การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยโดยใช้ กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สิริวิมล อินแต้ม วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยโดยใช้ กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 นางสาวสิริวิมล อินแต้ม รหัสประจำตัวนักศึกษา 62100101205 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2566
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 A DEVELOPMENT OF THAI LANGUAGE WORD FORMATION LEARNING ACHIEVEMENT USING CIRC COOPERATIVE LEARNING TECHNIQUE WITH EXERCISES OF MATHAYOMSUKSA 1 ผู้วิจัย นางสาวสิริวิมล อินแต้ม อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์มัลลิกา มาภา ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ วิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้าง คำในภาษาไทยโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ อำเภอกุดจับ หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 2) เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวน การเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนมัธยมขนาด ใหญ่ อำเภอกุดจับ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ อำเภอกุดจับ ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 35 คน ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 5 แผน รวมเวลา 5 ชั่วโมง 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย ก่อนเรียนและหลัง เรียน แบบตัวเลือก 20 ข้อ ชนิด 4 ตัวเลือก 3) แบบฝึกทักษะการสร้างคำ จำนวน 5 แบบฝึก ได้แก่ คำมูล คำประสม คำซ้อน การจำแนกคำซ้อนและคำประสม และคำซ้ำ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน โดยใช้ค่าเฉลี่ย ( X ) และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การหาคุณภาพของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) การเปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยเปรียบเทียบร้อยละโดยการทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนหลังจากการจัดการเรียนรู้เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ มีประสิทธิภาพเท่ากับ 39.57/82.86 แสดง
ว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจัดการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ร้อยละ 80 และสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะ การสร้างคำ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีนัยสำคัญที่ .05 ซึ่งนักเรียนได้คะแนนทดสอบก่อนเรียนเฉลี่ย เท่ากับ 4.51 คิดเป็นร้อยละ 22.57 โดยมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.65 และได้คะแนนทดสอบหลังเรียน เฉลี่ยเท่ากับ 16.57 คิดเป็นร้อยละ 82.86 แสดงว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ข กิตติกรรมประกาศ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยโดยใช้ กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน มัธยมขนาดใหญ่ อำเภอกุดจับ ในครั้งนี้ สามารถสำเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความกรุณาและความ ช่วยเหลืออย่างดีจากอาจารย์มัลลิกา มาภา อาจารย์นิเทศ ที่กรุณาให้คำปรึกษา แนะนำ และตรวจสอบแก้ไข ข้อบกพร่องต่าง ๆ อย่างละเอียดจนครบถ้วนสมบูรณ์ ตลอดจนให้กำลังใจแก่ผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง เสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ณ โอกาสนี้ ขอขอบพระคุณ นางสาวจิราพร ฮุยเสนา ครูพี่เลี้ยง ที่กรุณาดูแลให้คำปรึกษา ตลอดจนให้คำแนะนำ ติชมต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัย และการปฏิบัติหน้าที่สอน นางกาญจนา โคตรโสภา และนางอภิญญา ชุมพล ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ สาขาวิชาภาษาไทย ที่กรุณาตรวจสอบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ตลอดจนคณะครูภายในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ อำเภอกุดจับ ทุกท่านที่ช่วยให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์และมีคุณค่าต่อการทำวิจัยครั้งนี้อย่างดียิ่ง ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหารและคุณครู โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ อำเภอกุดจับ ที่ให้ความร่วมมือ เป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูล และการทดลองใช้เครื่องมือวิจัย รวมถึงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์อำเภอกุดจับ ที่ให้ความร่วมมือในการศึกษาวิจัย ขอขอบพระคุณที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่คอยดูแลและให้การสนับสนุนในการวิจัยครั้งนี้ ทั้งให้ ความช่วยเหลือในด้านทุนทรัพย์ ขอเสนอแนะด้านต่าง ๆ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้และมีส่วนช่วยให้การศึกษาวิจัย ครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี สิริวิมล อินแต้ม ผู้จัดทำ
ค สารบัญ บทคัดย่อ........................................................................................................................................................ก กิตติกรรมประกาศ.........................................................................................................................................ค บทที่ 1 บทนำ................................................................................................................................................1 ความเป็นมาและความสำคัญ……………………………………………………………………………………………………..1 วัตถุประสงค์การวิจัย……………………………….………………………………………………………………………………..4 สมมติฐานการวิจัย………………………………………………………………………………..…………………………………..4 ขอบเขตของการวิจัย…………………………………………………………………………………..……………………………..4 นิยามศัพท์เฉพาะ…………………………………………………………….………………………………………………………..5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย………………………………………………………………………………………..6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………………………..7 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551……………………………………………….…………..8 การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC……………………………………….…………………….………….10 แบบฝึกทักษะ…………………………………………………………………….……………..………………………………...….19 การสร้างคำในภาษาไทย……………………………………………………….………………………………………………..…26 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………….………………………..…………………………………..…40 กรอบแนวคิดการวิจัย………………………………………………………………………..……………………………………..46 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย…………………………………………………………………..……………………………………..47 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………..……………………………..……………………………………..57 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ…………………………………………..……………………………………..64 บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………….…..……………………………………..68 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ…………………………………………..……………………………..…………………..72 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………..……………….…………………………..74 ภาคผนวก ค เครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน…………………………………………..……………………..64 ภาคผนวก ง บันทึกข้อความขอความอนุเคราะห์ผู้เชี่ยวชาญ…………………………………………..…………….193 ภาคผนวก จ แบบฝึกทักษะ เรื่อง การสร้างคำ…………………………………………..……………………………….195 ภาคผนวก ฉ ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้……………………..………………….215 ภาคผนวก ช ค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน..………..…….227 ภาคผนวก ซ ภาพการทำกิจกรรมระหว่างการจัดการเรียนการสอน…………………………..………………….230 ภาคผนวก ฌ ประวัติผู้วิจัย…………………………………………..………….…………………………..………………….235
ง สารบัญตาราง ตารางที่ 1 รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างเดียว ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน.................................47 สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง ตารางที่ 2 การแสดงประสิทธิภาพกระบวนการจัดการเรียนรู้........................................................................56 ตารางที่ 3 แสดงประสิทธิภาพของผลการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย....................................................58 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 ตารางที่ 4 แสดงผลรวมคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละของคะแนนก่อนเรียน.................59 และหลังเรียนรายวิชาภาษาไทย ตารางที่ 5 แสดงคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที่แบบไม่อิสระ......................................60 และระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตารางที่ 6 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence: IOC)………........215 ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง คำมูล ตารางที่ 7 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence: IOC)………........217 ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง คำประสม ตารางที่ 8 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence: IOC)………........219 ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง คำซ้อน ตารางที่ 9 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence: IOC)………........221 ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การจำแนกคำซ้อนและคำประสม ตารางที่ 10 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence: IOC)……….....223 ของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง คำซ้อน ตารางที่ 11 วิเคราะห์ค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of item Objective Congruence: IOC).…….................226 ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ตารางที่ 12 ผลการวิเคราะห์ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมัน….............................227 ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย
