The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยและล้านช้าง สมัยอยุธยาและธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ตลอดถึงให้ศึกษาวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาขอมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เช่น พุทธธรรม วิมุตติมรรค รวมถึงงานทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นต้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by wee pangjam, 2024-04-15 11:56:57

วรรณกรรมพระพุทธศาสนา

ศึกษาความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา เริ่มตั้งแต่วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยสุโขทัยและล้านช้าง สมัยอยุธยาและธนบุรี สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และสมัยรัตนโกสินทร์ปัจจุบัน ตลอดถึงให้ศึกษาวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาขอมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เช่น พุทธธรรม วิมุตติมรรค รวมถึงงานทางพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเป็นต้น

Keywords: วรรณกรรม พระพุทธศาสนา

๙๐ ฉบับอักษรธรรมล้านนาหรือฉบับล่องชาดวัดสูงเม่น จังหวัดแพร่ และฉบับล่องชาดวัดช้างค้ำ วรวิหาร จังหวัดน่าน มาศึกษาวิเคราะห์และทำสำเร็จเมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ ใน พ.ศ.๒๕๒๓ กรมศิลปากร ได้จัดพิมพ์เป็นเล่ม โดยพิมพ์รวมกันทั้งภาษาบาลีและ แปลออกเป็นภาษาไทยดังข้อความตอนหนึ่งในคำของหนังสือเรื่องนี้ว่า "กรมศิลปากรเห็น ประโยชน์อันจะพึงเกิดจากการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้เผยแพร่ ๓ ประการ คือ เพื่อให้มีคัมภีร์ จักรวาฬทีปนีที่เป็นอักษรไทยสำหรับใช้ศึกษาค้นคว้าประการหนึ่ง ให้มีหนังสือประเภทโลก ศาสตร์เพื่อเผยแพร่และศึกษาแนวความคิดเรื่องโลกตามแนวศาสนาเพิ่มขึ้นประการหนึ่ง และ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักศึกษาและผู้สนใจค้นคว้าศึกษาวิชาประเภทวรรณคดีบาลีอีก ประการหนึ่ง จึงได้มอบให้นายทินกร ทองเสวต เปรียญธรรม ๙ ประโยค สำนักวัดมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร เป็นผู้คัดถ่ายจากอักษรขอมเป็นภาษาไทย ชำระและแปลเป็นภาษาไทยไว้ ชั้นหนึ่งก่อน ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๓ และเมื่อจะพิมพ์ขึ้นในครั้งนี้(พ.ศ. ๒๕๒๓) ได้มอบให้นาย ทองย้อย แสงสินชัย เปรียญธรรม ๙ ประโยค สำนักวัดมหาธาตุราชบุรีนักภาษาโบราณ กอง หอสมุดแห่งชาติเป็นผู้ตรวจสอบค้นหาที่มาในภาคภาษามคธและตรวจแก้สำนวนภาษาไทยพิมพ์ คู่กันไว้ตามที่ปรากฏนี้ นอกจากนี้มูลนิธิภูมิพโลภิกขุก็ยังได้ปริวรรตคัมภีร์จักรวาฬทีปนีจากอักษรขอม ออกเป็นอักษรไทยอีกฉบับหนึ่งด้วย ๓.๕.๗ ฎีกาสังขยาปกาสกะ หรือสังขยาปกาสกฎีกา เป็นหนังสืออธิบายพระคัมภีร์“สังขยาปกาสก” ที่พระญาณวิลาสเถระ ภิกษุชาว เชียงแสนรจนาไว้ในปีพ.ศ.๒๐๕๙ เป็นคาถา ๗๓ คาถา โดยท่านพระสิรมังคลาจารย์ได้แต่ง คัมภีร์นี้ในปีพ.ศ. ๒๐๖๓ ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับการนับเวลา เครื่องชั่งตวง น้ำหนัก ระยะทาง ฤดูกาล และการใช้เงินตรา ที่เกี่ยวเนื่องทางพระพุทธศาสนา โดยท่านพระสิริมังคลาจารย์ได้ รจนาเป็นร้อยแก้ว เพื่ออธิบายขยายความให้เข้าใจง่ายขึ้น นอกจากนั้นมาตราต่างๆ ซึ่งมีหลาย แบบและหลายมติท่านพระสิริมังคลาจารย์ก็ได้นำมติของอาจารย์ต่าง ๆ มากล่าวเทียบไว้เพื่อ ความฉลาดรอบรู้ในสังขยาทั้งหลาย๔๔ ๔๔ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่, ชีวิตและผลงานของพระ สิริมังคลาจารย์, หน้า ๔๒.


๙๑ ผลงานเรื่องนี้แพร่หลายในระดับหนึ่ง โดยการสำรวจยังไม่พบฉบับตัวเขียนอักษร ล้านนา พบแต่ฉบับตัวเขียนอักษรขอมเป็นของหอสมุดแห่งชาติมีอยู่จำนวน ๘ ฉบับ แต่ไม่ ปรากฏว่ามีฉบับอักษรพม่าอยู่ที่จังหวัดสกาย ประเทศเมียนมา (พม่า) พระอาจารย์ธัมมานันท มหาเถระ อัครมหาบัณฑิตแห่งพม่า ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่ามะโอ อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ได้คัดลอกด้วยตัวพิมพ์ดีดอักษรพม่านำเข้ามายังประเทศไทย ต่อมาทางจิตตภาวัน วิทยาลัยชลบุรีได้มอบให้พระมหาราเชนทร์อคฺคธมฺโม ปริวรรตจากอักษรพม่าออกเป็น อักษรไทย พิมพ์แจกในงานออกพระเมรุพระศพสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จ พระสังฆราช (ปุ่น ปุณณสิริมหาเถระ) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๗ ในปีพ.ศ. ๒๕๒๓ บุญหนา สอนใจ๔๕ได้วิจัยสอบชำระทั้งสังขยาปกาสกปกรณ์และ สังขยาปกาสกฎีกา ปริวรรตออกเป็นอักษรไทยและแปลเป็นภาษาไทยทั้งหมด เพื่อเสนอเป็น วิทยานิพนธ์ระดับขั้นปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทำสำเร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ ๓.๕.๘ มังคลัตถทีปนีหรือ มงคลทีปนี เป็นวรรณกรรมเรื่องเอกที่นำชื่อเสียงเกียรติคุณมาสู่พระสิริมังคลาจารย์ ท่านรจนา มังคลัตถทีปนีเมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๗ โดยมิได้ระบุสถานที่ที่ท่านแต่งพระสิริมังคลาจารยรจนาคัมภีร์นี้ ณ สถานที่เงียบสงัดซึ่งอยู่ไกลไปทางทิศใต้ของนครเชียงใหม่ประมาณ ๔ กิโลเมตร (คงเป็นวัด สวนขวัญ) มังคลัตถทีปนีคือคัมภีร์ที่อธิบายถวายในมงคลสูตรซึ่งเป็นสูตรหนึ่งในขุททกปาฐะและ สุตตนิบาต สุตตันตปิฎก มีอรรถกถาชื่อปรมัตถโชตกา ซึ่งพระพุทธโฆสะเป็นผู้รจนาไว้มังคลัตถ ทีปนีเป็นสูตรที่แสดงการปฏิบัติอันเป็นมงคล ๓๘ ประการ เช่น การไม่คบคนพาล การคบ บัณฑิต การบูชาคนที่ควรบูชา การบำรุงเลี้ยงบิดามารดา การสงเคราะห์ช่วยเหลือบุตรภรรยา และญาติพี่น้อง การประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นต้น ท่านพระสิริมังคลาจารย์อธิบายความหมาย ของสูตรนี้ได้อย่างละเอียดไพเราะสละสลวย โดยแสดงความรอบรู้และความสามารถในการแต่ง ๔๕ บุญหนา สอนใจ, “สังขยาปกาสกปกรณ์และฎีกา : การตรวจชำระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓), หน้า ๑๘๘-๒๓๐


๙๒ ภาษาบาลีได้อย่างดีอ้างอิงหลักไวยากรณ์อย่างถูกต้อง และนำเรื่องต่างๆ จากชาดกอรรถกถา ธรรมบท และจากคัมภีร์พุทธศาสนาอื่นๆ มากกว่า ๙๐ คัมภีร์มารจนาอธิบายประกอบ คัมภีร์มังคลัตถทีปนีเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ศึกษาวรรณกรรมและภาษาบาลีผลงาน เรื่องนี้เป็นที่แพร่หลายมากที่สุดในบรรดาผลงานทั้งหมดของพระสิริมังคลาจารย์โดยแพร่หลาย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ศักดิ์ศรีแย้มนัดดา๔๖ได้กล่าวถึงประวัติและความเป็นมาของ คัมภีร์มังคลัตถทีปนีนี้ไว้ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “มังคลัตถทีปนีกัณฑ์ที่ ๑ และ ๒” ซึ่งเป็น วิทยานิพนธ์ในระดับขั้นปริญญาดุษฎีบัณฑิตทางบูรพาคดีศึกษา ณ มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย สหรัฐอเมริกา โดยอธิบายสรุปไว้ว่า พระเจ้ากิตติสิริราชสีหะ (พ.ศ.๒๒๙๐ - ๒๓๒๕) กษัตริย์แห่ง ลังกา ได้ส่งทูตมายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยพระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ.๒๒๗๕-๒๓๐๑) เพื่อทูลขอพระ เถระผู้ทรงพระไตรปิฎกไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา พระเจ้าบรมโกศโปรดให้พระอุบาลีเถระ เป็นหัวหน้านำคณะสงฆ์ไทยไปลังกา ต่อมาโปรดให้พระวิสุทธาจารย์เถระเป็นหัวหน้าคณะสงฆ์ ไทยไปลังกาอีกการไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกานี้ได้โปรดให้นำคัมภีร์ต่างๆ ของไทยไปด้วย ทางลังกาได้คัดลอกปริวรรตคัมภีร์เหล่านั้นจากอักษรขอมเป็นอักษรสิงหลแล้วส่งต้นฉบับกลับคืน มา จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ผลงานของพระสิริมังคลาจารย์นับตั้งแต่ได้รจนา สำเร็จเมื่อ ๕๐๐ ปีที่ผ่านมาได้มีการเผยแพร่ผลงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้พระภิกษุสามเณร และบุคคลทั่วไปได้มีวรรณกรรมตำราเรียนชั้นเลิศอันแสดงถึงภูมิปัญญา ของพระเถระชาวล้านนาหรือมรดกทางปัญญาของชาตินอกกจากนี้อาจกล่าวได้ว่า ผลงานของ พระเถระเหล่านั้น ทำให้คนรุ่นปัจจุบันได้รับความรู้ความเข้าใจในประวัติความมา หลักธรรมทาง พระพุทธศาสนา และประวัติความเป็นไปของบ้านเมืองและองค์ความรู้ภูมิปัญญาที่มีคุณค่ายิ่ง ในการเขียนวรรณกรรมประเภทตำนานเหล่านี้ส่วนใหญ่นิยมเขียนแบบชาดก กล่าวคือจะมีการใช้เขียนเป็นภาษาบาลีแทรกในการดำเนินเรื่องบางจุด มักจะโยงเรื่องไปหาพุทธ ประวัติหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพุทธประวัติการนิยมให้ชื่อบาลีแก่บุคคลหรือสถานที่ในล้านนา มาตลอด จนการอิงเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นั้น ทำให้วรรณกรรมของล้านนาบางเรื่องมีความ ๔๖ Saksri Yamadda, The Mangalatthadipani , Chapter 1-2, (Ph.D. thesis, University of Pennsylvania, Philadelphia), 1970.


๙๓ น่าเชื่อถือลดลงมากเมื่อเทียบกับคุณค่าทางประวัติศาสตร์ตามที่ควรจะเป็น ส่วนในแง่ของตำรา ล้านนานั้นอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีก เช่น ตำราพระพุทธศาสนา ตำราประเพณีและ พิธีกรรม ตำราโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ตำรายาสมุนไพร ตำราคำสอนจริยศาสตร์ตำรา กฎหมาย เป็นต้น ซึ่งสถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้แบ่งประเภทของคัมภีร์/ วรรณกรรมล้านนาออกเป็น ๑๑ หมวดใหญ่ๆ เช่น หมวดพระพุทธศาสนา หมวดนิทานพื้นบ้าน หมวดกฎหมายโบราณ หมวดจริยศาสตร์หมวดประวัติศาสตร์หมวดสมุนไพร หมวดอานิสงส์ และหมวดโหราศาสตร์ตามที่กล่าวแล้ว โดยมีการถ่ายไมโครฟิลม์เก็บรักษาไว้ที่สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่มากถึง ๑๒,๑๔๔ ผูก/ฉบับ อย่างไรก็ดีถ้าเทียบกับคัมภีร์ที่มีอยู่มากมาย ในวัดต่างๆ ในล้านนา และบางส่วนถูกเผาทำลายในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม อาจกล่าวได้ ว่า กระบวนการเก็บรักษาคัมภีร์ใบลานในล้านนายังมีน้อยมาก วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่พระเถระชาวล้านนาไทย ได้รจนาไว้ในระหว่าง กลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๒ นี้เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า เป็นงานชิ้นเอก ในทางพุทธศาสนา พระภิกษุสงฆ์ของล้านนาไทยได้ประพันธ์งานของท่านขึ้น เพื่อเป็นบทเรียน ของการศึกษาภาษาบาลีในพระพุทธศาสนา มีลักษณะเป็นคำสอนศีลธรรมจรรยา และชี้แนว ปฏิบัติให้กับผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใส ซึ่งแสดงถึงภูมิปัญญา ความรู้ความแตกฉานในพระไตรปิฎกและ ภาษาบาลีซึ่งมีหลายรูปที่ได้เดินทางไปศึกษา ณ ลังกา ความเจริญรุ่งเรืองนี้ถึงขั้นสูงสุดตั้งแต่ใน สมัยที่ได้มีการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ของโลก และมีความสืบเนื่องจนถึงสมัยพระเจ้า เมืองแก้ว และค่อยๆ เสื่อมลงพร้อมกับราชวงศ์มังรายและการเข้ามาครองเชียงใหม่ของพม่า แต่ โดยความที่อิทธิพลของวรรณกรรมในยุคนั้นได้แพร่ขยายไปหลายพื้นที่ เช่น เมืองแพร่ เชียงตุง เชียงราย เป็นต้น จึงทำให้มีการรักษาจารีตประเพณีดังกล่าวจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม วรรณกรรมล้านนาในสมัยต่อมานั้น ก็มีข้อที่น่าสังเกตว่า ส่วนใหญ่ไม่ ค่อยระบุนามผู้แต่ง และวันเดือนปีที่สร้าง ซึ่งนักวิชาการผู้ที่มีความรู้ในวรรณกรรมล้านนาให้ ความเห็นว่า คัมภีร์ที่คัดลอกต่อกันมาและที่หลงเหลืออยู่นั้น ส่วนหนึ่งเป็นภูมิความรู้ของพระ มหาเถระ นักปราชญ์ในยุคทองของวรรณกรรมล้านนา การที่มีผู้นำมาคัดลอกต่อนั้น อาจจะเป็น ลูกศิษย์สิทธิวิหาริกจึงไม่กล้าที่จะออกนามว่าเป็นของตน ถึงแม้ว่าบางเรื่องบางคัมภีร์อาจระบุว่า ตนเองเป็นผู้จารต่อมาพระเถระเหล่านั้น และบางฉบับอาจระบุว่าได้ต้นฉบับมาจากไหนเท่านั้น


๙๔ เพื่อมิให้เป็นการลดเกียรติภูมิความรู้ของครูอาจารย์แต่ท่านเหล่านั้นก็มีเจตนาดีที่จะสืบต่อองค์ ความรู้และสร้างคัมภีร์นั้นๆ ให้ปรากฏถึงคนรุ่นต่อไป ๓.๖ สรุปท้ายบท พระพุทธศาสนาในล้านนามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากควบคู่กับกิจการ บ้านเมือง ในขณะเดียวกันก็มีความขัดแย้งระหว่างคณะสงฆ์อยู่บ้าง ซึ่งเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การ สังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ของโลก ณ วัดเจ็ดยอด ในปีพ.ศ.๒๐๒๐ ในรัชสมัยของพระเจ้า ติโลกราช พระพุทธศาสนาในล้านนานั้น ถึงแม้ว่าจะปรากฏอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายลังกา วงศ์ทั้งในด้านแนวความคิดและการปฏิบัติแต่พระพุทธศาสนาในล้านนามิได้เป็นแบบลังกาทุก ประการ ลักษณะของพุทธศาสนาในล้านนา เป็นพุทธศาสนาที่มีลักษณะเฉพาะของตนเอง ที่อาจ เรียกได้ว่าเป็น “พุทธศาสนาของพลเมืองล้านนา” โดยผสมผสานระหว่างความเชื่อดั้งเดิมในลัทธิ วิญญาณนิยม คติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์กับคติความเชื่อของพุทธศาสนาฝ่ายหินยานลัทธิ ลังกาวงศ์ซึ่งส่งผลให้ธรรมเนียมปฏิบัติและวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนามีเอกลักษณ์ที่ แสดงถึงการผสมผสานในวิถีปฏิบัติโดยเฉพาะคติธรรมและความเชื่อในท้องถิ่น นอกจากนี้ความ เป็นไปของพระพุทธศาสนายังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของ ล้านนา ซึ่งส่งผลให้ทั้งพระพุทธศาสนาและอาณาจักรล้านนามีบทบาทต่อกันทั้งในด้าน แนวความคิดทางการเมือง การปกครอง กฎหมาย วัฒนธรรมประเพณีความสัมพันธ์ของสมาชิก ในสังคม การศึกษา และวัฒนธรรม ความเจริญสูงสุดของอาณาจักรล้านนา และพระพุทธศาสนา ที่ถึงขั้นมีการทำ สังคายนาดังกล่าว เป็นปัจจัยหลักให้พระสงฆ์มีความตื่นตัวมีการเรียนรู้พระไตรปิฎกและภาษา บาลีจนมีความเชี่ยวชาญ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่สมัยพระเจ้าติโลกราช พระเจ้ายอดเชียงราย จนถึงสมัยพระเมืองแก้ว หรือในระหว่างปีพ.ศ.๑๙๘๕ ถึง พ.ศ. ๒๐๖๘ รวมเวลา ๘๓ ปีที่ถือว่า “เป็นยุคทองของวรรณกรรมล้านนา” นั้น ได้ก่อให้เกิดวรรณกรรมพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย วรรณกรรมในยุคนั้นมีความสมบูรณ์งดงามทั้งทางด้านภาษาบาลีและอรรถรสในสาระสำคัญ วรรณกรรมชั้นครูอย่างเช่น มังคลัตถทีปนีจักวาฬทีปนีเวสสันตรทีปนีสังขยาปกาสฎีกา ที่รจนา โดย พระสิริมังคลาจารย์สิหิงคนิทาน จามเทวีวงศ์ของท่านพระโพธิรังสีชินกาลมาลีปกรณ์วชิร สารัตถสังคหะ ของพระรัตนปัญญาเถระ ปฐมสมโพธิกถา ของพระสุวัณณรังสีเถระ ได้เป็น


๙๕ แบบอย่างของการรจนาวรรณกรรมพุทธศาสนาล้านนาในยุคต่อมา ซึ่งมีมากมายนับพันเรื่อง และแต่ละเรื่องล้วนมีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ศาสนา และวัฒนธรรมที่ทำให้ทราบถึง ประวัติและความเป็นมาของล้านนาได้เป็นอย่างดี ในบรรดาวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนาที่มีอย่างมากมายนั้นนักวิชาการ หลายท่าน ได้จัดแบ่งเป็นประเภทต่างๆ เพื่อให้สะดวกต่อการศึกษาค้นคว้า ซึ่งสรุปเป็น ๒ ประเภทได้แก่ วรรณกรรมลายลักษณ์และวรรณกรรมมุขปาฐะ โดยวรรณกรรมลายลักษณ์นั้น สามารถจำแนกออกอีกหลายประเภท เช่น วรรณกรรมบาลีวรรณกรรมชาดก ตำนาน ประวัติศาสตร์ตำรา กฎหมาย คำสอน กวีนิพนธ์ฯลฯ ส่วนวรรณกรรมมุขปาฐะ ได้แก่ ภาษิต ล้านนา ปริศนาคำทาย นิทานชาวบ้าน เป็นต้น ที่แสดงถึงความเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตอันเป็นมรดก ทางปัญญาและวัฒนธรรม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุขตามหลัก พระพุทธศาสนา ลักษณะสำคัญของวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา วรรณกรรมล้านนาหรือที่ ชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า “คัมภีร์ธรรม” นั้นมีลักษณะที่สำคัญร่วมกันหลายประการ คือ ๑) ภาษาที่ใช้ในการบันทึกหรือการจารส่วนใหญ่จะเป็นภาษาบาลีและภาษาล้านนา ซึ่งเขียนด้วยอักษรไทยยวน หรือ “อักษรธรรมล้านนา” หรือ “ตั๋วเมือง” อักษรสุโขทัยหรือ ตัวอักษรฝักขาม และอักษรขอมไทย หรืออักษรไทยนิเทศ โดยมีการเก็บรักษาไว้๔ ระดับ คือ ระดับคัมภีร์ที่มีการใช้ไม้และผ้าห่อรักษาไว้ระดับตู้พระธรรมที่มีการเก็บอย่างมิดชิด ระดับหอ ไตรที่มีการรักษาเพื่อกั้นปลวก กันแมลงต่างๆ และระดับประเพณีคือ “ประเพณีตากธรรม” และ “ประเพณีตานธรรม” (ถวายธรรม) ที่แสดงให้เห็นภูมิปัญญาในการรักษามรดกทาง วัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรม ๒) ลักษณะการแต่ง วรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา มีธรรมเนียมในการแต่งมี ความคล้ายคลึงกับการแต่งวรรณกรรมทั่วไป คือ เริ่มต้นที่บทไหว้ครูบทชมความรุ่งเรืองของ บ้านเมือง และศาสนา บทสาระสำคัญหรือหลักธรรมที่ต้องการนำเสนอ และบทอวสานที่แสดงถึง แรงบันดาลใจของผู้แต่งที่แสดงความปรารถนาเพื่อความสงบสุขของบ้านเมืองและระยะเวลาใน การแต่งวรรณกรรม โดยมีการแต่งใน ๔ ลักษณะ คือ ก. แต่งด้วยภาษาบาลีเช่น มังคลัตถทีปนีชินกาลมาลีปกรณ์


