๔๐ เจดีย์พระมาลัยได้พบกับพระอริยเมตไตรยโพธิสัตว์และได้ทราบว่าพระองค์จะจุติมาเป็น พระพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป๒๘ อรรถกถา เป็นคัมภีร์อธิบายความในพระไตรปิฎก มีกำเนิดที่มาทั้งจากที่ พระพุทธเจ้าทรงอธิบายไว้เองและเหล่าสาวก มีพระอัครสารีบุตรเถระเป็นต้น อธิบายไว้ได้รับ การสืบทอดต่อคู่กันมากับพระไตรปิฎก๒๙ เป็นคัมภีร์สำคัญลำดับที่ ๒ รองจากพระไตรปิฎก อรรถกถาที่ไตรภูมิพระร่วงอ้างถึง มีดังนี้ ๑. พระอรรถกถาพระจตุราคม๓๐ จตุราคมเป็นคำที่ใช้เรียกคัมภีร์ทั้ง ๔ คัมภีร์ใน พระสุตตันตปิฎก ได้แก่ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย และอังคุตตรนิกาย อรรถกถาจตุรา คม จึงหมายถึง อรรถกถาของคัมภีร์ทั้ง ๔ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะ คือ อรรถกถาทีฆนิกาย มีชื่อว่า สุมังคลวิลาสินีอรรถกถามัชฌิมนิกาย มีชื่อว่า ปปัญจสูทนีอรรถกถาสังยุตตนิกาย มีชื่อว่า สา รัตถปกาสินีอรรถกถาอังคุตตรนิกาย มีชื่อว่า มโนรถปูรณี๓๑ ๒. พระอรรถกถาฎีกาพระวินัย อรรถกถาของพระวินัยปิฎกมี๓ คัมภีร์คือ สมันต ปาสาทิกา ผลงานของพระพุทธโฆษาจารย์ปาลิมุตตกวินิจฉัยสังคหอัฏฐกถา และ กังขาวิตรณี หรือมาติกัฎฐกถา เป็นอรรถกถาพระปาติโมกข์ผลงานของพระพุทธโฆษาจารย์ฎีกาของพระ วินัยปิฎก ได้แก่ วชิรพุทธิฎีกา สารัตถทีปนีฎีกา วิมติวิโนทนีฎีกา กังขาฎีกา วินยัตถมัญชุสา ฎีกา๓๒ ๓. พระสมันตปาสาทิกา๓๓ เป็นอรรถกถาธิบายพระวินัยปิฏกทั้งหมด พระพุทธโฆสา จารย์แต่งตามคาอาราธนาของพระพุทธสิริเมื่อประมาณ พ.ศ. ๙๒๗- ๙๗๒ ณ เมืองอนุราธปุระ ในศรีลังกาในรัชสมัยของพระเจ้าสิริปาละ โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหลชื่อ มหาปัจจรีย์และกุ รุนทีพระสมันตปาสาทิกามีเนื้อหากล่าวถึงพระธรรมวินัยและข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เช่น ๒๘ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา, หน้า ๑๑๙. ๒๙ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๔๘. ๓๐ ท้ายเรื่องไตรภูมิพระร่วงเรียกว่าอัฏฐกถาฏีกาพระจตุลมรรค ๓๑ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๑๘๖. ๓๒ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘๗. ๓๓ ตอนท้ายเรื่องไตรภูมิพระร่วงเรียก พระสเปนปาสาทิกา
๔๑ พระราชประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช ประวัติพระเจ้าอชาตศัตรูและภูมิศาสตร์ต่างๆ เช่น ที่ตั้งเมืองกุสินารา สาวัตถีและดินแดนสุวรรณภูมิ๓๔ ๔. พระสุมังคลวิลาสินี๓๕ เป็นอรรถาธิบายทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก เป็นผลงาน ของพระพุทธโฆสาจารย์แต่งตามคำอาราธนาของพระทาฐนาคะ เมื่อใกล้จะถึง พ.ศ.๑๐๐๐ โดย อาศัยอรรถกถาภาษาสิงหลซึ่งนอกจากจะเป็นคัมภีร์อธิบายขยายความพระสูตรที่มีขนาดยาวใน ทีฆนิกายแล้ว ยังให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์นิทานพื้นบ้าน เรื่องเล่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ อินเดียในด้านสังคม การเมือง ปรัชญาและศาสนาในยุคของพระพุทธเจ้าและข้อมูลทาง ภูมิศาสตร์และอื่นๆ อันทรงคุณค่าในสมัยโบราณ เช่น ประวัติการแต่งอรรถกถา เหตุการณ์ที่ พระพุทธเจ้าทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ประวัติและแผนการปลงพระชนม์พระบิดาเพื่อชิงบัลลังก์ ของพระเจ้า อชาตศัตรูการพรรณนาภูมิศาสตร์ของสถานที่ต่างๆ เช่น แคว้นอังคะ แคว้นโกศล เมืองราชคฤห์๓๖ ๕. พระปปัญจสูทนีเป็นอรรถาธิบายมัชฌิมนิกาย พระสุตตันตปิฎก พระพุทธโฆสา จารย์แต่งตามคำอาราธนาของพระพุทธมิตตะซึ่งเป็นเพื่อนและเป็นศิษย์ร่วมสำนักที่ มยุรรูปัฏฏ นะในอินเดียใต้เมื่อใกล้จะถึง พ.ศ. ๑๐๐๐ โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหลชื่อ มหาอรรถกถาซึ่ง นอกจากจะเป็นคัมภีร์อธิบายขยายความเนื้อหาทางธรรมในพระสูตรขนาดกลางในมัชฌิมนิกาย ทั้ง ๑๕๒ สูตรแล้ว ยังให้ข้อมูลรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ภูมิศาสตร์และอื่นๆ เช่น ประวัติ ของพระเจ้ามหามันธาตุในกุรุชนบทและอานุภาพแห่งจักรรัตนะของพระองค์ ภูมิศาสตร์ของ เทือกเขาหิมาลัย เมืองเวสาลีเมืองราชคฤห์วัดโฆสิตาราม ภูมิศาสตร์ของแม่น้ำต่างๆ ในอินเดีย เช่น คงคา ยมุนา พาหุกา สุนทริกา สรัสสตีและพหุมตี๓๗ ๖. พระมโนรถปูรณีเป็นอรรถาธิบายอังคุตตรนิกาย พระสุตตันตปิฏก พระพุทธโฆ สาจารย์แต่งตามคำอาราธนาของพระ (ภทันตะ) โชติปาลเถระและพระอาชีวกะซึ่งเคยอยู่ร่วม สำนักมหาวิหารในศรีลังกา คัมภีร์นี้นอกจากจะอธิบายหลักธรรมสำคัญแล้ว ยังกล่าวถึงประวัติ ๓๔ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๕๑. ๓๕ ท้ายเรื่องไตรภูมิเรียกว่าพระมังคลวิลาสนี ๓๖ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๕๓-๕๔. ๓๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๕๓-๕๔.
๔๒ พระสาวก สาวิกาองค์สำคัญๆ เกือบทั้งหมด และสถานที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จจำพรรษาตั้งแต่ พรรษาที่ ๑ ถึงพรรษาที่ ๔๕๓๘ ๗. พระธรรมชาตก๓๙ ชาตกัฏฐกถาหรืออรรถาธิบายขุททกนิกาย ชาดก พระ สุตตันตปิฎก พระพุทธโฆสาจารย์แต่งตามคำอาราธนาของพระอัตถทัสสีพระพุทธมิตตะและ พระพุทธปิยะ เพื่ออธิบายความในชาดกแห่งขุททกนิกาย ในพระสุตตันตปิฎก อรรถกถาชาดก มี ชาดก ๕๔๗ เรื่อง เรื่องราวที่ปรากฏในอรรถกถาชาดก นอกจากประมวลอรรถกถาเก่าๆ ใน พระพุทธศาสนาแล้ว ยังได้จากวรรณคดีเก่าแก่ในศาสนาพราหมณ์ศาสนาเชน เป็นต้น รวมทั้ง ประมวลเรื่องต่างๆ จากดินแดนหลายแห่งด้วย เช่น กรีก และเปอร์เซียร์๔๐ ๘. พระมธุรัตนปูรณีวิลาสินี๔๑ เป็นอรรถาธิบายขุททกนิกาย พุทธวงศ์ พระ สุตตันตปิฎก พระพุทธัตตะประพันธ์ขึ้น จัดเป็นอรรถกถาประมวลความที่แต่งโดยปริวรรตจาก คัมภีร์มหาอรรถกถาในรูปภาษาสิงหลมาเป็นภาษามคธ ตามคำอาราธนาของศิษย์ชื่อว่า พุทธ สีหะ๔๒ ๙. พระวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสาจารย์ประพันธ์ขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๐ เป็นคัมภีร์สำคัญในพุทธศาสนานิกายเถรวาทซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสารานุกรมของพุทธ ศาสนา คัมภีร์วิสุทธิมรรคเป็นงานเขียนสรุปสารัตถะของพระไตรปิฎกที่ประมวลธรรมในคัมภีร์ พระไตรปิฎกมาแสดงเป็นหมวดหมู่โดยตั้งเป็นคำถาม - คำตอบ แบ่งเป็น ๓ ภาคใหญ่ๆ ถือแนว วิสุทธิ๗ ประการเป็นหลัก โดยขยายสีลวิสุทธิออกเป็นนิเทศหนึ่งต่างหาก เรียกว่า สีลนิเทศ แยก จิตวิสุทธิออกเป็นนิเทศหนึ่ง เรียกว่า สมาธินิเทศ และแยกปัญญาวิสุทธิทั้ง ๕ ออกเป็นอีกนิเทศ หนึ่ง เรียกว่า ปัญญานิเทศ รวมทั้งสิ้นมี๒๓ นิเทศ ๑๐. อรรถกถาฎีกา พระอภิธรรมาวตาร คัมภีร์อภิธัมมาวตารเป็นคัมภีร์ชี้แนะ พระ อภิธรรม เป็นอรรถกถาสังเขปที่ย่อความจากพระอภิธรรมปิฎกและอรรถกถาของ พระพุทธโฆสา ๓๘ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๕๖-๕๗. ๓๙ ท้ายเรื่องไตรภูมิเรียกว่าพระธาตุกาตกถา ๔๐ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๕๙-๖๐. ๔๑ ท้ายเรื่องไตรภูมิเรียกว่าพระธัมมรัตถวิลาสินี ๔๒ พระคันธสาราภิวงศ์, ผู้แปล, อภิธัมมาวตาร (กรุงเทพมหานคร : หจก. ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๓๓.
๔๓ จารย์เป็นผลงานของท่านพระพุทธทัตตเถระเป็นชาวทมิฬ เกิดที่เมืองอุครปุระ แคว้นโจฬะ ประเทศอินเดีย พระพุทธทัตตเถระน่าจะมีชีวิตอยู่ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๙ ท่านเป็นผู้คงแก่ เรียนและได้เดินทางไปศึกษาที่ประเทศลังกา ณ สำนักมหาวิหารซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสำนัก ใหญ่มาตรฐานการศึกษาสูง สืบทอดคำสอนดั้งเดิมของนิกายเถรวาทอย่างแท้จริง คัมภีร์นี้แต่ง ตามคำอาราธนาของพระสุมติเถระ คัมภีร์อภิธัมมาวตารมีอายุเก่าแก่กว่าคัมภีร์อรรถกถาสังเขป พระอภิธรรมเล่มอื่น คัมภีร์อภิธัมมาวตารนับเป็นอรรถกถาสังเขปฉบับแรกของ พระอภิธรรม ปิฎก พระพุทธทัตตเถระถือเป็นบิดาแห่งการรจนาอรรถกถาสังเขปของคัมภีร์ศาสนาพุทธนิกาย เถรวาท๔๓ ฎีกาของพระอภิธรรมาวตาร มีชื่อว่า อภิธรรมมัตถวิภาวินี๔๔ ๑๑. พระอภิธรรมสังคห๔๕ เป็นผลงานของพระอนุรุทธเถระแห่งพม่า กล่าวกันว่า เป็นบุคคลรุ่นเดียวกับพระพุทธโฆษาจารย์พระอนุรุทธเป็นพระอรรถกถาจารย์ที่มีชื่อเสียงราว พุทธศักราช ๙๕๓ อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นวรรณคดีประเภทสังคหะ ซึ่งวิเคราะห์ธรรมะเรื่องใด เรื่องหนึ่ง จัดเป็นคัมภีร์ประเภทแรก คือสรุปความจากพระอภิธรรมปิฎก เป็นงานสังคหะที่มี ชื่อเสียงที่สุดของพระอภิธรรมปิฎก๔๖ ๑๒. พระสารัตถปกาสินีเป็นอรรถาธิบายสังยุตตนิกาย พระสุตตันตปิฏก พระพุทธ โฆษาจารย์เป็นผู้รจนาคัมภีร์นี้ขึ้นเพื่อขยายความในสังยุตตนิกาย๔๗ ฎีกา – อนุฎีกา ฎีกา คือคัมภีร์อธิบายเนื้อความของอรรถกถาให้เข้าใจง่าย เกิดขึ้นภายหลังคัมภีร์ อรรถกถา เป็นคัมภีร์หนึ่งที่เป็นคู่มือหรือกุญแจในการศึกษาหลักธรรม คำสอนของ พระพุทธเจ้า๔๘ ฎีกาเป็นคัมภีร์สำคัญลำดับที่ ๓ อนุฎีกา คือ ฎีกาใหม่ที่แต่งเพิ่มเติมขึ้นภายหลัง ๔๓ พระคันธสาราภิวงศ์, ผู้แปล, อภิธัมมาวตาร, หน้า ๓๓. ๔๔ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๑๘๖-๑๘๗. ๔๕ ท้ายเรื่องไตรภูมิเรียกว่าพระอภิธัมมัตถสังเคราห์ ๔๖ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๑๘๕-๑๘๖. ๔๗ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘๐. ๔๘อ้างแล้ว, หน้า ๗๓.
๔๔ เพื่ออธิบายเนื้อความในคัมภีร์ฎีกาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น๔๙ เป็นคัมภีร์สำคัญลำดับที่ ๔ ฎีกาและ อนุฎีกาที่ได้รับการอ้างถึงในไตรภูมิพระร่วงนั้น มีดังนี้ ๑. พระสารัตถทีปนีเป็นฎีกาของพระวินัย พระสารีบุตรเป็นพระเถระผู้เป็นหัวหน้า คนสำคัญในการเขียนฎีกาในสมัยของพระเจ้าปรักกรมพาหุที่ ๑ แห่งลังกา พระสารีบุตรได้ชี้แจง ถึงจุดมุ่งหมายในการแต่งฎีกาไว้ว่าต้องการจะเขียนฎีกาที่อ่านเข้าใจง่ายและมีความสมบูรณ์ พร้อมในทุกด้าน ๒. พระสินาโรถปกาสินี๕๐ (ลีนัตถปกาสินี) เป็นฎีกาพระวินัยปิฎก ๓. พระลักษณาภิธรรม หรือลักขณาภิธรรม เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของคัมภีร์อภิธัมมัตถ วิภาวินีฎีกาซึ่งเป็นอนุฎีกาที่พระสุมังคลาจารย์เป็นผู้แต่ง กล่าวถึงเนื้อหาเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพานซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของอภิธรรม๕๑ ปกรณ์วิเสส เป็นคัมภีร์หรือหนังสือที่พิเศษ หรือแตกต่างไปจากคัมภีร์ทั้งหลายที่มีอยู่เดิม ที่ไม่ได้ แต่งอธิบายธรรมะตามคัมภีร์ใดคัมภีร์หนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นเพื่อแสดงความ คิดเห็นอันเป็นภูมิรู้หรือภูมิธรรมของท่าน มุ่งอธิบายหัวข้อธรรมหรือเกล็ดความรู้ต่างๆ ตลอดจน ประวัติและตำนาน โดยศึกษาค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลจากคัมภีร์ต่างๆ ตามเนื้อหาที่กำหนด๕๒ ไตรภูมิพระร่วงกล่าวถึงปกรณ์วิเสสต่าง ๆ ดังนี้ ๑. พระมิลินทปัญหา มิลินทปัญหาเป็นวรรณคดีพระพุทธศาสนาที่สาคัญมากที่สุด ชิ้นหนึ่ง วินเทอร์นิทซ์ปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้จัดมิลินทปัญหาไว้ในลำดับแรกสุดของ วรรณคดีบาลีประเภทอรรถกถา (Non-Canonical Pālī-Literature) ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ มิลินท ปัญหาเป็นวรรณคดีประเภทอรรถกถาชิ้นแรกสุดซึ่งประพันธ์ขึ้นในราวต้นคริสต์ศักราชที่ ๑ และ เป็นคัมภีร์เดียวที่ไม่ได้ประพันธ์ในศรีลังกา แต่ประพันธ์ในอินเดียตะวันตกเฉียงเหนือ ปราชญ์ต่าง เห็นว่ามิลินทปัญหานั้นได้เค้าโครงเรื่องมาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์เชื้อ ๔๙ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๗๖. ๕๐ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา, หน้า ๑๘๐. ๕๑ ในตอนท้ายไตรภูมิพระร่วงเรียกว่าพระลีนมารถปกาสินี ๕๒ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรรคดีบาลี, หน้า ๑๐๑.
๔๕ สายกรีกนามว่าเมนันโดร (Menandros) ซึ่งน่าจะครองราชย์อยู่ในอินเดียช่วงประมาณ ๑๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล๕๓ มิลินทปัญหานั้นเดิมทีประพันธ์ด้วยภาษาสันสกฤตซึ่งไม่ปรากฏนามผู้แต่ง และ ต้นฉบับภาษาสันสกฤตนั้นได้สูญหายไปแล้ว คงเหลือแต่ฉบับภาษาบาลีที่พบในประเทศศรีลังกา เท่านั้นซึ่งกล่าวกันว่า ท่านพระติปิฏกจุฬาภัยเป็นผู้ประพันธ์๕๔ คัมภีร์มิลินทปัญหาได้รับการยก ย่องจากปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาหลายท่าน อาทิพระพุทธโฆษาจารย์พระอรรถกถาจารย์ผู้ มีชื่อเสียงที่สุดท่านหนึ่งในคริสต์ศตวรรษที่ ๕ ท่านยกย่องมิลินทปัญหาว่าเป็นคัมภีร์ชั้นสูงซึ่งอาจ เทียบชั้นได้กับคัมภีร์พระไตรปิฎก และท่านยังใช้คัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นหลักวินิจฉัยหนังสือ อรรถกถาของท่านด้วย อีกท่านหนึ่ง คือศาสตราจารย์ริส เดวิดส์(Rhys Davids) ผู้แปล มิลินท ปัญหาเป็นภาษาอังกฤษ ท่านยกย่องว่ามิลินทปัญหาเป็นหนังสือที่แต่งดีนับเป็นสุดยอดคัมภีร์ หนึ่งของพระพุทธศาสนาและคัมภีร์ที่แต่งได้ใกล้เคียงกับมิลินทปัญหานี้ก็มีเพียงคัมภีร์วิสุทธิ มรรคของท่านพระพุทธโฆษาจารย์๕๕ ปัจจุบันคัมภีร์มิลินทปัญหาคงมีต้นฉบับภาษาบาลีอยู่ในประเทศศรีลังกา พม่าและ ไทย ได้มีการแปลถ่ายทอดไปในหลายๆ ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา เช่น แปลเป็น ภาษาอังกฤษ จีน รวมทั้งภาษาไทย ผลงานที่แปลเป็นภาษาไทยนั้นมี๔ ฉบับ คือ ฉบับแปลครั้ง กรุงศรีอยุธยา ฉบับแปลในรัชกาลที่๓ ฉบับแปลในมหามกุฎราชวิทยาลัย๕๖ และฉบับที่แปลโดย ปุ้ย แสงฉาย มิลินทปัญหาเป็นเรื่องราวการสนทนาธรรมระหว่างพระนาคเสนเถระผู้มีชื่อเสียงกับ พระเจ้ามิลินท์หรือพระเจ้าเมนันเดอร์กษัตริย์แห่งกรีก เนื้อหามิลินทปัญหาแบ่งเป็น ๖ ส่วน คือ ๑. บุพพโยค ว่าด้วยบุพพกรรมและประวัติของพระนาคเสนและพระเจ้า มิลินท์ ๕๓ Maurice Winternitz, History of Indian Literature, Vol. II, Trans. S. Ketkar and H. Khon. 3rd ed. (Delhi: Munhiram Manoharlal, 1991), 174-175. ๕๔ มหาเถรสมาคม, มิลินทปัญหา, พิมพ์ครั้งที่ ๘, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๓๖), หน้า ๒๙. ๕๕ Maurice Winternitz, History of Indian Literature, pp.176. ๕๖ ปุ้ย แสงฉาย, ผู้แปล, มิลินทปัญหา, ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถาฎีกา, (กรุงเทพมหานคร : ส. ธรรมภักดี, ๒๕๒๘ ), คำนำ.
