วรรณกรรมพระพุทธศาสนา Literary Works on Buddhism พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), ดร. สาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยวิทยาเขตอุบลราชธานี
เอกสารประกอบการสอน วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา Literary Works on Buddhism พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), ดร. สาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี
เอกสารประกอบการสอน งานวิจัยและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา Literary Works on Buddhism พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), ดร. สาขาวิชาพระพุทธศาสนา คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี
ประมวลรายวิชา หลักสูตรพุทธศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา ชื่อรายวิชา 000 134 วรรณกรรมพระพุทธศาสนา (Literary Works on Buddhism) แนวสังเขปรายวิชา ศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่วรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยและล้านช้าง สมัยอยุธยาและธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และ สมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ตลอดถึงให้ศึกษาวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาขอมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เช่น พุทธธรรม วิมุตติมรรค รวมถึงงานทางพระพุทธศาสนาใน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นต้น จุดมุ่งหมายของรายวิชา 1. เพื่อให้นิสิตมีความรู้ อธิบายพื้นฐานทางวรรณกรรมในพระพุทธศาสนาได้ 2. เพื่อให้นิสิตบอกความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาได้ 3. เพื่อให้นิสิตวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาได้ 4. เพื่อให้นิสิตบอกอธิบายวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจได้ กิจกรรมการเรียนการสอน ฟังบรรยายและร่วมสัมมนาในชั้นเรียน สัปดาห์ละ 3 คาบ (180 นาที) มอบหมายให้นิสิตศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำรา หนังสือที่เกี่ยวข้องหรือจาก แหล่งข้อมูลอื่นๆ สัปดาห์ละไม่น้อยกว่า 6 ชั่วโมง แล้วสรุปเสนอในชั้นเรียนหรือรายงานเป็น เอกสารเพิ่มเติม การประเมินผล การฟังบรรยายและร่วมกิจกรรม 10 คะแนน งานมอบหมายและรายงาน 10 คะแนน การทดสอบระหว่างภาคเรียน 20 คะแนน
สอบปลายภาค 60 คะแนน รวมทั้งหมด 100 คะแนน สื่อการศึกษา เอกสารประกอบคำบรรยาย หนังสืออ่านประกอบ บรรยายประกอบ Power point presentation เกณฑ์การประเมินผล และระดับคะแนน เกณฑ์คะแนน ความหมาย ระดับ ค่าระดับ 90 ขึ้นไป ดีเยี่ยม A 4.0 85 - 89 ดีมาก B+ 3.5 80 - 84 ดี B 3.0 75 - 79 พอใช้ C+ 2.5 70 - 74 ค่อนข้างพอใช้ C 2.0 65 - 69 ค่อนข้างอ่อน D+ 1.5 60 - 64 อ่อน D 1.0 ต่ำกว่า 60 ไม่ผ่าน F 0 ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน 1. เอกสารและตำราหลัก 1.1 เอกสารประกอบการสอน รายวิชา 000 134 วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา (Literary Works on Buddhism) 1.2 หนังสือ วารสาร รายงาน เกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา 1.3 หนังสือ ตำรา เกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา
2.เอกสารและข้อมูลสำคัญ ม ห า วิ ท ย า ลั ย ม ห า จุ ฬ า ล ง ก ร ณ ร า ช วิ ท ย า ลั ย วิ ท ย า เข ต อุ บ ล ร า ช ธ า นี https://elearning.mcu.ac.th/course/index.php?categoryid=205 ร า ย วิ ช า 000 134 วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา (Literary Works on Buddhism) 3. เอกสารและข้อมูลแนะนำ สมเด็จพระพนรัตน. สังคีติยวงศ์(พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร, 2521. อุดม รุ่งเรืองศรี. วรรณกรรมล้านช้าง.หน่วยส่งเสริมศิลปศึกษาและวัฒนธรรม ล้านนา คณะมนุษย์ศาสตร์ มหาลัยเชียงใหม่, 2540.
คำนำ หนังสือเล่มนี้ ได้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน ในรายวิชา 000 134 วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา (Literary Works on Buddhism) ในหลักสูตรพุทธศาสตร์ บัณฑิต คณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด ๙ บท มีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เริ่ม ตั้งแต่วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยและล้านช้าง สมัยอยุธยาและธนบุรี สมัย รัตนโกสินทร์ตอนต้น และสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ตลอดถึงให้ศึกษาวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาขอมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เช่น พุทธธรรม วิมุตติมรรค รวมถึงงานทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นต้น ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิเจ้าของเอกสารตำราทางวิชาการ ดังที่ปรากฏใน บรรณานุกรมของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งผู้เรียบเรียงได้ใช้เป็นแนวทางในการรวบรวมข้อมูลในการ จัดทำหนังสือเล่มนี้จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ให้แก่นิสิตนักศึกษาและผู้สนใจ ด้านวรรณกรรมทางพรพุทธศาสนา อนึ่งการเรียบเรียงอาจจะไม่ครบถ้วนทั้งหมด หากแต่มี ข้อบกพร่องผิดพลาดประการใด ผู้เรียบเรียงก็พร้อมน้อมรับคำแนะนำต่างๆ เพื่อจะได้นำไป ปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ในโอกาสต่อไป พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), ดร. ผู้เรียบเรียง
สารบัญ บทที่ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข บทที่ ๑ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๑ ๑.๑ ความนำ ๒ ๑.๒ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรม ๓ ๑.๓ ลักษณะของวรรณกรรม ๗ ๑.๔ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๙ ๑.๕ ความสัมพันธ์ของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๑๑ ๑.๖ การจัดประเภทของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๑๒ ๑.๗ สรุป ๑๗ คำถามท้ายบท ๑๘ บทที่ ๒ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ๒๐ ๒.๑ ความนำ ๒๑ ๒.๒ สถานภาพทางสังคมสมัยสุโขทัย ๒๓ ๒.๓ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ๓๒ ๒.๔ สรุป ๕๗ คำถามท้ายบท ๕๘ บทที่ ๓ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา ๖๑
๓.๑ บทนำ ๖๑ ๓.๒ สถานภาพทางสังคมของล้านนา ๖๒ ๓.๓ สถานภาพทางพระพุทธศาสนาในล้านนา ๗๐ ๓.๔ บริบททางพระพุทธสาสนาที่มีอิทธิพลต่อการแต่งวรรณกรรม พระพุทธศาสนาในล้านนา ๗๓ ๓.๕ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาที่สำคัญ ๗๘ ๓.๖ สรุป ๙๔ คำถามท้ายบท ๙๖ บทที่ ๔ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ๑๐๐ ๔.๑ ความนำ ๑๐๐ ๔.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนต้น ๑๐๒ ๔.๓ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนกลาง ๑๑๔ ๔.๔ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนปลาย ๑๑๙ ๔.๕ สรุปท้ายบท ๑๓๖ คำถามท้ายบท ๑๓๘ บทที่ ๕ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญในสมัยธนบุรี ๑๔๐ ๕.๑ ความนำ ๑๔๑ ๕.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญในสมัยธนบุรี ๑๔๑ ๕.๓ สรุปท้ายบท ๑๔๗ คำถามท้ายบท ๑๔๗ บทที่ ๖ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๑๔๙
๖.๑ ความนำ ๑๔๙ ๖.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๑๕๑ ๖.๓ สรุปท้ายบท ๑๖๐ คำถามท้ายบท ๑๖๒ บทที่ ๗ งานวรรณกรรมพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ๑๔๘ ๗.๑ ตวามนำ ๑๖๕ ๗.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ๑๖๖ ๗.๓ สรุปท้ายบท ๒๐๑ คำถามท้ายบท ๒๐๔ บทที่ ๘ งานวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๐๗ ๘.๑ ความนำ ๒๐๘ ๘.๒ งานวรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญใน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๐๘ ๘.๓ สรุปท้ายบท ๒๓๙ คำถามท้ายบท ๒๔๒ บทที่ ๙ งานวิจัยทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๔๕ ๙.๑ ความนำ ๒๔๕ ๙.๒ งานวิจัยทางพระพุทธสาสนาที่เป็นผลงานของบุคลากรในมหาวิทยาลัย
มหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย ๒๔๗ ๙.๓ งานวิจัยทางพระพุทธศาสนาของนิสิตในระดับบัณฑิตศึกษาของ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๗๑ ๙.๔ สรุปท้ายบท ๓๑๖ คำถามท้ายบท ๓๑๗ บรรณานุกรม ๓๒๐ ประวัติผู้แต่ง ๓๓๑
๑ บทที่ ๑ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานทางวรรณกรรมในพระพุทธศาสนาได้ ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจบอกความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาได้ ๓. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาได้ ๔. อธิบายถึงวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๒. งานวรรณกรรมทางพระพุทธสาสนาที่สำคัญ ๓. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๔. การวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา
๒ ๑.๑ ความนำ วรรณคดีและโบราณคดี เป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า อันเป็น องค์ประกอบของระบบวัฒนธรรมในสังคมมนุษย์ที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวัตถุและ นามธรรมที่บรรพบุรุษของเราได้คิดค้นและสร้างสรรค์ขึ้นมา จึงเป็นหลักฐานทาง ประวัติศาสตร์ ที่แสดงถึงอัตลักษณ์และประวัติศาสตร์ของชุมชน เป็นสิ่งที่สามารถจัดการ ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตและกระบวนการพัฒนาในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างองค์ ความรู้ คุณค่า การฟื้นฟู และการสร้างองค์ความรู้ใหม่เป็นทุนทางสังคม ที่มีส่วนทำให้เกิด วัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของชุมชน ในบรรดาวรรณกรรมและโบราณคดีประเภทต่างๆที่มีอยู่ในสังคมไทย วรรณกรรม และโบราณคดีทางพุทธศาสนา ถือเป็นทรัพยากรทางวัฒนธรรมอีกประเภท หนึ่งที่มีคุณค่าและมีความสำคัญในการสร้างระบบการคิด ภูมิปัญญา และรากฐานทาง วัฒนธรรมของประเทศไทย เพราะเกี่ยวข้องกับทรัพยากรวัตถุ เช่น โบสถ์ เจดีย์ วัด คัมภีร์ ใบตาล สมุดข่อย ธรรมาสน์ ฯลฯ ที่สร้างขึ้นด้วยความงดงามและภูมิปัญญาอันล้ำเลิศของ ผู้ใหญ่ และทรัพยากรเชิงนามธรรม ได้แก่ ความรู้ ภูมิปัญญา คุณธรรม ความเชื่อ ฯลฯ ซึ่ง ล้วนมีความหมายและมีความสำคัญต่อการเรียนรู้และรักษาวิถีชีวิตในสังคมปัจจุบัน มี วรรณกรรมทางพุทธศาสนาและโบราณคดีอยู่ค่อนข้างน้อย ได้ถูกทำลายลงจนไม่สามารถ ฟื้นฟูหรือนำกลับมาใช้งานได้อีก แม้จะยังเหลืออีกมากก็ตาม แต่อยู่ในสภาพทรุดโทรม ขาด การบำรุงรักษา มีการจัดการที่ไม่เหมาะสมและไม่เหมาะสมทำให้เกิดความเสื่อมเสียและ เสียหายต่อกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชน ที่สำคัญที่สุดคือยังขาดการ ประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบททางสังคม ส่งผลให้สังคมไทยขาดภูมิหลังทางวัฒนธรรม และสร้างองค์ความรู้ใหม่จากองค์ความรู้ที่มีอยู่ ศึกษาพระพุทธศาสนาเพื่อทำความเข้าใจสังคมไทยและประโยชน์ของสังคมไทย ในด้านนี้ พระพุทธศาสนา ที่เป็นรากฐานและองค์ประกอบของสังคมที่เป็นส่วนสำคัญของ วัฒนธรรมไทยและเป็นจุดสนใจของนักวิชาการทางโลกหรือปัญญาชนในยุคปัจจุบัน เพื่อ สร้างอารยธรรมโลกเป็นการศึกษา ของพระพุทธศาสนาทั้งในด้านหลักธรรมและปรัชญา
๓ หรือธรรมชาติที่แท้จริงของพระพุทธศาสนาจากบริบทของสังคมและประวัติศาสตร์ให้มาก ที่สุด ซึ่งเป็นแนวทางสู่คำสอนดั้งเดิม สู่เนื้อหา แนวคิด และหลักการประยุกต์กับเทคโนโลยี สมัยใหม่ เพื่อนำมาซึ่งการวิจัยทางพุทธศาสนาก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการแสวงหาความรู้และ ความจริงอย่างเป็นระเบียบ ดังนั้นในการประยุกต์วิธีการใด ๆ ในพระพุทธศาสนาจึงต้องถือ เป็นศาสตร์เฉพาะทางอย่างสูงและสม่ำเสมอ ๑.๒ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับวรรณกรรม คนทั่วไปมักมีความเข้าใจว่าวรรณกรรมใช้ในความหมาย เป็นงานแต่งจากอดีต และ วรรณกรรมก็ใช้ในความหมาย เป็นงานวรรณกรรมแห่งยุคปัจจุบัน ดังนั้นวรรณกรรมไทยจึงเป็น งานประเภทใดที่เรียกว่า “วรรณกรรม” และงานประเภทใดเรียกว่า “วรรณกรรม” ในภาษาของ อุตสาหกรรมหนังสือไทยมีคำอธิบายดังนี้ ๑.๒.๑ ความหมายของวรรณกรรม ความหมายของวรรณคดีไทย มีผู้นิยามไว้หลายท่าน ดังนี้ วิทย์ศิวะศริยานนท์นิยามว่า บทประพันธ์ที่เป็นวรรณคดีคือ บทประพันธ์ที่มุ่งให้ ความเพลิดเพลิน ให้เกิดความนึกคิดและอารมณ์ต่าง ๆ ตามผู้เขียน นอกจากนั้น บทประพันธ์ที่ เป็นวรรณคดีจะต้องมีรูปศิลปะ รูปศิลปะนี้เองทำให้เกิดความงาม๑ สมพร มันตะสูตร นิยามว่า วรรณคดีหมายถึง งานเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดี ทั้งรูปแบบและเนื้อหา วรรณศิลป์และกลวิธี๒ เบญจมาศ พลอินทร์นิยามว่า คำว่าวรรณคดีกำหนดใช้เป็นทางการเมื่อมีการตรา พระราชบัญญัติวรรณคดีสโมสรเพื่อพิจารณายกย่องหนังสือที่แต่งดีวรรณคดีสโมสรตั้งขึ้นเมื่อปี ขาล วันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๕๗ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑ วิทย์ศิวะศริยานนท์, วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แพร่พิทยา, ๒๕๑๘), หน้า ๔. ๒ สมพร มันตะสูตร, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอ เดียนสโตร์, ๒๕๒๕), หน้า ๑๐.
