๒๙๐ ๔. การปรับปรุง (Act) การปรับปรุงการจัดการสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยท้องถิ่น องค์กรภาคีเครือข่ายมี ความชัดเจน ๔ ท. ได้แก่ ท้องถิ่น /ท้องที่ (เทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน) ทีมสุขภาพ (รพ.สต.) ท้องทุ่ง (ครอบครัวเครือข่าย อสม. พระ) กองทุน (สปสช. นักพัฒนาชุมชน) และเครือข่าย ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างมากในกิจกรรมสังคม ด้วยการประชุมสัญจรทุกเดือน เป็นการสร้าง เสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อการดูแลตนเอง ครอบครัว ชุมชน สภาพแวดล้อม และสังคมโดยรวม โดยการจัดประชุมสัญจรทุกเดือน สนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาทหลักในการ ดาเนินกิจกรรมการแก้ปัญหา กระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ในการปรับปรุงงาน เกิด ความผูกพันและมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อกิจกรรมที่ดำเนินงานด้วยความสมัครใจ กลไกความ ร่วมมือแบบบูรณาการ ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ระบบความเป็นเครือญาติ และความผูกพันกัน ประชาชนได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เป็นชุมชนที่มีต้นทุนทางสังคมและ มีต้นแบบที่ดีอาทิพระนักพัฒนา ผู้บริหารในท้องถิ่นปราชญ์ชาวบ้าน หมอพื้นเมือง จัดทำแผน อยู่บนพื้นฐานความรู้เชิงประจักษ์จากระดับล่างเป็นความต้องการของประชาชนที่จะช่วย แก้ปัญหาสุขภาพ เป็นกระบวนการให้ประชาชนตระหนักในการพึ่งตนเองด้านสุขภาพ การ ดำเนินงานพัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุมีความต่อเนื่อง และผลลัพธ์ที่ได้คือชุมชนมีสุขภาพดี สรุปได้ว่า ผู้สูงอายุเป็นกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ในสังคมไทย ครอบครัวจะมีหน้าที่หลักในการช่วยจัดการสุขภาพ ดูแลสมาชิกในครอบครัวเมื่อเจ็บป่วย ปัจจุบันสมาชิกในครอบครัวเป็นเครือข่ายการจัดการสุขภาพที่สำคัญของผู้สูงอายุ โดยมากมักเริ่ม จากปัจจัยความเสื่อมโทรมของร่างกายของผู้สูงอายุที่ทาให้ต้องมีญาติผู้ดูแล (Family Caregiver) พบว่าผู้ดูแลมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกันทางสายเลือด เป็นบุตร เป็นเพศหญิงและอยู่ ในวัยกลางคน ทั้งนี้เนื่องจากพื้นฐานความเชื่อทางสังคม การปลูกฝังค่านิยมทางวัฒนธรรม จาก การสัมภาษณ์พบว่า ชุมชนตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ผู้ดูแลหลักไม่แตกต่าง จากสังคมไทยอื่น ๆ ส่วนมากมีความเกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุเป็นบุตร และเป็นเพศหญิงทำหน้าที่ ดูแล เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ ได้แก่การดูแลการดำรงชีวิตประจาวันทั่วไป เช่น การดูแลด้าน อนามัยส่วนบุคคล การจัดหาอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม การอำนวยความสะดวกเรื่อง พาหนะเดินทาง การช่วยเหลือทั่วไปด้านการใช้แรงงาน การสนับสนุนด้านปัจจัย เงิน สิ่งของ นิยมซื้อให้เพียงปีละ ๑-๒ ครั้ง เฉพาะในโอกาสวันสำคัญ เช่น วันสงกรานต์จึงมีความหมายมาก
๒๙๑ สำหรับผู้สูงอายุจะนำมาเล่าสู่กันถึงความภาคภูมิใจ การสนับสนุนด้านอารมณ์ด้านจิตใจ การ ดูแลเมื่อเจ็บป่วย พาไปพบแพทย์จัดยา และรับภาระเรื่องค่ารักษาพยาบาล เช่น ลูกส่งเงินมาให้ ทำประกันชีวิตให้ผู้สูงอายุ เมื่อเจ็บป่วยสามารถไปใช้บริการของสถานพยาบาลเอกชน เนื่องจาก มีความสะดวก รวดเร็ว สำหรับการจัดอาหารแก่ผู้สูงอายุในภาพรวม มิได้มีการดำเนินการอย่าง พิเศษแต่อย่างใด ยกเว้นในรายที่ต้องทำอาหารเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะกับโรคที่เป็น ซึ่งผู้สูงอายุมี ความเข้าใจในความจำเป็นของลูกหลานต้องไปประกอบอาชีพที่อื่นบ้าง ทำให้ไม่มีเวลามา รับประทานร่วมกับผู้สูงอายุได้ทุกวัน แต่อย่างน้อยใน ๑ สัปดาห์ควรมาร่วมประทานอาหารกับ ผู้สูงอายุจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความสุข นอกจากนี้การสนับสนุนด้านข่าวสาร ทางโทรทัศน์ผู้สูงอายุบางรายมักจะมีวิทยุ ประจำตัวเปิดฟังรายการต่าง ๆ ทั้งวัน เปิดฟังเพลงบ้าง บอกว่า เป็นคนชอบสนุก ชอบร้องเพลง หรือบางคนฟังรายการธรรมะ บอกว่า พระเทศน์สนุก ในชุมชนยังนิยมใช้หอกระจายข่าวแจ้ง เรื่องราวกิจกรรมทางสังคม ความเป็นไปในสังคม และการพัฒนาตนเองให้ทันสมัยเสมอ เริ่มมี กลุ่ม facebook line บ้าง เมื่อเปรียบเทียบบทบาทการดูแลด้านนี้กับบทบาทด้านอื่น ๆ พบว่า การตอบสนองความต้องการทางสังคมเป็นบทบาทที่ครอบครัวปฏิบัติค่อนข้างน้อย หน้าที่ในการ สนับสนุนด้านจิตใจ อารมณ์สืบเนื่องจากผู้สูงอายุมีความรู้สึกอ่อนไหว มักขี้น้อยใจ เกิด ความรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ดังนั้น การได้รับการตอบสนอง โดยการยอมรับนับถือ จึงเป็นสิ่งที่ เกื้อหนุนต่อสภาวะอารมณ์ของผู้สูงอายุอย่างมาก พฤติกรรมที่แสดงออกจึงควรเป็นการเสริม คุณค่าให้แก่ผู้สูงอายุอย่างสม่ำเสมอ การอยู่เป็นเพื่อนพูดคุย จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีความมั่นคง ปลอดภัยและการนำหลักพระพุทธศาสนามาใช้ในการจัดการสุขภาพของผู้สูงอายุความศรัทธา ต่อพระรัตนตรัย ความเชื่อในเรื่องกรรม ทำดีได้ดีการระลึกถึงคุณบิดามารดา และให้ ความสำคัญต่อประเพณีด้านศาสนาไปวัด สวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรม หมั่นทำบุญ สร้างกุศล มองโลกในแงดีการเข้าใจต่อความเจ็บป่วย ช่วยให้สุขภาพจิตดีไม่เครียด โดยเฉพาะการดูแลถือ เป็นการทำบุญและทำให้ชีวิตมีความสุข การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธของผู้สูงอายุ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัด ขอนแก่น ประกอบด้วย บริบทปัจเจกบุคคลของผู้สูงอายุและบริบทของครอบครัว ชุมชน สังคม ต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กันอย่างเป็นระบบ หรืออย่างเป็นองค์รวมแห่งสุขภาวะ ทั้งร่างกาย สังคม จิตใจ และปัญญา เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีมีความสุข ในการจัดกิจกรรมพัฒนา
๒๙๒ คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุจึงต้องให้เหมาะสมกับความต้องการตามบริบทของผู้สูงอายุแต่ละกลุ่ม โดยอิงอาศัยหลักธรรมของพระพุทธศาสนาในการจัดการสุขภาพของผู้สูงอายุการจัดการสุขภาพ ของผู้สูงอายุ ประกอบด้วย ๔ ด้าน ได้แก่ ๑. การวางแผน (Plan) นโยบายตาบลสุขภาวะวิถีพุทธ ร่วมแก้ปัญหา การวางแผน มีความครอบคลุมความต้องการของผู้สูงอายุและมีการบูรณาการ จัดสรรงบประมาณได้อย่าง เพียงพอ ๒. การปฏิบัติ(Do) การดาเนินงานอย่างเข้าถึงมีองค์ความรู้พัฒนาเสริมสร้างความ มีคุณค่าให้แก่กลุ่มผู้สูงอายุ การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธของผู้สูงอายุ ด้านร่างกาย ด้วยปัจจัยที่จำเป็นใน การดำเนินชีวิตพิจารณาถึงคุณค่าแท้และประโยชน์ใช้สอย จากอายตนะภายใน และการใช้ อินทรีย์ทั้ง ๕ ด้วยปัญญาตามหลักสัปปายะ ๗ ว่าด้วยสิ่งที่สบาย เกื้อกูล ได้แก่ ที่อยู่เหมาะสม ปลอดภัย อุดมด้วยแหล่งอาหารการพูดคุยที่เหมาะ บุคคลที่ถูกกัน อาหารที่เหมาะกับร่างกาย อากาศแวดล้อมที่เหมาะสม และอิริยาบถที่เหมาะสม ผู้สูงอายุที่แข็งแรงจะมีความสามารถใน การจัดการด้วยตนเอง สำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพา ส่วนใหญ่ผู้ดูแลจะช่วยเหลือจัดการให้ ด้วยความกตัญญูกตเวทีที่มีความสำคัญต่อสังคมไทย ให้การดูแลผู้สูงอายุด้วยความเต็มใจ ไม่ถือ ว่าเป็นภาระ และบทบาทหน้าที่ของครอบครัวบิดามารดา บุตร สามีภรรยา เจ้านาย ลูกน้อง ตามหลักทิศ ๖ การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธของผู้สูงอายุ ด้านสังคม หรือศีลภาวนา เพื่อให้ ผู้สูงอายุยังคงสุขภาพที่ดีมีปฏิสัมพันธ์กับชุมชนสังคม ทำให้รู้สึกตนเองมีคุณค่า สนใจเทคโนโลยี ใหม่ๆ ครอบครัวจะช่วยเกื้อหนุนด้านสังคม สร้างความรู้สึกอบอุ่น ความมั่นคงปลอดภัยให้กับ ผู้สูงอายุ เกื้อหนุนด้านเงินทอง สิ่งของ เป็นค่าใช้จ่าย ชุมชนจัดโครงการ งดเหล้างานศพ โรงเรียนผู้สูงอายุ งานประเพณีท้องถิ่น สืบสานภูมิปัญญา มีความเชื่อเรื่องกรรม และบุญ-บาป ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ปฏิบัติตนอยู่ในศีล ๕ สังคมมีความเอื้ออาทร ตามหลักสังคหวัตถุ ๔ ได้แก่ (๑) ทาน โดยผู้สูงอายุที่แข็งแรง มีความสามารถจะเข้าร่วมและมีความประสงค์เข้าร่วม กิจกรรมทางสังคม พบเห็นได้ว่ามีกิจกรรมจิตอาสา เสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำให้ตนเองรู้สึกมี คุณค่า ส่วนผู้สูงอายุที่มีข้อจำกัดด้านการเคลื่อนไหว ครอบครัว ชุมชนสังคม ต้องเดินเข้าไปหา ไปช่วยเหลือ เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่ายังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ในลักษณะการจัดการสุขภาพอย่าง
๒๙๓ มีส่วนร่วม ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (๒) ปิยวาจาพูดคุยปรับทุกข์ให้กำลังใจ (๓) อัตถจริยา บำเพ็ญ ประโยชน์ เครือข่ายการจัดการสุขภาพของผู้สูงอายุเข้ามาช่วยเหลือ อย่างเป็นกัลยาณมิตร ชุมชนไม่ทอดทิ้ง การเยี่ยม ให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง (๔) สมานัตตา ปฏิบัติสม่ำเสมอ ดูแลให้ ความเคารพ เช่นกิจกรรมรดน้ำดำหัว ขอพรผู้สูงอายุครอบครัวพาไปร่วมงานประเพณีต่าง ๆ การเป็นครอบครัวที่อบอุ่น รัก สามัคคีกัน ยังความรู้สึกให้ผู้สูงอายุมีความสุข สบายใจ ตัวอย่าง ของครอบครัวที่ดีมีกิจกรรมการรับประทานอาหารร่วมกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๑ วัน หรือการ พาผู้สูงอายุไปวัด ไปเที่ยวพักผ่อน การเข็นรถให้ผู้สูงอายุ เป็นต้น และหลักการครองเรือน ตาม ฆราวาสธรรม ๔ ได้แก่ สัจจะ ทมะ ขันติและจาคะ เป็นการให้ความจริงใจ เคารพ อดทน เสียสละ รับฟังความคิดเห็นของผู้สูงอายุ การเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธของผู้สูงอายุ ด้านจิตใจ หรือจิตภาวนา เพื่อไม่ให้ ผู้สูงอายุมีความเครียด ว้าเหว่ หรือหดหู่ใจ ผู้สูงอายุที่ช่วยตนเองได้มักจะมีสุขภาวะจิตที่ดีให้ยิ้ม บ่อยๆ ไม่ต้องเครียด การบริบาลด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์ต้องมีเมตตาเป็นพื้นฐานสำคัญ สำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพาครอบครัว ชุมชนให้การดูแล จัดการตามหลักพรหมวิหาร ๔ ได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หลักกัลยาณมิตร และหลักอิทธิบาท ๔ ด้วยฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ในการดูแล เยี่ยมเยียน พูดคุยให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ เข้าถึงจิตใจ สร้าง ความรู้สึกสนิทสนม สบายใจ ให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ เป็นที่พี่งได้และปลอดภัย อย่างมีความรู้ จริงทรงภูมิปัญญา เป็นที่น่ายกย่อง เป็นที่ปรึกษาที่ดีอดทน ไม่เบื่อ ไม่ฉุนเฉียว อธิบายให้เข้าใจ ได้ไม่ชักจูงไปในทางเสื่อมเสียจะดูแลรักษาการจัดการสุขภาพของผู้สูงอายุเชิงพุทธบูรณาการ ด้านปัญญา หรือปัญญาภาวนา ผู้สูงอายุในชุมชนยังนิยมไปวัด ไหว้พระ สวดมนต์ไหว้พระ ปฏิบัติธรรมทั้งในระดับสมถะ วิปัสสนากรรมฐานตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ว่าด้วยการเอาสติมาใช้ ในการกำหนดอารมณ์ต่าง ๆ รู้กายในกาย รู้เวทนาในเวทนา รู้จิตในจิต และรู้ธรรมในธรรม การ เข้าถึงด้วยศีล สมาธิปัญญา ตามหลักไตรสิกขา จึงเป็นหนทางดั่งสะพานเชื่อมโยง ช่วยให้สังคม เกิดการเข้าใจในความทุกข์ของผู้เจ็บป่วย รู้เหตุรู้ผล การให้เกียรติเคารพ เชิญผู้สูงอายุเป็นที่ ปรึกษา ขอคำแนะนำ ผู้สูงอายุเป็นต้นแบบที่ดีให้กับสังคม เป็นแหล่งคลังสมอง จูงหลานไปวัด สืบสานภูมิปัญญา การจักรสาน ประเพณีบายศรีสู่ขวัญ เป็นวิทยากรถ่ายทอดให้ความรู้แก่ เยาวชน เมื่อผู้สูงอายุมีความเข้าใจถึงธรรมชาติของชีวิต เข้าใจสภาพที่เปลี่ยนแปลงของสังขาร เข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเอง เมื่อนั้นจิตใจจะสามารถปล่อยวางไม่ยึดติดถือมั่นใน
๒๙๔ อุปาทาน นาม รูป กาจัดกิเลสที่เป็นรากเหง้าของทุกข์ได้จิตสงบมุ่งสู่การบรรลุธรรมแห่งนิพพาน นั่นคือบรมสุขที่แท้จริง ๓. การตรวจสอบ (Check) ประเมินผลเพื่อสู่สุขภาวะที่ดีแบบวัดคุณภาพชีวิตของ ผู้สูงอายุจำแนกตามองค์ประกอบ พบว่า ด้านจิตใจ อยู่ในระดับดีด้านสุขภาพกาย ด้าน สัมพันธภาพทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม อยู่ในระดับกลาง ๆ โดยภาพรวมอยู่ในระดับกลาง ๆ จำแนกตามอายุพบว่า คะแนนคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ มีแนวโน้มลดลง ในขณะที่มีอายุมากขึ้น และแบบวัดความเครียดของผู้ดูแล พบว่า อยู่ในระดับสูง ๔. การปรับปรุง (Act) โดยการจัดประชุมสัญจรทุกเดือน องค์กรเครือข่าย ๔ ท ท้องถิ่น/ท้องที่ (เทศบาล กานัน ผู้ใหญ่บ้าน) ทีมสุขภาพ (รพ.สต.) ท้องทุ่ง (ครอบครัว เครือข่าย อสม. พระ) กองทุน (สปสช. นักพัฒนาชุมชน) และเครือข่ายมีส่วนร่วมอย่างมากเมื่อผู้สูงอายุมี คุณภาพชีวิตที่ดีสังคมย่อมมีสุขภาวะที่ดีลูกหลานสามารถไปประกอบอาชีพนำความเจริญสู่ ประเทศชาติได้ในทางเดียวกัน เมื่อครอบครัวเป็นคนดีของสังคม ให้เกียรติให้คุณค่าผู้สูงอายุ เคารพความสูงอายุ มากด้วยประสบการณ์ครอบครัวอบอุ่น ตอบแทนคุณ ย่อมส่งผลต่อ สุขภาพจิตของผู้สูงอายุให้ดีตามไปด้วย ดังนั้น สุขภาพของผู้สูงอายุจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่มี ผลกระทบต่อความเจริญของประเทศชาติจึงควรมีแนวปฏิบัติที่ดีในการจัดการสุขภาพ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีหลักธรรมตามแนวพระพุทธศาสนาเป็น เข็มทิศมุ่งสู่สุขภาวะที่ดีให้กับผู้สูงอายุ๑๒ ๒) งานวิจัย เรื่อง “พุทธวิธีในการดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของสถานพัก ฟื้นวัดถ้ำกระบอก” การวิจัยเรื่อง “พุทธวิธีในการดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของสถานพักฟื้นวัดถ้ำ กระบอก” เป็นผลงานการวิจัยระดับปริญญาเอก สาขาพระพุทธศาสนาของ พระมหาธนกร กต ปุญฺโญ (ดรกมลกานต์) พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาสภาพปัญหาและการ ดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของสถานพักฟื้นวัดถ้ำกระบอก ๒) ศึกษาพุทธวิธีในการบำบัดผู้ ๑๒ พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), “รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธสำหรับ ผู้สูงอายุตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น”, หน้า ๒๐๕.
