251
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอื่ พัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
ชือ่ หนว่ ย ปฏิกริ ยิ าเคมีในชีวติ ประจาํ วัน
เร่อื ง การดลุ สมการเคมี จานวนช่วั โมงสอน 3
จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพื่อให้ผ้เู รียนอธบิ ายความหมายของสารตั้งตน้ และผลิตภัณฑใ์ นสมการเคมีได้
2. เพอ่ื ใหผ้ ้เู รยี นดุลสมการเคมไี ด้
แนวทางการปฏบิ ตั ิงาน
ให้ผ้เู รยี นทํางานเปน็ กลุ่ม กําหนดหน้าท่ีของแตล่ ะคนให้ชัดเจน จัดลําดบั ขน้ั ตอนการปฏิบตั งิ านใหเ้ หมาะสม
แหลง่ คน้ ควา้
ส่อื ออนไลน์
คาถาม/ปญั หา
1. ผู้เรยี นวางแผนการทํางานเป็นกลุม่ และงานเสร็จตามทก่ี าํ หนดไดห้ รือไม่
2. ผ้เู รยี นอธบิ ายความหมายของสารตัง้ ตน้ และผลิตภณั ฑ์ในสมการเคมีไดห้ รือไม่
3. ผเู้ รียนดุลสมการเคมีได้หรอื ไม่
กาหนดเวลาทางาน
3 ชว่ั โมง
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏิบัตงิ านในแต่ละข้นั
252
พส.16
ใบกิจกรรมที่ 18
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนคร้ังที่ 13
หน่วยที่ 7 ชอื่ หน่วย ปฏกิ ิริยาเคมีในชีวิตประจาํ วัน เวลา 1 ชม.
ชอ่ื กิจกรรม การดุลสมการเคมี เวลา 1 ชม.
จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. เพอื่ ให้มคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเก่ียวกับการดุลสมการเคมี
วสั ด/ุ อปุ กรณ์
1. สมุด
2. อุปกรณ์การเรียน
คาสั่ง
1. ใหน้ ักเรียนดลุ สมการเคมีต่อไปนใ้ี ห้ถูกตอ้ ง
2. ให้นกั เรียนทาํ ด้วยตนเองหา้ มลอกกัน
1. C3 H8 + O2 CO2 + H2 O
2. Zn + HCl Zn Cl2 + H2
3. Cu + H2 SO4 CuSO4 + H2 O + SO2
4. KI + Pb (NO3)2 PbI2 + KNO3
5. Al + NaOH Na3AlO3 + H2
6. H2 SO4 + Na OH
7. Cu (NO3)2 Na2 SO4 + H2 O
8. (NH4)2 SO4 + NaOH CuO + NO2 + O2
การประเมนิ ผล NH3 + H2O + Na2SO4
1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นกั เรยี นทาํ ผ่าน 50 % ขน้ึ ไป
253
เฉลยใบกิจกรรมที่ 18
1. C3 H8 + 5 O2 3CO2 + 4 H2 O
2. Zn + 2 HCl Zn Cl2 + H2
3. Cu + 2 H2 SO4 CuSO4 + 2 H2 O + SO2
4. 2 KI + Pb (NO3)2 PbI2 + 2 KNO3
5. 2 Al + 6 NaOH 2 Na3AlO3 + 3 H2
6. H2 SO4 + 2 Na OH
7. 2 Cu (NO3)2 Na2 SO4 + 2 H2 O
8. (NH4)2 SO4 + 2 NaOH 2 CuO + 4 NO2 + O2
2 NH3 + 2 H2O + Na2SO4
254
แบบทดสอบก่อนเรยี นหน่วยท่ี 7
คาสั่ง จงเลือกคาํ ตอบท่ีถกู ท่ีสุดเพยี งคาํ ตอบเดยี ว แล้วกาเครือ่ งหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ใน
กระดาษคําตอบ
1. การเปลี่ยนแปลงในขอ้ ใดเป็นการเปล่ยี นแปลงทางเคมี
ก. อาหารบูด
ข. ข้ีผ้งึ หลอมเหลว
ค. ด่างทับทมิ ละลายในนํา้
ง. ทองคําหลอมรวมกบั ทองแดงไดน้ าก
2. ข้อสังเกตท่ีแสดงว่ามีปฏิกิริยาเคมเี กดิ ขึ้นคอื อะไร
ก. มคี วามร้อนเกิดขนึ้
ข. มีสารใหม่เกิดขึ้น
ค. มีการเปลย่ี นสถานะ
ง. มกี ารรวมตวั เปน็ เนื้อเดยี วกนั
3. C (s) + O (g) CO2 (g) จากสมการ C มสี ถานะอะไร
ก. แกส๊
ข. ของแขง็
ค. ของเหลว
ง. สารละลาย
4. Mg + HCl MgCl2 + H2 ถ้านกั เรยี นจะทาํ สมการให้สมดุลต้องทาํ อย่างไร
ก. เตมิ เลข 2 หนา้ MgCl2
ข. เตมิ เลข 2 หน้า HCl
ค. เตมิ เลข 2 หน้า HCl และ MgCl2
ง. เติมเลข 2 หนา้ HCl และ H2
5. 2NaHCO3 Na2CO3 + H2O + CO2 ปฏกิ ริ ยิ าทกี่ าํ หนดให้เปน็ ปฏกิ ิริยาของผงฟู
สารทท่ี ําให้เนือ้ ขนมฟูคือสารใด
ก. Na2CO3
ข. H2O
ค. CO2
ง. NaHCO3
255
6. ข้อใดเปน็ ปรมิ าณท่ใี ช้บอกอตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมไี ด้
ก. ปรมิ าณสารผลิตภัณฑท์ ีเ่ พิม่ ข้นึ ใน 1 หน่วยเวลา
ข. ปริมาณสารผลิตภณั ฑ์ที่ลดลงใน 1 หน่วยเวลา
ค. ปริมาณสารตั้งต้นทีเ่ พิ่มข้นึ ใน 1 หนว่ ยเวลา
ง. ปริมาณของสารตง้ั ต้นกับปรมิ าณของผลิตภัณฑ์รวมกนั ใน 1 หน่วยเวลา
7. อาหารที่แชต่ เู้ ย็นอยูไ่ ดน้ านกว่าอาหารทอี่ ยู่ขา้ งนอกเป็นผลของปจั จยั ใด
ก. พื้นที่ผวิ
ข. อุณหภมู ิ
ค. ตัวเร่งปฏิกริ ยิ า
ง. ความเขม้ ข้นของสารตัง้ ต้น
8. การเพิ่มอณุ หภูมิจะช่วยทําให้อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเพิม่ ข้นึ เนือ่ งจากอะไร
ก. เพ่ิมจํานวนอนภุ าคของสารตง้ั ต้น
ข. สารต้งั ตน้ มพี ้ืนทใี่ นการชนกันมากขึ้น
ค. สารต้ังต้นเคลื่อนทไ่ี ด้สมํา่ เสมอแต่มพี ลงั งานเพ่ิมขนึ้
ง. อนุภาคของสารตงั้ ตน้ มพี ลงั งานมากข้ึนและเคลอื่ นทีไ่ ด้เรว็ ข้ึน
9. ตัวเร่งปฏกิ ิริยาในร่างกายคนไดแ้ กอ่ ะไร
ก. ฮอร์โมน
ข. เอนไซม์
ค. โปรตีน
ง. เมด็ เลือดแดง
10. หลงั จากปฏกิ ริ ิยาสิ้นสดุ แล้วตัวเรง่ ปฏิกริ ยิ าจะเปน็ อยา่ งไร
ก. สลายตวั
ข. รวมตวั กบั สารต้งั ตน้ เป็นผลิตภัณฑ์
ค. คงสภาพเปน็ สารเดิม และมปี รมิ าณเท่าเดมิ
ง. รวมตัวกับผลติ ภัณฑก์ ลบั ไปเป็นสารต้ังต้น
256
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี นหนว่ ยที่ 7
1. ก. อาหารบูด
2. ข. มีสารใหม่เกดิ ขน้ึ
3. ข. ของแข็ง
4. ข. เติมเลข 2 หน้า HCl
5. ค. CO2
6. ก. ปริมาณสารผลติ ภัณฑท์ ี่เพิม่ ข้นึ ใน 1 หน่วยเวลา
7. ข. อุณหภมู ิ
8. ง. อนุภาคของสารตง้ั ต้นมีพลังงานมากขน้ึ และเคลื่อนทีไ่ ดเ้ ร็วขน้ึ
9. ข. เอนไซม์
10. ค. คงสภาพเปน็ สารเดมิ และมีปรมิ าณเทา่ เดิม
แผนการจดั การเรยี นรู้ 257
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทักษะชีวติ พส.8
ช่อื หน่วย ปฏิกิริยาเคมใี นชีวติ ประจาํ วัน
เรอื่ ง ปฏิกิรยิ าเคมใี นชวี ติ ประจาํ วัน หน่วยที่ 7
เวลารวม 3 ชม.
สัปดาห์ 14/18
จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคญั
รอบๆ ตัวเราและในร่างกายเรามปี ฏิกิริยาเคมีเกดิ ขึ้นอยตู่ ลอดเวลา ปฏกิ ิรยิ าเคมีเกิดจากกระบวนการ
เปลยี่ นแปลงโครงสรา้ งของสารตา่ งๆ มีผลใหพ้ ลังงานของระบบเปลี่ยนไป และใหผ้ ลิตภณั ฑ์หรอื สารใหม่เกดิ ขึ้น
ปฏกิ ิริยาเคมีบางชนิดเกิดขน้ึ เอง แตบ่ างชนดิ ต้องได้รับพลังงานจํานวนหนงึ่ ก่อนจงึ จะเกิดปฏกิ ริ ยิ าไดป้ ฏิกริ ิยา
เคมีหลายชนดิ สามารถนาํ มาใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาํ วนั ในอตุ สาหกรรมเกษตรกรรม และทางการแพทย์ ใน
ขณะเดียวกันปฏิกิริยาบางชนิดกใ็ หผ้ ลลบตอ่ สงิ่ แวดลอ้ มและชีวิตของมนษุ ย์เองปฏิกิริยาเคมแี ต่ละชนดิ มอี ัตรา
การเกิดปฏิกริ ยิ าท่ีแตกต่างกัน ขึน้ อยู่กบั ปจั จยั หลัก 5 ประการ ได้แก่ ความเข้มข้น พน้ื ท่ผี วิ อณุ หภูมิ ตัวเร่ง
ปฏกิ ริ ยิ า และธรรมชาติของสาร ผลของปจั จยั ดังกลา่ วหาได้จากการทดลองการท่ีมนษุ ยส์ ามารถปรับเปล่ยี น
และควบคมุ ปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว ทําให้มนุษย์สามารถใช้ประโยชนจ์ ากปฏกิ ิริยาเคมไี ด้
2. สมรรถนะประจาหน่วย
แสดงความรู้และปฏบิ ัตเิ กยี่ วกับปฏกิ ิรยิ าในชวี ิตประจําวัน
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายปฏิกิรยิ าเคมีท่พี บเห็นในชีวติ ประจาวนั ได้
4. สาระการเรยี นรู้
1. ปฏิกิรยิ าเคมี (Chemical Reaction) หมายถึง การเปล่ียนแปลงท่ีทําให้เกิดสารใหม่ มีสมบัติต่าง
จากสารเดมิ สารในการเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมจี ะตอ้ งมสี ารทเ่ี ข้าทําปฏิกิริยาซึ่งเรียกว่า สารต้ังต้น (Substrate) และมี
สารท่ีใหม่ท่ีเกิดข้ึนจากปฏิกิริยาเคมีซึ่งเรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (Product) การเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจสังเกตได้จากการ
เปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ เช่น สังเกตจากสีทเ่ี ปล่ียนไป สงั เกตจากการเกดิ ตะกอน สังเกตจากกลิ่นทเ่ี กดิ ขึน้ เปน็ ตน้
2. การเกิดปฏิกิริยาเคมีจะมีพลังงานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ถ้าใช้การถ่ายเทพลังงานเป็นเกณฑ์
จะแบง่ ปฏิกริ ยิ าเคมีออกเปน็ 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ ปฏิกิริยาคายความร้อน ปฏิกริ ยิ าดูดความรอ้ น
3. ปฏิกิริยาเคมีจะเกิดขึ้นได้เร็วหรือไม่สามารถวัดได้จากอัตราการเกิดปฏิกิริยา ซ่ึงพิจารณาจาก
ปริมาณของสารตั้งต้นที่ลดลงหรือปริมาณของผลิตภัณฑ์ท่ีเพ่ิมมากขึ้นต่อหน่วยเวลา ซ่ึงอาจดูได้จากความ
เขม้ ข้น ปรมิ าตร หรือมวลของสารท่เี ปล่ียนแปลงไปหลงั จากเกิดปฏิกิรยิ า
4. ปฏกิ ิริยาเคมจี ะเกิดขน้ึ เร็วหรอื ชา้ ขนึ้ อยู่กับปัจจัยต่างๆ หลายประการ พ้ืนท่ีผิว ความเข้มข้นของ
สารต้งั ตน้ ตวั เร่งปฏิกริ ยิ า ตัวหนว่ งปฏิกิริยา อุณหภมู ิ ความดนั
258
5. กิจกรรมการเรยี นรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกช่ือ สํารวจการแต่งกาย พร้อมทั้งบันทึกลงในแบบ
สังเกตความมวี ินยั และความรบั ผดิ ชอบ
2. ข้นั นาํ เข้าสู่บทเรยี น
3. ให้นักเรยี นทาํ แบบทดสอบกอ่ นเรยี นเรอ่ื ง ปฏกิ ิรยิ าในชีวติ ประจาํ วนั
4. ข้นั สอน ครูใหค้ วามรู้ บรรยาย อธิบาย และใหน้ ักเรยี นทําใบกิจกรรมท่ี 19
5. ครูและนกั เรยี นร่วมสรุปกจิ กรรมทที่ าํ
6. ขัน้ สรุป ครูให้นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ สรุปบทเรียน และทดสอบหลงั เรียน
6. สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้
6.1 สอ่ื สิ่งพิมพ์
1. ใบความรู้ ปฏิกิริยาเคมีในชีวติ ประจาํ วนั
2. ใบกิจกรรมท่ี 19
3. แบบทดสอบก่อนเรียน ปฏิกริ ยิ าเคมีในชวี ติ ประจําวนั
4. แบบทดสอบหลงั เรียน ปฏิกริ ิยาเคมีในชวี ิตประจําวนั
6.2 ส่ือโสตทัศน์
PowerPoint สรปุ เนอ้ื หาปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชวี ติ ประจําวนั
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ
8. กจิ กรรมเสนอแนะ -
9. เอกสารอ้างองิ
1. หนังสือเรยี นรายวิชา วิทยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชีวิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมนิ ผล
10.1 กําหนดการประเมนิ พุทธิพิสยั
1. อธิบายปฏิกิรยิ าเคมีท่พี บเห็นในชีวติ ประจาวนั ได้
10.2 เครือ่ งมือทใ่ี ช้ประเมินทกั ษะพสิ ยั
1. ใบงาน ,ใบกจิ กรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เคร่ืองมอื การประเมินจิตพสิ ัย
1. แบบประเมนิ จติ พสิ ัย
259
พส.9
เครอื่ งมอื ที่ใชใ้ นการประเมิน
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
แบบประเมนิ แบบประมาณคา่ (Rating scale) เกณฑ์การใหค้ ะแนน
ประเด็นการประเมนิ 54 321
1.อธิบายปฏกิ ิรยิ าเคมีท่พี บเห็นในชีวิตประจาวนั ได้
รวม
รวมทั้งหมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)
260
พส.10
แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12
รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห์)
หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ
261
พส.11
บันทกึ หลงั การจัดการเรยี นรู้
รหสั วิชา...........................ช่อื วชิ า..................................................................................ระดบั ชั้น................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สัปดาหท์ ่ี..........วันทีส่ อน.........................................