๔ รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติวรรณคดีสโมสรขึ้น มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการแต่งหนังสือวรรณคดีมีความหมายตามรูปศัพท์คือ คำว่า “วรรณ” แปลว่า สี, ผิว , ชนิด, ตัวอักษรฯ คำว่า “คดี” แปลว่า เรื่องราว, ความ, ทาง, การดำเนินเรื่องฯ เมื่อรวมเป็น “วรรณคดี” แปลความหมายว่า ทางหนังสือ ในที่นี้กำหนดความหมายว่าเป็นหนังสือที่แต่งดี๓ กุหลาบ มัลลิกะมาส นิยามว่า วรรณคดีคือ หนังสือที่ก่อให้เกิดความรู้สึกนึกคิดแก่ มนุษย์ทั่วไปในด้านอารมณ์มากกว่าด้านการให้ข้อเท็จจริง๔ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่าวรรณคดีคือ น. วรรณกรรม ที่ได้รับยกย่องว่าแต่งดีมีคุณค่าเชิงวรรณศิลป์ถึงขนาด เช่น พระราชพิธีสิบสองเดือน มัทนะพาธา สามก๊ก เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน๕ ๑.๒.๒ เป้าหมายของวรรณกรรม ความหมายของวรรณกรรมไทย มีผู้นิยามไว้หลายท่านดังนี้ สมพร มันตสูตร นิยามว่า วรรณกรรม หมายถึง งานเขียนโดยทั่วไป เพราะคำว่า “วรรณ” แปลว่า หนังสือ ส่วน “กรรม” แปลว่า กระทำ ดังนั้น การกระทำ ใด ๆ เกี่ยวกับ หนังสือหรือเพื่อให้เกิดมีหนังสือขึ้นมาเป็นงานเขียน งานเขียนนั้นจัดว่าเป็นวรรณกรรม๖ เบญจมาศ พลอินทร์นิยามว่า คำว่าวรรณกรรม มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกใน พระราชบัญญัติคุ้มครองศิลปะและวรรณกรรม พุทธศักราช ๒๔๗๕ สำนักวัฒนธรรมทาง วรรณกรรมตั้งขึ้นเป็นสำนักหนึ่งในสภาวัฒนธรรมแห่งชาติเมื่อพุทธศักราช ๒๔๘๕ เพื่อเผยแพร่ วรรณกรรมและส่งเสริมศิลปะการแต่งหนังสือ เพื่อรักษาวัฒนธรรมไทยอย่างเป็นทางการ สืบต่อ ๓ เบญจมาศ พลอินทร์, วรรณคดีและวรรณกรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๖), หน้า ๖. ๔ กุหลาบ มัลลิกะมาส, วรรณกรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัย รามคำแหง, ๒๕๑๙), หน้า ๒. ๕ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, (กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คพับลิเคชั่นส์ จำกัด, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐๕๕. ๖ สมพร มันตสูตร, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, หน้า ๑๐.
๕ จากวรรณคดีสโมสรในรัชกาลที่ ๖ และวรรณกรรมที่แต่งดีได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปจึงจะ เรียกว่าวรรณคดี๗ กระแสร์มาลยาภรณ์กล่าวว่า นิยามของคำว่า “วรรณกรรม” ตามพระราชบัญญัติ คุ้มครองวรรณกรรมและศิลปกรรมคือ วรรณกรรมและศิลปกรรม หมายความรวมการทำขึ้นทุก ชนิดในแผนกวรรณคดีแผนกวิทยาศาสตร์และแผนกศิลปะ จะแสดงออกมาโดยวิธีหรือรูปร่าง อย่างไรก็ตาม๘ สมชัย ศรีนอก นิยามว่า วรรณกรรมหมายถึง งานเขียนในรูปบทกวีนิพนธ์ร้อยกรอง และข้อเขียนทั้งหมดที่ใช้ภาษาร้อยแก้ว ได้แก่บทความ สารคดีนวนิยาย เรื่องสั้น เรียงความ บท ละคร บทภาพยนตร์บทโทรทัศน์ตลอดจนคอลัมน์ต่าง ๆ ในหนังสือพิมพ์๙ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายคำว่าวรรณกรรมคือ งานหนังสือ, งานประพันธ์, บทประพันธ์ทุกชนิดทั้งที่เป็นร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น วรรณกรรมสมัย รัตนโกสินทร์วรรณกรรมของเสฐียรโกเศศ วรรณกรรมฝรั่งเศส วรรณกรรมประเภท สื่อสารมวลชน; (กฎ) งานนิพนธ์ที่ทำขึ้นทุกชนิด เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ปาฐกถา เทศนา คำปราศรัย สุนทรพจน์และหมายความรวมถึงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วย๑๐ คำว่า วรรณกรรม มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลป์ พ.ศ.๒๔๗๕ คำนี้ใกล้เคียงกับวรรณคดีเพราะแปลมาจากคำ Literature เช่นเดียวกัน แต่คำว่า วรรณกรรมนั้นหมายถึง สิ่งเขียนขึ้นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด หรือเพื่อความมุ่งหมายใดเช่น ๗ เบญมาศ พลอินทร์, วรรณคดีและวรรณกรรมไทย, หน้า ๗. ๘ กระแสร์ มาลยาภรณ์, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๐), หน้า ๓. ๙ สมชัย ศรีนอก, สารนิพนธ์พุทธศาสตร์บัณฑิต รุ่นที่ ๔๗, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๔๓), หน้า ๔๕๒. ๑๐ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, หน้า ๑๐๕๔-๑๐๕๕.
๖ คำอธิบายวิธีใช้กล้องถ่ายรูป การใช้เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เสื้อเชิ้ต รวมทั้งใบปลิว หนังสือพิมพ์นวนิยาย ก็ล้วนแต่เรียกว่า Literature ทั้งสิ้น๑๑ วรรณกรรมที่แต่งดีได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปจึงเรียกว่าวรรณคดีคุณสมบัติที่ทำ ให้วรรณกรรม และวรรณคดีต่างกันคือ วรรณศิลป์หรือศิลปะแห่งการเรียบเรียง อนึ่ง ยังมี ปัญหาที่น่าฉงนของคนรุ่นใหม่อยู่เสมอว่า เหตุใดหนังสือที่แต่งในอดีตเท่านั้นถือว่าเป็นวรรณคดี ส่วนหนังสือที่แต่งในปัจจุบันเป็นได้แต่เพียงวรรณกรรม อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นวรรณคดีหรือ วรรณกรรมก็ตามเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาทั้งนั้น เครื่องชี้ความแตกต่างระหว่างวรรณคดีกับ วรรณกรรมมีอยู่ประการคือ คุณภาพของหนังสือกับกาลเวลา๑๒ นิยายหมายถึง เรื่องเล่า, เรื่องอ่านเล่นหรือเรื่องประโลมโลก แต่เดิมนั้นเป็นนิยาย สมมติและมักเป็นเรื่องของบุคคลชั้นสูงหรือท้าวพระยากษัตริย์เรียกกันว่า เรื่องจักรๆ วงศ์ๆ เมื่อ มีการแต่งนิยายในแนวใหม่ตามแบบตะวันตกจึงใช้ว่า นวนิยาย มีความหมายว่าเรื่องอ่านเล่นที่มี รูปแบบใหม่ เป็นเรื่องซึ่งสมมุติขึ้นหรือใช้จินตนาการโดยยึดหลักความสมจริงมากที่สุดGilbert Highet ให้คำจำกัดความคำว่า นวนิยายว่าหมายถึง เรื่องที่เขียนเป็นร้อยแก้วชนิดพรรณนา โวหาร อาจจะเป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด หรือสมมุติบ้าง จริงบ้าง๑๓ สายทิพย์ นุกูลกิจ อ ธิบ า ย ว่า น ว นิย า ย เชิง ชีว ป ร ะ วัติ(Biographical Novel) ได้แก่นวนิยายที่กล่าวถึงเรื่องราวของตัวละครเอกซึ่งมักได้เค้าโครงเรื่องมาจาก เรื่องราวในชีวิตจริงของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง๑๔ ๑๑ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเบื้องต้น, (กรุงเทพมหานคร:โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘), หน้า ๓ – ๔. ๑๒ กุหลาบ มัลลิกะมาศ, วรรณกรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๑๙), หน้า ๕. ๑๓ Gilbert Highet, People Place and Books, (New York: Oxford University Press, ๑๙๕๓), p. ๒๐๓. ๑๔ สายทิพย์นุกูลกิจ, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมนโปรดักส์จำกัด, ๒๕๔๓), หน้า ๑๙๐.
๗ ความหมายแห่งนวนิยายอิงชีวประวัติหมายถึง นวนิยายที่กล่าวถึงเรื่องราวของตัว ละครเอก ซึ่งมักได้เค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องราวในชีวิตจริงของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งมีความแตกต่างจากนวนิยายอิงศาสนา ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า คุณสมบัติที่ทำให้วรรณกรรมต่างกับวรรณคดีก็คือ วรรณศิลป์หรือศิลปะแห่งการเรียบเรียง ๑.๓ ลักษณะของวรรณกรรม ลักษณะของวรรณกรรมไทยตั้งแต่ต้นมาจนถึงปัจจุบัน พิจารณาจากการแบ่ง วรรณกรรมไทยออกเป็น ๒ ระยะ กุหลาบ มัลลิกะมาส อธิบายไว้โดยสรุปได้ดังนี้ ๑.๓.๑ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาก่อนรับอิทธิพลวรรณกรรมตะวันตก ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ ๓ วรรณกรรมไทยมีลักษณะ สำคัญคือ ๑. นิยมการเขียนร้อยกรอง ร้อยกรองใช้เขียนทั้งสารคดีและบันเทิงคดีส่วนร้อยแก้ว มีไม่มากนัก มักใช้แต่งสารคดีมุ่งหมายให้เป็นหลักฐานไว้ ๒. เนื้อเรื่อง ผู้แต่งไม่เน้นความมุ่งหมายที่จะทิ้งข้อคิดใด ๆ ไว้ในเรื่องที่แต่ง ถ้ามี แนวความคิดหรือปรัชญาใด ๆ ก็เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติของเนื้อเรื่องนั้น ๆ แต่ไม่ใช่ความ จงใจของผู้แต่ง ผู้แต่งจะเน้นหนักด้านศิลปะของการแต่งเรียบเรียง คุณค่าของวรรณคดีจึงอยู่ที่ ศิลปะการแต่งมากกว่าเนื้อเรื่อง เนื้อเรื่องจึงจำกัดอยู่ในวงแคบ ๓. ธรรมเนียมนิยมในการแต่ง ร้อยกรองมีธรรมเนียมนิยมในการแต่ง (Conventions) คือ ๓.๑ มีโครงสร้างที่มีแบบแผน ดังนี้ ๓.๑.๑ ขึ้นต้นด้วยบทไหว้หรือประณามบท อาจเป็นการชมบ้านชมเมืองความเกษม สุขของราษฎร ความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ไหว้พระรัตนตรัย บิดามารดา ครูบาอาจารย์ หรือสรรเสริญเทพเจ้า บทไหว้นี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ ๓.๑.๒ ด้านฉันทลักษณ์หรือลักษณะการแต่ง ถ้าเป็นกลอนบางประเภทขึ้นต้นด้วย วรรครับ ถ้าเป็นกาพย์ห่อโคลงขึ้นต้นด้วยกาพย์ยานี๑๑ สลับกับโคลง ๔ สุภาพ ความเหมือนกัน
๘ บทต่อบท ถ้าเป็นกาพย์เห่เรือก็จะขึ้นต้นด้วยโคลง ๔ สุภาพนำ ๑ บท แล้วต่อด้วยกาพย์ยานี อย่างไม่จำกัดคือกี่บทก็ได้ ๓.๑.๓ ตอนจบเรื่อง โดยทั่วไปก็มักบอกชื่อผู้แต่งและเหตุที่แต่งขึ้น ๓.๒ มีธรรมเนียมนิยมในการบรรยายและพรรณนาอย่างเข้าแบบ ๓.๒.๑ การชมนก ชมไม้ชมโฉม แต่งตัว ชมรถ คร่ำครวญเมื่อคู่ตายจากไปหรือบท อัศจรรย์จะพรรณนาความรู้สึก หรือบรรยายภาพ บรรยายเรื่องคล้ายคลึงกันจนเรียกได้ว่า “เข้า แบบ” ๓.๒.๒ การรจนาตกแต่งถ้อยคำให้เกิดอรรถรส มีลักษณะเป็นมัณฑนศิลป์คอ ศิลปะ ในเชิงตกแต่งประดับประดา เน้นแง่งามในการตกแต่งถ้อยคำให้ไพเราะด้วยเสียงและให้ซาบซึ้งใจ ด้วยความหมาย ส่วนเนื้อเรื่องและแนวความคิดอื่น ๆ มีความสำคัญเป็นอันดับรองลงไป ๓.๓ เป็นร้อยกรองขนาดยาว เรื่องเล่า (Narration) และบทพรรณนา (Description) บทใช้ขับร้องได้โดยรำพันความในใจของผู้แต่งหรือของตัวละคร (Lyric) มักแทรกอยู่ในบทขนาด ยาว๑๑ ๓.๔ ความอ่อนน้อมถ่อมตนของกวีเป็นความประพฤติที่กวีถือเป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติ ๑.๓.๒ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาหลังรับอิทธิพลวรรณกรรมตะวันตก นับแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา วรรณกรรมไทยได้รับอิทธิพลวรรณกรรมตะวันตก อันเป็นผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรมที่สำคัญคือ ๑. ความนิยมในวรรณกรรมสันสกฤต โดยการแปลจากภาษาอังกฤษ ๒. มีการแปล แปลง วรรณกรรมประเภทต่าง ๆ จากวรรณกรรมตะวันตก โดยเฉพาะจากฉบับภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ความเจริญด้านสื่อมวลชน ได้ทวีขึ้นตามลำดับ ความนิยมในการเขียนร้อยกรองค่อย ๆ ลดลงและเริ่มเปลี่ยนแปลงการเขียนมาเป็นแบบปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างจากแบบเก่า ส่วนการเขียนร้อยแก้วมีความเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว๑๕ ๑๕ กุหลาบ มัลลิกะมาส, วรรณกรรมไทย, หน้า ๑๙๔-๒๐๒.