บทที่ 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การขยายตัวของภาษาเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ทำให้ภาษาดำรงอยู่ต่อไปได้ในสังคมที่เป็น การสื่อสารไร้พรมแดนที่ต้องการใช้คำเพื่อการสื่อสารที่มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงของโลกส่งผลให้มีการกระจาย ทางวัฒนธรรม การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจและสังคม เครื่องมือสำคัญคือภาษา คนไทยมีภาษาไทยเป็น เครื่องมือที่ใช้สื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิด ความต้องการและความรู้สึก ดังพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2542: 5) ตอนหนึ่ง ความว่า “...ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือ เป็นทางสำหรับแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่ง เช่น ในทางวรรณคดี เป็นต้น ฉะนั้นจึง จำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาเป็นของเราซึ่งต้องหวงแหน เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่ โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้...” พระราชดำรัสข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของภาษาไทยที่ มีต่อคนไทยในฐานะเป็นภาษาประจำชาติ อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกัน ได้ดังที่ กาญจนา นาคสกุล (2547: 5) ได้กล่าวถึงความสำคัญของภาษาไทยไว้ว่า ภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของ ความเป็นชาติเพราะไม่มีความผูกพันใด ๆ ที่ทำให้มนุษย์เข้าใจกัน และมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน ภาษาไทย เป็นภาษาที่สำคัญที่สุดของคนไทยทำให้คนไทยทั้งประเทศสื่อสารเข้าใจกันได้ ศึกษาหาความรู้เพื่อ ความก้าวหน้าในชีวิตได้เท่าเทียมและสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่น เป็นหนึ่งในสังคมโลกได้ จึงเป็นความจำเป็น และเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต้องเรียนรู้ภาษาไทยให้ดีที่สุด เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ความเจริญทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้า ทางวิชาการ คำดั้งเดิมที่เคยมีใช้กันมาก็ไม่เพียงพอกับการสื่อสารจึงมีการสร้างคำใหม่ ๆ ขึ้นมาใช้เพื่อสื่อสารให้ สัมฤทธิ์ผลต่อไป ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2550: 25) ได้กล่าวไว้เช่นเดียวกันว่า สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปทำให้มี เครื่องมือ เครื่องใช้ วัสดุ สิ่งของต่าง ๆ มาใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย คำดั้งเดิมในภาษาจึงมีไม่พอที่จะใช้ เรียกชื่อวัสดุสิ่งของเหล่านั้น เราจึงต้องมีการสร้างคำเพิ่มขึ้นด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้มีถ้อยคำใช้ในภาษาได้มากขึ้น นำเข้าสู่การเรียนรู้ในบทเรียนในรายวิชาภาษาไทย คือ การศึกษาในเรื่องการสร้างคำในภาษาไทย เป็นเนื้อหา ส่วนหนึ่งในหลักภาษาไทยที่หากผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องนี้อย่างดีแล้วจะทำให้การเรียนในเรื่องของหลักการใช้ ภาษาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่นักเรียนทำคะแนนได้น้อยกว่าทักษะอื่นในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผ่านมา (ฉวีวรรณ ผิวผ่อง, 2555: 1) ด้วยเหตุนี้เนื้อหาวิชาด้านหลักภาษาในเรื่องของการสร้างคำนั้นเป็นเนื้อหาวิชาที่ ยากต่อการเข้าใจ ทั้งในเรื่องของคำไทยแท้ คำประสม คำซ้อน คำซ้ำ และคำยืมจึงทำให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่ายใน การเรียนหลักภาษา รวมทั้งผู้สอนนั้นยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอน ขาดกิจกรรมการเรียน การสอน หรือมีกิจกรรมแต่ไม่น่าสนใจอีกทั้งมีสื่อที่ไม่หลากหลาย นอกจากนี้การเรียนการสอนจำเป็นต้องมี
2 การฝึกทักษะนี้ต้องอาศัยการปฏิบัติด้วยตนเองซ้ำ ๆ จึงจะทำให้นักเรียนเข้าใจในเนื้อหานั้น (สถาบันทดสอบ การศึกษาแห่งชาติ, 2557: 19) ซึ่งสังคมแต่ละสังคมมีภาษาใช้เป็นของตนเองไม่ว่าจะเป็นสังคมที่ด้อย ความเจริญมากที่สุดหรือสังคมที่พัฒนาก้าวหน้าไปมากที่สุด ต่างก็ต้องใช้ภาษาด้วยกันทั้งนั้น ภาษาจึงเป็นส่วน หนึ่งของสังคมและสังคมก็เป็นส่วนหนึ่งของภาษา (จินตนา บางโรย,2542: 1) ดังนั้นเมื่อสังคมพัฒนาขึ้นย่อมมี สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ เครื่องใช้ เทคโนโลยี และอื่น ๆ เมื่อสังคมมี การเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลให้ภาษามีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังที่กำชัย ทองหล่อ (2540: 16) กล่าวว่า จากการที่สังคมมีความเจริญและพัฒนาขึ้น ทำให้มีสิ่งใหม่เกิดขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี อุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ ความคิดสถานการณ์ใหม่ ๆ เราต้องคิดคำที่จะใช้เรียกสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ซึ่งต้องไม่ซ้ำกับคำที่มี อยู่เดิม ซึ่งฟองจันทร์ สุขยิ่ง (2547: 3) มีความคิดสอดคล้องกันว่า เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมความเจริญทางเทคโนโลยี ความก้าวหน้าทางวิชาการ คำดั้งเดิมที่เคยมีใช้กันมา ก็ไม่พอที่จะใช้เรียกวัสดุสิ่งของเหล่านั้น เราจึงต้องมีการสร้างคำเพิ่มขึ้นด้วยวิธีต่าง ๆ เพื่อให้มีถ้อยคำใช้ใน ภาษาได้มากขึ้น ภาษาแต่ละภาษาจึงมีวิธีการสร้างคำที่แตกต่างกันไป บางภาษาก็สร้างคำด้วยการเติมคำ ข้างหน้า ตรงกลาง หรือข้างท้าย โดยเฉพาะภาษาไทยก็มีวิธีการสร้างคำที่เป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งอาจเหมือน หรือแตกต่างจากภาษาอื่น เช่น การนำคำมาประสมกัน การนำคำมาซ้อนกัน การซ้ำเสียงของคำ หรือทำโดย วิธีการอื่น ๆ ให้เป็นคำใหม่ขึ้นเพื่อ นำไปใช้ในภาษา ดังที่ฐะปะนีย์ นาครทรรพ (2550: 25) กล่าวว่า การสร้าง คำตามหลักเกณฑ์ของภาษาไทยมีหลายวิธีคือ ประสมคำ ซ้อนคำ ซ้ำคำ ซึ่งทำให้ได้คำใหม่ ๆ มาใช้ในภาษาได้ อย่างหลากหลาย คำที่เกิดจากการสร้างคำด้วยวิธีเหล่านี้ เรียกว่า คำประสม คำซ้อน และคำซ้ำ และครูจะต้อง เตรียมความพร้อมในเรื่องสื่อการเรียนรู้เป็นสำคัญ ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้และเป็นส่วน หนึ่งที่ช่วยเอื้อประโยชน์ต่อประสิทธิภาพในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อ พัฒนาความสามารถและทักษะของผู้เรียน จากที่กล่าวมาข้างต้นมีนักวิชาการได้กล่าวถึงปัญหาการเรียนหลักภาษาไทยเนื่องจากสื่อการสอน ภาษาไทยที่ไม่เพียงพอ ล้าสมัย ไม่ตื่นตาตื่นใจ สื่อบางชิ้นชำรุด เสียหาย ขาดงบประมาณใหม่ในการจัดซื้อสื่อ การสอนจึงทำให้นักเรียนไม่สนใจ เบื่อหน่าย การเรียนวิชาภาษาไทยที่มีแต่กระดานดำ เพราะการเรียนการสอน ขาดสื่อช่วยกระตุ้นความสนใจของนักเรียน จึงจำเป็นต้องหาสื่อมาใช้ในการเรียนการสอนหลักภาษาเพื่อให้ นักเรียนมีความสนใจในการเรียนเนื้อหาที่ยาก และน่าเบื่อนี้ (สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์, 2538: 16) แนวทางแก้ไขโดยการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่หลากหลาย ทำให้ผู้เรียนตระหนักถึงคุณค่า ของสิ่งที่ได้เรียนว่านำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ผู้เรียนก็จะอยากเรียนนอกเหนือจากการใช้วิธีการสอนที่ หลากหลายแล้วการใช้สื่อการสอนที่สำคัญยิ่ง การนำนวัตกรรมมาใช้ในการเรียนการสอนนนั้น จะทำให้นักเรียน บรรลุถึงจุดประสงค์ของการเรียน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนการสอนได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนวัตกรรม ทางการเรียนได้แก่ บทเรียนสำเร็จรูป คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดกิจกรรม และชุดการสอน (ดวงเดือน พิทักษ์ทิม, 2553: 2)
3 การจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญมีหลายวิธี วิธีหนึ่งน่าจะทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สูงขึ้น คือ การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่จะพัฒนาการเรียนรู้ ด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนไปพร้อมๆ กัน โดยการบูรณการเนื้อหาสาระและวิธีการในการเรียนแบบกลุ่มช่วยให้ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาต่าง ๆ ด้วยตนเองและความร่วมมือความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ รวมทั้งได้พัฒนา ทักษะทางสังคมต่าง ๆ เช่น ทักษะการสื่อสาร การทำงานร่วมกับผู้อื่น การสร้างความสัมพันธ์รวมทั้ง การแสวงหาความรู้ ทักษะการคิด การแก้ปัญหาและอื่น ๆ (ทิศนา แขมมณี, 2553: 265) ซึ่งสอดคล้องกับ สมศักดิ์ ขจรชัยกุล (2538: 19-20) ที่กล่าวว่า การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative learning) เป็นการจัด การเรียนการสอนทที่เน้นผู้เรียนเป็นกลุ่มเล็ก โดยกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มมีความแตกต่างในด้านความสามารถ ในการเรียน ลักษณะเด่นของการเรียนแบบนี้จะเน้นความร่วมมือกันระหว่างสมาชิกในกลุ่มทุกคน สมาชิกแต่ละ บุคคลมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ครูผู้สอนได้มอบหมายให้และให้ความร่วมมือในการทำงานและ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อจะให้ทุกคนประสบความสำเร็จร่วมกัน จะเห็นได้ว่าการเรียนแบบร่วมมือเป็น การจัดการเรียนการสอนที่มุ่งให้นักเรียนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยจัดนักเรียนเป็นกลุ่มย่อย ๆ ให้รู้จักคิดและ ร่วมกันแก้ปัญหาจนสำเร็จตามเป้าหมาย วิธีการจัดการเรียนแบบร่วมมือมีหลายวิธีแต่ละวิธีจะมีโครงสร้างที่ แตกต่างกันและมีความเหมาะสมกับลักษณะเนื้อหาสาระการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน ครูผู้สอนจะต้องช่วยกัน พัฒนาศักยภาพด้านการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียน รวมทั้งบูรณาการการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ การฝึกทักษะการทำงานกลุ่มเนื้อหาการเรียน การเรียนแบบร่วมมือมีหลายเทคนิค เช่น แบบกลุ่มสัมฤทธิ์ (STAD) แบบบูรณาการด้านการอ่านการเขียน (CIRC) แบบกลุ่มช่วยสอน (TAI) แบบจี.ไอ. (GI) แบบจิ๊กซอว์ (Jigsaw) และแบบคอมเพล็กซ์ (Complex) เป็นต้น เทคนิค CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นเทคนิคการเรียนรู้ เทคนิคหนึ่งในวิธีการสอนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning Methods) ออกแบบขึ้นเพื่อใช้สอนใน ด้านการอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รูปแบบการสอนเป็นแบบบูรณาการการอ่านและการเขียนโดยร่วมมือมือกัน เรียนรู้ มีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือการจัดกิจกรรมพื้นฐานการอ่านและการเขียน (Basal Related Activities) การดำเนินการสอนของครู (Direct Intruction) การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการการอ่านและ การเขียน (Integrated Reading and Composition) ซึ่งรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบร่วมมือจะมี วิธีการ หลักการ เป้าหมายเดียวกัน คือ การจัดการเรียนที่มุ่งเน้นการอ่านและการเขียน มีครูเป็นผู้ริเริ่ม ดำเนินการสอนก่อนและจัดกลุ่มนักเรียนประมาณ 3 – 5 คน คละความสามารถทั้งเด็กเก่ง ปานกลาง อ่อน ให้ร่วมมือกันเรียนรู้ฝึกปฏิบัติกิจกรรมจนบรรลุวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้ มีความรับผิดชอบต่อ ผลงานตนเองและกลุ่ม มีผลทำให้ผู้เรียนเกิดโอกาสในการเรียนแบบอิสระ และมีปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยน ความคิดก่อให้เกิดความรู้สึกอันหนึ่งอันเดียวกันภายในกลุ่มเป็นการสร้างพลังและความสามัคคีในทางบวกและ การสร้างแรงจูงใจในการเรียน (วัชรา เล่าเรียนดี, 2548: 177-181) นอกจากการใช้วิธีการสอนเพื่อแก้ปัญหา การเรียนการสอนแล้ว การใช้นวัตกรรมการศึกษาก็เป็นวิธีหนึ่งในการแก้ปัญหา นวัตกรรมชนิดหนึ่งที่เข้ามามี บทบาทในการจัดการเรียนการสอนและช่วยพัฒนาให้มีประสิทธิภาพการเรียนการสอนอย่างมาก คือ แบบฝึก ทักษะ แบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้นเพื่อพัฒนาเสริมสร้างทักษะต่าง ๆ ให้ผู้เรียนมี
4 ประสบการณ์ สามารถนำความรู้ไปใช้ได้อย่างถูกต้องและผู้เรียนเรียนรู้จากการกระทำจริงจึงทำให้จดจำสิ่งที่ เรียนได้ดียิ่งขึ้น แบบฝึกมีความสำคัญอย่างยิ่งในการพัฒนาการเรียนการสอนทุกวิชา โดยเฉพาะการฝึกทักษะ ภาษาในทุก ๆ ด้าน เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เกิดการเรียนรู้เกิดแรงจูงใจและสามารถตรวจสอบผลการเรียนทำให้ ทราบความก้าวหน้าและข้อบกพร่องอันส่งผลต่อทัศนคติ และประสิทธิภาพพในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี (ขนิษฐา แสงภักดี, 2540: 10) ดังปาริชาติ สุขประเสริฐ (2563: 44) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ เป็นเครื่องมือเพื่อ พัฒนาการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งเน้นการฝึกทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์หลายรูปแบบและช่วยให้เด็กสนใจ เกิดความสนุกสนาน ไม่เบื่อหน่าย นอกจากนี้แบบฝึกยังมีประโยชน์สำหรับครูในการสอนทำให้ทราบพัฒนา การทางภาษาและทักษะในด้านต่าง ๆ ของนักเรียนและเห็นข้อบกพร่องในการเรียน ซึ่งสามารถปรับปรุงได้ ทันท่วงที อันมีผลทำให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียน ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงเลือกที่จะศึกษา โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำก่อนเรียน และหลังเรียน เพื่อจะนำผลที่ได้จาก การวิจัยมาเป็นแนวทางในการปรับปรุงการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 2. วัตถุประสงค์การวิจัย 2.1 เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยโดยใช้ กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน กุดจับประชาสรรค์ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 2.2 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน กุดจับประชาสรรค์ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 3. สมมติฐานการวิจัย 3.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวน การเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนกุดจับประชาสรรค์ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ 80 3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้กระบวน การเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 4. ขอบเขตการวิจัย 4.1 ขอบเขตประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 4.1.1 ประชากร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน
