๑๙๐ อิทธิฤทธิ์ต่างๆ เชื่อถือความศักดิ์สิทธิ์ของคาถา อันเป็นภาษาบาลีว่ามีอำนาจเรียกว่า เวทมนต์ คาถา คำสวดต่างๆ ถือว่าเป็นมงคลและสามารถขับไล่ภูตผีปีศาจได้๒๔ คุณค่าของวรรณกรรมเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ด้านผดุงสังคมให้เข้มแข็ง เช่น หลักธรรมสำหรับการมีชีวิตครอบครัว เช่น “พระพุทธเจ้าทรงสอนให้คนรักษาประเวณี ที่ ประพฤติตามประเพณีที่ได้เสียเป็นผัวเมียกัน แล้ว ต้องยกย่องกัน เปิดเผยความเป็นผัวเมียกันให้ ปรากฏ เลี้ยงดูกัน ไม่นอกใจกัน และไม่ ทอดทิ้งกัน ผัวเมียที่ได้กัน และอยู่ด้วยกันตามประเพณี เมื่อมีลูกแล้ว ลูกที่เกิดย่อมรู้ว่าใครเป็น วงศ์ญาติ หรือผู้ใหญ่ในสายสกุลของตน แล้วจะได้นับถือ รักใคร่กันตามสัมพันธ์๒๕ การประยุกต์คำสั่งสอน ข้อห้าม๒๖หรือความเชื่อต่างๆ ซึ่งแต่เดิมใช้เป็นตัวควบคุม หรือกำหนดพฤติกรรมของผู้คนในสังคม มารจนาเป็นบทวรรณกรรม เพื่อใช้ย้ำเตือนและบังคับ ให้สังคมตั้งมั่นอยู่ในความสงบ มีระเบียบวินัย ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ดังนั้น การศึกษาวรรณกรรมจึง เลี่ยงการศึกษาสังคมได้ยากความรู้เกี่ยวกับสังคมอันเป็นที่เกิดของวรรณกรรมจึงเป็นสิ่งที่ จำเป็น๒๗ สังคมไทย มีลักษณะที่แตกต่างในโครงสร้างจากสังคมในโลกตะวันตกอย่างมากแม้ คนไทยในแต่ละภูมิภาคจะมีความแตกต่างในวัฒนธรรมและประเพณีแต่เอกลักษณ์ความเป็น ไทยก็ยังมีส่วนร่วมกันอยู่มาก ความเชื่อเช่นนี้ก็ตกทอดวัฒนธรรมของไทยมาเป็นเวลานาน นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีวัฒนธรรมที่ตกทอดมาช้านานอื่นๆ อีก เช่น วัฒนธรรมการอบรม เลี้ยงดูที่บิดามารดาไทยทุกระดับ จะเน้นเหมือนกัน คือ ๑) การควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวทาง กายและวาจา ๒) ความกตัญญูและ ความจงรักภักดี๓) ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ ๒๔ เบญจมาศ พลอินทร์, วรรณคดีขนบประเพณีและศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ ภาพพิมพ์, ๒๕๒๔), หน้า ๑๕. ๒๕ ทวี วรคุณ, หล วงพ่อทองวัดโบสถ์, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊ค, ๒๕๔๑), หน้า ๑๒๙. ๒๖ ทวีศรีแก้ว, “คติในการครองเรือนจากวรรณกรรมอีสาน”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา บัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ), ๒๕๓๖. ๒๗ เจตนา นาควัชระ, วรรณคดีวิจารณ์และวรรณคดีศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนา พานิช, ๒๕๔๕), หน้า ๓๓.
๑๙๑ ความเสียสละ ค่านิยมนี้ตกทอดในสังคมไทยเหมือนสังคมในตะวันออก โดยทั่วไปได้แก่ ค่านิยม การมีคารวะต่อผู้อาวุโส เป็นวัฒนธรรมที่ปฏิบัติกันต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ลูกต้องเคารพพ่อแม่ น้องต้องเคารพเชื่อฟังพี่ เด็กต้องไม่เถียงผู้ใหญ่ คนไทยมีการดำเนินชีวิตแบบพี่ๆ น้องๆ ถ้าเป็น ผู้ใหญ่ก็จะถูกเรียกว่า ลุง ป้า ตายาย ถ้าเด็กก็จะถูกเรียกว่า ลูก หลาน ฉะนั้น ความสัมพันธ์ ระหว่างคนไทยจึงแตกต่างไปจากสังคมตะวันตก ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยไม่ว่าจะเป็นการทา งานหรือความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงมีลักษณะเหมือนคนไทย๒๘ จารีตประเพณีถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและมีความจำเป็นในการด้านผดุงสังคมให้ เข้มแข็ง เพราะว่าจารีตประเพณีเป็นกระบวนการการสร้างฐานสังคมให้เข้มแข็งที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการดำรงชีวิต โดยใช้จารีตประเพณีเป็นเครื่องมือช่วยให้ทำสิ่งต่างๆ เพื่อให้บรรลุผลตามที่ ตั้งใจไว้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้เป็นชนเผ่า เป็นสังคม เป็นประเทศชาติก็ด้วยจารีตประเพณีเพื่อ ก่อให้เกิดความเข้าใจและสร้างจุดมุ่งหมายร่วมกัน จารีตประเพณีจึงเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ใช้เพื่อ สร้างและพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นสิ่งที่ช่วยให้มนุษย์รักกัน ห่วงใยกัน ช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน ซึ่งปรากฎ หลักธรรมที่ปรากฎในวรรณกรรมเรื่องหลวงพ่อทองได้แก่ ๑) ทิศ ๖ สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันแรกของสังคมมนุษย์แม้จะเป็นสถาบันที่มีขนาดเล็กที่ สุดแต่ก็มีความสำคัญมากที่สุดเช่นกัน ครอบครัวนั้นจะประกอบด้วยสามีภรรยาและเมื่อมีบุตร ก็ เปลี่ยนสถานภาพเป็นบิดามารดา จึงจะเป็นครอบครัวที่ครบบริบูรณ์ได้“ครอบครัวเป็นสถาบันที่ อบรมบ่มนิสัยให้บุตรหลานเป็นคนดีของสังคมและยังเป็นสถาบันที่สร้างความมั่นคงให้แก่ ประเทศชาติในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม” ๒๙ ในวรรณกรรมเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์มีเนื้อความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องครอบครัว เป็นการสงเคราะห์เกื้อกูลกัน ดังความว่า “แม้บุญช่วยจะไม่ใช่ลูกในใส้ แต่เป็นคนดีต่อผู้เลี้ยงดู ๒๘ พรรณทิพย์ศิริวรรณบุศย์, มนุษยสัมพันธ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔ , (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๘๕. ๒๙ วิมล จิโรจพันธุ์และคณะ, วิถีไทย, (กรุงเทพมหานคร : แสงดาว, ๒๕๔๘), หน้า ๕๔.
๑๙๒ และมีความเสียสละต่อน้อง อันยากที่ผู้ เป็นพี่น้องแท้ๆ จะประพฤติได้ ดีกว่าลูกบางคนของบาง บ้านเสียอีก”๓๐ ปัจจุบันสังคมไทยได้มีการสั่งสอนอบรมบุตรธิดาให้ตั้งอยู่ในคุณธรรมโดยเฉพาะความ กตัญญูกตเวที“คนไทยส่วนมากมักให้ความเคารพนับถือผู้ใหญ่ ใครมีบุญคุณก็จำไว้และหาทาง ตอบแทน” ๓๑ เป็นการเน้นให้เห็นถึงความรู้จักบุญคุณของผู้ที่ได้กระทำไว้แก่ตนเองก่อน นอกจากนั้น บิดามารดายังต้องสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทมัวเมาอบายมุขทั้งหลายที่ เกิดขึ้นในยุคเทคโนโลยีครอบครัวไทยจึงมักมีความอบอุ่นอันเกิดจากความรักที่มีต่อกันช่วยเป็น ภูมิคุ้มกันไม่ให้บุตรธิดาเข้าไปเกี่ยวข้องกับปัญหาสังคม และยังช่วยเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับ เยาวชนที่ได้เจริญเติบโตขึ้น ปัจจุบันผู้ปกครองทั้งหลายได้นำบุตรธิดามาร่วมโครงการกับวัด โดย มีพระภิกษุสงฆ์ร่วมกับหน่วยงานของภาครัฐเข้ามามีส่วนร่วมในการอบรมศีลธรรมจริยธรรม ให้แก่เยาวชน โดยการเปิดค่ายพุทธบุตร ค่ายศีลธรรมตามสถานที่ต่างๆ อันเป็นการช่วยเหลือ สังคมอีกทางหนึ่ง การนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเข้ามาแก้ไขปัญหาของสังคม จึงมีความ จำเป็นต่อชุมชนอย่างมาก นับได้ว่า สังคมไทยได้มีการสอนศีลธรรมตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึง ระดับชนชั้นปกครอง ทิศหกเป็นหลักการพัฒนาจริยธรรมทั้งสองอย่าง คือ จริยธรรมส่วนบุคคล เพราะได้แสดงหน้าที่ของบุคคลต่างๆ ที่พึงปฏิบัติต่อกันและกันทำให้บุคคลแต่ละคนมีคุณภาพที่ ดีคือ “เมื่อบุคคลมีคุณภาพปฏิบัติตามหน้าที่โดยสมบูรณ์แล้วก็ส่งผลให้สังคมส่วนรวมมีความสุข ร่มเย็น” ๓๒ “หลักทิศ ๖ นี้ชาวยุโรปเลื่อมใสมากว่าจะสามารถแก้ปัญหาสังคมได้เพราะได้ กำหนดหน้าที่ให้บุคคลทุกประเภทในสังคมควรปฏิบัติต่อกันในทางที่ดีงามไม่มีการกดฝ่ายใดฝ่าย หนึ่งลงไป” ๓๓ ๓๐ ทวี วรคุณ, หลวงพ่อทองวัดโบสถ์, หน้า ๑๐๑. ๓๑ ฟื้น ดอกบัว, พระพุทธศาสนากับคนไทย, หน้า ๖๙. ๓๒ พระมหาประพันธ์สุวรรณมณี, “ศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏใน วรรณกรรมหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราช”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหิดล), ๒๕๔๓, หน้า ๙๔. ๓๓ คูณ โทขันธ์, พุทธศาสนากับสังคมและวัฒนธรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕), หน้า ๑๖๙.
๑๙๓ ๒) ไตรลักษณ์ เป็นหลักธรรมที่สำคัญอย่างยิ่งอีกอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นหลักที่ แสดงถึงหลักความเป็นจริงตามธรรมชาติไตรลักษณ์เป็นสัจจธรรมอันแท้จริงที่อยู่คู่กับโลกมนุษย์ เป็นการแสดงความธรรมดาของชีวิตและสรรพสิ่งว่า ทุกชีวิตและสรรพสิ่งที่เกิดมาย่อมมีเหตุ ปัจจัยนำมาให้เกิด และต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยเหล่านั้น หลักธรรมข้อนี้เป็นการสอนให้ทุกชีวิต มีสติปัญญารู้เท่าทันกับความเป็นไป เป็นการเตือนสติไม่ให้ประมาทมัวเมาในโลกมายา ในวรรณกรรมเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ได้กล่าวถึงเรื่องความทุกข์ที่เกิดขึ้นเพราะ การพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก กวีได้มุ่งเน้นให้ทุกคนได้ทราบว่า มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาย่อม มีอันเป็นไปตามกาลเวลาและตามความเป็นจริง ดังตอนต้นเรื่องก็พบการสวรรคตของสมเด็จ พระมหาธรรมราชา พระมหากษัตริย์ของไทย อันแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของ ชีวิต ไตรลักษณ์นี้จึงสอนให้รู้จักการใช้ชีวิตและความเป็นไปของสรรพสิ่งตามสภาพความเป็นจริง เป็นการสอนให้รู้จักการวางท่าทีต่อชีวิตและสรรพสิ่ง ทำใจให้ได้ปลงใจให้ได้เมื่อสรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลง เสื่อมสลายหรือแตกดับไป” ๓๔ ชีวิตของคนเรามีความหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอยู่ ตลอดเวลา หลักไตรลักษณ์ที่ผู้ประพันธ์ได้นำมาประพันธ์สอดแทรกไว้ในวรรณกรรมเรื่องหลวง พ่อทองวัดโบสถ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจให้สติแก่บุคคลทั่วไปว่าชีวิตของคนเรานั้นไม่สามารถจะ หลีกหนีความเป็นจริงของชีวิตไปได้มีพบกันก็มีจากกัน เป็นการฝึกตนให้รู้จักกับสัจธรรมของโลก เป็นการฝึกให้มีสติปัญญารู้เท่าทันกับความผันแปรของธรรมชาติเพื่อจะได้ดำรงชีวิตอยู่อย่างมี ความสุข ๓) กรรม คนไทยส่วนใหญ่เชื่อเรื่องบุญ-บาป เชื่อผลของกรรม “กรรมทำให้คนแตกต่างกัน” ๓๕ และยังมีผลให้คนต้องรับกรรมที่ตนเองได้ทำไว้อีกด้วย เป็นการชดใช้กรรมที่ได้กระทำไว้ในอดีต ๓๔ เกษม ขนาบแก้ว, หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุง, (ภาควิชาภาษาไทย คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์: วิทยาลัยครูสงขลา, ๒๕๓๖), หน้า ๖๗. ๓๕ ฟื้น ดอกบัว, พระพุทธศาสนากับคนไทย, หน้า ๕๙.
๑๙๔ นอกจากจะมีความเชื่อเรื่องกรรมในอดีตที่มีให้ผลในปัจจุบันและอนาคตแล้ว ยังมีความเชื่อว่า กรรมที่ทำในปัจจุบันจะสามารถบันดาลให้ตนได้พ้นบ่วงกรรมที่ได้รับนั้นอีกด้วย ในวรรณกรรมเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ได้กล่าวถึงลักษณะของกรรมไว้เป็นกรรมที่ ให้ผลในปัจจุบันแบบทันตาเห็นและกรรมที่ต้องการให้เกิดขึ้นในอนาคต “สังคมไทยเมื่อคนใน ครอบครัวเสียชีวิตมักให้ความสำคัญกับการจัดงานศพ โดยจัดงานบำเพ็ญกุศลศพอย่างใหญ่โต เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ทั้งยังเป็นการแสดงความจงรักภักดีความเคารพนับ ถือ” ๓๖ ตอนมีชีวิตอยู่เคยเคารพนับถืออย่างไร เมื่อล่วงลับดับขันธ์ไปแล้วก็ควรมีความเคารพนับ ถือเช่นเคยไม่เปลี่ยนแปลง ครอบครัวไทยจึงมักมีคำสอนบุตรหลานให้บำรุงเลี้ยงดูบิดามารดาใน ยามมีชีวิตอยู่ให้มีความสุขมากที่สุด ไม่ให้ดุด่าว่ากล่าวหรือตบดีบิดามารดา เพราะมีความเชื่อว่า จะทำให้ได้รับผลกรรม คือ “เกิดเป็นเปรต มีจักรกรดพัดอยู่บนศีรษะ โลหิตไหลอยู่โทรมกาย ร้องไห้ร้องครวญครางทั้งกลางวันกลางคืน” ๓๗ ซึ่งตรงกับชาดกในพระพุทธศาสนาหลายเรื่องที่ กล่าวถึงการไม่เชื่อฟังพ่อแม่แล้วได้รับความลำบากในภายหลัง แต่ปัจจุบันนี้เชื่อว่า “ผู้ที่ด่าพ่อแม่ จะไม่มีใครคบค้าสมาคม จึงหาความเจริญไม่ได้” ๓๘ สังคมไทยจึงเน้นเรื่องกรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ทำให้ทุกคนต่างเกรงกลัวผล กรรมที่จะเกิดขึ้น เป็นอุบายวิธีที่ทำให้คนไทยมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จิตใจงดงามโอบอ้อมอารีต่อ คนทั่วไป ต่างร่วมกันทำหน้าที่ของตนเองอย่างเรียบร้อย โดยมุ่งหวังให้ได้รับผลกรรมดีมีชีวิตที่ ประสบแต่ความสุข กรรมจึงเป็นตัวกำหนดบทบาทของสมาชิกในครอบครัวให้รู้จักรักใคร่ปอง ดองกัน อยู่ร่วมกันอย่างสมานสามัคคีไม่มีการทะเลาะกัน สรุปได้ว่า สถาบันครอบครัวนับเป็นสถาบันแรกที่สร้างบุคลากรได้ดีที่สุดสถาบันหนึ่ง หลักธรรมที่ได้กล่าวมาจึงเป็นหลักธรรมที่สมาชิกภายในครอบครัวต้องช่วยกันยึดถือปฏิบัติ ร่วมกัน อันจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ความสมานสามัคคีที่ดีต่อกัน เรื่องความรักความผูกพัน ในครอบครัวของคนไทย ถ้าจะเปรียบความสัมพันธ์ที่เรามีอยู่ในแต่ละครอบครัวว่าเปรียบประดุจ ๓๖ ทวี วรคุณ, หลวงพ่อทองวัดโบสถ์, หน้า ๒๐๖. ๓๗ พร รัตนสุวรรณ, นรก-สวรรค์ภาคนรก, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ วิญญาณ, ๒๕๔๒), หน้า ๔๐๔. ๓๘ ณรงค์เส็งประชา, วิถีไทย, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๔), หน้า ๙๓.
๑๙๕ กาวหรือสิ่งที่เชื่อมโยงให้เรามีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รักใคร่สามัคคีกัน มองทุกคนในสังคม ประดุจพี่น้องปรารถนาดีต่อกันและพร้อมที่จะเสียสละเพื่อความอยู่รอดของแต่ละครอบครัวแล้ว ความผูกพันนี้จะเป็นผลสืบต่อไปยังสังคมที่ใหญ่ขึ้นไปจากครอบครัวไปถึงหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัดในที่สุดก็ถึงประเทศชาติ“เมื่อแต่ละหน่วยย่อยมีคุณลักษณะที่รักใคร่กลมเกลียวกันอย่าง นี้แล้ว ก็เป็นหลักประกันได้ว่าประเทศชาติจะไม่มีวันสูญสลายไป จะคงเป็นชาติไทยตลอดกาล นาน” ๓๙ ปัญหาสังคมจะลดน้อยเบาบางลงไปพร้อมกันด้วย จากสภาพการณ์เช่นนี้ทำให้สังคมมี การพัฒนาเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะประเทศชาติมีบุคลากรที่เปี่ยมล้นด้วย คุณภาพและศักยภาพตั้งแต่ระดับครอบครัวขึ้นไป ๓. คุณค่าต่อปัญญา ความเข้าใจโลกและชีวิตของผู้ประพันธ์ทำให้งานประพันธ์มีคุณค่าในฐานะที่เป็น เครื่องประเทืองปัญญา เพราะวรรณกรรมก่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจในธรรมชาติของ มนุษย์และนำความรอบรู้มาสู่ผู้อ่านทั้งในเรื่องของสรรพวิทยาการด้านต่าง ๆ และในเรื่องของ โลกและชีวิต เป็นข้อมูลเสริมที่ช่วยประกอบหรือยืนยันความรู้ที่มาจากแหล่งอื่นที่แน่นแฟ้นกว่า เนื่องจากไม่ใช่ตำราจึงไม่มีวรรณกรรมเรื่องใดที่เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้โดยตรง พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน นิยามความหมายของ “ปัญญา” ไว้ว่าหมายถึงความ รอบรู้, ความรู้ทั่ว, ความฉลาดเกิดแต่เรียนแต่คิด๔๐ และบุญมีแท่นแก้ว กล่าวว่า ปัญญาในพุทธ ปรัชญาเกิดจาก ๓ แหล่ง ดังนี้ ๑) สุตมยปัญญา ปัญญาหรือความรู้เกิดจากการฟัง การศึกษาเล่าเรียน การอ่านจาก ตำราหรือคัมภีร์ที่น่าเชื่อได้ตลอดถึงการรับถ่ายทอดจากผู้ที่น่าเชื่อได้ที่เรียกว่า ปรโตโฆสะ ซึ่ง ตรงกับ ศัพท์ประมาณ ในปรัชญาอินเดีย ๓๙ วัชรีรมยะนันทน์, “ความสัมพันธ์ในครอบครัวและความสัมพันธ์ฉันครูและศิษย์ใน วรรณคดีไทย”, ภาษาและวรรณคดีไทย, ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๓ ( ธันวาคม ๒๕๓๓ ) : ๒๒-๓๑ . ๔๐ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, หน้า ๖๘๗.
