ ําหลกั การของนาํ้ กลง้ิ บนใบบัว (Lotus effect) มาใชใ้ นการสังเคราะหว์ สั ดุชนิดใหม่
เลยี นแบบคุณลกั ษณะของใบบัว หรอื การนําไปประยุกตใ์ ช้เป็นสที าบา้ นท่ีสามารถไมเ่ ปยี กนา้ํ และสามารถทําความ
สะอาดตัวเองได้ รวมไปถงึ การพฒั นาเป็นเสอื้ ผ้ากันน้ําไร้รอยคราบสกปรก
3. เปลอื กหอยเปา๋ ฮ้ือ (นาโนเซรามกิ ส)์ สารเคมีที่เป็นองค์ประกอบหลักของเปลืยกหอยเปา๋ ฮอื้ คอื แคลเซยี ม
คารบ์ อเนต (CaCO3) ซึ่งเป็นสารชนดิ เดยี วกันกับชอล์คเขยี นกระดาน อย่างไรก็ตาม ลกั ษณะทางกายภาพและ
คุณสมบตั ทิ างเคมีของเปลอื กหอยและชอล์คมีความแตกต่างกนั อย่างสนิ้ เชงิ โดยท่ีชอลค์ จะเปราะ หักงา่ ย เป็นผง
ฝุนสขี าว แต่เปลอื กหอยจะมีลักษณะเป็นมันวาวและมคี วามแข็งแรงสูงมาก ทีเ่ ปน็ เช่นนก้ี ็เพราะการจดั เรียงตัวใน
ระดบั โมเลกุลของแคลเซยี มคาร์บอเนตทพี่ บในชอล์คและเปลือกหอยมีความแตกต่างกันมาก โดยเมื่อใช้กลอ้ งขยาย
กาํ ลังสูงสอ่ งดโู ครงสรา้ งระดับโมเลกลุ ของเปลือกหอยเปา๋ ฮอื้ พบว่าการจัดเรยี งตัวของโมเลกุลแคลเซยี มคาร์บอเนตมี
ลกั ษณะคล้ายเปน็ กําแพงอฐิ กอ่ ท่เี รียงตวั กันอย่างเป็นระเบียบ โดยที่กอ้ นอฐิ ขนาดนาโนแต่ละกอ้ นนจี้ ะเช่อื มตดิ กนั
ดว้ ยกาวทเี่ ป็นโปรตีนและพอลแิ ซคคาไรด์ จากโครงสรา้ งทีจ่ ดั เรยี งกนั อย่างเป็นระเบยี บนีจ้ ึงทาํ ให้เปลือกหอยเป๋าฮือ้
ทนทานต่อแรงกระแทกมาก ยกตัวอย่างเช่น ให้ค้อนทบุ ไม่แตก เป็นตน้ เปลือกหอยเปา๋ ฮื้อ เปน็ ตวั อย่างทดี่ ใี นการ
อธบิ ายคณุ สมบัติทางกายภาพและทางเคมีของวสั ดตุ ่างๆ ทีม่ ีองค์ประกอบเป็นสารเคมชี นิดเดยี วกนั ทุกประการแตม่ ี
คณุ สมบตั เิ ปลย่ี นแปลงไปตามการจัดเรยี งตวั ของโครงสร้างในช่วงนาโน เชน่ อะตอมและโมเลกุล ดังน้นั นกั นาโน
เทคโนโลยีจงึ สามารถใชค้ วามรนู้ ใ้ี นการสรา้ งวสั ดุใหมๆ่ ให้มคี ุณสมบัตติ ่างไปจากเดิมได้
4. ผเี ส้ือบางชนดิ (Polyommatus sp.) สามารถดึงดูดเพศตรงขา้ มหรอื หลบหนศี ัตรูไดโ้ ดยการเปล่ียนสีปกี เช่น

312

จากสนี ้าํ เงนิ ไปเปน็ สนี ้าํ ตาล ซงึ่ การเปลี่ยนแปลงสีปีกน้ีไม่ได้อาศัยสารมีสชี นดิ ต่างๆ ท่ีอยใู่ นปีกผเี สื้อ แต่กลบั อาศัย
หลักการหกั เหและการสะทอ้ นของแสงแดดท่ีมาตกกระทบลงบนปกี โดยถา้ มุมท่แี สงตกกระทบมีความแตกต่างกนั
เพียงเล็กนอ้ ย สีทป่ี รากฎบนปีกผีเสื้อกจ็ ะแตกต่างกนั ยกตัวอยา่ งเช่น ถา้ แสงแดดมาตกกระทบกบั โครงสรา้ งท่อี ยใู่ น
ปกี ผีเส้ือในมุมใดมุมหนึ่งจะสะท้อนแสงสนี ํ้าเงินออกมา แต่ในขณะเดียวกันกด็ ูดซบั แสงสอี ่ืนๆ ไว้ทง้ั หมด ทําใหเ้ รา
เห็นผีเสือ้ มีปกี สนี ้าํ เงิน เมื่อนักวิทยาศาสตรใ์ ชก้ ลอ้ งขยายกําลังสูงส่องดูปีกผเี สื้อชนิดท่ีสามารถเปลยี่ นสกี ็พบรูพรนุ ท่ี
มีขนาดในช่วงนาโนจาํ นวนมหาศาลเรียงตวั กันอย่างเปน็ ระเบยี บซึ่งทําหน้าทีเ่ ปน็ เสมือนผลึกโฟโต้นิกสใ์ นธรรมชาติ
นอกจากนน้ี กั วิทยาศาสตรย์ ังไดต้ ัง้ สมมตุ ฐิ านวา่ การเปลย่ี นสีของปกี ผีเส้ือชนดิ น้ยี งั เปล่ยี นแปลงไปตามอณุ หภมู ิได้
อกี ดว้ ย ซึ่งจากการค้นพบนท้ี ําให้นักวิทยาศา่ สตร์สามารถนาํ ไปประยกุ ตใ์ ช้ในการสร้างผลึกโฟโตน้ กิ สส์ ังเคราะหท์ ่ี
ยืดหย่นุ ได้ดีและเปล่ยี นคุณสมบัติไปตามอุณหภมู ิทีเ่ ปล่ยี นไป ซึ่งสามารถนาํ ไปใช้ผลิตเส้อื ผ้าปูองกนั ความร้อนท่ีใช้
ในทะเลทรายหรอื หว้ งอวกาศ
5. ใยแมงมมุ (เส้นใยนาโน) แมงมมุ เป็นสตั ว์เพียงชนดิ เดียวทส่ี ามารถสรา้ งและป่ันทอเส้นใยได้ โดยท่ีใยแมงมมุ เป็น
เส้นใยทีม่ ีความแขง็ แรงและเหนียวมาก ใยแมงมมุ สามารถหยดุ แมลงทบ่ี นิ ด้วยความเรว็ สูงสุดไดโ้ ดยที่ใยแมงมุมไม่
ขาด นักวิทยาศาสตรพ์ บว่าแมงมมุ มตี ่อมพเิ ศษที่สามารถหลงั่ โปรตนี ทลี่ ะลายในน้ําไดช้ นดิ หนง่ึ ชื่อวา่ ไฟโบรอนิ
(Fibroin) โดยเมอื่ แมงมมุ หลงั่ โปรตนี ชนิดนี้ออกมาจากตอ่ มดงั กล่าวโปรตนี ดังกล่าวจะเปลยี่ นสถานะจากของเหลว
ไปเปน็ ของแข็ง หลังจากน้นั แมงมมุ ก็จะใชข้ าในการถกั ทอโปรตีนเหลา่ นเี้ ป็นเสน้ ใยท่ีมีขนาดใหญข่ ึ้น ซึง่ ก็คือใยแมง
มมุ นั่นเอง บริษทั ในต่างประเทศแหง่ หนง่ึ สามารถสร้างใยแมงมุมเลยี นแบบแมงมมุ ไดโ้ ดยการตัดตอ่ ยนี ท่ีควบคุมการ
สรา้ งโปรตีนไฟโบรอนิ จากแมงมุมแล้วนาํ ไปใส่ไว้ในโครโมโซมของแพะ เพอ่ื ให้นมแพะมโี ปรตีนใยแมงมมุ ก่อนท่ีจะ
แยกโปรตีนออกมาแล้วปน่ั ทอเปน็ เส้นใยเพ่ือใช้ในการผลติ เส้ือเกราะกันกระสุนทแ่ี ขง็ แรงแต่มนี าํ้ หนกั เบา โดยเสน้
ใยทสี่ รา้ งขนึ้ น้มี คี วามแข็งแรงมากกวา่ เหล็กถงึ ห้าเทา่ เม่อื มีน้ําหนกั เท่ากนั นอกจากน้ยี ังสามารถนาํ ใยแมงมุมไปใช้
เปน็ เส้นใยผ้ารกั ษาแผลสดไดอ้ ีกดว้ ย

เอกสารอา้ งอิง
https://sites.google.com/site/numtranlaw06/nano-thekhnoloyi
https://www.nanotec.or.th/th
http://www.kasetloongkim.com/modules.php?name=Content&pa=showpage&pid=2342

313

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2

ชือ่ หนว่ ย นาโนเทคโนโลยี

เรื่อง นาโนเทคโนโลยี จานวนชัว่ โมงสอน 3 รายการเรยี นรู้
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ เครื่องมือ/วสั ดุ-อปุ กรณ์
1. ปากกา
- จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 2. กระดาษ A4
1. อธบิ ายความหมายของนาโนเทคโนโลยีได้ 3. ชน้ิ งาน
2. ทาํ งานรว่ มกนั เป็นกล่มุ ได้ ขอ้ ควรระวัง
1. ควรใชอ้ ปุ กรณ์ตา่ งๆด้วยความระมดั ระวัง
- ลาํ ดับขนั้ การทาํ งาน มอบงาน
1. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่มกลุ่มละ 3 คน 1. นําเสนอผลงานพรอ้ มอธิบาย
2. ใหแ้ ต่ละกล่มุ สบื ค้นหานาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ วัดผล/ประเมนิ ผล
3. ให้ศึกษาขอ้ มลู ท่นี ่าสนใจและมปี ระโยชน์ 1. ตรวจชน้ิ งาน
4. นาํ เสนอหน้าช้ันเรียน 2. การนําเสนอผลงาน
3. เกณฑค์ ะแนนผ่าน 50% ขนึ้ ไป