๔๖ ๒. มิลินทปัญหาว่าด้วยปัญหาเงื่อนเดียว ๓. เมณฑกปัญหาว่าด้วยปัญหาสองเงื่อน ๔. อนุมานปัญหาว่าด้วยเรื่องที่รู้โดยอนุมาน ๕. ลักขณปัญหาว่าด้วยลักษณะแห่งธรรมต่างๆ ๖. อุปมากถาปัญหาว่าด้วยเรื่องที่จะพึงทราบด้วยอุปมา ๒.พระชินาลังการ หรือคัมภีร์ชินาลังการ พระพุทธรักขิตเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นเมื่อ พุทธศักราช ๗๐๐ เป็นงานประพันธ์ประเภทร้อยกรอง จำนวน ๒๗๑ บท แต่งด้วยฉันท์๑๒ ประเภท เนื้อหาของพระชินาลังการ กล่าวถึงพุทธประวัติเริ่มตั้งแต่การประสูติตรัสรู้จนถึง ปรินิพพาน นิยะดา เหล่าสุนทร ได้ตั้งข้อสังเกตว่าคัมภีร์ชินลังการที่ระบุไว้ในบานแผนกของไตร ภูมิพระร่วง น่าจะเป็นคัมภีร์ชินาลังการฎีกามากกว่าเพราะมีเนื้อหาตรงกับไตรภูมิพระร่วง มากกว่าคัมภีร์ชินาลังการ๕๗ ๓. พระสาระสังคหะ หรือ พระสารัตถสังคหะ พบว่าคัมภีร์สารัตถสังคหะมีอยู่ ด้วยกัน 2 สำนวน สำนวนแรกเป็นของพระภิกษุชาวลังกาที่มีชื่อว่า พระสิทธัตถะ ผู้ซึ่งอยู่ในสมัย ของพระเจ้าภุวเนกพาหุครองราชย์ระหว่างปีพุทธศักราช ๑๘๒๐ – ๑๘๓๑ สำนวนที่ ๒ เป็น ของพระภิกษุชาวล้านนา ที่มีชื่อว่าพระนันทาจารย์เนื้อความและการลำดับเนื้อความในทั้ง ๒ คัมภีร์นั้นตรงกัน สุภาพรรณ ณ บางช้าง ยังได้สันนิษฐานว่า พระนันทเถระหรือพระนันทาจารย์ ได้แต่งคัมภีร์สารสังคหะในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. ๑๘๔๒ – ๑๘๕๑ ปีพ.ศ. ๑๘๕๘ นั้นเป็นปีที่ มหาเถรเจ้าชื่อว่านันทเถระเดินทางไปเผยแพร่ศาสนาในเมืองเขิน ตามที่ปรากฏหลักฐานใน ตำนานเมืองเชียงใหม่ และนันทเถระนี้น่าจะเป็นผู้เดียวกับพระนันทาจารย์ ดังนั้นพระนันทจารย์รูปนี้น่าจะเรียบเรียงแต่งคัมภีร์นี้ให้เสร็จสิ้นก่อนไปยังเมืองเขิน ในปีพ.ศ. ๑๘๕๘ คัมภีร์สารัตถสังคหะสำนวนของพระสิทธัตถะแห่งลังกาแต่งระหว่างปี พุทธศักราช ๑๘๒๐ – ๑๘๓๑ ในช่วงเวลาดังกล่าวดูจะสั้นเกินไปที่จะมีการเผยแพร่คัมภีร์นี้จาก ลังกามาล้านนา และมายังสุโขทัยอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นคัมภีร์สารัตถสังคหะที่ปรากฏในบานแผนก ของไตรภูมิพระร่วงอาจจะเป็นคัมภีร์สารัตถสังคหะสำนวนของลังกาก็เป็นได้๕๘ ๕๗ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา, หน้า ๑๑๕. ๕๘ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา, หน้า ๑๖๓.
๔๗ ๔. พระอนาคตวงศ์เป็นผลงานของพระกัสสปเถระชาวอินเดียใต้ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ประมาณปีพ.ศ. ๑๗๐๓ – ๑๗๗๓ คัมภีร์อนาคตวงศ์แต่งเป็นคาถาร้อยกรอง ๑๔๒ คาถา ผู้แต่ง ยกเนื้อความให้เป็นพระพุทธดำรัส เล่าเรื่องของพระศรีอริยเมตไตรย ผู้จะมาตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าภายหลังพระศาสนาในกาลของพระองค์แล้ว๕๙ ๕. พระโลกปัญญัตติเป็นผลงานของพระสัทธรรมโฆษเถระ คัมภีร์โลกบัญญัติภาษา บาลีที่รู้จักกันในเวลานี้มิใช่ผลงานเรียบเรียงแต่เป็นผลงานแปลจากต้นฉบับเรื่องแรกซึ่งเป็น ภาษาสันสกฤต นอกจากจะมีผู้แปลเป็นภาษาบาลีแล้ว ใน พ.ศ. ๑๑๐๑ พระภิกษุจีนชื่อปรมาร ถะยังได้แปลเป็นภาษาจีนจากต้นฉบับเดิม ชื่อว่า โลกปฺราชฺญาปติฉบับภาษาจีน และโลกบัญญัติ ภาษาบาลีพบว่ามีเนื้อหาตรงกัน ส่วนต้นฉบับภาษาสันสกฤตได้สูญหายไป เนื่องจากไม่มี หลักฐานเกี่ยวกับคัมภีร์โลกบัญญัติในลังกา จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นผลงานแปลของชาวพม่าซึ่ง แปลในสมัยพระเจ้าอนุรุทธมหาราช ผู้รวบรวมอาณาจักรพุกามและครองราชย์สมบัติประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๑๖ เหตุผลที่นำมาสู่ข้อสันนิษฐานก็คือ ก่อนสมัยพระเจ้าอนุรุทธมหาราช พม่ายัง ไม่รวมกันเป็นปึกแผ่น พระพุทธศาสนายังไม่เจริญรุ่งเรือง ยังไม่มีการศึกษาภาษาบาลีอย่างจริงจัง อีกประการหนึ่งในเนื้อหาของคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องพระเจ้าอโศกมหาราช และการบำรุง พระพุทธศาสนาในสมัยของพระองค์เรื่องดังกล่าวนี้ไม่มีในฉบับภาษาจีน ในสมัยของพระเจ้า อนุ รุทธมหาราช นอกจากพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแล้วยังปรากฏความนิยมเรื่องพระเจ้าอโศก มหาราชเป็นพิเศษด้วย จึงน่าจะเป็นสมัยที่จะมีการแปลโลกปฺราชฺญาปติภาษาจีน เป็นโลก บัญญัติภาษาบาลี๖๐ ๖. พระอรุณวตีไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง สันนิษฐานว่าแต่งในลังกา ไทย พม่า แห่งใดแห่ง หนึ่ง น่าจะแต่งประมาณพุทธศตวรรษที่ ๗ เนื้อเรื่องกล่าวถึงประวัติของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ ประสูติจนถึงเสด็จประทับที่เมืองอรุณวดีการเสด็จพรหมโลกของพระพุทธเจ้ากับพระอภิภูและ ลักษณะของจักรวาล โดยกล่าวว่าจักรวาลประกอบด้วยทวีปทั้งสี่ คือ ชมพูทวีป อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป และอมรโคยานทวีป พรรณนาถึงขนาด รูปร่างและส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ต้นไม้ ภูเขา ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ จักรวาลเช่นนี้หนึ่งพันจักรวาล เรียกว่า จุลลนิกา ๕๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๘๔. ๖๐ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๕๔.
๔๘ โลกธาตุ หนึ่งหมื่นจักรวาล เรียกว่า มัชฌิมโลกธาตุแสนโกฎิจักรวาล เรียกว่า ติสหัสสมหาสหัสสี โลกธาตุ พระสาวกแสดงฤทธิ์ได้เพียงแต่ในจุลลนิกาโลกธาตุเท่านั้น ส่วนมัชฌิมโลกธาตุและติส หัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุพ้นวิสัยของพระสาวก แต่อยู่ในวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะว่า พระสาวกกับพระพุทธเจ้านั้นจะเปรียบเทียบกันไม่ได้๖๑ ๗. คัมภีร์โลกุปปัตติพระสิริสมันตภัททบัณฑิต พระเถระชาวพม่าแห่งอาณาจักร พุกาม เป็นผู้ประพันธ์ในรัชสมัยของพระเจ้านรปติสิทธูประมาณ พ.ศ. ๑๗๑๖ – ๑๗๒๓ จำนวน ๙๓๑ คันถะพระสิริสมันตภัททบัณฑิต แต่งเรื่องนี้เพื่อสืบต่อและรวบรวมแนวคิดเรื่องโลกศาสตร์ ในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และปกรณ์พิเศษมาจัดเรียงลำดับ ใหม่ ถึงแม้ว่าจะมีปกรณ์พิเศษเรื่องโลกศาสตร์ซึ่งเชื่อว่าแต่งก่อนหน้าโลกุปปัตติถึง ๔ เรื่อง คือ โลกปัญญัติฉคติทีปนีมหากัปปโลกสัณฐานปัญญัตติและอรุณวตีสูตร แต่คัมภีร์ทั้ง ๔ ยังมีการ จัดลำดับเนื้อเรื่องโลกศาสตร์ยังไม่ชัดเจน แม้แต่ในพระไตรปิฏก อรรถกถาและฎีกา ก็กล่าวถึง อย่างกระจัดกระจายตามเรื่องต่างๆ ผู้แต่งเรื่องโลกุปปัตติจึงน่าจะแต่งเรื่องนี้ขึ้นเพื่อรวบรวม แนวคิดเรื่องโลกศาสตร์ให้เป็นระบบชัดเจนขึ้น๖๒ โลก ซึ่งเนื้อหาในส่วนนี้โลกุปปัตติอยู่ตอนต้น และตอนกลางของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วงมีเนื้อหาส่วนนี้อยู่ในกัณฑ์ที่ ๙ และ ๑๐๖๓ ๘. พระมหากัลป์หรือ มหากัปปโลกสัณฐานบัญญัติไม่ทราบผู้แต่งและสมัยที่แต่ง แต่มีหลักฐานว่าน่าจะแต่งก่อน พ.ศ. ๑๘๘๘ มีเนื้อหากล่าวถึงความพินาศของโลก การกำเนิด โลก และลักษณะของโลก ลักษณะเนื้อหาน่าจะรวบรวมข้อมูลจากพระไตรปิฎกมาจัดเรียงลำดับ มิใช่เป็นผลงานแต่งเองโดยตลอดเรื่อง๖๔ ๙. พระโพธิวงศ์ในคัมภีร์ชินาลังการ ได้กล่าวถึงคัมภีร์พระโพธิวงศ์ไว้ว่า พระ พุทธทัตตะเถระเป็นผู้ประพันธ์ท่านได้ประพันธ์คัมภีร์๓ คัมภีร์คือ ชินาลังการ ทันตธาตุวงศ์ และโพธิวงศ์ขณะพานักอยู่ในประเทศลังกา อย่างไรก็ตามโพธิวงศ์ที่พบต้นฉบับปัจจุบันประพันธ์ ๖๑ กวีแสงมณี, “อรุณวดีสูตร: การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก (บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓), หน้า ๖. ๖๒ สมพงษ์ปรีชาจินดาวุฒิ, “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องโลกุปปัตติ”, หน้า ๔๔. ๖๓ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙๖. ๖๔ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา, หน้า ๑๓๑.
๔๙ โดยพระอุปติสสเถระ ด้วยพบว่าในคาลงท้ายของคัมภีร์โพธิวงศ์มิได้กล่าวถึงผู้แต่ง โพธิวงศ์แต่ใน คัมภีร์โพธิวงศ์ฉบับพม่า ซึ่งปริวรรตจากอักษรสิงหล มีคำนาภาษาบาลีของผู้ชาระ คือ พระชนิน ทะวัดต่องปอก จังหวัดมองลำใย กล่าวตามคำนำฉบับสิงหลว่า ท่านผู้แต่งคัมภีร์พระโพธิวงศ์คือ พระอุปติสสเถระ แต่งตามคำอาราธนาของพระทาฐานาคเถระ๖๕ ๑๐. พระสารีริกพินิจฉัย๖๖ เป็นชื่อคัมภีร์ปกรณ์วิเสส๖๗ นอกจากนี้ยังมีคัมภีร์ซึ่งยังไม่สามารถค้นหาประวัติที่มาได้มีดังนี้คือ พระธรรมมหากถา พระอนุฏีกาหิงธรรม พระอนุปติกา และพระธรรมหทยะ ไตรภูมิพระร่วงนอกจากจะ ระบุถึงคัมภีร์ต่างๆ อันเป็นแหล่งที่มาของข้อมูลที่ใช้พระราชนิพนธ์แล้ว ยังระบุถึงพระสังฆเจ้า ทั้งหลายซึ่งพญาลิไทยได้ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมอันเป็นแหล่งความรู้ของพระองค์ไว้อีกด้วย ดัง ความว่า “พระธรรมทั้งหลายนี้เจ้าพระญาเลไทยอันเป็นกษัตริย์พงศ์ดังฤาแลมาอาจผูกพระคัมภีร์ ไตรภูมิกถานี้ได้ไสร้เพราะเหตุท่านนั้นทรงพระปิฏกไตรธรรม ธได้ฟังได้เรียนแต่สำนักพระสังฆ เจ้าทั้งหลาย คือว่า(พระ)มหาเถรมุนีพงศ์เป็นอาทิครูมเรียนแต่พระอโนมทัสสีแล พระมหาเถร ธรรมปาลเจ้าบ้าง พระมหาเถรสิทธัตถะเจ้าบ้าง พระมหาเถรปัญานันธส เรียนแต่ราชบัณฑิตผู้ หนึ่ง ชื่ออุปเสนราชบัณฑิต ผู้หนึ่งชื่ออทรายราชบัณฑิต เรียนแต่ไกลด้วยวารพิสัย แต่พระมหา เถรพุทธโฆษาจารย์ในเมืองหริภุญชัย” ๖๘ การระบุชื่อคัมภีร์จำนวนมากและกล่าวอ้างถึงพระเถระต่างๆ ซึ่งพระองค์ได้ศึกษา เล่าเรียนเพื่อบอกถึงแหล่งที่มาของข้อมูลที่พระองค์ทรงศึกษาค้นคว้าและรวบรวมมาพระราช นิพนธ์เป็นไตรภูมิพระร่วงนั้น เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้อ่านและผู้ฟังเกิดความเชื่อถือต่อ ข้อมูลที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์สำคัญในการพระราชนิพนธ์ไตร ภูมิพระร่วงขึ้นเพื่อมุ่งเผยแพร่ธรรมะให้เจริญรุ่งเรืองในหมู่ประชาชน โดยระบุว่าอานิสงค์แห่งการ ฟังไตรภูมิพระร่วงนี้จะได้พบพระศรีอารยเมตไตรและได้ไปสู่นิพพาน ๖๙ การศึกษาค้นคว้า ๖๕ พระคันธสาราภิวงศ์, ผู้แปล, อภิธัมมาวตาร ((กรุงเทพมหานคร : หจก. ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙), หน้า ๓๔. ๖๖ ตอนท้ายเรื่องไตรภูมิพระร่วงเรียก พระสารีริกพินิสัย ๖๗ สาวิตรีแสนสว่าง, “การศึกษาวิเคราะห์คำภาษาตระกูลไทในไตรภูมิกถา”, หน้า ๑๗. ๖๘ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์วรรณคดีไทย สมัยสุโขทัย ไตรภูมิกถา, หน้า ๕. ๖๙ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๓.
๕๐ รวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวาง จนกล่าวกันว่าไตรภูมิพระร่วงเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรกของไทยนั้น นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนเชื่อถือและศรัทธาต่อข้อมูลและเรื่องราวที่ปรากฏในไตรภูมิ พระร่วง อันจะนำมาซึ่งจุดประสงค์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าก็คือการใช้วรรณกรรมเล่มนี้เพื่อเป็น วรรณกรรมคำสอน ปลูกฝังความเชื่อถือศรัทธาเรื่องการทำบุญและบาปให้กับประชาชน อันจะ ทำให้ประชาชนตั้งอยู่ในศีลธรรม ไตรภูมิพระร่วงจึงนับเป็นเครื่องมือในการปกครองให้คนใน สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่เบียดเบียนกัน ด้วยเหตุว่าเนื้อหาในไตรภูมิพระร่วงเป็นการสร้าง โลกทัศน์ความเชื่อถือศรัทธา เป็นการควบคุมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนให้เกรงกลัว ต่อการทำบาปด้วยการสร้างความคิดและความเชื่อให้เกิดขึ้นในความคิดจิตใจของประชาชนเอง ไตรภูมิพระร่วงเป็นวรรณคดีพุทธศาสนาซึ่งได้รับคติเรื่องไตรภูมิมาจากพุทธศาสนา เถรวาท นับเป็นวรรณกรรมไทยเรื่องสำคัญที่มีเนื้อหาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องจักรวาลวิทยาไว้อย่าง ชัดเจน ไตรภูมิพระร่วงได้นาเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโลกและจักรวาลอันเป็นพื้นฐานความรู้แก่ผู้คน ในยุคนั้น เพื่อเสนอแนวความคิดเรื่องไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยมุ่งสอนให้คนไม่ ยึดมั่นในสรรพสิ่ง เพราะทุกสิ่งย่อมเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติอันเป็นแนวคิดที่มุ่งเสนอให้หลุด พ้นจากไตรภูมิไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือการนิพพาน เพื่อสอนให้คนไม่ยึดติดในสิ่งทั้งปวงซึ่งจะ ก่อให้เกิดกิเลสตัณหาอันจะนามาซึ่งการกระทาซึ่งนาไปสู่ความทุกข์ยากทั้งในขณะดารงชีวิตและ เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว หรือหากทำบุญกุศลก็ยังมิใช่ความสุขที่จีรังยั่งยืน ท้ายสุดเมื่อหมดผลบุญก็ยัง ต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสารต่อไป สิ่งเดียวที่จะนำไปสู่การหลุดพ้นก็คือ นิพพาน ซึ่งเป็นการดับ ทุกข์ที่แท้จริง เนื้อหาของไตรภูมิพระร่วงจึงมีคุณค่าทั้งในการอธิบายความรู้ทั้งในเชิงอภิปรัชญา แก่ผู้คนในสังคมขณะนั้น และยังเป็นคำสอนเรื่องการประพฤติปฎิบัติตนแก่คนในสังคมอันจะ นำมาซึ่งความสงบสุขของสังคมด้วยอีกประการหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นการเผยแผ่พระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้าให้แพร่หลายด้วย ต้นฉบับเป็นหนังสือจารในใบลานเมื่อในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรีสมเด็จกรมพระยา ดำรงราชานุภาพทรงมีความเห็นว่าหนังสือเรื่องนี้เป็นหนังสือเก่ามาก มีศัพท์เก่า ๆ ที่ไม่เข้าใจ และที่เป็นศัพท์อันเคยพบแต่ในศิลาจารึกครั้งกรุงสุโขทัยหลายศัพท์ น่าเชื่อว่าหนังสือไตรภูมินี้ ฉบับเดิมจะได้แต่งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยจริง แต่คัดลอกกันมาหลายชั้นหลายต่อจนคลาดเคลื่อน หรือ บางทีจะได้ดัดแปลงสำนวนและแทรกเติมเข้าเมื่อในครั้งกรุงเก่าบ้างก็อาจจะเป็นได้ถึง กระนั้นโวหารหนังสือเรื่องนี้ยังเห็นได้ว่าเก่าแก่กว่าหนังสือใด ๆ ในภาษาไทย นอกจากศิลาจารึก
๕๑ ที่ได้เคยพบมา จึงนับได้ว่าเป็นหนังสือเรื่องดีด้วยอายุประการหนึ่ง เรื่องไตรภูมิเป็นเรื่องที่นับถือ กันแพร่หลายมาแต่โบราณ ถึงคิดขึ้นเป็นรูปภาพเขียนไว้ตามฝาผนังวัดและเขียนจำลองลงไว้ใน สมุด มีมาแต่ครั้งกรุงเก่ายังปรากฏอยู่จนทุกวันนี้ไตรภูมิแปลว่าแดนสาม ซึ่งแยกเป็นกามภูมิ๑ รูปภูมิ๑ และอรูปภูมิ๑ สัตว์ทั้งหลายเกิดมาย่อมเวียนวนไปเกิดใน ๓ ภูมินี้กามภูมิคือแดนที่ ข้องอยู่ด้วย กามตัณหา ยังมีความโลภ โกรธ หลง ระคนอยู่ด้วย สัตว์ไปเกิดเป็นสัตว์นรกในแดน นรก ไปเกิดเป็นเปรตในแดนเปรต และไปเกิดเป็นยักษ์มารในแดนอสูรกาย สามแดนนี้เรียกรวม ว่า อบายภูมิคือแดนอันเป็นทุกข์เดือดร้อนมาก สัตว์ไปเกิดเป็นคนในแดนมนุษย์และไปเกิดเป็น เทวดาบนสวรรค์๖ ชั้นแรกชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นชั้นต่ำที่สุดชั้นนี้เป็นที่อยู่ของท้าวจตุโลกบาล ทั้ง ๔ ถัดไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของพระอินทร์นายเทวดา แล้วถึงชั้น ยามา ชั้น ดุสิต ชั้นนิมมานนรดีและชั้น ปรมิตวสวัตตตีสวรรค์๖ ชั้น รวมแดนมนุษย์ด้วยก็เป็น ๗ แดน เรียกว่าสุคติภูมิคือเป็นแดนมีสุข เมื่อรวมเข้ากับอบายภูมิแดนมีทุกข์๔ แดน ด้วยกันก็เป็น ๑๑ แดน จัดเป็นกามภูมิอันเป็นแดนทะเยอทะยานเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องกามจึงเรียกว่า กามภูมิ๗๐ โครงเรื่องและเนื้อหาในไตรภูมิพระร่วง มีดังนี้ ไตรภูมิหมายถึง แดนทั้งสามที่สัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด ได้แก่ ๑. กามภูมิเป็นแดนที่ข้องอยู่ด้วยกามตัณหา ยังมีโลภะ โทสะ โมหะ ระคนอยู่ด้วย ความรัก ความใคร่ มีสุข มีทุกข์กามภูมิประกอบด้วยทุคติภูมิหรืออบายภูมิ๔ และสุคติภูมิ๗ รวม ๑๑ ภูมิดังนี้ ๑.๑ ทุคติภูมิหรืออบายภูมิ๔ ได้แก่ (๑) นรกภูมิคือ ภูมิที่ไม่มีความเจริญ ประกอบด้วยนรกใหญ่ ๘ ขุม ได้แก่สัญชีพนรก กาลสูตตนรก สังฆาฏนรก โรรุวนรก มหาโรรุวนรก ตาปนรก มหาตาปนรก และมหาอวิจีนรก นอกจากนรกใหญ่ ๘ ขุมแล้ว ยังมีนรกบริวารล้อมนรกใหญ่อยู่อีกด้านละ ๔ ขุมเรียกว่า นรกบ่าว ดังนั้น นรกใหญ่ ขุมหนึ่งจึงมีนรกบ่าว ๑๖ ขุม รวมนรกบ่าวทั้งสิ้น ๑๒๘ ขุม เหตุที่ทำให้สัตว์ต้อง ไปเกิดในนรกมี๓ ประการคือ โลภเหตุ (ความโลภ) โทสเหตุ (ความโกรธ) และโมหเหตุ (ความ หลง)ด้วยเหตุ ๓ ประการนี้ทำให้สัตว์ประกอบด้วยความชั่ว ๑๐อย่างคือ กายทุจริต ๓ ได้แก่ ฆ่า สัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกาม วจีทุจริต ๔ ได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อ ๗๐ เสถียรโกเศศ, เล่าเรื่องในไตรภูมิ, (กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา, ๒๕๑๑), หน้า ๑ – ๓.