๑๙๖ ๒) จินตามยปัญญา ปัญญาหรือความรู้เกิดจากความคิด ใคร่ครวญ พิจารณาหา เหตุผล วิเคราะห์สงเคราะห์ที่เรียกว่า โยนิโสมนสิการ ซึ่งตรงกับ อนุมานประมาณ ในปรัชญา อินเดีย ๓) ภาวนามยปัญญา ปัญญาหรือความรู้เกิดจากการพัฒนาหรือเกิดจาก ประสบการณ์ตรง อันเกิดจากสัญญาบริสุทธิ์และสัญญาพิเศษซึ่งอาศัยพื้นฐานคือพุทธิปัญญาอันมี มาโดยสัญชาตญาณ ซึ่งตรงกับ ประจักษ์ประมาณ ในปรัชญาอินเดีย๔๑ วรรณกรรมทำหน้าที่ผู้สืบต่อวัฒนธรรมของชาติจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง เป็นสายใยเชื่อมโยงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติในวรรณกรรมมักจะบ่งบอกคติ ของคนในชาติไว้เช่น วรรณกรรมสมัยสุโขทัยจะทำให้เราทราบว่าคติของคนไทยสมัยสุโขทัยนิยม การทำบุญให้ทาน การสาปแช่งคนบาปคนผิด มักจะสาปแช่งมิให้พระสงฆ์รับบิณฑบาตรจาก บุคคลผู้นั้น ดังนี้เป็นต้น วรรณกรรมของชาติมักจะเล่าถึงประเพณีนิยม คติชีวิต การใช้ถ้อยคำ ภาษา การดำรงชีวิตประจำวัน การแก้ปัญหาสังคม อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า เป็นต้น เพื่อให้คนรุ่นหลังมีความรู้เกี่ยวกับคนรุ่นก่อน ๆ และเข้าใจวิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน เข้าใจเหตุผล ว่าทำไมคนรุ่นก่อนๆ จึงคิดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น ก่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อกัน ดังเช่น วรรณกรรมเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๒ ช่วยให้ผู้อ่านได้ทราบถึงพระราชพิธีต่าง ๆ เช่นพระราชพิธีโสกันต์เป็นต้น หรือ เรื่องขุนช้างขุนแผน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจประเพณีการเกิด การ โกนจุก การบวช การแต่งงาน การเผาศพ เป็นต้น อย่างไรก็ตามคุณค่าทางวัฒนธรรมนี้เป็นเรื่อง เฉพาะของแต่ละสังคม ถ้าสามารถสร้างให้เกิดความรู้สึกที่เป็นสากลคือมีอุดมคติเป็นกลาง สามารถเป็นที่ยึดถือของทุกสังคม ก็นับเป็นคุณค่าทางวัฒนธรรม ที่ถือเป็นความสามารถอย่างยิ่ง และที่สำคัญก็คือว่าวัฒนธรรมอยู่ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะมี วรรณกรรมบันทึกไว้เป็นหลักฐาน กล่าวอีกนัยหนึ่ง จะโดยรู้สึกตนหรือไม่ก็ตาม นักประพันธ์ ย่อมจะแต่งเรื่องที่กล่าวถึงวัฒนธรรมของตน (และอาจจะของผู้อื่นด้วย) และในบางครั้งบางคราว เมื่อแปลหรือเรียบเรียงหรือเอาเค้าเดิมมาจากวรรณกรรมต่างประเทศก็จะกล่าวถึงวัฒนธรรมของ ๔๑ บุญมีแท่นแก้ว, พุทธปรัชญาเถรวาท, (กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕), หน้า ๑๖.
๑๙๗ ต่างประเทศเท่าที่ตนรู้และเข้าใจด้วย ผู้อ่านก็จะเกิดความรื่นรมย์และชื่นชมหรือแปลกประหลาด ไปกับวัฒนธรรมนั้น ๆ ด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับสังคม เป็นหัวข้อสำคัญที่มักจะได้รับการ นำเสนออยู่เสมอในการศึกษาและวิเคราะห์วรรณกรรม แนวการศึกษาได้รับการยอมรับมาโดย ตลอดคือการศึกษาภาพสะท้อนทางสังคมจากวรรณกรรม นั่นคือการมองในเชิงอุปมาว่า วรรณกรรมเปรียบเสมือนกระจกเงา ที่ฉายสะท้อนให้เห็นภาพต่าง ๆ ของสังคม หรือดังคำเปรียบ เปรยที่ได้รับการยึดถือมานานที่ว่า "ดูวรรณคดีจากสังคม ดูสังคมจากวรรณคดี" การศึกษา วรรณกรรมตามแนวคิดนี้เป็นการศึกษาภาพสะท้อนทางสังคมในวรรณกรรมในแง่มุมต่าง ๆ เนื่องจากบทบาทของวรรณกรรมที่ชัดเจนมากที่สุด ก็คือผลกระทบทางด้านสังคม ซึ่งได้มีนักคิดนักเขียนทางด้านวรรณกรรมส่วนใหญ่ได้เน้นผลกระทบทางด้านนี้มาก เพราะถือว่า วรรณกรรมที่ดีจะต้องส่งผลต่อสังคมไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้จึงขอกล่าวถึงเฉพาะผลกระทบหรือ อิทธิพลทางด้านสังคม ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นไว้หลากหลายดังนี้คือนักวิจารณ์วรรณกรรมคน แรก ๆ ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างวรรณกรรมกับสังคมในบริบทของวรรณคดีศึกษาของไทย คือ วิทย์ศิวะศริยานนท์ในหนังสือ "วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์" ในบทที่ชื่อว่า "วรรณคดี และสังคม" สิ่งที่เขานำเสนอก็คือ วรรณกรรมไม่อาจเป็นอิสระจากอิทธิพลของสังคมได้เพราะ นักเขียนซึ่งเป็นผู้สร้างวรรณกรรมนั้นเปรียบเหมือนคนสามคน คือในฐานะของผู้แต่ง ในฐานะ ของสมาชิกของสังคม และเป็นพลเมืองของประเทศชาตินักเขียนจึงยากที่จะหลีกเลี่ยงอิทธิพล ของสังคมในยุคสมัยของตนได้๔๒ เช่นเดียวกับเมื่อพิจารณาตัวบทวรรณกรรม วิทย์ก็อธิบายว่า กวีนิพนธ์เล่มใดเล่มหนึ่งก็สามารถมองได้สามแง่ คือ ในแง่ของศิลปะแท้ๆ ในแง่ที่เป็นหลักฐาน การพรรณนาความเป็นไปของยุคสมัย และในแง่ ของการแสดงความคิดเห็นต่อสังคม ซึ่งในแง่หลังนี้ย่อมแสดงให้เห็นโลกทัศน์ของกวีที่มีต่อชีวิต และโลกคนไทยได้บันทึกชีวิตมนุษย์และโลกที่มนุษย์อาศัยในรูปแบบที่เรียกว่าวรรณคดีซึ่งเป็น มรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญเพราะวรรณคดีได้สะท้อนให้ทราบถึงสภาพความรู้สึกนึกคิดทาง อารมณ์ปรัชญา สภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง ตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ ๔๒ วิทย์ศิวะศริยานนท์, วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๑๙), หน้า ๑๔๑ - ๑๔๒.
๑๙๘ ฉะนั้นวรรณคดีไม่ว่าเรื่องใดก็ตามย่อมกล่าวถึง ความดีความชั่วอุดมคติความริษยาอาฆาต เป็น ต้น ดังได้กล่าวแล้วว่า วรรณกรรมย่อมสัมพันธ์กับสังคม วรรณกรรมสะท้อน ประสบการณ์ชีวิตในยุคสมัย ไม่ว่านักเขียนจะจงใจสะท้อนสังคมหรือไม่ก็ตาม นักวิจารณ์บางคน จึงกล่าวว่า วรรณกรรมเป็นกระจกแห่งยุคสมัย เนื่องจากเป็นภาพถ่ายชีวิตของยุคสมัยนั่นเอง ความสัมพันธ์ของวรรณกรรมกับสังคมอาจจะเป็นไปได้๓ ลักษณะ คือ ๑. ลักษณะแรก วรรณกรรมเป็นภาพสะท้อนของสังคมทั้งในด้านรูปธรรมและ นามธรรม ด้านรูปธรรม หมายถึง เหตุการณ์ทั่วไปที่เกิดขึ้นในสังคม ส่วนด้านนามธรรมหมายถึง ค่านิยมในชีวิตจิตใจของคนในสังคม ตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียน Raymond Williams ผู้ศึกษาวรรณกรรมเชิงสังคม เรียกนามธรรมในวรรณกรรมว่าเป็น"โครงสร้างของความรู้สึก" ซึ่ง หมายถึงทั้งค่านิยม ความรู้สึก ความปรารถนาและชีวิตจิตใจของคนในทัศนะและความรู้สึกของ ผู้เขียน ดังนั้น วรรณกรรมจึงเป็นการตอบสนองทั้งทางด้านการกระทำและความคิดของมนุษย์ ต่อสังคม ภาพสะท้อนวรรณกรรม แสดงออกถึงค่านิยม ค่านิยมในชีวิตจิตใจของคนในสังคม ตลอดจนความรู้สึกนึกคิด เกี่ยวโยงกับความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและความเชื่อในเรื่องการ เวียนว่ายตายเกิดของพระพุทธศาสนา เป็นการแสดงออกทางความเชื่อและความรู้สึกที่มนุษย์มี ต่อสังคมเช่นกันค่านิยมในสมัยโบราณนั้นวัดและพระสงฆ์ถือเป็นที่พึ่งของคนในสังคมไทย เพราะ พระสงฆ์มีบทบาทโดดเด่นในหลาย ๆ ด้าน เช่น สามารถเป็นหมอรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นผู้ อุปการะเด็กกำพร้า หรือพ่อแม่ยากจนแล้วนำลูกมาทิ้งไว้ที่วัด พระช่วยสอนหนังสืออบรมบ่ม นิสัยขัดเกลาจิตใจ และแนะแนวทางแห่งการเป็นพุทธมามกะที่ดีให้ด้วย และเมื่อปรารถนาสิ่งใด ก็มักจะอ้อนวอนขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก็ไม่พ้นพระอีกนั่นเอง ความสัมพันธ์ของคน ไทยกับวัดยังมีอีกหลายอย่าง เช่น เมื่อใดมีความทุกข์ไม่สบายใจ หรือ ไม่สบายกาย การไปกราบ นมัสการพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์หรือปูชนียสถานทางพระศาสนานั้น ก็เป็นวิธีเยียวยารักษาใจได้ เหมือนกัน ดังนั้น การพิจารณาวรรณกรรมในฐานะเป็นภาพสะท้อนของสังคม จึงควรให้ ความสำคัญกับตัววรรณกรรม และกลวิธีในการเสนออุดมการณ์ที่อาจปรากฎในวรรณกรรมชิ้น นั้น ๆ ด้วย
๑๙๙ ๒. ลักษณะที่สอง สังคมมีอิทธิพลต่อวรรณกรรมหรือต่อนักเขียน นักเขียนอยู่ใน สังคมย่อมได้รับอิทธิพลจากสังคมทั้งด้านวรรณกรรม ขนบประเพณีศาสนา ปรัชญาและ การเมือง อิทธิพลของสังคมที่มีต่อวรรณกรรมยังเป็นไปได้ในอีกลักษณะหนึ่งคือสภาพเศรษฐกิจ และการเมืองกำหนดแนวโน้มของวรรณกรรม ปัจจัยทางเศรษฐกิจอาจทำให้นักเขียนต้องเขียน ตามใจผู้อ่าน หรือตามใจเจ้าของสำนักพิมพ์ส่วนด้านการเมืองการจำกัดขอบเขตในการแสดง ความคิดเห็นก็เป็นการบั่นทอนเสรีภาพของนักเขียน ฐานะของนักเขียนในสังคมจึงเป็นสิ่งที่ควร สนใจ นักเขียนที่ดีจะปลดปล่อยตนเองให้ป็นอิสระจากการถูกบีบบังคับทางเศรษฐกิจ ๓. ลักษณะที่สาม วรรณกรรมหรือนักเขียนมีอิทธิพลต่อสังคม นักเขียนที่ยิ่งใหญ่ นอกจากจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์วรรณกรรมให้มีชีวิต โน้มน้าวจิตใจผู้อ่านแล้วยัง เป็นผู้มีทัศนะกว้างไกลกว่าคนธรรมดา ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขามีความเข้าใจและเข้าถึงสภาพ ของมนุษย์และสังคม นักเขียนสามารถเข้าใจโลก และมองสภาพความเป็นจริงได้ลึกกว่าคนทั่วไป มองเห็นด้วยทัศนะที่กว้างไกลและลุ่มลึก ภาพที่เขาให้จึงเป็นจริงยิ่งกว่าความเป็นจริเพราะเป็น แก่นแท้ที่กลั่นกรองแล้วของความเป็นจริง ด้วยเหตุนี้วรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่จึงเป็นอมตะ เพราะไม่ เพียงแต่จะเสนอภาพปัจจุบันอย่างถึงแก่นของความเป็นจริงเท่านั้น แต่ยังคาดคะเนความเป็นไป ได้ในอนาคตได้อีกด้วย วรรณกรรมจึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้ครอบครัวมีกิจกรรมในการอ่านร่วมกันหาก ครอบครัวทำกิจกรรมร่วมกันโดยการอ่านหนังสือ และอ่านให้เด็ก ๆ ฟังบ่อย ๆ นับว่าเป็นกลยุทธ์ และกระบวนการที่สำคัญต่อการพัฒนาเด็ก เพราะเด็กมีธรรมชาติที่อยากได้ยินเรื่องผู้คนรอบข้าง เราจึงสามารถอ่านหนังสือให้เด็กฟังตั้งแต่ยังเป็นทารก กระบวนการเหล่านี้นำสู่การสร้าง ความคุ้นเคยระหว่างเด็กกับหนังสือ “ถือเป็นการบ่มเพาะนิสัยรักการอ่านหนังสือในเด็กได้อย่าง แยบยล” อีกทั้ง “หนังสือ” ยังมีบทบาทสำคัญต่อการเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กในทุกด้าน เพราะเด็กสามารถได้ยินเสียงต่าง ๆ ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์เสียงดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากการ อ่านหนังสือ เสียงพูดของแม่กับเด็กในท้องจึงมีผลช่วยในเรื่องของพัฒนาการของเด็กตั้งแต่แรก เกิดโดยเฉพาะถ้าเรามุ่งเน้นให้พ่อแม่ทุกคนเห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือให้ลูกฟังรวมทั้ง การเลี้ยงลูกด้วยหนังสือตั้งแต่วัยเยาว์ช่วยส่งเสริมพัฒนาการในเด็กเล็ก ๆ จากการที่ให้พ่อแม่ อ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่อายุได้เพียง ๖-๙ เดือน พบว่าเด็ก ๆ ที่เกิดมามีความสามารถในการ อ่านเขียน และการคิดคำนวณสูงกว่าเด็กทั่วไปอย่างเด่นชัดเมื่อเข้าเรียนในระดับประถม
๒๐๐ การเลี้ยงลูกด้วยหนังสือไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการสอนให้ลูกอ่านหนังสือออกแต่ จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดคือให้พ่อ แม่ ลูก “มีความสุขกับหนังสือร่วมกัน” หนังสือบางเล่มไม่มี ตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดียว มีเพียงรูปภาพ เพื่อให้พ่อแม่คิดหาคำพูดหรือแต่งเรื่องขึ้นเองเวลาที่พ่อ แม่ได้พูดคุยกับลูก โดยมีหนังสือเป็นสื่อกลางคือช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัว และเป็น การเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จากผลสำรวจเรื่องการส่งเสริมกิจกรรมการรวมพลังรักการอ่าน พบว่าการอ่าน หนังสือด้วยกันเป็นแนวทางหนึ่งของการสร้างความสัมพันธ์ของ พ่อ แม่ กับลูก เพราะยังได้นำ วิธีการเล่นกับลูกมาใช้พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กเรื่องการใช้หนังสือ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ อบอุ่นในครอบครัว และกระตุ้นพัฒนาการอย่างเป็นองค์รวม สร้างชีวิตด้วยหนังสือ โดยการสร้าง หนังสือให้มีชีวิต หากเปลี่ยนมุมมองจากการอ่านหนังสือไปสู่การใช้หนังสือเป็นเครื่องมือสร้าง สัมพันธภาพระหว่างกันและกัน ถือว่าเป็นสะพานเชื่อมใจที่สำคัญ หนังสืออาจไม่ได้มีคุณค่าอะไร หากถูกวางทิ้งไว้หรือเพียงแค่เปิดอ่านผ่าน ๆ ให้หนังสือขับเคลื่อนโลดเล่นเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ กลุ่มครอบครัวที่พ่อแม่และผู้ปกครองมีเด็กเล็กวัย ๖ เดือน เป็นต้นไปพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กใน ด้านการใช้หนังสือ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่อบอุ่นในครอบครัว และกระตุ้นพัฒนาการของ เด็กอย่างเป็นองค์รวมเด็กปฐมวัยเรียนรู้ที่จะพูดเป็นคำเมื่ออายุประมาณ ๑ ขวบ และค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะพูดด้วยคำสองคำและเป็นประโยคสั้น ๆ เมื่ออายุมากขึ้น และค่อย ๆ พัฒนาการใช้ ภาษาขึ้นเรื่อย ๆ “งานวรรณกรรมสามารถส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาของเด็กได้เป็นอย่าง ดี” ผู้ใหญ่ควรให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสดูหนังสือภาพ และควรอ่านคำอธิบายประกอบภาพ ซึ่งอาจจะ เป็นคำ ๆ คำสัมผัสคล้องจองหรือเป็นประโยคอธิบายสั้น ๆ เกี่ยวกับภาพให้เด็กฟัง ให้เด็กได้ คุ้นเคยกับคำและเสียง และสังเกตความสัมพันธ์ระหว่างเสียง ความหมาย และภาพทั้งนี้ผู้ใหญ่ ควรอาศัยหนังสือภาพในการสนทนาเกี่ยวกับภาพ ซึ่งช่วยให้เด็กได้ฝึกฝนการพูด รู้จักคำศัพท์ และการใช้ภาษา ตลอดจนรู้จักสังเกตุรายละเอียดต่าง ๆ ของภาพและหาความหมายจากภาพ เวลาเพียงไม่กี่นาทีในแต่ละวันเลือกหนังสืออะไรก็ได้ที่พ่อหรือแม่ชอบและคิดว่า ลูกจะชอบ เด็กชอบดูภาพและฟังเสียงของพ่อแม่เด็กจะเจริญเติบโตไปพร้อม ๆ กับความรู้สึก ที่ว่า หนังสือคือสิ่งที่แสนน่ารักและมีคุณค่า การส่งเสริมให้เกิดการอ่านจะพัฒนาต่อ ๆ ไป จาก หนังสือเล่มแรก เป็นเล่มที่สอง ที่สาม และมีหนังสือเป็นเพื่อนชีวิตตลอดไป คงต้องเป็นกิจกรรมที่ ทุกครอบครัวต้องช่วยกันอ่านวันละนิด จนติดเป็นนิสัยประเด็นสำคัญที่เป็นจุดแข็งของการอ่าน
๒๐๑ คือ เลือกวรรณกรรมที่ชอบก่อนอาจจะเป็นของสุนทรภู่ก็ได้เพราะอ่านง่ายสามารถทำความ เข้าใจได้ไม่ยาก แล้วค่อย ๆเปลี่ยนเป็นวรรณกรรมเรื่องอื่น ๆ ของผู้แต่งหลาย ๆ ท่าน อาจเป็นที่ โดนใจนักอ่านทั้งหลาย จะนำมาซึ่งความอบอุ่นเหนียวแน่นของสถาบันครอบครัว รวมถึงมุมมอง ตามหลักคำสอนของศาสนาพุทธที่สอดแทรกอยู่เป็นระยะ แต่ไม่ทำให้คนอ่านรู้สึกเหมือนตัวเอง กำลังถูกสั่งสอน เพราะผู้เขียนมีความสามารถสูงและมีความชำนาญในการบรรยายและเรียงร้อย ถ้อยความให้สละสลวยและจดจำง่าย ๗.๓ สรุปท้ายบท การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอดีตของประเทศไทยบทบาทและหน้าที่หลักเป็นของ พระสงฆ์ผู้ทำหน้าที่ศึกษาพระไตรปิฎกซึ่งเป็นหลักธรรมคำสั่งสอนทั้งคันถธุระและวิปัสสนาธุระ จนเกิดความเข้ารู้ความเข้าใจทั้งปริยัติและปฏิบัติแล้วนำไปถ่ายทอดให้พุทธบริษัทในรูปแบบการ แสดงพระธรรมเทศนาตลอดจนการฝึกฝนอบรมภิกษุสามเณร ศิษย์วัด ของพระเถระครูอาจารย์ ในวัดต่างๆ แต่การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบันมีรูปแบบที่หลากหลายมิได้จำกัดเฉพาะ พระสงฆ์เหมือนในอดีต เช่นการบรรยายธรรม, การอภิปราย, การสนทนา, การปาฐกถา นอกจากนี้ยังมีการเผยแผ่ผ่านสื่อประเภทเครื่องฉายต่างๆ ได้แก่ภาพยนตร์วิดิทัศน์วีซีดีที่ เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา สื่อประเภทสิ่งพิมพ์เช่น หนังสือ บทความวารสาร นิตยสาร ที่ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา สื่อทั้งสองประเภทนี้คณะผู้จัดทำเผยแผ่มิได้จำกัดเฉพาะพระสงฆ์ เท่านั้น หากแต่ฆราวาสผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาสามารถสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพผลิต สื่อทั้งสองประเภทเพื่อเผยแผ่ธรรมได้เช่นกัน งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน แสดงให้เห็นการเผย แผ่พระพุทธศาสนาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์เช่นหนังสือ มีปราชญ์ทางพุทธศาสนาจำนวนมากที่ผลิตงาน วรรณกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาและนวนิยายอิงหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่ รู้จักกันโดยทั่วกัน เช่น แก่นพุทธศาสน์กรรมทีปนีและหลวงพ่อทองวัดโบสถ์เป็นต้น งาน วรรณกรรมที่อิงหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนาในไทยนั้นสามารถแบ่งลักษณะวรรณกรรม พระพุทธศาสนาออกเป็น ๒ ระยะ คือ ๑) ระยะก่อนได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตก ๒) ระยะหลังได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตก ๑) วรรณกรรมศาสนาระยะก่อนได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตก
๒๐๒ วรรณกรรมศาสนาในระยะนี้ได้แก่ วรรณกรรมไทยที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึง ปลายรัชกาลที่ ๓ หรือต้นรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเนื้อเรื่องส่วนมากมีที่มาจากคัมภีร์ พระพุทธศาสนา แต่งขึ้นโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้สำหรับสั่งสอนประชาชนให้มีจิตใจเลื่อมใส ศรัทธาและตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีส่วนแนวคิดของเรื่อง เน้นพุทธปรัชญา คือความเป็น อนิจจังอันเป็นส่วนหนึ่งของหลักไตรลักษณ์หรือ เน้นเรื่องการบุญกุศล เพื่อให้ได้ไปเกิดในชาติ ภพที่ดีกว่ามีความเชื่อว่าความสุขที่แท้จริง คือความสุขทางธรรมส่วนรูปแบบในการแต่งนิยมใช้ รูปแบบร้อยกรองและมีภาษาบาลี-สันสกฤตแทรกในเนื้อเรื่อง ๒) วรรณกรรมพระพุทธศาสนาระยะหลังได้รับอิทธิพลจากวรรณกรรมตะวันตก ได้แก่วรรณกรรมที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๔ หรือต้นรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์เนื้อเรื่องเน้นธรรมในชีวิตประจำวัน อาจเป็นเรื่องสมมุติเพื่อสร้างเหตุการณ์ที่ควร ประพฤติปฏิบัติประยุกต์กับเหตุการณ์ทางสังคม เนื้อเรื่องเกี่ยวข้องกับอาชีพ เช่น ธรรมะในการ เป็นครูหรือ นักปกครอง แนวคิดในเนื้อเรื่องมีการนำเสนออย่างตรงไปตรงมาในเรื่องค่านิยมของ สังคม และแก่นแท้ของศาสนา แสดงความคิดความเชื่ออย่างมีเหตุผลมากขึ้น ส่วนรูปแบบในการ แต่งมีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ในส่วนที่เป็นร้อยแก้ว ได้แก่ เรื่องสั้น นวนิยาย สารคดีที่มี เนื้อหาเกี่ยวกับธรรมะและปรัชญาในพระพุทธศาสนา เพื่อแสดงข้อคิดทางปัญญา๔๓ อย่างไรก็ตาม งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ที่ชวนให้ อ่านและอ่านง่าย เช่น แก่นพุทธศาสน์กรรมทีปนีและหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ทำให้เกิดกำลังใจ และความกระหายใคร่รู้เกิดขึ้น เพราะความสามารถในการประพันธ์ในการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย สำนวนการเขียนที่น่าอ่าน มีความสละสลวยไพเราะ รัดกุม ไม่น่าเบื่อ ทำให้อ่านได้อย่างเบิกบาน ใจ ในขณะเดียวกันความรู้และสาระเกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แฝงอยู่ในงาน เขียน สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรม ตลอดจนช่วยในการกำจัด ทุกข์ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ของปัจเจกบุคคลหรือทุกข์ในทางสังคม เมื่อมีผู้อธิบายธรรมะได้อย่างแจ่ม แจ้งชัดเจนเช่นนี้ย่อมโน้มน้าวจิตใจของผู้อ่านให้สนใจค้นคว้าศึกษาธรรมะยิ่งขึ้น ประกอบกับพื้น ธรรมะที่ดีขึ้นตามลำดับ จะทำให้เข้าใจจนสามารถขบคิดธรรมะให้แตกได้บ้าง ผู้ประพันธ์นับได้ว่า ๔๓ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมทางศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๗), หน้า ๒๕๑ – ๒๕๒.