314

พส.14

ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheets)

รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทักษะชีวิต

ช่อื หนว่ ย นาโนเทคโนโลยี

เรื่อง นาโนเทคโนโลยี จานวนชว่ั โมงสอน 3

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
- จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม

1. อธิบายความหมายของนาโนเทคโนโลยไี ด้
2. ทาํ งานรว่ มกนั เป็นกลมุ่ ได้
เครอ่ื งมอื -อปุ กรณ์-วัสดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ชนิ้ งาน
ลาํ ดบั ขั้นการปฏบิ ัตงิ าน
1. ใหน้ ักเรียนแบ่งกลุม่ กล่มุ ละ 3 คน
2. ใหแ้ ต่ละกลุม่ สืบคน้ หานาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ
3. ให้ศึกษาขอ้ มลู ทนี่ ่าสนใจและมีประโยชน์
4. นาํ เสนอหน้าช้นั เรยี น
ขอ้ ควรระวงั
1. ควรใชอ้ ปุ กรณ์ตา่ งๆดว้ ยความระมดั ระวัง
ขอ้ เสนอแนะ
1. การส่งงานใหต้ รงตามเวลาท่ีผู้สอนกาํ หนด
2. การทดลองควรตรงประเดน็ กับหวั ข้อโครงงานท่ตี ้งั ไว้
การประเมนิ ผล
1. การประเมินผลงานของแต่ละกลมุ่
2. การประเมนิ ผลการนาํ เสนอหนา้ ช้ันเรยี น
เอกสารอ้างองิ
https://www.nanotec.or.th/th
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ตั ิงานในแตล่ ะข้ัน

315

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชอ่ื หนว่ ย นาโนเทคโนโลยี

เรอ่ื ง นาโนเทคโนโลยี จานวนชวั่ โมงสอน 3

จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพอื่ ให้ผเู้ รียนอธบิ ายความหมายของนาโนเทคโนโลยีได้
2. เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนยกตัวอยา่ งและอธิบายนาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติได้

แนวทางการปฏบิ ตั งิ าน
ให้ผู้เรยี นทํางานเปน็ กลุ่ม กําหนดหนา้ ที่ของแต่ละคนใหช้ ัดเจน จดั ลําดบั ข้ันตอนการปฏิบัตงิ านใหเ้ หมาะสม

แหลง่ คน้ ควา้
สอ่ื ออนไลน์

คาถาม/ปญั หา
1. ผู้เรยี นวางแผนการทํางานเป็นกลุ่มและงานเสร็จตามท่กี ําหนดได้หรือไม่
2. ผู้เรียนอธบิ ายความหมายของนาโนเทคโนโลยไี ด้หรอื ไม่
3. ผ้เู รียนยกตัวอยา่ งและอธิบายนาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติได้หรอื ไม่
กาหนดเวลาทางาน

3 ช่วั โมง

หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ัตงิ านในแตล่ ะข้ัน

316

พส.16

ใบกจิ กรรมที่ 21

รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทกั ษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ที่ 16

หนว่ ยท่ี 9 ช่ือหน่วย นาโนเทคโนโลยี เวลา 1 ชม.

ช่ือกิจกรรม นาโนเทคโนโลยี เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เพ่ือให้มีความร้คู วามเข้าใจเก่ียวกับนาโนเทคโนโลยี

วัสดุ/อปุ กรณ์
1. สมดุ
2. อุปกรณ์การเรียน

คาส่งั
1. ให้นักเรยี นตอบคาํ ถามตอ่ ไปน้ีให้ถกู ต้อง
2. ใหน้ ักเรียนทาํ ด้วยตนเองห้ามลอกกนั

1. นาโนเทคโนโลยหี มายถงึ อะไร............................................................................................................
2. ผทู้ จ่ี ุดประกายความคิดทีท่ ําใหม้ กี ารศกึ ษาเก่ยี วกับนาโนเทคโนยใี นปจั จุบันคอื ใคร..........................
3. ศนู ยน์ าโนเทคโนโลยแี ห่งชาติของประเทศไทยตงั้ ขึ้นในปี พ.ศ.ใด………………………………………………..
4. นาโนเทคโนโลยชี ีวภาพเป็นศกึ ษาเกี่ยวกับเร่อื งใด ยกตัวอยา่ งประกอบ……………………………………….
5. จงยกตัวอยา่ งนาโนเทคโนโลยที ี่เกดิ ขน้ึ ในธรรมชาติมา 2 ตัวอยา่ งพรอ้ มอธิบาย…………………………..
6. ความรู้เก่ียวกับนาโนเทคโนโลยีนําไปใช้สร้างส่ิงต่างๆในปัจจุบันมากมายจงยกตัวอย่างมา 2 ชนิดพร้อม
อธิบาย…………………………………………………………………………………………………………………………..

การประเมนิ ผล
1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นักเรียนทาํ ผา่ น 50 % ขน้ึ ไป

317

เฉลยใบกจิ กรรมที่ 21

1. นาโนเทคโนโลยหี มายถงึ อะไร
ตอบ เทคโนโลยีท่ีเก่ียวข้องกับกระบวนการสร้าง การสังเคราะห์วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรหรือผลิตภัณฑ์ซึ่งมี
ขนาดเลก็ มากในระดับนาโนเมตร เทียบเทา่ กบั ระดบั อนุภาคของโมเลกลุ หรอื อะตอม รวมถึงการออกแบบ การ
ใชเ้ ครือ่ งมือสร้างวัสดุท่ีอยู่ในระดับที่เล็กมาก หรือการเรียงอะตอมและโมเลกุลในตําแหน่งท่ีต้องการ ได้อย่าง
แม่นยาํ ถกู ต้อง ทาํ ให้โครงสรา้ งของวัสดหุ รอื สสารมีคุณสมบัติพิเศษ ไม่ว่าทางด้านฟิสิกส์ เคมี หรือชีวภาพ ส่ง
ให้มผี ลประโยชน์ต่อผู้ใช้สอย

2. ผู้ท่จี ุดประกายความคิดทท่ี ําใหม้ กี ารศึกษาเกย่ี วกับนาโนเทคโนยีในปจั จบุ นั คือใคร
ตอบ ศาสตราจารย์ริชารด์ ฟายน์แมน

3. ศนู ย์นาโนเทคโนโลยีแหง่ ชาติของประเทศไทยต้งั ข้นึ ในปี พ.ศ.ใด
ตอบ พ.ศ.2546

4. นาโนเทคโนโลยชี ีวภาพเป็นศึกษาเก่ยี วกับเร่ืองใด ยกตวั อย่างประกอบ
ตอบ เปน็ การศกึ ษาเกีย่ วกับเทคโนยที ีเ่ กยี่ วข้องกบั การพฒั นาคณุ ภาพของชีวติ เชน่ การสรา้ งอาหารท่ไี ม่มวี นั
หมด การรักษาโรคมะเรง็ โดยการดื่มเพยี งน้ําผลไมท้ ่ีมีหนุ่ ยนต์จิว๋ แบบท่มี องไม่เหน็ การใชห้ ุน่ ยนต์นาโนในการ
ปูองกันเชื้อโรค ซอ่ มแซมผนังเซลล์ รักษาอาการไขมันอดุ ตนั ในเสน้ เลือด หรือการสรา้ งหนุ่ ยนตน์ าโนทสี่ ามารถ
เคลอื่ นทีใ่ นกระแสเลือดเพอื่ เข้าทาํ ลายเชอ้ื โรคหรือเซลล์มะเร็งในร่างกายโดยไม่ตอ้ งมีการผา่ ตัดท่เี ส่ียงอนั ตราย

5. จงยกตวั อยา่ งนาโนเทคโนโลยที ่เี กิดขึ้นในธรรมชาติมา 2 ตัวอย่างพร้อมอธิบาย
ตอบ 1. ตีนตกุ๊ แก สตั วเ์ ลื้อยคลานเชน่ ตกุ๊ แก และจิง้ จกสามารถปนี กําแพงหรอื เกาะตดิ ผนังท่รี าบเรยี บและล่ื
ได้อยา่ ง มัน่ คงและในบางครัง้ ก็สามารถห้อยตวั ติดเพดานอยดู่ ว้ ย น้วิ ตนี เพยี งน้ิวเดยี ว ที่เป็นเชน่ นีก้ ็เพราะ
บริเวณใตอ้ ้งุ ตนี ของตกุ๊ แกจะมขี นขนาดเล็กท่ีเรยี กว่าซีเต้ (setae) จํานวนนบั ลา้ นเส้นเรียงตวั อัดแนน่ อยู่ โดยท่ี
ส่วนปลายของขน ซเี ตแ้ ตล่ ะเสน้ นี้กย็ งั มเี สน้ ขนทมี่ ขี นาดเลก็ กวา่ ท่ีเรียกว่าสปาตูเล่ (spatulae) ประกอบอยอู่ กี
หลายร้อยเส้นโดยท่ี สปาตูเล่แต่ละเสน้ จะมี ขนาดเลก็ ประมาณ 200 นาโนเมตร และที่ปลายของสปาตเู ล่แต่ละ
เส้นจะสามารถสรา้ งแรง ดึงดดู ทาง ไฟฟาู ท่ีเรียกวา่ แรงแวนเดอวาลส์ (van der Waals force) เพือ่ ให้ในการ
ยึดติดกบั โมเลกุลของสสารท่ี เป็นส่วน ประกอบของผนงั หรือเพดานได้