๒๙๕ เสพยาเสพติด ๓) วิเคราะห์การนำพุทธวิธีในการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของสถานพักฟื้นวัดถ้ำ กระบอก๑๓ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantity Research) นำข้อมูลที่ได้มา วิเคราะห์พร้อมกับการศึกษาภาคสนาม (Field Study) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการกำหนดกลุ่ม เป้าหมายแบบเจาะจง ได้แก่ ประชากรที่ให้ข้อมูล สำคัญในงานวิจัยนี้จำนวน ๔๒ รูป/คน แล้วนำเสนองานวิจัยเชิงพรรณนา ผลการศึกษาวิจัยพบว่า สภาพปัญหาและการดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของ สถานพักฟื้นวัดถ้ำกระบอก คือ การดำเนินกิจกรรมใดๆที่อันจะป้องกัน และปลูกฝังค่านิยม เพื่อให้ผู้เสพยาเสพติดห่างไกลยาเสพติด โดยการสร้างองค์ความรู้ด้านยาเสพติด เพื่อให้ผู้เสพยา เสพติดห่างไกลยาเสพติด และไม่กลับไปเสพยาเสพติด โดยการลด ละ เลิกยาเสพติด โดยอาศัย การวิจัยทั้งหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานภาคเอกชน วัดถ้ำกระบอก มีชื่อเสียงทางด้านการบำบัดผู้เสพยาเสพติด โดยมีแผนกต่างๆเพื่อทำ หน้าที่ในการบำบัด คือ แผนกทะเบียนเพื่อทำสถิติในการรักษาผู้ที่เข้าขอรับการบำบัด แผนกนำ ผู้บำบัดรับสัจจะ เพื่อที่จะให้ผู้ป่วยสร้างกรอบ และกำลังใจให้กับตนเอง แผนกบำบัดรักษา และ ดูแล เพื่อที่จะทำให้ผู้บำบัดเข้าสู่กระบวนการบำบัดของทางวัดถ้ำกระบอก โดยมีพระเป็นผู้ดูแล อย่างใกล้ชิด ในการบำบัดตลอดระยะเวลา ๑๕ วัน แผนกฟื้นฟูจิตใจ และฝึกอาชีพเพื่อทำให้ผู้รับ การบำบัดมีสภาพมีจิตใจที่เข้มแข็ง ในการกลับเข้าสู่สังคมได้ และจะได้นำการฝึกอาชีพไปใช้ใน ชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง นอกจากนั้นทางวัดถ้ำกระบอกนั้น ยังสนองงานใน ส่วนของภาครัฐ ในการอบรมความรู้เกี่ยวกับยาเสพติด แก่หน่วยงานที่ต้องการ และสถานพักฟื้น วัดถ้ำกระบอกเป็นหน่วยงานเอกชนที่มีความโดดเด่นทางด้านการบำบัดผู้เสพยาเสพติดมีประวัติ ความเป็นมา หลักการและนโยบาย ขบวนการขั้นตอนการบำบัดยาเสพติด ตลอดจนแนวคิด เกี่ยวกับการละลายพฤติกรรมของผู้เสพยาเสพติดอย่างชัดเจน ตลอดจนฟื้นฟูจิตใจ และฝึกอาชีพ เพื่อทำให้ผู้รับการบำบัดมีสภาพมีจิตใจที่เข้มแข็ง ในการกลับเข้าสู่สังคมได้ และจะได้นำการฝึก ๑๓ พระมหาธนกร กตปุญฺโญ (ดรกมลกานต์), “พุทธวิธีในการดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติด ของสถานพักฟื้นวัดถ้ำกระบอก”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓), หน้า ๓.
๒๙๖ อาชีพไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ตนเอง และมีขบวนการขั้นตอนในการบำบัด เป็นระบบโดยมีการปลูกฝังพฤติกรรมในหลายหลายกิจกรรมโดยแต่ละกิจกรรมนั้น มีหลักธรรม เข้าสอดแสรกในการบำบัดผู้เสพยาเสพติด พุทธวิธีในการบำบัดผู้เสพยาเสพติด ซึ่งประกอบด้วยหลักธรรมต่างๆ คือ หลัก อริยสัจ ๔ หลักสัมมัปปธาน ๔ หลักพรหมวิหารธรรม ๔ และหลักไตรสิกขา ๓ ผลการ ศึกษาวิจัยพบว่า การนำหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดผู้เสพยาเสพติด ซึ่งในหลักธรรมนี้ ยก เอาสาระในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาแนวความคิดของ นักวิชาการในทางพระพุทธศาสนาเถร วาท โดยอิงอาศัยหลักธรรมที่มาโน้มน้าวจิตใจ และหลักธรรมในบำบัดจิตใจของผู้เสพยาเสพติด เป็นสำคัญ กล่าวคือ การนำหลักอริยสัจ ๔ มาใช้บำบัดผู้เสพยาเสพติดเพื่อ ให้รู้ และเข้าใจเรื่อง ของความ ทุกข์จากการเสพยาเสพติด ยึดติดในรสของการเสพยาเสพติดด้วยความโลภ เป็นต้น ประการหนึ่ง การนำหลักสัมมัปปธาน ๔ มาใช้บำบัดผู้เสพยาเสพติดเพื่อ ให้รู้ และเข้าใจเรื่องของ ความเพียรที่จะทำความดีในการลด ละ และเลิกยาเสพติดของผู้เสพยาเสพติด ประการหนึ่ง การ นำหลักพรหมวิหารธรรม ๔ มาใช้บำบัดผู้เสพยาเสพติดเพื่อ ให้รู้ และเข้าใจเรื่องของความรักของ คนในครอบครัว ที่มีความหวังดีพร้อมอยากให้มีความอบอุ่นในครอบครัว และอยากให้ลูกหลาน นั้นๆ ลด ละ เลิกเลิกยาเสพติด และกลับมาเป็นคนดีของสังคม ประการหนึ่ง และอีกประการ หนึ่ง การนำหลักไตรสิกขา ๓ เป็นหลักธรรมที่เป็นหลักสำคัญ ในการพัฒนามนุษย์ให้ดำเนินชีวิต ดีงามถูกต้อง ทำให้มีวิถีชีวิตที่เป็นมรรค เป็นทางดำเนินชีวิตหรือวิถีชีวิตที่ถูกต้องดีงามของมนุษย์ ต้องเรียนรู้ฝึกฝนพัฒนาตนเอง เริ่มจากการรักษาศีล เพื่อขัดเกลาพฤติกรรม นำมาปฏิบัติเพื่อ พัฒนาตนเองให้มีชีวิตที่ดีงามเพื่อจัดปรับเตรียมสภาพชีวิตในการเข้าสู่สังคมต่อไป วิเคราะห์การนำพุทธวิธีในการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของสถานพักฟื้นวัดถ้ำกระบอก นั้น ผลการศึกษาวิจัยพบว่า การประยุกต์หลักหลักพรหมวิหารธรรม ๔ เน้นการใช้หลักธรรมเป็น เครื่องมือพัฒนาจิตใจเป็นสำคัญ สถาบันทางสังคมที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันป้องกันและแก้ไขปัญหาที่ เกิดขึ้นกับเยาวชน โดยการปลูกฝังพฤติกรรมด้านสังคมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการสร้าง บรรยากาศความรักความอบอุ่นให้เกิดขึ้นภายในครอบครัว ชุมชนด้วยการทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่ง จะช่วยหล่อหลอมให้เด็กและเยาวชนมีเกราะป้องกันมีพัฒนาการที่ดีมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์และ เป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีจึงเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องช่วยกันดูแลเพื่อช่วยกันพัฒนา ซึ่งถือเป็นปัจจัย สำคัญในการพัฒนาประเทศด้วยการนำหลักธรรมะมาเป็นแก่นการดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
๒๙๗ การที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องชี้ให้เห็นว่า เพื่อนซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุด ให้คบหากับเพื่อนที่เป็น กัลยาณมิตร จากการศึกษาการนำพุทธวิธีมาประยุกต์ใช้ในการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของสถานพัก ฟื้น วัดถ้ำกระบอก พบว่า การพัฒนาตนหรือกายด้วยศีลจึงหมายถึงการพัฒนาตนให้เป็นผู้มีศีล มี อาจาระงดงาม และผู้มีศีลย่อมมีชื่อเสียงที่กล้าหาญในการเข้าสู่บริษัทเชื่อว่ามีกลิ่นหอมหวนทวนลม กว่ากลิ่นทั้งปวง ผู้มีศีลงดงามมีความบริสุทธิ์หมดจดทางอาจาระ ย่อมทำประโยชน์ให้แก่สังคมได้ เป็นอย่างดีเพราะได้ฝึกฝนพัฒนาตนดีแล้วนั่นเอง ดังพระพุทธภาษิตที่ว่า “พระสงฆ์ผู้สะอาดหมด จดเป็นพระทักษิสไณยยบุคคล ผู้ประเสริฐ ผู้มีอินทรีย์สงบ เป็นผู้ละมลทินทั้งปวงได้ การพัฒนาด้านจิตใจ หมายถึง การฝึกฝนอบรมจิตใจให้เข้มแข็ง สามารถต่อสู้กับ ความรู้สึกฝ่ายอกุศล หรือ บาปทางใจได้ได้แก่การทำใจให้เกิดความสำรวมด้วยดีเพราะเมื่อจิตใจ สำรวมดีแล้ว สามารถเอาชนะพ้นจากเครื่องผูกของมาร คือ กามคุณทั้งหลายได้เพราะบุคคลที่ สำรวมจิต ซึ่งมีธรรมชาติเที่ยวไปไกลเที่ยวไปดวงเดียวไม่มีรูปร่างอาศัยอยู่ในถ้าย่อมจักสามารถพ้น จากเครื่องผูกแห่งมารได้และถ้าบุคคลมีจิตใจไม่มั่นคงก็จะมีปัญญาไม่สมบูรณ์ไม่ศรัทธาคำสอนของ พระพุทธศาสนา ไม่อาจพัฒนาจิตใจให้ดีงามได้ การใช้หลักอริยสัจสี่ในการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นหลักธรรมเพื่อรู้จักปัญหา สาเหตุ กำหนดเป้าหมาย แนวทางการแก้ปัญหา ปัญหา (ทุกข์) กลุ่มตัวอย่างให้ทัศนะว่า ปัญหายาเสพ ติดที่ผ่านมามีความรุนแรงต่อทุกคนในสังคม ก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ เช่น ปัญหาการก่อคดี อาชญากรรม ทำให้ได้รับทุกข์ทั้งตนเอง ผู้อื่นและสังคม หาสาเหตุ (สมุทัย) ทุกคนให้ทัศนะว่า ผู้ เสพเสพยาเสพติดเพราะ เพื่อนยุอยากลอง มีปัญหาครอบครัว และคุณสมบัติของยาเสพติด ส่วนผู้ค้านั้นมีสาเหตุมาจากเป็นการค้าที่ได้ผลตอบแทนสูง ตราบใดที่มีผู้ซื้อก็ต้องมีผู้ค้า พื้นฐาน ปัญหามาจากความยากจน ถึงแม้จะมีบทลงโทษอย่างไรก็ตาม ถ้าผู้ซื้อและผู้ขายมีความต้องการ ตรงกันปัญหายาเสพติดก็ครบองค์ประกอบ กำหนดเป้าหมาย (นิโรธ) ทุกคนมีความเห็นตรงกัน ว่าไม่ต้องการให้ครอบครัวไปยุ่งกับยาเสพติด ไม่อยากให้ยาเสพติดอยู่ในสังคมเรา อยากให้ยาเสพ ติดหมดไปจากสังคมเราด้วยความร่วมมือของทุกฝ่ายเป็นพลังแผ่นดิน แนวทางการแก้ปัญหา (มรรค) ส่วนใหญ่เห็นควรให้มีการจัดค่ายฝึกอบรมทำชุมชนให้เข้มแข็งร่วมกันเป็นพลังต่อแผ่นดิน ขจัดสิ้นยาเสพติดและดูแลลูกหลานไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยว หากพบคนเสพก็นำไปบำบัดฟื้นฟูส่วนข้อ
๒๙๘ กฎหมายเกี่ยวกับการยึดทรัพย์และตัดตอนมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย การสร้างครอบครัวให้ อบอุ่นเป็นพลังที่จะต่อต้านปัญหายาเสพติดได้ การใช้หลักไตรสิกขาในการแก้ปัญหายาเสพติด เป็นการศึกษาที่จะให้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นสิกขาชีวิตที่ดีงามเกิดจากการศึกษานั้น เป็นมรรคระบบแห่งสิกขา เริ่มด้วยจัดปรับพื้นที่ให้ พร้อมที่จะทำงานฝึกศึกษา ไตรสิกขา เป็นการศึกษา ๓ ด้าน ที่พัฒนาชีวิตไปทั้งระบบ แต่ถ้ามอง หยาบ ๆ เป็นภาพใหญ่ก็มองเห็นเป็นการฝึกศึกษาที่ดำเนินไปใน ๓ ด้าน/ขั้นตอนตามลำดับ มอง ได้ทั้งในแง่ประสานกันและเป็นปัจจัยต่อกันดังนั้น การใช้หลักไตรสิกขาในการป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติด สามารถทำให้เกิดการพัฒนาในตัวบุคคลอย่างเป็นองค์รวม อันได้แก่ พฤติกรรม จิต และปัญญา ซึ่งเป็นความตระหนักรู้ความจริง รู้จักไตร่ตรองว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว สามารถ มองเห็นผลกระทบอันเกิดจากการใช้ยาเสพติดได้จึงควรนำหลักไตรสิกขามาพัฒนาผู้บำบัดยา เสพติด การใช้หลักสัมมัปปธาน ๔ ในการแก้ปัญหายาเสพติด พบว่า เป็นหลักธรรมที่ ประกอบด้วยองค์๔ ซึ่งเรียกว่าความเพียรในการเลิกเสพยาเสพติด คือ ความเพียรต่อการเลิกยา เสพติด อย่างแรงกล้า ๔ ประการ ได้แก่ เพียรพยายามในการละการเลิกเสพยาเสพติด, เพียร พยายามป้องกันยาเสพติด ไม่ให้เกิดขึ้น การใช้หลักหลักพรหมวิหารธรรม ๔ ในการแก้ปัญหายาเสพติด พบว่า เน้นการใช้ หลักธรรมเป็นเครื่องมือพัฒนาจิตใจเป็นสำคัญ สถาบันทางสังคมที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ที่เสพยาเสพติด โดยการปลูกฝังพฤติกรรมด้านสังคมเพื่อสร้าง ภูมิคุ้มกันด้วยการสร้างบรรยากาศความรักความอบอุ่นให้เกิดขึ้นภายในครอบครัว ชุมชนด้วย การทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งจะช่วยหล่อหลอมให้เด็กและเยาวชนมีเกราะป้องกันมีพัฒนาการที่ดีมี บุคลิกภาพที่สมบูรณ์และเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตดีจึงเป็นหน้าที่ของทุกคนต้องช่วยกันดูแลเพื่อ ช่วยกันพัฒนา ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาประเทศด้วยการนำหลักธรรมะมาเป็นแก่น การดำรงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องชี้ให้เห็นว่า เพื่อนซึ่งมีอิทธิพล