๒๐๓ มีส่วนช่วยจรรโลงและเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้คนที่ต้องการจะรู้ ได้รู้ตามภาษาที่เขาสามารถจะรู้และเข้าใจได้การเขียนวรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนาเป็น วิธีหนึ่งที่นิยมใช้ ดังนั้นวรรณกรรมพระพุทธศาสนาจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์แทบทุกด้านอาจกล่าวได้ ว่า สังคมมนุษย์ที่เจริญมีอารยธรรม และเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของวรรณกรรม ทั้งสิ้น วรรณกรรมต่างมีบทบาท ความสำคัญ และอิทธิพลไม่มากก็น้อย วรรณกรรมเป็นผลงาน การสร้างสรรค์จากปัญญามนุษย์ที่เกิดจากการเรียนรู้และพัฒนาออกมาเป็นวรรณกรรม เพราะ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองและภูมิปัญญา การบริโภคอาหารเพื่อสร้างความเจริญเติบโตทาง ร่างกายเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นคงไม่เพียงพอสำหรับมนุษย์เป็นแน่แท้เพราะมนุษย์นั้นยัง ต้องการอาหารทางใจด้วย คุณค่าต่อบุคคล คือวรรณกรรมให้สารประโยชน์ต่อบุคคลอันเป็นหน่วยหนึ่งของ สังคม เป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และฝึกทักษะ ส่งเสริมในการเรียนรู้ทางด้านภาษา และช่วยให้ มีโอกาสฝึกทักษะ ส่งเสริมให้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ชี้ให้เห็นสภาพของชีวิตมนุษย์ใน สังคมให้ประสบการณ์จำลองชีวิตในแง่มุมต่าง ๆ ชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุข ยากแค้น อับเฉา ถูกกดขี่ จองเวร อาภัพอับโชค เป็นต้น คุณค่าต่อสังคม วรรณกรรมมีส่วนให้ความสำนึกของสังคม หรือมโนทัศน์ร่วมของ สังคม โดยวิธีเสนอแนวคิดต่อผู้อ่านโดยส่วนรวม เป็นการปลูกฝังทัศนคติต่อสังคมแก่ผู้อ่าน และมี กลวิธีในการนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นพ้องกับแนวคิดที่ผู้ประพันธ์เสนอมาในรูป วรรณกรรม หรือให้ผู้อ่านเลือกรูปแบบของสังคมตามทัศนะของตนเองรวมมากับการบันเทิงใจใน วรรณกรรมด้วย ซึ่งเป็นตัวเร่งเร้า ส่งเสริมให้ผู้อ่านอันเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมยอมรับแนวคิด เหล่านั้น และมีมโนทัศน์ร่วมต่อสังคม คือ ศีลธรรม กรอบจารีตประเพณี และธรรมนิยมต่าง ๆ เสนอแนวคิดร่วมในการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่สภาพที่ดีกว่า และชะลอการเปลี่ยนแปลงที่ นำไปสู่สภาพชีวิตเลวลง หรือมีความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมนั้น วรรณกรรมได้เสนอแนวคิดร่วมของการ เปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมโดยไม่หยุดนิ่ง เพื่อไปสู่สภาพ คุณค่าทางปัญญา ทำให้ผู้อ่านจะได้รับความคิด ความรู้เพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย มีผลให้สติปัญญา แตกฉานทั้งทางด้านวิทยาการ ความรู้รอบตัว ความรู้เท่าทันคน ความเห็นอกเห็นใจต่อเพื่อน มนุษย์ด้วยกัน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครในเรื่องให้ข้อคิดต่อผู้อ่านขยายทัศนคติให้กว้างขึ้น
๒๐๔ บางครั้งก็ทำให้ทัศนคติที่เคยผิดพลาดกลับกลายเป็นถูกต้อง เกิดความรักในฐานะเป็นเพื่อน มนุษย์ด้วยกัน พร้อมกันนี้วรรณกรรมแทบทุกเรื่องจะแทรกสัจธรรมที่ผู้อ่านสามารถนำมาใช้ ประโยชน์ทำให้จิตใจสูงขึ้น หรือนำมาใช้ประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หน้าที่ทางสังคมของ วรรณกรรม อาจจะมิใช่การแก้ปัญหาทางสังคมในเชิงปฏิบัติหรือการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม มนุษย์ในระยะสั้น แต่เป็นหน้าที่ของการให้แสงสว่างทางปัญญา คำถามท้ายบท ๑. ลักษณะที่สำคัญของงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน เป็นอย่างไร ๒. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิดและจุดมุ่งหมายของหนังสือแก่นพุทธ ศาสน์ ๓. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิดและจุดมุ่งหมายของหนังสือกรรมทีปนี ๔. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิดและจุดมุ่งหมายของหนังสือหลวงพ่อ ทองวัดโบสถ์
๒๐๕ เอกสารอ้างอิงประจำบท เกษม ขนาบแก้ว, หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุง, ภาควิชา ภาษาไทย คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์: วิทยาลัยครูสงขลา, ๒๕๓๖ คูณ โทขันธ์, พุทธศาสนากับสังคมและวัฒนธรรมไทย, กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕ เจตนา นาควัชระ, วรรณคดีวิจารณ์และวรรณคดีศึกษา, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๔๕ ชลธี ยังตรง. “ความคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ”. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๓ ณรงค์เส็งประชา, วิถีไทย, กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๔ ทวี วรคุณ, หลวงพ่อทองวัดโบสถ์, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊ค, ๒๕๔๑ ทวีศรีแก้ว, “คติในการครองเรือนจากวรรณกรรมอีสาน”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต , บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๓๖. บุญมีแท่นแก้ว, พุทธปรัชญาเถรวาท, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕ เบญจมาศ พลอินทร์, วรรณคดีขนบประเพณีและศาสนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ภาพ พิมพ์, ๒๕๒๔ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโสก, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน, ๒๕๓๐ พิสิทธิ์ กอบบุญ. “ปจุฉา – วิสัชนา: กลวิธีวรรณศิลป์ในวรรณคดีไทยพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาภาษาไทย, บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๘ พร รัตนสุวรรณ, นรก-สวรรค์ภาคนรก, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๔๒ พุทธทาสภิกขุ, อัตตชีวประวัติของท่านพุทธทาสภิกขุ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา ๓ ชีวิตแห่ง การศึกษา, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๒๙. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒,
๒๐๖ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖ พระมหาประพันธ์สุวรรณมณี, “ศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏใน วรรณกรรมหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราช”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหา บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓ พรรณทิพย์ศิริวรรณบุศย์, มนุษยสัมพันธ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔ , กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๘๕. ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร: นาน มีบุ๊คพับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖. วิมล จิโรจพันธุ์และคณะ, วิถีไทย, กรุงเทพมหานคร : แสงดาว, ๒๕๔๘ วัชรีรมยะนันทน์, “ความสัมพันธ์ในครอบครัวและความสัมพันธ์ฉันครูและศิษย์ในวรรณคดี ไทย”, ภาษาและวรรณคดีไทย, ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๓ วิทย์ศิวะศริยานนท์, วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๖, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๑๙ เสรี พงษ์พิศ, ธรรมะกับการเมือง ท่านพุทธทาสกับสังคมไทย, วารสารธรรมศาสตร์ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๕ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมทางศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๗ หัจญีประยูร วทานยกุล, ห้าสิบปี สวนโมกข์ ภาค ๑เมื่อเขาพูดถึงเรา, กรุงเทพมหานคร : การ พิมพ์พระนคร, ๒๕๒๕ หทัยวรรณ ไชยะกุล, วรรณกรรมศึกษา, เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๔๙ อัญญดา แก้วกองกูล, “การศึกษาเปรียบเทียบ : การประยุกต์ใช้หลักธรรมทางศาสนาในทาง การเมืองของพุทธทาสภิกขุ และมหาตมะ คานธี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗
๒๐๗ บทที่ ๘ งานวรรณกรรมพระพุทธศาสนา ในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัยได้ ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจ งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ ๓. บอกความสำคัญของงาน งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ ๔. อธิบายถึงงานงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัยที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒. งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่สำคัญ ๓. คุณค่าของงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย ๔. การวิเคราะห์งาน งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย
๒๐๘ ๘.๑ ความนำ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือว่าเป็นยุคใหม่แห่งการศึกษาของ สงฆ์พระองค์ทรงเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ จึงทรงสนับสนุนการศึกษาทั้งทางโลก และ การศึกษาสงฆ์ด้วยจึงได้ปฏิรูปการศึกษา จัดการเรียน การสอนให้เป็นระบบเหมือนนานา อารยประเทศให้ราษฎรทุกคนได้ศึกษาอย่างมีระบบ และสำหรับพระภิกษุสามเณรพระองค์ก็ทรง สนับสนุนให้คณะสงฆ์ได้ศึกษาเล่าเรียน ทั้งด้านพระปริยัติธรรม และวิชาการชั้นสูงสมัยใหม่ควบคู่ กันไปพร้อมทั้งนี้ได้ทรงสถาปนามหาธาตุวิทยาลัยขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๒ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๙ ได้ พระราชทานนามใหม่ว่า“มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ในฐานะที่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นการศึกษาของสงฆ์อย่างเป็นทางการ ปัจจุบันการศึกษาในวงการคณะสงฆ์ได้พลิกโฉมหน้าไปอย่างมากโดยได้มีการจัดการ ศึกษา สมัยใหม่เพิ่มขึ้นอีกซึ่งไม่เหมือนครั้งสมัยแต่ก่อน และสร้างสรรค์งานวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดมามากมาย เช่น พุทธธรรม ของสมเด็จพระพุทธ โฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), เรื่อง วิมุตติมรรค ของอุปติสสมหาเถระ แปลโดย พระพรหม บัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), และเรื่องคัมภีร์มหาวงศ์ ของพระมหานามเถระ แปลโดย รอง ศาสตราจารย์.ดร.สุเทพ พรมเลิศ มานำเสนอ จำนวน ๓ เรื่อง ซึ่งผู้สนใจสามารถค้าคว้าได้ตาม แหล่งเรียนรู้ทั่วไป ๘.๒ งานวรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญในมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระพุทธศาสนานับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างวรรณคดีในวัฒนธรรม วรรณศิลป์ตะวันออก เนื้อหาของวรรณคดีมักมีที่มาจากคัมภีร์ศาสนา โดยเฉพาะใน พระพุทธศาสนา พระไตรปิฎกเป็นแหล่งความรู้และที่มาสำคัญของวรรณกรรมพุทธศาสนา ระบบการเขียนวรรณคดีของวัฒนธรรมตะวันออกนั้นเริ่มต้นจากความศรัทธาในศาสนาเป็น สำคัญ ก่อนที่จะพัฒนาการสร้างสรรค์วรรณคดีให้มีเนื้อหาหลากหลายแตกต่างกันออกไป แม้ว่า ศาสนาจะมุ่งสอนหลักธรรม และวรรณคดีจะมุ่งสร้างความสะเทือนใจด้วยรูปแบบภาษา วรรณศิลป์ที่งดงาม แต่ทั้งสองศาสตร์นี้สามารถประสานกันได้อย่างกลมกลืน วรรณศิลป์ใน วรรณคดีศาสนาเป็นไปเพื่อสื่อสาระความรู้สร้างศรัทธา ความปีติในรสธรรมน้อมนำให้เกิดการ
๒๐๙ ปฏิบัติตามหลักศาสนา ศาสนาเป็นแหล่งสร้างสรรค์ของวรรณคดีและในทางกลับกันวรรณคดี นั้นก็สามารถเชื่อมโยงและสร้างความรู้ความเข้าใจไปสู่สิ่งสูงสุด (The Absolute) ของศาสนา ได้๔๔ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ได้แก่ พุทธธรรม วิมุตติมรรค และคัมภีร์มหาวงศ์ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๘.๒.๑ พุทธธรรม ผู้แต่ง สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ศาสตราจารย์พิเศษสมเด็จพระพุทธ โฆษาจารย์ นามเดิม ประยุทธ์ อารยางกูร ฉายา ปยุตฺโต หรือที่รู้จักกันดีทั่วไปใน นามปากกา "ป. อ. ปยุตฺโต" เกิดเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่อำเภอศรี ประจันต์จังหวัดสุพรรณบุรีท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ ๑๓ ปี เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๙๔ และเข้ามาจำพรรษาที่วัดพระพิเรนทร์กรุงเทพมหานคร จนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญ ธรรม ๙ ประโยค ขณะยังเป็นสามเณร นับเป็นรูปที่สองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิ พลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และเป็นรูปที่สี่ในสมัยรัตนโกสินทร์โดยได้รับการ อุปสมบทโดยเป็นนาคหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ณ พัทธ สีมาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) สมเด็จ พระสังฆราช เป็นพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์เป็นพระนักวิชาการนักคิดนักเขียนผลงานทาง พระพุทธศาสนารุ่นใหม่ มีผลงานทางวิชาการพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมาก ผลงานของท่านที่ เป็นที่รู้จัก เช่น พุทธธรรม เป็นต้น ท่านได้รับการยกย่องจากทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก ด้วยผลงานของท่านทำให้ท่านได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากหลายสถาบันทั้งใน และนอกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ท่านเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อ สันติภาพ จากยูเนสโก (UNESCO Prize for Peace Education) [2] นอกจากนี้ปริญญาดุษฎี ๔๔ พิสิทธิ์กอบบุญ. “ปจุฉา – วิสัชนา: กลวิธีวรรณศิลป์ในวรรณคดีไทยพุทธศาสนา” วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์(บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๘. หน้า ๑.
๒๑๐ บัณฑิตกิตติมศักดิ์ที่ท่านได้รับรวมมีมากกว่า 15 สถาบัน ซึ่งนับว่าท่านเป็นพระภิกษุสงฆ์ไทยที่ ได้รับการยกย่องให้ได้รับดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มากที่สุดในปัจจุบัน และในปี พ.ศ. 2549 มีพระ บรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ปัจจุบันสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ ประจำมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และจำ พรรษาอยู่ที่วัดญาณเวศกวัน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม๔๕ ประวัติการแต่ง หนังสือ “พุทธธรรม” โดยผู้เขียนเดียวกันนี้ปัจจุบันมี๒ ฉบับ คือ ฉบับเดิม และ ฉบับปรับปรุงและขยายความ มีรายละเอียด ดังนี้ ๑. พุทธธรรม ฉบับเดิม ในปี พ.ศ.๒๕๑๔ โครงการตำราสังคมศาสตร์และ มนุษยศาสตร์ซึ่งมี ดร.ป๋วย อึ้งภาภรณ์ เป็นประธานกรรมการ ได้ตีพิมพ์งาน เขียนเรื่อง "พุทธ ธรรม ของ พระศรีวิสุทธิโมลี (ประยุทธ์ปยุตฺโต) ซึ่งมีความยาว ๒๐๖ หน้าขึ้นเป็นครั้งแรก เป็น หนังสือที่เขียนขึ้นตามคำเชิญโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์สมาคมสังคมศาสตร์แห่ง ประเทศไทย รวมอยู่ในหนังสือชุด “วรรรณไวทยากร” ซึ่งโครงการตำราฯ จัดพิมพ์ถวาย พระเจ้าว รวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ในโอกาสที่พระชนม์ครบ ๘๐ พรรษาบริบูรณ์วันที่๒๕ สิงหาคม ๒๕๑๔ พุทธธรรม ฉบับเดิมนี้มีอนุสรณ์แด่เสด็จในกรมฯ พระองค์นั้น และแก่หนังสือ พุทธ ธรรม เอง คือทุน “วรรณไวทยากร” ที่มูลนิธิมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และที่โครงการตำราฯ ซึ่งเกิดจากค่าสมนาคุณ ที่โครงการตำราฯ จะต้องมอบให้แก่ผู้เขียนทุกท่านตามระเบียบ แต่พระ พรหมคุณาภรณ์ปฏิบัติตามหลักการที่ยึดถือตลอดมาว่าไม่รับค่าตอบแทนใดๆ ๒. พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ คือ พุทธธรรม ฉบับเดิมนั้นเอง แต่ได้ เขียนแทรกเพิ่มขยายความ มีเนื้อหาเพิ่มมากขึ้นเป็น ๖ เท่าของฉบับเดิม (ปัจจุบันหนา ๑,๓๖๐ หน้า) ซึ่งคณะระดมธรรมและธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก เสร็จเมื่อวันวิสาขบูชา พ.ศ. ๒๕๒๕ และมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้พิมพ์ต่อมา ล่าสุด พิมพ์ครั้งที่ ๓๙ (ฉบับข้อมูลคอมพิวเตอร์ครั้งที่ ๘) พ.ค. ๒๕๕๗ ผู้นิพนธ์ได้ทำการแก้ไขเพิ่มเติม และขยายความ จนกลายเป็นพุทธธรรมฉบับปรับปรุงและขยายความและได้รับการตีพิมพ์ครั้ง ๔๕ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ุ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖. คำนำ.