2. ใบบวั ((สารเคลือบนาโน) การที่นํา้ สามารถกลิ้งบนใบบวั ได้ เนือ่ งจากพ้นื ผวิ ของใบบัวมีลกั ษณะคลา้ ย
กับ หนามขนาดเล็กจํานวนมหาศาล เรียงตวั กระจายอย่อู ย่างเปน็ ระเบียบโดยที่หนามขนาดเล็กเหล่านกี้ ย็ ังจะมี
ปมุ เลก็ ๆ ท่ีมขี นาดในช่วงระดบั นาโนเมตรและเป็นสารทม่ี คี ณุ สมบตั ิคล้ายขผ้ี งึ้ เคลอื บอยภู่ ายนอกอีกด้วยจงึ ทํา
ใหน้ ้ําท่ตี กลงมาบนใบบวั มีพืน้ ที่สัมผัสน้อยมาก และไมส่ ามารถซึมผ่านหรอื กระจายตวั แผ่ขยายออกในแนว

318

กว้างบนใบบัวได้ ดังนัน้ น้ําจึงต้องมว้ นตัวเป็นหยดน้ําขนาดเล็กกลง้ิ ไปรวมกนั อย่ทู บ่ี ริเวณที่ต่าํ ท่สี ุดบนใบบวั
นอกจากนีส้ ่ิงสกปรกทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นผงฝุน เชื้อแบคทเี รียและเชือ้ รากไ็ มส่ ามารถเกาะติดแน่นอย่กู ับใบบวั

6. ความรู้เกี่ยวกับนาโนเทคโนโลยีนําไปใช้สร้างส่ิงต่างๆในปัจจุบันมากมายจงยกตัวอย่างมา 2 ชนิดพร้อม

อธบิ าย

ตอบ 1. พลาสติกนาโน (Nano Plastic) นาโนเทคโนโลยีช่วยทําให้พลาสติกกลายเป็นซูเปอร์พลาสติก ท่ีมี
ความแข็งแรง นํ้าหนักเบากว่าเดิมและทนต่อความร้อนได้สูงกว่าเดิมหลายเท่าตัวโดยใช้วัสดุนาโน คือ ท่อ
คารบ์ อนนาโน ทําใหไ้ ดโ้ ครงสร้างเป็นนาโนผสม สามารถนําไฟฟูาได้เน่ืองจากโครงข่ายของท่อที่เกาะเก่ียวกัน
เปน็ ลกั ษณะโยงใยจงึ เปน็ เสน้ ทางใหอ้ ิเลก็ ตรอนไหลได้ นวัตกรรมน้ีนําไปใช้ผลิตเคร่ืองบินโดยสารซูเปอร์จัมโบ้
รุ่นใหม่ A380 แห่งค่ายแอร์บัส ทําให้เคร่ืองบินนํ้าหนักเบากว่าเดิม ทําให้ประหยัดเช้ือเพลิงได้มากขึ้นและมี
ความแขง็ แกร่งสูงกวา่ เดิม

2. บรรณจภุ ณั ฑอ์ าหารนาโน (Nano Packaging) ฟิล์มท่ีใช้ถนอมอาหารหรือฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร ทํา
จากพอลิไวนลิ คลอไรด์ (PVC) ทาํ หนา้ ท่หี ่อหุ้มอาหารไม่ให้โดนอากาศมากเกินไป มีคุณสมบัตเิ หนยี วใส ยืดหยุ่น
ได้ ทนความร้อนถงึ 130 องศาเซลเซยี ส ชว่ ยถนอมรสชาติ ความสด สะอาดและคณุ ค่าอาหารได้แต่ถ้าเก็บนาน
ไปอาหารก็ยงั เน่าเสียได้ จึงไดใ้ ช้นาโนเทคโนโลยีเขา้ ชว่ ยแกป้ ัญหา โดยการใช้อนุภาคยับย้ังแบคทีเรีย ประเภท
ซิงค์ออกไซด์และแมกนีเซียมออกไซด์ ผสมเข้าไปในเนื้อฟิล์มแทนอนุภาคเงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ฟิล์มนี้ยัง
ปอู งกนั ไม่ให้แก๊สทีไ่ มต่ ้องการ เช่น แกส๊ ออกซิเจน เข้าไปโดนอาหารและแก๊สเอทิลลีนท่ีเกิดจากอาหารเน่าเสีย
ไม่ให้ผ่านเขา้ ออกและกาํ จัดแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ออกจากบรรจภุ ณั ฑ์

319

แบบทดสอบหน่วยที่ 9

คาสงั่ จงเลือกคําตอบทีถ่ กู ที่สุดเพียงคาํ ตอบเดียว แลว้ กาเครือ่ งหมายกากบาท (X) ลงในชอ่ ง  ใน

กระดาษคาํ ตอบ

1. “นาโน” มคี วามหมายตรงกับขอ้ ใด

ก. 1 ข. 1

1,000,000 100,000

ค. 1 ง. 1

10,000 1,000

2. นาโน (Nano) ตามรากศัพท์ภาษากรกี แปลวา่ อะไร

ก. จวิ๋ ข. เล็ก

ค. อะตอม ง. แคระ

3. ข้อใดต่อไปนแ้ี สดงปรมิ าณท่เี ล็กท่สี ุด

ก. เซนติเมตร ข. มิลลเิ มตร

ค. ไมโครเมตร ง. นาโนเมตร

4. การนําประโยชนจ์ ากนาโนเทคโนโลยมี ารักษาอาการไขมนั อดุ ตนั ในเส้นเลอื ด ตรงกับนาโนเทคโนโลยีใน

สาขาใด

ก. นาโนอิเล็กทรอนิกส์ ข. นาโนเคมี

ค. นาโนเทคโนโลยีชวี ภาพ ง. นาโนวิศวกรรม

5. “นาโนคอมพวิ เตอร”์ เปน็ การพัฒนามากจาก สาขาวิชาใด

ก. นาโนอิเลก็ ทรอนกิ ส์ ข. นาโนชีวภาพ

ค. วัสดนุ าโน ง. นาโนเคมี

6. ขอ้ ใดเกี่ยวขอ้ งกบั อตุ สาหกรรมในระดับนาโนน้อยที่สดุ

ก. สขุ ภาพและการกีฬา ข. ภาคเกษตรและอาหาร

ค. ภาพยนตร์ ง. การแพทย์

7. ทาํ ไมตุก๊ แกสามารถเกาะผนังได้ดว้ ยอุ้งเทา้ เพยี งขา้ งเดียว

ก. องุ้ เทา้ เป็นสญุ ญากาศ ข. เกดิ แรงดงึ ดดู ไฟฟูาสถติ

ค. มียางเหนยี วทอ่ี ุ้งเทา้ ง. สรา้ งสมดุลของแรงในแนวระดับ

8. ใยแมงมมุ มคี วามเหนยี วมากสามารถดกั แมลงขนาดใหญ่ไดส้ ารทห่ี ลั่งออกมาสรา้ งใยช่ือวา่ อะไร

ก. ไฟโบรอิน ข. โพรพลิ นี

ค. เรนนิ ง. ไฟเบอร์

320

9. ใบบอน ใบบวั เป็นพชื ท่ีใบมสี มบัติพิเศษนาํ้ ทีตกใสจ่ ะกลงิ้ ไปมาโดยไม่ทําให้ใบเปยี ก ฝุนไมเ่ กาะ ความรู้

เกย่ี วกบั โครงสร้างใบบัวนักวทิ ยาศาสตร์นําไปประยกุ ตใ์ ช้สร้างสิ่งใด

ก. ผงซกั ฟอก ข. เคร่ืองสาํ อาง

ค. สีทาผนงั บา้ น ง. ยารักษาโรค

10. บรรจภุ ัณฑ์นาโนทใ่ี ช้ทํากล่องขนมมปี ระโยชน์อย่างไร

ก. เพิม่ ความแข็งแรงของกล่อง

ข. บอกการหมดอายุของขนม โดยสีของฉลากจะเปลี่ยนแปลงไป

ค. ปูองกนั การบูดเน่าของนม

ง. ปูองกันการระเหยของนม

321

เฉลยแบบทดสอบหน่วยท่ี 9

1. ก. 1

1,000,000,000

2. ง. แคระ
3. ง. นาโนเมตร
4. ค. นาโนเทคโนโลยีชวี ภาพ
5. ก. นาโนอิเล็กทรอนกิ ส์
6. ค. ภาพยนตร์
7. ข. เกดิ แรงดงึ ดดู ไฟฟูาสถติ
8. ก. ไฟโบรอิน
9. ค. สีทาผนังบา้ น
10. ค. ปูองกันการบูดเนา่ ของนม

322

พส.8

แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยที่ 10
เวลารวม 3 ชม.
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทกั ษะชวี ิต

ชือ่ หน่วย ระบบนเิ วศ สปั ดาห์ 17/18

เร่อื ง ระบบนเิ วศ จานวน 3 ชม.