๙๖ ข. แต่งแบบ “นิสสัย” หรือ การแปลยกศัพท์คือ การแต่งแบบยกศัพท์ภาษาบาลีมา ตั้งคำหนึ่งแล้วแปลเป็นภาษาล้านนาสลับกันไปจนจบใจความ ดังเช่น “ปัญญาสชาดก” ฉบับวัด สูงเม่น อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ค. แต่งแบบสำนวนเทศน์โดยใช้ฉันทลักษณ์ประเภทร่ายยาว โดยการยกคาถาภาษา บาลีมาตั้งแล้วใช้อธิบายด้วยภาษาล้านนาต่อ โดยแบ่งเป็นวรรคละ ๗-๑๓ คำ คำสุดท้ายของ วรรคจะส่งสัมผัสไปยังคำที่ ๓-๗ ของวรรคถัดไป ดั่งเช่น คัมภีร์เวสสันดรชาดก หรือคัมภีร์ที่ใช้ เทศน์ในสมัยหลังๆ ง. แต่งแบบร้อยแก้ว การแต่งชาดกแบบนี้จะคล้ายกับการแต่งแบบสำนวนเทศน์ เพียงแต่ภาษาล้านนาที่บรรยายในการดำเนินเรื่องไม่จำเป็นต้องส่งสัมผัสเท่านั้น ซึ่งชาดกนอก นิบาตในล้านนาส่วนใหญ่มักจะแต่งในลักษณะเช่นนี้ คำถามท้ายบท ๑. อธิบายพื้นฐานวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา เป็นอย่างไร ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา ๓. บอกความสำคัญของวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา ๔. อธิบายถึงวรรณกรรมพระพุทธศาสนาในล้านนา ที่น่าสนใจได้


๙๗ เอกสารอ้างอิงประจำบท นพพร เคล้าดี, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๖ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษร ศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓. บุญหนา สอนใจ, “สังขยาปกาสกปกรณ์และฎีกา : การตรวจชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ อักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓ บาลีพุทธรักษา, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๕ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ อักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๓. พระพุทธญาณเจ้า และ พระพุทธพุกาม, ตำนานมูลศาสนา, แปลโดย นายสุด ศรีสมวงศ์และ นายพรหม ขมาลา (เปรียญ) พิมพ์ครั้งที่ ๔ (กรุงเทพมหานคร : คณะพระสังฆาธิการ เขตยานนาวา จัดพิมพ์เป็นธรรมทานงานพระราชทานเพลิงศพ พระธรรมราชานุวัตร , โรงพิมพ์มิตรสยาม), ๒๕๓๐. พระรัตนปัญญาเถระ. ชินกาลมาลีปกรณ์. แปลโดย ร.ต.ท.แสง มนวิทูร. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐. พระปัญญาสามีเถระ. ศาสนวงศ์. แปลและเรียบเรียง โดย กรมศิลปากร, กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๐. พระโพธิรังสี. จามเทวีวงศ์. แปลโดย ร.ต.ท.แสง มนวิทูร, พระนคร : กรมศิลปากรจัดพิมพ์, บรรณกิจเทรดดิ้ง, ๒๕๑๖. พระโพธิรังสี.นิทานพุทธสิหิงค์. แปลโดย แสง มนวิทูร, พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๐๖. พระมหาสุทิตย์อาภากโร (อบอุ่น), “การศึกษาองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏใน วรรณกรรมพระพุทธศาสนาเรื่องอานิสงส์และคัมภีร์ที่ใช้เทศน์ในเทศกาลต่างๆ ของ ล้านนา”, ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหา จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๘, พระมหาสมชาตินนฺทธมฺมิโก (บุษนารีย์), “ศึกษาคุณค่าการเทศน์มหาชาติในล้านนา”, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหา


๙๘ จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖. มณีพยอมยงค์. ประวัติวรรณคดีลานนาไทย. เชียงใหม่ : บริษัทคนเมืองการพิมพ์, ๒๕๑๓. มณีพยอมยงค์. ล้านนาไทยคดี. เชียงใหม่ : บริษัทคนเมืองการพิมพ์, ๒๕๑๕. . คติสอนใจชาวล้านนา. กรุงเทพมหานคร : กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๒๑. มณีพยอมยงค์. วัฒนธรรมล้านนา. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๒๙. . ประเพณีสิบสองเดือนล้านนาไทย. เชียงใหม่ : โครงการศูนย์ส่งเสริม ศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๒๙. . เครื่องสักการะในล้านนาไทย. เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์, ๒๕๓๘. ยอร์ช เซเดส์ชำระและ แปล, ศิลาจารึกทวารวดีศรีวิชัย ละโว้, ประชุมศิลาจารึกภาคที่ ๒ พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๔๐๔ ลมูล จันทร์หอม, วรรณกรรมท้องถิ่นล้านนา, กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์, ๒๕๓๘ วรศักดิ์ศรีบุญ , “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๔ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะ อักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๓. ศรีศักร วัลลิโภดม, ล้านนาประเทศ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ศิลปวัฒนธรรมฉบับ พิเศษ , ๒๕๔๕ ศรีแนวณรงค์, “ศึกษาวิเคราะห์จามเทวีวงศ์ฉบับจังหวัดแพร่”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหา บัณฑิต, คณะอักษรศาสตร์สาขาวิชาจารึกภาษาไทย, มหาวิทยาลัยศิลปากร, ๒๕๓๓. สุรพล ดำริห์กุล, แผ่นดินล้านนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เมืองโบราณ, ๒๕๔๕ สรัสวดีอ๋องสกุล, ประวัติศาสตร์ล้านนา, เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๒๙ สมหมาย เปรมจิตต์และคณะ, ตำนานสิบห้าราชวงศ์ฉบับสอบชำระ, เชียงใหม่ : สถาบันวิจัย สังคมมหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๐ . “ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่”, ใน โครงการปริวรรตพระคัมภีร์ล้านนา : ปริวรรต และแปลพร้อมกับความนำ, มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย วิทยาเขตล้านนา, ๒๕๔๖ สุจิตต์วงศ์เทศ บรรณาธิการ, “พระพุทธสิหิงค์จริงทุกองค์ไม่มีปลอม แต่ไม่ได้มาจากลังกา”, ใน


๙๙ ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มติชน, ๒๕๔๖. สุภัทรดิศ ดิศกุล, ศิลปะในประเทศไทย, กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งกรุ๊ฟ, ๒๕๓๔ สุภาพรรณ ณ บางช้าง, “พุทธศาสนาในสมัยสุโขทัย”, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต , คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘ สดุภณ จังกาจิตต์, “จามเทวีวงศ์: วรรณกรรมที่ถูกลืม”, ใน วรรณกรรมพุทธศาสนาในล้านนา, พรรณเพ็ญ เครือไทย บรรณาธิการ, เชียงใหม่ : สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, สถาบันวิจัย สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๔๐ สดุภณ จังกาจิตต์, “จักกวาฬทีปนีกัณฑ์ที่ ๑-๓ : การตรวจสอบชำระและการศึกษาเชิง วิเคราะห์”, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, (ภาควิชาภาษา ตะวันออก คณะอักษรศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), ๒๕๒๐. อุดม รุ่งเรืองศรี, วรรณกรรมล้านนา, กรุงเทพมหานคร : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, ๒๕๔๖ อุษณีย์ธงไชย, “ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยาและล้านนา พ.ศ. ๑๘๓๙–๒๓๑๐”, วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตรมหาบัณฑิต, คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘ F.L. Woodward, Book of the Gradual Sayings Vol. I, London, Pali Text Society, ๑๙๘๙. H.S. Quaritch Wales, “Archaeological Researches on Ancient Indian Coloization’, in Journal of the Malayan Researches Branch of the Royal Asiatic Society. Singapore : Printers Limited, 1940 Saksri Yamadda, The Mangalatthadipani , Chapter 1-2, Ph.D. thesis, University of Pennsylvania, Philadelphia, 1970.


๑๐๐ บทที่ ๔ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา วัตถุประสงค์การเรียนประจำบท เมื่อได้ศึกษาเนื้อหาในบทนี้แล้ว ผู้ศึกษาสามารถ ๑. อธิบายพื้นฐานวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาได้ ๒. อธิบายถึงความรู้ความเข้าใจวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาได้ ๓. บอกความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาได้ ๔. อธิบายถึงวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาที่น่าสนใจได้ ขอบข่ายเนื้อหา ๑. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ๒. วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาที่สำคัญ ๓. ความสำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ๔. การวิเคราะห์วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ๔.๑ ความนำ ยุคอาณาจักรอยุธยาเริ่มตั้งแต่พ.ศ. ๒๐๓๑-๒๑๗๒ มีปรากฏร่องรอยของการศึกษา พระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๑๗๑) จาก หลักฐานพบว่าการศาสนาจะเสื่อมลงไปแต่พระสงฆ์ในพระนครศรีอยุธยาก็ยังมีการจัดการศึกษา กันอยู่และพระมหากษัตริย์เมื่อครั้งยังเป็นพระศรีศิลป์ผนวชอยู่วัดระฆังได้ศึกษาบาลีจนชำนาญ พระไตรปิฎกจนได้รับสมณศักดิ์ที่พระพิมลธรรมอนันตปรีชา ต่อมาเมื่อพระองค์ได้เสด็จขึ้นเสวย พระราชสมบัติจึงได้ให้การสนับสนุนการ ศึกษาพระปริยัติธรรมแก่คณะสงฆ์เป็นอย่างมาก ดั่งที่ เห็นจากการที่พระองค์ทรงเสด็จออกบอกพระปริยัติธรรมแก่พระภิกษุสามเณร ด้วยตัวพระองค์ เองอยู่เสมอ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในพงศาวดารกรุงเก่าตอนหนึ่งว่า “สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ทรงได้ ศึกษาพระปริยัติธรรมชำนิชำนาญมาตั้งแต่ยังผนวช ครั้งเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติแล้วทรง ศรัทธาเสด็จออกบอกหนังสือพระภิกษุ สามเณรเนืองๆ” จากบันทึก เยเรเมียส ฟาน ฟลีต


๑๐๑ (Jeremias van Vlite) หรือที่คนไทยเรียกว่า วันวลิต ได้สังเกตการณ์และจดบันทึกเรื่องราวของ พระสงฆ์ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๑๙๙) ซึ่งทำให้เราเห็นภาพรวมของ การศึกษาของคณะสงฆ์ดังนี้คือ “ในวัดทุกวัด เจ้าอาวาส สงฆ์ ไวยาวัจกรและคนรับใช้ประจำวัด อ่านและสวดมนต์ในช่วงตอนเช้าและตอนเย็น พวกสงฆ์ไม่สะสมทรัพย์สมบัติทั้งที่ไม่กระหายที่จะ ได้สิ่งของใดๆหรือความร่ำรวยของโลกอื่นใด” จน ก ระ ทั่งถึงสมัยข อ งพ ระน าราย ณ์ม ห าราช (พ .ศ . ๒ ๑ ๙ ๙ -๒ ๒ ๓ ๑ ) พระองค์ทรงเห็นว่าพระพุทธศาสนาต้องเผชิญทั้งภัยในและภัยนอกคือการถูกลัทธิ ภายนอกเข้ามาย่ำยีดูหมิ่นดังคำที่มงเซเญอร์ ปาลเลกัวซ์ ผู้ประกาศศาสนาชาวคริสตังกล่าว ไว้ว่า “อาชีพ ของพระนั้นดูจะได้รับผลประโยชน์มากเพราะพวกผู้หญิงชอบเอาของไปถวายเสมอ และถ้าพระนั้นเป็นนักเทศน์ก็สะสมเงินทองและสึกออกไปตั้งเนื้อตั้งตัวได้ อนึ่ง พระมีอภิสิทธิ์มาก ด้วยเหตุนี้จึงอาศัยผ้าเหลืองหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยไม่ต้องเสียแต่อย่างใด อีกทั้งยังประสบกับภัยในการเชื่อถือของประชาชนชาวไทยที่คลุกเคล้าอยู่กับไสย ศาสตร์เวทมนต์คาถาอาคมทำให้เกิดการเห็นผิดเป็นชอบและมีการปลอมมาบวชในพระ พุทธ ศาสนามากมาย พระองค์จึงมีการดำริว่าถ้าปล่อยให้พระพุทธศาสนาเป็นเช่นนี้ต่อไปคงถึงการ อวสานไปในที่สุดแน่ พระองค์จึงอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาโดยโปรดให้มีการฟื้นฟูการจัดการเล่า เรียน ศึกษาพระปริยัติธรรมขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยถ้าผู้ใดสอบได้ดีก็จะให้ อยู่ในพุทธ ศาสนาต่อไป ส่วนผู้ใดสอบตกก็โปรดให้ลาสมณะเพศและดำเนินคดีตามกบิลเมืองต่อไป ด้วยเหตุ นี้พระนารายณ์มหาราชจึงทรงโปรดให้คณะสงฆ์ดำเนินการด้านการสร้าง โรงเรียนพระปริยัติ ธรรมขึ้น เพื่อให้กุลบุตรผู้เข้ามาบวชทุกรูปได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมอย่าง จริงจังคำว่า “บวชเรียน” จึงตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยนั้นเป็นต้นมาโดยมีวัตถุประสงค์สามประการคือ ๑. เพื่อดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา ๒. เพื่อกำจัดผู้ที่เข้ามาอาศัยพระพุทธศาสนาโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรม ๓. เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งพระสัทธรรม การศึกษาของฝ่ายสงฆ์ในช่วงปลายของกรุงศรีอยุธยาก็ยังได้รับการสนับสนุนจาก ฝ่ายบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง เพราะพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่ยังคงบำเพ็ญพระราช กรณียกิจทางด้าน ศาสนาเป็นส่วนมาก เช่นการออกผนวชเป็นภิกษุในพุทธศาสนาก่อนจะมีพระ บรมราชาภิเษก ซึ่งการที่พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่จะต้องทรงเสริมศาสนานี้ในทางหนึ่ง


๑๐๒ อาจเป็นเพราะหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือทางที่ช่วยส่งเสริม ปกครอง โดยเฉพาะการส่งเสริมเรื่อง “พระญาจักรพรรดิราช” ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ทั้งหลายผู้ที่ เป็นพระญาจักรพรรดิราชต้อง อาศัยอำนาจบุญที่ทำมาตั้งแต่อดีตทั้งจะต้องเป็นผู้รู้ทั้งทางธรรม และทางโลก ดังในพระพุทธศาสนาการบ้านเมืองจึงต้องพึ่งพาอาศัยในลักษณะที่เรียกว่า “น้ำพึ่ง เรือ เสือพึ่งป่า” ๔.๒ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนต้น วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจในสมัยอยุธยาตอนต้น ประกอบไปด้วย ลิลิต โองการแช่งน้ำ มหาชาติคำหลวง และโครงหริภุญไชย มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๔.๒.๑ ลิลิตโองการแช่งน้ำ ลิลิตโองการแช่งน้ำ หรือ ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า เป็นวรรณกรรมสำคัญเรื่องหนึ่งที่ผู้แต่ง ต้องการให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และความขลัง เนื้อหาของวรรณกรรมที่ทำให้เกิดความน่าหวาดกลัว นอกจากนี้สำนวนโวหารที่ใช้เป็นคำศัพท์ที่เข้าใจยาก เพราะใช้ทั้งศัพท์เขมร บาลีสันสกฤต และ ศัพท์ไทยโบราณ ซึ่งทำให้คนรุ่นปัจจุบันอ่านเข้าใจยาก ผู้แต่ง ลิลิตโองการแช่งน้ำ หรือที่มีผู้เรียกว่าประกาศแช่งน้ำ ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า โคลงห้า หรือโคลงแช่งน้ำ เป็นวรรณคดีที่ใช้ในพิธีกรรม คือพราหมณ์ในราชสำนักใช้อ่านในพระราชพิธีถือน้ำ พระพัทธประติชญา ซึ่งมีความหมายว่า ผูกมัดด้วยคำสาบาน ชื่อพระราชพิธีดังกล่าวคนในสมัยหลัง เรียกว่า พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา วรรณคดีเรื่องนี้ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง แต่งขึ้นในสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) กล่าวคือมีพระนามของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ปรากฏอยู่ในร่ายบทที่ ๔ คือ “สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราชาธิราช” และในร่ายบทที่ ๙ คือ “สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิศรราช” พระนามในร่าย ทั้ง ๒ บทข้างต้นใกล้เคียงกับพระนามของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (อู่ทอง) ที่มีพ่อพราหมณ์ถวาย แด่พระองค์ในตอนต้นรัชกาลว่า “สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว กรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์” และยังคล้ายคลึงกับพระนามของ สมเด็จพระรามาธิบดี(อู่ทอง) ที่ปรากฏในกฎหมาย “พีสูทดำน้ำพีสูทลุยเพลิง” ในกฎหมายตรา


๑๐๓ สามดวงที่ใช้ว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้ารามาธิบดีศรีสินทรบรมจักรพรรดิศรบวรธรรมิกมหา ราชาธิราชเจ้า” ๔๗ รูปแบบการประพันธ์ รูปแบบคำประพันธ์ของวรรณคดีเรื่องนี้เป็นที่ถกเถียงกันมาช้านาน ปัจจุบันนักวิชาการ ส่วนใหญ่ยอมรับว่าเป็นลิลิตดั้น ประกอบด้วยร่ายโบราณ ๙ บท และโคลงสี่ดั้นบาทกุญชร ๒๙ บท คำประพันธ์ส่วนใหญ่มีการร้อยสัมผัสระหว่างร่ายกับโคลงหรือระหว่างโคลงกับร่าย อย่างที่เรียกว่า “เข้าลิลิต” มีการรับส่งสัมผัสระหว่างโคลงกับโคลงอย่างที่เรียกว่า “ร้อยโคลง” และมีการรับส่ง สัมผัสระหว่างร่ายกับร่ายอย่างชัดเจน แม้ว่าตำแหน่งของคำรับสัมผัสยังค่อนข้างยืดหยุ่น ไม่บังคับ แน่นอนตายตัวก็ตาม ลิลิตโองการแช่งน้ำ ใช้ถ้อยคำสำนวนที่เข้าใจยาก และเป็นคำห้วนหนักแน่น เพื่อให้เกิด ความน่าเคารพยำเกรง ความพรรณนาบางตอนละเอียดละออ เช่น ตอนกล่าวถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมี อำนาจก็สรรหามากล่าวไว้มากมาย นอกจากนี้ยังใช้ถ้อยคำประเภท โคลงห้าและร่ายดั้น ซึ่งมี จังหวะลีลาไม่ราบรื่น สะดุดเป็นตอน ๆ ยิ่งเพิ่มความขลัง ขึ้นอีกเป็นอันมาก จึงนับได้ว่าลิลิตโองการ แช่งน้ำเรื่องนี้แต่งได้เหมาะสมกับความมุ่งหมายสำหรับใช้อ่านหรือสวดใน พระราชพิธีถือ น้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งมีความสำคัญแก่การเพิ่มพูนพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ใน ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ วรรณ กรรมทางพระพุทธศาสนาเรื่องนี้มีกำเนิดจากพระราชพิธีในระบบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แสดงถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมเขมร และพราหมณ์อย่างชัดเจน สมเด็จพระ เจ้าอู่ทองทรงรับการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และพระราชพิธีศรีสัจปานจากเขมรมา ใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาวการณ์ของบ้านเมืองที่ต้องการสร้างอำนาจปกครองของพระเจ้า แผ่นดิน และความมั่นคงของบ้านเมืองในระยะที่เพิ่งก่อสร้างราชอาณาจักร ในสมัยสุโขทัยไม่ปรากฏว่ามีพระราชพิธีศรีสัจปานกาล เนื่องจากกษัตริย์สุโขทัยทรง ปกครองบ้านเมือบแบบพ่อปกครองลูก ถึงแม้หลักศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ ๔๕ มีเนื้อความเกี่ยวกับ การสบถสาบานระหว่างกษัตริย์สุโขทัย ผู้เป็นหลานกับเจ้าเมืองน่านผู้ปู่ และถ้อยคำบางตอนคล้าย ๔๗ ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ตะเลงพ่าย ศรีมหากาพย์, (กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก : คณะสงฆ์ วัดพระเชตุพน), ๒๕๔๑), หน้า ๑๓.