๒๑๑ แรกในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ ๒๐๐ ปีนอกจากนี้ แล้ว พุทธธรรมยังได้รับการ แพร่กระจายออกไปอีก เป็นจำนวนมากทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยการแยกแต่ละบท ออกไปตีพิมพ์ต่างหาก และท่านพระธรรมปิฎกได้นำไปอธิบาย ประยุกต์เข้ากับเหตุการณ์และ ศาสตร์อื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก จนเป็นจำนวนหนังสือมากกว่า ๒๐๐ เล่ม เช่น กรรมตามนัย พุทธธรรม , ประโยชน์สูงสุดของชีวิตนี้ , สัมมาสติในพุทธธรรมสมาธิ : ฐานสู่สุขภาพจิตและ ปัญญาหยั่งรู้ , ธรรมนูญชีวิต , พุทธจริยธรรม เพื่อชีวิตที่ดีงาม , วิธีคิดตามนับพุทธธรรม ฯลฯ เป็นต้น ลักษณะการประพันธ์ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ผู้ประพันธ์ได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒ ภาค ภาคแรกว่าด้วย หลัก มัชเฌนธรรมหรือหลักความจริงที่ เป็นกลางตามธรรมชาติ (สัจจธรรม) ภาคที่สองว่าด้วย เรื่องมัชฌิมา ปฏิปทาหรือข้อปฏิบัติที่เป็นสายกลาง ตากฏธรรมชาติ (จริยธรรม) ได้โยงหลักพุทธ ธรรมเข้ากับปัญหาพื้นฐานของชีวิตอย่างละเอียด โดยตั้งคำถามและตอบคำถามเกี่ยวกับ "ชีวิต" โดยเริ่มจาก ชีวิตคืออะไร? ชีวิตเป็นอย่างไร? ชีวิตเป็นไปอย่างไร? ชีวิตควรให้เป็นอย่างไร? และ ชีวิตควรเป็นอยู่อย่างไร? ส่วนภาษาอังกฤษ เช่น Good, Evil and Beyond, Dependent Origination, amadhi in Buddhism, Sammasati : an Exposition of Right Mindfulness และหนังสือ พุทธธรรมฉบับเดิมยังได้รับการแปลเป็นภ าษาอังกฤษ โดย Dr.Grant A. Olson จัด พิม พ์เ ผ ย แ พ ร่โ ด ย State University of New York ในชื่อ Buddhadhamma : Natural laws and Values for Life ส่วนฉบับปรับปรุงและขยายความก็ได้รับการแปลโดย Mr.Bruce Evans และจะตีพิมพ์โดยมูลนิธิพุทธธรรมต่อไป แหล่งสำคัญอันเป็นที่มาของเนื้อหาและความหมายของพุทธธรรมที่จะแสดงต่อไปนี้ ได้แก่คัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งในที่นี้ถ้าไม่มีกรณีเกี่ยวข้องเป็นพิเศษ จะหมายถึงพระไตรปิฎกบาลี อย่างเดียว เพราะเป็นคัมภีร์ที่ยอมรับกันทั่วไปแล้วว่า เป็นแหล่งรวบรวมรักษาพุทธธรรมที่ แม่นยำและสมบูรณ์ที่สุด แม้กระนั้น ก็ได้เลือกสรรเอาเฉพาะส่วนที่เห็นว่าเป็นหลักการดั้งเดิม เป็นความหมายแท้จริงมาแสดง โดยยึดเอาหลักความกลมกลืนสอดคล้องกันในหน่วยรวมเป็น หลัก และเพื่อให้มั่นใจยิ่งขึ้น จึงได้นำพุทธจริยาและพุทธกิจที่ได้ทรงบำเพ็ญมาประกอบการ
๒๑๒ พิจารณาตัดสินแนวทางและขอบเขตของพุทธธรรมด้วยเมื่อได้หลักการพิจารณาเหล่านี้มาเป็น เครื่องกำกับการแสดงแล้ว ก็มั่นใจว่าจะสามารถแสดงสาระแห่งพุทธธรรมได้ใกล้เคียงตัวแท้เป็น อย่างยิ่งอย่างไรก็ตาม ในขั้นพื้นฐาน การแสดงนี้ก็ยังต้องขึ้นกับกำลังสติปัญญาของผู้แสดง และ ความโน้มเอียงบางอย่างที่ผู้แสดงเองอาจไม่รู้ตัวอยู่นั่นเอง ฉะนั้น จึงขอให้ถือว่าเป็นความ พยายามครั้งหนึ่ง ที่จะแสดงพุทธธรรมให้ถูกต้องที่สุดตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนและมุ่งหมาย โดยอาศัยวิธีการและหลักการแสดง พร้อมทั้งหลักฐานต่างๆ ที่เชื่อว่าให้ความมั่นใจมากที่สุด เนื้อหาพุทธธรรม มีเนื้อหาที่เกริ่นนำสังคมของชมพูในสมัยพุทธกาล คือ ความเป็นไป ในพระชนมชีพ และพระปฏิปทาขององค์สมเด็จพระบรมศาสดา ผู้เป็นแหล่งหรือที่มาของคำ สอนเอง บุคลิกและสิ่งที่ผู้สอนได้กระทำอาจช่วยแสดงความประสงค์ที่แท้จริงของผู้สอนได้ดีกว่า คำสอนเฉพาะแห่งๆ ในคัมภีร์หรืออย่างน้อยก็เป็นเครื่องประกอบความเข้าใจให้ชัดเจนยิ่งขึ้นต่อ การตีความ เป็นเครื่องประกอบการพิจารณาที่มีประโยชน์มากจากหลักฐานต่างๆ ทางฝ่ายคัมภีร์ และประวัติศาสตร์พอจะวาดภาพเหตุการณ์และสภาพสังคมครั้งพุทธกาลได้คร่าวๆ ดังนี้ พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในชมพูทวีป เมื่อประมาณ ๒,๖๐๐ ปีล่วงมาแล้ว นอกจากเนื้อหาในช่วงนี้จะกล่าวถึงพุทธประวัติขององค์พระพุทธเจ้าแล้ว เนื้อหา ยังคงอธิบายถึงสภาพทางการเมือง ที่รัฐบางรัฐที่ปกครองแบบราชาธิปไตยกำลังเรืองอำนาจขึ้น ทางเศรษฐกิจ การค้าขายกำลังขยายตัวกว้างขวางขึ้น ในสังคมคือ พวกเศรษฐีซึ่งมีสิทธิมี เกียรติยศและอิทธิพลมากขึ้นแม้ในราชสำนัก ในทางสังคมคนแบ่งออกเป็น ๔ วรรณะตามหลัก คำสอนของศาสนาพราหมณ์มีสิทธิเกียรติฐานะทางสังคม และอาชีพการงาน แตกต่างกันไปตาม วรรณะของตนๆ และคำสอนของศาสนาพราหมณ์ในยุคนี้ซึ่งเรียกว่ายุคอุปนิษัท มีความขัดแย้ง กันเองมากและพยายามแสดงความหมายโต้ตอบปัญหาเกี่ยวกับเรื่องสภาพของภาวะเช่นนี้พร้อม กับที่หวงแหนความรู้เหล่านี้ไว้ในหมู่พวกตน จุดมุ่งหมายของการแต่ง วรรณกรรมพุทธธรรมของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ.ปยุตฺโต) เกิดขึ้นเพื่อ ตอบสนองปัญหาของโลกยุคใหม่ ปัญหาการพัฒนาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และปัญหาการพัฒนา ไม่ยั่งยืน รวมทั้งปัญหาความผิดพลาดของอารยธรรมตะวันตก ผู้วิจัยคิดว่าแนวคิดของท่านที่ สะท้อนให้เห็นถึงพระพุทธศาสนาในโยคยุคใหม่ มีลักษณ ะเด่นอยู่ ๓ ประการคือ ๑. เป็นอรรถกถาร่วมสมัย ที่แสดงหลักธรรมของพระ พุทธศาสนาเถรวาทอย่าง
๒๑๓ บริสุทธิ์ซื่อตรงต่อคัมภีร์พระไตร ปิฎกเป็นอย่างยิ่ง ย่อมจะนำผู้อ่านเข้าถึงหลักพุทธธรรมที่ถูกต้อง อย่างแท้จริงได้อย่างไม่คลาดเคลื่อน นอกจากนี้ แล้วการที่ผู้นิพนธ์ได้แสดงหลักฐานที่มาไว้มาก นั้น ก็เพื่อที่จะทำให้หนังสือนี้เป็นอิสระจากผู้เขียน และให้ผู้เขียนเอง ก็เป็นอิสระจากหนังสือด้วย ๒. นำเสนอหลักการและสาระสำคัญของพระพุทธศาสนา อย่างครบถ้วน รอบด้าน ครอบคลุมและเป็นระบบอย่างชัด เจน เท่าที่ระบบในปัจจุบันจะพึงมิได้ ลักษณะดังกล่าวนี้จะ เห็นได้จากการนำเสนอหลักความจริงทั้งในส่วนที่เป็นสัจธรรมหรือโลกุตตรธรรม กับหลัก จริยธรรมหรือโลกิยธรรม หลักองค์ประกอบแห่งการดำรงอยู่ที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันทั้งในส่วนที่ เป็นชีวิต สังคม และธรรมชาติ หลักแห่งชีวิตทั้งในส่วนแห่งพฤติกรรมจิตใจ และสติปัญญาการ นำเสนอดังกล่าวจึงช่วยให้เห็นองค์รวมแห่งระบบคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน ๓. เป็นมาตรฐานและเกณฑ์ของความเชื่อและการปฏิบัติของชาวพุทธทั่วไป ทั้งใน ระดับชาวบ้านและพระภิกษุ รวมทั้ง การขจัดความคลุมเครือสับสน เข้าใจผิดในหลักพุทธธรรม ตลอดจนพื้นฟูสาระสำคัญบางอย่างของพระพุทธศาสนาที่ถูกละเลย และสูญหายไป เช่น ความ เข้าในในเรื่องกรรม สันโดษ อุเบกขา วาสนา การปฏิบัติธรรม ความเชื่อในเรื่องนรก สวรรค์ นิพพาน ความสำคัญของสงฆ์ และสถาบันสงฆ์ การศึกษารวมทั้งมิติทางสังคมของ พระพุทธศาสนาเป็นต้น เนื้อหาย่อ ลักษณะทั่วไปของพุทธธรรมนั้น สรุปได้๒ อย่าง คือ ภาคที่ ๑ พระพรหมคุณาภรณ์ได้กล่าวถึงเนื้อหา ที่แสดงหลักความจริงสายกลางที่ เรียกว่า “มัชเฌนธรรมเทศนา” ว่าด้วยความจริงที่เป็นเหตุผลบริสุทธิ์ตามกระบวนการของ ธรรมชาติ นำมาแสดงเพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติในชีวิตจริงเท่านั้น ไม่ส่งเสริมความพยายามที่ จะเข้าถึงความจริงหรือสัจจธรรมด้วยวิธีการถกเถียงสร้างทฤษฎีต่างๆ ขึ้นแล้ว ใช้วิธีการทาง ปรัชญา ภาคที่ ๒ แสดงข้อปฏิบัติสายกลาง ที่เรียกว่า “มัชฌิมาปฏิปทา” อันเป็นหลักการ ครองชีวิตของผู้ฝึกอบรมตน ผู้รู้เท่าทันชีวิต ไม่หลงงมงาย มุ่งผลสำเร็จคือความสุข สะอาด สว่าง สงบ เป็นอิสระ ที่สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ในชีวิตนี้ในทางปฏิบัติความเป็นสายกลางนี้เป็นไปโดย สัมพันธ์กับองค์ประกอบอื่นๆ เช่น สภาพชีวิตของบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์เป็นต้น
๒๑๔ การสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ทรงมุ่งผลในทางปฏิบัติให้ทุกคนจัดการกับชีวิตที่ เป็นอยู่จริงๆในโลกนี้และเริ่มแต่บัดนี้ความรู้ในหลักที่เรียกว่า มัชเฌนธรรมเทศนา ก็ดีการ ประพฤติตามมรรคาที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ก็ดีเป็นสิ่งที่ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพและระดับ ชีวิตอย่างใดสามารถเข้าใจและนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ตามสมควรแก่สภาพและระดับชีวิต นั้นๆ อนึ่ง ในข้อเขียนนี้ได้ตกลงใจแสดงความหมายภาษาอังกฤษของศัพท์ธรรมที่สำคัญๆ ไว้ด้วย โดยเหตุผลอย่างน้อย ๓ อย่าง คือ ๑. ในภาษาไทยปัจจุบัน ได้มีผู้นำศัพท์ธรรมบางคำมาใช้เป็นศัพท์บัญญัติสำหรับใน ภาษาอังกฤษที่มีความหมายไม่ตรงกันกับศัพท์ธรรมนั้น อันอาจทำ ให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ จึงนำความหมายในภาษาอังกฤษมาแสดงควบไว้ด้วย เพื่อไม่ให้ผู้อ่านถือไปตามความหมายที่มีผู้ บัญญัติใช้ใหม่ในภาษาไทย ๒. จำต้องยอมรับความจริงว่า นักศึกษาวิชาการสมัยใหม่จำนวนไม่น้อย เข้าใจ ความหมายในภาษาไทยได้ชัดเจนขึ้นในเมื่อเห็นคำภาษาอังกฤษควบอยู่ด้วย ๓. ประการที่สาม ตำราภาษาต่างประเทศที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้มีจำนวน มาก การรู้ความหมายศัพท์ธรรมที่นิยมใช้ในภาษาอังกฤษย่อมเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาที่ ต้องการค้นคว้าอย่างกว้างขวางต่อไป พุทธธรรมถือว่า มนุษย์เป็นจุดศูนย์กลางของสรรพสิ่ง มนุษย์มีบิดา มารดา ของตน เป็นแดนเกิด การจะประสบความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการกระทำก็มีปัจจัยมาจากมนุษย์ นั่นเอง ดังนั้น ค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์จึงอยู่ที่การกระทำของมนุษย์เอง ความบริสุทธิ์หมดจด หรือเศร้าหมองก็เป็นเรื่องของมนุษย์เองไม่มีอำนาจภายนอก มาแทรกแซงแต่อย่างใด และเมื่อ พิจารณาถึงบทบาทของพระพุทธองค์ในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรจึงบรรลุ อริยธรรม ที่สอนเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ล้วน ๆ เช่นเนื้อหาในพุทธธรรมที่กล่าวว่า ยุคนั้น คน พวกหนึ่งกำลังรุ่งเรืองขึ้นด้วยอำนาจ ร่ำรวยด้วยทรัพย์สมบัติและเพลิดเพลินมัวเมาอยู่กับการ แสวงหาความสุขทางวัตถุพร้อมกับที่คนหลายพวกก็มีฐานะและความเป็นอยู่ด้อยลงๆ ไป ไม่ค่อย ได้รับความเหลียวแล ส่วนคนอีกพวกหนึ่ง ก็ปลีกตัวออกไปเสียจากสังคมทีเดียว ไปมุ่งมั่นค้นหา ความจริงในทางปรัชญา โดยมิได้ใส่ใจสภาพสังคมเช่นเดียวกันเจ้าชายสิทธัตถะ ทรงได้รับการ บำรุงบำเรอด้วยโลกียสุขอยู่เป็นเวลานานถึง ๒๙ ปีและมิใช่เพียงปรนปรือเอาใจเท่านั้น ยังได้ทรง
๒๑๕ ถูกปิดกั้นไม่ให้พบเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ระคนด้วยความทุกข์ของสามัญชนทั้งหลายด้วย แต่ สภาพเช่นนี้ไม่สามารถถูกปิดบังจากพระองค์ได้เรื่อยไป ปัญหาเรื่องความทุกข์ความเดือดร้อน ต่างๆ ของมนุษย์อันรวมเด่นอยู่ที่ความแก่เจ็บ และตาย เป็นสิ่งที่ทำให้พระองค์ต้องครุ่นคิดแก้ไข ปัญหานี้คิดสะท้อนออกไปในวงกว้างให้เห็นสภาพสังคม ที่คนพวกหนึ่งได้เปรียบกว่า ก็แสวงหา แต่โอกาสที่จะหาความสมบูรณ์พูนสุขใส่ตนแข่งขันแย่งชิงเบียดเบียนกัน หมกมุ่นมัวเมาอยู่ใน ความสุขเหล่านั้น ไม่ต้องคิดถึงความทุกข์ยากเดือดร้อนของใครๆ ดำรงชีวิตอยู่อย่างทาสของวัตถุ ยามสุขก็ละเมอมัวเมาอยู่ในความคับแคบของจิตใจ ถึงคราวถูกความทุกข์เข้าครอบงำก็ลุ่มหลงไร้ สติเหี่ยวแห้งคับแค้นเกินสมควร แล้วก็แก่เจ็บตายไปอย่างไร้สาระ ฝ่ายคนที่เสียเปรียบ ไม่มี โอกาส ถูกบีบคั้นกดขี่อยู่อย่างคับแค้น แล้วก็แก่เจ็บตายไปโดยไร้ความหมาย เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงมองเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ทรงเบื่อหน่ายในสภาพความเป็นอยู่ของพระองค์มองเห็นความสุข ความปรนเปรอเหล่านั้นเป็นของไร้สาระ ทรงคิดหาทางแก้ไขจะให้มีความสุขที่มั่นคง เป็นแก่น สารทรงคิดแก้ปัญหานี้ไม่ตก และสภาพความเป็นอยู่ของพระองค์ท่ามกลางความเย้ายวนสับสน วุ่นวายเช่นนั้น ไม่อำนวยแก่การใช้ความคิดที่ได้ผล๔๖ ข้อความนี้จึงแสดงถึงธรรมชาติของมนุษย์สถานภาพของมนุษย์และสังคมมนุษย์ ทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างมีจุดหมายปลายทางอยู่ ที่ประโยชน์สุขของมนุษย์โดยแท้ ดังนั้นจึงมีผู้ กล่าวว่า พุทธปรัชญามีลักษณะเป็นมานุษยนิยม ในฐานะเป็นระบบดำเนินชีวิตอันประเสริฐของ มนุษย์ค้นพบโดยมนุษย์และมีจุดหมายเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์ทุกหมู่เหล่าไม่จำกัด เช่น เนื้อหาที่ว่า มีชีวิตซึ่งเป็นอยู่ด้วยปัญญา ที่ด้านในจิตใจอิสระ เป็นสุขผ่องใสปล่อยวางได้ด้วยความ รู้เท่าทันเหตุปัจจัย ในด้านชีวิตภายใน หรือคุณค่าทางจิตใจโดยตรง หลักอนิจจตา ช่วยให้ดำรงชีวิต อยู่อย่างผู้รู้เท่าทันความจริง ขณะที่ทางด้านชีวิตภายนอก เมื่อรู้ตระหนักถึงความผันผวนปรวนแปร ไม่แน่นอน จึงไม่นิ่งนอนใจขวนขวายไม่ประมาท คอยใชปัญญาศึกษาให้รู้เท่าทันเหตุปัจจัย ทำการ ปรับปรุงแก้ไข หลีกเว้นความเสื่อม และสร้างสรรค์ความเจริญอยู่ตลอดเวลา โดยไมปล่อยปละ ละเลย แต่ภายในจิตใจ ด้วยปัญญาที่เท่าทันเหตุปัจจัยวางได้ดำรงอยู่ด้วยจิตใจที่เป็นอิสระ ไม่ตก เป็นทาสของความเปลี่ยนแปลงทั้งถือเอาประโยชน์จากกฎธรรมชาติแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น และ เกี่ยวข้องกับมันโดยไม่ต้องถูกกระแทกกระทั้นซัดเหวี่ยงฉุดกระชากลากไปอย่างไร้หลักเลื่อนลอย ๔๖ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม หน้า ๑๓.