๙ ๑.๔ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา วรรณกรรมที่เขียนโดยเน้นเนื้อหา เนื้อหา หรือหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ตลอดจนแนะนำบุคคลสำคัญทางศาสนา รวมถึงศาสดาพยากรณ์และสาวกและผู้ที่เกี่ยวข้อง กลายเป็นแก่นของเรื่อง หรืออาจรวมถึงเรื่องราวที่สร้างขึ้นใหม่เป็นเรื่องราวทางศาสนา วัตถุประสงค์คือเพื่อสงบจิตใจของบุคคลให้ดีขึ้น มนุษย์ หมายถึง บุคคลผู้มีจิตใจสูง มีคุณธรรม รู้จักบาป บุญ โทษ ความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่ว สาเหตุและผล: อะไรควรทำ อะไรไม่ ควรทำ? รู้จักการใช้ชีวิตในสังคมอย่างสงบสุขโดยไม่ทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น การพัฒนาความเป็น มนุษย์ หมายถึง การพัฒนาบุคคลให้มีคุณธรรม ความดี ความสมบูรณ์ทั้งกาย วาจา ใจ ให้ ถูกต้องตามหลักศีลธรรมของพุทธศาสนาเถรวาท หมายถึง นิกายหนึ่งของพระภิกษุในนิกาย ภาคใต้ ซึ่งยึดหลักคำสอนของพระอรหันต์ซึ่งพระสาวกได้วางหลักธรรมและพระวินัยไว้เป็น ต้นแบบของสังฆยาน รวมทั้งพุทธศาสนาที่นับถือกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทยและพม่า สังคมไทย ศรีลังกา ลาว และกัมพูชา หมายถึง กลุ่มคนที่อยู่ร่วมกันในประเทศไทย มีประเพณี และขนบธรรมเนียมไทย มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากสังคมอื่นๆ ทั้งภาษาพูด ภาษา เขียน การแต่งกาย ความเชื่อ กิริยามารยาท อาหาร และพฤติกรรม ดำเนินชีวิตโดยมี พระพุทธศาสนาเป็นพื้นฐาน เป็นต้น ลักษณะของวรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนา แยกออกได้เป็น ๒ ระยะ คือ ๑. วรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนาระยะก่อนรับอิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตก ๒. วรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนาระยะหลังรับอิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตก ๑.๔.๑ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาระยะก่อนรับอิทธิพลวรรณกรรมตะวันตก วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในยุคนี้ ได้แก่ วรรณกรรมไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัย จนถึงปลายรัชกาลที่ 3 หรือต้นรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้: ๑. เรื่องราวส่วนใหญ่ได้มาจากคัมภีร์พระพุทธศาสนาและชาดกต่างๆ ๒. จุดมุ่งหมาย : เพื่อใช้สอนให้คนมีศรัทธาในศาสนาและมุ่งมั่นในความดี ๓. แนวคิดวรรณกรรมทางศาสนาในยุคนี้ ที่มักเน้นย้ำในปรัชญาพุทธศาสนาคือความ ไม่เที่ยงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักการของ "ไตรลักษณ์" คือ ความไม่เที่ยง ทุกข์ อนัตตา หรือเน้น การทำบุญและการทำบุญ การได้ไปเกิดในโลกที่ดีกว่า มีความเชื่อว่าความสุขที่แท้จริงคือ ความสุขทางศาสนา
๑๐ ๔. รูปแบบและการนำเสนอเรื่อง ลีลาการเขียนส่วนใหญ่เป็นบทกวี และภาษาบาลี- สันสกฤตก็สลับกันไป ส่วนการดำเนินการของเรื่องนั้น มักนิยมบรรยายในลักษณะที่กระตุ้น จินตนาการของผู้อ่านและสร้างความรู้สึกทางอารมณ์ โดยใช้บทบาทของตัวละครเป็นตัวอย่าง ๑.๔.๒ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาระยะหลังรับอิทธิพลวรรณกรรมตะวันตก วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในยุคนี้ ได้แก่ วรรณกรรมไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลาย รัชกาลที่ ๔ หรือต้นรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ซึ่งมีลักษณะดังนี้: ๑. เรื่องราวมักเน้นเรื่องธรรมะในชีวิตประจำวัน อาจเป็นเรื่องราวสมมุติเพื่อสร้างสถานการณ์ที่ ควรประพฤติตน การนำเอากิจกรรมทางสังคมมาประกอบเป็นเรื่องราวเพื่อนำไปสู่ธรรมะ เรื่องราวได้แพร่ขยายไปสู่ผู้คนในหลากหลายอาชีพมากขึ้น เช่น ธรรมะของการเป็นครู ธรรมะใน การเป็นผู้ปกครอง ปรัชญาคนยาก เป็นต้น ๒. จุดมุ่งหมาย : เพื่อใช้เป็นเครื่องมือปลอบใจสำหรับคนที่อยู่ในภาวะสับสนวุ่นวายในสังคมเช่น ทุกวันนี้ ใช้เป็นคำสอนและเสียดสีเยาะเย้ยผู้กระทำผิดศีลธรรมหรือผิดศีลธรรม และสร้างความ ทุกข์ให้กับสังคม ใช้เพื่อยกระดับ จิตวิญญาณของบุคคลให้สูงขึ้น และใช้เป็นเครื่องเตือนใจในการ ดำเนินธุรกิจโดยทั่วไป ๓. แนวคิด: มักนำเสนอแนวคิดที่ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับค่านิยมของสังคม โชคชะตาทางศาสนา จริงหรือไม่? สาระสำคัญของศาสนาคืออะไร? และแสดงความคิดและความเชื่ออย่างมีเหตุผล มากขึ้น ๔. รูปแบบและการนำเสนอเรื่อง รูปแบบการเขียนมีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ในส่วนของร้อย แก้วมีทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี และนวนิยายที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะและปรัชญาใน พระพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังมีงานเขียนสั้น ๆ เพื่อแสดงความคิดทางปัญญา เรื่องราวเน้นที่ หัวใจมากกว่าศิลปะการใช้คำพูด ส่วนที่แต่งเป็นกวีนิพนธ์ เป็นบทกวีสั้น ๆ ส่วนใหญ่เป็นบทกวี และโคลงสั้น ๆ แต่กลับไม่นิยมรวมมนต์บาลีไว้ในเรื่องเหมือนเมื่อก่อน12 เนื่องจากความก้าวหน้าทางการศึกษาและความก้าวหน้าของสื่อมวลชน วรรณกรรมที่มีพื้นฐาน มาจากพระพุทธศาสนาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จึงมักปรากฏในรูปแบบของการเทศน์ตาม สถานที่ต่างๆ และทางสื่อมวลชน แล้วจึงรวบรวมและพิมพ์เป็นหนังสือในเวลาต่อมา นอกจาก
๑๑ วรรณกรรมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ได้รวบรวมและประดิษฐ์ขึ้นเพื่อตีพิมพ์ในรูปแบบหนังสือ แล้ว ๑.๕ ความสัมพันธ์ของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ศาสนาเป็นอีกหนึ่งแหล่งวัตถุดิบสำหรับนักเขียน จากแหล่งนี้ผู้เขียนได้วัตถุดิบ ๓ ประการ คือ หลักธรรม นิทาน และชีวประวัติของพระศาสดา ลูกศิษย์ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง บางส่วน พระไตรปิฎกและพระคัมภีร์เป็นตัวอย่างวรรณกรรมที่ได้รับวัตถุดิบ ๓ ประการจาก ศาสนา คือ จากธรรม จากเรื่องเล่าจากพุทธประวัติและประวัติของพระเยซูคริสต์ในยุคหลังการ เขียนพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ทั้ง งานเขียนก็กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับนักเขียนรุ่นหลัง ๆ เช่นกัน เช่น ประวัติพุทธประวัติ ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติของพระพุทธเจ้าที่พุทธทาสภิกขุได้ รวบรวมไว้ วัตถุดิบที่ได้มาจากพระไตรปิฎก หรืองานของจอห์น มิลตันเรื่อง "Paradise Lost" ก็ อิงจากพระคัมภีร์เป็นต้น หนึ่งในนวนิยายที่มีชื่อเสียงที่สุดของนักเขียนชาวเยอรมัน Hermann Hesse ชื่อ สิทธัตถะ ได้วัตถุดิบมาจากพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับเรื่องราวของกามนิตของนักเขียนชาว เดนมาร์ก คาร์ล อดอล์ฟ เจลเลอรุป นวนิยายไทยหลายเรื่องโดยเฉพาะนวนิยายกวีนิพนธ์ก็เขียน ตามประเพณีดั้งเดิม มักจะได้วัตถุดิบจากเรื่องชาดกต่างๆ ทั้งในภูมิปัญญานิบาตชาดกและชาดก เช่น เรื่องราวของมหาชาติคำหลวงซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชาติที่แล้วของพระพุทธเจ้าในชาติที่ แล้วก่อนตรัสรู้ส่วนประกอบบางส่วนได้มาจากนิบาตชาดกนิยายที่ว่า มีวัตถุดิบจากปัญญาสา ชาดก คือ เสือ โคคำจันทร์ เมริพระสุธน-มโนราห์ราชรถ สมุทรโกศาจารย์ และแสงทอง ฯลฯ จากตัวอย่างข้างต้นพบว่า นอกจากวรรณกรรมพุทธศาสนาที่ดึงเนื้อหามาจาก พระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีวรรณกรรมประเภทอื่นๆ อีก ที่ได้รับวัตถุดิบจาก พระพุทธศาสนาด้วย เช่น นวนิยาย ทั้งร้อยแก้ว และกวีนิพนธ์ เมื่อปรากฏเป็นนวนิยาย หลักการ มักมีลักษณะคล้ายสมาธิ และมักจะสอดแทรกเข้าไปในองค์ประกอบต่าง ๆ ของงานเขียนนั้น ๆ จนบางครั้งถ้าคุณไม่ใส่ใจ ผู้อ่านอาจมองข้ามหรือไม่เห็นหลักการเลย สิ่งที่เห็นได้ง่ายคือ พฤติกรรมของตัวละคร เช่น การผจญภัยของพวกเขา และเรื่องราวความรักความแค้น ความหึง หวง พระองค์ทรงเขียนบทละครแสงทอง เป็นตัวอย่างหนึ่งของวรรณกรรมประเภทนี้ กล่าวคือ
๑๒ แม้วัตถุดิบจะนำมาจากชาดก แต่ความประทับใจโดยทั่วไปของผู้อ่านอยู่ที่พฤติกรรมต่างๆ ของ ตัวละครมากกว่าหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ในการนำเอาวัตถุดิบจากพระพุทธศาสนามาเรียบเรียงเป็นงานใหม่ ผู้เขียนอาจ ประยุกต์ใช้หลักข้อใดข้อหนึ่งเหล่านี้ก็ได้ หรือหลายบทมาเป็นเรื่องราวหรือเรื่องราว เช่น คำสอน ธรรมะ เขียนโดยพระบาทสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ซึ่งมีหลักธรรมทางพุทธศาสนาต่างๆ เป็นเรื่อง เป็นราว บางทีผู้เขียนอาจเอาเนื้อเรื่องหลักจากชาดก เช่น มหาเวสสันดรชาดก (เทศนา) จาก นิบาตชาดก หรือเอาชีวประวัติของสาวกในพระสูตรมาสร้างเป็นตัวละคร เช่น พระอานันทใน พระอานันทธรรมของวศินอิน พุทธนุช. ดาศรา ฯลฯ จึงอาจสรุปได้ว่า จากศาสนานักเขียนอาจได้วัตถุดิบ ๓ ประเภท คือ ๑. หลักธรรม ๒. ชาดกและนิทาน ๓. ชีวประวัติของพระศาสดา สาวก และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ๑๖ วรรณคดีศาสนา จึงหมายถึง สิ่งซึ่งมีเนื้อหาสาระเกี่ยวกับศาสนาในประเทศไทยก็คง มีศาสนาพุทธอย่างเดียว วรรณคดีพระพุทธศาสนามีบทบาทอย่างยิ่งต่อสังคมไทย ๑.๖ การจัดประเภทของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา สำหรับประเภทวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่ผู้วิจัยนำมาศึกษานี้ทำให้เห็นต่าง จากแนวคิดทั่วไป กล่าวคือผู้วิจัยกำหนดประเด็นไว้๒ ประเภท คือ ๑) ประเภทเรื่องที่แต่ง ตามลำดับเวลา ๒) ประเภทเรื่องที่แต่งตามเนื้อหา ๑.๖.๑ ประเภทเรื่องที่แต่งตามลำดับตามเวลา วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย มีการแต่งขึ้นมา เพื่อประโยชน์แก่สังคมเท่าที่ปรากฏนั้นมีผู้รู้ได้แสดงแนวคิดไว้หลายแง่มุมดังนี้ ๑) วรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนา ๑๖ วิภา คงคะนัน, วรรณคดีศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนา พานิชย์จำกัด , ๒๕๓๓), หน้า ๗๖ – ๗๗.
๑๓ สนิท ตั้งทวีได้เขียนไว้โดยสรุปว่า วรรณกรรมศาสนาของไทยนั้นมีปรากฏเป็นลาย ลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกในสมัยสุโขทัยเมื่อครั้งพ่อขุนรามคำแหงมหาราชโปรดให้จารึกบนแผ่น ศิลาซึ่งเรียกกันว่า “ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง” ข้อความจารึกดังกล่าวนี้ส่วนหนึ่งมีเรื่องราว ทางพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวข้องกับศาสนธรรม ศาสนประวัติศาสนพิธีและศาสนวัตถุแทรกอยู่ ต่อจากนั้นวรรณกรรมศาสนาก็มีติดต่อกันมาทุกระยะตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงสมัยอยุธยา อาจ กล่าวได้ว่า วรรณกรรมไทยแทบทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาดังกล่าวมานี้ มีเรื่องราว เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาแทบทั้งสิ้น และเจริญสูงสุดในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย เพราะไทยมี การติดต่อกับต่างชาติมีพวกมิชชันนารีเข้ามาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ไทยจึงต้องแต่งหนังสือทาง พระพุทธศาสนาเพื่อสร้างความศรัทธา และใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจของคนไทยให้ตั้งมั่น อยู่ในพระพุทธศาสนาต่อไป จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าเผาเมือง มีผลทำให้ศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ของไทยรวมทั้งพระไตรปิฎกได้ถูกทำลายไปเกือบหมด ครั้งนั้น วรรณกรรมศาสนาได้พลอยเสื่อมสูญไปมาก และได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งหนึ่งในสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น แต่ก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ครั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณกรรมศาสนาได้ เริ่มเจริญขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณ และหอพระ สมุดพุทธ สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้มีการฟื้นฟูวรรณกรรมทางศาสนาขึ้นอีกครั้ง โดยมีการจัด ประกวดวรรณกรรมประเภทนี้ขึ้น นอกเหนือจากนี้ราชบัณฑิตยสถานก็ได้จัดประกวดหนังสือ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาสำหรับเด็ก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๑ จนถึงปัจจุบัน วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในระยะนี้ได้แก่ วรรณกรรมไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย สุโขทัยจนถึงปลายรัชกาลที่ ๓ หรือต้นรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งมีลักษณะดังนี้ ๑. เนื้อเรื่อง ส่วนมากได้มาจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาและชาดกต่างๆ ๒. จุดมุ่งหมาย เพื่อใช้สำหรับสั่งสอนประชาชนได้เกิดมีใจเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา และตั้งมั่นอยู่ในคุณงานความดี ๓. แนวคิด วรรณกรรมศาสนาในระยะดังกล่าวนี้มักเน้นในเรื่องพระพุทธปรัชญาคือ ความเป็นอนิจจังอันเป็นส่วนหนึ่งของหลักแห่ง “ไตรลักษณ์” ได้แก่ อนิจจัง ทุกขังอนัตตา หรือ เน้นในเรื่องการทำบุญทำกุศล เพื่อให้ได้ไปเกิดในชาติภพที่ดีกว่า มีความเชื่อว่าความสุขที่แท้จริง คือความสุขทางธรรม
๑๔ ๔. รูปแบบและการดำเนินเรื่อง นิยมใช้รูปแบบการแต่งด้วยร้อยกรองเป็นส่วนมาก และมีภาษาบาลี-สันสกฤตแทรกอยู่ด้วย ส่วนการดำเนินเรื่องนั้น มักนิยมการพรรณนาให้ผู้อ่าน เกิดจินตนาการและเกิดอารมณ์สะเทือนใจ โดยใช้บทบาทของตัวละครเป็นอุทาหรณ์ วรรณกรรมศาสนาในระยะนี้ได้แก่ วรรณกรรมไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๔ หรือต้นรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นต้นมา ซึ่งมีลักษณะดังนี้ ๑. เนื้อเรื่อง มักเน้นธรรมะในชีวิตประจำวัน อาจเป็นเรื่องสมมุติเพื่อสร้างเหตุการณ์ ที่ควรประพฤติปฏิบัตินำเหตุการณ์ของสังคมเข้ามาประกอบเพื่อดำเนินเรื่องไปสู่ธรรมะเนื้อเรื่อง กระจายไปสู่คนหลายอาชีพมากขึ้น เช่น ธรรมะในการเป็นครูธรรมะในการเป็นนักปกครอง ปรัชญาของคนยาก เป็นต้น ๒. จุดมุ่งหมาย เพื่อใช้เป็นเครื่องปลอบประโลมใจคนที่กำลังอยู่ในภาวะของสังคม อันมีแต่ความสับสนวุ่นวายเช่นทุกวันนี้ใช้เป็นข้อสั่งสอนและเสียดสีเยาะเย้ยถากถางบุคคลที่ กำลังกระทำผิดศีลธรรม และสร้างความเดือนร้อนให้แก่สังคม ใช้สำหรับยกระดับจิตใจของ บุคคลให้สูงขึ้น และใช้เป็นสิ่งเตือนใจในการประกอบกิจการงานทั่วไป ๓. แนวคิด มักเสนอแนวคิดอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องค่านิยมของสังคมพรหมลิขิต ศาสนา บาปบุญมีจริงหรือไม่ แก่นแท้ของศาสนาคืออะไร และแสดงความคิดความเชื่อ อย่างมี เหตุผลมากขึ้นพรหมลิขิตศาสนา บาปบุญมีจริงหรือไม่ แก่นแท้ของศาสนาคืออะไร และแสดง ความคิดความเชื่ออย่างมีเหตุผลมากขึ้น ๔. รูปแบบและการดำเนินเรื่อง รูปแบบในการแต่งมีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองใน ส่วนที่เป็นร้อยแก้วนั้น ได้แก่ นวนิยาย เรื่องสั้น สารคดีบันเทิงคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะและ ปรัชญาในพระพุทธศาสนา นอกจากนั้น ยังมีข้อเขียนสั้นๆ เพื่อแสดงแง่คิดทางปัญญา การ ดำเนินเรื่องมุ่งไปที่ใจความมากกว่าศิลปะในการใช้คำ ในส่วนที่แต่งเป็นร้อยกรองนั้น เป็นร้อย กรองสั้นๆ ซึ่งอยู่ในรูปแบบของกลอนและโคลงเป็นส่วนมาก แต่ไม่นิยมยกคาถาบาลีแทรกไว้ใน เรื่องเช่นแต่ก่อน๑๗ ๑๗ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๗), หน้า ๒๕๑ - ๒๖๓.