หนว่ ยท.ี่ ...........ชือ่ หน่วย.........................................................................................................จํานวน..................ชั่วโมง
1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปญั หาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
ลงชอื่ .......................................................ครผู สู้ อน
(นางสาวกันตยา เลิศอรุณรัตน์)
........../................/............
ความเหน็ ................................................................................. ความเห็น.................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................
ลงชอ่ื ...............................................หวั หนา้ แผนกวิชา ลงชือ่ ...........................................รองผู้อํานวยการฝุายวชิ าการ
(นางสาวมาละ แก้วบวั ดี) (นางสาวนิศากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............
262
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั วิชา 20000-1301 วชิ า วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
ชอื่ หน่วย ปฏิกิรยิ าเคมีในชีวติ ประจาํ วนั
เรื่อง ปฏกิ ริ ยิ าเคมใี นชวี ติ ประจาํ วนั จานวนชั่วโมงสอน 3
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
- จุดประสงค์ท่ัวไป ปฏิกิรยิ าเคมีท่พี บเห็นในชีวิตประจาวนั
มีความรู้ ความเขา้ ใจในปฏกิ ิรยิ าเคมีท่พี บเหน็
- จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
อธิบายปฏกิ ิรยิ าเคมีท่พี บเหน็ ในชีวติ ประจาวนั ได้
เน้ือหาสาระ
ปฏิกิรยิ าเคมใี นชวี ติ ประจาวนั
ปฏกิ ริ ยิ าเคมีในชวี ติ ประจําวนั เช่น
1. ปฏิกริ ยิ าการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงต่าง ๆ เชน่ แก๊สหุงตม้ น้าํ มันเชื้อเพลิง
2. ปฏิกริ ยิ าการเกิดสนิมเหล็ก
3. ปกกิริยาการสลายตวั ของโซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อนเนตดว้ ยความร้อนให้แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ เพื่อใชใ้ น
การทําขนมปงั
4. ปฏกิ ริ ิยาการสลายตัวของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ใช้ฟอกสีผมและฆ่าเชือ้ โรค
5. ปฏกิ ริ ิยาในแบตเตอรร์ ี่ชนดิ ต่าง ๆ
6. ปฏกิ ิริยาการสลายตัวของหินปูนดว้ ยความรอ้ น ได้ปนู ขาวใชใ้ นการผลิตปนู ซเี มนต์
7. ปฏกริ ิยาระหวา่ งปูนกบั ฝนกรด ทาํ ใหส้ ิง่ กอ่ สร้างดว้ ยหนิ ปูนหรอื หินอ่อนสึกกรอ่ น
การเผาไหม้เปน็ ปฏกิ ิรยิ าการรวมตวั กนั ของเชื้อเพลงิ กับออกซเิ จนอยา่ งรวดเรว็ พร้อมกบั เกิดการลกุ ไหม้และการ
คายความรอ้ น ในการเผาไหมส้ ่วนใหญ่จะไม่ใช้ออกซิเจนล้วน ๆ เพราะส้ินเปลืองคา่ ใชจ้ า่ ยมากแต่จะใช้อากาศแทน
โดยอากาศจะมแี ก๊สออกซิเจนและแก๊สไนโตรเจนเป็นองคป์ ระกอบหลกั ส่วนแกส๊ อนื่ มปี ะปนอยนู่ ้อยมา (ในอากาศ
มแี ก๊สออกซิเจนประมาณรอ้ ยละ 21 และแกส๊ ไนโตเจนรอ้ ยละ 79 โดยปรมิ าตร หรอื แก๊สออกซิเจนประมาณร้อย
ละ 23 และแก๊สไนโตเจนร้อยละ 77 โดยนา้ํ หนัก)
การเผาไหม้อยา่ งสมบูรณ์
การเผาไหมอ้ ยา่ งสมบูรณ์ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน มีลักษณะดังน้ี
1. มีแก๊สออกซิเจนอยา่ งเหลอื เฟือ
263
2. ผลติ ภัณฑ์ทไี่ ดค้ อื แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้ํา
3. การเผาไหม้ให้เปลวไฟทสี่ ะอาด
ส่วนการเผาท่ีไมส่ มบูรณข์ องสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนมลี กั ษณะดังนี้
มแี กส๊ ออกซเิ จนไม่เพียงพอ แตม่ ีไฮโดรคาร์บอนอยา่ งเหลือเฟอื
ผลติ ภัณฑท์ ไี่ ดค้ ือ แก๊สคารบ์ อนมอนนอกไซด์ และ/หรือคารบ์ อน และไอน้าํ
การเผาไมใ้ ห้เปลวไฟที่มคี วัน
ปฏิกริ ยิ าการเกิดสนิมเหล็ก
สนิม (rust) เปน็ โลหะสว่ นท่ีมีการเปลี่ยนสภาพไปจากเดมิ เนือ่ งจากไดร้ ับปฏกิ ริ ิยาเคมีทีม่ ีอากาศ น้ํา หรอื
ความรอ้ นเป็นตัวการสาํ คญั ทําให้โลหะมีคุณสมบตั ิแตกตา่ งไปจากเดิม เช่น สีท่เี ปลยี่ นไป มีความแขง็ แรง
ลดลง และทําให้เกดิ การผกุ ร่อน ตวั อยา่ งท่ีเราพบเห็นอยู่บ่อยๆ ได้แก่ เหลก็ จะมสี นิมอยู่ 2 ชนดิ คอื สนิมสี
น้าํ ตาลอมแดง หรือ สนมิ สีแดง และสนิมสดี าํ นอกจากน้ีโลหะแตล่ ะชนดิ จะมสี ีสนิมทแี่ ตกต่างกันด้วย
.เปน็ ปฏิกิรยิ าทีพ่ บเห็นได้งา่ ยๆ กบั สง่ิ ก่อสร้างตา่ งๆ ที่มเี หลก็ เปน็ องคป์ ระกอบ แต่เป็นปฏกิ ริ ยิ าท่ี
แกส๊ NO2 ในอากาศ เม่ือถกู แสดงอาทิตย์จะสลายตวั เปน็ แกส๊ NO และอะตอมอสิ ระของออกซิเจน เกิดขึ้น
อยา่ งชา้ ๆ อาจจะกินเวลายาวนาน เกิดขน้ึ เมอื่ มีเหล็กสัมผัสกับนํา้ และความช้ืน โดยจะค่อยๆ สึกกร่อน ซง่ึ
สามารถรวมตวั กบั แกส๊ O2 เป็น O3 กลายเป็นเหล็กออกไซด์ หรือทเี่ รารูจ้ กั กนั ว่า สนมิ เหลก็ (Fe2O3.H2O)
สังเกตไดจ้ ากสแี ละลักษณะอื่นๆ ที่แตกต่างจากเหลก็ (Fe)
ปฏกิ ริ ยิ าการเกดิ สนมิ มีดงั นนั้
1.การผุกรอ่ นของโลหะ คือปฏกิ ริ ยิ าเคมที ่ีเกดิ ระหว่างโลหะกับภาวะแวดลอ้ ม
264
2.ภาวะแวดลอ้ มท่ีทําให้ผุกร่อน คือ ความชน้ื และออกซิเจน (H2O, O2) หรอื H2O กบั อากาศ
3.ปฏิกิริยาเคมที เี่ กิดในการผุกรอ่ น เป็นปฏกิ ิริยารดี อกซ์
3.1 โลหะที่เกิดปฏิกริ ยิ า Oxidation (ให้อิเล็กตรอน)
3.2 ภาวะแวดลอ้ มเปน็ ฝุายรับอิเล็กตรอน เกดิ ปฏิกิริยา Reduction
4. สมการแสดงปฏกิ ิริยาการผุกร่อน
การปอู งกนั สนมิ เหล็ก
1.ทาสี ทานาํ้ มนั การรมดาํ และการเคลือบพลาสตกิ เป็นการปูองกนั การถกู กับ O2 และความชนื้ ซึ่งเปน็ การ
ปูองกนั การเกดิ สนมิ ของโลหะได้และเปน็ วิธที ่ี สะดวกและให้ผลดี
2.โลหะ บางชนดิ มีสมบัติพิเศษ กล่าวคอื เมื่อทาํ ปฏิกริ ยิ ากบั ออกซเิ จนจะเกดิ เป็นออกไซด์ของโลหะเคลือบอยบู่ น ผิว
ของโลหะนนั้ และไม่เกิดการผุกรอ่ นอกี ต่อไป โลหะท่มี สี มบตั ิดังกลา่ วได้แก่ อลูมเิ นียม ดีบุก และสังกะสี การชบุ
หรอื เคลือบโดยโลหะท่ี Oxide ของโลหะน้นั คงตวั สลายตัวยาก จะเปน็ ผิวบางๆ คลุมผวิ โลหะอกี ที ไดแ้ ก่ Cr
(โครเมยี ม) และอลมู ิเนียม(Al) เป็นต้น ดังนนั้ Cr2O3.Al2O3 สลายตวั ยาก เรียกชอ่ื วา่ วธิ ี อโนไดซ์ (Anodize)
(เหล็กกล้าไมเ่ กดิ สนิม (stainless steel) เป็น Fe ผสม Cr)
3.การ ผกุ ร่อนของโลหะมปี ฏกิ ริ ิยาเกดิ ข้ึนเช่นเดียวกับแอโนดในเซลล์อเิ ลก็ โทรไลต์ ดังนัน้ ถ้าไมต่ อ้ งการให้เกดิ การผุ
กรอ่ นจึงตอ้ งให้โลหะน้ันมสี ภาวะเปน็ แคโทด หรือคลา้ ยกับแคโทด โดยใช้โลหะที่เสีย e- ง่ายกว่าเหล็กไปอยกู่ ับ
เหลก็ ได้แก่ Fe ชุบ Zn สาํ หรับมุงหลงั คา การฝงั ถุง Mg ตามทอ่ หรอื การผูก Mg ตามโครงเรอื จะทําให้ Fe ผชุ า้
ลง เน่อื งจาก Zn & Mg เสีย e ง่ายกว่า Fe จะเสีย e แทน Fe เรยี กชอ่ื วิธี แคโธดิก (Cathodic)
265
4.การ ปอู งกนั การผุกร่อนของโลหะในระบบหลอ่ เย็นแบบปิด เคร่ืองยนตท์ ี่ใช้ในรถยนตห์ รือเครอื่ งมือผลิต
กระแสไฟฟาู จะใช้ระบบหล่อเยน็ แบบปิดเพือ่ รักษาอณุ หภูมิของเครอ่ื งยนต์ไมใ่ หส้ งู มากเกินไป สารหลอ่ เยน็ ทใ่ี ช้คอื
นํา้ ซ่ึงมอี อกซิเจนละลายอยู่ ถ้าเครือ่ งยนตม์ โี ลหะผสมของอลมู ิเนียม ออกซเิ จนท่ีละลายอย่ใู นนํา้ จะถูกใช้ในการ
สรา้ งฟลิ ม์ อลูมิเนียมออกไซด์ และฟิลม์ น้ีจะปูองกนั การผุกร่อนเคร่ืองยนต์ได้ แตถ่ า้ เครอ่ื งยนต์มีสว่ นประกอบทเี่ ป็น
โลหะผสมของเหลก็ ส่วนประกอบของเครอื่ งยนตท์ ส่ี ัมผัสกับนาํ้ จะเกดิ การผุกรอ่ นได้ เนื่องจากออกไซดข์ องเหลก็ ไม่
มสี มบัติในการเป็นสารเคลือบผิว จึงตอ้ งเติมสารยับยงั้ การกัดกร่อนซง่ึ ประกอบด้วยสารประกอบของไนไตรตโ์ บ
แรกซ์ สารนจ้ี ะทําใหน้ ้าํ ในระบบหลอ่ เยน็ มี pH สูงกวา่ 8.5 และทาํ ให้โลหท่เี ปน็ ส่วนประกอบของเคร่ืองยนต์
เกดิ ปฏิกิรยิ าออกซเิ ดชันได้ยาก การผกุ ร่อนของโลหะจึงลดลง นอกจากน้กี ารใช้ระบบปดิ มีผลดอี กี ประการหนง่ึ คือ
เปน็ การจาํ กดั ปรมิ าณของออกซอ เจนทล่ี ะลายลงไปในนาํ้ จึงทาํ ใหก้ ารผกุ รอ่ นของโลหะลดลง
ผลกระทบของก๊าซมลพษิ
266
ภาพของฮโี มโกลบิน
1. คารบ์ อนมอนอกไซด์ เป็นก๊าซทเี่ กดิ ข้นึ จากการเผาไหม้ไมส่ มบูรณข์ องสารประกอบคารบ์ อน เป็นก๊าซท่ไี มม่ สี ี
รสและกลน่ิ เบากวา่ อากาศทวั่ ไป เมอ่ื หายใจเข้าไปก๊าซน้ีจะรวมตวั ฮีโมโกลบนิ (haemoglobin) ในเม็ดเลือดแดง
ได้มากกวา่ ออกซิเจนถึง 200-250 เทา่ เกดิ เปน็ คารบ์ อกซฮี ีโมโกลบิน (Carboxyhemoglobin) ทาํ ใหเ้ ม็ดเลือด
แดงไม่สามารถรบั O2 ได้ตามปกตริ ่างกายไดร้ ับ O2 น้อยลงและหัวใจต้องสบู ฉดี โลหิตมากขนึ้ เพอื่ ทําให้โลหิต
ผา่ นปอดมากข้ึน จะได้มีการรับ O2 ใหม้ ากขนึ้ หวั ใจและปอดจะต้องทาํ งานหนักขน้ึ อาการทว่ั ไปเมอื่ ร่างกาย
ได้รบั CO คือ วิงเวยี นศีรษะหายใจอึดอดั คล่ืนไสอ้ าเจยี น ปวดศีรษะมนึ งง หากร่างกายไดร้ บั
คาร์บอนไดออกไซด์มากอาจช็อกหมดสตหิ รือตายได้
2. กา๊ ซออกไซด์ของไนโตรเจน ออกไซดข์ องไนโตรเจนประกอบดว้ ยไนตรสั ออกไซด์ ( N2O) ไนตรกิ ออก
ไซด์ (NO) ไดไนโตรเจน ไตรออกไซด์ ( N2O3) ไนโตรเจนไดออกไซด์( N2O) ไดไนโตรเจนเตตราออกไซด์(
N 2O4) และไดไนโตรเจนเพนตะออกไซด์ ( N2O5) โดยทั่วไปก๊าซที่ทําให้เกิดมลพษิ ทางอากาศ คอื กา๊ ซไนตริกออก
ไซด์ (NO) และกา๊ ซไนโตรเจนไดออกไซด์ ( NO2)
3. ก๊าซไนตริกออกไซด์ (NO) เปน็ กา๊ ซเฉื่อยมคี ุณสมบัตเิ ปน็ ยาสลบ เป็นกา๊ ซไม่มีสแี ละกลน่ิ ในธรรมชาตทิ ั่วไป
พบในปริมาณน้อยกว่า 0.5 ppm. ละลายนาํ้ ได้เล็กน้อย ส่วนไนโตรเจนไดออกไซด์ ( NO2) เปน็ ก๊าซสีนา้ํ ตาล ถา้ มี
จํานวนมากจะมองเห็น ก๊าซทงั้ สองชนิดจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ฟูาผา่ ฟาู แลบ ภูเขาไฟระเบดิ หรอื
อาจเกดิ จากกลไกของจลุ นิ ทรยี ์ และนอกจากนี้อาจเกิดจากมนุษย์ เช่น อตุ สาหกรรมผลิตกรดไนตรกิ และกรด
กาํ มะถัน และโรงงานผลิตวตั ถรุ ะเบดิ และการเผาไหมเ้ ของเครอ่ื งยนต์ เปน็ ตน้ กา๊ ซไนตรกิ ออกไซดท์ าํ ปฏกิ ิรยิ า
กบั โอโซนในบรรยากาศจะเกดิ เป็นไนโตเจนไดออกไซด์และออกซิเจน ในทางตรงกันขา้ ม เมอื่ มีแสงแดดจะทาํ ให้
