The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

eb นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ สนง.กศน. สนง.ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 64

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by venusjaree, 2021-10-16 02:10:09

eb นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ สนง.กศน. สนง.ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 64

eb นักวิชาการศึกษาปฏิบัติการ สนง.กศน. สนง.ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 64

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 244

------------------------------------------------------------------------------
(๒) ระบบข้อมลู สำรสนเทศเพ่อื กำรศกึ ษำ (big data for education)

(๓) กำรพฒั นำควำมเปน็ พลเมืองดิจทิ ัล (digital citizenship) ในด้ำนควำมฉลำดร้ดู จิ ทิ ัล(digital literacy) ควำม
ฉลำดรู้สำรสนเทศ (information literacy) ควำมฉลำดรู้ส่ือ(media literacy) เพื่อกำรรู้วิธกี ำรเรียนรู้ (learning how to

learn) ในกำรเรยี นรู้ตลอดชวี ติ ตลอดจนกำรมีพฤตกิ รรมท่สี ะท้อนกำรร้กู ติกำ มำรยำท จริยธรรมเก่ียวกบั กำรใชส้ อื่ และ

กำรสื่อสำรบนอนิ เทอร์เนต็

กำรบรรลุผลของกำรปฏิรปู กำรศกึ ษำตำมแผนขำ้ งต้น จะแบ่งเป็น ๓ ระยะ คอื (๑) ระยะเร่งดว่ น หรือภำยในวันท่ี

๓๐ พฤษภำคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่งึ ครบวำระกำรทำงำนของ กอปศ. (๒) ระยะส้ัน หรือภำยใน ๓ ปีและ (๓) ระยะกลำง-

ระยะยำว หรือภำยใน ๕ - ๑๐ ปี ท้ังนีป้ ระเด็นปฏริ ปู ท่ีมีลำดบั สำคัญสูงสดุ และตอ้ งดำเนินกำรให้บรรลุผลใหไ้ ด้ในระยะ

เร่งด่วน มี ๖ ประเด็น ได้แก่

(๑) ยกเคร่ืองระบบกำรศกึ ษำโดยกำรบังคบั ใชร้ ำ่ งพระรำชบัญญตั ิกำรศกึ ษำแห่งชำติฉบบั ใหม่ รวมถึง

กฎหมำยสำคัญอ่ืนท่เี สนอโดย กอปศ. ซ่งึ จะเป็นเครือ่ งมือสำคัญในกำรปฏิรูปกำรศกึ ษำ ได้แกร่ ำ่ งพระรำชบญั ญัติกำร

พัฒนำเด็กปฐมวัย พ.ศ. .... ร่ำงพระรำชบญั ญตั พิ ้นื ทีน่ วัตกรรมกำรศึกษำ พ.ศ. ....รำ่ งพระรำชบัญญัติกำรอดุ มศึกษำ พ.ศ.

.... และกำรจดั ตั้งสถำบันหลักสูตรและกำรเรยี นรแู้ ห่งชำติ

(๒) บกุ เบกิ นวัตกรรมของกำรจดั กำรศกึ ษำระดบั โรงเรยี น กลมุ่ โรงเรยี น หรอื กำรจัดกำรระดับพนื้ ที่โดยให้

โรงเรยี นเปน็ ศูนย์กลำงของกำรยกระดบั คณุ ภำพของกำรศึกษำ ผ่ำนกำรขบั เคล่อื นเร่ืองสถำนศกึ ษำที่มีควำมเปน็ อิสระ

ในกำรบริหำรจัดกำร และระบบนเิ วศทส่ี นบั สนนุ กำรดำเนนิ กำรของสถำนศึกษำ

(๓) นำเสนอแนวทำงกำรปรบั หลกั สตู รกำรจดั กำรศกึ ษำในระดับกำรศึกษำขนั้ พื้นฐำนไปสู่หลกั สูตรฐำน

สมรรถนะ และรูปแบบกำรปรบั หลกั สตู รในระดบั ช้นั ประถมศึกษำปที ี่ ๑–๓ จดั ตงั้ สถำบนั หลักสูตรและกำรเรยี นรู้

แห่งชำติเพอ่ื เปน็ เสมอื นศนู ยค์ วำมเปน็ เลศิ ในกำรวจิ ัย พัฒนำและปรับปรงุ หลักสูตร กำรจัดกำรเรียนกำรสอน และกำร

ประเมินผลกำรเรยี นรู้ สำหรบั กำรจัดกำรศึกษำในระดับต่ำง

(๔) สร้ำง “ดจิ ิทัลแพลตฟอรม์ เพอ่ื กำรเรยี นรูแ้ ห่งชำติ” ใช้ประโยชน์จำกเทคโนโลยีดจิ ทิ ัลนำควำมรู้ และวิธีกำร
เรียนรูไ้ ปสู่โรงเรียน นักเรียน และครูทว่ั ประเทศ โดยเฉพำะในท้องถิ่นหำ่ งไกล

(๕) จัดระบบกำรผลิตครใู ห้มีคุณภำพและสมรรถนะควำมเป็นครู ผ่ำนกำรจดั ตงั้ กองทนุ หรอื แผนงำนเพ่ือกำร

ผลติ และพฒั นำครู สำหรับครูรุ่นใหม่ และพฒั นำบัณฑติ ครูทมี่ อี ยู่ ให้ตรงตำมควำมจำเปน็ ของประเทศในระยะแรกเนน้

ครูปฐมวัย และครปู ระถมศึกษำ สำหรับทอ้ งถิน่ ขำดแคลน

(๖) ให้มีกำรแต่งตัง้ คณะกรรมกำรนโยบำยกำรศกึ ษำแหง่ ชำติ ตำมท่ีกำหนดไวใ้ นรำ่ งพระรำชบญั ญตั กิ ำรศึกษำ

แห่งชำตฉิ บับใหม่ เพอ่ื เป็นกลไกหลักในกำรขบั เคล่อื นแผนกำรศึกษำแห่งชำติและกำรปฏริ ปู กำรศึกษำให้เรมิ่

ดำเนินกำรได้ และมีควำมตอ่ เนอื่ งในระยะยำว

------------------------------------

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 245

------------------------------------------------------------------------------

การคดิ วเิ คราะห์ นโยบายทางการศึกษาและทศิ ทางการปฏิรปู ประเทศเพอื่ การพัฒนาประเทศ

ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560-2579

กำรคดิ วเิ ครำะหป์ ระกอบดว้ ยองคป์ ระกอบหลัก 2 องคป์ ระกอบ คือ ทกั ษะในกำรจดั ระบบขอ้ มูล ควำมเชื่อถอื
ไดข้ องข้อมูล และกำรใช้ทกั ษะเหล่ำน้นั อย่ำงมปี ญั ญำเพ่อื กำรชนี้ ำพฤติกรรมดงั นัน้ กำรคิดวเิ ครำะห์จงึ มีลกั ษณะ

ต่อไปนี้
1. กำรคดิ วิเครำะห์จะไม่เปน็ เพียงกำรรหู้ รือกำรจำข้อมลู เพียงอยำ่ งเดยี ว เพรำะกำรคดิ วเิ ครำะหจ์ ะเป็นกำร

แสวงหำข้อมูลและกำรนำขอ้ มูลไปใช้

2. กำรคิดวิเครำะหไ์ มเ่ พยี งแต่กำรมที ักษะเทำ่ นนั้ แต่กำรคดิ วิเครำะหจ์ ะต้องเกย่ี วกบั กำรใชท้ ักษะอยำ่ งต่อเนือ่ ง

3. กำรคดิ วิเครำะห์ไมเ่ พยี งแตก่ ำรฝึกทักษะอย่ำงเดยี วเท่ำน้ัน แตจ่ ะตอ้ งมที กั ษะทจี่ ะต้องคำนึงถงึ ผลทีย่ อมรับได้

ลกั ษณะของกำรคิดวิเครำะห์และกิจกรรมท่เี กย่ี วข้องกับกำรคิดวเิ ครำะห์ไว้ว่ำ กำรจดั กิจกรรมต่ำงๆ ท่ปี ระกอบ

เปน็ กำรคดิ วเิ ครำะห์แตกตำ่ งไปตำมทฤษฎี กำรเรียนรู้ โดยทั่วไปสำมำรถแยกแยะกิจกรรมทีเ่ ก่ยี วข้องกบั กำรคดิ

วเิ ครำะห์ ไดด้ ังนี้

1. กำรสังเกต จำกกำรสงั เกตขอ้ มลู มำกๆ สำมำรถสร้ำงเปน็ ขอ้ เท็จจรงิ ได้

2. ข้อเท็จจริง จำกกกำรรวบรวมข้อเทจ็ จรงิ และกำรเช่อื มโยงข้อเทจ็ จริงบำงอย่ำงทข่ี ำดหำยไป สำมำรถทำให้มี

กำรตีควำมได้

3. กำรตคี วำม เป็นกำรทดสอบควำมเท่ยี งตรงของกำรอ้ำงองิ จงึ ทำใหเ้ กดิ กำรตัง้ ขอ้ ตกลงเบ้ืองต้น

4. กำรตงั้ ขอ้ ตกลงเบ้อื งตน้ ทำใหส้ ำมำรถมีควำมคดิ เห็น

5. ควำมคดิ เห็น เป็นกำรแสดงควำมคิดจะตอ้ งมีหลักและเหตผุ ลเพอื่ พฒั นำข้อวิเครำะห์

นอกจำกนน้ั เป็นกระบวนกำรที่อำศัยองค์ประกอบเบื้องต้นทกุ อย่ำงรว่ มกนั โดยทว่ั ไปนักเรยี นจะไมเ่ ห็นควำม

แตกตำ่ งระหวำ่ งกำรสังเกตและขอ้ เทจ็ จริง หำกนักเรยี นเขำ้ ใจถงึ ควำมแตกต่ำงก็จะทำให้นักเรียนเร่ิมพัฒนำทักษะกำร

คดิ วิเครำะหไ์ ด้

สุวทิ ย์ มลู คำ (2548 : 23-24) ไดจ้ ำแนกลักษณะของกำรคดิ วิเครำะห์ ไวเ้ ปน็ 3 ด้ำน คอื
1. กำรวิเครำะหส์ ่วนประกอบ เปน็ ควำมสำมำรถในกำรแยกแยะค้นหำส่วนประกอบทสี่ ำคัญของสิง่ หรือ

เร่ืองรำวต่ำงๆ เช่น กำรวิเครำะห์สว่ นประกอบของพชื หรือเหตุกำรณ์ต่ำงๆตัวอย่ำงคำถำม เชน่ อะไรเป็นสำเหตุสำคญั

ของกำรระบำดไข้หวดั นกในประเทศไทย

2. กำรวิเครำะหค์ วำมสัมพันธ์ เปน็ ควำมสำมำรถในกำรหำควำมสมั พันธข์ องส่วนสำคัญตำ่ งๆ โดยระบุ

ควำมสมั พันธ์ระหว่ำงควำมคิด ควำมสมั พันธใ์ นเชิงเหตผุ ล หรือควำมแตกต่ำงระหว่ำงขอ้ โต้แยง้ ที่เก่ียวขอ้ งและไม่

เกี่ยวขอ้ ง ตัวอยำ่ งคำถำม เชน่ กำรพัฒนำประเทศกับกำรศึกษำมคี วำมสัมพันธก์ นั อย่ำงไร

3. กำรวเิ ครำะห์หลกั กำร เป็นควำมสำมำรถในกำรหำหลักควำมสัมพันธส์ ่วนสำคญั ในเร่ืองน้นั ๆ ว่ำสมั พันธก์ นั

อยโู่ ดยอำศยั หลักกำรใด ตัวอย่ำงคำถำม เชน่ หลักกำรสำคัญของศำสนำพุทธ ได้แก่อะไร

จะเหน็ ไดว้ ำ่ กำรวเิ ครำะห์น้ันจะต้องกำหนดสง่ิ ทีจ่ ะต้องวเิ ครำะห์ กำหนดจุดประสงค์ทตี่ อ้ งกำรจะวเิ ครำะห์

แลว้ จงึ วเิ ครำะห์อยำ่ งมหี ลกั เกณฑ์ โดยใชว้ ธิ กี ำรพิจำรณำแยกแยะ เทคนิควธิ ีกำรในกำรวเิ ครำะห์ เพ่ือรวบรวมประเดน็

สำคญั หำคำตอบให้กับคำถำม โดยมลี ักษณะของกำรคิดวเิ ครำะห์ควำมสัมพนั ธ์ วเิ ครำะหค์ วำมสำคัญและวิเครำะห์

หลกั กำรของเร่อื งรำวหรอื เหตุกำรณต์ ่ำงๆ

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 246

------------------------------------------------------------------------------
1. กำรคิดวิเครำะหค์ วำมสมั พันธ์ไดแ้ ก่ กำรเชอ่ื มโยงข้อมูล ตรวจสอบแนวคิดสำคัญและควำมเป็นเหตุเปน็ ผล

แล้วนำมำหำควำมสัมพนั ธแ์ ละข้อขัดแย้งในแต่ละสถำนกำรณ์ได้
2. กำรคดิ วเิ ครำะห์ควำมสำคัญ ได้แก่ กำรจำแนกแยกแยะควำมแตกตำ่ งระหว่ำงขอ้ เทจ็ จรงิ และสมมตฐิ ำนแล้ว

นำมำสรปุ ควำมได้

3. กำรคดิ วเิ ครำะห์หลักกำร ได้แก่ กำรวเิ ครำะห์รปู แบบ โครงสรำ้ ง เทคนิค วธิ กี ำรและกำรเชื่อมโยงควำมคิด

รวบยอด โดยสำมำรถแยกควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งข้อเทจ็ จรงิ และทศั นคติของผเู้ ขียนได้

ไพรินทร์ เหมบุตร (2549 : 1) กล่ำวถงึ ลักษณะของกำรคดิ วิเครำะหป์ ระกอบด้วย 4ประกำร คือ

1. กำรมคี วำมเข้ำใจ และให้เหตผุ ลแก่สงิ่ ทตี่ ้องกำรวิเครำะห์ เพื่อแปลควำมสิ่งนั้น ซงึ่ ข้ึนอยู่กบั ควำมรู้

ประสบกำรณ์ และคำ่ นิยม

2. กำรตีควำม ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ในเรอ่ื งทจี่ ะวเิ ครำะห์

3. กำรชำ่ งสงั เกต ชำ่ งถำม ขอบเขตของคำถำม ยดึ หลัก 5 W 1 H คือ ใคร (Who) อะไร (What) ทีไ่ หน (Where)

เมอ่ื ไร (When) อย่ำงไร (How) เพรำะเหตุใด (Why)

4. ควำมสัมพนั ธ์เชงิ เหตผุ ล ใช้คำถำมค้นหำคำตอบ หำสำเหตุ หำกำรเช่ือมโยง ส่งผลกระทบ วธิ ีกำร ขั้นตอน

แนวทำงแกป้ ญั หำ คำดกำรณ์ข้ำงหนำ้ ในอนำคต

กระบวนกำรคดิ วิเครำะห์ เป็นกำรแสดงให้เหน็ จดุ เร่ิมต้น สิง่ ท่ีสืบเนอื่ งหรือเชื่อมโยงสมั พันธก์ ันในระบบกำร

คดิ และจุดส้นิ สุดของกำรคิด โดยกระบวนกำรคดิ วิเครำะห์มคี วำมสอดคล้องกบั องค์ประกอบเรื่องควำมสำมำรถในกำร

ให้เหตผุ ลอยำ่ งถูกตอ้ ง รวมทง้ั เทคนิคกำรต้งั คำถำมจะต้องเข้ำไปเกยี่ วขอ้ งในทุกๆขัน้ ตอน ดงั นี้

ขน้ั ท่ี 1 ระบุหรอื ทำควำมเข้ำใจกับประเดน็ ปัญหำ ผทู้ จี่ ะทำกำรคดิ วิเครำะห์จะตอ้ งทำควำมเข้ำใจปัญหำอยำ่ ง

กระจำ่ งแจ้ง ด้วยกำรตั้งคำถำมหลำยๆ คำถำม เพ่ือใหเ้ ขำ้ ใจปัญหำต่ำงๆ ท่ีกำลังเผชญิ อยู่น้ันอย่ำงดที ีส่ ุด ตัวอย่ำงคำถำม

เชน่ ปญั หำนเ้ี ปน็ ปัญหำท่สี ำคัญทสี่ ุดของบำ้ นเมืองใชห่ รอื ไม่ (ควำมสำคัญ)ยังมีปัญหำอนื่ ๆ ที่สำคัญไม่ยง่ิ หยอ่ นกว่ำกนั

อกี หรือไม่ (ควำมสำคัญ)ทรำบได้อยำ่ งไรว่ำเรอ่ื งน้ีเปน็ ปัญหำท่สี ำคญั ท่สี ดุ (ควำมชัดเจน)
ขั้นท่ี 2 รวบรวมข้อมูลท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ปญั หำ ในข้นั นี้ผูท้ ีจ่ ะทำกำรคดิ วิเครำะห์ จะตอ้ งรวบรวมขอ้ มูลจำกแหลง่

ต่ำงๆ เชน่ จำกกำรสงั เกต จำกกำรอ่ำน จำกขอ้ มลู กำรประชุม จำกขอ้ เขียน บันทึกกำรประชุม บทควำม จำกกำร

สมั ภำษณ์ กำรวจิ ยั และอื่นๆ กำรเกบ็ ขอ้ มลู จำกหลำยๆ แหลง่ และดว้ ยวิธีกำรหลำยๆ วิธจี ะทำใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ีสมบูรณ์

ชดั เจน และมีควำมเทย่ี งตรงคำถำมท่จี ะต้องตง้ั ในตอนน้ี ได้แก่

เรำจะหำขอ้ มูลให้ครบถ้วนโดยวิธใี ดได้อกี บำ้ งและหำอย่ำงไร (เทีย่ งตรง)

ข้อมลู น้ีมีควำมเกยี่ วข้องกับปัญหำอย่ำงไร (ควำมสัมพนั ธ์เก่ียวขอ้ ง)

จำเปน็ ต้องหำขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ ในเร่อื งใดอีกบ้ำง (ควำมกระชับพอด)ี

ขนั้ ท่ี 3 พจิ ำรณำควำมน่ำเช่ือถอื ของขอ้ มูล หมำยถึงผูท้ ่คี ิดวิเครำะห์พิจำรณำควำมถูกตอ้ งเทย่ี งตรงของสง่ิ ที่

นำมำอ้ำง รวมท้งั กำรประเมนิ ควำมพอเพยี งของข้อมลู ท่จี ะนำมำใช้ คำถำมท่ีควรจะนำมำใช้ในตอนนี้ได้แก่

ข้อมลู ทไี่ ด้มำมคี วำมเป็นไปได้มำกนอ้ ยเพียงไร (ควำมเทย่ี งตรง)

เรำจะหำหลกั ฐำนได้อย่ำงไรถ้ำข้อมลู ท่ไี ด้มำเปน็ เรือ่ งจรงิ (ควำมเท่ียงตรง)

ยังมเี รอ่ื งอะไรอกี ในส่วนนท้ี ี่ยังไมร่ ู้ (ควำมชดั เจน)

ยงั มขี อ้ มูลอะไรในเร่ืองน้อี กี ที่ยังไม่นำมำกล่ำวถงึ (ควำมกว้ำงของกำรมอง)

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 247

------------------------------------------------------------------------------
ข้ันท่ี 4 กำรจดั ขอ้ มูลเข้ำเปน็ ระบบ เป็นขั้นท่ีผูค้ ิดจะต้องสร้ำงควำมคิด ควำมคิดรวบยอด หรือสร้ำงหลกั กำรขน้ึ

ให้ไดด้ ว้ ยกำรเริ่มต้นจำกกำรระบุลกั ษณะของข้อมูล แยกแยะข้อเทจ็ จรงิ ขอ้ คิดเหน็ จัดลำดบั ควำมสำคัญของขอ้ มลู
พิจำรณำขีดจำกดั หรอื ขอบเขตของปัญหำรวมทั้งข้อตกลงพ้ืนฐำน กำรสังเครำะห์ขอ้ มลู เข้ำเป็นระบบและกำหนดข้อ

สนั นษิ ฐำนเบอื้ งตน้ คำถำมทคี่ วรนำมำใช้ในตอนน้ีได้แก่

ขอ้ มูลส่วนน้เี กี่ยวขอ้ งกับปัญหำอยำ่ งไร (ควำมสมั พนั ธ์เกี่ยวข้อง)

จำเป็นตอ้ งหำข้อมลู เพมิ่ เติมในเรอ่ื งนอี้ ีกหรอื ไม่ จำกใครทีใ่ ด (ควำมกวำ้ งของกำรมอง)

อะไรบ้ำงท่ีทำใหก้ ำรจัดข้อมูลในเรือ่ งนี้เกดิ ควำมลำบำก (ควำมลกึ )

จะตรวจสอบได้อย่ำงไรว่ำกำรจัดข้อมลู มคี วำมถูกต้อง (ควำมเที่ยงตรง)

สำมำรถจัดข้อมลู โดยวิธอี ื่นได้อีกหรอื ไม่ (ควำมกวำ้ งของกำรมอง)

ข้นั ที่ 5 ต้งั สมมติฐำน เปน็ ขัน้ ทีน่ กั คิดวิเครำะห์จะตอ้ งนำขอ้ มลู ทจี่ ัดระบบระเบียบแล้วมำตัง้ เปน็ สมมตฐิ ำนเพ่อื

กำหนดขอบเขตและกำรหำขอ้ สรุปของข้อคำถำม หรอื ปญั หำทีก่ ำหนดไวซ้ ึ่งจะต้องอำศัยควำมคดิ เช่อื มโยงสัมพนั ธ์ใน

เชิงของเหตุผลอย่ำงถูกต้อง สมมติฐำนท่ตี ้ังขน้ึ จะตอ้ งมีควำมชัดเจนและมำจำกขอ้ มูลท่ถี ูกตอ้ งปรำศจำกอคตหิ รอื ควำม

ลำเอียงของผทู้ ่เี ก่ียวขอ้ งคำถำมที่ควรนำมำใชใ้ นตอนนี้ไดแ้ ก่

ถ้ำสมมติฐำนที่ตง้ั ขึน้ ถกู ตอ้ ง เรำจะมีวธิ ีตรวจสอบได้อยำ่ งไร (ควำมเทย่ี งตรง)

สำมำรถทำใหก้ ระชบั กวำ่ นี้ได้อกี หรือไม่ (ควำมกระชับ ควำมพอด)ี

รำยละเอียดแต่ละส่วนเกีย่ วข้องกบั ปัญหำอยำ่ งไร (ควำมสัมพันธ์เกี่ยวข้อง)

ขั้นที่ 6 กำรสรุป เปน็ ขั้นตอนของกำรลงควำมเหน็ หรอื กำรเชอ่ื มโยงสัมพนั ธ์ระหวำ่ งเหตุผลกับผลอยำ่ งแท้จริง

ซง่ึ ผคู้ ดิ วเิ ครำะห์จะต้องเลือกพจิ ำรณำเลอื กวธิ ีกำรทเ่ี หมำะสมตำมสภำพของข้อมลู ท่ีปรำกฏ โดยใช้เหตุผลท้ังทำง

ตรรกศำสตร์ เหตุผลทำงวิทยำศำสตร์ และพิจำรณำถงึ ควำมเปน็ ไปได้ตำมสภำพทเี่ ปน็ จรงิ ประกอบกนั คำถำมท่ีควร

นำมำถำมไดแ้ ก่

เรำสำมำรถจะตรวจสอบไดห้ รอื ไม่ ตรวจสอบอย่ำงไร (ควำมเท่ียงตรง)
ผลที่เกดิ ข้ึนมันมที ่ีมำอยำ่ งไร (ควำมสมั พันธ์เกีย่ วขอ้ ง)

ขอ้ สรปุ น้ที ำใหเ้ รำเข้ำใจอะไรไดบ้ ำ้ ง (ควำมสมั พันธเ์ กยี่ วข้อง)

สง่ิ ทส่ี รุปน้นั เป็นเหตุผลท่ีสมบรู ณ์หรือไม่ (หลักตรรกวิทยำ)

ขั้นที่ 7 กำรประเมินขอ้ สรปุ เป็นขนั้ สุดท้ำยของกำรคดิ วิเครำะห์ เปน็ กำรประเมินควำมสมเหตสุ มผลของกำร

สรุป และพิจำรณำผลสบื เน่ืองที่จะเกดิ ขั้นต่อไป เช่น กำรนำไปประยุกต์ใช้ในสถำนกำรณ์จรงิ หรือกำรแกป้ ัญหำที่

เกดิ ขึน้ จริงๆ คำถำมที่ควรนำมำถำมไดแ้ ก่

สว่ นไหนของข้อสรุปที่มีควำมสำคญั ที่สุด (ควำมสำคัญ)

ยังมขี อ้ สรปุ เร่อื งใดอกี ทคี่ วรนำมำกลำ่ วถึง (ควำมกวำ้ งของกำรมอง)

ถ้ำนำเรอ่ื งนไี้ ปปฏิบตั ิจะมีปญั หำอะไรเกิดข้นึ บ้ำง (ควำมกว้ำงของกำรมอง)

อะไรจะทำให้ปัญหำมคี วำมซับซอ้ นย่ิงขนึ้ (ควำมลึก)

สรุปไดว้ ่ำกระบวนกำรคิดวิเครำะหม์ ีควำมสำคญั อย่ำงย่งิ สำหรบั กำรแก้ปญั หำตำ่ งๆ ของมนษุ ย์ กำรคดิ

วเิ ครำะห์เป็นจะช่วยให้มนุษย์มองเหน็ ปัญหำ ทำควำมเขำ้ ใจปญั หำ ร้จู ักปัญหำอยำ่ งแท้จริง และจะสำมำรถแกป้ ญั หำ

ทง้ั หลำยได้

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 248

------------------------------------------------------------------------------
นโยบายและจดุ เนน้ ของกระทรวงศกึ ษาธิการ ปงี บประมาณ พ.ศ.2565

นำยณฏั ฐพล ทปี สวุ รรณ รัฐมนตรวี ำ่ กำรกระทรวงศกึ ษำธกิ ำร ลงนำมในประกำศกระทรวงฯ เร่อื ง นโยบำยและ

จดุ เนน้ ของกระทรวงศกึ ษำธิกำร ปงี บประมำณ พ.ศ.2565

(6 พฤศจกิ ำยน 2563) นำยณัฏฐพล ทีปสวุ รรณ รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงศึกษำธกิ ำร ลงนำมในประกำศ

กระทรวงฯ เรอ่ื ง นโยบำยและจุดเนน้ ของกระทรวงศึกษำธิกำร ปีงบประมำณ พ.ศ.2565

ประกำศกระทรวงศึกษำธิกำร เร่อื ง นโยบำยและจุดเนน้ ของกระทรวงศกึ ษำธกิ ำร ปงี บประมำณ พ.ศ.2565

ด้วยกระทรวงศกึ ษำธิกำรตระหนักถึงควำมสำคัญยุทธศำสตรช์ ำตดิ ้ำนกำรพัฒนำ และเสริมสรำ้ งศกั ยภำพ

ทรัพยำกรมนษุ ย์ โดยเฉพำะแผนแม่บทภำยใตย้ ุทธศำสตร์ชำติ ประเดน็ กำรพฒั นำศักยภำพคนตลอดช่วงชีวิต กำรสร้ำง
สภำพแวดลอ้ มทีเ่ ออ้ื ตอ่ กำรพฒั นำและเสรมิ สร้ำงศกั ยภำพมนษุ ย์ กำรพฒั นำเดก็ ตัง้ แตช่ ่วงกำรตัง้ ครรภ์จนถึงปฐมวยั กำร

พฒั นำชว่ งวยั เรยี น/วัยรุ่น กำรพัฒนำและยกระดบั ศักยภำพวัยแรงงำน รวมถึงกำรสง่ เสรมิ ศักยภำพวัยผสู้ ูงอำยุ ประเดน็

กำรพฒั นำกำรเรยี นรทู้ ต่ี อบสนองต่อกำรเปล่ยี นแปลงในศตวรรษท่ี 21 และพหปุ ัญญำของมนษุ ย์ทห่ี ลำกหลำย และ

ประเดน็ อ่นื ทเี่ กี่ยวขอ้ ง อำศัยอำนำจตำมควำมในมำตรำ 8 และมำตรำ 12 แหง่ พระรำชบัญญัตริ ะเบียบบริหำรรำชกำร

กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร พ.ศ.2546 รฐั มนตรวี ำ่ กำรกระทรวงศกึ ษำธิกำร จงึ ประกำศนโยบำยและจดุ เน้นของ

กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร ประจำปีงบประมำณ พ.ศ.2565 ดงั น้ี

หลักการตามนโยบาย ประจาปีงบประมาณ พ.ศ.2565

กระทรวงศึกษำธิกำรมงุ่ มั่นดำเนนิ กำรภำรกิจหลกั ตำมแผนแมบ่ ทภำยใตย้ ทุ ธศำสตร์ชำติ 20 ปี (พ.ศ.2561 –

2580) ในฐำนะหน่วยงำนเจำ้ ภำพขบั เคล่ือนทกุ แผนยอ่ ยในประเดน็ 12 กำรพัฒนำกำรเรยี นรู้ และแผนยอ่ ยท่ี 3 ใน

ประเดน็ 11 ศักยภำพคนตลอดชว่ งชวี ิต รวมทัง้ แผนกำรปฏริ ูปประเทศ ดำ้ นกำรศกึ ษำ และนโยบำยรัฐบำลทั้งในสว่ น

นโยบำยหลักดำ้ นกำรปฏิรปู กระบวนกำรเรยี นรู้ และกำรพัฒนำศกั ยภำพคนตลอดช่วงชวี ิต และนโยบำยเร่งด่วน เร่อื ง

กำรเตรยี มคนไทยสูศ่ ตวรรษที่ 21 นอกจำกน้ี ยงั สนับสนนุ กำรขับเคล่อื นแผนแม่บทภำยใตย้ ทุ ธศำสตร์ชำตปิ ระเดน็ อ่ืน

ๆ แผนพัฒนำเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชำติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) นโยบำยและแผนระดบั ชำตวิ ำ่ ด้วยควำม

มนั่ คงแห่งชำติ (พ.ศ. 2562 – 2565) รวมทั้งนโยบำยและแผนต่ำง ๆ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง โดยคำดหวงั ว่ำกำรพัฒนำศักยภำพคน

ตลอดช่วงชีวิต จะได้รบั กำรพัฒนำกำรเรียนรู้ใหเ้ ป็นคนดี คนเกง่ มคี ุณภำพ และมีควำมพรอ้ มรว่ มขับเคลอื่ นกำรพฒั นำ

ประเทศส่คู วำมมน่ั คง มั่งคง่ั และยัง่ ยืน ดงั นัน้ ในกำรเร่งรัดกำรทำงำนภำพรวมกระทรวงใหเ้ กิดผลสัมฤทธิ์เพือ่ สรำ้ ง

ควำมเชือ่ มนั่ ให้กบั สังคม และผลกั ดนั ให้กำรจดั กำรศกึ ษำมีคุณภำพและประสทิ ธิภำพ จึงกำหนดนโยบำยประจำปี

งบประมำณ พ.ศ. 2565 ดงั น้ี

1. ปลดลอ็ ก ปรบั เปลีย่ น และเปิดกว้ำง ระบบกำรบรหิ ำรจดั กำรและกำรพฒั นำกำลงั คน โดยมงุ่ ปฏิรปู องคก์ ำร

เพอื่ หลอมรวมภำรกจิ และบคุ ลำกร เช่น ดำ้ นกำรประชำสมั พนั ธ์ ดำ้ นกำรตำ่ งประเทศ ดำ้ นเทคโนโลยี ด้ำนกฎหมำย

ฯลฯ เพ่อื เพม่ิ ประสิทธิภำพและควำมเป็นเอกภำพ รวมทงั้ กำรนำเทคโนโลยดี จิ ิทัลเข้ำมำชว่ ยในกำรบริหำรงำนและกำร

จัดกำรศกึ ษำ

2. ปลดลอ็ ก ปรับเปลี่ยน และเปดิ กว้ำง ระบบกำรจัดกำรศกึ ษำและกำรเรียนรู้ โดยม่งุ ใหค้ รอบคลมุ ถึงกำรจัด

กำรศกึ ษำเพอ่ื คณุ วุฒิ และกำรเรียนร้ตู ลอดชวี ิตทสี่ ำมำรถตอบสนองกำรเปลีย่ นแปลงในศตวรรษที่ 21
3. ปลดลอ็ ก ปรบั เปลี่ยน เปิดกว้ำง ท่ีเปน็ เงอ่ื นไขตำ่ ง ๆ เพ่ือใหบ้ รรลุผลตำมนโยบำยกำรศกึ ษำยกกำลังสอง

(Thailand Education Eco – System : TE2S) กำรศึกษำทเี่ ข้ำใจ Supply และตอบโจทย์ Demand โดยให้ทกุ หน่วยงำน

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 249

------------------------------------------------------------------------------
พิจำรณำวเิ ครำะห์ข้อมลู ร่วมกันอยำ่ งรอบดำ้ น ครบถ้วน ร่วมกนั พจิ ำรณำหำแนวทำง ข้ันตอน และวิธีกำรดำเนินกำร

ร่วมกันแบบบูรณำกำรกำรทำงำนทกุ ภำคสว่ น

เนน้ ประจาปีงบประมาณ พ.ศ.2565

กำรพฒั นำและเสรมิ สร้ำงศักยภำพทรัพยำกรมนุษย์

1. ICT (Information and Communication Technologies) เทคโนโลยสี ำรสนเทศและกำรสื่อสำร ประกอบดว้ ย 7

เร่อื งย่อย ไดแ้ ก่ (1) Data Center ศูนยข์ ้อมูลกลำง (2) Big Data ข้อมลู ขนำดใหญ่ (คลังข้อมูล กำรนำขอ้ มลู มำรวมกนั )

(3) Platform (e-library e-learning และ Teaching Resource Platform) (4) e-book (5) e-office e-mail และ document (6)

ระบบบรหิ ำรจดั กำรห้องเรยี น School และ Classroom Management และ (7) โครงสร้ำงพ้ืนฐำน Infrastructure
(Internet)

2. กำรจดั กำรองคค์ วำมรู้และยกระดับทักษะท่จี ำเปน็ เน้นพัฒนำควำมรแู้ ละสมรรถนะด้ำน Digital Literacy

สำหรบั ผเู้ รยี นทม่ี ีควำมแตกต่ำงกนั ตำมระดับและประเภทของกำรจดั กำรศกึ ษำ เชน่ STEM Coding เปน็ ตน้

3. กำรศึกษำเพือ่ ทักษะอำชพี และกำรมีงำนทำ พัฒนำ 3 ทักษะหลกั ได้แก่ โลกทัศนอ์ ำชพี กำรเสรมิ ทกั ษะใหม่

(Up Skill) และกำรเพม่ิ ทกั ษะใหมท่ ี่จำเปน็ (Re-Skills) ใหแ้ กก่ ลมุ่ เป้ำหมำย ประกอบดว้ ย (1) ผอู้ ยู่ในระบบกำรศกึ ษำ

(กำรศึกษำขั้นพนื้ ฐำน และอำชวี ศกึ ษำ) (2) ผู้อยู่นอกระบบกำรศกึ ษำ (3) วยั แรงงำน และ (4) ผ้สู ูงอำยุ เพื่อให้มที กั ษะ

และสมรรถนะสอดคลอ้ งกับกำรเปลย่ี นแปลงที่เกิดจำกเทคโนโลยีดจิ ิทัลและอำชพี ที่เกดิ ขึ้นใหม่ (Digital Disruption)

โดยเนน้ เพิม่ บทบำทของ กศน.ในกำร Re-Skills ดำ้ นอำชีวศกึ ษำกับสำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรอำชีวศกึ ษำ

4. กำรตำ่ งประเทศ เนน้ ภำรกจิ ท่ตี ้องใชค้ วำมรว่ มมอื ระดับนำนำชำติในกำรจัดหำครูชำวตำ่ งชำติให้แก่

สถำนศกึ ษำทุกระดบั ทกุ ประเภทของกระทรวงศกึ ษำธกิ ำรเพื่อจดั กำรศึกษำในสถำนศึกษำ 2 ด้ำนหลัก ๆ ไดแ้ ก่ (1) ด้ำน

ภำษำต่ำงประเทศ และ (2) ด้ำนวิชำกำร โดยเฉพำะอำชีวศึกษำ

5. กฎหมำยและระเบยี บ เน้นแผนงำน 2 เร่ือง ทบ่ี รรจอุ ยใู่ นแผนกำรปฏิรูปประเทศด้ำนกำรศึกษำ ประกอบด้วย

เรือ่ งที่ 1 : กำรปฏิรปู ระบบกำรศึกษำและกำรเรยี นรู้โดยรวมของประเทศ โดยพระรำชบัญญัตกิ ำรศึกษำแห่งชำตฉิ บบั

ใหมแ่ ละกฎหมำยลำดบั รอง มีประเด็นปฏิรปู 5 ประเดน็ ได้แก่ – กำรมีพระรำชบัญญตั กิ ำรศกึ ษำแหง่ ชำติ พ.ศ. …. และ

มกี ำรทบทวน จดั ทำ แกไ้ ข และปรับปรุงกฎหมำยทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง – กำรสรำ้ งควำมร่วมมือระหวำ่ งรัฐ องค์กรปกครองส่วน

ท้องถน่ิ และเอกชน เพือ่ กำรจดั กำรศกึ ษำ – กำรขับเคล่ือนกำรจัดกำรศึกษำเพอ่ื กำรพฒั นำตนเองและกำรศกึ ษำเพอื่ กำร

เรียนรู้ตลอดชีวติ เพ่อื รองรับกำรพฒั นำศกั ยภำพคนตลอดชว่ งชีวิต – กำรทบทวนและปรบั ปรงุ แผนกำรศึกษำแหง่ ชำติ –