๒๑๖ และมืดมัว เพราะเอาตัวเข้าไปยึดมั่นเกาะติดอยู่กับเกลียวคลื่นส่วนโน้นส่วนนี้ในกระแสของมันอย่าง ไม่รู้หัวรู้หน จนช่วยตนเองไม่ได้ที่จะช่วยคนอื่นเป็นอันไม่ต้องพูดถึง๔๗ เห็นได้ว่า ทัศนะตามแนวพุทธธรรมว่า การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างลุ่มหลงหมกมุ่น ปล่อยตัวไปเป็นทาสตามกระแสกิเลส การหลีกหนีออกไปโดยสิ้นเชิง ไม่เกี่ยวข้องรับผิดชอบอย่าง ใดต่อสังคม อยู่อย่างทรมานตนก็ดีนับว่าเป็นข้อปฏิบัติที่ผิดเอียงสุดด้วยกันทั้งสองอย่างไม่ สามารถให้มนุษย์ดำรงชีวิตอย่างมีความหมายแท้จริงได้เมื่อตรัสรู้แล้วเช่นนี้พระองค์จึงเสด็จ กลับคืนมาทรงเริ่มต้นงานสั่งสอนพุทธธรรมเพื่อประโยชน์แก่สังคมของชาวโลกอย่างหนักแน่น จริงจังและทรงดำเนินงานนี้จนตลอด ๔๕ ปีแห่งพระชนมชีพระยะหลังแม้ไม่พิจารณาเหตุผลด้าน อื่น มองเฉพาะในแง่สังคมอย่างเดียว ก็จะเห็นว่า พุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพื่อ ประโยชน์สุขแกสั่งคมสมัยนั้นจะสำเร็จผลดีที่สุดการทำงานในบรรพชิตเพศเท่านั้น พระองค์จึงได้ ทรงชักจูงคนชั้นสูงจำนวนมากให้ละความมั่งมีศรีสุข ออกบวช ศึกษา และเข้าถึงธรรมที่ทรงสอน แล้วร่วมทำงานอย่างเสียสละอุทิศตนเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน ดว้ยการจาริกไปเข้าถึง คนทกุชั้นวรรณะและทุกถิ่นที่จะไปถึงได้ทำให้บำเพ็ญประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง แนวคิดมนุษยนิยมเชิงพุทธของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์นั้นแตกต่างจาก แนวคิดมนุษยนิยมของตะวันตกอย่างสิ้นเชิง เราจะเห็นว่าภูมิหลังของแนวคิดมนุษยนิยมของ ตะวันตกเกิดมาจากแรงบีบคั้นของ ศาสนาคริสต์ในยุคกลาง พอหลุดพ้นจากอำนาจของศาสนา ในยุคกลาง ชาวตะวันตกก็พัฒนาแนวคิดขึ้นมาบนพื้นฐานของการปฏิเสธศาสนา แล้วหันไปหา เรื่องทางโลกทางสุดโต่ง (Secularism) ถึงกับปฏิเสธศาสนาเลยทีเดียว เมื่อชาวตะวันตกหันเข้า หาทางโลก จึงกลายเป็นที่มาเป็นการเอาศักยภาพออกมาพิชิตโลกธรรมชาติในขณะที่แนวคิด ของท่านพระธรรมปิฎก เป็นแนวคิดมนุษยนิยมที่ตั้งอยู่บนฐานความเชื่อและศรัทธาในศักยภาพ ของมนุษย์ที่จะสามารถพัฒนาให้เข้าถึงความดีงามสูงสุดได้ หรือที่ท่านเรียกว่า “ตถาคตโพธิ ศรัทธา” โดยนัยนี้แนวคิดแบบมนุษยนิยมของท่านพระธรรมปิฎก จึงมุ่งกลับเข้าไปหาคุณค่า ภายในของมนุษย์ในขณะที่มนุษยนิยมตะวันมุ่งเอาศักยภาพออกไปใช้ด้านนอกเพื่อพิชิต ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ดังที่ท่านกล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์ที่ฝึกได้ และต้องฝึก ทางพระเรียกว่า “ทัมมะ” พูดด้วยภาษาสมัยนี้ว่าเป็นสัตว์ที่พัฒนาได้ข้อนี้ถือว่าเป็นความคิดรากฐานที่สำคัญที่สุด ๔๗ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์, (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, หน้า ๔๗.
๒๑๗ การเกิดระบบระจริยธรรมในพระพุทธศาสนาขึ้นมาก็เพราะถือว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ ฝึกได้และต้อง ฝึก…เมื่อมนุษย์พัฒนาแล้วสามารถเข้าถึงอิสรภาพและความสุขได้จริง อันนี้เป็นข้อยืนของ พระพุทธศาสนา” และท่านได้วิพากษ์แนวคิดมนุษยนิยมของตะวันตกไว้ว่า “มนุษย์ภายใต้ อิทธิพลความคิดตะวันตกมีความเข้าใจว่าศักยภาพคือการที่มนุษย์สามารถ พัฒนาเทคโนโลยีมา พิชิตและ จัดการกับธรรมชาติได้ การที่คิดเห็นอย่างนี้ก็เพราะมองออกไปข้างนอกด้านเดียวบน ฐานความคิดที่จะครอบงำ” ๔๘ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ. ปยุตฺโต) เป็นพระสงฆ์ไทยองค์แรกๆ ในสังคมยุค ใหม่ ที่พยายามจะฟื้นฟูมิติทางสังคมของพระพุทธศาสนาให้กลับคืนมา ฐานคิดเรื่องมิติทางสังคม เชิงของท่านคือเรื่อง “ศีล” หรือ “วินัย” เป็นที่ทราบกันดีว่า เรื่องศีลหรือวินัยที่อธิบายในแนว จารีตตามคัมภีร์วิสุทธิมรรคและในสังคมไทย ศีลหรือวินัย เป็นเรื่องของความดีงามส่วนบุคคล เช่นความเชื่อที่ว่า ใครอยากได้บุญ ก็ควรทำทานหรือรักษาศีล หรือใครอยากพัฒนาตนเองให้ เข้าถึงนิพพาน ก็ควรปฏิบัติตามหลัก ไตรสิกขา ด้วยการรักษาศีล เป็นต้น จะเห็นว่าแนวคิดเรื่อง ศีลหรือวินัยเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของบุคคลทั้งสิ้น การอธิบายศีลในลักษณะกล่าวนี้ทำให้ นักวิชาการตะวันตกบางท่าน วิจารณ์พระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่ไม่มีจริยธรรมเชิงสังคม เพราะมุ่งความหลุดพ้นส่วนบุคคล เป็นจริยธรรมที่ไม่มุ่งแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือการ จัดระบบสังคม โดยมองเพียงว่าสังคมจะดีก็ต่อเมื่อปัจเจกบุคคลแต่ละคนประพฤติดีหรือมี ศีลธรรมตามหลักศาสนา ท่านพระธรรมปิฎก ได้ลบคำกล่าวหาเหล่านี้ด้วยการเสนอแนวคิดเรื่อง “ศีลกับเจตนารมณ์ทางสังคม” ในความหมายของท่าน ศีลหรือวินัย ก็คือเรื่องของการจัด โครงสร้างหรือการจัดระบบความสัมพันธ์ของมนุษย์ในสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับปัจจัย ๔ ท่านมองว่าวินัย คือการจัดตั้ง วางระบบระบียบแบบแผนเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกัน ของหมู่มนุษย์ เพื่อ จัดเตียมสภาพชีวิตสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งระบบแห่งความสัมพันธ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในภาวะที่ เหมาะและพร้อมที่จะเป็นอยู่ปฏิบัติกิจและดำเนินการต่าง ๆ เพื่อก้าวหน้าไปอย่างและพร้อมที่จะ เป็นอยู่ปฏิยัคติกิจและดำเนินการต่าง ๆ เพื่อก้าวหน้าไปอย่างได้ผลดีที่สุด สู่จัดหมายของชีวิต ๔๘ พระมหาสมบูรณ์วุฑฺฒิกโร, วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่', [ออนไลน์] : แหล่งที่มา http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article , (๑ กันยายน ๒๕๕๘)
๒๑๘ บุคคล ขององค์กร ของชุมน ตลอดจนของสังคมทั้งหมด…ในวงกว้าง ระบบเศรษฐกิจ ระบบ สังคม ระบบการมเองการปกครองตลอดจนแบบแผนทุกอย่างที่อยู่ตัวกลายเป็นวัฒนธรรม รวมอยู่ในความหมายของคำว่า วินัย ทั้งสิ้น” พุทธธรรมมองชีวิตด้านในของบุคคล โดยสัมพันธ์กับคุณค่าด้านนอกคือทางสังคม และถือคุณค่าทั้ง ๒ ด้าน ชื่อมโยงถึงกัน ไม่แยกจากกัน เมื่อรักษาตน ก็ชื่อว่ารักษาผู้อื่นนั้น อย่างไร? ด้วยการหมั่นปฏิบัติด้วยการเจริญอบรม ด้วยการทำให้มาก อย่างนี้แล เมื่อรักษาตน ก็ ชื่อว่ารักษาผู้อื่น๔๙ เมื่อรักษาผู้อื่น ก็ชื่อว่ารักษาตน นั้นอย่างไร? ด้วยขันติด้วยอวิหิงสา ด้วยความ มีเมตตาจิต ด้วยความเอ็นดูกรุณา อย่างนี้แล เมื่อรักษาผู้อื่น ก็ชื่อว่ารักษาตนด้วย อย่างไรก็ดีคำ สอนในรูปประยุกต์ย่อมกระจายออกไปเป็นรายละเอียดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพื่อให้เหมาะสมกับ บุคคล กาละ เทศะ และสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ในการสอนครั้งนั้นๆ ในที่นี้มิใช่โอกาสที่มุ่งเพื่ออธิบาย คำสอนเหล่านั้น จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะรวบรวมรายละเอียดมาแสดง ยิ่งพุทธธรรมเป็นคำสอนที่มี ระบบแน่นอนอยู่แล้วการแสดงแต่เพียงหลักศูนย์กลางให้เกิดความเข้าใจแบบรวบยอด ก็เป็นการ เพียงพอ ส่วนคำสอนในรูปประยุกต์ต่างๆ ก็ปล่อยให้เป็นสิ่งสำหรับผู้ต้องการข้อธรรมที่เหมาะสม กับอัธยาศัย ระดับการครองชีพ และความประสงค์ของตนจะพึงแสวงต่อไปเมื่อกล่าวโดยสรุป สำหรับคำสอนในรูปประยุกต์ถ้ามิใช่ประยุกต์ในส่วนรายละเอียดให้เหมาะกับบุคคล กาลเวลา สถานที่และโอกาสจำเพาะกรณีแล้วหลักใหญ่สำหรับการประยุกต์ก็คือสภาพหรือระดับการครอง ชีวิต โดยนัยนี้จึงมีศีลหรือข้อบัญญัติระบบความประพฤติต่างๆ ที่แยกกันออกไปเป็นศีลสำหรับ คฤหัสถ์และศีลสำหรับบรรพชิต เป็นต้น พุทธธรรมให้ความสำคัญของสาระ (ธรรม) และรูปแบบ (วินัย) ธรรมวินัยจึงเป็นชื่อ หนึ่งของพุทธศาสนา ต้องมีทั้งสองอย่าง ธรรมเป็นหลักความจริง ซึ่งมีอยู่แล้วตามธรรมดาของมัน และเป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาปฏิบัติสามารถเข้าถึงได้ ส่วนวินัย เป็นกฎเกณฑ์ ข้อบังคับ กติกา หรือ ข้อบัญญัติที่กำหนดขึ้นเพื่อให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติ เพื่อความเจริญ และความสงบสุข วินัย เปรียบได้กับศีล เช่นศีล ๕ เป็นต้น มุ่งประโยชน์สุขเพื่อมวลชน การดำเนินชีวิตของชาวพุทธ ทั้งหลายจึงควรดำเนินตามพระดำรัสนี้คือ การทำประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่สังคม เมื่อทำความ ๔๙ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม , หน้า ๑๘๓.
๒๑๙ เข้าใจหลักพุทธธรรมที่สำคัญดังกล่าวแล้ว จะทำให้สามารถเข้าใจแนวทางการดำเนินชีวิตตาม แบบวิถีพุทธได้กระจ่างชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งผู้วิจารณ์เห็นด้วย ดังนี้ ๑.มีลักษณะเป็นคำสอนเป็นกลาง ปฏิบัติสายกลาง หรือลักษณะที่เป็นสายกลาง ไม่ สุดโต่งในทางความคิดหรือสุดโต่งในทางปฏิบัติตน เห็นความสำคัญทางด้านจิตใจ และทางด้าน ร่างกายซึ่งสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ได้จึงวางข้อปฏิบัติที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา แปลว่า ทางสาย กลางหรือ ข้อปฏิบัติที่เป็นสายกลาง (มรรคมีองค์ ๘) คือความพอดีและทัศนะเกี่ยวกับ สัจธรรม ก็เป็นกลาง ความจริงที่เป็นกลาง ตามเหตุปัจจัยไม่ขึ้นกับใคร (เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท) ๒. พุทธธรรมมีหลักการเป็นสากลหรือ สอนหลักความจริงที่เป็นสากล ความจริงเป็น สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติคือธรรมดาของสิ่งทั้งหลายเป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่าเป็นกฎธรรมชาติ ในทางปฏิบัติสอนให้คนมีเมตตากรุณาอย่างเป็นสากล ชาวพุทธต้องมีความเมตตากรุณาต่อสรรพ สัตว์ทั่วกันหมดไม่เลือกพวกเขาพวกใคร ๓. พุทธธรรมสอนหลักกรรม พระพุทธศาสนายึดเอาการกระทำหรือความประพฤติ เป็นเครื่องจำแนกคน ไม่แบ่งแยกด้วยชาติกำเนิด ผิวพรรณ เน้นการรับผิดชอบต่อการกระทำ ของตน ไม่ซัดทอดสิ่งภายนอก มีการสำรวจตนเองเป็นเบื้องต้นก่อน นอกจากนี้สอนหลักกรรมให้ รู้จักพึ่งตนเอง ไม่ฝากไว้กับโชคชะตา กรรมสอนคู่กับความเพียร ความสำเร็จเกิดขึ้นได้ จากความ เพียร และจากการกระทำตามทางของเหตุและผล ๔. เป็นศาสนาแห่งปัญญา ดังพุทธพจน์ว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีปัญญาเป็นยอด ยิ่ง” หลักปัญญาสำคัญ เพราะปัญญาเป็นตัวตัดสินในการเข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนา โดยให้ความสำคัญแก่ศรัทธา ศีล สมาธิ ว่าเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้เพื่อเข้าถึงจุดหมาย โดยมี ปัญญาเป็นตัวตัดสินสูงสุด นั่นคือ ศรัทธา ก็ขาดปัญญาไม่ได้ศีล ก็เพื่อประคับประคองจนเกิด ปัญญา สมาธิก็ต้องนำไปสู่ปัญญา มิฉะนั้นจะหลงผิด หลงทาง ปัญญา จึงเป็นคุณธรรม สำคัญ เป็นเอก ปัญญาในขั้นสูงสุดคือปัญญาในขั้นที่รู้เท่าทันสัจจธรรม เรียกว่า วิปัสสนา ปัญญา ๕.สอนหลักอนัตตา พระ พุทธศาสนาประกาศหลักสำคัญเกี่ยวกับความจริงของสิ่ง ทั้งหลายหรือของสภาวธรรม ต่างๆ คือ หลักอนัตตา เป็นหลักใหม่ที่โลกไม่เคยค้นพบมาก่อน ความยึดติดในอัตตาหรือตัวตนเป็นสิ่งฝังลึกแนบแน่นในจิตใจมนุษย์แต่แท้จริงผู้มีปัญญาเห็นว่า
๒๒๐ สิ่งทั้งหลายที่ดำรงอยู่เป็นไปตามธรรมดาของมัน ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่สามารถบังคับให้เป็นไป ตามใจปรารถนาได้เลย ๖. การมีทัศนคติที่มองสิ่งทั้งหลายตามความสัมพันธ์แห่งเหตุและปัจจัย เชื่อมโยงกัน อิงอาศัยกันเป็นไปตามธรรมดาแห่งเหตุปัจจัยนั่นเอง ๗. เป็นศาสนาแห่งการศึกษา นำเอาการศึกษาเข้ามาเป็นสาระสำคัญ เป็นเนื้อแท้ ของการดำเนินชีวิต หลักปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนาเรียกว่า มรรค หมายถึงทางดำเนิน ชีวิต ดังนั้นวิถีชีวิตของชาวพุทธ คือ การดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘ เรียกย่อ ว่า ศีล สมาธิ ปัญญา หรือไตรสิกขา ในที่สุดจะบรรลุจุดหมายแห่งชีวิตที่ดีงาม เป็นมนุษย์ที่ สมบูรณ์ ๘. ให้ความสำคัญทั้งแก่ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัจจัยภายในได้แก่ โยนิโส มนสิการ คือ การคิดใคร่ครวญในธรรมโดยแยบคาย ลึกซึ้ง อย่างผู้มีปัญญา คือรู้จักคิด คิด เป็น ปัจจัยภายนอก ได้แก่กัลยาณมิตรที่ดี มีครูอาจารย์ที่ดี มีพ่อแม่ที่ดี ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เป็น ตัวอย่างที่ดี มีแหล่งความรู้ มีสื่อมวลชนที่ให้สติปัญญา ๙. มุ่งประโยชน์สุขเพื่อมวลชนการดำเนินชีวิตของชาวพุทธทั้งหลายจึงควรดำเนิน ตามพระดำรัสนี้คือ การทำประโยชน์แก่ผู้อื่นและแก่สังคม เมื่อทำความเข้าใจหลักพุทธธรรมที่ สำคัญดังกล่าวแล้ว จะทำให้สามารถเข้าใจแนวทางการดำเนินชีวิตตามแบบวิถีพุทธได้กระจ่าง ชัดเจนยิ่งขึ้น คุณค่าของวรรณกรรม ผลงานวรรณกรรมพุทธธรรม เป็นผลงานที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน ที่ความหมายและ คุณค่าของชีวิตที่แท้จริงกำลังเลือนหายไปมนุษย์ส่วนหนึ่งกำลังสร้างชีวิตและนิยามความหมาย รวมถึงคุณค่าแห่ง ชีวิตใหม่ภายใต้ฤทธานุภาพของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคงไม่มียุคไหนที่ ชีวิตจะถูกท้าทายมากเท่าปัจจุบัน พุทธธรรม งานเขียนของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตโต) เป็นหนังสือที่ถือได้ว่าเป็นเพชรน้ำเอกในโลกพุทธศาสนาที่จะเชื่อมโยงภูมิ ปัญญาดั้งเดิมของมนุษยชาติให้กลับมามีความหมายต่อชีวิตในปัจจุบัน เพราะไม่ว่ามนุษย์จะ เจริญก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใด ก็ตาม มนุษย์ก็ยังจำเป็นจะต้องตอบคำถามตนเองให้ได้ว่า ชีวิตคืออะไร? ควรให้ชีวิตเป็นไปอย่างไร? ไม่เช่นนั้นแล้ว ชีวิตก็จะไร้ความหมายและคุณค่าโดย สิ้นเชิง
๒๒๑ การเสนอแนวคิดแบบองค์รวมของพระธรรมปิฎก เกิดขึ้นในช่วงสังคมโลกกำลัง ประสบปัญหาวิกฤตในด้านการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และสังคมโลกกำลังตื่นตัวในการแสวงหา แนวคิดการพัฒนาแบบใหม่ๆ ท่านได้เสนอแนวคิดแบบองค์รวมบนฐานของแนวคิดทาง พระพุทธศาสนา คือ การพัฒนาที่ตั้งอยู่บนฐานความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ สังคม และมนุษย์ ท่าน มองว่าการพัฒนาที่จะเรียกว่าเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนนั้น (sustainable development) จะต้องเกิดดุลยภาพหรือองค์รวม (holism /integration) ของมิติ ๓ ด้าน คือ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สังคม และมนุษย์นั่นคือจะต้องพัฒนาให้มนุษย์มีองค์ประกอบทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจ ที่พร้อมจะอยู่ร่วมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างประสานเกื้อกูล กันหรือ เกิดดุลยภาพในระบบองค์รวม ไม่ใช่การพัฒนาแบบแยกส่วน หรือทำให้มนุษย์แปลกแยกจาก สังคมและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ๘.๒.๒ วิมุตติมรรค วิมุตติมรรค เป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่มากอีกเล่มหนึ่งที่วงการศึกษาคัมภีร์ให้ความสำคัญจัด อยู่ในวรรณคดีประเภทปกรณ์พิเศษเช่นเดียวกับคัมภีร์วิสุทธิมรรคที่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องศีล สมาธิปัญญา ผู้ศึกษาคัมภีร์วิมุตติมรรค จะพบว่า การอธิบายธรรมในวิมุตติมรรคยังคงเป็น แบบเถรวาทที่อาศัยแหล่งอ้างอิงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาและคัมภีร์อื่น ๆ มาอธิบาย ไตรสิกขาเป็น “วิมุตติมรรค” แปลว่าทางแห่งความหลุดพ้น คัมภีร์นี้ถือเป็นคู่มือสำหรับศึกษา และปฏิบัติธรรม แต่งก่อนคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆสาจารย์โดยพระอรหันต์อุปติสส เถระแห่งสำนักอภัยคีรีวิหาร เมื่อประมาณ พ.ศ.๖๐๙ เนื้อความในวิมุตติมรรคไม่ต่างจากวิ สุทธิมรรค ของพระพุทธโฆสาจารย์มากนัก โดยวิสุทธิมรรคอาจได้แนวความคิดจากวิมุตติ มรรคมาก่อนก็ได้๕๐ที่แตกต่างกันคือวิมุตติมรรคเป็นของฝ่ายอภัยคีรีในขณะที่วิสุทธิมรรคเป็น ของฝ่ายมหาวิหารพระญาณโมลีชาวอังกฤษ ได้กล่าวถึงคัมภีร์วิมุตติมรรค ไว้ในบทนำคัมภีร์วิ สุทธิมรรคที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ ว่านอกจากคัมภีร์ภาษาสิงหล ที่ท่านอาจารย์พระพุทธโฆ สะระบุไว้ว่า ยังมีคู่มืออีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีอยู่ในบัดนี้เฉพาะในคำแปลที่เป็นภาษาจีน ในศตวรรษ ๕๐ พัฒน์เพ็งผลา, ประวัติวรรณคดีบาลี, (กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาภาษาไทยและภาษา ตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๕), หน้า ๑๔๑.