๑๕ ๓) ลักษณะของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ลักษณะของวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาอาจจะเป็นการเสนอประวัติของพระพุทธเจ้าในแบบแผนคำประพันธ์ต่างๆ ๓.๑) วรรณคดีพระพุทธศาสนาเถรวาท วรรณคดีประเภทนี้ได้แก่เรื่องซึ่งแปลจากภาษาบาลีอันมีอยู่ในพระไตรปิฎกหรือ อรรถกถาต่างๆ ตลอดจนฉบับที่ไทยแต่งขึ้นในประเทศ วรรณคดีประเภทนี้มีเป็นอันมาก ที่ควร เอ่ยถึง คือ ๑. วรรณคดีประเภทพุทธประวัติมีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น ปฐมโพธิกถา ๒. วรรณคดีประเภทชาดก เช่น นิบาตชาดก พาหิรกชาดก ๓. วรรณคดีพระพุทธศาสนาที่กล่าวถึงสิ่งชื่นชมเนื่องด้วยพุทธประวัติเช่น สิงหิงคนิทาน รัตนพิมพวงศ์จามเทวีวงศ์ไตรภูมิกตา ไตรภูมิโลกวินิจฉัน ๓.๒) วรรณคดีพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเช่นชาดกมาลาของอารยะสูรลลิตวิสะ๑๘ สรุปได้ว่า นวนิยายพระพุทธศาสนาประเภทเรื่องที่แต่งตามลำดับเวลาและนวนิยาย ประเภทนี้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา จึงมักปรากฏในรูปของการแสดงปาฐกถาธรรมตามสถานที่ ต่างๆ และทางสื่อมวลชนแล้วจึงรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มในเวลาต่อมา นอกเหนือจากวรรณกรรม อิงพระพุทธศาสนาที่มีผู้เรียบเรียงและคิดค้นเขียนขึ้นเพื่อเผยแพร่เป็นรูปเล่ม นอกจากนี้ยังแบ่ง ประเภทของนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาก่อนและหลังรับอิทธิพลจากตะวันตก ๑.๖.๒ ประเภทเรื่องที่แต่งตามเนื้อหา การจัดประเภทวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ถ้าศึกษาถึงการแบ่งประเภทของ เรื่องที่แต่งตามเนื้อหา จากที่มีผู้ให้ทัศนะเกี่ยวกับนวนิยายของไทย ดังนี้ เถกิง พันธ์เถกิงอมร จำแนกนวนิยายไว้ตามเนื้อหาแบ่งออกได้เป็น ๑๑ ประเภท ซึ่งนวนิยายอิงพระพุทธศาสนามีเนื้อหาเกี่ยวกับพุทธศาสนา หรืออาศัยหลักธรรมใน ๑๘ ปัญญา บริสุทธิ์, วิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยประเภท, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : บ. เท็กซ์แอนด์เจอร์รินัล พับลิเคชน์, จำกัด, ๒๕๔๒), หน้า ๕๓.
๑๖ พระพุทธศาสนาเป็นโครงเรื่องนั้นก็จัดเป็นหนึ่งในนวนิยายที่เถกิง พันธ์เถกิงอมรจำแนกไว้๑๙ นว นิยายอิงพระพุทธศาสนามีลักษณะเด่นในการแต่งเรื่องที่ไปตามเนื้อหาที่ผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่าน เข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริง หากกล่าวถึงเนื้อหาแล้วประกอบไปด้วยประเด็นสำคัญคือ แก่นเรื่อง (Theme) โครงเรื่อง (Plot) เนื้อเรื่อง (Story) ตัวละคร (Character) ฉาก (Setting) บทสนทนา (Dialogue) ดังนั้นหากจัดประเภทของนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาตามองค์ประกอบของเนื้อหา แล้ว มีเนื้อหามุ่งเสนอสาระทางจริยธรรมแก่สังคมมีทั้งแบบเทศนาโวหารและพรรณนาโวหาร บท สนทนา เนื้อเรื่อง เป็นการบรรยายเหตุการณ์ที่เรียบเรียงไปตามลำดับเวลา ทำให้รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น และอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ยุรฉัตร บุญสนิท อธิบายว่า เนื้อเรื่องคือ การบรรยายว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ตามลำดับ ทำหน้าที่เสมือนเป็นกระดูกสันหลัง (It runs like backbone) สอดร้อยเหตุการณ์ที่ จะเกิดขึ้นไปตลอดทั้งเรื่อง ถ้อยคำที่อธิบายเนื้อเรื่องอาจจะแทรกเรื่องของ ฉาก เวลา ตัวละคร หรือสิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจจะบอกกับผู้อ่านในเรื่องอื่นๆ เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตามลำดับที่ผู้เขียน ต้องการ E.M. Forster อธิบายว่า เนื้อเรื่องคือการบรรยายว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปตามลำดับ ตามปกติถ้าจะตั้งคำถามใครสักคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางวรรณคดีโดยตรงว่านวนิยายทำ หน้าที่อะไร คำตอบที่ได้รับเป็นคำตอบพื้นๆ ทั่วไปก็คือ นวนิยายทำหน้าที่เล่าเรื่องราว บอกให้รู้ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในตอนต่อไป เป็นการดำเนินเรื่องเรื่อยไปตามลำดับเวลาตอบสนองผู้ที่ อยากจะรู้ว่า เหตุการณ์ในตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร สิ่งนี้คือเนื้อเรื่อง๒๐ สรุปได้ว่า วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่แต่งตามเนื้อหาโดยผู้แต่งต้องการให้ ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริงซึ่งในเนื้อหามุ่งเสนอสาระทางคุณธรรมจริยธรรมแก่สังคมโดย อาศัยหลักธรรมในศาสนาเป็นโครงเรื่องและจะมีทั้งเป็นเรื่องราวจริงทางศาสนาและเรื่องราวที่ แต่งอิงศาสนา ๑๙ เถกิง พันธุ์เถกิงอมร, นวนิยายและเรื่องสั้น การศึกษาเชิงวิเคราะห์และวิจารณ์, (สงขลา : คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สถาบันราชภัฏสงขลา), หน้า ๖๖. ๒๐ ยุรฉัตร บุญสนิท, วรรณวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๓๘), หน้า ๑๕.
๑๗ ๑.๗ สรุป วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ผู้เขียนวรรณกรรมในเรื่องนั้น ๆ จะนำเอาเรื่องราว ต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในคำสอนทางพระพุทธศาสนาแต่งขึ้นใหม่ (ยกเว้นพระไตรปิฎก) เป็นคำ ประพันธ์ชนิดต่าง ๆ เรื่องที่แต่งขึ้นใหม่มีต้นเค้าของเรื่องเดิมอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา บางครั้งผู้แต่งอาจจะเพิ่มเติมเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม ประเพณีความเชื่อของสังคมที่ผู้ แต่งเข้าไปปฏิสัมพันธ์อยู่ด้วยมาไว้ในวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในภายหลัง โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อที่จะอธิบายหลักการทางพระพุทธศาสนาให้คนในสังคมนั้น ๆ เข้าใจได้ง่ายขึ้น เรื่องราวเหล่านี้จะมีความสัมพันธ์กับพระพุทธศาสนาไม่ด้านใดด้านหนึ่งตามความเหมาะสมซึ่ง วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑. วรรณกรรมที่นำเนื้อหามาจากพระไตรปิฎกหรือจากคัมภีร์อื่น ๆ โดยตรง มาแต่ง หรือแปลใหม่ โดยศาสนธรรมหรือคำสอนทางพระพุทธศาสนาลงไป ๒. วรรณคดีที่นำแนวคิดทางพระพุทธศาสนามาแต่ง เพื่อแสดงความเลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธศาสนา หรือบันทึกเหตุการณ์บางอย่างแทรกความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการของกวี ลงไป เช่น โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์แต่งขึ้นเพราะความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา การจัดประเภ ทนวนิยายอิงพระพุทธศาสนา ประเภ ทของนวนิยายอิง พระพุทธศาสนามี๒ ประเภท คือ (๑) ประเภทเรื่องที่แต่งตามลำดับเวลา นวนิยายประเภทนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาจึงมักปรากฏในรูปของการแสดงปาฐกถาธรรมตามสถานที่ต่างๆและทาง สื่อมวลชนแล้วจึงรวบรวมพิมพ์เป็นเล่มในเวลาต่อมานอกเหนือจากที่มีผู้เรียบเรียงคิดค้นเขียน เพื่อเผยแพร่ในรูปเล่ม นอกจากนี้ยังแบ่งประเภทของนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาประเภทก่อน อิทธิพลจากตะวันตกและประเภทหลังรับอิทธิพลจากตะวันตก (๒) ประเภทที่แต่งตามเนื้อหา เป็นนวนิยายอิงพระพุทธศาสนาโดยผู้แต่งต้องการให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาอย่างแท้จริงซึ่งในเนื้อหา มุ่งเสนอสาระทางคุณธรรมจริยธรรมแก่สังคมโดยอาศัยหลักธรรมในศาสนาเป็นโครงเรื่องซึ่งจะมี ทั้งเป็นเรื่องราวจริงทางศาสนาและเรื่องราวที่แต่งอิงศาสนา
๑๘ คำถามท้ายบท ๑. ความหมายของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา คืออะไร ๒. งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญ อะไรบ้าง ๓. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เป็นอย่างไร ๔. ประเภทของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา จำแนกอย่างไร
๑๙ เอกสารอ้างอิงประจำบท กุหลาบ มัลลิกะมาส, วรรณกรรมไทย, กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๑๙. กระแสร์มาลยาภรณ์, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๐. ยุรฉัตร บุญสนิท, วรรณวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔, สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๓๘. เบญจมาศ พลอินทร์, วรรณคดีและวรรณกรรมไทย, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนส โตร์, ๒๕๒๖. ปัญญา บริสุทธิ์, วิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยประเภท, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : บ. เท็กซ์แอนด์เจอร์รินัล พับลิเคชน์, จำกัด, ๒๕๔๒. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรุงเทพมหานคร: นาน มีบุ๊คพับลิเคชั่นส์จำกัด, ๒๕๔๖ วิภา คงคะนัน, วรรณคดีศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช จำกัด , ๒๕๓๓ วิทย์ศิวะศริยานนท์, วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แพร่พิทยา, ๒๕๑๘. สมพร มันตะสูตร, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๕ สมชัย ศรีนอก, สารนิพนธ์พุทธศาสตร์บัณฑิต รุ่นที่ ๔๗, กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๔๓. สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเบื้องต้น, กรุงเทพมหานคร:โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘ สายทิพย์นุกูลกิจ, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมนโปรดักส์จำกัด, ๒๕๔๓), หน้า ๑๙๐. สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอ เดียนสโตร์, ๒๕๒๗. Gilbert Highet, People Place and Books, New York: Oxford University Press, 1953.
๒๐ บทที่ ๒ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยได้ ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยได้ ๓. บอกความสำคัญของกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยได้ ๔. อธิบายถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ๒. งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยที่สำคัญ ๓. ความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ๔. การวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย
๒๑ ๒.๑ ความนำ ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาประจำชาติมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ซึ่งพระมหากษัตริย์ ในสมัยนั้นได้รับการขนานนามว่า ธรรมราชา ซึ่งพระมหากษัตริย์ในสมัยสุโขทัยมีด้วยกัน ๘ พระองค์ได้แก่ ๑. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ๒. พ่อขุนบาลเมือง ๓. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ๔. พระยาเลอไทย ๕. พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) ๖. พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ๗. พระมหาธรรมราชาที่ ๓ ( ไสยลือไท) ๘. พระมหาธรรมราชาที่ ๔ ( บรมปาล) ๑ ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมีศิลาจารึกที่ได้พรรณนาถึงความศรัทธาใน พระพุทธศาสนาของชาวสุโขทัย ดังนี้“...คนในเมืองสุโขทัยนี้มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยทั้งนี้ชาวแม่ชาวเจ้า ท่วยปั่นท่วยนางลูกเจ้า ลูกขุนทั้งสิ้น ทั้งหลาย ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาทรงศีล เมื่อพรรษา ทุกคน เมื่อออก พรรษากราน กฐินเดือนหนึ่ง จึงแล้ว๒ ความศรัทธาปฏิบัติในศาสนกิจดังที่กล่าวในศิลาจารึกนี้ได้กลายเป็นวัฒนธรรมอันหนึ่ง ของชาติไทยสืบมาแต่บัดนั้น จนถึงสมัยพระเจ้ามหาธรรมราชาลิไท ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๖ ใน ราชวงศ์พระร่วง ได้ทรงอาราธนา พระมหาสามีสังฆราชชาวลังกา เข้ามาเป็น พระอุปัชฌาย์ ๑ พลายน้อย, ประวัคิศาสตร์ไทย, (กรุงเทพมหานคร : รวมสาส์น, ๒๕๓๒), หน้า ๒๒๗. ๒ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๑๒.
