๑๔๐ บทที่ ๕ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญในสมัยธนบุรี วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยธนบุรีได้ ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยธนบุรีได้ ๓. บอกความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยธนบุรีได้ ๔. อธิบายถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยธนบุรีที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยธนบุรี ๒. วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยธนบุรีที่สำคัญ ๓. คุณค่าของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยธนบุรี ๔. การวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยธนบุรี
๑๔๑ ๕.๑ ความนำ เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชจากพม่าได้แล้ว ภายในเวลา ประมาณ ๗ เดือน พระองค์ทรงฟื้นฟูประเทศตามรอยกรุงศรีอยุธยา ทั้งในด้านภูมิฐานบ้านเมือง การเมืองการปกครอง และศิลปวัฒนธรรม ทั้งนี้เพราะกรุงศรีอยุธยานั้นเจริญรุ่งเรืองในทุก ๆ ด้าน แต่เนื่องจากในสมัยของพระองค์จะต้องทำสงครามปราบปรามก๊กต่าง ๆ ที่ตั้งตนเป็นใหญ่ให้ราบ คาบ รวมทั้งพม่า เขมร และศัตรูด้านอื่น ๆ ตลอดรัชสมัย ประกอบกับขณะนั้นเศรษฐกิจของ ประเทศตกต่ำเป็นอย่างมาก ประชาชนอดอยาก มีการปล้นฆ่ากันเป็นประจำ ทำให้พระองค์ต้อง แก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชนก่อน จึงไม่มีเวลาในการพัฒนาทางด้านศิลปวัฒนธรรม ทำ ให้ยุคนี้มีวรรณคดีเกิดขึ้นน้อยเมื่อพูดถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยธนบุรีคนส่วนใหญ่ มักจะนึกถึงบทพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีลิลิตเพชรมงกุฎ อิเหนาคำฉันท์ของหลวงสรวิชิต (เจ้าพระยาพระคลัง (หน) โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุง ธนบุรีของนายสวน (มหาดเล็ก) นิราศพระยามหานุภาพหรืออีกชื่อหนึ่งว่านิราศกวางตุ้งของ พระยามหานุภาพ วรรณกรรมที่กล่าวถึงข้างต้นเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่ผู้อ่าน แต่ยังมี วรรณกรรมในสมัยธนบุรีบางเรื่องที่บางคนอาจไม่รู้จัก หรือรู้จักเฉพาะกลุ่มเท่านั้น เช่นลิลิตเพชร มงกุฏ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี และกฤษณาสอนน้องคำฉันท์เป็นต้น ๕.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญในสมัยธนบุรี วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจในสมัยสมัยธนบุรีประกอบไปด้วย ลิลิต เพชรมงกุฏ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี และกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ มีรายละเอียด ดังต่อไปนี้ ๕.๒.๑ ลิลิตเพชรมงกุฎ ลิลิตเพชรมงกุฎเป็นนิทานประเภทประเทืองปัญญา แสดงแก่นเรื่องหรือแนวคิด สำคัญเกี่ยวกับพลังของปัญญาว่าสามารถแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ผู้อ่านจะรู้สึกสนุกสนานกับเนื้อ เรื่องและปริศนาที่ชวนให้ขบคิดซึ่งปรากฏอยู่ในตอนสำคัญๆ ของเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะ ปัญหาท้ายเรื่อง คำเฉลยที่ได้จะทำให้ผู้อ่านประทับใจในนิทานเรื่องนี้เป็นพิเศษ
๑๔๒ ผู้แต่ง เจ้าพระยาพระคลัง (หน) ประวัติการแต่ง ลิลิตเพชรมงกุฎเป็นวรรณคดีเรื่องแรกที่มีต้นเค้าแตกต่างไปจากวรรณคดีอื่นๆ ที่ ได้รับอิทธิพลจากอินเดียโบราณ วรรณคดีไทยส่วนมากได้เค้าโครงเรื่องมาจากชาดกทางพุทธ ศาสนา มหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ ส่วนลิลิตเพชรมงกุฎได้เค้าเรื่องมาจากเวตาล ปัญจวีสติ ลิลิตเพชรมงกุฎถึงแม้จะไม่เป็นที่นิยมแพร่หลายเช่นลิลิตพระลอ ลิลิตยวนพ่ายและ ลิลิตตะเลงพ่ายก็จริง แต่เป็นกวีนิพนธ์ที่มีความดีเด่นไม่น้อย ใช้ถ้อยคำสำนวนนิ่มนวล เรียบง่าย เลียนท่วงทำนองลิลิตพระลอได้อย่างใกล้เคียง แต่บางแห่งมีลักษณะพิเศษของตนเอง ประการ สำคัญที่สุดก็คือ เป็นวรรณคดีเรื่องแรกที่มีเนื้อความและคติของเรื่องผิดแผกไปจากวรรณคดี ส่วนมากที่ได้อิทธิพลจากอินเดีย ลิลิตเพชรมงกุฎสันนิษฐานว่าน่าจะแต่งระหว่าง พ.ศ.๒๓๑๐- ๒๓๒๒ พิมพ์ครั้งแรกในงานพระราชทานเพลิงศพพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้านภางค์นิพัทธ พงษ์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๙๖๕ ลักษณะการแต่ง ลิลิตเพชรมงกุฎเป็นผลงานชิ้นเอกของเจ้าพระยาพระคลัง(หน) เนื้อเรื่องเริ่มด้วยการ นมัสการนอบน้อมต่อพระอิศวร และไหว้พระมหากษัตริย์แล้วบอกว่าเรื่องนี้นำมาจากนิทาน เวตาล ลักษณะคำประพันธ์ พบว่า วรรณคดีเรื่อลิลิตเพชรมงกุฎใช้คำประพันธ์ร้อยกรองประเภท ลิลิตสุภาพประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพและร่ายสุภาพเพื่อเล่านิทานเรื่อง เพชรมงกุฎ ซึ่งเป็น ปริศนาธรรมเรื่องหนึ่งจาก นิทานเวตาล เป็นวรรณคดีที่ใช้ถ้อยคำสำนวนนิ่มนวล เรียบง่าย และ เป็นวรรณคดีเรื่องแรกที่มีเนื้อความและคติของเรื่องผิดแผกไปจากวรรณคดีส่วนมากที่ได้อิทธิพล จากอินเดีย๖๖ ๖๕ อุทัย ชัยยานนท์. วรรณกรรมสมัยกรุงธนบุรี. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์น้ำฝน. ๒๕๔๕) หน้า ๕๖ ๖๖ สุพรรณ อรพินท์. วรรณกรรมเจ้าพระยาพระคลัง (หน). (กรุงเทพมหานคร :ภาควิชา ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ๒๕๔๐). หน้า ๑๓
๑๔๓ จุดมุ่งหมายของการแต่ง จุดมุ่งหมายของการแต่งลิลิตเพชรมงกุฎ เพื่อวิถีชีวิตของพลเรือน มีการสอนเรื่อง คุณธรรมจริยธรรมแทรกอยู่ สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมยุคนั้น ที่ทุกคนอาศัยอยู่ ครอบครัวเป็นครอบครัวขยายรวมกันเป็นชุมชน วรรณกรรมสมัยกรุงธนบุรีที่ปรากฏมาจนทุก วันนี้หลายเรื่องเป็นการเริ่มต้น ส่งอิทธิพลให้เกิดวรรณคดีที่เป็นอมตะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ นับเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมและภูมิปัญญาต่อเนื่องมาอย่างไม่ขาดสายเรื่องย่อ เริ่มต้นนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดำเนินเรื่องตาม นิทานเวตาล ว่า วิกรมาทิตย์ เสด็จ ประพาสป่า จับได้ตัวเวตาลมาเป็นพาหนะ เวตาลทูลขอเล่านิทานถวาย ถ้าทรงตอบปัญหาได้ ยอมเป็นข้าตลอดชีวิต ถ้าทรงตอบไม่ได้จะขอพระเศียรเวตาลเริ่มนำนิทานเรื่อง เพชรมงกุฎ มา เล่าว่า ครั้งหนึ่งท้าวรัตนนฤเบศร แห่งเมืองศรีบุรี มเหสีทรงพระนามว่า ประภาพักตร์มีพระโอรส ทรงพระนามว่า เพชรมงกุฎ ซึ่งมีพระสิริรูปงดงามมาก เมื่อชนมายุ ๑๖ พรรษา เสด็จประพาสป่า ทรงติดตามกวางเผือกไปกับ พุฒศรี พระพี่เลี้ยง พวกรี้พลตามเสด็จไม่ทัน พระเพชรมงกุฎและ พุฒศรีหลงทางอยู่กลางป่า พระเพชรมงกุฎ ทอดพระเนตรภรรยาของชายผู้หนึ่งก็พอพระทัยตรัส ขอร้องพุฒศรีออกอุบายล่อหญิงนั้นมาหาโดยมิได้ฟังคำคัดค้านของพุฒศรีเมื่อได้ร่วมประเวณีกับ หญิงนั้นแล้วเดินทางต่อไปจนถึงเมืองกรรณบุรีได้ทอดพระเนตรนางประทุมดี พระราชธิดา พระ เจ้ากรุงกรรณ เจ้าหญิงทรงทำปริศนาเป็นนัยให้ทราบว่าพระนางเป็นใครและแสดงความพอ พระทัยพระเพชรมงกุฎด้วย คุณค่าของวรรณกรรม วรรณคดีเรื่องลิลิตเพชรมงกุฎเป็นวรรณคดีประเภทลิลิตที่มีความงดงาม สำนวน โวหารราบเรียบ ได้แสดงเนื้อหาสาระที่เป็นคติธรรมให้รู้จักระงับดับกิเลสตัณหา บางตอนผู้อ่าน จะต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านจึงจะเข้าใจเนื้อหาสาระอย่างถี่ถ้วน นอกจากนี้คุณค่าของ วรรณคดียังคงมีอิทธิพลและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในปัจจุบันได้ เช่น แง่คิดเกี่ยวกับความ อดทนมุ่งมั่น แง่คิดเกี่ยวกับการใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหา แง่คิดเกี่ยวกับการพูดโดยไม่ไตร่ตรอง เป็นต้น จากข้อคิด วรรณคดีเรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกเป็นความรักที่ เหนือกว่าสิ่งอื่นใดในสากลโลกทั้งสิ้น เพราะลูกเป็นแก้วตาดวงใจของพ่อแม่ ข้อคิดเกี่ยวกับความ เชื่อในกฎแห่งกรรมตามหลักพุทธศาสนา การทำบาปจะทำให้ชีวิตตกทุกข์ได้ยาก จึงทำให้คน
๑๔๔ สมัยนั้นหวั่นกลัวไม่กล้าทำความชั่ว และความเชื่อความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันแสดงออกถึง ค่านิยมความเชื่อของคนสมัยนั้น จากอิทธิพล เป็นที่ทราบกันว่าในสมัยธนบุรีบ้านเมืองยังไม่ค่อย สงบ เนื่องจากได้รับผลจากการเสียกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในสมัยธนบุรีเกิดการเปลี่ยนแปลง หลายอย่าง วรรณคดีเรื่องลิลิตเพชรมงกุฎก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะได้ แทรกแง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการเมืองการปกครอง วัฒนธรรม พระพุทธศาสนา อีก ทั้งรูปแบบในการแต่งยังได้กลายมาเป็นต้นแบบในการแต่งวรรณคดีประเภทลิลิตที่นิยมแต่งใน ปัจจุบันด้วย ๕.๒.๒ โคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี ผู้แต่ง นายสวน ผู้เป็นมหาดเล็กของพระเจ้ากรุงธนบุรี ลักษณะคำประพันธ์ เนื่องจากวรรณคดีสมัยกรุงธนบุรีได้รับอิทธิพลโดยตรงจากวรรณคดีสมัยอยุธยา ตามที่กล่าวมาแล้ว วรรณคดีสมัยกรุงธนบุรีจึงคล้ายคลึงกับวรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลายใน ลักษณะสำคัญต่อไปนี้ ๑. แต่งด้วยร้อยกรองทั้งหมดเช่นเดียวกัน โดยใช้คำประพันธ์ทุกประเภท คือ โคลง ฉันท์กาพย์กลอน และร่าย ๒. มีธรรมเนียมในการแต่งเช่นเดียวกัน เช่น ขึ้นต้นด้วยบทไหว้หรือประณามบท มี การบรรยายและพรรณนาอย่างเข้าแบบทั้งบทชมต่าง ๆ และบทพรรณนาอารมณ์ความรู้สึก มุ่ง ความไพเราะในการประพันธ์มากกว่าเนื้อหาสาระและแนวความคิด ๓. เนื้อเรื่องอยู่ในแวดวงเดียวกันเช่น ศาสนาและคำสอน นิราศและบทสดุดี จุดมุ่งหมายในการแต่ง เพื่อสรรเสริญพระเจ้ากรุงธนบุรี เนื้อเรื่องย่อ กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จกรีธาทัพจากจันทบุรีมาธนบุรี ทรง สถาปนากรุงธนบุรีเป็นเมืองหลวง ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ภายในพระราชฐานมีแต่ความ เกษมสุข ทรงปราบหัวเมืองต่าง ๆ เป็นต้นว่านครราชสีมา นครศรีธรรมราชและสวางคบุรี ทรง
๑๔๕ ปูนบำเหน็จทหาร มีเมืองมาสวามิภักดิ์ถวายดอกไม้เงินทอง ๓ เมืองคือ ไทรบุรี ตานีและศรีสัต นาคนหุต กล่าวถึงการสมโภชพระนคร มีมหรสพฉลอง ผู้แต่งอาราธนาพระรัตนตรัยและอัญเชิญ เทพเจ้าให้คุ้มครองสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ขอพรให้มีพระเกียรติคุณทุกด้าน ตอนท้ายผู้ แต่งกล่าวว่าแต่งเรื่องนี้ถวายด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อให้พระเกียรติยศ ปรากฏไปเบื้องหน้า ตัวอย่างคำประพันธ์ ด้านสังคม บอกให้ทราบว่า สมัยนั้นในพระราชวังมีการแสดงระบำรำฟ้อน การ บรรเลงวงมโหรี มีนรนาริศเรื้อง ระบำขำ วรรูปสุนทรรำ เรื่อยร้อง ชูเฉลิมราชฐานบำ- เรอราช เป็นที่สุขเขษมซร้อง พรั่งพริ้มเพราไสว วรรณคดีเรื่องนี้นายสวน มหาดเล็ก แต่งด้วยความภักดี จึงมุ่งเน้นกล่าวสรรเสริญ มากกว่ามุ่งความไพเราะด้านวรรณศิลป์ แต่ก็มีโคลงที่มีความไพเราะ พระมามอบชีพช้อน ชิพิต อวยโภชนาทานอุทิศ ทั่วได้ อเนกบริจาคนิตย์ สนองศาส นานา ธรณิศหวาดไหวไหว้ เชิดชี้ชมผล ๕.๒.๓ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ผู้แต่ง พระยาราชสุภาวดี และพระภิกษุอินท์ ประวัติการแต่ง สันนิษฐานว่าพระยาราชสุภาวดีและพระภิกษุอินท์แต่งกฤษณาสอนน้องคำฉันท์ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๒–๒๓๑๙ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พระยาราชสุภาวดีอยู่ช่วยราชการที่เมือง นครศรีธรรมราช กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ได้เค้าเรื่องมาจากมหากาพย์มหาภารตะของอินเดีย นางกฤษณาในเรื่องนี้มีชื่ออื่นว่าเทราปทีเป็นธิดาท้าวทรุบทแห่งปัญจาลนคร นางได้เข้าพิธี
๑๔๖ สยุมพร อรชุนซึ่งเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งในปาณฑพทั้ง ๕ ยิงธนูชนะจึงได้นาง เมื่อกษัตริย์ปาณฑพ ทั้ง ๕ ได้แก่ ยุธิษเฐียรภีมเสน อรชุน นกุล สหเทพ พานางไปเฝ้านางกุนตีพระมารดา นางกุนตี เข้าใจว่าโอรสได้ลาภสำคัญมาจึงรับสั่งให้ใช้ร่วมกัน นางกฤษณาจึงได้เป็นชายาแห่งกษัตริย์ทั้ง ๕ โดยผลัดเปลี่ยนไปปรนนิบัติพระสวามีองค์ละ ๒ วันเรื่องนี้กวีสมัยกรุงศรีอยุธยาคงแต่งไว้เป็น ภาษาไทยแล้ว แต่ต้นฉบับชำรุดลบเลือนไปพระยาราชสุภาวดีได้แต่งซ่อมขึ้นใหม่จากของเดิมและ ได้อาราธนาพระภิกษุอินท์ช่วยแต่งต่อจนจบบริบูรณ์ ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุ ชิตชิโนรสทรงนิพนธ์เรื่องกฤษณาสอนน้องเป็นคำฉันท์ขึ้นอีก โดยอาจทรงดัดแปลงแก้ไขจากฉบับ สมัยกรุงธนบุรีเพราะถ้อยคำสำนวนหลายแห่งคล้ายคลึงกันมาก บางแห่งเหมือนกันทั้งวรรค บาง แห่งต่างกันเฉพาะลักษณะคำประพันธ์แต่มีคำและความอย่างเดียวกัน๖๗ ลักษณะการแต่ง แต่งเป็นฉันท์และกาพย์ส่วนใหญ่เป็นกาพย์ฉบังและกาพย์ สุรางคนางค์ จุดมุ่งหมายการแต่ง เพื่อเป็นสุภาษิตเตือนใจเตือนสติ เรื่องย่อ ท้าวพรหมทัตแห่งกรุงพาราณสีมีราชธิดา ๒ พระองค์คือ กฤษณาและ จันทรประภา (จิรประภา) เมื่อพระบิดาจัดให้มีการสยุมพร นางกฤษณาเลือกพระสวามีได้๕ องค์ นางจันทรประภาเลือกได้องค์เดียว นางกฤษณาสามารถปฏิบัติรับใช้พระสวามีได้ดีมีความรักใคร่ ต่อกันมั่นคงส่วนนางจันทรประภาบกพร่องในหน้าที่ของภรรยาจึงไม่มีความสุขกับพระสวามีแต่ นางเข้าใจว่านางกฤษณามีเวทมนตร์ผูกใจชายจึงมาขอเรียนบ้าง นางกฤษณาได้ชี้แจงความจริงว่า การที่พระสวามีจะรักใคร่นั้นอยู่ที่รู้จักหน้าที่ของแม่เรือนและอยู่ในโอวาทของพระสวามีเป็นต้น นางจันทรประภานำคำสอนของนางกฤษณาไปปฏิบัติพระสวามีก็เปลี่ยนมารักใคร่และมี ความสุขเช่นเดียวกับนางกฤษณา ตัวอย่างเนื้อความบางตอน อย่าเอาอย่างหญิงชั่ว อย่าเยี่ยงหญิงชั่ว ไม่รู้คุณผัว ไม่สงวนน้ำใจ ๖๗ เอกรัตน์ อุดมพร, วรรณคดีสมัยอยุธยา, หน้า ๙๙.