๑๐๔ กับลิลิตโองการแช่งน้ำ แต่ก็เป็นการสาบานระหว่างบุคคลเฉพาะกรณี ไม่ใช่พิธีทางราชการทั่วไป กระทำต่อพระเจ้าแผ่นดินเป็นการทั่วไปอย่างที่กรึงศรีอยุธยา อนึ่งข้อความนี้จารึกไว้ใน พ.ศ.๑๙๓๕ ซึ่งอาจเป็นสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๒หรือพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสยลือไท)ตรงกับรัชการ สมเด็จพระราเมศวรแห่งกรุงรีอยุธยา เป็นช่วงที่กรุงสุโขทัยเสียอิสระภาแก่กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๒๑ ถ้าพระราชพิธีสัจปานกาลเคยกระทำที่สุโขทัยก็จะต้องเป็นเวลาภายหลังที่กรุงสุโขทัยตกอยู่ ในอำนาจปกครองและอิทธิพลทางวัฒนธรรมของ กรุงศรีอยุธยาแล้ว๔๘ ๔.๒.๒ มหาชาติคำหลวง ผู้แต่ง สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้นักปราชญ์ราชบัณฑิตช่วยกันแต่ง เมื่อจุลศักราช ๘๔๔ พุทธศักราช ๒๐๒๕ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรม ราชาธิปดีที่ ๒ หรือสามพระยา ก่อนเสวยราชย์ พระราชบิดาภิเษกให้เป็นพระมหาอุปราช และ โปรดให้เสด็จไปครองเมืองพิษณุโลก มีอำนาจสิทธิ์ขาดในหัวเมืองฝ่ายเหนือ ได้รับราชสมบัติสืบต่อ พระราชบิดา ระหว่าง พ.ศ.๑๙๙๑ – ๒๐๓๑ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างความ เจริญรุ่งเรืองแก่กรุงศรีอยุธยาเป็นอันมาก ทรงแก้ไขการปกครอง โดยแยกทหารและพลเรือนออก จากกัน ฝ่ายทหารมีหัวหน้าเป็นสมุหกลาโหม ฝ่ายพลเรือนมีสมุหนายก ทรงตั้งยศข้าราชการลดลั่น กันตามชั้น เช่น ขุน หลวง พระยา พระ ทรงทำสงครามกับเชียงใหม่ ได้เมืองเชียงใหม่ พ.ศ.๒๐๑๗ เป็นเหตุให้เกิดลิลิตยวนพ่าย พระองค์มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา เสด็จออกผนวชชั่วระยะ หนึ่ง ที่วัดจุฬามณี จังหวัดพิษณุโลก การทำนุบำรุงพระศาสนาในรัชกาลนี้ทำให้เกิดมหาชาติคำ หลวง ประวัติความเป็นมา มหาชาติคำหลวงเป็นหนังสือมหาชาติฉบับภาษาไทย และเป็นประเภทคำหลวงเรื่อง แรก เรื่องเกี่ยวกับผู้แต่งและปีที่ แต่งมหาชาติคำหลวง ปรากฏหลักฐานในเรื่องพงศาวดารฉบับคำ หลวงกล่าวยืนยันปีที่แต่งไว้ตรงกับมหาชาติคำหลวงเดิมหายไป ๖ กัณฑ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธ เลิศหล้านภาลัย ทรงมีพระบรมราชโองการให้พระราชาคณะและนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งซ่อมให้ ๔๘ ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ตะเลงพ่าย ศรีมหากาพย์, ๒๕๔๑, หน้า ๑๔.


๑๐๕ ครอบ ๑๓ กัณฑ์ เมื่อจุลศักราช ๑๑๗๖ พุทธศักราช ๒๓๔๗ ได้แก่ กัณฑ์ หิมพานต์ ทานกัณฑ์ จุล พน มัทรี สักกบรรพ และฉกษัตริย์ รูปแบบการประพันธ์ มหาชาติคำหลวงแต่งด้วยคำประพันธ์หลายอย่าง คือ โคลง ร่าง กาพย์และฉันท์ มี ภาษาบาลี แทรกตลอดเรื่องมหาชาติคำหลวงเรื่องนี้เป็นหนังสือประเภทคำหลวง หนังสือคำหลวงมี ลักษณะดังนี้ ๑.เป็นพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าแผ่นดิน หรือเจ้านายชั้นสูง ๒.เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระศาสนาและศีลธรรม ๓.ใช้คำประพันธ์หลายประเภท คือโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน และร่าย ๔.ใช้สวดเข้าทำนองหลวง ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดประดิษฐ์ขึ้นได้ ความมุ่งหมาย เพื่อใช้อ่านหรือสวดในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา และอาจ เรียกรอยตามพระพุทธธรรมราชาลิไท ซึ่งพระราชนิพนธ์เรื่องไตรภูมิพระเรื่อง เนื้อหาโดยย่อมหาชาติคำหลวง แบ่งออกเป็น ๑๓ ตอน ซึ่งเรียกว่ากัณฑ์ดังนี้๔๙ กัณฑ์ทศพร เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเสด็จไปเทศนาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร ต่อจากนั้นเสด็จไปโปรดพุทธบิดา และพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัสดุ์ เกิดฝนโบกขพรรษ พระสงฆ์ สาวกกราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงเรื่องพระเวสสันชาดก เริ่มตั้งแต่เมื่อกัปที่ ๙๘ นับเป็นแต่ ปัจจุบัน พระนางผุสดีซึ่งจะทรงเป็นพระมารดาของพระเวสสันดร ทรงอธิฐานขอเป็นมารดาของผู้มี ใจบุญ จบลงตอนพระนางได้รับพระ ๑๐ ประการจากพระอินทร์ กัณฑ์หิมพานต์พระเวสสันดรทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสัญญชัยกับพระนาวผุ สดี แห่งแคว้นสีวีราษฎร์ประสูติตรอกพ่อค้า เมื่อพระเวสสันดรได้เวนราชสมบัติจากพระมารดา ได้ พระราชทานช้างปัจจัยนาคแก่กษัตริย์แห่งแคว้นกลิงรางราษฎร์ ประชาชนไม่พอใจ พระเวสสันดร จึงถูกเนรเทศไปอยู่ป่าหิมพานต์ ๔๙ นิพนธ์สุขสวัสดิ์, วรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา, (พิษณุโลก : โครงการตำรา มศว., ๒๕๒๕), หน้า ๒๙๖.


๑๐๖ กัณฑ์ทานกัณฑ์ก่อนเสด็จไปอยู่ป่า พระเวสสันดรได้พระราชทานสัตตดกทาน คือ ช้าง ม้า รถ ทาสชาย ทาสหญิง โคนม และนางสนม กัณฑ์วนประเวสน์พระเวสสันดรทรงพาพระนางมัทรีพระชายา พระชาลีและพระกัน หาพระโอรสพระธิดา เสด็จจากเมืองผ่านแคว้นเจตราษฏร์จนเสด็จถึงเขาวงกตในป่าหิมพานต์ กัณฑ์ชูชก ชูชกพราหมณ์ขอทานได้นางอมิตดาเป็นภรรยา นางใช้ให้ไปขอสองกุมาร ชู ชกเดินทางไปสืบข่าวในแคว้นสีวีราษฏร์ สามารถหลบหลีกการทำร้ายของชาวเมือง พบเจตบุตร ลวงเจตบุตร ให้บอกทางไปยังเขาวงกต กัณฑ์จุลพน ชูชกเดินทางผ่านป่าตามเส้นทางตามที่เจตบุตรแนะจนถึงทีอยู่ของอัจจุต ฤษีกัณฑ์มหาพน ชูชกลวงอัจจุจฤษี ให้บอกทางผ่านป่าใหญ่ไปยังที่ประทับของพระเวสสันดร กัณฑ์กุมาร ชูชกทูลขอสองกุมาร ทุบตีสองกุมารเฉพาะพรพักตร์พระเวสสันดร แล้วพา ออกเดินทาง กัณฑ์มัทรีพระนางมัทรีเสด็จกลับมาจากหาผลไม้ที่ป่า ออกติดตามสองกุมารตลอกคืน จนถึงทางวิสัญญีเฉพาะพระพักตร์พระเวสสันดร เมื่อทรงพื้นแล้ว พระเวสสันดรเล่าความจริง เกี่ยวกับสองกุมาร พระนางทรงอนุโมทนาด้วย กัณฑ์สักกบรรพ พระอินทร์ทรงเกรงว่าจะผู้ที่มาพระนางมัทรีไปเสีย ทรงเปลงเป็น พราหมณ์ชรามาทูลของพระนางมัทรีแล้วฝากไว้ที่พระเวสสันดร กัณฑ์มหาราช ชูชกเดินทางเข้าแคว้นสีวีราษฎร์ พระเจ้าสญชัยทรงไถ่สองกุมาร ชูชก ได้รับพระราชทานเลี้ยง และถึงแก่กรรมด้วยการบริโภคอาหารมากเกินควร กัณฑ์ฉกษัตริย์พระเจ้าสัญญชัย พระนางผุสดี พระชาลี และพระกันหาเสด็จไปทูลเชิญ พระเวสสันดรและพระนางมัทรีกลับ เมื่อกษัตริย์หกพระองค์ทรงพบกัน ก็ทรงวิสัญญี ต่อฝนโบกข พรรษตก จึงทรงฟื้นขึ้น กัณฑ์นครกัณฑ์กษัตริย์ทั้งหกพระองค์เสด็จกลับพระนคร พระเวสสันดรได้ครองราชย์ ดังเดิม บ้านเมืองสมบูรณ์พูนสุข๕๐ ๕๐ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : DS. Printing House Co., Ltd., ๒๕๒๗), หน้า ๑๘๙.


๑๐๗ ความสำคัญของมหาชาติคำหลวง เป็นวรรณคดีเกี่ยวกับศาสนาโดยตรง เป็นหนังสือมหาชาติฉบับภาษาไทยเล่มแรก ที่ ปรากฏหลักฐานเหลืออยู่ มีใจความใกล้เคียงกับข้อความที่แต่งเป็นภาษาบาลี แสดงถึง ความสามารถในการแปลและเรียบเรียง ข้อความ การแทรกบาลีลงไว้มากมายเช่นนี้ ทำให้ฟัง ยากจนต้องมีการแต่งกาพย์มหาชาติขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม มหาชาติคำหลวงทั้ง ของเดิมและที่แต่งซ่อมใหม่ในรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตโกสินทร์ นักปราชญ์ราชบัณฑิตที่เป็นกวีหลาย ท่านช่วยกันแต่ง จึงมีสำนวนโวหารและถ้อนคำไพเราะเพราะพริ้งอยู่มาก แทรกไว้ด้วยรสวรรณคดี หลายประการ เช่น ความโศก ความอาลัยรัก ความน้อยใจ และความงามของธรรมชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังให้ความรู้ทางด้านภาษา ทำให้ทราบคำโบราณ คำแผลง และภาษาต่างประเทศ เช่น สันสกฤต และเขมรเป็นต้น มหาชาติคำหลวงแสดงถึงความเลื่อมใสในพุทธศาสนา และความเชื่อในบุญกุสลที่เกิด จากฟังเทศน์เรื่องมหาชาติของคนไทยสืบต่อมาจากสุโขทัย นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าสมเด็จพระ บรมไตรโลกนาถมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง การโปรดเกล้าฯให้ประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิตแต่งมหาชาติคำหลวง ก็เทียบได้พญาลิไททรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง ๔.๒.๓ โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงนิราศหริภุญชัย นับเป็นโคลงนิราศเรื่องแรกในวรรณคดีไทย ซึ่งโคลงนิราศหริภุญ ชัยเป็นงานวรรณศิลป์ที่มีคุณค่าทางด้านภาษา ศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์โบราณ ฯลฯ นิราศ นับว่าเป็นวรรณกรรมที่มีความโดดเด่นทั้งในแง่การบันทึกการเดินทาง บันทึกเรื่องราวความเป็นอยู่ วิถีชีวิตวัฒนธรรม คติชน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และกลุ่มชาติพันธุ์ตามเส้นทางและพื้นที่ที่ ผู้ประพันธ์ได้เดินทางผ่านหรือพบเห็นระหว่างการเดินทาง ความหมายของนิราศในทางวรรณคดีเป็นคำที่มีความหมายกว้างออกตามลักษณะ ความหลากหลายแขนงเนื้อหาที่กวีต่าง ๆ ได้สร้างสรรค์ขึ้นในสมัยต่อ ๆ มา ในระยะแรก ๆ นิราศ มักแต่งเป็น “นิราศรัก” ในระยะหลัง ๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นนิราศรัก แค่เป็นการจาก คน วัตถุ สถานที่ไปไกลก็ได้บางเรื่องมิได้กล่าวถึงการเดินทางไปไหน ไม่มีบทคร่ำครวญถึงนาง ก็ยังอนุโลม


๑๐๘ เรียกชื่อว่า “นิราศ” ด้วย คำว่านิราศจึงเป็นคำทีมีความหมายกว้างออก หมายรวมไปถึงวรรณกรรม ที่เป็นจดหมายเหตุบันทึกการเดินทาง หรือสารคดีท่องเที่ยวบางเรื่องอีกด้วย๕๑ ความเป็นมา โคลงนิราศหริภุญชัยมีต้นฉบับอยู่หลายฉบับแต่ละฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกันซึ่ง พบว่ามีอยู่ด้วยกัน ๖ ฉบับ คือ (๑) โคลงนิราศหริภุญชัยฉบับวัดศรีโคมคำ อำเภอเมือง จังหวัด พะเยา ต้นฉบับมีเนื้อหาของโคลงไม่จบเรื่องคือมีเฉพาะตอนต้นเพียง ๒๖ บท และแต่งเป็นโคลงกล บทเพิ่มเข้ามาอีก ๙ บท รวมเป็นโคลงจำนวน ๓๕ บท ส่วนปีที่จาร คือ จ.ศ. ๑๑๒๐ ตรงกับพ.ศ. ๒๓๐๑ (๒) โคลงนิราศหริภุญชัยฉบับวัดกิ่วพร้าว ต้นฉบับมีเนื้อหาจบเรื่องมีโคลงจำนวน ๑๘๓ บท ปีที่จารคือ จ.ศ. ๑๒๑๘ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๙๙ (๓) โคลงนิราศหริภุญชัยฉบับวัดฝายหิน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ต้นฉบับมีคำประพันธ์โคลงสี่สุภาพ โคลงสาม และโคลงสอง โคลงสี่สุภาพมีจำนวน ๑๘๑ บท มีโคลงสลับท้ายโคลงสี่สุภาพด้วยโคลงสองมีจำนวน ๑๒๖ บท และโคลงสามมีจำนวน ๕๓ บท ปีที่จารคือ จ.ศ. ๑๒๓๙ ตรงกับพ.ศ. ๒๔๒๐ (๔) โคลงนิราศหริภุญชัยฉบับวัดเจดีย์หลวง ฉบับที่ ๑ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ฉบับนี้จารด้วยตัวอักษรล้านนา มีเนื้อหาของโคลงจบเรื่อง มีโคลงจำนวน ๑๘๓ บท ไม่ปรากฏปีที่จาร ทราบแต่ผู้คัดลอกชื่ออาภิไชยหรืออภิชัย (๕) โคลงนิราศ หริภุญชัยฉบับวัดเจดีย์หลวง ฉบับที่ ๒ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ฉบับนี้จารด้วยตัวอักษรไทย นิเทศ ต้นฉบับมีเนื้อหาของโคลงไม่จบเรื่อง มีโคลงจำนวน ๑๔๙ บท ไม่ปรากฏปีที่จาร (๖) โคลง นิราศหริภุญชัยฉบับที่สงวน โชติสุขรัตน์มอบให้แก่ประเสริฐ ณ นคร ฉบับนี้จารด้วยตัวอักษรไทย นิเทศ มีเนื้อหาของโคลงจบเรื่อง มีโคลงจำนวน ๑๘๐ บท ไม่ปรากฏปีที่จาร ต้นฉบับทั้ง ๖ ฉบับ พบว่าต้นฉบับโคลงนิราศหริภุญชัยที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดคือ ฉบับของวัดศรีโคมคำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ซึ่งจารในปีพ.ศ. ๒๓๐๑ ส่วนต้นฉบับที่มีอายุน้อยที่สุดคือฉบับวัดฝายหิน อำเภอ เมืองจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งระบุว่าจารในปีพ.ศ. ๒๔๒๐๕๒ ต้นฉบับโคลงนิราศหริภุญชัยปรากฏชื่อผู้คัดลอกเนื้อหาคือ “อภิชัย” และฉบับที่ คัดลอกเนื้อหาโดย “สุรินทร์” หรือ “แสนสุรินทร์” ปัจจุบันต้นฉบับโคลงนิราศหริภุญชัยที่มี ๕๑ สมทรง กฤตมโนรถ, นิราศลพบุรี, (กรุงเทพมหานคร : สำนักศิลปวัฒนธรรมสถาบันราชภัฏเทพ สตรี, ๒๕๔๔), หน้า ๓. ๕๒ ลมูล จันทน์หอม, “โคลงนิราศหริภุญชัย : การวินิจฉัยต้นฉบับ”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรม หาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๒)


๑๐๙ มาตรฐานตรวจสอบชำระและจัดทำคำอธิบายทั้งคำศัพท์และถอดความเป็นฉบับคู่มือนักศึกษา คือ ฉบับที่ตรวจสอบชำระโดยประเสริฐ ณ นคร ซึ่งมีโคลงจำนวนทั้งสิ้น ๑๘๑ บท ผู้แต่ง และช่วงเวลาในการแต่ง โคลงนิราศหริภุญชัย เป็นโคลงนิราศโบราณล้านนาที่มีความเก่าแก่มาก มีผู้รู้และ นักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานเรื่องการแต่งโคลงนิราศหริภุญชัย แต่ก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าแต่งขึ้นใน สมัยไหน บางท่านว่าแต่งในสมัยพระเจ้าปราสาททอง ในราว พ.ศ. ๒๑๘๑ บางท่านว่าแต่งในสมัย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ในราวพ.ศ. ๒๐๖๐ นอกจากนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ ยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานช่วงเวลาในการแต่งโคลงนิราศหริภุญชัยไว้ว่า อาจแต่งประมาณ พ.ศ. ๒๑๘๐ หรือก่อนหน้านั้นขึ้นไป ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พระพุทธสิหิงค์ยังประดิษฐานอยู่ที่เชียงใหม่ ราวรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และกวีทางใต้คงนำมาดัดแปลงราวรัชกาลสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช ศาสตราจารย์ประเสริฐ ณ นคร ได้ศึกษาโคลงเรื่องนี้โดยเทียบกับต้นฉบับ ภาษาไทยเหนือที่เชียงใหม่ ปีที่แต่งโคลงนิราศหริภุญชัยปรากฏชัดเจนในตัวบทแรกที่ว่า “เมิงเป้า” หรือ “เมิงเปล้า” อธิบายความหมายได้ว่าปีฉลูนพศก คือ พ.ศ. ๒๐๖๐ หรือจุลศักราช ๘๗๙ จึงลง ความเห็นว่าน่าจะแต่งขึ้นใน พ.ศ. ๒๐๖๐ ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ จากช่วงเวลาที่ สันนิษฐานในการแต่งโคลงนิราศหริภุญชัย ประมาณปีพ.ศ. ๒๐๖๐ ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวยังตรงกับ สมัยอาณาจักรล้านนาที่มีพระญาแก้ว (พระเมืองแก้ว) กษัตริย์ราชวงศ์มังราย ครองราชย์ในช่วง พ.ศ. ๒๐๓๘-๒๐๖๘ อีกทั้งยังมีการสันนิษฐานที่สอดคล้องกับประเสริฐ ณ นคร โดยได้กล่าวถึงช่วงเวลาการ แต่งโคลงนิราศหริภุญชัยไว้ว่า ในต้นพุทธศักราช ๒๐๖๐ มหาราชเมืองแก้วเสด็จไปหริภุญชัยด้วย เหตุผลดังต่อไปนี้ประการแรก เมื่อจุลศักราช ๘๗๔ (ตรงกับค.ศ. ๑๕๑๒ หรือพ.ศ. ๒๐๕๖) มีรับสั่ง ให้สร้างพระราชมณเฑียร (วัง) ขึ้นที่ตำบลศรีบุญยืนทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของหริภุญชัยตรงที่ แม่น้ำปิงและแม่น้ำกวงมาประจบกัน ในปีถัดมา (พ.ศ. ๒๐๕๗) ได้เสด็จขึ้นพระราชมณเฑียรนั้น พร้อมทั้งมีรับสั่งให้สร้างมหาวิหารขึ้น ณ พระบรมสารีริกธาตุ ประการที่สอง มหาราชเมืองแก้ว โปรดให้ก่อกำแพงเมืองหริภุญชัยใหม่ การเสด็จหริภุญชัยจึงอาจเป็นพระราชประสงค์ที่จะไป ประทับ ณ พระราชมณเฑียรใหม่ตรวจดูกำแพงเมืองใหม่ เมื่อเสด็จไปนั้นได้ไปฉลองพระมหาวิหาร