ไนโตรเจนออกไซด์เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าผันกลับ โดยท่วั ไป กา๊ ซ NO2 ไม่เปน็ อนั ตรายต่อร่างกาย เกิดอนั ตราย แต่ NO2 จะ
รวมตวั กบั นาํ้ ในอากาศเป็น HNO3 (กรดไนตริก) ซงึ่ มีฤทธ์ิกดั กร่อ
4. ซลั เฟอรอ์ อกไซด์ (SOx ) ออกไซด์ซลั เฟอรป์ ระกอบด้วย SO2 และ SO3 โดยทว่ั ไปมักเขียนแทน
ซัลเฟอร์ออกไซด์ ด้วย SOx ซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ( SO2) เปน็ กา๊ ซไม่มีสี ไมต่ ดิ ไฟ มีกล่ินแสบจมกู ละลายได้ดี
267
ในนํ้าโดยจะเปลย่ี นเปน็ กรดซลั ฟรู ิก ในธรรมชาตทิ ่ัวไปจะมปี รมิ าณน้อยในบรรยากาศคือ 0.02 – 0.1 ppm. แต่
ถา้ พบในปรมิ าณสูงแลว้ ส่วนมากจะเกดิ จากการเผาไหม้ โดยใชเ้ ช้ือเพลิงหรอื วสั ดุที่มกี าํ มะถนั เปน็ ส่วนประกอบ
ปฏิกิรยิ าการเกดิ ซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ ( SO2)
ถ้า SO2 ทําปฏิกริยากบั O2 ในอากาศจะได้ SO3 ยิ่งถา้ ในบรรยากาศมีตัวเร่งปฏกิ ริ ิยา เชน่ มังกานีส เหล็ก หรือกลมุ่
metallic oxide จะทาํ ให้ปฏิกริยาเร็วขึน้
ถ้าในบรรยากาศ มีละอองนํ้าหรือความช้นื สูง SO2 จะเกิดการรวมตัวเปน็ ฝนกรด (acid rain) ซง่ึ จะสง่ ผล
กระทบต่อระบบนเิ วศ ปาุ ไม้ แหล่งนํ้า สงิ่ มชี ีวติ และมฤี ทธิ์กัดกร่อนอาคาร
5. Smog ( ควนั ) ควนั มีทั้งควนั ดําและควนั ขาว ดงั นี้
ควนั ดํา คือ อนุภาคของคาร์บอนเป็นผงหรอื เขม่าเล็ก ๆ ท่ีเหลอื จากการเผาไหมข้ องเครื่องยนต์ท่ีมีการใช้
นํ้ามันดีเซลเป็นสว่ นใหญ่ และจากโรงงานอุตสาหกรรม
ควันขาว คอื สารไฮโดรคาร์บอนหรือนํา้ มันเชื้อเพลงิ ทีย่ ังเผาไหมไ้ มส่ มบรู ณ์ ซึง่ จะปล่อยออกมาทางทอ่ ไอเสีย
สารไฮโดรคารบ์ อนเหลา่ น้ีอาจเกดิ ปฏกิ ริ ิยาต่อจนได้เป็นก๊าซโอโซนในบรรยากาศเมอ่ื ไดร้ ับแสงอาทิตยเ์ ปน็
ตวั เร่งปฏกิ ิริยา
6. ฝ่นุ ละออง (Suspended Particulate Matter) ฝุนละอองในบรรยากาศเป็นปญั หามลพษิ ทางอากาศที่
สําคญั ที่สุดของกรุงเทพมหานครและเมอื งใหญ่ๆ ซึง่ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามยั ของประชาชนท้งั ทางตรงและ
ทางอ้อมประกอบด้วยสารตา่ งๆ ท้งั ทเี่ ปน็ ของแขง็ และ ของเหลว ที่กระจายอยใู่ นบรรยากาศ เปน็ กล่มุ ของโมเลกลุ
ที่มองดว้ ยตาเปล่าไม่เห็นมขี นาดตงั้ แต่ 0.002 ไมครอนไปจนถงึ ฝุนทม่ี ขี นาดใหญ่กวา่ 500 ไมครอน ซ่ึงแบง่ เปน็ 3
ประเภทดังน้ี
ฝนุ ขนาดเลก็ กวา่ 10 ไมครอน
ฝุนรวม (Total Suspended Particulate: TSP) มีขนาดเล็กกวา่ 100 ไมครอน
ฝุนหนัก (dust fall) ฝุนขนาดตง้ั แต่ 100 ไมครอนขึ้นไป
แหลง่ ที่มาของฝุนละอองในบรรยากาศ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
1. ฝุนละอองตามธรรมชาติ (natural particle) เชน่ ดิน ทราย ละอองน้ํา เขม่าควันจากควนั ปาุ ฝุนเกลือจากทะเล
2. ฝุนละอองที่เกดิ จากกิจกรรมทีม่ นุษย์ (man-made particle) การคมนาคมขนสง่ การก่อสรา้ ง การปรับปรุง
268
สาธารณูปโภค โรงงานอุตสาหกรรม การเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ โลหะหนกั และสารประกอบของโลหะ
หนกั เช่น แคดเมียม (Cd) ตะก่วั (Pb) โครเมยี ม(Cr) ทาํ ใหเ้ กดิ ฝุนส่วนใหญ่ โดยจะเป็นในรูปของอนุภาค
และจะแตกตัวในนาํ้ และดนิ โดยไปสะสมอยู่ได้ทง้ั แบบแหง้ และเปยี ก (dry and wet depositions) และกอ่ ให้เกดิ
ปัญหานาํ้ และดินปนเปอื้ นส่วนใหญแ่ คดเมยี มมาจากโรงงานถลงุ สังกะสี โรงงานผลติ รงควัตถุ
แคดเมียม (cadmium pigment) เปน็ ต้น ตะกวั่ มาจากโรงงานถลุงตะก่ัว โรงงานผลิตรงควัตถุ
(pigment) โรงงานแก้ว และรถยนต์ท่ีใชน้ าํ้ มันเติมสารตะกัว่ ส่วนแหลง่ โครเมยี ม ได้แกโ่ รงงานผลิตรงควัตถุ
โครเมี่ยม (chromium pigment) เปน็ ต้น
ผลเสยี ของฝุนละอองในด้านต่างๆ แบง่ ได้ดังนค้ี ือ
1. ผลต่อสภาพบรรยากาศทวั่ ไป ทําใหท้ ัศนวสิ ยั ไม่ดี เน่อื งจากเปน็ อนภุ าคของแข็งท่ีดูดซับ และหกั เหแสงได้ ท้ังน้ี
ขน้ึ อยกู่ ับขนาดและความหนาแนน่ และองคป์ ระกอบของฝุนละออง
2. ผลตอ่ วัตถแุ ละสงิ่ ก่อสรา้ ง ทําให้เกดิ ความสกปรกแก่ อาคาร และส่ิงกอ่ สรา้ ง และทําอันตรายต่อวัตถุและ
สงิ่ ก่อสร้างได้ เชน่ กัดกรอ่ นผิวหน้าของโลหะหนิ อ่อนหรอื วัตถุอ่ืนๆ เช่น ร้ัวเหลก็ หลังคาสงั กะสี รปู ปั้น ฯลฯ
3. ผลต่อสขุ ภาพอนามยั ของมนุษย์ ทําให้เกดิ อาการระคายเคืองตาและ ยงั สง่ ผลต่อระบบหายใจซึ่งข้นึ อยกู่ ับ
ขนาดของฝุนละออง ละอองขนาดใหญจ่ ะถูกดักไวท้ ข่ี นจมูกสว่ นฝุนละอองท่ีสามารถเข้าสูร่ ะบบทางเดินหายใจ
ของมนษุ ยไ์ ดม้ ีขนาดเลก็ กว่า 10 ไมครอน เมอื่ เขา้ สรู่ ะบบทางเดินหายใจทําให้ระคายเคืองแสบจมูกไอ จาม มี
เสมหะหรอื มกี ารสะสมของฝุนในถุงลมปอด ทาํ ให้การทํางานของปอดเสอื่ มลง
ฝนกรด
ฝนกรด หมายถึง น้าฝนที่มีคา่ pH ต่ากวา่ 5.6 โดยสว่ นมากเกิดจากกา๊ ซ 2 ชนิด คือ
1. กา๊ ซซลั เฟอร์ไดออกไซด์ ( SO2) ทาํ ใหเ้ กิดกรด ซัลฟรุ กิ (H 2SO4)
2. ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) ทําใหเ้ กดิ กรด ไนตริก (HNO3)
ฝนกรดมกั พบในเขตอตุ สาหกรรมซ่ึงสามารถอย่ใู นรปู ของฝน หมอก หิมะ ซงึ่ มผี ลกระทบต่อพืช สตั ว์น้ํา และ
สิ่งกอ่ สร้างต่างๆ ซ่งึ กลไกการเปลีย่ นจากกา๊ ซ SO2 และ NOx เป็นกรด เกิดได้ทั้งในสถานะก๊าซและของเหลว มดี ังน้ี
1. ก๊าซซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์ ( SO2) ปฎกิ ริ ยิ าของซัลเฟอรไ์ ดออกไซดก์ ับออกซเิ จนในบรรยากาศ ดังน้ี
2. ออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) โดยปกติทั้ง O2 และ NO2 เปน็ กา๊ ซทไี่ มว่ ่องไวในการเกดิ ปฏิกริ ิยาแต่ถา้ อยู่ภายใต้
อณุ หภมู ิและความดันสูงก๊าซทั้งสองชนดิ จะทําปฏิกริ ิยากนั เกิดเปน็ nitrogen dioxide ( NO2)
จากน้ัน NO จะทาํ ปฏกิ ริ ยิ ากับ O 2 ในบรรยากาศได้ nitrogen dioxide (NO 2)
269
NO 2 เป็นก๊าซพษิ มีน้าํ ตาล และเปน็ กา๊ ซทีว่ อ่ งไวในการทําปฏกิ ริ ิยา ซึ่งจะทําปฏกิ ริ ิยากบั อนมุ ูลอสิ ระของหมู่
hydroxyl (OH) ในบรรยากาศได้กรดไนตริก HNO 3ซงึ่ จะละลายในนาํ้
ภาพแสดงกระบวนการเกดิ ฝนกรด
ผลกระทบของฝนกรด
ฝนกรดมีผลกระทบตอ่ พืชและทรัพยากรธรรมชาติ กล่าวคือ ฝนกรดสามารถทาํ ปฎิกิริยากบั ธาตอุ าหารที่
สําคญั ของพชื เช่น แคลเซยี ม ไนเตรต แมกเนเซยี ม และโปรแตสเซียม ทาํ ให้พืชไม่สามารถนําธาตุอาหาร
เหลา่ นไ้ี ปใชไ้ ด้ และซลั เฟอรไ์ ดออกไซดใ์ นบรรยากาศยงั ไปปิดปากใบพชื ซึง่ จะมีผลกระทบตอ่ การหายใจของพืช
ความเป็นกรดทีเ่ พม่ิ ข้ึนของนาํ้ ยังมีผลกระทบด้านระบบนเิ วศ ทีอ่ ยู่อาศัยรวมถงึ การดํารงชวี ติ อกี ด้วย ฝนกรด
สามารถละลาย Calcium carbonate ในหนิ ทาํ ให้เกดิ การสกึ กรอ่ น เช่น ปิรามิดในประเทศอียปิ ต์ และทชั มาฮาล
ในประเทศอินเดีย เปน็ ตน้ นอกจากนี้ยังมีฤทธก์ิ ัดกรอ่ นทําลายพวกโลหะทําให้เกดิ สนมิ เรว็ ข้ึนอีกดว้ ย
ผลกระทบจากฝนกรด อาจสรปุ ได้ดังน้ีคือ
1. ฝนกรดจะทาํ ลายธาตุอาหารบางชนิดในดนิ เช่น ไนเตรต ฟอสเฟต ทาํ ใหด้ ินเปน็ กรดเพิ่มขึ้น มผี ลตอ่ การ
เพาะปลูก เชน่ ผลผลิตของพชิ น้อยกว่าปกติ เพราะฝนกรดทาํ ให้ดินเปรยี้ วจุลนิ ทรยี ์หลายชนดิ ในดินทมี่ ปี ระโยชนต์ ่อ
การเจรญิ เตบิ โตของพืชถกู ทําลาย ซึ่งจะมผี ลกระทบในแง่การยอ่ ยสลายในดนิ และการเจริญเตบิ โตของพืช
กรดทเี่ กดิ จากก๊าซซัลเฟอรไ์ ดออกไซด์และเกิด จากก๊าซไนโตรเจนออกไซด์ จะทาํ ใหน้ ้ําในแม่น้ําทะเลสาบ มคี วาม
เปน็ กรดเพม่ิ ขนึ้ ถา้ เกิดอยา่ งรุนแรงอาจทาํ ให้สัตว์นํ้าดังกลา่ วตาย เช่น อเมริกาตอนกลาง ค่า pH ของนาํ้ ใน
ทะเลสาบลดลง ทาํ ให้ทะเลสาบ 85 แหง่ ไมม่ ปี ลาซ่ึงเหตุการณท์ ํานองน้เี กิดข้นึ ในทะเลสาบ ในประเทศ สวเี ดน
ทะเลสาบบางแหง่ ปอู งกัน ตัวเองจาก ฝนกรดไดเ้ พราะในทะเลสาบนนั้ มีสารพวกไบคาร์บอเนต หรือแร่ธาตอุ ืน่
ละลายอยู่
270
2. ฝนกรดทําลายวัสดุส่ิงกอ่ สรา้ งและอุปกรณบ์ างชนดิ คือ จะกัด กรอ่ นทาํ ลายพวกโลหะ เช่น เหล็กเปน็ สนมิ เรว็
ขน้ึ สังกะสีมงุ หลงั คา ที่ใกล้ ๆ โรงงานจะ ผุกร่อนเรว็ สงั เกตได้ง่าย นอกจากน้ยี ังทําให้ แอร์ ตเู้ ยน็ หรอื วัสดอุ นื่ ๆ
เช่นปูนซเี มนตห์ มดอายุเรว็ ขึน้ ผกุ ร่อนเร็วขึน้ เปน็ ต้น
3. ฝนกรดจะทาํ ลายทรพั ยากรธรรมชาติ เชน่ ปู หอย กุง้ อาจมจี าํ นวนลดลงหรอื สูญพันธ์ไุ ปไดเ้ พราะ ฝน
การควบคุมและปอู งกนั
ลดการใช้เชื้อเพลงิ ฟอสซิลใหน้ อ้ ยลง จะสามารถทําให้ค่าความเป็นกรดในน้ําฝนลดลงได้
ในชว่ งท่ฝี นตกใหม่ๆ น้ําฝนจะไม่สะอาดมคี วามเป็นกรดสูง คือ pH อยรู่ ะหวา่ ง 3.5 – 5.0
เอกสารอ้างอิง
http://www.krusarawut.net/wp/?p=17662
https://www.siamchemi.com/
271
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหสั วชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ พัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
ช่อื หนว่ ย ปฏิกิรยิ าเคมีในชีวิตประจาํ วัน
เรอ่ื ง ปฏกิ ิรยิ าเคมใี นชวี ิตประจําวนั จานวนช่วั โมงสอน 3
จดุ ประสงค์การมอบงาน
1. เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นอธิบายปฏิกิรยิ าเคมีท่พี บเห็นในชีวติ ประจาวนั ได้
แนวทางการปฏิบตั ิงาน
ให้ผเู้ รยี นทํางานเป็นกล่มุ กําหนดหนา้ ทีข่ องแต่ละคนให้ชัดเจน จดั ลําดบั ข้ันตอนการปฏิบัตงิ านใหเ้ หมาะสม
แหล่งค้นคว้า
สื่อออนไลน์
คาถาม/ปัญหา
1. ผเู้ รยี นวางแผนการทํางานเป็นกลมุ่ และงานเสร็จตามทกี่ ําหนดไดห้ รือไม่
2. ผเู้ รียนอธิบายปฏิกิรยิ าเคมีท่พี บเหน็ ในชีวติ ประจาวนั ไดห้ รือไม่
3. ผเู้ รยี นดลุ สมการเคมีได้หรือไม่
กาหนดเวลาทางาน
3 ช่วั โมง
หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏบิ ัติงานในแต่ละข้ัน
272
พส.16
ใบกิจกรรมท่ี 19
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พอ่ื พัฒนาทกั ษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2 สอนคร้ังที่ 14
หนว่ ยท่ี 7 ชื่อหนว่ ย ปฏิกริ ยิ าเคมใี นชีวิตประจาํ วัน เวลา 1 ชม.