๑๔๗ ลิ้นลมคมเหง ล้อเลียนไยไพ ต่อหน้าปราไส ลับหลังนินทา คุณค่าของวรรณคดี กฤษณาสอนน้องคำฉันท์เป็นวรรณกรรมประเภทให้ข้อคิดและคติสอนใจ แสดงให้ เห็นวัฒนธรรมของไทยที่สอนความประพฤตของสตรีและหน้าที่ของภรรยาที่ดี่ ซึ่ง มีอีทธิพลต่อ ความคิดของคนไทย นอกจากนี้ยังมีอิทธิพลต่อวรรณคดีในสมัยต่อ ๆ มาอีกด้วย ๕.๓ สรุปท้ายบท ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงต้องทำสงครามอยู่ บ่อยครั้ง ทำให้วรรณคดีมีไม่มากนัก แต่อย่างไรก็ดีพระองค์ก็ทรงพยายามทะนุบำรุงพระศาสนา และศิลปวัฒนธรรมให้ได้มากที่สุด เช่น วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยธนบุรีเพื่อใช้ใน งานสมโภชต่าง ๆ เพื่อเป็นการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม และบำรุงขวัญของประชนควบคู่กันไปด้วย นอกจากนี้ยังพบว่าวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยกรุงธนบุรีได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีสมัย กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ในลักษณะที่เป็นวรรณคดีที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาและแต่งด้วยบท ร้อยกรองทั้งเรื่อง ส่วนแรกของเรื่องเป็นบทไหว้ จากนั้นจึงเป็นบทพรรณนาที่เน้นความไพเราะ มากกว่าเนื้อหาสาระ คำถามท้ายบท ๑. ลักษณะที่สำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร ๒. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิดและจุดมุ่งหมายของวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนา เป็นอย่างไร ๓. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ กฤษณาสอนน้องคำฉันท์ เป็นอย่างไร
๑๔๘ เอกสารอ้างอิงประจำบท สุพรรณ อรพินท์. วรรณกรรมเจ้าพระยาพระคลัง (หน). กรุงเทพมหานคร :ภาควิชาภาษาไทย และภาษาอังกฤษ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ๒๕๔๐ อุทัย ชัยยานนท์. วรรณกรรมสมัยกรุงธนบุรี. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์น้ำฝน. ๒๕๔๕ เอกรัตน์ อุดมพร, วรรณคดีสมัยอยุธยา, กรุงเทพมหานคร :พัฒนาศึกษา. ๒๕๔๖
๑๔๙ บทที่ ๖ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้ ๒.อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทตอนต้น ได้ ๓. บอกความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้ ๔. อธิบายถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๒. วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นที่สำคัญ ๓. คุณค่าของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๔. การวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๖.๑ ความนำ คำว่า วรรณกรรม มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในพระราชบัญญัติคุ้มครองศิลป์พ.ศ. ๒๔๗๕ คำนี้ใกล้เคียงกับวรรณคดีเพราะแปลมาจากคำ Literature เช่นเดียวกัน แต่คำว่า วรรณกรรมนั้นหมายถึง สิ่งเขียนขึ้นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด หรือเพื่อความมุ่งหมายใดเช่น คำอธิบายวิธีใช้กล้องถ่ายรูป การใช้เตารีดไฟฟ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า เสื้อเชิ้ต รวมทั้งใบปลิว หนังสือพิมพ์นวนิยาย ก็ล้วนแต่เรียกว่า Literature ทั้งสิ้น๑ วรรณกรรมที่แต่งดีได้รับการยกย่องจากคนทั่วไปจึงเรียกว่าวรรณคดีคุณสมบัติที่ทำให้ วรรณกรรม และวรรณคดีต่างกันคือ วรรณศิลป์หรือศิลปะแห่งการเรียบเรียง อนึ่ง ยังมีปัญหาที่ ๑ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเบื้องต้น, (กรุงเทพมหานคร:โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘), หน้า ๓ – ๔
๑๕๐ น่าฉงนของคนรุ่นใหม่อยู่เสมอว่า เหตุใดหนังสือที่แต่งในอดีตเท่านั้นถือว่าเป็นวรรณคดีส่วน หนังสือที่แต่งในปัจจุบันเป็นได้แต่เพียงวรรณกรรม อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นวรรณคดีหรือ วรรณกรรมก็ตามเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาทั้งนั้น เครื่องชี้ความแตกต่างระหว่างวรรณคดีกับ วรรณกรรมมีอยู่ ๒ ประการคือ คุณภาพของหนังสือกับกาลเวลา๒ ศาสนาเป็นแหล่งวัตถุดิบอีกแหล่งหนึ่งของนักเขียน จากแหล่งนี้นักเขียนได้วัตถุดิบ ๓ ประการ คือได้หลักธรรมะ ได้นิทาน และได้ชีวประวัติของพระศาสดา สาวก และผู้ที่เกี่ยวข้อง บางคนด้วย พระไตรปิฎกและคัมภีร์ไบเบิลเป็นตัวอย่างของวรรณคดีได้วัตถุดิบจากศาสนาทั้ง สามประการ กล่าวคือ จากธรรมะ จากนิทาน จากพุทธประวัติและประวัติของพระเยซูคริสต์ใน สมัยต่อจากที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกและคัมภีร์ไบเบิลเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วบทประพันธ์ทั้ง สองก็กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบให้นักเขียนยุคหลังๆ อีกด้วย เช่น พุทธประวัติจากพระโอษฐ์อัน เป็นอัตชีวประวัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพุทธทาสภิกขุได้รวบรวมขึ้น ก็ได้วัตถุดิบมา จากคัมภีร์พระไตรปิฎก หรืองานประพันธ์ของ John Milton ชื่อ Paradise Lost ก็ได้วัตถุดิบ จากคัมภีร์ไบเบิล เป็นต้น บันเทิงคดีไทยหลายเรื่องโดยเฉพาะบันเทิงคดีร้อยกกรองที่เขียนตามขนบธรรมเนียม ดั้งเดิม มักได้วัตถุดิบมาจากชาดกเรื่องต่างๆ ทั้งในนิบาตรชาดก และปัญญาสชาดก เช่น เรื่อง มหาชาติคำหลวง ซึ่งเป็นเรื่องราวในอดีตชาติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธะเจ้าชาติสุดท้ายก่อน ตรัสรู้นั้นได้วัตถุดิบส่วนหนึ่งมาจาก นิบาตชาดกส่วนบันเทิงคดีที่ได้วัตถุดิบมาจาก ปัญญาสชาดก ก็ได้แก่ เสือโคคำฉันท์พระรถเมรีพระสุธน-มโนห์รา สมุทรโฆษคำฉัน และสังข์ทอง เป็นต้น จากตัวอย่างข้างบนนี้จะพบว่า นอกจากวรรณคดีทางพุทธศาสนาซึ่งได้วัตถุดิบจาก พุทธศาสนาอย่างเห็นได้ชัดแล้ว ยังมีวรรณกรรมประเภทอื่นๆ ที่ได้วัตถุดิบจากพุทธศาสนาอีก ด้วยเช่น บันเทิงคดีทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง เมื่อปรากฏในลักษณะของบันเทิงคดีหลักธรรม มักคล้ายความเข้มข้น และมักแทรกตัวอยู่ในองค์ประกอบส่วนต่างๆ ของงานประพันธ์ชิ้นนั้น จน บางทีถ้าไม่ตั้งใจสังเกต ผู้อ่านอาจมองข้ามหรือมองไม่เห็นหลักธรรมเลยก็ได้สิ่งที่มองเห็นง่ายคือ พฤติกรรมต่างๆ ของตัวละคร เช่นเรื่องการผจญภัย และเรื่องของความรักความแค้น ความอิจฉา ๒ กุหลาบ มัลลิกะมาศ, วรรณกรรมไทย, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๑๙), หน้า ๕.
๑๕๑ ริษยา พระราชนิพนธ์บทละครเรื่องสังข์ทอง เป็นตัวอย่างหนึ่งของงานประพันธ์ในลักษณะนี้คือ แม้นำวัตถุดิบมาจากชาดก แต่ความประทับใจของผู้อ่านโดยทั่วไปอยู่ที่พฤติกรรมต่างๆ ของตัว ละครมากกว่าอยู่ที่หลักพุทธธรรม วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือวรรณกรรมในช่วงสมัย รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่ง เกล้าเจ้าอยู่หัว วรรณคดีในสมัยนี้ที่ได้รับอิทธิพลจากวรรณคดีต่างประเทศจำแนกได้เป็น ๔ กลุ่ม คือ วรรณคดีพุทธศาสนา วรรณคดีคำสอนหรือตำรา วรรณคดีนิทาน และวรรณคดีพงศาวดาร ต่างชาติส่วนใหญ่เป็นวรรณคดีที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยา บางส่วนเป็นวรรณคดีที่ได้รับ อิทธิพลเพิ่มขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือวัฒนธรรมจีนและมอญ บทความนี้ยกตัวอย่าง วรรณคดีบางเรื่องที่มีความสำคัญและส่งอิทธิพลต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นสืบทอดสายธารมาจาก สมัยอยุธยา ดังนั้น อิทธิพลวรรณคดีต่างประเทศจึงเข้ามาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว เมื่อเริ่มสมัย ราชวงศ์จักรี มีการฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมที่ถูกทำลาย สูญหาย หรือชำรุดเนื่องจากภาวะสงครามที่ ยาวนานตั้งแต่ปลายกรุงศรีอยุธยาต่อเนื่องมาถึงสมัยกรุงธนบุรีวรรณคดีจำนวนมากถูกรังสรรค์ ขึ้นใหม่จากต้นฉบับของเดิมที่ยังเหลืออยู่ และสร้างสรรค์ใหม่ จากความรู้และความเชี่ยวชาญทาง วรรณศิลป์ของกวีสมัยรัตนโกสินทร์ ๖.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นประกอบไปด้วย พระปฐมโพธิกถา โคลงโลกนิติ และไตรภูมิโลกวินิจฉัย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๖.๒.๑ พระปฐมสมโพธิกถา ผู้แต่ง พระปฐมสมโพธิกถาเป็นบทพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิต ชิโนรส เป็นหนึ่งผลงานนิพนธ์ชิ้นสำคัญของวรรณคดีไทยในยุคสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และยัง เป็นพระนิพนธ์ที่ได้รับการยกย่องทั่วไปว่าเป็น “เพชรน้ำเอก” ของวงการนักประพันธ์แห่งประเทศ ไทย ประวัติการแต่ง
๑๕๒ พระปฐมสมโพธิกถาในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสนี้ทรงรจนา ถวายฉลองพระราชศรัทธาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้ทรงอาราธนาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ ฉบับที่ทรงรจนานี้ทรงชำระปฐมสมโพธิกถาฉบับของเก่า ทรงตัดและเติม ขยายความสำคัญ บางตอน เนื้อหามีคติทั้งทางมหายานและเถรวาทปนกันมาแต่เดิม และทรงจัดเป็นบทตอนเพิ่มขึ้น รวมมี๒๙ ปริจเฉท มีทั้งฉบับภาษาบาลีและฉบับแปลเป็นภาษาไทย ส่วนพระปฐมสมโพธิกถาที่ปรากฏในหอสมุดแห่งชาติเป็นภาษาบาลีนี้มีอยู่ ๒ สำนวน ด้วยกัน โดยสำนวนที่ ๑ มี๒๒ ปริจเฉท ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง และเวลาที่แต่ง ดังนั้น จึงเข้าใจว่าปฐม สมโพธิกถาสำนวนนี้เป็นของเก่า สำนวนที่ ๒ มี๒๙ ปริจเฉท แต่ผู้แต่งภาษาบาลีบอกไว้ท้ายเรื่องว่า มี๓๐ปริจเฉท และสำนวนที่ ๒ นี้สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงพระ นิพนธ์เมื่อเดือนยี่ พ.ศ. ๒๓๘๗ ทรงพระนิพนธ์ตามคำกราบทูลอาราธนาของกรมหมื่นไกรสรวิชิต แต่ครั้งยังเป็นกรมหมื่นนุชิโนรส และสำเร็จบริบูรณ์ในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๗ พ.ศ. ๒๓๘๘ รวม เวลาประมาณ ๑ ปีกับ ๕ เดือน ต่อมาได้แปลเป็นภาษาไทย และลดจำนวนปริจเฉทลงเหลือเพียง ๒๙ ปริจเฉท เพราะไม่ได้แบ่งปริจเฉทต้นเป็น ๒ ภาค ซึ่งเรียกว่า บุพภาคและปัจฉิมภาค ๓ พระปฐมสมโพธิกถาฉบับภาษาบาลีสำนวนแรก ได้แปลเป็นภาษาไทยแล้วเช่นกัน แต่ไม่ ปรากฏฉบับพิมพ์มีแต่จารึกลงในใบลานอยู่ตามวัดต่าง ๆ ส่วนสำนวนที่ ๒ ได้พิมพ์แล้วหลายครั้ง ครั้งแรกพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ (ร.ศ.๑๑๓) ที่โรงพิมพ์อารับราตรีส่วนครั้งหลังสุดพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ ที่โรงพิมพ์อำนวยสาส์น นอกจากพระปฐมสมโพธิกถาทั้ง ๒สำนวนดังที่กล่าวมาแล้ว ใน หอสมุดแห่งชาติยังมีพระปฐมสมโพธิแปลร้อยที่ปรากฏไว้ให้ศึกษาสืบต่อกันมาจนถึงสมัยปัจจุบัน๔ ลักษณะการประพันธ์ เนื้อเรื่องดั้งเดิมของปฐมสมโพธิเป็นประวัติของพระสิทธัตถโพธิสัตว์ เนื้อเรื่องเดิมมีทั้งที่ สอดคล้องกับเนื้อเรื่องในวรรณกรรมพุทธประวัติสายบาลีและนอกสายบาลี ภายหลังเนื้อเรื่องของ ปฐมสมโพธิได้วิวัฒนาการจนกลายมาเป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวแก่พุทธชีวประวัติและพุทธ ๓ สนิท ตั้งทวี. วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา. (กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์. 2527), หน้า ๒๐๑ ๔ วงเดือน สุขบาง. การศึกษาพระปฐมสมโพธิกถาในแนวสุนทรียะ. ปริญญานิพนธ์การศึกษมหา บัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร., ๒๕๒๔), หน้า ๓๗.
๑๕๓ ศาสนาประวัติ แม้ว่าเนื้อเรื่องของปฐมสมโพธิจะวิวัฒนาการไปจนยาวกว่าเดิมถึง ๑ เท่า แต่เนื้อ เรื่องของปฐมสมโพธิภาษาบาลี สำนวนล้านนาซึ่งเป็นฉบับที่เก่าที่สุดยังคงเป็นแกนของปฐมสมโพธิ ทุกฉบับ และชื่อเรื่องเดิมยังคงใช้ต่อกันเรื่อยมา เนื้อเรื่องส่วนใหญ่ของปฐมสมโพธิภาษาบาลีและ ปฐมสมโพธิกถาภาษาไทยพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส สอดคล้องกับปฐมสมโพธิฉบับอื่นๆ เฉพาะรายละเอียดของเรื่องและลำดับเรื่องในตอนพระพุทธเจ้า ผจญธิดาพญามารในปริจเฉทมารวิชัยเท่านั้นที่แตกต่างกับปฐมสมโพธิฉบับอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะทรงชำระให้ต้องตามเนื้อเรื่องที่มีมาในพระบาลีและอรรถกถาภาษาบาลี ลำดับเรื่องตอน พระพุทธเจ้าผจญธิดาพญามารที่ทรงแก้ไขแล้วนี้ ไม่ปรากฏในปฐมสมโพธิสำนวนอื่นๆ ทั้งหมด ยกเว้นปฐมสมโพธิกถาภาษาเขมรซึ่งแปลไปจากปฐมสมโพธิกถาภาษาไทย ปฐมสมโพธิภาษาบาลี และปฐมสมโพธิกถาพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสมีเนื้อเรื่อง สอดคล้องกับวรรณกรรมพุทธประวัติสายบาลีที่มีอยู่ก่อนหน้า เป็นปฐมสมโพธิที่มีเนื้อเรื่องละเอียด สมบูรณ์ที่สุดในบรรดาคัมภีร์ชื่อปฐมสมโพธิทั้งหมดที่พบ ทั้งนี้ เพราะเป็นบทประพันธ์ที่แสดงถึงคุณค่าทางภาษาได้อย่างงดงาม ครอบคลุมรอบ ด้านผ่านทางสุนทรียศาสตร์ และวรรณศิลป์ทางภาษา แสดงถึงความรู้ ความฉลาด และ ความสามารถของผู้นิพนธ์ในการเรียงร้อยถ้อยคำภาษาได้อย่างวิจิตรพิสดาร เชิงพรรณนาความ พุทธประวัติ ในรูปแบบร้อยแก้วที่มีภาษาสัมผัสตลอดทั้งเรื่อง ประกอบไปด้วย หลักเกณฑ์ทาง ภาษาต่าง ๆ ที่นักวิชาการด้านภาษาและวรรณคดีใช้เป็นฐานในการคิดค้น ผลิตทฤษฎีต่าง ๆ จน สามารถพัฒนาเป็นหลักการรูปแบบการประพันธ์วรรณกรรมและวรรณคดีไทยให้ศึกษากันอยู่ใน ปัจจุบัน ทั้งผู้ประพันธ์สมัยใหม่ก็สามารถศึกษาและต่อยอดผลงานนิพนธ์ได้ โดยให้บทประพันธ์ที่มี ชื่อว่า “พระปฐมสมโพธิกถา” เป็นต้น ธารในการรังสรรค์ผลงานให้วิจิตรพิสดารได้เช่นกัน๕ เนื้อหาย่อ ในกาลนั้น สุทธาวาสัมหาพรหมทั้งหลายประดับเครื่องพรหมาภรณ์ทิพย์แล้ว ลงมา ๕ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. พระปฐมสมโพธิกถา.( กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์กรมศาสนา.2558), หน้า ๓.