๑๑๐ และนมัสการพระบรมสารีริกธาตุตามราชประเพณีด้วยในโอกาสเดียวกัน จากข้อสันนิษฐาน ดังกล่าวจึงสันนิษฐานได้ว่าช่วงเวลาในการแต่งโคลงนิราศหริภุญชัย ตรงกับปีพ.ศฺ. ๒๐๖๐ สำหรับกวีผู้แต่งโคลงนิราศหริภุญชัยยังไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง เนื่องจากว่าในสมัย โบราณนั้น ผู้แต่งไม่นิยมบอกชื่อตน กวีน่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีและนางที่กวีครวญถึงนั้นก็น่าจะ เป็นสตรีที่อยู่ในสถานภาพที่สูงดังที่กวีเรียกนางว่า “ศรีทิพ” “ทิพทอง” “ทิพดวงดอกฟ้า” หรือ เรียกว่า “ทิพอาชญา” มีข้อสังเกตคือ ในโคลงบทที่ ๑๒ และโคลงบทที่ ๑๙ กวีใช้คำบ่งชี้ถึงนางอัน เป็นที่รักว่า “ราช” แสดงให้เห็นว่านางที่กวีครวญถึงนี้สืบเชื้อสายราชวงศ์ โคลงบทที่ ๑๖๔ กวี กล่าวถึงเทวดาให้สลักชื่อของน้องผู้เป็น “อัคคชา” หมายความว่านางนั้นจะต้องมีสถานะเป็นชายา ของกวีอย่างแน่นอน อีกทั้งเนื้อหาในโคลงบทสุดท้ายกวีกล่าวถึงจุดมุ่งหมายในการแต่งโคลงนิราศ หริภุญชัย เพื่อ “ถวายแด่นุช” บ่งบอกสถานภาพของผู้รับสารว่าอยู่ในสถานภาพที่สูง กวีจึงมุ่งใช้คำ ว่า “ถวาย” ๕๓ อีกทั้งยังมีข้อสันนิษฐานที่ว่า ผู้แต่งเป็นสามีนางศรีทิพ ถ้านางศรีทิพในประวัติศาสตร์ คือ พระราชมารดาของพญาเมืองแก้ว ผู้แต่งจะเป็นใครจะเป็นไปได้ไหมว่า คือพญายอดเชียงรายซึ่ง เป็นพระสวามีของพระนาง แต่ตามหลักฐานชินกาลมาลีปกรณ์นั้น พญายอดเชียงรายได้ถูกขุนนาง ถอดถอนจากความเป็นกษัตริย์เมื่อ พ.ศ. ๒๐๓๘ และถูกส่งไปประทับที่เมืองชะมาศ สิ้นพระชนม์ปี พ.ศ. ๒๐๕๐ ก่อนที่ผู้แต่งจะแต่งโคลงนิราศหริภุญชัย ๑๐ ปีดังนั้นผู้แต่งจึงไม่ใช่พญายอดเชียงราย สันนิษฐานว่า พระนางอาจจะมีพระสวามีคนใหม่ ซึ่งเป็นราชนิกูลและอำมาตย์ใหญ่ชื่อ ศิริยวาปี มหาอำมาตย์อีกทั้งในโคลงนิราศหริภุญชัยผู้แต่งได้บรรยายรายละเอียดการเดินทางของตนไว้อย่าง ละเอียดว่า เดินทางล่วงหน้ามาเมืองลำพูนด้วยขบวนเกวียนทอง ซึ่งประดับประดาหางนกยูง และ ตราหงส์อย่างสวยงามเดินทางโดยขบวนเกวียนมีเกวียนร่วมร้อยเล่ม มาที่เมืองลำพูนเพื่อมาตรวจ ตราความพร้อมของงานเฉลิมฉลองที่วัดพระธาตุหริภุญชัยก่อนที่พญาเมืองแก้วและพระราชมารดา จะเดินทางตามมาภายหลัง นอกจากนั้นภูมิรู้ต่าง ๆ ของผู้แต่งมีมากคงได้มาจากระบบศึกษาของ ราชสำนัก ดังนั้นผู้แต่งคงต้องมีฐานะทางสังคมสูง และจากการสังเกตการใช้คำในโคลงนิราศแล้ว ทำให้คิดว่าจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก ศิริยวาปีมหาอำมาตย์ผู้เป็นพระสวามีจากข้อสันนิษฐานข้างต้น ๕๓ นิพัทธ์ แย้มเดช, โคลงนิราศหริภุญชัย: ความสัมพันธ์ทางวรรณศิลป์ระหว่างโคลงนิราศ ล้านนาและภาคกลาง, (คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๒), หน้า ๑๓.


๑๑๑ แสดงให้เห็นว่า โคลงนิราศหริภุญชัยได้แต่งขึ้นในปีเมิงเป้า จุลศักราช ๘๗๙ ซึ่งตรงกับพุทธศักราช ๒๐๖๐ กวีผู้แต่งโคลงนิราศหริภุญชัยยังไม่ทราบชื่อแน่ชัด ทว่าต้องเป็นชนชั้นสูงในราชสำนัก ขณะนั้น เนื่องจากลักษณะการใช้ภาษาและกลวิธีในการประพันธ์ที่ยอดเยี่ยม วัตถุประสงค์ในการแต่ง โคลงนิราศหริภุญชัยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมคนชั้นสูงในราชสำนัก เวลาที่พระเจ้า แผ่นดินเสด็จประพาสที่ใดที่หนึ่งด้วยพระราชกิจหรือการเปลี่ยนพระอิริยาบถเป็นโอกาสที่จะทรง แสดงพระปรีชาสามารถด้านวรรณศิลป์โคลงบทที่ ๑๕๙ กล่าวถึงพระราชโอรสของกษัตริย์ที่เสด็จ มาในการพระราชพิธีที่พระมหาธาตุหริภุญชัยหรือการเฉลิมฉลองพระวิหารหลวงที่มีรับสั่งให้ สร้างใหม่ก่อนหน้านั้นย้อนหลังไป ๕ ปีส่วนในโคลงบทส่งท้ายกวีกล่าวว่า ต้องการแต่งกวีนิพนธ์นี้ เพื่อให้เป็นตำนานแห่งความรักไปเนิ่นนานและควรค่าแก่การสงวนรักษา กวีได้กล่าวว่าได้เริ่มแต่ง ตั้งแต่ออกเดินทางในวันพุธที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ค.ศ. ๑๕๑๗ หรือพ.ศ. ๒๐๖๐ และแต่งเสร็จในวัน อังคารที่ ๑๓ เดือนตุลาคม ปีฉลูจ.ศ.๘๖๙/ค.ศ. ๑๕๑๗ หรือ พ.ศ. ๒๐๖๐ ด้วยขบวนอักษรที่ สวยงาม การร้อยกรองกวีนิพนธ์ที่ยาวนานถึงเกือบ ๘ เดือนเต็ม ดูเหมือนยาวนานมาก แต่ไม่ใช่เป็น เรื่องผิดปกติสำหรับพระราชนิพนธ์ของพระเจ้าแผ่นดิน นักปราชญ์ราชสำนักคงได้มีส่วนช่วยในการ เกลาคำประพันธ์จนไร้ที่ติอีกทั้งต้องทดลองขับลำนำจนราบรื่น เนื่องจากโคลงหริภุญชัยเขียนขึ้น เพื่อการขับและการสดับให้ไพเราะหูซึ่งวัตถุประสงค์หลักในการแต่งโคลงนิราศหริภุญชัยมีอยู่ ๒ ประการ ได้แก่ ประการแรก เพื่อแสดงถึงอารมณ์ของกวีในการพรรณนาบทร้อยกรองที่ไพเราะอัน เนื่องจากการเดินทางพลัดพรากที่อยู่เดิมไปชั่วคราว เกิดความรู้สึกอาลัยรักคนใกล้ชิดที่อยู่เบื้องหลัง ประการที่สอง เพื่อสะท้อนให้เห็นทัศนะของกวีในการบันทึกการเดินทางที่ได้ประสบพบเห็น ระหว่างเดินทางไปจากจังหวัดเชียงใหม่ไปนมัสการพระธาตุหริภุญชัยที่จังหวัดลำพูน ลักษณะคำประพันธ์ โคลงนิราศหริภุญชัย เป็นวรรณคดีประเภทนิราศ ซึ่งประพันธ์ด้วยภาษาล้านนาโบราณ จารึกด้วยอักษร ๒ ชนิด คือ อักษรล้านนาและอักษรไทยนิเทศ โดยมีลักษณะคำประพันธ์เป็นโคลง สี่ห้องซึ่งเป็นโคลงสี่สุภาพล้านนาหรือเรียกว่า “กันโลง” และ “กั่นโลง” หรืออาจเรียกว่า “ครรโลง” “คะโลง” หรือ “กะโลง” โคลงล้านนามีหลายประเภท เช่น โคลง ๒ โคลง ๓ โคลง ๔ และโคลงดั้น รวมทั้งโคลงกลบท โคลงหรือกั่นโลง ๔ สุภาพ โคลงดั้นและกลบท มีลักษณะคล้ายกับ ของภาคกลาง แต่โคลง ๒ โคลง ๓ มีฉันทลักษณ์ต่างออกไป โคลงดังว่านี้มีเสน่ห์ที่เสียงโดยเฉพาะ


๑๑๒ คำรูปวรรณยุกต์โท บางคำที่ปรากฏเสียงเฉพาะในล้านนา เช่น หน้อย เหล้น เจ้า หล้า คำเหล่านี้มี เสียงเอื้อต่อการแต่งโคลงล้านนาอย่างมาก โคลงนับเป็นคำประพันธ์เก่าแก่ของล้านนา เชื่อกันว่า วรรณกรรมประเภทโคลงนี้เกิดขึ้นในล้านนาก่อน แล้วจึงแพร่ขยายไปสู่เมืองอื่นอย่างอยุธยา ล้าน ช้าง ชาวล้านนา ใช้โคลงแต่งวรรณกรรมก่อนยุครัตนโกสินทร์ซึ่งโคลงหรือกั่นโลงนี้รุ่งเรืองในยุค หลังจากการรจนาคัมภีร์เป็นภาษาบาลีและคงได้รับความนิยมมากในยุคประมาณปีพ.ศ. ๒๐๐๐- ๒๒๐๐ คำประพันธ์ประเภทโคลงสี่ห้องมีลักษณะดังนี้โคลง ๑ บทมี๔ บาท แต่ละบาทจะมี๒ วรรค วรรค หน้ามี๕ คำ วรรคหลังมี๒ คำ ยกเว้นบาทที่ ๔ วรรคหลังจะมี๔ คำ คำสร้อยจะปรากฏที่บาทที่ ๑ หรือบาทที่ ๓ ก็ได้ข้อกำหนดเรื่องวรรณยุกต์ในโคลงมีความยืดหยุ่น โดยมากปรากฏเอกเจ็ด โทห้า คือเพิ่มคำโทพิเศษตำแหน่งคำที่ ๔ ในบาท ๔ คำเอก ในโคลงนิราศหริภุญชัยจะใช้คำตายอยู่ บ่อยครั้ง การส่งสัมผัสนั้นคำสุดท้ายในบาทที่ ๑ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายวรรคหน้าของบาทที่ ๒ และบาทที่ ๓ รวมทั้งคำสุดท้ายในบาทที่ ๒ ส่งสัมผัสไปยังคำสุดท้ายวรรคหน้าของบาทที่ ๔ คุณค่าของโคลงนิราศหริภุญชัย โคลงนิราศหริภุญชัย เป็นวรรณศิลป์ที่ทรงคุณค่าของชาตินักวิชาการหลายท่าน กล่าวถึงคุณค่าของวรรณกรรมเรื่องนี้ไว้มากมาย ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้ ๑) คุณค่าด้านอักษรศาสตร์โคลงนิราศหริภุญชัยเป็นร้อยกรองที่ใช้ถ้อยคำพรรณนาที่ ไพเราะมาก เป็นการแต่งแบบโคลงดั้นโบราณ มีคำสัมผัสไพเราะ มีภาษาต่าง ๆ ปะปนอยู่หลาย ภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาบาลีสันสกฤต เขมร มอญ ลัวะและภาษาล้านนาโบราณ ที่สำคัญมีการถือ กันว่า โคลงหริภุญชัยถือเป็นโคลงนิราศเรื่องแรกที่มีอิทธิพลต่อการแต่งนิราศในยุคต่อ ๆ มา ๒) คุณค่าด้านประวัติศาสตร์เป็นการบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ ๕๐๐ ปีก่อน โคลง หริภุญชัยนี้ถือว่าเป็นมรดกวรรณศิลป์ที่สำคัญไม่เฉพาะของอาณาจักรล้านนา แต่ยังเป็นเอกสาร สำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติด้วย เนื่องจากในอดีตอาณาจักรล้านนาเคยเจริญรุ่งเรือง แผ่ อำนาจครอบคลุมดินแดนกว้างขวางตั้งแต่เมืองตามโบราณและแพร่-น่าน ทางใต้ไปถึงเชียงรุ่งทาง เหนือ ดินแดนทางตะวันออกของลุ่มน้ำสาละวิน และทางตะวันออกจรดดินแดนหลวงพระบาง กล่าวกันว่าล้านนามี๕๗ หัวเมืองหรือพันนา ในบรรดาหัวเมืองทั้ง ๕๗ เมืองที่โดดเด่นใน ประวัติศาสตร์ล้านนา คือ หริภุญชัย เชียงใหม่ เชียงราย เชียงแสน ฝางและเวียงกุมกาม นอกจากนี้ พระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในบรรดาเจดีย์ที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่ง


๑๑๓ หนึ่งในโลกพุทธศาสนา คือ พระบรมสารีริกธาตุหริภุญชัย ซึ่งตามธรรมเนียมปฏิบัติที่มหาราช เชียงใหม่ทุกพระองค์ต้องเสด็จมาบูรณปฏิสังขรณ์และบำรุงพระบรมธาตุนี้ทุกปีโดยถือว่าเป็นการ จาริกแสวงบุญอย่างหนึ่ง ๓) คุณค่าด้านโบราณคดีช่วยให้สามารถตรวจสอบเรื่องราว และที่ตั้งของวัดในเมือง เชียงใหม่สมัยโบราณตลอดจนสถานที่ต่าง ๆ ที่ปรากฏในโคลงทำให้รู้เรื่องราวของพระพุทธรูป สำคัญ ๆ อย่างพระพุทธสิหิงค์พระแก้วมรกต ได้รู้ว่ามีสถานที่สำคัญ ๆ หลายแหล่งมีอยู่ทาง ภาคเหนือ อย่างเช่น วัดพระธาตุหริภุญชัย วัดพระสิงห์วัดกุฎาราม ซึ่งปัจจุบันคือวัดเจดีย์หลวง เป็นต้น ๔) คุณค่าด้านศาสนา แสดงให้เห็นว่าผู้คนสมัยนั้นมีพระศาสนาเป็นที่พึ่งพำนักเป็น สรณะที่พึ่ง เวลาจะไหนมาไหนต้องไหว้พระก่อนเพื่อความสบายใจในการเดินทางและให้การ เดินทางเป็นไปโดยสวัสดิภาพ นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นการไปจาริกแสวงบุญและความเชื่อด้าน ศาสนา ของชาวเชียงใหม่และหริภุญชัยตลอดจนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในเมืองทั้งสอง อาจมีความเชื่อ ในเรื่องไสยศาสตร์และอำนาจเหนือธรรมชาติแต่ความเชื่อเหล่านี้ถูกทับซ้อนด้วยความเชื่อใน พระพุทธศาสนา โดยการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง การจาริกแสวงบุญ การก่อสร้าง สาธารณประโยชน์แก่พระอาราม การบริจาคและอุทิศส่วนบุญแก่ผู้อื่น สำหรับการจาริกแสวงบุญ ไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกระทำไว้เพื่อรำลึกถึงพระพุทธองค์หรือ “เจติยะ” เช่น พระบวรสถูป รอย พระพุทธบาท และพระพุทธรูปนั้นถือว่าเป็นการได้ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า ชาวพุทธเชื่อว่าพระบรม สารีริกธาตุหริภุญชัยเป็นที่บรรจุพระสรีรอังคารของพระผู้ทรงชนมาร (หมายถึง กิเลศ) ดังนั้นการไป ไหว้พระมหาธาตุจึงเป็นการได้บุญอย่างมากและเปิดโอกาสให้ขอพระเพื่อความสำเร็จทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ๕. คุณค่าด้านวัฒนธรรม ในเรื่องการแต่งกาย สังคีตศิลป์-นาฏศิลป์และการละเล่น นอกเหนือจากเรื่องของความเชื่อ โคลงนิราศหริภุญชัยได้ให้ข้อมูลหลายเรื่องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของ ชาวเชียงใหม่และหริภุญชัย ตัวอย่างเช่นความงามในสายตาของสตรีล้านนา ได้นำเอาไม้กฤษณาไม้ จันทน์และกลำพักมาฝนขัดเอาผงที่ได้มาถวายแก่อัครชายาเพื่อใช้โลมลูบดวงตาให้แวววาวดังเพชร หญิงฟ้อนระบำหางนกยูงมีอิริยาบถกระฉับกระเฉงในเวลาที่เต้นและแกว่งหางนกยูงไปเป็นวงกลม เครื่องประดับเงินทองที่ห้อยตุ้งติ้งลงมาดูงามนัก พรรณนาเรือนร่างของนางรำที่สวยงามทั้งคิ้วที่โก่ง ราวคันศร เอวอ่อน และประทุมถันที่เต่งตึงตั้งตรง นอกจากนาฏศิลป์แล้วเชียงใหม่และหริภุญชัยยัง


๑๑๔ มีความรุ่งเรืองในด้านคีตศิลป์ด้วย โดยเฉพาะในด้านดนตรีซึ่งวัฒนธรรมการเล่นดนตรีดั้งเดิมของ ล้านนาอาจแตกต่างจากในปัจจุบัน จำนวนเครื่องดนตรีที่ชาวบ้านเล่นกันอาจมีไม่กี่ชิ้น แคน ฆ้อง และปี่สระไน (ปี่ไฉน) วงที่มีขนาดเล็กนี้อาจเป็นการจัดกลุ่มเฉพาะกิจเพื่อการเล่นดอกสร้อยและ เพลงปฏิพากย์ของนักแสดงที่ทำหน้าตาสอดคล้องกับท่วงทำนอง นอกจากนี้ยังมีการขับซอด้วย โคลงประเภทต่าง ๆ จากแนวคิดเกี่ยวกับคุณค่าของโคลงนิราศหริภุญชัย นอกจากจะเป็นมรดกทางวรรณคดี แล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงมรดกทางวัฒนธรรม ในด้านประวัติศาสตร์โบราณคดีความเชื่อ ศาสนา ประเพณีการแสดงศิลปวัฒนธรรมและการแต่งกายของคนล้านนา หากเกิดการประยุกต์ใช้ให้เกิด ประโยชน์จากงานที่ทรงคุณค่านี้ในด้านของการส่งเสริมหรือด้านการพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวตาม รอยนิราศหริภุญชัย ก็จะทำให้เกิดแนวคิดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวแนวใหม่และอาจเป็นส่วนหนึ่งใน ส่งเสริมเศรษฐกิจของคนในชุมชนที่อยู่ตามแนวเส้นทางท่องเที่ยวได้ ๔.๓ วรรณกรรมพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนกลาง เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ เสวยราชย์ต่อมา เป็นเวลานานถึง ๔๐ ปี(พ.ศ. ๒๐๓๒–๒๐๗๒) บ้านเมืองสงบสุขและศิลปกรรมเจริญมาก สันนิษฐานว่าวรรณคดีบางเรื่องเกิดในช่วงเวลานี้หลังจากนั้นวรรณคดีได้ว่างเว้นไปเป็นเวลานาน เกือบร้อยปีเนื่องจากบ้านเมืองไม่ปกติสุขต้องทำสงครามกับพม่า เริ่มตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระไชย ราชาธิราชมีสงครามติดพันตลอดเวลาจนกระทั่งเสียกรุงครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๑๑๒ ในสมัยสมเด็จพระ มหินทราธิราช หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ภายในยุ่งเหยิงเกี่ยวกับการแย่งชิงราชสมบัติเมื่อสมเด็จ พระนเรศวรมหาราชทรงกอบกู้เอกราชกลับคืนมาได้ก็ต้องทำสงครามกับพม่าและเขมรตลอด รัชกาล ต่อมาเมื่อสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระเอกาทศรถก็เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมือง พระ อินทราชาทรงชิงราชสมบัติแล้วขึ้นเสวยราชย์เป็นพระเจ้าทรงธรรมทำให้เวลาที่ผ่านมาว่างเว้นจาก วรรณคดีเกือบ ๘๐ ปีและวรรณคดีเกิดขึ้นอีกครั้งในสมัยของพระเจ้าทรงธรรมซึ่งพระองค์เคย ผนวชมาก่อน ได้สมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรม ทรงเอาพระทัยใส่พระพุทธศาสนาและทรงพระราช นิพนธ์กาพย์มหาชาตินับเป็นวรรณคดีเรื่องแรกของสมัยนี้เมื่อสิ้นสมัยของพระองค์บ้านเมืองเกิด ความวุ่นวายขึ้นอีก สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงชิงราชสมบัติจากพระอาทิตยวงศ์พระราชโอรส ของพระเจ้าทรงธรรม แล้วปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ในสมัยนี้ได้เกิดเหตุการณ์ที่