กำรจดั ตง้ั สำนกั งำนคณะกรรมกำรนโยบำยกำรศึกษำแหง่ ชำติ เรือ่ งท่ี 6 กำรปรบั โครงสรำ้ งของหน่วยงำนในระบบ
กำรศึกษำ ประกอบดว้ ยประเดน็ ปฏิรูป 3 ประเด็น ไดแ้ ก่ สถำนศกึ ษำมคี วำมเป็นอสิ ระในกำรบรหิ ำรและจัดกำรศกึ ษำ

พื้นท่นี วตั กรรมกำรศกึ ษำ กำรปรับปรุงโครงสรำ้ งของกระทรวงศกึ ษำธกิ ำร

6. ระบบบริหำรจัดกำรและกำรพัฒนำบุคลำกร โดยรวบรวมหลักสตู รวิชำกำรของแต่ละหน่วยงำนในสงั กดั

กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร เพ่ือไม่ใหเ้ กิดควำมซำ้ ซ้อนในกำรจดั ฝึกอบรมใหแ้ ตล่ ะกลุ่มเป้ำหมำย และใช้ประโยชน์จำก

สถำบนั พัฒนำทมี่ อี ยูแ่ ล้ว เช่น สถำบันพฒั นำครู คณำจำรย์ และบุคลำกรทำงกำรศึกษำ เพื่อเปน็ หน่วยงำนกลำงในกำร

จัดฝึกอบรมพฒั นำทกั ษะสมรรถนะให้แก่บุคลำกรของกระทรวงศกึ ษำธิกำร (ผู้บรหิ ำรหน่วยงำนทกุ ระดบั ผู้บรหิ ำร

สถำนศกึ ษำทกุ ระดับ ทกุ ประเภท ครู อำจำรย์ และบคุ ลำกรอ่ืน ๆ) รวมท้ังพฒั นำยกระดับใหเ้ ป็นสถำบนั ฝกึ อบรมระดบั

นำนำชำติ

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 250

------------------------------------------------------------------------------
7. กำรประชำสมั พันธ์ โดยจัดต้งั ศนู ยป์ ระชำสมั พันธ์ของกระทรวงศึกษำธกิ ำร เป็นหน่วยงำนสังกัดสำนกั งำน

ปลดั กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร ดำเนินกำรผลติ สอ่ื และจดั ทำเน้ือหำ (Content) เพอื่ เผยแพรผ่ ลงำน กจิ กรรมและกำรเข้ำ
รว่ มงำนตำ่ ง ๆ ของทกุ หน่วยงำนในภำพรวมของ กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร

8. กำรพัฒนำเด็กปฐมวยั ดำเนินกำรขบั เคลอ่ื นนโยบำยและแนวปฏิบตั ิในกำรจดั กำรศกึ ษำและกำรเรยี นรู้สำหรบั

เด็กปฐมวัย

9. กำรพฒั นำโรงเรยี นขนำดเล็ก โดยกำรสง่ เสริมโครงกำร 1 ตำบล 1 โรงเรียนคุณภำพ

10. กำรรับเร่ืองรำวรอ้ งทกุ ขท์ ่เี ก่ียวขอ้ งกบั กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร โดยกำรนำเทคโนโลยีมำใช้ในกำรบรหิ ำรจดั กำร

เชน่ กำรยกระดับตอบรับอัตโนมัตเิ พ่ือแก้ไขปัญหำเบอื้ งตน้ (Call Center ดำ้ นกฎหมำย) กำรวำงระบบเทคโนโลยี

สำรสนเทศเพอื่ กำรบรหิ ำรจดั กำรกำรรบั เรือ่ งรำวร้องทกุ ขใ์ นภำพรวมของกระทรวงศึกษำธกิ ำร

11. กำรปฏิรปู องคก์ ำรและโครงสร้ำงกระทรวงศึกษำธิกำร

12. กำรพฒั นำครู ในสำขำวชิ ำต่ำง ๆ เพ่ือให้มมี ำตรฐำนวิชำชพี ทสี่ งู ขนึ้

13. กำรศึกษำยกกำลังสอง โดย - พัฒนำครูทกุ ระดบั ให้มีทักษะ ควำมรทู้ ี่จำเปน็ เพอ่ื ทำหน้ำทีว่ ิทยำกรมอื อำชีพ

(Train The Trainer) และขยำยผลกำรพฒั นำผ่ำนศูนยพ์ ัฒนำศกั ยภำพบุคคลเพื่อควำมเปน็ เลศิ (Human Capital

Excellence Center : HCEC) – จัดกำรเรียนร้ตู ลอดชวี ติ ผ่ำนเวบ็ ไซต์ http://www.deep.go.th โดยปลดล็อกและเปดิ กว้ำง

ให้ภำคเอกชนสำมำรถเขำ้ มำพัฒนำเนอ้ื หำ เพ่อื ให้ผเู้ รยี น ครู และผู้บรหิ ำรทำงกำรศึกษำมที ำงเลอื กในกำรเรียนรู้ที่

หลำกหลำย และตลอดเวลำผ่ำนแพลตฟอรม์ ด้ำนกำรศึกษำเพ่ือควำมเป็นเลศิ (Digital Education Excellence Platform :

DEEP) – ใหผ้ ู้เรียน ครู ผู้บรหิ ำรทำงกำรศึกษำมีแผนพฒั นำรำยบคุ คลผ่ำนแผนพฒั นำรำยบคุ คลสูค่ วำมเปน็ เลิศ

(Excellence Individual Development Plan : EIDP) – จดั ทำ “ค่มู ือมำตรฐำนโรงเรียน” เพอื่ กำหนดใหท้ กุ โรงเรียนตอ้ งมี

พน้ื ฐำนท่ีจำเป็น

การสร้างความสามารถในการแขง่ ขนั

- มุ่งเน้นกำรศกึ ษำเพ่อื ทักษะอำชพี และกำรมงี ำนทำดว้ ยคุณภำพ โดยสรำ้ งค่ำนยิ มอำชีวศึกษำ และเตมิ เต็ม

ชอ่ งวำ่ งระหวำ่ งทักษะ (Full fill Skill Gaps) โดยขยำยและยกระดับอำชวี ศกึ ษำทวิภำคสี ่คู ุณภำพมำตรฐำน เน้นร่วมมอื

กบั สถำนประกอบกำรชนั้ นำ (Tailor-made Curriculum) ขับเคลื่อนควำมรว่ มมือกำรจัดกำรอำชวี ศึกษำระหว่ำงภำครฐั

และภำคเอกชนสู่มำตรฐำนนำนำชำติ

- มงุ่ เนน้ Re-Skills, Up Skill และ New Skill กำรฝึกอบรมวิชำชพี ระยะสัน้ รวมทัง้ ผลติ กำลังแรงงำนท่มี คี ุณภำพ

ตำมควำมเป็นเลิศของแต่ละสถำนศึกษำและตำมบรบิ ทของพ้นื ท่ี เพือ่ ตอบโจทยก์ ำรพัฒนำประเทศและสถำน
ประกอบกำร

- ม่งุ เนน้ พฒั นำศูนยป์ ระสำนงำนกลำงกำรผลิตและพฒั นำกำลงั คนอำชีวศกึ ษำ (TVET Excellence Center) สู่

มำตรฐำนสำกล ผลติ อำชีวะพันธใ์ุ หม่ รวมถึงกำรนำนวัตกรรม Digital เพือ่ มุง่ ส่กู ำรอำชีวศกึ ษำดิจทิ ลั (Digital College)

- มุ่งเนน้ พฒั นำศกั ยภำพผู้เรียนอำชีวศึกษำ ใหเ้ ป็นผู้ประกอบกำร พัฒนำทกั ษะกำรเรยี นรู้ผู้เรียนเพอ่ื กำรดำรงชีวิต

ให้มีคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์และทกั ษะท่ีจำเปน็ ในศตวรรษที่ 21 (Technical Vocational Education and Training :

TVET, Student Skill Set) รวมท้งั ให้ควำมร่วมมอื ในกำรพัฒนำขดี ควำมสำมำรถของผเู้ รียนผำ่ นกำรฝึกประสบกำรณ์

วชิ ำชีพในต่ำงประเทศและกำรแขง่ ขันในเวทีระดบั นำนำชำติ

- ม่งุ เนน้ กำรเพ่มิ ปริมำณผเู้ รียนในหลกั สูตรอำชวี ศกึ ษำ สรำ้ งภำพลกั ษณ์สถำนศึกษำอำชีวศึกษำเพ่ือดงึ ดดู ให้ผูท้ ่ี

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 251

------------------------------------------------------------------------------
สนใจเข้ำมำเรยี น สนับสนุนใหส้ ถำนศึกษำอำชวี ศึกษำบริหำรจดั กำรอย่ำงมีคณุ ภำพ และจดั กำรเรยี นกำรสอนด้วย

เครื่องมือปฏบิ ตั ิท่ีทันสมยั

การสรา้ งโอกาสและความเสมอภาคทางการศึกษา

- ขับเคลื่อนพืน้ ท่ีนวตั กรรมกำรศึกษำ ใหส้ อดคล้องกับพระรำชบญั ญตั ิพื้นที่นวตั กรรมกำรศึกษำ พ.ศ. 2562

- สง่ เสริมให้ผ้เู รียนท่ียุติกำรศึกษำ ทัง้ กอ่ นและหลงั สำเร็จกำรศกึ ษำภำคบังคับให้ไดร้ บั โอกำสทำงกำรศึกษำจน

สำเร็จกำรศึกษำภำคบงั คับ

การจัดการศึกษาเพื่อสรา้ งเสริมคุณภาพชวี ติ ท่เี ป็นมิตรกับส่ิงแวดล้อม

- เสรมิ สร้ำงกำรรับรู้ ควำมเข้ำใจ ควำมตระหนกั และสง่ เสรมิ คณุ ลักษณะและพฤติกรรมท่ีพงึ ประสงคด์ ้ำน

สิง่ แวดลอ้ ม รวมท้ังกำรปรับตวั รองรับกำรเปลย่ี นแปลงสภำพภูมอิ ำกำศทีจ่ ะเกิดข้นึ ในอนำคต

- สง่ เสรมิ กำรพฒั นำสิ่งประดษิ ฐแ์ ละนวัตกรรมที่เป็นมติ รกับส่งิ แวดล้อม ให้สำมำรถเป็นอำชพี และสร้ำงรำยได้

การพัฒนาการศกึ ษาเพ่ือความม่ันคง

เฝำ้ ระวังภยั ทุกรปู แบบทเี่ กิดข้ึนกับผู้เรียน ครู และสถำนศึกษำ

กำรปรับสมดลุ และพัฒนำระบบกำรบรหิ ำรจัดกำร

- ปฏริ ูปองค์กำรเพ่อื เพมิ่ ประสทิ ธภิ ำพ ประสทิ ธิผล และควำมเปน็ เอกภำพของหน่วยงำน

- ปรบั ปรุงกฎหมำย ระเบยี บ ข้อบังคบั ประกำศตำ่ ง ๆ ทเี่ ป็นอปุ สรรคและข้อจำกดั ในกำรดำเนินงำน โดย

คำนงึ ถึงประโยชนข์ องผเู้ รียนและประชำชน ตลอดจนกระทรวงศึกษำธิกำรโดยรวม

- ยกระดบั กำรประเมินคณุ ธรรมและควำมโปรง่ ใสในกำรดำเนนิ งำนของหน่วยงำนภำครัฐ (Integrity and

Transparency Assessment : ITA) ของหนว่ ยงำนในสงั กัดกระทรวงศกึ ษำธกิ ำร
- พฒั นำระบบฐำนข้อมลู ดำ้ นกำรศกึ ษำ (Big Data)

การขบั เคลื่อนนโยบายและจดุ เนน้ สู่การปฏิบัติ

1. ให้ส่วนรำชกำร หน่วยงำนในสงั กัดกระทรวงศึกษำธิกำร นำนโยบำยและจดุ เนน้ เป็นกรอบแนวทำงในกำร

วำงแผนและจัดทำงบประมำณรำยจ่ำยประจำปงี บประมำณ พ.ศ. 2565 ตำมทร่ี ฐั มนตรีว่ำกำรกระทรวงศกึ ษำธิกำรได้ให้

แนวทำงในกำรบริหำรงบประมำณไว้

2. ใหม้ ีคณะกรรมกำรติดตำม ประเมินผล และรำยงำนกำรขับเคลอ่ื นนโยบำยและจุดเนน้ สู่กำรปฏบิ ัติระดบั พืน้ ท่ี

โดยให้ผ้ตู รวจรำชกำรกระทรวงศกึ ษำธกิ ำร เปน็ ประธำน สำนกั งำนศึกษำธกิ ำรภำคและสำนกั ตรวจรำชกำรและตดิ ตำม

ประเมนิ ผล สป. เป็นฝ่ำยเลขำนกุ ำรและผู้ชว่ ยเลขำนุกำรตำมลำดับ โดยมบี ทบำทภำรกิจในกำรตรวจรำชกำร ตดิ ตำม
ประเมนิ ผลในระดบั นโยบำย และจัดทำรำยงำนเสนอตอ่ รัฐมนตรวี ่ำกำรกระทรวงศกึ ษำธิกำร และคณะกรรมกำรตดิ ตำม

ตรวจสอบ และประเมินผลกำรจัดกำรศกึ ษำของกระทรวงศึกษำธิกำร ทรำบตำมลำดบั

3. กรณมี ีปัญหำในเชิงพื้นทหี่ รือขอ้ ขัดข้องในกำรปฏิบัติงำน ใหศ้ ึกษำ วเิ ครำะหข์ อ้ มลู และดำเนินกำรแกไ้ ข

ปัญหำในระดบั พน้ื ท่ีกอ่ น โดยใชภ้ ำคเี ครือขำ่ ยในกำรแก้ไขข้อขดั ข้อง พรอ้ มทง้ั รำยงำนตอ่ คณะกรรมกำรตดิ ตำมฯ

ข้ำงตน้ ปลัดกระทรวงศึกษำธิกำร และรฐั มนตรวี ่ำกำรกระทรวงศกึ ษำธิกำรตำมลำดับ

อนง่ึ สำหรบั ภำรกิจของสว่ นรำชกำรหลกั และหน่วยงำนท่ปี ฏบิ ัติในลักษณะงำนในเชิงหน้ำท่ี (Function) งำนใน

เชงิ ยทุ ธศำสตร์ (Agenda) และงำนในเชงิ พื้นที่ (Area) ซงึ่ ไดด้ ำเนินกำรอยกู่ ่อน เม่อื รัฐบำลหรอื กระทรวงศกึ ษำธิกำรมี

นโยบำยสำคัญเพ่มิ เตมิ ในปีงบประมำณ พ.ศ. 2565 นอกเหนือจำกทกี่ ำหนดหำกมีควำมสอดคลอ้ งกบั หลักกำรนโยบำย

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 252

------------------------------------------------------------------------------
และจุดเน้นข้ำงต้น ใหถ้ ือเป็นหนำ้ ทีข่ องสว่ นรำชกำรหลักและหน่วยงำนท่เี กีย่ วขอ้ งต้องเรง่ รัด กำกับ ตดิ ตำม ตรวจสอบ

ให้กำรดำเนนิ กำรเกิดผลสำเร็จ และมีประสิทธิภำพอย่ำงเป็นรปู ธรรมด้วยเช่นกัน ทง้ั น้ี ต้ังแต่บดั นเี้ ปน็ ต้นไป

ประกำศ ณ วันที่ 6 พฤศจิกำยน พ.ศ. 2563
นำยณฏั ฐพล ทีปสุวรรณ

รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงศึกษำธิกำร

----------------------------

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 253

------------------------------------------------------------------------------

การจดั การศกึ ษา

หลกั การจดั การศึกษา

ในกำรจัดกำรศึกษำ จำเป็นต้องทำควำมเขำ้ ใจคำวำ่ “กำรศึกษำ” กอ่ น ดงั น้ี

กำรศึกษำ ตำมควำมหมำยกว้ำง หมำยถงึ กระบวนกำรทำงสังคมที่นำบุคคลเข้ำสู่กำรดำรงชวี ติ ในสงั คม หรือ

อำจกลำ่ วอกี อยำ่ งหนงึ่ ว่ำ เป็นกระบวนกำรอบรมบม่ นสิ ัยให้มนุษยส์ ำมำรถประพฤตปิ ฏบิ ัตติ นและประกอบอำชพี กำร

งำนร่วมกบั มนุษยอ์ ่ืนๆไดอ้ ย่ำงเหมำะสม

กำรศกึ ษำตำมควำมหมำยนจี้ งึ เปน็ ปัจจยั สำคญั ของกำรอบรมบ่มนสิ ัย กำรกลอ่ มเกลำทำงสังคม กำรเตรยี มตัว

เพอ่ื ใหบ้ ุคคลมีทกั ษะ ควำมรู้ ควำมสำมำรถในกำรดำรงชวี ติ และกำรประกอบอำชพี ในอนำคต

เปำ้ หมำยของกำรศกึ ษำดังทก่ี ล่ำวนี้ มิใชเ่ พยี งเพ่ือประโยชน์ของคนแตล่ ะคนเท่ำน้ัน แตต่ ้องมงุ่ ไปสู่สงั คมใน

ภำพรวม คือกำรนำไปสสู่ งั คมที่เข้มแขง็ มีเอกภำพ อนั เนื่องมำจำกสมำชกิ ของสังคมมคี ณุ ภำพและรว่ มสรำ้ งประโยชน์

ใหก้ ับสงั คมทตี่ นอยอู่ ำศยั จึงถอื ไดว้ ำ่ ครเู ปน็ คนสำคัญในกำรสร้ำงเยำวชนที่ดีและสรำ้ งอนำคตของประเทศ และหำก

ผลผลติ ทำงกำรศึกษำไม่มคี ณุ ภำพ ครูก็ต้องมสี ่วนร่วมรับผิดชอบด้วย

อำจกล่ำวได้วำ่ กำรศกึ ษำเปน็ กจิ กรรมทำงสงั คมที่เปน็ รำกฐำนสำคัญของกำรสรำ้ ง สะสมพลงั ของชำติ
ชำตใิ ดมี “ทนุ ทำงสังคม” แขง็ แกรง่ มีคณุ ภำพดีมำกน้อยเพียงใด มีปรมิ ำณมำกแค่ไหน ย่อมขึ้นกบั คณุ ภำพของระบบ

กำรศกึ ษำ (ชัยอนนั ต์ สมุทวณชิ 2542)

โดยสรปุ กำรศกึ ษำเป็นกระบวนกำรให้และรบั ควำมรแู้ ละประสบกำรณ์ กำรปรับเปล่ียนทัศนคติกำรสร้ำง

จติ สำนึก กำรเพิ่มพนู ทักษะ กำรทำควำมเข้ำใจใหก้ ระจำ่ ง กำรอบรมปลกู ฝังคำ่ นิยม กำรถ่ำยทอดศำสนำ ศลิ ปะ และ

วัฒนธรรมของสังคม กำรพฒั นำควำมคดิ โดยมวี ัตถปุ ระสงค์ท่ีจะให้บคุ คลมคี วำมเจรญิ งอกงำมทำงปญั ญำ มีควำมรู้

ควำมสำมำรถทเี่ หมำะสมสำหรับกำรประกอบอำชีพ สำมำรถดำรงชวี ิตได้อย่ำงเหมำะสม มคี ่ำนิยมท่ีดีและอยู่รว่ มกับ

ผู้อ่ืนอย่ำงมคี วำมสขุ

กระบวนกำรดำเนินกำรให้มนุษย์ได้รบั กำรศกึ ษำน้ี หำกรัฐยังไม่เขำ้ มำดูแล ก็เปน็ เรื่องทคี่ นใกล้ชดิ เช่น

ครอบครวั หรอื ญำติมิตรเพอื่ นฝงู ทำหนำ้ ทีอ่ บรมสัง่ สอนกันเอง เพ่ือให้ผู้รับกำรอบรมสำมำรถอยรู่ ว่ มกับสังคมขนำด

ยอ่ มนนั้ ได้ แต่เมือ่ สังคมขยำยตัวมำกขึ้นจนปจั จบุ นั กลำยเป็นสงั คมระดับประเทศ กำรให้กำรศึกษำตอ้ งเป็นไปอยำ่ ง

ระบบ ตอ้ งมีกำรจดั กำร มีเป้ำหมำย มีรูปแบบกระบวนกำร มีกำรลงทนุ และมีผ้รู ับผดิ ชอบ ดงั ทเ่ี รำเรยี กโดยรวมวำ่ กำร

จัดกำรศึกษำ คอื ทำทกุ อย่ำงอยำ่ งเปน็ ระบบทท่ี ุกสว่ นมีควำมสัมพนั ธเ์ ชอื่ มโยงกัน

คำว่ำ กำรจัดกำร นั้นเป็นคำรวมท่ีครอบคลุมกำรดำเนนิ กำรบำงสิ่งบำงอยำ่ งโดยมเี ปำ้ หมำยทมี่ ่งุ บรรลอุ ย่ำง

ชดั เจน มกี ำรกำหนดรปู แบบกระบวนกำร มีกำรจดั องค์กำร มีกำรมอบหมำยผูร้ ับผดิ ชอบชัดเจน มกี ำรจดั สรร

งบประมำณและทรัพยำกรอ่นื ๆ เช่น วสั ดุอปุ กรณ์ ผู้ดำเนินกำร เทคโนโลยี เพ่ือสนบั สนุนกำรดำเนนิ กำรให้เกดิ ผลตำม

เปำ้ หมำยท่กี ำหนด กระบวนกำรท้ังหมดนี้คอื กำรจัดกำร ซ่งึ ต้องกระทำอยำ่ งเปน็ ระบบ มีแผนมีเปำ้ หมำย มีผรู้ บั ผิดชอบ

และมเี ครื่องมอื กลไกที่นำไปสคู่ วำมสำเรจ็ ได้ ทัง้ น้ี กำรจัดกำรศกึ ษำก็คือกระบวนกำรดำเนินกำรเพอ่ื ใหบ้ รรลตุ ำม
วัตถุประสงคแ์ ละเป้ำหมำยของกำรจดั กำรศึกษำ

ในกระบวนกำรจดั กำรศึกษำนี้ มบี คุ คลหลำยคนและหลำยหนว่ ยงำนเข้ำมีส่วนรว่ ม ไมว่ ่ำจะเป็นครอบครวั
พรรคพวกเพ่ือนฝงู ญำตมิ ิตร ชุมชน ประชำคม เอกชน สอ่ื มวลชน วดั โรงเรยี น และทส่ี ำคัญมำกคือรัฐบำลและ

หนว่ ยงำนของรฐั ซ่ึงรวมถึงองคก์ รปกครองสว่ นท้องถนิ่ ดว้ ย

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 254

------------------------------------------------------------------------------
สงั คมทม่ี ขี นำดใหญโ่ ตกว้ำงขวำง มีวิถีชวี ิตและวัฒนธรรมท่ีแตกตำ่ งกัน มีกำรประกอบอำชีพหลำกหลำย

เนอ้ื หำของกำรศึกษำยิง่ ต้องมคี วำมหลำกหลำย แตข่ ณะเดยี วกันกำรจดั กำรศึกษำก็ต้องมงุ่ ธำรงรกั ษำเอกภำพร่วมกนั ของ
สงั คมไวด้ ว้ ย สำระของกำรศึกษำจงึ ตอ้ งครอบคลมุ ทงั้ เรื่องวถิ กี ำรดำรงชีวติ กำรประพฤตปิ ฏิบัตติ น ควำมสัมพนั ธ์กบั

ผอู้ ่ืน ประสบกำรณ์และควำมเป็นไปของสังคมในอดตี ปัจจุบนั และท่จี ะไปสอู่ นำคต รวมทงั้ เร่ืองควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจ

และเทคนคิ วิธกี ำรประกอบอำชพี

กำรจดั กำรศกึ ษำอยำ่ งเป็นทำงกำรหรอื ในระบบ ส่วนใหญ่จัดขน้ึ ในโรงเรียน ซง่ึ เป็นหน่วยงำนเฉพำะด้ำนท่ีตั้ง

ขนึ้ มำทำหน้ำท่ีปลกู ฝังทักษะ ควำมรู้ และคำ่ นิยมแกผ่ ู้เรียน แต่โรงเรยี นหรอื สถำนศกึ ษำก็ไม่ใชเ่ ป็นช่องทำงเดยี ว ใน

โลกที่พฒั นำกำรดำ้ นสือ่ และเทคโนโลยเี ปน็ ไปอย่ำงรวดเรว็ กำรจดั กำรศึกษำสำมำรถทำไดอ้ ย่ำงหลำกหลำย เพื่อสอด

รบั กับควำมตอ้ งกำรของกลุม่ เป้ำหมำยเฉพำะแต่ละกลุ่ม เชน่ กำรศกึ ษำนอกโรงเรยี น กำรจัดกำรศึกษำในครวั เรือน กำร

จัดกำรศึกษำโดยชมุ ชน กำรศึกษำทำงไกลผำ่ นสื่อประเภทต่ำงๆ เป็นต้น

กำรจัดกำรศกึ ษำในภำพรวมเป็นเรอ่ื งทีส่ งั คมและผูร้ บั ผิดชอบในกำรจัดกำรศกึ ษำทุกระดบั ต้องร่วมมือกัน

เพือ่ ใหเ้ กดิ ขึน้ ได้ บรรลุเปำ้ หมำยและวตั ถปุ ระสงค์ของกำรจดั กำรศกึ ษำไดอ้ ย่ำงมปี ระสทิ ธิภำพและมีประสทิ ธิผล

แนวคดิ พื้นฐานในการจดั การศึกษา ตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542

1.1.1 ควำมหมำย ควำมจำเปน็ และวัตถปุ ระสงค์ในกำรจัดกำรศึกษำ

กำรจดั กำรศกึ ษำเป็นกระบวนกำรทม่ี ีองค์ประกอบหลำยประกำร เพือ่ นำไปสู่เปำ้ หมำยที่พึงปรำรถนำในกำร

พัฒนำคณุ ภำพมนษุ ย์ กำรจัดกำรศึกษำจงึ เป็นควำมจำเป็นที่ทุกประเทศต้องดำเนนิ กำร เพ่อื ยกระดับคณุ ภำพประชำกร

และเพ่ิมขดี ควำมสำมำรถของประเทศในกำรแขง่ ขนั ระหวำ่ งประเทศ

1. ความหมายของการจัดการศึกษา

กำรจัดกำรศกึ ษำเป็นกระบวนกำรอยำ่ งเป็นระบบ โดยมเี ปำ้ หมำยชัดเจน คือกำรพัฒนำคุณภำพมนุษย์ทกุ ดำ้ น

ไมว่ ่ำจะเปน็ ด้ำนร่ำงกำย จิตใจ สติปัญญำ คุณธรรม ค่ำนิยม ควำมคิด กำรประพฤติปฏบิ ัติฯลฯ โดยคำดหวังว่ำ คนที่มี

คุณภำพนจ้ี ะทำให้สงั คมมีควำมมนั่ คง สงบสุข เจริญกำ้ วหน้ำทันโลก แขง่ ขันกับสังคมอ่นื ในเวทรี ะหวำ่ งประเทศได้ คน

ในสังคมมีควำมสขุ มีควำมสำมำรถประกอบอำชพี กำรงำนอยำ่ งมีประสทิ ธิภำพ และอยู่รว่ มกันได้อยำ่ งสมำนฉันท์

กำรจัดกำรศกึ ษำมีหลำยรูปแบบ ไม่ว่ำจะเป็นกำรจดั กำรศึกษำในสถำนศกึ ษำ นอกสถำนศึกษำ ตำมอธั ยำศยั

ย่อมขึน้ กับควำมเหมำะสมสำหรบั กลมุ่ เปำ้ หมำยแตล่ ะกลุ่มทแี่ ตกต่ำงกนั ไป

เนือ่ งจำกกำรจดั กำรศึกษำเป็นกระบวนกำรท่ีเป็นระบบ ดังน้ันกำรจดั กำรศกึ ษำจงึ จำเป็นตอ้ งดำเนนิ ไปอย่ำง

ตอ่ เน่ือง มีบคุ คลและหน่วยงำนท่ีรับผิดชอบเข้ำรว่ มดำเนินกำร มีรูปแบบ ข้ันตอน กตกิ ำและวิธกี ำรดำเนนิ กำร มี

ทรพั ยำกรต่ำงๆสนับสนุน และต้องมีกระบวนกำรประเมินผลกำรจัดกำรศึกษำทีเ่ ท่ยี งตรงและเชือ่ ถอื ไดด้ ว้ ย

ทง้ั น้ี ผลผลิตของกำรจัดกำรศึกษำไดแ้ ก่ผทู้ ไี่ ดร้ บั กำรศึกษำ ส่วนผลลัพธ์หรือผลสะท้อนสุดทำ้ ยคือกำรมี

พลเมืองทีม่ คี ุณภำพ และสงั คมมสี ภำพท่ีพงึ ประสงค์

2. ความจาเป็นในการจัดการศึกษา

กำรศกึ ษำเป็นเรือ่ งทตี่ ้องมกี ำรจัดกำร ไม่ใช่เรือ่ งท่จี ะให้ผใู้ ดรับไปทำโดยไม่มเี ปำ้ หมำย ไม่มีมำตรฐำน

ไมไ่ ด้คณุ ภำพ เพรำะยอ่ มทำให้กำรศึกษำไม่มที ิศทำง ไมเ่ ป็นระบบ ไม่คุ้มค่ำ และหำกจดั ผิดพลำดก็ยำกท่จี ะแก้ไข

เพรำะกระบวนกำรศึกษำ เช่น ค่ำนยิ มตำ่ งๆ ไดซ้ มึ ซบั เขำ้ ไปในใจของผูเ้ รียนเสียแล้ว

กำรจดั กำรศึกษำเปน็ เร่อื งของกำรลงทุนที่จำเป็นสำหรบั กำรดำรงชวี ิตของมนุษยแ์ ตล่ ะคน และเปน็

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 255

------------------------------------------------------------------------------
กำรลงทุนเพือ่ กำรอยรู่ อดและพัฒนำของสังคม ท้งั นี้ เพรำะกำรศึกษำส่งผลกระทบและมีอิทธพิ ลต่อกำรเปล่ยี นแปลง

สงั คม เศรษฐกิจ กำรเมือง วฒั นธรรม วิทยำกำรและเทคโนโลยที จ่ี ำเป็นในกำรทำงำนและกำรใชช้ วี ิต ย่งิ กำร
เปลย่ี นแปลงดำ้ นตำ่ ง ๆ ในโลกเป็นไปอย่ำงรวดเรว็ อันเปน็ ผลจำกพฒั นำกำรทำงเทคโนโลยสี ำรสนเทศและเทคโนโลยี

ดำ้ นกำรสอ่ื สำรใหม่ๆ พฒั นำกำรเหล่ำนีย้ อ่ มท้ำทำยต่อกำรจดั กำรศึกษำ เพรำะได้เปดิ โอกำสและใหช้ ่องทำงกำรเรียนรู้

แก่บุคคลจำนวนมำก โดยให้รับรู้มำกขนึ้ และมเี ส้นขดี คนั่ ด้ำนระยะทำงนอ้ ยลงกว่ำเดมิ มำก กำรจัดกำรศกึ ษำจึงเป็นเรอื่ ง

จำเปน็ เพรำะต้องกำรทรพั ยำกร (คน เงิน วสั ดุอปุ กรณเ์ ทคโนโลย)ี สนับสนุนจำนวนมำก ต้องมุ่งไปสเู่ ป้ำหมำยทพ่ี ึง

ประสงค์รว่ มกนั ของสงั คม ตอ้ งนำไปสกู่ ำรพัฒนำคณุ ภำพของมนุษย์อย่ำงแท้จรงิ ในแง่นี้ กำรจดั กำรศกึ ษำจึงต้องมีกำร

กำหนดเพ่อื ประกันว่ำมนษุ ย์ได้รบั กำรพัฒนำอย่ำงมีคุณภำพ ตรงตำมเป้ำประสงค์รว่ มกนั รวมท้งั มีกำรใชท้ รัพยำกร

ร่วมกันอยำ่ งมีประสทิ ธิภำพ

กำรจัดกำรศึกษำยังมคี วำมจำเป็น เพรำะต้องกำรคนท่ีได้รบั กำรฝึกฝนเฉพำะดำ้ น ที่มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ควำม

ชำนำญมำดแู ลรับผดิ ชอบ ไม่ว่ำจะเป็นกำรรบั ผิดชอบดำ้ นกำรสอน กำรบริหำร หรอื กำรสนบั สนุน ตวั อย่ำง เชน่ ครูท่ีดี

ต้องได้รับกำรศกึ ษำอบรมมำอย่ำงดี มีควำมรคู้ วำมชำนำญ และมีคณุ ลักษณะเหมำะสมกบั กำรเป็นครู กำรเป็นครจู ึงเป็น

ท่ียอมรบั วำ่ เป็นวชิ ำชพี ช้ันสงู

เน่ืองจำกสังคมเปล่ียนแปลงตลอดเวลำ กำรจดั กำรศกึ ษำจำตอ้ งได้รบั กำรปรับเปลี่ยนพัฒนำอย่ำงต่อเนื่อง

เพอื่ ใหเ้ หมำะสมกบั ควำมจำเป็นของแตล่ ะยุคสมยั กำรจดั กำรศึกษำทอี่ ยกู่ ับทยี่ ่อมหมำยถึงควำมล้ำสมยั ไมเ่ หมำะสม ไม่

คมุ้ ประโยชน์

ปจั จบุ นั โลกก้ำวเข้ำส่สู ังคมแห่งกำรเรยี นรู้ หรอื เข้ำสู่ระบบเศรษฐกจิ ท่ีเรยี กว่ำเศรษฐกิจฐำนควำมรคู้ วำมรู้จงึ

เป็นเครื่องมือจำเปน็ ท่ขี ำดไมไ่ ด้ ในสงั คมสมัยใหมน่ ้คี วำมรู้ทท่ี ันสมัยทีเ่ หมำะสมกบั สภำพกำรณ์จะชว่ ยแกป้ ญั หำได้

และนำสู่กำรพฒั นำอย่ำงตอ่ เน่ือง เป็นพลงั สำคญั สำหรบั กำรอยู่รอดและกำรพัฒนำ ทง้ั สำหรับบุคคลแตล่ ะคนและ

สำหรบั สงั คมประเทศชำติโดยรวม

3. วตั ถุประสงคใ์ นการจัดการศกึ ษา

ในขณะทกี่ ำรจัดกำรศกึ ษำมงุ่ เปำ้ หมำยระยะยำวสำหรับกำรพฒั นำของแต่ละบุคคล และกำรพัฒนำสังคม แต่

กำรจัดกำรศึกษำโดยทวั่ ไปยอ่ มมวี ตั ถุประสงค์ทมี่ ุ่งบรรลุหลำยประกำร ไดแ้ ก่

3.1 ใหบ้ รกิ ำรทำงกำรศกึ ษำที่สอดคล้องกบั ควำมตอ้ งกำรในกำรดำรงชีวิตและกำรประกอบอำชพี โดยถำ่ ยทอด

หรอื ปลกู ฝงั เนื้อหำควำมรู้ควำมเขำ้ ใจทีเ่ หมำะสม เพอ่ื ใหผ้ ู้ได้รับกำรศึกษำวำงตวั ได้เหมำะสมในสงั คม และมี

ควำมสำมำรถประกอบอำชีพตำมควำมถนัด ควำมสนใจ หรอื ตำมโอกำสของแตล่ ะคนได้ สถำนศึกษำสว่ นใหญ่ท่ี
เรียกว่ำ โรงเรยี น มหำวทิ ยำลยั ศูนย์กำรเรียน สถำนศึกษำปฐมวัย ทำหน้ำท่เี ป็นผใู้ ห้บริกำรทำงกำรศึกษำ

3.2 เตรียมเด็กก่อนวยั เรียนให้มีควำมพรอ้ มในกำรเรียนรู้ และจดั ใหเ้ ด็กในวยั เรียนไดร้ ับกำรศกึ ษำเพ่อื กำร

เรยี นรู้และกำรพัฒนำตนเองตอ่ เนอื่ ง โดยสง่ เสริมเก้อื หนนุ ให้เด็กก่อนวยั เรียนขั้นพน้ื ฐำนได้มีพฒั นำกำรทัง้ ทำงร่ำงกำย

เชำวนป์ ัญญำ ควำมสนใจ ท่ีเหมำะสม มีควำมพรอ้ มในกำรศึกษำระดับสูงขนึ้ ไป กำรจัดกำรส่วนน้ี โดยทว่ั ไปเป็นควำม

รว่ มมือระหว่ำงพ่อแมผ่ ปู้ กครอง สถำนพฒั นำเด็กปฐมวยั ศูนย์พัฒนำเดก็ เลก็ เปน็ ต้น สว่ นเด็กในวัยเรยี นทุกระดับจะ

ได้รับกำรศึกษำเพ่อื เป็นประโยชน์สำหรบั กำรเตรียมตัวระดับพนื้ ฐำน และเพ่อื มคี วำมรคู้ วำมสำมำรถในกำรประกอบ

อำชีพกำรงำนต่อไป

3.3 ให้โอกำสทำงกำรศึกษำ โดยเข้ำถึงผ้รู ับบริกำรทไี่ ม่สำมำรถเขำ้ รับกำรศึกษำตำมปกติที่มอี ย่หู ลำกหลำย

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 256

------------------------------------------------------------------------------
กำรจัดกำรศึกษำลักษณะน้ีมุ่งไปทีผ่ ดู้ ้อยโอกำสต่ำงๆ ไมว่ ำ่ จะเป็นผทู้ ี่มีฐำนะยำกจน ผ้ทู พ่ี ลำดโอกำสได้รบั กำรศกึ ษำใน