๒๒๒ ที่ ๖ แห่งคริสตศักราชเข้าใจกันว่าเขียนไว้เป็นภาษาบาลีท่านอาจารย์พระพุทธโฆสะเองมิได้ กล่าวถึงคัมภีร์นี้แต่ท่านอาจารย์ธัมมปาละผู้แต่งคำอธิบายคัมภีร์ของท่านอาจารย์พระพุทธโฆ สะ ได้กล่าวถึงในคัมภีร์วิมุตติมรรคไว้๕๑ ผู้แต่ง พระอุปติสสเถระ, พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) และคณะ, ผู้แปลจาก ภาษาอังกฤษของพระเอฮารา พระโสมเถระ และพระเขมินทเถระ, พิมพ์ครั้งที่ ๘ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๔. ประวัติการแต่ง ชีวประวัติของพระอุปติสสเถระ มีหลักฐานไม่มากนักและไม่ชัดเจนเหมือนพระ พุทธโฆสาจารย์เพราะหลักฐานที่เกี่ยวกับชีวประวัติของท่านมีไม่มาก หลักฐานส่วนมากระบุชื่อ คัมภีร์มากกว่าผู้แต่ง พระอุปติสสะในบางครั้งได้รับการเรียกขานจากประชาชนว่า พระอรหันต์ อุปติสสะที่เป็นผู้แต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค น่าจะมีชีวิตอยู่ในราวคริสตศวรรษที่ ๑ ๕๒ สถานที่แต่ง คัมภีร์วิมุตติมรรคนี้แต่งในอินเดียหรือศรีลังกา ก็ยังไม่มีหลักฐานปรากฏชัด นักปราชญ์บางท่านมี มติว่า แต่งในอินเดีย บางคนก็ว่าแต่งในศรีลังกาก่อนที่พระพุทธโฆสาจารย์จะแต่งวิสุทธิมรรค ต้นฉบับบาลีของคัมภีร์วิมุตติมรรคอาจจะหายไป มีผู้ค้นพบคัมภีร์วิมุตติมรรคฉบับแปลเป็น ภาษาจีนมีชื่อว่าจี-โต-เตา-ลูน (Cei-to-tao-lun) คนที่แปลเป็นภาษาจีน มีชื่อว่า เชา-ชี-โป-โล (Seng-Chie-po-lo) อาจเป็นองค์เดียวกันกับสังฆปาละก็ได้แปลเมื่อ พ.ศ. ๑๐๔๘ ในราชวงค์ เลียน (Lian-Dynastry)๕๓ และต่อมาภิกษุชาวญี่ปุ่น ชื่อเอน.อาร์.เอม.ฮารา และภิกษุชาวศรีลังกา ๒ รูปคือพระโสมเถระและพระเขมินทเถระ ได้ร่วมกันแปลคัมภีร์วิมุตติมรรคจากบับภาษาจีนเป็น ภาษาอังกฤษ ให้ชื่อว่า The Path of Freedom กล่าวว่า คัมภีร์วิมุตติมรรคนั้น พระอรหันต์อุป ๕๑ มหามกุฏราชวิทยาลัย, วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาม กุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕), หน้า ฎ. ๕๒ G.P. Malalasekera, Dictionary of Pali Proper Names, (London : Pali Taxt Society, 1974), p. 392. ๕๓ พัฒน์เพ็งผลา, ประวัติวรรณคดีบาลี, หน้า ๑๔๑-๑๔๕.
๒๒๓ ติสสะเป็นผู้รจนาไว้ท่านปิฏกสังฆปาละแห่งฟูนัน แปลเป็นภาษาจีน๕๔ ซึ่งเป็นประวัติ โดยสังเขป๕๕ ศาสตราจารย์นาไก สันนิษฐานว่า ผู้รจนาคัมภีร์วิมุตติมรรค คือพระอรหันต์อุปติสสะ ชาวศรีลังกา ผู้ชำนาญพระวินัยและมีชื่อปรากฏอยู่ในคัมภีร์ปริวารของพระวินัยปิฎก ๕๖ท่านมี ผลงานแพร่หลายในรัชกาลของพระเจ้าวสภะ ผู้ครองราชย์ในศรีลังกา ระหว่าง พ.ศ.๖๐๙-๖๕๓ แต่พระญาณโมลีได้กล่าวไว้ในบทนำแห่งหนังสือวิสุทธิมรรค ที่ท่านแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า ยัง ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสนับสนุนมติที่ว่า พระอุปติสสเถระผู้รจนาคัมภีร์วิมุตติมรรค เป็นรูป เดียวกับพระอรหันต์อุปติสสะผู้ชำนาญพระวินัย แต่มีเหตุผลน่าเชื่อถือว่าวิมุตติมรรคแต่งก่อนวิ สุทธิมรรค และน่าจะแต่งขึ้นในประเทศอินเดีย๕๗ ศาสตราจารย์พาปัทกล่าวไว้คล้ายกันว่า พระ อุปติสสเถระเป็นชาวอินเดียและรจนาวิมุตติมรรคในประเทศอินเดีย๕๘ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีเอกสารหลักฐานเพียงพอที่จะตัดสินให้เป็นข้อยุติว่าพระ เถระผู้รจนาวิมุตติมรรคเป็นชาวศรีลังกา หรือชาวอินเดีย ข้อที่นักปราชญ์ทั้งหลายเห็นพ้อง ต้องกัน ก็คือว่า พระอุปติสสเถระได้รจนาวิมุตติมรรคก่อนที่พระพุทธโฆสาจารย์จะได้รจนาวิสุทธิ มรรค และพระพุทธ- โฆสาจารย์ได้ศึกษาวิมุตติมรรคก่อนจะรจนาวิสุทธิมรรค เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้พระพุทธโฆสาจารย์จะได้อ้างทัศนะของผู้แต่งวิมุตติมรรคหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยกล่าวถึง หนังสือนี้โดยตรงในวิสุทธิมรรค ท่านเพียงแต่อ้างว่าเป็นมติของอาจารย์บางพวก เช่นเมื่อบรรยาย เรื่องต้นเหตุแห่งจริยา พระพุทธ-โฆสาจารย์กล่าวว่า “อาจารย์บางพวก กล่าวว่าจริยา ๓ ข้างต้น ๕๔ มหามกุฏราชวิทยาลัย, วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑, บทนำ. ๕๕ พระมหาสยาม ราชวัตร, “การศึกษาเปรียบเทียบไตรสิกขาคัมภีร์วิสุทธิมรรคกับคัมภีร์วิมุตติ มรรค”,วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓), หน้า ๑๑๓. ๕๖ Nagai, M., “The Vimuttimagga : the Way to Deliverance”, The Joumal of the PaliText Society, (1919) ; ดูวินย.ฏีกา (บาลี) ๘/๓/๔ ทีเป ตารกราชา ว ปญฺญาย อติโรจติอุปติสฺโส จ เมธาวี. ๕๗ NyanaMoli Bhikkhu, “The Path of Purification”, Shambala, Vol.1, (1976), p. Xxviii. ๕๘ Bapat, P.V., Vimuttimagga and Visuddhimagg : A Comparative Study, (Poona : The Calcutta Oriental Press, 1937), p. Liv.
๒๒๔ นั้นมีอาจิณกรรมในภพก่อนเป็นต้นเหตุและมีธาตุและโทษ เป็นต้น (ตตฺร ปุริมาตาว ติสฺโส จริยา ปุพฺพาจิณฺณนิทานา ธาตุโทสนิทานา จาติเอกจฺเจ วทนฺติ) ๕๙ พระธรรมปาละผู้รจนาปรมัตถ มัญชุสา วิสุทธิมัคคมหาฏีกา อธิบายคำว่า อาจารย์บางพวกที่พระพุทธโฆสาจารย์อ้างถึงข้างต้น นั้น ได้แก่พระอุปติสสเถระ ผู้เสนอทัศนะเช่นนี้ไว้ในคัมภีร์วิมุตติมรรค (เอกจฺเจติอุปติสฺสตฺเถรํ สนธายาห. เตน หิวิมุตติมคฺเค ตถา วุตตํ) ๖๐ ลักษณะการประพันธ์ ลักษณะการแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค เกิดจากการผสมผสานระหว่างร้อยแก้วและร้อย กรองที่เรียกว่า วิมิสสะ แต่ส่วนใหญ่ในคัมภีร์นี้จะหนักไปทางการแต่งแบบร้อยแก้วมากกว่า มี ประเภทร้อยกรองน้อยมาก โดยอาศัยแหล่งอ้างอิงจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา และคัมภีร์ บาลีอื่น ๆ การนำเสนอคัมภีร์วิมุติมรรค ได้ดำเนินตามรูปแบบการเขียนอย่างอรรถกถา ดังนี้ ๑. ปณามพจน์หมายถึงการแสดงการบูชาพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระบรมครูซึ่งเป็น ลักษณะเริ่มต้นของการแต่งคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาด้วยคำว่า “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺ มาสมฺพุทฺธสฺส ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้โดยชอบ ด้วยพระองค์เอง” ๒. อุทเทสคาถาหรือนิทานคาถา หมายถึงการยกเอาคาถาบทหนึ่งในพระไตรปิฎกซึ่ง มาใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาติเป็นบทมาติกาว่า สีลํสมาธิปญฺญา จ วิมุตฺติจ อนุตฺตรา อนุพุทธา อิเม ธมฺมา โคตเมน ยสสฺสินา พระโคดมผู้มียศได้ตรัสรู้ธรรมเหล่านี้คือ ศีล สมาธิปัญญา และวิมุตติอันยอด เยี่ยม๖๑ ๓. เนื้อหา หมายถึงการอธิบายขยายความแห่งคาถาที่ขึ้นตั้งไว้ให้เห็นชัดเจนเป็นอุท เทส เพื่อจะให้เห็นว่า บุคคลผู้ปรารถนาจะพ้นจากทุกข์และอุปาทานทั้งปวง มีจิตอันประเสริฐ ที่สุด ปรารถนาจะขจัดเหตุแห่งชราและมรณะ เสวยสุขและวิมุตติเพื่อเข้าถึงความดับ คือ พระ ๕๙ วิสุทฺธิ. (ไทย) ๑/๑๒๙. ๖๐ วิสุทฺธิ. ฏีกา (ไทย) ๑/๑๔๓. ๖๑ องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑/๒.
๒๒๕ นิพพานที่ยังไม่บรรลุและนำหมู่ชนเหล่าอื่นที่ยังอยู่อีกฝั่งหนึ่งให้ถึงความสมบูรณ์ควรรู้ชำนาญใน พระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรมนี้คือวิมุตติมรรค (ทางแห่งความหลุดพ้น) ๖๒ ๔. นิคมคาถา หมายถึงบทส่งท้ายของคัมภีร์ซึ่งว่าด้วยสรุป ซึ่งสรุปว่า “ในวิมุตติ มรรคนี้ประกอบด้วยบทต่าง ๆ รวม ๑๒ บท” และว่า “ถ้อยคำและความรู้ที่ดีอันเรียบเรียงไว้ใน วิมุตติมรรคนี้กว้างขวางและหาขอบเขตมิได้เหนือความคิดและถ้อยคำชมเชย ไม่มีใครนอกจาก โยคีที่จะรู้และเข้าใจสาระแห่งธรรมอย่างสมบูรณ์และแจ่มแจ้ง มรรคแห่งกุศลธรรมเป็นสิ่งที่ดี ที่สุด เพราะเหตุที่พาห่างไกลจากอวิชชา”๖๓ การแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค มีเอกลักษณะเฉพาะตัว คือมีการแต่งแบบปุจฉาและ วิสัชนาคือการถามและการตอบ มีคำถามและคำตอบแบบต่อเนื่อง แต่งไปตามลำดับของเนื้อหา ยกข้อความอื่นมาประกอบเพื่อความชัดเจน ยกเนื้อความอื่นมาประกอบเพื่อความชัดเจน ซึ่ง ลักษณะการแต่ง แบบนี้เหมาะสมกับผู้ทีมีพื้นฐานความรู้ทางพระพุทธศาสนาไม่มากนัก ก็ สามารถศึกษาให้รู้ได้โดยมีวิธีการนำเสนอเนื้อหาพอสรุปได้ดังนี้ ๑. แต่งแบบปุจฉาวิสัชนา การแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค มีลักษณะดำเนินเรื่องแบบ ปุจฉาวิสัชนาคือการถามและการตอบไปในตัวเช่นถามว่า ศีลมีอานิสงส์อย่างไร? ศีลมีอวิปปฏิสาร เป็นอานิสงส์สมดัง พุทธพจน์ที่ตรัสกับพระอานนท์ว่า “ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสารเป็น ประโยชน์และเป็นอานิสงส์๖๔ ซึ่งการแต่งในลักษณะนี้ทำให้มีข้อความกระซับชัดเจนง่ายต่อการ เข้าใจ ๒. ถามตอบแบบต่อเนื่อง การแต่งแบบถามตอบในหัวข้อใหญ่และถ้าตอบแล้วยังไม่มี ความชัดเจนก็จะตอบแบบต่อเนื่องกันไปเพื่อความชัดเจนเช่น ถามว่าอะไร เป็นลักษณะของศีล? คือการละความเสื่อมคุณค่าด้วยความมีคุณค่า ความมีคุณค่าคืออะไร? คือการละเมิดศีลซึ่งมี ๓ ประการ คือการละเมิดปาฏิโมกข สังวรศีล การละเมิดปัจจยสันนิสสิตศีล และการละเมิดอินทรียสังวรศีล ๖๒ พระอุปติสสเถระ, วิมุตติมรรค, หน้า ๑. ๖๓ พระอุปติสสเถระ, วิมุตติมรรค, หน้า ๒๘๙. ๖๔ พระอุปติสสเถระ, วิมุตติมรรค, หน้า ๑๑.
๒๒๖ การละเมิดปาฏิโมกขสังวรศีลคืออะไร? คือความเสื่อมศรัทธาในพระตถาคตเนื่องจาก อหิริกะ (ไม่ละอายใจ) และอโนตตัปปะ (ไม่เกรงกลัวบาป) การละเมิดปัจจยสันนิสสิตศีลคืออะไร? เมื่อชีวิตของบุคคลมุ่งปรนเปรอร่างกายเขา สูญเสียความสันโดษ (ความพอใจในปัจจัยตามมีตามได้) การละเมิดอินทรีย์สังวรศีลคืออะไร? คือการละเลยโยนิโสมนสิการเพราะไม่สำรวม อินทรีย์ทั้งหมด การละเมิดศีลทั้งสามอย่างนี้สร้างความเสื่อมคุณค่า นี้เรียกว่าลักษณะของศีล๖๕ จะเห็นว่า ผู้แต่งได้ถามลักษณะของศีลว่า เป็นอย่างไร ได้ตอบถึงการเสื่อมและความ มีคุณค่าเมื่อเห็นว่า ถามถึงคุณค่ายังไม่ชัดเจน ก็ถามต่อไปถึงคุณคืออะไร เมื่อตอบคำถามแล้วก็ อะไรเพื่อความชัดเจน จบเนื้อหาก็สรุปว่าจริง ๆ แล้วอะไร เป็นลักษณะของศีล๓. แต่งไป ตามลำดับความสำคัญของเนื้อหา การแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรคในศีลปริจเฉทนี้จากการศึกษาวิจัย พบว่า ผู้แต่งได้ตั้งกระทู้ถามไว้ไว้เป็นมาติกา (หัวข้อ) แล้วจึงอธิบายไปตามเนื้อหาสาระที่ได้ตั้งไว้ ดังนี้ ถาม : ศีลคืออะไร? อะไรเป็นลักษณะ เป็นรส (กิจ) เป็นปัจจุปัฏฐาน (อาการปรากฏ) และเป็น ปทัฏฐาน (เหตุใกล้) ของศีล? ศีลมีอานิสงส์อย่างไร? ศีลมีความหมายอย่างไร อะไรคือความแตกต่างระหว่างศีลและวัตร? ศีลมีกี่ประเภท? อะไรทำให้ศีลเกิด? ศีลขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงเป็นไฉน? มีธรรมอะไรบ้างเป็นอุปสรรคในการพัฒนาศีล? เหตุของศีลมีเท่าไร? ศีลมีกี่หมวด? ๖๕ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐.
๒๒๗ อะไรทำให้ศีลบริสุทธิ์? บุคคลสำรวมอยู่ในศีลเพราะเหตุเท่าไร? ๖๖ จะเห็นว่า ผู้แต่งได้ตั้งคำถามไว้ไปตามลำดับของเนื้อหาและได้แต่งไปตามที่ตั้งเป็น คำถามไว้จากการดูการเรียงลำดับของคำถาม ทำให้เห็นถึงความมีภูมิแห่งความรู้เรื่องศีลเป็น อย่างดีเริ่มตั้งแต่ศีลคืออะไร มีลักษณะ มีกิจ มีอาการ มีเหตุใกล้เป็นอย่างไร มีอานิสงส์ มี ความหมาย มีความแตกต่าง มีกี่ประเภท เป็นต้น จากการดูเนื้อหา แบ่งคำถามที่ได้ตั้งไว้ผู้วิจัย เห็นว่ามีเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ๔. อธิบายคำที่ยังไม่ชัดเจนให้ชัดเจน การแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค มีลักษณะที่เด่น ประการหนึ่ง คือ ผู้แต่งพยายามอธิบายทุกคำที่ยังไม่ชัดเจน ในเรื่องความหมายของศีล ผู้แต่งได้ ตั้งคำถามว่า ศีลหมายความว่าอะไร? ศีล หมายถึงเย็น ดีเลิศ การกระทำ ปกติและสภาพปกติ ตามธรรมชาติของทุกข์และ สุข อนึ่ง ศีล หมายถึงศีรษะ ความเย็นและสันติ๖๗ ถาม : เพราะเหตุไรจึงกล่าวว่าศีลเป็นศีรษะ? ตอบ : ถ้าบุคคลไม่มีศีรษะเขาก็ไม่สามารถปัดธุลีคือ กิเลสออกไปจากอินทรีย์ ของเขาได้ฯลฯ ถาม : เพราะเหตุไรจึงกล่าวว่าศีลเป็นความเย็น? ตอบ : ไม้จันทร์ที่มีความเย็นมากที่สุดช่วยทุเลาความร้อนของพิษไข้ในร่างกาย ลงได้ฉันใด ศีลก็ฉันนั้น ฯลฯ ถาม : เพราะเหตุใดจึงกล่าวว่าศีลหมายถึงสันติ? ตอบ : ถ้าบุคคลมีศีล เขาจะเป็นผู้มีความประพฤติสงบเรียบร้อย เขาไม่สร้าง ความหวาดกลัวให้เกิดขึ้น นี่คือศีลหมายถึงสันติ จะเห็นได้ว่า คำไหนที่ยังไม่ชัดเจน เช่น แต่งว่า ศีลหมายถึงศีรษะ ความเย็น และ สันติผู้แต่งก็ได้อธิบายว่า เป็นอย่างไร ที่มีความหมายถึงศีรษะ ความเย็นและสันตินั้นเป็น อย่างไร ก็ได้แต่งอธิบายได้ชัดเจน ไม่มีคำไหน ที่จะเป็นที่สงสัยอยู่เลย ๖๖ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๘. ๖๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๑-๑๒.