๑๑๕ กระทบกระเทือนต่อวรรณคดีคือ พระเจ้าลูกเธอฝ่ายในพระองค์หนึ่งสิ้นพระชนม์ เชื่อกันว่าต้อง คุณจึงมีการทำลายหนังสือเพราะเกรงจะถูกลงโทษ จึงทำให้ตำราและวรรณคดีต่าง ๆ ต้องสูญ หายไปเป็นจำนวนมาก สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้รับยกย่องว่าเป็นยุคทองแห่งวรรณคดีเพราะมี นักปราชญ์ราชบัณฑิตเกิดขึ้นมากมายในราชสำนักและพระองค์เองก็ทรงเป็นกวี รวมถึงบุคคลทั่วไป ต่างพากันสนใจวรรณคดีและสามารถสร้างสรรค์วรรณคดีขึ้นมาอย่างมากมาย ทำให้ราชสำนักเป็น ที่ประชุมของนักปราชญ์และกวีโดยพระองค์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจในสมัยอยุธยาตอนกลาง ประกอบไปด้วย กาพย์มหาชาติ สมุทรโฆษคำฉันท์ และจินดามณี มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ๔.๓.๑ กาพย์มหาชาติ ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ประวัติการแต่ง พระราชพงศาวดารยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมทรงพระราชนิพนธ์“พระ มหาชาติคำหลวง” เมื่อ จุลศักราช ๙๘๙ (พ.ศ. ๒๑๗๐) สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า หมายถึง กาพย์มหาชาติแต่ต้นฉบับที่เหลือตกทอดมาไม่ครบ ทุกกัณฑ์พระราชนิพนธ์ที่เหลืออยู่ตามพระราชมติของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้แก่ กัณฑ์กุมาร มีต้นฉบับเป็นตัวเขียน ณ วันแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๗ พ.ศ. ๒๓๒๕ ก่อน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงประกอบพิธีปราบดาภิเษก นอกจากนี้ยังมี สักกบรรพอีกกัณฑ์หนึ่ง ซึ่งอาจเป็นพระราชนิพนธ์ที่เหลืออยู่ของสมเด็จพระเจ้าทรงธรรมเช่นกัน ลักษณะการแต่ง แต่งเป็นร่ายยาว มีคาถาบาลีแทรกเป็นตอน ๆ เพื่อรักษาต้นฉบับเดิมที่เป็นภาษา บาลีเอาไว้ ความมุ่งหมาย ใช้เทศน์ให้อุบาสกอุบาสิกาฟัง


๑๑๖ เรื่องย่อ มีทั้งหมด ๑๓ ตอนหรือ ๑๓ กัณฑ์คือ กัณฑ์ทศพร กัณฑ์หิมพานต์กัณฑ์ ทานกัณฑ์กัณฑ์วนปเวสน์กัณฑ์ชูชก กัณฑ์จุลพน กัณฑ์มหาพน กัณฑ์กุมาร กัณฑ์มัทรีกัณฑ์ สักกบรรพ กัณฑ์มหาราช กัณฑ์ฉกษัตริย์และกัณฑ์นครกัณฑ์ ตัวอย่างเนื้อความบางตอน พระเวสสันดร ทรงรำพึงในพระทัยตอนชูชกเฆี่ยนตีสองกุมาร...โอ้แสนสงสารพระลูก เอย กระไรเลยอนาถา ทั้งพราหมณ์เฒ่าก็ไม่เมตตาตีกระหน่ำ นี่เนื้อแกล้งให้เราชอกช้ำแตกฉาน ในมกุฎทานบารมีเหมือนชายชาติเสื่อมศรีริษยา มาตีกั้นสกัดปลาที่หน้าไซ บรรดาจะได้พระ โพธิญาณ เพราะพระปิยบุตรทานบารมีทชีไม่ช่วยชูถนอม ชอบแต่จะโอบอ้อมอารีด้วยได้ระ ดอกสดวกดีที่จะสงวน จึงควรแก่พราหมณ์นี้กระไรไปหยาบหยามอย่างจะเยาะเย้ย... คุณค่าของวรรณกรรม กาพย์มหาชาติเป็นมหาชาติฉบับแรกที่แต่งเป็นร่ายยาวเพื่อใช้เทศน์ใช้ถ้อยคำภาษา สละสลวย อ่านเข้าใจง่าย เกิดอารมณ์คล้อยตามเนื้อเรื่องและเกิดภาพพจน์ได้ชัดเจน และมี อิทธิพลต่อการแต่งวรรณคดีประเภทกลอนเทศน์ในสมัยต่อมานอกจากนี้ยังมีคุณค่าด้านสังคม วัฒนธรรม ความเชื่อ และค่านิยมที่กล่าวว่า การฟังเทศน์มหาชาติจบภายในวันเดียวจะได้ อานิสงส์มาก จึงนิยมฟังเทศน์กันมากขึ้นและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ๔.๓.๒ สมุทรโฆษคำฉันท์ ผู้แต่ง พระมหาราชครูสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรม พระปรมานุชิตชิโนรส ประวัติการแต่ง สมุทรโฆษคำฉันท์เกิดขึ้นโดยพระราชประสงค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช รับสั่งให้พระมหาราชครูแต่งขึ้นเพื่อใช้เล่นหนังใหญ่ ในคราวเฉลิมพระชนมพรรษาครบเบญจเพส เมื่อ พ.ศ. ๒๑๙๙ พระมหาราชครูแต่งไม่ทันจบถึงแก่อนิจกรรมเสียก่อน สมเด็จพระนารายณ์ มหาราชทรงพระราชนิพนธ์ต่อมาก็ไม่จบอีก เรื่องนี้จึงค้างอยู่อีกครั้งหนึ่ง ส่วนในตอนจบเป็นพระ นิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงนิพนธ์เสร็จสิ้นเมื่อจุลศักราช


๑๑๗ ๑๒๐๑ (พ.ศ. ๒๓๘๒) ตามคำอาราธนาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงไกรสรวิชิตและพระ เจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ลักษณะการแต่ง แต่งด้วยกาพย์และฉันท์ตอนจบเป็นโคลงสี่สุภาพ ๔ บท ความมุ่งหมายการแต่ง พระราชประสงค์เดิมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่รับสั่งให้แต่งเรื่องสมุทรโฆษ คำฉันท์เพื่อใช้เล่นหนังใหญ่ เมื่อครั้งฉลองพระชนมายุครบเบญจเพส การที่สมเด็จพระนารายณม์ หาราชทรงพระราชนิพนธ์เพราะทรงเสียดายทีหนังสือที่ท่านทรงแต่งไว้ยังติดค้างอยู่ สมเด็จพระ มหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์ให้จบก็เพราะเหตุผลที่ว่า ตัวอย่างเนื้อความบางตอน พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพระสมุทรโฆษ โอรสท้าวพินทุทัตกับนางเทพธิดาแห่ง เมืองพรหมบุรีมีพระชายาทรงพระนามว่า นางสุรสุดา พระสมุทรโฆษลาพระบิดาพระมารดา และพระชายาเสด็จประพาสป่าเพื่อคล้องช้าง ขณะประทับใต้ต้นโพธิ์ได้สดุดีและขอพรเทพารักษ์ แล้วบรรทมหลับไป เทพารักษ์ทรงเมตตาพาไปอุ้มสมนางพินทุมดีพระราชธิดาท้าวสีหนรคุปต์กับ นางกนกพดีแห่งรมยบุรีจวนสว่างจึงทรงนำกลับไปไว้ที่เดิม พระสมุทรโฆษกับนางพินทุมดีทรง คร่ำครวญถึงกัน ท้าวสีหนรคุปต์ทรงประกาศพิธีสยุมพรนางพินทุมดีพระสมุทรโฆษจึงเสด็จมายัง เมืองรมยบุรีพระสมุทรโฆษทรงประลองศรมีชัยในพิธีสยุมพรได้อภิเษกกับนางพินทุมดีวันหนึ่ง พระสมุทรโฆษเสด็จประพาสสวน ทรงเมตตาพยาบาลรณาภิมุขซึ่งถูกรณบุตรพิทยาธรอีกตนหนึ่ง ทำร้ายบาดเจ็บ รณาภิมุขถวายพระขรรค์วิเศษเป็นการตอบแทน พระสมุทรโฆษทรงใช้พระขรรค์ นั้นพานางพินทุมดีเหาะเสด็จประพาสป่าหิมพานต์ต่อมาพิทยาธรอีกตนหนึ่งลักพระขรรค์ไป พระสมุทรโฆษทรงพานางพินทุมดีเสด็จพระดำเนินโดยพระบาทกลับเมือง ทรงข้ามแม่น้ำใหญ่ โดยเกาะขอนไม้ไปและเกิดพลัดกันกลางแม่น้ำ นางพินทุมดีทรงขึ้นฝั่งได้นางมณีเมขลาและพระ อินทร์ทรงช่วยให้พระสมุทรโฆษขึ้นฝั่ง และบังคับให้พิทยาธรนำพระขรรค์วิเศษมาคืนพระสมุทร โฆษทรงตามหานางพินทุมดีจนพบ ทั้งสองได้เสด็จกลับเมืองและได้รับราชสมบัติ


๑๑๘ ตัวอย่างเนื้อความบางตอน พระสมุทรโฆษน้าวศรด้วยท่าทางสง่างามเนิบช้า ท้าวน้าวโน้มศรศักดิ์แสดง บัวบาทจำแทง จำนวยธนูในสนาม ฤทธาพลพระพึงขาม แสดงเดโชนาม ในรงคดาลดลภู คุณค่าของวรรณกรรม สมุทรโฆษคำฉันท์แต่งโดยกวีมีฝีมือทั้ง ๓ ท่าน ใช้เวลาถึง ๓ แผ่นดิน ตั้งแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยามาเสร็จสิ้นในสมัยรัตนโกสินทร์แต่งต่อช่วงกันแต่สามารถรักษาระดับรสกวีนิพนธ์ไว้ได้ เท่าเทียมและกลมกลืนกันสนิท เปรียบเสมือนศึกษาตำราการแต่งฉันท์ที่มีกลวิธีการประพันธ์อัน ประณีตงดงามเลือกสรรถ้อยคำที่ทำให้เห็นภาพพจน์และเกิดอารมณ์อันละเอียดอ่อน นอกจากนี้ ยังได้รับรสแห่งวรรณคดีครบทุกรส ทั้งบทรัก บทรบ บทชมโฉม บทรำพันเศร้าโศก บทเกรี้ยว โกรธฯลฯ ตลอดจนได้รับความรู้ในเรื่องต่าง ๆ อีกด้วย เช่น พิธีเบิกไพร พิธีสยุมพร สมดังที่ วรรณคดีสโมสรได้ยกย่องให้เป็นยอดคำประพันธ์ประเภทฉันท์ ๔.๓.๓ จินดามณี ผู้แต่ง พระโหราธิบดี ประวัติการแต่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ในบันทึก สมาคมวรรณคดีปีที่ ๑ เล่ม ๕ พ.ศ. ๒๔๗๕ มีใจความว่า ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พวกบาทหลวงฝรั่งเศสกำลังเข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกที่กรุงศรีอยุธยา และ ตั้งโรงเรียนสอนหนังสือให้แก่เด็กไทยด้วย เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้สมเด็จพระนารายณ์ มหาราชทรงมีพระราชดำริที่จะบำรุงการศึกษาสำหรับเด็กไทยให้รุ่งเรืองขึ้น เพื่อมิให้คนไทยหัน ไปเข้ารีตและนิยมอย่างฝรั่ง จึงมีรับสั่งให้พระโหราธิบดีแต่งจินดามณีเพื่อคนไทยจะได้มี แบบเรียนหนังสือไทยของตนเองและรู้วิชาการอย่างไทย ๆ หนังสือจินดามณีเดิมคงมี๕ เล่ม ดัง ปรากฏข้อความในกลบทศิริวิบุลกิตติของหลวงศรีปรีชา (เซ่ง) ว่า มีคำไทย ใส่ประกอบ สอบ ตำรา มหาคัมภีร์อสีติธาตุราชฤกษ์เบิกพยากรณ์ผ่อนเข้าหมด จดหาผล ชนหญิงชาย หมาย


๑๑๙ เป็นแบบ แอบเข้าอรรถจัดเข้าสิ้น จินดามณีมีเสร็จสุด สมุดเล่มหนึ่ง ถึงเล่มสอง ต้องเล่มสาม ตามเล่มสี่ มีเล่มห้า ลักษณะการแต่ง แต่งเป็นร้อยแก้ว บางตอนเป็นคำประพันธ์ประเภทต่าง ๆเพื่อใช้ เป็นแบบสอนอ่าน–เขียน ให้ความรู้ทางไวยากรณ์ไทย และการแต่งคำประพันธ์เริ่มต้นด้วย ประณามบทกล่าวถึงพระรัตนตรัยและพระสุรัสวดีแล้วกล่าวถึงอักษรศัพท์คำนมัสการ คำที่ใช้ส ศ ษ คำที่ใช้ไม้ม้วน ไม้มลาย ฤ ฤา ฦ ฦๅ อักษรสามหมู่ การผันอักษรเครื่องหมายต่าง ๆ เช่น วรรณยุกต์ทัณฑฆาต นฤคหิต ตอนต่อไปอธิบายวิธีการแต่งคำประพันธ์พร้อมด้วยตัวอย่างจาก หนังสือเรื่องอื่นและที่แต่งขึ้นเองจากหนังสือต่าง ๆ เช่น โคลงแช่งน้ำพระพัฒน์มหาชาติคำหลวง ลิลิตพระลอ คำพากย์เรื่องรามเกียรติ์นอกจากนี้ยังกล่าวถึงหนังสือเรื่องอื่น เช่นคำสวรสมุทร (กำสรวล ศรีปราชญ์) สมุทรโฆษ ราชาพิลาป และบอกชื่อและประวัติผู้แต่ง ตัวอย่างเนื้อความบางตอน หมู่ใดในคณะ เป็นคู่อย่าละ กาพย์โคลงพากย์หาร บทฉันทใดฉงน สืบถามอย่านาน จู่ลู่ใช้การ ลิกขิตเกี้ยวพันธ์ บทหนึ่งวสันตดิลก คู่ฉันทโตฎก กาพย์มังกรพันธ์ บทอินทรวิเชียร คู่อาริยฉันท ผูกไว้ทุกสรรพ์ทุกพรรณเกี้ยวการณ์ คุณค่าของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนา จินดามณีเป็นตำราเรียนเล่มแรกที่มีผู้รวบรวมแต่งไว้เป็นหลักฐาน ทำให้ได้รู้ถึง วิวัฒนาการทางด้านอักษรศาสตร์และประวัติศาสตร์ของไทย และมีอิทธิพลต่อหนังสือเรียน ภาษาไทยเล่มอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ว่าจะเป็นปฐมมาลา มูลบทบรรพกิจ และจินดามณีเล่ม ต่าง ๆ ๔.๔ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนปลาย เมื่อสิ้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บ้านเมืองระส่ำระสายเนื่องจากมีการแย่ง ชิงราชสมบัติเกิดกบฏและเกิดสงครามกับนครศรีธรรมราชและกัมพูชา วรรณคดีไม่ได้รับการทำนุ บำรุงไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง จนถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเป็นช่วงที่บ้านเมืองมีความ สงบสุขอีกครั้งหนึ่ง วรรณคดีจึงได้รับการฟื้นฟูด้วยพระองค์ทรงเอาพระทัยใส่ในการศึกษาเล่า เรียนของกุลบุตรเป็นพิเศษ ผู้ที่ถวายตัวเข้ารับราชการจะต้องมีความรู้วิชาสามัญ และบวชเรียน


๑๒๐ ในพระพุทธศาสนามาก่อน ทรงสนับสนุนงานวรรณคดีอย่างจริงจัง มีกวีมากมายตั้งแต่กษัตริย์ เจ้านาย ขุนนาง ตลอดจนพระภิกษุและกวีหญิง แม้จะไม่รุ่งเรืองเท่าสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราชแต่ก็นับว่าเป็นยุคที่วรรณคดีมีความเจริญรุ่งเรือง วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในยุคนี้มีทั้งร้อยแก้วและร้อยกรอง ร้อยแก้ว เช่น กฎ มนเทียรบาล และกฎหมายต่าง ๆ ร้อยกรอง ได้แก่ โคลง ฉันท์กาพย์กลอน และร่าย มีบทร้อย กรองครบทุกชนิด กาพย์และกลอนได้รับความนิยมและเจริญสูงสุด สมัยนี้กาพย์ถือว่าแต่งดีที่สุด โดยเฉพาะกาพย์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรได้รับยกย่องว่าเป็นกาพย์ที่ไพเราะที่สุด และกลอนก็ ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะกลอนเพลงยาวได้รับความนิยมมากในสมัยนี้๕๔ เนื้อเรื่องของวรรณกรรมส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ตำรา ความรู้และบันเทิง โดยเฉพาะด้านบันเทิงนั้นมีโวหารพิศวาสมาก ส่วนการพรรณนาธรรมชาติมุ่งให้ใกล้เคียงความ จริงมากที่สุดนอกจากนี้การละครก็เจริญรุ่งเรืองทั้งละครนอกและละครใน ทำให้เกิดนาฏ วรรณคดีหรือวรรณคดีการละครขึ้น เมื่อสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแล้ว เจ้าฟ้า อุทุมพรกรมขุนพรพินิต พระราชโอรสได้ครองราชย์สืบมาเพียงชั่วขณะหนึ่ง และสละราชสมบัติ ให้เจ้าฟ้าเอกทัศกรมขุนอนุรักษ์มนตรีซึ่งเป็นพระเชษฐา แล้วเสด็จออกผนวช ในรัชสมัยของ สมเด็จพระเจ้าเอกทัศบ้านเมืองไม่สงบสุขเกิดจลาจล และต้องทำศึกสงครามกับพม่า ข้าราชการ แตกความสามัคคีบ้านเมืองระส่ำระสายในที่สุดก็เสียกรุงแก่พม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๐ พม่าเผาเมือง เสียหายย่อยยับ พลอยทำให้วรรณคดีสูญหายและชำรุดกระจัดกระจายเป็นอันมาก วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่น่าสนใจในสมัยอยุธยาตอนปลายประกอบไปด้วย โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง กาพย์เห่เรือมี รายละเอียดดังต่อไปนี้ ๔.๔.๑ โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์ ผู้แต่ง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ๕๔ เอกรัตน์ อุดมพร, วรรณคดีสมัยอยุธยา, หน้า ๔๘.