ชือ่ กิจกรรม ปฎิกิริยาเคมีในชีวติ ประจําวัน เวลา 1 ชม.
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. เพอื่ ใหม้ ีความรคู้ วามเข้าใจเกย่ี วกบั ปฎิกริ ิยาเคมใี นชวี ติ ประจาํ วัน
วสั ด/ุ อุปกรณ์
1. สมุด
2. อปุ กรณ์การเรยี น
คาส่ัง
1. ให้นกั เรยี นจับคู่ความสัมพันธ์ในแต่ละขอ้ ให้ถกู ต้อง โดยนําหวั ข้ออักษรทางขวามือมาใส่
หน้าขอ้ ความทางซ้ายมอื
2. ใหน้ ักเรียนทําดว้ ยตนเองหา้ มลอกกนั
……….1 สนิมเหลก็ A สว่ นใหญ่เกิดในเขตอุตสาหกรรม
……….2 ฝนกรด B กรดในนํา้ อัดลม
……….3 ผลิตภณั ฑจ์ ากการสงั เคราะห์แสง C CO2 + H2O
……….4 โซเดยี มไฮโดรเจนคาร์บอเนต D แก๊สที่ทําปฏิกิริยากับนาํ้ ฝนกลายเป็นกรด
……….5 การเผาไหม้ทไี่ มส่ มบรู ณ์ ซัลฟิวรกิ
……….6 H2CO3 E Fe2O3. X H2O
……….7 SO3 F ขนมถว้ ยฟู
……….8 การเผาไหมท้ ่ีสมบรู ณ์
……….9 แกส๊ ที่เกดิ ตามร่องปูนยาแนวจากการ G CO2+ CO + H2O + เขมา่
H NO2 + H2O
ใช้กรดล้างห้องน้ํา J C6H12O6(g) + 6O2(g)
K แก๊ส CO2
L แก๊ส H2
การประเมินผล
1. ตรวจใบกจิ กรรม
2. นักเรียนทําผ่าน 50 % ขน้ึ ไป
273
เฉลยใบกจิ กรรมที่ 19
……E….1 สนมิ เหล็ก A ส่วนใหญเ่ กิดในเขตอุตสาหกรรม
……A….2 ฝนกรด B กรดในน้ําอดั ลม
……J….3 ผลติ ภัณฑ์จากการสงั เคราะหแ์ สง C CO2 + H2O
……F….4 โซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนต D แกส๊ ทท่ี ําปฏกิ ริ ยิ ากับนํา้ ฝนกลายเป็นกรด
……G….5 การเผาไหม้ทไ่ี มส่ มบรู ณ์ ซลั ฟิวรกิ
……B….6 H2CO3 E Fe2O3. X H2O
……D….7 SO3 F ขนมถ้วยฟู
……C….8 การเผาไหมท้ ่ีสมบรู ณ์ G CO2+ CO + H2O + เขม่า
……K….9 แก๊สทเ่ี กดิ ตามรอ่ งปูนยาแนวจากการ H NO2 + H2O
J C6H12O6(g) + 6O2(g)
ใช้กรดล้างหอ้ งนํ้า K แก๊ส CO2
L แกส๊ H2
274
แบบทดสอบหลงั เรยี นหน่วยท่ี 7
คาส่งั จงเลือกคาํ ตอบท่ีถกู ท่ีสุดเพยี งคาํ ตอบเดยี ว แล้วกาเครือ่ งหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ใน
กระดาษคําตอบ
1. การเปลี่ยนแปลงในขอ้ ใดเป็นการเปล่ยี นแปลงทางเคมี
ก. อาหารบูด
ข. ข้ีผ้งึ หลอมเหลว
ค. ด่างทับทมิ ละลายในนํา้
ง. ทองคาํ หลอมรวมกบั ทองแดงไดน้ าก
2. ขอ้ สังเกตที่แสดงว่ามีปฏิกิริยาเคมเี กดิ ขึ้นคอื อะไร
ก. มคี วามร้อนเกิดขนึ้
ข. มีสารใหม่เกิดขึ้น
ค. มีการเปลย่ี นสถานะ
ง. มกี ารรวมตัวเป็นเนื้อเดยี วกนั
3. C (s) + O (g) CO2 (g) จากสมการ C มสี ถานะอะไร
ก. แกส๊
ข. ของแขง็
ค. ของเหลว
ง. สารละลาย
4. Mg + HCl MgCl2 + H2 ถ้านกั เรยี นจะทําสมการให้สมดุลต้องทาํ อย่างไร
จ. เตมิ เลข 2 หนา้ MgCl2
ฉ. เตมิ เลข 2 หนา้ HCl
ช. เตมิ เลข 2 หนา้ HCl และ MgCl2
ซ. เติมเลข 2 หนา้ HCl และ H2
5. 2NaHCO3 Na2CO3 + H2O + CO2 ปฏกิ ิรยิ าทกี่ าํ หนดให้เปน็ ปฏกิ ิริยาของผงฟู
สารท่ีทําให้เนื้อขนมฟูคือสารใด
ก. Na2CO3
ข. H2O
ค. CO2
ง. NaHCO3
275
6. ข้อใดเปน็ ปรมิ าณท่ใี ช้บอกอตั ราการเกิดปฏิกิริยาเคมไี ด้
ก. ปรมิ าณสารผลิตภัณฑท์ ีเ่ พิม่ ขึ้นใน 1 หน่วยเวลา
ข. ปริมาณสารผลิตภัณฑ์ที่ลดลงใน 1 หนว่ ยเวลา
ค. ปริมาณสารตั้งต้นทีเ่ พิ่มข้นึ ใน 1 หนว่ ยเวลา
ง. ปริมาณของสารตง้ั ต้นกับปรมิ าณของผลิตภัณฑ์รวมกัน ใน 1 หน่วยเวลา
7. อาหารที่แชต่ เู้ ย็นอยูไ่ ดน้ านกว่าอาหารทอี่ ยู่ขา้ งนอกเปน็ ผลของปจั จยั ใด
ก. พื้นที่ผวิ
ข. อุณหภมู ิ
ค. ตัวเร่งปฏิกริ ิยา
ง. ความเขม้ ข้นของสารตัง้ ต้น
8. การเพิ่มอณุ หภูมิจะช่วยทําให้อัตราการเกิดปฏิกริ ิยาเพ่ิมขึ้นเน่ืองจากอะไร
ก. เพ่ิมจํานวนอนภุ าคของสารตัง้ ต้น
ข. สารต้งั ตน้ มพี ้นื ทใี่ นการชนกันมากขึ้น
ค. สารต้ังต้นเคลือ่ นท่ไี ด้สมํา่ เสมอแตม่ พี ลงั งานเพิม่ ขน้ึ
ง. อนุภาคของสารตงั้ ตน้ มพี ลงั งานมากข้ึนและเคลอื่ นทไี่ ด้เร็วข้ึน
9. ตัวเร่งปฏกิ ิริยาในร่างกายคนไดแ้ กอ่ ะไร
ก. ฮอร์โมน
ข. เอนไซม์
ค. โปรตีน
ง. เมด็ เลือดแดง
10. หลงั จากปฏกิ ริ ิยาสิ้นสดุ แล้วตวั เรง่ ปฏิกริ ยิ าจะเปน็ อยา่ งไร
ก. สลายตวั
ข. รวมตวั กบั สารต้งั ต้นเป็นผลิตภัณฑ์
ค. คงสภาพเปน็ สารเดิม และมปี รมิ าณเท่าเดมิ
ง. รวมตัวกับผลติ ภัณฑก์ ลบั ไปเป็นสารต้ังต้น
276
เฉลยแบบทดสอบหลงั เรยี นหนว่ ยที่ 7
1. ก. อาหารบูด
2. ข. มีสารใหม่เกดิ ขน้ึ
3. ข. ของแข็ง
4. ข. เติมเลข 2 หน้า HCl
5. ค. CO2
6. ก. ปริมาณสารผลติ ภัณฑท์ ี่เพิม่ ข้นึ ใน 1 หน่วยเวลา
7. ข. อุณหภมู ิ
8. ง. อนุภาคของสารตง้ั ต้นมีพลังงานมากขน้ึ และเคลื่อนทีไ่ ดเ้ ร็วขน้ึ
9. ข. เอนไซม์
10. ค. คงสภาพเปน็ สารเดมิ และมีปรมิ าณเทา่ เดิม
277
แผนการจัดการเรยี นรู้ พส.8
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พ่อื พัฒนาทกั ษะชีวติ หนว่ ยที่ 8
ช่ือหนว่ ย เทคโนโลยชี ีวภาพ เวลารวม 6 ชม.
เร่ือง เทคโนโลยีชีวภาพ สปั ดาห์ 15/18
จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคญั
การใช้ความรู้เกีย่ วกับสิ่งมีชวี ติ มาปรับปรงุ มีส่งิ มชี วี ิตให้มคี ุณภาพและนํามาใช้สอยได้ตามต้องการนี้
เรียกว่าเทคโนโลยีชวี ภาพ เทคโนโลยีชีวภาพไม่ใช่เร่อื งแปลกใหม่แตแ่ ทจ้ ริงแล้วไดเ้ จริญควบค่มู ากับววิ ฒั นาการ
ของมนุษย์ตงั้ แตส่ มยั โบราณดังจะเห็นไดก้ บั ยุคแรกๆ มนษุ ยร์ จู้ กั ใช้เทคโนโลยีชวี ภาพในการถนอมอาหารและ
แปรรูปอาหารตามขัน้ ตอนงา่ ยๆ ในยคุ ต่อมาจึงพฒั นาวิธีการใชเ้ ทคโนโลยีชีวภาพใหส้ งู ขึ้น
2. สมรรถนะประจาหนว่ ย
แสดงความร้แู ละปฏบิ ัติเกย่ี วกับเทคโนโลยีชวี ภาพ
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. บอกความหมายเทคโนโลยีชวี ภาพได้
2. ยกตัวอย่างการนาํ เทคโนโลยชี ีวภาพมาใช้ประโยชนด์ ้านต่างๆในชวี ิตประจาํ วนั ได้
4. สาระการเรยี นรู้
1. ความหมายของเทคโนโลยชี วี ภาพ
2. เทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพนั ธุ์ ปรับปรงุ พันธ์แุ ละเพ่ิมผลผลติ
5. กจิ กรรมการเรียนรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกชื่อ สํารวจการแต่งกาย พร้อมทั้งบันทึกลงในแบบ
สังเกตความมวี ินัยและความรบั ผดิ ชอบ
2. ขั้นนําเข้าส่บู ทเรยี น
3. ใหน้ กั เรียนทาํ แบบทดสอบก่อนเรียนเร่ือง เทคโนโลยชี ีวภาพ
4. ข้นั สอน ครใู หค้ วามรู้ บรรยาย อธบิ าย และใหน้ กั เรียนทาํ ใบกจิ กรรม 20
5. ครแู ละนกั เรียนรว่ มสรุปกจิ กรรมท่ที าํ
6. ขั้นสรปุ ครใู ห้นักเรยี นแต่ละกลุ่มสรปุ บทเรียน
6. สือ่ และแหลง่ การเรียนรู้
6.1 ส่อื ส่งิ พิมพ์
1. ใบความรู้ เทคโนโลยีชีวภาพ
278
2. ใบกิจกรรมท่ี 20
3. แบบทดสอบกอ่ นเรียน เทคโนโลยีชีวภาพ
4. แบบทดสอบหลงั เรียน เทคโนโลยีชวี ภาพ
6.2 ส่ือโสตทศั น์
PowerPoint สรปุ เน้ือหาเทคโนโลยชี ีวภาพ
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
1. ใบงาน
2. ใบกจิ กรรม
3. แบบทดสอบ
8. กจิ กรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอา้ งองิ
1. หนงั สือเรียนรายวชิ า วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมินผล
10.1 กําหนดการประเมินพทุ ธพิ ิสยั
1. บอกความหมายเทคโนโลยชี วี ภาพได้
2. ยกตัวอย่างการนาํ เทคโนโลยีชวี ภาพมาใชป้ ระโยชนด์ ้านตา่ งๆในชวี ติ ประจาํ วนั ได้
10.2 เคร่ืองมือท่ีใชป้ ระเมนิ ทกั ษะพสิ ยั
1. ใบงาน ,ใบกิจกรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครื่องมือการประเมนิ จติ พิสยั
1. แบบประเมนิ จติ พิสัย
279
พส.9
เครอ่ื งมอื ทใี่ ชใ้ นการประเมิน
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
แบบประเมินแบบประมาณคา่ (Rating scale) เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
54 321
ประเด็นการประเมนิ
1. บอกความหมายเทคโนโลยีชีวภาพได้
2. ยกตวั อย่างการนําเทคโนโลยีชีวภาพมาใชป้ ระโยชนด์ า้ นตา่ งๆใน
ชีวิตประจําวนั ได้
รวม
รวมทงั้ หมด (5 คะแนน+4 คะแนน+3 คะแนน+2 คะแนน+1 คะแนน)
คะแนนรวม (60%)
280
พส.10
แบบประเมินจติ พสิ ัย
แบบประเมินแบบตรวจสอบรายการ (checklist)
พฤติกรรมที่สงั เกต มี (1) ไม่มี (0) หมายเหตุ
1.การมาเรยี นและการทาํ กจิ กรรมหนา้ เสาธง 1,5,6
2.การแตง่ กายถูกตอ้ งตามระเบียบแบบพอเพยี ง 2,10
3.กิรยิ าสุภาพ,เรียบรอ้ ย,ปฏบิ ตั ิตามพระราชดํารัส 3,8,9,11
4.ความตัง้ ใจและสนใจเรยี น 4
5.ความรับผิดชอบตอ่ งานและส่วนรวม 7,12
รวมคะแนน (5 คะแนน/สปั ดาห)์
หมายเหตุ บูรณาการตามคา่ นิยมหลักของคนไทย 12 ประการ
281
พส.11
บันทึกหลงั การจดั การเรยี นรู้
รหสั วชิ า...........................ช่อื วชิ า..................................................................................ระดบั ชั้น................ห้อง.............
สาขางาน........................................................................................สปั ดาหท์ ี่..........วันท่ีสอน.........................................
หนว่ ยที่............ชือ่ หน่วย.........................................................................................................จํานวน..................ชั่วโมง
1. ผลการจดั การเรยี นรู้
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
……………….………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
2. ปัญหาและอปุ สรรค
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..….…………………
……………….……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………….…
ลงชือ่ .......................................................ครผู ้สู อน
(นางสาวกนั ตยา เลิศอรุณรตั น์)
........../................/............
ความเห็น................................................................................. ความเห็น.................................................................................
................................................................................................ ................................................................................................
................................................................................................. .................................................................................................
ลงชื่อ...............................................หัวหนา้ แผนกวิชา ลงชื่อ...........................................รองผอู้ ํานวยการฝุายวิชาการ
(นางสาวมาละ แกว้ บัวดี) (นางสาวนิศากร เจรญิ ดี)
............/................../............
............/................../............