๑๕๔ เที่ยวทั่วหมื่นโลกธาตุอุโฆษณาการ พุทธโกลาหลแก่มวลมนุษย์ว่า ดูกรท่านทั้งหลาย ผู้นฤทุกข์ เบื้องหน้าแต่นี้ไปอีกแสนปีพระสัพพัญญูจะบังเกิดในโลก ถ้าใครจะใคร่พบเห็น จงเว้นจากเบญจพิธ เวรทั้ง ๕ กระทำกุศลต่างๆ เหดดังนั้น เทพยดาและพรหมทั้งหลายได้ทราบพุทธโกลหลนี้จึงสโมสร สันนิบาตปรึกษากันว่า เหล่าสัตว์ผู้ใดหนอ จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูในโลก ครั้นลุกาลล่างไปอีก แสนปีปัญจปุพพนิมิตทั้ง ๕ อย่าง บังเกิดขึ้นแก่พระมหาสัตว์ใด เทพยดาพรหมทั้งปวงก็ทราบ ประจักษ์ว่า สันดุสิตเทวราชองค์นี้คือพระสัพพัญญูโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นแท้ ดังนั้น ท้าวมหาพรหมทั้งหมื่นจักรวาล กับกามาพจรเทวราชทั้ง ๖ ชั้น และท้าวจาตุมหาราช จักรวาลและสี่ๆ สิริเป็นท้าวมหาราช ๔ หมื่นพระองค์และเทพยดาทั้งหลายอันเศษชวนกันมา สันนิบาตในมงคลจักระวาฬนี้พาเอาเทพเจ้าในจักรวาลนี้มาสันนิบาตในมงคลจักรวาฬนี้มสมเด็จ พระอัมรินทราธิราชไปสู่ดุสิตเทวโลก เข้าสู่ทิพยวิมานแห่งพระโพธิสัตว์กราบทูลอาราธนาเหตุ ดังนั้น พระสัพพัญญูเจ้า เมื่อได้จึงบัณฑูรพระคาถาสาแดงเหตุในหนหลังว่า ยาห ดุสิ เต กาเย เป็นอาทิแปลเนื้อความว่า กาลเมื่อตถคตเป็น สันตุสิตเทวราชอยู่ในดุสิตเทวโลก เทพ บรรษัทมาทูลอาราธนา ข้าแต่พระองค์ผู้มีเพียรเป็นอันมาก กาลบัดนี้สมควรที่พระองค์จะจุติลงไป บังเกิดในตุคัพโภทรเทพยุดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล มายกทศนขสโมธานสมุชลิตอัญชลีทูล อาราธนาวิงวอนพระมหาสัตว์เจ้าว่าข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ พระองค์ทรงบาเพ็ญทศบารมีใช่จะ ปรารถนาสักการสมบัติมารสมบัติพรหมสมบัติแลจักรวรรติสมบัตินั้นหามิได้ตั้งพระทัยปรารถนา ภาวะตรัสเป็นพระสัพพัญญูจะกู้ขนสัตว์โลกให้บรรลุพระอมตมหานฤพาน เหตุดังนั้น กาลบัดนี้ก็ เป็นสมัยเพื่อประโยชน์จะได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้โปรดสัตว์โลกครั้งนี้ ในลำดับ พระมหาสัตว์ยังมิได้รับปฏิญาณเทพนิกรอันมาอาราธนาทรงพิจารณาปัญ จมหาวิโลกนทั้ง ๕ ทรงกาหนดกาล ทวีป ประเทศ และตระกูลว่า ข้าพเจ้าจะได้บังเกิดในตระกูล กษัตริย์และตระกูลพราหมณ์อันโลกนับถือว่าในกาลบัดนี้โลกสมมุติว่า ตระกูลกษัตริย์ประเสริฐ กว่าตระกูลพราหมณ์ควรที่อาตมาจะบังเกิดในตระกูลกษัตริย์และพระเจ้าสิริสุทโธทนะมหาราช จะเป็นพระราชบิดาแห่งอาตมา แล้วทรงพิจารณาพระราชชนนีว่า ธรรมว่า พระพุทธมารดาจะเป็น สตรีมีสันดานอันต่ำช้า ชาติโลเลต่างๆ มีเป็นนักเลงสุรา เป็นอาทินั้น หามิได้แต่จะต้องบำเพ็ญ บารมีมาถึงแสนกัปป์บริบูรณ์ทรงบำเพ็ญปัญจสีลาจารวัตรอันบริสุทธิ์พระเทวีองค์นี้จะเป็นมารดา แห่งอาตมาเมื่อทรงพิจารณาเป็ญจมหาวิโลกนะทั้ง ๕ แล้ว กระทาการสงเคราะห์แก่เทพยดาทั้ง
๑๕๕ ปวง โปรดประทานปฏิญาณว่า ดูกรท่านทั้งหลายผู้นฤทุกข์กาลนี้ควรที่อาตมาจะจุติลงไปบังเกิด เป็นพระสัพพัญญูโปรดสัตว์โลกทั้งปวง ท่านทั้งหลายจงกลับสู่นิวาสฐานแห่งตนๆ เถิด เมื่อทรงส่งเทพยดาทั้งหลายแล้ว ก็เสด็จแวดล้อมด้วยเทพยบริวารไปสู่ทิพยนันทวันใน ดุสิตเทวโลก เสด็จชมทิพยพฤกษชาติอันมีพันธ์ต่างๆ เทพบริวารทั้งหลายทูลตักเตือนว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้นฤทุกข์ขออัญเชิญเสด็จพระองค์จุติจากดุสิตเทวโลกนี้เถิด จงไปบังเกิดในมนุษยสุคติ ตรัสเป็น พระสัพพัญญูโปรดสัตว์โลก แล้วก็ทูลสรรเสริญสรรพกุศลที่ทรงบำเพ็ญสั่งสมมาแต่ก่อน สมเด็จพระมหาสัตว์ก็จุติในทิพยอุทยานนั้นลงสู่ปฏิสนธิในพระครรภ์แห่งพระสิริมหามายราชเทวี พระอัครมเหสีแห่งพระเจ้สุโทธนฆหาราชย์กรุงกบิลพัสดุ์เหตุดังนั้นพระคันถรจนาจารย์จึงกล่วนิ คมคาถาในที่สุด ปริจเฉทว่า กตญชลีหิเทเวหิเป็นอาทิอรรถธิบายความก็ช้าเหมือนนัยถวายมา แล้วแต่หนหลัง ศึกษาค้นคว้าวิจัยแล้วพบว่า พระพุทธประวัติหรือประวัติของพระพุทธเจ้าตอนนี้ เริ่มตั้งแต่อุบัติขึ้นในดุสิตสวรรค์เทวโลกสถิตในสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นสมเด็จพระเวสสันดรเทวราชเสวย ทิพยสุขสมบัติได้รับอัญเชิญเสด็จจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตเทวโลก จุติลงมาปฏิสนธิในพระครรภ์โพ ทรแห่งพระนางสิริมายามหาราชเทวีแห่งพระเจ้าสิริสุทโธทนมหาราชย์กรุงกบิลพัสดุ์ดังกล่าว คุณค่าของวรรณกรรม คุณค่าของพระปฐมสมโพธิกถา มีด้านพุทธะประวัติด้านหลักพุทธธรรม และด้าน นำมาประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบัน ซึ่งในด้านคุณค่าทางด้านวิถีชนชาวพุทธไทย มีวัฒนธรรม การสู่ ขอวัฒนธรรมการแต่งงาน ต้นเหตุแห่งศักยราชตระกูล และการจัดปริเฉท ปฐมสมโพธิกถาฉบับพระ นิพนธ์สมเด็จกรมพระปรมานิชิตชิโนรส นั้นมี๒๙ ผูก หรือหลายๆสำนักก็ไกลเคียงกันไม่แตกต่าง ไปจากนี้เลย ส่วนสาระสำคัญจริงๆ เหมือนกันแทบทั้งสิ้น คือเรื่อง พุทธประวัติหรือประวัติ เรื่องราวของพระพุทธเจ้าโดยตรง เริ่มตั้งแต่ พระยาอินทร์พระพรหม ท้าวจตุโลกบาลที่ ๔ และ บรรษัทเทพยถาในหมื่นโลกจักรวาล ทูลอันเชิญจุติเทพบุตรเวชสันดรหรือสันดุสิตเทวราชจากดุสิต สวรรค์เทวโลกอ้อนวอนให้จุติลงมาอุบัติเป็นพระสิทธัตถราชกุมารในมนุษย์โลกเป็น พระพุทธเจ้า โปรดสัตว์โลก และเทพยุดาทั้งมวลที่มีบุญญาธิการอันได้บำเพ็ญไว้แก่กล้าแล้ว ให้หลุดพ้นจากสรรพ กิเลสอันมีราคา โทสะและโมหะเป็นอกุศลมูล ๖.๒.๒ โคลงโลกนิติ ผู้แต่ง
๑๕๖ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ประวัติการแต่ง โคลงโลกนิติเชื่อกันว่าเป็นวรรณกรรมคำสอนที่ตกทอดมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา โดยเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิตในยุคนั้นได้คัดเลือกคาถาสุภาษิตภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต จากบรรดาคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ได้แก่ คัมภีร์โลกนิติคัมภีร์ธรรมนีติคัมภีร์ราชนีติพระ ไตรปิฏก หิโตปเทศ เป็นต้น มาถอดความและเรียบเรียงเป็นโคลงโลกนิติขึ้นเป็นสำนวนแรก พอ ล่วงมาถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๗๔ พระองค์ได้มีพระ ราชดาริให้จารึกความรู้ทางวิชาการในแขนงต่างๆ ลงบนแผ่นศิลาที่ประดับอยู่ตามเสาหรือกำแพง พระวิหารและศาลารายเพื่อให้เป็นมรดกทางภูมิปัญญาอันยั่งยืน ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรด เกล้า ฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร พระโอรสในพระบาทสมเด็จพระ พุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงชาระโคลงโลกนิติของเก่าให้มีความไพเราะยิ่งขึ้น เพื่อจารึกไว้พร้อมกับ สรรพวิทยาการด้านอื่นๆ ในคราวเดียวกันนี้๖ ลักษณะการแต่ง โคลงโลกนิติเป็นโคลงสี่สุภาพที่อ่านเข้าใจง่าย มีการเลือกใช้คำที่ไพเราะสละสลวยใช้ คำน้อยแต่กินความมาก โคลงโลกนิติถือว่าเป็นสุภาษิตเก่าแก่แต่งมาแต่โบราณครั้งกรุงเก่า เดิม นักปราชญ์ผู้แต่งเที่ยวเลือกหาคาถาสุภาษิตภาษาบาลีและสันสกฤตอันมีอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ คือ คัมภีร์โลกนิติบ้าง คัมภีร์โลกนัยบ้าง ตลอดจนคัมภีร์พระธรรมบทก็มีนำมาตั้งแล้วแปลแต่งเป็น คำคลงไปทุกๆคาถารวมเป็นเรื่องเรียกว่า โคลงโลกนิติเป็นสุภาษิตที่นับถือมาช้านาน ครั้นถึง พ.ศ. ๒๓๗๔ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน ฯ จึงโปรดให้ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงรวบรวมโคลงโลกนิติของเก่ามาชำระแก้ไข ใหม่ให้เรียบร้อยประณีตและไพเราะ เพราะของเก่าคัดลอกกันต่อๆ มาปรากฏมีถ้อยคำวิปลาส ผิดพลาดมาก ครั้นสมเด็จฯ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงชำระแล้ว โปรดเกล้า ฯ ให้จารึกไว้ในวัด พระเชตุพนฯ ๖ กุหลาบ มัลลิกะมาส, ความรู้ทั่วไปทางวรรณคดีไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๙, (กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๕), หน้า ๔๑.
๑๕๗ จุดม่งหมายของการแต่ง โคลงโลกนิติเป็นวรรณกรรมประเภทสุภาษิตคำสอน ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ ประพันธ์ ได้ยกคาถาภาษาบาลีและสันสกฤตเป็นบทตั้ง แล้วจึงแปลแต่งคาถาเหล่านั้นเป็นโคลงสี่สุภาพไป ตลอดทุกคาถา แต่ก็มีบางคำโคลงที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของกวีเอง จึงไม่มีบทคาถาเนื้อหาย่อ ประกอบ สุภาษิตที่นาเสนอในโคลงโลกนิตินี้นับเป็นคาถาที่คนไทยนิยมอ่านมาตั้งแต่สมัยกรุงศรี อยุธยาซึ่งมีหลักฐานปรากฏว่ามีโคลงโลกนิติสานวนเก่าหลายสานวน นักปราชญ์ได้เล็งเห็น ความสำคัญว่า โคลงโลกนิติเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่ายิ่ง ซึ่งจะช่วยจรรโลงให้ผู้อ่านสามารถ นาแง่คิด คติสอนใจไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจาวันด้วยแต่ละโคลงมีเนื้อหาสาระที่กินใจใช้ ถ้อยคำกะทัดรัด คมคาย ชัดเจน ลึกซึ้งตรึงใจ และเพียบพร้อมด้วยอรรถรสของบทกวี เนื้อเรื่องโดยย่อ ๑. การคบคนพาลและการคบบัณฑิต (๑๘) คนใดไปเสพด้วย คนพาล จักทุกข์ทนเนานาน เนิ่นแท้ ใครเสพท่วยทรงญาณ เปรมปราชญ์ เสวยสุขล้าเลิศแท้เพราะได้สดับดี๗ ๒. ลักษณะของบัณฑิตและคนพาล (๓๔) แมลงวันแสวงเสพด้วย ลามก พาลชาติเสาะสิ่งรก เรื่องร้าย ภูมราเห็จเหินหก หาบุษ บานา นักปราชญ์ฤาห่อนหม้าย หมั่นสู้แสวงธรรม คุณค่าของวรรณกรรม คุณค่าของวรรณกรรม โคลงโลกนิตินี้ เป็นภาษิตที่นับถือ กันมาช้านาน คำโคลงทุกบทล้วนเป็นคติธรรม อัน ลึกซึ้ง ซึ่งเปรียบเสมือนภาษิตเตือนใจใน หลากหลายด้าน มีความสัมพันธ์ต่อวิธีชีวิตใน สังคมในด้าน ๗ เดชาดิศร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. โคลงโลกนิติ. พิมพ์ครั้งที่ ๙. (กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๗.
๑๕๘ เป็นแบบอย่างที่ดีสามรถนำมาเป็นข้อคิดเตือนใจโดยนำมาเป็นประโยชน์ต่อการประพฤติปฏิบัติตน ในการดำรงชีวิตทั้งใน ยุคปัจจุบันนี้และยุคหน้า ครอบคลุมวิธีการ ดำเนินชีวิต ใน ทุก ด้าน โดย การนำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในโลกนิติเข้ามาเป็นข้อปฏิบัติ ๖.๒.๓ ไตรภูมิโลกวินิจฉัย ผู้แต่ง พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) ประวัติการแต่ง เรื่องไตรภูมิเป็นเรื่องที่นับถือกันแพร่หลายมาแต่โบราณ ถึงคิดขึ้นเป็นรูปภาพเขียนไว้ ตามฝาผนังวัดและเขียนจำลองลงไว้ในสมุด มีมาแต่ครั้งกรุงเก่ายังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้แต่ที่เป็น เรื่องหนังสือในครั้งกรุงเก่าจะมีฉบับอื่นนอกออกไปจากไตรภูมิพระร่วงฉบับนี้หรือไม่มีไม่ทราบ แน่ ด้วยยังไม่ได้พบหนังสือไตรภูมิครั้งกรุงเก่า นอกจากที่เขียนเป็นรูปภาพไว้ในสมุด แต่ลักษณะ การแต่งในกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อปีเถาะจุลศักราช ๑๑๔๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา โลก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชาคณะ และราชบัณฑิตช่วยกันแต่งหนังสือไตรภูมิ ขึ้นจบ ๑ ต่อมาอีก ๑๙ ปีเมื่อปีจอ จุลศักราช ๑๑๖๕ ทรงพระราชดำริว่าหนังสือไตรภูมิที่ได้แต่ง ไว้แล้วคารมไม่เสมอกัน ทรงพระกรุณาโปรดให้พระยาธรรมปรีชาแต่งใหม่อีกครั้ง ๑ แต่ในบาน แผนกพระราชดำริเรื่องแต่งหนังสือไตรภูมิทั้ง ๒ ฉบับนั้น ไม่ได้กล่าวให้ปรากฏว่ามีหนังสือไตรภูมิ ของพญาลิไทยเลย แม้เพียงแต่จะว่าไตรภูมิของเก่าเลอะเทอะวิปลาส จึงได้แต่งขึ้นใหม่ก็ไม่มีไตร ภูมิฉบับซึ่งหอพระสมุดได้มาจากเมืองเพชรบุรีก็เป็นหนังสือจารแต่ครั้งกรุงธนบุรีเห็นจะซุกซ่อน อยู่แห่งใดที่เมืองเพชรบุรีในเวลานั้นไม่ปรากฏในกรุงเทพฯ จึงมิได้กล่าวถึงในบานแผนก โดย เข้าใจกันในครั้งนั้นว่า หนังสือไตรภูมิของเดิม จะเป็นฉบับพญาลิไทนี้ก็ตาม หรือฉบับอื่นครั้งกรุง เก่าก็ตาม สาบสูญไปเสียแต่เมื่อครั้งเสียกรุงเก่า จึงโปรดให้แต่งขึ้นใหม่๘ จุดม่งหมายของการแต่ง ๘ พระยาธรรมปรีชา (แก้ว), ไตรภูมิโลกยวินิจฉยกถา ฉบับที่ ๒ เล่ม ๑ – ๓, พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) เรียบเรียงขึ้นเมื่อ จ.ศ. ๑๑๖๔ (พ.ศ. ๒๓๔๕), (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐), หน้าคำนำ.
๑๕๙ ไตรภูมิโลกวินิจฉัยมีเค้าโครงเรื่องอย่างเดียวกับในไตรภูมิพระร่วงพระราชนิพนธ์พญา ลิไทแห่งกรุงสุโขทัย แต่มีความละเอียดพิสดารกว่าไตรภูมิกถา ไตรภูมิพระร่วงก็ดีไตรภูมิโลก วินิจฉัยก็ดีเป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญมาก แสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถและ พระอัจฉริยภาพของบรรพบุรุษไทยในการนิพนธ์วรรณคดีเกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ตลอดถึงชี้ให้เห็นถึงผลบาปและบุญที่คนทั้งหลายได้กระทำไว้ผู้ที่ได้อ่านได้ศึกษางานนิพนธ์ครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า บรรพบุรุษของไทยนับแต่สมัยเริ่มตั้งอาณาจักรเป็นปึกแผ่นในดินแดนปัจจุบันนี้เป็น ผู้มีจิตวิทยาสูง ทรงสถาปนาอาณาจักรขึ้นใหม่ด้วยทรงรวบรวมพลังจากพลเมืองของชาติเพื่อให้ สามารถดำรงความมั่นคง และสามารถต่อสู้ศัตรูรอบด้านที่คอยรุกรานคุกคามความดำรงอยู่ของ ชาติไทย ซึ่งย่อมต้องการประชาชนพลเมืองที่อยู่ในศีลธรรม อยู่ในระเบียบวินัย รู้บาปบุญคุณโทษ และมีหลักยึดมั่นทางศาสนา ไตรภูมิพระร่วงและไตรภูมิโลกวินิจฉัย เป็นวรรณคดีที่สามารถโน้ม น้อมประชาชนให้ยึดมั่นอยู่ในคุณธรรมความดีตามหลักธรรมได้โดยทรงจัดการปกครองซึ่งมี จริยธรรมเป็นที่ตั้ง คุณธรรมที่พระองค์ทรงใช้เช่น ทศพิธราชธรรม๙ ราชสังคหวัตถุ ๔ ๑๐ เป็นต้น เนื้อเรื่องโดยย่อ เจ้าพระยาวงษานุประพันธ์(ม.ร.ว.กลาง สนิทวงศ์) กล่าวถึงใจความโดยข้อที่มีอยู่ใน หนังสือหนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉัยว่า ๑. มนุสสกถา ว่าด้วยโลกดินฟ้ามหาทวีปอันเป็นประเทศที่อยู่ของมนุษย์ ๒. นิรยกถา กล่าวพรรณนาว่าด้วยนิรยโลก อันเป็นที่อยู่ของเนรยิกสัตว์อันทน ทุกขเวทนา ด้วยผลแห่งทุจริตกรรม ๓. เทวกถา กล่าวพรรณนาว่าด้วยเทวโลก เทพยดาและพรหมาผู้เสวยทิพยสุข ๔. วิสุทธิกถา กล่าวพรรณนาด้วยข้อปฏิบัติอันจะให้ถึงซึ่งวิสุทธิธรรมอันบริสุทธิ์คือ อมตมหานิพพาน๑๑ เมื่อว่าโดยโครงสร้างและเนื้อหาแล้ว แม้หนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉัยก็จำแนกเรื่องออก เป็น ๓ ภูมิหรือที่ถูกต้องคือ ๔ ภูมิจะแตกต่างกันก็ประเด็นปลีกย่อย เช่นการบรรยายย่อหรือ ๙ ขุ.ชา. (ไทย)๒๘/๒๔๐/๘๖. ๑๐ สํ.ส. (ไทย)๑๕/๓๕๑/๑๑๐ ๑๑ พระยาธรรมปรีชา (แก้ว), ไตรภูมิ์โลกวินิจฉัย, จำลองจากฉบับหลวง, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ร.ศ. ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๖), หน้า คำปรารภ.