๑๒๑ ประวัติการแต่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการยอพระเกียรติพระมหากษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงแต่งพระราชนิพนธ์ ในขณะที่ทรงเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชกาลสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวท้ายสระ สาเหตุที่แต่งมีดังนี้“กล่าวถึงการชลอพระพุทธไสยาสน์ที่วัดป่าโมกข์ ซึ่ง ก่อนที่จะได้มีการพระราชนิพนธ์ เรื่องนี้ พระอธิการวัดป่าโมกข์ได้เข้ามาหาพระราชสงครามแจ้ง ความว่า น้ำกัดเซาะตลิ่งพัง เข้ามาจวนถึงพระวิหารของพุทธไสยาสน์ พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจึง ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชสงครามคิดทำการชลอพุทธไสยาสน์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรม โกศซึ่งในขณะนั้นยังเป็นพระมหาอุปราชได้ทัดทานไว้ด้วยทรงคิดว่าจะทำไม่สำเร็จ แต่พระราช สงครามก็สามารถทำได้สำเร็จ พระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ไว้ เพื่อยกพระเกียรติเป็น พื้นนับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์ เลื่องลือในบุญญาธิการพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระมาก” ๕๕ เนื้อความกล่าวถึงเหตุการณ์ว่า น้ำได้กัดเซาะเขื่อนด้านตะวันออกเข้ามาจนเข้าพระวิหารพระ พุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นที่เคารพของประชาชน แม้ทางวัดจะจัดการแก้ไขไม่ได้ผล พระอธิการจึง ร้องเรียนมายังพระมหากษัตริย์ จึงมีดำรัสสั่งให้พระราชสงครามจัดการชลอพระให้พ้นน้ำ รายละเอียดตามพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขากล่าวไว้ ลักษณะการแต่ง คำประพันธ์ในเรื่องเป็นโคลงสี่สุภาพ ๖๙ บท การใช้คำเด่นชัด โคลงเรื่องนี้นับว่ามีสำนวนโวหารเชิงกวีดีเรื่องหนึ่ง พระองค์ทรงใช้คำพรรณนาให้มองเห็น ภาพพจน์ เช่น ขอพรพระพุทธห้าม สมุทรไทย ห้ามชลลัยไหล ขาดค้าง ขอจงองค์ภูวไนย ทุกทวีไป ห้ามหายมลายล้าง นอกเนื้อในขันธ์ เชือกใหญ่ใส่รอกร้อย เรียงกระสัน กว้านช่อชลอผันขัน ยึดยื้อ ลวดหนังรั้งพัลวัน พวนเพิ่ม ๕๕ เอกรัตน์ อุดมพร, วรรณคดีสมัยอยุธยา, หน้า ๑๐๑๓.


๑๒๒ โห่โหมประโคมอึงอื้อ จากเจ้าประโคมไป จุดมุ่งหมาย เพื่ออธิบายเรื่องราวความเป็นมาที่สามารถชะลอพระพุทธรูปสำคัญโดยไม่เป็น อันตราย ด้วยความอุตสาหพยายามของพระเจ้าแผ่นดินในการที่จะรักษาพระพุทธรูปสำคัญไว้ให้ ปลอดภัยจากธรรมชาติและเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ เรื่องย่อ กล่าวถึงน้ำกัดเซาะเขื่อนด้านทิศตะวันตกของพระพุทธไสยาสน์ถึงแม้ทางวัดจะ จัดการแก้ไขก็ไม่ได้ผล พระอธิการจึงถวายพระพรรายงานมายังพระเจ้าแผ่นดิน มีพระบรมราช โองการให้พระราชสงครามจัดการชะลอพระให้พ้นน้ำ พระราชสงครามใช้ตะเฆ่รององค์พระ แล้ว กราบบังคมทูลพระเจ้าแผ่นดิน และป่าวร้องให้ข้าราชการและประชาชนช่วยกันชะลอพระไปยัง ที่ประดิษฐานใหม่ได้ปลอดภัยเรียบร้อย ต่อจากนั้นกล่าวถึงการสร้างพระวิหาร ศาลาการเปรียญ พระอุโบสถพระเจดีย์เสนาสนะ ตอนสุดท้ายอัญเชิญพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ให้ทรงอภิบาลพระ เจ้าแผ่นดิน คุณค่าของวรรณกรรม โคลงชะลอพระพุทธไสยาสน์เป็นการบันทึกเหตุการณ์ตอนหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ เกี่ยวกับการบูรณปฏิสังขรณ์และรักษาวัตถุสำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นหลักฐานสำคัญทาง ประวัติศาสตร์โบราณคดีสถาปัตยกรรม และประติมากรรม แสดงถึงความเลื่อมใสศรัทธาใน พระพุทธศาสนาของประชาชน ๔.๔.๒ นันโทปนันทสูตรคำหลวง ผู้แต่ง เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) ประวัติการแต่ง นันโทปนันทสูตรคำหลวง นี้เป็นวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาที่เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร (เจ้าฟ้ากุ้ง) ได้ทรงพระนิพนธ์เมื่อพุทธศักราช ๒๒๗๙ จากคัมภีร์นันโทปนันทปกรณ์ที่พระพุทธสิริ แต่งเป็นภาษาบาลีไว้ตัวต้นฉบับเอกสารโบราณเป็นหนังสือสมุดไทยขาวได้มาจาก ขุนวิทูรดรุณา กร กรมศึกษาธิการ ทูลเกล้าฯ ถวายให้หอพระสมุดวชิรญาณ ซึ่งปัจจุบันคือ หอสมุดแห่งชาติ


๑๒๓ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๕๑ หนังสือสมุดไทยเรื่องนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น เอกสารมรดกความทรงจำแห่งโลกของประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ จากคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกในคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วย การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ(ยูเนสโก) ๕๖ ลักษณะการแต่ง นันโทปนันทสูตรคำหลวง เป็นวรรณคดีคำหลวงที่เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศรทรงพระนิพนธ์ โดยยกข้อความภาษาบาลีขึ้นก่อนแล้วแปลเป็นภาษาไทยที่ไพเราะงดงามสลับกันไปตลอดทั้ง เรื่อง ข้อความภาษาไทยเก็บจากข้อความบาลีไว้เกือบทุกคาถา วรรณคดีเรื่องนี้นอกจากจะเป็น วรรณคดีทางพระพุทธศาสนา คำประพันธ์ร้อยแก้วมีจำนวนมากกว่าร้อยกรอง กล่าวคือ ตลอด ทั้งเรื่องมีร้อยกรองเพียง ๒ บท ร้อยกรองบทแรก ได้แก่อารัมภกถา ซึ่งอยู่ในส่วนเปิดเรื่อง เป็น คำประพันธ์ประเภท วสันตดิลกฉันท์ส่วนอีกหนึ่งบทอยู่ตอนท้ายของส่วนเนื้อ เรื่องเป็นคาถาที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญคุณของพระโมคคัลลานเถระ เรื่องย่อ นันโทปนันทสูตรคำหลวงกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา วิหาร ในกรุง ราชคฤห์ เย็นวันหนึ่ง มีมหาเศรษฐี ชื่อ อนาถบิณฑิกะมาทูลอาราธนาพระพุทธองค์ และพระอรหันตสาวก ๕๐๐ องค์ไปรับบิณฑบาตที่บ้านของตนในวันรุ่งขึ้น สมเด็จพระบรม ศาสดารับอาราธนาแล้วก็ประทับอยู่ ณ พระวิหารจนสิ้นราตรีครั้นเวลาใกล้รุ่งพระพุทธเจ้าทรง ตรวจดูโลกธาตุและทราบโดยพระญาณว่าพระยานันโทปนันท นาคราช ควรจะได้รับรสพระธรรม ด้วยพระยานาคราชตนนี้ได้เคยสร้างกุศลไว้ในชาติก่อน แต่พระยา นันโทปนันทนี้ยังมีความเห็น ผิดเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ แต่ก็สามารถที่จะสั่งสอนให้เข้าถึงพระรัตนตรัยได้พระบรมศาสดาทรง พิจารณาเห็นว่าพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้าย มีฤทธิ์อาจทรมานพระยานาคราชตนนี้ให้ ละพยศเสียได้ดังนั้นพอรุ่งเช้าพระพุทธเจ้าจึงมีพุทธฎีกาแก่พระอานนท์ว่าจะเสด็จไปยังเทวโลก พระอานนท์และพระสาวกจึงเตรียมตามเสด็จด้วย พระพุทธองค์และพระสาวกได้เหาะไปเหนือ ๕๖ นิตยา กาญจนะวรรณ, วรรณกรรมอยุธยา. (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคำแหง. ๒๕๓๙), หน้า ๒๐๖.


๑๒๔ วิมานของพระยานันโทปนันท พระยานาคราชแลเห็นว่าพระพุทธเจ้าและพระสาวกจะเหาะมา เหนือปราสาทของตน ฝุ่นใต้เท้าก็จะเรี่ยรายลงมา ก็โกรธบังเกิดมิจฉาทิฐิสำคัญตนว่าเป็นผู้มี ศักดิ์ใหญ่ จึงแสดงอิทธิฤทธิ์ด้วยการจำแลงกายเป็นนาคราชใหญ่พันเขาพระสุเมรุไว้เจ็ดรอบและ แผ่พังพานบังโลกธาตุจนมืดมิดเพื่อขวางทางไม่ให้พระพุทธเจ้าเสด็จผ่าน พระสาวกองค์ต่างๆ ทูล ขอเป็นผู้ปราบพญานันโทปนันทะ แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงอนุญาต ทรงให้เฉพาะพระโมคคัลลา นะเท่านั้นเป็นผู้ไปปราบ จึงเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างพญานันโทปนันทะและพระโมคคัลลา นะ ในที่สุดพญานาคราชก็มิอาจสู้ได้ จึงยอมจำนนและละมิจฉาทิฐิเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและ ถือเอาพระรัตนตรัยเป็นสรณะ คุณค่าของวรรณกรรม คุณค่าเกี่ยวกับหลักธรรมแล้วยังมีคุณค่าด้านต่าง ๆ อีกหลายประการ คือ ๑. มีความเป็นต้นฉบับหลวงที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยาด้วยปัจจัยหลายประการ ได้แก่ - บอกพระนามผู้ทรงนิพนธ์และวันเดือนปีที่ทรงนิพนธ์แล้วเสร็จ พร้อมประวัติความ เป็นมาของ เนื้อเรื่อง - บอกนามอาลักษณ์ผู้ชุบเส้นตัวอักษรทั้ง ๒ แบบ - ต้นฉบับเล่มนี้บันทึกเนื้อหาเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนันโทปนันทสูตรคำหลวงเพียงเรื่อง เดียว - บันทึกเนื้อหาเรื่องราวหน้าละ ๔ – ๖ บรรทัด อย่างเป็นระเบียบสวยงามด้วยตัว อักษรไทยแบบ ประดิษฐ์ ตามความนิยมในสมัยอยุธยาเรียกว่า อักษรไทยย่อ ซึ่งอักษรไทยย่อที่ ปรากฎใน เอกสารฉบับนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นอักษรไทยย่อที่งดงามที่สุดฉบับหนึ่ง ซึ่งเมื่อนับ อายุถึง ปัจจุบัน (๒๕๖๓) มีอายุได้ ๒๘๕ ปีแล้ว ๒. การลงสีเส้นตัวอักษรสะท้อนทัศนคติและความนับถือพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า กล่าวคือ มีวิธีการลงเส้นสีตัวอักษรให้ต่างกันตามความสำคัญของเนื้อหาแต่ละตอน ๓. มีบันทึกจดหมายเหตุแสดงภูมิปัญญาในการเตรียมต้นฉบับของช่างเขียนในสมัย อยุธยาก่อนบันทึกข้อความ โดยบอกนามเจ้าของสูตรไว้ด้วย ซึ่งหลักฐานนี้ไม่เคยปรากฏอยู่ใน ต้นฉบับวรรณกรรมเรื่องใด ๆ ของสังคมไทยทั้งสิ้น ๔. อักษรและอักขรวิธีของอักษรไทยย่อในสมุดไทยเรื่องนันโทปนันทสูตรคำหลวง ฉบับนี้พบว่ามีพยัญชนะไทยครบทั้ง ๔๔ ตัวเป็นครั้งแรก


๑๒๕ ๔.๔.๓ พระมาลัยคำหลวง ผู้แต่ง เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ไชยเชษฐสุริยวงศ์กรมขุนเสนาพิทักษ์ซึ่งเป็นกรม พระราชวังบวรสถานมงคล ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ๕๗ ประวัติการแต่งพระมาลัยคำหลวง พระมาลัยคำหลวง เป็นวรรณคดีพุทธศาสนาที่ไม่มีในพระไตรปิฎก เชื่อกันมาแต่เดิม ว่า เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์สุริยวงศ์ได้นำมาจากมาลัยสูตร ทรงนำมาแปลแล้วเรียบเรียงเป็น ภาษาไทย เรียกว่า พระมาลัยคำหลวง มีหลักฐานที่มายังไม่ปรากฏชัดเพราะในลังกาตาม หลักฐานเชื่อว่าไม่เคยปรากฏเรื่องราวของพระมาลัยเลย บางทีนักปราชญ์ในเมืองไทยจะแต่งขึ้น โดยยึดตามคัมภีร์ถูปาวงศ์ของลังกาที่แพร่เข้ามาพร้อมกับพระพุทธศาสนาหีนยานอย่างลังกาวงศ์ ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ เรื่องราวเกี่ยวกับพระมาลัยเป็นเรื่องราวที่แต่งขึ้นในชั้นหลัง โดยเอา เรื่องราวในพระไตรปิฎกและเรื่องราวในคัมภีร์ถูปาวงศ์มา ผสมกัน และผูกเรื่องราวของพระ มาลัยขึ้นมา๕๘ ลักษณะการแต่ง พระมาลัยคำหลวงแต่งเป็นภาษาไทย แทรกบาลีเล็กน้อย ในบางแห่งคำประพันธ์เป็น ร่ายสุภาพ มีโคลงสี่สุภาพตอนบทไหว้ครูและตอนจบ เช่นเดียวกับกาพย์มหาชาติคือเดินคาถา เล็กน้อยแล้วดำเนินความเป็นตอน ๆ ๕๙ สลับอย่างนันโทปนันทสูตร มีเดินคาถาตอนต้นแล้ว ดำเนินเรื่อง การแต่งด้วยร่ายสุภาพทำให้เหมาะแก่การบรรยาย หรือพรรณนาเรื่องราวต่าง ๆ เช่น ความเชื่อทางศาสนา๖๐ ๕๗ กรมศิลปากร, เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พระประวัติและพระนิพนธ์บทร้อยกรอง,(ธนบุรี: โรงพิมพ์ รุ่งวัฒนา, ๒๕๑๓), หน้า ๒๑. ๕๘ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : DS. Printing House Co., Ltd., ๒๕๒๗), หน้า ๑๘๙. ๕๙ นิพนธ์สุขสวัสดิ์, วรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา, (พิษณุโลก : โครงการตำรา มศว., ๒๕๒๕),หน้า ๒๙๖. ๖๐ เปลื้อง ณ นคร, ประวัติวรรณคดี, (กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๔๕), หน้า ๑๖๖.


๑๒๖ การดำเนินเรื่องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน มีการดำเนินเรื่องราบรื่น มีเหตุผล และ เป็นไปตามขั้นตอนดีกวีใช้บทสนทนาทำนองปุจฉา – วิสัชนา ระหว่างพระอินทร์กับพระมาลัย ทำให้ทราบว่าเทวดาแต่ละองค์ทำบุญกุศลอะไรมาบ้าง ก่อนที่จะได้มาเกิดเป็นเทวดา และบท สนทนาระหว่างพระศรีอาริยเมตไตรยกับพระมาลัย จะช่วยทำให้ผู้อ่านเกิดกำลังใจที่จะกระทำ ความดีเพื่อจะได้อยู่บนโลกอย่างมีความสุข จุดประสงค์ในการแต่ง เจ้าฟ้าธรรมมาธิเบศร ทรงนิพนธ์เรื่องพระมาลัยคำหลวงขณะที่ผนวชอยู่ในบวร พระพุทธศาสนา มีผู้สันนิษฐานว่า พระองค์ได้เรียนรู้และซาบซึ้งในพระรัตนตรัย คงจะได้สำนึก ถึงความผิดที่ได้กระทำไว้เมื่อลอบทำร้ายเจ้าฟ้ากรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ซึ่งอยู่ในเพศบรรพชิต เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ของการประกอบกรรมดีใช้เป็นบทสวดสอนความประพฤติแต่ เดิมนิยมสวดในพิธีแต่งงานเมื่อเจ้าบ่าวไปนอนเฝ้าหอ เป็นการสั่งสอนความประพฤติของผู้ครอง เรือนให้มีสัมมาทิฏฐิเป็นเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลาย แต่ต่อมาใช้สวดในงานศพ๖๑ ดังข้อความที่ว่า เดชะข้ากล่าวแกล้ง ศุภสาร เดชะแถลงนิทาน เทียบไว้ เดชะเพียงเจียรกาล จนเสร็จ เดชะบุญแต่งให้พบไท้ทรงธรรม๖๒ เนื้อหาโดยย่อ เริ่มเรื่องด้วยการกล่าวนมัสการพระรัตนตรัย แล้วเล่าเรื่องพระมาลัยว่าเป็นพระ อรหันต์ที่มีอิทธิฤทธิ์ มีเมตตาจิต คิดแต่จะโปรดสัตว์พระมาลัยได้เหาะไปโปรดสัตว์ในนรก เพื่อให้พวกสัตว์นรกได้รับความสุขและเมื่อเขาเหล่านั้นส่งความมาถึงญาติพี่น้อง ท่านก็รับมาบอก ให้ครั้งหนึ่งท่านเหาะไปยังนรก เนรมิตดอกบัวเท่ากงจักรสำหรับนั่ง ทำให้เกิดฝนสวรรค์ตกลงมา ดับไฟนรก โลหกุมภีเป็นเถ้าถ่านหมด แม้น้ำกรดก็แห้ง ภูเขาไฟก็ทลาย ต้นงิ้วก็หมดหนาม สัตว์ นรกทั้งปวงก็มีความยินดียกมือไหว้แล้วถามว่ามาจากไหน พระมาลัยก็บอกว่าท่านเป็นมนุษย์ ๖๑ เปลื้อง ณ นคร, หนังสือเรียนภาษาไทย รายวิชา ท ๐๓๑ ประวัติวรรณคดี๑, (กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๓๓), หน้า ๙๘. ๖๒ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ, พระมาลัยคำหลวง, (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๐), หน้า ๕๗.