1. สาระสาคัญ

ระบบนิเวศเปน็ ระบบความสมั พนั ธข์ องสงิ่ มีชวี ิตกับส่งิ แวดลอ้ มท่อี าศัยอยู่ ระบบนิเวศอาจมตี ง้ั แต่

ขนาดเลก็ จนถงึ ขนาดใหญ่ครอบคลมุ ทั้งโลก ความสมั พันธท์ ีเ่ กิดข้ึนทาํ ให้สงิ่ มชี วี ิตอยู่รวมกันไดอ้ ยา่ งสมดลุ โดย

ส่ิงมีชวี ิตทีอ่ าศยั อย่ตู า่ งมีการปรับตวั ทัง้ ในด้านความสมั พันธ์ระหวา่ งสงิ่ มีชวี ิตชนิดเดียวกนั หรอื ต่างชนดิ กนั และ

ตอ้ งปรบั ตัวเก่ียวกับการรักษาดลุ ยภาพของรา่ งกายให้คงทีเ่ พ่ือการอยูร่ อด

2. สมรรถนะประจาหนว่ ย

แสดงความรูแ้ ละปฏบิ ัติเกย่ี วกบั ระบบนเิ วศและการรกั ษาดลุ ยภาพของสงิ่ มชี ีวติ

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

1. อธิบายความหมายของระบบนเิ วศได้

2. เขยี นหว่ งโซ่อาหารและสายใยอาหารจากสิ่งมีชีวติ ทกี่ ําหนดให้ได้

4. สาระการเรียนรู้

1. ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มส่ิงมีชีวิตกับกลุ่มสิ่งมีชีวิต

และกลุ่มสงิ่ มีชวี ติ กับสิ่งแวดลอ้ มในแหล่งท่อี ยบู่ รเิ วณหนึ่งที่มอี าณาเขตแนน่ อน

2. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตชนิด

เดียวกัน และความสัมพันธข์ องสิ่งมชี ีวติ ต่างชนิดกนั

3. ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งได้ 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตชนิด

เดยี วกัน และความสมั พนั ธข์ องส่ิงมชี วี ติ ตา่ งชนดิ กนั

4. นํา้ เป็นองค์ประกอบที่สาํ คัญของส่ิงมีชีวิต สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีปริมาณน้ําในร่างกายแตกต่าง

กันปกตจิ ะมนี า้ํ ประมาณ 40–95 % ของนาํ้ หนักตวั และมีอยู่ในเน้ือเย่ือต่าง ๆ ไม่เท่ากัน เช่น ในฟันมีนํ้าน้อย

มาก ประมาณ 10% แต่ในสมองมีน้ํามากถึง 95% ถ้าร่างกายเกิดการสูญเสียนํ้าเพียง 20% จะมีอันตรายถึง

ชวี ิต แตถ่ ้าเปน็ การสญู เสยี โปรตีน และไขมันในขณะที่มีนํ้าอย่างเพียงพอร่างกายสามารถสูญเสียโปรตีนได้ ถึง

50% หรือสูญเสยี ไขมันเกือบ 100% กย็ ังมีชีวติ อยู่ได้

5. ในร่างกายกระบวนการหายใจเกิดข้ึนตลอดเวลา การหายใจเป็นการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้

พลงั งาน พลงั งานรูปหน่งึ ทีเ่ กิดข้นึ คือ พลงั งานความร้อน เซลลจ์ ะค่อย ๆ ปลดปล่อยพลงั งานความร้อนออกมา

จงึ ทําให้อุณหภมู ขิ องรา่ งกายค่อนขา้ งคงท่ี

323

5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกช่ือ สํารวจการแต่งกาย พร้อมทั้งบันทึกลงในแบบ

สังเกตความมวี นิ ยั และความรบั ผดิ ชอบ
2. ข้นั นําเข้าสู่บทเรยี น
3. ครูแจ้งจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ และใหน้ กั เรยี นทาํ แบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยท่ี 10
4. ขั้นสอน ครูให้ความรู้ บรรยาย อธิบาย โดยใช้ส่ือ PowerPoint ประกอบ และให้นักเรียนทําใบ

กิจกรรมที่ 22-23
5. ให้นักเรยี นทาํ แบบทดสอบหลังเรยี นหน่วยที่ 10

6. สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้
6.1 สอื่ ส่งิ พมิ พ์
1. ใบความรู้ ระบบนิเวศ
2. ใบกจิ กรรมที่ 22-23
3. แบบทดสอบกอ่ นเรยี น ระบบนเิ วศ
4. แบบทดสอบหลังเรียน ระบบนเิ วศ
6.2 สือ่ โสตทัศน์
PowerPoint สรุปเนือ้ หาระบบนเิ วศ

7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ

8. กิจกรรมเสนอแนะ -
9. เอกสารอา้ งอิง

1. หนงั สือเรยี นรายวชิ า วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พฒั นาทักษะชีวติ
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กาํ หนดการประเมินพทุ ธิพิสัย

1. อธิบายความหมายของระบบนเิ วศได้
2. เขียนห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารจากสิ่งมชี ีวติ ที่กําหนดให้ได้
10.2 เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ประเมินทกั ษะพสิ ัย

1. ใบงาน ,ใบกิจกรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครอ่ื งมอื การประเมนิ จติ พิสยั
1. แบบประเมนิ จติ พสิ ัย

324

พส.9

เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการประเมนิ

รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทกั ษะชีวิต ท-ป-น 1-2-2

แบบประเมนิ แบบประมาณค่า (Rating scale) เกณฑ์การใหค้ ะแนน
54 321
ประเด็นการประเมนิ

1. อธิบายความหมายของระบบนิเวศ
2. เขยี นห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารจากส่งิ มีชีวิตท่กี าํ หนดให้

รวม
รวมทงั้ หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)

325

พส.10

แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)

พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิริยาสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12

รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์

หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ

326

พส.11
บนั ทึกหลงั การจดั การเรียนรู้
รหสั วชิ า...........................ช่อื วิชา..................................................................................ระดับชั้น................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สัปดาห์ท่.ี .........วันท่สี อน.........................................
หนว่ ยที.่ ...........ชื่อหนว่ ย.........................................................................................................จํานวน..................ชั่วโมง

1. ผลการจัดการเรียนรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…

ลงชือ่ .......................................................ครผู สู้ อน
(นางสาวกันตยา เลิศอรณุ รัตน์)
........../................/............

ความเห็น................................................................................. ความเหน็ .................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................

ลงชือ่ ...............................................หัวหนา้ แผนกวิชา ลงชอื่ ...........................................รองผอู้ าํ นวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บวั ดี) (นางสาวนิศากร เจริญดี)
............/................../............
............/................../............

327

พส.12

ใบความรู้ (Information Sheets)

รหัสวชิ า 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2

ช่อื หน่วย ระบบนเิ วศ

เรอื่ ง ระบบนเิ วศ จานวนชัว่ โมงสอน 3

จดุ ประสงค์การเรียนรู้ รายการเรียนรู้
1. ความหมายของระบบนิเวศ
- จุดประสงค์ทั่วไป 2. หว่ งโซอ่ าหารและสายใยอาหารจากสิ่งมชี ีวิต

อธบิ ายความหมายของระบบนเิ วศ

- จดุ ประสงค์เชงิ พฤติกรรม

เขยี นห่วงโซอ่ าหารและสายใยอาหารจากส่ิงมชี ีวติ ที่

กําหนดให้

เนื้อหาสาระ

ระบบนิเวศ

ระบบนเิ วศ (Ecosystem) หมายถึง หน่วยพืน้ ท่ีหน่ึงประกอบดว้ ยสงั คมของสิง่ มชี ีวติ กบั ส่งิ แวดล้อมท่ีทาํ
หน้าท่ีร่วมกัน ระบบนิเวศเป็นระบบทแี่ สดงให้เห็นถงึ ความสมั พนั ธอ์ ย่างใกล้ชดิ ของสิง่ มชี วี ิตและสิ่งแวดลอ้ ม โดย
การลําดับขั้นของการกินแบบตา่ งๆ ตลอดจนการหมุนเวียนของสารแร่ธาตแุ ละการถา่ ยทอดพลงั งาน จนทาํ ใหเ้ กดิ
องค์ประกอบของส่ิงมีชวี ิตเป็นระบบทม่ี ลี ักษณะต่างๆ กนั ระบบนิเวศเป็นกลไกควบคมุ สังคมของส่ิงมีชวี ติ ตา่ งๆ ท่ี
เกดิ มาจากความสมั พนั ธต์ อ่ กันทั้งสว่ นทเี่ ป็นสิง่ มชี ีวติ และสง่ิ ไม่มชี ีวิตดงั นน้ั ระบบนิเวศประกอบไปด้วย
1. หน่วยพืน้ ที่
2. องคป์ ระกอบทม่ี ีชีวติ (Biotic component)
3. องค์ประกอบทไ่ี ม่มีชีวิต (Abiotic component)
4. ความสัมพนั ธต์ ่อกันระหว่างสง่ิ มชี ีวติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม (ท้ังมีชีวิตและไมม่ ีชีวติ )