๒๙๙ มากที่สุด ให้คบหากับเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร เพราะจะชักจูงไปในทางที่ถูกต้อง และสอนให้รู้ว่า เพื่อนคนไหนเป็นมิตรเทียมหรือคนพาลที่คบหาแล้วจะถูกชักจูงไปในทางฉิบหายด้วยเช่นกัน๑๔ ๓) งานวิจัย เรื่อง “การศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมาหินกับวิถีชีวิต ชุมชนชาวพุทธ ในจังหวัดชัยภูมิ” การวิจัยเรื่อง “การศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมาหินกับวิถีชีวิตชุมชน ชาวพุทธ ในจังหวัดชัยภูมิ” เป็นผลงานการวิจัยระดับปริญญาเอก สาขาพระพุทธศาสนาของ พระครูปลัดพีระพันธ์ ธมฺมวุฑฺโฒ (ตรีศรี) พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ๑) เพื่อศึกษา กำเนิดและพัฒนาการวัฒนธรรมใบเสมาหินในพระพุทธศาสนา ๒) เพื่อศึกษาวิถีชีวิตชุมชนชาว พุทธในจังหวัดชัยภูมิ ๓) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมาหินกับวิถีชีวิตชุมชนชาว พุทธในจังหวัดชัยภูมิ๑๕ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantity Research) นำข้อมูลที่ได้มา วิเคราะห์พร้อมกับการศึกษาภาคสนาม (Field Study) ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการ เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการกำหนดกลุ่ม เป้าหมายแบบเจาะจง ได้แก่ ประชากรที่ให้ข้อมูล สำคัญในงานวิจัยนี้จำนวน ๒๖ รูป/คน แล้วนำเสนองานวิจัยเชิงพรรณนา ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ใบเสมาหินสร้างขึ้นจากบทบัญญัติทางพระพุทธศาสนาใน พระวินัยเรื่องของการนำแผ่นหินเป็นนิมิต ได้รับอิทธิพลรูปทรงจากศิลปะในสมัยปาละ – เสนะ ของอินเดีย ผสมผสานกับแนวคิดการปักแท่งหินสลักรูปเสาเสมาธรรมจักรในสมัยพระเจ้าอโศก มหาราช โดยนำเรื่องราวทางพระพุทธศาสนามาสร้างสรรค์และนำเสนอเป็นภาพแกะสลักบุคคล ผสมผสานกับการคิดค้นลวดลายต่าง ๆ พัฒนารูปทรงใบเสมาหินจนเป็นเอกลักษณ์ เริ่มต้นขึ้น ในอาณาจักรทวาราวดี สุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์เรื่อยมา มีการผสมผสานปรับปรุงกัน ๑๔ พระมหาธนกร กตปุญฺโญ (ดรกมลกานต์), “พุทธวิธีในการดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติด ของสถานพักฟื้นวัดถ้ำกระบอก”, หน้า ๙๓. ๑๕ พระครูปลัดพีระพันธ์ ธมฺมวุฑฺโฒ (ตรีศรี), “การศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมาหิน กับวิถีชีวิตชุมชนชาวพุทธ ในจังหวัดชัยภูมิ”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓), หน้า ๓.
๓๐๐ เรื่อยมาทั้งในวัฒนธรรมมอญและวัฒนธรรมขอม กลายเป็นหลักฐานที่บันทึกเรื่องราวทาง ประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม การแต่งกาย ภาษา วรรณกรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และอารย ธรรมทางพระพุทธศาสนาเถรวาทของชุมชน วิถีชีวิตของชาวชัยภูมิ เป็นชุมชนเกษตรกรรมและการล่าสัตว์ ดำรงชีวิตอยู่อย่างสงบ สุข เรียบง่าย คนในชุมชนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนาและมีความเชื่อเรื่องผี มีวัฒนธรรมที่ การผสมผสานกับหลักปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาที่มาพร้อมกับวัฒนธรรมอินเดีย วัฒนธรรม ทวารวดีภาคกลาง วัฒนธรรมขอมพระนคร และวัฒนธรรมลาวรวมเข้ากับประเพณีพิธีกรรม ดั้งเดิมของท้องถิ่นทำให้เกิดพิธีกรรมและประเพณีต่าง ๆ คือ การรำผีฟ้า การแห่นาค บุญกระ ธูป พิธีสรงน้ำพระธาตุ สรงน้ำใบเสมาหิน พิธีแห่น้ำกาบแก้วบัวไขมาลัยกิ่งมิ่งเมืองกาหลง โฮม บุญฮดสรงองค์พระศรีศิลาแลง(พระใหญ่ทวารวดี) รวมถึงงานฉลองอนุสาวรีย์เจ้าพ่อพญาแล บุญ เดือนหกหนองปลาเฒ่า ซึ่งในปัจจุบันก็ยังยึดถือปฏิบัติกันทุกปี ความสัมพันธ์ระหว่างวิถีชีวิตชุมชนกับใบเสมาหินในจังหวัดชัยภูมิ มีความ เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมทางพระพุทธศาสนา ความเชื่อ ความศรัทธา ศิลปกรรม ประเพณี พิธีกรรม ภาษา ตัวอักษร วรรณกรรม และการแต่งกาย เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดในระดับของ เครือญาติและมีอิทธิพลระหว่างกัน ทำให้ประชาชนในชุมชนปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ได้จากการ ค้นคว้าองค์ความรู้จากใบเสมาหินเพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตภายใต้ความเชื่อในวัฒนธรรมอย่าง เดียวกัน การศึกษาวิจัยเรื่อง“การศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมาหินกับวิถีชีวิต ชุมชนชาวพุทธ ในจังหวัดชัยภูมิ”พบองค์ความรู้จากการวิจัย ดังนี้ งานประติมากรรมที่เกี่ยวกับการสลักหินที่ค้นพบในประเทศอินเดียที่เป็นต้นกำเนิด พระพุทธศาสนานั้น ปรากฏว่าไม่พบหลักฐานว่าได้นำแผ่นหินมาใช้เป็นนิมิตกำหนดเขตของโรง อุโบสถเลย แม้ในสถานที่ที่เป็นอาคารทางพระพุทธศาสนา ตามถ้ำ เพิงหิน เงื้อมผา วิหาร ศาลา หรือแหล่งโบราณคดี ก็ไม่ได้นำแผ่นหินมาปักเพื่อทำสัญลักษณ์แสดงหรือกำหนดอาณาเขตสำหรับ กระทำสังฆกรรมหรือมีข้อความจารึกแสดงถึงนิมิตเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่านิมิตเหล่านั้น คณะสงฆ์ได้ถือกำหนดเป็นครั้งคราวตามความจำเป็นโดยใช้หลักสังฆาธิปไตย และอาจจะเป็นไปได้ อีกว่าวัฒนธรรมการนำแผ่นหินมากำหนดเป็นนิมิตจะไม่นิยมแพร่หลายและคณะสงฆ์ไม่ได้กำหนด นิมิตขึ้นตายตัว เพราะสามารถกำหนดเอาตามพุทธบัญญัติเรื่องของนิมิตสีมาทั้ง ๘ อย่างได้นั่นเอง
๓๐๑ สมัยที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงนำแท่ง หินที่สลักเป็นรูปเสมาธรรมจักรและภาพสัตว์ที่มีความหมายเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ขนาดสูงใหญ่ จำนวนมากปักทั่วราชอาณาจักร เพื่อแสดงสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า เสาศิลาเหล่านี้ อาจจะเป็นแรงบันดาลใจในการเลือกวัสดุ การแกะสลักภาพ และการจารึกอักษรลงบนแผ่น เป็นต้น กำเนิดของวัฒนธรรมการนำแท่งหินมาเป็นนิมิตในการแสดงอาณาเขตทางพระพุทธศาสนาจน แพร่หลายในประเทศไทยปัจจุบัน ใบเสมาหินได้ทำหน้าที่กำหนดเขตแดนของสังฆกรรม ที่เรียกว่านิมิต พร้อมทั้งบอกเล่า เรื่องราวพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า เป็นสื่อในการนำเสนอ "คติธรรมคำสอนพระพุทธศาสนา" ที่ ภูมิปัญญาช่างโบราณได้แปลงออกมาจากคำสอนในคัมภีร์ทางศาสนา แสดงรูปภาพตัวอย่างให้เห็น ถึงการบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีนี้เป็นสิ่งที่บุคคลโดยทั่วไปควรนำ ประพฤติปฏิบัติ เช่น การให้ทาน การรักษาศีล ความกตัญญูกตเวที ความอดทนอดกลั้น การไม่ ประทุษร้ายมิตร ความมีเมตตาปราณี การบำเพ็ญเพียร การรักษาสัจจะ การเสียสละ เป็นต้น เพื่อต้องการให้พุทธศาสนิกชนที่พบเห็นนำเอามาเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิต เป็นอุบายอย่างแยบคายที่สามารถแฝงคำสอน พุทธปรัชญา พุทธจริยธรรม ความเชื่อด้วยการสลัก ภาพบนใบเสมาหิน เป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาตามแบบเถรวาท จากหลักฐานตัวอักษรที่จารึกบนใบเสมาหิน คือ อักษรหลังปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ที่มี ต้นกำเนิดมาจากดินแดนพุทธภูมิ อาณาจักรปัลลวะในแถบอินเดียภาคใต้ ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ในการ เผยแผ่คำสอนในสมัยนั้น ได้แผ่ความเจริญรุ่งเรืองเข้ามาในดินแดนนี้ หรือแม้แต่อักษรมอญโบราณ ภาษาเขมร อักษรขอมโบราณ ด้วยความสามารถทางด้านสติปัญญาของกลุ่มคนในชุมชนที่สามารถ เรียนรู้จนเขียนอักษรและจารึกลงบนแผ่นหินได้ รวมถึงการถ่ายทอดผ่านเรื่องราวในชาดกด้วยฝีมือ การสลักแผ่นหินที่อ้อนช้อยงดงาม สอดแทรกวรรณกรรม ศิลปกรรม วัฒนธรรมการแต่งกาย และ ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของชาวชัยภูมิเอาไว้อีกด้วย แสดงให้เห็นถึงการเป็น กลุ่มคนที่มีจิตใจเปิดกว้างในการรับวัฒนธรรมใหม่ที่เข้ามา ความโดดเด่นของภาพสลักบนใบเสมาหินในจังหวัดชัยภูมิคือการผสมผสานระหว่าง ศิลปะแบบพื้นเมืองเดิมในแต่ละยุคเข้ากับรูปแบบของศิลปะอินเดียที่มาพร้อมกับพระพุทธศาสนา รูปแบบของการถ่ายทอดเรื่องราว ไม่มีแบบแผนตายตัว มีความเป็นอิสระในการนำเสนอเรื่องราว และการจัดวางภาพ โดยพยายามเล่าเรื่องราวผ่านตัวละครในการแสดงท่าทางตามเนื้อหาที่ปรากฏ ในชาดกนั้น ๆ บางแผ่นก็มีการสลักตกแต่งพื้นที่ด้านล่างเป็นรูปกลีบบัวและด้านปลายของแผ่นหิน
๓๐๒ ก็เป็นลวดลายพันธุ์พฤกษา เล่าเรื่องราวทางพระพุทธศาสนาอย่างประณีตสวยงาม การแกะสลัก ภาพเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธเจ้าและชาดกไว้บนใบเสมาหินนี้ อาจมีความเชื่อที่มุ่งหมายให้ความรู้เพื่อ เป็นสื่อในการบอกเล่าเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา ดึงดูดความสนใจ ให้เกิดความเพลิดเพลิน กระตุ้นให้เกิดความเชื่อและความศรัทธาให้พุทธศาสนิกชนได้ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าที่ได้ แสดงเอาไว้ในเนื้อหาของภาพ ช่วยสืบทอด เผยแผ่ และเชิดชูพระพุทธศาสนา ทั้งยังเป็นการ ประดับตกแต่งศาสนสถานให้เกิดความสวยงามที่แฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมการแต่งกาย วัฒนธรรมทาง ภาษา การจารึกอักษรมอญโบราณด้วยอักษรที่มาจากต่างดินแดน นับภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ ทำให้เกิดภาพสลักบนใบเสมาหินที่มีความโดดเด่น มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น แสดงให้ เห็นถึงพัฒนาการทางพุทธศิลป์ที่ขึ้นสูงถึงจุดสุดยอด หลักพุทธปรัชญาและหลักพุทธจริยธรรมที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์และตีความจาก เรื่องราวที่ปรากฏบนใบเสมาหิน เกิดองค์ความรู้จากนักปราชญ์ในชุมชน ผู้ทรงคุณความรู้ที่เกิดจาก การศึกษาในเอกสารต่าง ๆ ถ่ายทอดผ่านมุมมองในทัศนคติทางพระพุทธศาสนา คนในชุมชน ยอมรับและมีความคิดเห็นร่วมกัน ใบเสมาหินได้แสดงคุณค่าทางด้านศิลปกรรมเป็นเอกลักษณ์ที่ โดดเด่นของชุมชนชาวชัยภูมิ เป็นผลงานทางภูมิปัญญาทางเชิงช่างชั้นสูงทั้งในการแกะสลักภาพสื่อ ความหมาย และวัฒนธรรมทางภาษาที่ถ่ายทอดอักษรที่บ่งบอกถึงยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของ ชาติได้ เป็นสังคมที่รุ่งเรื่องทางวัฒนธรรมทางด้านศิลปะ รสนิยมที่ถ่ายทอดมาจากความเชื่อและ ความศรัทธาทางพระพุทธศาสนา เป็นคุณค่าที่สำคัญยิ่งที่ทำให้ผลงานศิลปกรรมเหล่านี้ยังคงได้รับ ความสำคัญและชุมชนได้รักษาให้ สืบทอดให้คงอยู่สืบไป๑๖ ๔) งานวิจัย เรื่อง “วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิ ทัศนสถานของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น” การวิจัยเรื่อง “วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนส ถานของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น” เป็นผลงานการวิจัยระดับปริญญาเอก สาขาพระพุทธศาสนาของ นางสาวพิริยา พิทยาวัฒนชัย พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานของชาว ๑๖ พระครูปลัดพีระพันธ์ ธมฺมวุฑฺโฒ (ตรีศรี), “การศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมา หินกับวิถีชีวิตชุมชนชาวพุทธ ในจังหวัดชัยภูมิ”, หน้า ๑๖๙.