๕๒ เจ้อ และมโนทุจริต ๓ ได้แก่อยากได้ของผู้อื่น ปองร้ายผู้อื่น เห็นผิดเป็นชอบ คือ อกุศลกรรมบถ ๑๐๗๑ (๒) เปตภูมิภูมิของเปรตชนิดต่างๆ บรรยายให้เห็นสภาพของเปรตแต่ละชนิดและ กล่าวถึงบาปกรรมที่ทำให้ต้องเป็นไป เปรต เช่น ขโมยของสงฆ์นินทาพระสงฆ์และครูบาอาจารย์ ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน ให้ยาแก่หญิงมีครรภ์เพื่อทำแท้ง ตระหนี่และห้ามไม่ให้ผู้อื่นทำทาน ทำร้าย บิดามารดา พูดเท็จ รับสินบน ตัดสินความไม่ยุติธรรม เผาป่าทำลายป่า เป็นต้น (๓) อสุรกายภูมิเป็นภูมิของอมนุษย์พวกหนึ่งที่เป็นศัตรูต่อเทวดา ที่เรียกว่า พวก อสุรกาย ในไตรภูมิพระร่วงแบ่งเป็น 2 ชนิด คือพวกที่มีรูปร่างที่น่าเกลียดน่ากลัว และพวกที่มีที่ อยู่งดงาม เรียกว่า อสุรพิภพ (๔) ดิรัจฉานภูมิคือภูมิของสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งถือว่าพวกนี้มีสัญญาณหรือความสำนึกรู้ เพียง ๓ สัญญา คือ กามสัญญา อาหารสัญญา และมรณสัญญา ซึ่งต่างจากมนุษย์คือ มนุษย์มี ธรรมสัญญาเพิ่มอีกอย่างหนึ่งด้วย ๑.๒ สุคติภูมิ๗ ได้แก่ มนุสสภูมิ๑ และ สวรรคภูมิ๖ ดังนี้ (๑) มนุสสภูมิเป็นภูมิของคนหรือมนุษย์ในเรื่องได้อธิบายการปฏิสนธิของมนุษย์ ขณะอยู่ในครรภ์มารดา และได้จำแนกบุตรที่ได้คลอดจากครรภ์มารดาออกเป็น๓ ประเภท คือ อภิชาตบุตร อนุชาตบุตร และ อวชาตบุตร นอกจากนี้ยังแบ่งมนุษย์เป็น ๔ ประเภท ตาม พฤติกรรม เช่น ผู้ที่ทำบาป เป็นนิตย์เรียกว่า คนนรก ผู้ที่เกิดเป็นคนเข็ญใจหาบุญจะกระทำมิได้ เรียกว่า คนเปรต ผู้ที่ไม่รู้จักบาปบุญเรียกว่า คนดิรัจฉาน และผู้ที่รู้จักผิดและชอบเรียกว่า คน มนุษย์ (๒) สวรรคภูมิเป็นภูมิของเทวดาที่ยังเกี่ยวข้องกับกาม มี๖ ชั้น คือจาตุมหาราช ภูมิดาวดึงสภูมิยามาภูมิตุสิตภูมินิมมานรติภูมิและปรนิมมิตวสวัตติภูมิ ๒. รูปภูมิเป็นภูมิของพรหมที่มีรูป เรียกว่า โสฬสพรหม แบ่งตามผู้สำเร็จฌานทั้ง ๔ ดังนี้ ๗๑ สุจิตรา อ่อนค้อม,พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก ,๒๕๔๓),หน้า ๓๔.
๕๓ ๒.๑ ปฐมฌานภูมิคือ ภูมิของผู้สำเร็จฌานที่ ๑ มี๓ ภูมิได้แก่ (๑) พรหมปาริสัชชา (๒) พรหมปุโรหิตา (๓) มหาพรหมา ๒.๒ ทุติยฌานภูมิคือ ภูมิของผู้สำเร็จฌานที่ ๒ มี๓ ภูมิได้แก่ (๑) ปริตตาภา (๒) อัปปมาณาภา (๓) อาภัสสรา ๒.๓ ตติยฌานภูมิคือ ภูมิของผู้สำเร็จฌานที่ ๓ มี๓ ภูมิได้แก (๑) ปริตตสุภา (๒) อัปปมาณสุภา (๓) สุภกิณหา ๒.๔ จตุตถฌานภูมิคือ ภูมิของผู้สำเร็จฌาน ๔ มี๗ ภูมิได้แก่ (๑) เวหัปผลา (๒) อสัญญีสัตตา (๓) อวิหา (๔) อตัปปา (๕) สุทัสสา (๖) สุทัสสี (๗) อกนิฏฐา ๓. อรูปภูมิเป็นภูมิของพรหมไม่มีรูป แบ่งตามผู้สำเร็จอรูปฌาน ๔ เรียกชื่อตาม อรูปฌาน ดังนี้ ๓.๑ อากาสานัญูจายตนภูมิภูมิของผู้สำเร็จอากาสานัญูจายตนฌาน ๓.๒ วิญญาณัญจายตนภูมิภูมิของผู้สำเร็จวิญญาณัญจายตนฌาน ๓.๓ อากิญูจัญญายตนภูมิภูมิของผู้สำเร็จอากิญจัญญายตนฌาน ๓.๔ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิภูมิของผู้สำเร็จเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
๕๔ จากนั้นได้กล่าวว่าเรื่องที่บรรยายมาแล้วทั้งหมดนี้เป็นคติของโลก ซึ่งไม่ได้ยั่งยืน ตลอดไป แม้พรหมเองมีอายุนับด้วยกัลป์ก็ต้องจุติ(หมายถึงเคลื่อนจากภพคือตาย) หาความ เที่ยงแท้แน่นอนมิได้ตอนท้ายสุดได้กล่าวถึงวิธีปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด โดยการบรรลุมรรคผล นิพพาน ไตรภูมิพระร่วงเสนออุดมคติในทางโลกว่า ได้แก่การไปเกิดในภพ ที่ดีและได้เสนอแนวทางในการปฏิบัติเพื่อจะนำไปสู่จุดหมายนั้น ด้วยการแบ่งคนเป็น ๔ ประเภท และยกย่องคนประเภทที่ ๔ คือ มนุษย์๗๒เพราะเป็นผู้รู้ผิดรู้ชอบ มีความละอายและ เกรงกลัวต่อบาป เรียกว่า คนผู้มีศีลธรรม ซึ่งแนวทางในการปฏิบัติตนให้ได้ชื่อว่ามีศีลธรรมนั้น หมายถึง การเว้นจากทุจริต ๓ ประการ ได้แก่กายทุจริต วจีทุจริต และมโนทุจริต หรือที่เรียกว่า เป็นผู้มีสุจริต ๓ ประการ๗๓ดังนี้ ๑. กายสุจริต หมายถึง การประพฤติชอบด้วยกาย ทำสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ทางกาย ๓ ประการ ๑.๑ เว้นจากการฆ่าสัตว์มีเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ๑.๒ เว้นจากการแย่งชิง การลักขโมย เคารพในสิทธิเเละทรัพย์สินของกันและกัน ๑.๓ เว้นจากการประพฤติผิด ล่วงละเมิดในของรักของหวงแหน ไม่ข่มเหงจิตใจ ทำลายลบหลู่กัน ๒. วจีสุจริต หมายถึง การประพฤติชอบด้วยวาจา พูดในสิ่งที่ดีงามถูกต้อง ๔ ประการ ๒.๑ เว้นจากการพูดเท็จ โกหกหลอกลวง พูดแต่คำสัตย์ไม่จงใจพูดให้ผิดจาก ความจริง ๒.๒ เว้นจากการพูดส่อเสียดยุยงให้เกิดความแตกแยก พูดแต่คำที่สมานส่งเสริม ความสามัคคี ๒.๓ เว้นจากการพูดคำหยาบ พูดแต่คำสุภาพ นุ่มนวลชวนฟัง ๒.๔ เว้นจากการพูดเหลวไหลเพ้อเจ้อ พูดแต่ความจริงมีสาระประโยชน์ ๗๒ พญาลิไท, ไตรภูมิพระร่วง, (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖), ๓๘ – ๔๒. ๗๓ สํ.ม.(ไทย) ๑๙/๑๘๗/๑๒๑.
๕๕ ๓. มโนสุจริต หมายถึง การประพฤติชอบด้วยใจ คิดแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม ๓ ประการ ๓.๑ เว้นจากการละโมบ คิดเสียสละ มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ๓.๒ เว้นจากการคิดมุ่งร้ายเบียดเบียน ตั้งความปรารถนาดีมุ่งให้เกิดประโยชน์ สุขต่อกัน ๓.๓ มีความเห็นถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิรู้ผิดรู้ถูก อุดมคติในทางธรรม ชีวิตมนุษย์เป็นขบวนการแห่งทุกข์การให้ทาน รักษาศีลตามที่ได้ กล่าวไว้ข้างต้นนั้นเป็นเพียงบันไดที่จะนำไปสู่การเกิดใหม่ในภพที่ดีซึ่งหาใช่ทางที่จะเอาชนะทุกข์ ได้ไม่การเข้าถึงพระนิพพานต่างหากที่ถือว่าเป็นสภาวะแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ที่แท้จริง๗๔ พระพุทธองค์ทรงค้นพบความจริงของสิ่งทั้งหลายทั้งปวงว่ามีลักษณะ ๓ ประการ คือ อนิจจัง ทุก ขัง และอนัตตา๗๕ ดังนั้น จุดหมายปลายทางที่มนุษย์ควรก้าวไปสู่คือ การหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งมวลหรือ การเข้าถึงพระนิพพานนั่นเองพิจารณาถึงคุณค่า ดังนี้ ๑. เป็นหนังสือที่มีคุณค่าต่อศิลปวัฒนธรรมไทย เป็นบ่อเกิดแห่งความคิดแรงบันดาลใจ ให้ศิลปินและกวี ๒. เป็นหนังสือที่มีคุณค่าทางด้านศาสนา ซึ่งเป็นคุณค่าหลักของหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงคุณและโทษของไตรภูมิวิธีปฏิบัติเพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน อันเป็นโลกุตรภูมิ ๓. เป็นหนังสือที่มีคุณค่าทางด้านสังคมศาสตร์ไตรภูมิพระร่วงมีความสำคัญในฐานะที่ ถือกันว่าเป็นอุดมการณ์ทางการเมือง เป็นเครื่องมือของชนชั้นปกครองในสมัยสุโขทัย นอกจากนี้ยังมีสุภาษิตพระร่วงหรือ บัญญัติพระร่วงที่ยังไม่ปรากฏผู้แต่ง แต่ถ้อยคำใน สุภาษิตเท่าที่ปรากฏเป็นหนังสือที่ได้รวบรวมไว้เป็นเล่มนั้น ไม่ใช่เป็นหนังสือที่ได้รวบรวมไว้เป็น เล่มนั้นไม่ใช่ของเก่าทั้งหมด มีการรวบรวมจดบันทึกความจำที่ได้เล่าต่อ ๆ กันมา ลักษณะของ ถ้อยคำแต่งสัมผัสคล้องจองกันอย่างดีเช่น ผิจะบังบังจงลับ ผิจะจับจับจงมั่น ผิจะคั้นคั้นจนตาย ผิจะหมายหมายจงแท้ผิจะแก้แก้จงกระจ่าง เนื้อเรื่องเริ่มด้วยพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัยทรงมุ่งหวัง ๗๔ สุจิตรา อ่อนค้อม, พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย, หน้า ๓๖. ๗๕ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๓๖.
๕๖ ประโยชน์ภายหน้า จึงทรงบัญญัติสุภาษิตเป็นเครื่องเตือนสติประชาชน มีสุภาษิตทั้งหมด ๑๕๘ บท เนื้อหาที่สั่งสอนในสุภาษิตพระร่วงนี้ครอบคลุมหลักการปฏิบัติตนในด้านต่าง ๆ เป็น ต้นว่าการศึกษาหาความรู้การผูกไมตรีการคบคน การวางตน การปฏิบัติต่อพระมหากษัตริย์ การรู้จักรักษาตนให้พ้นภัย การรู้จักปรับตัวให้พ้นอันตราย โดยให้คงความเป็นตัวของตัวเองไว้ ด้วยพิจารณาคุณค่าดังนี้ ๑. คุณค่าด้านภาษา สำนวนภาษาที่ใช้ในสุภาษิตนี้ใช้ถ้อยคำง่าย ๆ คล้องจองกะทัดรัด ไม่ใช้ศัพท์สูง จึงทำให้น่าอ่าน เพราะง่ายต่อการเข้าใจและจดจำ เช่น เมื่อน้อยให้เรียนวิชาให้หา สินเมื่อใหญ่ ๒. คุณค่าด้านสังคม คนไทยได้นับถือสุภาษิตพระร่วงเป็นแนวในการดำเนินชีวิตมาช้า นาน เพราะสุภาษิตพระร่วงให้คติทั้งในทางโลกและทางธรรม คนไทยได้ชื่อว่าเป็นคนเจ้าสุภาษิต เจ้าบทเจ้ากลอนอยู่แล้ว จึงเชื่อได้ว่าสุภาษิตพระร่วง เป็นสุภาษิตที่เป็นหลักฐานในสังคมไทยมา นาน ๓. คุณค่าด้านค่านิยมทางสังคม สุภาษิตพระร่วงในด้านค่านิยมทางสังคม เช่น มีความ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ส่งเสริมการศึกษา รู้จักประมาณตน ไม่โอ้อวด สร้างไมตรีไม่ เบียดเบียนมิตร รักเกียรติและรักศักดิ์ศรีมากกว่าทรัพย์๗๖ ๒.๓.๔ ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นวรรณกรรมอีกเล่มที่เป็นหลักฐานทางประเพณีวัฒนธรรมไทย เกี่ยวกับผู้แต่งเล่ม นี้บางคนเชื่อว่าตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์แต่งขึ้นในสมัยกรุงสุโขทัย เพราะมีเนื้อเรื่องอ้างอิงถึง สถานที่ต่าง ๆ ที่เหมือนในกรุงสุโขทัยตอนหนึ่งและกล่าวถึงจรรยาวัตรของพระร่วงอีกตอนหนึ่ง แต่สันนิษฐานว่าตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์แต่งขึ้นในรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ แห่งกรุง สุโขทัย ระหว่างปีพ.ศ. ๑๘๙๗ – ๑๙๑๙ เนื้อเรื่องตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์แบ่งออกได้เป็น ๕ ตอน ๑. กล่าวถึงชาติและภาษาต่าง ๆ ๗๖ ดนัย ไชยโยธา, ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสิ้นอาณาจักรสุโขทัย, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนส โตร์, ๒๕๕๐), หน้า ๑๔๗ – ๑๔๘.