328

ประเภทของระบบนิเวศ
การจาํ แนกระบบนเิ วศสามารถจําแนกไดเ้ ปน็ หลายแบบ ข้ึนอย่กู ับเกณฑ์ทใี่ ช้แบ่ง ได้แก่
1. การจาํ แนกโดยลกั ษณะทางภมู ิศาสตรเ์ ปน็ เกณฑ์ สามารถแบง่ ได้เปน็ 2 แบบ คอื
1) ระบบนเิ วศพน้ื ดนิ (Terrestrial Ecosystem) เช่น ระบบนเิ วศปาุ ดบิ เขา, ระบบนเิ วศปุาชายเลน, ระบบนเิ วศปุา
เตง็ รงั , ระบบนเิ วศทุง่ หญ้า, ระบบนิเวศทะเลทราย, ระบบนเิ วศปุาดบิ ช้ืนเขตศนู ยส์ ูตร
2) ระบบนเิ วศน้าํ (Aquatic Ecosystem) เช่น ระบบนเิ วศนํา้ จดื , ระบบนิเวศน้าํ เคม็ , ระบบนิเวศนํ้ากร่อย
2. การจําแนกโดยใช้แบบแผนของการถา่ ยทอดพลังงานและสารอาหาร แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
1) ระบบนิเวศอสิ ระ (Lsolated Ecosystem) คือ ระบบนเิ วศที่ไมม่ ีการถา่ ยเทสารอาหารและพลงั งานระหว่าง
ภายในระบบนิเวศกับสิ่งแวดลอ้ มภายนอก เปน็ ระบบนิเวศที่ไม่มีในธรรมชาติ แตน่ กั นิเวศวทิ ยาพยายามคดิ คน้ ขน้ึ
2) ระบบนเิ วศแบบปิด (Closed Ecosystem) คือระบบนเิ วศที่มีเฉพาะการถ่ายเทพลงั งาน (แสงสว่าง) แตไ่ ม่มีการ
ถา่ ยเทสารอาหารระหว่างภายในระบบกบั ภายนอกระบบนเิ วศ เป็นระบบนิเวศทม่ี นุษย์สรา้ งขนึ้ ไม่มีในธรรมชาติ
เชน่ ตู้ปลา
3) ระบบนิเวศแบบเปิด (Open Ecosystem) เป็นระบบนิเวศท่ีมที งั้ การถ่ายเทสารอาหารและพลังงานระหวา่ ง
ระบบภายนอกกบั ระบบนิเวศภายใน เช่น สระน้ําทุ่งหญา้ ปาุ ไม้
3. จําแนกโดยใช้ขนาดพื้นที่ของระบบนิเวศนัน้ สามารถแบง่ ได้เปน็ 2 ขนาด คอื
1) ระบบนเิ วศขนาดใหญ่ เช่น ปุาเบญจพรรณ ทะเลสาบ มหาสมุทร ทงุ่ หญา้ เป็นต้น
2) ระบบนิเวศขนาดเลก็ เชน่ แอง่ นํา้ ในลอ้ ยางรถยนต์เก่า กิง่ ไมผ้ ุในปาุ เปน็ ตน้
4. จําแนกโดยใช้ลักษณะการนํามาประยกุ ตใ์ ช้ประโยชนต์ อ่ การพัฒนาเศรษฐกิจและการดาํ รงชพี แบ่งไดด้ งั น้ี
1) ระบบนเิ วศสมบูรณ์ หมายถงึ ระบบนเิ วศทีม่ อี งค์ประกอบครบท้ังสว่ นท่ีเปน็ กลมุ่ สิ่งมชี วี ติ ซงึ่ ไดแ้ ก่ ผู้ผลิต
ผบู้ รโิ ภค ผู้ย่อยสลาย และกลุ่มทีเ่ ปน็ ปัจจัยทางกายภาพ เช่น แสง ความช้นื อากาศ เปน็ ตน้ ระบบนเิ วศส่วนใหญ่ใน
ธรรมชาติจะเป็นแบบน้ี เชน่ สระน้าํ ปุาผลัดใบ
2) ระบบนเิ วศไมส่ มบูรณ์ หมายถึง ระบบนิเวศที่มีองค์ประกอบไมค่ รบอาจขาดปัจจยั บางส่วนในระบบนิเวศนัน้
เช่น บริเวณเขตทะเลลึกทแี่ สงสอ่ งไมถ่ ึงในท่ีแสงส่องไม่ถงึ พบหลายแหง่ ในประเทศไทย เช่น เทือกเขาบูโด จังหวดั
นราธวิ าสเทอื กเขาในเขตอุทยานแห่งชาติท่งุ แสลงหลวง จงั หวดั พษิ ณุโลก ถํ้าคา้ งคาวรอ้ ยล้าน จงั หวัดราชบรุ ี ถํ้าผา
ปุู จังหวดั เลย เป็นต้น ในบริเวณทเี่ ป็นระบบนิเวศ ไม่สมบรู ณ์นีส้ ่วนใหญจ่ ะไม่มีผูผ้ ลติ โดยเฉพาะพชื ดังน้นั การมี

329

ชีวิตอยขู่ องผบู้ รโิ ภคในเขตระบบนิเวศแบบน้ีต้องกินซากอินทรียจ์ ากการตกตะกอนหรือออกไปกนิ ในบรเิ วณอ่ืน เชน่
พวกค้างคาวที่อาศัยในถํา้ แต่ไปหากนิ ที่อื่น เป็นต้น

บทบาทของสิ่งมชี ีวติ ในระบบนิเวศในระบบนเิ วศสิ่งมีชวี ติ จะมบี ทบาทแตกตา่ งกนั ซงึ่ ส่ิงมีชวี ิตในระบบนเิ วศแบ่งได้
เป็น 3 กลุ่ม คือ
1.ผผู้ ลิต (Producer) เป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารได้ เช่น พชื ทีม่ ีสารสใี นการสงั เคราะหแ์ สง (คลอโรฟิลล์ แค
โรทนี แซนโทฟลิ ล์) เรยี กสิ่งมชี วี ิตกลุ่มท่ีสามารถสรา้ งอาหารได้เองนีว้ า่ ออโตโทรฟ (Autotroph) เชน่ แพลงตอน
พชื แบคทีเรยี บางชนิดที่สงั เคราะหแ์ สงได้ พชื ทกุ ชนิด สิ่งมชี วี ิตเหล่านโี้ ดยเฉพาะพชื ใบเขียว สรา้ งอาหาร
ข้นึ มาจากสารประกอบอนนิ ทรียโ์ มเลกลเุ ล็ก ให้เป็นสารประกอบทม่ี พี ลังงานสูง พวกคารโ์ บไฮเดรตและสารอ่นื ๆ
โดยกลไกจากการสงั เคราะห์แสง ผลผลิตทีไ่ ดจ้ ากกระบวนการสังเคราะหแ์ สงนี้ คอื คารโ์ บไฮเดรท จะเป็น
สารอาหารที่ใหพ้ ลงั งานแก่สงิ่ มีชวี ติ อนื่ ทไ่ี ด้รบั เขา้ ไปในรปู ของอาหาร และก๊าซออกซิเจนจากปฏิกิริยานจ้ี ะเป็นกา๊ ซ
ที่คายออกทางใปากใบของพืชแลว้ แพรไ่ ปในบรรยากาศ ซึ่งมีประโยชนท์ ้ังต่อมนุษย์และระบบนิเวศในหลายกรณี
2. ผบู้ รโิ ภค (Consumer) เป็นสง่ิ มีชวี ติ ท่ีไม่สามารถสรา้ งอาหารได้เอง ต้องได้รับอาหารโดยกินผผู้ ลิต เรียกสิ่งมีชวี ติ
กลุม่ นว้ี า่ เฮเทโรโทรฟ (Heterotroph) เชน่ แพลงตอนสตั ว์ สตั ว์ตา่ ง ๆ ทั้งชา้ ง ม้า ววั ควาย หมี นก ผเี สอื้ ฯลฯ
เนอ่ื งจากส่ิงมีชวี ติ ทีเ่ ปน็ ผู้บรโิ ภคน้มี จี ํานวนมากและแต่ละชนดิ กม็ ีลักษณะการบริโภคท่ีแตกต่างกัน ดังนนั้ เราจึง
สามารถแบง่ ผู้บรโิ ภคออกเป็นกลมุ่ ๆ โดยยึดชนดิ ของอาหารทีก่ ินเปน็ เกณฑ์ ซึ่งจําแนกผบู้ ริโภคได้เปน็ 3 กลมุ่ คอื
พวกกินพืช (Herbivore) เช่น กระตา่ ย ววั ม้า ช้าง ผีเส้ือ เลยี งผาพวกกินสตั ว์ (Carnivore) เชน่ เสือ เหยี่ยว กบ
ล่นิ นกแต้วแล้วพวกกินท้งั พชื และสตั ว์ (Omnivore) เช่น นกบางชนดิ ทก่ี ินทงั้ แมลงและเมลด็ พชื ไดแ้ ก่ นกหวั ขวาน
นกกระทาทงุ่
3. ผ้ยู ่อยสลาย(Decomposer) เปน็ ส่งิ มีชีวติ ทด่ี ํารงชวี ิตและไดพ้ ลังงานมาใชด้ ว้ ยการยอ่ ยสลายอินทรียส์ ารแล้วดูด
ซึมเขา้ สรู่ ่างกาย เช่น พวกส่ิงมีชวี ติ ในกลมุ่ เห็ดรา(Fungi) และแบคทเี รยี ท่ีสร้างอาหารเองไมไ่ ด้ ในระบบนิเวศ
ธรรมชาติสงิ่ มีชวี ิตท้งั กลมุ่ ผู้ผลิต กลมุ่ ผ้บู ริโภคและผู้ย่อยสลาย ทําให้เกิดกลไกความสมั พันธ์ต่อกันในเชงิ ระบบ
ระหวา่ งสง่ิ มชี ีวติ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม ซึ่งสามารถอธิบายความสัมพนั ธ์ทีม่ ีต่อกนั นนั้ ได้โดยผา่ นทางกลไก 3 ประการ ได้แก่
1. หว่ งโซ่อาหาร คือ การกนิ กนั อยา่ งเปน็ ลําดบั ขัน้ เรยี กแตล่ ะลาํ ดบั ขั้นนน้ั วา่ ระดบั อาหาร และจะมลี ําดับการกิน
ตอ่ กันเป็นทอด ๆ สามารถแสดงความสมั พนั ธ์ของแตล่ ะระดับอาหารท่ีกนิ กันเป็นทอด ๆ นไี้ ด้โดยห่วงโซ่อาหาร
(Food chain) และสายใยอาหาร (Food web)
2. การถ่ายทอดพลงั งาน คือ การถ่ายทอดพลังงานจากอาหารการกนิ กันอย่างเปน็ ลาํ ดบั ข้นั พลังงานที่ถา่ ยทอดไป