๓๐๓ อีสาน, เพื่อศึกษาการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานของวัดเจติย ภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น และวิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธ ศิลป์และภูมิทัศนสถานของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น๑๗ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantity Research) เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพภาคสนาม ด้วยการศึกษาจากคัมภีร์พุทธศาสนา จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งการลงพื้นที่ภาคสนาม โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม นำเสนอด้วยวิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า การเผยแผ่จากพุทธกาลได้ใช้การสื่อสารระดับบุคคล การปฏิบัติ ตนเป็นต้นแบบ หลังพุทธกาลมีการสังคายนาแล้วได้รักษาสืบต่อกันมา ปัจจุบันได้มีการให้ ความสำคัญกับพุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานไม่น้อย ชาวอีสานมีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน เป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ พื้นที่วัดได้ตกแต่งเป็นภูมิทัศนสถานให้เป็นรมมณียสถาน และให้มี ที่ว่างใช้รองรับกิจกรรมวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชุมชน โดยเฉพาะวัดเจติยภูมิมีการใช้พุทธศิลป์ และภูมิทัศนสถานของวัดที่มีลักษณะร่วมของสังคมอีสาน โดยผลการศึกษาการเผยแผ่พุทธ ศาสนาของวัดเจติยภูมิ พบว่า พุทธศิลป์หลักคือองค์พระธาตุขามแก่น เป็นผลจากความศรัทธา ความงาม และวัฒนธรรมการสร้างพระธาตุ การสร้างสิม การสร้างพระพุทธรูป การเขียนฮู ปแต้ม และการมีพื้นที่รองรับกิจกรรมศาสนาตาม ฮีตสิบสองคองสิบสี่ โดยปรับภูมิทัศน์ของวัด ตามความจำเป็นแต่ละยุคสมัย มีการเสริมสร้างภูมิทัศน์ ทั้งสิ่งมีชีวิต (soft scape) และ สิ่งไม่มีชีวิต (hard scape) โดยไม่ทำลายหรือบิดเบือนโครงสร้างภูมิทัศนสถานเดิม แต่ส่งเสริม ให้พุทธศิลป์หลักมีเอกภาพด้วยศาสตร์สมัยใหม่ เช่น การออกแบบภูมิทัศน์ให้สะท้อนบรรยากาศ เดิมของภูมิทัศนสถานโดยยังคงรักษาพืชพรรณดั้งเดิมของวัดอันเกี่ยวข้องกับตำนานการสร้าง พระธาตุขามแก่นบนดอนมะขาม รูปแบบการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานจึงผสมผสานงาน ดั้งเดิมและงานสร้างใหม่ โดยวัดยังรักษารูปแบบงานพุทธศิลป์ดั้งเดิมเอาไว้และปรับปรุง บำรุง ๑๗ นางสาวพิริยา พิทยาวัฒนชัย, “วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิ ทัศนสถานของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๒), หน้า ๓.
๓๐๔ รักษาภูมิทัศนสถานให้สมสมัยและสะอาด สว่าง สงบ สอดคล้องกับหลักสัปปายะใน พระไตรปิฎก ส่วนการวิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยใช้พุทธศิลป์ฯ จากการศึกษาข้อมูล เอกสาร การลงภาคสนามสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมนั้น พบว่า วัดเจติย ภูมิยังคงรักษาแนวทางการเผยแผ่ด้วยการสื่อสารระดับบุคคล การปฏิบัติตนเป็นต้นแบบ การ ทรงจำพระธรรมวิจัย และได้เพิ่มการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัสนสถานเข้ามาช่วย โดยจัดให้มีความ สอดคล้องกันของพุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานอดีตกับปัจจุบัน เห็นได้จากการปรับใช้รูปทรงพระ ธาตุขามแก่น ทั้งในระดับวัดและหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดขอนแก่นจำนวนมาก จนกลายเป็นสัญลักษณ์แทนความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นผลเชิงประจักษ์ที่เกิดจากอิทธิการเผยแผ่ พระพุทธศาสนาโดยใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานของวัด ทั้งหมดล้วนเป็นวิธีการเผยแผ่ที่ทำให้ สาธุชนเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา และเกิดความรู้ เข้าใจ แล้วน้อมนำตนเข้าสู่ธรรมะ ได้จริงนั่นเอง การศึกษาวิจัยเรื่อง“วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิ ทัศนสถานของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น”พบองค์ความรู้จากการวิจัย ดังนี้ ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่ ๑ พบว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนาเถรวาทจาก สมัยพุทธกาลได้ใช้การสื่อสารระดับบุคคล การปฏิบัติตนเป็นต้นแบบ หลังพุทธกาลมีการ สังคายนาแล้วได้รักษาสืบต่อกันมา ปัจจุบันได้มีการให้ความสำคัญกับพุทธศิลป์และภูมิทัศนส ถานไม่น้อย ชาวอีสานมีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน เป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ พื้นที่วัด ได้ตกแต่งเป็นภูมิทัศนสถานให้เป็นรมมณียสถาน และให้มีที่ว่างใช้รองรับกิจกรรมวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชุมชน รูปแบบการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานของวัดเจติยภูมิมีลักษณะร่วม กับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของสังคมอีสานหลายประการ จะเห็นได้จากวัฒนธรรมการสร้าง พระธาตุ โดยชาวขอนแก่นเชื่อว่า พระบรมสารีริกธาตุนั้น มีปาฏิหาริย์ที่เกิดจาก ๑) พุทธานุภาพ ๒) ธัมมานุภาพ ๓) สังฆานุภาพ ๔) ปุญญานุภาพ และ ๕) เทวานุภาพ ประกอบกับตำนาน พื้นบ้าน และนิทานพื้นบ้านถิ่นอีสานส่วนใหญ่มักเกี่ยวกับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา ส่วนการ มีพื้นที่รองรับกิจกรรมทางศาสนาตามฮีตสิบสองคองสิบสี่ เนื่องจากวัดในอีสานยังคงเป็น ศูนย์กลางของชุมชนและมีความผูกพันกับวิถีชีวิตของชาวอีสาน พื้นที่ว่างของวัดทำให้คนใน
๓๐๕ ชุมชนได้มาร่วมพิธีสำคัญและยังสะท้อนให้เห็นความสามัคคีของชุมชนอีกด้วย ที่สำคัญมีการปรับ ภูมิทัศน์ของวัดตามความจำเป็นของยุคสมัย ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่ ๒ พบว่า วัดเจติยภูมิมีการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนส ถานของวัดที่มีลักษณะร่วมของสังคมอีสาน โดยผลการศึกษาการเผยแผ่พุทธศาสนาของวัดเจติย ภูมิ พบว่า พุทธศิลป์หลักคือองค์พระธาตุขามแก่น เป็นผลจากความศรัทธา ความงาม และ วัฒนธรรมการสร้างพระธาตุ การสร้างสิม การสร้างพระพุทธรูป การเขียนฮูปแต้ม และการมีพื้นที่ รองรับกิจกรรมศาสนาตามฮีตสิบสองคองสิบสี่ โดยปรับภูมิทัศน์ของวัดตามความจำเป็นแต่ละยุค สมัย มีการเสริมสร้างภูมิทัศน์ทั้งสิ่งมีชีวิต (soft scape) และสิ่งไม่มีชีวิต (hard scape) โดย ไม่ทำลายหรือบิดเบือนโครงสร้างภูมิทัศนสถานเดิม แต่ส่งเสริมให้พุทธศิลป์หลักมีเอกภาพด้วย ศาสตร์สมัยใหม่ เช่น การออกแบบภูมิทัศน์ให้สะท้อนบรรยากาศเดิมของภูมิทัศนสถานโดยยังคง รักษาพืชพรรณดั้งเดิมของวัดอันเกี่ยวข้องกับตำนานการสร้างพระธาตุขามแก่นบนดอนมะขาม รูปแบบการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานจึงผสมผสานงานดั้งเดิมและงานสร้างใหม่ โดยวัดยัง รักษารูปแบบงานพุทธศิลป์ดั้งเดิมเอาไว้และปรับปรุง บำรุง รักษาภูมิทัศนสถานให้สมสมัยและ สะอาด สว่าง สงบ สอดคล้องกับหลักสัปปายะในพระไตรปิฎก ผลการศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่ ๓ พบว่า การวิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยใช้พุทธศิลป์ฯ จากการศึกษาข้อมูลเอกสาร การลงภาคสนามสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกต แบบไม่มีส่วนร่วมนั้น พบว่า วัดเจติยภูมิยังคงรักษาแนวทางการเผยแผ่ด้วยการสื่อสารระดับ บุคคล การปฏิบัติตนเป็นต้นแบบ การรักษาพระธรรมวินัย และได้เพิ่มการใช้พุทธศิลป์และภูมิ ทัศนสถานเข้ามาช่วย โดยจัดให้มีความสอดคล้องกันของพุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานอดีตกับ ปัจจุบัน เห็นได้จากการปรับใช้รูปทรงพระธาตุขามแก่น ทั้งในระดับวัดและหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนในจังหวัดขอนแก่นจำนวนมาก จนกลายเป็นสัญลักษณ์แทนความศักดิ์สิทธิ์อันเป็นผล เชิงประจักษ์ที่เกิดจากอิทธิการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถานของวัด ทั้งหมดล้วนเป็นวิธีการเผยแผ่ที่ทำให้สาธุชนเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา และเกิด ความรู้ เข้าใจ แล้วน้อมนำตนเข้าสู่ธรรมะได้จริงนั่นเอง ที่พบว่าพบว่าคนทั่วไปที่เข้ามาเยี่ยมชม สามารถรับรู้และเข้าใจในหลักธรรมที่นำมาเสนอผ่านงานพุทธศิลป์ นอกจากจะได้ชมความ งดงามของชิ้นงานทางศิลปะแล้ว ยังเข้าใจความหมายในหลักธรรมที่ผู้สร้างงานต้องการสื่อ จาก รูปลักษณ์ของงานศิลป์ในรูปแบบ โดยความเข้าใจจะมากหรือน้อย นั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้
๓๐๖ ในการชมงานแต่ละประเภทด้วย โดยส่วนใหญ่จะเข้าใจธรรมะผ่านงานพุทธศิลป์ในระดับ เบื้องต้น๑๘ ๕) งานวิจัย เรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญา ฮินดู” การวิจัยเรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดู” เป็น ผลงานการวิจัยระดับปริญญาเอก สาขาวิชาปรัชญาของ นายนิติกร วิชุมา พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อ ๑) ศึกษาแนวคิดเรื่องอวตารในปรัชญาฮินดู๒) ศึกษาแนวคิดเรื่องนารายณ์ อวตาร และ ๓) วิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดูเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิและทุติยภูมิ แล้ว นำข้อมูลมาวิเคราะห์ด้วยพรรณนาวิธี๑๙ งานวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quantity Research) เป็นการวิจัยเชิง คุณภาพภาคสนาม ด้วยการศึกษาจากคัมภีร์พุทธศาสนา จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งการลงพื้นที่ภาคสนาม โดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม นำเสนอด้วยวิธีวิเคราะห์เชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า ๑. แนวคิดการอวตารคือ การแบ่งภาคหรือการลงมาของเทพเจ้า สู่โลกมนุษย์ด้วยมีพันธกิจสำคัญในการลงมาปราบ สั่งสอน และชี้นำหนทางไปสู่สัจธรรมสูงสุด การสำแดงรูปขององค์อวตารนั้นปรากฏในรูปมนุษย์อมนุษย์และสัตว์แต่ยังคงดำรงคุณสมบัติ ๑๘ นางสาวพิริยา พิทยาวัฒนชัย, “วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิ ทัศนสถานของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น”, หน้า ๑๑๑. ๑๙ นิติกร วิชุมา, “การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดู”, ดุษฎีนิพนธ์ ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓), หน้า ๓.