๑๖๐ พิสดารกว่ากันในบางเรื่องเท่านั้น อนึ่ง ในอวสานกถาของหนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉัย ได้กล่าวถึง ความมุ่งหวังดังประณิธานเอาไว้ว่า ใจความในหนังสือนี้มีปรากฏอยู่ว่า เมื่อมีมนุษย์เกิดขึ้นในโลก หมู่หรือคณะที่ตั้งขึ้นนั้นก็ยกผู้หนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในสัตย์สุจริตธรรม ประกอบด้วยความปรีชาสามารถ กำลังและอำนาจขึ้นเป็นใหญ่เป็นประธาน เพื่อปกครองหมู่แลคณะนั้นให้อยู่เย็นเป็นสุขปราศจาก ภยันตรายทั้งปวง เมื่อชาติมนุษย์ได้เจริญยิ่งขึ้นเป็นลำดับมารวบรวมกันตั้งขึ้นเป็นบ้านเมือง ก็ บันดาลให้พระบรมโพธิสัตว์มาอุปบัติในมนุษย์โลก มีบุญญาธิการแก่กล้าประกอบด้วยความปรีชา สามารถยิ่งกว่าชนทั้งปวง ประชาชนจึงได้อัญเชิญพระบรมโพธิสัตว์ขึ้นเป็นเจ้าเป็นใหญ่ ถวาย พระนามว่า พระเจ้ามหาสมมตขัติยราช เป็นประถมบรมกษัตริย์แต่ในประถมกาลสืบมา พระองค์ ได้ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมเป็นนิจนิรันดร์บรรดาเสนาอำมาตยราชเสวก ตลอดถึงประชาชน พลเมืองก็มีความเชื่อมั่นจงรักภักดีต่อพระองค์ประกอบด้วยความสามัคคีต่อกันและกันในทุกชั้น ทุกตระกูล สมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุขทั่วหน้า ประเทศบ้านเมืองก็ รุ่งเรืองไพศาลสมบูรณ์ประกอบไปด้วยนานาโภคทรัพย์กำลังและอำนาจ จึงเห็นได้ว่าชาติและ บ้านเมืองใดก็ดีที่มีพระมหากษัตริย์เป็นใหญ่เป็นประธานแล้ว ประเทศบ้านเมืองนั้นก็ เจริญรุ่งเรืองไพศาลสมบูรณ์มั่นคงดำรงเป็นอิสรภาพยืนนาน ดังปรากฏมาแต่ในประถมกาลนั้น แล้ว คุณค่าของวรรณกรรม วัตถุประสงค์ของการเรียบเรียงหนังสือไตรภูมิโลกวินิจฉัยนี้ก็เช่นเดียว กันกับไตรภูมิ พระร่วง คือต้องการให้บุคคลเชื่อในกรรมและวิบากคือผลแห่งกรรมว่า ผลแห่งกรรมส่งผลเป็น วิบากให้บุคคลได้รับทุกข์หรือเสวยสุขในภพภูมินั้น ๆ จนกว่าจะบรรลุถึงวิสุทธิภูมิคือแดนอัน บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงเข้าถึงแดนแห่งอมตมหานิพพานเป็นที่สุด. ๖.๓ สรุปท้ายบท สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สภาพสังคมไม่ต่างจากสมัยกรุงศรีอยุธยามากนัก พระมหากษัตริย์มุ่งฟื้นฟูและวางรากฐานให้แก่บ้านเมือง ตลอดจนเอาพระทัยใส่เรื่อง ศิ ล ป วั ฒ น ธ ร ร ม ทั้ ง ด้ า น ป ร ะ เ พ ณี พิ ธี ก ร ร ม น า ฏ ก ร ร ม ว ร ร ณ ก ร ร ม ในสมัยรัชกาลที่ ๒ และรัชกาลที่ ๓ งานด้านวรรณคดีมีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด เพราะมีการ ส่งเสริมวรรณคดีและมีการชุบเลี้ยงกวีคนสำคัญไว้ ส่งผลให้มีวรรณคดีเกิดขึ้นมากมาย นอกจากนี้
๑๖๑ รัชกาลที่ ๓ ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้ราชกวีช่วยกันแต่งและชำระวรรณคดีและตำราต่าง ๆ นำมาจารึก บนแผ่นศิลาประดิษฐานไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ เพื่อให้ประชาชนได้มาศึกษาด้วยตัวเองอีกด้วย วรรณกรรมพระปฐมสมโพธิกถา มีด้านพุทธะประวัติด้านหลักพุทธธรรม และด้าน นำมาประยุกต์ใช้กับสังคมปัจจุบัน ซึ่งในด้านคุณค่าทางด้านวิถีชนชาวพุทธไทย มีวัฒนธรรม การสู่ ขอวัฒนธรรมการแต่งงาน ต้นเหตุแห่งศักยราชตระกูล และการจัดปริเฉท ปฐมสมโพธิกถาฉบับพระ นิพนธ์สมเด็จกรมพระปรมานิชิตชิโนรส นั้นมี๒๙ ผูก หรือหลายๆสำนักก็ไกลเคียงกันไม่แตกต่าง ไปจากนี้เลย ส่วนสาระสำคัญจริงๆ เหมือนกันแทบทั้งสิ้น คือเรื่อง พุทธประวัติ หรือประวัติ เรื่องราวของพระพุทธเจ้าโดยตรง เริ่มตั้งแต่ พระยาอินทร์ พระพรหม ท้าวจตุโลกบาลที่ ๔ และ บรรษัทเทพยถาในหมื่นโลกจักรวาล ทูลอันเชิญจุติเทพบุตรเวชสันดรหรือสันดุสิตเทวราชจากดุสิต สวรรค์เทวโลกอ้อนวอนให้จุติลงมาอุบัติเป็นพระสิทธัตถราชกุมารในมนุษย์โลกเป็น พระพุทธเจ้า โปรดสัตว์โลก และเทพยุดาทั้งมวลที่มีบุญญาธิการอันได้บำเพ็ญไว้แก่กล้าแล้ว ให้หลุดพ้นจากสรรพ กิเลสอันมีราคา โทสะและโมหะเป็นอกุศลมูล วรรณกรรมโคลงโลกนิตินี้เป็นภาษิตที่นับถือ กันมาช้านาน คำโคลงทุกบทล้วนเป็นคติ ธรรม อันลึกซึ้ง ซึ่งเปรียบเสมือนภาษิตเตือนใจใน หลากหลายด้าน มีความสัมพันธ์ต่อวิธีชีวิตใน สังคมในด้านเป็นแบบอย่างที่ดีสามรถนำมาเป็นข้อคิดเตือนใจโดยนำมาเป็นประโยชน์ต่อการ ประพฤติปฏิบัติตนในการดำรงชีวิตทั้งใน ยุคปัจจุบันนี้และยุคหน้า ครอบคลุมวิธีการ ดำเนินชีวิต ใน ทุก ด้าน โดย การนำเอาหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในโลกนิติเข้ามาเป็นข้อปฏิบัติ วรรณกรรมไตรภูมิโลกวินิจฉัย มีวัตถุประสงค์ของการเรียบเรียงหนังสือไตรภูมิโลก วินิจฉัยนี้ก็เช่นเดียวกันกับไตรภูมิพระร่วง คือต้องการให้บุคคลเชื่อในกรรมและวิบากคือผลแห่ง กรรมว่า ผลแห่งกรรมส่งผลเป็นวิบากให้บุคคลได้รับทุกข์หรือเสวยสุขในภพภูมินั้น ๆ จนกว่าจะ บรรลุถึงวิสุทธิภูมิคือแดนอันบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงเข้าถึงแดนแห่งอมตมหานิพพาน เป็นที่สุด.
๑๖๒ คำถามท้ายบท ๑. ลักษณะที่สำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็น อย่างไร ๒. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิดและจุดมุ่งหมายของสมัยรัตนโกสินทร์ ตอนต้น เป็นอย่างไร ๓. จงบอกลักษณะคำประพันธ์โคลงโลกนิติเป็นอย่างไร
๑๖๓ เอกสารอ้างอิงประจำบท กุหลาบ มัลลิกะมาศ, วรรณกรรมไทย, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๑๙ , ความรู้ทั่วไปทางวรรณคดีไทย, พิมพ์ครั้งที่ ๙, กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๕ เดชาดิศร, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา. โคลงโลกนิติ. พิมพ์ครั้งที่ ๙. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๔๗. พระยาธรรมปรีชา (แก้ว), ไตรภูมิโลกวินิจฉัย, จำลองจากฉบับหลวง, (กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ร.ศ. ๑๓๑ พ.ศ. ๒๔๕๖ , ไตรภูมิโลกยวินิจฉยกถา ฉบับที่ ๒ เล่ม ๑ – ๓, พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า จุฬาโลกทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาธรรมปรีชา (แก้ว) เรียบเรียงขึ้นเมื่อ จ.ศ. ๑๑๖๔ (พ.ศ. ๒๓๔๕), กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐ วงเดือน สุขบาง. การศึกษาพระปฐมสมโพธิกถาในแนวสุนทรียะ. ปริญญานิพนธ์การศึกษมหา บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร., ๒๕๒๔ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมไทยเบื้องต้น, กรุงเทพมหานคร:โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๘ , วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์. ๒๕๒๗ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. พระปฐมสมโพธิกถา.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์กรมศาสนา. ๒๕๒๘
๑๖๔ บทที่ ๗ งานวรรณกรรมพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบันได้ ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ ปัจจุบันได้ ๓. บอกความสำคัญของงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ได้ ๔. อธิบายถึงงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบันที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ๒. งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบันที่สำคัญ ๓. คุณค่าของงานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ๔. การวิเคราะห์งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน
๑๖๕ ๗.๑ ความนำ “ศาสนา” นับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างวรรณคดีในวัฒนธรรมวรรณศิลป์ ตะวันออก เนื้อหาของวรรณคดีมักมีที่มาจากคัมภีร์ศาสนา โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนา พระไตรปิฎกเป็นแหล่งความรู้และที่มาสำคัญของวรรณกรรมพุทธศาสนา ระบบการเขียน วรรณคดีของวัฒนธรรมตะวันออกนั้นเริ่มต้นจากความศรัทธาในศาสนาเป็นสำคัญ ก่อนที่จะ พัฒนาการสร้างสรรค์วรรณคดีให้มีเนื้อหาหลากหลายแตกต่างกันออกไป แม้ว่าศาสนาจะมุ่ง สอนหลักธรรม และวรรณคดีจะมุ่งสร้างความสะเทือนใจด้วยรูปแบบภาษาวรรณศิลป์ที่งดงาม แต่ทั้งสองศาสตร์นี้สามารถประสานกันได้อย่างกลมกลืน วรรณศิลป์ในวรรณคดีศาสนาเป็นไป เพื่อสื่อสาระความรู้ สร้างศรัทธา ความปีติในรสธรรมน้อมนำให้เกิดการปฏิบัติตามหลักศาสนา ศาสนาเป็นแหล่งสร้างสรรค์ของวรรณคดี และในทางกลับกันวรรณคดีนั้นก็สามารถเชื่อมโยงและ สร้างความรู้ความเข้าใจไปสู่สิ่งสูงสุด (The Absolute) ของศาสนาได้เพราะวรรณคดีศาสนา สร้างสรรค์ด้วยกลวิธีทางวรรณศิลป์ที่ประณีตงดงามเพื่อเสนอสารัตถะธรรม สร้างแรงจูงใจให้ ปฏิบัติตนตามหลักศาสนานั้น จึงกล่าวได้ว่ากลวิธีทางวรรณศิลป์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการ สร้างสรรค์วรรณคดีศาสนา ด้วยเหตุดังนี้ในสังคมไทยสมัยจารีต โดยเฉพาะในสมัย รัตนโกสินทร์จึงมีการสร้างสรรค์วรรณกรรมพุทธศาสนาจำนวนไม่น้อย ซึ่งมีรูปแบบ เนื้อหาที่ หลากหลายและน่าสนใจแตกต่างกัน๑๒ งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบันที่จะกล่าวถึงในที่นี้ ผู้วิจัยจะหมายถึง เนื่องจากวรรณกรรมพุทธศาสนาในระยะนี้ยังคงมีลักษณะร่วมกัน กล่าวคือ การถ่ายทอดเนื้อหาของวรรณกรรมพุทธศาสนาในยุคดังกล่าวยังคงมีความเข้มขลังหรือความ ศักดิ์สิทธิ์ ซับซ้อน เรื่องราวส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวที่ยก ตัดตอน แปล หรือเลียนอย่างคัมภีร์ให้เกิด ความศักดิ์สิทธิ์เพื่อสร้างศรัทธาไปควบคู่กับการสร้างปัญญา รูปแบบและเนื้อหาที่นำเสนอยังคง เคร่งครัดตามแบบสังคมจารีต ในขณะที่วรรณกรรมพุทธศาสนาในสมัยต่อมาได้คลี่คลายความ ๑๒ พิสิทธิ์ กอบบุญ. “ปจุฉา – วิสัชนา: กลวิธีวรรณศิลป์ในวรรณคดีไทยพุทธศาสนา”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาภาษาไทย, บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๘. หน้า ๑.
๑๖๖ เข้มขลังลง เน้นความเข้าใจง่ายขึ้น เพื่อให้คนทุกระดับได้เข้าถึงวรรณกรรมพุทธศาสนามากขึ้น นอกจากนี้วรรณกรรมพุทธศาสนาในสมัยหลังยังได้รับอิทธิพลด้านรูปแบบจากวัฒนธรรมต่างชาติ มาก ๗.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ได้แก่ แก่นพุทธ ศาสน์กรรมทีปนีและหลวงพ่อทองวัดโบสถ์มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๗.๒.๑ แก่นพุทธศาสน์ ผู้แต่ง ท่านพุทธทาสภิกขุ เดิมชื่อ เงื่อม นามสกุล แซ่โค้ว ต่อมาเปลี่ยนชื่อสกุลเป็น ” พานิช”เกิดเมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๔๙ ที่ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ ธานี เป็นบุตรของนายเซี้ยง และนางเคลื่อน มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๓ คนคือ ๑) พุทธทาสภิกขุ ๒) นายยี่เกย ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น นายธรรมทาส พานิช ๓) นางกิมช้อย พานิช ปัจจุบันถึงแก่ กรรมแล้ว บิดามารดาประกอบอาชีพค้าขายในตลาดตำบลพุมเรียง เริ่มการศึกษาจากวัดโพ ธาราม โดยช่วงนี้ท่านได้ใช้ชีวิตเด็กวัดเมื่ออายุ ๑๑ ปีได้ออกจากวัดมาอยู่บ้าน เพื่อเรียนหนังสือ ที่โรงเรียนโพธิพิทยากร จนจบชั้นมัธยมปีที่ ๒ ในปี พ.ศ.๒๔๖๓ แล้วมาเรียนต่อมัธยมที่ ๓ ที่ โรงเรียนสารภีอุทิศ เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ได้ออกมาช่วยทางบ้านค้าขายขณะที่ท่านมีอายุ ได้ ๑๗ ปี พุทธทาสภิกขุได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ณ วัดอุบล อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมีพระครูเจตสิกราม เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระปลัด ทุ่ม อินฺทโชติ และพระครูศักดิ์ อมฺรกฺขิตฺโต เป็นพระคู่สวดได้รับฉายาว่า ”อินทปญฺโญ” เมื่อ อุปสมบทแล้วจึงไปจำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่พุมเรียง๑๓ สภาพแวดล้อมภายในครอบครัวของพุทธ ทาสภิกขุ มีอิทธิพลต่อการแนวคิดของท่านอย่างมากในวัยต้น เพราะมารดาของท่านเป็นผู้ที่ยึด มั่นอย่างมากในหลักการของพระพุทธศาสนาและการปฏิบัติธรรม มิตรสหายของมารดามาเยี่ยม ๑๓ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโสก, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์หมอ ชาวบ้าน, ๒๕๓๐), หน้า ๓-๑๑
๑๖๗ เยียนพบปะสนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกัน พุทธทาสภิกขุในวัยหนุ่มได้ฟังผู้อื่น สนทนาธรรมก็มีความสนใจ จึงไปค้นคว้าหนังสือที่ใช้เรียนนักธรรมชั้นตรี นักธรรมชั้นโท นักธรรมชั้นเอก รวมทั้งหนังสืออภิธรรมมาอ่าน พร้อมทั้งบรรยากาศภายในครอบครัวทำให้สนใจ ในพระพุทธศาสนา จนมีความรู้ที่สามารถพูดโต้ตอบธรรมมะได้เป็นอย่างดีประกอบกับ สภาพแวดล้อมทางสังคม และภูมิศาสตร์ของอำเภอไชยา ในยุคนั้นเป็นสังคมที่สงบ ประชาชน ส่วนใหญ่ในสังคมมีฐานะพอมีพอใช้ และด้านทรัพยากรธรรมชาติก็อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดแคลน ประชาชนมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา นับได้ว่าท่านพุทธทาสภิกขุได้เกิดมาท่ามกลาง สิ่งแวดล้อมที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจ ทำให้ท่านได้ซึมซับเอาแนวคิดต่างๆ ทาง พุทธศาสนาตั้งแต่ดำรงเพศฆราวาสอยู่ การศึกษาเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญในวัยต้นของท่าน ยุค สมัยที่วัดเปรียบเสมือนมหาวิทยาลัยสำหรับชาวบ้าน เด็กผู้ชายทุกคนจะได้รับการศึกษาชั้นต้น จากวัด พุทธทาสภิกขุใช้ชีวิตเป็นเด็กวัด จึงทำให้ได้รับการอบรมทางพระพุทธศาสนาด้วย เวลา ต่อมาเมื่อท่านได้ลาออกจากโรงเรียน ช่วงที่จบชั้นมัธยมปีที่ ๓ แล้วท่านได้ใช้เวลาว่างจากการค้า ขายศึกษาธรรมะจากหนังสือสูตรนักธรรม ทำให้ท่านมีความรู้ด้านธรรมะเป็นอย่างดี พุทธทาสภิกขุอุปสมบทนั้น ครั้งแรกตั้งใจเพียงอุปสมบทเพื่อโปรดโยมมารดา ตาม ประเพณีของสังคมไทยเพียงหนึ่งพรรษา และจะลาสิกขาจากสมณะเพศมาประกอบการค้า ต่อไป แต่ท่านมีแรงจูงใจหลายประการที่ทำให้ท่านไม่ลาสิกขาจากสมณะเพศ ประการแรก คือ ในปี พ.ศ.๒๔๖๘ ก่อนที่ท่านจะอุปสมบทได้ ๑ ปี คณะสงฆ์เมืองไชยาในยุคนั้น ได้จัดตั้งโรงเรียน สอนนักธรรมขึ้น ท่านสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในปีแรก ประการที่สอง ท่านเป็นผู้แสดงธรรมให้กับ ศรัทธาญาติโยม ทำให้มีกิจธุระที่จะอยู่ในสมณะเพศต่อไปประการที่สาม ท่านเป็นครูสอน นักธรรม สามารถสอนได้ดี นักเรียนส่วนใหญ่สอบได้ ท่านจึงตัดสินใจอยู่ในสมณะเพศต่อไป๑๔ พ.ศ.๒๔๗๑ ท่านพุทธทาสภิกขุได้เดินทางมากรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาพระปริยัติ ธรรม โดยพักที่วัดปทุมคงคา แต่วัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ในกรุงเทพมหานคร ไม่ได้เป็นไปตามที่ ท่านได้คาดหมายไว้แต่อย่างใด ดั้งนั้น ท่านศึกษาได้ระยะเวลาเพียงสองเดือน จึงตัดสินใจกลับ อำเภอไชยา โดยหลังจากนั้นในปี พ.ศ.๒๔๗๓ ท่านได้ย้อนกลับไปเรียนปริยัติธรรมในกรุงเทพอีก ครั้งหนึ่ง ในช่วงนี้มีเหตุการณ์หนึ่งที่ส่งต่อแนวคิดทางการเมือง คือเหตุการณ์ที่นายนริทร์ ภาษิต ๑๔ ประเวศ วะสี, สวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโสก, หน้า ๓.