330

ตามระดับอาหาร การถา่ ยทอดพลังงานจากระดับอาหารตน้ ไปสูร่ ะดบั อาหารท้ายนั้นระดับพลงั งานจะลดนอ้ ยลง
ไปเรอ่ื ย ๆ ตามลําดับการกนิ
3. วัฏจกั รสารอาหารในระบบนเิ วศ คือ ผลพวงท่เี กดิ มาจากการย่อยสลายของกลุม่ ผู้ย่อยสลายในระบบนิเวศ ทําให้
เกิดการหมนุ เวียนถ่ายเทสารอาหารท่ีจาํ เปน็ สําหรับสิ่งมชี ีวติ ในระบบนเิ วศ ซ่ึงจะปรากฏในรปู แบบของการ
หมนุ เวียนของธาตตุ า่ ง ๆ โดยแตล่ ะธาตมุ ีการหมนุ เวยี นแตกตา่ งกนั โดยวฏั จักรสารอาหารแบง่ ได้เป็น 3 กลุม่ คอื
3.1 การหมุนเวยี นของสารประกอบ ได้แก่ วงจรของน้ํา
3.2 การหมุนเวียนของธาตทุ เี่ ป็นก๊าซ ได้แก่ ไฮโดรเจน ออกซิเจน ไนโดรเจน
3.3 การหมนุ เวียนของธาตทุ ส่ี ะสมอยู่บนผวิ โลกพบในลักษณะการตก
ตะกอนการละลาย การสะสมในรูปแบบต่าง ๆ และถกู ปล่อยออกมาด้วยกระบวนการกดั กร่อน ได้แก่ ฟอสฟอรัส
ซัลเฟอร์ โพแทสเซยี ม ฯลฯ

ทรพั ยากรธรรมชาติ มคี วามสําคญั ต่อการดํารงชีวิตของมนษุ ยร์ วมไปถึงสิ่งมชี วี ิตตา่ งๆ และบทบาทของสงิ่ มีชีวติ ที่
อยใู่ นระบบนิเวศนก์ จ็ ะมคี วามแตกต่างกัน ซ่งึ ความแตกตา่ งนี้ส่งผลทําให้เกิดกลไกความสัมพันธ์ต่อกนั ในเชิงระบบ
ระหว่างส่ิงมชี ีวติ กับส่ิงแวดล้อม ทาํ ใหเ้ กิดการหมุนเวยี นถ่ายเทสารอาหารท่จี ําเป็นสําหรับสิง่ มีชวี ิตในระบบนเิ วศ
หรือท่ีเรียกวา่ ห่วงโซอ่ าหาร
ความสาคัญของระบบนเิ วศน์

ระบบนิเวศ (Ecosystem) หมายถงึ หนว่ ยพ้ืนที่หนง่ึ ประกอบด้วยสงั คมของสิง่ มีชีวติ กบั สงิ่ แวดล้อมทาํ หน้าท่ี
รว่ มกัน เช่น อากาศ นํ้าและดินอนินทรีย์ ซ่งึ มปี ฏิสมั พันธ์กันเปน็ ระบบ ระบบนเิ วศมีขนาดเท่าใดกไ็ ด้ แต่ปกติ
ครอบคลุมพ้นื ท่เี ฉพาะจํากัด

การศึกษาความสมั พันธร์ ะหว่างส่งิ มชี ีวติ กบั สง่ิ แวดล้อม หรอื ทเ่ี รยี กวา่ ระบบนิเวศน์ เออื้ ประโยชน์ในแง่ของ
การตอบสนองความต้องการตอ่ การดํารงชีวิต เชน่ ความสัมพันธร์ ะหว่างผ้ผู ลิตและผ้บู รโิ ภคในระบบนเิ วศ สามารถ
ควบคมุ การเพิ่มหรือลดผลผลิตทางการเกษตร การควบคุมศตั รูพชื การทําใหผ้ ลผลติ ทางการเกษตร เพมิ่ ขน้ึ โดยไม่
ตอ้ งลงทนุ เพ่ิม และความรู้เร่อื งระบบนเิ วศยงั เปน็ พ้นื ฐานในการรกั ษาและใช้ทรพั ยากรธรรมชาติอย่างสมดุล ชว่ ย
ให้มนษุ ย์และสงิ่ มชี ีวิตใช้ประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งยั่งยนื
องค์ประกอบของระบบนิเวศ
1. องคป์ ระกอบทม่ี ชี วี ิต (biotic component) แบ่งตามบทบาทหนา้ ที่ ได้แก่ ผู้ผลติ (producer or
autotrophic) ผบู้ รโิ ภค (consumer) และผู้ยอ่ ยสลายซาก (decomposer, saprotrophic,osmotroph
หรอื micro consumer)

331

1.1 ผู้ผลิต (producer or autotrophic) หมายถึง ส่ิงมชี ีวิตทสี่ ร้างอาหารเองได้ ส่วนมากจะเปน็ พชื ท่ีมีคลอโรฟิลล์
1.2 ผู้บรโิ ภค (consumer) หมายถึง สิ่งมชี วี ิตท่ไี ม่สามารถสร้างอาหารเองได้ สว่ นใหญเ่ ปน็ สตั ว์ทก่ี นิ ส่ิงมีชีวติ อ่ืน
เป็นอาหาร
1.3 ผยู้ ่อยสลายซาก (decomposer, saprotrophic, osmotroph หรอื micro consumer) หมายถงึ ส่งิ มีชีวิต
ขนาดเล็กท่ีสรา้ งอาหารเองไมไ่ ด้ เช่น แบคทีเรีย เหด็ หรอื รา
2. องคป์ ระกอบทีไ่ ม่มชี วี ิต (abiotic component) ได้แก่
2.1 สารอนินทรยี ์ (inorganic substances) ประกอบดว้ ยแร่ธาตุและสารอนนิ ทรีย์ ซงึ่ เปน็ องคป์ ระกอบสาํ คัญใน
เซลล์สิ่งมีชีวิต เช่น คารบ์ อน ออกซเิ จน คาร์บอนไดออกไซด์ และนํา้
2.2 สารอินทรีย์ (organic compound) ได้แกส่ ารอินทรยี ท์ ่ีจําเป็นตอ่ ชีวิต เชน่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และ
ซากส่งิ มชี วี ิตเน่าเป่ือยทับถมกันในดนิ
2.3 สภาพภูมิอากาศ (climate regime) ไดแ้ ก่ปจั จัยทางกายภาพท่ีมีอิทธพิ ลต่อสง่ิ แวดลอ้ ม เชน่ อุณหภูมิ แสง
ความชน้ื อากาศ และพืน้ ผิวทีอ่ ย่อู าศัย (substrate) ซึ่งรวมเรยี กว่า ปจั จัยจาํ กดั (limiting factors)
ประเภทของระบบนิเวศ
การจําแนกระบบนิเวศน์ โดยใช้ลกั ษณะทางภูมศิ าสตรเ์ ปน็ เกณฑ์ ไดแ้ ก่ ระบบนเิ วศพ้นื ดนิ และระบบนเิ วศน้าํ
2. การจาํ แนกระบบนเิ วศน์ โดยใช้แบบแผนของการถา่ ยทอดพลงั งานและสารอาหาร ไดแ้ ก่
2.1 ระบบนิเวศอสิ ระ คือ ระบบนเิ วศท่ไี มม่ ที ้ังการถ่ายทอดพลังงานและสารอาหาร ไมส่ ามารถพบไดใ้ นธรรมชาติ
และไม่สามารถจาํ ลองข้นึ ได้
2.2 ระบบนิเวศแบบปดิ (closed Ecosystem) คอื ระบบนิเวศทีม่ ีเฉพาะการถา่ ยทอดพลังงานเพยี งอยา่ งเดียว โดย
ไม่มีการถา่ ยทอดสารอาหารระหว่างระบบนเิ วศดว้ ยกัน ในธรรมชาติจะไม่พบระบบนิเวศนป์ ระเภทนี้ แต่สามารถ
สร้างหรือจาํ ลองขน้ึ มาได้ เชน่ ระบบนิเวศตู้เลี้ยงปลา
2.3 ระบบนเิ วศแบบเปดิ (Open Ecosystem ) คอื ระบบนิเวศท่มี กี ารถ่ายทอดสารอาหารและพลงั งานระหว่าง
ระบบนิเวศดว้ ยกัน เชน่ ระบบนิเวศปุา หรอื ระบบนิเวศชายฝ่งั
การจําแนกระบบนเิ วศน์ โดยใช้ขนาดพน้ื ทีข่ องระบบนิเวศ ได้แก่ ระบบนเิ วศขนาดใหญ่ เช่น ปุาเบญจพรรณ ท่งุ
หญ้า หรอื มหาสมุทร ระบบนเิ วศขนาดเล็ก เช่น แอ่งนาํ้ ในลอ้ ยางรถยนต์เก่า ก่งิ ไม้ผใุ นปุา เป็นต้น
4. การจําแนกระบบนิเวศน์ โดยใช้ลักษณะการนํามาประยุกต์ใชป้ ระโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและ การดาํ รงชพี
สามารถแบง่ ได้ ดังน้ี
4.1 ระบบนเิ วศสมบูรณ์ท่มี อี งค์ประกอบครบทง้ั ส่วนท่เี ป็นกลุม่ สิง่ มชี ีวติ ไดแ้ ก่ ผู้ผลิต ผู้บรโิ ภค ผูย้ ่อยสลาย และกลมุ่
ท่เี ปน็ ปัจจัยทางกายภาพ เชน่ แสง ความชืน้ อากาศเป็นตน้
4.2 ระบบนิเวศไมส่ มบรู ณ์ หมายถงึ ระบบนิเวศที่มีองค์ประกอบไม่ครบอาจขาดปัจจัย บางส่วนในระบบนเิ วศนั้น
เชน่ บรเิ วณเขตทะเลลึกท่ีแสงส่องไม่ถงึ