๓๐๗ เฉกเช่นเดียวกับพระเจ้าคือ ทรงไว้ด้วยมหิทธานุภาพ ความเป็นสัพพัญญูและปรากฏพระองค์ใน ทุกหนทุกแห่ง ๒. การอวตารของพระนารายณ์ล้วนแล้วมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน แสดงให้เห็นถึง การสรรเสริญพระนารายณ์ให้เป็นที่นับถืออย่างสูงสุดในฐานะเทพองค์หนึ่ง แสดงให้เห็นถึงความ เมตตาของเทพเจ้าที่ได้รับขนานพระนามว่าเป็นสิ่งธรรมชาติแท้จริงสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นอยู่ใน รูปร่างลักษณะแบบใดก็ตามมีบทบาทที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทาง สังคม วัฒนธรรม แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตาร และวิธีการอวตารเช่นพระนารายณ์ที่จะเสด็จลง มาช่วยเหลือมวลมนุษย์เมื่อถึงยุคเข็ญบนโลกมนุษย์ ๓. การอวตารของพระนารายณ์ในปรัชญาฮินดู แสดงให้เห็นวิวัฒนาการที่แบ่งออก ได้เป็น ที่เป็นผู้สร้าง ผู้รักษา และผู้ทำลาย หมายถึง การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด ทำให้ เห็นคุณค่าในฐานะเป้าหมายของชีวิต โดยการทำวิญญาณให้บริสุทธิ์“อาตมัน” หลุดพ้น จากวัฏฏสงสาร “โมกษะ” เข้าถึงดินแดนแห่งพรหมอันสุขสบายชั่วนิรันดร การศึกษาวิจัยเรื่อง“การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดู” พบองค์ความรู้จากการวิจัย ดังนี้ ๑. แนวคิดเรื่องอวตารในปรัชญาฮินดู ปรัชญาฮินดูมีพัฒนาการจากยุคอารยันหรือยุคก่อนพระเวท โดยเริ่มจากแนวคิดที่ให้ ความสำคัญกับการนับถือบรรพบุรุษเท่าๆ กับเทวดาและเชื่อว่าธรรมชาติเหล่านี้มีวิญญาณอัน ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์เดชสิงอยู่ ธรรมชาติเหล่านี้จะคอยบันดาลให้เกิดภัยพิบัติ หรือ ภัยธรรมชาติต่าง ๆ เช่น พายุ นํ้าท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด และไฟไหม้เป็นต้น ต่อมาในยุคพระเวท เชื่อว่า พระเป็นเจ้าแต่ละองค์มีความสัมพันธ์กับการกำเนิดจักรวาล โดยเทพเจ้าและมนุษย์ทั้งหลายมี หน้าที่เฉพาะที่จะต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับระเบียบจักรวาลนี้ ซึ่งความสำคัญที่ยิ่งใหญ่มากอยู่ที่ การสาธยายโศลก และผู้กระทำพิธีคือนักบวช การกระทำพิธีที่ถูกต้องจะมีอำนาจลึกลับที่ สามารถบังคับเทพทั้งหลายได้ อำนาจลึกลับที่มีอยู่ในการทำพิธีบูชายัญด้วยการอ้อนวอนเป็น มนต์คาถา เรียกว่า “พรหมัน” (Brahman) พิธีสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือและพิธีกรรมที่มี ต่อเทพทั้งหลายมีความซับซ้อนมากขึ้น มีข้อกำหนดกฎเกณฑ์เพิ่มขึ้นนั้น มีจุดมุ่งหมาย คือ การ ทำให้เทพเกิดความพอพระทัยด้วยการสวดมนต์สรรเสริญ อำนาจของพระองค์และการประกอบ พิธีกรรมต่าง ๆ ทำให้ต้องอาศัยพราหมณ์ หรือนักบวช ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้ ความสามารถใน
๓๐๘ การทำกิจของเทพให้สำเร็จได้ พราหมณ์มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการกระทำกิจบูชาและมีชื่อ เฉพาะต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นตามหน้าที่ที่ทำสำเร็จ ซึ่งมีทั้งบทสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าและบทสวดทาง ศาสนา ข้อบัญญัติว่าด้วยพิธีกรรม และกาพย์กลอนเชิงจินตนาการบางโอกาส ในภายหลังมีการ เพิ่มเติมเนื้อหาที่เน้นไปทางเวทมนต์คาถาอาคม ปรัชญา วรรณคดีกวีนิพนธ์ เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็น คัมภีร์ที่ประมวลความรู้ด้านต่าง ๆ ไว้อย่างครบถ้วน เหตุนี้จึงเป็นที่มาหนึ่งของชื่อยุคนี้ว่าเป็น “ยุคแห่งพระเวท” ซึ่งเป็นหลักการดำรงชีวิตที่สำคัญในทัศนะพราหมณ์ฮินดูซึ่งปรากฏอยู่ใน แนวคิดในเรื่องวรรณะสี่ และขั้นตอนของอาศรมสี่หรือขั้นตอนของชีวิตทั้งสี่ และเป้าหมายของ ชีวิต (ปุรุษารถฺ) ปรัชญาฮินดูในยุคสมัยหลังพระเวท มีทัศนะที่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นเทพสูงสุดที่มากด้วย ปัญญา เป็นอมตะ เป็นผู้ควบคุมต้นเหตุต่าง ๆ เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่ปกครองสิ่งทั้งปวง แฝงอยู่ ในพระเวท ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไม่มีขนาด ไม่มีขอบเขต อยู่เหนือมิติทั้งหมดเป็นสิ่งสวยงามสูงสุด เป็นผู้ตำหนิความชั่วร้าย ลงโทษผู้ที่แก้ไขตัวเองไม่ได้ ป้องกันผู้ถูกกดขี่ ทำลายผู้กดขี่ พรหมเป็น ขวัญ เป็นพลัง เป็นความสามารถ พรหมยุคนี้ มีสภาวะเป็นพระผู้สร้างที่แท้จริงเพียงพระองค์ เดียว เป็นนามธรรม ไม่มีรูปและสถิตในทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นแนวคิดที่พัฒนาการมาจากบทสวด ของปุรุษสูกตะในคัมภีร์ฤคเวทและได้สืบทอดต่อยังยุคสมัยอุปนิษัท ส่วนสมัยมหากาพย์และ ปุราณะ เป็นสมัยที่พวกพราหมณ์ได้รวมคัมภีร์ต่าง ๆ ของตนและย่อให้สั้นเพื่อให้จดจำง่ายขึ้น มี วรรณคดีที่สำคัญและยิ่งใหญ่เกิดขึ้น คือ รามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ทำให้บทบาทของพระวิษณุ ซึ่งได้อวตารลงมาเป็นพระรามตามท้องเรื่องเด่นชัด มีความสำคัญเหนือพรหม ซึ่งอยู่ในรูปของ “พรหมัน” หรือ “ปรมาตมัน” ที่เป็นลักษณะของจิต เป็นนามธรรม เริ่มไม่มีความชัดเจน เป็น เพียงอรูปพรหมที่ปรากฏอยู่ทุกหนแห่งตามแต่จะจินตนาการ เป็นเหตุให้พรหมถูกเบียดบังและ แย่งความสำคัญไป กระทั่งแทบจะไม่ปรากฏชื่อพรหมในช่วงปลายของประวัติศาสตร์ศาสนา พราหมณ์ฮินดู รวมถึงช่วงเวลาที่ศาสนาพราหมณ์ฮินดูได้เผยแพร่สู่ประเทศแถบอุษาคเนย์ พระเจ้าทรงศักดานุภาพที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจทุกอย่าง หรือมีอำนาจสูงสุด พระเจ้าทรง เป็นสัพพัญญูหมายถึงพระเจ้าเป็นผู้มีความรู้ไม่จำกัด ไม่มีขอบเขตจำกัด ทรงความรู้ทุกอย่าง พระเจ้าทรงมีความดีสูงสุด หรือมีความเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่ เป็นผู้มีคุณความดีในหลักศีลธรรม ที่สูงสุด เป็นผู้สร้างผู้ดูแลจักรวาล และต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ ประกอบด้วย ๑) พระเจ้าเป็น สิ่งที่ไม่จำกัด เป็นสิ่งนิรันดรและเป็นสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวเอง ๒) พระเจ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีเงื่อนไข และเป็น
๓๐๙ สิ่งสัมบูรณ์๓) พระเจ้าเป็นผู้สร้างหรือเป็นปฐมเหตุของโลก และเป็นเหตุผลที่สิ้นสุดของโลกพระ เจ้าเป็นผู้สร้างหรือเป็นปฐมเหตุของโลกพระเจ้าเป็นวิญญาณสัมบูรณ์ ๔) เป็นผู้นำทางวิญญาณ และจุดหมายปลายทางของมนุษย์๕ พระเจ้าเป็นผู้ควบคุมจริยธรรม และ ๖) เป็นที่มาของอุดม คตินั่นคือ พระเจ้าเป็นที่มาของความจริง ความดี ความงาม และความบริสุทธิ์ กล่าวคือ ๑) ความ จริง เป็นอุดมคติของตรรกวิทยา ๒) ความดีเป็นอุดมคติของจริยศาสตร์๓) ความงาม เป็นอุดมคติ ของสุนทรียศาสตร์๔) ความบริสุทธิ์เป็นอุดมคติของศาสนามีความชอบธรรมสูงสุด อำนวยความ ยุติธรรมให้แก่มนุษย์ แนวคิด “อวตาร” มีพัฒนาการแต่ละยุคในศาสนาฮินดูตั้งแต่สมัยดั้งเดิมจนเข้าสู่ ปรัชญาฮินดูตำนานของเทพเจ้าแต่ละองค์มักมีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอำนาจอิทธิฤทธิ์ที่เทพเจ้า แต่ละองค์ล้วนมีซึ่งสิ่งนี้เป็นไปตามความเชื่อของมนุษย์นั่นเอง เมื่อกล่าวถึงคำ ว่า “อวตาร” เป็นความเชื่อหนึ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับตำนานเทพเจ้าอันแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เทพเจ้ามีเหนือกว่า มนุษย์ธรรมดาที่จะทำได้ด้วยเหตุนี้ตำนานต่าง ๆ เกี่ยวกับการอวตารจึงมักปรากฏอยู่ใน วรรณกรรมต่าง ๆ ของอินเดีย สำหรับชาวฮินดูแล้วถือว่าการอวตารเกิดขึ้นกับเทพเจ้าหลาย ๆ องค์ที่พวกเขาให้การเคารพนับถือ ตราบเท่าที่ทุกคนยังมีความเชื่อว่าเทพเจ้าที่ตนนับถือนั้น จะ ลงมาช่วยให้ตนผ่านพ้นทุกข์ทั้งหลายได้ดังนั้น ทัศนะ “อวตาร” (Avatāra) แนวคิดหลักอยู่ที่เชื่อ ว่าเทพเจ้าสามารถอวตารลงมาช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากความทุกข์เข็ญได้ความเชื่อ ดังกล่าวนี้ทำให้ศาสนาฮินดูแบ่งเป็นนิกายต่าง ๆ อีกมากมาย ในสมัยเดียวกันนี้ยังมีแนวคิดสำคัญ เกิดขึ้นอีก ๖ ทัศนะ เป็นแนวคิดที่ก่อกำเนิดความลึกซึ้งทางความคิดที่เรียกว่าแนวคิดทางปรัชญา อินเดียขึ้นมา ได้แก่ นยายะ, ไวเศษิกะ, สางขยะ,โยคะ, ปูรวมางสา และ อุตรมิมางสา นอกจากนั้นยุคสมัยนี้ยังเกิดวรรณคดีทางศาสนาที่มีผลต่อชาวฮินดูให้ประพฤติตาม อย่างมานว ศาสตร์หรือที่รู้จักในนาม มนูศาสตร์, รายมายณะ, มหาภารตะ, ภควัทคีตา และปุราณะ เป็นต้น ๒. แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตาร การอวตารของพระนารายณ์ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุดเกี่ยวข้องกับสรรพสิ่งด้วย รูปแบบ ฐานะและวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แนวคิดเรื่องการอวตารของพระองค์ยังสื่อ ความหมายโดยนัยให้เห็นขั้นตอนกระบวนการของธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิตของ ทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นหากกล่าวว่าความเชื่อเรื่องอวตารของพระนารายณ์หรือพระวิษณุเป็นความ เชื่อเกี่ยวกับทางศาสนาเพียงประการเดียวเห็นจะเป็นการด่วนตัดสินเกินไป อย่างน้อยแนวความ
๓๑๐ เชื่อนี้ทำให้เราได้เห็นถึงความเชื่อที่นำไปสู่ความคิดเห็นทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้ ส่วนหนึ่งด้วย ลักษณะการอวตารของพระนารายณ์นั้นส่วนมากแล้วจะปรากฏอยู่ใน ๓ อิริยาบถ หลัก คือ ประทับยืน, ประทับนั่ง และประทับนอน แต่ในอิริยาบถหลักก็มีอิริยาบถย่อยอยู่ด้วย กล่าวคือ เมื่อปรากฏลักษณะว่าพระองค์ประทับยืนอยู่ ก็อาจจะประทับยืนอยู่ในแบบโยคะ, แบบ โภคะ, แบบวีระ และแบบอาภิจาริกะ เมื่อปรากฏลักษณะว่าพระองค์ประทับนั่งอยู่ ก็อาจประทับ นั่งในแบบโยคะ, แบบโภคะ, แบบวีระ และแบบอาภิจาริกะ ในกรณีเดียวกันเมื่อปรากฏว่า พระองค์ประทับนอนอยู่ก็อาจประทับนอนในแบบโยคะ, แบบโภคะ, แบบวีระ และแบบอาภิจาริ กะ นั่นเอง ซึ่งสาเหตุที่มีอิริยาบถย่อยเกิดขึ้นมาตามความเชื่อในแต่ละคนของผู้เคารพบูชา เห็นได้ ว่าลักษณะความปรารถนาของผู้เคารพบูชาเป็นแบบใดก็จะเคารพลักษณะของพระนารายณ์ใน ลักษณะนั้นเหล่านักบวชก็จะบูชาในรูปแบบของโยคะ ผู้ที่ยังต้องการความสุขทางโลกอยู่อย่างเช่น ปุถุชนธรรมดาทั่วไปก็จะบูชาในรูปแบบของโภคะ, ผู้ที่อยู่ในฐานะผู้นำทางด้านต่าง ๆ ที่ต้องการมี อำนาจก็จะบูชาพระองค์ในแบบของวีระ และสุดท้ายผู้ที่ต้องการปราบปรามศัตรูก็จะบูชาพระองค์ ในรูปแบบของอาภิจาริกะ เป็นต้น นอกจากนี้มีการอธิบายเพิ่มว่ายังมีการจัดลำดับความสำคัญแต่ ละแบบออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่ ๑) อุตตมะ (Uttama) อยู่ในระดับสูง ถือว่ามีบริวารเต็มครบ ตามคัมภีร์๒) มัธยม (Madhyma) อยู่ในระดับกลาง ถือว่าหากมีบริวารน้อยลงมาจากระดับสูง ๓) อธม (Adhama) อยู่ในระดับต่ำสุด ถือว่ามีบริวารน้อยที่สุด การจัดระดับดังกล่าวนี้เป็นการจัดตามจำนวนเหล่าบริวารประกอบว่ามีมากน้อย เพียงใดนั่นเอง ทุกลักษณะการอวตารของพระนารายณ์ล้วนแล้วมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ทั้งหมด ความเชื่อเรื่องนารายณ์อวตารมีการแตกแขนงไปในส่วนต่าง ๆ ออกไปอีก แต่ถึงแม้จะมี การแตกแขนงออกไปก็ย่อมมีสิ่งหนึ่งที่มีร่วมคือ เค้าโครงเรื่องแสดงให้เห็นถึงการสรรเสริญพระ นารายณ์ให้เป็นที่นับถืออย่างสูงสุดในฐานะเทพองค์หนึ่ง จึงพรรณนาและแสดงอภินิหารของพระ นารายณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้เห็นอำนาจความยิ่งใหญ่ของพระองค์ตั้งแต่ความเชื่อ เรื่องเทพเจ้าในยุคต่าง ๆ มาจนถึงช่วงยุคที่เป็นศาสนาฮินดูตลอดจนถึงความหมายการอวตาร ประวัติความเป็นมาการอวตารของเทพเจ้าและมาถึงการอวตารของพระนารายณ์แนวคิด ทั้งหมดล้วนมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน การอวตารของพระนารายณ์ถือเป็นที่รู้จักทั้ง ในประเทศอินเดียและของคนทั่วโลกมากที่สุด จากความเชื่อในเรื่องตรีมูรติของชาวฮินดูที่เชื่อว่า