๕๗ ๒. ยอพระเกียรติพระร่วง เล่าชีวิตชาวสุโขทัยและสถานที่บางแห่ง ๓. ประวัติของนางนพมาศเอง ๔. คุณธรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของนางสนม ๕. พระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีลอยพระประทีป (เดือนสิบสอง) พระราชพิธี จรดพระนังคัล (เดือนหก) พระราชพิธีอาษาฒมาส (เดือนแปด) พระราชพิธีอาสวยุธ(เดือนสิบ เอ็ด) พิจารณาคุณค่า ดังนี้ ๑. คุณค่าด้านวัฒนธรรม มีคุณค่าในการแสดงหลักฐานทางวัฒนธรรมโบราณของไทย ทำให้เรารู้ขนบธรรมเนียมและขนบประเพณีในพระราชสำนัก ๒. คุณค่าทางสังคม ให้ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติสตรีและค่านิยมทางสังคม ได้แก่ ความประพฤติความขยัน รวมทั้งวิชาการช่าง ๓. คุณค่าทางด้านภาษา มีคุณค่าทางอักษรศาสตร์และวรรณคดี ๔. คุณค่าด้านโบราณคดีให้ความรู้ในทางโบราณคดีเป็นประโยชน์ในการตรวจสอบ พระราชพิธีต่างๆ ๒.๔ สรุป บริบททางสังคมของอาณาจักรสุโขทัย มีการแบ่งแยกโครงสร้างทางสังคมระหว่างชน ชั้นปกครองกับชนชั้นปกครอง โดยมีพระภิกษุสงฆ์ทำหน้าที่ประสานระหว่างชนชั้นทั้งสองในด้าน การปกครองในสมัยแรกๆ มันเป็นระบอบการปกครองแบบพ่อ กษัตริย์ทำตัวเหมือนพ่อและ ปกครองประชาชนเหมือนลูก ๆ ของเขา ประชาชนมีความใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์ การ ปกครองของพระองค์แนะนำพุทธศาสนาเป็นแบบอย่าง ในเวลาต่อมาทรงมีพระอิสริยยศ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาธรรมราชซึ่งพระพุทธศาสนามีบทบาทอย่างมากในการ ปกครอง รวมทั้งการดำเนินชีวิต ยิ่งมีวัฒนธรรมและประเพณีของอาณาจักรสุโขทัยมากขึ้น บทบาทของพระมหากษัตริย์ในการปกครองอาณาจักรสุโขทัยใน รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงซึ่ง ครองราชย์เป็นบิดาเหนือบุตร แต่ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไททรงเป็นกษัตริย์ธรรม คือ การปกครองด้วยความชอบธรรม บทบาทของกษัตริย์ในสมัยสุโขทัยในด้านเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับ การค้าขายกับต่างประเทศ นอกจากนี้พระพุทธศาสนายังได้เผยแพร่ไปยังประเทศต่างๆ
๕๘ ประวัติศาสตร์พุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย แบ่งออกเป็น 3 ยุค ในตอนต้นของจักรวรรดิ พุทธศาสนามหายานจากจีนได้แพร่กระจายเข้าสู่อาณาจักรและมีศาสนาและนิกายอื่นๆ มากมาย เช่น ศาสนาพราหมณ์ พุทธศาสนามหายาน รวมทั้งการบูชานางไม้ด้วย ซึ่งพุทธศาสนานิกาย หินยานเริ่มเข้ามามีบทบาทในอาณาจักรยุคกลางตอนหลังซึ่งเป็นยุครุ่งเรืองหรือยุคทองของ พระพุทธศาสนา ในยุคนี้ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด เพราะพระมหากษัตริย์ทรงรับ พระราชทานบรรดาศักดิ์ว่า พระมหาธรรมราชา หมายถึง การใช้หลักพระพุทธศาสนาในการ ปกครอง ทรงชี้ให้เห็นความเชื่อในเรื่องบุญบาป เช่น พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงพระราชนิพนธ์ วรรณกรรมเกี่ยวกับพุทธศาสนาชื่อ เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลก ทัศน์ของพระพุทธศาสนาที่มีอยู่ใน 3 อาณาจักร คือ โลกิภูมิพล สุขติภูมิพล และนิพพาน เพื่อให้ ผู้คนได้ทราบถึงข้อดีและโทษของบาป เพื่อพัฒนาระบบคุณธรรมเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น เพื่อนำไปสู่ ความสงบสุขของส่วนรวม อีกทั้งสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าได้ และ ความเสื่อมโทรมของจักรวรรดิ กษัตริย์ในยุคนี้สนใจพระราชภารกิจที่เกี่ยวข้องกับ พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก มีการสร้างโบราณสถานและโบราณวัตถุ พระพุทธรูปในยุคนี้ สวยงามมาก และมีเจดีย์ไม้จำนวน 12 องค์ ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาทำให้ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ เสื่อมถอยลง จนทำให้อาณาจักรเสื่อมถอยลงจนเสื่อมสลายใน ที่สุด คำถามท้ายบท ๑. อธิบายพื้นฐานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย เป็นอย่างไร ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ๓. บอกความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย ๔. อธิบายถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยที่น่าสนใจได้
๕๙ เอกสารอ้างอิงประจำบท กรมศิลปากร, จารึกสมัยสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖ กวีแสงมณี, “อรุณวดีสูตร: การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญา มหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย , ๒๕๒๓ คณะกรรมการว่าด้วยวัฒนธรรมและสารสนเทศ, ไตรภูมิกถา ฉบับถอดความ, กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์การพิมพ์, ๒๕๒๘ คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, วรรณคดีบาลีกรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๒ ชัยอนันต์สมุทวนิช, ความคิดทางการเมืองการปกครองไทยโบราณ, กรุงเทพมหานคร : จุฬา ลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๑๙ นิยะดา เหล่าสุนทร, ไตรภูมิพระร่วงการศึกษาที่มา กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แม่คำฝาง, ๒๕๓๘ ดนัย ไชยโยธา, ประวัติศาสตร์ไทยยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสิ้นอาณาจักรสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๐ พลายน้อย, ประวัคิศาสตร์ไทย, กรุงเทพมหานคร : รวมสาส์น, ๒๕๓๒ พ่อขุนรามคำแหง, จารึกสมัยสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖ พระคันธสาราภิวงศ์, ผู้แปล, อภิธัมมาวตาร กรุงเทพมหานคร : หจก. ไทยรายวันการพิมพ์, ๒๕๔๙ พญาลิไท, ไตรภูมิพระร่วง, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๖ ปุ้ย แสงฉาย, ผู้แปล, มิลินทปัญหา, ฉบับพร้อมด้วยอรรถกถาฎีกา, กรุงเทพมหานคร : ส. ธรรม ภักดี, ๒๕๒๘ มหาเถรสมาคม, มิลินทปัญหา, พิมพ์ครั้งที่ ๘, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฏราช วิทยาลัย, ๒๕๓๖ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
๖๐ ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชัน, ส์, ๒๕๔๖. สิทธา พินิจภูวดล, วรรณกรรมสุโขทัย, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๕ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, วิวัฒนาการงานเขียนที่เป็นภาษาบาลีในประเทศไทย: ประเภท วิเคราะห์ธรรมในพระสุตตันตปิฎก, กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๓๑ เสถียรโกเศศ, เล่าเรื่องในไตรภูมิ, กรุงเทพมหานคร : คลังวิทยา, ๒๕๑๑ สุจิตรา อ่อนค้อม,พระพุทธศาสนากับพระมหากษัตริย์ไทย, กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก,๒๕๔๓ Maurice Winternitz, History of Indian Literature, Vol. II, Trans. S. Ketkar and H. Khon. 3rd ed. Delhi: Munhiram Manoharlal, 1991
๖๑ บทที่ ๓ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาได้ ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาได้ ๓. บอกความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาได้ ๔. อธิบายถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา ๒. งานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาที่สำคัญ ๓. ความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา ๔. การวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา ๓.๑ ความนำ ล้านนาหรือภาคเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน มีความเป็นมาที่ยาวนานเริ่มตั้งแต่ อาณาจักรโยนกแถบลุ่มแม่น้ำกก จังหวัดเชียงราย และอาณาจักรหิรัญนครเงินยาง หรือเมือง เชียงแสน มาปรากฏหลักฐานที่ชัดเจนในสมัยหริภุญชัย (พ.ศ.๑๒๐๔) และเจริญสูงสุดใน สมัย ราชวงศ์มังรายที่มีนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่เป็นราชธานี(พ.ศ.๑๘๓๙ -๒๑๐๑) ความเจริญของ ล้านนานั้นมีความเป็นมาควบคู่กับพระพุทธศาสนา ซึ่งก่อให้เกิดการรจนาวรรณกรรม พระพุทธศาสนาที่สำคัญ เช่น มังคลัตถทีปนีจักรวาฬทีปนีที่รจนาขึ้นโดยพระสิริมังคลาจารย์ ชินกาลมาลีปกรณ์และวชิรสารัตถสังคหะ ที่รจนาโดยพระรัตนปัญญาเถระ รวมถึงวรรณกรรม ของพระเถระรูปอื่นๆ ในล้านนาที่ถือว่า เป็นวรรณกรรมชั้นครูที่มีความไพเราะและชั้นเชิงในการ
๖๒ แต่งที่ให้อรรถรสและความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดีซึ่งได้เป็นแบบอย่างของการรจนา วรรณกรรมหรือคัมภีร์ธรรมทางพระพุทธศาสนาล้านนาในยุคต่อมา และแต่ละเรื่องล้วนมี ความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ศาสนา และวัฒนธรรมที่ทำให้ทราบถึงความเป็นมาและ บริบททางสังคมในล้านนาได้เป็นอย่างดี๑ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนา เป็นผลงานทางภาษาทั้งที่เป็นมุข ปาฐะ (ปากเปล่า) และลายลักษณ์อักษรของชาวล้านนาที่ได้ช่วยกันผลิต สืบทอดยึดถือ และเป็น แนวทางการปฏิบัติในสังคม จนกลายเป็นค่านิยมที่ยอมรับกันว่า มีส่วนช่วยหล่อหลอมบุคคลใน สังคมล้านนาให้ปรากฏเป็นเอกลักษณ์เฉพาะทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และวิถีชีวิตโดยส่วนรวม ของชาวล้านนา ลักษณะของวรรณกรรมล้านนานั้นมีเนื้อหาที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเป็นหลัก แต่ยิ่งไปกว่านั้นมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตของคนล้านนาอย่างแยกไม่ออก๒ ซึ่งถือได้ว่า เป็นสิ่งที่สามารถชี้ให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองที่ควบคู่กันไประหว่างแผ่นดินล้านนาและ พระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดีทั้งนี้นอกจากจะเป็นเพราะปราชญ์ล้านนามีความเชี่ยวชาญใน ด้านภาษาศาสตร์แล้ว ยังแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาของกษัตริย์และไพร่ฟ้าประชาชนชาว ล้านนาทั้งหลายที่มีต่อพระพุทธศาสนาตลอดชั่วระยะเวลาอันยาวนาน ๓.๒ สถานภาพทางสังคมของล้านนา ล้านนา๓ หมายถึงดินแดนที่มีนาจำนวนมาก จากหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์ และในคัมภีร์ใบลานหลายฉบับให้ชื่ออาณาจักรนี้เป็นภาษาบาลีว่า “ทสลกฺขเขตฺตนคร” ๔ แปลว่า ๑ พระมหาสุทิตย์อาภากโร (อบอุ่น), “การศึกษาองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏใน วรรณกรรมพระพุทธศาสนาเรื่องอานิสงส์และคัมภีร์ที่ใช้เทศน์ในเทศกาลต่างๆ ของล้านนา”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธ ศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘), บทคัดย่อ. ๒ ลมูล จันทร์หอม, วรรณกรรมท้องถิ่นล้านนา, (กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์, ๒๕๓๘). หน้า ๓. ๓ ศรีศักร วัลลิโภดม, ล้านนาประเทศ, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ , ๒๕๔๕), หน้า ๑๐-๑๑, ๔ อุดม รุ่งเรืองศรี, วรรณกรรมล้านนา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๖), หน้า ๑-๒.
๖๓ นครที่มีนาจำนวนสิบแสน อาณาจักรนี้ตั้งอยู่ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ซึ่งมีสภาพทาง ภูมิศาสตร์เป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนเป็นจำนวนมาก โดยมีบริเวณที่ราบลุ่มระหว่างหุบเขาซึ่งมี ความอุดมสมบูรณ์และมีแม่น้ำต่างๆ เช่น แม่น้ำกก แม่น้ำอิง แม่น้ำปิง แม่น้ำวัง แม่น้ำยม แม่น้ำ น่าน และแม่น้ำโขง ไหลผ่าน ทำให้มีกลุ่มชนเผ่าพันธุ์ต่างๆ เข้ามาอยู่อาศัยมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ จนเกิดเป็นชุมชนเกษตรกรรมเชื่อมโยงกันด้วยลักษณะของเครือญาติในตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ได้พบว่า มีกลุ่มบ้านเมืองเกิดขึ้นอยู่แล้ว กระจัดกระจาย ตามที่ราบลุ่มแม่น้ำสายต่างๆ ซึ่ง เกิดเป็นลักษณะแคว้นเล็กๆ โดยแต่ละแคว้นต่างก็เป็นอิสระต่อกันซึ่งมีแคว้นที่สำคัญๆ ดังนี้ แคว้นหริภุญชัย๕ เป็นกลุ่มบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงมีเมืองหริภุญชัย หรือจังหวัดลำพูนในปัจจุบันเป็นศูนย์กลางแคว้นกับที่ราบลุ่มแม่น้ำวังมีเมืองเขลางค์นครหรือ จังหวัดลำปางเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นในฐานะเป็นเมืองลูก แคว้นหริภุญชัยนั้น ถือได้ว่าเป็นกลุ่ม บ้านเมืองหรือรัฐแห่งแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นในดินแดนภาคเหนือตอนบน โดยมีตำนานและหลักฐาน ที่ตรงกันว่า ฤษีวาสุเทพได้สร้างเมืองหริภุญชัยขึ้นในปีพ.ศ. ๑๒๐๔๖ หลังจากนั้นได้ขอทูลให้พระ นางจามเทวีซึ่งเป็นธิดาของกษัตริย์ผู้ปกครองเมืองละโว้ขึ้นไปปกครอง การเสด็จมาครองราชย์ ของพระนางจามเทวีก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางสังคมและวัฒนธรรมแก่บ้านเมืองที่ราบลุ่ม เชียงใหม่อย่างมาก เพราะพระองค์ทรงนำคณะสงฆ์ นักปราชญ์ราชบัณฑิต ช่างศิลปะและ นักวิชาการมาด้วยจำนวนมาก๗ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นแบ่งออกเป็น ๓ ด้าน คือ ๑) ด้านศาสนา เป็นการนำพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทจากภาคกลางขึ้นมาเป็น ศาสนาที่สำคัญของบ้านเมือง มีพระสงฆ์สอนศาสนาและมีการสร้างวัดอารามขึ้น ๒) ด้านการปกครอง มีสถาบันกษัตริย์และลักษณะการปกครองเป็นแบบบ้านเมือง ทางภาคกลางที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดีย ๕ สุรพล ดำริห์กุล, แผ่นดินล้านนา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๔๕), หน้า ๑๔. ๖ พระรัตนปัญ ญ าเถระ , ชินกาลมาลีปกรณ์, แปลโดย ร.ต.ท. แสง มนวิทูร แปล (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๒๖๕. ๗ ศรีศักร วัลลิโภดม, ล้านนาประเทศ, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ , ๒๕๔๕), หน้า ๔๑.
๖๔ ๓) ด้านสังคม มีประชาชนจากภาคกลางอพยพเข้ามาพร้อมกับศิลปะวิทยาการต่างๆ ทำให้เกิดกลุ่มผู้ชำนาญงานในด้านต่างๆ ขึ้น นอกจากนี้ยังพบหลักฐานของเมืองโบราณที่ปรากฏอยู่รอบๆ แคว้นหริภุญชัย อีก หลายแห่ง เช่น เวียงมโน (อยู่ในเขตตำบลหนองตอง อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่) เวียงท่า กาน (อยู่ในเขตตำบลบ้านกลาง อำเภอสันป่าตอง) เวียงเถาะ (อยู่ในเขตบ้านสองแคว อำเภอ จอมทอง จังหวัดเชียงใหม่) และพบโบราณวัตถุแบบหริภุญชัย อีกหลายแห่งในแถบที่ราบเชิงดอย สุเทพที่ถ้ำฤาษีวัดดอยคำ บริเวณกลางป่าเขตตำบลสันโป่ง อำเภอแม่ริม และที่เวียงกุมกาม เขต อำเภอสารภีจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า แคว้นหริภุญชัยเป็นแคว้นที่ใหญ่ มีความ เจริญรุ่งเรืองและมีความต่อเนื่องโดยมีกษัตริย์ปกครอง ๔๙ พระองค์รวมระยะเวลา ๖๑๘ ปีแล้ว สิ้นสุดลงในสมัยพระยายีบาปีพ.ศ. ๑๘๒๔ หลังจากนั้น แคว้นหริภุญชัยได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วน หนึ่งของล้านนาที่ยังคงไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมอันงดงามตราบจนปัจจุบัน เช่น เจดีย์สี่เหลี่ยม เจดีย์ แปดเหลี่ยม ในวัดจามเทวีวัดพระธาตุหริภุญชัย และศิลปะอื่น เช่น พระพิมพ์ซึ่งเป็นที่นั่งอยู่ใต้ ซุ้มโพธิ์มีขนาดใหญ่เล็กลดลั่นกันไป คือ พระลือ พระเปิม พระรอด เป็นต้น แคว้นโยนก เป็นดินแดนที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มในเขตจังหวัดเชียงราย-พะเยา มี แม่น้ำกก แม่น้ำลาว แม่น้ำสาย แม่น้ำอิง และแม่น้ำโขงไหลผ่านทางที่ราบลุ่มเชียงแสน ซึ่งถือได้ ว่าเป็นที่ราบลุ่มที่ใหญ่และอุดมสมบรูณ์ มีร่องรอยมนุษย์อาศัยอยู่มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ รวมทั้งมีร่องรอยของคูน้ำคันดินที่เป็นลักษณะของชุมชนโบราณกระจายอยู่โดยทั่วไปถึง ๑๐๕ แห่งและมีเรื่องราวที่เป็นตำนานปรัมปราเกี่ยวข้องกับดินแดนนี้หลายฉบับ ซึ่งมีหลักฐานทาง ตำนานและพงศาวดารที่อาจแยกเป็น ๒ เรื่องใหญ่ คือ เรื่องเกี่ยวกับกษัตริย์ในราชวงศ์ของพระ เจ้าสิงหนวัติกุมาร และเรื่องของราชวงศ์ลวจังกราช โดยเรื่องแรกเป็นการกล่าวถึงการอพยพผู้คน มาจากดินแดนตอนเหนือแล้วมาสร้างเมืองที่ชื่อว่า “นาคพันธุ์สิงหนวัตินคร” ตามชื่อสิงหนวัติ กุมารผู้นำกลุ่มชนที่อพยพเข้ามา ต่อมาเมืองนี้ได้ชื่อว่า “โยนกนคร” อันเป็นที่มาของชื่อแคว้น และกลุ่มชนที่อาศัยในพื้นที่แถบนี้ต่อมาเมืองโยนกได้ล่มสลายลงกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ทางทิศ ตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน ซึ่งเรียกว่า “เวียงหนองล่ม” ส่วนเรื่องของราชวงศ์ลวจังกราชนั้น เดิมเป็นชาวพื้นเมืองในเขตดอยตุง อำเภอแม่ สาย และอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงรายในปัจจุบัน ต้นตระกูล คือ ลาวจกอาศัยอยู่บนดอย ตุง ต่อมาได้ลงมาสร้างเมืองหิรัญนครเงินยางหรือเมืองเชียงแสน (พ.ศ.๑๑๘๑) กษัตริย์องค์แรก
๖๕ ของราชวงศ์คือ ลวจังกราช ทรงมีโอรส ๓ องค์คือ ลาวก่อ ลาวเกื้อ ลาวเก๊า โอรสสองพี่น้อง อิจฉากัน พระราชบิดาจึงโปรดให้ไปสร้างเมืองใหม่ในดินแดนไกล คือ ลาวก่อ ได้ตั้งรกรากในเขต จังหวัดน่าน ลาวเกื้อไปอยู่เมืองผาลานผาพวง ส่วนลาวเก๊านั้น โปรดให้สืบราชสมบัติในเวียงหิรัญ นครเงินยางนับตั้งแต่พระยาลวจังกราชเป็นต้นมา อาณาจักรหิรัญนครเงินยางมีกษัตริย์ปกครอง ติดต่อกันมาโดยตลอด จนกระทั่งในสมัยของพระยาลาวเม็งรัชกาลที่ ๒๔ แห่งราชวงศ์ลวจังกราช พระเจ้าลาวเม็งมีโอรสที่เก่งกล้าสามารถชื่อ “มังราย” ซึ่งประสูติแต่พระนางเทพคำข่าย เมื่อ พระชนมายุ ๒๑ พรรษา ได้ขึ้นครองราชย์ในเมืองหิรัญนครเงินยางแทนพระราชบิดา ในปีพ.ศ. ๑๘๐๒ เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๒๕ แห่งราชวงศ์ลวจังกราช ซึ่งต่อมาพระองค์ได้ขยายอิทธิพลมาทาง ใต้ยึดเมืองหริภุญชัยและเจริญสัมพันธไมตรีกับพระยางำเมือง แห่งเมืองภูกามยาว พระร่วงหรือ พ่อขุนรามคำแหง แห่งสุโขทัยในปี๑๘๓๐ และย้ายไปตั้งราชธานีใหม่ จนกลายเป็นปฐมกษัตริย์ แห่งราชวงศ์มังรายที่ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งกลุ่มแคว้นโยนกมี๓ กลุ่มเมืองใหญ่ๆ คือ กลุ่มเมือง เชียงราย กลุ่มเมืองพะเยา กลุ่มเมืองเชียงแสน ที่แสดงให้เห็นว่า แคว้นโยนกนั้นมีความเก่าแก่ กว่าอาณาจักรล้านนา แคว้นน่าน เป็นกลุ่มบ้านเมืองเขตลุ่มแม่น้ำน่าน เดิมเป็นแคว้นอิสระ มีเมืองปัว หรือ พลั่ว หรือวรนคร เป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเมืองหลวงพระบางและ เมืองสุโขทัย ความสำคัญของแคว้นน่าน น่าจะเป็นเพราะพื้นที่ราบลุ่มน้ำสาขาสายเล็กๆ ของ แม่น้ำน่านนั้น อุดมไปด้วยแหล่งเกลือสินเธาว์ตามธรรมชาติซึ่งเป็นที่ต้องการสำหรับมนุษย์ที่อยู่ ห่างไกลทะเล ดังได้พบมีบ่อเกลือทั้งที่เลิกผลิตแล้วและยังคงมีการผลิตอยู่หลายแห่งเช่นที่บ้านบ่อ หลวง ตำบลบ่อเกลือใต้อำเภอปัว จังหวัดน่าน รวมทั้งเส้นทางตามลำน้ำยังเป็นเส้นทางการค้า ที่ สามารถติดต่อกับกลุ่มบ้านเมืองในแถบลุ่มแม่น้ำโขงและดินแดนในประเทศลาว๘ ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ แคว้นน่านได้ถูกผนวกเข้าไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของแคว้น พะเยา และในเวลาไม่นานก็ได้ต่อสู้จนหลุดพ้นจากอำนาจของเมืองพะเยา ต่อมาอาจจะเนื่องจาก การขยายตัวของประชากรมากขึ้น รวมทั้งคงมีการติดต่อค้าขายกับดินแดนตอนใต้เช่น แคว้น สุโขทัยมากขึ้น จึงได้มีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานลงมาตั้งเมืองแห่งใหม่ขึ้นใน พ.ศ.๑๙๑๑ ซึ่งก็คือ ที่ตั้งในจังหวัดน่านในปัจจุบัน ในช่วงเวลาตอนต้นของอาณาจักรล้านนา แม้ว่าเมืองพะเยาจะถูก ๘ สรุพล ดำริห์กุล, แผ่นดินล้านนา, หน้า ๒๔-๒๕.