332

ความสมั พนั ธ์เชิงระบบ ระหวา่ งสิ่งมชี ีวิตกบั ส่ิงแวดลอ้ ม

ในระบบนเิ วศธรรมชาติสิ่งมชี วี ติ ท้งั กลุ่มผู้ผลิต กล่มุ ผู้บริโภคและผ้ยู ่อยสลาย ทําใหเ้ กิดกลไกความสมั พันธต์ อ่
กนั ในเชิงระบบ 3 ประการ ไดแ้ ก่
ห่วงโซอ่ าหาร คือ การกนิ กนั อยา่ งเปน็ ลําดับขัน้ จะมลี าํ ดับการกนิ ต่อกันเปน็ ทอด ๆ
การถา่ ยทอดพลงั งาน คือ การถ่ายทอดพลังงานจากระดับอาหารตน้ ไปสรู่ ะดับอาหารท้าย ระดับพลงั งานจะลด
น้อยลงไปเรื่อย ๆ ตามลําดับการกิน
วฏั จักรสารอาหารในระบบนเิ วศ คือ ผลพวงทเ่ี กดิ มาจากการยอ่ ยสลายของกลุ่มผยู้ ่อยสลายในระบบนเิ วศ ทําให้
เกิดการหมุนเวียนถา่ ยเทสารอาหารท่ีจําเปน็ สําหรับสงิ่ มีชวี ิตในระบบนเิ วศ
สรุป ระบบนเิ วศ (Ecosystem) เป็นโครงสร้างความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่งิ มีชีวิตตา่ ง ๆ กบั บริเวณแวดล้อมที่สิง่ มีชวี ิต
เหลา่ นด้ี าํ รงชวี ติ อยู่ หรอื เปน็ พนื้ ทีป่ ระกอบดว้ ยสงั คมของสิ่งมชี ีวิตกบั สิ่งแวดลอ้ มท่ีทําหนา้ ท่ีรว่ มกัน การศกึ ษาเรอ่ื ง
ระบบนิเวศ เปน็ ประโยชน์ต่อการดํารงชวี ติ ของมนษุ ย์ เพราะเปน็ พ้นื ฐานในการรกั ษาและใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
อยา่ งสมดุลและย่ังยนื

เอกสารอ้างองิ
https://sites.google.com/site/sasimajankong2542/home/hnwy-thi3
https://dakla.wordpress.com
https://www.trueplookpanya.com/learning/detail/30617-043101

333

พส.13

ใบงาน (Job Sheets)

รหสั วชิ า 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พือ่ พัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชอื่ หนว่ ย ระบบนเิ วศ

เรื่อง ระบบนเิ วศ จานวนช่ัวโมงสอน 3 รายการเรียนรู้
จดุ ประสงค์การเรียนรู้ เครอ่ื งมอื /วสั ดุ-อุปกรณ์
1. ปากกา
- จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 2. กระดาษ A4
1. เขยี นห่วงโซ่อาหารของส่ิงมีชวี ติ ได้ 3. ชิ้นงาน
2. ทํางานรว่ มกนั เป็นกลุม่ ได้ ข้อควรระวัง
1. ควรใช้อุปกรณ์ตา่ งๆดว้ ยความระมดั ระวงั
- ลาํ ดับข้ันการทํางาน มอบงาน
1. ใหน้ ักเรียนแบง่ กลุ่มกลุ่มละ 3 คน 1. นําเสนอผลงานพรอ้ มอธบิ าย
2. ให้แต่ละกลุ่มสบื ค้นหาสิ่งมีชวี ติ ในระบบนเิ วศตา่ งๆ วดั ผล/ประเมนิ ผล
3. ใหว้ ิเคราะหว์ า่ ในแต่ละระบบนเิ วศน์มีสิ่งมชี วี ิต 1. ตรวจชิ้นงาน
อะไรบา้ ง 2. การนําเสนอผลงาน
4. นําเสนอหน้าชนั้ เรยี น 3. เกณฑ์คะแนนผา่ น 50% ขึ้นไป

334

พส.14

ใบปฏิบตั ิงาน (Operation Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทกั ษะชีวติ

ช่ือหนว่ ย ระบบนเิ วศ

เร่อื ง ระบบนิเวศ จานวนชว่ั โมงสอน 3

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
- จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม

1. เขยี นห่วงโซ่อาหารของส่ิงมีชวี ติ ได้
2. ทาํ งานรว่ มกันเป็นกลมุ่ ได้
เคร่อื งมอื -อปุ กรณ์-วสั ดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ชิ้นงาน
ลาํ ดับขน้ั การปฏบิ ัติงาน
1. ให้นักเรยี นแบ่งกล่มุ กล่มุ ละ 3 คน ศกึ ษาระบบนเิ วศในวิทยาลยั
2. ให้วิเคราะหว์ ่าระบบนเิ วศในวิทยาลยั มีอะไรบา้ ง
3. นําเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น
ขอ้ ควรระวัง
1. ควรใช้อุปกรณ์ต่างๆด้วยความระมัดระวงั
ข้อเสนอแนะ
1. การส่งงานให้ตรงตามเวลาท่ีผู้สอนกาํ หนด
2. การทดลองควรตรงประเด็นกับหวั ข้อโครงงานทต่ี ้งั ไว้
การประเมินผล
1. การประเมนิ ผลงานของแต่ละกลมุ่
2. การประเมินผลการนําเสนอหนา้ ชนั้ เรียน
เอกสารอ้างอิง
https://sites.google.com/site/sasimajankong2542/home/hnwy-thi3

หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏบิ ัตงิ านในแต่ละข้ัน

335

พส.15

ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)

รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2

ชื่อหนว่ ย ระบบนิเวศ

เร่อื ง ระบบนเิ วศ จานวนชวั่ โมงสอน 3

จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพ่ือให้ผเู้ รียนอธิบายความหมายของระบบนเิ วศได้
2. เพ่อื ให้ผ้เู รยี นเขยี นหว่ งโซ่อาหารและสายใยอาหารจากสง่ิ มชี ีวติ ทกี่ ําหนดให้ได้

แนวทางการปฏิบัตงิ าน
ให้ผ้เู รยี นทํางานเป็นกลุ่ม กําหนดหน้าทข่ี องแตล่ ะคนใหช้ ัดเจน จัดลําดบั ขนั้ ตอนการปฏิบัติงานใหเ้ หมาะสม

แหล่งค้นคว้า
สื่อออนไลน์

คาถาม/ปัญหา
1. ผู้เรยี นวางแผนการทํางานเปน็ กลมุ่ และงานเสร็จตามทก่ี ําหนดได้หรือไม่
2. ผู้เรยี นอธบิ ายความหมายของระบบนิเวศไดห้ รอื ไม่
3. ผู้เรียนเขียนห่วงโซ่อาหารและสายใยอาหารจากสิ่งมีชีวติ ที่กาํ หนดให้ได้หรือไม่
กาหนดเวลาทางาน

3 ชว่ั โมง

หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบตั งิ านในแต่ละขั้น

336

พส.16

ใบกจิ กรรมท่ี 22

รหสั วชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2 สอนคร้งั ท่ี 17

หน่วยท่ี 10 ช่อื หนว่ ย ระบบนเิ วศ เวลา 1 ชม.

ช่อื กจิ กรรม ห่วงโซอ่ าหารและสายใยอาหาร เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรียนรู้
1. เพือ่ ใหม้ ีความร้คู วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั นาโนเทคโนโลยี

วัสด/ุ อปุ กรณ์
1. สมดุ
2. อุปกรณ์การเรยี น

คาส่ัง
1. ให้นกั เรียนเขยี นสายใยอาหาร ลงในภาพที่กําหนดให้
2. จากสายใยอาหารทเ่ี ขียนในขอ้ 1 ใหน้ กั เรียนเขียนโซอ่ าหารแยกออกมาจากสายใยอาหารให้

ไดม้ ากท่สี ุดเท่าท่ีจะเขยี นได้
3. ใหน้ ักเรียนทําดว้ ยตนเองห้ามลอกกัน

แมว
เป็ด

สาหรา่ ย นกยาง
ปลา เสอื

337

การประเมนิ ผล
1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นกั เรยี นทาํ ผา่ น 50 % ข้นึ ไป

338

พส.16

ใบกจิ กรรมที่ 23

รหัสวิชา 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2 สอนครัง้ ที่ 17
หน่วยที่ 10 ช่ือหน่วย ระบบนิเวศ เวลา 1 ชม.
ชือ่ กจิ กรรม ความสมั พันธข์ องส่งิ มีชวี ิตในระบบนเิ วศ เวลา 1 ชม.

จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. เพ่อื ใหม้ ีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกบั นาโนเทคโนโลยี

วสั ด/ุ อปุ กรณ์

1. สมดุ

2. อุปกรณ์การเรียน

คาสัง่

1. ให้นกั เรยี นวเิ คราะห์ความสัมพนั ธข์ องสง่ิ มชี ีวิตแต่ละค่แู ละเขยี นตอบลงในตาราง

2. ใหน้ ักเรยี นทาํ ดว้ ยตนเองหา้ มลอกกัน

คู่ส่งิ มชี วี ิต ลักษณะความสมั พนั ธ์ สัญลกั ษณ์ ผไู้ ดป้ ระโยชน์ ผูเ้ สียประโยชน์

นกยาง กับควาย

ไก่ กบั ไร

ต้นปาลม์ กับกลว้ ยไม้

สนุ ขั จ้งิ จอกกับกระตา่ ย

หญ้าคากับหญ้ามาเลย์

ต๊กั แตนกับนกเอยี้ ง

พยาธปิ ากขอ กับ คน

ปลาฉลาม กบั เหาฉลาม

ปเู สฉวนกบั ดอกไมท้ ะเล

นกเขา กบั ตน้ มะมว่ ง

แมลงกบั ตน้

หมอ้ ข้าวหม้อแกงลงิ

เฉลยใบกิจกรรมที่ 22 339

เป็ด แมว

สาหรา่ ย นกยาง

ปลา
เสือ

สาหร่าย เป็ด แมว เสอื
สาหรา่ ย
สาหร่าย เปด็ แมว เสอื
สาหรา่ ย
สาหร่าย เปด็ เสอื
สาหร่าย
สาหร่าย ปลา เป็ด แมว เสอื

ปลา เป็ด เสือ

ปลา นกยาง แมว เสอื

ปลา นกยาง เสือ

340

เฉลยใบกจิ กรรมท่ี 23

ค่สู ิง่ มีชีวติ ลกั ษณะความสมั พันธ์ สัญลักษณ์ ผไู้ ดป้ ระโยชน์ ผ้เู สียประโยชน์
นกยาง กับควาย ภาวะไดป้ ระโยชน์
รว่ มกนั + / + ท้ังคู่ -
ไก่ กบั ไร ภาวะปรสติ
ตน้ ปาลม์ กบั กลว้ ยไม้ ภาวะเก้ือกูล +/- ไร ไก่
สุนัขจ้ิงจอกกับกระต่าย ภาวะการล่าเหยือ่
หญ้าคากับหญา้ มาเลย์ ภาวะการแข่งขนั +/๐ กล้วยไม้ -
ตัก๊ แตนกบั นกเอี้ยง ภาวะการล่าเหยื่อ
พยาธปิ ากขอ กบั คน ภาวะปรสิต +/- สุนัขจิ้งจอก กระตา่ ย
ปลาฉลาม กับ เหาฉลาม ภาวะเกอ้ื กลู
ปเู สฉวนกบั ดอกไมท้ ะเล ภาวะได้ประโยชน์ -/- - ทง้ั คู่
รว่ มกนั
นกเขา กบั ตน้ มะมว่ ง ภาวะเกอ้ื กูล +/- นกเอยี้ ง ตก๊ั แตน
แมลงกับตน้ ภาวะการลา่ เหยอ่ื
หมอ้ ข้าวหมอ้ แกงลิง +/- พยาธิปากขอ คน

+/๐ เหาฉลาม -

+/+ ทงั้ คู่ -

+/๐ นกเขา -
+/- หมอ้ ข้าวหมอ้ แมลง

แกงลิง

341

แบบทดสอบหนว่ ยที่ 10

คาส่งั จงเลือกคําตอบทถ่ี ูกท่ีสุดเพียงคาํ ตอบเดยี ว แล้วกาเครอื่ งหมายกากบาท (X) ลงในชอ่ ง  ใน
กระดาษคําตอบ
1. ข้อใดท่ไี มใ่ ช่ระบบนิเวศ

ก. ในทะเลทรายมีกง้ิ ก่า และต้นตะบองเพชร
ข. ปาุ ชายเลนมตี ้นโกงกาง ปู ปลาทราย
ค. ขอนไมท้ วี่ างทิง้ ไวข้ ้างร้วั บา้ น มมี ด ปลวกเกาะอยู่
ง. นายเดชา วัดคา่ pH ของนา้ํ ในบอ่ น้ําหลังบา้ น
2. ข้อใดจัดเปน็ กลมุ่ สงิ่ มชี วี ติ
ก. ในสนามหญ้ามีหญา้ คาขึน้ รวมกบั หญา้ แหว้ หมู
ข. ในทุ่งนามตี น้ ข้าวขึ้นเตม็ ท้องทงุ่
ค. ในทะเลทรายเต็มไปดว้ ยต้นตะบองเพชร
ง. ในบอ่ เลีย้ งปลามีปลาดกุ อยู่ประมาณ 500 ตวั
3.“แหล่งทอ่ี ยอู่ าศยั ” มีความหมายตรงกับข้อใด
ก. ปลาช่อนชอบอาศยั อยู่ตามรมิ บ่อ หนองบึงที่มีพืชน้ําปกคลมุ อาหารอุดมสมบูรณ์
ข. ตะบองเพชรเป็นพชื ทะเลทราย ใบเปล่ียนเป็นหนามเพือ่ ลดการคายน้ํา
ค. นกปากห่างอพยพมาทาํ รงั ชั่วคราวที่วัดไผ่ล้อม จงั หวดั ปทมุ ธานี
ง. สาหรา่ ยข้าวเหนยี วเป็นพืชน้ําท่มี ีดอก รากดดู อาหารจากดนิ โดยตรง ใบเปลีย่ นไปสาํ หรับจบั สตั ว์นาํ้
เลก็ ๆ เปน็ อาหาร
4. สิง่ มชี ีวติ ในระบบนเิ วศประกอบด้วยสงิ่ มชี ีวิตกลุม่ ใดบ้าง
ก. ผผู้ ลติ ผบู้ รโิ ภคอนั ดบั 1 ผู้บริโภคอนั ดบั 2
ข. ผผู้ ลิต ผบู้ รโิ ภคอนั ดบั 1 ผู้บรโิ ภคอันดบั สุดท้าย
ค. ผู้ผลิต ผบู้ ริโภค ผูย้ อ่ ยสลาย
ง. ผู้ผลติ ผู้บริโภคอันดับสุดท้าย ผู้ย่อยสลาย
5. ข้อใดเป็นผลเสียของการรวมกลุ่มของฝูงกวาง
ก. มกี ารแย่งนํา้ แยง่ อาหาร
ข. เพิม่ โอกาสในการขยายเผา่ พนั ธุ์
ค. ปูองกนั การถกู ล่าจากศัตรู
ง. มีการจดั ระบบภายในกล่มุ

342

6. ข้อใดเปน็ ผลดีของการอยรู่ วมกนั ของสิ่งมชี วี ติ ชนิดเดยี วกนั
ก. ปอู งกันภยั จากศัตรู
ข. แบง่ ปนั อาหารกันกิน
ค. ชว่ ยกันสร้างท่อี ยอู่ าศยั
ง. ไม่ทาํ ใหเ้ กดิ การกลายพันธ์ุ

7. ขอ้ ใดแสดงให้เห็นอทิ ธิพลของแสงต่อการเปลี่ยนแปลงของสงิ่ มีชวี ติ
ก. การหุบบานของดอกไม้
ข. การอพยพยา้ ยถ่นิ ของนกปากห่าง
ค. การเปลี่ยนรปู ของใบเปน็ หนามของตน้ ตะบองเพชร
ง. แมวในเขตหนาวมีขนยาวกว่าแมวในเขตรอ้ น

8. ขอ้ ใดแสดงให้เห็นผลกระทบจากปัจจัยทางชีวภาพ
ก. จิ้งจกเปลีย่ นสีไปตามสภาพแหล่งทอ่ี ยอู่ าศัย
ข. ยางพาราผลัดใบเมอ่ื เข้าสู่ฤดแู ล้ง
ค. หนวู ิ่งหนแี มวเขา้ ไปอยู่ในรู
ง. ตน้ ไมเ้ จริญเตบิ โตดีเพราะใส่ปุ๋ย

9. ไลเคนสเ์ ป็นการอยู่รว่ มกนั ของส่ิงมชี ีวติ คู่ใด
ก. แบคทีเรียกบั รา
ข. เห็ดกับยีสต์
ค. แบคทเี รยี กับยีสต์
ง. รากับสาหร่าย

10. การอยู่ร่วมกันของสง่ิ มชี วี ิตคู่ใดเหมือนกับกาฝาก
ก. ปลาฉลามกบั เหาฉลาม
ข. โปรโตซวั ในลาํ ไสป้ ลวก
ค. พยาธไิ สเ้ ดอื นในลําไส้คน
ง. นกเอยี้ งกับควาย

343

เฉลยแบบทดสอบหนว่ ยที่ 10

1. ง. นายเดชา วดั คา่ pH ของนา้ํ ในบอ่ นาํ้ หลงั บ้าน
2. ก. ในสนามหญา้ มหี ญ้าคาข้นึ รวมกบั หญ้าแห้วหมู
3. ก. ปลาช่อนชอบอาศยั อยู่ตามริมบอ่ หนองบึงท่ีมพี ืชน้ําปกคลุม อาหารอดุ มสมบรู ณ์
4. ค. ผผู้ ลิต ผู้บรโิ ภค ผู้ยอ่ ยสลาย
5. ก. มีการแยง่ นาํ้ แยง่ อาหาร
6. ก. ปูองกันภยั จากศัตรู
7. ก. การหุบบานของดอกไม้
8. ค. หนวู ิ่งหนแี มวเขา้ ไปอยู่ในรู
9. ง. รากับสาหรา่ ย
10. ค. พยาธิไส้เดอื นในลาํ ไสค้ น

แผนการจดั การเรยี นรู้ 344

รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทกั ษะชีวติ พส.8
ชอ่ื หน่วย สอบปลายภาค
เรื่อง สอบปลายภาค หนว่ ยท่ี -
เวลารวม 3 ชม.
- สอบปลายภาคเพ่อื วดั ความรแู้ ละความเขา้ ใจในหน่วยการเรยี นรู้ที่ 1-10 สปั ดาห์ 18/18
จานวน 3 ชม.

345

บรรณานกุ รม

ภาสติ า เปล่งปลั่ง.วทิ ยาศาสตร์เพื่อพฒั นาทักษะชีวติ . พิมพค์ ร้งั ท่ี 1. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์เอมพันธ์,
2562.

วิวฒั น์ รอดเกิด.วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชวี ิต. พมิ พค์ รั้งท่ี 1. กรงุ เทพฯ : ศูนย์หนงั สอื เมอื งไทย,
2562.


Click to View FlipBook Version