๑๒๗ สัตว์นรกเมื่อทราบ ก็มีความยินดีและขอให้พระมาลัยส่งข่าวบอกญาติของตนในเมืองมนุษย์ให้ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ด้วย ให้บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ให้ทานคนยากจน กรวดน้ำส่งมาให้แก่พวกเขาด้วย เพื่อพวกเขาจะได้พ้นทุกข์พระมาลัยก็นำความมาบอกให้คน ทั้งหลายทราบตามที่สัตว์นรกฝากมา ผู้คนในโลกมนุษย์ก็ได้ทำบุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ พวกที่อยู่ในนรกก็ยินดีและกุศลที่ส่งมาก็ทำให้พวกเขาได้ไปเกิดในสวรรค์ เมื่อพระมาลัยเหาะไป ยังสวรรค์ก็ได้พบว่าพวกเขาพ้นทุกข์แล้ว ก็ได้นำความบอกให้ญาติพี่น้องทั้งหลายในโลกมนุษย์ ทราบ และเล่าเรื่องบนสวรรค์ให้คนทั้งหลายทราบ ทำให้ผู้คนมีความเชื่อในพุทธศาสนามากขึ้น เร่งทำบุญกันอย่างไม่ประมาทอุทิศบุญกุศลให้แก่ญาติพี่น้องเสมอ มีใจฝักใฝ่ให้ทานทั่วไป เพราะ ได้ฟังวาจาของพระมาลัยที่แจ้งให้ทราบโดยละเอียด วันหนึ่งพระมาลัยได้ออกบิณฑบาตเพื่อโปรด สัตว์ได้มีชายคนหนึ่งเอาดอกบัว ๘ ดอกมาถวาย พร้อมทั้งอธิษฐานว่าไม่ว่าจะเกิดในชาติใด ขอให้อย่ามีความทุกข์และขอให้มีทรัพย์มากมายทุกชาติเมื่อพระมาลัยรับดอกบัวแล้วก็คิดถึง เจดีย์จุฬามณีที่บนสวรรค์จึงเหาะไปยังสวรรค์เมื่อไปถึงเจดีย์จุฬามณีแล้วก็ทำทักษิณาวัตรรอบ เจดีย์นั้น ถวายนมัสการทั้ง ๘ ทิศ และถวายดอกบัวทั้ง ๘ ทิศ แล้วนั่งลงไหว้ด้วยความชื่นชม ในขณะนั้นพระอินทร์ก็พาบริวารมานมัสการเจดีย์พบพระมาลัยจึงพากันมานมัสการพระมาลัย ด้วยและถามพระมาลัยว่ามาจากที่ใด ทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ พระมาลัยก็บอกว่าท่านมาจากโลก มนุษย์มาเพื่อนมัสการพระเจดีย์จุฬามณีและพระมาลัยก็ถามพระอินทร์ถึงสาเหตุที่เทวดา ทั้งหลายทำบุญ บำเพ็ญกุศลกันอีก ทั้งๆ ที่ได้รับความสุขอยู่บนสวรรค์แล้ว พระอินทร์จึงอธิบาย ว่าที่เทวดาทั้งหลายทำบุญกันก็เพื่อหวังผลบุญในชาติหน้า จะได้อยู่ในสวรรค์ชั้นที่สูงขึ้น เป็นการ เพิ่มพูนผลบุญให้ยิ่งขึ้นไปอีก จนกว่าจะถึงนิพพาน พระมาลัยถามพระอินทร์ถึงพระศรีอาริย เมตไตรย พระอินทร์บอกว่าพระศรีอาริยเมตไตรย เสด็จมานมัสการพระเจดีย์ทุกวันพระ คือวัน แปดค่ำ และสิบห้าค่ำและวันนี้ก็เป็นวันพระ พระมาลัยจึงรอการมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ใน ระหว่างนั้นพระอินทร์ก็เล่าให้พระมาลัยทราบถึงการบำเพ็ญ กุศลของเทวดาต่าง ๆ ที่มานมัสการ พระเจดีย์จุฬามณีว่าแต่ละองค์ก่อนจะมาเกิดเป็นเทวดาได้บำเพ็ญกุศลอะไรไว้บ้าง ดังนี้ เทวดาที่มานมัสการพระเจดีย์พร้อมบริวารร้อยองค์ เมื่อก่อนเป็นมนุษย์ที่ยากจน เข็ญใจ มีอาชีพเกี่ยวหญ้าขายเลี้ยงชีพ ให้ทานข้าวเพียงก้อนเดียว เมื่อตายก็ได้มาจุติบนสวรรค์มี บริวารร้อยองค์เทวดาพร้อมบริวารหนึ่งพันองค์เดิมเป็นคนเลี้ยงโคอยู่กลางไร่ เอาอาหารไปให้ ทานแก่เพื่อนเลี้ยงโคด้วยกัน เมื่อตายก็ได้มาเกิดเป็นเทวดา มีบริวารหนึ่งพัน และมีรูปโฉมเป็นที่


๑๒๘ พึงใจ เทวดาพร้อมบริวารหนึ่งหมื่น เมื่อตอนเป็นมนุษย์ถวายอาหารแด่สามเณรผู้ถือศีล ผลบุญ ส่งให้มาเกิดเป็นเทวดาพรั่งพร้อมไปด้วยสมบัติและบริวาร เทวดาพร้อมบริวารสองหมื่น มานมัสการพระเจดีย์พระอินทร์ก็อธิบายให้พระมาลัย ฟังว่า แต่เดิมเป็นมนุษย์ได้ถวายบิณฑบาตแด่พระสงฆ์เมื่อตายก็ได้เกิดบนสวรรค์มีบริวารสอง หมื่น หากบุคคลใดได้ทำบุญก็จะได้ผลเช่นกัน เทวดาองค์หนึ่งมีรัศมีโชติช่วง พร้อมด้วยบริวารสามหมื่นมานมัสการเจดีย์เดิมเป็น เศรษฐีชื่อบริบาล มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ทำบุญให้ทานทั้งผ้า อาหาร และยา ด้วยผลบุญนี้ทำ ให้มาจุติเป็นเทวดา มีบริวารสามหมื่น เทวดาพร้อมด้วยบริวารสี่หมื่น เดิมเป็นช่างทอผ้าที่ยากจนได้ถวายเครื่องอัฐบริขาร แด่พระสงฆ์เมื่อตายไปจึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาเพราะผลบุญที่ทำไว้ เทวดาอีกองค์หนึ่งพร้อมด้วยบริวารห้าหมื่น เดิมชื่อดิษราช เป็นผู้ที่บูชาพระรัตนตรัย รักษาพระธรรม เคารพพระสงฆ์รักษาศีลแปดในวันอุโบสถเสมอ ไม่เคยเบื่อหน่ายต่อการทำทาน แก่คนยากจน เมื่อตายไปกุศลจึงส่งให้ได้เกิดเป็นเทวดามีบริวารมากมาย เทวดาพร้อมบริวารหกหมื่น เดิมเป็นพระเจ้าแผ่นดินชื่อท้าวอภัยทุษฐ์พอใจให้ทาน บำรุง รักษา พระรัตนตรัย ยกย่องพระพุทธศาสนา อุปถัมภ์บิดามารดา บริจาคจตุปัจจัย ให้ทาน อยู่เสมอ รักษาศีลเป็นกิจวัตร จึงได้มาเกิดเป็นเทวดาที่มีบริวารและสมบัติมากมาย เทวดาพร้อมบริวารเจ็ดหมื่น แต่เดิมเป็นสามเณรชื่อเทเวนทร์รักษาศีลอยู่เสมอ รับ ใช้อุปัชฌาย์อย่างดีไม่เคยละเลยหน้าที่ ไม่เกียจคร้านในการศึกษาพระธรรม ผลบุญจึงส่งให้ได้มา เกิดเป็นเทวดา เทวดาพร้อมบริวารแปดหมื่น เดิมเป็นคนยากจน เห็นพระสงฆ์บิณฑบาตอยู่ตามทาง ก็เอาอาหารของตนไปถวาย และบอกชาวบ้านให้นำอาหารมาถวายด้วย ชาวบ้านก็ชื่นชมและนำ อาหารมาถวาย การที่ทำบุญและได้ชักชวนให้ผู้อื่นทำบุญด้วยจึงได้รับผลเช่นนี้ เทวดาพร้อมบริวารเก้าหมื่น เดิมอยู่ที่ลังกา เห็นสถูปบรรจุพระธาตุของพระพุทธเจ้า ก็มีความศรัทธา จึงนมัสการและถวายดอกกรรณิการ์อยู่เสมอ และอุทิศศีรษะเป็นดอกบัว ดวงตา ทั้งสองต่างดวงไฟ วาจาต่างเทียน อุทิศใจต่างเครื่องหอม บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอด ไป


๑๒๙ เทวดาพร้อมบริวารหนึ่งแสน เดิมอยู่เมืองอนุราช เป็นคนเกี่ยวหญ้าขายเลี้ยงชีพ รักษาศีล และยึดพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ได้ไปพบหาดทรายขาวสะอาด จึงนำทรายมาสร้างพระ เจดีย์ประดับประดาด้วยดอกไม้แล้วนมัสการด้วยความชื่นชมยินดีทำแต่ความดีซื่อสัตย์สุจริต อยู่เสมอ จึงได้รับผลดังที่ได้เห็นเช่นนี้ จากนั้นพระศรีอาริยเมตไตรยก็เสด็จมาพร้อมกับเทวดา นางฟ้าเป็นแสนเป็นโกฏิดู สว่างไสว สวยงาม เสียงฆ้องกลองดังกึกก้อง ดุริยางค์บรรเลงไพเราะยิ่งนัก พระศรีอาริยเมตไตรย อยู่ท่ามกลางบริวาร งดงามดังพระจันทร์ทรงกลด เทวดาก็ดุจดวงดาวที่ล้อมรอบพระองค์มีรัศมี เป็นประกายงดงาม สว่างไสวไปทั่วท้องฟ้า เทพทั้งหลายต่างพากันก้มลงกราบ พระอินทร์อธิบาย ให้พระมาลัยฟังว่า เทวดาและนางฟ้าที่แต่งกายด้วยเครื่องประดับขาวสะอาดเป็นประกายวาว ประดุจเพชรนั้น เพราะในชาติก่อนบำเพ็ญกุศลที่ประณีตยิ่ง ของที่จะทำบุญให้ทานทุกอย่างจะ ขาวสะอาดทั้ง หมด นอกจากนี้ยังรักษาอุโบสถศีลเป็นนิจ และที่แต่งกายด้วยสีเหลืองทั้งหมด เพราะทำบุญด้วยเครื่องที่มีสีเหลืองล้วน บูชาพระรัตนตรัย และถือศีลอย่างสม่ำเสมอ จึงมีรัศมี เป็นสีเหลือง เหมือนสีแดดในยามเช้า นอกจากนี้ยังมีเทวดานางฟ้าที่แต่งกายด้วยเครื่องประดับสี แดง สีเขียว ซึ่งแต่ละองค์ได้ทำบุญกุศลมาแล้วทั้งนั้น จึงได้มาเกิดเป็นเทวดา ประดับพระบารมี ของพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาลัยถามพระอินทร์ถึงพระศรีอาริยเมตไตรยว่า ในชาติก่อนนั้นได้ทำบุญอะไร บ้าง พระอินทร์ก็ตอบว่าปัญญาของท่านน้อยยิ่งนัก จึงขอตอบแต่พอสังเขปว่าพระศรีอาริย เมตไตรยมีพุทธบารมีสามสถานคือ ปัญญา ศรัทธา วิริยะ พระองค์มีความเพียร มีความสามารถ นมัสการพระรัตนตรัยด้วยกาย วาจา ใจ พร้อมด้วยความสุจริตทุกประการมาเป็นเวลานานนับ กัลป์พระองค์ยังได้บริจาคยิ่งใหญ่ทั้งห้าประการ บำเพ็ญบารมีอย่างครบถ้วนคือ ทศบารมีทศอุป บารมีและทศปรมัตถ์รวม ๓๐ ประการ และยังมีคุณวิเศษอีกซึ่งพระอินทร์ไม่สามารถจะเล่าให้ หมด พระศรีอาริยเมตไตรยได้บำเพ็ญเพียรอันยิ่งใหญ่มาเป็นเวลานับอสงไขย เมื่อบารมีครบถ้วน ก็มาอุบัติยังสวรรค์ชั้นดุสิต และเมื่อครบกำหนดแล้วก็จะเสด็จมายังโลกมนุษย์เพื่อปฏิบัติพุทธกิจ ขณะที่พระมาลัยตรัสอยู่กับพระอินทร์นั้น พระศรีอาริยเมตไตรยพร้อมทั้งบริวารก็เสด็จไป นมัสการพระจุฬามณีกระทำทักษิณาวัตรแล้วบูชาด้วยดอกไม้ดุริยางค์บรรเลงเพลงเป็นการบูชา แล้วจึงนมัสการพระมาลัยและถามว่า พระมาลัยมาจากไหน พระมาลัยตอบว่า ท่านเป็นมนุษย์มา นมัสการพระเจดีย์จุฬามณีพระศรีอาริยเมตไตรย จึงตรัสถามถึงความเป็นไปในโลกมนุษย์


๑๓๐ เกี่ยวกับ การทำบุญกุศล พระมาลัยก็ตอบว่ามนุษย์ส่วนมากทำบุญและปรารถนาจะได้เฝ้าพระศรี อาริยเมต ไตรย พระศรีอาริยเมตไตรยจึงตรัสสั่งพระมาลัยให้มาบอกมวลมนุษย์ว่า ถ้าอยากพบ พระองค์ก็จงทำบุญกุศล ฟังเทศน์มหาชาติรักษาศีล ฟังธรรม นอกจากนี้พระศรีอาริยเมตไตรย ยังกล่าวถึงความเป็นไปเมื่อศาสนาของพระสมนโคดมครบห้าพันปีมนุษย์ที่ทำบาป ก็จะฆ่าฟันกัน ตายจะเหลือแค่ผู้ที่ทำบุญกุศล จากนั้นในโลกก็จะมีแต่ความสงบสุข เมื่อพระศรีอาริยเมตไตรย กล่าวจบก็นมัสการลาพระมาลัยกลับไป พระมาลัยนมัสการพระเจดีย์จุฬามณีและลาพระอินทร์กลับลงมายังโลกมนุษย์และ นำเรื่องพระศรีอาริยเมตไตรยมาเล่าให้มนุษย์ในโลกฟัง ทุกคนที่ได้ฟังก็ชื่นชมยินดีชวนกันทำบุญ ทำทานจนสิ้นชีวิต ก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์ตามบุญกุศลที่ตนทำไว้สำหรับชายที่ถวายดอกบัว ๘ ดอกแด่พระมาลัย เมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดบนสวรรค์มีวิมานที่สวยงามเต็มไปด้วยดอกบัวพร้อม ด้วยนาง ฟ้าเป็นบริวารหนึ่งพัน มีความสุขอยู่บนสวรรค์จนพระทั่งสิ้นอายุไขยตามกุศลที่ได้สร้าง มา ตอนจบของเรื่องกวีได้บอกปณิธานของท่านไว้ว่าเดชะบุญที่ได้เพียรพยายามแต่งเรื่อง นี้จนสำเร็จ ขอให้ท่านได้พบกับพระศรีอาริยเมตไตรย จากนั้นก็บอกวัน เดือน ปีที่ทรงแต่งเรื่อง นี้เสร็จ คุณค่าของวรรณคดี คุณค่าของวรรณคดีที่เด่นสุดในพระมาลัยคำหลวง คือเทศนาโวหาร ด้วยชี้ให้เห็น คุณโทษ ของการกระทำของตน โดยยกตัวอย่างการบำเพ็ญทานของตัวละครแต่ละตัว เริ่มจาก พระมาลัย กระทาชาย พระอินทร์เทวดานางฟ้าที่ตามเสด็จพระอินทร์เทวดา ๑๒ องค์เทวดา นางฟ้าที่ตามเสด็จพระศรีอาริยเมตไตรย และการบำเพ็ญบารมีของพระศรีอาริยเมตไตรย ส่วน โวหารอื่นๆนั้นเป็นโวหารประกอบที่ช่วยให้เทศนาโวหารเด่นขึ้น พระมาลัยคำหลวงเป็นวรรณกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสาวก ของพระพุทธเจ้าชื่อพระมาลัย ซึ่งเป็นอรหันต์ที่มีศีลาจริยวัตรอันงดงาม มีปัญญา มีเมตตา กรุณา และมีอิทธิฤทธิ์ไปโปรดสัตว์ในนรกและสวรรค์ได้พบพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาลัยคำหลวงเน้นให้เห็นผลของการทำความดีมากกว่าจะพรรณนาถึงการทำความชั่ว ให้ มนุษย์ทั้งหลายมุ่งขวนขวายสั่งสมบุญบารมีสร้างคุณงามความดีเพื่อจะได้เกิดในศาสนาของพระ ศรีอาริยเมตไตรยอันเป็นสังคมในอุดมคติ


๑๓๑ จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น จะเห็นว่า เรื่องราวของพระมาลัยอยู่ในจิตใจของคนใน สังคมไทยมาโดยตลอด ด้วยคนไทยมีความเชื่อในเรื่องนรก สวรรค์เรื่องชาติหน้า และเรื่องพระ ศรีอาริยเมตไตรย จากความเชื่อในสังคมเหล่านี้จึงทำให้เรื่องราวของพระมาลัยถูกนำเสนอ ใน รูปแบบต่างๆ เช่นพระมาลัยกลอนสวด พระมาลัยท่องนรกสวรรค์และพระมาลัยคำหลวง พระมาลัยคำหลวงเป็นวรรณคดีในสมัยกรุงศรีอยุธยา พระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรไชยเชษฐ์ สุริยวงศ์แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทร่ายสุภาพ และมีโคลงสี่สุภาพต้นเรื่องและท้ายเรื่อง โดยผู้ นิพนธ์มีจุดมุ่งหมายที่จะถวายเป็นพุทธบูชาและอธิษฐานขอให้เกิดทันยุคพระศรีอาริยเมตไตรย เนื้อเรื่องเริ่มด้วยการบูชาพระรัตนตรัย ต่อมาก็กล่าวถึงพระมาลัย ผู้มีเมตตากรุณาปรารถนาให้ สรรพสัตว์พ้นทุกข์ท่านเป็นพระที่มีฤทธิ์ทำนองเดียวกับพระโมคคัลนานะ ๔.๔.๓ บุณโณวาทคำฉันท์ ผู้แต่ง วรรณกรรมเรื่องบุณโณวาทคำฉันท์เป็นงานประพันธ์ของพระมหานาค วัดท่า ทราย๖๓ ประวัติการแต่งบุณโณวาทคำฉันท์ บุณโณวาทคำฉันท์เป็นวรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธบาทสระบุรีเรื่องแรกและเรื่องเดียว ที่ ปรากฏในสมัยอยุธยา มีเนื้อหาแสดงให้เห็นความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธบาทสระบุรีในฐานะ “บริโภคเจดีย์” หรือรอยพระพุทธบาทที่พระพุทธเจ้าทรงประทับไว้ด้วยพระองค์เอง และแสดง ความสำคัญของประเพณี“ไปพระบาท” ในฐานะ “โบราณราชประเพณี” ผ่านการเสด็จพระ ราช ดาเนินไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ต่อมา ในสมัย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เกิดวรรณคดี เกี่ยวกับ พระพุทธบาทสระบุรีอีกเรื่องหนึ่ง คือ โคลงลิลิตดั้นตำนานพระพุทธบาท วรรณคดี เรื่องนี้แสดงให้เห็น ว่าผู้แต่งได้รับอิทธิพลจากบุณโณวาทคำฉันท์อย่างชัดเจน ดังจะเห็นได้จาก การกล่าวถึงตำนานพระพุทธบาทไว้เป็นส่วนแรกของเรื่อง จากนั้นจึงกล่าวถึงการเสด็จพระราช ดำเนิน “ไปพระบาท” ของ พระมหากษัตริย์เช่นเดียวกับบุณโณวาทคำฉันท์อย่างไรก็ตาม ตำนานพระพุทธบาทที่นำมาแสดงไว้นั้น มาจากแหล่งอ้างอิงที่หลากหลาย แสดงให้เห็นความ เป็นมาของพระพุทธบาทสระบุรีในมิติที่ สัมพันธ์กับประวัติศาสตร์สังคม และวัฒนธรรม ๖๓ พระมหานาค วัดท่าทราย. บุณโณวาทคำฉันท์. (พระนคร: กรมศิลปากร. ๒๕๐๓), หน้า ๑๒.