5 3 ห้อง รวม 107 คน ประกอบด้วย ชั้น ม.1/4, ม.1/5, ม.1/6 4.1.2 กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/5 ที่กำลังศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้อง จำนวน 35 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง 4.2 ขอบเขตตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 4.2.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะ การสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 4.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 4.2.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย 4.3 ขอบเขตเนื้อหา ตามหลักสูตรแกนกลาง พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย ประกอบด้วย 4.3.1 เรื่อง คำมูล จำนวน 1 ชั่วโมง 4.3.2 เรื่อง คำประสม จำนวน 1 ชั่วโมง 4.3.3 เรื่อง คำซ้อน จำนวน 1 ชั่วโมง 4.3.4 เรื่อง การจำแนกคำซ้อนและคำประสม จำนวน 1 ชั่วโมง 4.3.5 เรื่อง คำซ้ำ จำนวน 1 ชั่วโมง 4.4 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยทำการวิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 5 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง ระหว่าง เดือนพฤศจิกายน 2566 – เดือนมกราคม 2567 5. นิยามศัพท์เฉพาะ 5.1 การเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) หมายถึง รูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ให้นักเรียนทำงานร่วมกลุ่มย่อย ที่ประกอบไปด้วยนักเรียนที่มี ความสามารถทางการเรียนที่แตกต่างกัน คือ เก่ง ปานกลาง อ่อน ภายในกลุ่มจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน 5.2 แบบฝึกทักษะ หมายถึง นวัตกรรมที่ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายเพื่อทักษะการสร้างคำใน ภาษาไทย ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เกี่ยวกับการสร้างคำในภาษาไทย ได้แก่ คำมูล คำประสม คำซ้ำ และคำซ้อน ซึ่งเรียงลำดับจากง่ายไปยาก 5.3 การสอนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะ หมายถึง การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ โดยการบูรณาการด้านการอ่าน และด้านการเขียนที่จัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้กระบวน การกลุ่ม จะคละเด็กที่มีความสามารถแตกต่างกันมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ร่วมกันทำกิจกรรมการเรียน
6 การสอน จากนั้นทำแบบฝึกทักษะรายบุคคลหลังจากการเรียนการสอนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC เพื่อ พัฒนาการสร้างคำในภาษาไทย 5.4 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการจัดการเรียนการสอนที่ทำให้ผู้เรียน เกิดความเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรม ที่สามารถวัดได้โดยการแสดงออกมี 3 ด้านด้วยกัน คือด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย 5.5 นักเรียน หมายถึง นักเรียนที่กำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ อำเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี 6. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 6.1 ได้แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รูปแบบกระบวนการจัดการเรียนรู้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะ รายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 ที่มีประสิทธิภาพตามขั้นตอนการจัดการเรียนรู้สำหรับนำไปใช้ในการเรียนการสอนให้มีผลสัม ฤทธิ์ ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทยที่สูงขึ้น 6.2 ผลการวิจัยในครั้งนี้จะทำให้ทราบถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำ ในภาษาไทย โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 1 หลังเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะ 6.3 ได้ข้อมูลเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย โดยใช้ กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะ เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทย เพื่อเป็น แนวทางสำหรับผู้สอนในการพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับ แบบฝึกทักษะ
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัย เรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาไทย เรื่อง การสร้างคำในภาษาไทยโดย ใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะการสร้างคำ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ผู้วิจัยได้ ศึกษาเอกสารและงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1.1 หลักการของหลักสูตร 1.2 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 1.3 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1.4 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2. การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC 2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC 2.2 ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ CIRC 2.3 องค์ประกอบของกระบวนการจัดการเรียนรู้ CIRC 2.4 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ CIRC 3. แบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายแบบฝึกทักษะ 3.2 ความสำคัญของแบบฝึกทักษะ 3.3 ลักษณะแบบฝึกทักษะที่ดี 3.4 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะที่ดี 3.5 หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการสร้างแบบฝึกทักษะ 3.6 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ 4. การสร้างคำในภาษาไทย 4.1 คำประสม 4.1.1 ความหมายของคำประสม 4.1.2 ลักษณะของคำประสม 4.1.3 วิธีการสร้างคำประสม 4.1.4 หน้าที่ของคำประสม 4.2 คำซ้ำ 4.2.1 ความหมายของคำซ้ำ 4.2.2 ลักษณะของคำซ้ำ 4.2.3 วิธีสร้างคำซ้ำ
8 4.2.4 หน้าที่ของคำซ้ำ 4.3 คำซ้อน 4.3.1 ความหมายของคำซ้อน 4.3.2 ประเภทของคำซ้อน 4.3.3 ลักษณะของคำซ้อน 4.3.4 หน้าที่ของคำซ้อน 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 6. กรอบแนวคิดการวิจัย 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ภาษาไทยมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนไทย เพราะเป็นทั้งภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารใน ประเทศไทย ทั้งยังเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของชาติที่แสดงให้เห็นความรุ่งเรื่องที่ถูกคิดค้น ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อ ใช้โดยบรรพบุรุษแต่โบราณ ในการเรียนวิชาภาษาไทยได้กำหนดแนวทางการพัฒนาผู้เรียนเป็นหลักการที่สำคัญ ไว้ ดังนี้ 1.1 หลักการของหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 4-10) ได้อธิบายถึงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมี หลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1.1.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมาย และมาตรฐาน การเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะเจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 1.1.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาคและมีคุณภาพ 1.1.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 1.1.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรียนรู้ 1.1.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 1.1.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้และประสบการณ์
9 1.2 จุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 3-4) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพจึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1.2.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและปฏิบัติ ตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 1.2.2 มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมี ทักษะชีวิต 1.2.3 มีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกำลังกาย 1.2.4 มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 1.2.5 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมี ความสุข จากหลักการและจุดมุ่งหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จะเห็นได้ว่า หลักสูตรนั้นมี เป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างยืดหยุ่น สามารถใช้ได้กับ ผู้เรียนในหลายรูปแบบและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด 1.3 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 4) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งให้ ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1.3.1 ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการ ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและ ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจน การเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ โดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 1.3.2 ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง และสังคมได้อย่างเหมาะสม 1.3.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรม และข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ใน
10 การป้องกัน และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 1.3.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไป ใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกัน ในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา และความขัดแย้งต่าง ๆ อย่าง เหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยง พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น 1.3.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้าน ต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม จากการศึกษาสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนนั้นมุ่งให้ผู้เรียนมีความสามารถในการสื่อสารมีความสามารถ ในการคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหา มีทักษะชีวิต ปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันก็สามารถที่ จะเลือกใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม 1.4 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 5) กล่าวว่า หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็น พลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1.4.1 รักชาติ ศาสน์กษัตริย์ 1.4.2 ซื่อสัตย์สุจริต 1.4.3 มีวินัย 1.4.4 ใฝ่เรียนรู้ 1.4.5 อยู่อย่างพอเพียง 1.4.6 มุ่งมั่นในการทำงาน 1.4.7 รักความเป็นไทย 1.4.8 มีจิตสาธารณะ คุณลักษณะอันพึงประสงค์จะมุ่งเน้นให้นักเรียนมีคุณลักษณะ และพฤติกรรมตามที่คาดหวังนอกจากนี้ สถานศึกษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพิ่มเติม ให้สอดคล้องตามบริบทและจุดเน้นของตนเอง 2. การจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC 2.1 ความหมายของการจัดการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ CIRC Slavin (1987) ความหมาย CIRC (cooperative Integrated Reading and Composition) เป็นเทคนิคการเรียนแบบร่วมมือที่แบ่งกลุ่มผู้เรียนตามระดับความสามารถ ซึ่งในกลุ่มจะประกอบไปด้วย