๑๖๘ (กลึง) ได้ก่อตั้งสำนักนารีวงศ์ขึ้น บรรพชาบุตรสาวตนเองเป็นสามเณรี โดยอ้างว่าเพื่อฟื้นฟู พระพุทธศาสนายุคกึ่งพุทธกาล โดยนายนรินทร์ได้โจมตีการปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ว่าย่อ หย่อนไปมาก พุทธทาสภิกขุไม่เห็นด้วยกับการกระทำของนายนรินทร์ ความบกพร่องในวัตร ปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ทำให้นายนรินทร์อาศัยเป็นช่องโจมตีได้ ความสงสัย นี้ทำให้ท่านมีความคิดพยายามที่จะรื้อฟื้นข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ให้ดีขึ้น พุทธทาสภิกขุได้ เขียนจดหมายติดต่อกับนายธรรมทาสน้องชาย แจ้งความประสงค์ที่จะกลับมาค้นคว้าพระธรรม เพื่อหาแนวทางแก้ไขและส่งเสริมการปฏิบัติธรรมที่บ้านเกิด อันเป็นจุดเริ่มต้นการก่อตั้งสวนโมก ขพลาราม ในปี พ.ศ.๒๔๗๕๑๕ พุทธทาสภิกขุตัดสินใจเลิกการศึกษาปริยัติธรรมในกรุงเทพมหานคร ท่านสอบได้ เปรียญธรรม ๓ ประโยค และตัดสินใจไม่ศึกษาในระดับสูงกว่านั้น แต่หันกลับมาศึกษาด้วยตัว ท่านเอง มุ่งศึกษาธรรมะทั้งวิปัสสนาและคันถธุระไปพร้อมๆ กัน การศึกษาพระธรรม ท่านใช้ พระไตรปิฎกทั้งภาษาบาลีและภาษาไทยเป็นหลักในการค้นคว้า ตลอดจนอรรถกถาต่างๆ และ พระไตรปิฎกฉบับแปลภาษาอังกฤษ ได้แก่ ฉบับชุดของ Pali Text Society เน้นการศึกษาบาลี และอรรกถาต่างๆ ประกอบ ที่ท่านค้นคว้ามากใน สุตตันตปิฎก ซึ่งเป็นเรื่องของการแสดงธรรมะ และพระไตรปิฎกที่ใช้ค้นคว้ามาก ได้แก่มัชฌิมนิกาย รองลงมาคือสังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และทีฆนิกายตามลำดับ นอกเหนือจากการศึกษาพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแล้ว ท่านสนใจ ศึกษาธรรมะในนิกายมหายานและนิกายเซน เห็นได้จากผลงานที่ท่านแปลพระสูตรของนิกาย เซน จำนวน ๒ เล่มด้วยกัน คือ สูตรของเว่ยหล่าง และคำสอนของ ฮวงโป๑๖ นอกจากศึกษาพระพุทธศาสนา พุทธทาสภิกขุยังศึกษาคริสตศาสนาจากคัมภีร์ไบ เบิ้ล และศาสนาอิสลามจากคัมภีร์อัลกุรอาน เพื่อเปรียบเทียบกับหลักการของพระพุทธศาสนา ในเบื้องต้น ท่านมองพระเจ้าในฐานะที่เป็นตัวบุคคล โดยที่ท่านได้เขียนโต้ตอบปัญหากับ บาทหลวง ในยุคแรกการตอบโต้ในทำนองที่รุนแรง ต่อมาความคิดของท่านเปลี่ยนไป เริ่มมีการ ประนีประนอมระหว่างศาสนามากขึ้น และกล่าวถึงพระเจ้าในฐานะเป็นกฎของธรรมชาติ มิใช่ ๑๕ ชลธี ยังตรง. “ความคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ”. วิทยานิพนธ์รัฐศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๓) , หน้า ๓๙ ๑๖ พุทธทาสภิกขุ, อัตตชีวประวัติของท่านพุทธทาสภิกขุ เล่าไว้เมื่อวัยสนธยา ๓ ชีวิตแห่ง การศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิโกมลคีมทอง, ๒๕๒๙.) หน้า ๕๗๗,
๑๖๙ พระเจ้าในทัศนะของบุคคล การศึกษาศาสนาอิสลาม ท่านศึกษาโดยอาศัยคัมภีร์อัลกุรอาน ประกอบกับท่านมีเพื่อนเป็นอิสลามชื่อ หัจญีประยูร วทานยกุล ได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน หัจญี ประยูรได้กล่าวว่า ทั้งท่านและพุทธทาสภิกขุมีจุดหมายคือการต้องการทำศาสนาให้เป็นสากล๑๗ การศึกษาปรัชญาตะวันตกและวิทยาศาสตร์ ท่านพุทธทาสได้นำมาเปรียบเทียบกับ หลักของพระพุทธศาสนา ท่านศึกษางานของนักคิดและนักปรัชญาโดยตรงโดยวิธีวิพากษ์วิจารณ์ และตีความ พุทธทาสภิกขุสนใจศึกษาวิทยาศาสตร์ในฐานะที่เป็นวิธีการสังเกต การทดลอง ว่า สามารถดับทุกข์ได้ นำมาใช้อธิบายและสนับสนุนพระพุทธศาสนา นอกนั้นยังสนใจในปรัชญา อินเดียและโบราณคดีอีกด้วย เช่น การศึกษาคัมภีร์เวทานตะ งานของวิเวกานันทะ, รพินทร นาถ ฐากูร, มหาตมะ คานธีเป็นต้น การศึกษาด้านโบราณคดีที่ท่านได้ให้ความเอาใจใส่อย่าง จริงจัง ถึงกับเดินทางไปประเทศอินเดียและประเทศธิเบตเพื่อหาร่องรอยทางประวัติศาสตร์ ต่อมาท่านได้เลิกศึกษาโบราณคดี โดยสรุปว่าโบราณคดีไม่มีประโยชน์สำหรับการพ้นทุกข์๑๘ นอกจากศึกษาตำราวิชาการต่างๆ แล้ว ท่านได้รับรู้เหตุการณ์เปลี่ยนการปกครองจากวิทยุและ หนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีต่อแนวคิดทางการเมืองของพุทธทาส ภิกขุคือ สถานการณ์ทางการเมืองหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.๒๔๗๕ เป็น ต้นมา กล่าวคือ หลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา มีเหตุการณ์ทางการเมืองที่น่าสนใจ ก่อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ๒ ครั้ง คือ เหตุการณ์เมื่อ วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ และเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เป็นอีกปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ต่างประเทศให้ความสนใจ เป็นเหตุการณ์ ฆาตกรรมหมู่กลางเมืองที่สยดสยอง ได้ทำลายภาพพจน์เมืองพระพุทธศาสนาของประเทศไทย เป็นอันมาก ส่งผลให้กิจกรรมด้านการเมืองการปกครองทำได้ไม่เต็มที่ ชมรมต่างๆ ถูกสั่งปิด และ บรรยากาศทางวิชาการเงียบหายไป๑๙ กลุ่มปัญญาชนและกลุ่มนักศึกษาพยายามทำกิจกรรมทาง ๑๗ หัจญีประยูร วทานยกุล, ห้าสิบปี สวนโมกข์ ภาค ๑เมื่อเขาพูดถึงเรา, (กรุงเทพมหานคร : การพิมพ์พระนคร, ๒๕๒๕), หน้า ๔๗๑. อ้างใน ชลธี ยังตรง, เรื่องเดียวกัน, หน้า ๔๗. ๑๘ ชลธี ยังตรง, ความคิดทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ, หน้า ๔๘. ๑๙ อัญญดา แก้วกองกูล, “การศึกษาเปรียบเทียบ : การประยุกต์ใช้หลักธรรมทางศาสนาในทาง การเมืองของพุทธทาสภิกขุ และมหาตมะ คานธี”, วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หน้า ๑๔.
๑๗๐ สังคม โดยอาศัยชมรมวัฒนธรรมประเพณี เช่น จัดกลุ่มสนทนาปัญหาบ้านเมืองโดยใช้แนวทาง พุทธธรรม โดยกลุ่มนักวิชาการและปัญญาชนได้หันมาสนใจพุทธธรรม เพื่อเป็นมรรควิธีในการ แก้ปัญหาสังคมมากขึ้น ช่วงนี้เองแนวคิดทางสันติวิธีมีผู้สนใจศึกษาหลักธรรมของ พระพุทธศาสนามากขึ้น มีการก่อตั้งเป็นชมรมชาวพุทธต่างๆ หลายชมรม ประกอบด้วยนัก กิจกรรมระดับนักศึกษามหาวิทยาลัยและพระภิกษุเป็นแกนนำ ในช่วงนี้ท่านพุทธทาสภิกขุได้ เสนอความคิดเห็นที่มีประเด็นการเมืองและสังคมขึ้น ในการบรรยายธรรมชุดธรรมะกับการเมือง , เมื่อธรรมครองโลก, ศีลธรรมกับมนุษย์โลก, อริยศีลธรรม, เยาวชนกับศีลธรรม ๒๐โดยที่ชมรม พุทธเหล่านี้จะเน้นกิจกรรมที่พัฒนาตนเองก่อนแล้วค่อยคิดที่จะพัฒนาสังคม เช่นกลุ่มการศึกษา ปฏิบัติธรรม การอุปสมบทหมู่ที่มักจะเชื่อมกับสถาบันหลักของพระพุทธศาสนา เช่นสวนโมก ขพลารามที่มีท่านพุทธทาสภิกขุเป็นผู้นำ หรือวัดชลประทานรังสฤษฎ์ที่มีท่านปัญญานันทภิกขุ เป็นเจ้าอาวาส เป็นต้น เพื่อตอบสนองสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สภาพเหตุการณ์ทาง สังคมและการเมือง ช่วงระหว่าง พ.ศ.๒๕๑๖ – ๒๕๑๙ เป็นช่วงที่ความวุ่นวายทางสังคมและ การเมืองสูงมากช่วงหนึ่ง เป็นช่วงที่กระแสความคิดทางการเมืองแบบประชาธิปไตย และแบบ สังคมนิยมมาร์กซิสต์หรือคอมมิวนิสต์ กำลังต่อสู้กันอย่างมาก การขยายตัวทางเศรษฐกิจใน อัตราส่วนที่ไม่พอดีกับการพัฒนาทางการเมือง ความกดดันกลุ่มพลังทางการเมืองที่มีความ ต้องการเรียกร้องประชาธิปไธย ตลอดจนการใช้อำนาจเผด็จการของผู้นำประเทศ เหล่านี้ล้วน เป็นการผลักดันที่ก่อให้เกิดความวุ่นวายและการใช้กำลังรุนแรงทางการเมืองในช่วงนี้ ประวัติการแต่ง หนังสือเรื่องแก่นพุทธศาสน์เป็นหนังสือที่ถอดออกจากคำปาฐกถาธรรมของท่านพุทธ ทาสภิกขุซึ่งแสดงปาฐกถาธรรม แก่คณะนายแพทย์แห่งโรงพยาบาลศิริราช ร่วมด้วยนักศึกษาวิชา แพทย์ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔ ลักษณะการประพันธ์ ๒๐ เสรี พงษ์พิศ, ธรรมะกับการเมือง ท่านพุทธทาสกับสังคมไทย, วารสารธรรมศาสตร์ ๑๐ มีนาคม ๒๕๒๕, หน้า ๓๒. อ้างใน อัญญดา แก้วกองกูล, “การศึกษาเปรียบเทียบ : การประยุกต์ใช้ หลักธรรมทางศาสนาในทางการเมืองของพุทธทาสภิกขุ และมหาตมะ คานธี”, หน้า ๑๔.
๑๗๑ มีภาษาที่ใช้เขียน และการจัด ลำดับเนื้อหาวิธีเขียน เป็นการเขียนโดยการถอด ออก จากคำปาฐกถาธรรมแบบคำต่อคำไม่มีการ อธิบายเพิ่มเติมข้อความใดๆ อีกเลย แม้แต่เชิงอรรถ ต่างๆ ก็มิได้นำมาอ้างอิง ยกเว้นในกรณีที่ท่าน ได้กล่าวไปถึงที่มาของหัวข้อธรรมและเอกสาร ต่างๆ ในบางเรื่อง ภาษาที่ใช้เขียนเป็นภาษาแบบ ความเรียงหรือร้อยแก้ว ศัพท์ที่ท่านพุทธทาสภิกขุ นำมาใช้เป็นศัพท์ที่สื่อสารกับคนยุคปัจจุบัน ให้เข้าใจได้ง่าย เช่น ศัพท์ว่า “ตัวกูของกู” เป็นต้น การ จัดลำดับเนื้อหาเป็นการจัดลำดับอย่างมีขั้นตอน จัดลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก นำเสนอ ให้ เข้าใจได้ง่ายและโครงสร้างของหนังสือ แบ่งเป็น ๓ ตอน คือ ๑) ใจความทั้งหมดของ พระพุทธศาสนา พูดถึงหัวใจของพุทธศาสนา คือ สิ่งทั้งปวงไม่ควร ยึดมั่นถือมั่น ๒) ความว่าง ว่า ด้วยธรรมที่เป็น ประโยชน์แก่ฆราวาส คือ เรื่องสุญญตา และ ๓) วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง พูดถึงวิธีการ ปฏิบัติเพื่อความว่าง เนื้อหาในหนังสือแก่นพุทธศาสน์ท่าน พุทธทาสภิกขุ ได้ปาฐกถาธรรม ๓ ครั้ง ๓ เรื่อง คำการปาฐกถาธรรมครั้งที่ ๑ ว่าด้วย เรื่อง ใจความ ทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ครั้งที่ ๒ ว่าด้วย เรื่อง ความว่าง และครั้งที่ ๓ พูดถึงวิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความว่าง ผู้เขียนได้สรุปออกมาให้เห็น แก่น ของเนื้อหาในแต่ละครั้ง ดังนี้การปาฐกถาธรรม ครั้งแรก เรื่อง ใจความทั้งหมดของ พระพุทธศาสนา สรุปสั้นๆ ได้ว่า หลักพุทธศาสนามุ่งเฉพาะไปที่การ ดับทุกข์ทุกข์เกิดจากการยึด มั่นถือมั่น ถ้าไม่มีการ ยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่มีทุกข์การปาฐกถาธรรมครั้งที่ ๒ เรื่องความว่าง สรุปสั้นๆ ได้ว่า เป็นเรื่องทั้งหมด ของพุทธศาสนา ความว่าง หมายถึง ความว่างจาก ความทุกข์ความว่างจาก กิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์และความว่างจากความรู้สึกว่า มีตัวเราของเรา และการปาฐกถาธรรม ครั้งที่ ๓ หลักปฏิบัติในทาง พุทธศาสนาจึงสอนให้ละ ให้ทำลายความรู้สึก ในการยึดมั่นถือมั่นเสีย ให้หมดให้เห็นสภาพเป็น อนัตตา คือ ความว่างจากตัวตนของสิ่งทั้งปวงคำสอน เรื่องความว่างหรือ อนัตตา มีแต่ในพุทธศาสนา เท่านั้นไม่มีในศาสนาอื่น เนื้อหาย่อ หนังสือแก่นพุทธ ศาสน์ของท่านพุทธทาสภิกขุ เนื้อหาของหนังสือ แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น คือ ใจความทั้งหมด ของพระพุทธศาสนา ความว่าง และวิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วยความ ว่าง รายละเอียดมีดังนี้ ๑. ประเด็นแรก ใจความทั้งหมดของพระพุทธศาสนา ความหมายของผู้แต่งเรื่องใจความ ทั้งหมดของพระพุทธศาสนาท่านพุทธทาส ภิกขุต้องการสื่อถึงความเข้าใจว่า ใจความทั้งหมด ของ
๑๗๒ พระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงข้อสรุปความของ หลักธรรม โดยหวังว่าเมื่อผู้ฟังจับใจความสำคัญ ได้ แล้วก็จะสะดวกในการศึกษาออกไปได้อย่าง กว้างขวาง พระพุทธศาสนายากเกินกว่าจะศึกษา หรือไม่ ท่านให้ข้อสังเกตว่า เนื่องจากความรู้ทาง พุทธศาสนาที่ไม่ใช่หลักขั้นมูลฐานมีอยู่ไม่น้อยและ จะพาให้ศาสนาค่อยๆ เขวไปทีละน้อยๆ จนกลาย เป็นพุทธศาสนาใหม่ หรือกลายเป็นพุทธศาสนา เนื้องอก ที่งอกออกไปเรื่อยๆ เช่น เรื่องประวัติศาสตร์พุทธศาสนา พิธีรีตองต่างๆ เป็นต้น จึงทำให้ ผู้ที่ยัง จับใจความสำคัญของหลักธรรมไม่ได้สับสนและ รู้สึกว่าพระพุทธศาสนาช่างมีเรื่องมากมาย เกินกว่า ที่จะจำได้เข้าใจหรือนำไปปฏิบัติในประเด็นนี้ท่าน เน้นว่า ที่จริงแล้วหลักพุทธศาสนาขั้น มูลฐาน มีส่วน ที่เป็นหลักอยู่ไม่มาก ดังที่พระพุทธเจ้าได้เปรียบ เทียบระหว่างใบไม้ทั้งป่ากับใบไม้ใน กำมือของ พระองค์ว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้นั้นมีมาก เปรียบได้กับใบไม้ทั้งป่า แต่เรื่องที่จำเป็นที่ควร รู้ควรนำมาสอน และนำมาปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นั้นมีไม่มาก เปรียบได้เท่ากับใบไม้กำมือเดียว จาก ประเด็น ดังกล่าว ซึ่งมีอธิบายในพระไตรปิฎกว่า สิ่งอะไรเล่า ที่เราบอกแล้วคือ เราได้บอกว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาเพราะเหตุไร เราจึงบอก เพราะสิ่งนี้มีประโยชน์ เป็นจุดเริ่มต้น แห่งพรหมจรรย์เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบ ระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้เพื่อนิพพานเพราะเหตุนั้น เราจึงบอก ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น เธอ ทั้งหลายพึงทำความเพียรเพื่อรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาท่านพุทธทาส ภิกขุท่านอธิบายว่า จุดหมายที่แท้จริงของพุทธ ศาสนา มุ่งเฉพาะไปยังความดับทุกข์เท่านั้น ถ้าเป็น เรื่องที่ไม่เป็นไปเพื่อความดับทุกข์พระพุทธเจ้า ท่าน ทรงปฏิเสธไม่เกี่ยวข้องด้วย เช่น เรื่องตายแล้วเกิด หรือไม่อะไรไปเกิด ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้มุ่งไปสู่การดับทุกข์เหตุผลในคำสอนในพุทธศาสนา เพื่อมุ่งไปสู่การดับทุกข์นั้น ล้วนมีเหตุผล อยู่ใน ตัวเอง ซึ่งทุกคนสามารถเห็นและเข้าใจได้ด้วย ตนเองโดยไม่ต้องเชื่อตามใครอื่นหัวใจของ พุทธ ศาสนา ท่านเกริ่นเกี่ยวกับคำสอนทางพุทธศาสนา ว่ามีเรื่องสำคัญๆ และล้วนเป็นสัจธรรม หลายเรื่อง เช่น เรื่อง อริยสัจ ๔ เรื่อง ไตรลักษณ์เรื่อง การไม่ ทำความชั่ว ทำดีและทำจิตให้ บริสุทธิ์ฯลฯ อย่างไร ก็ตามในมุมมองของท่านเห็นว่าในพระบาลีมัชฌิม นิกายมีเรื่องหนึ่ง ที่ชี้ชัดถึง หัวใจของพุทธศาสนา คือ มีผู้ถามพระพุทธเจ้าว่า พุทธวจนะทั้งหมดของ พระองค์ถ้าจะสรุปให้สั้นๆ เพียงประโยคเดียวได้หรือไม่ พระพุทธเจ้าได้ตอบสั้นๆ ว่า “สพฺเพ ธมฺมา นาลํอภินิเวสาย” ซึ่ง แปลได้ว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ควร ยึดมั่นถือมั่น” ทั้งนี้พระพุทธเจ้าได้ย้ำว่าถ้าใครได้ฟังข้อความนี้ก็คือ ได้ฟังทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ถ้าได้ปฏิบัติตามข้อนี้ก็คือ ได้ปฏิบัติทั้งหมด ในพระพุทธศาสนา ถ้า