๖๖ รวมเข้ากับอาณาจักรล้านนา แต่เมืองน่านยังคงเป็นแคว้นอิสระและมีความสัมพันธ์กับแคว้น สุโขทัยอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งตอนต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๑ แคว้นน่านจึงได้ถูกผนวกเข้ามาเป็น ส่วนหนึ่งของล้านนา ซึ่งบางตำนานกล่าวว่า ถูกผนวกเข้ามาในสมัยพระเจ้าติโลกราช ในปีพ.ศ. ๒๐๓๐ ดังนั้น แผ่นดินล้านนาสมัยก่อนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ มีบ้านเมืองเก่าแก่อยู่ที่บริเวณที่ ราบลุ่มแม่น้ำปิงหรือที่ราบลุ่มเชียงใหม่-ลำพูน โดยมีเมืองหริภุญชัยเป็นศูนย์กลาง มีเมืองเขลางค์ นครเป็นเมืองลูก ชาวเมืองนับถือพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวีที่โดยทรงนำ พระสงฆ์และนักปราชญ์จากละโว้(ลพบุรี) เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแถบนี้ส่วน แคว้นโยนกบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง แม่น้ำกก แม่น้ำอิง มีเมืองหิรัญนครเงินยางเชียงแสนเป็น ศูนย์กลาง มีเมืองภูกามยาวหรือพะเยา เป็นแคว้นอิสระที่เป็นมิตรต่อกัน แคว้นเหล่านี้ได้ถูก ผนวกเข้าด้วยกันตั้งแต่สมัยราชวงศ์มังราย ในขณะที่เขตล้านนาตะวันออกที่มีเมืองแพร่และน่าน นั้น ถูกผนวกเข้าสู่ล้านนาในภายหลัง การก่อตั้งอาณาจักรล้านนา จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีอยู่และเป็นที่ ยอมรับกันทั่วไปว่า อาณาจักรล้านนานั้น เริ่มต้นในสมัยพระเจ้ามังราย กษัตริย์พระองค์ที่ ๒๕ ของราชวงศ์ลวจังกราชผู้ครองราชสมบัติที่เมืองหิรัญนครเงินยางในปีพ.ศ. ๑๘๐๒ จากนั้น พระองค์ก็ได้แผ่อำนาจออกปราบปรามเมืองต่างๆ ในเขตล้านนา เช่น เมืองฝาง เมืองเชียงของ เป็นต้น พระเจ้ามังราย๙ทรงทราบข่าวถึงความอุดมสมบูรณ์ของแคว้นหริภุญชัยซึ่งขณะนั้นมี อำนาจปกครองอยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงและแม่น้ำวัง จึงประสงค์จะยึดครองเมืองหริภุญชัยไว้ ในพระราชอำนาจ ทรงใช้ความพยายามอยู่หลายปีทรงมีอุบายโดยการส่งไส้ศึกชื่อ อ้ายฟ้า เข้า ไปอยู่ในเมืองหริภุญชัยเพื่อยุยงให้ชาวเมืองเกิดความแตกแยก พระองค์ยกทัพมาจากเมือง ๙ การใช้พระนามหรือคำนามหน้าของกษัตริย์ในล้านนานั้น มีนักวิชาการใช้คำนำหน้าที่ หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับฐานันดรของพระองค์คำที่นิยมใช้กันแพร่หลาย คือ “พระเจ้า” “พระยา” “พระญา” “พญา” หรือแม้กระทั้ง “พ่อขุน” เช่น พระเจ้าแสนภูพระยาสามฝั่นแกน พระญาผายูพญางำ เมือง พ่อขุนมังราย เป็นต้น ซึ่งทุกคำล้วนมีความหมายถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ในอาณาจักรล้านนา โดย ในที่นี้จะใช้คำว่า “พระเจ้า” ควบคู่กับคำว่า “พญา” เนื่องจากคำว่า “พระเจ้า” นั้น นักวิชาการส่วนใหญ่นิยม ใช้กันทั่วไป ส่วนคำว่า “พญา” นั้น เป็นคำดั้งเดิมที่แสดงถึงความกษัตริย์ล้านนาในอดีต
๖๗ เชียงรายเพื่อจะไปตีเอาเมืองหริภุญชัย โดยได้สร้างเมืองพร้าวขึ้นเป็นที่ชุมนุมพลก่อนจะยก กองทัพไปตีเมืองหริภุญชัย ในที่สุดก็สามารถยึดเมืองหริภุญชัยได้ใน พ.ศ. ๑๘๒๔๑๐ พระเจ้ามัง รายทรงประทับอยู่ที่เมืองหริภุญชัยเพียง ๒ ปีจึงได้มอบให้ขุนนางที่เป็นไส้ศึกชื่อ อ้ายฟ้า ปกครองเมืองหริภุญชัย ต่อมาสร้างเวียงกุมกามเป็นที่ประทับในปีพ.ศ. ๑๘๒๙ แต่เนื่องจากเวียง กุมกามประสบปัญหาน้ำท่วม ต่อมาพระองค์ได้เชิญพระยาร่วง (พ่อขุนรามคำแหง) และพระยา งำเมืองแห่งเมืองพะเยา ผู้ทรงเป็นพระสหายมาร่วมให้คำปรึกษาที่จะสร้างเมืองขึ้นใหม่ ในที่สุดก็ ได้เริ่มสร้าง “เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่” ขึ้นในบริเวณระหว่างเชิงดอยสุเทพและแม่น้ำปิง เมื่อ วันพฤหัสบดีเพ็ญเดือน ๘ (เดือน ๘ เหนือ) ปีวอก อัฐศก จุลศักราช ๖๕๘ (ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๑๘๓๙) เวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น. ซึ่งต่อมาได้มีความสำคัญกลายเป็นศูนย์กลาง ทางการเมือง การปกครองการเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของอาณาจักรล้านนา๑๑ หลังจากสร้างเมืองเชียงใหม่เสร็จไม่นาน พระยาเบิกผู้ครองนครเขลางค์ซึ่งเป็นราช บุตรของพระยายีบาอดีตกษัตริย์ผู้ครองแคว้นหริภุญชัย ได้ยกทัพจากเมืองเขลางค์นครมาเพื่อจะ ชิงเอาเมืองหริภุญชัยคืน แต่กองทัพเมืองเชียงใหม่สามารถรบชนะ ต่อมา ก็โปรดแต่งตั้งขุนนาง ชาว เขลางค์นครเป็นเจ้าเมืองปกครองและขึ้นตรงต่อเชียงใหม่ซึ่งนับเป็นการขยายดินแดนและ รวมเอาบ้านเมืองในเขตลุ่มน้ำวังเข้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา๑๒ นอกจากนี้พระเจ้ามังรายยังได้ขยายอิทธิพลไปถึงรามัญประเทศเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๑ ถึงพุกามเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๓ ซึ่งก็ได้พาผู้คนและช่างฝีมือมาไว้ใช้ในเชียงใหม่เป็นอันมาก๑๓ พระเจ้ามังรายได้ใช้เวลาตลอดพระชนม์ชีพประทับอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ เพื่อสร้าง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้เกิดขึ้นภายในดินแดนแห่งใหม่ที่พระองค์ได้เข้ามายึดครองนี้ พระองค์พยายามที่จะสร้างความกลมกลืนให้เกิดขึ้น ในระหว่างผู้คนที่มาจากแคว้นโยนกกับชาว ๑๐ สรัสวดีอ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา, (เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๒๙) ได้ เสนอว่า ศักราชที่พระเจ้ามังรายยึดครองหริภุญชัยได้นั้น ควรเป็น พ.ศ. ๑๘๓๕ ตามที่ปรากฏในชินกาลมาลี ปกรณ์ซึ่งจะแตกต่างไปจากที่ปรากฏในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ที่ระบุว่าเป็น พ.ศ. ๑๘๒๔ ๑๑ อุดม รุ่งเรืองศรี, วรรณกรรมล้านนา, หน้า ๓. ๑๒ สุรพล ดำริห์กุล, แผ่นดินล้านนา, หน้า ๒๕- ๒๘. ๑๓ พระยาประชากิจกรจักร, พงศาวดารโยนก, หน้า ๒๕๙-๒๖๔.
๖๘ หริภุญชัย ตลอดจนชนพื้นเมืองที่อยู่ในเขตที่ราบลุ่มแม่น้ำปิง โดยการรับและสืบทอดอารยธรรม ทางพระพุทธศาสนาจากเมืองหริภุญชัยไว้และให้เผยแพร่ในราชอาณาจักรของพระองค์ ในระยะเริ่มแรกของการก่อตั้งอาณาจักรล้านนานั้น เมืองเชียงใหม่ยังคงมิได้เป็น ศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาอย่างแท้จริง เพราะหลังจากที่พระเจ้ามังรายสิ้นพระชนม์ที่เมือง เชียงใหม่ใน พ.ศ. ๑๘๕๔ แล้ว ๑๔ พระเจ้าชัยสงครามผู้เป็นราชโอรสได้ครองราชย์สืบต่อมา พระ เจ้าชัยสงครามประทับอยู่ที่เมืองเชียงใหม่เพียงสี่เดือนเท่านั้น ก็เสด็จกลับไปประทับอยู่ที่เมือง เชียงราย ส่วนเมืองเชียงใหม่ทรงมอบให้พระเจ้าแสนภูราชโอรสปกครองแทน สาเหตุที่ต้อง ประทับอยู่ที่เมืองเชียงรายนั้น คงเนื่องมาจากดินแดนเดิมที่เป็นแคว้นโยนกนั้นยังไม่ปลอดภัย เนื่องจากเมืองพะเยายังคงเป็นรัฐอิสระที่มีความเข้มแข็งอยู่ หากย้ายศูนย์กลางและกองทัพไปอยู่ ที่เชียงใหม่แล้ว บริเวณพื้นที่ในแถบที่ราบลุ่มเชียงรายอาจเสี่ยงอันตรายต่อการขยายอิทธิพลของ เมืองพะเยา อย่างไรก็ตามเมื่อพระเจ้าชัยสงครามสิ้นพระชนม์ที่เมืองเชียงรายแล้ว พระเจ้าแสนภู ได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน พระเจ้าแสนภูทรงแต่งตั้งให้พระเจ้าคำฟูราชโอรสครองเมืองเชียงใหม่ ส่วนพระองค์เสด็จไปประทับที่เมืองเชียงราย และต่อมาทรงสร้างเมืองเชียงแสนขึ้นในบริเวณที่ เชื่อว่าเป็นเมืองหิรัญนครเงินยางเดิมเมื่อ พ.ศ. ๑๘๗๑ เมื่อสร้างเมืองเชียงแสนเสร็จแล้ว ศูนย์กลางของอาณาจักรล้านนาได้เลื่อนมาอยู่ที่เมืองเชียงแสนแทน เพราะหลังจากนั้นพระเจ้า แสนภูได้เสด็จมาประทับอยู่ที่เมืองเชียงแสนตลอดพระชนม์ชีพ ในขณะที่นครเชียงใหม่มีความ เจริญเติบโตขึ้นตามลำดับมีความแข่งแกร่งทั้งด้านทหาร การเมืองการปกครอง และเศรษฐกิจ โดยมีกษัตริย์ราชวงศ์มังรายขึ้นครองราชย์อีก ๒๐ พระองค์จนถึงสมัยของพระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์ (ราว พ.ศ. ๒๐๙๔–๒๑๐๑) นับเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังรายที่ปกครองเมือง เชียงใหม่ บ้านเมืองเต็มไปด้วยความแตกแยก อ่อนแอและในที่สุดเสียเอกราชให้แก่พระเจ้าบุเรง นอง ในปีพ.ศ.๒๑๐๑ เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์มังราย ซึ่งหลังจากพระเจ้ามังรายสวรรคตใน พ.ศ. ๑๘๖๐ แล้ว กษัตริย์ในราชวงศ์นี้ก็ได้ปกครองเมืองเชียงใหม่โดยลำดับมาดังนี้คือ ๑. พระเจ้ามังราย พ.ศ. ๑๘๐๒ – ๑๘๖๐ ๒. พระเจ้าไชยสงคราม พ.ศ. ๑๘๖๐ – ๑๘๖๐ ๑๔ สมหมาย เปรมจิตต์และคณะ, ตำนานสิบห้าราชวงศ์ ฉบับสอบชำระ, (เชียงใหม่ : สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๐), หน้า (๑๕) – (๒๓).
๖๙ ๓. พระเจ้าแสนภู(ครั้งที่ ๑) พ.ศ. ๑๘๖๑ – ๑๘๖๒ ๔. เจ้าขุนเครือ พ.ศ. ๑๘๖๒ - ๑๘๖๓ ๕. พ่อท้าวน้ำท่วม (หรือน้ำถ้วม) พ.ศ. ๑๘๖๕ – ๑๘๖๗ ๖. พระเจ้าแสนภู(ครั้งที่ ๒) พ.ศ. ๑๘๖๗ – ๑๘๗๐ ๗. พระเจ้าคำฟูพ.ศ. ๑๘๗๑ – ๑๘๘๑ ๘. พระเจ้าผายูพ.ศ. ๑๘๘๘ – ๑๙๑๐ ๙. พระเจ้ากือนา (ตื้อนา) พ.ศ. ๑๙๑๐ – ๑๙๓๑ ๑๐. พระเจ้าแสนเมืองมา พ.ศ. ๑๙๓๑ – ๑๙๔๓ ๑๑. พระเจ้าสามฝั่งแกน พ.ศ. ๑๙๔๔ – ๑๙๘๕ ๑๒. พระเจ้าติโลกราช พ.ศ. ๑๙๘๕ – ๒๐๓๐ ๑๓. พระเจ้ายอดเชียงราย พ.ศ. ๒๐๓๐ – ๒๐๓๘ ๑๔. พระเมืองแก้วหรือพระเจ้าติลกปนัดดาธิราช พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘ ๑๕. พระเจ้าเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกล้า) ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๐๖๘ – ๒๐๘๑ ๑๖. เจ้าชายหรือเจ้าชายคำ พ.ศ. ๒๐๘๑ – ๒๐๘๖ ๑๗. พระเจ้าเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกล้า) ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๐๘๖ – ๒๐๘๘ ๑๘. พระนางจิรประภา พ.ศ. ๒๐๘๘ – ๒๐๘๙ ๑๙. พระเจ้าอุปโย (พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช-ล้านช้าง) พ.ศ. ๒๐๘๙ – ๒๐๙๐ ๒๐. ท้าวแม่กุ (พระเจ้าเมกุฏิสุทธิวงศ์) พ.ศ. ๒๐๙๔ – ๒๑๐๑ ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีกษัตริย์หลายพระองค์ที่มีพระราชกรณีกิจสำคัญซึ่งเห็นได้ ชัดเจน ในช่วงเริ่มแรก คือ พระเจ้ากือนา พระองค์ได้ส่งราชทูตไปขอพระสุมนเถระจากสุโขทัย เพื่อสืบศาสนาในเชียงใหม่เมื่อประมาณปีพ.ศ. ๑๙๑๒ และพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ที่ สืบเนื่องจากพระสุมนเถระดังกล่าว มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก จนกระทั้งมีการนำ พระพุทธศาสนานิกายลังกาวงศ์ใหม่เข้ามาในสมัยของพระเจ้าสามฝั่งแกน และต่อมาในสมัยพระ เจ้าติโลกราช ซึ่งมีการสร้างวัดเพิ่มขึ้นอีกหลายวัด มีการทะนุบำรุงการศึกษาของพระสงฆ์อย่าง จริงจังจนสามารถดำเนินการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ของโลกขึ้นที่วัดเจ็ดยอด เชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ.๒๐๒๐ นอกจากนี้ในรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช ก็ยังได้อัญเชิญพระแก้วมรกตจากวัด
๗๐ พระธาตุลำปางหลวง มาประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวงอีกด้วย ส่วนทางด้านการทหาร พระองค์ก็ได้ ยกกองทัพไปรบถึงเมืองพิษณุโลกและแผ่แสนยานุภาพไปตลอดทั่วเขตล้านนา๑๕ กษัตริย์เชียงใหม่ที่สำคัญอีกพระองค์หนึ่งในยุคที่ถัดจากพระเจ้าติโลกราช คือพระ เมืองแก้ว ในยุคนี้เป็นยุคที่วรรณกรรมล้านนารุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง พระสงฆ์ที่ทรงความรู้ก็ได้รจนา คัมภีร์เป็นภาษาบาลีไว้หลายเรื่อง เช่น ชินกาลมาลีปกรณ์ของพระรัตนปัญญาเถระ มังคลัตถ ทีปนีและเวสสันตรทีปนีของพระสิริมังคลาจารย์เป็นต้น๑๖ เมื่อสิ้นสมัยพระเมืองแก้ว เชียงใหม่ก็เริ่มเสื่อมลงอำนาจในการปกครองบ้านเมืองก็ ตกอยู่ในมือข้าราชการที่สามารถตั้งหรือถอดถอนกษัตริย์ได้โดยเฉพาะยุคของพระเจ้าเมกุฏิซึ่ง เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์มังรายนั้นบ้านเมืองระส่ำระสายอย่างหนักและพระเจ้าเมกุฏิ ไม่อาจแก้ไขได้ดังนั้น เมื่อพระเจ้าบุเรงนองยกมาตีเชียงใหม่เมื่อพ.ศ. ๒๑๐๑ พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์เมืองพม่าก็สามารถยึดได้เมืองเชียงใหม่ในวันสงกรานต์หลังล้อมเมืองเพียงสามวันสาม คืน๑๗ ๓.๓ สถานภาพทางพระพุทธศาสนาในล้านนา พระพุทธศาสนาเข้าสู่ดินแดนประเทศไทยหรือสุวรรณภูมิตั้งแต่ในสมัยปลายพุทธ ศตวรรษที่ ๓ หรือต้นพุทธศตวรรษที่ ๔ หลังจากการส่งสมณทูตของพระเจ้าอโศกมหาราช แต่ เดิมดินแดนแถบนี้เชื่อกันว่า มีการนับถือผีสาง เทวดา หรือมีความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ที่มี ความสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อม เมื่อพระพุทธศาสนาแพร่เข้ามา พระโสณเถระและพระอุตตรเถ ระ ได้แสดงพรหมชาลสูตรให้ประชาชนชาวสุวรรณภูมิเลื่อมใส๑๘ซึ่งกล่าวกันว่าการที่พระเถระทั้ง สอง ได้แสดงพรหมชาลสูตรนั้นก็เพื่อให้ชาวสุวรรณภูมิได้เข้าใจถึงความเชื่อหรือทิฐิต่างๆ และ สอนให้มีความสอดคล้องกับความเชื่อของตนและหลักธรรมในพระพุทธศาสนา ต่อจากนั้นท่าน ๑๕ มณีพยอมยงค์, ลานนาไทยคดี, หน้า ๒๑. ๑๖ มณีพยอมยงค์, ประวัติศาสตร์ล้านนา, หน้า ๑๔๙. ๑๗ สมหมาย เปรมจิตต์และคณะ , “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่”, ใน โครงการปริวรรตพระ คัมภีร์ล้านนา : ปริวรรตและแปลพร้อมกับความนำ, (มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา, ๒๕๔๖) : ๖๕-๒๓๙. ๑๘ พระปัญญาสามีเถระ, ศาสนวงศ์, หน้า ๕๖.
๗๑ ทั้งสองก็ประกาศสั่งสอนพระธรรมวินัย ทำการบรรพชาอุปสมบทกุลบุตรทั่วไป ต่อมาก็ได้ขยาย ไปในดินแดนใกล้เคียงทั้งในอาณาจักรโคตรบูร โยนกหรือล้านนา ก็ได้รับอิทธิพลของ พระพุทธศาสนาในสมัยนี้ด้วย โดยจะเห็นได้จากร่องรอยโบราณวัตถุสมัยทวารวดีเฉพาะใน ล้านนาที่จังหวัดลำพูน คือเจดีย์วัดกู่กุด หรือวัดจามเทวีที่เป็นที่บรรจุอัฐิของพระนางจามเทวีอีก แห่งหนึ่งคือพระพุทธรูปในซุ้มเจดีย์วัดกู่กุด กับเจดีย์กู่คำที่วัดพระธาตุหริภุญชัย ซึ่งนักปราชญ์ ทางโบราณคดีกล่าวว่า สมัยทวารวดีเริ่มตั้งแต่ พ.ศ. ๕๐๐ ถึง พ.ศ. ๑๓๐๐ รวมระยะเวลา ประมาณ ๘๐๐ ปี ส่วนนครหริภุญชัยหรือลำพูนนั้น ตามคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวไว้ว่าสร้างในปี พุทธศักราช ๑๒๐๔ โดยฤษีวาสุเทพ๑๙ในขณะที่นักวิชาการบางกลุ่มกล่าวว่า พระพุทธศาสนา น่าจะขยายจากทางภาคใต้และภาคกลางของประเทศไทย โดยได้มีการค้นพบหลักฐานทาง โบราณคดีที่สำคัญ คือ ศิลาจารึกที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเป็นจารึกหัวใจพระพุทธศาสนา คาถา เย ธัมมา ภาษาบาลี๒ หลักโดยพบที่เมืองไทรบุรี๒๐ในขณะที่ยังเป็นดินแดนของประเทศ ไทยอยู่ ซึ่งนักวิชาการทางโบราณคดีสันนิษฐานว่า น่าจะมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๘ ถึง พุทธศตวรรษที่ ๑๒ และยังปรากฏโบราณวัตถุที่สำคัญ คือ พระพุทธรูปแบบอมราวดีที่ทำด้วย สัมฤทธิ์พบที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ซึ่งมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ -๑๒ นอกจากนี้ในบริเวณภาคกลางของประเทศไทย ปัจจุบันก็ปรากฏหลักฐานทาง โบราณคดีที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับกระพุทธศาสนา เช่น พระพุทธรูปยืนสัมฤทธิ์ที่พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ เป็นศิลปะแบบคุปตะได้ สันนิษฐานว่า สร้างขึ้นมาในประเทศอินเดีย โดยการค้นพบหลักฐานประวัติศาสตร์และโบราณคดี ที่สำคัญ ๆ จำนวนมากในระยะเวลาต่อมา โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาปรากฏใน รูปแบบศิลปะแบบทวารวดีซึ่งมีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒ ถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๖ เป็น ๑๙ พระรัตนปัญญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์, แปลโดย ร.ต.ท. แสง มนวิทูร, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐), หน้า ๒๖๕. ๒๐ H.S. Quaritch Wales, “Archaeological Researches on Ancient Indian Coloization’, in Journal of the Malayan Researches Branch of the Royal Asiatic Society. (Singapore : Printers Limited, 1940 ), p. 7.