๒๒ อาจารย์เสด็จออกผนวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดป่ามะม่วง เป็นการบำเพ็ญเนกขัมบารมีนับเป็น พระมหากษัตริย์องค์แรกของไทยซึ่งผนวชในพระพุทธศาสนา ในขณะที่เสวยราชย์แล้ว พระมหา ธรรมราชาลิไททรงศึกษาพระไตรปิฎกแตกฉาน ถึงกับมีพระราชนิพนธ์เตภูมิกถาหรือไตรภูมิพระ ร่วง ซึ่งพรรณนาถึงเรื่องภูมิ๓ โดยมีกามภูมิรูปภูมิอรูปภูมิที่แสดงให้เห็นผลของอกุศลกรรม และกุศลกรรม ของเหล่าสัตว์ที่จะพาไปเสวยสุขและทุกข์ในภูมินั้น ๆ อย่างละเอียด ทรงรวบรวม ที่มาต่างๆ จากคัมภีร์อรรถกาถา ฎีกา ปกรณ์วิเศษ ๓๐ คัมภีร์แสดงให้เห็นว่า การศึกษาพระ ปริยัติธรรม ในสมัยนั้นรุ่งเรืองมาก หนังสือไตรภูมิพระร่วงนี้จึงจัดได้ว่าเป็น วรรณคดีทาง พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเล่มแรก ซึ่งพระมหาธรรมราชาลิไทได้พระราชนิพนธ์วรรณกรรม เรื่องนี้ขึ้น ด้วยมีจุดมุ่งหมายที่จะสั่งสอนคนให้ประพฤติปฏิบัติตามแนวคำสอนของ พระพุทธศาสนามีการพรรณนาสภาพของอบายภูมิอย่างน่าสะพรึงกลัว พรรณนาความรื่นรมย์ใน สุคติภูมิและชี้ให้เห็นถึงการกระทำอันเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายได้ไปเกิดในภูมิเหล่านั้น ตามกฎแห่งกรรมการเสนออุดมคติหรือจุดมุ่งหมายปลายทางในการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นมี อยู่ ๒ รูปแบบ คือ (๑) ทางโลก สอนให้มนุษย์กระทำความดีโดยมีจุดมุ่งหมาย คือได้รับผลดี ตอบสนองในชาตินี้และได้ไปเกิดในภพที่ดีเช่น การได้ไปเกิดในสวรรค์หรือถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ ขอให้ได้เป็นมนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป ซึ่งเป็นดินแดนที่น่ารื่นรมย์(๒) ทางธรรม มีพระนิพพานเป็น จุดหมายปลายทางของชีวิต ในสมัยสุโขทัยเมื่อลัทธิลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราชถูกนำมาประดิษฐานที่สุโขทัย นิกายเดิมจึงค่อยๆสูญไป การที่ลังกาวงศ์มาตั้งมั่นที่สุโขทัยจึงได้เกิดผลด้านการศึกษา การ ปกครองคณะสงฆ์และศิลปกรรม คือ ด้านการศึกษา ไทยได้รับพระไตรปิฎกและอรรถกถาจาก ลังกาทำให้การออกเสียงของสงฆ์ไทยชัดถ้อยชัดคำตามแบบลังกามากกว่าชนชาติอื่น ด้านการ ปกครองคณะสงฆ์สมณศักดิ์ลังกาวงศ์มี๒ ตำแหน่ง คือ สวามีและ มหาสวามีเมื่อมาถึงสุโขทัย ได้คิดเทียบยศพราหมณ์ในทางโลก จึงเกิดทำเนียบ สมณศักดิ์เป็นครั้งแรก คือ ครูบา เถระ มหา เถระ สังฆราชา และ สังฆปริณายก อิทธิพลทางด้านประเพณีศาสนาที่มีผลต่อสังคม การทำให้ไม่ มีทาสในสมัยสุโขทัย ราษฎรเป็นลูกเสมือนกันหมด กษัตริย์สุโขทัยตั้งองค์เป็นบิดาประชาชนจึง เกิดสุภาษิตสอนลูก เช่น อาสาเจ้าจนตัวตาย อาสานายจนพอแรง เป็นต้น รวมถึงประเพณีการ สร้างวัด
๒๓ ๒.๒ สถานภาพทางสังคมสมัยสุโขทยั สุโขทัยเป็นอาณาจักรที่ตั้งอยู่ได้นานถึง ๒๐๐ ปีได้วางรากฐานของการดำเนินชีวิต ประเพณีความเชื่อ วัฒนธรรมและศาสนาไว้มาก โดยเกือบทั้งหมดมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ แบบแผนการดำเนินชีวิตของประชาชนในปัจจุบัน ซึ่งในบทนี้กล่าวถึงสถานภาพทางสังคม การเมืองการปกครอง และเศรษฐกิจในสมัยสุโขทัย ซึ่งเป็นบริบทพื้นฐานทางสังคมสมัยสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัยได้รับการสถาปนาขึ้นในปีพ.ศ. ๑๗๖๒ เป็นเมืองเก่าแก่และมีความ เจริญรุ่งเรือง มาก่อน ผลจากการตีความในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๒ มีข้อสรุปว่า เมืองสุโขทัยแต่เดิมมีผู้นำ คนไทยชื่อว่า พ่อขุนศรีนาวนำถม เป็นเจ้าเมืองปกครองอยู่ เมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถมสิ้นพระชนม์ ขอมสมาดโขลญลำพงซึ่งเป็นนายทหารขอมที่เป็นใหญ่ได้นำกำลังทหารยึดเมืองสุโขทัยได้ทาง ฝ่ายไทยก็ได้เตรียมการเพื่อยึดเมืองสุโขทัยกลับคืนจากขอมสมาดโขลญลำพงโดยมีผู้นำไทย ๒ คน คือ พ่อขุนบางกลางหาว และ พ่อขุนผาเมือง รวมกำลังกันเข้าชิงเมืองสุโขทัยจากขอม กลับคืนมาได้แล้วพ่อขุนผาเมืองจึงนำกำลังออกจากเมืองสุโขทัย เพื่อให้กองทัพของพ่อขุนบาง กลางหาวเข้าเมือง พร้อมกันนั้นได้สถาปนาพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองเมือง สุโขทัย แล้วถวายพระนามของพระองค์ที่ได้รับจากพระมหากษัตริย์ขอม คือ พ่อขุนศรีอินทรา ทิตย์ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วงนับตั้งแต่ปีพ.ศ. ๑๗๖๒ เป็นต้นมา๓ เมืองสุโขทัยได้กลายเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรสุโขทัย โดยมีอาณาเขตขยายกว้าง ออกไปจากเดิม และมีหัวเมืองต่าง ๆ ที่คนไทยรวมตัวกันอยู่เป็นส่วนหนึ่งในราชอาณาจักรไทยที่ ตั้งขึ้นใหม่ สุโขทัยเป็นนิคมอันอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหารทั้งมีราษฎรอาศัยอยู่เป็น จำนวนมาก มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินโดยความสุข และแผ่ พระบรมเดชานุภาพไปทั่วทุกทิศานุทิศ ยุคนั้นเป็นยุคแรกที่เหล่าพราหมณ์ได้จาริกจากมัธยม ประเทศ เข้ามาแผ่ลัทธิประเพณีตามพิธีศาสนาพราหมณ์ให้แก่พระมหากษัตริย์ไทยผู้ครอบครอง แผ่นดิน และตั้งแต่นั้น พระราชพิธีต่าง ๆ ในราชการอันเป็นจารีตของพราหมณ์ซึ่งร่วมความ นิยมกับพระพุทธศาสนาก็เริ่มปฏิบัติขึ้นมาตราบกระทั่งปัจจุบัน ๓ กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๓๗ – ๓๙.
๒๔ ๒.๒.๑โครงสร้างทางสังคม อาณาจักรสุโขทัย สามารถพิจารณาโครงสร้างของสังคมและความสัมพันธ์ระหว่าง ชนชั้นในสังคมได้จากในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ดังนี้“...เมื่อพ่อขุนรามคำแหง เมืองสุโขทัยนี้ดีใน น้ำมีปลาในนามีข้าว เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ ลู่ทางเพื่อน จูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย ใครจักใคร่ ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า ไพร่ฟ้าหน้าใส ลูกเจ้าลูกขุน ผู้ใดแล้ ล้มหายตายกว่า เหย้าเรือนพ่อเชื้อเสื้อคำมันช้างขอลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไทย ป่าหมากป่าพลู พ่อเชื้อมันไว้แก่ลูกมันสิ้น...”๔ จากชื่อของชนชั้นต่าง ๆ ที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ ๑ นี้รวมทั้งศิลาจารึกหลักอื่น ๆอาจแบ่งชนชั้นในสมัยสุโขทัย ได้ดังนี้ ๑. ลูกเจ้าลูกขุน หมายถึงชนชั้นผู้ปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริย์(เจ้าเมือง) พระ บรมวงศานุวงศ์(ลูกเจ้า) และเหล่าขุนนางข้าราชการต่าง (ลูกขุน) ฐานะของพระมหากษัตริย์และ เหล่าขุนนางไม่สูงส่งต่างกันมากนัก เพราะตามลักษณะการปกครองแบบพ่อปกครองลูกนั้น ฐานะของพระมหากษัตริย์มิได้สูงส่งเป็นเทพเจ้า ฐานะของพระมหากษัตริย์ในตอนต้นน่าจะเป็น ประมุขหรือหัวหน้าของชนชั้นผู้ปกครอง มิได้มีอำนาจเด็ดขาดเหมือนสมัยอยุธยา จนกระทั่งถึง สมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย สุโขทัยเริ่มรับเอาวัฒนธรรมทางการปกครองของขอมมาใช้ทำให้ ฐานะของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนไป ชื่อตำแหน่งของพระมหากษัตริย์ก็เปลี่ยนไปด้วย ดังเช่นใน ระยะตอนต้นของสมัยสุโขทัยเรียกผู้ปกครองว่า พ่อขุน แต่ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยใช้คำ ว่าพระบาทกมรแดงอัญฤาไทยราช สำหรับพระบรมวงศานุวงศ์นั้นจะมีการแบ่งลำดับชั้นอย่างไร ไม่ปรากฏ แต่ในขุนนางนั้นมีการกำหนดตำแหน่งเอาไว้ ๒. ไพร่ หมายถึง สามัญชน ศิลาจารึกสุโขทัยได้กล่าวถึงไพร่ไว้หลายแห่งและมีสร้อย ต่อท้ายต่าง ๆ กันไป เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส ไพร่ฟ้าหน้าปก ไพร่ฟ้าข้าไทยและไพร่ไทย เป็นต้น ใน ระยะแรกของสมัยสุโขทัยไม่ทราบสรรพนามนำหน้าชื่อ แต่ในระยะตอนปลายสมัยสมัยสุโขทัยต่อ สมัยอยุธยาผู้หญิงใช้คำว่า อำแดง ส่วนผู้ชายใช้คำว่านาย ไพร่ในสมัยสุโขทัยมีสิทธิและเสรีภาพ ๔ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖), หน้า ๙.
๒๕ พอสมควร อย่างเช่น สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในมรดก สิทธิในการประกอบอาชีพ และสิทธิในการ เรียกร้องความเป็นธรรมจากพระเจ้าแผ่นดิน เป็นต้น ๓. ทาส หมายถึง ทาสที่ไม่มีอิสรภาพและเสรีภาพอย่างเต็มที่ ทาสเป็นเรื่องที่ ถกเถียงกันมากในกลุ่มนักวิชาการว่าในสมัยสุโขทัยมีทาสหรือไม่ นักประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงมีความเห็นว่าในสมัยสุโขทัย ไม่มี ทาส ทาสเริ่มมีในสมัยอยุธยา และการมีทาสนี้ไม่ใช่เป็นประเพณีของไทย แต่เป็นประเพณีของ เขมรที่ไทยเราเอาแบบอย่างมาอีกทีหนึ่ง และจากศิลาจารึกสมัยสุโขทัยก็ไม่ปรากฏมีคำว่าทาสอยู่ เลย ๔. นักบวชทางศาสนา หมายถึง นักสืบศาสนาและสั่งสอนศาสนาที่สำคัญได้แก่ พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งศิลาจารึกระบุชื่อว่ามีสังฆราช เถร มหาเถร ปู่ครูนอกจากนี้ยังได้ กล่าวถึงพราหมณ์และดาบสอีกด้วยความสัมพันธ์ในกลุ่มชนชั้นผู้ปกครอง เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ต่อกัน ลูกเจ้าลูกขุนให้ความร่วมมือต่อผู้ปกครองในการปกครองอาณาจักร ความสัมพันธ์ที่ดี เกิดขึ้นได้ด้วยความสามารถของพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ผูกสัมพันธ์กับเจ้าเมือง ทั้งหลายโดยเฉพาะเมืองลูกหลวง จะเห็นว่าเจ้าเมืองจะได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ สุโขทัย โดยจะเลือกเฟ้นบุคคลที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องในทางพระญาติพระวงศ์ พระมหากษัตริย์จะใช้ระบบเครือญาติผูกมัดจิตใจเจ้าเมืองลูกหลวงให้สวามิภักดิ์ต่อสุโขทัย นอกจากนี้แล้วจะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงพยายามใช้ธรรมในการปกครองและให้เกิดความ เสมอภาคกัน โดยแสดงให้เห็นว่า ทุกหัวเมืองมีความสำคัญต่ออาณาจักรสุโขทัยทั้งสิ้น การให้ ความเสมอภาคกันเช่นนี้จักทำให้เกิดความจงรักภักดีของหัวเมืองต่าง ๆ มากขึ้น โดย ความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นปกครองกับชนชั้นที่อยู่ใต้การปกครอง ชนชั้นที่อยู่ใต้การปกครอง จะต้องเชื่อฟังผู้ปกครองโดยเฉพาะในยามศึกสงคราม จะต้องเสียภาษีอากรให้กับอาณาจักรใน ยามบ้านเมืองปกติและที่สำคัญคือการประพฤติปฏิบัติเป็นพลเมืองที่ดีของอาณาจักรส่วนชนชั้น ผู้ปกครองนั้นมีหน้าที่ให้ความคุ้มครองแก่ไพร่บ้านพลเมืองโดยเฉพาะยามศึกสงครามในยามปกติ ก็พยายามปกครองให้เกิดความสงบสุข พยายามเพิ่มความสมบูรณ์พูนสุขทางด้านเศรษฐกิจ และ ให้เสรีภาพ แก่ประชาชนในการดำรงชีพตามความเหมาะสม และความสัมพันธ์ระหว่างพวก นักบวชทางศาสนากับชนชั้นผู้ปกครองและชนชั้นที่อยู่ใต้ปกครอง นักบวชทางศาสนาจะทำ หน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงชนทั้งสองชั้นให้อยู่ด้วยกันด้วยความเป็นสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
๒๖ พระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาจะทำหน้าที่สั่งสอนประชาชนให้อยู่ในศีลธรรม สอนให้ชนทุกชั้น เกิดความรัก มีเมตตากรุณาซึ่งกันและกัน นับว่าพวกนักบวชทางศาสนามีส่วนช่วยทำให้สังคมอยู่ ร่วมกันอย่างเป็นสุขมากขึ้น ๒.๒.๒ ความเชื่อและวิถีชีวิต ความเชื่อและวิถีชีวิตของประชาชนชาวสุโขทัยนั้นโดยทั่วไปนับถือผีหรือวิญญาณ บรรพบุรุษ การนับถือผีสางเทวดานางไม้การเชื่อถือโชคลาง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีอยู่ใน จิตสำนึกของคนไทยมาตั้งแต่สมัยดั้งเดิม ถึงแม้เวลาต่อมาได้มีการรับคติความเชื่อทาง พระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม แต่มีการนับถือผีปู่ ย่า ตา ยาย ซึ่งเป็นบรรพบุรุษว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องจัดให้มีการเซ่นไหว้อยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ยังมีการเชื่อถือคำสัตย์สาบาน และภูตผี ประจำสถานที่ต่าง ๆ อีกด้วยเฉพาะ ภูตผีในความเชื่อดั้งเดิมของคนไทยแบ่งออกได้เป็น ๔ ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้ ๑. ผีร้าย ได้แก่ผีทั่ว ๆ ไป เป็นต้นว่า ผีปอบ ผีเปรต ผีโขมด ผีตายโหง ผีเหล่านี้ฤทธิ์ เดชไม่มากนัก หมอผีที่มีคาถาอาคมสามารถปราบหรือบังคับผีเช่นนี้ได้ ๒. ผีบรรพบุรุษ ได้แก่ผีปู่ย่า ตา ยาย ที่ตายไปแล้ว แต่ยังไม่ได้ไปเกิด วนเวียนอยู่ ตามบ้านตามเรือน เป็นผีบ้านผีเรือนคอยปกป้องคุ้มครองลูกหลาน ๓. ผีวีรบุรุษ ได้แก่ผีอดีตกษัตริย์และวีรชนต่าง ๆ ที่มีผู้เคารพนับถือ จึงสร้างศาลให้ อยู่ เมื่อถึงวาระก็มีการบวงสรวงเซ่นไหว้ ๔. ผีเทพยดาอารักษ์ได้แก่ ผีพระภูมิเจ้าที่ เจ้าป่า รุกขเทวดา ผีประจำเมือง เช่น พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระขะผุงผีผีเหล่านี้ผู้เป็นเจ้าของอาคารบ้านเรือนสร้างศาลให้อยู่ และเคารพกราบไหว้โดยเชื่อว่าช่วยคุ้มครองให้ร่มเย็นเป็นสุข ตลอดจนทำมาหากินก้าวหน้า รุ่งเรือง๕ อาณาจักรสุโขทัยตั้งแต่ยุคแรกเป็นต้นมา มีการผสมผสานความเชื่อหลายอย่างขึ้น เป็นแนวทางการปกครอง เช่น คติการนับถือผีหลักธรรมในพระพุทธศาสนา และศาสนา พราหมณ์ฮินดูคติการนับถือผีมีหลักฐานระบุอย่างชัดเจนในศิลาจารึกสุโขทัย หลักที่ ๑ ว่าดังนี้ ๕ ดนัย ไชยโยธา, พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า ๑๑๙.