282
พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั วชิ า 20000-1301 วชิ า วทิ ยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาทักษะชวี ติ ท-ป-น 1-2-2
ชอ่ื หน่วย เทคโนโลยีชีวภาพ
เรอ่ื ง เทคโนโลยีชีวภาพ จานวนชั่วโมงสอน 3
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
- จุดประสงค์ทั่วไป 1. ความหมายของเทคโนโลยชี วี ภาพ
บอกความหมายเทคโนโลยีชวี ภาพได้ 2. การนาํ เทคโนโลยีชวี ภาพมาใช้ประโยชน์
- จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
ยกตัวอย่างการนําเทคโนโลยีชีวภาพมาใชป้ ระโยชนด์ า้ น
ต่างๆในชวี ิตประจําวันได้
เนื้อหาสาระ
เทคโนโลยีชีวภาพ
เทคโนโลยีชีวภาพ (องั กฤษ: Biotechnology) คือ ความรทู้ ่ีเกีย่ วข้องกับการประยกุ ตใ์ ช้สิ่งมชี ีวติ หรอื
ผลิตภัณฑ์ตา่ งๆ ของสิ่งมีชวี ติ เชน่ เอนไซม์ หรอื โปรตีนชนดิ ตา่ งๆ เปน็ ต้น เพอื่ ให้เกิดประโยชน์กบั มนษุ ยชาติ
ความรู้ทางดา้ นเทคโนโลยีชวี ภาพอาจก่อให้เกิดกระบวนการเปล่ยี นแปลงทางเคมีและทางชีวภาพของ
สิง่ มชี วี ิตชนดิ ต่างๆ สง่ ผลให้เกิดกระบวนการสร้าง กระบวนการทาํ ลาย หรอื การกอ่ ให้เกิดสิ่งใหมท่ ่ดี ําเนินอยใู่ น
ส่งิ มชี ีวิต ซ่ึงกระบวนการ ทางชีวเคมีท่เี กดิ ขน้ึ ภายในเซลล์ของสิง่ มีชวี ติ เป็นผลมาจากการทํางานของสาร
พันธกุ รรม หรอื ดีเอน็ เอ และหนว่ ยพันธกุ รรมหรอื ยนี การศกึ ษางานด้านเทคโนโลยชี ีวภาพจงึ ต้องอาศยั ความรู้
พื้นฐาน เกีย่ วกับสารพนั ธกุ รรม และพฤติกรรมของสารพนั ธกุ รรม รวมท้ังวธิ ีการสําคัญต่างๆทม่ี ีส่วนเกย่ี วข้องกบั
กระบวนการดา้ นเทคโนโลยีชวี ภาพเพ่อื การ นาํ ไปใช้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ
เทคโนโลยีชีวภาพทเ่ี ก่าแก่ทส่ี ุดในประวตั ิศาสตร์ของมนษุ ยชาตกิ ็คอื เทคโนโลยกี ารหมกั (Fermentation
Technology) และ เทคโนโลยชี ีวภาพสมัยใหม่ คือ เทคโนโลยีรีคอมบิแนนท์ดเี อ็นเอ (DNA Recombinant
Technology) หรอื พันธวุ ิศวกรรม (genetic engineering)
เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เปน็ ความรู้ หรือ วชิ าการทส่ี ามารถนาํ สง่ิ มชี วี ติ หรอื ผลผลติ จาก
283
ส่งิ มชี วี ิตมาใช้ หรอื มาปรบั เปลย่ี น และประยุกต์ เพ่อื ใช้ประโยชน์ เรารู้จักการใช้เทคโนโลยชี ีวภาพมานานแลว้ การ
ทําน้ําปลา ซอี ว๊ิ การหมักอาหาร หมักเหลา้ ล้วนเปน็ เทคโนโลยชี วี ภาพแบบด้ังเดิม เช่นเดียวกับ การปรับปรงุ พนั ธ์ุ
พชื สัตว์ ให้มีผลผลติ มากข้ึน มีคุณภาพดีข้ึน หรอื การนําสมุนไพรมาใช้รักษาโรค บํารงุ สุขภาพ ก็จัดว่าเป็น
เทคโนโลยีชวี ภาพแบบด้งั เดิม
อย่างไรก็ตามในปจั จุบนั เม่อื กลา่ วถงึ เทคโนโลยีชีวภาพ เรามกั หมายถึง เทคโนโลยสี มัยใหม่ ท่ีมวี ทิ ยาศาสตร์
หลายสาขาวชิ าผสมผสานกนั อยู่ ทง้ั ชวี วิทยา เคมี ชวี เคมี ไปจนถึง ฟิสิกส์ และวศิ วกรรม ซงึ่ อาจเรียกได้ว่า เป็น
“สหวิทยาการ” ท่นี ําความร้พู ้ืนฐานดา้ นตา่ งๆ เกีย่ วกบั สงิ่ มีชวี ติ ไปใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์
จากบทความทางวชิ าการประกอบการอภิปราย เรื่อง เทคโนโลยีชีวภาพสําหรบั ฟาร์มเพาะและเลย้ี งกงุ้
กลุ าดาํ โดย รศ. น.สพ. เกรียงศกั ด์ิ พนู สขุ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ในงานวันก้งุ กุลาดํา
ครั้งท่ี 11 ทีจ่ งั หวัดสรุ าษฎรธ์ านี ได้กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง การนําหลักการ หรอื วทิ ยาการทาง
วิทยาศาสตร์ มาประยกุ ต์ใช้ในการผลติ ผลิตภัณฑธ์ รรมชาติ เพื่อเพมิ่ ประสิทธิภาพใหม้ ีคณุ ประโยชน์มากทีส่ ดุ จาก
การแปลความหมายของคาํ ว่า BIO หมายถึง สิ่งมีชวี ิต TECHNOLOGY หมายความถงึ วทิ ยาการ หรือวิธกี าร อาจ
สรุปงา่ ยๆวา่ เทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง วทิ ยาการทางวิทยาศาสตร์ ในการนาํ เอาสงิ่ มชี ีวิตมาใช้
ผลติ ภัณฑต์ ่างๆ
ผลติ ภัณฑต์ ่างๆทถี่ กู จัดอยใู่ นกลุ่มของเทคโนโลยีชีวภาพมีมากมาย ไดแ้ ก่
1. พันธุวิศวกรรม : เป็นกระบวนการ ทเ่ี จาะจงเลือกหน่วยพนั ธกุ รรม (Gene) บางตัวของสงิ่ มชี วี ติ ชนิดใดชนดิ หนึ่ง
(ไม่วา่ จะเปน็ พืช สตั ว์ หรอื จุลินทรยี )์ และนําไปใส่ในส่ิงมชี ีวิตอีกประเภทหน่ึง เพือ่ ทําใหเ้ กิดลกั ษณะพิเศษท่ี
ต้องการ รวมถึงการตัด และตอ่ พันธกุ รรม เช่น การตัดพันธกุ รรมในการสรา้ งนา้ํ ยอ่ ยของเช้อื R. oryzae ไปตอ่ เพิ่ม
ใหก้ ับ R. oryzae อกี ตัวหน่งึ ทาํ ให้ R. oryzae ตวั ทีถ่ กู เพ่มิ พันธุกรรม สามารถสร้างนาํ้ ยอ่ ยไดม้ ากขึ้น
2. การผลติ วัคซีน : วัคซีนทกุ ชนดิ นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพเชน่ เดียวกนั วัคซีน อาจเตรียมไดจ้ ากเซลล์
ของตวั ก่อโรคทง้ั หมด (Whole cells) หรอื เตรียมจากเปลอื กห้มุ ตวั เชอื้ (Capsule) หรือ เตรียมจากส่วนขน
ละเอียดรอบตัวเช้อื (Pilli) ก็ได้
3. สารกระตนุ้ การสรา้ งภูมคิ มุ้ กันโรค : ผนงั เซลล์ของจุลินทรยี ์บางชนิด มีสว่ นประกอบของสารในกลุ่ม
polysaccharides (เชน่ Oligosaccharide และ Peptidoglycan เปน็ ตน้ ) สารพวกน้ี มีคณุ สมบตั ิในการเกาะจับ
จลุ ินทรยี ์ตัวกอ่ โรค และสามารถกระตนุ้ ใหร้ ่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคไดด้ ขี น้ึ ผลิตภณั ฑ์ในกลุ่มนี้ มตี ้ังแต่การใช้ตัว
เซลล์ (Whole cell), สกัดเพียงบางสว่ น เช่น สาร Oligosaccharide จากผนังเซลลข์ องยีสต์ แบคทีเรีย
284
Pediococcus spp. และ Lactobacillus บางสายพนั ธ์ุ
4. นาํ้ ยอ่ ย หรือ เอ็นไซม์ : น้ําย่อยท่สี รา้ งจากสัตวแ์ ตล่ ะชนิด มีความสามารถในการยอ่ ยวัตถดุ ิบอาหารสัตวไ์ ด้
แตกตา่ งกนั เมื่อให้สัตว์กินวตั ถดุ ิบบางชนดิ แลว้ สัตว์ไม่สามารถย่อยได้ ทําใหส้ ิน้ เปลอื งวัตถุดิบ ดังนนั้ เปูาหมายของ
การใช้วัตถดุ ิบในปรมิ าณน้อย แต่ใหเ้ กดิ ประโยชน์ (ย่อย) ไดด้ ที ี่สดุ ปัจจุบนั จงึ ได้มกี ารผลิตน้าํ ย่อย ท้ังชนดิ จาํ เพาะ
เช่น น้ํายอ่ ยท่ียอ่ ยสารกลูแคน (Glucanase) หรอื ในรปู ของนา้ํ ยอ่ ยรวม (Enzyme cocktail) มาใช้ผสมในอาหาร
สตั ว์ ทําให้สามารถลดปรมิ าณการใชว้ ตั ถดุ ิบได้ และสัตวเ์ จรญิ เตบิ โตได้ดี น้ํายอ่ ยที่กล่าวถงึ น้ี คือผลิตภัณฑ์ทไี่ ดจ้ าก
กระบวนการสนั ดาป (Metabolic products) ซงึ่ สว่ นใหญ่มาจากกระบวนการหมกั ของจลุ ินทรีย์
5. วติ ามนิ : วติ ามิน เป็นผลติ ภัณฑ์จากกระบวนการสันดาปท่ีเกิดขึน้ ตามธรรมชาติจากการผลิตของจลุ ินทรยี ์ เช่น
กากเบยี ร์ จะมีส่วนประกอบของวิตามิน บี หลายชนดิ เป็นตน้
6. โปรตีน และกรดอะมิโน : ตวั เซลล์ของจุลินทรียห์ ลายชนดิ มีสว่ นประกอบของโปรตนี และกรดอะมโิ น
7. สารสกดั จากพืช : สารสกดั จากพชื บางชนดิ มีคุณสมบตั ิ เป็นสารทาํ ลายศัตรพู ชื หรือ ออกฤทธ์ิทําลายแบคทีเรยี
บางชนดิ ได้
8. สารเสรมิ ชีวนะ : หรือ ทเ่ี รยี กว่า โปรไบโอตกิ เป็นผลิตภัณฑท์ างเทคโนโลยีชีวภาพ ที่อาจกล่าวได้วา่ ผลิตภัณฑ์
กลุม่ นี้ เป็นท่รี ้จู กั มากท่ีสุดในวงการการเล้ียงสตั ว์ สารเสริมชวี นะ ประกอบด้วยกลุ่มของจุลินทรยี ์ทมี่ ีคุณประโยชน์
ไดแ้ ก่ แบคทีเรยี (Bacteria) ยสี ต์ (Yeasts) และรา (Fungi) โดยเฉพาะพวกแบคทีเรยี ทสี่ ามารถสร้างกรดแลคติค
และกรดไขมนั ระเหย (Lactic acid and Volatile Fatty acid) ความสําคญั ของสารเสริมชวี นะ นอกจากจะสรา้ ง
กรด เพื่อยบั ยั้งการเจรญิ ของจลุ นิ ทรยี ต์ วั ก่อโรคแลว้ ยังมคี วามสามารถในการเจริญทวจี าํ นวนได้รวดเรว็ เบียดบงั
หรอื ขม่ และแขง่ จลุ ินทรยี ์ที่ก่อโรคได้อกี ดว้ ย และสารเสริมชวี นะน้ี ตวั เซลล์ยังประกอบดว้ ยสารสําคัญ ในการ
กระตุ้นการสร้างภูมคิ ุ้มกันโรค พวก polysaccharide และ peptidoglycan อกี ดว้ ย มีผอู้ ธิบายถึงการทีจ่ ลุ นิ ทรยี ์
พวกน้ี
ผลิตภัณฑช์ ีวภาพ : ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ ท่ีใช้ในการเล้ียงกุ้ง มีหลายประเภท เชน่
1. ผลิตภัณฑ์ท่ีใชใ้ นการควบคมุ คุณภาพนา้ํ และการบาํ บดั นาํ้ สว่ นใหญเ่ ป็นกลุ่มจลุ ินทรีย์
2. ผลติ ภัณฑ์ สารเสริมชีวนะ หรอื โปรไบโอตกิ : เป็นกล่มุ ของจุลนิ ทรีย์
3. ผลติ ภัณฑ์ สารชว่ ยยอ่ ย หรือนา้ํ ยอ่ ย : เปน็ ผลผลติ จากจุลนิ ทรยี ์
4. ผลติ ภัณฑ์ สารกระตนุ้ การสร้างภูมคิ ้มุ กันโรค : เป็นผลผลิตจากจุลินทรีย์
285
5. ผลิตภัณฑ์ สารบาํ บัด และรกั ษา : ผลผลิตจากจุลินทรีย์ และสารสกดั จากพชื ธรรมชาติ
จะเหน็ ได้ว่า ผลิตภัณฑช์ วี ภาพที่ใช้ในการเลีย้ งกุ้งกลุ าดําส่วนใหญ่เปน็ จลุ นิ ทรีย์ท่มี ีความหลากหลายท้งั ชนดิ และ
สายพันธ์ุ นอกจากน้ี ผลติ ภัณฑ์ หรอื สารชวี ภาพ ยังมสี ารสกัดจากพืชธรรมชาติ หรือทเ่ี รียกว่า “สมนุ ไพร” รวมอยู่
ดว้ ย สมุนไพร สามารถนาํ มาใชเ้ ป็นสารทดแทนยาปฏชิ ีวนะ (Antibiotics) ได้ เน่อื งจากสารสกัดจากสมนุ ไพรบาง
ชนดิ มีคุณสมบตั ิในการบาํ บดั และรักษาโรคในกุ้งกุลาดาํ ไดเ้ ป็นอย่างดี
เทคโนโลยีชวี ภาพกับการขยายพันธสุ์ ัตว์
ปัจจบุ ันประเทศไทยไดม้ กี ารศกึ ษา และพฒั นาการใช้เทคโนโลยีในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรท่ีเกี่ยวข้อง
กับสตั ว์ ซง่ึ หมายถงึ การคัดเลือกและการปรับปรุงพนั ธุ์เพอื่ เพมิ่ ปรมิ าณและคุณภาพของสตั ว์ ไม่ว่าจะเปน็ สัตวบ์ ก
สัตว์นา้ํ และสัตวป์ กี เช่น โค กระบอื สุกร เป็ด ไก่ และปลา มกี ารนําเทคโนโลยดี า้ นการผสมเทยี ม การถ่ายฝากตัว