๗๒ การนับถือพุทธศาสนาแบบหินยานหรือนิกายเถรวาท๒๑ซึ่งมีคัมภีร์พระไตรปิฎกเป็นหลักของ พระพุทธศาสนา โดยใช้ภาษาบาลีในการเขียนเป็นคัมภีร์พระไตรปิฎกและวรรณคดีต่าง ๆ ดังเช่น ได้ปรากฏหลักฐานศิลาจารึกเป็นภาษาบาลีที่จังหวัดนครปฐม และยังมีการพบการจารึกด้วย ภาษามอญที่กล่าวถึงการอุทิศถวายสิ่งของต่างๆ ให้กับวัดเป็นจำนวนมาก๒๒ ดังนั้น อาจกล่าวว่าพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายทั่วไปยังบริเวณภาคกลางของ ประเทศไทยและได้ขยายตัวขึ้นไปเผยแพร่ในดินแดนล้านนาและในภาคเหนือตอนบนของ ประเทศไทย โดยดูได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในล้านนา ที่มักกล่าวถึงเมืองในเขตที่ราบ ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนหน้าพุทธศตวรรษที่ ๑๙ โดยกล่าวถึงละโว้(ลพบุรี) เสมอ๒๓ในฐานะที่ เป็นเมืองสำคัญ เป็นศูนย์กลางการศึกษาด้านศาสนา ศิลปะวิทยาการต่าง ๆ ดังเช่น หลักศิลา จารึกแปดเหลี่ยมที่ศาลสูงเมืองลพบุรีซึ่งจารึกด้วยอักษรมอญโบราณ มีอายุประมาณพุทธ ศตวรรษที่ ๑๓ - ๑๔ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเมืองละโว้ในฐานะศูนย์กลางสำคัญของ ทวารวดี๒๔ ในขณะที่ดินแดนส่วนอื่นในล้านนา ก็มีอาณาจักรที่ตั้งอยู่ก่อนแล้ว เช่น อาณาจักร โยนก หรือ โยนกนาคนคร อาณาจักรหิรัญนครเงินยางเชียงแสน เชียงราย และพะเยา ซึ่งมีการ นับถือพระพุทธศาสนามาก่อน โดยสันนิฐานว่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากพม่าหรืออาณาจักร พุกามที่แพร่ขยายจากพม่าสู่ดินแถบนั้นหรือภาคเหนือของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยมีหลักฐาน จากวรรณกรรมประเภทตำนานต่าง ๆ เช่น ตำนานพระธาตุดอยตุง เป็นต้น ที่กล่าวถึงประวัติ พระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ ๒๑ ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล, ศิลปะในประเทศไทย, (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ, ๒๕๓๔), หน้า ๔. ๒๒ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “พุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหา บัณฑิต ,(คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘), หน้า ๓๑–๓๒. ๒๓ อุษณีย์ธงไชย, “ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยาและล้านนา พ.ศ. ๑๘๓๙–๒๓๑๐”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘), หน้า ๘. ๒๔ ยอร์ช เซเดส์ชำระและ แปล, ศิลาจารึกทวารวดีศรีวิชัย ละโว้, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒ (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๔๐๔), หน้า ๘– ๙.
๗๓ ๓.๔ บริบททางพระพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลต่อการแต่งวรรณกรรมพระพุทธศาสนา ในล้านนา ความมั่นคงของอาณาจักรล้านนา นับตั้งแต่พระเจ้ามังรายสร้างนครนพบุรีศรีนคร พิงค์เชียงใหม่ และ ส่งเสริมล้านนาให้เป็นจุดศูนย์กลางพระพุทธศาสนา ควบคู่กับกรุงสุโขทัย และกษัตริย์ล้านนาในยุคต่อมาได้มีศรัทธาปสาทะให้ความอุปถัมภ์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่าง เต็มที่ จนถึงสมัยพระเจ้าติโลกราชที่ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ที่วัดมหาโพธาราม หรือวัด เจ็ดยอด ซึ่งเป็นการสังคายนาครั้งที่ ๘ ของโลก ทำให้พระสงฆ์นักปราชญ์ได้เรียนรู้ถึงพระธรรม วินัยและภาษาบาลีอย่างดียิ่ง มีการส่งเสริมการศึกษาให้แก่พระสงฆ์ เช่น ให้มาเรียนธรรมะ ภาษาบาลีที่วัดสวนดอก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเรียนของพระสงฆ์นิกายลังกาวงศ์ซึ่งปัจจัย ดังกล่าว เป็นเหตุให้เกิดวรรณกรรมและเหตุการณ์ที่สำคัญของล้านนา ดังนั้น ถ้าจะกล่าวถึงบริบททางสังคม และพระพุทธศาสนาที่มีผลต่อสร้างสรรค์ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาล้านนา ก็น่าจะเป็นด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ ๑) การเมืองการ ปกครองและการอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาของพระมหากษัตริย์ในอาณาจักรล้านนา ๒) ความ เจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในแผ่นดินล้านนาอันสืบเนื่องมาจากความแตกฉานใน พระไตรปิฎก อรรถกถา และภาษาบาลีของพระเถระ ที่มีผลให้เกิดการสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๘ ในปีพ.ศ. ๒๐๒๐ และ ๓)ความเชื่อเรื่องอานิสงส์เขียนธรรมของพระเถระ นักปราชญ์ ชาวล้านนา ๑. การเมืองการปกครองในราชวงศ์มังรายแห่งอาณาจักรล้านนา ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ พระเจ้ามังรายผู้สร้างบ้านแปลงเมืองนครพิงค์ทรงมีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดย พยายามสร้างเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแทนนครหริภุญชัย และเมื่อ พระองค์สร้างเมืองเชียงใหม่มีความมั่งคั่งแล้ว กษัตริย์ในสมัยต่อมา คือ พระเจ้าแสนภูซึ่งทรงนับ ถือพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าก็ได้สร้างพระพุทธปฏิมาด้วยแก่นจันทน์และสร้างมหาวิหารใน เมืองเชียงแสน ในสมัยพระเจ้าผายูก็โปรดให้สร้างวัดเจดีย์หลวงและมีการนิมนต์พระสุมนเถระ ชาวเมืองสุโขทัย ซึ่งมีความแตกฉานในพระธรรมวินัยและภาษาบาลีเป็นอย่างดีมาสู่ล้านนา การ นิมนต์พระเถระจากสุโขทัยของพระเจ้ากือนา นั้นเป็นเหตุให้เกิดความตื่นตัวในการศึกษาและ ปฏิบัติตามหลักธรรมคำสอน เช่น ให้มีการทำสังฆกรรมในเมืองเชียงใหม่ได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การส่งเสริมของพระมหากษัตริย์นั้นมีความสำคัญต่อการความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา
๗๔ ความเป็นปึกแผ่นของการปกครอง และบารมีของชนชั้นปกครอง ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดความ สงบสุขและความสงบสุขของบ้านเมือง และเป็นปัจจัยก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรมอันดี งาม ทั้งในด้านวรรณกรรม ศิลปกรรม ซึ่งวรรณคดีพุทธศาสนาในล้านนา ก็มีลกษณะการเกิดขึ้น เช่นนี้โดยเฉพาะสมัยพระเจ้าติโลกราช ที่ได้สานต่อพระพุทธศาสนาจากพระเจ้ากือนาโดยมีการ สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ของโลก ณ วัดเจ็ดยอด ตามที่กล่าวแล้ว ซึ่งถือว่า พระมหากษัตริย์ทรงให้ความอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ในสมัยพระเจ้ายอดเชียงราย และพระเมืองแก้ว พระสงฆ์ไม่ต้องทำการสังคายนาพระไตรปิฎก และมีความรู้ความเข้าใจ แตกฉานในพระธรรมวินัยและได้เรียนรู้ภาษาบาลีเป็นอย่างดีพร้อมทั้งการเดินทางเข้ามาของ คณะสงฆ์จากลังกา พม่า มอญ จึงเกิดความตื่นตัวในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ และเขียน หลักธรรมคำสอน ที่กลายเป็นวรรณคดีที่สำคัญของไทย เช่น ชินกาลมาลีปกรณ์มังคลัตถทีปนี ซึ่งกล่าวกันว่า วรรณกรรมสมัยพระเจ้ายอดเชียงรายและพระเมืองแก้วนี้เป็นวรรณกรรมชั้นครู ที่มีการแต่งอย่างเป็นระบบและเป็นที่นิยมใช้ในงานวิจัยในปัจจุบัน ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า การเมืองการปกครองที่มั่นคง ตั้งแต่ยุคสร้างบ้านแปลง เมืองของราชวงศ์มังราย และความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า โดยให้การอุปถัมภ์ ค้ำจุนพระพุทธศาสนาของกษัตริย์ทุกพระองค์การส่งพระเถระไปศึกษาพระพุทธศาสนาในลังกา จนถึงให้มีการสร้างวัดวาอาราม และจัดให้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกนั้น เป็นปัจจัยหลักให้เกิด วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนาที่มีความงดงามในด้านภาษาและประวัติศาสตร์ ๒. ความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในล้านนา เมื่อกล่าวถึงความสัมพันธ์ของ อาณาจักรกับศาสนจักรในล้านนาแล้ว จะพบว่ามีความสัมพันธ์กันอย่างดียิ่ง เพราะเมื่อกษัตริย์ ให้ความอุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ก็ทำหน้าที่ในการเผยแพร่หลักธรรมคำสอน ให้ชาวบ้าน ซึ่งส่งผลให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุขด้วยหลักธรรมคำสอน เกิดการสร้างสรรค์อารย ธรรมล้านนาที่ดีงาม ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในล้านนา ที่สืบเนื่องมาจากกษัตริย์ที่มี ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และส่งเสริมการเรียนพระพุทธศาสนาแก่ประชาชนทั่วไป จึงทำ ให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองดังปรากฏในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ว่า “...พระสีหลปฏิมาอัน สูงสุดที่ประชาชนและพระมหากษัตริย์บูชาแล้วได้ประดิษฐานอยู่ในที่ต่างๆ คือ ลังกาทวีป เมือง สิริธรรม เมืองสุโขทัยเมืองชัยนาท อโยชชปุระ เมืองกำแพงเพชร เมืองเชียงใหม่ เมืองเชียงราย และเกาะดอนแท่น พระเจ้าแสนเมืองมาทรงนับถือพระรัตนตรัย ทรงเป็นพหูสูต ทรงรู้ธรรม ทรง
๗๕ เล่าเรียนและไต่ถาม ทรงสอนธรรมเป็นนิตย์แก่ประชุมชนอันมาก กุลบุตรใดได้เล่าเรียนคัมภีร์ ศัพทศาสตร์แม้เพียงสนธิหรือนาม พระองค์ก็ทรงทะนุบำรุงกุลบุตรนั้นด้วยปัจจัย ๔ ทุกคน...”๒๕ การส่งเสริมการเรียนรู้พระพุทธศาสนาดังกล่าว จึงทำให้พระสงฆ์มีความแตกฉานใน พระธรรมวินัยยิ่งขึ้น และเมื่อรู้พระธรรมวินัย จึงนำไปสั่งสอนให้ผู้คนในสังคมให้มีความสามัคคีมี สงบสุข และเกิดการสร้างคุณงามความดีกัน ปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้เกิดวรรณกรรม ที่มีความ งดงามและอารยธรรมทางสังคมที่ดีและในขณะเดียวกันการที่พระสงฆ์ยกยอพระมหากษัตริย์ก็ เป็นการสร้างความชอบธรรมในการปกครอง ทำให้ประชาชนยอมรับพระมหากษัตริย์ได้ดีขึ้น เป็นการเชื่อมโยงที่ให้คุณประโยชน์แก่กันและกัน ความเจริญทางพระพุทธศาสนา และความ มั่นคงในการปกครองบ้านเมือง จึงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้วรรณกรรมพุทธศาสนาในล้านนามี ความงดงาม นอกจากนี้การตั้งใจที่จะให้พระพุทธศาสนาได้อยู่ยั่งยืนนาน ของพระเถระผู้รจนา คัมภีร์ต่างๆ ก็เป็นปัจจัยอันหนึ่งที่ทำให้เกิดวรรณกรรมที่สะท้อนให้สังคมได้คำนึงถึง เพราะผู้แต่ง วรรณกรรมย่อมคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะตามมาของการรจนาและการบันทึกเรื่องราวเหล่านี้ผู้ แต่งผลิต วรรณกรรม ก็เพื่อความเจริญยั่งยืนของพระพุทธศาสนา และรักษาความมั่นคงของ บ้านเมืองเอาไว้และการที่พระสงฆ์และพระมหากษัตริย์ได้ร่วมกันสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ในปีพ.ศ. ๒๐๒๐ นั้น เป็นผลให้พระพุทธศาสนามีความมั่นคง พระสงฆ์มีความแตกฉานทั้งใน พระไตรปิฎกและภาษาบาลีมีขวัญกำลังใจในการที่จะจรรโลงพระพุทธศาสนาให้สืบต่อไป ๓. ความเชื่อเรื่องอานิสงส์เขียนธรรมของพระเถระ นักปราชญ์ชาวล้านนา การที่ อาณาจักรล้านนาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่านั้น มีผลกระทบต่อความเจริญของล้านนาและ พระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง นั่นคือ การสร้างสรรค์วรรณกรรมพุทธศาสนาที่เป็นภาษาบาลีและ ภาษาล้านนาก็เข้าสู่ภาวะชะงักงันทันทีนอกจากนี้วรรณกรรมพุทธศาสนาภาษาบาลีที่พระชาว ล้านนานิพนธ์ไว้ในสมัยนั้น ก็ได้ถูกนำไปประเทศพม่าหลายเรื่อง เช่น ปัญญาสชาดก อุปปาตสันติ เป็นต้น๒๖การที่บ้านเมืองสูญเสียเอกราชนั้น ขวัญและกำลังใจของพลเมืองทั่วไปตลอดจน พระภิกษุสงฆ์ย่อมจะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง กิจกรรมการสร้างสรรค์วรรณกรรม ๒๕ พระรัตนปัญญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์, หน้า ๓๐๑. ๒๖ สมหมาย เปรมจิตต์และคณะ, โครงการปริวรรตพระคัมภีร์ล้านนา : ปริวรรตและแปล พร้อมกับความนำ, หน้า ๑-๑๖.
๗๖ ส่วนใหญ่จึงมีเพียงการคัดลอกคัมภีร์ที่พระเถระเคยสร้างสรรค์ไว้เพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา จะมี เพียงส่วนน้อยที่สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ โดยเน้นหลักธรรมที่ง่ายและอานิสงส์ของการประกอบกุศล หรือการทำบุญเท่านั้น ดั่งเช่น การสร้างธรรม/เขียนธรรมถวายวัด ผู้มีศรัทธาต้องการจะสร้าง ถวายวัดเพื่อบุญกุศลเท่านั้น กิจการพระศาสนาได้ดำเนินไปเช่นนี้ตลอดมา ตามความเชื่อของชาว พุทธล้านนายุคนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชนชั้นเจ้านายที่ยึดมั่นอยู่กับค่านิยมว่า ถ้าหากใคร ต้องการจะให้บุตรหลานของตนเป็นคนเฉลียวฉลาดเรียนหนังสือเก่ง พ่อแม่จะต้องพาสร้างพระ คัมภีร์หรือ “สร้างธรรม” ถวายวัดเพื่อสืบต่ออายุพระศาสนา หรือให้ศาสนาเจริญรุ่งเรืองส่วนการ สร้างวัดและเสนาสนะต่างๆ ประจำวัด ก็ถือเป็นบุญเขตที่สำคัญเหมือนกัน แต่ไม่ดลบันดาลให้ เกิดผลทางด้านความเฉลียวฉลาดเหมือนการสร้างพระคัมภีร์ เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อกองทัพล้านนาสามารถขับไล่ทหารพม่าออกไปจากดินแดน ล้านนาได้หมดสิ้นด้วยความช่วยเหลือจากกองทัพไทยสมัยพระเจ้าตากสินแล สภาพการณ์ของ พระพุทธศาสนาในล้านนาก็คงเป็นเหมือนที่ผ่านมา และดูเหมือนว่า ในดินแดนล้านนาจะขาด พระสงฆ์ที่มีความแตกฉานในภาษาบาลีและพระไตรปิฎก แต่คติการสร้างพระคัมภีร์ก็มีการสืบ ทอดเรื่อยมา และถือเป็นการทำบุญที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับเจ้านายหรือเจ้าประเทศราชทุกองค์ ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ขึ้นครองหัวเมืองฝ่ายเหนือที่สำคัญ ๕ เมือง คือ เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ น่าน โดยจะมีการบำเพ็ญบุญกุศลเป็นการเฉลิมฉลองและเสริมบารมีและดูเหมือนจะเป็น ความคาดหวังของประชาชนทั่วไปด้วยว่า ผู้นำใหม่ของพวกเขาจะต้องเป็นคนใจบุญสุนทาน ใฝ่ใจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ถ้าหากบกพร่องในจริยาวัตรเช่นนี้ความ นิยมจากพลเมืองดูเหมือนจะตกต่ำลง และมักจะมีการพูดจาเปรียบเทียบระหว่างผู้นำเก่ากับผู้นำ ใหม่ว่าเป็นอย่างไร อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้เองเมื่อเจ้าประเทศราชแต่ละองค์ได้รับการแต่งตั้งให้ ครองหัวเมืองดังกล่าว จึงมีการสร้างพระคัมภีร์ถวายวัด พร้อมกับการบำเพ็ญกุศลใหญ่เนื่องใน โอกาสขึ้นครองเมืองใหม่ ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอินทวิชยานนท์หลังจากได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้า ประเทศราชครองเมืองเชียใหม่แล้ว พระองค์ได้บำเพ็ญกุศลใหญ่ตามจารีตประเพณีที่เคยมีมา และในขณะเดียวกันก็ได้สร้างคัมภีร์พระไตรปิฎกกว่าสองพันผูก พร้อมทั้งตู้ไม้สักสำหรับเก็บพระ คัมภีร์ด้วย และบางองค์เมื่อถึงวันอุโบสถก็ไปวัดฟังเทศน์ฟังธรรมและบางองค์ก็รักษาศีลอุโบสถ์ ไปพร้อมกัน เจ้าประเทศราชองค์ต่อๆ มาก็ปฏิบัติเช่นเดียวกัน ในจำนวนนั้นเจ้าหนานมหาวงศ์ หรือพระเจ้ามโหตรประเทศ เมื่อได้ขึ้นครองเมืองแล้วได้รื้อพระตำหนักไม้สักมาสร้างวิหารที่วัด
๗๗ พันเตา ซึ่งถือว่าเป็นวิหารไม้ที่มีลวดลายสวยงามหลังหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่มีอายุเก่าแก่ ที่สุด๒๗ จากสถานการณ์ดังกล่าว คัมภีร์อานิสงส์และคัมภีร์ที่ใช้เทศน์ในเทศกาลต่างๆ จึงมี ปรากฏชัดเจนขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้คนในสังคม โดยเฉพาะระดับชาวบ้านที่ สนใจในเรื่องอานิสงส์ของบุญกุศลที่ได้ทำมากกว่าการเข้าใจถึงหลักธรรมที่ลึกซึ้ง เหมือนในสมัย ราชวงศ์มังราย ซึ่งก็ถือว่า คติธรรม ความเชื่อและวิถีการปฏิบัติขั้นพื้นฐานในทางพระพุทธศาสนา ได้เข้าถึงประชาชนในระดับชาวบ้านมากขึ้น มีการอ้างในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์ธรรม และการทำบุญอันสืบเนื่องมากจากความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ซึ่งมีผลให้มีการสร้างธรรมถวายวัดใน เวลาต่อมา ดังนั้น ความเชื่อในการสร้างคัมภีร์หรือการสร้างธรรมถวายวัดของชาวล้านนา นับตั้งแต่ระยะเริ่มต้นถึงสมัยปัจจุบันมีจุดมุ่งหมายที่ต่างกัน โดยในสมัยแรกๆ การทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาและการสร้างคัมภีร์ถวายวัด ถือว่าเป็นพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ เพราะถือตามราชประเพณีที่มีมาแต่สมัยโบราณนั้นอย่างหนึ่ง และถือว่าการศึกษาเล่าเรียน ทั้งหมดมีวัดเป็นศูนย์กลางและเป็นหน้าที่ของพระสงฆ์ที่จะเรียนรู้หลักคำสอนในศาสนา เพื่อเป็น แนวทางในการประพฤติปฏิบัติสำหรับพระสงฆ์และเพื่อนำไปอบรมสั่งสอนประชาชนให้เป็น พลเมืองดีซึ่งมีส่วนเกื้อกูลต่อการปกครองบ้านเมืองให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ดังนั้น การสร้างคัมภีร์ถวายวัดจึงถือเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ปกครองบ้านเมือง แต่เมื่อ กาลเวลาผ่านไประบบการปกครองเปลี่ยนไป สังคมวัฒนธรรมเปลี่ยนไป ค่านิยมในการสร้าง คัมภีร์ถวายวัดได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย การสร้างคัมภีร์ในสมัยหลังหลังจึงมุ่งเน้นเพื่อให้ผู้สร้างมี สติปัญญาเฉลียวฉลาด และมุ่งที่จะอุทิศบุญกุศลที่เกิดจากการสร้างคัมภีร์นั้นแก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว มากกว่าที่จะสร้างสมบุญเพื่อตนเองรวมถึงความยั่งยืนของศาสนา หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า การสร้างคัมภีร์ในระยะหลังๆ นี้มุ่งไปที่จะให้ได้บุญเพื่อเป็นเครื่องนำพาผู้ที่ล่วงลับไปสู่ภพภูมิที่ดี ตามคติความเชื่อทางศาสนาที่มีความผูกพันกับการตาย โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่อานิสงส์ของการ ถวายที่จะเกิดตามมา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อในเรื่องอานิสงส์การสร้างคัมภีร์ถวายวัดที่มีอยู่ ๒๗ สมหมาย เปรมจิตต์และคณะ, โครงการปริวรรตพระคัมภีร์ล้านนา : ปริวรรตและแปล พร้อมกับความนำ, หน้า ๑๔.