บำงชว่ งของชวี ิต ผ้ทู ม่ี ปี ัญหำทำงรำ่ งกำย จิตใจ หรือสตปิ ัญญำ กำรจดั กำรศึกษำเช่นน้ีมักดำเนินกำรโดยสถำนศึกษำ
เฉพำะดำ้ น เช่น โรงเรยี นสอนคนตำบอด โรงเรียนศึกษำสงเครำะหห์ รอื โดยวธิ ีกำรอื่นนอกระบบและตำมอัธยำศยั เชน่

ศนู ย์กำรเรยี นร้กู ำรศกึ ษำในระบบทำงไกล เป็นตน้

3.4 ตอบสนองควำมตอ้ งกำรทำงกำรศึกษำระดับสูงในเชงิ คุณภำพ วตั ถปุ ระสงคน์ ้ีมุ่งส่งเสรมิ ให้ประชำชนมี

โอกำสไดพ้ ัฒนำควำมร้คู วำมสำมำรถเฉพำะดำ้ น เพ่ือประโยชน์ในกำรประกอบอำชพี ซ่ึงอำจดำเนนิ กำรโดย

สถำบันอุดมศึกษำที่เนน้ กำรวิเครำะหว์ ิจยั ระดับสูง มงุ่ คิดค้นเน้อื หำสำระทแี่ ปลกใหม่จำกเดมิ นอกจำกนยี้ งั รวมถงึ กำร

ฝึกอบรมเฉพำะทำง เช่น ดำ้ นกำรเกษตร กำรอุตสำหกรรม วทิ ยำศำสตรส์ ุขภำพ เป็นต้น มกั ดำเนินกำรในรูปแบบกำร

ประชุมสัมมนำ กำรฝกึ อบรม กำรดงู ำน กำรฝกึ ปฏบิ ัตเิ ฉพำะฯลฯ

3.5 พฒั นำศกั ยภำพของแตล่ ะบุคคลใหเ้ ตม็ ตำมควำมสำมำรถ และตอบสนองวสิ ยั ทัศน์ในกำรพฒั นำประเทศ

วัตถุประสงค์ในกำรจดั กำรศกึ ษำขอ้ นี้เนน้ กำรพฒั นำมนุษยใ์ นลักษณะบูรณำกำร คอื ให้มีควำมสมบูรณ์ครบถ้วนทกุ ดำ้ น

ท้ังทำงรำ่ งกำย สติปัญญำ คณุ ธรรม ควำมคดิ ควำมสำนึก ควำมรบั ผดิ ชอบ ฯลฯซ่ึงตำมปกตคิ วรเปน็ หน้ำที่ของ

สถำนศึกษำ แต่หำกสถำนศกึ ษำไมส่ ำมำรถดูแลใหค้ รบถว้ นได้ ก็ตอ้ งจดั ส่วนเสรมิ เติมในลักษณะกำรฝึกอบรมเฉพำะ

กำรแทรกในกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอนปกติ หรอื กำรใชส้ ื่อต่ำงๆชว่ ยเสริม วตั ถปุ ระสงคส์ ่วนน้ียงั รวมไปถึงกำรพฒั นำ

ทักษะและคุณภำพของผู้ทีท่ ำงำนแล้วหรือผทู้ ี่ผำ่ นกำรศกึ ษำตำมกระบวนกำรปกติ ใหส้ ำมำรถตดิ ตำมควำมรใู้ หม่ๆและ

วิทยำกำรทมี่ กี ำรเปล่ียนแปลงไดอ้ ย่ำงต่อเนื่อง

วตั ถุประสงค์ดังกล่ำวขำ้ งตน้ น้เี ปน็ ตัววัดควำมสำมำรถในกำรจัดกำรของผบู้ รหิ ำร จงึ เปน็ เร่อื งจำเปน็ ทผ่ี ู้บรหิ ำร

ต้องกำหนดเกณฑจ์ ำกวัตถปุ ระสงคท์ ่รี ะบุ และผบู้ ริหำรกจ็ ะต้องไดร้ ับกำรประเมนิ จำกเปำ้ หมำย และวัตถปุ ระสงคท์ ่ี

กำหนดด้วย

1.1.2 เปำ้ หมำยของกำรจดั กำรศึกษำ

เป้ำหมำยของกำรจัดกำรศกึ ษำในภำพรวมคอื สมำชิกทกุ คนในสงั คม แตเ่ นอื่ งจำกมวลชนเหลำ่ นม้ี ีจำนวน
มำกมำยเกินกว่ำจะมีองค์กรใดสำมำรถจดั กำรศกึ ษำให้ครบถ้วนครอบคลุมได้ จึงตอ้ งมกี ำรแบง่ กลมุ่ ประเภทของ

เป้ำหมำยออกตำมควำมเหมำะสมในกำรจัด เชน่ แบ่งตำมอำยุ แบ่งตำมสำระเน้ือหำ แบ่งตำมลกั ษณะของบคุ คล

เปน็ ตน้

เป้ำหมำยของกำรจัดกำรศึกษำอำจแบง่ เปน็ กลุ่มตำ่ ง ๆ ดังนี้

1. เดก็ ก่อนวยั เรยี น เมอ่ื ทำรกคลอดออกจำกครรภ์ พ่อแม่ ผปู้ กครอง ปู่ยำ่ ตำยำย ญำติ หรือคนเล้ียงดเู ป็นกล่มุ

บคุ คลเร่ิมแรกท่ีทำหนำ้ ที่ดูแลเลีย้ งดู และขณะเดียวกนั ก็ให้กำรศกึ ษำอบรมด้วย กำรให้กำรศกึ ษำลกั ษณะน้ี โดยทวั่ ไปยงั

ไม่เปน็ ระบบ แต่เป็นธรรมชำติ จึงยังไมถ่ อื วำ่ เปน็ กำรจัดกำรศกึ ษำเมอื่ ทำรกเติบโตขน้ึ พอชว่ ยตนเองได้แล้ว พอ่ แมซ่ ง่ึ

ต้องมีภำระประกอบอำชพี เพ่อื หำเล้ยี งลูก ไม่อำจดแู ลบุตรได้ กป็ ล่อยให้อยใู่ นกำรดแู ลของบคุ คลอ่ืน เชน่ บุคคลในกลุ่ม

เครือญำติ หรือมฉิ ะน้ันก็ตอ้ งจำ้ งคนดูแลทำงเลอื กอีกประกำรหนง่ึ คอื กำรส่งบตุ รหลำนเข้ำรบั กำรอบรมศึกษำในศูนย์

กำรเรยี นปฐมวัย ศูนย์รับเลย้ี งเด็กหรอื ศนู ย์พัฒนำเดก็ เล็ก ซง่ึ ถือเปน็ สถำนศึกษำเบือ้ งตน้ ทมี่ กี ำรจดั กำรศึกษำ โดยมี

ผูด้ ูแลทีไ่ ดร้ บั กำรศึกษำอบรมมำพอสมควรเป็นผู้ดแู ล

เมือ่ อำยุถงึ วยั ประมำณสำมขวบ สถำนศกึ ษำสำหรับเด็กกลุม่ นม้ี กี ำรจดั กำรศึกษำทเ่ี ป็นระบบและมรี ูปแบบมำก

ข้ึน ซง่ึ กำรจัดกิจกรรมสำหรับเด็กวัยนเ้ี ปน็ กำรจดั กจิ กรรมในลักษณะกำรเตรยี มควำมพรอ้ มเพือ่ สง่ เสรมิ พัฒนำกำรท้ัง 4

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 257

------------------------------------------------------------------------------
ดำ้ น คือ ด้ำนรำ่ งกำย อำรมณ์ สงั คม และสติปัญญำ ได้แก่ กิจกรรมกำรเคลอื่ นไหวตำมจังหวะ กิจกรรมสรำ้ งสรรค์

กจิ กรรมกลำงแจง้ กิจกรรมเสรมิ ประสบกำรณ์ กจิ กรรมเกมกำรศกึ ษำ เป็นตน้
2. บคุ คลในวยั เรียน ผทู้ อ่ี ยู่ในวัยเรียนโดยทว่ั ไปหมำยถงึ ผ้ซู ึ่งรัฐกำหนดให้ผู้ปกครองต้องนำไปเข้ำเรยี น คืออยู่

ในขำ่ ยกำรศึกษำภำคบงั คบั โดยแตล่ ะประเทศกำหนดอำยุไวแ้ ตกตำ่ งกันไปตำมท่ีเห็นวำ่ เหมำะสมสำหรับประเทศไทย

กำหนดให้กำรศึกษำระดับประถมถงึ ชนั้ มธั ยมศึกษำปที สี่ ำมเปน็ กำรศกึ ษำภำคบงั คบั และหำกผู้ปกครองมีควำมพร้อมก็

ส่งเสียให้บุตรหลำนของตนได้เรยี นตอ่ สูงขนึ้ ไปอกี ตำมกำลังควำมสำมำรถระดับกำรศึกษำของกลุ่มเป้ำหมำยเหลำ่ น้อี ำจ

แบ่งไดห้ ลำยระดับ ได้แก่

2.1 กำรศึกษำขัน้ พ้ืนฐำน โดยทัว่ ไป เป็นกำรจัดกำรศึกษำสำหรบั บุคคลในวัยเรียนในระบบกำรเรียนใน

โรงเรยี น ในครอบครวั หรือในสถำนศกึ ษำรูปแบบอนื่ ในประเทศไทย กำรศึกษำข้ันพืน้ ฐำนไลเ่ รยี งกนั ไปตง้ั แต่ระดับ

ประถมศึกษำ (ชั้นประถมปีที่หนงึ่ ถึงช้นั ประถมปที ่หี ก) ไปจนจบช้ันมัธยมศึกษำ (ช้ันมัธยมศกึ ษำปีทห่ี นึ่งถงึ ชั้น

มัธยมศกึ ษำปที ี่หก) กำรศึกษำข้นั พน้ื ฐำนนนั้ มักใช้เวลำประมำณสบิ สองปีเป็นสว่ นใหญ่ ในชว่ งปลำยของกำรศกึ ษำ

ระดับนี้ เยำวชนท่สี นใจศกึ ษำสำยอำชีพแทนทจ่ี ะศึกษำสำยสำมัญ กอ็ ำจเลือกเขำ้ เรยี นในสถำนศึกษำสำยอำชีพ ซ่ึงได้แก่

โรงเรยี นอำชวี ศึกษำระดับตน้ ต่ำงๆ ไดใ้ นสถำนศึกษำข้ันพื้นฐำน

2.2 กำรศกึ ษำระดับอุดมศึกษำ เม่ือสำเร็จกำรศึกษำข้นั พื้นฐำน ผู้เรยี นทมี่ งุ่ ศกึ ษำต่อกอ็ ำจเข้ำศึกษำใน

สถำบันอดุ มศึกษำ (ซงึ่ รวมสถำบันอดุ มศึกษำสำยอำชีพต่ำกว่ำปรญิ ญำด้วย) ในกรณที ี่ศกึ ษำระดับปริญญำกอ็ ำจศกึ ษำ

ต่อเนอ่ื งไปตง้ั แต่ระดับปริญญำตรี โท เอก หรือศึกษำเฉพำะด้ำนหลงั จำกสำเร็จกำรศึกษำระดบั ปรญิ ญำตรี โท เอก

3. ผู้ด้อยโอกำส หรอื บุคคลลกั ษณะพิเศษ กลุ่มเป้ำหมำยน้ีเป็นคนกลุ่มพเิ ศษทม่ี ลี กั ษณะเฉพำะแตกต่ำงไปจำก

บคุ คลปกติทวั่ ไป สิ่งทที่ ำให้แตกต่ำงน้นั อำจเกิดจำกฐำนะทำงเศรษฐกิจ คือคนจนท่ีด้อยโอกำสในกำรเลำ่ เรยี นตำมปกติ

เชน่ เด็กที่ผ้ปู กครองไมส่ ง่ เสรมิ ใหศ้ ึกษำเล่ำเรียน เด็กไร้ผู้อุปกำระ หรือควำมแตกต่ำงอำจเกดิ จำกลักษณะทำงร่ำงกำย

จิตใจและสมอง เช่น เดก็ พิกำร เด็กปัญญำออ่ น เด็กท่มี ีปัญหำทำงจติ ใจและอำรมณ์ เด็กอัจฉรยิ ะ เปน็ ต้น ผ้ดู อ้ ยโอกำส

หรือบุคคลลักษณะพิเศษเฉพำะเหลำ่ น้จี ำเป็นต้องไดร้ ับกำรดแู ลเป็นพเิ ศษเพ่อื ให้มีโอกำสไดร้ ับกำรศกึ ษำทมี่ คี ุณภำพ
เช่นเดยี วกับเด็กอืน่ แต่กำรจัดกำรศกึ ษำสำหรับกล่มุ เปำ้ หมำยนี้จำเป็นตอ้ งจัดใหต้ ำมรปู แบบที่เหมำะสมกบั ลักษณะและ

ควำมจำเป็นสำหรบั กลมุ่ ดว้ ย โดยอำจตอ้ งมีครทู ่ีได้รับกำรอบรมมำเปน็ กำรเฉพำะ ในกรณที ่ผี ้ดู อ้ ยโอกำสร่วมเรียนใน

ชั้นเรียนปกติ ครูจำเปน็ ต้องให้ควำมสนใจผ้เู รียนกลุ่มน้เี ป็นพเิ ศษ โดยเฉพำะอยำ่ งย่งิ ตอ้ งใช้ควำมอดทน ควำมเมตตำ

ควำมเข้ำใจ และควำมละเมยี ดละไมในกำรปฏิบตั ติ ่อพวกเขำ สำหรบั ผูบ้ ริหำรทีจ่ ดั กำรศึกษำสำหรบั ผู้ดอ้ ยโอกำสตอ้ งมี

ควำมเข้ำใจ มีทักษะ และไดร้ ับกำรอบรมมำโดยเฉพำะอย่ำงพอเพียงในกำรปฏบิ ตั หิ นำ้ ท่ีของตน

4. ผ้มู งี ำนทำ ผูท้ ่ีประกอบอำชีพกำรงำนแล้วเป็นกลมุ่ เป้ำหมำยอกี กลุ่มหน่งึ บุคคลเหลำ่ น้ีได้รบั กำรศึกษำมำ

แตกตำ่ งกนั ไป และมงุ่ ศกึ ษำเพิม่ เติมโดยมเี หตุผลต่ำงกนั ไป ส่วนหน่งึ เขำ้ ศกึ ษำระดับสงู ขึ้นในสถำบันกำรศึกษำปกติ

หรอื เขำ้ รับกำรศกึ ษำตำมโครงกำรพิเศษ (เช่น โครงกำรศกึ ษำเฉพำะทมี่ ีผูจ้ ัดบริกำรให้ในสถำนทีท่ ำงำน โครงกำรศึกษำ

อบรมเฉพำะด้ำน เป็นต้น) นอกจำกนี้ หน่วยงำนทำงกำรศกึ ษำอำจจดั กำรศกึ ษำนอกระบบและตำมอัธยำศยั ในรูปแบบ

ตำ่ งๆ กัน เช่น กำรศึกษำสญั จรท่ผี ้สู อนตระเวนให้ควำมรกู้ ำรศึกษำผ่ำนสื่อโทรคมนำคม กำรศึกษำโดยเอกสำรหรือสอ่ื

กำรเรยี นรดู้ ้วยตนเองตำ่ งๆ กำรจัดกำรศกึ ษำเชน่ น้ี อำจมกี ำรรบั รองวฒุ ใิ ห้หรอื อำจไมเ่ ทยี บวุฒิอย่ำงเป็นทำงกำรก็ได้

กำรจดั กำรอบรมสำหรับผู้มีงำนทำนั้น รวมถงึ ครซู ่ึงตอ้ งมีกำรพฒั นำตนเองอย่ำงตอ่ เนื่องดว้ ย ครูจงึ ควรสนใจติดตำมรับ

กำรอบรมตำมหลกั สูตรตำ่ งๆ ทจ่ี ะช่วยส่งเสริมควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรประกอบอำชีพของตน

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 258

------------------------------------------------------------------------------
กลมุ่ เป้ำหมำยนี้ นับวนั จะยง่ิ มคี วำมสำคญั มำกข้ึน เนอ่ื งจำกกำรเปลยี่ นแปลงวิทยำกำรและเทคโนโลยตี ำ่ งๆ

เกดิ ขึน้ รวดเร็ว จงึ จำเป็นทผ่ี ูท้ ำงำนแลว้ ควรไดร้ ับสำระเนื้อหำใหม่ๆ เพือ่ ยกระดับควำมรคู้ วำมสำมำรถในกำรประกอบ
อำชพี ของตนตลอดเวลำ

5. ประชำชนทวั่ ไป ประชำชนโดยท่ัวไปถอื เปน็ กล่มุ เปำ้ หมำยสำคญั ของกำรจัดกำรศึกษำดว้ ย ทง้ั นเี้ พ่ือให้

สมำชกิ ของสงั คมไดม้ โี อกำสเรียนรสู้ ง่ิ แปลกใหม่ทีเ่ ปน็ ประโยชนส์ ำหรบั กำรเปน็ พลเมอื งท่ดี แี ละกำรเพ่ิมพนู ควำมคิด

ควำมอ่ำนของตนอยำ่ งตอ่ เนื่อง กำรจดั กำรศึกษำลักษณะน้ีถือเปน็ ส่วนเสรมิ จำกกำรทป่ี ระชำชนไดเ้ รียนร้จู ำก

ส่อื มวลชน จำกกลมุ่ คนใกล้ชิด กำรจดั กำรศกึ ษำเพือ่ ปวงชนอำจทำโดยผ่ำนสือ่ ต่ำงๆ ได้หลำกหลำย แต่ยอ่ มเปน็ ไปเพ่ือ

กำรพัฒนำคณุ ภำพของประชำกรใหร้ เู้ ทำ่ ทันสถำนกำรณท์ เ่ี ปล่ียนไป และปรบั ตนเองกบั ควำมเปล่ียนแปลงไดอ้ ยำ่ ง

เหมำะสม กำรจัดกำรศกึ ษำสำหรบั กลุ่มเปำ้ หมำยกลมุ่ น้ีมักเป็นกำรจดั กำรศึกษำเสรมิ ในรูปกำรศกึ ษำตำมอัธยำศัยเป็น

หลัก

เนือ่ งจำกเป้ำหมำยของกำรศึกษำมีหลำกหลำย ผู้นำชุมชนและท้องถิน่ พึงมบี ทบำทในกำรสำรวจกล่มุ เปำ้ หมำย

กำหนดวตั ถุประสงคใ์ นกำรจัดกำรศกึ ษำสำหรับกลุ่มเปำ้ หมำย และร่วมสนบั สนุนให้หน่วยงำนท่ีเกยี่ วขอ้ งสำมำรถ

จัดบรกิ ำรกำรศึกษำแกก่ ลุม่ เปำ้ หมำยให้ครบถว้ นและเกดิ ประโยชน์ได้จรงิ

1.1.3 องคป์ ระกอบของกำรจัดกำรศึกษำ

องค์ประกอบสำคัญของกำรจดั กำรศกึ ษำมี 8 องคป์ ระกอบ ได้แก่

1. สำระเน้ือหำในกำรศึกษำ ในกรณีทมี่ กี ำรจดั กำรศกึ ษำอย่ำงเปน็ ระบบ ผู้จดั กำรศึกษำมักจัดทำหลักสูตรเปน็

ตัวกำหนดเนอื้ หำสำระ หลกั สูตรเหลำ่ นอี้ ำจเปน็ หลักสตู รกลำงท่ีใช้สำหรบั กำรศึกษำแต่ละระดับ แต่ขณะเดยี วกนั กค็ วร

เปดิ โอกำสใหส้ ถำนศึกษำแตล่ ะแหง่ สำมำรถจดั เนือ้ หำสำระท่เี หมำะสมกับทอ้ งถิน่ ไดด้ ้วย เน้อื หำสำระในกำรศกึ ษำน้ัน

ควรทนั สมยั ทัน

2. ตอ่ เหตุกำรณ์ เหมำะสมกบั ควำมตอ้ งกำรของผ้เู รียนและสอดคล้องกบั วตั ถุประสงค์ของกำรจดั กำรศกึ ษำ

ท้ังน้ีครูตอ้ งทบทวนเนื้อหำสำระทีต่ นสอนเพื่อปรับแกไ้ ขให้ถกู ตอ้ งทนั สมัย และใหข้ ้อมูลทถ่ี ูกต้องแกผ่ เู้ รียน หำกเห็น
วำ่ เนื้อหำผิดพลำดหรอื ล้ำสมัย ควรแจง้ ผูบ้ รหิ ำรใหท้ รำบ

3. ครู ผูส้ อน หรอื ผู้ใหก้ ำรเรยี นรู้ ผูถ้ ่ำยทอดเน้ือหำสำระได้แกค่ รูและอำจำรย์ ซ่ึงถือเปน็ ผู้ประกอบวชิ ำชพี

ชนั้ สงู บุคคลเหล่ำนีต้ อ้ งไดร้ ับกำรศกึ ษำอบรมมำทง้ั ในดำ้ นเนอ้ื หำและวิธกี ำรถ่ำยทอด เพือ่ ให้สำมำรถถ่ำยทอดควำมรู้

และสำระวชิ ำท่เี ปน็ ประโยชน์ต่อผู้เรียนไดอ้ ยำ่ งมปี ระสิทธิภำพ เงอื่ นไขสำคัญประกำรหนึ่งสำหรบั ครแู ละอำจำรย์คือ

ต้องมคี วำมต่นื ตัวอยเู่ สมอในกำรติดตำมเรียนรเู้ นือ้ หำวิชำกำรวิชำชพี ใหม่ๆ และวิทยำกำรด้ำนกำรเรยี นกำรสอน

ตลอดเวลำ บำงกรณตี ้องมกี ำรศึกษำค้นคว้ำวจิ ัยเพือ่ ให้เกิดองคค์ วำมรู้ใหมๆ่ ด้วย อน่งึ ครูและอำจำรยต์ อ้ งพฒั นำ

ควำมสำมำรถในกำรประยุกต์สำระเน้อื หำและองคค์ วำมรู้ใหมใ่ หเ้ หมำะสมกับผูเ้ รยี นแต่ละกลมุ่

4. สอื่ และอปุ กรณส์ ำหรับกำรศึกษำ ส่อื และอุปกรณ์ต่ำงๆ เชน่ อำคำร สถำนท่ี โตะ๊ เก้ำอี้ กระดำนเขยี น

หนงั สือ แบบเรยี น สมดุ ดินสอ ตลอดถงึ อปุ กรณท์ ่ีทันสมยั ทีม่ รี ำคำแพงทั้งหลำย เชน่ อุปกรณใ์ นหอ้ งปฏบิ ัตกิ ำรทำง

วิทยำศำสตร์ เครอ่ื งคอมพิวเตอร์ เหลำ่ นี้ สื่อและอุปกรณ์เหล่ำนีเ้ ป็นส่วนประกอบที่จำเป็นสำหรบั กำรจัดกำรศกึ ษำ ครู

และผบู้ ริหำรสถำนศกึ ษำจงึ มหี นำ้ ท่รี ับผดิ ชอบ ดแู ลใหส้ ่ิงเหล่ำนี้มอี ยำ่ งเพียงพอ อยู่ในสภำพใช้งำนได้ และใชส้ ่อื เหลำ่ น้ี

เปน็ ส่วนชว่ ยให้เกิดกำรถ่ำยทอดเนื้อหำควำมร้ไู ดอ้ ย่ำงเหมำะสมและมปี ระสทิ ธิภำพ ครทู ี่มีคุณภำพตอ้ งสำมำรถผลิต

และพฒั นำสือ่ และอปุ กรณก์ ำรศกึ ษำสำหรับกำรสอนของตนด้วย

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 259

------------------------------------------------------------------------------
5. รปู แบบวิธกี ำรเรยี นกำรสอน กำรศกึ ษำยุคใหม่นั้นมีควำมแตกตำ่ งไปจำกกำรศึกษำยคุ ก่อนซ่ึงเนน้ ท่ีตวั ครู

ระบบกำรศึกษำยุคใหมเ่ น้นควำมสำคญั ทต่ี วั ผูเ้ รียน ดงั นน้ั รูปแบบวธิ กี ำรเรียนกำรสอนใหม่จึงแตกตำ่ งไปจำกเดิม จงึ
เกดิ คำว่ำ “ปฏริ ปู กำรเรียนรู้” ซ่ึงนำไปสู่กระบวนกำรเรียนกำรสอนท่หี ลำกหลำย เช่นกำรระดมควำมคดิ กำรจดั กจิ กรรม

กำรเรียนกำรสอน กำรนำชมนอกสถำนท่ีเรยี น กำรใชอ้ ุปกรณเ์ ครื่องมือประกอบ รูปแบบวิธกี ำรเรยี นกำรสอนใหม่ๆน้ี

ผ้สู อนพึงระมดั ระวงั เลือกใช้ใหเ้ หมำะสมกับกล่มุ ผูเ้ รยี นแต่ละกลมุ่ และจำเป็นต้องใช้ควำมคดิ สรำ้ งสรรคป์ ระกอบกับ

กำรทำควำมเขำ้ ใจธรรมชำตกิ ำรเรยี นรู้ของผเู้ รยี นของตน

6. ผู้บริหำรและบุคลำกรทที่ ำหนำ้ ทสี่ นับสนุนกำรศึกษำ ในกำรจัดกำรศกึ ษำ ยังมีผ้ทู ่รี ับผิดชอบทอ่ี ำจไม่ได้เปน็

ผู้ถ่ำยทอดโดยตรงอีกหลำกหลำย ไดแ้ ก่ ผ้บู ริหำรซ่ึงมหี นำ้ ท่จี ัดกำรศกึ ษำที่ตนรบั ผดิ ชอบใหเ้ ปน็ ไปโดยเรยี บร้อย

นำไปสูเ่ ปำ้ หมำยท่ตี อ้ งกำร และยังจำเป็นตอ้ งมีบุคลำกรทำงกำรศึกษำอน่ื ร่วมดว้ ย เชน่ เจ้ำหนำ้ ทธ่ี รุ กำร งำนทะเบยี น

งำนโภชนำกำรและสุขอนำมยั รวมท้ังฝ่ำยสนับสนนุ อน่ื ๆ

7. เงนิ ทุนสนับสนุน กำรจัดกำรศึกษำเปน็ เรอ่ื งของกำรลงทุน ซึ่งผูล้ งทุนอำจเปน็ รฐั บำลในฐำนะผู้รับผดิ ชอบ

กำรพฒั นำทรพั ยำกรมนุษย์ ผู้ปกครอง ผูเ้ รยี น ชมุ ชน เป็นต้น เงนิ ทนุ เหลำ่ นีเ้ ป็นองค์ประกอบสำคญั ท่ชี ว่ ยใหก้ ำรจดั

กำรศกึ ษำเกดิ ผลตำมเป้ำหมำย

8. สถำนท่ีศกึ ษำและบรรยำกำศแวดลอ้ ม กำรจดั กำรศกึ ษำในระบบที่ยงั ต้องอำศัยชัน้ เรียนยงั เปน็ ส่ิงจำเปน็

ดงั น้นั อำคำรสถำนท่ี ห้องเรยี น และบรรยำกำศแวดลอ้ มท่ใี ช้ในกำรจัดกำรศึกษำจงึ เปน็ สว่ นท่ขี ำดไมไ่ ด้ ถงึ แมจ้ ะมกี ำร

จัดกำรศึกษำโดยใชส้ ื่อทำงไกลก็ตำม ก็ยงั ตอ้ งมสี ถำนท่สี ำหรับกำรบริหำรจดั กำร กำรผลิตและถำ่ ยทอดสื่อ หรอื กำร

ทำงำนของบุคลำกรท่ีเก่ียวขอ้ ง ในกรณีท่ียงั ต้องใช้อำคำรเปน็ สถำนทีส่ ำหรับจดั กำรเรยี นกำรสอน สง่ิ ทีผ่ ูบ้ ริหำรและ

ผูจ้ ดั กำรศึกษำตอ้ งสนใจดแู ลคือควำมเพียงพอ เหมำะสม ปลอดภัยและกำรมีบรรยำกำศแวดล้อมท่ีเอือ้ กำรเรียนรู้ ส่วน

ครกู ต็ อ้ งรบั ผิดชอบในกำรจัดบรรยำกำศในช้ันเรยี นให้เหมำะสม หำกจำเป็นต้องใชง้ บประมำณปรับปรงุ กค็ วรแจ้ง

ผบู้ ริหำรใหช้ ่วยดำเนินกำร

9. ผ้เู รียน ผเู้ รียนหรอื ผศู้ ึกษำถือเป็นองค์ประกอบท่ีจำเป็นท่ีสดุ ของกำรจดั กำรศกึ ษำ เพรำะผ้เู รียนคือผรู้ ับ
กำรศกึ ษำ และเปน็ เปำ้ หมำยหลกั ของกำรจดั กำรศกึ ษำ กำรปรบั เปลยี่ นควำมรู้และพฤตกิ รรมของผู้เรียนเป็นดัชนชี ี้วัดผล

สัมฤทธิ์ของกำรจดั กำรศกึ ษำ กำรจัดกำรศึกษำจึงครอบคลุมข้นั ตอนท่ีเก่ียวกบั กำรเรียนรู้ของผ้เู รียน ตั้งแตก่ ำรเตรียม

ควำมพร้อมสำหรบั กำรเรยี นรู้ กำรใหก้ ำรศึกษำอบรม กำรประเมิน และกำรส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ กำรเรียนรตู้ ่อเนอ่ื ง ด้วยเหตุน้ี

เปำ้ หมำยกำรจัดกำรศึกษำในภำพรวมจงึ มไิ ดจ้ ำกัดวงแคบเฉพำะในสถำนที่ แตม่ ุง่ ท่ตี ัวผเู้ รียนเป็นสำคัญ โดยมีปรัชญำ

พืน้ ฐำนสำคัญคือ “ทกุ คนต้องเปน็ สว่ นสำคัญของกำรจดั กำรศึกษำ และกำรศกึ ษำตอ้ งจดั สำหรบั คนทุกคน”

1.1.4 ดัชนชี ้ีวัดและกำรประเมินผลสมั ฤทธิ์ของกำรจดั กำรศกึ ษำ

ผลสมั ฤทธ์ขิ องกำรจัดกำรศึกษำน้ัน เนน้ ท่ีคณุ ภำพของผลผลิตของกระบวนกำรศึกษำเปน็ หลัก ส่วนปริมำณ

เป็นปัจจยั รอง กลำ่ วคือ กำรจัดกำรศึกษำต้องมงุ่ ถึงเปำ้ หมำยที่ต้งั ไวใ้ นเชงิ คุณภำพเป็นเกณฑ์ โดยมีดชั น้ีช้ีวัดบำง

ประกำร ดังต่อไปนี้

1. คุณภำพของผู้เรียน คุณภำพของผู้เรียนถือวำ่ เปน็ ผลที่เกดิ จำกกำรจดั กำรศกึ ษำ คำวำ่ "คุณภำพของผู้เรยี น" มี

ควำมหมำยครอบคลมุ หลำยดำ้ น ไม่วำ่ จะเปน็ ด้ำนควำมรู้ควำมสำมำรถ คณุ ธรรม จริยธรรม ทกั ษะและพฤติกรรม ดัชนี

ชี้วดั คุณภำพของผู้เรยี นซึ่งจะใช้วดั ผลกำรจดั กำรศกึ ษำตอ้ งเป็นผลทำงตรงหรือทำงออ้ มท่ีมำจำกกำรจัดกำรศึกษำ ไมใ่ ช่

ผลบังเอิญหรอื ผลท่ีไม่เกีย่ วเนื่องกัน เชน่ สถำนศึกษำอำจสอนไมด่ ี แต่นกั เรียนทำคะแนนผลสอบไดด้ เี พรำะไปรบั กำร

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 260

------------------------------------------------------------------------------
สอนพเิ ศษ หรอื ผ้ปู กครองกวดขนั ดูแลและส่ังสอนเพม่ิ เติม ในแง่คุณภำพของผ้เู รียน ครูควรกำหนดวตั ถุประสงค์เชิง

พฤติกรรม (วตั ถปุ ระสงค์ทว่ี ัดไดจ้ ริง) ท่มี ่งุ ใหเ้ กดิ ขึ้น อนั เป็นผลจำกกำรจัดกำรเรียนกำรสอนของครู และประเมิน
วัตถปุ ระสงคด์ งั กล่ำวเพือ่ วัดประสิทธภิ ำพของวธิ ีกำรสอนของตน

2. คุณภำพของกำรจัดกำรเรียนกำรสอน คณุ ภำพของกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนข้ึนกบั ปัจจยั หลำยประกำรซ่งึ

เปน็ ปจั จยั ช้วี ดั ในระบบประกันคณุ ภำพกำรศึกษำ เชน่ คณุ ภำพของครู สภำพแวดล้อม รูปแบบและระบบกำรเรียนกำร

สอน สื่อและเทคโนโลยี กระบวนกำรเรยี นรู้ เปน็ ต้น ปจั จัยเหล่ำนีถ้ อื เป็นส่วนหน่ึงที่นำมำกำหนดเปน็ ดัชนชี ้วี ัดคณุ ภำพ

ของกำรจดั กำรศึกษำได้ ครูตอ้ งถอื ว่ำกำรพฒั นำคณุ ภำพของกำรสอนน้ันเป็นควำมทำ้ ทำยของอำชพี ครู และตอ้ งไม่

หยุดย้ังในกำรปรับปรงุ คุณภำพดงั กลำ่ ว ทง้ั โดยกำรค้นคิดเองหรอื กำรเข้ำรบั กำรอบรมเพือ่ ให้เกดิ ประโยชนต์ ่อศษิ ย์ของ

ตน

3. ควำมคมุ้ คำ่ ในกำรจัดกำรศึกษำ เนื่องจำกกำรจัดกำรศกึ ษำตอ้ งใชจ้ ่ำย ควำมคมุ้ ค่ำจึงถอื เป็นดัชนีชี้วดั กำรจดั

กำรศกึ ษำด้วย คำวำ่ ควำมคมุ้ ค่ำน้มี ิไดห้ มำยถงึ กำรประหยดั ด้ำนงบประมำณแตเ่ พยี งอยำ่ งเดยี ว แตห่ มำยควำมว่ำ

ค่ำใช้จำ่ ยเพื่อกำรศึกษำนั้นให้ผลคุ้มกับกำรลงทนุ หรือไม่ บ่อยครั้งเรำพบว่ำ ค่ำใช้จำ่ ยกำรจัดกำรศกึ ษำในระบบโรงเรียน

อำจสูงกว่ำกำรจดั กำรศกึ ษำนอกระบบ แตต่ ้องถอื วำ่ คมุ้ ค่ำ เพรำะผู้เรยี นมีโอกำสไดร้ ว่ มในสังคม มเี พื่อน มผี ู้ให้

คำแนะนำปรกึ ษำด้ำนต่ำงๆ แต่ในทำงตรงกันข้ำม หำกพบว่ำกำรจัดกำรศกึ ษำในชั้นเรยี นนำไปส่กู ำรติดยำเสพยต์ ดิ กำร

ม่ัวสมุ ทำงเพศ ควำมเส่อื มทำงศลี ธรรม หรอื ควำมไม่ปลอดภัยตอ่ สขุ ภำพและชีวิต กต็ ้องถอื วำ่ กำรจดั กำรศึกษำของ

สถำนศึกษำท่สี ร้ำงผลดังกลำ่ วไมค่ ้มุ คำ่ และหำกกำรศึกษำของท้งั ระบบโรงเรียนนำไปสูส่ ภำวะอันไมพ่ งึ ปรำรถนำ

นำนัปประกำร กจ็ ำเป็นที่ผู้รับผิดชอบกำรจดั กำรศกึ ษำหรือผู้สนบั สนุนคำ่ ใช้จ่ำยเพือ่ กำรศึกษำต้อทบทวนแกไ้ ขโดยเรว็

4. ผลลพั ธ์ของกำรจัดกำรศกึ ษำ ผลลัพธ์หรือผลสะทอ้ นหมำยถงึ ผลต่อเน่อื งทเี่ กิดจำกกำรจดั กำรศึกษำ เช่น

นกั เรยี นท่สี ำเรจ็ กำรศกึ ษำจำกโรงเรยี นประจำจังหวัดแห่งหน่งึ ได้คะแนนระดบั ดี ถือเป็นส่วนหนึง่ ของคณุ ภำพผเู้ รยี น

ส่วนนกั เรยี นจำกโรงเรียนนส้ี ำมำรถสอบเขำ้ มหำวทิ ยำลัยท่ีมีชอ่ื เสียงไดเ้ ปน็ จำนวนมำก ถือเป็นผลลัพธข์ องกำรจัด

กำรศึกษำของโรงเรียนน้ี และกำรท่ีศษิ ย์เกำ่ ของโรงเรียนไปประสบควำมสำเร็จในอำชีพกำรงำน ก็ถอื เป็นผลลัพธ์
ตอ่ เน่อื งกนั ไป สว่ นผลลัพธ์ของกำรจดั กำรศกึ ษำในภำพรวมของประเทศหน่งึ ก็พจิ ำรณำได้จำกควำมเจริญของประเทศ

สภำพปัญหำภำยในประเทศ หรือควำมสำมำรถในกำรแข่งขนั ของประเทศ ซึ่งเป็นผลลัพธ์สว่ นหนึ่งอันเกิดจำกคณุ ภำพ

ของประชำกรที่ได้รบั กำรศึกษำของประเทศ เป็นต้น

ดชั นชี วี้ ดั ข้ำงต้นน้เี ป็นเพียงตวั บง่ ช้ีกวำ้ งๆ ที่ผ้บู รหิ ำรตอ้ งไปแจกแจงรำยละเอยี ดเพ่อื วัดสมั ฤทธผิ ลของกำร

บรหิ ำร ครนู ำไปกำหนดเป้ำหมำยผลกำรสอนของตน ส่วนผู้แทนชมุ ชนและท้องถิ่นหรือผู้ปกครองอำจเลือกประยุกต์