๒๗ เบื้องหัวนอนสุโขทัย มีพระขะผุงผีเทพยดาในเขาอันนั้นเป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ขุนผู้ใดถือ เมืองสุโขทัยนี้แล้ไหว้ดีพลีถูก เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดีผิไหว้บ่ดีพลีบ่ถูก ไหว้ดีพลีถูก ผีในเขาอันบ่ คุ้มบ่เกรง เมืองนี้หาย๖ ศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ แสดงให้เห็นว่าการนับถือผีนี้ทุกเมืองต่างมีผีประจำเมือง ของตนและผีนี้เป็นความเชื่อร่วมกันในการทำให้พลเมืองมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นั่นแสดง ว่ายุคนั้นมีการนับถือผีสางเทวดาปนกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวไทยมาแต่ โบราณกาลแล้วแม้ในปัจจุบัน บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองขึ้นกว่าแต่ก่อนมากมายทั้งในด้านวัตถุและ วิทยาการ แต่การนับถือผีสางเทวดาก็ยังคงมีอยู่ ดังนั้น จึงไม่มีปัญหาว่าในสมัยสุโขทัย ชาวไทย เราจะไม่นับถือไสยศาสตร์และศาสนาพราหมณ์ซึ่งต่อมากษัตริย์กรุงสุโขทัยพยายามที่จะให้ พระพุทธศาสนา เข้ากับศาสนาพราหมณ์และไสยศาสตร์โดยไม่เป็นการทำลายล้างความเชื่อถือ ของชาวไทยแต่เดิมมานั้นเสีย จากข้อความในจารึกนี้ชี้ให้เห็นว่า ผีในที่นี้มิได้หมายถึงผีปิศาจ อันเป็นสิ่งชั่วร้ายในสมัยโบราณ คำว่า ผีมิได้หมายถึง กุ๊ย ในภาษาจีน ซึ่งแปลว่า ต่ำช้า แต่มี ความหมายถึงของสูง เช่นพระขะผุงผีหมายถึง เทพอันสูง และคำว่า ผีฟ้า หมายถึง เทพยดา หรือ เจ้านายวิถีชีวิตของชาวสุโขทัยนอกเหนือจากการนับถือผีแล้วยังนับถือพราหมณ์ด้วย เพราะ ในสมัยนั้นมีทั้งวัดวาอาราม โบสถ์วิหาร และเทวสถานอยู่ทั้งในเมืองและนอกเมือง เมื่อผู้ใด ต้องการทำพิธีมงคลพิธีใดพิธีหนึ่ง มักทำพิธีทั้งทางศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์คือ มีการ นิมนต์พระสงฆ์มาสวดพระปริตร และเชิญพราหมณ์มาอ่านพระเวท มีการใช้กระดูกผีเป็น เครื่องรางป้องกันอาวุธต่าง ๆ เมื่อมีคนเจ็บขึ้นในบ้านเรือนนั้นสันนิษฐานว่า คงใช้ยาต่าง ๆ ที่ทำ จากรากไม้และอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ น่าจะมีการปั้นตุ๊กตาตัวเล็ก ๆ ขึ้นแทนผู้ป่วยแล้วหักคอตุ๊กตา นั้นเสีย เพื่อแสดงให้ผีเห็นคนป่วยก็จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นอยู่ ส่วนตุ๊กตาที่หักคอนั้นก็ นำไปทิ้งไว้ที่ทางสามแพร่งเพื่อให้ผีออกไปและกลับมาไม่ถูก ตุ๊กตานี้เรียกว่า ตุ๊กตาเสียกบาล ซึ่ง ได้พบตุ๊กตาเสียกบาลสังคโลกเป็นจำนวนมาก ในด้านความเป็นอยู่นั้น ชอบปลูกสร้างบ้านเรือน กันอยู่ตามริมน้ำ และปลูกเป็นเรือนใต้ถุนสูง หลังคามุงด้วย แฝก จาก หรือ กระเบื้องตามฐานะ มีเสื่อทำด้วยหวายปูพื้นบ้าง ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระราชวังมีกำแพงล้อมรอบ พระที่นั่งมี ภาพเขียนปิดลายทอง หลังคามุงกระเบื้อง พื้นพระราชวังก่อด้วยอิฐ ถ้าพระองค์จะเสด็จที่ใดก็ ๖ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, หน้า ๑๖.
๒๘ ทรงราชยาน บางครั้งก็ทรงช้างประทับบนกูบหรือสัปคับมีพระกลดหรือร่มสีแดงกั้น เมื่อเสด็จ ออกว่าราชการ พวกขุนนางที่นั่งพับเพียบอยู่ก็จะถวายบังคม การนอนนั้นนิยมหันศีรษะไปทาง ทิศใต้เรียกทิศนี้ว่า เบื้องหัวนอนและเรียกทิศเหนือว่า เบื้องตีนนอน ผู้คนนิยมกินหมากกัน เพราะมีทั้งป่าหมากป่าพลูและเวลาทอดกฐิน ก็มีหมากถวายด้วย จากจารึกหลักที่ ๑ ความว่า เมื่อชั่วพ่อกูกูบำเรอแก่พ่อกูกูบำเรอ แก่แม่กูกูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกูกูได้มากส้ม หมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดีกูเอามาแก่พ่อกูกูไปตีหนังวัวช้างได้กูเอามาแก่พ่อกูกูไปที่ บ้านเมืองได้ช้างได้งวง ได้ปั่วได้นาง ได้เงินได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกูพ่อกูตายยังพี่กูกูพร่ำ บำเรอแก่พี่กู๗ นี่คือคตินิยมของชาวสุโขทัยที่ดีงามอย่างหนึ่ง คือ การมีความกตัญญูกตเวทีต่อ บุพการีรวมทั้งการเคารพนับถือผู้สูงอายุถือว่าเป็นบุคคลอันประเสริฐ และถือเป็นกิจที่พึงกระทำ อย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการตายนั้น ในสมัยสุโขทัย เมื่อคนตายจะอาบน้ำและแต่งตัวศพให้ สวยงาม เอาปรอทกรอกปากแล้วนำไปฝัง หรือทอดศพไว้บนภูเขาหรือยอดไม้เพื่อเป็นอาหารของ นกบางชนิดไป คนในสมัยสุโขทัยมีแต่ชื่อ ไม่มีนามสกุล คนในสมัยสุโขทัยมีคำนำหน้าชื่อด้วย คือ ใช้คำว่า อำแดง แทน นางในปัจจุบันเมื่อเป็นผู้หญิง แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็มีคำว่า นาย นำหน้า แต่ อาจเป็นตำแหน่งด้วย ก็ได้เช่น นายพันพิษณุกรรม นายพันเทพ นอกจากนี้การใช้จ่ายภายใน ครอบครัวนั้น ต้องแล้วแต่ผู้หญิงผู้เป็นภรรยา ผู้ชายผู้สามีต้องเชื่อฟัง แต่เงินตราที่จะใช้นั้น ผู้มี เงินจะใช้จ่ายเองไม่ได้ต้องเอาเงินส่งไปให้เจ้าพนักงานทำเงินให้เสียก่อน และต้องเสียค่าภาษีให้ หลวงด้วย คือ ทำเงินร้อยตำลึงต้องเสียให้หลวงหกสลึง แต่ถ้าใครทำเงินปลอม ครั้งแรกถ้าจับได้ ต้องถูกตัดนิ้วมือขวา ถ้าถูกจับได้ครั้งที่สองต้องถูกตัดนิ้วมือซ้าย และถ้าถูกจับได้อีกในครั้งที่สาม ก็จะถูกประหารชีวิต๘ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนสมัยสุโขทัยในระยะแรกนั้นเป็นสังคมขนาดเล็ก หลังจากพ่อขุนรามคำแหงได้แผ่ขยายอำนาจในสมัยสุโขทัยมากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดความเจริญต่าง ๆ ทั้งในด้านสังคม และวัฒนธรรม ซึ่งหลังจากได้รับเอาพระพุทธศาสนามาใช้ในการบริหารประเทศ ๗ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, หน้า ๘ – ๙. ๘ นคร พันธุ์ณรงค์, ประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัย, หน้า ๒๘.
๒๙ ก็ทำให้สังคมเกิดความสงบสุขมากยิ่งขึ้น ๒.๒.๓ ด้านการปกครอง ก่อนสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขอมมีอำนาจปกครองอาณาจักรสุโขทัย เมื่อขับไล่ ขอมไปได้พ่อขุนศรีอินทราทิตย์จึงทรงจัดระบอบการปกครองใหม่ เป็นการปกครองแบบ ปิตุ ราชาธิปไตย คือ การปกครองในลักษณะบิดาปกครองบุตร และศึกษาหลักการและรูปแบบการ ปกครองขอมมาใช้ผสมผสาน แนวคิดเรื่องเกี่ยวกับรัฐและกษัตริย์ที่มีอิทธิพลต่อการปกครองของ ไทยโบราณปรากฏอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา คือ อัคคัญญสูตร๙ ในพระไตรปิฎก ได้ อรรถาธิบายเกี่ยวกับกำเนิดของรัฐ สรุปได้ดังนี้สมัยนั้นทั่วทั้งจักรวาลเป็นน้ำทั้งนั้นปรากฏขึ้นชื่อ แต่เพียงว่าสัตว์เท่านั้นเกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำเขาจึงเกิดความอยากในรสแม้สัตว์เหล่านั้นก็พา กันถือแบบอย่างสัตว์นั้น จึงใช้นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลิ้มดูสัตว์เหล่านั้นพากันใช้มือปั้นง้วนดินให้ เป็นคำ ๆ รัศมีที่ซ่านออกจากร่างกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ ดวงดาวนักกษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ กลางคืน กลางวันก็ปรากฏ ฤดูและปีก็ปรากฏด้วยเหตุเพียง เท่านี้โลกนี้จึงได้กลับฟื้นขึ้นอีก การกำเนิดรัฐต่อการเมืองการปกครองไทยโบราณอธิบายไว้ดังนี้ ๑. สภาวะธรรมชาติดั้งเดิมเป็นสภาวะที่สงบสุข อุดมสมบูรณ์ต่างคนต่างอยู่ โดย ปราศจากกฎหมายและอำนาจของรัฐ มนุษย์ดำรงชีพได้โดยอาศัยปัจจัยเลี้ยงชีพขั้นพื้นฐาน คือ อาหารจากพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์สภาพธรรมชาติดั้งเดิมปราศจากการกดขี่ขูดรีด ๒. สังคมดั้งเดิมไม่มีทรัพย์สินส่วนบุคคลเพราะมนุษย์ไม่รู้จักการสะสม ทรัพยากร ตามธรรมชาติเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมของชุมชน ๓. ครอบครัวเกิดหลังชุมชน ชุมชนดั้งเดิมมีลักษณะเป็นเพียงที่รวมของมนุษย์ที่ไม่มี ความสัมพันธ์ส่วนตัวต่อกัน นอกเหนือไปจากการเป็นเพียงสัตว์โลกที่มีชีวิตไปวันหนึ่ง ๆ กล่าวได้ ว่ามีลักษณะเป็นชุมชนบุพกาล ๔. มนุษย์ในชั้นแรกไม่มีกิเลส แม้ว่าอาจมีสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์แต่ก็ยังมิได้ กระทำการสมสู่มีความผูกพันเป็นเจ้าของ ต่อมาเมื่อคู่สมสู่อยู่กินกันเป็นประจำ บ้านเรือน ครอบครัวจึงเกิดขึ้นเมื่อเกิดครอบครัวความผูกพันเฉพาะครอบครัวทำให้เกิดความคิดสะสม หา กรรมสิทธิ์ส่วนครอบครัว ก่อให้เกิดการแบ่งปันเขตทำมาหากิน ๙ ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๑๒๐/๘๙
๓๐ ๕. มนุษย์มีดีมีชั่ว ผู้ที่ชอบแสวงหาของที่ไม่ใช่ของตนทำให้สังคมเริ่มระส่ำระส่ายใน ชั้นแรกการลงโทษผู้กระทำผิดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน นานเข้ามนุษย์ไม่สามารถจัดการกับ ภัยของคนโดยลำพังได้จึงขอให้บุคคลที่มีกำลังแข็งแรงกว่า มีคุณธรรม เป็นผู้ทำหน้าที่แทนและ สมมติให้บุคคลนั้นเป็นผู้นำเป็นการตอบแทน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างมหาชนสมมติกับคนอื่น ๆ ในสังคมอยู่ในรูปของสัญญา เป็นความสัมพันธ์ทางหน้าที่มากกว่าการยอมรับในบุญญาธิการว่า ผู้ปกครองเป็นสมมติเทวราช ๖. ตามอัคคัญญสูตรนั้น การมอบอำนาจให้ผู้ปกครองซึ่งเป็น มหาชนสมมติเป็นการ ให้อำนาจในการปกครองคุ้มครอง ช่วยเป็นผู้ตัดสินในกรณีที่มีการขัดแย้งกันในสังคม การให้ข้าว สาลีเป็นสิ่งตอบแทน มีลักษณะเป็นการมอบทรัพย์สินบางส่วนให้กับผู้ที่ทำการปกป้องคุ้มครอง รักษาความสงบ ไม่ปรากฏว่าผู้ปกครองได้รับการมอบอำ นาจให้กระทำ การอย่างอื่น นอกเหนือไปจากการปกป้องคุ้มครอง๗. แนวความคิดที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ปรากฏอยู่ ในอัคคัญญสูตร ได้แก่ ความเสมอภาคของมนุษย์ชาติกำเนิดมิใช่เป็นเครื่องกำหนดฐานะและ คุณค่าของคน แต่เป็นการประพฤติหรือการกระทำมากกว่าอย่างอื่น ๘. แนวความคิดทางการเมืองอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความขัดแย้งและการเอารัดเอา เปรียบกันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีรัฐ มีผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง ถ้า ไม่มีความขัดแย้งและไม่มีการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมี รัฐบาล จากแนวคิดในอัคคัญญสูตรได้มีการสืบทอดเอามาใช้ในสมัยสุโขทัย ซึ่งปรากฏใน หนังสือ ไตรภูมิพระร่วง หนังสือที่พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ลิไท ทรงพระราชนิพนธ์ไว้นับเป็น วรรณกรรมชิ้นเอกของไทย โดยได้กล่าวถึงกำเนิดของโลก กำเนิดมนุษย์กำเนิดสังคมและ ผู้ปกครองไว้ในส่วนสุดท้ายของหนังสือ ใจความที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในไตรภูมิพระร่วงตรงกกับ อัคคัญญสูตรแม้ว่าจะมีข้อปลีกย่อยแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็แสดงถึงการสืบทอดแนวความคิด เรื่องกำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์กำเนิดสังคม จากพระสูตรอย่างชัดเจน จากความคิด
๓๑ ในอัคคัญญตรที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง จึงเป็นความคิดทางการเมืองที่สนับสนุนการปกครอง แบบราชาธิปไตยซึ่งสอดคล้องกับสังคมในสมัยสุโขทัย มากกว่าในรูปแบบอื่น ๆ ๑๐ ฐานะของผู้ปกครองหรือพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในสมัยกรุงสุโขทัยได้จำแนก ออกเป็นสามฐานะ ดังนี้ ๑. พระมหากษัตริย์ในฐานะบิดาของประชาชน เป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีอำนาจทาง การเมืองเหนือรัฐอื่น ๆ จากลักษณะกลุ่มเมืองเล็กสู่ความเป็นแว่นแคว้น ในระยะเวลานี้ยังมี อาณาเขตไม่กว้างขวาง พลเมืองมีจำนวนน้อยและยังคงลักษณะของสังคมที่อาศัยความผูกพันใน ครอบครัวเป็นหลักในการปกครอง ผู้นำเปรียบเสมือนหัวหน้าครอบครัวใหญ่ พระมหากษัตริย์ สุโขทัยในระยะแรก จึงใช้คำนำหน้าว่า พ่อขุน และจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชน ปกครองดูแลพลเมืองด้วยความเอาใจใส่เหมือนพ่อบ้านที่ดูแลรับผิดชอบลูกบ้านของตน เป็นผู้นำ ในยามศึกสงคราม ในยามสงบก็พร้อมที่จะวินิจฉัยปัญหาและข้อพิพาทของพลเมืองเสมอ ๒. การปกครองแบบธรรมราชา ฐานะของพระมหากษัตริย์หลังสมัยพ่อขุน รามคำแหงได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ตั้งแต่สมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ จนถึงพระมหาธรรม ราชาที่ ๔ เน้นความเป็นธรรมราชา มากขึ้น คำนำหน้าพระนามพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ขึ้นต้นว่า พระมหาธรรมราชา หมายถึง พระมหากษัตริย์ผู้มีธรรม ธรรมในที่นี้หมายถึง หลักธรรม ในพระพุทธศาสนาธรรมราชาในอีกความหมายหนึ่ง หมายถึงพระมหากษัตริย์ผู้ยอมรับการ ปกครองโดยธรรมอำนาจของธรรมราชาเป็นอำนาจที่ชอบด้วยธรรมเสมอ ธรรมราชาจึงไม่ใช่ ผู้ปกครองที่อยู่ในระดับเดียวกับผู้นำที่ใช้กำลังหรืออำนาจอื่นเป็นฐานอำนาจทางการเมืองการ ปกครอง ผู้ที่จะเป็นธรรมราชาได้นั้น จะต้องมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การสร้างความยุติธรรม อำนาจ ที่ใช้ในการปกครองก็เป็นอำนาจที่อิงหลักธรรม ไม่ใช่การใช้อารมณ์หรือเหตุผลส่วนตัว ธรรมที่ใช้ ในการปกครองของพระมหากษัตริย์คือ ทศพิธราชธรรม จากพระไตรปิฎกได้กล่าวไว้มีดังนี้(๑) ทาน (๒) ศีล (๓) การบริจาค (๔) ความซื่อตรง (๕) ความอ่อนโยน (๖) ความเพียร (๗) ความไม่ โกรธ (๘) ความไม่เบียดเบียน (๙) ความอดทน (๑๐) ความไม่คลาดธรรม๑๑ พระมหากษัตริย์ ๑๐ ชัยอนันต์สมุทวนิช, ความคิดทางการเมืองการปกครองไทยโบราณ, (กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙), หน้า ๒๐ – ๒๑. ๑๑ ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/๑๗๕/๑๑๒.