๒๒๘ ๕. ยกเนื้อความอื่นมาแต่งอธิบายประกอบ การแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค ผู้แต่งได้ ยกตัวอย่างอื่นในคัมภีร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหามาประกอบเพื่ออธิบายให้ชัดเจน เช่นคำถาม ที่ว่า ศีลมีอานิสงส์อย่างไร? ศีลมีอวิปปฏิสารเป็นอานิสงส์สมดังพุทธพจน์ที่ตรัสกับพระอานนท์ ว่า “ศีลที่เป็นกุศล มีอวิปปฏิสารเป็นประโยชน์และเป็นอานิสงส์”๖๘ อนึ่ง ศีลเรียกว่า ปีติศีล เป็นวรรณะสูงสุด เป็นอริยทรัพย์ศีลเป็นภูมิของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นการอบน้ำโดยไม่ต้องมีน้ำ๖๙ เป็นการอบด้วยเครื่องหอม๗๐ฯลฯ จะเห็น ว่า เมื่อถามและตอบคำถามแล้ว ถ้าเห็นว่ายังมีเนื้อความอื่นที่จะควรนำมาอธิบายประกอบก็จะ นำมาแต่งประกอบเพื่อความชัดเจน ๖. เหมาะสมดีผู้ศึกษาระดับชาวบ้าน ลักษณะการแต่งที่ตั้งเป็นคำถามและตอบไป ตามเนื้อหาสาระที่มีความสำคัญก่อนหลังและมีการอธิบายทุกข้อความที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งลักษณะ การแต่งแบบนี้มีความเหมาะสมกับผู้ที่มีระดับการศึกษาปานกลาง ซึ่งหมายถึงมีความเหมาะสม กับชาวบ้านที่มีความรู้ทางพระพุทธศาสนาในเรื่องศีลไม่มากนัก เพราะว่าแต่งได้ชัดเจน แต่งไป ตามลำดับของเนื้อหาสาระที่มีความสำคัญก่อนหลัง ๗. ภาษาที่นำเสนอ ในการแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรคนั้น ไม่มีการนำเสนอภาษาที่ ทันสมัยกะทัดรัดกระซับและชัดเจน มีการอธิบายเนื้อความที่ไม่เยิ่นเย่อ เข้าใจง่าย นำเสนอแบบ ตรง ๆ เช่นกล่าวถึงอุปสรรคและเหตุของศีล ก็ถามตรง ๆ ว่า อุปสรรคและเหตุของศีลมีเท่าไร? ธรรม ๓๔ ประการ เป็นอุปสรรคและธรรม ๓๔ ประการ เป็นเหตุของศีล ดังนี้ โกรธ พยาบาท ลอกลวง ปฏิฆะ โลภ ริษยา มารยา สาไถย อรติวิวาท มานะ อหังการ อติมานะ ปมาทะ เกียจคร้าน ราคะ ไม่สันโดษ ไม่คบบัณฑิต ไม่มีสติสามหาว คบคน พาลมิจฉาทิฏฐิไม่มีขันติไม่มีศรัทธา ไม่มีหิริไม่มีโอตตัปปะ ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ ต่ำทราม มั่วสุมกับสตรีไม่เคารพครูอาจารย์ไม่สำรวมอินทรีย์ไม่ปฏิบัติสมาธิในยามต้นและยามสุดท้ายไม่ สาธยายธรรมในยามต้นและยามสุดท้าย ธรรม ๓๔ ประการ เหล่านี้เป็นอุปสรรคของศีลบุคคล ที่ถูกธรรมข้อใดข้อหนึ่งขัดขวางย่อมไม่อาจทำศีลให้บริบูรณ์ถ้าศีลของเขาไม่บริบูรณ์เขาต้อง ๖๘ อง.ทสก. (ไทย) ๒๔/๑/๑. ๖๙ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๖๑๓/๓๕๗. ๗๐ ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๖๑๕๑/๓๕๘.
๒๒๙ เสื่อมลงแน่นอน ธรรม ๓๔ ประการ อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออุปสรรคเหล่านี้จัดเป็นเหตุของศีลจะเห็น ได้ว่าในวิมุตติมรรคนี้มีการถามและตอบด้วยภาษาที่ตรง ๆ เข้าใจง่ายนับว่าเป็นลักษณะการ นำเสนอที่เด่นของการแต่งวิมุตติมรรคนี้ สรุปว่า การแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค ในศีลปริเฉทนั้น เป็นการแต่งแบบถามตอบและ เป็นการถามตอบแบบต่อเนื่องกันไป ตามเนื้อหาที่ยังไม่ชัดเจน แต่งไปตามลำดับของเนื้อหาที่มี ความสำคัญก่อนหลัง ได้อธิบายทุกคำทุกศัพท์ที่เป็นคำหรือศัพท์ที่ยาก และคำหรือศัพท์ที่ผู้อ่านที่ ยังไม่มีความคุ้นเคย และไม่เข้าใจ ก็อธิบายได้ชัดเจนดีเมื่อเห็นว่าข้อความหรือเนื้อหาตอนใดยังมี เนื้อหาที่ยังไม่จบและยังไม่ชัดเจนและเนื้อความอื่นที่ปรากฏในคัมภีร์ต่าง ๆ สามารถสนับสนุนให้ เนื้อความตอนนั้น ๆ ได้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ก็จะนำมาอธิบายประกอบเพื่อความสมบูรณ์ของ เนื้อหาและลักษณะการแต่งที่เข้าใจง่ายและชัดเจนเช่นนี้ซึ่งเป็นการแต่งที่มีความเหมาะสมกับ ชาวบ้าน ผู้ที่มีพื้นฐานความรู้ทางพระพุทธศาสนาไม่มากนัก จุดมุ่งหมายของการแต่ง มูลเหตุแห่งการแต่งคัมภีร์วิมุตติมรรค ยังไม่มีหลักฐานที่ปรากฏชัดเจน แม้แต่ฉบับ แปลจากภาษาจีนเป็นภาษาอังกฤษ ก็มิได้ระบุมูลเหตุของการแต่งคัมภีร์ไว้P.V.Bapat๗๑ได้ให้ ทัศนะเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า หลักฐานเกี่ยวกับพระอุปติสสะนอกจากที่ท่านธรรมปาละ กล่าวถึงแล้ว เรายังไม่มีหลักฐานภายนอกอื่น ๆ อีกเลย จากข้อสังเกตของท่านธรรมปาละใน อรรถกถาวิสุทธิมรรคของท่าน อาจวินิจฉัยได้ว่าคัมภีร์ของพระอุปติสสะได้รับการยอมรับจาก คณะสงฆ์ เนื้อหาย่อ คัมภีร์วิมุตติมรรค แบ่งโครงสร้างทางเนื้อหาออกเป็น ๑๒ บท เรียกว่า นิเทศ ดังนี้ นิเทศ ๑ นิทานกถา ว่าด้วยความหมายแห่งวิมุตติอานิสงส์ไตรสิกขา วิสุทธิ นิเทศ ๒ ศีลปริจเฉท ว่าด้วยเรื่องศีลต่าง ๆ นิเทศ ๓ ธุดงคปริจเฉท ว่าด้วยการบำเพ็ญธุดงค์ทั้ง ๑๓ ประการ นิเทศ ๔ สมาธิปริจเฉท ว่าด้วยวิธีการบำเพ็ญให้เกิดสมาธิ ๗๑ Bapat, P.V., Vimuttimagga and Visuddhimagg : A Comparative Study, (Poona : The Calcutta Oriental Press, 1937), p. liv-lvii.
๒๓๐ นิเทศ ๕ กัลยาณมิตรปริจเฉท ว่าด้วยกัลยาณมิตรผู้คอยแนะนำในการเจริญ กรรมฐาน นิเทศ ๖ ว่าด้วยประเภทแห่งจริตต่าง ๆ ของผู้เจริญกรรมฐาน นิเทศ ๗ กัมมัฏฐานารัมมณปริจเฉท ว่าด้วยวิธีการกำหนดคุณลักษณะ นิเทศ ๘ กัมมัฏฐานปริจเฉท ว่าด้วยวิธีปฏิบัติกรรมฐานหลายรูปแบบ เช่น การเจริญ กสิณ ๑๐ นิเทศ ๙ อภิญญาปริจเฉท ว่าด้วยการสร้างอภิญญาให้เกิดฤทธิ์ต่าง ๆ นิเทศ ๑๐ ปัญญาปริจเฉท ว่าด้วยความหมายและการจัดแบ่งประเภทปัญญา นิเทศ ๑๑ อุปายปริจเฉท ว่าด้วยอุบายที่ทำให้เกิดปํญญา นิเทศ ๑๒ สัจจปริจเฉท ว่าด้วยการเกิดญาณในระดับต่าง ๆ คุณค่าของวรรณกรรม คุณค่าของคัมภีร์วิมุตติมรรค ได้แก่ เรื่องศีลที่หมายถึงการกระทำปกติและสภาพ ปกติตามธรรมชาติของทุกข์และสุข หรือหมายถึงศีรษะ ความเย็น และสันติโดยธรรมชาติได้แก่ การละความเสื่อมคุณค่าความเสื่อมคุณค่าหรือความด้อยคุณค่า หมายถึงการละเมิดปาฏิโมกข สังวรศีล เสื่อมศรัทธาในพระตถาคตเนื่องจากอหิริกะ (ไม่ละอายใจ) และอโนตตัปปะ (ไม่เกลง กลัวบาป) การละเมิดปัจจัยสันนิสสิตศีล สูญเสียความสันโดษ (ความพอใจในปัจจัยตามมีตามได้) และการละเมิดอินทรียสังวรศีล ละเลยโยนิโสมนสิการเพราะไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหก โดยหน้าที่ ได้แก่ปิติและโสมนัส โดยผลมีผล ได้แก่อวิปปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) โดยเหตุใกล้ได้แก่กุศล กรรมทางไตรทวาร คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ และการสำรวมอินทรีย์ทั้งปวง โดยสารัตถะ ได้แก่“ปาริสุทธิศีล ๔” เช่นเดียวกันกับในวิสุทธิมรรค ๘.๒.๓ คัมภีร์มหาวงศ์ ผู้แต่ง พระมหานามเถระ ประวัติการแต่ง คัมภีร์มหาวงศ์เป็นคัมภีร์ที่ผู้แต่งคนแรกแต่งไม่จบ มีการแต่งเพิ่มเติมต่อมาภายหลัง พบว่ามีผู้แต่งหลายคน แต่เป็นที่ปรากฏชัดเจนว่า ผู้แต่งปริจเฉทที่ ๑ – ๓๗ (คาถาที่ ๑ – คาถาที่
๒๓๑ ๕๐) คือ พระมหานามเถระ และมีการแต่งต่อมาโดยผู้แต่งที่ปรากฏนามบ้าง ไม่ปรากฏนามบ้าง เฉพาะพระมหานามเถระนั้นยังไม่มีข้อสันนิษฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับชีวประวัติและระยะเวลาใน การแต่งคัมภีร์มหาวงศ์ของท่าน เกี่ยวกับผู้แต่งคัมภีร์มหาวงศ์และระยะเวลาที่แต่งมีนักวิชาการ เสนอทรรศนะไว้หลายท่านดังนี้ ๑) พระนันทปัญญาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์จูฬคันถวงศ์ชาวพม่า ราว พ.ศ. ๒๐๑๐ได้ระบุชื่อ พระมหานามว่าเป็นชาวลังกาและเป็นผู้แต่งอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรคอันมีชื่อว่า สัทธัมมัปปกา สินีแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้แต่งคัมภีร์มหาวงศ์ ๒) สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงแสดงทรรศนะเกี่ยวกับผู้แต่งคัมภีร์ มหาวงศ์ไว้ในคำนำหนังสือมหาวงศ์แปลว่า หนังสือมหาวงศ์ฉบับภาษาบาลีแต่งเป็นคาถา แบ่ง เรื่องเป็น ๑๐๑ ปริจเฉท แต่ไม่ปรากฏหัวต่อปริจเฉทที่ ๔๐ กับปริจเฉทที่ ๔๓ ว่าอยู่ตรงไหน ถ้า นับจำนวนปริจเฉทขาดอยู่ ๒ ปริจเฉท แต่ว่าเรื่องติดต่อกันดีไม่บกพร่องจึงเห็นว่าเป็นแต่ตก หัวต่อ เห็นจะเป็นด้วยแต่งกันหลายยุคหลายคราว แลผู้แต่งมากด้วยกัน เพราะหนังสือมหาวงศ์ แต่งเป็นตอน ๆ มาดังนี้คือ ตอนที่ ๑ พระมหานามแต่งตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๑ จนจบปริจเฉทที่ ๓๘ กล่าวเรื่องพงศาวดารตั้งแต่มนุษย์แรกไปแย่งยักษ์อยู่เมืองลังกา และกล่าวถึงประวัติพระศาสนา ตั้งแต่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระสงฆ์สาวกทำสังคายนา ๓ ครั้ง แล้วพระมหินท เถระไปประดิษฐานพระพุทธศาสนาในลังกาทวีป เมื่อครั้งพระเจ้าเทวานัมปิยดิสเป็นต้นมา วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ได้แก่ พุทธธรรม วิมุตติมรรค มหาวงศ์จนถึงแผ่นดินพระเจ้ามหาเสนเมื่อ พ.ศ. ๘๐๔ หนังสือมหาวงศ์ตอนพระมหานามแต่งจบ เพียงนี้มีผู้อื่น แต่งฎีกามหาวงศ์ตอนนี้ไว้ด้วยอีกคัมภีร์๑ หนังสือมหาวงศ์ที่แปลเป็นภาษาไทยใน รัชกาลที่ ๑ เมื่อปีมะโรง พ.ศ. ๒๓๓๙ ก็แปลเพียงตอนที่ ๑ ที่กล่าวมานี้ตอนที่ ๒ พระเจ้าปรัก กมพาหุมหาราช ซึ่งเสวยราชย์ในลังกาทวีปในระหว่าง พ.ศ. ๑๖๕๙ จน พ.ศ. ๑๗๒๙ มีรับสั่งให้ แต่งต่ออีกปริจเฉท ๑เฉพาะปริจเฉทที่ ๓๙ ปริจเฉทเดียว ผู้ใดแต่งหาปรากฏชื่อไม่ ปริจเฉทนี้ พิมพ์อยู่ข้างต้นในสมุดเล่มนี้ตอนที่ ๓ ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๔๐ จนถึงปริจเฉทที่ ๔๒ รวม๓ ปริจเฉท ว่าแต่งกันหลายคน ใครแต่งและแต่งเมื่อครั้งไหนหาปรากฏไม่ ได้พิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้เหมือนกัน ตอนที่ ๔ ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๔๓ จนถึงปริจเฉทที่ ๔๖ รวม ๔ ปริจเฉท ว่าพระเจ้าเกียรติศิริราช สิงห์ซึ่งเสวยราชย์ในระหว่าง พ.ศ. ๒๒๙๐ จน พ.ศ. ๒๓๒๔ คือพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ให้มาขอ พระสงฆ์สยามมีพระอุบาลีเป็นต้นไปให้อุปสมบทตั้งศาสนวงศ์ให้กลับฟื้นฟูในลังกาทวีป เมื่อ
๒๓๒ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ์นั้น มีรับสั่งให้แต่ง ผู้ที่แต่งเห็นจะเป็นพระสรณังกร ซึ่งเป็นที่ พระสังฆราช ตอนนี้ก็พิมพ์อยู่ในสมุดเล่มนี้เหมือนกัน ตอนที่ ๕ ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๔๗ จนถึง ปริจเฉทที่ ๙๘ รวม ๕๑ ปริจเฉท ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งเป็นของแต่งในชั้นหลัง พิมพ์อยู่ในสมุดเล่มนี้ จนปริจเฉทที่ ๖๔ ตอนที่ ๖ ตั้งแต่ปริจเฉทที่ ๙๙ จนถึงปริจเฉทที่ ๑๐๑ รวม ๓ ปริจเฉท ทราบ ว่า พระเถระชื่อศรีสุมังคละ นายกวิทโยบริเวณแต่ง มาจบเรื่องเพียงสิ้นราชวงศ์กษัตริย์สิงหฬเมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๘ เมื่อลังกาทวีปตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ หมดเรื่องมหาวงศ์เพียงเท่านั้น๗๒ ข้อควรสังเกตคือข้อสันนิษฐานของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ว่า“มีผู้อื่น แต่งฎีกามหาวงศ์ตอนนี้ไว้ด้วยอีกคัมภีร์๑” นั้น ผู้วิจัยได้ตรวจสอบกับคัมภีร์วังสัตถัป ปกาสินี มหาวังสฎีกา ซึ่งเป็นฎีกาของคัมภีร์มหาวงศ์พบว่าข้อสันนิษฐานดังกล่าวแตกต่างจากคำลงท้าย ของคัมภีร์วังสัตถัปปกาสินีมหาวังสฎีกา ที่ระบุว่าผู้แต่งคือพระมหานามผู้พำนักอยู่ที่ทีฆสันท เสนาบดีวิหาร๗๓ ข้อสันนิษฐานนี้ผู้รู้จึงควรพิจารณา ๓) พระพุทธทัตตเถระได้แสดงทรรศนะวิจารณ์ไว้ในหนังสือเถรวาทีความว่าตอนที่พระ มหานามะรจนาคัมภีร์สัทธัมมัปปกาสินีนั้น ท่านน่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า๙๕ ปีส่วนในคัมภีร์ มหาวงศ์ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้แต่งและวันเดือนปีที่แต่งไว้เลย แต่ที่ทราบว่าใครคือผู้แต่งก็ เพราะมีกล่าวไว้ในคัมภีร์วังสัตถัปปกาสินีฎีกาของมหาวงศ์เองว่า มหาวงศ์นี้รจนาขึ้นราวพุทธ ศตวรรษที่ ๑๐ โดยพระมหานามเถระผู้พำนักอยู่ที่วัดมหาปริเวณะ อันเป็นวัดที่สร้างโดยท่าน เสนาบดีทีฆสันทะ โดยข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากมหาวงศ์ภาค ๒ ที่แต่งขึ้นภายหลังที่พระเจ้า ปรักกมพาหุที่ ๑ (พ.ศ. ๑๖๙๖-๑๗๒๙ หรือ ค.ศ. ๑๑๕๓-๑๑๘๖) สิ้นพระชนม์แล้ว๗๔ จากหลักฐานเหล่านี้จึงสรุปได้ว่า พระมหานามผู้แต่งคัมภีร์มหาวงศ์ภาคแรกพักอยู่ที่ ทีฆสันทเสนาบดีวิหาร และคงมีบทบาทสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฎกในรัชสมัยของพระ เจ้าธาตุเสนะ (๑๐๐๔ - ๑๐๒๑) สันนิษฐานว่าท่านแต่งคัมภีร์มหาวงศ์และ วังสัตถัปปกาสินีมหา วังสฎีกาในรัชกาลของพระเจ้าธาตุเสนะ ท่านมีชีวิตอยู่จนถึงรัชสมัยของพระเจ้าโมคคัลลานะที่ ๑ ๗๒ ศิลปากร, กรม, กองวรรรคดีและประวัติศาสตร์, วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์เล่ม ๑ คัมภีร์มหาวงศ์, (กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, ๒๕๓๔), คำนำ หน้า (๑๘ - ๑๙) ๗๓ มหานามเถระ, วํสตฺถปฺปกาสินีมหาวํสฏีกา, (เอกสารอัดสำเนา), หน้า ๔๕๐ ๗๔ พุทธทัตตเถระ, อ้างใน มหานามาทิ, มหาวํโส ปฐโม ภาโค, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ วิญญาณ, ๒๕๔๐), หน้า [๒๖]
๒๓๓ และรับบรรพตวิหารจากมิคารเสนาบดีในรัชกาลนี้แต่งคัมภีร์สัทธัมมัปปกาสินีจบในเวลาหลังสิ้น รัชกาลพระเจ้าโมคคัลลานะที่ ๑ แล้ว ๓ ปีตรงกับปีที่๓ ในรัชกาลของพระเจ้ากุมารธาตุเสนะ ท่านจึงน่าจะมีอายุยืนมาถึงรัชกาลของพระเจ้ากุมารธาตุเสนะ๗๕ ลักษณะการประพันธ์ คัมภีร์มหาวงศ์มีรูปแบบการประพันธ์เป็นประเภทร้อยกรองหรือที่เรียกว่าปัชชพันธ์ บ้าง คาถาพันธ์บ้าง ซึ่งมีลีลาการเรียบเรียงด้วยภาษาอันงดงามสละสลวยและชัดเจนเป็นที่ยก ย่องของนักปราชญ์เนื้อหาของคัมภีร์มหาวงศ์มีจำนวนคาถาที่นับได้ถึง ๑๐,๐๑๐ คาถา (หนึ่ง หมื่นสิบคาถา) อย่างไรก็ตาม ในคัมภีร์มหาวงศ์ปรากฏจุณณิยบทหรือร้อยแก้วปนอยู่แห่งหนึ่ง(ไม่ นับข้อความตอนจบแต่ละบท) ซึ่งท่านยกมาจากคัมภีร์ยมก ในพระอภิธรรมปิฎก๓ คือตอนที่พระ สิคควเถระถามโมคคัลลีบุตรติสสมาณพถึงปัญหาในจิตตยมก ซึ่งมีข้อความว่า “ยสฺส จิตฺตํอุปฺปชฺชติน นิรุชฺฌติ, ตสฺส จิตฺตํนิรุชฺฌิสฺสตินุปฺปชฺชิสฺสติ. ยสฺส วา ปน จิตฺตํนิรุชฺฌิสฺสตินุปฺปชฺชิสฺสติ, ตสฺส จิตฺตํอุปฺปชฺชติน นิรุชฺฌตีติ” ๗๖ ดังนั้น การกล่าวว่าคัมภีร์มหาวงศ์เป็นวรรณกรรมประเภทร้อยกรองนั้นจึงเป็นการ กล่าวโดยนัยที่เรียกว่า ตัพพหุลนัย หมายถึงนัยที่นำมาใช้ในกรณีที่ต้องการเรียกชื่อกลุ่มโดยเอา ชื่อของสมาชิกที่มีจำนวนมากกว่ามาเป็นชื่อของกลุ่ม เปรียบได้กับการที่กล่าวกันว่า“ป่าไผ่” ซึ่ง นอกจากจะมีต้นไผ่แล้วย่อมจะมีไม้อื่นปนอยู่บ้าง แต่เนื่องจากไม้ไผ่มีจำนวนมากว่าต้นไม้ชนิดอื่น จึงถูกเรียกว่า ป่าไผ่ วรรณคดีประเภทปัชชพันธ์หรือคาถาพันธ์นั้น ผู้แต่งต้องแต่งเป็นรูปแบบฉันท์คัมภีร์ สุโพธาลังการได้กล่าวถึงฉันท์๒ ประเภท คือ ฉันท์มาตราพฤติและฉันท์วรรณพฤติฉันท์มาตรา พฤติ(มตฺตาวุตฺติ) คือ ฉันท์ที่นับพยางค์โดยกำหนดจำนวนมาตราเป็นเกณฑ์ส่วนฉันท์วรรณพฤติ (วณฺณวุตฺติ) คือ ฉันท์ที่นับพยางค์โดยกำหนดจำนวนคำเป็นเกณฑ์ ฉันท์ที่คัมภีร์สุโพธาลังการกล่าวถึงมี๒๖ ประเภท ได้แก่ ๑) อุตตาฉันท์คือ ฉันท์๑ พยางค์ ๗๕ สุเทพ พรมเลิศ, “การศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์มหาวงศ์”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓), หน้า ๒๖ ๗๖ มหานามาทิ, มหาวํโส ปฐโม ภาโค, หน้า ๓๕.