เพ่อื ประเมินควำมสำเรจ็ ของกำรเรยี นกำรสอนหรอื กำรจัดกำรศึกษำ ทั้งน้ี กำรกำหนดดัชนีชว้ี ัดผลสัมฤทธิ์ดงั กล่ำวมิได้

มงุ่ เพยี งประเมินควำมดคี วำมชอบหรือฐำนะตำแหนง่ ของบุคคล แต่ควรนำไปใชเ้ พอื่ ให้ผู้เกี่ยวข้องกับกำรจดั กำรศึกษำ

ไดท้ รำบสถำนภำพของตนเอง เปรียบเสมอื นกระจกส่องตวั เอง อันจะเปน็ ประโยชน์สำหรับกำรปรบั ปรุงพัฒนำหรอื

แสวงหำกำรช่วยเหลือสนบั สนนุ ต่อไป

 หลักสูตร และ สื่อการเรยี นการสอน

ความหมายของหลักสูตร

ควำมหมำยของคำวำ่ “หลักสตู ร” มำจำกคำภำษำละตนิ วำ่ “Racecourse” แตเ่ มอื่ นำมำใชใ้ นทำงกำรศึกษำคำวำ่

“หลักสูตร” มีควำมหมำยไดห้ ลำยอย่ำง แตเ่ ดิมมีควำมหมำยวำ่ เป็นรำยกำรกระบวนวิชำ ต่อมำคำนไี้ ดข้ ยำยควำมออกไป

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 261

------------------------------------------------------------------------------
มำกขึน้ นกั พัฒนำหลักสูตรที่มคี วำมเชี่ยวชำญจะสำมำรถอธิบำยควำมหมำยไดก้ ว้ำงขวำงกว่ำนกั พัฒนำหลักสูตรที่มี

แนวคดิ ด้งั เดิมซง่ึ มักจะให้ควำมหมำยของหลกั สูตรแคบๆ เช่นทก่ี ลำ่ วมำแลว้ ควำมหมำยของหลกั สูตรท่มี ำจำกคนๆ
เดียวอำจมมี ำกมำย ตัวอย่ำงเชน่

- หลักสตู รคือแผนกำรเรียน

- หลกั สตู รประกอบดว้ ยเปำ้ หมำย และจดุ ประสงคเ์ ฉพำะทีจ่ ะนำเสนอและจดั กำรเนื้อหำ ซ่งึ จะรวมถงึ แบบของ

กำรเรียนกำรสอนตำมจดุ ประสงค์ และท้ำยทส่ี ุดจะต้องมีกำรประเมนิ ผลลัพธ์ของกำรเรยี น

นอกจำกนนั้ ยงั มีคำท่มี คี วำมหมำยใกล้เคยี งกับหลักสตู รอีก เป็นต้นว่ำ

โปรแกรมการเรียน (A Program of Studies)

เริ่มใชค้ รงั้ แรกในกำรจัดกำรศึกษำของประเทศสหรัฐอเมริกำ คำน้ีใช้แทนควำมหมำยของคำว่ำหลักสตู ร ซ่ึงคน

ทวั่ ๆ ไปใช้ คลำ้ ยกับรำยกำรเรียงลำดับรำยวชิ ำ ปัจจบุ ันยงั มกี ำรใช้คำนี้ในกำรจัดกำรศึกษำระดบั อุดมศกึ ษำ โดยกำร

จัดลำดับรำยวชิ ำแล้วเรียกวำ่ เปน็ โปรแกรมกำรเรียน

เอกสารการศกึ ษา (A Document)

นกั กำรศึกษำบำงคนนยิ ำมคำวำ่ หลักสตู รตำมจดุ มงุ่ หมำยท่จี ะใหศ้ ึกษำ กำรนิยำมเช่นน้ีมุ่งไปในประเด็นท่วี ำ่
หลกั สตู รเปน็ เอกสำรเพื่อเสนอตอ่ ผู้มำตดิ ตอ่ สถำนศึกษำว่ำ มกี ำรจัดกำรเรียนกำรสอนเป็นหลักฐำนตำมเอกสำรท่ี

นำเสนอ

แผนการจดั กจิ กรรม (Planned Experience)

นักกำรศกึ ษำหลำยคนมักจะให้ควำมหมำยของหลักสตู รว่ำเปน็ แผนกำรจดั กิจกรรมส่วน เซเลอร์และอเลก็ ซำน

เดอร์ (Saylor & Alexander, 1966:5) อธบิ ำยควำมแตกต่ำงระหวำ่ ง

สรุปว่า คมู่ ือหลักสตู รก็คือกำรวำงแผนหลักสูตรน่นั เอง

นอกจำกน้นั ไดม้ ผี ู้ใหน้ ิยำมศัพท์ คำว่ำ หลกั สตู ร ไว้ต่ำงๆ กนั ดังน้ี

“เปน็ ลำดบั ประสบกำรณ์ทโ่ี รงเรยี นจัดทำขน้ึ โดยมีจุดมงุ่ หมำยเพ่ือใหผ้ ้เู รยี นสำมำรถคิดและปฏิบตั ิตำมที่ตงั้

จดุ หมำยไว้”

“เปน็ ประสบกำรณท์ ้ังหมดท่ีเด็กได้รบั ภำยใต้กำรแนะนำของครู”

“เปน็ ประสบกำรณ์ท้งั หมดที่ผู้เรียนได้รับภำยใตก้ ำรดำเนนิ กำรที่โรงเรยี นจัดให้”

จำกคำนิยำมทก่ี ลำ่ วมำทงั้ หมดนี้ แสดงให้เหน็ วำ่ หลกั สูตรเน้นที่ประสบกำรณ์มำกกว่ำเน้อื หำ ซ่งึ สอดคลอ้ งกบั

แนวคดิ ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนตำมแนวปรัชญำกำรศึกษำแบบพัฒนำกำร (เกิดขึน้ ระหว่ำงปี ค.ศ. 1920-1940) แนว

ปรัชญำน้ตี ้องกำรใหม้ กี ำรเปล่ียนแปลงกำรจดั กำรศกึ ษำจำกกำรเนน้ เนือ้ หำวิชำ (Subject Centered) มำเป็น

เนน้ ผเู้ รยี น (StudentCentered)

หลักสูตร หมำยถงึ ประมวลเหตุกำรณท์ ง้ั ปวงทค่ี รูผสู้ อนใหแ้ ก่ผู้เรยี น เพือ่ พฒั นำควำมสำมำรถในกำรดำรงชวี ติ

เพอื่ เป็นผใู้ หญ่ทดี่ แี ละมีคณุ ภำพในอนำคต

อยำ่ งไรกต็ ำม กำรท่จี ะนิยำมคำว่ำหลกั สูตรใหเ้ ป็นนยิ ำมทช่ี ัดเจนและยอมรบั กันทั่วไปนน้ั ยังไมส่ ำมำรถ

ดำเนินกำรได้ เนือ่ งจำกขำดกำรประชำพิจำรณ์รว่ มกัน สำเหตทุ ที่ ำให้ไม่อำจมกี ำรประชมุ ร่วมกันได้ เพรำะพัฒนำกำร

ของทฤษฎีหลักสตู รยงั ไม่พัฒนำเน่ืองจำกขำดปัจจยั ต่ำงๆสนบั สนนุ เป็นตน้ ว่ำ กำรสนบั สนุนดำ้ นกำรเมอื ง และควำม
ล้มเหลวท่เี กดิ จำกนักกำรศกึ ษำต้องกำรนำผลกำรประชำพิจำรณไ์ ปทำให้เกดิ กำรเปลยี่ นแปลงในกำรจัดกำรของ

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 262

------------------------------------------------------------------------------
โรงเรียน

โอลิวำ (Oliva 1992, p. 5-6) ไดน้ ำคำนยิ ำมตำ่ งๆ ของหลกั สูตรมำเรียบเรยี งไวด้ งั น้ีหลักสูตร คือ
- ส่งิ ท่ใี ชส้ อนในโรงเรยี น

- ชุดวชิ ำท่ีเรียน (Set of Subject)

- เนือ้ หำ (Content)

- โปรแกรมกำรเรียน (Program of Studies)

- ชุดของส่ิงท่ใี ชใ้ นกำรเรยี นกำรสอน (Set of Materials)

- ลำดบั ของกระบวนวชิ ำ (Sequence of Courses)

- จุดประสงค์ทนี่ ำไปปฏบิ ัติ (Performance Objectives)

- กระบวนวชิ ำทีศ่ ึกษำ (Course of Study)

- ทกุ ส่งิ ทีส่ อนทงั้ ภำยในและภำยนอกโรงเรยี นท่ีโรงเรียนเป็นผูจ้ ัด

- ทุกสงิ่ ท่ีกำหนดขน้ึ โดยบคุ คลในโรงเรยี น

- ลำดับของกิจกรรมในโรงเรยี นทีด่ ำเนนิ กำรโดยผเู้ รียน

- ประสบกำรณข์ องผู้เรยี นแต่ละคน ซึง่ เกิดจำกระบบกำรจัดกำรของโรงเรียน

นอกจำกนี้ หลักสตู รยังมีควำมหมำยแตกตำ่ งกันตำมผ้ใู ช้ คอื ผ้บู รหิ ำรสถำนศึกษำจะให้ควำมหมำยของหลกั สตู ร

เป็นกำรจดั ประสบกำรณท์ ัง้ มวลในสถำนศึกษำให้กับผเู้ รียน เพ่อื ให้ผูเ้ รยี นมีควำมรู้ควำมสำมำรถในกำรประกอบอำชีพ

และดำรงชวี ิต

ผู้สอนจะให้ควำมหมำยของหลกั สูตร ในลักษณะเปน็ กำรจดั กำรเรียนกำรสอนที่ไดว้ ำงแผนไว้กบั กำรสอนของ

ครู และประสบกำรณจ์ ะเกดิ ข้ึนไดจ้ ำกกำรเรยี นรู้ของนักเรียน

ผเู้ รียนจะให้ควำมหมำยของหลักสูตรในสง่ิ ที่ผู้เรียนต้องเรยี นรู้ ตำมที่สถำนศึกษำกำหนดและตำมที่ครูสอน

โดยสรปุ ควำมหมำยของหลักสตู รอธิบำยได้ดังนี้ หลักสตู รเป็นกระบวนกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนทจี่ ะทำให้
ผู้เรียนเกดิ ควำมรู้ ทักษะและเจตคติ คำ่ นิยม พัฒนำนักเรยี นในทกุ ๆดำ้ นและเปน็ เครื่องมอื สำคญั ในกำรพัฒนำประเทศ

ให้ยง่ั ยืนก้ำวหน้ำ บุคคลที่นำพำสิ่งเหล่ำนี้ให้ประสบผลสำเร็จกค็ ือครูนั่นเอง

หลกั สูตรแฝง (Hidden Curriculum)

จำกนิยำมหลกั สูตรซ่งึ มีมำกมำยหลำยนยิ ำม แต่มีจดุ ร่วมกนั ประกำรหนง่ึ คอื “เป็นรูปธรรม” อยำ่ งไรก็ตำม

หลกั สูตรกย็ งั ไม่อำจสรุปประเดน็ ไดช้ ัดเจนท้งั หมด ทุกหลกั สตู รยงั มสี ่ิงแอบแฝงอยู่ ซงึ่ เรยี กสิง่ น้ีว่ำเปน็ หลกั สตู รแฝง
มีควำมหมำยว่ำ เป็นหลกั สตู รท่ไี ม่ไดม้ กี ำรกำหนดไวล้ ว่ งหนำ้ กำรจะทำใหเ้ กดิ ควำมชัดเจนเก่ียวกับหลักสตู รแฝงได้ไม่

งำ่ ยนัก แตก่ อ็ ำจจะมองเหน็ ได้จำกพลังทีม่ อี ยู่ในโรงเรียน และสง่ ผลตอ่ กำรยอมรับของโรงเรียน ของเขตพื้นท่ี และของ

ชุมชน กระบวนกำรทำงสงั คม ซ่งึ อำจเกิดจำกโรงเรียน ชมุ ชน มกั จะสง่ ผลให้เกิดหลักสตู รแฝง ธรรมชำติของหลักสตู ร

แฝงมักจะไม่คอ่ ยมกี ำรเปดิ เผยหรือมผี เู้ อำใจใส่มำกนัก อำจเป็นวธิ ีกำรในกำรสอนนักเรียนเกยี่ วกบั กฎเกณฑท์ ำงสังคม

คำ่ นิยม กำรดำเนนิ ชวี ิตซง่ึ สั่งสมมำจนทำให้เปน็ ควำมคำดหวงั หรือปฏบิ ตั เิ ป็นประจำมำกอ่ นเป็นเวลำนำน ข้อเสีย

ประกำรหน่ึงของหลกั สูตรแฝง คือ กำรเกดิ ควำมเดียดฉันท์ตอ่ นกั เรียนในด้ำนวฒั นธรรม ควำมเปน็ อยู่ เช้ือชำติวิธีกำร

ขจัดปัญหำด้ำนน้ี คือ โรงเรยี นจะตอ้ งวเิ ครำะห์สภำพทั่วๆ ไปของโรงเรยี นใหถ้ ่องแท้

ความสาคญั ของหลกั สูตร

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 263

------------------------------------------------------------------------------
ควำมสำคัญของหลักสูตร นอกจำกจะเป็นเคร่ืองกำหนดแนวทำงในกำรจัดกำรศกึ ษำและเปน็ ส่ิงบง่ ชถ้ี งึ คณุ ภำพ

ของผลผลติ ทำงกำรศึกษำแล้ว ควำมสำคัญของหลกั สูตร อำจพอสรุปได้ดงั น้ี
1. เปน็ เอกสำรของทำงรำชกำรหรือเปน็ บัญญัติของรัฐ เพอ่ื ให้บุคคลที่ทำหนำ้ ท่เี กี่ยวกับกำรศึกษำไปปฏบิ ตั ิ ไมว่ ่ำ

เปน็ สถำบันกำรศกึ ษำของรัฐหรือเอกชน ดงั นน้ั หลกั สตู รจึงเปรียบเสมอื นคำสงั่ หรอื ขอ้ บังคับของทำงรำชกำรชนดิ หนึ่ง

นน่ั เอง

2. เป็นเกณฑ์มำตรฐำนทำงกำรศกึ ษำเพ่ือควบคมุ กำรเรยี นกำรสอนในสถำบันกำรศกึ ษำระดบั ตำ่ งๆ รวมทง้ั เป็น

เกณฑม์ ำตรฐำนอย่ำงหนึ่ง ในกำรทีจ่ ะจดั สรรงบประมำณบุคลำกร อำคำร สถำนทแ่ี ละวสั ดุอปุ กรณ์ทำงกำรศกึ ษำของ

รัฐให้แกโ่ รงเรยี น

3. เป็นแผนกำรดำเนินงำนของนกั บรหิ ำรกำรศึกษำ ทจ่ี ะตอ้ งอำนวยกำร ควบคมุ ดแู ลกำกับ และตดิ ตำม

ประเมนิ ผล ให้เปน็ ไปตำมนโยบำยกำรจัดกำรศึกษำของรฐั

4. เป็นแผนกำรปฏบิ ตั ิงำน หรือเครอ่ื งชีน้ ำทำงในกำรปฏบิ ัติงำนของครู เพรำะหลกั สตู รจะเสนอแนะจุดมุ่งหมำย

กำรจัดกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน และกำรประเมินผลกำรเรียนกำรสอนซ่งึ ครูควรจะปฏบิ ัติตำมอย่ำงจรงิ จัง

5. เป็นเคร่ืองมือของรัฐในอันทจี่ ะพัฒนำคน และพฒั นำกำลังคน ซงึ่ จะเป็นตวั สำคัญในกำรพัฒนำเศรษฐกจิ และ

สังคมแหง่ ชำติ ตำมแผนและนโยบำยของรฐั

6. เปน็ เคร่ืองชถี้ งึ ควำมเจริญของชำติ เพรำะกำรศกึ ษำเปน็ เครอ่ื งมือในกำรพัฒนำคนประเทศชำติใดมหี ลักสตู รท่ี

เหมำะสม ทันสมัย และมีประสิทธภิ ำพ ก็จะทำใหค้ นในประเทศนนั้ มีคณุ ภำพ รจู้ กั เลอื กสรรและใช้ชีวิตอยำ่ งชำญฉลำด

สำมำรถนำพำสังคมและคนในสังคมกำ้ วไปพรอ้ มๆ กับกระแส โลกำภิวตั น์ได้อย่ำงมั่นคงและสันติสขุ

ประเภทของหลกั สตู ร

กำรแบ่งประเภทของหลกั สูตรเป็นกำรแบง่ ตำมแนวคิด ปรัชญำ และทฤษฎีของกำรศึกษำประเภทของหลักสูตร

ออกได้เป็น 9 แบบ ดังน้ี

1. หลักสตู รรายวิชา (Subjective Curriculum) เปน็ รปู แบบหลักสตู รดั้งเดมิ โดยเนน้ เน้ือหำสำระซง่ึ ลักษณะ

หลักสตู รแบบนก้ี เ็ พ่อื ให้ผ้เู รยี นไดเ้ ขำ้ ใจเนอ้ื หำสำระซ่งึ ลกั ษณะหลักสตู รรำยวชิ ำจะมีลักษณะดังนี้

1.1 เนื้อหำสำระแต่ละรำยวชิ ำจะแยกจำกกัน เช่น วชิ ำเลขคณิต ฟสิ ิกส์ เคมชี ีววิทยำสอนแยกออกจำกกันเปน็

รำยวิชำ

1.2 แตล่ ะวิชำจะมลี ำดับของเนอ้ื หำสำระ มขี อบเขตของควำมร้ทู ่เี รียงลำดับควำมยำกง่ำยและไมเ่ ก่ียวโยงถึงวชิ ำ

อื่นๆ

1.3 วชิ ำแตล่ ะวชิ ำ ไม่ได้โยงควำมสมั พันธ์ระหว่ำงควำมรนู้ ั้นกบั กำรปฏิบัติในสถำนกำรณ์จรงิ

1.4 กำรเลอื กเน้อื หำสำระ และกำรจดั เน้ือหำสำระ โดยยดึ คณุ ค่ำท่ีมอี ยใู่ นตัวของเรอื่ งที่สอนนั้น โดยมแี นวคดิ ว่ำ

ผเู้ รียนสำมำรถนำเอำไปใชเ้ ม่ือต้องกำร

2. หลักสูตรสหพันธ์ (Correlated Curriculum) หลกั สตู รที่นำเอำเนือ้ หำของวชิ ำอ่ืนทม่ี ีควำมสมั พนั ธก์ นั มำ

รวมเขำ้ ดว้ ยกัน แสดงให้เห็นถึงควำมสมั พนั ธข์ อง 2 วิชำ โดยไม่ทำลำยขอบเขตวชิ ำเดมิ คือ ไม่ได้มีกำรผสมผสำน

เนอื้ หำเข้ำด้วยกนั เช่น กำรจัดเนอ้ื หำ เน้นให้เห็นควำมสมั พันธ์ ระหว่ำงระบบอเิ ล็กทรอนิกสแ์ ละโทรทัศน์

ควำมสัมพนั ธร์ ะหว่ำงกำรเลย้ี งหมแู ละกำรปลกู พชื โดยแสดงให้เหน็ แตล่ ะวชิ ำจะเสริมกันได้อย่ำงไร

3. หลกั สูตรผสมผสำน (Fused Curriculum) เปน็ กำรจัดหลกั สูตรที่ม่งุ เน้นรำยวชิ ำโดยสร้ำงจำกเนื้อหำวิชำที่เคย

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 264

------------------------------------------------------------------------------
แยกสอนให้เปน็ วิชำเดียวกัน แต่ยังคงรกั ษำเนือ้ หำพ้นื ฐำนของแตล่ ะวชิ ำไว้ หลกั สตู รแบบน้ี แตกตำ่ งจำกหลกั สูตร

สหสัมพนั ธท์ มี่ ีบรู ณำกำรระหวำ่ งวชิ ำมำกกวำ่ คอื กำรสอนวชิ ำเหมอื นสอนวชิ ำเดยี ว
4. หลกั สูตรหมวดวิชำ (Board Field Curriculum) เป็นรปู แบบหลกั สูตรที่มลี ักษณะหลำยหลกั สตู ร ได้แก่

หลักสูตรสหสมั พันธ์และหลักสูตรแบบผสมผสำนโดยกำรนำเน้อื หำวชิ ำหลำยๆวชิ ำ จัดเป็นวิชำทว่ั ไปที่กว้ำงขวำงข้ึน

โดยเน้นถึงกำรรกั ษำคณุ ค่ำของควำมร้ทู ี่มีเหตุผลมรี ะบบเชน่ มนษุ ยก์ ับเทคโนโลยี มนษุ ยสัมพันธ์ เปน็ ต้น

5. หลักสตู รวิชำแกน (Core Curriculum) เป็นหลกั สตู รทีม่ ีวิชำใดวิชำหน่งึ เปน็ แกนของวชิ ำอืน่ ๆ โดยเน้นเนื้อหำ

ดำ้ นสงั คมและหน้ำท่พี ลเมือง เพ่อื กำรแกป้ ัญหำ เชน่ ประชำกรและมลภำวะ กำรดำรงชีวิตในเมืองและชนบท

6. หลักสตู รท่ีเน้นทักษะกระบวนกำร (Process Skills Curriculum) เปน็ หลักสตู รท่มี งุ่ ให้เกิดทกั ษะกระบวนกำร

เช่น ทกั ษะกระบวนกำรทำงวิทยำศำสตร์ กระบวนกำรในกำรแก้ปัญหำ โดยมีจุดมุ่งหมำยเพ่ือพฒั นำให้เปน็ ผ้มู ี

ควำมสำมำรถในด้ำนทกั ษะกระบวนกำรดังนี้

6.1 มคี วำมรทู้ ี่สำมำรถนำไปใช้ได้

6.2 ใช้กระบวนกำรใหเ้ ปน็ ส่อื ไปสจู่ ดุ มงุ่ หมำยที่ต้องกำร

6.3 ใหร้ ธู้ รรมชำตขิ องกระบวนกำร

7. หลักสตู รทเี่ น้นสมรรถฐำน (Competency or Performance base Curriculum)เป็นหลกั สตู รทม่ี ีควำมสมั พันธ์

โดยตรงระหว่ำงจุดม่งุ หมำย กิจกรรม กำรเรยี นกำรสอน และควำมสำมำรถในกำรปฏิบตั ิของผ้เู รียน ในกำรจดั หลักสตู ร

แบบนจ้ี ะต้องกำหนดควำมสำมำรถในกำรปฏิบตั ทิ ต่ี ้องกำรไวเ้ ปน็ จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม หรือจุดประสงค์ด้ำน

ควำมสำมำรถ จำกน้นั กว็ ำงแผนกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอน เพ่ือใหผ้ เู้ รียนบรรลุแต่ละจุดประสงค์และมกี ำรตรวจสอบ

กำรปฏบิ ัตขิ องผู้เรยี นกอ่ นทจ่ี ะผำ่ นไปเรียนตำมจดุ ประสงค์ถัดไป เช่น กำรฝึกสอนแบบจุลภำคกำรสอนพิมพ์ดดี

8. หลกั สตู รทีเ่ นน้ กิจกรรมและปญั หำสงั คม (Social Activities and Problem Curriculum) หลักสูตรแบบนี้จะ

แตกตำ่ งกนั ไปตำมแนวคิดของแต่ละกลมุ่ เช่น ผู้ท่มี แี นวคิดว่ำหลักสตู รควรตรงกับกำรดำรงชีวติ ในสงั คมจรงิ ในกำร

สรำ้ งหลักสตู รจงึ ยึดรำกฐำนของหนำ้ ที่ทำงสังคม หำกมีแนวควำมคดิ ว่ำหลักสูตรควรเป็นเรอื่ งเกย่ี วกับปัญหำ หรอื เรื่อง
ต่ำงๆ ของชวี ติ ในสังคมชุมชน เช่น กำรปอ้ งกนั มลภำวะ กำรอนรุ กั ษ์ทรัพยำกรธรรมชำติ เปน็ ตน้

9. หลกั สูตรที่เนน้ ควำมต้องกำรและควำมสนใจของแตล่ ะบุคคล (Individual Needs and Interest Curriculum)

เป็นหลกั สูตรท่ีเน้นควำมสนใจและควำมต้องกำรของผู้เรียนเช่น กำรเน้นที่ผ้เู รยี น กำรเน้นทปี่ ระสบกำรณ์ โดยหลักสูตร

ท่สี ร้ำงข้ึนตำมควำมรู้ และควำมสนใจของผเู้ รียนมีควำมยืดหยนุ่ สงู และผูเ้ รียนสำมำรถเรียนไดเ้ ป็นรำยบุคคล เชน่

หลักสูตรของโรงเรยี น Summer Hill ทอ่ี งั กฤษ ซึง่ นลิ (Niel 1960) สร้ำงขน้ึ โดยทำโรงเรียนให้สอดคลอ้ งกับเดก็ เป็น

ตน้

องค์ประกอบของหลกั สตู ร

องค์ประกอบของหลกั สูตร หมำยถงึ สว่ นทีอ่ ยู่ภำยในและประกอบกันเข้ำเป็นหลักสตู รเป็นสว่ นสำคญั ทจ่ี ะทำให้

ควำมหมำยของหลักสูตรสมบูรณ์ เปน็ แนวทำงในกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน กำรประเมนิ ผล และกำรปรบั ปรงุ พัฒนำ

หลกั สตู รไปด้วยตำมแนวคิดของนักกำรศึกษำ ไดก้ ล่ำวถึงองคป์ ระกอบไว้ดังนี้

1. ไทเลอร์ (Tyler 1968, 1) กล่ำววำ่ โครงสร้ำงของหลักสูตร มี 4 ประกำร คือ

1.1 จดุ มุง่ หมำย (Educational Purpose) ทีโ่ รงเรียนตอ้ งกำรใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ผล

1.2 ประสบกำรณ์ (Educational Experience) ทโ่ี รงเรยี นจัดข้ึนเพ่ือใหจ้ ดุ มงุ่ หมำยบรรลุผล

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 265

------------------------------------------------------------------------------
1.3 วธิ ีกำรจัดประสบกำรณ์ (Organizational of Educational Experience) เพอ่ื ใหก้ ำรสอนเป็นไปอย่ำงมี

ประสทิ ธิภำพ
1.4 วิธีกำรประเมนิ (Determination of What to Evaluate) เพอ่ื ตรวจสอบจุดม่งุ หมำยที่ตั้งไว้

2. ทาบา (Taba, 1962, p. 422-423) กล่ำวถงึ องค์ประกอบของหลกั สูตร 4องค์ประกอบ คอื
2.1 วตั ถุประสงคท์ ว่ั ไป และวัตถุประสงค์เฉพำะ
2.2 เนอื้ หำและจำนวนชัว่ โมงสอนแตล่ ะวชิ ำ
2.3 วิธกี ำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน
2.4 วธิ กี ำรประเมนิ ผล
องค์ประกอบดงั กลำ่ วสำมำรถแสดงควำมสัมพันธ์ภำยในไดด้ งั น้ี

วัตถุประสงค์

วัตถปุ ระสงค์ กจิ กรรม

ประเมนิ ผล
ภำพประกอบท่ี 1 องคป์ ระกอบของหลกั สตู ร
3. องค์ประกอบของหลกั สูตรในเชงิ ระบบ
โบแชมพ์ (Beauchamp, 1968, p. 108) เป็นผกู้ ล่ำวถึงองคป์ ระกอบของหลกั สตู รในเชิงระบบ คือ ส่วนทป่ี อ้ นเขำ้
(Input) กระบวน (Process) และผลลัพธท์ ่ีได้ (Output) ซ่งึ สำมำรถแสดงใหเ้ ห็นตำมภำพประกอบท่ี 2

ส่วนท่ปี อ้ นเขำ้ กระบวนกำร ผลลพั ธ์

- เน้ือหำวิชำ - ลกั ษณะกำรใช้งำน - ควำมรู้

- ผ้เู รียน - สือ่ /อปุ กรณ์ - ทักษะ

- ชมุ ชน - ระยะเวลำ - เจตคติ

- พื้นฐำนภกำรพศปึกรษะำกอบท่ี 2- กโคำรวงดัสผรล้ำงของหลักสตู รเชิงระบบ- ควำมมั่นใจ

รปู แบบของหลกั สูตร (Curriculum Design)
รูปแบบของหลักสูตรหรอื ประเภทของหลักสตู รมีอยู่หลำยรปู แบบ แต่ละรูปแบบก็มี

แนวควำมคดิ จดุ มงุ่ หมำย โครงสรำ้ งแตกตำ่ งกันออกไป ซ่ึงจำแนกได้ดงั น้ี
1. หลกั สูตรแบบเน้นเนอื้ หำวิชำ (Subject-Matter-Curriculum)
2. หลกั สตู รแบบหมวดวชิ ำ (Broad-Field-Curriculum)
3. หลกั สตู รทยี่ ึดกระบวนกำรทำงสังคมและกำรดำรงชวี ิต (Social Process and Life Function)
4. หลักสตู รแบบแกนกลำง (The Core Curriculum)
5. หลกั สตู รทยี่ ดึ กิจกรรมและประสบกำรณ์ (The Activity and Experience Curriculum)
6. หลักสูตรแบบบรู ณำกำร (Integrated Curriculum)

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 266

------------------------------------------------------------------------------
7. หลกั สตู รแบบสหสมั พนั ธ์ (Correlate Curriculum)

8. หลักสูตรแบบเอกตั บคุ คล (Individualized Curriculum)
9. หลกั สตู รแบบสว่ นบุคคล (Personalized Curriculum)

1. หลกั สตู รแบบเน้นเน้อื หาวิชา (Subject-Matter-Curriculum)

เป็นรูปแบบที่เก่ำแก่ทีส่ ุดซง่ึ ในกำรสอนศำสนำ ละติน กรีก อำจเรยี กชอ่ื อีกอยำ่ งหนง่ึ วำ่ เป็นหลักสูตรท่เี น้น

เนอ้ื หำเปน็ ศูนย์กลำง (Subject-Centered-Curriculum) ซง่ึ สอดคล้องกบั วิธกี ำรสอนของครูทใ่ี ช้วธิ ีบรรยำย ปรัชญำกำร

จัดกำรศกึ ษำแนวนจี้ ะยดึ ปรัชญำสำรตั ถนิยม(Essentialism) และสจั วิทยำนิยม (Perennialism)

ข้อดี

1. ทำให้ทุ่นเวลำสอน เพรำะกำรสอนเป็นไปอย่ำงรวดเร็วตำมลำดบั ของเนอื้ หำวิชำ

2. สะดวกกบั ครแู ละผู้จัดหลักสูตร เพรำะครจู ะใช้ควำมรทู้ มี่ ีอยูเ่ ลอื กเนอื้ หำทต่ี นคิดวำ่ สำคญั และจำเปน็ มำสอน

3. กำรวดั ผลง่ำย และสะดวก เพรำะจดั ลำดับเน้ือหำไวแ้ ล้ว

4. มคี วำมต่อเน่ืองของเนื้อหำดี ควำมรใู้ หม่จะสัมพนั ธ์กบั ควำมรู้เกำ่

5. ถำ้ ปรัชญำกำรศึกษำเนน้ กำรถำ่ ยทอดควำมรู้ หลกั สูตรแบบนี้จะสนองตอบไดด้ ีทสี่ ดุ
6. สำมำรถถ่ำยทอดวัฒนธรรมได้ดี

7. ชว่ ยทำใหเ้ ดก็ เจริญเติบโตทำงสติปญั ญำ

ข้อจากัด

1. ควำมมงุ่ หมำยแคบเพรำะเน้นวชิ ำกำร ไม่ไดเ้ นน้ พฒั นำกำรดำ้ นอ่นื ของนักเรียน

2. นำไปใชใ้ นชีวิตประจำวันได้ยำก เพรำะกำรดำรงชวี ติ ประจำวันต้องอำศัยหลำยวชิ ำมำผสมผสำนกนั
3. นกั เรยี นขำดโอกำสในกำรพัฒนำควำมคดิ ขำดควำมเปน็ อสิ ระ ควำมคดิ สร้ำงสรรคเ์ กดิ ไดย้ ำก

2. หลกั สูตรแบบหมวดวชิ า (Broad-Field-Curriculum)

เปน็ หลกั สตู รท่กี ำหนดเนื้อหำวิชำไว้กว้ำงๆ โดยนำควำมรใู้ นกลมุ่ วิชำผสมผสำนกันเข้ำเป็นหมวดวชิ ำเดยี วกัน

เชน่

หมวดสังคมศกึ ษำ รวมเอำวิชำภมู ิศำสตร์ ประวัติศำสตร์ หน้ำทีพ่ ลเมือง ศลี ธรรมเขำ้ ดว้ ยกัน

หมวดวทิ ยำศำสตร์ รวมเอำวิชำเคมี ชวี วทิ ยำ ฟิสิกส์เข้ำด้วยกัน

หมวดคณติ ศำสตร์ รวมเอำวิชำเลขคณิต พีชคณติ เรขำคณิตเขำ้ ด้วยกนั

กำรสอนจะเน้นกำรผสมผสำนเนอื้ หำวชิ ำเข้ำด้วยกัน มกั จะเปน็ กำรสอนแบบหนว่ ยหรอื กำรสอนแบบบูรณำกำร
ครผู สู้ อนจะตอ้ งไดร้ บั กำรฝกึ ฝนมำอย่ำงดี มเี อกสำรประกอบกำรเรียนท่สี อดคล้องกัน

ขอ้ ดี

1. ทำให้คลอ่ งตัวในกำรบรหิ ำรหลกั สตู ร เพรำะในหมวดวชิ ำหนง่ึ ๆ สำมำรถเช่ือมโยงกนั ได้สะดวก

2. สำมำรถนำผลจำกกำรผสมผสำนควำมรู้ไปใช้ชวี ิตประจำวันได้

3. ทำให้ผเู้ รยี นเกิดควำมคิดรวบยอด (Concept) ได้งำ่ ยขน้ึ

ข้อจากัด

1. ในกำรจัดกจิ กรรมตำมเปำ้ หมำยของหลักสตู รแบบนท้ี ำไดย้ ำก เพรำะต้องอำศัยครผู ู้ชำนำญกำรและรอบรจู้ ึงจะ

บรรลุผลได้

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 267

------------------------------------------------------------------------------
2. ยังมีควำมมุ่งหมำยทีเ่ ป็นวชิ ำกำร ขำดกำรพัฒนำดำ้ นอ่นื ๆ

3. ยงั ไม่ตอบสนองควำมต้องกำรของผู้เรยี น
3. หลกั สูตรทย่ี ดึ กระบวนกำรทำงสังคมและกำรดำรงชวี ติ (Social Process and Life Function)

เป็นหลกั สตู รท่สี ร้ำงขน้ึ โดยยึดสงั คมเป็นหลกั โดยคำนึงถงึ ควำมต้องกำรและควำมสนใจของผเู้ รียนเป็นพื้นฐำน

ผูเ้ รยี นสำมำรถนำควำมรูแ้ ละประสบกำรณ์ทไ่ี ด้รบั ไปใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้ เปน็ ควำมคิดตำมนกั กำรศึกษำ John

Dewey โดยยดึ หลกั ปรัชญำพิพฒั นำกำรนิยม (Progressivism) จึงมวี ตั ถุประสงคจ์ ะให้กำรศกึ ษำเป็นเคร่ืองมือในกำร

สร้ำง และปฏิรปู เสียใหม่ ให้โรงเรียนเปน็ ศนู ย์กลำงในกำรจดั ระบบกำรเรียน โดยยึดงำนหรอื กจิ กรรมเป็นหลัก ครูเปน็

เพียงผูเ้ สนอแนะแนวทำงเพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นเห็นควำมสัมพันธร์ ะหวำ่ งครู-นักเรียน นักเรียน-นักเรยี น

ข้อดี

1. เป็นควำมพยำยำมในกำรเอำประสบกำรณท์ ำงสงั คมมำให้ผู้เรียนศกึ ษำควำมซบั ซอ้ น และควำมเป็นจริงของ

สงั คม

2. ทำใหไ้ ด้ขอ้ มลู ย้อนกลับขณะเรยี น เพอ่ื กำรปรบั ตนในสถำนกำรณจ์ ริงที่จะเชื่อมโยงไปสู่สงั คมในอนำคต

3. มีควำมยืดหยุ่น สำมำรถปรับใหท้ ันกับควำมเปลย่ี นแปลงของสังคม

4. ม่งุ สง่ เสรมิ กำรเรยี นแบบ Active Learning คือ กำรให้ผ้เู รียนเป็นศูนยก์ ลำงและมสี ่วนร่วมในกำรจดั กจิ กรรม

มำกท่สี ุด

5. เป็นแนวคิดพ้นื ฐำนที่สนับสนนุ ใหเ้ กิดโรงเรยี นชมุ ชนข้ึน

ขอ้ จากดั

1. อำจทำให้เนอื้ หำวชิ ำขำดควำมสมบรู ณ์ และสำระสำคญั ของเนอื้ หำวิชำไป เพรำะเนน้ ควำมสนใจของผเู้ รยี น

มำกกวำ่

2. กำรผสมผสำนและกำรจัดหมวดหมขู่ องประสบกำรณ์ยงั เป็นปัญหำ ถำ้ ผจู้ ัดไมท่ รำบว่ำกิจกรรมหรือ

ประสบกำรณใ์ ดจะมีคุณคำ่ มำกทีส่ ุด

3. กำรนำควำมรูไ้ ปประยุกตใ์ ช้อำจทำได้เพยี งบำงส่วน

4. กำรจัดกิจกรรมให้ตรงตำมวัตถปุ ระสงคท์ ำไดย้ ำก

4. หลกั สตู รแบบแกนกลาง (The core Curriculum)

หลกั สตู รนมี้ ีจุดมงุ่ หมำยท่ีจะพัฒนำผเู้ รยี นให้มคี วำมรู้ ทักษะและเจตคติเพอื่ ไปพฒั นำสงั คมให้ดขี ึ้น โดย