๓๒ ผู้ปกครองในสมัยสุโขทัยยึดมั่นในหลักธรรม ในการปกครองระยะแรกพระมหากษัตริย์จะ แสดงออกในฐานะบิดาของประชาชน ต่อมาในระยะหลังพระมหากษัตริย์จะแสดงออกในฐานะ ธรรมราชาเป็นส่วนใหญ่ ฐานะเทวราชานั้นมีน้อยมาก การที่พระมหากษัตริย์ของอาณาจักร สุโขทัยปกครองบ้านเมืองโดยยึดมั่นในหลักธรรมเช่นนี้จึงก่อให้เกิดความสงบสุขในราชอาณาจักร การจัดระเบียบการปกครองอาณาจักรสุโขทัย มีลักษณะแบบกระจายอำนาจจาก ศูนย์กลางราชธานีออกไปสู่หัวเมืองต่างๆ โดยจัดลำดับความสำคัญของเมือง ดังนี้ ๑. การปกครองเขตราชธานีเขตราชธานีคือ กรุงสุโขทัยหรือเมืองหลวง เป็นที่ ประทับของพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลางการปกครองราชอาณาจักร ๒. การปกครองเมืองลูกหลวง เมืองลูกหลวงหรือหัวเมืองชั้นในเป็นเมืองหน้าด่าน เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ตั้งอยู่รายรอบทั้ง ๔ ทิศของราชธานี ๓. การปกครองเมืองพระยามหานคร เป็นเมืองชั้นนอก ห่างจากเมืองลูกหลวงอีก ชั้นหนึ่ง พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเจ้านายในราชวงศ์หรือขุนนางผู้เหมาะสมและมี ความสามารถไปปกครองดูแล เมืองเหล่านี้ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ ๔. การปกครองประเทศราชเมืองประเทศราช ได้แก่ หัวเมืองที่มิได้รวมเข้ากับ อาณาจักรสุโขทัยและมิได้ยอมรับอำนาจอาณาจักรสุโขทัยอย่างแท้จริง เพียงยอมอ่อนน้อมเพื่อ ความปลอดภัยของตนเอง เมืองประเทศราชต้องส่งเครื่องราชบรรณาการต่อราชสำนักกรุง สุโขทัยตามกำหนดเพื่อแสดงความจงรักภักดี๑๒ ๒.๓ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ความเจริญทางวรรณกรรมนับเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่ง วรรณกรรมในสมัยสุโขทัย เป็นต้นกำเนิด ของประเพณีวัฒนธรรมและภาษา ตกทอดมาถึงปัจจุบันทำให้คนไทยภาคภูมิใจ ในบรรพบุรุษของตนที่ได้สร้างสรรค์สิ่งที่เป็นเกียรติภูมิของคนไทยให้ดำรงจนถึงทุกวันนี้ เนื่องจากวรรณกรรมในสมัยสุโขทัยมีอยู่หลายเรื่องและบางเรื่องนักประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถ ตรวจสอบได้ว่าผู้แต่งคือใครและแต่งขึ้นในสมัยสุโขทัยหรือไม่ ๑๒ ดนัย ไชยโยธา, ประวัติศาสตร์ไทยยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสิ้นอาณาจักรสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๐), หน้า ๑๐๑ – ๑๐๔.
๓๓ วรรณกรรมในสมัยสุโขทัยที่มีการค้นพบและนักวิชาการให้การยอมรับและให้ ความสำคัญมีอยู่ ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๓.๑ จารึกพ่อขุนรามคำแหง วรรณกรรมสมัยสุโขทัยที่ยังคงมีหลักฐานมาจนถึงปัจจุบันก็คือ ศิลาจารึก ซึ่งกรุง สุโขทัยเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศ ตั้งขึ้นราว พ.ศ. ๑๗๘๑ โดยนับจากปีครองราชย์ของ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วงจนถึง พ.ศ. ๑๙๒๐ อันเป็นปีที่กรุงสุโขทัย เสียอิสรภาพแก่กรุงศรีอยุธยา รวมเวลา ๑๓๙ ปีในระยะที่คนไทยเริ่มตั้งตัวใหม่นี้ได้เกิด วรรณกรรมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์ของชาติทั้งทางด้านการเมืองและด้าน จิตใจพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้นำในทุกด้าน ได้ทรงศึกษาวิชาการทางอักษรศาสตร์ศาสนา และ รัฐศาสตร์ดังจะเห็นได้จากศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง และ ศิลาจารึกหลักอื่น ๆ ซึ่งเล่าเรื่องราว การดำเนินชีวิตและกฎหมายของสังคม อันมีลักษณะเป็นสังคมเกษตร ประชาชนมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ในฐานะเครือญาติในสมัยพ่อขุนรามคำแหงได้เริ่มประดิษฐ์รูปอักษรไทยขึ้นใช้เป็นครั้งแรก อักษรประดิษฐ์ของพ่อขุนรามคำแหงในศิลายังจารึกนั้น นอกจากจะเป็นต้นกำเนิดของตัว อักษรไทยแล้วยังเป็นหลักฐานอันสำคัญยิ่งทางอักษรศาสตร์ประวัติศาสตร์โบราณคดีตลอดจน ทางวัฒนธรรมประเพณีการประดิษฐ์อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในปีพ.ศ. ๑๘๒๖ โดยปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๑ ดังนี้“...เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี๑๒๐๕ (ตรง กับ พ.ศ.๑๘๒๖) ศก ปีมะแม พ่อขุนรามคำแหง หาใคร่ใจในใจ และใส่ลายสือไทยนี้ลายสือไทย นี้จึงมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้...” ๑๓ มหาศักราช ๑๒ ปีมะแม ตรงกับพุทธศักราช ๑๘๒๖ พ่อขุน รามคำแหงทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อสุโขทัยจะได้มีอักษรใช้เป็นของตนเองจึง นับได้ว่า พระองค์ทรงทำคุณประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ของวงการอักษรศาสตร์ไทย ศิลาจารึกพ่อขุน รามคำแหงจึงเป็นศิลาจารึกหลักแรกที่ใช้ตัวอักษรไทยและภาษาไทย พ่อขุนรามคำแหงมิได้ทรง แต่งแต่รูปอักษรไทยเท่านั้น พระองค์ยังได้ทรงเปลี่ยนแปลงอักขรวิธีให้ดีขึ้นกว่าเดิมอีกหลาย ประการ คือ ๑. ประดิษฐ์ตัวพยัญชนะและสระเพิ่มขึ้นจนสามารถเขียนภาษาไทยได้ตรงเสียงทุกคำ ๑๓ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, หน้า ๑๙.
๓๔ ในขณะที่ชาติใกล้เคียงใช้แต่อักษรเดิมของอินเดียทำให้ต้องใช้อักษรตัวเดียวแทนเสียงพยัญชนะ มากกว่าหนึ่งตัว ๒. อักษรวิธีทำให้อ่านข้อความได้ไม่กำกวม เช่น เขียน ตา-กลม ตาก–ลม ทำให้แยก ออกไปจากกัน ๓. นำพยัญชนะทุกตัวเรียงไว้ระดับเดียวกัน ไม่มีพยัญชนะซ้อนกันแบบครูคือ อินเดีย ศาสตราจารย์เซเดส์ได้ยกย่องว่าเป็นสาเหตุให้ไทยมีพิมพ์ดีดก่อนเขมร มอญ พม่า อินเดีย และ ไทใหญ่ หลายสิบปี ๔. นำสระทุกตัวยกมาไว้ระดับเดียวกับพยัญชนะ ซึ่งทำให้ประหยัดกระดาษไปได้หนึ่ง ในสาม และถ้าใช้คอมพิวเตอร์จะเสียเวลาในการพิมพ์และการอ่านลดลงหลายเท่า ๕. พยัญชนะและสระทุกตัวสูงเท่ากัน เวลาตีพิมพ์ตัวอักษรไม่หักไม่ต้องเปลี่ยน ตัวอักษรบ่อย ๆ ๖. เขียนได้เร็ว เพราะพยัญชนะแต่ละตัวเส้นต่อกันไม่ต้องยกมือหลายครั้ง ๗. ประดิษฐ์วรรณยุกต์ทำให้สามารถอ่านได้ตรงเสียงวรรณยุกต์โดยไม่ต้องเดา๑๔ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง นับได้ว่าเป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของประเทศไทยที่ตกทอด ถึงคนไทยในสมัยปัจจุบัน เป็นศิลาจารึกที่เขียนด้วยอักษรไทย เขียนเป็นภาษาไทย มีเนื้อหา กล่าวถึงชีวประวัติของพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ชีวิตคนไทย กฎหมาย ศาสนา และความ มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง ลักษณะการแต่ง เป็นการบันทึกเหตุการณ์ชีวประวัติของพ่อ ขุนรามคำแหงและสภาพบ้านเมืองทั่วไปในสมัยสุโขทัย เนื้อหาในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหง แบ่งออกเป็น ๓ ตอน ดังนี้ ตอนที่ ๑ นับตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑-๑๘ เป็นอัตชีวประวัติของผู้แต่ง คือ พ่อขุนรามคำแหงอย่างสั้น ๆ บรรยายถึงพระราชบิดาและราชตระกูล ต่อด้วยเกียรติประวัติในการรบ ในสมัยที่พระราชบิดาอยู่ในราชสมบัติครั้นพระราชบิดาสวรรคตแล้วก็ทรงประพฤติปฏิบัติด้วย ความจงรักภักดีต่อพระเชษฐา เมื่อพระเชษฐาสวรรคตแล้วก็เสด็จขึ้นครองราชย์สืบสันตติวงศ์ ๑๔ ประเสริฐ ณ นคร, ประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด, หน้า ๒๙.
๓๕ ตอนที่ ๒ นับตั้งแต่ด้านที่ ๑ บรรทัดที่ ๑๘ ไป บรรยายถึงเมืองสุโขทัยในรัชสมัยพ่อขุน รามคำแหงในเรื่องเหตุการณ์ธรรมเนียม ประเพณีความเป็นอยู่ กฎหมาย สภาพบ้านเมือง ความศรัทธาในศาสนาพุทธซึ่งปนกับความนับถืออำนาจศักดิ์สิทธิ์การสร้างพระแท่นมนังคศิลา การสร้างพระธาตุในเมืองศรีสัชนาลัย การสร้างจารึกและศาลา และการประดิษฐ์ตัวอักษรไทย ตอนที่ ๓ ด้านที่ ๔ จนถึงบรรทัดสุดท้าย เนื้อหาตอนนี้เป็นคำสดุดีพระเกียรติพ่อขุน รามคำแหงในฐานะที่เป็นกษัตริย์ปกครองแผ่นดิน และทรงเป็นครูอาจารย์สั่งสอนธรรม ต่อจากนั้นกล่าวถึงอาณาเขตสุโขทัยที่แผ่ออกไปทางทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศใต้และทิศ เหนือ๑๕ สำนวนภาษาในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ลักษณะการแต่ง มีการส่งสัมผัสคำ เช่นในน้ำ / มี ปลา / ในนา / มีข้าว๑๖คือมีจังหวะหยุดทุกสองคำ นอกจากนี้ยังมีการส่งสัมผัสต่อกันไปคล้าย ร่าย เช่น คนใดขี่ช้างมาหา พาเมืองมาสู่ ช่วยเหลือเพื่อกู้๑๗ การส่งสัมผัสอักษร ทั้งสัมผัสสระ และสัมผัสพยัญชนะก็เป็นสิ่งที่พบบ่อยในศิลาจารึกหลักที่ ๑ เป็นการเล่นคำคู่สัมผัสสระคู่ เช่น ใคร จัก มัก เล่น เล่น ใคร จัก มัก หัว หัว ใคร จัก มัก เลื่อน เลื่อน๑๘ ตัวอย่างที่ยกมานี้พิจารณาถึงคุณค่าเชิงภาษาแล้ว จะเห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพ่อ ขุนรามคำแหงที่ใช้ความประณีตในการเลือกสรรถ้อยคำ ความหมาย ซึ่งเป็นต้นแบบอักษรไทยที่ ใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้พิจารณาถึงคุณค่า ดังนี้ (๑) เป็นวรรณกรรมชิ้นแรกของไทย เป็นหลักฐานทางภาษาที่สำคัญใช้ความเรียงง่าย ๆ ในลักษณะภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน แสดงให้เห็นเป็นลักษณะของภาษาไทย เช่น เป็น ภาษาคำโดด มีลักษณะนาม คำประสม สำนวนภาษาไทยในตอนที่กล่าวถึงอัตชีวประวัติของพ่อ ขุนรามคำแหง ภาษากะทัดรัด สละสลวย สร้างมโนภาพชัดเจน (๒) คุณค่าทางความรู้คือ ความรู้ทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีเป็นความรู้ที่ใช้ อ้างอิงได้ ๑๕ สิทธา พินิจภูวดล,วรรณกรรมสุโขทัย,(กรุงเทพมหานคร:ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๕),หน้า ๓๘. ๑๖ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, หน้า ๙. ๑๗ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๐. ๑๘ อ้างแล้ว. หน้า ๑๓.