11 นักเรียนที่มีความสามารถในการอ่านแตกต่างกัน กิจกรรมมีการฝึกเป็นทีม ฝึกเป็นรายบุคคล มีการประเมินผล โดยเพื่อน การฝึกเพิ่มเติมและการทดสอบ มีการจัดระบบการให้รางวัลแก่ทีมที่ทำกิจกรรมบรรลุเป้าหมาย โดยการประเมินผลการเรียนของสมาชิกทุกคนในทีม มีการเพิ่มโอกาสและเวลาการฝึกการอ่าน การเขียนมาก ขึ้น (ชัยวัฒน์ สุทธิวัตน์, 2555: 191) วัชรา เล่าเรียนดี (2552: 181) กล่าวว่า วิธีสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้เทคนิคการอ่านและ การเขียน หรือเทคนิค CIRC (Cooperative Integrated Reading And Composition) เพื่อให้สอนอ่านและ เรียน และการสะกดคำโดยเฉพาะตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษาปลาย เป็นต้นไป เป็นเทคนิค การสอนที่ยึดหลักการเรียนร่วมมือกันเรียนรู้ที่ให้สมาชิกร่วมมือกันเรียนรู้อย่างจริงจังทุกคน มีการยอมรับกัน และกัน และมีเป้าหมายความสำเร็จเดียวกัน โดยที่ครูต้องดำเนินการสอนความรู้ทักษะการอ่านและการเรียน ก่อนให้ฝึกปฏิบัติด้วยการร่วมมือกันเรียนรู้ ทิศนา แขมณี (2556: 270) กล่าวว่า เทคนิค CIRC (Cooperative Integrated Reading And Composition) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนแบบร่วมมือที่ใช้ในการสอนอ่านและเขียนโดยเฉพาะ รูปแบบนี้ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียนการสอนการอ่านเพื่อ ความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการเขียน จากนักการศึกษากล่าวถึงความหมายของเทคนิค CIRC ผู้วิจัยพอจะสรุปได้ว่าเทคนิค CIRC เป็นการเรียนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ เพื่อพัฒนาด้านการอ่านและการเขียนโดยเฉพาะ โดยแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม ตามระดับความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน) แล้วฝึกตามชั้นตอนหรือกิจกรรมการอ่านการเขียนในบทเรียน สมาชิกในกลุ่มจะต้องช่วยกันทำงานกลุ่ม และมีการทดสอบเป็นรายบุคคล ซึ่งคะแนนได้จากการทดสอบและ คะแนนได้จากการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มใดมีคะแนนมากที่สุดจะได้รับรางวัล 2.2 ทฤษฎีและแนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ CIRC Stavinetal (1987) เป็นทฤษฎีการเรียนแบบร่วมมือสำหรับสอนการอ่านเขียนและศิลปะทาง ภาษาซึ่งพัฒนาโดย ลาวิน และตีเว่นส์คณะอาจารย์มหาวิทยาลัย Johns Hopkins สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1986 โดยเริ่มจากปัญหาการสอนเกี่ยวกับการอ่าน ด้วยวิธีจัดกลุ่มการอ่านที่ใช้อยู่ดั้งเดิม พบว่า นักเรียน บางคนใช้เวลากับการเรียนไม่เต็มที่ขณะเข้ากลุ่มการเรียนภาษาแบบเดิม นักเรียนมีโอกาสฝึกการอ่านแบบออก เสียงน้อย นักเรียนขาดทักษะการอ่านจับประเด็น การพัฒนาทักษะการเขียนของการเรียนแบบดั้งเดิมจะแยก เรียนส่วนกันกับทักษะทางภาษาด้านอื่น ๆ นักเรียนฝึกการเขียนค่อนข้างน้อย CIRC เสนอวิธีการเรียนแบบ ร่วมมือ ด้วยการแบ่งกลุ่มผู้เรียนตามระดับความสามารถ จัดระบบให้รางวัลหรือยกย่องทีมที่ทำกิจกรรมบรรลุ เป้าหมาย จากการประเมินผลการเรียนของสมาชิกในทีมทุกคนเพิ่มโอกาส และระยะเวลาของการฝึกอ่านออก เสียง ฝึกการเขียนมากขึ้นด้วยการจัดการเรียนแบบบูรณาการกับการเรียนทักษะทางภาษาอื่น ๆ ผู้เรียนที่อยู่ใน ทีมเดียวกันมีส่วนช่วยสนับสนุนช่วยตรวจสอบแนะนำ เพื่อให้สมาชิกทุกคนบรรลุวัตถุประสงค์การเรียนร่วมกัน (ชัยวัฒน์ สุทธิวัตน์, 2555: 191)
12 สำหรับการอ่านนักเรียนจะได้รับการสอนภายในกลุ่มการอ่าน หลังจากนั้นให้แยกออกเป็นทีมเพื่อ ทำงานตามกิจกรรมตามแบบร่วมมือโดยจับคู่กันอ่าน การทำนายเรื่องที่อ่าน สรุปเรื่องที่อ่านให้เพื่อนอีกคนหนึ่ง ฟัง ตอบคำถามจากเรื่องที่อ่าน ฝึกสะกดคำและฝึกการทำงนเป็นทีมให้นักเรียนสามารถจับใจความสำคัญของ เรื่องที่อ่าน และฝึกทักษะอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับความเข้าใจในการอ่านสำหรับการเขียนขึ้นอยู่กับรูปแบบกระบวน การเขียน ใช้รูปแบบเป็นทีมเหมือนการอ่าน โดยนักเรียนจะร่วมกันวางแผน ทบทวนแก้ไข รวบรวมลำดับเรื่อง และพิมพ์หรือแสดงผลงาน โดยครูจะเป็นผู้แนะนำเกี่ยวกับเรื่อง รูปแบบ และกลวิธีในการเขียนการทดสอบ ย่อย จะทดสอบต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในทีมมีความพร้อมเสียก่อน รางวัลสำหรับทีม คือ ใบประกาศนียบัตรโดย จะขึ้นอยู่กับคำาเฉลี่ยของสมาชิกในทีมทุกคนที่ได้จากการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในการอ่านและการเขียน 2.3 องค์ประกอบของกระบวนการจัดการเรียนรู้ CIRC นาตยา ปีลันธนานนท์ (2543: 36) กล่าวว่าการเรียนแบบร่วมมือ เทคนิค CIRC ประกอบด้วย 1) กิจกรรมการอ่านเพื่อศึกษาเนื้อหา สรุปสาระสำคัญจากเรื่องที่อ่าน 2) กิจกรรมศึกษาเนื้อหาสาระ โดยการตอบคำถามจากเรื่องที่อ่าน 3) กิจกรรมศึกษาคำศัพท์ที่ปรากฏอยู่ในเรื่องที่อ่าน 4) กิจกรรมสรุปเรื่องราวหลังการอ่านและอภิปรายเรื่องที่อ่าน 5) กิจกรรมการสะกดคำร่วมกับเพื่อน 6) กิจกรรมอิสระ โดยครูจัดเวลาให้ผู้เรียนเลือกอ่านหนังสือที่ตนเองชอบ มีรายงาน ให้ครูและผู้ปกครองเซ็นรับทราบ กิจกรรมนี้เพื่อสร้างนิสัยรักการอ่าน ทิศนา แขมณี (2556: 270) กล่าวว่าเทคนิค CIRC ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ 1) กิจกรรมการอ่านแบบเรียน 2) การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ 3) การบูรณาการภาษากับการเรียน วัชรา เล่าเรียนดี (2552: 169) กล่าวว่าเทคนิคการบูรณาการการอ่านและการเขียนโดย ร่วมมือกันเรียนรู้ CIRC ประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ประการ คือ 1) กิจกรรมการเรียนรู้เพื่อสร้างพื้นฐานด้านการอ่านและการเขียน 2) การดำเนินการสอนของครู 3) การบูรณาการการอ่านและการเขียน ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2555: 194) กล่าวถึงกิจกรรมการเรียน เทคนิค CIRC มี 3 องค์ประกอบ คือ 1) การสอนกิจกรรมที่เป็นพื้นฐาน 2) การสอนอ่านเอาเรื่อง 3) การสอนการเขียนร่วมกับศิลปะการใช้ภาษา
13 จากองค์ประกอบที่สำคัญของเทคนิค CIRC ที่กล่าวมาพอสรูปได้ว่า ประกอบไปด้วยกิจกรรมที่เป็น พื้นฐานด้านการอ่านและการเขียน กิจกรรมการอ่านเอาเรื่องหรืออ่านเพื่อความเข้าใจและกิจกรรมการบูรณา การการอ่านและการเขียน 2.4 ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ CIRC ทิศนา แขมมณี (2556: 270 )กล่าวถึงกระบวนการเรียนการสอนรูปแบบวิธี ซี ไอ อาร์ ชี ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียน การสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และ การบูรณาการภาษากับการเขียน โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการ ดังนี้ 1. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียนตามระดับความสามารถในการอ่าน นักเรียนแต่ละกลุ่มจับคู่ 2 คน หรือ 3 คน ทำกิจกรรมการอ่านแบบฝึกหัดร่วมกัน 2. ครูจัดทีมใหม่โดยให้แต่ละทีมมีนักเรียนต่างระตับความสามารถอย่างน้อย 2 ระดับทีมทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น เขียนรายงาน แต่งความ ทำแบบฝึกหัดและทดสอบต่าง ๆ และให้มีการให้ คะแนนผลงานแต่ละทีม ทีมใดได้คะแนนร้อยละ 90 ขึ้นไป จะได้รับประกาศนียบัตรเป็น "ซุปเปอร์ทีม " หาก ได้รับคะแนนตั้งแต่ระดับร้อยละ 80 - 89 ก็จะได้รับรางวัลรองลงมา 3. ครูพบกลุ่มการอ่านประมาณวันละ 20 นาที แจ้งวัตถุประสงค์ในการอ่านแนะนำ คำศัพท์ใหม่ ๆ ทบทวนคำศัพท์เก่า จากนั้นครูจะกำหนดและแนะนำเรื่องที่อ่านแล้วให้ผู้เรียนทำกิจกรรมต่าง ๆ ตามที่ครูจัดเตรียมไว้ให้ เช่น อ่านเรื่องในใจแล้วจับคู่อ่านออกเสียงให้เพื่อนฟังแล้วช่วยกันแก้ไขจุดบกพร่องหรือ ครูอาจให้นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม วิเคราะห์ตัวละคร วิเคราะห์ปัญหาหรือทำนายว่า จะเป็นอย่างไรต่อไป เป็นต้น 4. หลังจากกิจกรรมการอ่าน ครูนำอภิปรายเรื่องที่อ่าน โดยครูจะเน้นการฝึกทักษะ ต่าง ๆ ในการอ่าน เช่น การจับประเด็นปัญหา การทำนาย เป็นต้น 5. นักเรียนรับการสอบการอ่านเพื่อความเข้าใจ นักเรียนจะได้รับคะแนนทั้งเป็น รายบุคคลและทีม 6. นักเรียนจะได้รับการสอนและฝึกทักษะการอ่านเป็นรายสัปดาห์ละ 1 วัน เช่น ทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ ทักษะการอ้างอิง ทักษะการใช้เหตุผล เป็นต้น 7. นักเรียนจะได้รับชุดการเรียนการสอนเขียน ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหัวข้อ การเขียนได้ตามความสนใจ นักเรียนจะช่วยกันวางแผนการเขียนเรื่อง และช่วยกันตรวจสอบความถูกต้องและ ตีพิมพ์งานออกมา 8. นักเรียนได้เลือกการบ้านให้เลือกอ่านและหนังสือที่สนใจ และเขียนรายงานเรื่องที่ อ่านเป็นรายบุคคลโดยให้ผู้ปกครองช่วยตรวจสอบพฤติกรรมการอ่านของนักเรียนที่บ้านโดยมีแบบฟอร์มให้ วรพรรณ สิทธิเลิศ (2537: 72) ได้ลำดับขั้นตอนการสอนสรุปได้ขั้นตอนสำคัญได้ 2 ประการคือ การเตรียมการสอน และกิจกรรมการเรียนการสอน
14 1. การเตรียมการสอน สิ่งที่ผู้สอนจะต้องคำนึงในขั้นเตรียมการสอนโดยวิธีซี ไอ อาร์ ซี มีอยู่ 4 ประการ คือ 1.1 การเตรียมเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้สอนเป็นแบบโครงสร้างข้อเขียน (story gramma) ที่เป็นชุด ๆ ตามระดับความสามารถของผู้เรียนที่มหาวิทยาลัย จอร์น ฮอฟกินส์ เป็นผู้สร้าง ขึ้นเอง หรือครูผู้สอนสามารถที่จะเลือกเนื้อหาที่ใช้สอนประเภทเดียวกัน เช่น เรื่องที่เป็นตอนเดียวจบหรือ มากกว่าหนึ่ง ตอน ซึ่งจะอธิบายถึงฉาก ตัวละคร สถานที่ เวลา ที่มีเหตุการณ์ดำเนินไปอธิบายเป้าหมายของตัว ละครการกระทำ และผลจากการกระทำเป็นอย่างไรบ้างและเรื่องจบลงแบบใดหรืออาจจะใช้เรื่องที่ไม่สมบูรณ์ แล้วให้นักเรียนคาดการณ์ว่าส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นควรเป็นอะไร เช่น นักเรียนอ่านที่ไม่มีตอนจบแล้วคาดว่า เหตุการณ์จะจบอย่างไร เป็นต้น 1.2 การจัดนักเรียนเข้ากลุ่ม (Assigning Studen to Teams) ครูเป็นผู้จัด กลุ่มนักเรียนเข้าเป้นกลุ่ม (Reading Groups) ก่อนกลุ่มละ 2 คน โดยจัดให้นักเรียนที่มีความสามารถใน การอ่านต่ำ แล้วจัดนักเรียนกลุ่มอ่านเข้าเป็นกลุ่มซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากกลุ่มอ่าน 2 กลุ่ม คือ ผู้ที่มี ความสามารถในการอ่านสูง 2 คน และต่ำ 2 คน ครูควรเป็นผู้จัดการแบ่งกลุ่มเองเพื่อขจัดปัญหาที่นักเรียนชอบ พอและสนิทสนมกันมารวมกลุ่มกัน และครูจะต้องคอยกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการเรียนเป็น กลุ่ม ความร่วมมือกันของสมาชิกในกลุ่มทุกคนมาเฉพาะแต่คู่ของตนเท่านั้นครูอาจจะจัดกลุ่มใหม่เมื่อเรียนจบ ในแต่ละแผนการสอน 1.3 การจัดทำใบคะแนนของนักเรียน (Team Score Sheet) เป็นแบบ บันทึกคะแนนรายบุคคลของนักเรียน แต่ละทีมประกอบด้วย รายชื่อสมาชิกในทีมและตารางและคะแนน ทดสอบเมื่อจบแต่ละบทเรียน เช่น ความเข้าใจในการอ่าน อ่านออกเสียงคำศัพท์หาความหมายของคำ การสอบ สะกดคำ และการเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน เป็นต้น ครูจะอธิบายการได้มาซึ่งคะแนนแต่ละอย่าง ทีมที่ทำ คะแนนได้ถึง 9 คะแนนขึ้นไป จะได้รับเกียรติบัตร " Great Team " และทีมที่ได้คะแนน 70 - 79 จะได้รับ เกียรติบัตร " Good Team " ครูควรอธิบายเกณฑ์การให้คะแนนและให้นักเรียนเป็นผู้กรอกรายชื่อสมาชิกใน ทีมเอง 1.4 การจัดทำแบบฟอร์มบันทึกการทำงานที่ได้รับมอบหมาย (Assignment Record Form) ในแบบฟอร์มจะมีรายชื่อนักเรียน วันที่ที่เรียน และตารางกิจกรรมที่ทำหลังการอ่านและใน ระหว่างการอ่าน 2. กิจกรรมการเรียนการสอนการสอนโดยวิธี ซี ไอ อาร์ ซีประกอบด้วย กิจกรรม การเรียนการอ่านที่เป็นระบบครบวงจร โดยเริ่มจาก 2.1 ขั้นนำเสนอบทเรียน (Teacher Presentation) ครูเป็นผู้นำเสนอ บทเรียนโดยการทบทวนคำศัพท์เก่า สอนคำศัพท์ใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะให้นักเรียนอ่านออกเสียง คำศัพท์ได้อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว ให้นักเรียนรู้ความหมายของคำศัพท์ยาก โดยการอธิบายและให้คำจำกัด ความ เพื่อที่จะให้นักเรียนสามารถนำเอาคำศัพท์ไปสร้างประโยคได้อย่างมีความหมายและถูกต้องตามหลัก ไวยากรณ์หลังจากที่ครูสอนคำศัพท์แล้ว ครูก็แนะนำเรื่องที่จะให้นักเรียนอ่านให้นักเรียนเตาและคาดการณ์