กำหนดให้มีวิชำแกนซ่ึงทุกคนจำเป็นต้องเรยี นตำมภำพประกอบที่ 3

V = วิชำชีพ เช่น ช่ำงยนต์ ช่ำงแต่งหนำ้
S = วิชำเลือกทส่ี นใจพเิ ศษ เช่น ดนตรี เซรำมกิ

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 268

------------------------------------------------------------------------------
P = กำรเตรียมวชิ ำชพี เช่น กฎหมำยธุรกจิ ชวี วิทยำเตรยี มแพทย์

D = วชิ ำกำรทวั่ ไป เช่น สังคมวทิ ยำ ฟสิ กิ ส์
ภำพประกอบที่ 3 โครงสร้ำงของหลกั สูตรแกน

คุณลักษณะของหลกั สตู รแกน มีดังนี้

1. มีสัดสว่ นของวิชำตำมควำมต้องกำรของผู้เรียนครบทุกคน

2. มวี ชิ ำร่วมทท่ี ุกคนต้องเรยี น เช่น ภำษำ สงั คมศึกษำ

3. เนอ้ื หำวิชำเปน็ ลกั ษณะกำรแกไ้ ขปัญหำโดยนำวิชำต่ำงๆ รอบๆ แกนมำใช้

4. มีกำรจัดเวลำกำรเรยี นสำหรบั แกนกลำงประมำณ 2-3 คำบ โดยให้ครูท่เี ป็นแกนกลำงหรอื ครอู ่นื ๆ มำช่วยจดั
กจิ กรรม

5. กระตุ้นใหค้ รูรว่ มวำงแผนกำรเรียนร่วมกบั นักเรยี น

6. มีกำรแนะแนวให้ผเู้ รยี น

ปกติหลกั สตู รแกนนี้อำจเหมำะสมกบั นกั เรียนระดบั มธั ยมต้น และมธั ยมปลำยมำกกวำ่ แต่ถำ้ ในระดบั อดุ มศึกษำ

แลว้ หลักสูตรนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่ยอมรบั

ขอ้ ดี

1. วิธีกำรจัดกจิ กรรมตำมหลกั สูตรน้ชี ่วยให้ครูและนักเรยี นในชั้นมีควำมสนิทสนมกนั มำกขึ้น

2. ผ้เู รียนไดม้ สี ว่ นร่วมเตม็ ที่ และสำมำรถทรำบจุดมุ่งหมำยของกำรเรยี นดีข้นึ

3. ผู้เรยี นมปี ระสบกำรณ์ตรงในกำรเรยี น ไดว้ ำงแผน เกบ็ ข้อมูล แก้ปัญหำ และประเมินผลด้วยตนเอง

4. ผ้เู รยี นมโี อกำสศกึ ษำท่ีตนเองมคี วำมสนใจ โดยท่ปี ัญหำนนั้ ๆ อำจเปน็ ปญั หำของตนเอง หรอื ปัญหำของสงั คม

กไ็ ด้

5. กำรใช้ช่วงเวลำเรยี นยำวนำนกวำ่ ปกติ ทำให้ผเู้ รยี นมโี อกำสศกึ ษำนอกสถำนท่ีสัมภำษณ์บคุ คลต่ำงๆ ตลอดจน

จดั กจิ กรรมที่มีคำ่ ได้อยำ่ งกวำ้ งขวำง

6. สภำพกำรเรียนกำรสอนแบบมปี ัญหำเปน็ แกนกลำง ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ทักษะต่ำงๆรวมท้ังทักษะทำงสงั คม

ข้อจากัด

1. ต้องใช้อปุ กรณแ์ ละเอกสำรประกอบกำรสอนมำก

2. เน่ืองจำกเป็นหลกั สูตรทีแ่ ก้ปัญหำ อำจทำให้ได้รับกำรวพิ ำกษว์ ิจำรณ์ไดง้ ำ่ ยกว่ำและทำใหเ้ สยี เวลำ

3. กำรสอนแบบแก้ปญั หำเป็นกำรสอนทีย่ ำก ครตู อ้ งมีควำมรู้ดี เตรียมกำรสอน วำงแผนกำรสอนทด่ี ี และต้องใช้

อุปกรณม์ ำก

4. ครูต้องใชเ้ วลำมำกในกำรวำงแผนร่วมกบั ครูคนอืน่ ทำให้ยำกแกก่ ำรปรึกษำหำรือกัน

5. หลกั สตู รทยี่ ึดกจิ กรรมและประสบการณ์ (The Activity and Experience)

เป็นรปู แบบของหลักสตู รทส่ี ร้ำงขึ้นเพอ่ื แก้ไขขอ้ บกพร่องของหลักสตู รทเี่ น้นเนื้อหำวชิ ำโดยไม่คำนึงถึงควำม

ต้องกำรและควำมสนใจของผู้เรยี น กำรจดั หลักสตู รน้ียดึ หลักกำรที่ว่ำผู้เรียนได้ทำกิจกรรมท่ีคำนึงถึงประสบกำรณท์ ี่มี

ประโยชน์ และมีกำรวำงแผนร่วมกนั กำรทำกจิ กรรมเนน้ กำรแกป้ ญั หำ โดยยดึ หลักปรชั ญำกำรศึกษำแบบพพิ ฒั นำกำร

นิยม (Progressivism)น่นั คือ ผู้เรียนจะต้องร้จู กั วธิ กี ำรแก้ปญั หำ ลงมอื กระทำ วำงแผนดว้ ยตนเอง เปน็ กำรเรยี นโดยกำร

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 269

------------------------------------------------------------------------------
กระทำ (Learning by doing) เหมำะสำหรับเด็กระดบั ช้ันประถมศกึ ษำ ปจั จัยสำคัญที่เออ้ื ตอ่ หลกั สูตรน้คี อื ครู โรงเรียน

วสั ดอุ ปุ กรณ์ กำรจัดตำรำงสอน กำรจดั ช้ันเรียน กำรบริหำรงำน

ข้อดี

1. เปน็ หลกั สตู รที่เนน้ ประสบกำรณเ์ ป็นสำคัญ ผู้เรียนมีประสบกำรณ์ตรง และเกิดกำรเรียนรดู้ ้วยตนเอง

2. ผ้เู รียนมีสว่ นร่วมในกำรวำงแผนกำรเรียน และกำรเลอื กกิจกรรมกำรเรยี น

3. ผเู้ รยี นได้เรียนในสง่ิ ท่ตี นถนดั สนใจ และคดิ ว่ำเปน็ ประโยชน์ตอ่ กำรดำรงชวี ติ ของตน

4. ผู้เรียนและผูส้ อนมีโอกำสทำงำนรว่ มกันอยำ่ งใกลช้ ิด

5. เป็นหลกั สตู รท่ยี อมรบั วำ่ ผู้เรียนเป็นบุคคลสำคัญ
6. กระบวนกำรเรยี นกำรสอนเปน็ ไปตำมขั้นตอน

ข้อจากดั

1. ถำ้ ผู้สอนและบุคลำกรตำ่ งๆ ขำดควำมเข้ำใจในปรัชญำของหลกั สูตรแล้ว จะทำใหข้ ำดกำรวำงแผนและกำร

ดำเนนิ กำรทด่ี ี

2. ถ้ำสอนขำดควำมเขำ้ ใจในจติ วิทยำกำรสอนและพฒั นำกำรของผู้เรยี นแล้วจะทำให้เกิดปัญหำในกำรบรรลุ
เป้ำหมำยทีว่ ำงไว้

3. ถ้ำขำดอุปกรณ์ หอ้ งเรยี นไม่พรอ้ ม จะทำใหเ้ กดิ ปัญหำได้

4. ถ้ำครูผู้สอนขำดควำมกระตือรือร้น และไม่มคี วำมคิดริเร่ิมแลว้ กำรสอนแบบเนน้ รำยวิชำจะได้ผลดีกว่ำ

6. หลักสตู รแบบบูรณาการ (Integrated Curriculum)

เปน็ หลักสูตรทร่ี วมประสบกำรณ์ในกำรเรียน โดยผู้ทำหลักสูตรคดั เลือกตัดตอนมำจำกหลำยๆ สำขำวชิ ำ
มำจัดเข้ำเป็นกลุ่มหรอื หมวดหมู่ ซ่งึ จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประสบกำรณท์ ตี่ อ่ เนอื่ ง มคี ณุ ค่ำต่อกำรดำเนนิ ชวี ติ และตอ่

พฒั นำกำรของผเู้ รียน จุดมงุ่ หมำยของหลักสตู รนเ้ี น้นที่ตวั ผ้เู รยี นและปญั หำทำงสังคมเป็นหลัก

ขอ้ ดี

1. ช่วยให้มคี วำมสมั พนั ธ์ระหวำ่ งวิชำสงู สุด เพรำะเน้นประสบกำรณใ์ นกำรเรยี นร้ขู องผ้เู รียนและปัญหำทำง

สังคมที่เกีย่ วข้องกบั ผูเ้ รียนมำกกว่ำเน้นทีเ่ นอื้ หำวิชำ

2. ชว่ ยให้ผเู้ รียนมีประสบกำรณ์ตอ่ เนือ่ ง ไดร้ บั ประสบกำรณ์ตรงทม่ี ีประโยชน์ตอ่ ชีวติ และพฒั นำกำรของตน

3. กิจกรรมต่ำงๆ มีคำมสัมพันธผ์ สมผสำนกันดี ทำใหส้ อดคลอ้ งกับควำมต้องกำรและควำมสนใจของผเู้ รียน

4. เนอ้ื หำวชิ ำทไี่ ดค้ ดั เลอื กมำอย่ำงรอบคอบ ทำให้เกดิ ประโยชนก์ บั ผูเ้ รยี นสูงสุด
5. ผเู้ รยี นได้รบั ประสบกำรณ์ตรง จึงสำมำรถนำไปใช้ได้ในชีวิตจรงิ

ขอ้ จากดั

1. วิธกี ำรหลอมวิชำตำ่ งๆ เขำ้ ดว้ ยกนั ทำได้ยำก นอกจำกชั้นประถมศกึ ษำ

2. ควำมคำดหวงั ของครู ผู้ปกครองยังตอ้ งกำรให้ผู้เรียนมีควำมรมู้ ำกๆ

3. ถำ้ ครูขำดกำรเตรยี มกำรจะทำให้ไม่บรรลผุ ล
4. ครูอำจขำดทกั ษะในกำรกระตุ้นให้ผ้เู รยี นเข้ำรว่ มกจิ กรรม

5. ตอ้ งใชส้ ื่อกำรสอนมำกซ่ึงโรงเรยี นส่วนใหญม่ ักไม่พรอ้ ม

7. หลกั สตู รแบบสหสัมพนั ธ์ (Correlate Curriculum)

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 270

------------------------------------------------------------------------------
เปน็ หลักสูตรท่ีมีควำมสมั พันธก์ ันในหมวดวิชำ น่ันคือ แทนท่ีครูผู้สอนแตล่ ะวชิ ำจะต่ำงคนตำ่ งสอน ก็นำมำคิด

รว่ มกัน วำงแผนร่วมกันวำ่ จะจัดประสบกำรณก์ ำรเรยี นร้แู บบใดจงึ จะกอ่ ประโยชน์ และให้เดก็ เกดิ กำรเรียนรูไ้ ดม้ ำก
ทส่ี ดุ ซงึ่ อำจทำไดด้ งั น้ี คอื

1. จดั ใหม้ คี วำมสมั พันธร์ ะดับท่ีไมย่ งุ่ ยำกซบั ซอ้ นนกั เช่น สอนวรรณคดีกใ็ ห้วำดภำพประกอบ

2. ในวชิ ำใกลเ้ คยี งหรือคำบเกีย่ วกนั ครูผู้สอนตอ้ งวำงแผนร่วมกันว่ำจะสอนอย่ำงไรจึงจะไมซ่ ำ้ ซำก

3. ครอู ย่ำงน้อยสองหมวดวิชำวำงแผนกำรสอนรว่ มกัน และดำเนนิ กำรสอนรว่ มกันเปน็ คณะ และอำจให้เวลำ

สอน 2 คำบติดตอ่ กนั ไป

4. ใชว้ ิชำทส่ี ัมพันธ์กนั 2 วิชำ หรอื มำกกวำ่ นัน้ ใชว้ ธิ ีกำรแก้ปัญหำร่วมกนั โดยใชเ้ น้อื หำหลำยๆ วิชำมำชว่ ย

แกป้ ญั หำ

ข้อดี

1. เนื้อหำในบทเรยี นมีควำมสอดคลอ้ งผสมผสำนกนั ยงิ่ ข้นึ ผู้เรียนได้รบั ควำมรู้ทเ่ี ชื่อมโยงกนั

2. ขจดั ควำมซับซอ้ นในหมวดวิชำ

3. ผเู้ รยี นไดม้ โี อกำสเรียนในสิ่งท่ตี นสนใจ และไดร้ บั ประสบกำรณท์ เ่ี ปน็ ประโยชนต์ ่อชีวิตนักเรียนมำกขนึ้

4. ครตู ำ่ งหมวดวิชำได้มีโอกำสวำงแผนกำรทำงำนรว่ มกันมำกข้ึนนักเรียนมีโอกำสเข้ำ

รว่ มกจิ กรรม และมีประสบกำรณต์ รงมำกข้นึ

ข้อจากดั

1. กำรบริหำรโดยใหค้ รูมำจัดกำรวำงแผนร่วมกันอำจมปี ญั หำเร่อื งเวลำ

2. ครบู ำงคนมอี คติ คดิ วำ่ ตนเหนอื กว่ำคนอืน่

3. กำรจดั ตำรำงสอนติดตอ่ กนั อำจผิดไปจำกท่เี คยปฏิบตั ิ

4. อำจไมไ่ ดร้ บั กำรยอมรบั จำกครู เพรำะควำมเคยชนิ ของเดิม

8. หลักสตู รแบบเอกัตบคุ คล (Individualized Curriculum)
เปน็ หลกั สตู รท่ีจัดข้ึนเพอื่ สนองควำมต้องกำร และควำมสนใจของผูเ้ รยี นแต่ละคนกำรจดั หลักสูตรแบบนี้ทำให้

ผู้เรียนไดเ้ รียนไดเ้ รยี นตำมควำมสำมำรถ และอัตรำเรว็ ของแตล่ ะคน มีโอกำสเลือกได้มำก ทัง้ ยังส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนแต่ละ

คนมีควำมรับผิดชอบ โดยยดึ หลักปรัชญำสวภำพนิยม (Existentialism)

9. หลักสตู รแบบสว่ นบคุ คล (Personalized Curriculum)

เปน็ หลักสตู รท่ีครูและนักเรยี นวำงแผนรว่ มกัน ตำมควำมเหมำะสมและควำมสนใจของผูเ้ รยี น เรียกวำ่ สญั ญำ
กำรเรยี นเพอื่ ส่งเสริมและดึงเอำศักยภำพของผูเ้ รียนออกมำใหม้ ำกทสี่ ุดเทำ่ ท่จี ะมำกได้ ทำใหเ้ กดิ ควำมยตุ ธิ รรมทำง

กำรศกึ ษำมำกข้นึ ผู้เรยี นมสี ำวนร่วมในกำรวำงแผนกำรเรียน มที ำงเลือกกจิ กรรมกำรเรียนหลำยด้ำน เปน็ กำรศึกษำที่

ประกนั ได้ว่ำผเู้ รียนเกิดกำรเรยี นรจู้ รงิ สอดคล้องกบั ควำมต้องกำร ควำมสำมำรถ ควำมสนใจของตนเองและชุมชน เป็น

กำรจัดหลักสูตรโดยยดึ หลักปรัชญำกำรจัดหลกั สตู รโดยยดึ หลกั ปรัชญำสวภำพนิยม(Existentialism)

ลกั ษณะของหลักสูตรที่ดี
สงัด อุทรำนันท์ ให้ควำมคดิ เหน็ เกยี่ วกบั ลักษณะของหลักสตู รท่ดี วี ่ำหลักสูตรท่ดี คี วรมีจุดมุ่งหมำยท่ดี ีและท่ี

สำคัญ คือ ควรตง้ั อยู่บนรำกฐำนของกำรศึกษำทถ่ี กู ตอ้ ง สำมำรถนำไปปฏบิ ัติได้จรงิ และมงุ่ สร้ำงคำ่ นิยม

ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมและมคี วำมเสยี สละ หลักสตู รจะต้องมคี วำมชดั เจนมีควำมตอ่ เน่อื ง เนน้ ให้ผเู้ รียน

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 271

------------------------------------------------------------------------------
เปน็ คนคิดเปน็ ทำเป็นมีควำมสนใจ มีควำมกระตอื รือร้น ส่งเสรมิ อำชพี ตำมควำมถนัดและควำมสำมำรถยดื หยนุ่ ได้

เปลย่ี นแปลงได้ตำมควำมเหมำะสมกับสถำนกำรณ์ในปัจจบุ ัน ทศั นีย์ ศภุ เมธิ (ม.ป.ป.) ได้สรุปคณุ ลักษณะของหลกั สูตร
ที่ดไี ว้ ดังนี้

1. มีควำมคล่องตวั สำมำรถปรับเปล่ยี นใหเ้ หมำะสมกับสภำพต่ำงๆ ไดเ้ ปน็ อย่ำงดี

2. เป็นเคร่ืองมอื ทชี่ ว่ ยให้กำรเรยี นกำรสอนบรรลุตำมควำมมุ่งหมำยท่ีกำหนดไว้

3. ไดร้ บั กำรจัดทำหรือพัฒนำจำกบคุ คลหลำยฝ่ำย เช่น ครู ผู้ปกครอง นักพัฒนำหลักสูตร นกั วิชำกำร เปน็ ต้น

4. ตอ้ งมีกระบวนกำรทตี่ อ่ เนอื่ ง

5. กำรพฒั นำหลกั สูตรควรคำนงึ ถึงข้อมลู พนื้ ฐำน เช่น ปรชั ญำกำรศกึ ษำ จิตวิทยำกำรเรียนรแู้ ละพ้ืนฐำนของ

สังคม

6. ควรมีเนือ้ หำสำระเร่ืองท่สี อนบรบิ ูรณ์เพียงพอท่จี ะทำให้ผู้สอนคิดเปน็ ทำเป็นและมีกำรพัฒนำในทกุ ด้ำน

7. จดั ใหต้ รงควำมมงุ่ หมำยของกำรศึกษำแห่งชำติ

8. สง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนมคี วำมคิดริเริ่มและสร้ำงสรรค์

9. มีกำรเพม่ิ พนู ทกั ษะ ควำมรู้ และเจตคติใหก้ บั ผเู้ รียน

10. มีลักษณะสนองควำมตอ้ งกำร และควำมสนใจทั้งของผเู้ รยี นและสงั คม

11. บอกแนวทำงในกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน

12. ชแี้ นะเกี่ยวกบั ส่อื กำรสอนได้อย่ำงเหมำะสม

13. บอกแนวทำงกำรจัดและประเมนิ กำรสอน

สมุ ณฑำ พรหมบญุ ไดใ้ ห้ควำมหมำยทสี่ อดคล้องกนั ว่ำ หลักสูตรควรมีพื้นฐำนวชิ ำกำรท่ีกว้ำงและวชิ ำชีพที่ลึก

เน้นคณุ ภำพบณั ฑิตทสี่ ำมำรถเชอ่ื มโยงวิสัยทศั น์กบั กำรดำเนนิ กำร และกำรปฏิบตั ิไดอ้ ย่ำงเหมำะสมเสรมิ ศรี ไชยศร

และคณะ ไดส้ รปุ ลักษณะของหลักสูตรทีด่ กี ว่ำ ควรมงุ่ เตรยี มควำมพร้อมทำงสตปิ ัญญำ ควำมสำมำรถ รคู้ ณุ คำ่ ของ

ควำมคิดทำงวชิ ำกำรและสง่ เสรมิ ให้ผูเ้ รียนเห็นคุณคำ่ ทำงภูมิปญั ญำ เอกลักษณ์ และวฒั นธรรมของท้องถ่ินในกำรทจ่ี ะ
พัฒนำควำมเป็นสำกลใหท้ ัดเทยี มกับนำนำประเทศในเชิงวิชำกำร และมีควำมรเู้ ฉพำะดำ้ น เพอื่ จะสง่ เสรมิ ควำมเป็น

มนุษยท์ ส่ี มบูรณ์ท่ีมคี วำมรู้ควำมเข้ำใจ และมีทักษะชีวิต และสงั คม มีคุณธรรม จริยธรรมและดำรงชวี ติ ไดอ้ ย่ำงมี

คณุ ภำพ

ความหมายของสือ่ การเรยี นการสอน

สื่อกำรเรยี นกำรสอน หมำยถึง สิ่งต่ำงๆ ท่เี ปน็ บุคคล วสั ดุ อปุ กรณ์ ตลอดจนเทคนคิ วิธีกำร ซ่งึ เปน็ ตัวกลำงทำ
ใหผ้ ้เู รียนเกิดกำรเรียนรตู้ ำมจุดประสงคข์ องกำรเรยี นกำรสอนท่ีกำหนดไวไ้ ด้อย่ำงง่ำยและรวดเร็วเปน็ เครอ่ื งมือและ

ตัวกลำงซงึ่ มคี วำมสำคญั ในกระบวนกำรเรยี นกำรสอนมหี น้ำท่ีเปน็ ตวั นำควำมตอ้ งกำรของครูไปสตู่ วั นกั เรยี นอย่ำง

ถูกตอ้ งและรวดเร็วเปน็ ผลให้นกั เรียนเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรมไปตำมจดุ มุ่งหมำยกำรเรียนกำรสอนได้อย่ำงถูกต้อง

เหมำะสม นักกำรศึกษำเรยี กช่ือกำรสอนด้วยช่ือต่ำง ๆ เชน่ อปุ กรณก์ ำรสอน โสตทัศนปู กรณ์ เทคโนโลยกี ำรศึกษำ สือ่

กำรเรียนกำรสอนสือ่ กำรศึกษำ เป็นตน้

ความหมายของสอ่ื การเรียนการสอนสมัยใหม่

สื่อกำรเรียนกำรสอนสมัยใหม่ หมำยถงึ สิ่งทีเ่ ปน็ ตัวกลำงท่ีมคี วำมสำคญั ในกระบวนกำรเรยี นรูใ้ นยุค

โลกำภวิ ฒั น์หรอื ในยคุ ท่ีเต็มไปด้วย ICT เทคโนโลยีสำรสนเทศและสอ่ื สำรตำ่ งๆ โดยเครื่องมือเหล่ำนี้ชว่ ยสรำ้ งสีสัน

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 272

------------------------------------------------------------------------------
ดงึ ดดู ใจ เปิดโลกกำรเรยี นรู้กว้ำงไกลตอ่ ผเู้ รียนมำกยิ่งขนึ้ ซงึ่ ส่งิ ต่ำงๆ เหลำ่ นจี้ ะสง่ ผลโดยตรงถงึ ตัวผเู้ รยี นเองทำให้

ผ้เู รียนมีกำรเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรม เปล่ียนแปลงวิธกี ำรเรียนรู้ พฤติกรรมในท่ีนหี้ มำยถึงลกั ษณะในกำรเรียนจะมีควำม
อยำกรูอ้ ยำกเหน็ มำกยิ่งขนึ้ เพรำะสิง่ ทีเ่ หน็ อยนู่ ้ันถอื เป็นสิง่ ทแ่ี ปลกใหมแ่ ละแปลกตำสำหรบั เด็กนักเรียน โดยส่ือกำร

เรียนกำรสอนที่ครูนำมำสอนส่วนใหญ่แลว้ มกั จะเป็นส่ิงที่ทนั สมัยมกี ำรพัฒนำไปตำมกำรเปล่ียนแปลงตำ่ งๆ อยำ่ งไม่

หยุดย้ัง ซ่งึ ครผู สู้ อนหรอื นักวิชำกำรจะเรียกชอ่ื สอ่ื กำรสอนเหลำ่ นีแ้ ตกตำ่ งกันออกไป อยำ่ งเชน่ โสตทัศนูปกรณ์ ส่ือกำร

เรียนกำรสอน เทคโนโลยีสำรสนเทศ เปน็ ต้น

ดังนน้ั จะเห็นได้วำ่ ทัง้ สอื่ กำรเรยี นกำรสอนและสือ่ กำรเรียนกำรสอนสมัยใหม่มคี วำมหมำยทใ่ี กลเ้ คยี งกนั จะ

แตกต่ำงกนั ตรงทเ่ี ครอื่ งมอื ทใ่ี ชเ้ ปน็ ตวั กลำงในกำรเรยี นกำรสอนนั้นไมเ่ หมอื นกัน ในส่วนของส่อื กำรเรยี นกำรสอน

แบบเดมิ น้ันจะเปน็ ส่ือทไ่ี ม่หลำกหลำย อำจจะไมม่ ีควำมทันสมัย ไม่นำ่ สนใจ อยำ่ งเช่น ภำพ เสียง หรอื สอื่ อะไรทเี่ กำ่ ๆ

แต่สำหรบั สอื่ กำรเรยี นกำรสอนสมยั ใหมน่ ั้นส่วนมำกแลว้ จะเปน็ สอื่ ทม่ี ีกำรนำนวตั กรรมเทคโนโลยี ITC ตำ่ งๆ เข้ำมำ

เกีย่ วขอ้ ง เพอ่ื ให้เกดิ ควำมสนใจ อยำกท่ีจะเรียนมำกขนึ้ อย่ำงเช่น สือ่ CAI บทเรียนออนไลน์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็น

ต้น

หลกั เกณฑ์การพิจารณาเลือกส่ือการเรยี นการสอนสมัยใหม่

กำรเลอื กสอื่ กำรเรียนกำรสอนเพอ่ื นำมำใช้ประกอบกำรสอนเพ่ือใหผ้ เู้ รยี นเกิดกำรเรียนรอู้ ย่ำงมีประสทิ ธิภำพ

น้นั เปน็ ส่งิ สำคญั ยิง่ โดยในกำรเลือกสอ่ื ผ้สู อนจะตอ้ งตั้งวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรมในกำรเรยี นให้แนน่ อนเสียกอ่ น

เพ่อื ใช้วตั ถปุ ระสงค์น้ันเปน็ ตัวช้ีนำในกำรเลือกสอื่ กำรเรียนกำรสอนทเี่ หมำะสม นอกจำกนี้ยังมหี ลกั กำรอ่ืนๆ เพอ่ื

ประกอบกำรพจิ ำรณำ คือ

1. สอ่ื นนั้ ต้องมีควำมสัมพนั ธ์กบั เนือ้ หำในบทเรยี นและตรงกับจดุ มงุ่ หมำยท่ีจะสอน

2. เลอื กสื่อทีม่ ีเน้ือหำถกู ต้อง ทนั สมัย นำ่ สนใจ และเปน็ ส่ือทีจ่ ะใหผ้ ลตอ่ กำรเรยี นกำรสอนมำกท่ีสุด ช่วยให้

ผ้เู รียนเขำ้ ใจในเนื้อหำวิชำนั้นๆ ได้ดเี ปน็ ลำดับข้นั ตอน

3. เปน็ สอ่ื ท่ีเหมำะสมกับวัย ระดบั ชน้ั ควำมรู้ และประสบกำรณข์ องผเู้ รยี น

4. ส่ือนน้ั ควรสะดวกในกำรใช้ มีวธิ ีใชไ้ ม่ซับซ้อนยงุ่ ยำกจนเกนิ ไป

5. ตอ้ งเปน็ สื่อท่มี คี ณุ ภำพเทคนิคกำรผลติ ที่ดี มคี วำมชัดเจนและเปน็ จริง

6. มีรำคำไมแ่ พงจนเกนิ ไป หรอื ถำ้ จะผลติ เองกค็ วรคุม้ กับเวลำและกำรลงทุน

ในกำรเรยี นกำรสอนนั้น วัตถุประสงคข์ องกำรเรียนนบั เปน็ สง่ิ สำคญั ยิ่งท่ีผู้สอนจะต้องกำหนดไวเ้ พือ่ เปน็ หลัก

ว่ำ จะสอนให้ผูเ้ รียนได้เรียนรู้และไดร้ ับประสบกำรณ์ด้ำนใดบ้ำงจำกบทเรียนน้นั ทงั้ น้เี พื่อทีจ่ ะสำมำรถเลือกสื่อกำร
เรียนกำรสอนได้อยำ่ งเหมำะสมกับวิธีกำรสอนแต่ละอยำ่ งด้วย

ประโยชน์และคณุ คา่ ของสื่อการเรยี นการสอน

ส่อื กำรเรียนกำรสอนสำมำรถใช้ประโยชน์ได้ทงั้ กับผู้เรียนและผู้สอนดงั ตอ่ ไปน้ี

ประโยชนแ์ ละคณุ ค่าตอ่ ครูผ้สู อน

ส่อื กำรเรยี นกำรสอนสำมำรถชว่ ยกำรเรียนกำรสอนของครูไดด้ มี ำกซง่ึ เรำจะเห็นว่ำครูนั้นสำมำรถจดั

ประสบกำรณ์กำรเรียนรใู้ ห้กับนกั เรียนได้มำกทเี ดียวแถมยงั ช่วยให้ครมู ีควำมรู้มำกขน้ึ ในกำรจัดหำแหลง่ วิทยำกำรที่

เป็นเน้อื หำเหมำะสมแกก่ ำรเรียนรตู้ ำมจุดมงุ่ หมำยในกำรสอนชว่ ยครูในดำ้ นกำรคมุ พฤติกรรมกำรเรียนร้แู ละสำมำรถ

สนับสนุนกำรเรียนรขู้ องนักเรยี นได้มำกทีเดยี วสอื่ กำรสอนจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนได้ทำกจิ กรรมหลำยๆรปู แบบ

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 273

------------------------------------------------------------------------------
เช่น กำรใชศ้ ูนยก์ ำรเรียน กำรใช้คอมพวิ เตอร์ช่วยสอน กำรสำธิต กำรแสดงนำฏกำร เป็นต้น ช่วยให้ครูผ้สู อนได้สอน

ตรงตำมจดุ มุ่งหมำยกำรเรียนกำรสอนและยงั ชว่ ยในกำรขยำยเน้ือหำทเี่ รียนทำให้กำรสอนง่ำยข้ึนและยังจะชว่ ย
ประหยัดเวลำในกำรสอนนกั เรียนจะไดม้ ีเวลำในกำรทำกจิ กรรมกำรเรยี นมำกขึ้น จำกขอ้ มลู เรำจะได้เหน็ ถงึ ประโยชน์

ของส่ือกำรเรียนกำรสอนซึ่งทำใหเ้ รำมองเหน็ ถึงควำมสำคัญของส่อื สำรมีประโยชนแ์ ละมีควำมจำเป็นสำมำรถชว่ ย

พฒั นำกำรเรยี นกำรสอนไดอ้ ย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพ และยังมีข้อเสนอแนะอกี มำกมำยอยำ่ งเชน่

1. เป็นกำรช่วยใหบ้ รรยำกำศในกำรสอนนำ่ สนใจมำกยงิ่ ขึ้น ทำให้ผู้สอนมีควำมสนุกสนำนในกำรสอน

มำกกวำ่ วธิ ีกำรทเ่ี คยใชก้ ำรบรรยำยแตเ่ พยี งอย่ำงเดยี ว

2. ส่ือจะชว่ ยแบง่ เบำภำระของผู้สอนในกำรเตรียมเนอ้ื หำ เพรำะบำงครัง้ อำจใหผ้ ู้เรียนศึกษำจำกเน้อื หำจำกสอ่ื

ได้บำ้ ง

3. เปน็ กำรกระตนุ้ ให้ผ้สู อนต่ืนตวั อยูเ่ สมอในกำรเตรยี มและผลิตวสั ดุใหม่ๆ เพ่อื ใช้เป็นสื่อกำรสอน ตลอดจน

คิดคน้ เทคนคิ วธิ กี ำรตำ่ งๆ เพอ่ื ใหก้ ำรเรียนรนู้ ำ่ สนใจย่งิ ขึ้น

ประโยชน์และคณุ ค่าต่อตวั ผู้เรียน

1. เป็นสงิ่ ที่ช่วยให้เกดิ กำรเรียนรู้อย่ำงมปี ระสทิ ธิภำพ เพรำะทำให้ผ้เู รียนเกดิ ควำมเขำ้ ใจเน้ือหำบทเรียนที่

ย่งุ ยำกซบั ซ้อนได้งำ่ ยขึ้นในระยะเวลำอนั สั้น

2. สื่อจะชว่ ยกระตุน้ และสร้ำงควำมสนใจใหก้ ับผู้เรียน ทำให้เกิดควำมสนกุ และไมร่ ู้สกึ เบื่อหน่ำย

3. กำรใช้สื่อจะทำใหผ้ ู้เรียนมีควำมเขำ้ ใจตรงกนั และเกดิ ประสบกำรณ์ร่วมกันในวิชำทเ่ี รยี น

4. ชว่ ยให้ผเู้ รียนมีสว่ นรว่ มในกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอนมำกย่ิงขน้ึ ทำใหเ้ กิดมนษุ ยสมั พันธ์
5. ทำใหเ้ ดก็ ไดร้ บั ประสบกำรณต์ รงครูผสู้ อนท่นี ำสือ่ มำใช้ในกำรสอนและจำกสิ่งแวดล้อมรวมไปถงึ ทำง

สังคมและวัฒนธรรม

6. เทคโนโลยสี ำรสนเทศของสือ่ กำรเรยี นกำรสอนทำให้เดก็ สำมำรคิดแยกแยะได้และมีควำมคดิ รวบยอดเป็น

อยำ่ งเดยี วกัน

7. สอ่ื กำรเรียนกำรสอนสมยั ใหม่สำมำรถเอำชนะข้อจำกัดเร่ืองควำมแตกต่ำงกันของประสบกำรณด์ ้ังเดมิ ของ

ผ้เู รยี นคอื เมื่อใช้สอ่ื กำรเรยี นกำรสอนแลว้ จะช่วยใหเ้ ด็กซงึ่ มีประสบกำรณ์เดิมตำ่ งกนั เข้ำใจไดใ้ กล้เคียงกันหรือสำมำรถ

เปลี่ยนมุมมองทัศนคติไปจำกเดมิ ได้

8. ทำให้เด็กมีควำมสนใจและต้องกำรเรยี นในเรอื่ งตำ่ ง ๆ มำกข้นึ เช่นกำรอ่ำน ควำมคดิ รเิ ร่ิม สร้ำงสรรค์

ทศั นคติ กำรแก้ปัญหำ ฯลฯ

9. เปน็ กำรสรำ้ งแรงจงู ใจ เร้ำควำมสนใจใหเ้ ด็กสนใจในกำรเรียนอีกครัง้ เป็นกำรนำสิ่งที่อยไู่ กลมำศกึ ษำได้

10. ชว่ ยให้ผู้เรยี นได้มปี ระสบกำรณจ์ ำกรูปธรรมสู่นำมธรรม

11. ชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดกำรเรยี นร้อู ยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ อยำ่ งเช่น เรยี นรไู้ ด้ดขี ึ้นจำกประสบกำรณท์ ่มี คี วำมหมำย

ในรปู แบบต่ำงๆ เรียนรู้ได้อย่ำงถูกต้อง เรยี นรู้ได้ง่ำยและเข้ำใจได้ชดั เจน เรียนรู้ได้มำกข้ึนและเรยี นรู้ไดใ้ นเวลำทจ่ี ำกัด

12. เป็นกำรนำส่ิงท่ีเกดิ ข้นึ ในอดีตมำศกึ ษำได้และช่วยกระตนุ้ ควำมสนใจของผ้เู รียนด้วย

13. ชว่ ยให้จดจำได้นำน เกดิ ควำมประทับใจและมั่นใจในกำรเรยี นและกำรสอนของครผู สู้ อน

14. ช่วยให้ผูเ้ รยี นไดค้ ิดและแก้ปัญหำเปน็ และตดั สินใจได้

หลักการใชส้ ่ือการเรียนการสอน

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 274

------------------------------------------------------------------------------
กำรใชส้ ่อื กำรเรียนกำรสอนน้ันอำจจะใชเ้ ฉพำะขนั้ ตอนใดข้ันตอนหนงึ่ ของกำรสอน หรอื จะใช้ในทุกข้นั ตอนก็

ได้ ดงั น้ี
1. ข้ันนำเขำ้ สูบ่ ทเรียน เพื่อกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นเกิดควำมสนใจในเนือ้ หำท่ีกำลงั จะเรยี นหรอื เน้ือหำทีเ่ ก่ยี วข้องกบั

กำรเรยี นในครั้งก่อน แตม่ ใิ ชส่ ่ือที่เน้นเน้อื หำเจำะลึกอย่ำงแทจ้ รงิ เปน็ ส่ือทง่ี ่ำยในกำรนำเสนอในระยะเวลำอันสน้ั

2. ขน้ั ดำเนนิ กำรสอนหรอื ประกอบกิจกรรมกำรเรียน เป็นขน้ั สำคญั ในกำรเรียนเพรำะเป็นข้ันท่ีจะให้ควำมรู้

เนอ้ื หำอยำ่ งละเอยี ดเพอื่ สนองวัตถปุ ระสงค์ทต่ี ัง้ ไว้ ตอ้ งมกี ำรจดั ลำดบั ข้ันตอนกำรใชส้ ่อื ใหเ้ หมำะสมและสอดคลอ้ งกบั

กิจกรรมกำรเรยี น

3. ขน้ั วเิ ครำะห์และฝกึ ปฏบิ ัติ สอื่ ในขัน้ นี้จึงเปน็ สอื่ ทเี่ ป็นประเดน็ ปญั หำให้ผ้เู รยี นได้ขบคิดโดยผู้เรยี นเปน็ ผ้ใู ช้