อ่อน การโคลนนิง่ พนั ธุวิศวกรรม เพื่อปรับปรุงสตั วต์ ามวตั ถุประสงคท์ ี่วางไว้ มีการเพิม่ ปรมิ าณสัตวด์ ว้ ยการใช้
ฮอร์โมนหรอื สารกระตุ้นความสมบูรณพ์ ันธ์แุ ละอตั ราการเจรญิ เติบโตของสตั ว์บางประเภท เชน่ โค กระบือ และ
การนาํ เทคโนโลยชี วี ภาพในด้านตา่ ง ๆ มาใชป้ ระโยชนด์ ้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม อาหาร และการแพทย์
ปฏบิ ัติการต่าง ๆ ที่ได้กระทําไปแลว้ นัน้ สง่ ผลให้ผลผลิตด้านเกษตรกรรมเกยี่ วกับสตั ว์มีแนวโนม้ เพ่มิ ขึ้นทกุ ปี ทาํ ให้
ประเทศไทยมีผลผลิตเหล่าน้ีเพื่อใช้ในการอปุ โภคและบริโภคอยา่ งเพียงพอ ไม่ประสบปัญหาการขาดแคลนอาหาร
และยงั สารมารถส่งเปน็ สนิ คา้ ออกที่สาํ คัญของประเทศไทยไดอ้ ีกดว้ ย ทาํ ให้ประเทศไทยมีรายได้เพ่ิมขึน้ มีเงนิ ท่จี ะ
พฒั นาประเทศใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ในดา้ นตา่ ง ๆ ได้
เทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง การนาํ เอาสิง่ มชี ีวติ หรอื ช้นิ สว่ นของส่งิ มีชวี ติ มาปรับปรุง ทาํ ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงที่มี
ประโยชนเ์ พ่มิ ขึ้น การขยายพันธ์ุ ปรบั ปรงุ พันธ์ุ และเพ่มิ ผลผลิตของสัตวโ์ ดยใช้เทคโนโลยชี ีวภาพมีหลายวิธี เช่น
การผสมเทียม การถา่ ยฝากตัวอ่อน การโคลนน่งิ พันธุวิศวกรรม
1. การผสมเทียม (Artificial Insemination)
การผสมเทียม คอื การทาํ ใหเ้ กดิ การปฏิสนธิในสัตวโ์ ดยไม่ตอ้ งมีการร่วมเพศตามธรรมชาติ โดยมนุษยเ์ ป็นผูฉ้ ดี
นา้ํ เช้อื ของสัตวต์ ัวผู้เขา้ ไปในอวยั วะสืบพนั ธขุ์ องสัตวต์ ัวเมียท่ีกาํ ลงั เป็นสดั เพอ่ื ให้อสจุ ิผสมกบั ไข่ทําให้เกดิ การ
ปฏิสนธิ ซ่งึ เป็นผลใหต้ วั เมียตัง้ ท้องข้ึน การผสมเทียมสามารถทําไดท้ ้ังในสัตว์ท่มี กี ารปฏสิ นธิภายใน ได้แก่ โ กระบือ
สกุ ร และสตั ว์ท่ีมกี ารปฏิสนธภิ ายนอก ไดแ้ ก่ ปลาทม่ี ีการปฏิสนธิภายนอก เชน่ ปลาตะเพียนขาว ปลาสวาย ปลา
นิล ปลายี่สก ปลาดุก ปลาบึก เป็นตน้
286
1.1 การผสมเทียมโค กระบอื และสกุ ร
1.) การรดี เก็บน้าํ เชอ้ื โดยการใช้เครื่องมือชว่ ยกระตนุ้ ใหต้ วั ผู้หลง่ั นํ้าเช้อื ออกมา แลว้ รีดเกบ็ นํ้าเชื้อเอาไว้ ซ่งึ ต้อง
คาํ นงึ ถึงอายุ ความสมบูรณ์ของตวั ผู้ รวมท้งั ระยะเวลาท่เี หมาะสมและวธิ กี ารซงึ่ ข้ึนอย่กู ับชนิดของสตั ว์น้ันเอง
2.) การตรวจคุณภาพนํ้าเชอ้ื น้าํ เชื้อท่ีรดี มาจะมีการตรวจดปู รมิ าณของตัวอสุจิและการเคลือ่ นไหวของตวั อสุจิด้วย
กลอ้ งจุลทรรศน์ เพือ่ ตรวจดวู า่ ตวั อสุจมิ ีความแข็งแรงและมีปรมิ าณมากพอท่ีจะนาํ ไปใช้งานหรอื ไม่
3.) การละลายนํ้าเชอ้ื โดยการนํานา้ํ ยาเลี้ยงเช้ือเติมลงไปในน้าํ เชอ้ื เพอ่ื เลีย้ งตัวอสุจิ และชว่ ยเพิม่ ปริมาณน้ําเชือ้
เพอื่ ให้สามารถนําไปแบ่งฉีดให้กบั ตัวเมยี ไดห้ ลาย ๆ ตัว
สารที่เติมลงไปในน้ําเชอ้ื ไดแ้ ก่
1. ไขแ่ ดง เพอ่ื เปน็ อาหารของตัวอสจุ ิ
2. โซเดียมซเิ ตรต เพ่ือรกั ษาความเป็นกรด-เบส
3. สารปฏชิ ีวนะ เพือ่ ฆา่ เช้ือโรคในนํ้าเชอ้ื
มีขั้นตอนดงั น้ี
4.) การเกบ็ รกั ษานาํ้ เชอ้ื มี 2 แบบ คือ
4.1 น้ําเช้ือสด หมายถึง นํ้าเช้ือท่ีละลายแลว้ นาํ ไปเก็บรักษาทอ่ี ณุ หภูมิ 4-5 °C ซง่ึ จะเกบ็ ได้นานเป็นเดอื น แตถ่ ้าเกบ็
ไวท้ อี่ ณุ หภมู ิ 15-20 °C จะเกบ็ ไดน้ าน 4 วนั
4.2 น้าํ เชือ้ แช่แข็ง หมายถงึ นํา้ เช้อื ที่นาํ มาทําให้เย็นจดั จนแข็งตวั แล้วจงึ นาํ ไปเก็บรกั ษาไวใ้ นไนโตรเจนเหลวทม่ี ี
อุณหภมู ิ 1-96 °Cซ่งึ สามารถเก็บไว้ไดน้ านเปน็ ปี
5.) การฉีดน้ําเช้อื จะฉีดให้แมพ่ นั ธ์ที่ไดร้ บั การคดั เลือกและตอ้ งอยใู่ นวยั ทผ่ี สมพนั ธุ์ได้ ถา้ เปน็ โคต้องมอี ายปุ ระมาณ
18 เดอื น กระบือต้องมีอายุประมาณ 3 ปี และสุกรตอ้ งมอี ายุประมาณ 10 เดอื น
การฉีดนํ้าเช้อื ควรฉดี ในชว่ งระยะเวลาที่สตั วต์ วั เมียกําลังแสดงอาการเป็นสัด ซึ่งเปน็ ช่วงท่ีไขส่ กุ รอบของการเปน็ สัด
ของโค กระบอื และสุกรจะเกิดข้นึ ทุก ๆ 21 วัน ระยะเวลาการเป็นสดั ของโค กระบอื จะนานประมาณ 1 วนั แต่ถ้า
เปน็ สุกรจะนานประมาณ 3-4 วนั
ขอ้ ดีของการผสมเทยี มพวกโค กระบือ และสุกร มีดงั น้ี
1. ไดส้ ตั ว์พันธด์ุ ตี ามต้องการ
2. ประหยดั พ่อพนั ธุโ์ ดยการนาํ นาํ้ เช้ือของพอ่ พนั ธมุ์ าละลายนํ้ายาสาํ หรับละลายนํา้ เชื้อ ซง่ึ ทําให้สามารถนํามาฉดี
ให้แก่แม่พันธุ์ได้เป็นจํานวนมาก
3. ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยในการเลีย้ งดพู อ่ พนั ธห์ุ รือการสง่ั ซอ้ื พอ่ พนั ธุ์
4. สามารถผสมพันธ์กุ ันได้โดยไมต่ อ้ งคาํ นึงถึงขนาดตัวและน้าํ หนกั ของพอ่ พนั ธแุ์ ละแมพ่ นั ธุ์
5. ตัดปญั หาเร่อื งการขนสง่ พ่อพนั ธ์ุไปผสมในทีต่ ่าง ๆ โดยเพียงแตน่ ํานาํ้ เช้อื ไปเทา่ นั้น
6. สามารถควบคุมใหส้ ตั ว์ตกลกู ไดต้ ามฤดูกาล สามารถปอู งกันโรคติดตอ่ จากการผสมพันธตุ์ ามธรรมชาติ และยัง
แกป้ ัญหาการตดิ ลกู ยากในกรณีที่มีความผดิ ปรกติของระบบสบื พนั ธ์ุของแม่พนั ธุไ์ ด้อีกด้วย
1.2 การผสมเทยี มปลา
การผสมเทียมปลา มีวธิ ีการดังนี้
287
1.) คดั เลอื กพอ่ พนั ธุแ์ มพ่ ันธป์ุ ลาที่สมบรู ณ์ มีน้าํ เชื้อดีและมไี ข่มากจากปลาท่กี าํ ลงั อยใู่ นวัยผสมพันธ์ไุ ด้
2.) ฉดี ฮอร์โมนใหแ้ มป่ ลา เพ่อื เรง่ ใหแ้ ม่ปลามไี ขส่ ุกเรว็ ข้ึน ฮอร์โมนท่ฉี ดี นไ้ี ด้จาการนําต่อมใต้สมองของปลาพันธ์ุ
เดียวกนั ซ่งึ เป็นเพศใดกไ็ ด้ นาํ มาบดให้ละเอียดแล้วผสมนํ้ากลั่นฉีดเข้าท่บี ริเวณเสน้ ข้างลําตัวของแม่ปลา
3.) หลังจากฉีดฮอรโ์ มนใหแ้ ม่ปลาแลว้ ประมาณ 5-12 ชวั่ โมง แล้วแต่ชนดิ และน้าํ หนักของแม่ปลา ต่อจากนัน้ จึงรีด
ไข่และนาํ้ เช้ือจากแม่พันธุแ์ ละพอ่ พนั ธ์ทุ เี่ ลอื กไวใ้ สภ่ าชนะใบเดยี วกนั
4.) ใชข้ นไกค่ นไขก่ ับนาํ้ เชื้อเบา ๆ เพื่อคลกุ เคล้าใหท้ ่วั แล้วใสน่ ํา้ ให้ทว่ ม ทง้ิ ไว้ประมาณ 1-2 นาที จึงถ่ายทง้ิ
ประมาณ 1-2 คร้ัง
5.) นําไข่ท่ผี สมแลว้ ไปพักในทท่ี ่ีเตรียมไว้ ซึ่งต้องเปน็ ที่ที่มนี ํ้าไหลผ่านตลอดเวลา เพ่ือใหไ้ ข่ลอยและปอู งกนั การทับ
ถมของไข่ ทง้ิ ไวจ้ นกระท่งั ไขป่ ลาฟกั ออกเป็นลกู ปลาในเวลาตอ่ มา
2. การถ่ายฝากตัวอ่อน (Embryo Transfer)
2.1 การถ่ายฝากตวั ออ่ นในสัตว์
การถ่ายฝากตัวออ่ น คือ การนาํ ตัวออ่ นทเ่ี กดิ จากการผสมระหว่างตัวอสจุ ิของพ่อพันธ์ุและไข่ของสตั วแ์ ม่พันธท์ุ ี่
คดั เลือกไว้ แล้วล้างเกบ็ ออกมาจากมดลูกของแม่พนั ธุ์ ต่อจากนั้นนาํ ไปฝากใสไ่ วใ้ หเ้ ตบิ โตในมดลูกของตัวเมียอีกตวั
หน่งึ ใหอ้ ้มุ ทอ้ งไปจนคลอด การถา่ ยฝากตัวอ่อนนิยมทํากบั สัตว์ทมี่ ีการตกลกู ครัง้ ละ 1 ตัว และมรี ะยะเวลาตั้งทอ้ ง
นาน เช่น โค กระบอื แตไ่ ม่นยิ มทําการถ่ายฝากตวั ออ่ นกบั สกุ ร เพราะสุกรสามารถมลี ูกได้ง่ายคร้ังละหลายตวั และ
มรี ะยะเวลาตั้งทอ้ งไมน่ าน
2.2 ประโยชนข์ องการถา่ ยฝากตัวอ่อน
การถ่ายฝากตัวอ่อนมีประโยชนด์ ังน้ี
1. ขยายพนั ธ์ไุ ด้อยา่ งรวดเรว็ ในระยะเวลาเทา่ เดิม ซง่ึ สามารถขยายพนั ธ์ไุ ด้รวดเรว็ กวา่ การผสมพนั ธต์ุ ามธรรมชาติ
หรือการผสมเทยี ม
2. ขยายพันธ์ุได้จํานวนมาก
3. ช่วยลดระยะเวลาและค่าใชจ้ า่ ยในการขยายพันธ์สุ ตั ว์
4. ชว่ ยในการอนรุ ักษพ์ ันธ์สุ ัตว์ตา่ ง ๆ ทีใ่ กล้สญู พันธุ์
3. การโคลนน่ิง (Cloning)
การโคลนน่ิง คอื การคดั ลอกพนั ธห์ุ รอื การสรา้ งสง่ิ มชี วี ติ ขึน้ มาใหมโ่ ดยไมไ่ ดอ้ าศัยการปฏสิ นธิของเซลล์สืบพนั ธ์เุ พศ
ผ้แู ละเพศเมยี แตใ่ ช้เซลลร์ า่ งกายในการสร้างสง่ิ มชี ีวิตขน้ึ มาใหม่
3.1 การโคลนนิ่งสตั ว์
จดุ ประสงค์เพอ่ื สร้างสตั ว์ท่มี คี วามเหมือนทกุ ประการทางดา้ นพันธกุ รรมเป็นจํานวนมาก โดยเริม่ ตน้ จากการเลย้ี ง
และเพ่มิ จํานวนเซลลท์ ่ีมีความเหมอื นกนั ในข้ันตอนน้ีอาจมกี ารเปลย่ี นแปลงพนั ธกุ รรมของเซลลต์ ามตอ้ งการได้ดว้ ย
แลว้ จงึ นาํ แตล่ ะเซลล์นไ้ี ปทาํ ใหเ้ กิดเป็นสตั ว์ โดยหน่ึงเซลลจ์ ะกลายเป็นสตั วห์ น่ึงตวั สัตวแ์ ต่ละตัวที่เกดิ ขึ้นจะ
เหมอื นกนั ทุกประการ เนื่องจากแตล่ ะเซลลเ์ รมิ่ ต้นมลี กั ษณะเหมอื นกัน
ขั้นตอนการโคลนนงิ่ สัตว์ มีดงั น้ี
1. คัดเลอื กและดัดแปลงเซลลท์ ่จี ะใช้เปน็ ต้นแบบของสารพันธกุ รรมทีต่ อ้ งการ
288
2. เลีย้ งให้มจี ํานวนและสมบตั ทิ ี่เหมาะสม
3. ผ่านกระบวนการทีจ่ ะสร้างเซลลใ์ ห้เป็นสตั ว์โดยวิธีการตา่ ง ๆ
การโคลนน่ิงในปจั จุบนั ทาํ ได้ในสตั ว์บางชนิดเท่านัน้ เชน่ แกะ ววั แตส่ ําหรบั มนุษย์ การทาํ โคลนนง่ิ ยงั เปน็ เรื่องท่ี
ต้องมีการพิจารณาอยา่ งถ่ีถว้ น
3.2 วิธกี ารโคลนนิ่งของ ดร.เอียน วิลมุต
ดร.เอยี น วิลมุตนกั วิทยาศาสตรช์ าวสกอ็ ตได้โคลนน่ิงแกะขึ้นมาโดยนําเซลลเ์ ตา้ มนของแกะตน้ แบบออกมา แล้วเอา
นิวเคลียสออกจากเซลล์เตา้ นมนนั้ จากนั้นนําเซลลไ์ ขข่ องแกะอีกตัวหน่ึงมา แล้วเอานิเคลียสของเซลล์ไขอ่ อก นํา
นวิ เคลยี สของเซลล์เต้านมแกะท่เี ป็นตน้ แบบมาใส่ในไข่ทีเ่ อานวิ เคลียสออก นาํ เซลลไ์ ข่ที่ทําการโคลนนง่ิ แลว้ ไปถา่ ย
ฝากตัวอ่อนในท้องแมแ่ กะอกี ตวั หนง่ึ จะไดแ้ กะทเี่ กิดข้ึนจากเซลลร์ า่ งกายของแกะ และเรียกแกะทถี่ ูกโคลนน่ิง
ขึน้ มาตวั แรกว่า “ดอลล่ี”
4. พันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering)
พนั ธวุ ศิ วกรรมหรอื การตดั แต่งยนี คือ การใช้เทคนิคตา่ ง ๆ เพื่อนาํ ยนี จากส่งิ มชี ีวิตหน่งึ ไปถ่ายฝากใหก้ บั สิ่งมีชวี ติ
อื่น ทาํ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างไปจากพนั ธท์ุ ่มี ใี นธรรมชาติ ปัจจุบันการตัดแตง่ ยีนในพืชและสัตว์ได้เจริญ