15 ล่วงหน้าว่าเรื่องที่ครูจะให้อ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร โดยเดาจากคำศัพท์ที่ครูสอนเพื่อเป็นการโยง ประสบการณ์เดิมเข้ากับเรื่องที่จะเขียน 2.2 ชั้นฝึกทำงานเป็นทีม (Team Practice) กิจกรรมที่นักเรียนฝึกทำงาน เป็นทีมจะทำเมื่อครูนำเสนอบทเรียนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้คือ 2.2.1 ฝึกโดยมีครูควบคุมอยู่ (Controlied Practice) หลังจากที่ ครูทบทวนศัพท์เก่า แนะนำศัพท์ใหม่และแนะนำเรื่องที่อ่านแล้วนักเรียนจะได้ทำกิจกรรมดังต่อไปนี้ตามลำดับ ชั้นในกลุ่มของตนโดยมีครูคอยควบคุมอยู่ 1) อ่านออกเสียงคำศัพท์ (Word out loud) นักเรียนอ่านออก เสียงคำศัพท์จากรายการคำศัพท์ (Word mastery list) ที่ครูให้กับคู่ของตนเปลี่ยนกันอ่านและช่วยกันแก้ไข เมื่ออ่านผิด จนกระทั่งอ่านได้ราบรื่นรวดเร็วและถูกต้อง กิจกรรมในข้อนี้จะช่วยให้นักเรียนรู้ความหมายของ คำโดยอัตโนมัติ และไม่เป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจในเรื่องที่จะได้อ่านเลย 2) ฝึกหาความหมายของคำ (Word meaning practice) นักเรียน ใช้คำศัพท์จากรายการคำศัพท์ (Word mastery is!) ในการฝึกหาความหมายของคำศัพท์จากพจนานุกรมแล้ว เขียนความหมายของคำศัพท์เป็นคำพูดของตนเอง (ถ้าทำได้) และสร้างประโยคจากคำศัพท์ที่ครูให้ 3) สะกดคำ (Spelling) นักเรียนฝึกสะกดคำศัพท์กับคู่ของตนหรือ กับเพื่อนในทีม โดยมีคนบอก 1 คน ให้สมาชิกในกลุ่มเขียนแล้วเปลี่ยนกันตรวจจนกว่าจะสะกดคำได้หมด ทุกคน 4) อ่านในใจ (Silent Reading) หลังจากหาความหมายของคำและ สะกดคำได้แล้ว นักเรียนอ่านเรื่องที่ครูกำหนดให้ในใจก่อน เพื่อรวบรวมและทำความเข้าใจเรื่องก่อนที่จะฝึก อ่านออกเสียงในชั้นต่อไปกับเพื่อน 5) การอ่านออกเสียง (Reading Aloud ) นักเรียนเปลี่ยนกันอ่าน คนละย่อหน้ากับคู่ของตนหรือกับเพื่อนร่วมทีม เมื่อใครอ่านออกเสียงไม่ถูกก็ช่วยกันแก้ไขส่วนครูผู้สอนจะต้อง คอยเดินดูนักเรียนทุกกลุ่มเป็นการสังกตความถูกต้องในการอ่านของนักเรียนและคอยช่วยเหลือนักเรียน เมื่อนักเรียนมีปัญหา 6) การค้นหาคำตอบจากเรื่องที่อ่าน (Treasure Hunt) นักเรียนใน แต่ละกลุ่มช่วยกันตอบคำถามแต่ละตอนของเรื่องที่ครูให้อ่าน ปรึกษาและอภิปรายหาคำตอบที่ถูกต้องก่อนที่ นักเรียนแต่ละคนจะเขียนคำตอบส่งครู 7) การเล่าเรื่อง (Story Retelling) นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันสรุป ใจความสำคัญของเรื่องตามลำดับเหตุการณ์เป็นคำพูดของตนเอง โดยครูใช้คำถามแนะแนวทางในการเล่าเรื่อง 8) การเขียนเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน (Story - Related Witing) นักเรียนเขียนสรุปใจความสำคัญลำดับเหตุการณ์จากการเล่าเรื่องสอดแทรกความรู้สึกและความคิดเห็น เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านตามแนวคิดของตัวเอง
16 9) การตรวจสอบกับคู่ของตน (Partner Cheekling) หลังจากที่ นักเรียนทำกิจกรรมที่ 1 - 8 เรียบร้อยแล้ว เพื่อนสมาชิกหรือคู่ก็จะตรวจสอบว่าแต่ละคนทำสำเร็จและมี ความสามารถผ่านเกณฑ์ในงานนั้นๆ หรือไม่ โดยบันทึกลงในแบบบันทึกการทำงานที่ได้รับมอ บหมาย (Assignment record form) 2.2.2 ขั้นตอนการฝึกแบบอิสระ หลังจากที่นักเรียนได้ทำงานเป็น กลุ่ม โดยมีครูคอยควบคุมดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิดแล้ว นักเรียนจะได้ฝึกทำงานตามลำพัง โดยการช่วยตรวจ แก้ไข ความถูกต้องในการทำงานของผู้ร่วมทีม (Peer Pre-Assessment) ก่อนที่จะส่งครูนอกจากนี้นักเรียนยัง สามารถฝึกอ่านเรื่องที่ตนสนใจได้ความต้องการนอกห้องเรียน 2.3 ขั้นตอนการทดสอบ (Testing) หลังจากที่นักเรียนจบแต่ละบท แล้วครูผู้สอนจะ ทดสอบนักเรียนเกี่ยวกับความเข้าใจการอ่าน การสร้างประโยคจากคำศัพท์ที่ให้ และการอ่าน ออกเสียงคำศัพท์ซึ่งใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที โดยทดสอบเป็นรายบุคคล ไม่อนุญาตให้ช่วยเหลือกัน ครูผู้สอนต้องให้นักเรียนยกโต๊ะแยกจากกลุ่ม คะแนนของกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของสมาชิกในที่ทุกคน เมื่อนักเรียนทำ การทดสอบเสร็จครูผู้สอนควรเรียบตรวจและบอกคะแนนของแต่ละทีมให้แต่ละคนทราบ หากเป็นไปได้ควร บอกให้นักเรียนทราบในคาบต่อไปเพื่อเป็นการกระตุ้นและให้กำลังใจแก่ผู้อื่น 2.4 ชั้นตระหนักถึงความสำเร็จของกลุ่ม (Team Recognition) ทันทีที่ ผู้สอนคิด คะแนนของผู้เรียนแต่ละคนและแต่ละทีมเสร็จ แล้วควรจะให้รางวัลเกียรติบัตรหรือคำชมแก่กลุ่มที่ ทำคะแนน ได้ดีถึงเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อเป็นการขี้ให้เห็นคุณค่าความร่วมมือและความสำเร็จในทีม ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2555: 192) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC เทคนิค CIRC ประกอบด้วย 3 ชั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 นำเสนอบทเรียนในชั้นเรียน กิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียนโดย การแจ้งจุดประสงค์ในการเรียนให้นักเรียน ทราบและทบทวนเนื้อหาการเรียนไปแล้วหรือคำศัพท์เก่า แนะนำ เนื้อหาการเรียนหรือคำศัพท์ใหม่ ตลอดจน อธิบายถึงวิธีการเรียน เกณฑ์ที่ทุกคนต้องทำได้ รวมถึงการทำ แบบทดสอบเมื่อจบบทเรียนแต่ละบท ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติกิจกรรมการอ่านในกลุ่มดังนี้ 1. กิจกรรมพื้นฐาน เป็นกิจกรรมที่กำหนดให้นักเรียนปฏิบัติตาม ประกอบด้วย กิจกรรมฝึกอ่านกับเพื่อน การอ่านออกเสียง การให้ความหมายของคำ การสะกดคำ และกิจกรรมการสรุปเรื่อง 2. กิจกรรมการสอนอ่านจับใจความ เมื่อการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน ดำเนินไปได้ระยะหนึ่งครูจะจัดกิจกรรมเพื่อฝึกทักษะการอ่านจับใจความกับนักเรียนโดยตรง มีขั้นตอนคือครูเสนอเรื่องที่จะให้อ่าน ปฏิบัติกิจ กลุ่ม ปฏิบัติกิจกรรมรายบุคคล การตรวจสอบจากเพื่อนฝึก ปฏิบัติเพิ่มเติม และประเมินผล ขั้นตอนที่ 3 ประเมินผล
17 การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแต่ละครั้งจะทำการวัดผลและ ประเมินผล โดยใช้การชักถามสนทนา การอ่านออกเสียง การสรุปใจความสำคัญของเรื่อง การทดสอบ ความเข้าใจเนื้อใจ และในรอบ 1 สัปดาห์ จะนำคะแนนทุกกิจกรรมของนักเรียนทุกคนมารวมเป็นคะแนนของ ทีม กล่าวคือ ทีมใด ที่ทำคะแนนได้ถึงเกณฑ์ร้อยละ 90 ขึ้นไป จะได้รับประกาศให้เป็นทีมยอดเยี่ยม (super teams) และได้รับ เกียรติบัตร และทีมที่ทำคะแนนได้ถึงเกณฑ์ร้อยละ 80 จะได้รับการประกาศให้เป็น ทีมเก่ง (great teams) และได้รับเกียรติบัตรรองลงมา การสอนการเขียนร่วมกับศิลปะการใช้ภาษา การเรียน โดยใช้กิจกรรมแบบ CIRC ได้คิดออกแบบหลักสูตที่ใช้ทักษะทางภาษาโดยบูรณาการกระบวนการเขียนกับ ศิลปะการใช้ภาษาไว้ด้วยกัน นักเรียนจะได้รับการฝึกเป็นนักเขียนมีทั้งเขียนเรื่องทั่วไปที่ผู้เรียนสนใจ และฝึกการเขียนหัวข้อพิเศษ เช่น เขียนบทความ เขียนข่าว นิทาน จดหมาย เป็นต้น วัชรา เล่าเรียนดี (2552: 170) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ เทคนิค CIRC ดังนี้ 1. ครูนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการอ่าน วิธีการอ่าน ความสำคัญของ การอ่าน เพื่อความเข้าใจพอสังเขป อธิบายความสำคัญของการเขียน วิธีเขียนแบบต่าง ๆ ของการเขียน ความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างการอ่านและการเขียน 2. ครูดำเนินการสอนยกตัวอย่างบทอ่าน ครูและนักเรียนร่วมกัน อ่านบท อ่าน ทำความเข้าใจ ถาม ตอบ ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญโครงสร้างของข้อความ ประโยคต่าง ๆ ความเชื่อมโยง ของข้อความหรือประโยคในบทอ่าน ใช้กิจกรรมการอ่านโดยขี้ให้เห็นถึงลักษณะวิธีการเขียน การฝึกหัด การเขียน ควรเริ่มจากการเขียนตอบแบบง่าย ๆ การสร้างประโยคจากคำศัพท์หรือคำเชื่อม คำขยาย 3. ครูตรวจความรู้ความเข้าใจทั้งเนื้อหาและวิธีการเขียนสาระสำคัญ ประเด็นหลัก ประเด็นรอง ลักษณะของเนื้อเรื่อง โครงสร้างของประโยคที่ใช้ ความสัมพันธ์ระหว่างข้อความ หรือประโยค เนื้อเรื่อง บทสรุปความเป็นไปได้ หรือจินตนาการสร้างสรรค์ความคิด 4. จัดกลุ่มผู้เรียนโดยคละความสามารถ แจกใบความรู้ แบบฝึก ทักษะให้2 - 3 คน ต่อ 1 ชุด เพื่อจะได้ร่วมมือกันเรียนรูปฏิบัติกิจกรรมตามข้อตกลงที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า ก่อน การดำเนินการจัดการเรียนรู้ 5. สมาชิกทุกคนในกลุ่มร่วมกันเรียนและอ่านใบความรู้ฝึกกิจกรรม ตาม ใบงานที่ครูเตรียมไว้ให้ โดยครูคอยติดตาม ดูแลสอบถามการฝึกปฏิบัติของนักเรียนอย่างทั่วถึงทุกกลุ่ม 6. ฝึกการเขียน ควรให้สมาชิกได้ตรวจสอบผลงานเพื่อน ช่วยกัน แก้ไข ปรับปรุงงานซึ่งกันละกันให้ถูกต้อง ในการฝึกเขียนจากบทอ่านให้สอดคล้องกับรูปแบบของบทอ่านใน ตอนเริ่มแล้วค่อยพัฒนาเป็นการเขียนในลักษณะอื่นที่ซับซ้อนและใช้ความคิดมากขึ้น ที่สำคัญนักเรียนควรได้ มองเห็น โครงสร้างของประโยคหรือข้อความที่สำคัญก่อน ฝึกเขียนจากการชี้แนะแนวทางจนชำนาญก่อนจะใช้ กิจกรรม ฝึกพัฒนางานเขียนที่หลากหลายให้มีประสิทธิภาพต่อไป 7. การตรวจความรู้ความเข้าใจ และผลการเรียนรู้ด้านการอ่านและ การเขียน ครูควรบอกแบทดสอบให้นักเรียนได้ผ่านการเรียนรู้ และฝึกปฏิบัติเป็นกลุ่มมาแล้ว รู้เกณฑ์การให้
18 คะแนน สามารถตรวจให้คะแนนตนเองและคำนวณคะแนนกลุ่มของตนได้ การสอนโดยใช้เทคนิคบูรณาการ การอ่านและการเขียน สำหรับการสอนภาษาอังกฤษและภาษาไทยในการจัดการศึกษาของประเทศไทย ควรพิจารณาถึงภูมิหลังความรู้และประสบการณ์ของนักเรียนแต่ละระดับชั้น แต่ละแห่งเป็นสำคัญ ซึ่งครูผู้สอน สามารถปรับประยุกต์เทคนิควิธีดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม เพียงแต่ให้รู้และเข้าใจเทคนิควิธีดังกล่าวอย่าง ชัดเจน เข้าใจมาตรฐานการเรียนรู้ใน แต่ละวิชาให้ชัดเจน ผลการเรียนที่คาดหวังและวัตถุประสงค์การเรียนรู้ใน แต่ละวิชาเป็นสำคัญ จากนักการศึกษาได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ เทคนิค CIRC ผู้วิจัย ได้สรุปขั้นตอนการจัด การเรียนรู้ เทคนิค CIRC ของแต่ละท่านไว้ดังนี้ ทิศนา แขมมณี (2556: 270) กล่าวถึงกระบวนการเรียนการสอนรูปแบบวิธีซี ไจ อาร์ ชี ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก 3 กิจกรรม คือ กิจกรรมการอ่านแบบเรียนการสอนการอ่านเพื่อความเข้าใจ และการบูรณาการภาษากับการเขียน ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2555: 192) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิค CIRC เทคนิค CIRC ประกอบด้วย 3 ชั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 นำเสนอบทเรียนในชั้นเรียน ขั้นตอนที่ 2 ปฏิบัติ กิจกรรมการอ่านในกลุ่ม ขั้นตอนที่ 3 ประเมินผล วัชรา เล่าเรียนดี (2552: 170) ได้กล่าวถึงขั้นตอนการจัดการเรียนรู้ เทคนิค CIRC ดังนี้ 1. ครูนำเสนอความรู้เกี่ยวกับการอ่าน 2. ครูดำเนินการสอนยกตัวอย่างบทอ่าน 3. ครูตรวจความรู้ความเข้าใจทั้งเนื้อหาและวิธีการเขียน 4. จัดกลุ่มผู้เรียนโดยคละความสามารถ 5. สมาชิกทุกคนในกลุ่มร่วมกัน เรียน และอ่านใบความรู้ 6. ฝึกการเขียน 7. การตรวจความรู้ความเข้าใจ ดังนั้นผู้วิจัยได้นำมาสังเคราะห์เป็นขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วย เทคนิค CIRC (Cooperative Integrated Reading and Composition) ได้เป็น 4 ชั้นตอนดังนี้ 1. การเตรียมความพร้อม (Assigning Student to Teams) นักเรียนแบ่งกลุ่มกลุ่มละ 4 คน ตามความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน) พร้อมระบุหน้าที่ความรับผิดชอบ โดยมีการคัดเลือกประธาน พร้อมตั้งชื่อกลุ่มของตนเอง ครูชี้แจง วัตถุประสงค์ขอองการเรียนแต่ละครั้ง พร้อมอธิบายขั้นตอนในการทำกิจกรรมพร้อมการให้คะแนนแต่ละอย่าง ทีมที่ทำคะแนนได้ถึงร้อยละ 90 จะได้รับเหรียญทอง (Great Team) ส่วนทีมที่ได้คะแนนร้อยละ 80 - 89 จะได้รับเหรียญเงิน (Good Team) ก่อนเริ่มเรียนให้แก่ผู้เรียนทราบ 2. การนำเสนอบทเรียน (Teacher Presentation) ครูนำเสนอบทเรียน โดยครูให้ นักเรียนดูวิดีโอเกี่ยวกับเรื่องที่จะ เรียน แล้วนักเรียนทบทวนคำศัพท์จากเรื่องที่ดู โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ นักเรียนออกเสียงคำศัพท์ได้อย่าง ถูกต้องคล่องแคล่ว ให้นักเรียนเรียนรู้ความหมายของคำศัพท์ยากโดย