๒๓๔ ๒) อัจจุตตาฉันท์คือ ฉันท์๒ พยางค์๓) มัชฌาฉันท์คือ ฉันท์๓ พยางค์๔) ปติฏฐาฉันท์คือ ฉันท์๔ พยางค์๕) สุปติฏฐาฉันท์คือ ฉันท์๕ พยางค์๖) คายัตตีฉันท์คือ ฉันท์๖ พยางค์๗) อัณหิกาฉันท์คือ ฉันท์๗ พยางค์๘) อนุฏฐุภาฉันท์คือ ฉันท์๘ พยางค์๙) พรหตีฉันท์คือ ฉันท์๙ พยางค์ ๑๐) ปันติฉันท์คือ ฉันท์๑๐ พยางค์ ๑๑) ติฏฐุภาฉันท์คือ ฉันท์๑๑ พยางค์ ๑๒) ชคตีฉันท์คือ ฉันท์๑๒ พยางค์ ๑๓) อติชคตีฉันท์คือ ฉันท์๑๓ พยางค์ ๑๔) สักกรีฉันท์คือ ฉันท์๑๔ พยางค์ ๑๕) อติสักกรีฉันท์คือ ฉันท์๑๕ พยางค์ ๑๖) อัฏฐิฉันท์คือ ฉันท์๑๖ พยางค์ ๑๗) อัจจัฏฐิฉันท์คือ ฉันท์๑๗ พยางค์ ๑๘) ธิติฉันท์คือ ฉันท์๑๘ พยางค์ ๑๙) อติธิติฉันท์คือ ฉันท์๑๙ พยางค์ ๒๐) กติฉันท์คือ ฉันท์๒๐ พยางค์ ๒๑) ปกติฉันท์คือ ฉันท์๒๑ พยางค์ ๒๒) อากติฉันท์คือ ฉันท์๒๒ พยางค์ ๒๓) วิกติฉันท์คือ ฉันท์๒๓ พยางค์ ๒๔) สังกติฉันท์คือ ฉันท์๒๔ พยางค์ ๒๕) อติกติฉันท์คือ ฉันท์๒๕ พยางค์
๒๓๕ ๒๖) อุกกติฉันท์คือ ฉันท์๒๖ พยางค์๗๗ การศึกษารูปแบบฉันทลักษณ์ในคัมภีร์มหาวงศ์พบว่า ในคัมภีร์มหาวงศ์มีทั้งฉันท์ มาตราพฤติและฉันท์วรรณพฤติคาถาที่จัดเป็นฉันท์มาตราพฤติมีอยู่ประปรายทั่วไปเช่น นิคม คาถาของบทที่ ๑๗ และ ๓๓ เป็นโอปัจฉันทสกคาถา แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาทั้งหมด คาถาที่ พบโดยมากเป็นฉันท์วรรณพฤติคาถาที่พบมากที่สุด ได้แก่ คาถาปัฐยาวัตร แสดงถึงความ นิยมของกวีว่าในแต่ละยุคที่แต่งคัมภีร์มหาวงศ์ยังคงนิยมใช้ฉันท์วรรณพฤติเป็นหลักในการ ร้อยกรองวรรณกรรม และใช้คาถาปัฐยาวัตรเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้คงเป็นเพราะการร้อยกรอง วรรณคดีประเภทฉันท์ด้วยฉันท์วรรณพฤติมีกฎและข้อจำกัดน้อยแต่งได้ง่ายกว่าฉันท์มาตรา พฤติและมีความไพเราะสละสลวย จุดมุ่งหมายของการแต่ง คัมภีร์มหาวงศ์ตอนที่พระมหานามแต่งได้มีการระบุวัตถุประสงค์ของการแต่งไว้๓ ประการ ได้แก่ ๑) เพื่อปรับปรุงคัมภีร์มหาวงศ์เดิมให้ดีขึ้น เพราะคัมภีร์มหาวงศ์เดิมนั้นพิศดาร เกินไปบ้าง ย่อเกินไปบ้าง กล่าวซ้ำกันหลายแห่งบ้าง การรจนาคัมภีร์มหาวงศ์ใหม่จะทำให้ง่ายต่อ การจดจำ เพราะท่านประพันธ์ด้วยฉันท์ทั้งหมด ยกเว้นแห่งเดียวคือตอนที่ยกพระพุทธพจน์ใน พระอภิธรรมปิฎกขึ้นมาอ้างอิง ๒) เพื่อให้เกิดความเลื่อมใสในบทที่ควรเลื่อมใส ๓) เพื่อให้สลดใจในบทที่ควรสลดใจ๗๘ พระมหานามชี้แจงในเหตุที่จะแต่งหนังสือเรื่องนี้ว่า เดิมเรื่องพงศาวดารลังกาทวีปที่ มีอยู่เป็นภาษาสิงหฬหลายเรื่อง ท่านรวบรวมมาแต่งเป็นภาษาบาลีความประสงค์ของพระมหา นามที่แต่งหนังสือมหาวงศ์นี้เพื่อจะเรียบเรียงตำนานพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปเป็นสำคัญ หนังสือมหาวงศ์จึงมีทั้งเรื่องพงศาวดารบ้านเมืองและเรื่องประวัติพระพุทธศาสนาประกอบกัน ด้วยเหตุนี้เมื่อเป็นหนังสือเก่า จึงเป็นที่นับถือกันทั้งในทางพงศาวดารบ้านเมืองแลในทางพระ ๗๗ พระคันธสารภิวงศ์, วุตฺโตทยมัญชรี, นครปฐม : วิทยาเขตบาลีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕), หน้า (๔๕) – (๔๗). ๗๘ กรมศิลปากร, กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์, วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์เล่ม ๑, หน้า ๑๙.
๒๓๖ ศาสนา โดยถือว่าเป็นหนังสือสืบอายุพระศาสนา พระสงฆ์ซึ่งศึกษาคติตามลัทธิลังกาวงศ์ในชั้น หลังมา จึงพยายามเอาอย่างพระมหานามมาแต่งเรื่องพงศาวดารแลตำนานพระพุทธศาสนาใน ประเทศต่าง ๆ เป็นภาษาบาฬีว่าเฉพาะประเทศนี้เช่น เรื่องชินกาลมาลินีซึ่งพระรัตนปัญญา แต่งที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๙ นั้น เป็นต้น ก็คือเอาอย่างมาจากหนังสือมหาวงศ์นี้เอง๗๙ ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการรจนาคัมภีร์มหาวงศ์อาจแบ่งออกเป็น ๒ ด้าน คือ ๑) ด้านคดีโลกมีวัตถุประสงค์เพื่อเรียบเรียงตำนานพระราชพงศาวดารกษัตริย์ลังกา และ ๒) ด้านคดี ธรรม มีวัตถุประสงค์เพื่อแต่งประวัติพระพุทธศาสนาในลังกาทวีปจรรโลงใจให้ผู้ศึกษาเกิดความ ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาและเกิดความสลดสังเวชใจในเหตุการณ์ต่าง ๆ ของบ้านเมือง จะได้รู้เท่าทันเหตุการณ์และไม่ดำรงอยู่ในความประมาท เนื้อหาโดยย่อ มหาวงศ์เล่ม ๑ เริ่มตั้งแต่บทที่ ๑ ถึง บทที่ ๖๐ มี๔,๙๕๔ คาถา มหาวงศ์เล่ม ๒ เริ่มตั้งแต่บทที่ ๖๑ ถึงบทที่ ๙๙ รวม ๓๙ บท นับจำนวนคาถาได้ ๕,๐๕๕ คาถา รวมคาถาทั้งหมด ๑๐,๐๐๙ คาถา (ถ้ารวมกับพุทธพจน์บทหนึ่งที่เป็นร้อยแก้ว จะ ได้จำนวน ๑๐,๐๑๐) โดยแต่ละบทมีคาถามากน้อย ดังนี้ บทที่ ๑ มี๘๕ คาถา บทที่ ๒ มี๓๓ คาถา บทที่ ๓ มี๔๒ คาถา บทที่ ๔ มี๖๖ คาถา บทที่ ๕ มี๒๘๒ คาถา บทที่ ๖ มี๔๗ คาถา บทที่ ๗ มี๗๔ คาถา บทที่ ๘ มี๒๘ คาถา บทที่ ๙ มี๒๙ คาถา บทที่ ๑๐ มี๑๐๖ คาถา บทที่ ๑๑ มี๔๒ คาถา บทที่ ๑๒ มี๕๕ คาถา บทที่ ๑๓ มี๒๑ คาถา บทที่ ๑๔ มี๖๕ คาถาคุณค่าของวรรณกรรม บทที่ ๑๕ มี๒๓๔ คาถา บทที่ ๑๖ มี๑๘ คาถา บทที่ ๑๗ มี๖๕ คาถา บทที่ ๑๘ มี๖๘ คาถา บทที่ ๑๙ มี๘๕ คาถา บทที่ ๒๐ มี๕๙ คาถา บทที่ ๒๑ มี๓๔ คาถา บทที่ ๒๒ มี๘๘ คาถา ๗๙ มหานามาทิ, มหาวํโส ปฐโม ภาโค, (กรุงเทพมหาคร: วิญญาณ, ๒๕๔๐).
๒๓๗ บทที่ ๒๓ มี๑๐๒ คาถา บทที่ ๒๔ มี๕๙ คาถา บทที่ ๒๕ มี๑๑๖ คาถา บทที่ ๒๖ มี๒๖ คาถา บทที่ ๒๗ มี๔๘ คาถา บทที่ ๒๘ มี๔๔ คาถา บทที่ ๒๙ มี๗๐ คาถา บทที่ ๓๐ มี๑๐๐ คาถา บทที่ ๓๑ มี๑๒๖ คาถา บทที่ ๓๒ มี๘๔ คาถา บทที่ ๓๓ มี๑๐๕ คาถา บทที่ ๓๔ มี๙๔ คาถา บทที่ ๓๕ มี๑๒๗ คาถา บทที่ ๓๖ มี๑๓๓ คาถา บทที่ ๓๗ มี๒๔๘ คาถา บทที่ ๓๘ มี๑๑๕ คาถา บทที่ ๓๙ มี๕๙ คาถา บทที่ ๔๐ มี๑๐๓ คาถา บทที่ ๔๑ มี๖๙ คาถา บทที่ ๔๒ มี๑๕๕ คาถา บทที่ ๔๓ มี๘๒ คาถา บทที่ ๔๔ มี๔๗ คาถา บทที่ ๔๕ มี๖๖ คาถา บทที่ ๔๖ มี๑๖๐ คาถา บทที่ ๔๗ มี๙๔ คาถา บทที่ ๔๘ มี๘๗ คาถา บทที่ ๔๙ มี๑๓๖ คาถา บทที่ ๕๐ มี๘๒ คาถา บทที่ ๕๑ มี๕๒ คาถา บทที่ ๕๒ มี๗๓ คาถา บทที่ ๕๓ มี๓๔ คาถา บทที่ ๕๔ มี๑๗ คาถา บทที่ ๕๕ มี๗๖ คาถา บทที่ ๕๖ มี๕๙ คาถา บทที่ ๕๗ มี๕๑ คาถา บทที่ ๕๘ มี๙๑ คาถา บทที่ ๕๙ มี๗๓ คาถา บทที่ ๖๐ มี๖๗ คาถา บทที่ ๖๑ มี๕๓ คาถา๘๐ บทที่ ๖๒ มี๖๔ คาถา บทที่ ๖๓ มี๔๔ คาถา บทที่ ๖๔ มี๑๕๘ คาถา บทที่ ๖๕ มี๙๖ คาถา บทที่ ๖๖ มี๕๙ คาถา บทที่ ๖๗ มี๓๘ คาถา บทที่ ๖๘ มี๓๓๖ คาถา บทที่ ๖๙ มี๓๒ คาถา บทที่ ๗๐ มี๓๓๐ คาถา ๘๐ พระมหานามเถระ, คัมภีร์มหาวงศ์ภาค ๑, แปลโดย สุเทพ พรมเลิศ (พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓), หน้า (๔๑) – (๙๕)
๒๓๘ บทที่ ๗๑ มี๑๖๔ คาถา บทที่ ๗๒ มี๒๔๘ คาถา บทที่ ๗๓ มี๒๐๔ คาถา บทที่ ๗๔ มี๓๓๖ คาถา บทที่ ๗๕ มี๑๐๘ คาถา บทที่ ๗๖ มี๑๐๙ คาถา บทที่ ๗๗ มี๘๖ คาถา บทที่ ๗๘ มี๘๐ คาถา บทที่ ๗๙ มี๘๐ คาถา บทที่ ๘๐ มี๕๓ คาถา บทที่ ๘๑ มี๕๒ คาถา บทที่ ๘๒ มี๔๔ คาถา บทที่ ๘๓ มี๑๒๒ คาถา บทที่ ๘๔ มี๕๘ คาถา บทที่ ๘๕ มี๗๔ คาถา บทที่ ๘๖ มี๑๒๑ คาถา บทที่ ๘๗ มี๗๑ คาถา บทที่ ๘๘ มี๑๑๐ คาถา บทที่ ๘๙ มี๓๖ คาถา บทที่ ๙๐ มี๓๓ คาถา บทที่ ๙๑ มี๑๗ คาถา บทที่ ๙๒ มี๒๔ คาถา บทที่ ๙๓ มี๒๗ คาถา บทที่ ๙๔ มี๔๒ คาถา บทที่ ๙๕ มี๖๔ คาถา บทที่ ๙๖ มี๙๘ คาถา บทที่ ๙๗ มี๑๘๕ คาถา บทที่ ๙๘ มี๓๐๕ คาถา บทที่ ๙๙ มี๓๙ คาถา ภาคผนวก มี๘๕๕ คาถา ในภาคผนวกนั้นแบ่งออกเป็นภาคผนวกของบทที่ ๙๒ และภาคผนวกบทที่ ๙๓ เมื่อ รวมกันจึงเป็น ๑๐๑ บท คุณค่าของวรรณกรรม เมื่อพิจารณาคุณค่าของคัมภีร์มหาวงศ์พบว่า คุณค่าด้านวรรณคดีคัมภีร์มหาวงศ์มี โทษคือข้อบกพร่องน้อย มีคุณคือลักษณะของคำและความที่นำมาใช้ในคำประพันธ์แล้วทำให้คำ ประพันธ์นั้น ๆ มีความงาม ไพเราะมาก มีครบทั้ง ๑๐ ประการคือ ทั้งปสาทคุณ คุณอันเกิดจาก บทสัมพันธ์ในคำประพันธ์นั้นวางอยู่ใกล้ชิดกัน โอชคุณคุณอันเกิดจากการผูกสมาสยาว ๆ ซึ่งมี อรรถรสลึกซึ้งดื่มใจ มธุรตาคุณ คือคุณอันเกิดจากความอ่อนหวาน คือ การใช้เสียงพ้องกัน การ ใช้เสียงสระ และพยัญชนะพ้องกัน สมตาคุณ คุณอันเกิดจากการใช้คำสม่ำเสมอ คือ การใช้อักษร ทั้งสิ้น(มุทุวรรณะ) แข็งทั้งสิ้น(ผุฏวัณณะ) หรือผสมกันทั้งสองอย่าง สุขุมาลตาคุณ คุณอันเกิดจาก อักษรธนิตและสิถิลผสมกัน แต่ไม่ใช้ธนิตมากและไม่ใช่สิถิลทั้งหมด พยัญชนะส่วนใหญ่เป็นสิถิละ
๒๓๙ แต่มีครุแทรกตามหลักฉันทลักษณ์สิเลสคุณ คุณอันเกิดจากการพรรณนาถึงคุณค่าที่น่ายินดีใช้ ถ้อยคำสละสลวยและการเน้นหนักในข้อความที่สำคัญในคำประพันธ์โอฬารตาคุณ คุณอันเกิด จากการพรรณนาถึงคุณอันสูงส่งหรือการกระทำอันสูงส่ง กันติคุณ คุณอันเกิดจากการพรรณนา ถึงสิ่งที่ทุกคนปรารถนา มุ่งความงามแบบโลกียะ อัตถพยัตติคุณ คุณอันเกิดจากข้อความที่แสดง นั้นแจ่มแจ้งชัดเจน เข้าใจง่าย สมาธิคุณ คุณอันเกิดจากการนำเอาคุณสมบัติหรือลักษณะหรือ วิธีการใช้ของอย่างหนึ่งไปไว้ในของอีกอย่างหนึ่ง แต่การนำเอาไปใช้นั้นเป็นไปโดยชอบ ไม่ผิดไป จากที่รู้จักกันในโลก ว่าโดยรสคัมภีร์มหาวงศ์ประกอบด้วยรสทั้ง ๙ รส คือ สิงคารรส รสแห่ง ความรัก หัสสรส รสแห่งการขำขันกรุณารส รสแห่งความโศก รุทธรส รสแห่งความโกรธ วีรรส รสแห่งความกล้าหาญ ภยานกรส รสแห่งความน่ากลัว วิภัจฉารส รสแห่งความน่าเกลียด อัพภูต รส รสแห่งความน่าอัศจรรย์และสันตรส รสแห่งความสงบ พิจารณาคุณค่าด้านความเชื่อของสังคม คัมภีร์มหาวงศ์มีคุณค่าต่อความเชื่อเรื่องรอย พระพุทธบาท ความเชื่อเรื่องการบูชาพระสารีริกธาตุความเชื่อเรื่องการบูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ ความเชื่อเรื่องพระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์คุณค่าด้านประวัติศาสตร์ทำให้ทราบประวัติศาสตร์ ของบุคคลสำคัญในพุทธศาสนาทั้งกษัตริย์เช่นพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัย พระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย และประวัติพระมหาเถระรูปสำคัญ คือ พระมหินทะ พระพุทธโฆสา จารย์ พระวาจิสสระ พระสรณังกร ประวัติการสังคายนา ตลอดทั้งประวัติการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาระหว่างลังกากับประเทศไทยคุณค่าด้านการเมืองการปกครอง มีหลักการ ปกครองของกษัตริย์ที่สำคัญ ได้แก่ทศบารมีพรหมวิหาร ทสพิธราชธรรม ราชสังคหวัตถุ ๔ คุณค่าด้านประเทืองสติปัญญา คือ ทำให้ทราบวิธีการสร้างสถูปเจดีย์วิธีการสร้างพระพุทธรูป ๘.๓ สรุปท้ายบท งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เป็น ผลงานของคณาจารย์มหาวิทยาลัยที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อบริการสังคมในด้านวิชาการทาง พระพุทธศาสนา ซึ่งผลงานที่ได้นำมาเสนอในบทนี้เป็นผลงานที่โดดเด่นเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปได้แก่ พุทธธรรม ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), เรื่อง วิมุตติมรรค ของอุปติสสม หาเถระ แปลโดย พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต), และเรื่องคัมภีร์มหาวงศ์ ของพระมหา