ก้าวหน้าไปอย่างรวดเรว็ เปน็ ผลใหม้ กี ารพยายามนาํ เทคโนโลยนี ไ้ี ปประยกุ ตใ์ ช้อยา่ งกวา้ งขวาง ดงั ตวั อย่างต่อไปนี้
1. การเพ่มิ ผลผลิตโปรตนี ทส่ี าํ คญั และหายาก เช่น ฮอร์โมนอนิ ซลู ิน วัคซนี คมุ้ กนั โรคตับอกั เสบชนิดบี วคั ซีนคมุ้ กัน
โรคปากเทา้ เปื่อยตา่ ง ๆ เปน็ ต้น
2. การปรับปรุงพนั ธุ์ของจลุ ิทรยี ์ท่ีใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น การผลติ ยาปฏิชวี นะ การหมกั การกําจัด
ศตั รูพืชและสัตว์ เปน็ ต้น
3. การตรวจและแกไ้ ขความบกพร่องทางพันธุกรรมของมนษุ ย์ พชื และสตั ว์ดว้ ยวิธที แ่ี ม่นยําและรวดเรว็ ย่งิ ขึน้ เช่น
โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคธาลัสซเี มีย ปัญญาออ่ น และยีนเกิดมะเร็ง
4. การปรับปรุงพนั ธขุ องสัตว์ เช่น การนํายีนจากปลาใหญม่ าใส่ในปลาเล็ก แลว้ ทาํ ให้ปลาเลก็ ตวั โตเร็วข้นึ มคี ณุ ค่า
ทางอาหารดขี ้นึ เปน็ ตน้
5. การเพิ่มผลผลิตของสัตว์
ในปจั จบุ นั เทคโนโลยีตา่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกับการเลยี้ งสัตว์ เชน่ การผสมเทียม การถา่ ยฝากตัวอ่อน การโคลนนง่ิ ไดม้ ี
การพัฒนาไปอย่างมาก ทําใหส้ ามารถเพ่มิ ผลผลิตทง้ั ดา้ นปริมาณและคุณภาพ นอกจากนก้ี ารใช้เทคโนโลยดี า้ นอ่ืนๆ
มาชว่ ยเพิม่ ผลผลิต ดังนี้
1. การใชฮ้ อรโ์ มนช่วยการขุนวัว เพื่อใหว้ ัวพน้ื เมืองเพศเมยี มนี ้ําหนักเพิ่มขน้ึ อย่างรวดเร็วในเวลาส้ันๆ
2. การฉดี วคั ซนี เรง่ ความสมบรู ณ์พันธ์ุและเรง่ อตั ราการเจริญเติบโตของกระบอื เพอ่ื ให้กระบอื เพศเมียตกลูกตัง้ แต่
อายนุ ้อยไดล้ กู มาก และเร่งอตั ราการเจรญิ เติบโตเพ่ิมผลผลติ เนื้อในกระบือเพศผู้ อย่างไรกด็ ีการใชเ้ ทคโนโลยีในบาง
กรณีก็อาจประสบกับปญั หาหรอื อุปสรรคได้ ตวั อย่างเชน่ การผสมเทียมปลามีการพฒั นามากขนึ้ จนสามารถ
นาํ ไปใช้กบั ปลาหลายชนิด เชน่ ปลาบึก ปลาสวาย ปลาตะเพียนขาว ปลาดุ ปลานิล เปน็ ต้น แตก่ ็ยังประสบกับ
ปญั หาหรอื อปุ สรรคในการเล้ยี งปลาดงั น้ี
1. การทไี่ ม่รทู้ ง้ั หมดวา่ ปลากนิ อะไรบา้ งในช่วงอายตุ ่าง ๆ กนั
289
2. การขาดแคลนอาหารสําหรับลูกปลาเลก็ ๆ ท่ีเพิ่งจะฟกั ออกจากไข่ ซงึ่ ปัจจบุ ันได้มีการเพาะเลย้ี งไรแดง เพื่อ
แกป้ ญั หาการขาดแคลนอาหารสําหรบั ลูกปลาเล็ก ๆ
6. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีชีวภาพในด้านต่างๆ
6.1 ด้านเกษตรกรรม
ในปจั จบุ ันมีการปรับปรุงพันธส์ุ ตั ว์โดยการนาํ สตั ว์พนั ธุด์ จี ากต่างประเทศซึ่งออ่ นแอ ไมส่ ามารถทนต่อสภาพอากาศ
ของไทยมาผสมพันธุ์กบั พนั ธพ์ุ น้ื เมอื ง เพื่อใหไ้ ด้ลูกผสมที่มีลกั ษณะดเี หมอื นกับพันธ์ตุ า่ งประเทศที่แข็งแรง ทนทาน
ตอ่ โรคและทนต่อสภาพภูมิอากาศของเมืองไทย และท่สี ําคญั คือราคาตา่ํ เกษตรกรที่มที นุ ไมม่ ากนัก สามารถซือ้ ไป
เล้ยี งได้ ตวั อยา่ งเชน่ การผลติ โค 3 สายเลอื ด โดยนําโคพันธุพ์ น้ื เมอื งมาผสมพันธก์ุ ับโคพันธ์ุบราหม์ นั ไดล้ กู ผสม แล้ว
นําลกู ผสมท่ไี ดน้ ้ีไปผสมพนั ธกุ์ บั แม่พนั ธุ์โคนมหรือโคเนอื้ อีกคร้งั หนึ่ง จะไดล้ ูกผสม 3 สายเลือดท่ีมีลักษณะดีเหมอื น
พันธต์ุ ่างประเทศ แต่ทนทานต่อโรคและทนรอ้ นไดด้ ี และมีราคาตา่ํ
6.2 ดา้ นอตุ สาหกรรม
1. การถ่ายฝากตัวออ่ น ทําให้เพิม่ ปรมิ าณและคุณภาพของโคนมและโคเนือ้ เพอื่ นํามาใชใ้ นอตุ สาหกรรมการผลิต
เนอ้ื วัวและนํา้ นมววั
2. การผสมเทียมสัตวบ์ กและสตั วน์ ้า เพ่อื เพมิ่ ปรมิ าณและคุณภาพสัตว์บกและสตั ว์นํา้ ทาํ ใหเ้ กดการพฒั นา
อุตสาหกรรมการแช่เยน็ เนื้อสตั วแ์ ละการผลิตอาหารกระปอ๋ ง
3. พันธวุ ศิ วกรรม โดยนาํ ผลิตผลของยีนมาใช้ประโยชน์และผลิตเปน็ อตุ สาหกรรม เช่น ผลิตยา ผลิตวัคซนี นาํ้ ยา
สําหรับตรวจวนิ จิ ฉัยโรค ยาตอ่ ต้านเนื้องอก ฮอรโ์ มนอินซูลนิ รกั ษาโรคเบาหวาน ฮอร์โมนเร่งการเจรญิ เติบโตของคน
เปน็ ต้น
4. ผลติ ฮอรโ์ มนเรง่ การเจริญเติบโตของสตั ว์ ไดม้ กี ารทดลองทาํ ในหมู โดยการนาํ ยนี สร้างฮอรโ์ มนเรง่ การ
เจริญเติบโตของววั และของคนมาฉีดเข้าไปในรงั ไขท่ เี่ พิง่ ผสม พบวา่ หมูจะมกี ารเจริญเติบโตดกี วา่ หมูปรกติ
5. ผลติ สตั ว์แปลงพันธใุ์ หม้ ลี กั ษณะโตเรว็ เพ่มิ ผลผลติ หรอื มีภูมิตา้ นทาน เชน่ แกะท่ีให้นํ้านมเพมิ่ ขนึ้ ไก่ที่
ต้านทานไวรัส
6.3 ดา้ นการแพทย์
ใช้พนั ธุวศิ วกรรม มีดงั ตอ่ ไปนี้
1.1 การใช้ยีนบําบัดโรค เชน่ การรักษาโรคไขกระดกู ท่ีสร้างโกลบนิ ผิดปรกติ การดแู ลรกั ษาเดก็ ท่ตี ิดเชื้องา่ ย การ
รกั ษาผปู้ ุวยท่ีเปน็ มะเรง็ เปน็ ตน้
1.2 การตรวจวนิ ิจฉยั หรอื ตรวจพาหะจากยีน เพอ่ื ตรวจสอบโรคธาลสั ซีมีย โรคโลหติ จาง สภาวะปญั ญาอ่อน ยนี ที่
อาจทาํ ให้เกดิ ประโรคมะเร็ง เปน็ ตน้
1.3 การใชป้ ระโยชนจ์ ากการตรวจลายพมิ พจ์ ากยีนของส่ิงมชี ีวติ เชน่ การสบื หาตวั ผู้ต้องสงสัยในคดีต่างๆ การ
ตรวจสอบความเปน็ พอ่ -แม่-ลกู กนั การตรวจสอบพันธสุ์ ัตวเ์ ศรษฐกจิ ต่างๆ
6.4 ดา้ นอาหาร
1. เพม่ิ ปริมาณเนื้อสัตว์ท้งั สัตว์บกและสัตวน์ ํ้า สัตวบ์ ก ได้แก่ กระบอื สกุ ร สว่ นสัตวน์ ้ํามีทั้งสัตวน์ าํ้ จืดและสตั ว์
นํา้ เค็มจาํ พวกปลา กุ้ง หอยต่าง ๆ ซง่ึ เนื้อสตั ว์เปน็ แหลง่ สารโปรตีนที่สาํ คญั มาก
290
2. เพม่ิ ผลผลิตจากสัตว์ เช่น นา้ํ นมววั ไขเป็ด ไข่ไก่ เปน็ ต้น
3. เพ่ิมผลิตภัณฑท์ ี่แปรรูปจากผลผลติ ของสัตว์ เช่น เนย นมผง นมเปรี้ยว และโยเกิรต์ เปน็ ต้น ทาํ ให้เรามอี าหาร
หลากหลายที่ใหป้ ระโยชน์มากมาย
เอกสารอ้างอิง
https://sites.google.com/site/kijkasemlaw/thekhnoloyi-chiwphaph
https://sites.google.com/site/kruwiriyaudnoonchart/bth-thi-1-chiwit-satw/4-thekhnoloyi-
chiwphaph-pheux-pheim-phlphlit-khxng-satw
291
พส.13
ใบงาน (Job Sheets)
รหสั วชิ า 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพอ่ื พัฒนาทกั ษะชีวติ ท-ป-น 1-2-2
ชอ่ื หนว่ ย เทคโนโลยีชีวภาพ
เร่อื ง เทคโนโลยีชีวภาพ จานวนช่วั โมงสอน 3
จุดประสงค์การเรียนรู้ รายการเรยี นรู้
- จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม เครือ่ งมือ/วสั ดุ-อุปกรณ์
1. ยกตัวอยา่ งการนําเทคโนโลยชี วี ภาพมาใชป้ ระโยชน์ 1. ปากกา
ด้านต่างๆในชีวติ ประจาํ วันได้ 2. กระดาษ A4
2. ทาํ งานรว่ มกนั เปน็ กลมุ่ ได้ 3. ชิ้นงาน
- ลําดับขน้ั การทํางาน ขอ้ ควรระวัง
1. ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลุ่มกลุ่มละ 3 คน 1. ควรใช้อปุ กรณ์ต่างๆด้วยความระมดั ระวัง
2. ใหแ้ ต่ละกลมุ่ สืบคน้ การนาํ เทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ มอบงาน
ประโยชน์ด้านต่างๆในชวี ติ ประจําวนั 1. นําเสนอผลงานพร้อมอธบิ าย
3. นําเสนอหน้าชัน้ เรยี น วัดผล/ประเมินผล
1. ตรวจชน้ิ งาน
2. การนาํ เสนอผลงาน
3. เกณฑ์คะแนนผา่ น 50% ขนึ้ ไป
292
พส.14
ใบปฏบิ ตั งิ าน (Operation Sheets)
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาทักษะชีวิต
ชือ่ หน่วย เทคโนโลยีชีวภาพ
เร่ือง เทคโนโลยีชวี ภาพ จานวนชัว่ โมงสอน 3
จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
- จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
1. ยกตวั อยา่ งการนําเทคโนโลยชี ีวภาพมาใชป้ ระโยชนด์ า้ นต่างๆในชวี ิตประจําวนั ได้
2. ทํางานรว่ มกนั เป็นกล่มุ ได้
เครอื่ งมอื -อุปกรณ์-วสั ดุ
1. ปากกา
2. กระดาษ A4
3. ชิน้ งาน
ลาํ ดบั ขั้นการปฏบิ ตั งิ าน
1. ให้นักเรียนแบ่งกลมุ่ กลุ่มละ 3 คน
2. ให้แต่ละกลุม่ สบื ค้นการนาํ เทคโนโลยีชวี ภาพมาใชป้ ระโยชน์ด้านตา่ งๆในชวี ติ ประจําวัน
3. นําเสนอหนา้ ชัน้ เรยี น
ขอ้ ควรระวงั
1. ควรใชอ้ ุปกรณ์ตา่ งๆด้วยความระมดั ระวงั
ขอ้ เสนอแนะ
1. การสง่ งานให้ตรงตามเวลาท่ีผ้สู อนกาํ หนด
2. การทดลองควรตรงประเดน็ กับหวั ขอ้ โครงงานที่ตง้ั ไว้
การประเมินผล
1. การประเมนิ ผลงานของแตล่ ะกลุม่
2. การประเมินผลการนาํ เสนอหนา้ ชัน้ เรยี น
เอกสารอ้างอิง
https://sites.google.com/site/kijkasemlaw/thekhnoloyi-chiwphaph
หมายเหตุ ควรมีภาพประกอบแสดงการปฏิบัติงานในแต่ละข้นั
293
พส.15
ใบมอบหมายงาน (Assignment Sheets)
รหัสวชิ า 20000-1301 วิชา วิทยาศาสตร์เพ่ือพัฒนาทกั ษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2
ชอื่ หนว่ ย เทคโนโลยชี ีวภาพ
เร่อื ง เทคโนโลยีชีวภาพ จานวนช่วั โมงสอน 3
จุดประสงค์การมอบงาน
1. เพือ่ ใหผ้ ูเ้ รียนอธบิ ายความหมายเทคโนโลยีชีวภาพได้
2. เพื่อให้ผ้เู รยี นยกตัวอย่างการนาํ เทคโนโลยีชวี ภาพมาใช้ประโยชนด์ ้านต่างๆในชวี ติ ประจําวันได้
แนวทางการปฏิบัตงิ าน
ให้ผเู้ รียนทํางานเป็นกล่มุ กําหนดหน้าทขี่ องแตล่ ะคนให้ชัดเจน จดั ลําดับขนั้ ตอนการปฏิบัตงิ านใหเ้ หมาะสม
แหลง่ คน้ คว้า
สอ่ื ออนไลน์
คาถาม/ปญั หา
1. ผู้เรียนวางแผนการทาํ งานเปน็ กลมุ่ และงานเสร็จตามท่กี าํ หนดได้หรือไม่
2. ผเู้ รียนอธิบายความหมายเทคโนโลยชี ีวภาพได้หรือไม่
3. ผ้เู รียนยกตัวอย่างการนําเทคโนโลยีชวี ภาพมาใช้ประโยชน์ด้านต่างๆในชวี ิตประจําวนั ไดห้ รือไม่
กาหนดเวลาทางาน
3 ช่วั โมง
หมายเหตุ ควรมภี าพประกอบแสดงการปฏิบตั ิงานในแตล่ ะข้นั
294
พส.16
ใบกิจกรรมท่ี 20
รหัสวิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชวี ิต ท-ป-น 1-2-2 สอนครง้ั ที่ 15
หน่วยท่ี 8 ชื่อหน่วย เทคโนโลยีชวี ภาพ เวลา 1 ชม.