19 การอธิบายและให้คำจำกัดความเพื่อให้นักเรียนนำเอาคำศัพท์ไปสร้างประโยคได้อย่างมีความหมายและ ถูกต้อง หลังจากที่ครูสอนคำศัพท์แล้ว ครูก็แนะนำเรื่องที่จะให้นักเรียนอ่าน หรือให้นักเรียนคาดเดาเรื่องที่ครู จะให้อ่านเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร โดยเดา จากคำศัพท์ที่ครูสอนเพื่อเป็นการโยงเข้ากับบทเรียน 3. การปฏิบัติการกลุ่ม (Team Practice) นักเรียนกลุ่ม (4 - 5 คน) ร่วมกันทำกิจกรรมกลุ่มดังนี้ 1) กิจกรรมคู่ โดยนักเรียนแต่ละคู่อ่านออกเสียงคำศัพท์จากใบกิจกรรมที่ครู แจกให้โดยเปลี่ยนกันอ่านและช่วยกันแก้ไขเมื่ออ่านผิด จนกระทั่งอ่านได้ราบรื่น รวดเร็ว และถูกต้อง แล้ว ช่วยกันหาความหมายของคำศัพท์โดยช่วยกันจับคู่โยงคำศัพท์กับความหมาย ครูเป็นผู้ตรวจสอบและนำ คะแนนมาบันทึกผล นักเรียนคู่เดิมนำเอาคำศัพท์ที่ครูกำหนดให้จากใบงานไปสร้างประโยคได้อย่างมี ความหมายและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ จากนั้นครูและนักเรียนช่วยกันเฉลยความถูกต้อง (เพื่อที่จะได้ทราบ ผลเลย) แล้วทำการบันทึกคะแนน 2) กิจกรรมกลุ่ม นักเรียน (กลุ่มเดิม) จับกันเป็นคู่อำานออกเสียงเรื่องที่ครู กำหนดให้เมื่อใครอ่านออกเสียงไม่ถูกก็ช่วยกันแก้ไข ครูผู้สอนต้องคอยเดินดูนักเรียนทุกกลุ่มเป็นการสังเกต ความถูกต้องในการอ่านของนักเรียนและคอยช่วยเหลือนักเรียนเมื่อนักเรียนมีปัญหา จากนั้นนักเรียนกลับเข้า กลุ่มช่วยกันตอบคำถามจากใบงานในเรื่องที่ครูให้อ่าน ปรึกษาและอภิปรายหาคำตอบที่ถูกต้อง ก่อนที่จะเขียน ตอบส่งครู ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยคำตอบแล้วทำการบันทึกคะแนน จากนั้นก็ช่วยกันเขียนสรุปใจความ สำคัญของเรื่องตามลำตับเหตุการณ์สอดแทรกความรู้สึกและความคิดเห็นของตนเองลงในใบงาน ครูและ นักเรียนก็ร่วมกันเฉลยคำตอบแล้วทำการบันทึกคะแนน 3) กิจกรรมเดี่ยว นักเรียนแต่ละคนเขียนเรื่องจากคำศัพท์ที่กำหนดให้ ตามจินตนาการ และครูคอยดูแลช่วยเหลือเมื่อนักเรียนมีปัญหา ครูตรวจให้คะแนนตามเกณฑ์ แล้วบันทึก คะแนน 4. การประเมินผลและมอบรางวัล (Team Recognition) ครูและนักเรียนร่วมกัน อภิปรายและสรุปบทเรียนจากการทำกิจกรรม จากนั้นครูผู้สอนจะทดสอบนักเรียนเกี่ยวกับความเข้าใจใน การอ่านจากแบบทดสอบ โดยทดสอบเป็นรายบุคคล ไม่อนุญาตให้ช่วยเหลือกัน เมื่อนักเรียนทำแบบทดสอบ เสร็จครูผู้สอนตรวจให้คะแนน และบอกคะแนนของแต่ละทีม แล้วให้รางวัลหรือคำชมแก่กลุ่มที่ทำคะแนนได้ดี ถึงเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อเป็นการชี้ให้เห็นคุณคู่ความร่วมมือและความสำเร็จในทีม 3. แบบฝึกทักษะ การสร้างแบบฝึกทักษะที่จะนำเสนอต่อไปนี้ประกอบด้วย ความหมายแบบฝึกทักษะ ความสำคัญของ แบบฝึกทักษะ ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ และประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ 3.1 ความหมายแบบฝึกทักษะ
20 แบบฝึกทักษะหรือแบบฝึกเสริมทักษะหรือแบบฝึกเป็นคำที่ใช้เรียกสื่อการเรียนที่ใช้ กระบวนการเรียนรู้ให้นักเรียนลงมือปฏิบัติฝึกให้นักเรียนได้ทำซ้ำบ่อย ๆ จนเกิดความชำนาญซึ่งทำให้นักเรียน เกิดการเรียนรู้ในเรื่องต่าง ๆ มีผู้ให้ความหมายของแบบฝึกทักษะหรือแบบฝึกเสริมทักษะหรือแบบฝึกไว้ดังนี้ อัจฉรา ชีวพันธ์ (2531: 48) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะหมายถึง สิ่งที่สร้างขึ้นเพื่อเสริม ความเข้าใจและเสริมเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วนที่ช่วยให้นักเรียนได้ปฏิบัติและนำเอาความรู้ไปใช้ได้อย่างแม่นยำ ถูกต้องคล่องแคล่ว นวลนุช สีทองดี (2541: 9-35) กล่าวว่า แบบฝึกเป็นสื่อการสอนที่ใช้ฝึกทักษะเพื่อสร้าง ความคิดรวบยอดให้แก่นักเรียน เพื่อจะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีและรวดเร็วแต่ต้องได้รับการฝึก หลาย ๆ ครั้งหลายรูปแบบเมื่อนักเรียนได้รับการฝึกแล้วอย่างน้อยก็พัฒนาตนเองที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน อารีย์ วาศน์อำนวย (2545: 48) กล่าวว่าแบบฝึกคืออุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างหนึ่งอัน ประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย น่าสนใจที่จะนำไปใช้เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อจะได้ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เกิดความคล่องแคล่วความชำนาญตลอดจนเกิดความแม่นยำซึ่งเป็นไปโดย อัตโนมัติ ด้วยการทบทวนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนไปแล้วอย่างมีทิศทาง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2556: 483) ได้อธิบายว่าแบบฝึกหมายถึงแบบฝึกหัด หรือชุดการสอนที่เป็นตัวอย่าง ปัญหาหรือคำสั่งที่ตั้งขึ้นเพื่อให้นักเรียนฝึกตอบ กล่าวโดยสรุปได้ว่าแบบฝึกทักษะเป็นเครื่องมือประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สร้างขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ได้ทบทวนเนื้อหาหลังจากเรียนจบ บทเรียนแล้วจนเกิดความเข้าใจ ความชำนาญและความแม่นยำจนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ 3.2 ความสำคัญของแบบฝึกทักษะ การสอนหลักภาษาเป็นการสอนเพื่อให้นักเรียนได้ทราบแบบแผนของภาษาและสามารถนำ ความรู้ทางหลักภาษาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้องผู้เรียนต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจึงจะสามารถนำไปใช้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะเป็นส่วนที่เพิ่มหรือเสริมจากบทเรียนใช้เป็นอุปกรณ์การสอนให้เหมาะสมกับ ระดับความรู้ความสามารถของผู้เรียนจะช่วยให้ทราบพัฒนาการและเห็นถึงข้อบกพร่องในการใช้ภาษาของ นักเรียนซึ่งสามารถหาทางแก้ไขได้ทันที ช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการเรียน มีผู้กล่าวถึงความสำคัญของ แบบฝึกทักษะไว้ดังนี้ จินตนา ชูเชิด (2537: 28) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกทักษะไว้ว่าแบบฝึกทักษะเป็น สิ่งที่จำเป็นในการเรียนการสอน ครูควรสร้างแบบฝึกให้เหมาะสมกับผู้เรียน โดยการสร้างแบบฝึกให้สอดคล้อง กับจิตวิทยาการเรียนรู้ ในแบบฝึกควรมีรูปภาพประกอบเพื่อให้นักเรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายต่อการเรียน อดุลย์ ภูปลื้ม (2539: 24-25) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกทักษะไว้ว่าแบบฝึกทักษะมี ความสำคัญและจำเป็นต่อการเรียนทักษะทางภาษามาก เพราะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนดีขึ้น สามารถจดจำ เนื้อหาในบทเรียนและคำศัพท์ต่าง ๆ ได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนานในขณะเรียน ทราบความก้าวหน้าของ ตนเอง สามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ นำมาวัดผลการเรียนหลังจากที่เรียนแล้ว
21 ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่องของนักเรียนและนำไปปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงทีซึ่งจะมีผลทำให้ครู ประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลดภาระได้มาก นอกจากนี้ยังทำให้นักเรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสารได้ อย่างมีประสิทธิภาพ มะลิ อัจวิชัย (2540: 17) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกทักษะไว้ว่าแบบฝึกทักษะที่ดี และมีประสิทธิภาพจะช่วยให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดีแบบฝึกที่ดี เปรียบเสมือนผู้ช่วยที่สำคัญของครู ทำให้ครูลดภาระการสอน ทำให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ และเพิ่มความมั่นใจในการเรียนเป็นอย่างดี กันต์ดนัย วรจิตติพล (2542: 34) ได้ให้ความสำคัญของแบบฝึกทักษะไว้ว่าแบบฝึกทักษะ คือ เครื่องมือทางการเรียนอย่างหนึ่งที่มุ่งให้นักเรียนได้ฝึกกระทำด้วยตนเองเพื่อจะได้มีทักษะหรือความชำนาญ เพิ่มขึ้นหลังจากที่ได้เรียนรู้ในภาคทฤษฎีหรือด้านเนื้อหาแล้ว ซึ่งในแบบฝึกควรประกอบด้วยคำแนะนำในการ ทำข้อคำถามหรือกิจกรรมและช่องว่างให้นักเรียนตอบคำถาม กล่าวโดยสรุปได้ว่าแบบฝึกทักษะเป็นสื่อการเรียนรู้ที่มีความสำคัญในการพัฒนาการเรียนรู้ ของผู้เรียน ช่วยทบทวนความรู้ ฝึกกระทำด้วยตนเองจนเกิดความชำนาญ เกิดแรงจูงใจในการเรียนและสามารถ ตรวจสอบผลการเรียน ทำให้ทราบความก้าวหน้าและข้อบกพร่องของนักเรียน สามารถใช้ได้ทั้งในชั้นเรียนและ ที่บ้าน 3.3 ลักษณะแบบฝึกทักษะที่ดี การจัดทำแบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์นั้นต้อง เหมาะสมสอดคล้องกับผู้เรียนที่จะฝึกด้วย มีผู้กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดีไว้ดังนี้วรรณ แก้วแพรก (2526: 33-38) กล่าวว่า แบบฝึกที่ดีมีลักษณะดังนี้ 1. เนื้อหาที่จะนำมาควรเป็นเนื้อหาในบทเรียนหรือสอดคล้องสัมพันธ์กับบทเรียนทั้ง ที่เป็นคำ ประโยค ข้อความ เนื้อเรื่อง และเนื้อหาตรงตามหลักสูตรที่กำหนด 2. มีหลายแบบหลายลักษณะ เพื่อไม่ให้เบื่อและเป็นการท้าทายให้อยากทำ 3. ต้องช่วยให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับคำ 3 ประการคือ รู้คำเพิ่มขึ้น เข้าใจความหมายของคำดีขึ้น และมีความสามารถในการใช้คำสูงขึ้นตามระดับชั้นของนักเรียน 4. ต้องส่งเสริมให้นักเรียนใช้ความคิดโดยอาศัยความรู้ ความเข้าใจเดิมเป็นพื้นฐาน 5. ต้องไม่มีลักษณะอย่างข้อสอบโดยทั่วไปที่มุ่งวัดความรู้และความเข้าใจเพียงอย่าง เดียวแต่ต้องมีลักษณะเร้าความสนใจยั่วยุและจูงใจให้นักเรียนคิดพิจารณา และได้ศึกษาจนเกิดความรู้ความ เข้าใจในทักษะและสามารถใช้คำได้ดีขึ้น อัญชลี แจ่มเจริญและคณะ (2526: 45) กล่าวว่า แบบฝึกทักษะที่ดีมีลักษณะดังนี้ 1. ควรใช้หลักจิตวิทยาและกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียน 2. ควรสร้างขึ้นเพื่อสิ่งที่จะสอนและเกี่ยวข้องกับนักเรียน
22 3. คำพูดและเนื้อหาควรเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและเป็นสิ่งที่นักเรียนพบเห็นอยู่ แล้ว 4. สิ่งที่ฝึกแต่ละครั้งควรเป็นแบบฝึกสั้นๆ และเข้าใจง่ายไม่น่าเบื่อและที่สำคัญจะ กระตุ้นให้เด็กได้สนใจใคร่ฝึก ดวงเดือน อ่อนน่วม (2536: 37) ได้สรุปลักษณะที่ดีของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. ต้องมีความชัดเจนทั้งคำสั่งและวิธีทำ คำสั่งหรือตัวอย่างแสดงวิธีทำที่ใช้ไม่ควร ยาวเกินไปเพราะจะทำให้เข้าใจยากควรปรับปรุงให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษาด้วย ตนเองได้เมื่อต้องการ 2. แบบฝึกที่ดีควรมีความหมายต่อนักเรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา ลงทุนน้อยใช้ได้นานและทันสมัยอยู่เสมอ 3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกควรเหมาะสมกับวัย และพื้นฐานความรู้ของนักเรียน 4. แบบฝึกที่ดีควรแยกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรม หลายรูปแบบเพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจ และเพื่อฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิดความชำนาญ 5. แบบฝึกที่ดีควรมีทั้งแบบกำหนดคำตอบให้และแบบให้ตอบโดยเสรี การเลือกใช้ คำ ข้อความหรือรูปภาพ ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความสนใจของนักเรียนเพื่อให้แบบฝึกที่สร้าง ขึ้นมาก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่นักเรียนซึ่งสอดคล้องกับหลักการเรียนรู้ที่ว่าเด็กมักจะเรียนรู้ได้ อย่างรวดเร็วในการกระทำที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจ 6. แบบฝึกที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่ง ที่พบเห็นบ่อยๆ หรือที่ตัวเองเคยใช้จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น และจะรู้จักนำความรู้ไปใช้ใน ชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องมีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกทีดีควรตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนมีความ แตกต่างกันในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อมของระดับสติปัญญาและประสบการณ์ เป็นต้น ฉะนั้นการจัดทำแบบฝึกแต่ละเรื่องควรจัดทำให้มากพอ และมีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึง ระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งนักเรียนเก่ง ปานกลางและอ่อน จะได้ทำได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียน ทุกคนประสบความสำเร็จในการทำแบบฝึก 8. แบบฝึกที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนทุกคนได้ตั้งแต่หน้าแรกจึงถึง หน้าสุดท้าย 9. แบบฝึกที่ดีควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขควบคู่กันไปกับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอ และควรใช้ได้ดีทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน 10. แบบฝึกที่ดีควรเป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ในการประเมินและจำแนกความเจริญ งอกงามของนักเรียนได้ด้วย สรุปได้ว่าแบบฝึกทักษะที่ดีต้องพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนส่งเสริมให้ผู้เรียนมีการ