๑๗๓ ได้รับผลจากการปฏิบัติตาม ข้อนี้ก็คือได้รับผลทั้งหมดในพระพุทธศาสนา ท่าน พุทธทาสภิกขุเห็น ว่าคำตอบนี้ของพระพุทธเจ้าได้รวมทั้งเรื่อง วิชาปฏิบัติและผลของการปฏิบัติไว้อย่างครบถ้วนแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ท่านพุทธทาสภิกขุได้เชื่อมโยงกันระหว่าง แพทย์กับพระพุทธเจ้าในการปาฐกถา ธรรมครั้งนี้ท่านได้จุดประกายความคิดในเรื่องที่เกี่ยวข้อง แพทย์หรือนักศึกษาแพทย์ด้วย โดย กล่าวถึงโรคภัย ไข้เจ็บในปัจจุบันว่า โรคทางกาย (Physical Disease) กับโรคทางจิต (Mental Disease) ซึ่งหมายถึง โรคทางจิตที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บ เช่นนี้เมื่อเป็นโรคทาง กายควรไปโรงพยาบาลทั่วไป แต่ถ้าเป็นโรคทางจิตก็ควรไปโรงพยาบาลที่รักษา โรคจิตโดยตรง เช่น โรงพยาบาลบ้านสมเด็จฯ เป็นต้น ท่านได้เชื่อมโยงไปถึงโรคภัยไข้เจ็บในสมัย พุทธกาลว่ามี 2 ประเภทเช่นกัน คือ โรคทางกาย กับโรคทางจิต แต่ความหมายของโรคทางจิตต่าง กับปัจจุบัน คือ โรคทางจิตสมัยนั้น หมายถึง โรคทางความคิดหรือทางกิเลสตัณหา และผู้ที่เป็น แพทย์รักษา โรคทางจิตก็คือ พระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้รับสมญานามหนึ่งว่าเป็นแพทย์ทางวิญญาณ ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ท่านพุทธทาสภิกขุจึงขอบัญญัติคำใหม่ที่ใช้เฉพาะ สำหรับ ศาสนาพุทธเท่านั้น โดยเปลี่ยนจากคำ โรคทางจิต เป็นโรคทางวิญญาณ เพื่อแบ่งแยกคำให้ แตกต่างกัน และตรงกับความหมายที่แท้จริง โดยขอใช้คำภาษาอังกฤษกำกับแยกไว้ให้ชัดเจน ด้วยว่า Spiritual Disease ซึ่งไม่ได้หมายถึง วิญญาณภูตผีปีศาจ หรือการถูกผีสิง แต่หมายถึง วิญญาณหรือจิตในส่วนลึกที่ถือได้ว่าเป็นโรคด้วย อำนาจของกิเลส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ อวิชชา (ความไม่รู้) และ มิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด) ท่านพุทธทาสภิกขุได้ให้ความหมายว่า โรคทางวิญญาณ หมายถึง โรคทางความคิด หรือทางกิเลสตัณหา และทุกคนต่างก็มีกิเลสตัณหา จึงกล่าวได้ว่า ทุกคนในโลกนี้ล้วนเป็นโรค ทาง วิญญาณ การขยายตัวของโรคทางวิญญาณ ท่านยัง อธิบายว่า โรคนี้มีเชื้ออยู่ที่ความรู้สึกใน ใจของเรา ทุกคนว่าตัวเราว่าของเรา หรือตัวกูของกูแล้วก็ทำไปตามอำนาจแห่งความเห็นแก่ตัว และต่อเนื่องเป็น ความโลภ ความโกรธ และความหลง ทำให้เกิด ความเดือดร้อนต่อตัวเองและ ผู้อื่น เราต่างได้รับเชื้อ (หมายถึง อุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่น) เพิ่มขึ้น ทุกครั้งที่ได้เห็นรูป ได้ฟังเสียง ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสทางผิวหนัง ท่านได้ชี้แนะว่า หากสังเกต ก็จะเห็นได้ ด้วยกันทุกคนว่าความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น ในตัวกูของกูนี่แหล่ะ คือ แม่บทของกิเลส การรักษา โรค ทางวิญญาณ ท่านแนะนำว่า การที่จะหายจาก โรคทางวิญญาณได้โดยเด็ดขาด คือ การว่างจาก
๑๗๔ การยึดถือใน เรา ของเรา และมุ่งไปสู่ความว่างที่สุด (นิพพาน) ท่านได้ยกตัวอย่างวิธีการรักษา โรคทางวิญญาณไว้เพียง ๓ วิธีพอให้เข้าใจได้ชัดขึ้นและเหมาะสม กับเวลาในการปาฐกถาธรรม คือ วิธีการตามหลัก ปฏิจฺจสมุปฺบาท วิธีการตามหลักไตรลักษณ์และ วิธีการตามหลักขันธ์๕ โดย ท่านได้อธิบายราย ละเอียดในการปฏิบัติตามแต่ละวิธีด้วย ซึ่งแต่ละวิธีจะไม่แตกต่างกัน คือ ให้ หมั่นนำความรู้ในแต่ละ หลักมาพิจารณาไปเรื่อยๆ ว่าทุกอย่างเป็นเพียง มายาไม่มีตัวตนที่แท้จริง การพิจารณาเช่นนี้บ่อยๆ จนเกิดความรู้สึกที่แท้จริงว่า ทุกอย่างไม่มีตัวตน จะเป็นการตัดตอน ความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องตัวตน ในที่สุดก็จะสามารถเข้าถึงความว่างหรือนิพพานได้โดยไม่ยาก ท่านให้ข้อมูลว่า หากหมั่นสังเกตในเรื่องความว่าง และความวุ่นของจิตแล้ว จะรู้สึกได้ว่า แท้จริง แล้วเราก็มีช่วงเวลา “ว่าง” อยู่มากและ ความว่างที่มีอยู่เองนั้นเป็นนิพพานน้อยๆ หรือ นิพพาน ชิมลอง ซึ่งเป็นอย่างเดียวกับนิพพานถาวร เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างถาวรและท่าน พุทธ ทาสภิกขุได้สรุปปิดท้ายการปาฐกถาธรรม โดยขอให้ทุกคนรู้จักโรคทั้งทางกาย ทางจิตและ ทาง วิญญาณให้ครบถ้วนแล้วแก้ไขเยียวยาทุกโรค ให้เป็นผู้ไม่มีโรค และได้ชื่อว่า อโรคยปรมา ลาภา ที่แท้จริง ๒. ประเด็นที่สอง ความว่าง ท่านพุทธ ทาสภิกขุ ได้กล่าวถึง “ความว่าง” ว่าความ ว่าง เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากที่สุดในบรรดาเรื่องของ พุทธศาสนา เพราะเป็นหัวใจของพุทธ ศาสนา จึงไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจได้ด้วยการเดาหรือคาด คะเนตามความเคยชินหรือตามกริยา อาการของคน ธรรมดา อย่างไรก็ตาม ท่านได้แนะนำวิธีที่จะเข้าใจ ความว่างได้ง่ายขึ้นคือ ให้ หมั่นศึกษา สังเกตและ พิจารณาความรู้สึกทั้งความสุขและความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ตัวเอง เพราะเมื่อเราคอยสังเกต ว่า ความคิดที่เดินไปในทางใดแล้วทำให้เราว่างจาก ความทุกข์ แล้ว เราจะมีความรู้ดีที่สุดและมีความ เคยชินในการที่จะรู้สึกหรือเข้าใจหรือเข้าถึงความ ว่างจาก ความทุกข์ได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลให้เข้าใจ เรื่องธรรมได้ดีกว่าผู้ที่เพียงแต่อ่านเท่านั้น และที่มา ของเรื่องความว่าง ท่านได้เล่าถึงที่มาของเรื่อง ความว่าง ในสมัยพุทธกาลว่า มาจากคนกลุ่มหนึ่ง ขอรับธรรมที่จะเป็นประโยชน์สุขเกื้อกูลตลอดไป พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า สุญฺญตปฺปฏิสํยุตฺตา โล กุตฺตรา ธมฺมา หมายความว่า ธรรมที่จะเป็นประโยชน์สุขเกื้อกูลตลอดไป คือ ธรรมที่อยู่เหนือ วิสัยโลกที่เกี่ยวกับสุญญตา ท่านพุทธทาสภิกขุอธิบายว่า สุญญตา แปลว่า ความว่าง หมายถึง ตัว ความว่าง ว่างจากความยึดมั่นว่าตัวเราหรือของเรา ความว่าง หรือสุญญตา ท่านเห็นว่าคำว่า ความว่าง หรือ สุญญตา มีความหมายมากมายหากไม่จำกัด ขอบเขตให้ชัดเจนไว้แต่แรก อาจจะ
๑๗๕ เกิดความเข้าใจ ไม่ตรงกันได้ดังนั้น ท่านจึงแจ้งว่าในการปาฐกถา ธรรมครั้งนี้มุ่งหมายเฉพาะ ความว่างจากความทุกข์ความว่างจากกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์และความ ว่างจากความรู้สึก ว่า มีตัวเรา หรือมีของเราเท่านั้น ท่านพุทธทาสภิกขุได้ย้อนความหมายลึกๆ ของ “หัวใจพุทธศาสนา” ไปถึงการ ปาฐกถาธรรม ครั้งแรกที่ท่านสรุปว่า หัวใจของพุทธศาสนา คือ คำกล่าวของพระพุทธเจ้าที่ว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ซึ่งแปลได้ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นนั้น คราวนี้ท่านได้ขยายความ ให้เข้าใจชัดเจนขึ้นว่า สัพเพ ธัมมาหรือสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น หมายถึง ทุกอย่างทั้งที่ไม่มีคุณค่าและ มีคุณค่าสูงในความรู้สึกของแต่ละคน เช่น ฝุ่นที่ไม่มีราคา เพชรนิลจินดาราคาสูง กามารมณ์กระทั่งสิ่งที่สูงไปกว่านั้น คือธรรมปริยัติ(พุทธพจน์อันควร จะเล่าเรียน) มรรค (ข้อปฏิบัติถึงการดับทุกข์) ปฏิเวธ (ผลของการปฏิบัติ) นิพพาน ฯลฯ ไม่ว่า อะไร ก็ตามไม่ควรถูกยึดมั่นว่าเป็นตัวเราหรือของเรา นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา หัวใจของ พระพุทธ ศาสนากับความว่างเกี่ยวข้องกันอย่างไร ท่าน อธิบายว่า ในขณะใดที่จิตใจใครก็ตามไม่ ยึดมั่นถือ มั่นในสิ่งใดเลยนั้น หมายถึงว่าเขาถึงพร้อมในธรรม ทุกข้อตั้งแต่ระดับต้นไปจนถึงระดับ สูงสุด เช่น ทานศีล สมาธิปัญญา มรรคผลไปจนถึงระดับสูงสุดคือ นิพพาน เป็นต้น นั่นคือจิตใจ ของเขากำลังว่างเข้า ถึงความว่างจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวงแล้ว ท่านพุทธทาสภิกขุได้อธิบายว่า ประโยชน์ของความว่าง ท่านได้ยกตัวอย่างพุทธ ภาษิตที่กล่าว ถึงประโยชน์ของความว่างหลายอย่าง เช่น ถ้าใคร เห็นโลกเป็นความว่างผู้นั้นจะมี อำนาจเหนือความ ทุกข์ความว่างอย่างยิ่ง คือ นิพพาน นิพพาน คือ เครื่องนำมาซึ่งความสุข อย่างยิ่ง เป็นต้น และความ สำคัญของเรื่องความว่าง ท่านแจ้งว่า พระพุทธเจ้า ได้ยืนยันว่าคำที่ พระองค์กล่าวนั้น ต้องหมายถึง เรื่องความว่าง จะโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตามไม่ได้กล่าวถึงเรื่อง อื่นเลย นอกจากนี้ท่านยังให้ข้อมูล ด้วยว่า ความว่างเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าให้ความ สำคัญและ สอนมากกว่าเรื่องอื่นใด เป็นเรื่องที่ทำให้พุทธศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่นอย่างชัดเจน เพราะ ไม่มีศาสนาหรือลัทธิอื่นใดสอนในเรื่องนี้นอกจากนี้ท่านยังยกตัวอย่างพุทธภาษิตเกี่ยวกับ ความ ว่างเป็นระยะๆ หลายเรื่อง เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าให้ความสำคัญเรื่องนี้มากรวมทั้ง ได้ อธิบายขยายความแต่ละเรื่องค่อนข้างละเอียด เช่น ความหมายของความว่าง อาการของความ ว่าง หลักปฏิบัติเกี่ยวกับความว่าง กระบวนการกำจัด ความยึดมั่นถือมั่น นิพพาน เป็นต้น
๑๗๖ รวมทั้งได้บอก เล่าถึงเรื่องธาตุต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งและเข้าใจ ได้ยากยิ่งกว่าความเข้าใจ พื้นฐานในเรื่องความว่าง อย่างละเอียดอีกด้วย ความว่างกับการรักษาโรคทางวิญญาณ (Spiritual Disease) ท่านได้ย้อนกล่าวไปถึง การ ปาฐกถาธรรมครั้งแรก ที่ท่านได้เชื่อมโยงถึงการรักษาโรคต่างๆ ว่า หากเป็นโรคทางกาย (Physical Disease) หรือ โรคทางจิต (Mental Disease) ซึ่งเกี่ยวข้องกับอวัยวะต่างในร่างกาย ต้องไปรักษา กับหมอทางกายและทางจิต แต่หากเป็นโรคทาง วิญญาณ (Spiritual Disease) ที่มาจากใจที่มีความ โลภ ความโกรธ ความหลงหรืออวิชชา ต้องไปรักษา กับแพทย์ทางวิญญาณ ซึ่งสมัยพุทธกาลหมายถึง พระพุทธเจ้าและท่านรักษาโรคนี้ด้วยธรรม ซึ่งความหมายโดยรวมก็ หมายถึง ความว่างหรือ สุญญตา นั่นเอง ท่านขยายความว่า ความว่างเป็น ทั้งยาแก้โรค และการ หายจากโรค หมายความว่า ความรู้และการปฏิบัติจนทำให้เกิด ความว่าง นั้นคือ ยาแก้โรค ส่วน ความว่างจากความทุกข์หรือจาก กิเลสที่ทำให้เกิดโรค ก็คือ การหายจากโรคนั่นเอง การเปรียบเทียบเรื่องการยึดมั่นถือมั่น และความว่างกับศาสนาอื่น นอกจากบรรยาย เรื่อง ความว่างในแง่มุมต่างๆ ค่อนข้างละเอียดแล้ว ท่านยังเชื่อมโยงเรื่องการยึดมั่นว่าตัวเราของ เรา และความว่างกับศาสนาอื่น เพื่อให้เห็นความจริง ในเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้นว่า ในศาสนาอื่นเขามี ตัวตน สำหรับให้ยึดมั่นถือมั่น ดังนั้นเรื่องการยึดมั่นถือมั่น ในตัวเราของเราจึงเป็นเรื่องถูกต้องมี การสอนให้เข้าถึงสภาพความเป็นตัวเราให้ได้แต่พุทธศาสนา สอนต่างไปจากศาสนาอื่นๆ คือ สอนให้ละความยึด มั่นถือมั่นในตัวเราของเราและพุทธศาสนาสอนว่า การยึดมั่นว่าตัวเราของเรา เป็นกิเลส (สิ่งที่ทำให้ใจ เศร้าหมอง) เป็นความโง่ เป็นความหลง หลักปฏิบัติในทางพุทธศาสนา จึงสอนให้ละให้ทำลายความ รู้สึกในการยึดมั่นถือมั่นฯ เสียให้หมด ให้เห็นสภาพ เป็นอนัตตาคือ ความว่างจากตัวตนของสิ่งทั้งปวงเพราะฉะนั้นคำสอนเรื่อง อนัตตาจึงมีแต่ในพุทธ ศาสนาเท่านั้น ไม่ปรากฏหรือมีในศาสนาอื่นๆ สรุปท้ายการปาฐกถาธรรมท่านสรุปว่า ความว่าง คือ เรื่องทั้งหมดของพุทธศาสนา เป็น ความรู้เป็นการปฏิบัติและเป็นผลของการปฏิบัติเมื่อเข้าถึงความว่างได้ก็หมดปัญหา ประเด็นสำคัญ คือต้องจับความหมายทุกอย่างให้ถูกต้องตามที่ท่าน ได้ยกตัวอย่างและอธิบายไว้ ค่อนข้างละเอียดแล้ว ไม่ใช่ตีความหมายตามความเคยชิน ท่านจบลงด้วย การบอกว่า ท่านมี หน้าที่อธิบายไปตามข้อมูลที่มีอยู่ แต่การทำความเข้าใจเรื่องความว่างและการปฏิบัติเป็นหน้าที่ ของผู้ฟังแต่ละคน
๑๗๗ ๓. ประเด็นที่สาม ปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วย ความว่าง ความว่างคืออะไร ในการ ปาฐกถาธรรม ครั้งที่ ๓ ท่านพุทธทาสภิกขุชี้แจงว่าความว่างหรือสุญญตา มีความหมายมากมาย หากไม่จำกัด ขอบเขตให้ชัดเจนไว้แต่แรกอาจจะเกิดความเข้าใจ ไม่ตรงกันได้ดังนั้น ท่านจึงแจ้ง ว่า ในการบรรยาย ครั้งนั้น มุ่งหมายเฉพาะ ความว่างจากความทุกข์ความว่างจากกิเลสที่เป็น เหตุให้เกิดทุกข์และความว่างจากความรู้สึกว่า มีตัวเราหรือมีของเราเท่านั้น ซึ่งผู้เขียนพิจารณา แล้วว่าท่านพุทธทาสภิกขุได้พูดเป็นการเน้นเฉพาะเรื่อง จิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในการ บรรยายครั้งนี้ท่านได้ขยายขอบเขตของ ความหมาย โดยเน้นถึงความว่างใน ๓ สิ่ง คือ ๑) สิ่งทั้ง ปวงหรือทุกสิ่ง หมายความว่า ทุกสิ่งทั้งที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ตั้งแต่สิ่งที่มีอนุภาคเล็กสุด เช่น ฝุ่น เพชรพลอย จิตใจ ความนึกคิด จนถึงที่สุด คือ นิพพาน ล้วนแต่ว่างจากความมีตัวตน และ ๒) จิตที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร หมายความว่า จิตเดิมนั้นว่างจากความมีตัวตน แต่ เนื่องจาก จิตถูกห่อหุ้มจากสิ่งปรุงแต่งที่ได้รับ เช่น เห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส และสัมผัสทาง ผิวหนัง ฯลฯ จิตจึง ไม่ว่าง เมื่อใดที่จิตปลดเปลื้องความยึดมั่นถือมั่น ในสิ่งทั้งปวงได้ทั้งหมด คือ ปฏิบัติอย่าให้เกิดความ รู้สึกว่ามีตัวตนในร่างกายนี้คือ จิตก็จะว่างได้ดังเดิม การปฏิบัติที่จะไม่ให้ เกิดความรู้สึกว่ามีตัวตน ในร่างกายนี้ท่านแนะนำว่า ควรปฏิบัติใน ๓ โอกาส คือในโอกาสปกติ ในโอกาสที่มีสิ่งมากระทบตา หูจมูก ลิ้น กายหรือผิวหนัง และในโอกาสที่กำลัง จะตายการ ปฏิบัติในโอกาสปกติท่านเน้นว่า ควรปฏิบัติในลักษณะที่เป็นการศึกษานั่นคือ ปฏิบัติเป็น ประจำอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ โดยจะศึกษาเอง หรือถาม หรือปรึกษาหารือผู้อื่นก็ได้เพื่อให้เห็น แจ้งในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับความว่างยิ่งๆ ขึ้นไป เช่น สิ่งทั้งปวงว่างอยู่อย่างไร แล้วจิตนี้จะว่างได้ อย่างไร จิตจะไม่หลงผิดในสิ่งทั้งปวงได้อย่างไร เป็นต้นการ ปฏิบัติในโอกาสที่มีสิ่งอื่นมีกระทบ ประสาทสัมผัส เช่นรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ท่านแนะนำสั้นๆ ตามที่เคยแนะนำในที่ต่างๆ หลายครั้งแล้วว่า วิธีปฏิบัติคือ เมื่อมีผัสสะ (การกระทบ) เกิดขึ้นก็ให้จิตหยุดอยู่แค่นั้นอย่าคิด ปรุงแต่งจนเกิดความ ยึดมั่นเป็น “ตัวกูของกู” ขึ้นมา แต่ถ้าจิตยังไม่ สามารถหยุดปรุงแต่งได้ ทันทีที่มีการกระทบเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้ปรุงต่อไปแล้วไปหยุดที่เวทนา (หมายถึง ความรู้สึกเช่น พอใจ ไม่พอใจ ฯลฯ) อย่าปล่อยให้คิดปรุงแต่งจนเกิดความยึดมั่นถือมั่นเป็น “ตัวกูของกู” ขึ้นมาการปฏิบัติในโอกาสที่กำลังจะตาย ท่านแนะนำว่า จะต้องอาศัยหลักที่ว่า ดับไม่เหลือ เอา ดับไม่เหลือมาเป็นหลักโดยในเวลาปกติควรหมั่นฝึกให้จิตใจน้อมไปในทางที่ไม่ยึดในถือมั่นใน สิ่ง ใดอย่างแท้จริง เพื่อว่าเมื่อความตายมาถึงความ รู้สึกถึงความว่างจะได้กลับมาโดยเร็วทันการณ์