๗๘ ในล้านนานั้น เป็นเรื่องที่พระเถระผู้มีความคิดสร้างสรรค์ต้องการที่จะให้มีพระธรรมคัมภีร์ เพียงพอต่อการศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุสามเณร เพื่อความยั่งยืนของพระสัทธรรม ด้วยความเชื่อในอานิสงส์ในการสร้างธรรม เขียนคัมภีร์ธรรมถวายวัดงกล่าว จึงถึงว่า เป็นบริบทที่สำคัญในการสร้างสรรค์วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา ถึงแม้ว่า จุดมุ่งหมาย ในการสร้างธรรมจะมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละยุคก็ตาม แต่ก็แสดงให้เห็นถึงกุศโลบายหรือ หลักการสำคัญที่ทำให้ล้านนามีวรรณกรรมหรือคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาที่มีคุณค่าทาง ประวัติศาสตร์และพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย ๓.๕ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยล้านนาที่สำคัญ จากหลักฐานที่มีอยู่และความเป็นมาของพระพุทธศาสนาในล้านนาดังกล่าว ทำให้ ทราบว่า อย่างน้อยที่สุดพระพุทธศาสนาได้เข้ามาสู่หริภุญชัยพร้อมกับพระนางจามเทวีเมื่อ พ.ศ. ๑๒๐๔ และได้รุ่งเรืองตามลำดับถึงกับมีการสร้างพระธาตุหลวงหริภุญชัยใน พ.ศ. ๑๕๘๖ ส่วนใน ด้านเชียงใหม่นั้น สืบเนื่องตั้งแต่พระเจ้ามังรายได้มาสร้างบ้านแปลงเมืองนพบุรีศรีนครพิงค์ เชียงใหม่ ก็มีการส่งเสริมพระพุทธศาสนาด้วยดีมาตลอด พระเจ้ากือนาได้นิมนต์พระสุมนเถระ จากสุโขทัยมาประจำที่ลำพูนเมื่อ พ.ศ.๑๘๘๓ และหลังจากนั้นพุทธศาสนาแบบลังกาวงศ์ก็ได้รง เรืองขึ้นตามลำดับจนมีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ของโลก ณ วัดเจ็ดยอด เมือง เชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. ๒๐๒๐ ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช จากผลสืบเนื่องของความเจริญ ทางพระพุทธศาสนา ความศรัทธาเลื่อมใสและการอุปถัมภ์ค้ำชูของสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งการสังคายนาพระไตรปิฎกดังกล่าว ได้เสริมสร้างให้พระเถระชาวล้านนามีความแตกฉาน ในพระไตรปิฎกและภาษาบาลีโดยท่านเหล่านั้นได้รจนาวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในเรื่อง ต่างๆ อย่างมากมาย ซึ่งในยุคนี้เรียกว่า ยุคทองของวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา โดย เริ่มตั้งแต่ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช พระเจ้ายอดเชียงราย และพระเจ้าเมืองแก้ว รวม ระยะเวลาประมาณ ๙๐ ปีที่เป็นผลทำให้วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนาได้ฉายรัศมีอย่าง เจิดจรัสทั้งในแผ่นดินล้านนาและดินแดนใกล้เคียง วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่แต่งโดยพระภิกษุชาวล้านนาในช่วงนี้หรือในสมัย พุทธศตวรรษที่ ๒๐-๒๑ นั้น จำนวนหนึ่งเป็นเอกสาร/หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ โดย ได้รับอิทธิพลจากการเผยแพร่พุทธศาสนานิกายเถรวาทจากลังกา ดังจะเห็นได้จากการเขียนเป็น
๗๙ ภาษาบาลีที่มีพื้นฐานจากลังกา ซึ่งอาจมีบางส่วนที่ผิดแผกไปจากภาษาบาลีตามมาตรฐานของ ไทยในปัจจุบันอยู่บ้าง แต่ก็เป็นภาษาที่ไพเราะและแสดงถึงภูมิความรู้ของท่านผู้รจนาเหล่านั้น ยกเว้นเรื่อง “ตำนานมูลศาสนา” เท่านั้นที่เขียนเป็นภาษาล้านนาหรือไทยยวน (ตั๋วเมือง) แม้แต่ รูปลักษณะโครงเรื่องก็ใช้วิวัฒนาการของพระพุทธศาสนา ที่แสดงถึงอิทธิพลของตำนานภาษา บาลีของลังกาอย่างเห็นได้ชัด ในที่นี้จะกล่าวถึงวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนาที่สำคัญ อันเป็นผลงานพระมหาเถระนักปราชญ์ผู้ทรงคุณวุฒิตามหลักฐานที่พอจะปรากฏ ดังนี้ ๓.๕.๑ ตำนานมูลศาสนา เป็นตำนานที่มีเรื่องราวกล่าวถึงประวัติพุทธศาสนา และการประดิษฐานพุทธศาสนา ในดินแดนล้านนาและสุวรรณภูมิโดยเป็นตำนานแรกสุดของยุคทองวรรณกรรมล้านนา เขียน เป็นภาษาล้านนา (ตั๋วเมือง) ต้นฉบับมีความยาว ๑๐ ผูกใบลาน โดยพระภิกษุชาวเชียงใหม่ ๒ รูป คือ พระพุทธญาณเจ้า เป็นผู้เขียนส่วนใหญ่ และมีพระพุทธพุกามเสริมแต่งช่วงท้าย ตำนานนี้ แต่งขึ้นประมาณปีพ.ศ. ๑๙๖๐ พระภิกษุทั้งสองรูปนี้เป็นพระสงฆ์ในสังกัดวัดสวนดอก ในนคร เชียงใหม่เป็นวัดที่พระเจ้ากือนาทรงสร้างให้เป็นที่พำนักของพระสุมนเถระที่นิมนต์มาจากกรุง สุโขทัย และผู้นำเผยแพร่ศาสนาลังกาวงศ์ในล้านนาเป็นรูปแรก และต่อมานิกายดังกล่าวก็ได้เป็น ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาในล้านนา ตำนานมูลศาสนานี้กรมศิลปากร ได้มอบหมายให้นายสุด ศรีสมวงศ์และนายพรหม ขมาลา (เปรียญ) อดีตข้าราชการในกองวรรณคดีและประวัติศาสตร์เป็นผู้แปล จัดพิมพ์ครั้งแรก ในปีพ.ศ. ๒๔๘๒ ในงานศพคุณหญิงทรงพลภาพ (ชุน พลธร) โดยเรื่องราวในตำนานมูลศาสนานี้ เน้นประวัติของพระพุทธองค์ตั้งแต่เริ่มปรารถนาพุทธภูมิพุทธประวัติปฐมสังคายนา การ เผยแพร่พระพุทธศาสนาในหริภุญชัย พญามังรายได้เมืองหริภุญชัยและสร้างเมืองเชียงใหม่ ประวัติอาณาจักรล้านนา ลำดับราชวงศ์พญามังราย พยากรณ์ศาสนาวงศ์ไปจนถึงกิจกรรมของ สำนักสงฆ์สวนดอกและการสืบสายของเจ้าอาวาส และถือว่าเจ้าอาวาสวัดสวนดอกสืบสายการ
๘๐ เผยแพร่ศาสนาจากพระพุทธองค์แท้จริง ในตอนท้ายของตำนานนี้ได้กล่าวถึงอันตรธาน ๕ ประการ หรือลักษณะการสูญสลายในอนาคตของพระพุทธศาสนา๒๘ ๓.๕.๒ จามเทวีวงศ์ จัดเป็นหนังสือพงศาวดาร รจนาเป็นภาษาบาลีปรากฏตอนท้ายทุกปริเฉทว่า อันมหา เถรมีนามว่า โพธิรังสีหรือพระโพธิรังสีซึ่งพระมหาเถระชาวเชียงใหม่เป็นผู้แต่งในระหว่างปีพ.ศ. ๑๙๕๐-๒๐๐๐ วรรณกรรมเรื่องนี้แบ่งเป็น ๑๕ ปริจเฉท มีเนื้อหาเริ่มตั้งแต่สมัยพุทธพยากรณ์ การกำเนิดเมืองหริภุญชัย ประวัติพระนางจามเทวีราชธิดาของกษัตริย์เมืองลพบุรีซึ่งได้รับเชิญ จากฤษีผู้สร้างนครให้ขึ้นมาครองเมืองหริภุญชัย ประวัติความเป็นมาของวัดพระธาตุหริภุญชัย และการสร้างเมืองลำพูน ลำปาง ตลอดจนถึงเรื่องการค้นพบพระสารีริกธาตุในสมัยพระเจ้าอา ทิตตยราชผู้ครองราชย์ในพุทธศตวรรษที่ ๑๗ และประวัติของผู้ครองเมืองหริภุญชัยอีกหลาย พระองค์รวมถึงเรื่องหลักธรรมของกษัตริย์และความที่ไม่สมควรอันเป็นเหตุให้บ้านเมือง เดือดร้อนล่มจม นับว่า พระโพธิรังสีเถระสามารถนำเอาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มาสัมพันธ์กับ เรื่องราวทางพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดีจึงนับว่า จามเทวีวงศ์เป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าเรื่อง หนึ่ง คัมภีร์จามเทวีวงศ์เรื่องนี้กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ให้พระยา ปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) เปรียญ ร่วมกับ พระญาณวิจิตร (สิทธิโลจนานนท์) เปรียญ ช่วยกันแปลเป็นภาษาไทยในสมัยรัชกาลที่ ๖ และพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๔๖๓ ๒๙ โดยพระราชชายาเจ้าดารารัศมีโปรดให้พิมพ์แจกในงานศพเจ้าทิพย์เนตร อินทวโรรสสุริยวงศ์ใน การพิมพ์ครั้งแรกนั้นได้จัดพิมพ์ทั้งภาษาบาลีและภาษาไทยเทียบกันวรรคต่อวรรค จากนั้นได้ พิมพ์ครั้งที่สองในปีพ.ศ. ๒๕๑๐ บุตรธิดานางกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์พิมพ์แจกในงานฉลองอายุ ครบ ๖ รอบของนางกิมฮ้อ นิมมานเหมินท์ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ พิมพ์แจกในงานศพนายชัช ๒๘ พระพุทธญาณเจ้า และ พระพุทธพุกาม, ตำนานมูลศาสนา, แปลโดย นายสุด ศรีสมวงศ์ และนายพรหม ขมาลา (เปรียญ) พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพมหานคร : คณะพระสังฆาธิการเขตยานนาวา จัดพิมพ์เป็นธรรมทานงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมราชานุวัตร, โรงพิมพ์มิตรสยาม), ๒๕๓๐. ๒๙ พระโพธิรังสี. จามเทวีวงศ์, หน้า ข.
๘๑ แดงดีเลิศ และในปีพ.ศ.๒๕๑๖ สำนักพิมพ์บรรณกิจเทรดดิ้งได้พิมพ์ออกจำหน่าย โดยการพิมพ์ ใน ๓ ครั้งหลัง มิได้พิมพ์ภาษาบาลีเทียบไว้ด้วย ในปีพ.ศ. ๒๕๑๕ สิงฆะ วรรณสัย ได้เรียบเรียงเรื่องจามเทวีวงศ์ขึ้นมาใหม่ โดยแต่ง เป็นทำนองพระธรรมเทศนาให้ชื่อเรื่องว่า “พระธรรมเทศนาเมืองเหนือเรื่องจามเทวีวงศ์” พิมพ์ ลงกระดาษแล้วพับเป็นสมุดข่อย แบ่งออกเป็น ๕ พับๆ ละ ๑ ปริเฉท โดยนำเรื่องจากมูลศาสนา บางส่วนมาต่อเติมให้เต็มเป็นเรื่องจามเทวีวงศ์(จามเทวีวงศ์ต้นฉบับตั้งแต่ครึ่งหลังของปริเฉทที่ ๔ ถึง ปริเฉทที่ ๖ ได้สูญหายไป) สดุภณ จังกาจิตต์๓๐ ได้ศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่องจามเทวีวงศ์พบว่าวรรณกรรม ดังกล่าวแต่งขึ้นในระหว่างสมัยของพระเจ้าแสนเมืองมา (พ.ศ. ๑๙๓๑ - ๑๙๕๔) ถึงรัชสมัยพระ เจ้าติโลกราชนครเชียงใหม่ (พ.ศ. ๑๙๘๕ - ๒๐๓๐) ทั้งนี้เพราะพระโพธิรังสีได้กล่าวไว้ในผลงาน เรื่องสิหิงคนิทาน ปริเฉทที่ ๘ เกี่ยวกับการครองราชย์การถวายเครื่องบูชาสักการะ และการ ถวายพระพุทธรูปของพระเจ้าสามฝั่งแกน โดยเนื้อหาเป็นประเภทพงศาวดารปนตำนานศาสนา กับประวัติของบ้านเมือง ที่ตอนต้นจะกล่าวถึงพุทธประวัติอย่างละเอียดก่อนที่จะถึงตัวเนื้อเรื่อง อย่างไรก็ตาม สดุภณ จังกาจิตต์ได้ตามสืบค้นและพบคัมภีร์ใบลานที่วัดสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ๒ ฉบับ และวัดช้างค้ำ อำเภอเมือง จังหวัดน่าน ๑ ฉบับ ซึ่งแต่ละฉบับมี๕ ผูก จาร ด้วยอักษรล้านนา แล้วนำมาเปรียบเทียบกับฉบับที่พระยาปริยัติธรรมธาดา ร่วมกับ พระญาณ วิจิตร ช่วยกันสอบชำระเป็นภาษาไทย ปรากฏว่า เรื่องจามเทวีวงศ์ฉบับภาคเหนือมีข้อความที่ สูญหายมากกว่าฉบับของกรุงเทพมหานคร ทั้งๆ ที่ฉบับต่างๆ ดังกล่าว ต่างก็จารลงใบลานใน ระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือ ประมาณสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยผูกที่ ๑ ของทั้ง ๔ ฉบับ มีข้อความตรงกัน ผูกที่ ๒ ฉบับกรุงเทพได้สูญหาย แต่ฉบับภาคเหนือกลับใช้ข้อความใน ผูกที่๓ และในผูกที่ ๓ ฉบับภาคเหนือนำเรื่องในสิหิงคนิทานมาจารเพิ่มเติม ผูกที่ ๔ ฉบับ ภาคเหนือใช้ข้อความในอภิธรรมมาจารเพิ่มเติม และผูกที่ ๕ มีข้อความตรงกันทั้งหมด ๓๐ สดุภณ จังกาจิตต์, “จามเทวีวงศ์: วรรณกรรมที่ถูกลืม”, ใน วรรณกรรมพุทธศาสนาใน ล้านนา, พรรณเพ็ญ เครือไทย บรรณาธิการ, (เชียงใหม่ : สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๐) : ๒๓๕-๒๔๖.
๘๒ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๓๓ ศรีแนวณรงค์๓๑ได้ศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรมเรื่อง “จามเทวี วงศ์ฉบับวัดสูงเม่น จังหวัดแพร่” ที่จารไว้ในสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งราชวงศ์จักรีพบว่า มีความ คล้ายคลึงกับฉบับที่พระปริยัติธรรมธาดาแปล โดยมีเนื้อหาว่าด้วยวงศ์ของพระนางจามเมวีที่ได้ ครองเมืองหริภุญชัยและประวัติพระพุทธศาสนาในล้านนา การสร้างเมืองหริภุญชัย การสร้างวัด พระธาตุหริภุญชัย และธรรมะของกษัตริย์และความที่ไม่สมควร อันเป็นเหตุให้บ้านเมือง เดือดร้อนล่มจม จากการศึกษาทำให้ทราบถึงลักษณะอักษรธรรมล้านนาที่จารเป็นภาษาบาลีว่า สามารถแทนกันไดบางตัว เช่น ตัว ถ แทน ตัวอักษร ฐ เป็นต้น และเป็นผลสะท้อนให้ความ กระจ่าง ความเป็นมาของเมืองหริภุญชัย ความเป็นอยู่ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีและคติความ เชื่อของชาวล้านนาในสมัยนั้น นอกจากนี้Donald K. Suraru และ สมหมาย เปรมจิตต์ได้เป็น ภาษาอังกฤษเพื่อเผยแพร่ให้นักวิชาการและผู้สนใจชาวต่างประเทศได้ศึกษาเพิ่มเติมอีก ๓.๕.๓. สิหิงคนิทาน หรือ ตำนานพระพุทธสิหิงค์ พระโพธิรังสีแต่งขึ้นในระหว่าง พ.ศ.๑๙๕๔ - ๒๐๐๐ วรรณกรรมเรื่องนี้มี๘ ปริเฉท ว่าด้วยประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปสำคัญซึ่งหล่อในประเทศลังกาด้วยทอง เงิน ตะกั่ว และทองเหลือง โดยพระโพธิรังสีกล่าวว่า ท่านได้ยินคำบอกเล่าว่า เมื่อ พ.ศ. ๗๐๐ พระราชาแห่ง เกาะสีหล ๓ องค์อยากเห็นพระพุทธเจ้า ครั้งนั้นพญานาคตนหนึ่งมีอายุยืนยาวเคยเห็น พระพุทธเจ้า จึงรับอาสาแปลงร่างให้เหมือนเพื่อให้พระราชาจะได้ทอดพระเนตร เมื่อพระราชา ได้ทอดพระเนตรรูปเนรมิตอันงดงาม เกิดศรัทธาอย่างสูงจึงให้ช่างฝีมือดีปั้นหล่อพระพุทธสิหิงค์ ขึ้นให้เหมือนรูปเนรมิตนั้น และหลังจากนั้น พระพุทธรูปองค์นี้จึงได้รับการอันเชิญผ่านมาทาง เมืองนครศรีธรรมราช กำแพงเพชร สุโขทัย และจังหวัดต่างๆ รวมทั้งเชียงใหม่๓๒ ๓๑ศรีแนวณรงค์, “ศึกษาวิเคราะห์จามเทวีวงศ์ฉบับจังหวัดแพร่”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรม หาบัณฑิต, (คณะอักษรศาสตร์สาขาวิชาจารึกภาษาไทย, มหาวิทยาลัยศิลปากร), ๒๕๓๓. ๖๕ สุจิตต์วงศ์เทศ บรรณาธิการ, “พระพุทธสิหิงค์จริงทุกองค์ไม่มีปลอม แต่ไม่ได้มาจากลังกา”, ใน ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๖). ๓๒ ศรีแนวณรงค์, “ศึกษาวิเคราะห์จามเทวีวงศ์ฉบับจังหวัดแพร่”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรม หาบัณฑิต, (คณะอักษรศาสตร์สาขาวิชาจารึกภาษาไทย, มหาวิทยาลัยศิลปากร), ๒๕๓๓.
๘๓ ศาสตราจารย์ร.ต.ท. แสง มนวิทูร ได้แปลเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๖ โดยความที่ พระพุทธสิงหิงค์ เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสของพุทธศาสนิกชนจึงทำให้นิทานพุทธสิหิงค์ เป็นที่ แพร่หลาย และมีหลายสำนวนที่คัดลอกต่อๆ กันมา ซึ่งอาจกล่าวสรุปได้ว่า เรื่องราวตำนานของ พระพุทธสิหิงค์นั้น มีความเป็นมาที่ยาวนานทั้งในด้านวรรณกรรมตำนานและองค์พระพุทธรูป เริ่มต้นจากพระโพธิรังสีกล่าวถึงการเข้ามาของพระพุทธสิหิงค์จากลังกา การปรากฏพระพุทธรูป แบบสิงห์ในหริภุญชัย จากนั้นก็ไปปรากฏที่นครศรีธรรมราช กำแพงเพชร และที่เชียงใหม่๓๓ ๓.๕.๔ ชินกาลมาลีปกรณ์ เป็นวรรณกรรมภาษาบาลีที่พระรัตนปัญญาเถระ พระเถระชาวล้านนา (อุปสมบท และพำนักอยู่ที่วัดป่าแก้ว เชียงราย ต่อมาได้มาศึกษาต่อที่เชียงใหม่และพำนักอยู่วัดสีหลาราม หรือวัดเจ็ดยอดในปัจจุบัน ท่านเคยพำนักที่วัดฟ่อนสร้อย (เดิมอยู่ใกล้ตลาดประตูเชียงใหม่) ก่อน จนได้เป็นเจ้าอาวาส จากนั้นจึงย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดเจ็ดยอดในสมัยพระเมืองแก้ว ซึ่งเป็นพระ อารามหลวง) แต่งขึ้นในปีพ.ศ.๒๐๖๐ – ๒๐๗๑ ขณะที่ท่านอุปสมบทได้๒๓ พรรษา ซึ่งขณะที่ แต่งนั้นเป็นรัชสมัยของพระเมืองแก้ว วรรณกรรมเรื่องนี้กล่าวถึง กาลของพระพุทธเจ้าโดยเรียบ เรียงอย่างมีระเบียบ จึงได้ชื่อว่า ชินกาลมาลีปกรณ์ท่านผู้รจนาได้กล่าวถึงกาลก่อนที่จะได้ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าโดยพิสดาร กล่าวถึงพระพุทธกรณียกิจว่าทรงทำอะไร ประทับอยู่ที่ไหน จนกระทั่งดับขันธ์เข้าสู่นิพพาน โดยบอกไว้ถี่ถ้วนว่ากิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นในปีไหน กล่าวถึงการ ทำสังคายนาครั้งต่างๆ การจำแนกพระบรมสารีริกธาตุการขยายพุทธศาสนาไปประดิษฐานใน ประเทศต่างๆ โดยบอกเวลาและสถานที่อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงประวัติของบุคคล และสถานที่ของเมืองสำคัญในคัมภีร์นี้คือ เมืองเชียงแสน เชียงราย ลำพูน และเชียงใหม่ เป็นต้น จึงอาจถือได้ว่าวรรณกรรมบาลีฉบับนี้อันมีความยาว ๕ ผูก กับ ๑๔ ใบลาน นับเป็นวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ล้านนาที่ใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ได้เป็นอย่างดีพระรัตนปัญญา เถระกล่าวว่า แต่งเรื่องนี้จบลงเมื่อ พ.ศ.๒๐๖๐ แต่ยังแต่งต่ออีกจนจบอย่างบริบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๐๗๑ ๓๓ สุจิตต์วงศ์เทศ บรรณาธิการ, “พระพุทธสิหิงค์จริงทุกองค์ไม่มีปลอม แต่ไม่ได้มาจากลังกา”, ใน ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๖).