23 พัฒนาตนเอง มีเนื้อหา กิจกรรม รูปแบบน่าสนใจ เหมาะสมกับระดับและวัยของผู้เรียนจูงใจผู้เรียนและ เป็นไป ตามลำดับความยากง่าย 3.4 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะที่ดี การสร้างแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเข้าใจและได้เรียนรู้ถึง ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกทักษะเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความกระตือรือร้นและสนใจที่จะทำแบบฝึกทักษะ พรสวรรค์ คำบุญ (2534: 19) กล่าวว่า การสร้างแบบฝึกควรคำนึงถึงความสนใจและ ความสามารถของนักเรียน ดังนั้น แบบฝึกต้องมีเนื้อหาไม่ยากเกินไป มีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าจะฝึกด้านใด มีการกำหนดเวลาในการทำแบบฝึกที่เหมาะสม และมีรูปแบบที่น่าสนใจ นงเยาว์ บวงสรวง (2535: 31) ได้กล่าวถึง การสร้างแบบฝึกไว้ว่า จะต้องคำนึงถึงจิตวิทยา การ เรียนรู้มีวิธีการฝึกทักษะที่เหมาะสม มีจุดมุ่งหมายในการฝึกที่ชัดเจน และสร้างแบบฝึกให้มีรูปแบบที่ น่าสนใจ โดยคำนึงถึงความพร้อมและความสามารถของนักเรียน แบบฝึกที่สร้างขึ้นควรมีการหาประสิทธิภาพ ให้ได้มาตรฐาน สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ (2537: 145-146) ได้กล่าวถึงขั้นตอน สำคัญในการสร้างแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. ศึกษาปัญหาและความต้องการโดยศึกษาจากการผ่านจุดประสงค์การเรียนรู้และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หากเป็นไปได้ควรศึกษาความต่อเนื่องของปัญหาในทุกระดับชั้น 2. วิเคราะห์เนื้อหาหรือทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาหรือทักษะย่อย ๆ เพื่อใช้ ในการสร้างแบบทดสอบ และแบบฝึกหัด 3. พิจารณาวัตถุประสงค์ รูปแบบ และขั้นตอนการใช้ชุดแบบฝึกหัด เช่น จะนำชุด แบบฝึกไปใช้อย่างไร ในแต่ละชุดจะประกอบด้วยอะไรบ้าง 4. การสร้างแบบทดสอบ ควรแบ่งเป็นแบบทดสอบเชิงสำรวจ แบบทดสอบเพื่อ วินิจฉัย ข้อบกพร่องแบบทดสอบความก้าวหน้าเฉพาะเรื่องเฉพาะตอนแบบทดสอบที่สร้างขึ้นจะต้องสอดคล้อง กับเนื้อหา 5. สร้างแบบฝึกหัดเพื่อใช้พัฒนาทักษะย่อยแต่ละทักษะในแต่ละแบบจะมีคำถามให้ นักเรียนตอบ การกำหนดรูปแบบ ขนาดของบัตรพิจารณาตามความเหมาะสม 6. สร้างแบบฝึกอ้างอิงเพื่อใช้อธิบายคำตอบหรือแนวทางการตอบแต่ละเรื่อง การสร้างแบบฝึกอ้างอิงนี้อาจทำเพิ่มเติมเมื่อได้นำแบบฝึกหัดไปทดลองใช้แล้ว 7. สร้างแบบบันทึกความก้าวหน้าเพื่อใช้บันทึกผลการทดสอบหรือผลการเรียน โดยจัดทำเป็นตอนเป็นเรื่องเพื่อให้เห็นความก้าวหน้าเป็นระยะ ๆ สอดคล้องกับแบบทดสอบความก้าวหน้า 8. นำเอาแบบฝึกหัดไปทดลองใช้เพื่อหาข้อบกพร่องคุณภาพของแบบฝึกหัด คุณภาพของแบบฝึก 9. ปรับปรุงแก้ไข
24 10. รวบรวมเป็นชุด จัดทำคำชี้แจง คู่มือการใช้ สารบัญ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป มนทิรา ภักดีณรงค์ (2538: 99-100) ได้ให้ข้อเสนอแนะในการสร้างแบบฝึกไว้ว่าการสร้าง แบบฝึกที่จะทำให้นักเรียนมีความคงทนในการเรียนรู้ได้ดีต้องมืองประกอบหลัก คือต้องให้นักเรียนฝึกกระทำ ด้วยตนเองบ่อย ๆ และสิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ ต้องให้ผู้เรียนเกิดความสนุกสนานในขณะทำแบบฝึก สรุปได้ว่าหลักในการสร้างแบบฝึกทักษะ คือ จะต้องไม่ยากเกินไปเหมาะสมกับความสามารถของ ผู้เรียนเพื่อให้นักเรียนมีความสนุกสนาน อยากทำแบบฝึกด้วยตนเองบ่อย ๆ 3.5 หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการสร้างแบบฝึกทักษะ การสร้างแบบฝึกให้มีประสิทธิภาพสำหรับนำไปใช้การจัดการเรียนการสอนนั้น ควรคำนึงถึง หลักจิตวิทยามาใช้เป็นองค์ประกอบและใช้เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างแบบฝึกให้มีความเหมาะสมกับ วัย ความสนใจ และความสามารถของผู้เรียน ซึ่งมีผู้กล่าวถึงหลักจิตวิทยาที่นำมาใช้ในการสร้างแบบฝึกดังนี้ พรรณี ชูทัย (2522 : 167) ได้สรุปทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาเพื่อเป็นข้อเสนอแนะใน การสร้างแบบฝึกดังนี้ 1. การจูงใจให้ผู้เรียน (Motivation) ด้วยการจัดแบบฝึกที่สั้น มีลำดับจากง่ายไปหา ยาก และมีเนื้อหาที่เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 2. การฝึกหัด (Practice) โดยการให้ผู้เรียนฝึกทำแบบฝึกซ้ำ ๆ บ่อย ๆ เพื่อสร้าง ความรู้ความจำย้ำความเข้าใจที่แน่นอน การฝึกให้หยุดพักเล็กน้อยแล้วฝึกต่อ จะมีผลดีกว่าการฝึกแบบต่อเนื่อง ไม่พักเลย 3. ความใกล้ชิด (Contiguity) การใช้สิ่งเร้าและการตอบสนองในเวลาใกล้เคียงกัน จะสร้างความพอใจให้แก่ผู้เรียนในขณะที่สอนจึงมีการทำกิจกรรมต่อเนื่องและหลังการฝึก มีการถามตอบ การ ชมเชย การให้รางวัล เป็นต้น 4. การให้ผู้เรียนทราบผลการทำงานของตนเอง (Feedback) การตรวจเฉลยคำตอบ ให้ทราบ ชี้ให้เห็นสิ่งที่ถูก ผิด และสิ่งที่ควรแก้ไข เป็นต้น เดโช สวนานนท์ (2510: 159-163) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์และสกินเนอร์ (Thorndike and Skinner) ดังนี้ธอร์นไดค์ (Thorndike) ได้ตั้งกฎการเรียนรู้ขึ้น 3 กฎ สามารถนำมาใช้ในการ สร้าง แบบฝึกทักษะได้แก่ 1. กฎแห่งผล (Law of Effect) มีใจความว่า การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนองจะดียิ่งขึ้น เมื่อผู้เรียนแน่ใจว่าพฤติกรรมตอบสนองของตนถูกต้อง การให้รางวัลจะช่วยส่งเสริม การแสดงพฤติกรรมนั้น ๆ อีก 2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law Of Exerase มีใจความว่า กรมีโอกาสได้กระทำ ซ้ำ ๆ ใน พฤติกรรมหนึ่งจะทำให้พฤติกรรมนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น การฝึกหัดที่มีการควบคุมที่ดีจะส่งเสริมผลต่อ การเรียนรู้ 3. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) มีใจความว่า เมื่อมีความพร้อมที่จะ
25 ตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมใด ๆ ถ้ามีโอกาสได้กระทำ ย่อมเป็นที่พอใจ แต่ถ้าไม่พร้อมที่จะ ตอบสนองหรือ แสดงพฤติกรรม การบังคับให้กระทำย่อมให้เกิดความไม่พอใจ นอกจากทฤษฎีการเรียนรู้ของธอร์นไดค์แล้ว ยังมีแนวคิดของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างแบบฝึกทักษะคือแนวคิดของสกินเนอร์ (Skinner) ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้ 1. การเรียนรู้จากการวางเงื่อนไขให้ปฏิบัติ (Operant Conditioning) หมายถึง แนว ทฤษฎีการเรียนรู้ที่อธิบายว่า พฤติกรรมจะมีอัตราความเข้มของการสอบสนองสูงขึ้น เมื่อได้รับ การเสริมแรง (Reinforcement) 2. กระบวนการเสริมแรง (Reinforcement) หมายถึง กระบวนการที่ นำมาใช้เพื่อ เพิ่มหรือลดการตอบสนองในกระบวนการเสริมแรงนั้น จะมีการใช้ตัวเสริมแรง (Reinforcer) เช่น คำชมเชย รางวัลที่เป็นวัตถุ สัญลักษณ์หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ ตลอดจนการให้รู้ผลการกระทำของตนเอง 3. การเสริมแรงทันทีทันใด (Immediate Reinforcement) หมายถึง การกำหนดให้ มีการเสริมแรงอย่างทันทีทันใดที่มีการตอบสนอง เช่น เมื่อนักเรียนตอบ ครูให้การเสริมแรงทันทีว่าคำตอบของ นักเรียนถูกหรือผิด การรีรอการเสริมเรงจะทำให้เกิดการเรียนรู้ล่าช้าไป จากหลักการจิตวิทยาที่นำมาใช้นำมาใช้ในการสร้างแบบฝึกดังกล่าว สรุปได้ว่า การเข้าใจ จิตวิทยาในเรื่องต่าง ๆ จะทำให้เกิดการเรียนรู้สูงสุด ซึ่งประกอบไปด้วยความพร้อม แรงจูงใจและการฝึก รวมทั้งหลักทฤษฎีของธอร์นไดค์ (Thorndike) คือกฎแห่งผล กฎแห่งการฝึกหัด กฎแห่งความพอใจ และหลัก ทฤษฎีของสกินเนอร์ (Skinner) 3.6 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกทักษะจัดเป็นสื่อการสอนที่มีประโยชน์ต่อครูผู้สอนและนักเรียนทั้งในด้านการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ตลอดจนการสอนซ่อมเสริมที่จะทำให้เด็กมีทักษะในการใช้ภาษา เพราะการฝึกฝนจะทำให้ เกิดความชำนาญ ความแม่นยำ มีพัฒนาการทางภาษาเพิ่มพูนขึ้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2537: 146) กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึก ทักษะสรุปได้ ดังนี้ 1. แบบฝึกทักษะเป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนวิชาทักษะเป็น สื่อการสอนที่ช่วยลดภาระของครู 2. ช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษาเป็นเครื่องมือที่ช่วยฝึกทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น แต่จะต้องอาศัยการส่งเสริมและความเอาใจใส่จากครู 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลเนื่องจากเด็กมีความสามารถทางภาษา ต่างกัน การให้เด็กทำแบบฝึกที่เหมาะสมกับความสามารถของเขาจะช่วยให้เด็กประสบความสำเร็จในด้านจิตใจ มากขึ้น 4. แบบฝึกช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน โดยฝึกทันทีหลังจากเด็กได้เรียนรู้ใน เรื่องนั้น ๆ ฝึกซ้ำหลาย ๆ ครั้ง และเน้นเฉพาะเรื่องที่ต้องการฝึก
26 5. แบบฝึกทักษะใช้เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังบทเรียนแต่ละครั้ง 6. แบบฝึกทักษะที่จัดทำเป็นรูปเล่มสามารถก็บรักษาไว้ใช้เป็นแนวทาง เพื่อทบทวน ด้วยตนเองได้ 7. การให้เด็กทำแบบฝึกทักษะช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่น หรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็ก ได้ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้ครูดำเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้ทันท่วงที 8. แบบฝึกทักษะที่ดีจัดทำขึ้นนอกเหนือจากเรื่องที่อยู่ในหนังสือเรียนจะช่วยให้เด็ก ได้ฝึกอย่างเต็มที่ 9. แบบฝึกทักษะที่จัดพิมพ์ไว้เรียบร้อยแล้วจะช่วยครูประหยัดทั้งแรงงาน และเวลา ในการเรียมสร้างแบบฝึกอยู่เสมอ ในด้านผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาลอกแบบฝึกจากตำราเรียน ทำให้มีโอกาสฝึกฝน ทักษะต่าง ๆ มากขึ้น 10. แบบฝึกทักษะช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะการจัดพิมพ์ที่เป็นรูปเล่มที่แน่นอน ย่อมลงทุนต่ำกว่าที่จะพิมพ์ใหม่ทุกครั้ง และผู้เรียนสามารถบันทึกและมองเห็นความก้าวหน้าของตนเองได้อย่าง มีระบบ เนาวรัตน์ ชื่นมณี (2540: 3) กล่าวสรุปว่า แบบฝึกมีประโยชน์และจำเป็นต่อการเรียนทักษะ ทางภาษามาก เพราะจะช่วยให้นักเรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถจดจำเนื้อหาในบทเรียนและคำศัพท์ ต่างๆได้คงทน ทำให้เกิดความสนุกสนานในขณะเรียน ทราบความก้าวหน้าของตนเอง สามารถนำแบบฝึกมา ทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ นำมาวัดผลการเรียนหลังจากที่เรียนแล้ว ตลอดจนสามารถทราบข้อบกพร่อง ของนักเรียนและนำไปปรับปรุงแก้ไขได้ทันท่วงที ซึ่งจะทำให้ครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และลดภาระได้มาก ณัฐพงศ์ สาวงค์ตุ้ย (2542: 35) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของแบบฝึกว่า แบบฝึกนั้นมีความสำคัญ ทั้งต่อตัวนักเรียนและครูผู้สอน ในด้านตัวนักเรียนนั้น ทำให้นักเรียนได้เกิดทักษะเกิดความรู้ ความชำนาญใน การได้ฝึกฝน และยังสามารถมองเห็นความก้าวหน้าของตนเองได้ และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เหมาะสม ในด้านครูผู้สอนนั้น แบบฝึกที่ดีถือว่าเป็นอุปกรณ์ช่วยลดภาระของครูผู้สอน ประหยัดเวลาสามารถ ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ ช่วยให้ครูผู้สอนมองเห็นปัญหาต่าง ๆ ในการเรียน โดยอาศัยแบบฝึกได้ชัดเจนยิ่งขึ้น จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แบบฝึกมีประโยชน์ในการนำมาใช้ เพื่อฝึกฝนทบทวนสิ่งที่นักเรียนได้ เรียนไปแล้ว ทำให้เข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น เกิดการเรียนรู้ที่คงทน นักเรียนสามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหา เดิมด้วยตนเองได้ ทำให้นักเรียนเกิดทักษะ เกิดความชำนาญและสามารถมองเห็นความก้าวหน้าของตนเองอีก ทั้งช่วยให้คุณครูมองเห็นข้อบกพร่องของนักเรียน เห็นปัญหาต่าง ๆ ในการเรียนและสามารถปรับปรุงแก้ไข ได้ 4. การสร้างคำในภาษาไทย คำในภาษาไทยที่มีใช้กันมาแต่เดิมเรียกว่าคำมูล แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป ทำให้มีเครื่องมือ เครื่องใช้ วัสดุ สิ่งของต่างๆ มาใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย คำดั้งเดิมที่เคยมีใช้กับมาก็ไม่เพียงพอกับการสื่อสาร