๓๑๑ พระพรหมเป็นผู้สร้างโลกและจักรวาล และโลกที่สร้างนั้นมีภาวะแห่งการเปลี่ยนแปลงมีการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หรือเรียกตามความเชื่อในศาสนาว่าโลกพินาศไปเรียกว่า “กัลป์” และ เมื่อโลกเข้าสู่กลียุค ก่อให้เกิดแนวคิดเรื่องของ “นารายณ์สิบปาง” ไม่ว่าความเชื่อเรื่องการแบ่ง ภาคการอวตารของพระนารายณ์บ้างก็ว่ามีสิบปางบ้าง มียี่สิบสองปางบ้าง ยี่สิบสี่ปางบ้าง หรือก็ ว่ามีมากจนเหลือคณา การจะนำมากล่าวไว้โดยทั้งหมดคงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากยิ่งนักคงนับได้แต่ ที่นิยมว่ามีสิบปางนั้น เพราะถือว่านับเอาแต่เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดมาไว้ซึ่งส่วนมากนับตาม แนวคิดในปรัชญาฮินดูดังที่กล่าวไว้ข้างต้นโดยครบถ้วน การแบ่งประเภทของการอวตารของพระนารายณ์อย่างสิ้นเชิง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ ทำให้เห็นว่ามนุษย์ในยุคสมัยนี้แบ่งพระนารายณ์ออกไปตามสภาพที่เห็น เป็นจินตภาพที่ถือว่ามี ค่ามากต่อแนวคิดการอวตารของพระองค์ในยุคหลัง เพราะเมื่อพิจารณาดูแล้วย่อมเห็นว่าช่วง ระยะเวลาดังกล่าวนี้มีความสอดคล้องซึ่งกันและกันอยู่ ทั้งนี้จุดมุ่งหมายหลังของการแบ่งประเภท การอวตารของพระนารายณ์นี้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าเมื่อธรรมเพิ่มขึ้นจนทำให้โลกตกอยู่ใน อันตราย เทพเจ้าสูงสุด คือ พระนารายณ์หรือพระวิษณุจะลงมาจากสวรรค์ไวกูณฐ์มายังโลกเพื่อ นำธรรมกลับมา และเพื่อคุ้มครองผู้ทำความดีทำลายผู้ทำความชั่ว ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะและประเภทการอวตารของพระนารายณ์ทั้ง ๑๐ ปาง นั้นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่ใช่แค่เพียงทางด้านศาสนาอย่างเดียวแต่รวมไปถึงการศึกษา ทางด้านวิทยาศาสตร์ในเรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์อีกรูปแบบหนึ่ง เพราะเห็นได้จากแนวคิด อวตารมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยจากรูปแบบหนึ่งสู่อีกรูปแบบหนึ่ง ในทางศาสนาก็ แสดงให้เห็นถึงความเมตตาของเทพเจ้าที่ได้รับขนานพระนามว่าเป็นสิ่งธรรมชาติแท้จริงสูงสุด (Supernatural) แสดงให้เห็นถึงว่าพระองค์ยังคงมองเห็นเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นอยู่ ในรูปร่างลักษณะแบบใดก็ตาม ตลอดจนถึงแนวคิดเรื่องความเชื่อมโยงของยุคทั้ง ๔ กับการ อวตารของพระนารายณ์ที่เกิดขึ้น สันนิษฐานในตอนแรกว่าเป็นเพราะต้องการ ส อ น ใ ห้ มนุษย์รู้จักกับความรู้ที่มีอยู่ในพระเวท แต่ต่อมาการที่พระนารายณ์มีบทบาทสำคัญเพิ่มขึ้นมา จากการที่ทรงเป็นเทพเจ้าเก่าแก่มาตั้งแต่ยุคสมัยดั้งเดิม ซึ่งเป็นไปตามแนวคิดของผู้นำทาง ศาสนาอย่างนักบวชพยายามทำให้พระองค์มีบทบาทมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ผ่านทางแนวคิดการ อวตารแต่อย่างไรก็ตามมีข้อสันนิษฐาน ๒ ประการ ที่เป็นปัจจัยเกี่ยวเนื่องระหว่างความเชื่อกับ หลักแห่งธรรมชาติในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่ว เพราะมนุษย์ที่เกิดมาทุกคนย่อมมีกรรมในชาติที่
๓๑๒ แล้ว ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้ได้รับโทษ หรือรางวัล และเป็นสิ่งที่กำหนดชะตาชีวิต ถ้าทำดีอาจได้เป็น นักบุญหรือเทพเจ้า แต่ถ้าในทางตรงกันข้ามถ้าทำชั่ว ก็จะกลายเป็นอสูร และในโลกนี้มีทั้งความดี และความชั่ว ถ้าปิศาจมีอำนาจเหนือเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ มนุษย์ก็จะต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมาน เมื่อนั้นจึงมีแนวคิดเรื่องการจุติลงโลกมนุษย์ของเทพเจ้าเพื่อทำหน้าที่รักษากฎแห่ง ธรรมชาติให้เป็นไป พร้อมทั้งคอยช่วยเหลือเหล่ามวลมนุษย์ตามแนวคิดดังกล่าวข้างต้นเป็นการ แสดงให้เห็นถึงแนวคิดของศาสนาฮินดูเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ายุคนี้แตกต่างไปจากแนวคิดเดิม โดย เน้นไปในเชิงปรัชญาและหลักธรรมมากกว่าสมัยก่อน ดังนั้นเรื่องราวเกี่ยวกับเทพเจ้ารวมถึง ประวัติของพระนารายณ์ก็มักจะมีความสอดคล้องกับแนวคิดในสมัยนี้แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แนวคิดต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเทพเจ้าได้ถูกเล่าขานผ่านประวัติที่แสดงออกถึงอำนาจอันน่าอัศจรรย์ ในรูปแบบต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ตามคัมภีร์หรือตำราอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาแนวคิดทาง ปรัชญาของศาสนานั้น ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างขึ้นของเหล่าผู้ที่เคารพบูชาในเทพเจ้าแต่ละ องค์ที่ตนนับถือ การพัฒนาแนวคิดให้เอื้ออำนวยต่อการส่งเสริมเทพเจ้าของตนให้เป็นอยู่อย่าง ยิ่งใหญ่เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นมาหลายยุคหลายสมัย นักปราชญ์ในสมัยฮินดูได้ให้ข้ออุปมาถึง รากฐานทางความคิดในการศึกษาเรื่องต่าง ๆ ในช่วงยุคปรัชญาฮินดูถึงแม้จะมีความแตกต่าง และความขัดแย้งในตัวเองเกิดขึ้นอยู่ตลอดกับการกล่าวถึงประวัติของพระนารายณ์รวมถึง แนวคิดเรื่องการอวตารของพระองค์แต่ประการหนึ่งที่ได้รับคือ ทุก ๆ ประวัติความเป็นมาและ ความเชื่อเกี่ยวกับพระองค์ย่อมได้รับการปรับปรุงให้ถูกต้องกับความต้องการและเหมาะสมอัน ประกอบไปด้วยหลักธรรมที่ต้องการจะสั่งสอนให้มนุษย์รับเอาแต่ตัวอย่างที่ดีไปให้ได้สมบูรณ์ ที่สุด กอปรกับนำมาใช้ได้กับการดำรงชีวิตจริงในทุก ๆ ด้าน จุดมุ่งหมายแนวคิดการอวตารของพระนารายณ์เป็นการกระตุ้นให้ผู้ที่นับถือพระองค์ หรือแม้แต่ผู้ที่นับถือเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ก็ดีได้รู้สึกมีพลังในการบำเพ็ญตนเองเพื่อที่จะเข้าไปถึงคำ สอนในศาสนาได้อย่างแท้จริงเป็นคำสอนที่อยู่นอกเหนือจากการนับถือเพียงเทวรูปของเทพเจ้า แต่เป็นหลักธรรมทางศาสนามากกว่า นอกจากเหตุปัจจัยดังกล่าวที่ได้จากแนวคิดการอวตารของ พระนารายณ์ในเรื่องของระดับการอวตารที่มุ่งสอนให้เห็นถึงวิธีการไปสู่อวตารในรูปแบบที่เป็น วิธีการที่เทพจะอวตารลงมาตามพันธกิจที่ได้รับมอบหมายหรือได้รับการร้องขอ ๓. วิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดู
๓๑๓ แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตาร เป็นแนวคิดที่สำคัญในปรัชญาฮินดูซึ่งแนวคิดเกี่ยวกับ เรื่องนี้ต่อเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพและศรัทธาเป็นที่รู้จักมากที่สุดกล่าวคือ พระนารายณ์ที่เป็น ความเชื่อในศาสนาฮินดูโดยเชื่อว่าสามารถอวตารลงมาช่วยเหลือเหล่าสรรพสัตว์ให้พ้นจากความ ทุกข์ทั้งนี้ความเชื่อดังกล่าวมีบทบาทที่สอดคล้องกับการดำรงชีวิตไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทาง สังคม วัฒนธรรม จากการศึกษาพบว่า ๑) มัสยวตาร อยู่ในตำแหน่งพระผู้เป็นเจ้า ผู้ถนอมโลกองค์ หนึ่งแห่งพระเป็นเจ้า ตำนานน้ำท่วมโลกครั้งใหญ่ ที่ทำให้เกิดโดยพระเจ้าทรงศักดานุภาพที่ ยิ่งใหญ่ (Omnipotence) หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้มีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มีอำนาจทุกอย่าง ๒) กูรมาวตาร แสดงให้เห็นถึงพระนารายณ์พระนารายณ์ได้รักษาระเบียบของจักรวาลโดยให้ฝ่าย เทพได้รับความดีฝ่ายอสูรได้รับความชั่ว ตัวเอกในการกวนเกษียรสมุทรเป็นทั้งทวยเทพและเหล่า อสูร แนวคิดของฮินดูเห็นว่า เทพเป็นฝ่ายธรรมะอสูรเป็นฝ่ายอธรรม เป็นมารร้ายที่สู้รบ ลักษณะ นิสัยแบบเทพหรือแบบอสูรมักถูกนำมาเปรียบเทียบกับลักษณะแบบสองขั้วความดีกับความชั่ว กุศลกับอกุศลของคน สิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นในโลกนี้มีอยู่สองจำพวกโดยแท้หนึ่งคือเทวะ อีกหนึ่ง คืออสูร.อันประกอบด้วยความเป็นอสูรนั้นหารู้ในการประพฤติอันสมควรหรือการสละซึ่งการ ประพฤติใด ๆ ไม่อีกทั้งมิอาจพบซึ่งความบริสุทธิ์หรืออาการอันเป็นกุศล หรือสัตย์จากชนเหล่านี้ ได้๓) วราหาวตาร ทรงสร้างโลกใหม่ขึ้นมาจากห้วงน้ำ นำขึ้นมาไว้เบื้องบนตลอดจนยังนำพระ เวทกลับมาคืนและกู้แผ่นดินให้ขึ้นมาอยู่เหนือน้ำอีกครั้งหนึ่ง ๔) นรสิงหาวตา เป็นสิ่งที่มีรูปร่าง เค้าโครงคล้าย ๆ มนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ซึ่งเมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบกับการแบ่งประเภทอวตาร ของพระนารายณ์ที่อวตารในปางที่ ๔ ที่ลงมาเป็นนรสิงหาวตาร ซึ่งเปรียบได้กับอมนุษย์ดังนั้นการ อวตารในที่นี้จึงไม่ได้มีความหมายของอมนุษย์ในด้านลบแต่เป็นการตีความทางการศึกษาที่อธิบาย ถึงประเภทการอวตารลงมาในร่างที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และสัตว์ในส่วนของมนุษย์นั้นก็ยังสามารถแยก ย่อยลงไปได้อีก กล่าวคือ มนุษย์ในยุคดั้งเดิมที่พัฒนาการทางความคิดและการดำรงชีวิตที่ สลับซับซ้อนมีลักษณะที่กลมกลืนกับความเป็นไปตามธรรมชาติ๕) วามนาวตาร แสดงให้เห็นถึง อำนาจของพระเจ้าที่แม้แต่วรรณะกษัตริย์หรือผู้ปกครองที่เป็นใหญ่ ยังต้องยอมรับเอาพระเจ้า หรือนักบวชอยู่เหนือตนในฐานะตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นผู้สร้างและรักษาโลก ๖) ปรศุ รามาวตาร เป็นอวตารพิเศษกว่าอวตารอื่น ๆของพระวิษณุ เพราะเชื่อกันว่า ปรศุรามา ยังคงมี ชีวิตอยู่และอาศัยอยู่ในโลกใบนี้เพื่อรอทำภารกิจบางอย่าง ดังนั้นปรศุรามา จึงยังไม่ได้รับการ บูชาแบบเทวะซึ่งไม่เหมือนกับอวตารที่เป็นพระรามหรือพระกฤษณะ หรืออวตารองค์อื่น ๆของ
๓๑๔ พระวิษณุ ๗) รามาวตาร มีแนวคิดที่นำเสนออุดมคติที่เชื่อว่าจักรพรรดิแห่งสากลจักรวาลจะ ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อพิชิตและปกครองแผ่นดินให้เกิดความมั่งคั่งและเที่ยงธรรม ๘) กฤษณาว ตารเป็นการเสนอแนวคิดในการปฏิบัติตามหลักแห่งชีวิตเพื่อ หลุดพ้นจากความทรมานและความ ทุกข์ยากในชีวิต ๙) พุทธาวตาร เป็นปางอื่นแต่การเปลี่ยนมาเป็นพระพุทธเจ้า เป็นเพราะเรื่อง การเมืองแก่งแย่งความเคารพนับถือในอินเดียมากกว่าเรื่องอื่นโดยการเขียนตำนานเทพเพื่อ สนับสนุนเรื่องนี้เช่นเดียวกับญี่ปุ่นที่เขียนตำนานเทพสนับสนุนฐานะของสมเด็จพระจักรพรรดิ โดย ในสมัยพุทธกาลมีชาวอินเดียหันมานับถือพระพุทธศาสนามากจนศาสนาฮินดูดูลดลำดับ ความสำคัญบางพื้นที่ก็ถูกทอดทิ้งเลยที่เดียว ๑๐) กัลกิยาวตาร การอวตารลักษณะนี้ของพระ นารายณ์ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นเมื่อเข้าสู่ยุคที่มนุษย์มีจิตใจเสื่อมทราม กระทำแต่ความชั่ว สิ่ง ที่ดีงามถูกทำลายหายไปจากโลก โลกเต็มไปด้วยความมืดมิด เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่ นับถือพระเวท ท้ายที่สุดอารยธรรมต่าง ๆ จะสูญสิ้นไป แนวคิดการอวตารของพระนารายณ์ในปรัชญาฮินดูได้รับการตีความ หรือศึกษาใน ส่วนของความเกี่ยวข้องกับวิวัฒนาการความเป็นมนุษย์ที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปในรูปแบบใด ซึ่งส่วนนี้ มีความสอดคล้องกับลักษณะการอวตารของพระนารายณ์ซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้๑) สัตว์ในที่นี้หมายความรวมถึงสิ่งที่มีชีวิตทุกประเภททั้งที่อาศัยอยู่ในน้ำ, อาศัยอยู่บนบก และ สัตว์ที่อาศัยอยู่ทั้งบนบกและในน้ำ ๒) อมนุษย์ในที่นี้จึงไม่ได้มีความหมายของอมนุษย์ใน ด้านลบแต่เป็นการอธิบายถึงประเภทการอวตารลงมาในร่างที่ไม่ใช่ทั้งมนุษย์และสัตว์ ๓) มนุษย์ ในที่นี้หมายถึงผู้ที่สามารถฝึกและพัฒนาตนให้มีความเจริญทางด้านอารยธรรมและคุณธรรมได้ อย่างเป็นลำดับขั้นตอน การอวตารของพระนารายณ์เป็นวิวัฒนาการทั้งนี้การอวตารของพระนารายณ์เป็นไป อย่างคล้ายคลึงกับหลักทฤษฎีดังกล่าว โดยประเภทการอวตารของพระนารายณ์ยังมีชื่อเรียกที่ จำกัดเฉพาะสำหรับพระองค์อีกดังนี้๑) อังศาวตาร (Amsavatara) เป็นการส่งพลังด้วยอำนาจ ด้วยอิทธิฤทธิ์บางส่วน รวมไปถึงศาตราวุธต่าง ๆ ลงมาแปลงร่าง ๒) อาเวศ (Avesa) เป็นการลง มาแบบเฉพาะกิจ อธิบายได้ว่า เป็นการกลายร่างแปลงกายเพียงชั่วระยะเวลาเมื่อบรรลุ จุดประสงค์หรือเสร็จภารกิจก็กลับคืนสู่ร่างเดิม ๓) อวตาร (Avatara) เป็นการลงมาของพระ นารายณ์มาหมดทั้งองค์หรือ อธิบายให้เข้าใจได้ว่า เป็นการกลายร่าง จากเดิมมาเป็นร่างใหม่ และอยู่ในร่างใหม่จนสิ้นอายุขัย โดยมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องในเชิงที่ว่าต้องมีตัวแปรสำคัญใน
๓๑๕ เรื่องของยุคของจักรวาลตามความเชื่อในศาสนาฮินดูที่กล่าวอธิบายไว้ว่ามีทั้งหมด ๔ ยุคด้วยกัน ได้แก่ ยุคที่ ๑ กฤตยุค, ยุคที่ ๒ ไตรดายุค, ยุคที่ ๓ ทวาปรยุค และ ยุคที่ ๔ กลียุค ประกอบ ควบคู่กันไปด้วย เป็นการแบ่งหมวดหมู่ตามลำดับวิวัฒนาการของมนุษย์ในทางสังคมวิทยา ที่ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงในฐานะมนุษย์ การอวตารของพระนารายณ์ให้ความสำคัญในเรื่องจิตนิยม เชื่อว่าจิต เท่านั้นเป็นสิ่ง ที่มีอยู่จริงเนื่องมาจากมีความเชื่อว่า มีพรหมมันหรืออาตมันเป็นสิ่งที่คงอยู่นิรันดรอยู่ในร่าง มนุษย์เมื่อร่างกายเน่าเปื่อยสลายจะยังคงอยู่โดยเปลี่ยนจากร่างเดิมไปหาร่างใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ เปรียบเสมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าเก่าไปสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ ส่วนการตายเป็นเรื่องของสสารหรือร่างกาย มนุษย์เท่านั้น พรหมมันเป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างก็คือ “พร หมัน” กล่าวคือพรหมัน เป็นสิ่งที่แท้จริงเพียงสิ่งเดียว นอกจากพรหมันแล้วไม่มีอะไรอีกที่เป็น จริง หรือมีอยู่จริง มันเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ปราศจากคุณสมบัติทุกอย่าง พรหมัน เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ตัวของพรหมันเองไม่ได้เป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะเพราะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกาลเวลา เป็นเบื้องต้น และที่สุดของสรรพสิ่ง แต่ตัวของพรหมันเองไม่มีเบื้องต้น และไม่มีที่สุด แต่มีการดำรงอยู่อย่างไม่ มีที่สิ้นสุด ทรรศนะเรื่องการอวตารของพระนารายณ์นี้ เห็นว่ากรรมหรือการกระทำเป็น สิ่งจำเป็น กรรมได้รับแรงบันดาลหรืออำนาจจากพระเจ้า ทุกคนจะต้องมีการกระทำ แต่ในการ กระทำนั้นจะต้องสละผลของการกระทำจึงจะเป็นทางที่ถูกต้อง กรรมนั้นโดยปกติมีผลต่อ ผู้กระทำด้วย ดังนั้น การอวตารของพระนารายณ์จึงเป็นต้นแบบสอนให้กระทำที่ดี ตราบใดที่ยัง ไม่บรรลุถึงเป้าหมายคือโมกษะ บุคคลผู้ทำกรรมจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตราบนั้น ลักษณะ การเกิดการตายท่านเปรียบได้กับการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เก่าแล้วไปสวมเสื้อผ้าใหม่ของบุคคล นั่นคือ ชีวาตมันจะละทิ้งร่างเก่าไปสู่ร่างใหม่นั่นเอง ซึ่งเป็นกระบวนการตายแล้วเกิดใหม่ ส่วนสถานะที่ ไปเกิดล้วนขึ้นอยู่กับการกระทำของผู้นั้นว่าดีหรือชั่วอย่างไร ถ้าทำดีก็ไปเกิดในที่ดี ถ้าทำชั่วก็ไป เกิดในที่ชั่ว และถ้ารู้แจ้งในพรหมันก็จะไม่กลับมาเกิดอีก การอวตารของพระนารายณ์ เป็นการ เข้าสู่โมกษะด้วยการที่มีจิตมุ่งมั่นต่อพระเจ้า ด้วยวิธีการโยคะทั้ง ๓ ประการ จะทำให้พระเจ้า ทรงมีความเมตตาทำให้เข้าสู่โมกษะ ส่วนในเรื่องพระเจ้า ถือว่าพระองค์เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ที่