ส่ือเองมำกทสี่ ดุ

4. ขั้นสรุปบทเรียน เป็นข้ันของกำรเรียนกำรสอนเพ่อื กำรย้ำเนอ้ื หำบทเรยี นให้ผู้เรยี นมีควำมเข้ำใจทถ่ี ูกตอ้ ง

และตรงตำมวัตถปุ ระสงคท์ ี่ตงั้ ไว้ ควรใช้เพียงระยะเวลำสั้นๆ

5. ขั้นประเมนิ ผูเ้ รียน เป็นกำรทดสอบควำมสำมำรถของผเู้ รียนว่ำผู้เรียนเข้ำใจในส่ิงทเี่ รียนถูกตอ้ งมำก
น้อยเพียงใด ส่วนใหญ่แลว้ จะเปน็ กำรประเมนิ จำกคำถำมจำกเน้อื หำบทเรียนโดยอำจจะมีภำพประกอบด้วยก็ได้

ตัวอย่างสอื่ การเรยี นการสอนสมัยใหม่

1.สือ่ CAI
คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction) หรือ ซเี อไอ (CAI)

คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรอื โปรแกรมชว่ ยสอน คือส่ือทีใ่ ช้ในกำรเรียนกำรสอนอันหน่งึ CAI คลำ้ ยกับสื่อกำรสอนอื่น ๆ
เชน่ วดิ ีโอช่วยสอน บตั รคำชว่ ยสอน โปสเตอร์ แตค่ อมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนจะดกี วำ่ ตรงท่ีตวั สือ่ กำรสอน ซงึ่ กค็ อื
คอมพวิ เตอรน์ ัน้ สำมำรถโต้ตอบกับนกั เรียนได้ ไมว่ ำ่ จะเป็นกำรรบั คำส่ังเพ่ือมำปฏิบตั ิ ตอบคำถำมหรือไมเ่ ช่นน้ัน
คอมพิวเตอรก์ ็จะเปน็ ฝ่ำยป้อนคำถำม

หมำยถึง กำรนำคอมพิวเตอรม์ ำเปน็ เคร่ืองมือสร้ำงใหเ้ ป็นโปรแกรมคอมพวิ เตอรเ์ พอ่ื ใหผ้ เู้ รียนนำไปเรยี นดว้ ย
ตนเองและเกิดกำรเรียนรู้ในโปรแกรมประกอบไปด้วย เนอื้ หำวิชำ แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะของกำรนำเสนอ
อำจมีท้ังตัวหนังสือ ภำพกรำฟิก ภำพเคล่อื นไหว สหี รอื เสยี งเพอื่ ดงึ ดดู ให้ผเู้ รียนเกดิ ควำมสนใจมำกยง่ิ ขึ้นรวมทง้ั กำร
แสดงผลกำรเรียนให้ทรำบทันทดี ้วยขอ้ มูลย้อนกลบั (Feedback) แก่ผู้เรยี นและยังมีกำรจัดลำดับวิธีกำรสอนหรอื
กจิ กรรมตำ่ ง ๆเพ่อื ให้เหมำะสมกับผเู้ รียนในแต่ละคนนอกจำกน้ัน คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนเองยังมลี กั ษณะทเ่ี รียกวำ่
“บทเรยี นสำเร็จรปู ” แต่เปน็ บทเรยี นสำเรจ็ รปู โดยกำรใชไ้ มโครคอมพวิ เตอรเ์ ปน็ ตวั กลำงแทนสิง่ พมิ พห์ รอื สอ่ื ประเภท
ต่ำงๆทำใหบ้ ทเรียนสำเรจ็ รปู ในคอมพิวเตอรม์ ศี กั ยภำพเหนือกวำ่ บทเรียนสำเรจ็ รูปในรูปแบบอน่ื ๆท้งั หมดโดยเฉพำะมี
ควำมสำมำรถที่เกือบจะแทนครูทีเ่ ป็นมนษุ ย์ได้
คณุ ลักษณะสาคญั ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
คณุ ลกั ษณะทเี่ ปน็ องค์ประกอบสำคญั ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน 4 ประกำร ได้แก่

1. สำรสนเทศ (Information) หมำยถงึ เนื้อหำสำระท่ีได้รบั กำรเรยี บเรยี ง ทำให้ผู้เรยี นเกดิ กำรเรียนรู้ หรือไดร้ บั
ทกั ษะอยำ่ งหนึ่งอยำ่ งใดตำมทผี่ ู้สร้ำงได้กำหนดวัตถปุ ระสงคไ์ ว้ กำรนำเสนออำจเปน็ ไปในลักษณะทำงตรง หรือ

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 275

------------------------------------------------------------------------------
ทำงอ้อมก็ได้ ทำงตรงได้แก่ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนประเภทติวเตอร์ เชน่ กำรอ่ำน จำ ทำควำมเขำ้ ใจ ฝึกฝน ตัวอยำ่ ง กำร

นำเสนอในทำงออ้ มไดแ้ ก่ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนประเภทเกมและกำรจำลอง
2. ควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบุคคล (Individualization) กำรตอบสนองควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล คอื ลักษณะ

สำคญั ของคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน บคุ คลแต่ละบุคคลมีควำมแตกตำ่ งกนั ทำงกำรเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นสอื่

ประเภทหน่ึงจงึ ตอ้ งไดร้ ับกำรออกแบบใหม้ ลี กั ษณะทต่ี อบสนองต่อควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคลใหม้ ำกท่สี ดุ

3. กำรโต้ตอบ (Interaction) คือกำรมีปฏสิ ัมพนั ธ์กันระหวำ่ งผูเ้ รยี นกับคอมพิวเตอร์ช่วยสอนกำรเรยี น กำรสอน

รปู แบบทด่ี ีท่ีสดุ กค็ ือเปิดโอกำสใหผ้ ู้เรียนไดม้ ีปฏิสมั พันธก์ ับผสู้ อนไดม้ ำกทสี่ ุด

4.กำรให้ผลปอ้ นกลบั โดยทันที (Immediate Feedback) ผลป้อนกลบั หรือกำรให้คำตอบนีถ้ อื เปน็ กำร เสรมิ แรง

อยำ่ งหนึง่ กำรให้ผลป้อนกลับแกผ่ เู้ รียนในทันทีหมำยรวมไปถึงกำรทคี่ อมพิวเตอร์ชว่ ยสอนทีส่ มบูรณ์จะต้องมกี ำร

ทดสอบหรอื ประเมินควำมเขำ้ ใจของผเู้ รยี นในเน้อื หำหรือทักษะตำ่ ง ๆ ตำมวัตถุประสงคท์ ี่กำหนดไว้

ประโยชนข์ องคอมพิวเตอร์ชว่ ยสอน (CAI)

1. ช่วยให้ผู้เรียนท่ีเรยี นอ่อน สำมำรถใชเ้ วลำนอกเวลำเรยี นในกำรฝกึ ฝนทักษะ และเพ่มิ เติมควำมรู้ เพอื่

ปรบั ปรงุ กำรเรยี นของตน

2. ผู้เรยี นสำมำรถนำคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอนไปใชใ้ นกำรเรียนด้วยตนเองในเวลำ และสถำนทที่ ่ีสะดวก

3. คอมพิวเตอร์ชว่ ยสอนสำมำรถทจ่ี ะจูงใจผเู้ รียนใหเ้ กดิ ควำมกระตือรอื ร้น สนุกสนำนไปกบั กำรเรยี น

ข้อพึงระวังของการใชค้ อมพิวเตอร์ช่วยสอน

* ผูส้ อนจะตอ้ งมีควำมพร้อม ควำมชำนำญในกำรสอนคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน

* ผสู้ อนควรมกี ำรวำงแผน และเตรียมควำมพร้อมใหแ้ กผ่ ูเ้ รยี นให้รอบคอบ ก่อนนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนไป

ใช้อยำ่ งเหมำะสม

* กำรผลติ คอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอนทไี่ ด้มำตรฐำนเป็นสงิ่ สำคัญมำก หำกคอมพิวเตอรช์ ่วยสอนไม่ได้รบั กำร

ออกแบบอย่ำงเหมำะสม จะทำใหผ้ ู้เรียนรู้สกึ เบือ่ หน่ำยและไมต่ อ้ งกำรใช้คอมพวิ เตอร์ช่วยสอนนนั้ ๆ

* ผ้ทู ี่สนใจสรำ้ งคอมพิวเตอร์ช่วยสอนควรทคี่ ำนึงเวลำในกำรผลิตวำ่ คอมพิวเตอรช์ ่วยสอนทีไ่ ดม้ ำตรฐำนน้ัน

ตอ้ งใชเ้ วลำเทำ่ ไร

ตัวอยา่ งของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือ CAI

1.กำรสอน (TutorialInstruction) เปน็ โปรแกรมทีเ่ สนอเนอื้ หำควำมรูเ้ ปน็ เนื้อหำย่อย ๆ แก่ผเู้ รยี นในรูปแบบ

ของข้อควำม ภำพ เสยี ง หรือทกุ รูปแบบรวมกัน แล้วให้ผู้เรยี นตอบคำถำมเม่อื ผเู้ รียนให้คำตอบแล้วคำตอบนั้นจะ

ได้รับกำรวเิ ครำะห์เพ่อื ให้ข้อมูลปอ้ นกลับทันทแี ต่ถำ้ ผูเ้ รยี นตอบคำถำมน้นั ซ้ำและยังผดิ อีกกจ็ ะมีกำรให้เนอ้ื หำเพ่ือ
ทบทวนใหมจ่ นกว่ำผู้เรียนจะตอบถกู แลว้ จงึ ตดั สนิ ใจวำ่ จะยงั คงเรยี นเนอ้ื หำในบทน้ันอกี หรอื จะเรียนในบทใหมต่ อ่ ไป

2.กำรฝึกหดั (Drills and Practice) เปน็ โปรแกรมฝึกหดั ทไ่ี ม่มีกำรเสนอเน้ือหำควำมรู้แกผ่ ูเ้ รยี นกอ่ นแตจ่ ะมี

กำรให้คำถำมหรือ ปัญหำท่ไี ด้คดั เลือกมำจำกกำรสมุ่ หรือออกแบบมำโดยเฉพำะโดยกำรนำเสนอคำถำม หรอื ปัญหำน้ัน

ซ้ำแลว้ ซ้ำเล่ำเพือ่ ให้ผูเ้ รียนตอบแล้วมกี ำรใหค้ ำตอบทถี่ กู ต้อง เพ่อื กำรตรวจสอบยืนยันแก้ไขและพรอ้ มกับให้คำถำม

หรือปญั หำต่อไปอีก จนกว่ำผเู้ รยี นจะสำมำรถตอบคำถำมหรือแกป้ ญั หำน้นั จนถงึ ระดบั ท่นี ่ำพอใจ ดังนัน้ ในกำรใช้

คอมพวิ เตอร์เพือ่ กำรฝกึ หดั นี้ ผู้เรียนจึงจำเป็นตอ้ งมคี วำมคดิ รวบยอดและมีควำมรคู้ วำมเข้ำใจในเรื่องรำว และกฎเกณฑ์

เก่ยี วกบั เรอื่ งน้นั ๆเป็นอยำ่ งดมี ำกอ่ น แลว้ จงึ จะสำมำรถตอบคำถำม หรือแก้ปัญหำได้

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 276

------------------------------------------------------------------------------
3.กำรจำลอง (Simulation) เป็นโปรแกรมทจ่ี ำลองควำมเป็นจรงิ โดยตัดรำยละเอยี ดตำ่ ง ๆหรือนำกิจกรรมที่

ใกล้เคียงกับควำมเป็นจริง มำใหผ้ เู้ รยี นได้ศกึ ษำน้ันเปน็ กำรเปดิ โอกำสให้ผู้เรยี นไดพ้ บเห็นภำพจำลองของเหตุกำรณ์
เพือ่ กำรฝึกทกั ษะและกำรเรยี นรู้ได้ โดยไม่ต้องเสย่ี งภยั หรือเสียคำ่ ใช้จำ่ ยมำกนักโปรแกรมนม้ี ิใชเ่ ปน็ กำรสอน

เหมือนกับโปรแกรมกำรสอนแบบธรรมดำซึ่งเป็นกำรเสนอเนอ้ื หำควำมรู้ แลว้ จึงใหผ้ ู้เรยี นทำ

กิจกรรมแต่เป็นเพียงกำรแสดงให้ผเู้ รียนได้ชมเทำ่ น้ัน

4. เกมเพ่ือกำรสอน (Instructional Games) โปรแกรมชนิดน้ีกำลังเป็นทน่ี ิยมกันมำกเน่ืองจำกเป็นสง่ิ ทกี่ ระตุน้

ผู้เรยี นใหเ้ กดิ ควำมอยำกเรยี นร้ไู ด้โดยง่ำยเพ่ิมบรรยำกำศในกำรเรียนร้ใู ห้ดียิ่งขนึ้ และชว่ ยมิให้ผู้เรยี นเกดิ อำกำรเหมอ่

ลอยหรอื ฝันกลำงวนั ซ่ึงเป็นอุปสรรคในกำรเรียนเนื่องจำกมีกำรแข่งขนั จงึ ทำให้ผ้เู รียนต้องมีกำรตนื่ ตัวอยู่เสมอ

5. กำรคน้ พบ (Discovery) เปน็ กำรเปิดโอกำสให้ผ้เู รียนสำมำรถเรียนรจู้ ำกประสบกำรณ์ของตนเองใหม้ ำก

ท่สี ดุ โดยกำรเสนอปญั หำให้ผู้เรยี นลองผิดลองถกู หรือโดยวิธกี ำรจดั ระบบเข้ำมำช่วย โปรแกรมคอมพวิ เตอร์ จะให้

ข้อมูลแกผ่ เู้ รียนเพ่อื ชว่ ยในกำรค้นพบจนกว่ำจะไดข้ ้อสรปุ ที่ดที ส่ี ดุ

6. กำรแก้ปัญหำ (Problem-Solving) เป็นกำรใหผ้ ู้เรียนฝึกกำรคิด กำรตัดสินใจโดยมกี ำรกำหนดเกณฑใ์ ห้ แล้ว

ให้ผูเ้ รียนพจิ ำรณำไปตำมเกณฑน์ ้ันโปรแกรมเพ่อื กำรแก้ปัญหำแบง่ ไดเ้ ป็น 2 ชนดิ คอื โปรแกรมท่ีให้ผเู้ รยี นเขียนเอง

และโปรแกรมทมี่ ีผู้เขยี นไวแ้ ลว้ เพื่อช่วยผเู้ รยี นในกำรแก้ปัญหำโดยท่ีคอมพิวเตอร์จะช่วยในกำรคดิ คำนวณ และหำ

คำตอบทถี่ ูกต้องให้

7. กำรทดสอบ (Tests) กำรใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อกำรทดสอบมิใชเ่ ปน็ กำรใชเ้ พียงเพือ่ ปรับปรงุ

คุณภำพของแบบทดสอบเพอ่ื วดั ควำมร้ขู องผู้เรียนเทำ่ น้นั แตย่ งั ชว่ ยให้ผูส้ อนมคี วำมรู้สกึ ที่เปน็ อิสระจำกกำรผกู มดั ทำง

กฎเกณฑต์ ่ำง ๆเกยี่ วกบั กำรทดสอบได้อกี ด้วย

การนาไปใช้

สือ่ กำรเรียนกำรสอนนบั วำ่ เป็นปัจจยั สำคญั อยำ่ งย่ิงท่ีจะสง่ เสริมและสนบั สนุนให้ผูเ้ รยี นเป็นศนู ย์กลำงกำร

เรียนรู้ไดห้ รอื เน้นผู้เรียนเปน็ สำคญั ส่ือกำรเรียนกำรสอนประเภท “คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน” เองนับวำ่ เป็นสอ่ื ประเภท

หนึ่งท่ีให้ผลสมั ฤทธ์ิทำงกำรเรียนสูง ทัง้ นเ้ี นอื่ งจำกคอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนมีคุณสมบัติในกำรนำเสนอแบบหลำยสอื่

(Multimedia) ดว้ ยคอมพิวเตอรแ์ ละกำรเรยี นที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เปน็ เครื่องมือเป็นเพิม่ ควำมนำ่ สนใจให้แกผ่ ูเ้ รียน

โดยนำเสนอในรูปแบบตำ่ งๆเช่น ภำพ เสียง กรำฟฟกิ ตำ่ งๆ โดยเน้นให้ผู้เรยี นไดเ้ กดิ กำรเรียนรดู้ ้วยตนเอง

การประเมิน

ประเมินว่ำหลงั จำกนกั เรียนใชโ้ ปรแกรมนีแ้ ล้วบรรลุวัตถุประสงค์ทตี่ ้งั ไว้หรอื ไม่วธิ ีกำรประเมินผลสว่ นน้ี

กระทำโดยผู้เรยี นทำแบบทดสอบก่อนและหลงั กำรใช้โปรแกรมเพ่อื วดั ควำมกำ้ วหน้ำของผเู้ รยี นถ้ำผลกำรทดสอบ

ออกมำตดิ ลบแสดงว่ำหลงั จำกกำรใชโ้ ปรแกรมผู้เรยี นไม่ได้พัฒนำข้ึนเลยจำเปน็ ตอ้ งมกี ำรปรบั ปรุงวตั ถปุ ระสงค์ใหม่

เพรำะโปรแกรมทีส่ รำ้ งไมบ่ รรลุวัตถปุ ระสงค์ตำมทตี่ ้งั ไว้นอกจำกนีย้ งั ประเมินในส่วนของโปรแกรมและกำรทำงำนว่ำ

กำรใชโ้ ปรแกรมกบั เนื้อหำรวิชำน้ีเหมำะสมหรอื ไม่เจตคตขิ องผูเ้ รียนต่อกำรใช้โปรแกรมเป็นอยำ่ งไรวธิ กี ำรใช้

โปรแกรมงำ่ ยยำกอย่ำงไรวธิ ีกำรสอนบทเรยี นควำมถกู ต้องของเนื้อหำเอกสำรประกอบกำรตดิ ตอ่ กับผเู้ รยี นเป็นอย่ำงไร

กำรประเมินผลเปน็ อย่ำงไรกำรประเมนิ ผลสว่ นนี้จะใช้แบบสอบถำมจำกขัน้ ตอนกำรพัฒนำโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วย
สอนท่กี ลำ่ วมำทง้ั หมดขำ้ งต้นนี้

2. E-Leaning หรือบทเรียนออนไลน์

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 277

------------------------------------------------------------------------------
คำว่ำ e-Learning คือ กำรเรยี น กำรสอนในลักษณะหรอื รูปแบบใดกไ็ ด้ ซง่ึ กำรถำ่ ยทอดเนื้อหำนั้น กระทำผ่ำน

ทำงสอ่ื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ ซีดรี อม เครือขำ่ ยอินเทอร์เน็ต อินทรำเน็ต เอก็ ซทรำเน็ต หรอื ทำงสัญญำณโทรทศั น์หรอื
สัญญำณดำวเทยี ม (Satellite) ฯลฯ เป็นตน้ ซ่งึ กำรเรยี นลักษณะนไ้ี ดม้ กี ำรนำเข้ำสู่ตลำดเมอื งไทยในระยะหนงึ่ แล้ว เช่น

คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอนดว้ ยซดี รี อม, กำรเรยี นกำรสอนบนเวบ็ (Web-Based Learning), กำรเรียนออนไลน์ (On-line

Learning) กำรเรยี นทำงไกลผ่ำนดำวเทียม หรือกำรเรยี นด้วยวีดีโอผ่ำนออนไลน์

ดร. สรุ สทิ ธ์ิ วรรณไกรโรจน์ ผู้อำนวยกำรโครงกำรกำรเรียนร้แู บบออนไลนแ์ ห่ง สวทช. ได้ใหค้ ำจำกดั ควำม

ของ บทเรยี นออนไลน์ (Online) e-Learning (อเี ลริ ์นนิง) คือ กำรเรยี นรแู้ บบออนไลน์ หรอื e-learning (อเี ลริ ์นนงิ่ )

กำรศกึ ษำ เรียนรผู้ ่ำนเครอื ขำ่ ยคอมพิวเตอร์อินเทอรเ์ น็ต(Internet) หรอื อนิ ทรำเนต็ (Intranet) เป็นกำรเรียนรูด้ ้วยตัวเอง

ผู้เรียนจะได้เรียนตำมควำมสำมำรถและควำมสนใจของตน โดยเน้ือหำของบทเรียนซง่ึ ประกอบดว้ ย ขอ้ ควำม รูปภำพ

เสียง วดิ โี อและมลั ตมิ ีเดยี อ่ืนๆ จะถกู สง่ ไปยงั ผูเ้ รยี นผำ่ น Web Browser โดยผเู้ รียน ผู้สอน และเพือ่ นร่วมชน้ั เรียนทุกคน

สำมำรถตดิ ตอ่ ปรกึ ษำ แลกเปล่ยี นควำมคิดเห็นระหวำ่ งกนั ไดเ้ ชน่ เดยี วกบั กำรเรียนในชนั้ เรียนปกติ โดยอำศยั เครื่องมือ

กำรตดิ ต่อ สอ่ื สำรทที่ ันสมยั เชน่ e-mail, webboard, chat) จงึ เปน็ กำรเรยี นสำหรบั ทกุ คน, เรยี นไดท้ กุ เวลำ และทุก

สถำนที่ (Learn for all : anyone, anywhere and anytime)

สามารถนาไปใชป้ ระกอบกบั การเรยี นการสอน ได้ 3 ระดบั ดังนี้

1. สื่อเสรมิ (Supplementary) กลำ่ วคือนอกจำกเนอ้ื หำทปี่ รำกฏในลักษณะ e-Learning แลว้ ผ้เู รยี นยงั สำมำรถ

ศกึ ษำเน้ือหำเดียวกนั น้ใี นลักษณะอ่นื ๆ เชน่ จำกเอกสำร (ชที )ประกอบกำรสอน จำกวิดีทัศน์ (Videotape) ฯลฯ กำรใช้

e-Learning ในลักษณะนี้เทำ่ กับว่ำผสู้ อนเพียงต้องกำรจดั หำทำงเลือกใหมอ่ ีกทำงหน่ึงสำหรับผเู้ รียนในกำรเขำ้ ถงึ เน้อื หำ

เพ่ือให้ประสบกำรณพ์ ิเศษเพมิ่ เติมแกผ่ ู้เรียนเท่ำนั้น

2. สื่อเตมิ (Complementary) หมำยถงึ กำรนำ e-Learning ไปใชใ้ นลกั ษณะเพิ่มเตมิ จำกวธิ ีกำรสอนใน

ลักษณะอื่นๆ เชน่ นอกจำกกำรบรรยำยในห้องเรียนแล้วผสู้ อนยังออกแบบเนื้อหำให้ผ้เู รียนเข้ำไปศึกษำเนอ้ื หำเพ่ิมเติม

จำก e-Learning ในควำมคดิ ของผเู้ ขยี น

3. ส่ือหลัก (Comprehensive Replacement) หมำยถงึ กำรนำ e-Learning ไปใช้ในลักษณะแทนท่ีกำรบรรยำย

ในห้องเรียน ผูเ้ รียนจะต้องศกึ ษำเนือ้ หำทงั้ หมดออนไลน์ ในปัจจุบัน e-Learning สว่ นใหญ่ในตำ่ งประเทศจะไดร้ ับกำร

พัฒนำขึ้นเพื่อวัตถปุ ระสงค์ในกำรใช้เป็นส่อื หลักสำหรบั แทนครูในกำรสอนทำงไกล ด้วยแนวคดิ ที่วำ่ มัลติมเี ดีย ท่ี

นำเสนอทำง e-Learning สำมำรถช่วยในกำรถำ่ ยทอดเนือ้ หำได้ใกล้เคียงกับกำรสอนจริงของครผู ูส้ อนโดยสมบูรณ์ได้

การเตรียมความพรอ้ มของผเู้ รยี น สาหรบั การเรียนแบบ e – Learning

- สำมำรถใช้งำนคอมพวิ เตอร์ และใช้งำนอินเทอร์เน็ตได้เป็นอย่ำงดี

- เพ่ือกำรเรยี นเน้อื หำบทเรยี นไดอ้ ยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ ควรใชง้ ำนอนิ เทอรเ์ น็ตทมี่ ีควำมเร็วไมต่ ่ำกว่ำ 256 K

- ผู้เรียนจะตอ้ งวำงแผนกำรเรยี น แบง่ เวลำในกำรเรียน ควบคมุ กำรเรยี นให้เปน็ ไปตำมควำมพรอ้ มและ

ควำมสำมำรถของตนเองควบคไู่ ปกบั ตำรำงกำรเรียนกำรสอนของทำงสถำบนั

การประเมิน

เนื้อหำต้องมีควำมถูกต้อง วธิ กี ำรสอนหรือกำรเสนอเนื้อหำควำมมุง่ หมำยชัดเจนตรงตำมวตั ถุประสงค์ มีควำม

ชดั เจนและตำมตรรกะ เหมำะสมกับผู้เรียนส่งเสรมิ ในกำรคิดสร้ำงสรรคต์ อบสนองควำมต้องกำรของผเู้ รียนเหมำะสม

กับสถำนกำรณ์ เวลำ และเหตุกำรณช์ ่วยบูรณำกำรประสบกำรณใ์ นอดตี ผูเ้ รยี นสำมำรถควบคุมไดเ้ ทคนคิ วิธีกำร กำร

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 278

------------------------------------------------------------------------------
แสดงผลง่ำยต่อกำรใช้งำน มีควำมแน่นอนเชอื่ ถือได้

3. E-Book หรือหนังสืออิเล็กทรอนกิ ส์

อีบคุ๊ (e-book, e-Book, eBook, EBook,) เปน็ คำภำษำต่ำงประเทศ ย่อมำจำกคำว่ำ electronic book หมำยถึง

หนังสือทส่ี ร้ำงขึ้นดว้ ยโปรแกรมคอมพิวเตอรม์ ีลักษณะเปน็ เอกสำรอิเล็กทรอนกิ ส์ โดยปกติมกั จะเป็นแฟม้ ขอ้ มลู ที่

สำมำรถอำ่ นเอกสำรผ่ำนทำงหน้ำจอคอมพิวเตอร์ท้ังในระบบออฟไลน์และออนไลน์คุณลักษณะของหนงั สือ

อเิ ล็กทรอนิกส์สำมำรถเช่ือมโยงจุดไปยงั สว่ นต่ำงๆ ของหนังสอื เว็บไซต์ตำ่ งๆ ตลอดจนมีปฏสิ ัมพนั ธ์และโต้ตอบกับ

ผู้เรียนได้ นอกจำกน้ันหนงั สอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์สำมำรถแทรกภำพ เสียง ภำพเคลอ่ื นไหว แบบทดสอบ และสำมำรถส่งั

พมิ พ์เอกสำรท่ตี ้องกำรออกทำงเคร่อื งพมิ พไ์ ด้ อีกประกำรหนง่ึ ทส่ี ำคัญกค็ ือ หนังสอื อเิ ล็กทรอนกิ ส์สำมำรถปรับปรุง
ข้อมูลให้ทนั สมยั ไดต้ ลอดเวลำ ซ่งึ คุณสมบัติเหล่ำน้ีจะไมม่ ีในหนังสือธรรมดำท่ัวไป

หนงั สอื อเิ ล็กทรอนิกส์ เป็นหนงั สอื ทจ่ี ดั ทำดว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ โดยไม่ต้องพิมพ์เนอ้ื หำสำระของหนังสอื

บนกระดำษหรอื จดั พิมพเ์ ป็นรูปเล่ม หนังสอื อเิ ลก็ ทรอนิกส์สำมำรถเปิดอ่ำนไดจ้ ำกจอภำพของเครอื่ งคอมพวิ เตอร์

เหมือนกบั เปดิ อำ่ นจำกหนงั สือโดยตรง ทงั้ นส้ี ำมำรถนำเสนอข้อมลู ไดท้ ้งั ตัวอักษรหรอื ตวั เลข เรยี กวำ่ ไฮเปอรเ์ ทก็ ซ์

(hypertext) และถ้ำหำกขอ้ มลู นนั้ รวมถงึ ภำพ เสยี ง และภำพเคลื่อนไหวจะเรยี กว่ำ ไฮเปอร์มเี ดีย (hypermedia)โดยกำร

ประสำนเชือ่ มโยงสมั พันธ์ของเน้ือหำทอ่ี ยใู่ นแฟ้มเดียวกัน หรอื อยคู่ นละแฟ้ม เข้ำด้วยกนั ทำให้ผใู้ ช้ สำมำรถค้นหำ

ข้อมูลทต่ี อ้ งกำรได้อย่ำงรวดเรว็ และมีประสิทธภิ ำพซง่ึ ผูเ้ รียนสำมำรถที่จะเลอื กเรียนได้ตำมควำมต้องกำรไมจ่ ำกดั เวลำ

และสถำนท่ี

โครงสรา้ งหนงั สอื อิเล็กทรอนิกส์ (e-Book Construction)

ลักษณะโครงสรำ้ งของหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกสจ์ ะมีควำมคลำ้ ยคลงึ กับหนังสอื ทั่วไปท่ีพิมพ์ดว้ ยกระดำษ หำก

จะมคี วำมแตกตำ่ งทีเ่ ห็นไดช้ ัดเจนกค็ อื กระบวนกำรผลติ รปู แบบ และวธิ กี ำรอำ่ นหนังสือ

สรุปโครงสร้ำงทัว่ ไปของหนังสอื อิเล็กทรอนกิ ส์ ประกอบด้วย

1. หนำ้ ปก (Front Cover)

2. คำนำ (Introduction)

3. สำรบญั (Contents)

4.สำระของหนงั สือแตล่ ะหน้ำ (Pages Contents)

5. อำ้ งองิ (Reference)

6.ดัชนี (Index)

7. ปกหลัง (Back Cover)

หนำ้ ปก หมำยถึง ปกด้ำนหน้ำของหนงั สือซง่ึ จะอยู่ส่วนแรก เป็นตัวบง่ บอกว่ำหนังสือเลม่ นีช้ ื่ออะไร ใครเป็นผู้

แตง่

คำนำ หมำยถงึ คำบอกกล่ำวของผเู้ ขียนเพื่อสรำ้ งควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจเกี่ยวกบั ข้อมูล และเรือ่ งรำวตำ่ งๆ ของ

หนงั สอื เลม่ นั้น

สำรบญั หมำยถึง ตัวบง่ บอกหัวเร่อื งสำคญั ท่อี ยภู่ ำยในเลม่ ว่ำประกอบดว้ ยอะไรบำ้ ง อยูท่ ่ีหน้ำใดของหนังสอื
สำมำรถเช่ือมโยงไปสหู่ น้ำตำ่ งๆ ภำยในเลม่ ได้

ประโยชน์

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 279

------------------------------------------------------------------------------
1. ช่วยให้ผเู้ รียนสำมำรถย้อนกลบั เพ่ือทบทวนบทเรยี นหำกไม่เขำ้ ใจ และสำมำรถเลอื กเรียนไดต้ ำมเวลำและ

สถำนท่ีท่ีตนเองสะดวก
2. กำรตอบสนองที่รวดเรว็ ของคอมพวิ เตอรท์ ี่ใหท้ ้ังสสี นั ภำพ และเสียง ทำ ใหเ้ กิดควำมต่ืนเตน้ และไมเ่ บ่อื

หนำ่ ย

3. ชว่ ยให้กำรเรียนมีประสทิ ธิภำพและประสทิ ธผิ ล มปี ระสิทธิภำพในแงท่ ล่ี ดเวลำลดคำ่ ใช้จำ่ ย สนองควำม

ต้องกำรและควำมสำมำรถของบคุ คล มีประสิทธผิ ลในแง่ท่ีทำ ให้ผูเ้ รยี นบรรลุจุดมุ่งหมำย

4. สำมำรถปรับเปล่ียน แก้ไข เพม่ิ เตมิ ขอ้ มูลได้ง่ำย สะดวกและรวดเรว็ ทำใหส้ ำมำรถปรับปรุงบทเรยี นให้

ทันสมัยกับเหตกุ ำรณ์ได้เปน็ อย่ำงดี

5. เสริมสร้ำงให้ผเู้ รียนเป็นผู้มีเหตุผล มคี วำมคิดและทัศนะท่ีเป็น Logical เพรำะกำรโต้ตอบกับเครอ่ื ง

คอมพิวเตอร์ ผู้เรยี นจะต้องทำ อย่ำงมีขัน้ ตอน มีระเบียบ และมเี หตผุ ลพอสมควรเปน็ กำรฝึกลักษณะนิสัยท่ดี ีให้กบั

ผูเ้ รียน

6. ครูมีเวลำตดิ ตำมและตรวจสอบควำมกำ้ วหนำ้ ของผเู้ รียนแต่ละคนได้มำกขึ้น

7. ช่วยพฒั นำทำงวิชำกำร

4. Tablet หรือเครือ่ งคอมพิวเตอร์สาหรบั พกพา

แท็บเลต็ คอมพวิ เตอร์ หรือ แทบ็ เลต็

"แท็บเลต็ คอมพิวเตอร์ - Tablet Computer" หรือเรยี กส้นั ๆวำ่ "แท็บเลต็ - Tablet" คือ "เคร่อื งคอมพิวเตอร์ท่ี

สำมำรถใชใ้ นขณะเคล่ือนทไ่ี ดข้ นำดกลำงและใชห้ น้ำจอสัมผสั ในกำรทำงำนเปน็ อนั ดับแรก มคี ีย์บอร์ดเสมือนจรงิ หรอื

ปำกกำดจิ ติ อลในกำรใชง้ ำนแทนทแ่ี ปน้ พิมพค์ ีย์บอร์ด และมีควำมหมำยครอบคลุมถงึ โน๊คบ๊คุ แบบ convertible ทีม่ ี

หน้ำจอแบบสมั ผสั และมแี ปน้ พมิ พ์คียบ์ อร์ดตดิ มำด้วยไมว่ ำ่ จะเปน็ แบบหมนุ หรือแบบสไลด์ก็ตำม"

สรปุ

ปัจจบุ นั นี้เริม่ มีกำรใช้ Tablet PC ในแวดวงกำรศึกษำกนั อย่ำงหลำกหลำย ตัวอยำ่ งเชน่ ในรัฐจอรเ์ จยี ประเทศ

สหรฐั อเมรกิ ำ ถงึ ขนั้ ลงทุนซื้อ Table PC แจกให้กับนักเรยี นเพ่ือใช้แทนหนังสือในรปู แบบเดิมๆ ท้ังนีเ้ พรำะTablet PC

จะชว่ ยประหยดั งบประมำณในกำรจัดพิมพห์ นงั สอื และตำรำเรยี นได้อยำ่ งมำกมำย อกี ทงั้ ยังทำให้กำรปรับปรุงเนื้อหำ

ตำรำเรียนสำมำรถทำได้อยำ่ งทันทว่ งที โดยไม่ต้องรอหนังสือเปน็ เลม่ ๆ หมดแล้วคอ่ ยพมิ พ์ใหมแ่ บบเดมิ ๆ อกี ตอ่ ไป

เพรำะหนงั สอื ต่ำงๆ ทีอ่ ยู่บน Tablet PC นน้ั ลว้ นแลว้ แต่เปน็ หนงั สอื อิเลคทรอนิคสท์ ่ีถกู เกบ็ ไวใ้ นรปู ดจิ ติ อล จึงสำมำรถ

แกไ้ ขเพิ่มเติมไดต้ ลอดเวลำ

Tablet PC หนงึ่ เคร่ืองนัน้ สำมำรถบรรจหุ นงั สือได้เปน็ พนั ๆ เล่ม โดยผูอ้ ่ำนสำมำรถเลอื กเล่มไหนขึน้ มำอำ่ น

ก่อนก็ได้ ควำมสำมำรถพิเศษอีกอย่ำงหน่งึ ของTablet PC คอื กำรเชอื่ มโยงครอู ำจำรย์ และนักเรยี นนักศกึ ษำ เข้ำดว้ ยกัน

ผ่ำนทำงระบบอินเตอร์เนต็ ทำให้ข้อจำกัดเร่อื งสถำนที่ในกำรเรยี นกำรสอนหมดไป ครูอำจำรย์ และนกั เรยี นนกั ศกึ ษำ

สำมำรถอยกู่ นั คนละท่ีแต่เขำ้ มำเรยี นพรอ้ มกันแบบเห็นหน้ำเหน็ ตำผ่ำนทำงกล้องทถี่ กู ติดตั้งมำบนTablet PC ได้ จงึ ทำ

ใหก้ ำรเรยี นกำรสอนทำงไกลเกิดข้นึ ได้อยำ่ งง่ำยดำย และเขำ้ ไปถงึ กล่มุ คนทุกชั้นไมว่ ่ำจะอยใู่ นชนบทห่ำงไกลแค่ไหนก็

ตำม
สำหรบั ในประเทศไทย สถำบันอดุ มศึกษำหรือมหำวทิ ยำลัยบำงแหง่ เริ่มมกี ำรแจก Tablet PC ให้กบั นักศกึ ษำ

ใหม่แล้ว แตก่ ำรนำไปประยกุ ตใ์ ชย้ ังไม่มที ิศทำงท่ชี ัดเจนแน่นอนเพรำะยงั ต้องอำศยั กำรพฒั นำโปรแกรมมำรองรบั

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 280

------------------------------------------------------------------------------
รวมทั้งเนอื้ หำตำรำในรูปแบบ E-Book ที่จะต้องมจี ำนวนมำกกวำ่ นี้ ในข้นั นี้ Tablet PC ในไทยจึงอำจเปน็ ไดแ้ ค่

เครือ่ งมอื ที่ไวจ้ งู ใจนกั ศกึ ษำหรือสรำ้ งภำพลกั ษณท์ ันสมยั ใหก้ ับมหำวทิ ยำลัยก่อน แต่ในอนำคต เมอื่ รำคำจำหนำ่ ยของ
Tablet PC ถกู ลงกวำ่ นีจ้ ะมีจำนวนของหนงั สอื ตำรำเรียนตำ่ งๆ ทยอยเข้ำสู่E-Book มำกข้นึ รวมท้ังจะมกี ำรพัฒนำ