๑๗๘ สรุปท้ายท่านแนะนำว่า ควรมีการศึกษา คิดปรึกษาหารือกัน คุยกัน ในเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ ความว่างเป็นประจำเช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆ เมื่อเรา เข้าใจเรื่ องความว่างและปฏิบัติ อย่างถูกต้อง โดยทำจิตใจให้ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงแล้ว จิตก็จะเป็นความว่างเสีย เอง เป็นความดับไม่เหลือ แห่งตัวกู-ของกูไม่มีการเกิดมาอีก ไม่มีความรู้สึก เป็นความเกิด เป็น ตัวเรา-เป็นของเราขึ้นมาอีก ไม่นาน เรื่องพวกนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายๆ แม้แต่ การบรรลุ นิพพานตามที่ท่านได้บรรยายมาแล้ว นี่คือ วิธีปฏิบัติเพื่อความว่าง คุณค่าของวรรณกรรม ท่านพุทธทาสภิกขุแยกแยะประเด็นออกมาอธิบายขยายความ ให้เห็นเป็นประจักษ์ ชัดแล้ว ตามความหมาย อันแท้จริงของหลักธรรม โดยหวังว่าเมื่อผู้ฟังจับใจ ความสำคัญได้แล้วก็ จะสะดวกในการศึกษาออกไป ได้อย่างกว้างขวาง เมื่อผู้ฟังมีความเข้าใจในหลักธรรมแล้ว ท่าน พุทธทาสภิกขุจะเน้นที่วิธีปฏิบัติโดยอธิบายความหมายของเรื่อง เช่น วิธีปฏิบัติเพื่อเป็นอยู่ด้วย ความว่างว่า หมายถึง การปฏิบัติเพื่อให้จิตว่างจากความรู้สึกว่ามีตัวตนหรือว่าเป็น ของตนทุก ลมหายใจเข้าออกต่อเนื่องตลอดเวลา หรือกล่าวสั้นๆ อีกนัยหนึ่งได้ว่า หมายถึง วิธีปฏิบัติอย่าให้ เกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนในร่างกายนี้การนำเสนอของท่านพุทธทาสภิกขุ มีเป้าหมายสำคัญคือ มุ่ง ให้เกิดปัญญาและแก้ข้อกังขาเป็นรูปแบบหนึ่งของการรักษาคำสอนไว้ด้วย ๗.๒.๒ กรรมทีปนีหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ ผู้แต่ง พระพรหมโมลี (วิลาศ ญาณวโร ป.ธ.๙) พระพรหมโมลีนามเดิม วิลาศ ทองคำ ฉายา ญาณวโร เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรอง อดีตเจ้าอาวาสวัดยานนาวา เป็นนักเขียน วรรณกรรมศาสนาพุทธ โดยเฉพาะผลงาน ๓ ชิ้น ได้แก่ ภูมิวิลาสินี วิมุตติรัตนมาลี และกรรม ทีปนีได้รับรางวัลชนะเลิศวรรณกรรมสาขาศาสนา จากธนาคารกรุงเทพ ประวัติการแต่ง วรรณกรรมไทยเรื่อง กรรมทีปนีได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดวรรณกรรมไทย ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด ในประเภทร้อยแก้ว สาขาศาสนา เรื่องนี้เป็นหนังสือที่อธิบายเรื่อง กรรมได้อย่างชัดเจนวิเศษยิ่ง เพราะแสดงความเป็นไปของกรรมตามหลักธรรมอันเป็นวิชาการ ทางพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นวิชาการที่ถูกต้องตามสภาวธรรมที่เป็นจริง เป็นวรรณกรรมที่ยิ่งด้วย
๑๗๙ สาระมหาศาล ทำให้ผู้อ่านซาบซึ้งในอรรถรส สำนวนโวหารก็หมดจดวิจิตรตระการสมกับเป็น วรรณกรรมไทย ทั้งให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องกรรมที่ยังไม่เคยรู้และเคยสงสัยอยู่ในใจอีก มากมาย ลักษณะการประพันธ์ ได้อธิบายถึงหัวข้อธรรมในภาวนาที่ยังไม่กระจ่างชัดให้กระจ่างยิ่งขึ้น โดยรวบรวมถ้วย กถาที่ปรากฏอยู่ในอาคตสถานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา และคัมภีร์ รุ่นหลังๆ ซึ่งจารึกไว้เป็นภาษามคธแล้วนำมาเรียงร้อยเสียใหม่ เป็นภาษาไทยที่เข้าใจง่ายชัดเจนเป็น เรื่องๆ ไป อันเป็นความสะดวกแก่การค้นคว้าหาความรู้เฉพาะเรื่องนั้นๆ ดุจดังเป็นวิทยาการทาง ธรรม นำให้หัวข้อธรรมนั้นๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น อุปมาเหมือนแว่นขยายที่ทำให้พระพุทธพจน์ชัดเจนขึ้น อุปมาเหมือนบันไดที่ทอดให้ไต่ขึ้นไปหาขุมทรัพย์ที่ถูกต้องคือพระพุทธพจน์ และอุปมาเหมือน เครื่องช่วยหายใจที่ช่วยให้ดำดิ่งลึกลงไปถึงอรรถแห่งพระพุทธพจน์ที่ลึกซึ้งคัมภีรภาพได้ โดยได้มุ้ง เน้นในเรื่องวิปัสสนาภาวนา ซึ่งเป็นเรื่องที่เราท่านผู้เป็นพุทธศาสนิกชนควรจักรับทราบเอาไว้เป็น อย่างยิ่ง เนื้อหาย่อ เนื้อหาของหนังสือเรื่อง “กรรมทีปนี” เป็นการแสดงถึงเรื่องของกรรมใน พระพุทธศาสนา ซึ่งได้นำมาจากหลักฐานตามหนังสือพระไตรปิฎกและหนังสืออรรถกถา ฎีกา ของพระอรรถกถาจารย์ ถ้าจะว่าโดยเรื่องทั้งหมดนั้น ถือได้ว่าเป็นหนังสือที่มีความยาว มากที่ศึกษามาก็มีประมาณถึงหนึ่งพันกว่าหน้ากระดาษ ภายในเนื้อหานั้นท่านก็ได้โยงไปถึงการ ทำกรรมและไปรับใช้ผลกรรมที่ทำไว้ในชาติต่อไปตามกรรมที่ตนได้กระทำในขณะที่มีชีวิต และ ท่านได้โยงไปถึงภพทั้งสาม การจะไปเกิดในภพภูมิไหนทำกรรมอะไรไว้ เช่น ถ้าทำกุศลกรรมไว้ ก็จะไปเกิดในสุคติภูมิ ถ้าทำอกุศลกรรมไว้ก็จะไปเกิดในทุคติภูมิ และในตอนแรกท่านได้เขียน ถึงกรรมอันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิและก็ยกตัวอย่างทิฏฐิของครูทั้ง ๖ แต่ยกมาเพียง ๓ ท่าน คือ ๑. ปูรณกัสสปะ มีทิฏฐิเป็นอกิริยทิฏฐิ คือเห็นว่า บุญที่ทำก็ไม่เป็นอันทำบาปที่ทำ ก็ไม่เป็นอันทำจะทำบุญหรือบาปหาได้รับผลไม่ ๒. มักขลิโคศาล มีทิฏฐิเป็น อเหตุกทิฏฐิ คือมีความเห็นว่า ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยเพื่อ ความเศร้าหมองและความบริสุทธิแห่งสัตว์ทั้งหลาย ทำมีการกระทำของตนเอง ของ บุรุษ ของผู้อื่น ไม่มีกำลังแห่งความเพียรกรรมต่าง ๆ จะให้ผลโดยบังเอิญไม่มีเหตุปัจจัย
๑๘๐ ๓. อชิตเกสกัมพล มีทิฏฐิเป็นนัตถิกทิฏฐิ คือเห็นว่า ทานไม่มีผล การบูชาไม่มี ผล การเซ่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี บิดา มารดาไม่มีสัตว์ผู้เกิดผุดขึ้นไม่มีสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบไม่มี คนเราก็มีเพียงธาตุ ทั้ง ๔ เมื่อตายไปก็เสื่อมไปไม่มีอะไร เมื่อผู้มีความผิดอย่าง ครูทั้ง ๓ ท่านนี้ย่อมจะต้องพากันไปเกิดในอบายภูมิเมื่อตายไป แล้วอย่างแน่นอน ภาคที่ ๑ ประเภทแห่งกรรม กรรมประเภทที่ ๑ ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า กิจจจตุกกะ คือ ประเภทของกรรมที่ว่าโดย หน้าที่นั้นมีอยู่ด้วยกัน ๔ ประการ ดังนี้ ๑. ชนกกกรรม ๒. อุปัตถัมภกกรรม ๓. อุปปีฬกกรรม ๔. อุปฆาตกกรรม กรรมประเภที่ ๒ ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า ปากทานปริยายจตุกกะ คือ ประเภทแห่ง กรรมที่ว่าโดยลำดับการให้ผลนั้น มีอยู่ด้วยกัน ๔ ประการ ดังนี้ ๑. ครุกรรม ๒. อาสันนกรรม ๓. อาจิณณกรรม ๔. กตัตตากรรม กรรมประเภทที่ ๓ ซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า ปากกาลจตุกกะ คือ ประเภทแห่งกรรม ที่ว่าโดยเวลาที่ให้ผลนั้น มีอยู่ด้วยกัน ๔ ประการ ดังนี้ ๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๒. อุปปุชชเวทนียกรรม ๓. อปราปริยเวทนียกรรม ๔. อโหสิกรรม ประเภทแห่งกรรมตามคำสอนทางพระพุทธศาสนา มีอยู่ ๓ ประเภท แบ่งออกเป็น ประเภทละ ๔ ประการ รวมเป็นกรรมทั้งสิ้นจำนวน ๑๒ ประการ คือ
๑๘๑ ๑. ชนกกรรม กรรมมีหน้าที่ยังวิบากให้เกิดขึ้น หมายความว่า การที่สัตว์ทั้งหลาย จะเกิดขึ้นมาได้ในวัฏฏภูมิ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เดียรฉาน มนุษย์ เทวดา หรือจะเกิดเป็นอะไรก็ ตามทีย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งชนกกรรมทั้งสิ้น ๒. อุปถัมภกกรรม กรรมมีหน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูกรรมอื่น หมายความว่าหน้าที่ของ กรรมนี้ได้แก่การเข้าไปอุปถัมภ์ค้ำชูกรรมของสัตว์ที่เกิดแล้ว จริงอยู่เมื่อสัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นด้วย อำนาจชนกกรรมชักนำปฏิสนธิให้แล้ว อุปถัมภกกรรมก็เข้าทำหน้าช่วยอุปถัมภ์ค้ำชูให้ได้รับ ความทุกข์หรือความสุขตามสมควรแก่กรรม คือถ้าเป็นอุปถัมภกกรรมฝ่ายอกุศล ก็ย่อมทำหน้าที่ อุปถัมภ์ค้ำชูกรรมที่เป็นอกุศลให้มีพลังมากยิ่ง ๆ ขึ้น เพื่อให้สัตว์ที่เกิดซึ่งเป็นเจ้าของกรรมได้รับ ความทุกข์นาน ๆ ถ้าเป็นอุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศล ก็ย่อมทำหน้าที่ตรงกันข้าม กล่าวคือ เข้าทำ หน้าที่อุปถัมภ์ค้ำชูกรรมที่เป็นกุศลให้มีพลังมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สัตว์ที่เกิดขึ้นซึ่งเป็นเจ้าของกรรม ได้รับความสุขนาน ๆ ๓. อุปปีฬกกรรม กรรมมีหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่น หมายความว่า หน้าที่ของ กรรมนี้ ได้แก่การเข้าไปเบียดเบียนทำร้ายกรรมที่มีสภาพตรงกันข้ามกับตน คือ ถ้าเป็นอุปปีฬก กรรมฝ่ายอกุศล ก็ย่อมทำหน้าเบียดเบียนทำร้ายกุศลกรรมความดีงามซึ่งให้ผลเป็นความสุข ความเจริญแก่เจ้าของกรรม แล้วบันดาลให้เจ้าของกรรมได้รับความทุกข์ ความเสื่อม ถ้าเป็นอุป ปีฬกกรรมฝ่ายกุศล ก็ย่อมทำหน้าที่เบียดเบียนทำร้าย อกุศลกรรม ความชั่วที่ให้ผลเป็นความ ทุกข์ความเสื่อมแก่เจ้าของกรรม แล้วบันดาลให้เจ้าของกรรมนั้นได้รับความสุข ความเจริญ ๔. อุปฆาตกกรรม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อุปัจเฉทกกรรม กรรมที่มีหน้าเข้าไป ฆ่าหรือเข้าไปตัดรอนกรรมอื่น หมายความว่า เข้าไปฆ่าเข้าไปตัดรอนกรรมที่มีสภาพตรงกันข้าม กับตนเป็นปัจจุบันทันด่วนยิ่งกว่าอุปปีฬกกรรม ๕. ครุกรรม กรรมหนักซึ่งมีอำนาจให้ผลเป็นลำดับ ๑ คือ ถ้าเป็นครุกรรมฝ่ายอกุศล ก็จะชักนำบุคคลผู้เป็นเจ้าของกรรมไปปฏิสนธิในนิรยภูมิทันทีหลังจากที่เขาตายไปจากชาตินี้ แล้ว ถ้าเป็นครุกรรมฝ่ายกุศล ก็จะให้ผลชักนำให้ผู้เป็นเจ้าของกรรมไปปฏิสนธิในพรหมภูมิ ทันทีหลังจากเขาตายแล้ว ๖. อาสันนกรรม กรรมที่กระทำในเวลาใกล้จะตาย มีอำนาจให้ผลเป็นลำดับ ๒ รอง จากครุกรรม
๑๘๒ ๗. อาจิณณกรรมหรือพหุลกรรม กรรมที่กระทำบ่อย ๆ ซึ่งมีอำนาจให้ผลเป็นลำดับ ที่ ๓ รองจากครุกรรมและอาสันนกรรม คือถ้าก่อนตายกรรมทั้งสองไม่มีอาสันนกรรมก็จะเข้าทำ หน้าที่ ๘. กตัตตากรรม กรรมที่สักแต่ว่ากระทำ คือทำโดยไม่มีเจตนาอย่างเต็มที่ เป็น กรรมซึ่งมีอำนาจให้ผลเป็นลำดับที่ ๔ ๙. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในปัจจุบันคือในชาตินี้ เช่น การถวาย อาหารพระอรหันต์ที่ออกจากนิโรธสมาบัติ เป็นต้น ๑๐. อุปปัชชเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า คือเป็นกรรมที่ให้ผลรองเป็น ลำดับ ๒ จากทิฏฐธรรมเวทนียกรรม จะให้ผลในชาติที่ติดต่อกับชาติปัจจุบันคือชาติที่สอง นั้นเอง ๑๑. อปราปริยเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป คือให้ผลช้ารองจากทิฏฐ ธรรมเวทนียกรรมและอุปปัชชเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๓ ไปนั้นเอง ๑๒. อโหสิกรรม กรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผล หมายความว่ากรรมนั้นมีพลังน้อยก่วา กรรมอื่นจึงถูกกรรมอื่นชิงให้ผลก่อน กรรมนั้นก็กลายเป็นหมันไปคือไม่มีโอกาสให้ผล เช่นผู้ทำ กรรม ทำทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ๒ อย่าง ถ้าอย่างไหนมีพลังมากกว่า อย่างนั้นก็จะให้ผลไป และกรรมที่มีพลังน้อยจึงกลายเป็นอโหสิกรรมไป อธิบายว่าธรรมดาจิตเป็นสภาพที่รู้อารมณ์หรือคิดอ่านในอารมณ์และมีสภาพไม่ แน่นอนเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปเป็นนิตย์ และวิถีจิตมี ๗ ชวนะ คือ เจตนาที่ประกอบอยู่ในชวนะดวงที่ ๑ เป็นตัว ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม เจตนาที่ประกอบอยู่ในชวนะดวงที่ ๗ เป็นตัวอุปปัชชเวทนียกรรม เจตนาที่ประกอบอยู่ในชวนะระหว่างกลาง ๕ ดวง ซึ่งได้แก่ ชวนะดวงที่ ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ เป็นตัวอปราปริยเวทนียกรรม ในการเขียนบรรยายความในกรรมที่ได้กล่าวมาก็ได้มีการยกตัวอย่างบุคคลผู้ได้รับผล ของกรรมทั้งที่เป็นกุศลและที่เป็นอกุศลมาเป็นตัวอย่างด้วย ในที่นี้จะขอนำเอาความย่อของ บุคคลผู้ได้รับผลของกรรมมาแสดงพอเป็นตัวอย่างตามที่ได้อธิบายไว้ดังต่อไปนี้ สำหรับผู้ที่ได้รับผลของครุกรรมนั้น ก็คือพระเทวทัต ได้กระทำกรรมอันหนักอันเป็น อนันตริยกรรมทั้ง ๒ ประการ คือ ๑. ทำพระโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ ๒. ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๑๘๓ จึงทำให้พระเทวทัตได้รับผลของครุกรรมอันเป็นทิฏฐธรรมเวทนียกรรม คือได้รับผลในปัจจุบัน ชาติเลย และเรื่องของสาวงาม ที่ได้รับผลของ อปราปริยเวทนียกรรม ที่ตนเคยทำไว้ เรื่องมี อยู่ว่า ชาวประชาชนเป็นจำนวนมากได้ลงเรือใหญ่ไปเที่ยวในมหาสมุทร เมื่อเรือใหญ่เดินทาง มาถึงกลางมหาสมุทรเรือเกิดหยุดเอาเฉย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ แม้หัวหน้าผู้คุมเรือจะพยายาม ให้ลูกน้องทำอย่างไรก็ไม่สามารถจะเคลื่อนเรือได้ จนเวลาล่วงเลยมานาน นายเรือจึงมีความคิด ว่า ภายในเรือนี้อาจจะมีคนกาลกิณีอยู่ก็ได้ จึงได้ทำฉลากให้ผู้ที่เดินทางมาด้วยทั้งหมดจับเพื่อ หาตัวกาลกิณี ให้จับหมดทุกคนแม้แต่ภรรยาสาวของหัวหน้าเรือก็ให้จับด้วย แต่เป็นที่แปลก มากเพราะฉลากที่สั้นอันเป็นกาลกิณีนั้นภรรยาสาวของหัวหน้าเรือเป็นผู้จับได้ แม้จะทำการ จับในรอบที่ ๒ หรือ รอบที่ ๓ ฉลากอันเป็นกาลกิณีก็ยังมาปรากฏอยู่ที่มือของภรรยานายเรือ ตลอด นายเรือถึงจะมีความรักแสนรักในภรรยาจำต้องตัดใจเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของ ผู้โดยสารทั้งหมด จึงได้มีคำสั่งให้ลูกเรือจับภรรยาของตนเอาเชือกมัดที่คอผูกติดกับก้อนหิน แล้ว สั่งให้โยนลงไปในทะเล หลังจากนั้นจึงสามารถเคลื่อนเรือออกจากกลางมหาสมุทรได้ นี้เกิด จากอปราปริยเวทนียกรรมของสาวงามที่เป็นภรรยาของนายเรือที่เคยทำไว้เมื่อสองชาติหรือ หลายชาติกว่าสองชาติที่ผ่านมา เพราะอปราปริยเวทนียกรรมนั้นจะให้ผลในชาติที่ ๓ ถัดจาก ชาติปัจจุบันไป และกรรมเมื่อชาติก่อนของสาวงามนั้นก็คือ นางได้เคยฆ่าสุนัขอย่างทารุณ คือ นางได้นำสุนัขผู้ตัวหนึ่งมาเลี้ยงไว้ จนสุนัขนั้นโต ขึ้น นางจะไปไหนสุนัขก็จะคอยวิ่งตาม จนทำให้ชาวบ้านล้อเลียนทำให้นางเกิดอับอายจึงไล่ตี สุนัขให้ไม่วิ่งตามตนอีก แต่ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์ผู้จงรักภักดีต่อเจ้านายเพราะสุนัขนั้นเคย เป็นสามีนางเมื่อชาติก่อนโน้น สุนัขก็ไม่ย่อท้อก็ยังวิ่งตามอยู่เหมือนเดิม นางจึงวางแผนฆ่าสุนัข คือนางได้นำเชือกติดตัวไปที่ท่าน้ำใหญ่แห่งหนึ่งอันมีฝั่งชันและน้ำลึก เมื่อไปถึงเห็นสุนัขวิ่งมา ตามก็แกล้งทำเป็นดีด้วย แล้วก็เรียกสุนัขมาหาเมื่อจับสุนัขได้แล้ว ก็มัดที่คอสุนัขด้วยเชือกแล้ว นำเชือกข้างหนึ่งผูกติดกับก้อนหินใหญ่ให้อยู่ใกล้กับคอสุนัข เพื่อหวังจะให้ก้อนหินใหญ่นั้นนำร่าง สุนัขจมลงไปในน้ำ หลังจากนั้นก็ได้ผลักสุนัขและก้อนหินที่ผูกติดคอสุนัขลงในที่ท่าน้ำอัน ลึก ก้อนหินก็ได้ดึงร่างสุนัขตัวน่าสงสารลงไปสู่ใต้พื้นน้ำกับมันก็ทำให้สุนัขซึ่งเป็นอดีตสามีในชาติ ก่อนของหญิงสาวนั้นสิ้นชีวิตไป เมื่อหญิงนั้นตายไปแล้วหลังจากนั้นอีก ๒ ชาติก็ได้มาเกิดเป็น ภรรยาของนายเรือจึงต้องมารับใช้กรรมด้วยการถูกนายเรือสั่งลูกน้องจับมัดคอติดกับหินแล้วโยน ลงในมหาสมุทร ซึ่งเป็นการรับผลของ อปราปริยเวทนียกรรม ของนางเอง