๓๑๖ สูงสุด มีอำนาจในการดลบันดาลสรรพสิ่งในโลกนี้ รวมทั้งการกระทำก็เกิดจากแรงธรรมชาติหรือ จากอำนาจของพระเจ้า๒๐ ๙.๔ สรุปท้ายบท งานวิจัยทางพระพุทธศาสนาเป็นการค้นหาองค์ความรู้โดยการใช้กระบวนการวิจัย อย่างเป็นระบบในกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัยได้ศึกษาองค์ความรู้เหล่านั้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบุคคลดำเนินการภายใต้ ความรับผิดชอบของสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์อย่างเป็นระบบตั้งปี พ.ศ.๒๕๔๒ มีโครงการวิจัยใน ประเด็นทางพระพุทธศาสนาอย่างหลากหลาย ดังตัวอย่างที่นำมาศึกษาถึงงานวิจัยทาง พระพุทธศาสนาในบทนี้ ๒๐ นิติกร วิชุมา, “การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดู”, หน้า ๑๖๐.
๓๑๗ คำถามท้ายบท ๑. ให้ผู้เรียนสำรวจงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ที่เกี่ยวข้องกับทางพระพุทธศาสนาจาก แหล่งต่างๆ เช่นห้องสมุด อินเตอร์เน็ต พร้อมทั้งศึกษารายละเอียดของงานวิจัยหรือวิทยานิพนธ์ อย่างน้อย ๓ เรื่อง ในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ ๑.๑ ชื่องานวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ๑.๒. ชื่อผู้วิจัย หรือชื่อผู้ทำวิทยานิพนธ์ ๑.๓. ปีที่ทำวิจัย หรือปีที่ทำวิทยานิพนธ์ ๑.๔. ภูมิหลัง ความเป็นมาของการทำวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ๑.๕ วัตถุประสงค์การทำวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ๑.๖ วิธีดำเนินการวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ๑.๗ ผลการวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ๑.๘ ผลที่ได้รับจากการวิจัย หรือวิทยานิพนธ์ ๒. นำรายละเอียดจากข้อที่ ๑ มาอภิปรายในชั้นเรียน
๓๑๘ เอกสารอ้างอิงประจำบท โกนิฏฐ์ศรีทอง, “การบูรณาการภูมิปัญญาพระพุทธศาสนากับการสร้างความสมดุลในระบบ นิเวศวิทยาชุมชน”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘ จักรพรรณ วงศ์พรพวัณ, , “ปรัชญา ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของอาณาจักรล้าน ช้าง”, รายงานการวิจัย, (สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๖๒ ทวีศักดิ์ทองทิพย์, “ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม : ประวัติศาสตร์ เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และหลักพุทธธรรมในประเทศไทย”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙ นิติกร วิชุมา, “การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดู”, ดุษฎีนิพนธ์ ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ เบญจมาศ สุวรรณวงศ์, “การพัฒนาระบบนิเวศเชิงพุทธสาหรับผู้ประกอบการใหม่ Startup ใน จังหวัดนครราชสีมา”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ พระครูปลัดพีระพันธ์ ธมฺมวุฑฺโฒ (ตรีศรี), “การศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมาหินกับ วิถีชีวิตชุมชนชาวพุทธ ในจังหวัดชัยภูมิ”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ พระมหากฤษฎา กิตฺติโสภโณ (แซ่หลี), ผศ.ดร., “รูปแบบการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม สำหรับวัยรุ่นไทยยุคใหม่ตามหลักพุทธธรรม ผ่านกลไกการขับเคลื่อนโครงการ คลินิกคุณธรรม ของพระธรรมวิทยากร”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๑
๓๑๙ พระมหาธนกร กตปุญฺโญ (ดรกมลกานต์), “พุทธวิธีในการดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของ สถานพักฟื้นวัดถ้ำกระบอก”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), “รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธสำหรับผู้สูงอายุ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ พิริยา พิทยาวัฒนชัย, “วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถาน ของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๒
๓๒๐ บรรณานุกรม ภาษาไทย : กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖ , เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พระประวัติและพระนิพนธ์บทร้อยกรอง,ธนบุรี: โรงพิมพ์รุ่ง วัฒนา, ๒๕๑๓ , กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์, วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์เล่ม ๑ กรุงเทพมหานคร: กรมศิลปากร, ๒๕๓๔ กุหลาบ มัลลิกะมาส, วรรณกรรมไทย, กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๑๙. , ความรู้ทั่วไปทางวรรณคดีไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๙, กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๕ กระแสร์มาลยาภรณ์, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๓๐. กวีแสงมณี, “อรุณวดีสูตร: การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ๒๕๒๓ เกษม ขนาบแก้ว, หลักธรรมในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในวรรณกรรมหนังตะลุง, ภาควิชา ภาษาไทย คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์: วิทยาลัยครูสงขลา, ๒๕๓๖ โกนิฏฐ์ศรีทอง, “การบูรณาการภูมิปัญญาพระพุทธศาสนากับการสร้างความสมดุลในระบบ นิเวศวิทยาชุมชน”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๘ คูณ โทขันธ์, พุทธศาสนากับสังคมและวัฒนธรรมไทย, กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕ คณะกรรมการว่าด้วยวัฒนธรรมและสารสนเทศ, ไตรภูมิกถา ฉบับถอดความ, กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๘ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรณคดีบาลีกรุงเทพมหานคร:
๓๒๑ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ, พระมาลัยคำหลวง, นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๐ เจตนา นาควัชระ, วรรณคดีวิจารณ์และวรรณคดีศึกษา, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๔๕ จักรพรรณ วงศ์พรพวัณ, , “ปรัชญา ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีและวิถีชีวิตของอาณาจักรล้าน ช้าง”, รายงานการวิจัย, (สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๖๒ ชัยอนันต์สมุทวนิช, ความคิดทางการเมืองการปกครองไทยโบราณ, กรุงเทพมหานคร : จุฬา ลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙ ชลธี ยังตรง. “ความคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ”. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๓ ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ตะเลงพ่าย ศรีมหากาพย์, กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก : คณะสงฆ์วัด พระเชตุพน, ๒๕๔๑ ทวี วรคุณ, หลวงพ่อทองวัดโบสถ์, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊ค, ๒๕๔๑ ทวีศรีแก้ว, “คติในการครองเรือนจากวรรณกรรมอีสาน”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต , บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๓๖. ทวีศักดิ์ทองทิพย์, “ภูมิศาสตร์วัฒนธรรม : ประวัติศาสตร์ เส้นทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และหลักพุทธธรรมในประเทศไทย”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๙ นิติกร วิชุมา, “การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเรื่องนารายณ์อวตารในปรัชญาฮินดู”, ดุษฎีนิพนธ์ ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แม่คำฝาง, ๒๕๓๘ นิตยา กาญจนะวรรณ, วรรณกรรมอยุธยา. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคำแหง. ๒๕๓๙ นพพร เคล้าดี, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๖ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”,
๓๒๒ วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษร ศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓. นิพนธ์สุขสวัสดิ์, วรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา, พิษณุโลก : โครงการตำรา มศว., ๒๕๒๕ นิพัทธ์ แย้มเดช, โคลงนิราศหริภุญชัย: ความสัมพันธ์ทางวรรณศิลป์ระหว่างโคลงนิราศ ล้านนาและภาคกลาง, คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๒ ณรงค์เส็งประชา, วิถีไทย, กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๔ ดนัย ไชยโยธา, ประวัติศาสตร์ไทยยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสิ้นอาณาจักรสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๐ เดชาดิศร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. โคลงโลกนิติ. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๗. บุญหนา สอนใจ, “สังขยาปกาสกปกรณ์และฎีกา : การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ อักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓ บาลีพุทธรักษา, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๕ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ อักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๓. บุญมีแท่นแก้ว, พุทธปรัชญาเถรวาท, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๔๕ เบญจมาศ พลอินทร์, วรรณคดีและวรรณกรรมไทย, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอเดียนส โตร์, ๒๕๒๖. , วรรณคดีขนบประเพณีและศาสนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ภาพพิมพ์, ๒๕๒๔ เบญจมาศ สุวรรณวงศ์, “การพัฒนาระบบนิเวศเชิงพุทธสาหรับผู้ประกอบการใหม่ Startup ใน จังหวัดนครราชสีมา”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ ปุ้ย แสงฉาย, ผู้แปล, มิลินทปัญหา, ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถาฎีกา, กรุงเทพมหานคร : ส. ธรรม ภักดี, ๒๕๒๘
๓๒๓ ปัญญา บริสุทธิ์, วิเคราะห์วรรณคดีไทย โดยประเภท, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : บ. เท็กซ์แอนด์เจอร์รินัล พับลิเคชน์, จำกัด, ๒๕๔๒. เปลื้อง ณ นคร, ประวัติวรรณคดี, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๔๕ เปลื้อง ณ นคร, หนังสือเรียนภาษาไทย รายวิชา ท ๐๓๑ ประวัติวรรณคดี๑, กรุงเทพมหา นคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๓๓ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโสก, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน, ๒๕๓๐ พระพุทธญาณเจ้า และ พระพุทธพุกาม, ตำนานมูลศาสนา, แปลโดย นายสุด ศรีสมวงศ์และ นายพรหม ขมาลา (เปรียญ) พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพมหานคร : คณะพระสังฆาธิการ เขตยานนาวา จัดพิมพ์เป็นธรรมทานงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมราชานุวัตร , โรงพิมพ์มิตรสยาม), ๒๕๓๐. พระรัตนปัญญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์. แปลโดย ร.ต.ท.แสง มนวิทูร. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐. พระปัญญาสามีเถระ. ศาสนวงศ์. แปลและเรียบเรียง โดย กรมศิลปากร, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐. พระโพธิรังสี. จามเทวีวงศ์. แปลโดย ร.ต.ท.แสง มนวิทูร, พระนคร : กรมศิลปากรจัดพิมพ์, บรรณกิจเทรดดิ้ง, ๒๕๑๖. พระโพธิรังสี.นิทานพุทธสิหิงค์. แปลโดย แสง มนวิทูร, พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๐๖. พระมหาสุทิตย์อาภากโร (อบอุ่น), “การศึกษาองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏใน วรรณกรรมพระพุทธศาสนาเรื่องอานิสงส์และคัมภีร์ที่ใช้เทศน์ในเทศกาลต่างๆ ของ ล้านนา”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘, พระมหาสมชาตินนฺทธมฺมิโก (บุษนารีย์), “ศึกษาคุณค่าการเทศน์มหาชาติในล้านนา”, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖. พระมหานาค วัดท่าทราย. บุณโณวาทคำฉันท์. พระนคร: กรมศิลปากร. ๒๕๐๓ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพรนราธิปประพันธ์พงศ์, ะ. โคลงลิลิตดั้นตำนานพระพุทธบาท.