โปรแกรมเพ่ือรองรับกำรอำ่ น E-Book แบบไทย ๆ มำกขึ้น เมือ่ ถงึ เวลำนั้นTablet PC จะกลำยเป็นชอ่ งทำงใหม่ ทีเ่ ปล่ียน

รูปโฉมกำรเรยี นกำรสอนและกำรกระจำยควำมรู้ใหเ้ ขำ้ ถงึ คนไทยได้อย่ำงมำกมำยมหำศำลเลยทเี ดียว

กำรนำเอำ Tablet มำใช้เพือ่ กำรศึกษำเปน็ เรือ่ งที่ควรดำเนินกำรไปพร้อมกบั พัฒนำกำรเรียนกำรสอน แตไ่ ม่ใช่

เพียงกำรต้ังงบประมำณเพ่ือจดั หำตัว Tablet แต่จะตอ้ งพฒั นำเนือ้ หำ ระบบควบคุมและอบรมกำรใช้งำนระบบทรี่ องรบั

เหลำ่ น้แี ก่บุคลำกรในระบบกำรศกึ ษำด้วย ไมเ่ ช่นนนั้ ก็จะเป็นเพยี งชอ่ งทำงกำรแสวงหำผลประโยชนจ์ ำกกำรจดั ซ้ือจัด

จำ้ งอีกชอ่ งทำงหนึ่งเทำ่ นนั้

5. กระดานอัจฉริยะ INTERACTIVE BOARD

กระดานอัจฉรยิ ะ

Interactive Board หรอื กระดำนอจั ฉริยะ เป็นกระดำนระบบสมั ผสั ท่ีมหี น้ำจอขนำดใหญ่ ทำหน้ำที่เปน็

หนำ้ จอโปรเจคเตอร์คอมพวิ เตอร์ (computer projector screen) ซ่ึงสำมำรถควบคมุ โดยกำรสัมผสั หรอื เขียนบน

หนำ้ จอแทนกำรใช้เมำส์หรอื คียบ์ อรด์

หลกั การทางาน

ประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบคอื คอมพวิ เตอร์ โปรเจคเตอร์ โปรแกรม และกระดำนอัจฉริยะ

โดยคอมพวิ เตอรจ์ ะถกู ต่อเข้ำกับโปรเจคเตอรแ์ ละกระดำนอัจฉริยะ ซงึ่ สำมำรถตอ่ ผำ่ นสำย USB ไปยังคอมพิวเตอร์

หรอื บำงรุ่นสำมำรถเช่ือมตอ่ ผ่ำนทำง บลทู ธู หรอื อนิ ฟรำเรด (Wireless) สำหรับโปรเจคเตอรจ์ ะแสดงผลจำกภำพหนำ้
จอคอมพวิ เตอรไ์ ปยงั กระดำนอัจฉริยะ กำรกระทำบนหนำ้ จอแสดงผลทผี่ วิ กระดำนอจั ฉริยะจะมกี ำรรับสง่ สญั ญำณ

ข้อมูลกบั คอมพวิ เตอร์ผ่ำนกำรเชื่อมต่อสำย USB หรอื กำรเชอ่ื มต่อแบบ Wireless และแปรผลผ่ำนโปรแกรมที่ตดิ ต้งั ไว้

ทำใหส้ ำมำรถควบคุมกำรทำงำน ระบบคอมพิวเตอรผ์ ำ่ นกำรสมั ผัสทผี่ วิ กระดำนอัจฉรยิ ะได้ทันที จะขำดสิง่ ใดสิง่

หนึ่งไปมิได้โดยเด็ด ขำด กระดำนอจั ฉรยิ ะ หรือ Interactive White Board นัน้ จะทำให้เรำสำมำรถทจี่ ะคอนโทรลหนำ้

จอคอมพวิ เตอร์ได้โดยใช้ ปำกกำ, นว้ิ มือ, และอุปกรณอ์ น่ื ๆ สมั ผสั ไปท่ีกระดำนอัจฉรยิ ะ หรือ Interactive White Board

ซึง่ จะอำนวยควำมสะดวกให้กับผู้ใชง้ ำนคอื ไมต่ ้องเดนิ ไปที่คอมพวิ เตอร์ ในกำรทีจ่ ะเล่ือนเมำส์ เพ่อื คลก๊ิ หรือ พมิ พ์

ส่วนใหญ่กระดำนอัจฉรยิ ะ หรือ Interactive White Board น้นั จะแบง่ กำรทำงำนออกเป็นสองสว่ น

ส่วนแรก คือ ในสว่ นของหน้ำจอระบบปฏบิ ตั ิกำร ( Operating System ) ชนดิ ตำ่ ง ๆ ในที่น้ีจะขอยกตวั อย่ำง

เป็น ระบบปฏิบตั กิ ำรวนิ โดส์ ซ่ึงในกำรทำงำนของกระดำนจะสำมำรถสัมผสั ไปทีต่ วั กระดำนได้เลยโดยใช้ นิ้วมือ หรือ

อุปกรณ์เสรมิ ต่ำง ๆ

สว่ นท่ีสอง คอื ในสว่ นของหนำ้ จอไวทบ์ อร์ดในสว่ นน้ีจะเปรยี บเหมอื นกระดำนดำหรอื กระดำน ไวทบ์ อร์ด

น่ันเองตำ่ งกันตรงที่กระดำนดำหรอื กระดำนไวทบ์ อร์ดน่ัน จะต้องใช้ ชอร์ค หรือ ปำกกำเมจกิ ใชใ้ นกำรเขียน และไม่

สำมำรถที่จะบนั ทกึ สง่ิ ท่ีเขียนเอำไว้ในรูปแบบไฟล์คอมพิวเตอรไ์ ด้ ตรงจดุ นี้เองซ่งึ เปน็ ข้อดขี องกระดำนอจั ฉรยิ ะ หรือ

Interactive White Board เพรำะว่ำสำมำรถทีจ่ ะใช้นิ้วหรือปำกกำในกำรเขียนได้แล้วยังสำมำรถทีจ่ ะบนั ทกึ ทุกสิง่ ทเ่ี รำ

เขยี นลงไปเก็บไวท้ ค่ี อมพวิ เตอรไ์ ด้เลย นอกจำกนั้นกระดำนอัจฉรยิ ะ หรือ Interactive White Board บำงยห่ี ้อ ยัง

สำมำรถทีจ่ ะแปลงตวั เขยี นให้เปน็ ตวั พมิ พ์ ได้ทันที และยงั สำมำรถท่จี ะบันทึกเสยี งได้อีกดว้ ย แลว้ ก็สำมำรถเรยี กขึ้นมำ

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 281

------------------------------------------------------------------------------
ใชง้ ำนใหมไ่ ด้ทนั ที และยงั สำมำรถใช้ในกำรประชุมระหว่ำงตกึ หรอื กำรเรยี นกำรสอนระหวำ่ งตกึ ได้อกี ด้วย

ข้อดสี าหรับผู้เรยี นทใี่ ช้ส่ือ กระดานอจั ฉริยะ (Activboard)

1. ผู้เรยี นสำมำรถเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยตนเองได้

2.ไมเ่ ป็นกำแพงก้ันทำงด้ำนควำมคดิ และควำมสำมำรถของผเู้ รยี น เพรำะผู้เรียนสำมำรถใชส้ อ่ื ทดสอบ

ควำมสำมำรถของผเู้ รียนได้

3. ชว่ ยให้กำรเรียนสนุกสนำน เสมอื นมีคุณครูคนใหม่เพิ่มข้ึน

4. มกี ระบวนกำรทำงเทคนิคภำยในสอื่ สำมำรถทำให้ผเู้ รยี น เรยี นร้จู ำกนำมธรรมเป็นรูปธรรมได้ อย่ำง

สมบูรณ์
5. ช่วยประหยดั เร่อื งของกำรบันทึกข้อมลู ได้

ขอ้ ดสี าหรับผูส้ อนทใี่ ชส้ ่อื กระดานอจั ฉริยะ (Activboard)

1. มบี ทบำทในกำรชว่ ยครูผสู้ อนได้มำกกว่ำท่คี ิด เพรำะผเู้ รียนสำมำรถเรยี นรู้ก่อนลว่ งหน้ำได้ ถำ้ มีปญั หำ

ก็สำมำรถซักถำมภำยในหอ้ งเรยี น หรือสง่ ทำงส่อื ไดร้ วดเร็ว

2. ช่วยครูผู้สอนค้นคว้ำควำมรู้อืน่ ๆ เพอ่ื นำมำเพม่ิ พนู ควำมรู้กับผเู้ รียน ให้มำกข้ึนกว่ำเดมิ โดยใช้เวลำสอนเทำ่
เดิม แตผ่ ้เู รียน เรียนรู้มำกกว่ำเดิม

3. สำมำรถใชป้ ระเมนิ ผลกำรเรยี นไดอ้ ยำ่ งรวดเร็ว

จะเห็นวำ่ ประโยชนข์ องกระดำนอจั ฉริยะ (Activboard) เป็นสือ่ ไฮเทคทมี่ ีประโยชน์มำกสำหรบั โลกของ

กำรศกึ ษำในปจั จุบัน และอนำคต

ความเหมาะสมในการนาไปใช้

โดยทว่ั ไปถูกใชใ้ นหอ้ งเรยี นและหอ้ งบรรยำยหรอื หอ้ งประชมุ เทคโนโลยี สำมำรถให้คณุ เขยี นหรอื ควบคุม

ผำ่ นกำรสัมผัสบนหนำ้ จอโดยตรง เช่น กำรพริน้ ภำพ เซฟขอ้ มูลลงคอมพวิ เตอรห์ รอื สง่ ขอ้ มลู ผำ่ นเครือขำ่ ย กระดำน

อัจฉริยะถกู ใช้ในหลำยๆโรงเรียน แทนกระดำนไวทบ์ อรด์ แบบเดมิ นอกจำกนก้ี ระดำนอัจฉรยิ ะ ทำให้ครูสำมำรถ
บนั ทกึ กำรสอนไดแ้ ละใส่ข้อมูลไว้ เพอื่ ใหน้ ักเรียนสำมำรถนำไปใช้ศกึ ษำได้หลังจำกเลิกช้ันเรยี นแล้ว ซงึ่ สง่ิ นี้เป็นกลวธิ ี

ท่ีมีประสิทธิและใช้ไดผ้ ล

เทคโนโลยกี ระดานอัจฉริยะสามารถแบ่งออกได้ดังน้ี

1.เทคโนโลยีกระดำนอัจฉรยิ ะแบบอเิ ล็กโตรแมกเนตกิ ( Electromagnetic Interactive Board) เปน็ เทคโนโลยที ี่

ใช้คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ำในกำรทำงำน
2.เทคโนโลยีกระดำนอจั ฉริยะแบบอนิ ฟรำเรด (Infrared Interactive Board)เปน็ เทคโนโลยีทใ่ี ช้คล่ืนอินฟรำเรด

ในกำรรบั จุดตัด

3.เทคโนโลยกี ระดำนอจั ฉริยะแบบดวี ที ีที ( DVTT Interactive Board ) กระดำนอัจฉรยิ ะแบบดวี ที ีที นน้ั จะ

ประกอบไปด้วยท่ีสง่ สญั ญำณอินฟรำเรดและ อปุ กรณแ์ ปลงสญั ญำณแสงใหเ้ ปน็ สญั ญำณอนำล็อค และสญั ญำณอนำ

ลอ็ คก็จะแปลงเป็นสัญญำณดิจติ อลอกี ที

4.เทคโนโลยกี ระดำนอจั ฉริยะแบบ ทัชเซ้นซิทีฟ ( Touch Sensitive Interactive Board)เทคโนโลยกี ระดำน

อจั ฉรยิ ะแบบTouch Sensitive ถูกสรำ้ งขึน้ ดว้ ยผวิ หนำ้ ท่ีมคี วำมแข็งแรงทนทำน

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 282

------------------------------------------------------------------------------
สรปุ สำหรบั สอื่ กำรเรยี นกำรสอนสมยั ใหม่ ผู้เรียนสำมำรถใชไ้ อซีทีเปน็ เครื่องมือในกำรเรียนรตู้ ลอดชวี ติ โดย

มจี ุดมุ่งหมำยคอื
1. กำรรู้เทคโนโลยแี ละกำรรูส้ ำรสนเทศ ในระดบั พื้นฐำนเพ่ือสำมำรถเขำ้ ถงึ และสำมำรถใช้ไอซที ีเพอื่ กำร

ค้นควำ้ รวบรวม และประมวลผลจำกแหลง่ ตำ่ ง ๆ และเพ่อื เกำรสรำ้ งองคค์ วำมรใู้ หม่

2. บรู ณำกำรควำมร้ดู ้ำนเทคโนโลยแี ละทักษะกำรจดั กำรสำรสนเทศเพ่อื พัฒนำควำมสำมำรถในกำรวิเครำะห์

กำรแก้ปัญหำ และกำรทำงำนเปน็ ทมี

3. กระต้นุ ใหผ้ เู้ รียนพฒั นำคณุ ค่ำ ทศั นคติ และจรยิ ธรรมในเชงิ บวกในกำรใชไ้ อซที ซี ่ึงจะเป็นประโยชน์ในกำร

เรยี นรตู้ ลอดชีวติ และกระบวนกำรคดิ อย่ำงวเิ ครำะห์

4. ผเู้ รยี นทุกคนมีโอกำสเข้ำถงึ ใช้ และเรียนรู้ทกั ษะไอซที ใี นกำรศกึ ษำเพื่อพฒั นำคณุ ภำพชีวิตดว้ ย

หลักสูตรพ้นื ฐำน

5. ต้องจดั ให้ผเู้ รียนทกุ คนมีโอกำสในกำรใชแ้ ละพฒั นำควำมรู้ไอซที ใี นทุกสำขำวชิ ำ และเพม่ิ โอกำสใหผ้ ู้เรียน

มีกำรใช้ไอซที ีให้มำกขึน้

6. กระบวนกำรเรียนกำรสอนต้องไมจ่ ัดเฉพำะในชนั้ เรียนเท่ำนน้ั ผเู้ รียนควรมโี อกำสสมั ผัสโลกภำยนอกผ่ำน

เครือขำ่ ยไอซที ี กำรรู้ไอซีที และมกี ำรพฒั นำกำรของทัศนคตทิ ด่ี ตี อ่ ไอซีทตี ำมควำมต้องกำรของแต่ละคน

7. นักเรียนทุกคนท่ีเรยี นจบช้ันมัธยมศึกษำปีท่ี 3 และปที ี่ 6 สำมำรถใช้โปรแกรมประมวลคำและตำรำงกำร

คำนวณได้ นักเรยี นไมน่ อ้ ยกว่ำรอ้ ยละ 5 สำมำรถเขยี นโปรแกรมได้ นักเรยี นทุกคนในโรงเรียนที่มีนักเรยี นต้ังแต่ 1-100

คนข้ึนไป ใช้อินเทอร์เน็ตในกำรสืบคน้ ข้อมูลได้ ผ้สู อน ผู้สอนควรมคี วำมรแู้ ละทกั ษะไอซที ีในระดบั สูง รวมถึงควำม

เข้ำใจในกำรพัฒนำกำรของกำรใชส้ อ่ื เทคโนโลยีในกำรเรยี นกำรสอน

โดยมีจุดมุ่งหมายดงั นี้

1. สมรรถนะด้ำนไอซีทจี ะช่วยให้ผสู้ อนมีควำมร้อู ย่ำงกว้ำงขวำง มวี สิ ยั ทัศนก์ ้ำวไกลเพื่อสำมำรถเปน็ ผู้แนะนำ

แกผ้เู รียนได้

2. คอมพวิ เตอร์จะเปน็ เคร่อื งมือหลักสำคญั สำหรับผู้สอนเพ่อื เขำ้ ถึงทรพั ยำกรกำรเรียนกำรเตรียมแผนกำรสอน

ให้กำรบ้ำน และติดตอ่ สอ่ื สำรกบั ผู้ปกครองนักเรยี น ผูส้ อนคนอืน่ ๆและผบู้ ริหำร

3. ผู้สอนควรได้รบั กำรอบรมในกำรใช้ไอซที แี ละสำมำรถบรู ณำกำรไอซีทีในกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอนได้เพอ่ื

ส่งเสริมทักษะกำรคดิ อย่ำงวเิ ครำะห์และสรำ้ งสรรค์ 4. ผูส้ อนควรตดิ ตำมพฒั นำกำรและควำมกำ้ วหนำ้ ของไอซที ีเพ่ือ

นำมำใช้ใหเ้ ปน็ ประโยชนใ์ นกำรเรยี นกำรสอนได้ 5. ครไู ม่น้อยกว่ำรอ้ ยละ 80 ใช้คอมพวิ เตอรเ์ ป็น และไม่น้อยกว่ำร้อย
ละ 50 สำมำรถใชอ้ ินเทอรเ์ น็ตได้ และตอ้ งมวี ชิ ำสอนดว้ ยกำรบรู ณำกำรไอซที ี

เทคโนโลยแี ละนวตั กรรมทางการศกึ ษา

ความหมายของนวตั กรรม

นวัตกรรม บัญญตั ขิ ้ึนใหม่ เดิมใชว้ ำ่ นวกรรม

“นวตั กรรม” (Innovation) มีรำกศัพทม์ ำจำก innovare ในภำษำลำติน แปลว่ำ ทำสิ่งใหม่ขึ้นมำ

“นวัตกรรม” หมำยถึงควำมคิด กำรปฏิบัติ หรอื สง่ิ ประดิษฐใ์ หม่ ๆ ท่ียังไม่เคยมีใชม้ ำก่อน หรอื เป็นกำรพฒั นำ

ดัดแปลงมำจำกของเดมิ ทม่ี ีอย่แู ลว้ ใหท้ ันสมัยและใช้ไดผ้ ลดียิ่งขึน้ เม่อื นำ นวัตกรรมมำใชจ้ ะช่วยใหก้ ำรเรยี นกำรสอน

มปี ระสิทธิภำพและประสทิ ธิผลสูงกว่ำเดมิ

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 283

------------------------------------------------------------------------------
กำรนำเอำควำมเปลี่ยนแปลงใหมๆ่ เข้ำมำใช้เพอ่ื ปรับปรุงงำนให้ดีข้ึนกวำ่ เดิมกเ็ รยี กไดว้ ่ำเป็นนวตั กรรม ของ

วงกำรนนั้ ๆ เชน่ ในวงกำรศกึ ษำนำเอำมำใช้ ก็เรยี กว่ำ “นวัตกรรมกำรศกึ ษำ” (Educational Innovation)
ผู้ทีก่ ระทำ หรอื นำควำมเปลีย่ นแปลงใหม่ ๆ มำใช้น้ี เรียกวำ่ เปน็ “นวัตกร”

ทอมสั ฮิวช์ - “นวัตกรรม” วำ่ เป็นกำรนำวิธีกำรใหม่ ๆ มำปฏบิ ัตหิ ลังจำกได้ผำ่ นกำรทดลองหรือไดร้ บั กำร

พฒั นำมำเปน็ ข้ัน ๆ แล้ว เริ่มตงั้ แตก่ ำรคดิ ค้น (Invention) กำรพฒั นำ (Development)

มอรต์ ัน - “นวัตกรรม” เปน็ กำรทำใหใ้ หมข่ ้ึนอกี คร้งั (Renewal) ซง่ึ หมำยถึง กำรปรับปรงุ สิ่งเก่ำและพฒั นำ

ศักยภำพของบุคลำกร ตลอดจนหนว่ ยงำน หรอื องคก์ ำรนั้น ๆ

ไชยยศ - “นวัตกรรม” หมำยถึง วธิ กี ำรปฎบิ ัติใหมๆ่ ทแ่ี ปลกไปจำกเดิมโดยอำจจะไดม้ ำจำกกำรคิดคน้ พบ

วธิ ีกำรใหม่ๆ ขน้ึ มำหรอื มกี ำรปรบั ปรงุ ของเกำ่ ใหเ้ หมำะสม

นวตั กรรม แบง่ ออกเป็น ๓ ระยะ คือ

ระยะที่ ๑ มกี ำรประดษิ ฐ์คิดค้น (Innovation)

ระยะที่ ๒ พฒั นำกำร (Development)

ระยะที่ ๓ กำรนำเอำไปปฏิบัติในสถำนกำรณ์ท่ัวไป

ขอ้ สังเกตเกยี่ วกบั ส่ิงทีถ่ ือวา่ เป็นนวตั กรรม

๑. เป็นควำมคิดและกำรกระทำใหม่ทั้งหมดหรือปรับปรงุ ดดั แปลงจำกทเ่ี คยมมี ำก่อนแล้ว

๒. ควำมคิดหรอื กำรกระทำน้ันมีกำรพิสจู นด์ ว้ ยกำรวิจยั และชว่ ยให้กำรทำงำนมปี ระสิทธิภำพสงู ข้นึ

๓. มีกำรนำวิธีระบบมำใชอ้ ยำ่ งชัดเจน โดยพิจำรณำองคป์ ระกอบทัง้ ๓ ส่วน คือ

ข้อมลู ท่ีใส่เขำ้ ไป กระบวนกำร และผลลพั ธ์

๔. ยงั ไมเ่ ป็นสว่ นหน่ึงของระบบงำนปัจจุบนั

“นวตั กรรมกำรศกึ ษำ (Educational Innovation )” หมำยถึง นวตั กรรมท่ีจะชว่ ยให้กำรศกึ ษำ และกำรเรียนกำร

สอนมปี ระสิทธภิ ำพดียิ่งข้ึน ผู้เรียนสำมำรถเกิดกำรเรยี นรู้อย่ำงรวดเรว็ มปี ระสทิ ธิผลสงู กวำ่ เดมิ เกดิ แรงจงู ใจในกำร

เรียนดว้ ยนวัตกรรมกำรศึกษำ และประหยดั เวลำในกำรเรยี นได้อกี ด้วย

แนวควำมคิดพ้นื ฐำนทำงกำรศกึ ษำทเ่ี ปลยี่ นแปลงไป อันมีผลทำใหเ้ กิดนวตั กรรมกำรศกึ ษำทสี่ ำคญั ๆ พอจะ

สรุปได้ ๔ ประกำร คอื

๑. ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบคุ คล (Individual Different) กำรจัดกำรศกึ ษำของไทยได้ให้ควำมสำคัญในเรื่อง

ควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบุคคลเอำไว้อย่ำงชัดเจน นวตั กรรมที่เกดิ ขน้ึ เพอื่ สนองแนวควำมคิดพ้นื ฐำนนี้ เช่น
- กำรเรยี นแบบไม่แบ่งช้นั (Non-Graded School)

- แบบเรียนสำเรจ็ รูป (Programmed Text Book)

- เครอื่ งสอน (Teaching Machine)

- กำรสอนเปน็ คณะ (TeamTeaching)

- กำรจัดโรงเรยี นในโรงเรียน (School within School)

- เคร่อื งคอมพิวเตอรช์ ่วยสอน (Computer Assisted Instruction)

๒. ควำมพรอ้ ม (Readiness) เดิมทีเดยี วเชอ่ื กันว่ำ เด็กจะเร่มิ เรียนได้กต็ ้องมคี วำมพรอ้ มซ่ึงเปน็ พัฒนำกำรตำม

ธรรมชำติ แตใ่ นปัจจบุ นั กำรวิจัยทำงดำ้ นจติ วทิ ยำกำรเรียนรู้ ชใี้ ห้เห็นว่ำควำมพร้อมในกำรเรียนเป็นสงิ่ ทีส่ ร้ำงขึ้นได้

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 284

------------------------------------------------------------------------------
นวตั กรรมทีส่ นองแนวควำมคิดพืน้ ฐำนดำ้ นน้ี เชน่

- ศนู ย์กำรเรยี น (Learning Center)
- กำรจัดกำรเรียนในโรงเรียน (School within School)

- กำรสอนเป็นคณะ (Instructional Development in ๓ Phases)

๓. กำรใช้เวลำเพ่ือกำรศึกษำ ในปจั จุบันไดม้ ีควำมคิดในกำรจดั เปน็ หน่วยเวลำสอนให้สัมพนั ธก์ ับลักษณะ

ของแตล่ ะวชิ ำซ่ึงจะใชเ้ วลำไมเ่ ท่ำกัน บำงวชิ ำอำจใชช้ ว่ งสัน้ ๆ แตส่ อนบอ่ ยครัง้ กำรเรียนก็ไม่จำกดั อย่แู ตเ่ ฉพำะใน

โรงเรียนเท่ำนั้น นวตั กรรมที่สนองแนวควำมคิดพืน้ ฐำนด้ำนน้ี เช่น

- กำรจัดตำรำงสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible Scheduling)

- มหำวทิ ยำลยั เปิด (Open University)

- แบบเรียนสำเรจ็ รปู (Programmed Text Book)

- กำรเรยี นทำงไปรษณยี ์

๔. ประสทิ ธภิ ำพในกำรเรยี น กำรขยำยตวั ทำงวชิ ำกำร และกำรเปลยี่ นแปลงของสงั คม ทำใหม้ ีส่งิ ต่ำงๆ ทค่ี น

จะตอ้ งเรยี นรเู้ พ่ิมขนึ้ มำก นวัตกรรมในด้ำนนท้ี ีเ่ กดิ ข้นึ เช่น

- มหำวิทยำลัยเปิด

- กำรเรียนทำงวิทยุ กำรเรียนทำงโทรทศั น์

- กำรเรียนทำงไปรษณีย์ แบบเรยี นสำเรจ็ รูป

- ชุดกำรเรียน

ความหมายของเทคโนโลยี

คำว่ำ เทคโนโลยี มนี กั กำรศกึ ษำหลำยท่ำนไดใ้ หค้ วำมหมำยไว้ดงั นี้

ชำรล์ ส์ เอฟ. โฮบำน - เทคโนโลยีว่ำ มใิ ช่คน หรอื เคร่อื งจกั ร แต่เป็นกำรจัดระเบียบอนั มีบรู ณำกำรและควำม

สลบั ซับซ้อนของควำมคดิ

คำร์เตอร์ วี ก๊ดู - เทคโนโลยี หมำยถงึ กำรนำเอำวิทยำศำสตรป์ ระยุกต์มำใช้ในวงกำรศึกษำตำ่ ง ๆ หรอื มำใช้ใน

งำนสำขำต่ำง ๆ ทำให้เกิดกำรเปล่ียนแปลงท่ดี ขี ึ้น

เอคกำร์ เดล - เทคโนโลยีไมใ่ ช่เครอ่ื งมือแต่เปน็ แผนกำรวธิ ีกำรทำงำนอยำ่ งมรี ะบบ

กอ่ ศักดิ์ สวสั ดพิ ำณชิ ย์ - กำรนำเอำวทิ ยำศำสตร์ประยกุ ตม์ ำใชใ้ นวงกำรศึกษำตำ่ ง ๆ หรือมำใช้ในงำนสำขำตำ่ ง

ๆ และเกดิ กำรเปล่ยี นแปลงในระบบ
ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ - ศำสตร์ทว่ี ่ำดว้ ยวธิ ีกำร ซงึ่ อย่ใู นรูปของกำรจดั ระบบงำนดว้ ยองค์ ๓ คือ

๑. ขอ้ มูลทใ่ี สเ่ ขำ้ ไป ไดแ้ ก่ กำรกำหนดปัญหำ วตั ถุประสงค์รวบรวมขอ้ มลู ที่เกย่ี วข้อง

๒. กระบวนกำร ไดแ้ ก่ กำรลงมือแกป้ ัญหำ วิเครำะหข์ ้อมูล เพ่อื ให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์

๓. ผลลพั ธ์ คอื ผลทไี่ ด้จำกกำรแก้ปญั หำและทำกำรประเมินผล

ดงั นัน้ "เทคโนโลยี" หมำยถึง กำรนำเอำกระบวนกำร วธิ ีกำร และแนวควำมคิดใหมๆ่ มำใชห้ รอื

ประยุกตใ์ ช้อย่ำงมรี ะบบ เพ่อื ให้กำรดำเนินงำน เปน็ ไปอย่ำงมีประสทิ ธภิ ำพ

กำรขยำยตวั ทำงวิทยำกำรทำให้เทคโนโลยี ถูกนำมำใช้ในงำนสำขำตำ่ ง ๆ เชน่

- เทคโนโลยที ำงกำรทหำร (Military Technology)

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 285

------------------------------------------------------------------------------
- เทคโนโลยีทำงกำรแพทย์ (medical Technology)

- เทคโนโลยีทำงกำรเกษตร (Agricultural Technology)
- เทคโนโลยีทำงกำรสื่อสำร (Communication Technology)

- เทคโนโลยที ำงกำรคำ้ (Commercial Technology)

- เทคโนโลยีทำงวิศวกรรม (Engineering Technology)

- เทคโนโลยีทำงกำรตลำดสังคม (Social Marketing Technology)

- เทคโนโลยีทำงกำรศึกษำ (Educational Technology)

ความหมายของเทคโนโลยีการศกึ ษา

เทคโนโลยีกำรศกึ ษำ หมำยถึง กำรนำเอำควำมรู้ แนวคิด กระบวนกำร และผลผลิตทำงวทิ ยำศำสตรม์ ำใช้

รว่ มกนั อย่ำงมรี ะบบ เพือ่ แกป้ ญั หำและพฒั นำกำรศึกษำใหก้ ้ำวหน้ำอยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ

ระดับของเทคโนโลยที ำงกำรศกึ ษำ

แบง่ ออกได้ ๓ ระดบั ได้แก่

๑. ระดับอปุ กรณ์กำรสอน เป็นกำรใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องชว่ ยกำรสอนของครู (Teacher's Aid) เป็นกำรเรำ้

ควำมสนใจของนักเรียน

๒. ระดับวธิ สี อน เปน็ กำรใชเ้ ทคโนโลยีแทนกำรสอนของครดู ้วยตนเอง โดยผสู้ อนไมจ่ ำเป็นตอ้ งอยูใ่ นสถำนท่ี

แหง่ เดียวกบั ผ้สู อนเสมอไป

๓. ระดบั กำรจดั ระบบกำรเรยี นกำรสอน เป็นกำรใช้เทคโนโลยีกำรศึกษำระดบั กว้ำง สำมำรถจดั ระบบ

กำรศกึ ษำตอบสนองผู้เรียนได้จำนวนมำก

บทบาทของเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมการศกึ ษากับการจัดการเรียนการสอน

๑. ช่วยให้ผเู้ รียนเรียนได้กว้ำงขวำงมำกขึ้น ไดเ้ ห็นหรอื ไดส้ ัมผสั กับส่ิงทเ่ี รยี นและผสู้ อนมีเวลำแก่ผู้เรยี นมำก

ข้ึน

๒. สำมำรถสนองเรื่องควำมแตกต่ำงระหว่ำงบคุ คล
๓. ให้กำรจดั กำรศึกษำดีขึน้ มีกำรค้นควำ้ วิจยั ทดลอง ค้นพบวิธกี ำรใหม่ ๆ

๔. มีบทบำทสำคัญตอ่ กำรพฒั นำสอ่ื กำรสอน ให้มคี ุณค่ำและสะดวกต่อกำรใชม้ ำกข้ึน

๕. ทำใหก้ ำรเรียนรู้ไม่เน้นเฉพำะดำ้ นควำมรู้เพียงอย่ำงเดียว แตเ่ น้นดำ้ นทัศนะ หรอื เจตคติและทักษะแก่ผู้เรยี น

ดว้ ย

๖. ช่วยเพิม่ โอกำสทำงกำรศึกษำของผเู้ รยี นให้มำกขึ้น เช่น กำรจดั กำรศกึ ษำนอกระบบ กำรจดั กำรศึกษำพิเศษ

สาเหตุทน่ี าเอาเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมมาใช้ในทางการศกึ ษา

พอสรุปได้ ๓ ประกำร คือ

๑. กำรเพมิ่ จำนวนประชำกร

๒. กำรเปล่ยี นแปลงทำงเศรษฐกจิ และสังคม

๓. ควำมก้ำวหน้ำทำงด้ำนวทิ ยำกำรใหม่ ๆ

แนวคิดในการใชเ้ ทคโนโลยีทางการศึกษากับการศึกษาไทย

๑. คนไทยส่วนใหญไ่ ม่นับถือตนเองขำดควำมเชอ่ื มน่ั และไม่นบั ถอื ตนเอง ในสภำพกำรเรียนกำรสอนที่ครูเปน็

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 286

------------------------------------------------------------------------------
ศูนย์กลำง

๒. กำรไม่เหน็ คณุ ค่ำของส่ิงแวดลอ้ ม
๓. กำรขำดทกั ษะทพี่ งึ ประสงค์มีผลต่อเนื่องให้ผู้สำเร็จกำรศึกษำขำดลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ ๕ ประกำร คอื

๓.๑ กล้ำและรู้จักแสดงควำมคดิ เห็น

๓.๒ สำมำรถตดั สินใจไดด้ ้วยตนเอง

๓.๓ รูจ้ กั ทำงำนร่วมกนั เป็นหมู่อย่ำงมปี ระสิทธิภำพ

๓.๔ รู้จกั แสวงควำมรู้เอง

๓.๕ มคี วำมรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและสังคม

กล่ำวโดยสรุป เทคโนโลยแี ละนวัตกรรมกำรศึกษำ หมำยถึง กำรนำควำมกำ้ วหนำ้ ของ

วทิ ยำศำสตร์เทคโนโลยี ทั้งวสั ดุ อปุ กรณเ์ ครือ่ งมอื เคร่อื งจักรกลไก รวมทั้งเทคนิควิธกี ำรต่ำงๆ มำใช้

ประกอบกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอน เพือ่ มุง่ หวังให้กำรเรียนกำรสอนเกิดประสทิ ธิผลสงู สุด

ต่อกำรเรียนรู้ ตอ่ ผู้ศกึ ษำ ตำมจดุ มงุ่ หมำยและวัตถุประสงคข์ องหลกั สูตรน้นั ๆ

นวตั กรรมและเทคโนโลยีการศึกษาทสี่ าคญั ของไทยในปจั จบุ นั

คอมพวิ เตอรช์ ว่ ยสอน (CAI : Computer-Assisted Instruction)

คอมพิวเตอรช์ ่วยสอน หมำยถึง วิถีทำงของกำรสอนรำยบคุ คลโดยอำศัยควำมสำมำรถของเคร่อื ง

คอมพิวเตอร์ท่ีจะจัดหำประสบกำรณท์ ี่มคี วำมสมั พันธก์ ันมีกำรแสดงเน้ือหำตำมลำดับทตี่ ำ่ งกนั ด้วยบทเรยี น

โปรแกรมท่เี ตรยี มไวอ้ ยำ่ งเหมำะสม

มัลตมิ ีเดยี (Multimedia)

กำรใช้คอมพวิ เตอร์รว่ มกับโปรแกรมซอฟต์แวร์ในกำรสือ่ ควำมหมำยโดยกำรผสมผสำนสื่อหลำยชนิด เช่น

ข้อควำม กรำฟิก (Graphic) ภำพเคล่อื นไหว (Animation) เสยี ง (Sound) และวีดทิ ศั น์ (Video) เป็นตน้

กำรประชุมทำงไกล (Tele Conference)

คอื กำรนำเทคโนโลยสี ำขำต่ำงๆ เช่น คอมพิวเตอร์ กลอ้ งโทรทัศนแ์ ละระบบส่ือสำรโทรคมนำคมผสมผสำน

เป็นกำรประชมุ ท่ผี เู้ ข้ำรว่ มประชุมอย่กู ันคนละสถำนท่ี ไม่จำกัดระยะทำง

สำมำรถประชุมรว่ มกันและมีปฏสิ ัมพนั ธโ์ ตต้ อบกันได้

บทเรียนสำเรจ็ รปู (Programed Instruction)

บทเรียนสำเร็จรูป หมำยถึง บทเรยี นทีผ่ ูส้ อนจัดทำข้ึนเพือ่ ใช้เปน็ เครือ่ งมอื ในกำรจดั กิจกรรมกำรเรียนรใู้ ห้
ผู้เรียนเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ในแต่ละสำระกำรเรยี นรู้ท่ีกำหนดไว้ในแตล่ ะบทเรียน โดยเริ่มจำกเน้อื หำสำระท่งี ่ำย ๆ ไปสู่

เนื้อหำที่ยำกขนึ้ ไปตำมลำดับ

ชุดกำรสอน (Learning Packages)

คอื กำรนำเอำระบบส่ือประสม (Multi-media) ทส่ี อดคลอ้ งกับเน้อื หำวิชำและประสบกำรณข์ องแต่ละหนว่ ย

มำช่วยในกำรเปล่ียนแปลงพฤติกรรมกำรเรียนรู้ ให้เป็นไปอย่ำงมปี ระสทิ ธภิ ำพยิ่งข้ึน ชุดกำรสอนนยิ มจัดไวใ้ นกล่อง

หรอื ซองเปน็ หมวด ๆ ภำยในชุดกำรสอน ประกอบด้วยคู่มือกำรใช้ชุดกำรสอน ส่ือกำรสอนที่สอดคล้องกบั เนือ้ หำ และ

ประสบกำรณ์ อำทิ เช่น รปู ภำพ สไลด์ เทป แผ่นคำบรรยำย ฯลฯ

E – book (หนงั สอื หรือเอกสำรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส)์

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 287

------------------------------------------------------------------------------
เปน็ คำภำษำต่ำงประเทศ ยอ่ มำจำกคำวำ่ electronic book หมำยถึง หนังสอื ทีส่ ร้ำงขึ้นดว้ ยโปรแกรม

คอมพิวเตอร์มีลกั ษณะเป็นเอกสำรอิเลก็ ทรอนิกส์ โดยปกติมกั จะเป็นแฟ้มขอ้ มูลท่สี ำมำรถอ่ำนเอกสำรผำ่ นทำงหนำ้
จอคอมพวิ เตอรท์ ้ังในระบบออฟไลนแ์ ละออนไลน์

E-learning หมำยถึง กำรศึกษำทเี่ รียนรผู้ ่ำนเครือขำ่ ยอินเตอรเ์ นตโดยผู้เรยี นรู้จะเรียนรู้ ดว้ ยตวั เอง กำรเรียนรู้จะ

เป็นไปตำมปัจจยั ภำยใตท้ ฤษฎีแห่งกำรเรยี นร้สู องประกำรคือ

๑. เรียนตำมควำมรู้ควำมสำมำรถของผเู้ รยี นเอง

๒. กำรตอบสนองใน ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบคุ คล

กำรเรียนจะกระทำผ่ำนสื่อบนเครือขำ่ ยอนิ เตอร์เนต โดยผ้สู อนจะนำเสนอขอ้ มลู ควำมรู้ให้ผเู้ รยี นได้

ทำกำรศึกษำผำ่ นบริกำร World Wide Web โดยอำจใหม้ ีปฏิสมั พนั ธ์ (สนทนำ โต้ตอบ สง่ ข่ำวสำร) ระหว่ำงกนั

ความรู้เสรมิ

เว็บไซต์ – เปรยี บไดก้ ับ หนงั สือเลม่ หนงึ่

โฮมเพจ – เปรียบได้กับ หนำ้ ปกหนังสือ

เวบ็ เพจ – เปรียบได้กบั หนำ้ ของเนือ้ หำหนงั สอื แต่ละหนำ้

PBL – ยดึ นักเรียนเป็นศูนย์กลำง เรียนโดยแบง่ กล่มุ ใช้ปญั หำจริงในกำรแก้ มีกำรบูรณำกำร

ID plan – กำรพัฒนำบุคลำกรโดยยดึ หลกั กำรประเมินสมรรถนะ ทำใหผ้ ปู้ ฏิบตั งิ ำนสำมำรถรจู้ ดุ เด่น จดุ ด้อย

ของตนเองได้

E – contents – สอื่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์

E – office – สำนกั งำนอตั โนมัติ

E – filing – ระบบงำนสำรบรรณอิเล็กทรอนกิ ส์

บทเรยี นโมดลู – เอกสำรประกอบกำรสอนทแ่ี บ่งเนอื้ หำแต่ละบทเปน็ หนว่ ยย่อยๆ

ศูนย์ปฏบิ ัตกิ ำรคณะกรรมกำรกำรศึกษำขน้ั พื้นฐำน (obec doc)

PMOC – สำนกั นำยกรัฐมนตรี

MOC – กระทรวง

DOC – สพฐ.