๑๓๒ นอกจากนี้เรื่องการเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการ พระพุทธบาทของพระมหากษัตริย์ก็มิได้ กล่าวถึงเฉพาะการเสด็จพระราชดำเนินยกยอดมณฑป พระพุทธบาทของพระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น แต่กล่าวถึงการเสด็จพระราช ดำเนินไปอุปถัมภ์พระพุทธบาทสระบุรี ของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตั้งแต่สมัยอยุธยาต่อเนื่องมาถึง สมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์เพื่อตอกย้ำความสำคัญของพระพุทธบาทสระบุรีในฐานะ “มหาเจดียสถาน” ที่ ได้รับการทำนุบำรุงเป็นพิเศษจากพระมหากษัตริย์มาอย่างยาวนาน อีกทั้งแสดง ให้เห็น ความสำคัญของประเพณี“ไปพระบาท” ซึ่งเป็น“โบราณราชประเพณี” ที่พระบาทสมเด็จ พระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรักษาสืบทอดดังเช่นที่เหล่าบรรพกษัตริย์ถือปฏิบัติสืบต่อกันมา การเสด็จ “ไปพระบาท” ของพระมหากษัตริย์ถือปฏิบัติมาตั้งแต่การค้นพบรอย พระ พุทธบาทในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.๒๑๕๓-๒๑๗๑) สมัยอยุธยาตอนกลาง ถือเป็น หนึ่ง ใน “โบราณราชประเพณี” สำคัญที่สถาบันพระมหากษัตริย์รักษาสืบทอด ความยิ่งใหญ่ของ ราช ประเพณีดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้พระมหานาคสร้างสรรค์บุณโณวาทคำฉันท์ขึ้น โดยมี จุดประสงค์เพื่อบันทึกภาพการเสด็จพระราชดำเนิน “ไปพระบาท” ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บรมโกศ ความยิ่งใหญ่ของกระบวนเสด็จที่จัดขึ้นตามแบบธรรมเนียมราชสำนัก ความงดงามของ งานมหรสพ สมโภชพระพุทธบาท ตลอดจนการเสด็จประพาสชมธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์รอบวัด พระพุทธบาท เป็น วัตถุดิบที่ผู้แต่งเลือกสรรมานำเสนอได้อย่างประณีต และเพื่อแสดงให้เห็น ความสำคัญของศาสนสถาน อันเป็นจุดหมายปลายทางของประเพณีอันงดงามนี้ผู้แต่งจึงแสดง ตำนานพระพุทธบาทสระบุรีไว้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ด้วยเหตุนี้เนื้อหาในบุณโณวาทคาฉันท์จึงแบ่งได้ เป็น ๓ ส่วน คือ ๑. ตำนานพระพุทธบาทสระบุรีผู้แต่งอ้างว่านามาจากคัมภีร์“บุณโณวาทสูตรา” โดย ตัดตอนเนื้อเรื่องเพื่อกล่าวถึงเฉพาะเหตุการณ์ประทับรอยพระพุทธบาทที่เกิดขึ้นบน เขา สุวรรณบรรพตเป็นสาคัญ แสดงให้เห็นคติความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของพระ พุทธบาทสระบุรี ในฐานะ “บริโภคเจดีย์” หรือรอยพระพุทธบาทอันแท้จริง รวมถึง การยกย่องรอยพระพุทธบาท เป็น “มหาเจดียสถาน” สาคัญของราชอาณาจักร ๒. บันทึกการเสด็จพระราชดำเนิน “ไปพระบาท” ของพระมหากษัตริย์กล่าวถึง การ เสด็จพระราชดาเนินไปนมัสการพระพุทธบาทสระบุรีของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรม โกศตาม “โบราณราชประเพณี” ซึ่งมีการจัดกระบวนเสด็จอย่างยิ่งใหญ่ตามแบบ ธรรมเนียมราชสานัก


๑๓๓ เมื่อกระบวนเสด็จมาถึงวัดพระพุทธบาท ผู้แต่งพรรณนาขั้นตอน การเข้านมัสการพระพุทธบาท ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโดยละเอียด รวมถึงการเสด็จ ประพาสชมรมณียสถานรอบวัดพระพุทธ บาทด้วย ๓. มหรสพสมโภชเนื่องในประเพณี“ไปพระบาท” กล่าวถึง “งานสมโภชพระพุทธ บาท” ที่มีมหรสพกลางวันกลางคืนและการจุดดอกไม้ไฟเป็นพุทธบูชา การแสดงและ การละเล่น ในงานสมโภชดังกล่าวจัดขึ้นตามรับสั่งของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ อันแสดงให้เห็นถึงพระ ราชศรัทธาและพระบารมีของพระมหากษัตริย์ผู้ทรง อานวยการให้งานสมโภชพระพุทธบาท เกิดขึ้นและเสร็จสิ้นลงโดยสมบูรณ์ ลักษณะการแต่ง ลักษณะการแต่งประกอบด้วยฉันท์และกาพย์ประเภทต่าง ๆ ได้แก่ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ โตฎกฉันท์ ๑๒ วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ มาลินีฉันท์ ๑๕ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ และสัทธรา ฉันท์ ๒๑ ส่วนคำประพันธ์ประเภทกาพย์ได้แก่ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ บุณ โณวาทคำฉันท์มีเนื้อหาเริ่มด้วยคำนมัสการไหว้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และเทพเจ้าสำคัญ ได้แก่ พระอิศวร (พระสวยมภู) พระนารายณ์ (พระกฤษณะ) พระพรหม พระอินทร์ พระอาทิตย์ เทพประจำทิศต่าง ๆ รวมทั้งพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา จุดประสงค์ในการแต่ง บุณโณวาทคำฉันท์แสดงให้เห็นความพยายามที่จะอธิบายความ เป็นมาของพระพุทธ บาทสระบุรีอย่างสมเหตุสมผล โดยนาเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธบาทสระบุรีใน แง่มุมต่างๆ ที่ตก ทอดมาจากคติความเชื่อของคนในอดีตมาแสดงไว้ทั้งหมด ทั้งนี้เพราะการกล่าวถึง ความเป็นมา ของรอยพระพุทธบาทโดยเน้นแต่เพียงว่าเป็นรอยประทับอันแท้จริงของพระพุทธองค์ดังเช่นที่ ปรากฏในบุณโณวาทคำฉันท์ไม่อาจสื่อสารกับผู้คนที่มีโลกทัศน์แบบสมัยใหม่ได้ผู้เขียนเองก็ กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างผู้ที่ “เชื่อ” และ “ไม่เชื่อ” ในความเป็น “บริโภคเจดีย์” อัน ศักดิ์สิทธิ์ของ รอยพระพุทธบาท ดังปรากฏในบทประพันธ์ว่า ๏ ใครเช่ออก็เช่ออถ้อย ทุกคฎ ขู่รา ยนนนี่รอยบาทของ พระเจ้า ลอยบุษบกเหยยยบสา หรบบโลก เฉลอมแฮ ไปครบเจ็ดคร้งงเข้า คฤหาศน์สวรรค์ฯ


๑๓๔ ๏ ใครหมิ่นก็หมิ่นทิ้ง ทางพิจารณ์หมดเพ่ออน เห็นหลอกเห็นหลงสรรพ์ส่อร้าย เลยเห็นว่าเป็นนิทาน ลวงโลก ตลุยแฮ ยกเหตุยกกย้ายป้าย แต่คำ ฯ ๖๔ ผู้แต่งก็แสดงทรรศนะเพื่อสร้างความประนีประนอมระหว่างความเชื่อที่ขัดแย้งกัน ดังกล่าวว่า รูปเคารพในพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นพระเจดีย์พระพุทธรูป หรือรอยพระพุทธ บาท ล้วนมีความสำคัญในฐานะวัตถุอันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธองค์ด้วยกันทั้งสิ้น การบูชารอย พระพุทธบาทจึงมีความหมายเช่นเดียวกับการบูชาพระพุทธบาทนั่นเอง ตราบใดที่ความศรัทธา ในรอยพระพุทธบาท ส่งผลให้พุทธศาสนิกชนประพฤติตามหลักธรรมคำสอนของพระบรมศาสดา อันเป็นเหตุให้เกิดความสุข สวัสดีแก่ผู้ปฏิบัติแล้ว ประเด็นที่ว่ารอยพระพุทธบาทเป็น “ของแท้” หรือ “ของเลียนแบบ” จึงมิใช่ข้อถกเถียงที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เนื้อหาบุณโณวาทคำฉันท์ ตำนานเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงพระสัจพันธดาบส ผู้อาศัยอยู่บนเขาสุวรรณ หรือ สุวรรณบรรพต ในเมืองสุนาปรันตะ แห่งกรุงเทพทวารวดีซึ่งในที่นี้หมายถึงกรุงศรีอยุธยา ดาบส ผู้นี้เป็นผู้มีปัญญามาก แต่เผยแผ่ลัทธิที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าดาบสผู้นี้ มีปัญญาสามารถบรรลุธรรมได้ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะเสด็จไปสู่เมืองสุนาปรัตนตะตามการ อาราธนาของ พระปุณณะ(มหาบุณ) พระพุทธองค์จึงเสด็จมาโปรดสัจพันธดาบสก่อนพระพุทธ องค์เดินทางจากกรุงสาวัตถีสู่เมืองสุนาปรันตะโดยบุษบกที่ลอยมา ในอากาศ พร้อมด้วยเหล่า พระสงฆ์สาวกจานวน ๔๙๙ รูป กระบวนบุษบกของพระพุทธองค์และเหล่า พระสงฆ์สาวก เปรียบเสมือนพญาหงส์ที่แวดล้อมไปด้วยเหล่าหงส์บริวาร (บุษบกนี้พระอินทร์เป็นผู้สั่ง ให้พระ วิษณุกรรมสร้างถวาย) ก่อนที่กระบวนเสด็จจะไปถึงเมืองสุนาปรันตะตามกำหนดที่พระปุณณะ อาราธนาไว้พระพุทธองค์เสด็จไปที่เขาสุวรรณบรรพตเพื่อโปรดสัจพันธดาบส พระพุทธองค์ โปรดสัจพันธดาบสให้บรรลุอรหันต์หลังจากบรรลุธรรมแล้ว สัจพันธดาบสขอบวชเป็นภิกษุและ ตามเสด็จพระพุทธองค์ไปยังเมืองสุนาปรันตะเป็นลาดับที่ ๕๐๐ เมื่อพระพุทธองค์โปรดชาวเมือง ๖๔ นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. โคลงลิลิตดั้นตำนานพระพุทธบาท. (ม.ป.ท, ๒๔๕๖), หน้า ๕๕.


๑๓๕ สุนาปรันตะแล้ว จึงเสด็จไปโปรดพญานาคราชและทรงประทับรอย พระพุทธบาทริมฝั่งแม่น้ำ นัมมทาตามคำขอของนาคราช จากนั้นจึงเสด็จกลับสู่กรุงสาวัตถี ระหว่างทางกลับสู่กรุงสาวัตถีกระบวนเสด็จผ่านเขาสุวรรณบรรพตอีกครั้ง พระพุทธ องค์จึงมีรับสั่งให้พระสัจพันธ์อยู่เผยแผ่พระธรรมคำสอนบนเขาแห่งนั้นต่อไป ไม่ต้องตาม เสด็จ กลับไปยังกรุงสาวัตถีพระสัจพันธ์โศกเศร้าที่มิได้ตามเสด็จพระพุทธองค์กลับไปยังกรุงสาวัตถีจึง ทูลอาราธนารอยพระพุทธบาทไว้สักการบูชาต่างพระพุทธองค์พระศาสดามีความเมตตาต่อพระ สัจพันธ์จึงประทับรอยพระพุทธบาท เบื้องขวาอันประกอบไปด้วยลายมงคล ๑๐๘ ประการไว้ บนเขาสุวรรณบรรพต เมืองสุนาปรัตนะ ถือเป็น เจดีย์ที่ควรแก่การสักการะสูงสุดและก่อให้เกิด ความเป็นสิริมงคลตลอดไปทั้ง ๓ โลก คุณค่าของวรรณกรรมบุณโณวาทคำฉันท์ คุณค่าของวรรณกรรมบุณโณวาทคำฉันท์แสดงให้เห็นว่าได้ว่าตำนานพระพุทธบาท สระบุรีที่ผู้แต่งแสดงไว้มิเพียงแสดงให้เห็นความเป็นมาของพระพุทธบาทตามคติความเชื่อของ คน สมัยก่อนที่ตกทอดมาถึงปัจจุบันเท่านั้น แต่ตำนานดังกล่าวมีนัยแสดงความเก่าแก่ของพระ พุทธบาท และความสำคัญในฐานะ “มหาเจดียสถาน” คู่บ้านคู่เมืองที่เคยสาบสูญไปเมื่อ บ้านเมืองเกิดวิกฤต ก่อนที่จะได้รับการค้นพบอีกครั้งเมื่อบ้านเมืองสงบเรียบร้อย และถึงแม้ว่า ตำนานพระพุทธบาทที่แสดง ไว้นั้นจะมิได้มุ่งประเด็นไปที่ความเป็น “บริโภคเจดีย์” หรือรอย ประทับอันแท้จริง แต่ผู้แต่งก็เน้นย้ำ ความสำคัญของศาสนสถานดังกล่าวในฐานะ “อุเทสิก เจดีย์” หรือศาสนวัตถุที่สร้างขึ้นเป็นที่ระลึกถึง พระพุทธองค์และสามารถน้อมนาศรัทธาใน พระพุทธศาสนาได้อย่างมั่นคง ด้วยเหตุนี้พระพุทธบาท สระบุรีจึงได้รับการอุปถัมภ์เป็นพิเศษ จากสถาบันพระมหากษัตริย์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังปรากฏ ในเนื้อหาที่ผู้แต่งนำเสนอต่อ จากตำนานพระพุทธบาทซึ่งกล่าวถึงการ “ไปพระบาท” และการอุปถัมภ์พระพุทธบาทสระบุรี ของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ รวมไปถึงความนิยมในประเพณี“ไปพระบาท” ที่ผู้แต่งแสดงไว้ท้ายเรื่อง จึงกล่าวได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตำนานพระพุทธบาทกับเนื้อหาส่วนอื่นๆ ในเรื่อง แสดงความสำคัญของ พระพุทธบาทสระบุรีในฐานะ “มหาเจดียสถาน” ที่ควรแก่การสักการะสูงสุดได้อย่างชัดเจน กล่าวโดยสรุป บทบาทและความสำคัญของตำนานพระพุทธบาทสระบุรี


๑๓๖ ในวรรณกรรมบุณโณวาทคำฉันท์เรื่อง สะท้อนคติความเชื่อและความศรัทธาในรอย พระพุทธบาทที่คลี่คลายจาก “รอยประทับ” มาเป็น “รอยที่จำลองขึ้น” ตานานพระพุทธบาท สระบุรีในบุณโณวาทคำฉันท์คือตัว บทที่อธิบายความเป็นมาและตอกย้ำความศักดิ์สิทธิ์ของรอย พระพุทธบาทในฐานะ “บริโภคเจดีย์” อัน แท้จริง เนื้อหาที่กล่าวถึงการสร้างมณฑปพระพุทธ บาท การเสด็จพระราชดำเนินไปนมัสการรอยพระพุทธบาทของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และการจัดงานสมโภชพระพุทธบาท สะท้อนความศรัทธา อันแรงกล้าที่คนในสมัยอยุธยามีต่อ รอยพระพุทธบาทแห่งนี้ ๔.๕ สรุปท้ายบท การปกครองในสมัยอยุธยาเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นเดียวกับกรุงสุโขทัย อำนาจอธิปไตยอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว แต่แนวความคิดเกี่ยวกับ พระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามคติพราหมณ์ โดยถือว่าพระมหากษัตริย์เป็นผู้ที่ได้รับ อำนาจจากสวรรค์หรือเป็นพระเจ้าบนโลกมนุษย์ ซึ่งเป็นการปกครองตามแนวความคิดแบบเทว สิทธิ์ (Divine Right) ซึ่งการปกครองรูปแบบนี้จะถือว่า พระมหากษัตริย์เปรียบเสมือนเจ้าชีวิต และมีพระราชอำนาจเด็ดขาดสามารถกำหนดชะตาชีวิตของผู้อยู่ใต้ปกครองได้โด ย ที่ พระมหากษัตริย์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อประชาชนเพราะเชื่อว่าได้รับอาณัติ หรือเทวโองการจากสวรรค์ให้มาปกครองประเทศ และการกระทำของพระมหากษัตริย์ถือได้ว่า เป็นความต้องการของพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์ตามแนวความคิดแบบเทวสิทธิ์จึง ทรงอำนาจสูงสุดล้นพ้น และมีลักษณะการปกครองแบบนายปกครองบ่าว (Autocratic Government) หรือเจ้าปกครองข้า ซึ่งการปกครองแบบนายปกครองบ่าวมีลักษณะสำคัญดังนี้ ๑. พระมหากษัตริย์มีฐานะเป็นผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุดเด็ดขาด ๒. พระมหากษัตริย์ใช้อำนาจสูงสุดเด็ดขาดอย่างเฉียบขาด ๓. พระมหากษัตริย์มีฐานะเป็น “สมมติเทพ” โดยถือว่าพระมหากษัตริย์เป็น ปางหนึ่งของพระนารายณ์อวตารมาเกิดเพื่อทำหน้าที่ปกครองโลก ๔. “ทาส” หมายถึง มนุษย์ผู้ใช้แรงงาน ซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ตกทอดมาจาก ขอมในสมัยกรุงสุโขทัย โดยที่นายทาสมีสิทธิ์ที่จะแลกเปลี่ยนหรือขายทาสของตนให้กับนายทาส คนอื่นได้


๑๓๗ นอกจากนี้ยังมีอีกชนชั้นหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนเชื่อมระหว่างผู้ปกครอง กับผู้ที่อยู่ ใต้ปกครองเข้าด้วยกัน ซึ่งชนชั้นนี้ก็คือ “พระภิกษุสงฆ์” มีหน้าที่ในการสั่งสอนหลักธรรมและ ศีลธรรมให้กับประชาชนในสังคม นอกจากนี้ยังผลิตระบบความเชื่อที่สร้างความชอบธรรมให้กับ ระเบียบสังคมที่ดำรงอยู่ด้วย เพราะฉะนั้นกรุงศรีอยุธยาจึงมีสถาบันกษัตริย์เป็นเสาหลัก มีระบบ ไพร่และศักดินาเป็นฐาน และพระพุทธศาสนากับความเชื่อเรื่องต่างๆเป็นวิญญาณ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนต้น วรรณกรรมในยุคนี้ส่วน ใหญ่มีเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพิธีกรรมและพระมหากษัตริย์จึงมีเนื้อเรื่องคล้ายวรรณคดีสุโขทัยส่วน ลักษณะการแต่งต่างกับวรรณคดีสุโขทัยเป็นอย่างมากวรรณคดีในสมัยนี้แต่งด้วยร้อยกรอง ทั้งสิ้น คำประพันธ์ที่ใช้เกือบทุกชนิด คือ โคลง ร่าย กาพย์และฉันท์ขาดแต่กลอนส่วนใหญ่แต่งเป็น ลิลิต คำบาลี่สันสกฤตและเขมรเข้ามาปะปนในคำไทยมากขึ้น วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่ น่าสนใจในสมัยอยุธยาตอนต้น ประกอบไปด้วย ลิลิตโองการแช่งน้ำ มหาชาติคำหลวง และโครง หริภุญไชย วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนกลาง วรรณกรรมในยุคนี้ถือ เป็นยุคทองของวรรณกรรม มีกวีและวรรณกรรมเกิดขึ้นมากมาย ที่ใช้เพื่อการสั่งสอนประชาชน ในสมัยอยุธยาตอนกลางนี้มีโคลงอยู่สามเรื่องที่เป็นการสอนจริยธรรมให้กับสังคมไทย ซึ่งเป็น โคลงภาษิตที่มีหลักจริยธรรมเพื่อใช้สั่งสอน คือ กาพย์มหาชาติ สมุทรโฆษคำฉันท์ และจินดามณี โคลงทั้งสามบทนี้เป็นพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จุดมุ่งหมายในการทรง พระราชนิพนธ์ของพระองค์เพื่อสั่งสอนประชาชน หรือบุคคลใดก็ตามที่จะเข้ารับราชการในราช สำนักของพระองค์ให้ได้ทราบถึงหลักจริยธรรมที่ควรประพฤติปฏิบัติในการเป็นข้าราชการที่ดี ลักษณะคำประพันธ์นิยม ใช้โคลงมากที่สุด ฉันท์และกาพย์มีบ้าง ไม่ปรากฏคำประพันธ์ ประเภทกลอน มีแบบเรียนภาษาไทยกำเนิดขึ้นด้วยคือเรื่อง “จินดามณี” วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญสมัยอยุธยาตอนปลาย ประกอบไปด้วยโคลง ชะลอพระพุทธไสยาสน์ นันโทปนันทสูตรคำหลวง และพระมาลัยคำหลวง เป็นวรรณคดีที่ เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ในด้านพิธีกรรม และเพื่อเผยแผ่คำสั่งสอนทางพระพุทธศาสนา และก่อให้เกิดศรัทธาในพุทธศาสนา


๑๓๘ คำถามท้ายบท ๑. ลักษณะที่สำคัญของวรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา เป็นอย่างไร ๒. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิและจุดมุ่งหมายของวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นอย่างไร ๓. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิและจุดมุ่งหมายของวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาตอนกลาง เป็นอย่างไร ๔. จงบอกลักษณะคำประพันธ์ เรื่องย่อ แนวคิและจุดมุ่งหมายของวรรณกรรมทาง พระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นอย่างไร


๑๓๙ เอกสารอ้างอิงประจำบท กรมศิลปากร, เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ พระประวัติและพระนิพนธ์บทร้อยกรอง,ธนบุรี: โรงพิมพ์รุ่ง วัฒนา, ๒๕๑๓ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศ, พระมาลัยคำหลวง, นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๐ ชลดา เรืองรักษ์ลิขิต, ตะเลงพ่าย ศรีมหากาพย์, กรุงเทพมหานคร : สหธรรมิก : คณะสงฆ์วัด พระเชตุพน, ๒๕๔๑ นิพนธ์สุขสวัสดิ์, วรรณคดีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา, พิษณุโลก : โครงการตำรา มศว., ๒๕๒๕ นิพัทธ์ แย้มเดช, โคลงนิราศหริภุญชัย: ความสัมพันธ์ทางวรรณศิลป์ระหว่างโคลงนิราศ ล้านนาและภาคกลาง, คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๖๒ นิตยา กาญจนะวรรณ, วรรณกรรมอยุธยา. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย รามคำแหง. ๒๕๓๙ เปลื้อง ณ นคร, ประวัติวรรณคดี, กรุงเทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๔๕ เปลื้อง ณ นคร, หนังสือเรียนภาษาไทย รายวิชา ท ๐๓๑ ประวัติวรรณคดี๑, กรุงเทพมหา นคร : อักษรเจริญทัศน์, ๒๕๓๓ พระมหานาค วัดท่าทราย. บุณโณวาทคำฉันท์. พระนคร: กรมศิลปากร. ๒๕๐๓ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพรนราธิปประพันธ์พงศ์, ะ. โคลงลิลิตดั้นตำนานพระพุทธบาท. ม.ป.ท, ๒๔๕๖ ลมูล จันทน์หอม, “โคลงนิราศหริภุญชัย : การวินิจฉัยต้นฉบับ”, วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา บัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ๒๕๓๒ สนิท ตั้งทวี, วรรณคดีและวรรณกรรมศาสนา, กรุงเทพมหานคร : DS. Printing House Co., Ltd., ๒๕๒๗ สมทรง กฤตมโนรถ, นิราศลพบุรี, (กรุงเทพมหานคร : สำนักศิลปวัฒนธรรมสถาบันราชภัฏเทพ สตรี, ๒๕๔๔


Click to View FlipBook Version