๘๔ ชินกาลมาลีปกรณ์นับเป็นผลงานชิ้นเอกของนักปราชญ์ชาวล้านนา ที่ได้รับการแปล เป็นภาษาอื่นๆ หลายภาษา เริ่มตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้ราชบัณฑิต ๕ ท่าน คือ พระยาพจนาพิมล พระวิเชียรปรีชา หลวงอุดมจินดา หลวงราชาภิรมย์และหลวงธรรมาภิมณฑ์ช่วยกันแปลเป็นภาษาไทย และให้ชื่อว่า “ชินกาล มาลินี” ต่อมาสมัยรัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้พิมพ์แจกเป็นครั้งแรกในงานพระศพของพระว รวงศ์เธอพระองค์เจ้าศิริวงศ์วัฒนเดช และหม่อมแม้นในสมเด็จในกรมวังบูรพา พิมพ์แจกเป็นครั้ง แรกเมื่อ ร.ศ.๑๒๗ หรือเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ และนายเสฐียร พันธรังษีได้แปลเป็นภาษาไทยเป็น ครั้งที่ ๒ ใน พ.ศ. ๒๔๗๔ โดยใช้ชื่อเดิมว่า ชินกาลมาลินี๓๔ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๑ กรมศิลปากร ได้มอบหมาย ศาสตราจารย์ร.ต.ท.แสง มนวิทูร ได้แปลเป็นภาษาไทยขึ้นอีกเป็นครั้งที่ ๓ มีเชิงอรรถ อธิบายความให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้นและให้ชื่อว่า “ชินกาลมาลีปกรณ์” ๓๕ตามความหมายแห่งการร้อยเรียงความเป็นมาของพุทธประวัติและ ประวัติของพระพุทธศาสนาและอาณาจักรล้านนา ส่วนการแปลเป็นภาษาต่างประเทศนั้น เริ่มด้วย ยอร์ช เซเดส์แปลเป็นภาษาฝรั่งเศส โดยตีพิมพ์คู่กับภาษาบาลีลงในวารสารวิชาการของฝรั่งเศสชื่อ Bulletin de l’ Ecole Francaise d’ Extreme orient, tome xxv เมื่อฉบับประจำเดือนมกราคมถึงมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๘ รวม ๖ ฉบับ ในขณะที่สมาคมบาลีปกรณ์กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ได้พิมพ์เป็น ภาษาบาลีด้วยอักษรโรมันต่อมาก็ได้พิมพ์เป็นภาษาอังกฤษในปี๑๙๖๓ ด้วย๓๖ ในประเทศลังกา พระภิกษุชื่อพุทธทัตตะ ก็ได้แปลเป็นภาษาสิงหล พิมพ์คู่กับภาษา บาลีเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ จึงนับได้ว่า ชินกาลมาลีปกรณ์เป็นวรรณคดีล้านนาที่ได้รับการแปลและ พิมพ์เผยแพร่มากที่สุด ซึ่งเสมือนเป็นคู่มือที่นักศึกษาชาวต่างประเทศได้ใช้เป็นหลักในการศึกษา ประวัติศาสตร์และโบราณคดีของล้านนาไทย ๓๔ อุดม รุ่งเรืองศรี, วรรณกรรมล้านนา, หน้า ๑๙๑. ๓๕ พระรัตนปัญญาเถระ, ชินกาลมาลีปกรณ์, หน้า คำนำ. ๓๖ F.L. Woodward, Book of the Gradual Sayings Vol. I, (London, Pali Text Society), ๑๙๘๙.
๘๕ ๓.๕.๕ เวสสันตรทีปนี พระสิริมังคลเถระ หรือพระสิริมังคลาจารย์พระเถระชาวเชียงใหม่ เป็นผู้รจนา โดย ท่านมีชีวิตอยู่ในราว พ.ศ. ๒๐๒๐-๒๑๐๐ ในรัชกาลแห่งกษัตริย์ล้านนาหลายพระองค์คือ ตั้งแต่ พระเจ้าติโลกราช ถึงพระเจ้าเมกุฏิท่านรจนาคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหมด ๔ เรื่อง คือ เวส สันตรทีปนีจักวาฬทีปนีมังคลัตถทีปนีและสังขยาปกาสกฎีกา ในรัชสมัยของพระเมืองแก้ว ขณะที่จำพรรษาอยู่ที่วัดสวนขวัญ (ปัจจุบันเรียกว่าวัดตำหนักหรือวัดสิริมังคลาจารย์) ซึ่งอยู่ทาง ทิศใต้ห่างจากนครเชียงใหม่ประมาณ ๔ กิโลเมตร ในหนังสือ ศาสนวงศ์ได้กล่าวถึงท่านสิริมัง คลาจารย์ว่า ท่านประจำอยู่ที่อารามของพระเถระผู้เคยไปลังกา ในสมัยของพระเมืองเกษเกล้า ท่านสิริมังคลาจารย์ได้เป็นพระราชอุปัชฌายาจารย์ของพระเกษเกล้า เมื่อทรงผนวช และ พระองค์ได้โปรดให้สร้างรัตนาวิหารถวายแก่ท่านสิริมังคลาจารย์ เชื่อกันว่าท่านสิริมังคลาจารย์ เคยไปประเทศลังกา และได้ศึกษาพระพุทธศาสนาที่นั่น ท่านพระสิริมังคลาจารย์ได้สร้างชื่อเสียง ของท่านด้วยการแต่งคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นภาษาบาลีตามที่กล่าวแล้ว ท่านคงมีอายุยืนนาน มากและสิ้นชีวิตในรัชกาลพระเจ้าเมกุฏิ๓๗ เวสสันตรทีปนีเป็นคัมภีร์อธิบายเวสสันดรชาดกในขุททกนิกาย พระสุตตันตปิฎก เป็นวรรณกรรมเรื่องแรกที่พระสิริมังคลาจารย์แต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๐ ในรัชกาลพระเมืองแก้ว ขณะที่พักอยู่วัดสวนขวัญ เวสสันตรทีปนีเป็นคัมภีร์ที่มีเนื้อหายาวบั้นต้นมี๔๐ ผูก บั้นปลาย ๑๐ ผูก ว่าด้วยประวัติในอดีตชาติของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ขณะที่เป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทาน บารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า โดยเป็นการอธิบายเวสสันดรชาดกทั้ง ๑๓ กัณฑ์ซึ่งรจนาเป็น คาถาล้วนๆ ต่อมาพระอรรถกถาจารย์ได้รจนาอธิบายคาถานั้น ๆ ด้วยคำร้อยแก้ว ข้อความตอนใดที่ยังครุมเครืออยู่และพระอรรถกถาจารย์มิได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้ง โดยอ้างหลักฐานที่มาไว้อย่างละเอียดละออ และอธิบายย้ำแล้วย้ำอีก ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านผู้ฟังเกิด ความเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ๓๗ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่, ชีวิตและผลงานของพระ สิริมังคลาจารย์, หน้า ๓๖-๓๘.
๘๖ ผลงานเวสสันตรทีปนีเรื่องนี้มีการจารคัดลอกกันต่อๆ มา และพบที่วัดสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ มี๑ ฉบับ จำนวน ๑๐ ผูก ซึ่งพระครูบากัญจนอรัญญวาสีแห่งวัดสูง เม่นได้จารคัดเลือกไว้ในคัมภีร์ใบลานด้วยตัวอักษรล้านนา (เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๗๖) นอกจากนั้นก็มีฉบับตัวเขียนจารในใบลานด้วยตัวอักษรขอมหลายฉบับ ซึ่งอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ และอาจมีอยู่ตามวัดต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง ครั้นถึง พ.ศ.๒๔๗๖ มหามกุฎราชวิทยาลัยได้จัดพิมพ์ ขึ้นเป็นเล่มด้วยตัวอักษรไทย แต่พิมพ์เพียงภาคแรกตั้งแต่กัณฑ์ที่ ๑-๗ เท่านั้น ส่วนภาคที่สอง ตั้งแต่กัณฑ์ที่ ๘-๑๓ ยังไม่ได้จัดพิมพ์ต่อมาพระมหานคร เขมปาลี(ปธ.๖ M.A, Ph.D.) วัด มหาธาตุฯ กรุงเทพมหานคร หรือพระอมรเมธาจารย์อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลง กรณราชวิทยาลัย ได้วิจัยสอบชำระและปริวรรตออกเป็นตัวอักษรโรมันหมดทั้ง ๑๓ กัณฑ์เพื่อ ทำเป็นวิทยานิพนธ์ในระดับชั้นปริญญาดุษฎีบัณฑิต ที่มหาวิทยาลัยมคธ รัฐพิหาร ประเทศ อินเดีย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๘ นอกจากนี้มีการศึกษาคุณค่าการเทศน์มหาชาติในล้านนา โดย พระมหาสมชาติ นนฺทธมฺมิโก (บุษนารีย์) ๓๘ระบุว่า การเทศน์มหาชาติล้านนานั้น ได้นำเรื่องในเวสสันตรทีปนีหรือ พระเวสสันดร มาเทศน์มหาชาติเพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงการเสียสละ การให้ทาน คุณทางทาง ศีลธรรม จริยธรรม ที่บุคคลในสังคมพึงมีเป็นการนำคุณค่าทางด้านวัฒนธรรมของล้านนาเข้ามา ประยุกต์ใช้จนก่อให้เกิดค่านิยม ความเชื่อและประเพณีในการเทศน์ว่ามีอานิสงส์มาก ที่สำคัญ เป็นการนำความรู้จากเวสสันตรทีปนีออกมาเผยแพร่แก่ประชาชนให้รับทราบ ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องเวสสันดรชาดก ที่มีความเกี่ยวข้องกับเวสสันตรทีปนีที่ พระสิริมังคลาจารย์แต่งนั้น มีปัจจัยหลายประการที่ทำให้พุทธศาสนิกชนในประเทศไทยหรือใน อุษาอาคเนย์นิยมชมชอบจนกลายเป็นประเพณีเทศน์มหาชาตินั้น ทั้งนี้เพราะเหตุผล คือ ๑) ความเชื่อที่ว่าเป็นพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้๒) ความเชื่อที่ว่า เมื่อได้ฟังเวสสันดร ชาดกจะทำให้ได้รับอานิสงส์มาก คือ การได้สิ่งที่เต็มความปรารถนา และจะได้เกิดในศาสนาของ พระศรีอริยเมตไตรย และ ๓) เวสสันดรชาดกมีเนื้อหา สำนวน และการอธิบายความที่ชัดเจน ๓๘ พระมหาสมชาตินนฺทธมฺมิโก (บุษนารีย์), “ศึกษาคุณค่าการเทศน์มหาชาติในล้านนา”, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, (สาขาพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย), ๒๕๔๖.
๘๗ เข้าใจง่าย จึงทำให้ประชาชนนิยมและกลายเป็นเนื้อเรื่องหลักของจิตกรรมฝาผนังในวัดต่างๆ ทั่ว ประเทศไทย ๓.๕.๖ จักรวาลทีปนี เป็นวรรณกรรมเรื่องที่สองของพระสิริมังคลาจารย์โดยท่านได้รจนาสำเร็จในปีพ.ศ. ๒๐๖๓ ในรัชกาลแห่งพระเจ้าเมืองแก้ว ท่านรจนาคัมภีร์นี้ที่วัดสวนขวัญ สถานที่เดียวกันกับที่ ท่านแต่งเวสสันตรทีปนีวรรณกรรมจักรวาฬทีปนีนี้ว่า๓๙ด้วยเรื่องราวในจักรวาลหรือโลกธาตุ พรรณนาถึงภูมิที่เกิดของสัตว์ทั้งหลาย อาหารของสัตว์ภูเขา แม่น้ำ เทวดา อสูร และพรหม โดย ท่านพระสิริมังคลาจารย์ได้พรรณนาถึง อายุกาล และอาหารของสัตว์และเทพในแต่ละชั้นหรือ ภูมิที่กล่าวถึง ตลอดจนกล่าวถึงต้นไม้ประจำทวีปต่างๆ และในตอนท้ายเรื่อง ท่านยังได้อธิบายถึง ศัพท์ต่างๆ เช่น ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก ฯลฯ โดยท่านได้ได้เลือกเก็บข้อความที่เกี่ยวกับ เรื่องจักรวาลพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ปกรณ์พิเศษต่างๆ มาเรียบเรียงและแจ้งชื่อคัมภีร์ที่ ท่านอ้างไว้ทุกแห่ง รวมทั้งแสดงมติของท่านกำกับไว้ด้วย พระคัมภีร์ที่ท่านนำมาแต่งเรื่องนี้มี ประมาณ ๑,๒๐๐ พระคัมภีร์ซึ่งผลงานเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ไม่เหมือนกับผลงานเรื่องอื่น ๆ ของพระสิริมังคลาจารย์เพราะไม่ได้เป็นการอธิบายคัมภีร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เรื่องนี้ พระสิริมังคลาจารย์ได้ผูกโครงเรื่องขึ้นก่อน โดยแบ่งเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจักรวาลออกเป็น ตอน ๆ จากนั้นก็อธิบายเรื่องราวตอนนั้น ๆ อย่างละเอียดละออ โดยอ้างหลักฐานจากไตรปิฎก และคัมภีร์ต่าง ๆ มาประกอบ เนื้อหาของเรื่องจักกวาฬทีปนีที่พระสิริมังคลาจารย์ได้ผูกโครงเรื่องขึ้นแบ่งออกเป็น ๖ กัณฑ์โดยขึ้นต้นด้วยปฌามคาถา และต่อด้วยกัณฑ์ต่างๆ คือ กัณฑ์ที่ ๑ การชี้แจงเรื่องจักกวาล พร้อมทั้งสิ่งที่มีรูปร่าง เป็นต้น กัณฑ์ที่ ๒ การชี้แจงเรื่องภูเขา โดยแบ่งออกเป็นเรื่องภูเขาสีเนรุ เรื่องภูเขายุคนธร เรื่องภูเขาหินพานต์และอื่น ๆ เรื่องภูเขาจักรวาล กัณฑ์ที่ ๓ การชี้แจงเรื่องชลาลัย โดยแบ่งออกเป็นเรื่องสมุทร เรื่องสระ เรื่องแม่น้ำ เรื่องชลาสัยมีโบกขรณีเป็นต้น ๓๙ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่, ชีวิตและผลงานพระสิริมังคลาจารย์, หน้า ๓๘-๔๑.
๘๘ กัณฑ์ที่ ๔ การชี้แจงเรื่องทวีป แบ่งออกเป็นทวีปใหญ่ ๔ ทวีป พรรณนาชมพูทวีป พรรณนาอุตตรกรุทวีป และทวีปเล็ก กัณฑ์ที่ ๕ การชี้แจงเรื่องภูมิแบ่งออกเป็นเรื่องอบายภูมิเรื่องเทวภูมิเรื่องอสูร เรื่อง กามาวจรเทพ ๖ ชั้น เรื่องพรหม กัณฑ์ที่ ๖ วินิจฉัยเบ็ดเตล็ด ประกอบด้วยเรื่องอายุ เรื่องอาหาร เรื่องการคำนวณภูมิ เรื่องต้นไม้เรื่องโลก เรื่องโลกธาตุ เรื่องความไม่มีที่สุด และลงท้ายด้วยปัจฉิมคาถา เรื่องต่างๆ ที่ ปรากฏในคัมภีร์จักรวาฬทวีปนี้แสดงให้เห็นว่า คัมภีร์นี้มิได้เป็นอรรถกถาของคัมภีร์เรื่องใดเรื่อง หนึ่งโดยเฉพาะเช่นเดียวกับผลงานอีก ๓ เรื่องของพระสิริมังคลาจารย์ซึ่งเป็นการอธิบายคัมภีร์ที่ มีมาแต่เดิม ทำให้การดำเนินเรื่องต้องดำเนินไปตามเนื้อหาของคัมภีร์ที่อธิบายนั้น ๆ คัมภีร์จักรวาฬทีปนีนี้เป็นที่แพร่หลายในแวดวงวรรณกรรม โดยพระสังฆราชาจันทร สีอรัญญวาสีเจ้าให้สร้างในปีเปลิก (เปิก) เส็ด ศักราชได้๙๐๐ ตัว (พ.ศ.๒๐๘๑) หลังจากที่พระ สิริมังคลาจารย์รจนาสำเร็จเพียง ๑๘ ปีคัมภีร์ฉบับนี้พบที่วัดบุปผาราม อำเภอเมือง จังหวัด เชียงใหม่ จากนั้นก็มีการจารคัดลอกกันต่อๆ มา ที่เป็นใบลานจารเป็นตัวอักษรล้านนามีหลาย ฉบับ นอกจากฉบับของวัดบุปผารามดังกล่าว ก็มีที่วัดอื่นๆ เช่น ฉบับวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ที่จารไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ฉบับวัดสูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัด แพร่ ที่ท่านครูบากัญจนอรัญญวาสีจารคัดลอกไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๖ ฉบับวัดช้างคำวรมหาวิหาร ที่ จารไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๒ นอกจากนี้ยังได้มีการถ่ายไว้ในไมโครฟิล์มไว้ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ "มูลนิธิแห่งสภาวิจัยแห่งประเทศเยอรมันตะวันตก" ก็ได้ถ่ายลงไมโครฟิล์มไปไว้ที่ประเทศ เยอรมันด้วย และยังมีฉบับที่จารไว้ในใบลานเป็นตัวอักษรขอม เป็นของหอสมุดแห่งชาติจำนวน ๑๓ ฉบับ และเป็นของวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร ๒ คัมภีร์จักกวาลทีปนีนี้นาวาเอก พิเศษแย้ม ประพัฒน์ทอง ได้แปลเป็นภาษาไทย เป็นท่านแรก เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๑๔ ต่อมีผู้ศึกษา อีกหลายท่าน
๘๙ สดุภณ จังกาจิตต์๔๐ได้วิจัยสอบชำระต้นฉบับทั้งที่เป็นอักษรล้านนาและอักษรขอม ปริวรรตออกเป็นอักษรไทยและแปลเป็นภาษาไทยตั้งแต่กัณฑ์ที่ ๑-๓ เพื่อเสนอเป็นวิทยานิพนธ์ ระดับปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐ ต่อมาได้มีผู้วิจัยสอบชำระปริวรรตเป็นตัวอักษรไทยและแปลออกเป็น ภาษาไทยอีก ๓ ท่าน ตามลำดับ คือ วรศักดิ์ศรีบุญ๔๑ได้สอบชำระปริวรรตเป็นตัวอักษรไทยและแปลออกเป็นภาษาไทย ในกัณฑ์ที่ ๔ โดยนำคัมภีร์จักกวาลทีปนีฉบับอักษรขอมของหอสมุดแห่งชาติฉบับวัดบวรนิเวศ ฉบับวัดพระสิงห์จังหวัดเชียงใหม่ ฉบับวัดสูงเม่น จังหวัดแพร่ มาศึกษาวิเคราะห์และทำสำเร็จ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ บาลีพุทธรักษา๔๒ได้สอบชำระปริวรรตเป็นตัวอักษรไทยและแปลออกเป็นภาษาไทย ในกัณฑ์ที่ ๕ โดยนำคัมภีร์จักรวาลทีปนีฉบับอักษรขอมของหอสมุดแห่งชาติฉบับทองทึบของวัด บวรนิเวศ ฉบับล่องชาดวัดพระสิงห์จังหวัดเชียงใหม่ ฉบับล่องชาดวัดสูงเม่น จังหวัดแพร่ และ ฉบับล่องชาดของวัดช้างค้ำวรวิหาร จังหวัดน่าน มาศึกษาวิเคราะห์และทำสำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ นพพร เคล้าดี๔๓ได้สอบชำระปริวรรตเป็นตัวอักษรไทยและแปลออกเป็นภาษาไทย ในกัณฑ์ที่ ๖ โดยนำคัมภีร์จักรวาฬทีปนีฉบับอักษรขอมของหอสมุดแห่งชาติ(ฉบับรดน้ำโท) ๔๐ สดุภณ จังกาจิตต์, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๑-๓ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๐. ๔๑ วรศักดิ์ศรีบุญ , “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๔ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๓. ๔๒ บาลีพุทธรักษา, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๕ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๓. ๔๓ นพพร เคล้าดี, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๖ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๓.