AOC – สพท.

SOC – โรงเรยี น

การออกแบบและพฒั นานวัตกรรม เทคโนโลยแี ละการสื่อ สารทางการศกึ ษา

1. กำรออกแบบและพัฒนำนวัตกรรม เทคโนโลยีและกำรส่ือสำรทำงกำรศึกษำ

2. แนวคิดของ Richey and Klein(2007) ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 กระบวนกำร คอื แนวคิดของ Richey and

Klein(2007) ซ่งึ ประกอบด้วย 3 กระบวนกำร คอื

2.1. กระบวนกำรออกแบบ (Design Process)

2.1.1. กระบวนกำรออกแบบมีจุดมุง่ หมำยเพ่ือออกแบบและพัฒนำนวตั กรรม เทคโนโลยีและกำรสอื่ สำรทำง
กำรศึกษำประกอบดว้ ย กำรทบทวน วรรณกรรมกำรศึกษำสภำพบรบิ ทกำรสงั เครำะหก์ รอบแนวคิดเชงิ ทฤษฎี

สงั เครำะหก์ รอบแนวคดิ กำรออกแบบ

คู่มอื สอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 288

------------------------------------------------------------------------------
2.2. กระบวนกำรพัฒนำ (Development process)

2.2.1. กระบวนกำรพฒั นำมจี ุดมุ่งหมำยเพือ่ สร้ำงและทดลองใช้กำรสมบรู ณ์ ผ้มู สี ่วนรว่ มในกำรพฒั นำใชใ้ น
บรบิ ทจริงมกี ำรปรบั ปรงุ องค์ประกอบของนวตั กรรมฯให้ สมบูรณ์ ผมู้ ีสว่ นร่วมในกำรพัฒนำ ไดแ้ ก่ ผเู้ ชยี่ วชำญดำ้ น

ทฤษฎี(Theorists) ผู้ออกแบบ (Designers) ผ้พู ัฒนำ (Developers) ผู้ประเมนิ (Evaluator) ผู้วิจัย (Researchers) ผู้สอน

(Teacher) และผเู้ รยี น (Learners)

2.3. กระบวนกำรประเมิน (Evaluation process)

2.3.1. ระบวนกำรประเมินเปน็ กระบวนกำรท่ีอธิบำยใหเ้ ห็นคณุ ภำพและประเมนิ ประสทิ ธภิ ำพของนวัตกรรม

ทสี่ ร้ำงขนึ้ โดยกำรประเมินผลนี้จะมงุ่ เนน้ บนพ้นื ฐำนกำร ประเมนิ ตำมสภำพจริง ที่ตอ้ งกำรนำผลที่ไดน้ ้ันมำพัฒนำ

คณุ ภำพของกำรเรียนรู้ และเพอ่ื อธบิ ำยว่ำนวัตกรรมน้ันชว่ ยยกระดับคุณภำพกำรเรยี นรู้ไดอ้ ยำ่ งไร

3. สภำพปจั จุบนั เก่ียวกบั กำรจัดกำรเรียนกำรสอนมคี วำมซบั ซอ้ นมำกกว่ำแตก่ ่อนและมีควำมตอ้ งกำร

นวัตกรรมกำรเรียนรทู้ ่มี ีควำมซับซ้อนมำกกวำ่ แต่กอ่ น และมคี วำมต้องกำรนวัตกรรมกำรเรียนร้ทู มี่ ีควำม

เหมำะสมกับกำรพัฒนำคุณภำพกำรเรยี นรกู้ ำรออกแบบกำรสอนจะนำเนื้อหำ ควำมรู้มำแบ่งออกเป็นส่วนย่อยๆ และ

เนน้ กำรเรียนรู้ตำมลำดบั ข้ันตอนนอกจำกนัน้ กำรวดั และกำรประเมินผลกำรเรียนกเ็ น้นที่กำรจดจำตำมวตั ถปุ ระสงค์ทต่ี ง้ั

ไว้มำกกวำ่ กำรประเมินสภำพควำมสำเรจ็ ท่ีแทจ้ รงิ ของผเู้ รยี นให้กำรพัฒนำด้ำนกำรคิด วิเครำะห์ สังเครำะห์ กำรแสดง

ควำมคดิ เหน็ กำรแก้ปัญหำและกำรแสวงหำควำมรูข้ องผ้เู รยี นยังปรำกฏเหน็ ได้นอ้ ยดังน้นั แนวคดิ เกย่ี วกับปรัชญำควำมรู้

(Epistemology) ที่จะนำมำใช้พื้นฐำนในกำรออกแบบกำรสอนปจั จบุ ันจึงมงุ่ มำสูค่ อนสตรัคตวิ สิ ต(์ Constructivism) ท่ี

เชือ่ ว่ำควำมรู้นั้นเป็นส่ิงทไ่ี ม่จรงิ แทเ้ ปล่ียนแปลงได้

3.1. หลกั กำรเลอื กและใช้นวัตกรรมเทคโนโลยแี ละกำรสือ่ สำรทำงกำรศึกษำ

3.2. กำรเลือกและกำรใช้เป็นกระบวนกำรทส่ี ำคญั ของครูนอกจำกผู้สอนจะสำมำรถออกแบบนวตั กรรมกำร

เรียนรู้ทมี่ ีประสทิ ธิภำพแล้ววิธกี ำร สอนแบบนวัตกรรมไปใชต้ ลอดจนเลือกคุณลักษณะของสอื่ และเทคโนโลยใี ห้

เหมำะสมกเ็ ปน็ อกี หลักกำรท่ีสำคัญ
3.3. กำรวเิ ครำะห์ผ้เู รยี น (Analyze Learner Characteristics)

3.3.1. ขน้ั ตอนแรกในกำรวำงแผนกำรเลือกใชส้ อื่ กค็ ือกำรระบุเกย่ี วกับผูเ้ รียนทเี่ รำจะสอน หลักในกำร

วิเครำะหผ์ ู้สอนจะต้องพจิ ำรณำ ประกอบด้วย

3.3.1.1. คณุ ลักษณะทว่ั ไป จำนวนผูเ้ รียน ระดบั ชั้น อำยุ เพศ สถำนภำพทำงสงั คมและเศรษฐกิจ วัฒนธรรม

ชำติพันธุ์ ฯลฯ

3.1.2. 2. สมรรถนะเฉพำะท่มี ีมำก่อน ควำมรู้เดมิ ของผเู้ รียน ทักษะทำงปัญญำ ควำมเข้ำใจท่ี คลำดเคล่อื นท่ี

เกยี่ วกบั เนอ้ื หำทเ่ี รยี น

3.1.3. 3. แบบกำรเรียน (Learning Styles)

3.4. กำรกำหนดวตั ถปุ ระสงค์ (State Objectives)

3.4.1. ขั้นตอนท่ี 2 ในกำรวำงแผนกำรเลอื กใช้สื่อ ก็คอื กำรอธบิ ำยส่ิงท่ีผู้สอนจะต้องทำกำรเรยี นรู้ สิ่งทผ่ี ้สู อน

ต้องตระหนัก ซ่งึ ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนหรือกำรปฏบิ ัติกิจกรรมกำรเรียนรู้ จะตอ้ งมีกำรกำหนดวัตถปุ ระสงค์ท่ี

เฉพำะ โดยกำหนดวตั ถุประสงค์น้ันต้องมคี วำมชัดเจนว่ำ ผู้เรียนตอ้ งได้รับอะไร

3.5. กำรเลือกวิธีกำรสอ่ื และวัสดุ (Select Method, Media and Materials)

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 289

------------------------------------------------------------------------------
3.5.1. หลงั จำกทไ่ี ด้วิเครำะห์ผู้เรยี นและกำหนดวตั ถปุ ระสงค์กำรเรยี นรชู้ ัดเจนแลว้ ข้ันตอนตอ่ ไปคือกำรเลือก

สอ่ื และวธิ ีกำรรวมทง้ั วัสดเุ พอ่ื กำรเรยี นรูท้ ตี่ อบสนอง กำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ให้มีประสิทธิภำพผ้สู อนควรเลอื ก
วิธีกำรสอนทสี่ ำมำรถทำ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ได้อย่ำงเหมำะสมกำรเลือกส่อื กำรเรียนรจู้ ะต้องสอดคลอ้ งกับวธิ ีกำร

สอน วตั ถุประสงค์ของผเู้ รยี น ทั้งในรูปแบบของข้อควำม ภำพนิ่ง วดิ ที ัศน์ เสยี ง และคอมพิวเตอร์มัลตมิ ีเดีย

3.6. กำรตอบสนองทมี่ ำจำกผู้เรยี น (Require Learner Response)

3.6.1. กำรจดั กำรเรยี นรทู้ ีม่ ีประสทิ ธิภำพนนั้ ผู้สอนควรดำเนินกำรจดั เตรียมควำมพรอ้ มและสง่ิ ท่จี ะ

สนับสนนุ กำรจัดประสบกำรณ์เรียนรูข้ องผูเ้ รียนใหบ้ รรลเุ ป้ำหมำย และเกดิ กำรเรยี นรู้ ควำมพรอ้ มของผ้เู รียน

และ กระบวนกำรตำมบทเรียนทีว่ ำงไว

3.7. กำรประเมินผลและกำรปรบั (Evaluation and revise)

3.7.1. ดงั นัน้ กำรเรยี นรู้สื่อและวธิ กี ำรที่ใช้จะตอ้ งมกี ำรระบุส่งิ ทผี่ ้เู รียนต้องปฏิบัติกิจกรรมท้ังดำ้ นควำมรู้ และ

ทกั ษะในกำรปฏบิ ตั ดิ ว้ ย เช่น กำรจดั กลุ่ม กำรสะทอ้ นผล กำรเรยี นรดู้ ้วยตนเอง เปน็ ต้น

การจดั ทาแผนงาน/โครงการตา่ งๆเพือ่ ส่งเสริมสนับสนนุ การจัดการศึกษา

กำรจัดทำแผนปฏิบตั ิงำน (Action Plan) เป็นเครอื่ งมือท่ีสำคัญในกำรแปลงแผนงำน/โครงกำรไปส่กู จิ กรรมย่อย

ในเชงิ ปฏบิ ตั ิ และชว่ ยควบคุมให้ผ้ปู ฏิบตั ิงำนสำมำรถดำเนนิ กำรปฏิบตั งิ ำนได้สะดวกยงิ่ ข้ึน ลดภำระในกำรตดั สนิ ใจว่ำ

จะทำอะไรเมอ่ื ไหร่ ลดควำมเสยี่ งในกำรควบคุมใหเ้ ปน็ ไปตำมเป้ำหมำยของแผนงำน/โครงกำร

ตารางการจดั ทาแผนงาน(Action Plan)

องค์ประกอบของแผนการปฏิบตั งิ าน ไดแ้ ก่

– ช่อื งาน/โครงการ

เนอื่ งจำกแต่ละปีมีแผนงำน/โครงกำรจำนวนมำก ดังน้ัน เรำควรจะตง้ั ชอ่ื แผนปฏิบตั ิงำนให้ชัดเจน ควรตัง้ ชอ่ื ให้

นำ่ สนใจ มีเอกลกั ษณ์ เพื่อท่ีผูเ้ กย่ี วข้องจะสำมำรถจดจำแผนปฏิบัติงำนนัน้ ได้ดี และเป็นกำรสรำ้ งเอกลกั ษณ์ของ

แผนปฏิบตั ิงำนนัน้ ๆ ไดอ้ กี ด้วย

– เปา้ หมายของโครงการ

เปน็ ผลท่ตี งั้ เอำไวเ้ พ่อื ทจ่ี ะปฏิบตั งิ ำนใหบ้ รรลุในอนำคต ซง่ึ กำรตั้งเปำ้ หมำยท่ีดจี ะต้องประกอบไปดว้ ย SMART

คือ

Specific มเี ปำ้ หมำยของโครงกำรทชี่ ัดเจน

Measurable สำมำรถวัดผลได้
Attainable สำมำรถท่จี ะทำให้บรรลุผลได้

Realistic มสี ภำพตำมควำมเหมำะสม สมำรถทำให้เกิดขน้ึ จรงิ ได้ไมย่ ำกหรอื ง่ำยจนเกินไป

Timely มกี รอบเวลำเริ่มตน้ และสนิ้ สุดของเปำ้ หมำย

– วัตถปุ ระสงค์
เปน็ เป้ำหมำยยอ่ ยหรอื เรียกวำ่ Objectives Sub goal ซง่ึ กำรตั้งวตั ถปุ ระสงคท์ ี่ดีจะต้องสำมำรถประเมินผลกำร

ปฏบิ ัตงิ ำนได้ ควรลงรำยละเอียดวำ่ กำรทำโครงกำรนีจ้ ะทำใหอ้ งคก์ ำรไดร้ ับผล (Output)
อะไรบ้ำง ปรมิ ำณเท่ำใด หรอื สำมำรถเพมิ่ ประสทิ ธภิ ำพในกำรปฏบิ ตั ิงำนหรือประหยดั ค่ำใช้จ่ำยขององค์กำรได้มำก

นอ้ ยเท่ำใด

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 290

------------------------------------------------------------------------------
– ลาดบั

เป็นกำรจัดลำดับของแตล่ ะกิจกรรมว่ำ กจิ กรรมใดควรที่จะทำก่อนหรอื หลังเพอื่ ให้แผนกำรทำงำนมคี วำม

ตอ่ เนอื่ งและสอดคลอ้ งกนั

– ข้ันตอนหลักและกจิ กรรม

คอื กำรกำหนดว่ำวธิ ีกำร หรือกจิ กรรมใดตอ้ งทำกอ่ น หรือกิจกรรมใดตอ้ งทำหลังจงึ จะดที สี่ ุด เพื่อให้

วตั ถปุ ระสงค์ท่ตี ง้ั มำน้ันบรรลุผลสำเรจ็ ไดอ้ ย่ำงมีประสทิ ธภิ ำพ โดยในแผนปฏบิ ตั งิ ำนควรจะกำหนดขน้ั ตอน/

กระบวนกำรหลกั ๆ ไวใ้ ห้ชดั เจน แลว้ กำหนดกจิ กรรมยอ่ ยๆ ของแตล่ ะขั้นตอนวำ่ มอี ะไรบ้ำง เชน่ ข้นั ตอนกำร

ฝึกอบรมจะมีกจิ กรรมยอ่ ยตำ่ งๆ ไดแ้ กก่ ำรกำหนดหลกั สูตรฝกึ อบรม กำรตดิ ตอ่ วิทยำกร กำรแจ้งกำหนดกำร

ฝกึ อบรมให้หน่วยงำนต่ำงๆ รับทรำบ เป็นตน้

– ผ้รู บั ผดิ ชอบ

ควรจะมกี ำรกำหนด ชอื่ บคุ คล หรือตำแหน่ง (Action Plan Leader /Owner)ผทู้ ร่ี บั ผดิ ชอบแผนปฏบิ ตั ิงำนหลกั ไว้

และในแต่ละกิจกรรมควรจะกำหนดผูร้ ับผดิ ชอบให้ชัดเจนเช่นเดยี วกนั ทัง้ น้เี พือ่ จะไดพ้ ิจำรณำดูวำ่ ใครรับผิดชอบมำก

นอ้ ยเกนิ ไป และคนท่รี บั ผดิ ชอบมคี วำมเหมำะสมกบั กิจกรรมน้ันๆ หรือไม่

– กาหนดระยะเวลา

ใหร้ ะบวุ ่ำกจิ กรรมแตล่ ะขอ้ น้ันจะทำเมอ่ื ไหร่ จะใช้ระยะเวลำในกำรทำงำนเทำ่ ไหร่ สำมำรถกำหนดเปน็ ปี เดอื น

วัน หรอื ชั่วโมง กไ็ ด้ ซึ่งควรระบุวันเวลำ ใหช้ ัดเจน เพื่อจะสำมำรถดภู ำพรวมของแผนปฏิบัตงิ ำนได้ว่ำมีกจิ กรรมใดบำ้ ง

ท่ีสำมำรถทำไปพรอ้ มกนั ได้ กจิ กรรมใดต้องรอใหก้ ิจกรรมอนื่ เสรจ็ ก่อนจงึ จะปฏบิ ัติงำนได้ ตลอดจนวนั เวลำ และ

สถำนที่

– งบประมาณหรือปัจจยั การลงทนุ

นอกเหนอื จำกเงนิ ทจี่ ะเปน็ ตัวกำหนดกำรลงทุน/คำ่ ใช้จ่ำยของโครงกำรแลว้ ยงั มปี จั จยั อ่ืนๆ ท่จี ำเปน็ ที่จะตอ้ งใช้

ในกำรทำงำนหรอื กจิ กรรมน้ันๆเช่น กำลังคน วตั ถุดิบ หรือเทคโนโลยที เ่ี ก่ียวขอ้ งในกิจกรรมของโครงกำรน้ันๆ กำร

วิเครำะหแ์ ละกำหนดงบประมำณจำกทุกกจิ กรรม ชว่ ยทำให้แผนปฏิบัติงำนมีควำมใกลเ้ คียงกบั ควำมเป็นจรงิ มำกขน้ึ

เพรำะหำกเรำประมำณกำรงบประมำณย่อยมำกเท่ำไหร่ โอกำสท่งี บประมำณโดยรวมจะผิดพลำดกย็ ่อมมนี อ้ ยลง

– ผลทค่ี าดว่าจะไดร้ ับ

ระบถุ งึ ผลที่คำดวำ่ จะไดร้ บั (Output) ในแตล่ ะงำนหรือกจิ กรรมท่ีทำซ่งึ ผลนั้นจะเกิดจำกกำรปฏบิ ตั งิ ำนได้

บรรลผุ ลตำมวัตถุประสงคท์ ก่ี ำหนดไว้ของแผนปฏิบตั งิ ำนนั้น ได้แก่ กำไร ผลจำกกำรปฏบิ ัติงำน และผลจำก

กำรใหบ้ ริกำร

ในกำรจัดทำแผนปฏบิ ัตงิ ำนน้ันๆ มรี ปู แบบ เทคนิค วธิ ีกำรได้หลำกหลำยขึน้ อยู่กับควำมเหมำะสมและ

วตั ถุประสงคใ์ นกำรนำไปใช้ ซ่งึ ในกำรจัดทำแผนปฏบิ ตั ิงำนหำกสำมำรถระบุรำยละเอยี ดหรอื หัวขอ้ อ่ืนๆ ที่จำเปน็ ต่อ

กำรปฏบิ ัตงิ ำนของแผน/โครงกำรได้ จะช่วยให้กำรปฏบิ ตั ิงำนสำมำรถดำเนนิ งำนได้อยำ่ งมีประสิทธิภำพและบรรลุตำม

เป้ำหมำยตำมแผนปฏิบตั งิ ำนที่กำหนดไว้

ปจั จยั อนื่ ๆ ทจ่ี ะทาให้แผนปฏิบัติงานบรรลผุ ล

– วิธกี ารหรอื แนวทางในการปฏบิ ัติ

เพอื่ ป้องกนั ปญั หำในกำรนำกิจกรรมไปปฏิบตั ิควรจะระบุแนวทำงในกำรปฏิบัตติ ำมกจิ กรรมนนั้ ๆ ดว้ ย เช่น

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 291

------------------------------------------------------------------------------
ประชำสัมพันธโ์ ดยใชก้ ำรติดประกำศ กำรใช้อเี มล์ และมีกำรติดตำมผลทกุ สัปดำห์ เป็นต้น

– ความเสี่ยงของข้ันตอนหรอื กจิ กรรม

เพ่ือให้แผนปฏบิ ตั ิงำนเป็นแผนทค่ี ำนงึ ถึงกำรปฏิบัติงำนจริงๆ จงึ ควรมีสว่ นทเ่ี รำเรยี กวำ่ กำรวิเครำะห์

ควำมเส่ยี งหรือปญั หำอปุ สรรคของข้นั ตอนหรือกิจกรรมตำ่ งๆ เช่น ควำมเส่ยี งของกจิ กรรมกำรจดั ฝึกอบรม คอื

หนว่ ยงำนตำ่ งๆ มงี ำนมำกไม่สำมำรถส่งคนเข้ำมำรบั กำรฝึกอบรมพร้อมกันได้ครั้งละหลำยคน

– แผนปฏิบตั งิ านรองรับ/แผนปฏบิ ตั ิงานสารอง

ใหน้ ำเอำควำมเส่ยี งหรอื ปัญหำอปุ สรรคที่อำจจะเกิดขนึ้ มำวเิ ครำะห์เพ่ือหำทำงป้องกันแกไ้ ข หรอื ลดผลท่จี ะเขำ้

มำกระทบตอ่ แผนปฏิบัติโดยรวมเชน่ อำจจะต้องแบง่ กำรฝกึ อบรมออกเป็นกลมุ่ ยอ่ ยๆ หรืออำจจะ

เริ่มกำหนดกำรฝกึ อบรมให้เร็วข้ึนและทยอยฝกึ อบรมทงั้ ปี

บทสรุป

กำรวำงแผน เป็นข้ันตอนหนงึ่ ของกำรบรหิ ำรหรือกำรจดั กำร โดยทวั่ ๆ ไปกำรวำงแผนเป็นกระบวนกำรท่ี

เกีย่ วกับกำรระบวุ ัตถปุ ระสงค์ทีต่ ้องกำร กำรกำหนดกลยทุ ธ์ต่ำงๆ ที่จะทำให้สำมำรถบรรลุวัตถุประสงค์เหลำ่ นั้นได้ กำร

วำงแผนมีควำมสำคัญมำกในกำรบริหำรงำน เพรำะจะชว่ ยทำให้ไมต่ อ้ งลองผิดลองถกู ทำให้ควำมไมแ่ นน่ อนและกำร

เปลี่ยนแปลงเกดิ ควำมสมดุล หำกมกี ำรวำงแผนลว่ งหน้ำจะชว่ ยให้เกิดควำมผดิ พลำดน้อย องค์กำรสำมำรถไปสู่จุด

มงุ่ หวงั ดงั ประสงค์ ประหยดั ทรัพยำกรในกำรปฏบิ ัติงำน ใช้ทรพั ยำกรท่ีมีอยูอ่ ยำ่ งคุ้มคำ่ และเออ้ื อำนวยในกำรควบคมุ

ตดิ ตำม และประเมินผลกำรปฏบิ ตั งิ ำนไดอ้ ยำ่ งสะดวกและได้รบั ผลท่ีมีประสิทธิภำพ

ระดบั ของกำรวำงแผน สำมำรถแบง่ ออกเป็น 3 ระดับใหญ่ๆ คือกำรวำงแผนของผู้บรหิ ำรระดับสูง กำรวำงแผน

ของผู้บริหำรระดับกลำง และกำรวำงแผนระดับปฏิบัติงำน ซึง่ มีท้ังแผนระยะยำว ทเี่ ป็นกำรวำงแผนเพอื่ สง่ิ ที่จะเกิดขึ้น
ในหลำยปีขำ้ งหนำ้ แผนระยะสน้ั เปน็ กำรวำงแผนทใ่ี ชร้ ะยะเวลำดำเนนิ กำร

ไมเ่ กนิ 1 ปี และกำรวำงแผนปฏิบตั งิ ำน เปน็ กำรวำงแผนเพื่อลงมอื กระทำ

กำรวำงแผนอย่ำงมขี ัน้ ตอนจะช่วยให้บรรลุเปำ้ หมำยทว่ี ำงไว้ได้ เนื่องจำกได้มกี ำรศึกษำปัญหำ และหำทำงแกไ้ ข
ท่ีเหมำะสม มีกำรกำหนดเปำ้ หมำยของแผนงำนเพื่อเปน็ แนวทำงให้กำรปฏิบัตงิ ำนมีทิศทำงกำรทำงำนเป็นทศิ ทำง

เดยี วกัน และมกี ำรร่วมกันวำงแผนปฏิบตั งิ ำน รวมถึงพิจำรณำถงึ ทรพั ยำกรท่ีจะใช้ในกำรปฏิบัตงิ ำนไดแ้ ก่ แรงงำน

งบประมำณ ระยะเวลำ วตั ถดุ บิ และเทคโนโลยี ไว้แล้วเป็นต้น

กำรวำงแผนทดี่ จี ะทำใหส้ ำมำรถติดตำมและประเมนิ ผลกำรปฏิบตั งิ ำนเพื่อปรบั ปรงุ งำนได้ และทำให้บรรลุ

เป้ำหมำยไดใ้ นทีส่ ดุ

กำรจัดทำแผนปฏิบัติงำน (Action Plan) เป็นกำรแปลงแผนงำนเชงิ กลยุทธ์ไปสกู่ จิ กรรมยอ่ ยในเชงิ ปฏบิ ตั ิ ซงึ่ กำร

จดั ทำแผนปฏิบตั ิงำน จะต้องมีกำรกำหนดช่อื งำน/โครงกำร เป้ำหมำย วัตถปุ ระสงค์ ลำ ดบั ของกิจกรรม ผรู้ บั ผดิ ชอบ

กำหนดเวลำ งบประมำณ รวมไปถงึ ผลทีค่ ำดวำ่ จะไดร้ ับ

การติดตามและประเมินผลโครงการ

หลกั การเบอ้ื งต้น

กำรประเมนิ ผลโครงกำร ถือเป็นขั้นตอนท่ีสำคญั ประกำรหนึง่ โครงกำรซึง่ หลงั จำกได้ผ่ำนกระบวนกำร

วำงแผนและกำรปฏบิ ัติตำมแผน กำรติดตำมและประเมินผล ถอื เปน็ เครอ่ื งมอื ท่ีสำคญั ในกำรวัดควำมสำเร็จของผลกำร

ดำเนนิ งำน ซงึ่ ประกอบด้วย 2 ส่วน คอื

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 292

------------------------------------------------------------------------------
1. กำรติดตำมผล

เป็นกำรติดตำมตรวจสอบควำมกำ้ วหนำ้ ในกำรดำเนนิ งำนกำรจัดสรรทรัพยำกร เปน็ กำรพิจำรณำควำมสัมพนั ธ์
ระหวำ่ งกำรใช้ทรัพยำกรในโครงกำรกบั ผลผลิต ของโครงกำรรว่ มกับปจั จยั ภำยนอกท่มี ีผลกระทบต่อกำรดำเนินงำน

กำรตดิ ตำมผลเปน็ เครอื่ งมอื ในช่วงกำรปฏบิ ัติงำนของโครงกำรเพ่อื ให้เกิดควำมมนั่ ใจว่ำกำรสง่ มอบปจั จัยกำร

ผลติ กำหนดกำรทำงำน กำรผลติ ผลผลติ และกำรดำเนินงำนตำ่ ง ๆ ไดด้ ำเนนิ งำนไปตำมแผนทกี่ ำหนดไว้

2. กำรประเมินผล

เป็นกำรศึกษำและวเิ ครำะห์ขอ้ มูลท่ไี ด้จำกกำรตดิ ตำมกำรปฏิบตั ิงำน เพ่ือประเมนิ ควำมกำ้ วหน้ำของโครงกำร

หรอื แผนงำนว่ำมกี ำรใช้ทรัพยำกร / ปัจจัยต่ำง ๆ อยำ่ งไร มีกำรดำเนนิ งำนเปน็ ไปตำมแผน ตำมขนั้ ตอน ตำมกฎเกณฑ์

และตำมเวลำท่ีกำหนดหรือไม่ตลอดจนมีผลงำนเป็นไปตำมแผน วตั ถุประสงค์ และเป้ำหมำยหรือไม่ อำจเป็นกำร

ประเมินผลระหว่ำงกำรดำเนนิ งำน เปน็ กำรประเมินถึงผลผลิต และผลลัพธ์ หรือกำรประเมินผลภำยหลังกำร

ดำเนินงำน

วัตถุประสงค์

1. เพื่อทรำบผลควำมก้ำวหน้ำในกำรปฏบิ ัติงำนของหนว่ ยงำนตำ่ งๆ

2. เพอ่ื ทรำบปญั หำอปุ สรรคที่เกดิ ข้นึ และหำแนวทำงกำรแกไ้ ขปัญหำอปุ สรรคใหง้ ำนบรรลุเปำ้ หมำย

3. เพื่อสนบั สนุนโครงกำรทมี่ ีประสทิ ธผิ ลใหม้ ีกำรขยำยผลเพ่ือกำรพฒั นำในอนำคตต่อไป

4. เพื่อยกเลิกโครงกำรที่มีควำมผิดพลำดหรอื ล้มเหลวและมีผลกระทบในเชิงลบมำกกวำ่ เชงิ บวก

5. เพ่ือนำผลกำรประเมินของโครงกำรทป่ี ฏบิ ัติแล้วมำปรบั ปรงุ แกไ้ ขปญั หำงำนในดำ้ นต่ำงๆ

คณุ ประโยชนข์ องการประเมนิ โครงการ

1. ชว่ ยทำให้กำรกำหนดวตั ถุประสงค์และมำตรฐำนของกำรดำเนินงำนมคี วำมชัดเจนขึน้ และสำมำรถท่จี ะ

นำไปปฏบิ ตั ไิ ด้อย่ำงไดผ้ ล

2. ชว่ ยให้กำรใช้ทรพั ยำกรเป็นไปอยำ่ งคมุ้ คำ่ หรอื เกดิ ประโยชนเ์ ต็มที่

3. ชว่ ยใหแ้ ผนงำนบรรลวุ ตั ถุประสงค์

4. มสี ่วนช่วยในกำรแก้ปญั หำอนั เกิดจำกผลกระทบ(Impact) ของโครงกำรและทำใหโ้ ครงกำรมีขอ้ ท่ีทำให้เกิด

ควำมเสียหำยลดนอ้ ยลง

5. มีสว่ นในกำรสรำ้ งขวัญและกำลงั ใจให้ผู้ปฏบิ ตั ิตำมโครงกำร

6. ช่วยในกำรตัดสนิ ใจในกำรบรหิ ำรโครงกำร

สาระสาคญั

1. กำรตดิ ตำมเปำ้ หมำยกำรใช้จ่ำยงบประมำณ

2. กำรตดิ ตำมแผนกจิ กรรมประจำทุก 3 เดือน

3. กำรประเมนิ ผลสัมฤทธิ์ของโครงกำร

4. กำรประเมินประโยชนข์ องแผนปฏบิ ตั ิกำร

การประเมินโครงการที่ดี

1. โครงกำรบรรลวุ ตั ถุประสงค์ทกี่ ำหนดไวม้ ำกน้อยเพยี งใด

2. ผลที่เกิดคุ้มค่ำหรอื ไม่ (Cost - Effective)

คู่มือสอบนกั วิชาการศึกษาปฏิบตั ิการ สานกั งานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ 293

------------------------------------------------------------------------------
3. โครงกำรมีผลกระทบตอ่ กลุ่มเป้ำหมำยผูร้ ว่ มโครงกำรอะไรบำ้ ง (ผลกระทบระยะยำวหรือหลังสิ้นสดุ

โครงกำร(Impact) ผลกระทบระหวำ่ งดำเนินโครงกำร(Effect)
4. ควรตดั สนิ ใจอยำ่ งไรเกี่ยวกับโครงกำร

การกาหนดขอบขา่ ยของการประเมิน

1. การประเมนิ กอ่ นเรมิ่ ดาเนินโครงการ(Pre-implementation evaluation)

เปน็ กำรประเมนิ เพอื่ วำงแผนโครงกำร นับตง้ั แต่กำรกำหนดหลักกำรและเหตผุ ล วตั ถปุ ระสงค์ เปำ้ หมำย และ

วิธดี ำเนนิ โครงกำร ประกอบด้วย

1.1 การประเมนิ บริบท หรือสภาวะแวดล้อม (Contest evaluation)

เป็นกำรประเมินควำมตอ้ งกำรจำเปน็ เพ่อื กำหนดโครงกำรและเป็นกำรประเมินว่ำโครงกำรท่จี ะดำเนินกำร

สอดคลอ้ งกบั นโยบำยรฐั บำล ยุทธศำสตร์ของกระทรวง

* ผลของกำรประเมินจะสะท้อนใหเ้ ห็นถึงควำมจำเป็น ควำมเหมำะสมของวตั ถุประสงค์และเปำ้ หมำยของโครงกำร ซ่ึง

จะนำไปสู่กำรตัดสินใจเลือก หรอื กำหนดวัตถุประสงคแ์ ละเป้ำหมำยของโครงกำร

1.2 การประเมินปจั จยั ป้อน (Input evaluation) เป็นกำรตรวจสอบควำมพรอ้ มทงั้ ดำ้ นปริมำณ

(ควำมเพียงพอ) และคุณภำพ(ควำมเหมำะสม) ของทรัพยำกรทีจ่ ะใช้ในกำรดำเนินโครงกำร

* ผลของกำรประเมินจะนำไปสู่กำรตัดสนิ ใจเลอื กวธิ ีกำรจดั กจิ กรรมทเ่ี หมำะสมหรอื ไม่ นอกจำกนั้นยังช่วยให้

ตัดสินใจไดว้ ำ่ โครงกำรมคี วำมเหมำะสมหรอื ไม่ และเมอ่ื นำไปปฏิบัตจิ ะทำให้วตั ถุประสงค์/เป้ำหมำยของโครงกำร

บรรลผุ ลหรอื ไม่

2. การประเมนิ ระหวา่ งดาเนินโครงการ (Formative/on going evaluation)

เปน็ กำรประเมินกระบวนกำร(Process evaluation) ซึง่ เปน็ กำรประเมนิ เกย่ี วกบั ประเดน็ ต่อไปนี้

- วธิ ีกำรจัดกจิ กรรมของโครงกำรตำมแผนทไ่ี ดว้ ำงไว้

- ควำมก้ำวหน้ำของโครงกำร

- กิจกรรมท่ีจัดทำได้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของโครงกำรทีก่ ำหนดไว้หรือไม่ หรอื เกดิ ประสทิ ธิผลมำก

น้อยเพียงใด มปี ัญหำอปุ สรรคใดเกดิ ขึน้

* ผลของกำรประเมินนำไปสู่กำรตดั สนิ ใจ ปรบั ปรุงกิจกรรม วธิ กี ำร หรอื กระบวนกำรดำเนนิ งำน

3. การประเมนิ หลังสนิ้ สุดโครงการ (Summative evaluation) แบ่งออกเปน็ 2 ข้ันตอน คอื

3.1 การประเมนิ ทนั ทที ่ีสนิ้ สดุ โครงการ

เปน็ กำรประเมินผลผลติ (Product evaluation) หรอื ผลลพั ธ์ของโครงกำร โดยมงุ่ ตอบคำถำมว่ำโครงกำรประสบ

ควำมสำเร็จตำมแผนที่วำงไว้หรอื ไม่ ผลผลิตของโครงกำรเป็นไปตำมวตั ถุประสงค/์ เปำ้ หมำย หรืไม่ ค้มุ คำ่ เพยี งใด

3.2 การประเมินภายหลงั สิน้ สุดโครงการแล้วชว่ งระยะเวลาหนึง่
เปน็ กำรประเมินผลกระทบ(Impact evaluation) ของโครงกำรอนั เป็นผลทเ่ี กิดขึ้นตอ่ เนอ่ื งจำกผลผลติ ของ

โครงกำรหรอื ผลผลิตของโครงกำรกอ่ ใหเ้ กิดผลอื่นๆ ตำมมำ ซ่ึงเป็นผลท่ีมไิ ด้ระบไุ วใ้ นวตั ถปุ ระสงค์หรือเปำ้ หมำยของ
โครงกำร

วธิ กี ารประเมินผลโครงการ

ดำเนินกำรใน 3 ลกั ษณะ คือ


Click to View FlipBook Version