ชือ่ กจิ กรรม เทคโนโลยีชวี ภาพ เวลา 1 ชม.
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. เพ่อื ใหม้ ีความรูค้ วามเข้าใจเกีย่ วกบั เทคโนโลยีชีวภาพ
วสั ดุ/อุปกรณ์
1. สมดุ
2. อปุ กรณ์การเรยี น
คาส่งั
1. ให้นกั เรยี นตอบคาํ ถามต่อไปนี้
2. ใหน้ ักเรยี นทําด้วยตนเองหา้ มลอกกัน
1. การเปล่ียนแปลงโครงสร้างของยนี เรยี กวา่ ...............................................................
2. วตั ถุประสงคใ์ นการปรับปรงุ พันธ์ุคือ.........................................................................
3. การผสมเทียมมีขอ้ ดีคอื .............................................................................................
4. การผลติ ท่สี ามารถใชไ้ ดก้ บั สัตวท์ ีม่ กี ารปฏสิ นธิภายนอก เชน่ ....................................
5. การยา้ ยฝากตัวอ่อนมขี ้อดีหลายประการดังน้ี...........................................................
6. จุดมุ่งหมายสําคัญของการปรบั ปรุงพนั ธพ์ุ ืชและพันธุ์สัตว์คอื ....................................
7. ขอ้ ดีของพันธุวิศวกรรม.............................................................................................
8. ขอ้ ดขี องการโคลน.....................................................................................................
9. ขอ้ เสยี ของการโคลน..................................................................................................
10. ข้อดขี องการเพาะเลีย้ งเนอ้ื เย่อื พืช............................................................................
การประเมินผล
1. ตรวจใบกิจกรรม
2. นักเรยี นทําผ่าน 50 % ขนึ้ ไป
295
เฉลยใบกจิ กรรมที่ 20
1. การเปล่ยี นแปลงโครงสรา้ งของยนี เรียกวา่ มิวเทช่ัน (mutation)
2. วตั ถุประสงค์ในการปรบั ปรงุ พันธคุ์ อื เพอ่ื เพม่ิ ผลผลติ ให้คุม้ การลงทุน เพื่อใหไ้ ด้พันธ์ุใหมท่ ่ีทนต่อ
สภาพแวดลอ้ ม ทนต่อแมลง
3. การผสมเทียมมขี ้อดีคอื ไดส้ ัตวพ์ ันธด์ุ ีตามความต้องการ ประหยดั ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงพ่อพนั ธ์ุ
4. การผลติ ที่สามารถใชไ้ ดก้ ับสตั ว์ท่มี ีการปฏิสนธิภายนอก เชน่ การผสมเทียมปลาหลายชนดิ
5. การยา้ ยฝากตวั อ่อนมีข้อดหี ลายประการดงั น้ี ไดส้ ัตวพ์ นั ธุ์ดี ช่วยเพ่ิมผลผลติ ได้รวดเรว็ ในระยะเวลาเท่าเดิม
ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย อนรุ กั ษ์สัตว์พันธุ์หายาก หรอื ท่ีใกล้จะสูญพันธ์ุ
6. จุดมงุ่ หมายสําคญั ของการปรับปรุงพันธ์ุพืชและพนั ธส์ุ ัตวค์ อื เพ่มิ ผลผลิตให้สงู ข้ึน ทนตอ่ สภาพแวดลอ้ ม
7. ขอ้ ดขี องพันธุวศิ วกรรม ด้านอตุ สาหกรรม ผลิตฮอรโ์ มน ผลติ วคั ซีน ยาปฏชิ วี นะหลายชนดิ ด้านเกษตรกรรม
ใช้ผลติ จุลนิ ทรีย์ผลิตสารอาหารท่ีจําเปน็ ผลิตสารอาหารเสรมิ
8. ข้อดขี องการโคลน ชว่ ยในการเพม่ิ จาํ นวนพันธส์ุ ัตว์และพนั ธพุ์ ืชหายาก หรือเพิม่ จาํ นวนพันธ์ุสัตว์และพนั ธ์ุ
พชื ทใี่ กล้ทจ่ี ะสญู พันธุ์ ได้เร็วกวา่ การผสมพนั ธุก์ ันแบบปกตติ ามธรรมชาติ
ชว่ ยในการเพิม่ จํานวนสัตวท์ ่มี ลี กั ษณะทางพันธกุ รรมที่ดี เช่น หมูทีใ่ ห้เนอ้ื ในปริมาณมากหรือโคท่ใี ห้นาํ้ นมใน
ปรมิ าณมากที่มีความต้านทานโรคสงู เปน็ ต้น
9. ข้อเสียของการโคลน ขาดความหลากหลายในสายพนั ธ์ุ
10. ข้อดขี องการเพาะเลี้ยงเน้ือเยือ่ พชื ไดพ้ ันธุพ์ ชื ท่มี สี มบัติดีขึ้นกวา่ เดิม กําหนดลกั ษณะทางพันธุกรรมได้
296
แบบทดสอบหน่วยที่ 8
คาส่งั จงเลือกคําตอบท่ีถูกท่ีสดุ เพยี งคําตอบเดยี ว แล้วกาเคร่ืองหมายกากบาท (X) ลงในช่อง ใน
กระดาษคําตอบ
1. มนุษย์นําเทคโนโลยีชีวภาพในขอ้ ใด มาใช้ในชวี ติ ประจําวนั
ก. การหมักเพือ่ ทาํ เคร่อื งดม่ื แอลกอฮอล์ การผสมข้ามสายพนั ธ์ุ
ข. การโคลน
ค. การตัดตอ่ ยีน การดองผัก
ง. ถกู ทุกข้อ
2. DNA technology หมายถึงอะไร
ก. การปรับแตง่ ยนี
ข. การเคลอื่ นย้ายยนี จากส่ิงมีชีวิตชนิดไปยงั ส่ิงมีชีวิตอีกชนดิ หนึง่
ค. การเปล่ยี นแปลงท่ไี มใ่ ช่วธิ ตี ามธรรมชาติ
ง. ถกู ทุกข้อ
3. ความหมายของพนั ธุวศิ วกรรมในขอ้ ใดถูกตอ้ งมากท่ีสดุ
ก. เปน็ กระบวนการดัดแปลงพันธ์ุของส่งิ มชี ีวิต โดยการเข้าไปกระทาํ ต่อยนี โดยตรง
ข. เป็นการตดั ตอ่ ยีนจากหลายทีเ่ ข้าดว้ ยกนั แลว้ นําไปไวใ้ นสิง่ มชี วี ิตอกี ชนิดหนึง่
ค. นาํ ยนี ทีม่ าสรา้ งขึ้นมาไปใส่ไวใ้ นสิง่ มีชวี ติ เพือ่ กาํ หนดลักษณะตามต้องการ
ง. เป็นกระบวนสรา้ งและตรวจสอบ DNA
4. ข้อใดเป็นส่ิงมชี ีวิตทีจ่ ัดเปน็ จเี อม็ โอ (GMO)
ก. แตงโมเม็ดลบี
ข. เซลล์แบคทเี รียที่มยี ีนอนิ ซลู ินของคน
ค. ตน้ เปลา้ นอ้ ยทไี่ ดจ้ ากการเพาะเล้ยี งเนื้อเยื่อ
ง. พทุ ธรักษากลายพนั ธุท์ เี่ กิดจากกการฉายรงั สีแกมมา
5. ขอ้ ใดเป็นการนาํ เทคนคิ ทางพันธุวิศวกรรมมาใช้ประโยชน์
ก. การผสมพนั ธ์ุสัตว์เพื่อไดส้ ายพันธด์ุ ี
ข. การเพาะเลีย้ งเน้ือเย่อื พชื ในหลอดทดลอง
ค. การทาํ ให้พืชเกิดมวิ เทชนั โดยใช้รังสี
ง. การวินจิ ฉยั โรคพนั ธุกรรม
6. ข้อใดเป็นวิธีการนาํ เทคโนโลยีชวี ภาพมาใช้ในการปรับปรงุ พันธพ์ุ ชื ให้มีคณุ ภาพและปริมาณเพ่มิ ข้ึน
ก. การผสมพนั ธ์ุ
ข. การกลายพนั ธุ์
ค. การตดั ตอ่ ยีน
ง. การคัดเลือกพันธุ์
297
7. ข้อใดเปน็ ขั้นตอนการผสมเทยี มที่มีการปฏิสนธิ
ก. การรดี น้ําเชอื้
ข. การฉีดนํา้ เช้อื
ค. การเก็บนํา้ เชอ้ื
ง. การตรวจคณุ ภาพนํา้ เชื้อ
8. ข้อใดเปน็ ลกั ษณะสิ่งมีชวี ิตท่ีได้จากการโคลนนงิ่
ก. เปน็ เพศเมยี เท่าน้นั
ข. เปน็ ไดท้ ั้งเพศผู้และเพศเมยี
ค. เป็นเพศผู้เท่านั้น
ง. ขน้ึ อย่กู บั ขนั้ ตอนการโคลน
9. ขอ้ ใดเปน็ การนําเทคโนโลยสี มยั ใหมม่ าใช้ประโยชน์
ก. ดา้ นการเกษตร
ข. ดา้ นการแพทย์
ค. ด้านการศึกษา
ง. ดา้ นการเมอื ง
10. ขอ้ ใดไม่ถกู ต้องในการนาํ จุลนิ ทรียม์ าใช้ประโยชนใ์ นดา้ นเทคโนโลยีชวี ภาพ
ก. ใช้ผลติ อาหารท่เี กดิ จากการหมัก
ข. ใชบ้ ําบัดนํา้ เสียจากอตุ สาหกรรม
ค. ใชผ้ ลิตยารักษาโรคหลายชนิด
ง. ใชป้ รบั ปรุงพนั ธ์พุ ืชและพนั ธ์สุ ตั ว์
298
เฉลยแบบทดสอบหน่วยที่ 8
1. ง. ถูกทุกข้อ
2. ง. ถกู ทุกข้อ
3. ข. เป็นการตดั ต่อยีนจากหลายท่เี ขา้ ดว้ ยกันแล้วนําไปไวใ้ นส่งิ มชี วี ติ อกี ชนดิ หนึ่ง
4. ข. เซลลแ์ บคทเี รียทีม่ ียีนอนิ ซูลินของคน
5. ง. การวินิจฉัยโรคพันธุกรรม
6. ค. การตดั ตอ่ ยีน
7. ก. การรีดน้าํ เชอ้ื
8. ข. เปน็ ได้ทัง้ เพศผู้และเพศเมยี
9. ข. ดา้ นการแพทย์
10. ง. ใชป้ รบั ปรงุ พนั ธพ์ุ ชื และพันธสุ์ ัตว์
แผนการจัดการเรยี นรู้ 299
รหสั วิชา 20000-1301 วิชา วทิ ยาศาสตร์เพือ่ พัฒนาทักษะชวี ิต พส.8
ชอ่ื หนว่ ย นาโนเทคโนโลยี
เรอ่ื ง นาโนเทคโนโลยี หน่วยท่ี 9
เวลารวม 3 ชม.
สัปดาห์ 16/18
จานวน 3 ชม.
1. สาระสาคัญ
นาโนเทคโนโลยีเปน็ กระบวนการสร้างและสงั เคราะห์วสั ดุอุปกรณ์เครือ่ งใช้ต่าง ๆ ใหม้ ีประสทิ ธภิ าพ
สูงขึน้ โดยการใช้อนุภาคขนาดนาโนผสมเข้าไปในเนอื้ วสั ดุด้วยเทคโนโลยีข้นั สูงใหเ้ ปน็ แบบซูเปอรจ์ ว๋ิ เช่น
พลาสตกิ นาโนจะมีคุณสมบตั ิแขง็ แรง เบา ทนตอ่ ความร้อนกวา่ เดิมหลายเท่าตวั เปน็ ต้น
2. สมรรถนะประจาหนว่ ย
แสดงความรูแ้ ละปฏบิ ัติเกย่ี วกบั นาโนเทคโนโลยี
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. อธิบายความหมายของนาโนเทคโนโลยไี ด้
2. ยกตวั อยา่ งและอธิบายนาโนเทคโนโลยใี นธรรมชาติ
4. สาระการเรียนรู้
1. นาโนเทคโนโลยี หมายถึง เทคโนโลยที ีเ่ กี่ยวขอ้ งกับกระบวนการสรา้ ง การสงั เคราะห์วัสดุอุปกรณ์
เคร่ืองจักรหรือผลิตภัณฑ์ซึ่งมีขนาดเล็กมากในระดับนาโนเมตร เทียบเท่ากับระดับอนุภาคของโมเลกุลหรือ
อะตอม
2. สาขายอ่ ยของนาโนเทคโนโลยี ได้แก่ นาโนอิเล็กทรอนิกส์ นาโนเคมี นาโนเทคโนโลยีชีวภาพ วัสดุ
นาโน นาโนวศิ วกรรม
5. กิจกรรมการเรียนรู้
1. เตรียมความพร้อมในการเรียน โดยการเรียกชื่อ สํารวจการแต่งกาย พร้อมทั้งบันทึกลงในแบบ
สงั เกตความมีวนิ ยั และความรับผิดชอบ
2. ข้นั นําเขา้ สูบ่ ทเรียน
3. ครแู จ้งจดุ ประสงค์การเรยี นรู้ และใหน้ ักเรยี นทําแบบทดสอบกอ่ นเรยี นหนว่ ยท่ี 9
4. ขน้ั สอน ครใู ห้ความรู้ บรรยาย อธิบาย โดยใช้ส่ือ PowerPoint ประกอบ และใหน้ กั เรยี นทาํ ใบ
กิจกรรม 19
5. ขนั้ สรุป ครใู หน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุม่ สรุปบทเรียน
6. ให้นกั เรียนทาํ แบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยท่ี 9
6. สื่อและแหลง่ การเรยี นรู้
300
6.1 สอื่ สิง่ พมิ พ์
1. ใบความรู้ นาโนเทคโนโลยี
2. ใบกจิ กรรมท่ี 21
3. แบบทดสอบกอ่ นเรียน นาโนเทคโนโลยี
4. แบบทดสอบหลงั เรยี น นาโนเทคโนโลยี
6.2 ส่ือโสตทศั น์
PowerPoint สรุปเนอื้ หานาโนเทคโนโลยี
7. หลกั ฐานการเรียนรู้
1. ใบงาน
2. ใบกิจกรรม
3. แบบทดสอบ
8. กิจกรรมเสนอแนะ
-
9. เอกสารอ้างองิ
1. หนังสือเรียนรายวชิ า วทิ ยาศาสตรเ์ พ่ือพัฒนาทักษะชวี ิต
2. Internet
10. การวัดผลและประเมินผล
10.1 กาํ หนดการประเมินพทุ ธพิ สิ ัย
1. อธิบายความหมายของนาโนเทคโนโลยีได้
2. ยกตัวอยา่ งและอธิบายนาโนเทคโนโลยีในธรรมชาติ
10.2 เครือ่ งมอื ท่ใี ชป้ ระเมินทกั ษะพสิ ัย
1. ใบงาน ,ใบกจิ กรรม
2. แบบทดสอบ
10.3 เครอื่ งมอื การประเมินจิตพิสยั
1. แบบประเมนิ จติ พิสยั