๓๒๔ ม.ป.ท, ๒๔๕๖ พระยาธรรมปรีชา (แก้ว), ไตรภูมิโลกวินิจฉัย, จำลองจากฉบับหลวง, (กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ร.ศ. ๑๓๑ พ.ศ. ๒๔๕๖ , ไตรภูมิโลกยวินิจฉยกถา ฉบับที่ ๒ เล่ม ๑ – ๓, พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) เรียบเรียงขึ้นเมื่อ จ.ศ. ๑๑๖๔ (พ.ศ. ๒๓๔๕), กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐ พระครูปลัดพีระพันธ์ ธมฺมวุฑฺโฒ (ตรีศรี), “การศึกษาวัฒนธรรมสัมพันธ์ระหว่างใบเสมาหินกับ วิถีชีวิตชุมชนชาวพุทธ ในจังหวัดชัยภูมิ”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ พระมหากฤษฎา กิตฺติโสภโณ (แซ่หลี), ผศ.ดร., “รูปแบบการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม สำหรับวัยรุ่นไทยยุคใหม่ตามหลักพุทธธรรม ผ่านกลไกการขับเคลื่อนโครงการ คลินิกคุณธรรม ของพระธรรมวิทยากร”, รายงานการวิจัย, สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๑ พระมหาธนกร กตปุญฺโญ (ดรกมลกานต์), “พุทธวิธีในการดำเนินการบำบัดผู้เสพยาเสพติดของ สถานพักฟื้นวัดถ้ำกระบอก”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิต วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ (เพ็งแจ่ม), “รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธสำหรับผู้สูงอายุ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๓ พิริยา พิทยาวัฒนชัย, “วิเคราะห์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยการใช้พุทธศิลป์และภูมิทัศนสถาน ของวัดเจติยภูมิ อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตร ดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๒ พิสิทธิ์ กอบบุญ. “ปจุฉา – วิสัชนา: กลวิธีวรรณศิลป์ในวรรณคดีไทยพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาภาษาไทย, บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๘ พัฒน์เพ็งผลา, ประวัติวรรณคดีบาลี, กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาภาษาไทยและภาษา ตะวันออกคณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๕
๓๒๕ พระมหาสมบูรณ์วุฑฺฒิกโร, วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในสังคมยุคใหม่', [ออนไลน์] : แหล่งที่มา http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article , (๓ เมษายน ๒๕๖๖) พุทธทัตตเถระ, อ้างใน มหานามาทิ, มหาวํโส ปฐโม ภาโค, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ วิญญาณ, ๒๕๔๐ พระมหานามเถระ, คัมภีร์มหาวงศ์ภาค ๑, แปลโดย สุเทพ พรมเลิศ พระนครศรีอยุธยา : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓ พระคันธสารภิวงศ์, วุตฺโตทยมัญชรี, นครปฐม : วิทยาเขตบาลีศึกษาพุทธโฆส, ๒๕๔๕ พร รัตนสุวรรณ, นรก-สวรรค์ภาคนรก, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๔๒ พุทธทาสภิกขุ, อัตตชีวประวัติของท่านพุทธทาสภิกขุ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา ๓ ชีวิตแห่ง การศึกษา, กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๒๙. พระมหาประพันธ์สุวรรณมณี, “ศึกษาวิเคราะห์หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏใน วรรณกรรมหนังตะลุงในจังหวัดนครศรีธรรมราช”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหา บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓ พระมหาสยาม ราชวัตร, “การศึกษาเปรียบเทียบไตรสิกขาคัมภีร์วิสุทธิมรรคกับคัมภีร์วิมุตติ ม รรค”,วิ ท ย านิ พ น ธ์ อั ก ษ รศ าส ต รม ห าบั ณ ฑิ ต , บั ณ ฑิ ต วิท ย าลั ย : มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๔๓ พรรณทิพย์ศิริวรรณบุศย์, มนุษยสัมพันธ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔ , กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หน้า ๘๕. พลายน้อย, ประวัคิศาสตร์ไทย, กรุงเทพมหานคร : รวมสาส์น, ๒๕๓๒ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖ พระคันธสาราภิวงศ์, ผู้แปล, อภิธัมมาวตาร กรุงเทพมหานคร : หจก. ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙ พญาลิไท, ไตรภูมิพระร่วง, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖ มหาเถรสมาคม, มิลินทปัญหา, พิมพ์ครั้งที่ ๘, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๓๖
๓๒๖ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙. มหามกุฏราชวิทยาลัย, วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๑ ตอน ๑, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕ มหานามาทิ, มหาวํโส ปฐโม ภาโค, กรุงเทพมหาคร: วิญญาณ, ๒๕๔๐ มณีพยอมยงค์. ประวัติวรรณคดีลานนาไทย. เชียงใหม่ : บริษัทคนเมืองการพิมพ์, ๒๕๑๓. มณีพยอมยงค์. ล้านนาไทยคดี. เชียงใหม่ : บริษัทคนเมืองการพิมพ์, ๒๕๑๕. . คติสอนใจชาวล้านนา. กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๒๑. . วัฒนธรรมล้านนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๙. . ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย. เชียงใหม่ : โครงการศูนย์ส่งเสริม ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๒๙. มณีพยอมยงค์. เครื่องสักการะในล้านนาไทย. เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๘. ยุรฉัตร บุญสนิท, วรรณวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔, สงขลา : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ๒๕๓๘. ยอร์ช เซเดส์ชำระและ แปล, ศิลาจารึกทวารวดีศรีวิชัย ละโว้, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒ พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๔๐๔ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒, กรุงเทพมหานคร: นาน มีบุ๊คพับลิเคชั่นส์จำกัด, ๒๕๔๖ ลมูล จันทร์หอม, วรรณกรรมท้องถิ่นล้านนา, กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์, ๒๕๓๘ , “โคลงนิราศหริภุญชัย : การวินิจฉัยต้นฉบับ”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๒ วิมล จิโรจพันธุ์และคณะ, วิถีไทย, กรุงเทพมหานคร : แสงดาว, ๒๕๔๘ วัชรีรมยะนันทน์, “ความสัมพันธ์ในครอบครัวและความสัมพันธ์ฉันครูและศิษย์ในวรรณคดี ไทย”, ภาษาและวรรณคดีไทย, ปีที่ ๗ ฉบับที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๓๓ วิทย์ศิวะศริยานนท์, วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๖, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๑๙
๓๒๗ วรศักดิ์ศรีบุญ , “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๔ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ อักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓. วิภา คงคะนัน, วรรณคดีศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช จำกัด , ๒๕๓๓ วิทย์ศิวะศริยานนท์, วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์, พิมพ์ครั้งที่ ๔, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แพร่พิทยา, ๒๕๑๘. วงเดือน สุขบาง. การศึกษาพระปฐมสมโพธิกถาในแนวสุนทรียะ. ปริญญานิพนธ์การศึกษมหา บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร., ๒๕๒๔ ศรีศักร วัลลิโภดม, ล้านนาประเทศ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ศิลปวัฒนธรรมฉบับ พิเศษ , ๒๕๔๕ ศรีแนวณรงค์, “ศึกษาวิเคราะห์จามเทวีวงศ์ฉบับจังหวัดแพร่”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหา บัณฑิต, คณะอักษรศาสตร์สาขาวิชาจารึกภาษาไทย, มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๓. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ประยุทธ์ ปยุตฺโต), พุทธธรรม ุ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖. ., พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. พระปฐมสมโพธิกถา.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์กรมศาสนา. ๒๕๒๘ สมหมาย เปรมจิตต์และคณะ, ตำนานสิบห้าราชวงศ์ฉบับสอบชำระ, เชียงใหม่ : สถาบันวิจัย สังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๐ . “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่”, ใน โครงการปริวรรตพระคัมภีร์ล้านนา : ปริวรรต และแปลพร้อมกับความนำ, มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา, ๒๕๔๖ สุเทพ พรมเลิศ, “การศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์มหาวงศ์”, ดุษฎีนิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎี บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๓
๓๒๘ สุรพล ดำริห์กุล, แผ่นดินล้านนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๔๕ สรัสวดีอ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา, เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๒๙ สมทรง กฤตมโนรถ, นิราศลพบุรี, (กรุงเทพมหานคร : สำนักศิลปวัฒนธรรมสถาบันราชภัฏเทพ สตรี, ๒๕๔๔ สุจิตต์วงศ์เทศ บรรณาธิการ, “พระพุทธสิหิงค์จริงทุกองค์ไม่มีปลอม แต่ไม่ได้มาจากลังกา”, ใน ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๖. สุภัทรดิศ ดิศกุล, ศิลปะในประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ, ๒๕๓๔ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “พุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต , คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘ ., วิวัฒนาการงานเขียนที่เป็นภาษาบาลีในประเทศไทย: ประเภทวิเคราะห์ธรรมใน พระสุตตันตปิฎก, กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๑ สดุภณ จังกาจิตต์, “จามเทวีวงศ์: วรรณกรรมที่ถูกลืม”, ใน วรรณกรรมพุทธศาสนาในล้านนา, พรรณเพ็ญ เครือไทย บรรณาธิการ, เชียงใหม่ : สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, สถาบันวิจัย สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๐ ., “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๑-๓ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ อักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๐. สิทธา พินิจภูวดล, วรรณกรรมสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๕ เสถียรโกเศศ, เล่าเรื่องในไตรภูมิ, กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา, ๒๕๑๑ สุจิตรา อ่อนค้อม,พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย, กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก,๒๕๔๓ สมพร มันตะสูตร, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๕ สมชัย ศรีนอก, สารนิพนธ์พุทธศาสตร์บัณฑิต รุ่นที่ ๔๗, กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ๒๕๔๓. สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเบื้องต้น, กรุงเทพมหานคร:โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘ ., วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา, กรุงเทพมหานคร : DS. Printing House Co., Ltd., ๒๕๒๗ ., วรรณคดีและวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์โอ
๓๒๙ เดียนสโตร์, ๒๕๒๗. สายทิพย์นุกูลกิจ, วรรณกรรมไทยปัจจุบัน, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท เอส. อาร์. พริ้นติ้ง แมนโปรดักส์จำกัด, ๒๕๔๓), หน้า ๑๙๐. สุพรรณ อรพินท์. วรรณกรรมเจ้าพระยาพระคลัง (หน). กรุงเทพมหานคร :ภาควิชาภาษาไทย และภาษาอังกฤษ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ๒๕๔๐ เสรี พงษ์พิศ, ธรรมะกับการเมือง ท่านพุทธทาสกับสังคมไทย, วารสารธรรมศาสตร์ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๕ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมทางศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๗ หัจญีประยูร วทานยกุล, ห้าสิบปี สวนโมกข์ ภาค ๑เมื่อเขาพูดถึงเรา, กรุงเทพมหานคร : การ พิมพ์พระนคร, ๒๕๒๕ หทัยวรรณ ไชยะกุล, วรรณกรรมศึกษา, เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๔๙ อัญญดา แก้วกองกูล, “การศึกษาเปรียบเทียบ : การประยุกต์ใช้หลักธรรมทางศาสนาในทาง การเมืองของพุทธทาสภิกขุ และมหาตมะ คานธี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตร มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗ อุทัย ชัยยานนท์. วรรณกรรมสมัยกรุงธนบุรี. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์น้ำฝน. ๒๕๔๕ เอกรัตน์ อุดมพร, วรรณคดีสมัยอยุธยา, กรุงเทพมหานคร :พัฒนาศึกษา. ๒๕๔๖ อุดม รุ่งเรืองศรี, วรรณกรรมล้านนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๖ อุษณีย์ธงไชย, “ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยาและล้านนา พ.ศ. ๑๘๓๙–๒๓๑๐”, วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘ ภาษาอังกฤษ : Bapat, P.V., Vimuttimagga and Visuddhimagg : A Comparative Study, Poona : The Calcutta Oriental Press, 1937 Bapat, P.V., Vimuttimagga and Visuddhimagg : A Comparative Study, Poona : The Calcutta Oriental Press, 1937), p. liv-lvii. F.L. Woodward, Book of the Gradual Sayings Vol. I, London, Pali Text Society,
๓๓๐ 1989. G.P. Malalasekera, Dictionary of Pali Proper Names, London : Pali Taxt Society, 1974 Gilbert Highet, People Place and Books, New York: Oxford University Press, 1953. H.S. Quaritch Wales, “Archaeological Researches on Ancient Indian Coloization’, in Journal of the Malayan Researches Branch of the Royal Asiatic Society. Singapore : Printers Limited, 1940 Maurice Winternitz, History of Indian Literature, Vol. II, Trans. S. Ketkar and H. Khon. 3rd ed. Delhi: Munhiram Manoharlal, 1991 Nagai, M., “The Vimuttimagga : the Way to Deliverance”, The Joumal of the PaliText Society, 1919 NyanaMoli Bhikkhu, “The Path of Purification”, Shambala, Vol.1, 1976 Saksri Yamadda, The Mangalatthadipani , Chapter 1-2, Ph.D. thesis, University of Pennsylvania, Philadelphia, 1970.
๓๓๑ ประวัติผู้เขียน ชื่อ-นามสกุล : พระมหาวีระชาติ ธีรสิทฺโธ,(เพ็งแจ่ม), ดร. Phramaha weerachat Dhirasiddho (Pengjam),PHD. ที่อยู่ปัจจุบัน : เลขที่ ๓๓๓ หมู่ที่ ๕ ตำบลคำขวาง อำเภอวารินชำราบ จังหวัด อุบลราชธานี ๓๔๑๙๑ โทร.๐๘๑-๗๐๖๐๓๖๓, Email:[email protected] ประวัติการศึกษา: นักธรรม : นักธรรมเอก (แม่กองธรรมสนามหลวง) เปรียญธรรม : ป.ธ.๔ (ธรรม ๔ ประโยค),แม่กองบาลีสนามหลวง ประกาศนียบัตร : ป.วน.(วิปัสสนาภาวนา),มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรวิทยาลัย ปริญญาตรี : ค.อ.บ. (วิศวกรรมอุตสาหการ),มหาวิทยาลัยราชมงคล พระนครเหนือ ปริญญาโท : พธ.ม. (พระพุทธศาสนา),มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรรราชวิทยาลัย ปริญญาเอก : พธ.ด. (พระพุทธศาสนา),มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรรราชวิทยาลัย สถานที่ทำงาน มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรรราชวิทยาลัย วิทยาเขตอุบลราชธานี ตำบกระโสบ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ๓๔๐๐๐ โทรศัพท์ ๐๘๐-๗๒๔๗๖๕๘ ๑.หนังสือ/ตำรา/เอกสารการสอน จำนวน 2 เล่ม ๑.๑ นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก ๑.๒ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา ๒.งานวิจัย ๕ เรื่อง ๒.๑.การพัฒนาเครือข่ายการจัดการกลุ่มงานหัตถกรรมหล่อทองเหลืองบ้าน ปะอาว ตำบลปะอาว อำเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานี ๒.๒.การพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความมั่นคงของชุมชนตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา
๓๓๒ ๒.๓.วิเคราะห์หลักไตรศาสตร์เพื่อเสนอแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหา พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของวัยรุ่นในอำเภอเมือง จังหวัด อุบลราชธานี ๒.๔.ศึกษาภาวะผู้นำของเจ้าอาวาสที่มีต่อประชาชนในตำบลโพธิ์ศรี อำเภอ พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ๒.๕ รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธสำหรับผู้สูงอายุ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองเก่า จังหวัดขอนแกน ๓.บทความในวารสารต่างๆ จำนวน ๑๐ เรื่อง ๓.๑.ปริญญาบัตรกับการศึกษาของบัณฑิต ๓.๒.การพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อความมั่นคงของชุมชนตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา ๓.๓.ศึกษาภาวะผู้นำของเจ้าอาวาสที่มีต่อประชาชนในตำบลโพธิ์ศรี อำเภอ พิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี ๓.๔.ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในปุณโณวาทสูตร ๓.๕.แนวทางในการเจริญวิปัสสนาภาวนาในสัมมาทิฏฐิสูตร ๓.๖.จริยธรรมทางธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจบริการอู่ซ่อมรถยนต์ ๓.๗.การดำเนินชีวิตของพระสงฆ์ไทยในสังคมปัจจุบัน ๓.๘. วิจารณ์หนังสือ : Book Review 45 พรรษาของพระพุทธเจ้า ๓.๙.ศึกษาการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาในอากังเขยยสูตร ๓.๑๐.รูปแบบการเสริมสร้างสุขภาวะเชิงพุทธสำหรับผู้สูงอายุ ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองเก่า จังหวัดขอนแกน *******************************