๑๘๔ คุณค่าของวรรณกรรม หนังสือ กรรมทีปนีถือว่า เป็นผลงานที่ทรงคุณค่าของพระพุทธศาสนา ที่รวบรวม เรื่องกรรมในแนวทางของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน ชัดเจนและอ่านง่าย และเป็นผลงาน ที่อธิบายถึงหลักกรรมได้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นคู่มือประกอบเป็นแนวทางในการศึกษาค้นคว้า เกี่ยวกับหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา สามารถนำเอาหลักการปฏิบัติภาวนาไปประยุกต์ใน ชีวิตประจำวันและสังคมได้แก่ การไม่ทำอกุศลทั้งปวง ไม่ว่าเป็นทางกาย และทางใจการสร้างสม แต่ความดี สร้างประโยชน์ให้แก่สังคมและครอบครัว ชุมชนและองค์กร และการทำจิตของตนให้ มีความสงบ ผ่องใส และการเจริญปัญญา ๗.๒.๓ หลวงพ่อทองวัดโบสถ์ ผู้แต่ง นายทวีวรคุณ ประวัติการแต่ง วรรณกรรมเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ผลงานของ นายทวีวรคุณ ซึ่งเป็นนัก ประพันธ์วรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนาผู้หนึ่งที่ได้รับการยอมรับว่ามีผลงานการประพันธ์ที่ดีเด่น โดยได้รับรางวัลจาก ยู.เนส.โก. ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ จุดมุ่งหมายของการแต่ง ทวี วรคุณ ได้เขียนบอกเล่าให้เห็นจุดสำคัญในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาของเรา ว่า การเผยแพร่ศาสนาโดยวิธีเล่าเรื่องและแทรกธรรมะอันจะทำให้คนเรานำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันนั้น ยังเป็นที่ต้องการของคนหมู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ยังไม่มีความรู้ทาง ศาสนา มีการสอดแทรกหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา และเหตุการณ์ในสังคมตลอดจนให้ คุณค่าด้านคำสอน การศึกษา วัฒนธรรม และประเพณี ลักษณะการประพันธ์ ผู้ประพันธ์ใช้กลวิธีหลายรูปแบบ เช่น ในส่วนที่เป็นลีลาการเขียนมีการใช้อุปมา โวหาร การพรรณนาความคิดและความรู้สึก ในส่วนที่เป็นการดำเนินเรื่องมีการเล่าเรื่องโดยตัว ละครหลายตัวผลัดกันเล่า มีการแทรกอารมณ์ขันเพื่อคลายความเครียดของเนื้อเรื่อง และกลวิธี ให้ตัวละครพูดโต้แย้งกันเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นความคิดที่หลากหลายเป็นต้น
๑๘๕ วรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนาเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์กลวิธีการเปิด เรื่องคือ การบรรยายหรือพรรณนาฉากของความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนที่มีต่อหลวงพ่อทอง วัดโบสถ์ดังตัวอย่าง “เมื่อเอ่ยถึงหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ ผู้ที่รู้จักตัวท่านต่างยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว เพราะตลอดแม่น้ำ บางประกงขึ้นไป จนเข้าคลองท่าลาด จนสิ้นเขตอำเภอพนมสารคาม ตลอด ถึงเมืองปราจีนบุรี และเลยไปถึงเมืองกบิทร์บุรี มีผู้รู้จักและเคารพ นับถือว่าท่านเป็นพระที่ ทรงวิทยาคมขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างยอดเยี่ยม...วันหนึ่งจะมีผู้คนทั้งบ้านไกล และบ้านใกล้ ตลอด ถึงชาวเมือง ชาวกรุงมุ่งไปหาท่านที่วัดมากรายด้วยกัน เพื่อขอของดีจากท่านมาคุ้มครองตน... ขอให้ท่านรดน้ำมนต์บ้าง ทำนายโชคชะตาบ้าง แม้บางคนที่เสียสติไปแล้ว ญาติพี่น้องพาตัวมาให้ ท่านอาบน้ำมนต์ให้ ยังหายเป็นปกติได้คล้ายปาฏิหาริย์”๒๑ วิธีการดำเนินเรื่องคือ ใช้วิธีเล่าเรื่องย้อนหลังในตอนต้นของเรื่องเพื่อปูพื้นให้เห็นภาพ การดำเนินชีวิตของพุทธศาสนิกชน โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องที่ผูกอยู่กับความรัก ความหลง ความ เกลียด ความหึง ความเจ็บปวด ความพยาบาท ความอาฆาตแค้น อารมณ์เหล่านี้เป็นรากฐาน อารมณ์แห่งธรรมชาติของมนุษย์ที่นิรันดร์จึงนำมาเป็นปมปัญหาให้เรื่องดำเนินไปได้ตั้งแต่ต้นจน จบเรื่อง ด้วยการบรรยายที่หมดจดงดงามอย่างผู้เข้าใจโลกเข้าใจชีวิต สอดแทรกหลักธรรมคำ สอนทางพระพุทธศาสนาเป็นแกนร้อยอยู่ตลอดเรื่อง เค้าโครงเรื่องที่เร้าใจมีความตื่นเต้น จึงชวน ให้ติดตามจนถึงจุดสุดยอดของเรื่อง เมื่อตราบเท่าที่มนุษย์ยังมีความรักเป็นอารมณ์หนึ่งของ ปุถุชน กลวิธีการนำความรักมาเป็นปมปัญหาให้เรื่องดำเนินไปได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง จึงเป็น กลวิธีที่สามารถสัมผัสใจของผู้อ่านได้โดยง่ายเหนือเนื้อหาที่เกิดจากอารมณ์อื่นใด และเป็นการ ดำเนินเรื่องที่สมจริงกับการดำเนินชีวิตของมนุษย์ในสังคม การปิดเรื่องหรือจบเรื่องคือการให้ตัวละคร และผู้อ่านปฏิบัติคำสอนใน พระพุทธศาสนาด้วยจิตที่ทรงมุ่งมั่นในการบำเพ็ญทานในพระพุทธศาสนาตราบจนวาระสุดท้าย ของพระชนม์ชีพ นอกเหนือจากสัจธรรมของชีวิตที่ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่ง นั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดาซึ่งผู้อ่านสามารถแลเห็นแล้ว ผู้อ่านยังได้ข้อคิดที่ว่า ชีวิตหนึ่ง ๒๑ ทวี วรคุณ, หลวงพ่อทองวัดโบสถ์, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊ค, ๒๕๔๑), หน้า ๑.
๑๘๖ เกิดขึ้นมาแล้วก็จากไป ชีวิตหนึ่งจบลงไปแล้วขณะที่ชีวิตอื่น ๆ จะตามไป การดำรงชีวิตอยู่ อย่างไรจึงจะมีความหมายและมีคุณค่าทั้งต่อตนเอง บุคคลอื่นและสังคม เนื้อหาย่อ เนื้อเรื่องย่อเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ เป็นงานเขียนที่กล่าวถึงเรื่องราวของผู้คน มากมาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลวงพ่อทองทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น "แม่กิมเฮียง" สาวงามผู้ เป็นที่หมายปองของเหล่าชายหนุ่ม ต่อมา "ทิดแร่ม" ได้ใช้น้ำมันจันทน์ทาที่แขนของแม่กิมเฮียง แม่กิมเฮียงเริ่มมีอาการจิตหลอน ทิดแร่ม กล่าวว่าเธอจะต้องยอมแต่งงานกับเขาถึงจะหายเป็น ปกติจนบิดามารดาต้องพาไปพึ่งหลวงพ่อ ท่านได้ใช้น้ำมนต์ราดจนกลับมามีอาการปกติได้อีก ครั้ง และได้ไปแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นที่เป็นครูแทน แท้ที่จริงเป็นเพียงอาการอุปาทานที่เธอคิด ไปเองเท่านั้น มิใช่เรื่องไสยศาสตร์แต่อย่างใด "เจ้าเผื่อน" ผู้ซึ่งเคยอาศัยอยู่กับหลวงพ่อทองตั้งแต่วัยเยาว์ เป็นคนที่มีนิสัยดีหลาย ประการ ขยัน ซื่อสัตย์ ไม่เอาเปรียบมิตรสหาย แต่เนื่องจากเป็นคนใจร้อนวู่วาม จึงได้ก่อเหตุ โศกนาฏกรรมขึ้น เขาได้ใช้อาวุธปืนสังหารภรรยากับชู้รักของเธอ เพราะไม่พอใจที่นอกใจ จากนั้นเจ้าเผื่อนได้หนีการจับกุมทั้งยังยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ต่อมาเจ้าเผื่อนเข้ามาพบกับหลวงพ่อ ทองด้วยความรู้สึกเป็นทุกข์หลวงพ่อทองกล่าวว่าคนเราแม้ว่าจะหนีตำรวจได้แต่เมื่อก่อกรรมชั่ว แล้วจะไม่สามารถหนีบาปที่ก่อไว้ได้เด็ดขาด ต่อให้หนีพ้นในชาตินี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถหนีพ้นใน ชาติต่อๆไปได้อยู่ดีหลวงพ่อทองจึงแนะนำให้เขายอมมอบตัวให้กับทางการ แล้วกลับตัวกลับใจ เสียใหม่ เผื่อว่าอาจได้การลดหย่อนผ่อนโทษ เจ้าเผื่อนสำนึกผิด เขาน้ำตาไหล และยอมมอบตัว ให้กับทางการในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของ "เจ้าแดง" ก่อนที่เขาจะเสียชีวิต และตัว ละครสำคัญอื่นๆ ที่ปรากฏในนิยายชุดนี้อีกหลายตอน เนื้อหาของวรรณกรรมอิงพระพุทธศาสนาเรื่องหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ พบว่า เรื่อง หลวงพ่อทองวัดโบสถ์เปิดเรื่องด้วยสถานที่แรกเป็นชนบทในประเทศไทย เป็นการเริ่มต้นนิยาย เรื่องนี้ได้ดีเพราะเป็นสถานที่ใกล้ตัวผู้อ่านและผู้อ่านส่วนใหญ่มีความคุ้นเคย จึงสร้างอารมณ์ให้ ผู้อ่านเห็นหรือรู้สึกตามได้เป็นอย่างดีเนื้อเรื่องอันเป็นเรื่องราวชีวิตของหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ที่ อยู่บนฐานตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีการสร้างศาสนสถาน บำรุงศาสนบุคคล และสืบ ทอด ศาสนธรรม การดำเนินเรื่องชีวิตของตัวละครที่ต้องผจญกับสุขทุกข์มีลาภเสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ พบกับการถูกสรรเสริญการถูกนินทา ทำให้วรรณกรรมเรื่องนี้มีลักษณะสมจริงและมี
๑๘๗ อุทาหรณ์ให้คิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ในชีวิตคนเราไม่อาจสมปรารถนาได้เสมอไป ด้วยอำนาจและ ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่ยั่งยืน ความสุขอันเป็นโลกียะทั้งมวลนำไปสู่ความทุกข์จึงไม่ควรท้อแท้สิ้นหวังใน ชีวิตจนเกินไป หากต้องประสบกับความทุกข์ควรรู้จักปล่อยวางไม่ยึดถือในเรื่องต่าง ๆ ให้มาก นัก ก่อเกิดความประทับใจแก่ผู้อ่านในความดีมุ่งมั่นกระทำไว้ในพระพุทธศาสนา ความต่อเนื่อง ในการเล่าเรื่องได้ฉายภาพหลวงพ่อทองวัดโบสถ์ให้แจ่มชัดในความรู้สึกของผู้อ่าน ความเป็นไป ของตัวละครอื่น ๆ ที่ผูกอยู่กับความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง อันเป็นกิเลสที่เกิด ขึ้นกับชีวิตใคร ๆ ก็ได้จึงทำให้ตัวละครดูเหมือนมีชีวิตชีวา ฉากต่าง ๆ สามารถบรรยายให้ผู้อ่าน รู้สึกเหมือน “เห็นด้วยตา” และ “ได้ยินด้วยหู” ซึ่งมาจากการสังเกตหาจุดเด่นของสิ่งต่าง ๆ แล้ว ดูให้ติดตา จนนำมาใช้บรรยายฉากได้ดีถึงขนาด บทสนทนาที่ไพเราะช่วยให้น่าสนใจอ่าน ภาษาที่ งดงามควรแก่การจดจำ สำนวนที่สละสลวย ความคิดที่คมคายลุ่มลึก อุปมาโวหารที่สื่อให้เข้าใจ ความหมายได้อย่างเฉียบคม และลึกซึ้งด้วยคติธรรมที่แนบเนียนกับเนื้อเรื่อง ล้วนเป็นกลวิธีทาง วรรณศิลป์อันเป็นผลให้อ่านได้เพลิดเพลินมีความบันเทิงใจ คุณค่าของวรรณกรรม ๑. คุณค่าต่อบุคคล ตามหลักธรรมถือว่าคุณค่าต่อบุคคล ต้องมีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องด้วย เพราะชีวิตที่มีคุณภาพจะต้องมีการพัฒนาตลอดเวลา การพัฒนาชีวิตก็คือการศึกษาและการ เรียนรู้จากสิ่งต่าง ๆ รอบ ๆ ตัว ทวี วรคุณ เห็นความสำคัญของการศึกษาเป็นอย่างมาก จะเห็น ได้จากวรรณกรรมหลาย ๆ เรื่อง ที่สร้างสรรค์ออกมามีหลายบทหลายตอนที่กล่าวถึงเรื่อง การศึกษาด้วยเหตุที่ท่านก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการศึกษามาพอสมควร วรรณกรรมที่ท่านแต่ง จึงไพเราะจับใจ จนได้รับการยอมรับจากสังคมว่า เป็นสุดยอดนักเขียนชั้นต้น ๆ ผลผลิตที่ได้จาก การศึกษาก็คืองานวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าหลากหลายและเป็นแบบอย่างที่ดีในการเขียนสำหรับ นักเขียนรุ่นต่อ ๆ มาจนปัจจุบัน อีกทั้งงานเขียนของท่านยังส่งผลต่อแนวความคิดและการดำเนิน ชีวิตต่อนักอ่าน และส่งผลต่อรูปแบบการแต่งวรรณกรรมของนักเขียนตั้งแต่อดีตจนกระทั่ง ปัจจุบันอีกด้วย เพราะเหตุนี้เอง เราจึงมีโอกาสได้ศึกษาวรรณกรรมของท่านกันจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้น วรรณกรรมจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อผู้อ่านและนักเขียนในด้านต่าง ๆ
๑๘๘ จากวรรณกรรมข้างบนจะเห็นได้ว่า ทวี วรคุณ ผู้ประพันธ์ กำลังปลูกฝังทัศนะคติที่ดี ใช้วิธีการกล่าวอ้างถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยใช้วิธีการอธิฐานขอพรจากพระ ขอไม่ว่าจะเกิดชาติไหนก็ ตาม ก็ขอให้เป็นผู้ที่มีปัญญาและมีความรู้ควบคู่ไปกับมีศีลธรรมประจำใจ นั่นเพราะสุนทรภู่ให้ ความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษาและการประพฤติตนเป็นคนดีอย่างมาก ท่านจึงย้ำไว้ใน วรรณกรรมของท่านเสมอ จะเห็นได้ว่า ชีวิตกับการศึกษาเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะแบ่งแยกออก จากกันได้เพราะชีวิตก็คือกระบวนการศึกษาเล่าเรียน เพื่อนำไปสู่การเข้าใจตนเอง เข้าใจสังคม เป็นโลกที่ไร้พรมแดน ไม่จำกัดการเวลา ไม่จำกัดเพศวัย หรือชนชั้นวรรณะ สุดแต่ว่าใครจะเอาใจ ใส่และสนใจที่จะแสวงหาความรู้มาก กว่ากันเท่านั้นเอง ในทัศนะทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึงกระบวนการและสาระสำคัญของการศึกษา เอาไว้ว่า การศึกษาที่ถูกต้องนั้นจะต้องเป็นไปเพื่อการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตของ ตนเองให้ดีขึ้น และจะต้องเป็นมรรควิธีที่จะนำชีวิตไปสู่ความเบิกบานสะอาด สว่าง สงบ และ หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง นั่นคือจะต้องดำเนินไปตามหลักไตรสิกขา ๓ ประการ คือ พัฒนา ศีล สมาธิและปัญญา คือ ๑. อธิสีลสิกขา คือ ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูงหรือ เป็นกระบวนการศึกษาที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่มีระเบียบวินัย มีความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ งดเว้นจากการประพฤติในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม และให้ความเคารพในสิทธิ เสรีภาพของบุคคลอื่นอยู่เสมอ อธิจิตตสิกขา คือ ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิด คุณธรรมเช่นสมาธิอย่างสูง หรือ กระบวนการศึกษาที่เป็นไปเพื่อการพัฒนายกระดับจิตใจของตนเองให้สูงขึ้น โดยมุ่งเน้นที่ จะสร้างความเข้มแข็ง ความเชื่อมั่น ความหนักแน่น และ ความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นกับตนเอง ๒. ธิปัญญาสิกขา คือ ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดความรู้แจ้งอย่าง สูง หรือ กระบวนการศึกษาที่เป็นไปเพื่อการพัฒนาความรู้หรือสติปัญญาให้มีขึ้นในตนเอง อันจะ เป็นหนทางนำไปสู่การรู้จักตนเอง เข้าใจตนเอง ควบคุมตนเอง ปรับปรุงตนเอง เปลี่ยนแปลง
๑๘๙ ตนเองพัฒนาตนเอง รวมทั้งจะเป็นหนทางที่จะนำบุคคลไปสู่การเข้าใจในปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่ เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และทำให้บุคคลสามรถก้าวเข้าถึงความหลุดพ้นได้ในที่สุด๒๒ สรุปได้ว่า วรรณกรรมเป็นการศึกษาหลักธรรมอีกแบบหนึ่ง ไม่ว่าจะในยุคสมัยใด สามารถที่จะสัมฤทธิผลได้หากตั้งใจศึกษาวรรณกรรมเพื่อที่จะเรียนรู้หรือทำความเข้าใจตนเอง และผู้อื่น และเป็นไปเพื่อที่จะยกระดับจิตวิญญาณของตนเองให้สูงขึ้น และได้เป็นไปเพื่อการ พัฒนาศีล สมาธิปัญญา ไม่ได้ศึกษาเพียงเพื่อตามกระแสของกิเลส และตอบสนองกระแสของ โลกนิยม ๒. คุณค่าต่อสังคม วรรณกรรม ถือว่าเป็นภาพสะท้อนสังคม การสะท้อนนี้มิใช่เป็นการสะท้อนอย่าง บันทึกเหตุการณ์ทำนองประวัติศาสตร์แต่เป็นภาพสะท้อนประสบการณ์ของผู้ประพันธ์และ เหตุการณ์ส่วนหนึ่งของสังคม วรรณกรรม จึงมีความเป็นจริงทางสังคมสอดแทรกอยู่ด้วยเสมอ๒๓ เพราะว่าวรรณกรรมเป็นผลงานอย่างหนึ่งของผู้ประพันธ์ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในสังคม เนื่องจากว่าเมื่อแต่งวรรณกรรม ก็จะสื่อเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ จากความรู้และ ประสบการณ์ที่พบเห็นลงในวรรณกรรม ด้วยเหตุนี้วรรณกรรมกับสังคม จึงมีความสัมพันธ์กันใน ด้านคุณค่าความรู้ความเชื่อ และคติธรรมคำสอน รวมทั้งสำนวนโวหารในงานวรรณกรรมแต่ละ ประเภท ทั้งนี้หากพิจารณาถึงคุณค่าของวรรณกรรมคำสอน จะเห็นว่า ใช้เป็นเครื่องมือสำคัญใน การควบคุมสังคมให้อยู่ในกรอบระเบียบ จารีต ประเพณีของสังคม ซึ่งนับว่าเป็นความฉลาดของ ทวี วรคุณที่เกิดจากความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา ความเคารพพระศาสดามีมาก ประกอบกับ ความเชื่อทางไสยศาสตร์ร่วมกัน จำทำให้เกิดความเชื่อว่าสิ่งเคารพเกี่ยวกับศาสนาเป็นสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่อาจบันดาลสิ่งดีสิ่งชั่วให้เกิดขึ้นแก่ตนได้เช่น ความเลื่อมใสในพระพุทธรูปว่ามี ๒๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, พิมพ์ครั้งที่ ๑๒, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑๐๗. ๒๓ หทัยวรรณ ไชยะกุล, วรรณกรรมศึกษา, (เชียงใหม่ : โรงพิมพ์มิ่งเมือง, ๒๕๔๙), หน้า ๗๖.