๓๖ (๓) แสดงถึงวิถีชีวิตของชาวสุโขทัย สภาพความเป็นอยู่ และลักษณะนิสัยใจคอของ ชาวสุโขทัย ๒.๓.๒ จารึกวัดศรีชุม วรรณกรรมในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท) มีศิลาจารึกที่บันทึกไว้ ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท คือ ศิลาจารึกวัดศรีชุม เป็นวรรณกรรมบรรยาย เขียนเป็นร้อย แก้วสันนิษฐานว่าแต่งโดยพระมหาเถรศรีศรัทธา ผู้สอนศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงศ์แห่งกรุงสุโขทัย เป็นคนแต่งขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๑๘๙๐ – ๑๙๑๗ เป็นรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาลิไท มี เนื้อความกล่าวถึงต้นประวัติราชวงศ์พระร่วงฝ่ายราชนิกุล การสร้างเมืองแฝดสุโขทัยกับศรีสัช ชนาลัย การสร้างพระธาตุเจดีย์การปลูกต้นโพธิ์บูชา พระธาตุ เป็นธรรมเนียมนิยมการปลูกต้น โพธิ์ในวัดพุทธศาสนา การสรรเสริญพระมหาเถรศรีศรัทธา ในทางปฏิบัติศาสนกิจจนทรงมี บุญญาบารมีเกิดอิทธิปาฏิหาริย์การบรรยายก่อให้เกิดความสะเทือนอารมณ์ เช่นเดียวกับ วรรณกรรมสะเทือนอารมณ์โดยทั่วไป ประกอบด้วยศิลปะของการใช้คำและการใช้ภาพพจน์การ เล่นคำ นอกจากนี้ยังมีศิลา-จารึกวัดป่ามะม่วง (หลักที่ ๔,๕,๖,๗) เป็นวรรณกรรมแปลชิ้นแรก ของไทย มีสี่หลักเขียนข้อความอย่างเดียวกัน แต่ใช้ภาษาต่างกัน คือ ภาษาไทย ภาษาขอม ภาษาบาลีศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงหลักที่๔ เขียนเป็นภาษาขอม หลักที่ ๕ และ ๗ เขียนด้วย อักษรไทยเป็นภาษาไทย หลักที่ ๖ จารึกด้วยอักษรขอมเป็นภาษาบาลีศิลาจารึกทั้งสี่หลักนี้แต่ง ขึ้นราว พ.ศ. ๑๙๐๕ กล่าวถึงการสร้างถาวรวัตถุทางศาสนาและการสร้างวัดป่าเพื่อใช้เป็นที่วิเวก เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมการศึกษาพระไตรปิฎกและการปฏิบัติธรรมของพญาลิไท๑๙ ๒.๓.๓ ไตรภูมิพระร่วง วรรณกรรมที่เป็นที่รู้จักของคนในปัจจุบัน และปรากฏเป็นหลักฐานจนถึงทุกวันนี้คือ เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง ผู้แต่ง คือ พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยการ ประมาณสาระจากคัมภีร์บาลีจำนวนกว่า ๓๐ คัมภีร์ทั้งไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา คัมภีร์ปกรณ์ พิเศษ ๑๙ คณะกรรมการว่าด้วยวัฒนธรรมและสารสนเทศ, ไตรภูมิกถา ฉบับถอดความ, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๘), หน้า ๒๑.
๓๗ รายชื่อคัมภีร์ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงประมาณ ๓๐ เล่ม อันเป็นแหล่งอ้างอิงที่มา ของข้อมูลนี้พอจะจำแนกถึงที่มาของข้อมูลในไตรภูมิพระร่วงได้ดังนี้ คัมภีร์พระไตรปิฎก เป็นคัมภีร์ที่รวบรวมพุทธพจน์ซึ่งเป็นพระธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า เรียกตามภาษามคธว่า เตปิฎก ประกอบด้วย ๓ ปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระ สุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ทางพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดและ สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ในอดีตพระสงฆ์จะจดจำพระพุทธวจนะสืบต่อกันมาเป็นมุขปาฐะ จนเมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๕๐ จึงมีการทำสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๔ ซึ่งได้มีการจารึกพระ พุทธวจนะเป็นลายลักษณ์อักษรในใบลาน และสืบทอดกันมา อายุของคัมภีร์ไม่น้อยกว่า ๒,๓๐๐ ปี๒๐ คัมภีร์ที่กล่าวถึงในไตรภูมิพระร่วงซึ่งมีที่มาจากพระไตรปิฎก มีดังนี้ ๑. พระธรรมบท เป็นคัมภีร์หนึ่งในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ที่ประมวลหลักคำ สอนในพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นพุทธภาษิตแก่บุคคลในสถานที่ต่างๆ พระธรรมบท เป็นบทร้อยกรองภาษาบาลี๔๒๓ คาถา แบ่งเป็นหมวดจานวน ๒๖ วรรค ได้แก่ ยมกวรรค (หมวดคู่) อัปปมาทวรรค (หมวดไม่ประมาท) จิตตวรรค (หมวดจิต) ปุบผวรรค (หมวดดอกไม้) พาลวรรค (หมวดพาล) บัณฑิตวรรค (หมวดบัณฑิต) อรหันตวรรค (หมวดอรหันต์) สหัสสวรรค (หมวดพัน) ปาบวรรค (หมวดบาป) ทัณฑวรรค (หมวดลงทัณฑ์) ชราวรรค (หมวดชรา) อัตต วรรค (หมวดตน) โลกวรรค (หมวดโลก) พุทธวรรค (หมวดพระพุทธเจ้า) สุขวรรค (หมวด ความสุข) ปิยวรรค (หมวดความรัก) โกธวรรค (หมวดโกรธ) มลวรรค (หมวดมลทิน) ธัมมัฎฐ วรรค (หมวดความเที่ยงธรรม) มรรควรรค (หมวดทาง) ปกิณณกวรรค (หมวดเบ็ดเตล็ด) นิรย วรรค (หมวดนรก) นาควรรค (หมวดช้าง) ตัณหาวรรค (หมวดตัณหา) ภิกขุวรรค (หมวดภิกขุ) พราหมณวรรค (หมวดพราหมณ์) นิยะดา เหล่าสุนทร สันนิษฐานว่าพระธรรมบทที่อ้างไว้ในไตรภูมิพระร่วงน่าจะเป็น อรรถกถาธรรมบทหรือที่เรียกว่า พระธัมมปทัฎฐกถา เพราะพระธรรมบท เป็นคาถาล้วนๆ แต่ พระธัมมปทัฎฐกถา ได้ผูกเรื่องขึ้นเพื่อให้ความในคาถาชัดเจนขึ้น๒๑ ๒๐ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรณคดีบาลี(กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยจุฬา- ลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๒๔-๒๕ ๒๑ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แม่คำฝาง, ๒๕๓๘), หน้า ๑๒๗.
๓๘ ๒. พระมหานิทาน วอร์เดมาร์ซีไซเลอร์และสุภาพรรณ ณ บางช้าง กล่าวว่าคัมภีร์ พระมหานิทานน่าจะเป็นคัมภีร์เดียวกับคัมภีร์โสตัตถกีมหานิทาน แต่นิยะดา เหล่าสุนทร มี ทัศนะว่าไม่น่าจะเป็นคัมภีร์เดียวกัน เพราะไม่มีเนื้อความตอนใดที่ตรงกันเลย แต่พระมหานิทาน นี้น่าจะเป็นคัมภีร์เดียวกับคัมภีร์สัมปิณฑิตมหานิทาน ซึ่งยังไม่พบต้นฉบับ แต่มีการอ้างถึงบ่อยใน วรรณกรรมโลกศาสตร์อื่นๆ เช่น ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา๒๒ ๓. พระพุทธวงศ์เป็นคัมภีร์หนึ่งในหมวดอปทาน พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย ลำดับที่ ๑๒ กล่าวถึงเรื่องราวของพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์โดยมีเนื้อหากล่าวถึงว่าหลังจากที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจึงเสด็จไปยังเมืองกบิลพัสดุ์เพื่อแสดงธรรมโปรดพระราชบิดา พระองค์ได้ ทรงแสดงปาฏิหาริย์แสดงเวสสันตรชาดกโปรดพระประยูรญาติพระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวา กราบทูลถามถึงการตั้งความปรารถนาพระพุทธภูมิและพระบารมีธรรมที่ทรงบำเพ็ญมาแต่อดีต พระองค์ทรงเล่าถึงประวัติที่พระองค์บำเพ็ญบารมีเป็นเวลาสี่อสงไขยแสนกัลป์ ทรงรับพุทธ พยากรณ์ในสำนักของพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์และทรงเล่าถึงประวัติของพระองค์เรื่องราว ของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์เรียกว่า พุทธวงศ์จึงมีเรื่องราวรวมทั้งสิ้น ๒๕ พุทธวงศ์๒๓ ๔.พระจริยาปิฎก เป็นคัมภีร์ลำดับที่ ๑๖ ในขุททกนิกาย พระสุตตันตปิฎกว่าด้วย การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าในชาติที่ล่วงมาแล้ว แต่งเป็นคาถาล้วน กล่าวถึงเมื่อ พระโค ดมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญบารมีจำเดิมตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์จากสำนักของพระทีปังกรพุทธ เจ้าเป็นเวลานานถึง ๔ อสงไขยแสนกัลป์พระจริยวัตรของพระองค์ที่นำมาพรรณนาในคัมภีร์ จริยาปิฎกกล่าวถึงเฉพาะในภัททกัลป์เท่านั้น ซึ่งรวมทั้งสิ้น ๓๕ จริยวัตร หรือ ๓๕ ชาติแบ่งเป็น ๓ วรรค คือ วรรคแรก ๑๐ จริยา แสดงทานบารมีของพระโพธิสัตว์๑๐ องค์วรรคที่สอง ๑๐ จริยา แสดงศีลบารมีและวรรคที่สาม ๑๕ จริยา แสดงเนกขัมมบารมีปัญญาบารมีวิริยบารมี ขันติบารมีสัจจบารมีอธิษฐานบารมีเมตตาบารมีและอุเบกขาบารมี๒๔ ๕. พระปาเลยยะ สมพงษ์ปรีชาจินดาวุฒิได้ระบุไว้ว่าคัมภีร์เล่มนี้คือ ธรรมปาลิเลยย สูตรซึ่งมีที่มาจากพระสุตตันตปิฏก๒๕แต่นิยะดา เหล่าสุนทรได้เสนอทัศนะไว้ว่าคัมภีร์เล่มนี้ไม่ ๒๒ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา, หน้า ๑๓๓. ๒๓ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา,, หน้า ๑๒๔. ๒๔ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๒๓. ๒๕ สมพงษ์ปรีชาจินดาวุฒิ, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องโลกุปปัตติ”, หน้า ๙๗.
๓๙ ปรากฏในประวัติวรรณคดีบาลีจึงสันนิษฐานว่าคาว่า “ปาเลยยะ” น่าจะคลาดเคลื่อนมาจาก “มาเลยยะ” ซึ่งเป็นชื่อย่อของคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ เพราะตัว “ป” อักษรขอม กับตัว “ม” มีวิธีการเขียนคล้ายคลึงกัน จึงสันนิษฐานว่าน่าจะหมายถึงคัมภีร์ มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ เพราะจากการศึกษาพบว่าเนื้อหาบางตอนของทั้ง ๒ คัมภีร์นั้นตรงกัน คือตอนที่กล่าวถึงพระ จุฬามณีเจดีย์๒๖ นักวิชาการหลายท่านเชื่อว่า คัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุไม่ใช่ผลงานวรรณคดีบาลีที่ แต่งในลังกาเพราะไม่ปรากฏคัมภีร์นี้ในลังกา แต่เค้าโครงเรื่องของจูลคัลละในคัมภีร์สหัสสวัตถุ ปกรณ์ของลังกาซึ่งแต่งเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๔ ได้แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลอันเป็นต้นเค้า ของแนวสาระตามทำนองคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุซึ่งมีจุดเริ่มต้นแห่งการวิวัฒน์ที่ประเทศพม่า จารึกของพม่าซึ่งพรรณนาถึงการเทศนาเรื่องพระมาเลยยะและการเทศนาเรื่องมหาชาติเมื่อ พ.ศ. ๑๗๔๔ เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าน่าจะมีการแต่งผลงานภาษาบาลีเรื่องพระมาเลยยะ ขึ้นในพม่าแล้วในช่วงนั้น ผลงานดังกล่าวน่าจะแต่งเมื่อประมาณระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อันเป็นช่วงยุคทองแห่งการสร้างสรรค์วรรณคดีบาลีในพม่า แต่ไม่ ปรากฏหลักฐานคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุในประเทศพม่า จึงสันนิษฐานว่าผลงานเรื่องพระมา เลยยะที่แต่งในพม่าไม่ได้อยู่ในรูปและในชื่อคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ แต่น่าจะเป็นผลงาน เล็กๆ สั้นๆ ในลักษณะที่เรียกว่า “พระสูตร” ผู้คนจึงนิยมเรียกว่า “มาเลยยสูตร” นับเป็นพระ สูตรนอกพระไตรปิฏก ผลงานนี้เผยแพร่สู่ล้านนาไทย และแพร่กระจายไปสู่ภูมิภาคอื่นของ ประเทศไทย ทำให้มีการแต่งคัมภีร์มาเลยยเทวัตเถรวัตถุในประเทศไทยในเวลาต่อมา๒๗ คัมภีร์ มาเลยยเทวัตเถรวัตถุ มีเนื้อหากล่าวถึงพระมาลัยเถระผู้มีอิทธิฤทธิ์ได้เหาะไปถึงนรก และ นำ เรื่องราวที่พบเห็นความทุกข์ทรมานของสัตว์นรกมาแจ้งให้ญาติพี่น้องทราบเพื่อจะได้ทำบุญอุทิศ กุศลไปให้บุรุษยากจนผู้หนึ่งนาดอกบัว ๘ ดอกมาถวาย พระมาลัยนำไปบูชาพระเจดีย์จุฬามณี ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ท้าวสักกะจึงแจ้งให้ทราบว่าพระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์จะมาสักการะพระ ๒๖ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา, หน้า ๑๑๗. ๒๗ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, วิวัฒนาการงานเขียนที่เป็นภาษาบาลีในประเทศไทย: ประเภท วิเคราะห์ธรรมในพระสุตตันตปิฎก, (กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๑), หน้า ๓๑๖.