27 จึงมีการสร้างคำใหม่ 1 ขึ้นมาใช้เพื่อสื่อสารให้สัมฤทธิ์ผลต่อไปการสร้างคำตามหลักเกณฑ์ของภาษาใน ภาษาไทยมีหลายวิธี ได้แก่ ประสมคำ ซ้อนคำ และซ้ำคำ กำที่เกิดจากการสร้างกำด้วยวิธีเหล่านี้ เรียกว่า คำประสม คำซ้อน คำซ้ำ (ฐะปะนีย์ นาครทรรพ 2550: 25) 4.1 คำประสม 4.1.1 ความหมายของคำประสม คำประสมเป็นวิธีสร้างคำขึ้นใช้แบบหนึ่งในภาษาไทย มีผู้ให้ความหมายของคำ ประสมไว้ดังนี้พระยาอุปกิตศิลปสาร (2544: 60) กล่าวว่า คำประสม คือ คำที่นำคำมูลมาประสม กันเข้าตั้ง เป็นอีกคำหนึ่ง เรียกว่ากำประสม เช่น คำมูล "เม่" กับ "น้ำ" รวมกันเข้าเป็นคำประสมว่า “แม่น้ำ” หมาขความ ว่าทางน้ำใหญ่ คำมูล “แสง” กับ “อาทิตย์” รวมกันเป็นคำประสมว่า “แสงอาทิตย์” หมายถึง งูชนิดหนึ่ง แต่ ถ้าไม่รวมเป็นคำเดีขวกัน เช่น “เเสง” ก็คำหนึ่ง แปลว่ารัศมีและ “อาทิตย์” ก็อีกกำหนึ่งแปลว่า ดวงตะวัน ตามเดิม เช่นนี้ไม่นับว่าเป็นคำประสม นับเป็นคำมูล 2 คำ ที่เรียงอยู่ติดกันซึ่งเรียกว่า "วลี" กำชัย ทองหล่อ (2540: 210) กล่าวว่า กำประสม คือ คำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป รวมกันเป็นคำเดียว เรียกว่า คำประสม สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2540: 120) กล่าวว่า คำประสมคือ นำกำตั้งแต่สองคำขึ้นไป และเป็นคำที่มีความหมายต่างกัน มาประสมกันเป็นคำใหม่โดยใช้คำที่มีลักษณะเด่นเป็นคำหลักหรือเป็นฐาน (Base) แล้วใช้คำที่มีลักษณะรองมาขยายไว้ข้างหลัง คำที่เกิดขึ้นใหม่มีความหมายใหม่ตามเค้าของคำเดิม (พวกความหมายตรง) แต่บางทีใช้คำที่มีน้ำหนักความหมายเท่า ๆ กันมา ประสมกัน ทำให้เกิดความพิสดารขึ้น (พวกความหมายอุปมาอุปไมย) สมถวิล วิเศษสมบัติ (2544: 171) กล่าวว่า คำประสมคือ คำมูลรวมกันเป็นคำ ประสมแล้วเกิดความหมายใหม่ แต่ยังคงมีเค้าความหมายของคำเดิมอยู่บ้าง เช่น ลูกน้ำ เรือหางยาว แม่ทัพ พ่อตา เป็นต้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 (2546: 249) กล่าวว่า คำประสม น. คำที่เกิดจากการนำคำมูลที่เกิดอิสระได้ตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมกัน แล้วกลายเป็นคำใหม่ที่มีความหมาย ขึ้นมาอีกคำหนึ่ง เช่น ลูกน้ำ ลูกเสือ ไฟฟ้า วันเพ็ญ เทพโสภา (2547: 48) กล่าวว่า คำประสมเกิดจากการนำคำมูลตั้งแต่สองคำ ขึ้นไปมาประสมกัน ทำให้เกิดคำและมีความหมายใหม่ หรือมีความหมายคงเดิมอยู่บ้างคำประสมนี้มักจะเป็น คำนามหรือคำกริยา คำมูลนี้จะประสมกับคำไทยด้วยกันหรือกับต่างประเทศก็ได้ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ (2550: 26) กล่าวว่า คำประสมเป็นคำที่สร้างขึ้น ใหม่โดยการนำเอาคำมูลตั้งแต่สองคำขึ้นไปมารวมกัน เกิดคำใหม่ ความหมายใหม่ โดยอาจมีเค้าความหมาย เดิมหรือมีความหมายเปลี่ยนไปก็ได้ จากความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า คำประสม คือ คำที่เกิดจากการนำคำมูลตั้งแต่สอง คำขึ้นไปมาประสมกัน ทำให้เกิดกำที่มีความหมายใหม่ แต่ยังคงมีเค้าความหมายของคำเดิมอยู่บ้าง
28 4.1.2 ลักษณะของคำประสม ลักษณะของคำประสมตามความเห็นของพระยาอุปกิตศิลปสาร (2544: 60-61) มีลักษณะ 4 ประการ ดังนี้ 1. คำประสมที่เอาคำมูลมีเนื้อความต่าง ๆ มาประสมกันเข้า มีใจความเป็นอีกอย่าง หนึ่ง เช่น คำมูล “หาง” ส่วนท้ายของสัตว์ กับ “เสือ” สัตว์ชนิดหนึ่ง รวมกันเป็นคำประสมว่า “หางเสือ” แปลว่า เครื่องถือท้ายเรือ และคำอื่นฯ เช่น ลูกน้ำ แม่น้ำ เสือป่า (คน) แสงอาทิตย์ (งู) เป็นต้น คำเหล่านี้มี ความหมาย ต่างกับคำมูลเดิมทั้งนั้น คำประสมพวกนี้ ถึงแม้ว่ามีใจความแปลกออกไปจากคำมูลเดิมก็ดี แต่ก็ ต้องอาศัยเค้าความของคำมูลเดิมเป็นหลักเหมือนกัน เช่น "หางเสือ"ก็มีเค้าความว่าอยู่ท้ายเรือดุจหางของเสือ ถ้าเป็นกำที่ไม่มีเค้าความเนื่องมาจากกำมูลเลย แต่เผอิญมาแยกออกเป็นคำมูลต่าง ๆ ได้ เช่น "กระถาง" ดังนี้ ถึงแม้จะแยกออกได้เป็น "กระ" (เต่า) และ "ถาง" (ถางหญ้า) ดังนี้ ก็ไม่นับว่าเป็นกำประสม เพราะคำ "กระถาง" ไม่ได้มีเก้าความเนื่องมาจาก "กระ" หรือ "ถาง" อย่างใดอย่างหนึ่งเลย ต้องนับว่าเป็นคำมูล 2. คำประสมที่เอาคำมูลหลายคำ ซึ่งทุก ๆ คำก็มีเนื้อความคงที่ แต่เมื่อเอามารวมกัน เข้าเป็นคำเดียวก็มีเนื้อความผิดจากรูปเดิมไป เช่น ตัวอย่าง ตีชิง ขอสู่ สมสู่ ยินดี ยินร้าย หายใจ ใจหาย ฯลฯ ซึ่งถ้าแยกออกเป็นคำ ๆ แล้วจะไม่ได้ความดังที่ประสมกันอยู่นั้นเลย 3. คำประสมที่เอาคำมูลมีรูปหรือเนื้อความซ้ำกันมารวมกันเป็นคำเดียว คำเหล่านี้ บางทีก็มีเนื้อความคล้ายกับคำมูลเดิม บางทีก็เพี้ยนออกไปบ้างเล็กน้อย เช่น ดำๆ แดงๆ เร็วๆ ช้าๆ ดังนี้มี ความหมายผิดจากคำมูลที่ไม่ซ้ำกันบ้างเล็กน้อย คือ “ดำ ๆ” หมายความว่าคำทั่วไปดังนี้เป็นต้น และอีกอย่าง หนึ่งใช้กำมูลรูปไม่เหมือนกัน แต่เนื้อความอย่างเดียวกันรวมกันเข้าเป็นคำประสมซึ่งมีความหมายต่างออกไป โดยมาก เช่น ถ้อยคำ ดูแล ว่ากล่าว ดังนี้เป็นต้น 4. คำประสมที่ย่อมาจากใจความมาก คำพวกนี้มีลักษณะคล้ายกับที่เรียกว่า “คำสมาส” ในภาษาบาลี เพราะเป็นคำย่ออย่างเดียวกัน เช่น “ชาวป่า” ย่อมาจาก “คนที่อยู่ในป่า” “ชาววัง” ย่อมาจาก “คนอยู่ในวัง” เป็นต้น รวมทั้งคำอาการนามที่มีคำว่า “การ” หรือ “ความ” นำหน้า ข้อสังเกต มีคำหลายคำรวมกันเข้าเป็นกลุ่มหนึ่ง ๆ แต่ไม่ใช่คำประสมเพราะคำ เหล่านี้ต่างก็ประกอบกันได้ความตามรูปเดิม เช่น ตาบอด ดาข้างหนึ่งบอด ตาข้างหนึ่งเป็นต้อ กลุ่มของคำ เหล่านี้เรียกว่า “วลี” หาใช่คำประสมไม่ สมถวิล วิเศษสมบัติ (2544: 171) กล่าวถึงคำประสม ว่ามีลักษณะ ดังนี้ 1. คำมูล 2 คำขึ้นไป เช่น ไฟฟ้า เตารีด 2. คำไทยกับคำไทย เช่น ดาวเทียม สะพานลอย ทางด่วน คำไทยกับคำมา จากภาษาอื่น เช่น ผงชูรส การสื่อสารมวลชน คำมาจากภาษาอื่นทั้งหมด เช่น ประธานสภา ผลผลิต ยาน อวกาศ 3. คำมูลที่รวมกันเป็นคำตั้ง และคำขยาย เช่น การยุทธ์ ผลผลิต นายกสภา การพาณิชย์ แต่ถ้ำคำมูลอยู่หลัง คำประกอบอยู่ข้างหน้า ไม่ถือว่าเป็นคำประสม เรียกว่า สมาส เช่น ยุทธการ พาณิชยการ ผลิตผล สภานายก เป็นต้น
29 4. คำประสมประกอบด้วยคำมูลที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง และอยู่ได้ ตามลำพังในประโยค เช่น รถไฟ ม้านั่ง ไม้ขีดไฟ กำมูลที่มีความหมายไม่สมบูรณ์ในตัวเอง และอยู่ลำพังใน ประ โยคไม่ได้ จะต้องควบกับคำมูลอื่น เช่น ชาวนา นักเรียน ผู้ใหญ่ ช่างไม้ หมอง เป็นต้น 5. คำประสมอาจมาจากคำมูลที่เป็น นาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ หรือ บุพบท เช่น ห้องสมุด เจ้าหน้าที่ ลูกเสือชาวบ้าน หม่อมฉัน พระคุณท่าน เป็นต้น เสนีย์ วิลาวรรณ (2548: 1) กล่าวถึงลักษณะของคำประสม ดังนี้ 1. เกิดจากคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป เช่น ดาวเทียม สะพานลอย ผ้าห่มนอน ภูเขาไฟ เป็นต้น 2. เกิดจากคำมูลที่มาจากภายาใดก็ได้ เช่น คำไทยแท้ ม้าเร็ว ลูกน้ำ ทางด่วน เรือพ่วง คำไทยแท้กับคำที่มาจากภาษาอื่น การเล่น ความมัธยัสถ์ ราชวัง ผลไม้คำมาจากภาษาอื่น การศึกยา การแพทย์ ผลผลิต พลตรี 3. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายต่างกัน เมื่อเป็นคำประสมจะเกิด ความหมายใหม่ต่างกับคำมูลเดิมแต่มีเค้าเดิม เช่น ดาวเทียม หมายถึง ยานชนิดหนึ่งโคจรไปในอวกาศได้อย่าง ดาวแต่ ไม่ใช่ดาวจริง ๆ ม้าเร็ว หมายถึง คนที่ขี่ม้าซึ่งทำหน้ำที่เดินข่าวสืบเหตุการณ์ของ ข้าศึกแล้วรีบแจ้งแก่ กองทัพ ลูกน้ำ หมายถึง ลูกของยุงที่อาศัยอยู่ในน้ำ 4. เกิดจากคำตั้งซึ่งเป็นคำย่อของกลุ่มคำที่มีความหมายกว้าง เช่น นัก การ ความ ชาว ช่าง เครื่อง ผู้ ที่ ของ หมอ ตัวอย่างเช่น นักเรียน นักการเมือง การเรียน การทำงาน ความคิด ความรู้สึก ชาวนา ชาวสวน ช่างไม้ ช่างยนต์ เครื่องจักร เครื่องยนต์ ผู้ใหญ่ ที่อยู่ ของขวัญ ของเล่น หมอลำ หมอฟัน เป็นต้น 5. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายหลัก หรือที่เรียกว่า คำตั้ง อยู่ต้น คำมูลที่ เป็นคำขยายอยู่หลัง เช่น การศึกษา คำตั้ง คือ การ คำขยายคือ ศึกษา ผลผลิต คำตั้ง คือ ผล คำขยาย คือ ผลิต 6. เกิดจากคำมูลระหว่างคำไทยกับคำไทย หรือคำไทยกับคำ ภาษาต่างประเทศ และทำหน้าที่เป็นคำชนิดต่าง ๆ เช่น ทำหน้าที่เป็นนาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์หรือบุพ บท เช่น คำไทยกับคำไทย ครอบครัว หัวใจ แปรงสีฟัน ขาดับกลิ่น ใต้เท้า กระหม่อม ฉัน จับจอง กันท่า เข้าใจ ยินดี น่ารัก ใจดีน่าเอ็นดู ขี้ริ้ว จนกระทั่ง ตั้งแต่ ต่อเมื่อ เป็นต้น คำไทยกับคำที่มาจากภาษาต่างประเทศ รถไฟ น้ำซุป เข็มทิศ ผู้พิพากษา โซดาไฟ พ่อคุณ ขอโทษ ก่อการ ถ่ายรูป สวดมนต์ ขี้เกียจ ใจบุญ เป็นต้น สรุปได้ว่า คำประสมมีลักษณะดังนี้ คือ เกิดจากคำมูลตั้งแต่สองคำขึ้นไป โดยคำมูลที่นำมาประสมกัน นั้นมาจากภาษาใดก็ได้ เช่น คำไทยกับคำไทย คำไทยกับคำที่มาจากภายาอื่นและคำที่มาจากภาษาอื่นทั้งหมด และเกิดจากคำตั้งซึ่งเป็นคำย่อของกลุ่มคำที่มีความหมายกว้าง
30 4.1.3 วิธีการสร้างคำประสม สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2540: 120) กล่าวถึงวิธีการสร้างคำประสมที่มีความหมายตรง ดังนี้ 1. นาม + นาม เช่น โรงรถ เรืออวน ขันหมาก ข้าวหมาก น้ำปลา 2. นาม + กริยา เช่น เรือแจว บ้านพัก คานหาม รำโทน บังโคลน 3. นาม + วิเศษณ์ เช่น น้ำหวาน แกงจืด ยาดำ หัวหอม รถด่วน 4. กริยา + กริยา เช่น กันสาด รำซัด แก้ไข เรียงพิมพ์ ร้อยกรอง 5. นาม + บุรพบท หรือสันธาน เช่น ม้าต่าง หัวต่อ วงนอก ของกลาง วันที่ 6. นาม + ลักยณนาม หรือสรรพนาม เช่น ลำไพ่ คุณนาย วงแขน ดวงหน้า 7. วิเศษณ์ + วิเศษณ์ เช่น หวานเย็น เปรี้ยวหวาน เขียวหวาน 8. ใช้คำภาษาต่างประเทศประสมกับคำไทย เช่น เหยือกน้ำ เหยือก เป็นคำ ภาษาอังกฤษ โคถึก ถึก เป็นคำภาษาพม่า พลเมือง พล เป็นคำภาษาบาลีพวงหรีด หรีด เป็นคำภาษาอังกฤษ เก๋งจีน เก๋ง เป็นคำภาษาจีน เสนีย์ วิลาวรรณ (2548: 1) กล่าวถึงวิธีการสร้างคำประสม ดังนี้ 1. คำตั้งเป็นคำนาม ทำหน้าที่อย่างนาม 1) คำขยายเป็นนามหรือสรรพนาม เช่น พ่อบ้าน แม่ครัว ชาวบ้าน 2) คำขยายเป็นคำวิเศษณ์ เช่น มดแดง ถั่วเขียว ผู้ดี บ้านนอก 3) คำขยายเป็นคำกริยา เช่น สมุดพก ของใช้ แบบเรียน ผ้าเช็ดหน้า 2. คำตั้งเป็นคำกริยา ทำหน้าที่อย่างกริยา 1) คำขยายเป็นนาม เช่น กินใจ กินตัว กินลม เข้าใจ 2) คำขยายเป็นคำวิเศษณ์ เช่น งอกงาม วางโต อวดดี เดือดร้อน 3) คำขยายเป็นคำกริยา เช่น ท่องจำ ค้นคว้า ตื่นเต้น ปกครอง ล่วงรู้ 3. คำตั้งเป็นคำวิเศษณ์ ทำหน้าที่อย่างวิเศษณ์ 1) คำขยายเป็นนาม เช่น สองใจ หลายใจ สองหัว สามเกลอ สามง่าม 2) คำขยายเป็นคำวิเศษณ์ เช่น ดำแดง อ่อนหวาน เขียวหวาน 4. คำตั้งเป็นคำบุพบท ทำหน้าที่อย่างบุพบท 1) คำขยายเป็นนาม เช่น กลางบ้าน (ยา) ข้างถนน (เด็ก) นอกกอก (ลูก) 2) คำขยายเป็นคำกริยา เช่น ตามมีตามเกิด ขายหน้าขายตา สรุปได้ว่าวิธีสร้างคำประสมมีสองวิธี คือ การนำชนิดของคำไทยมาประสมกัน และการนำ คำภาษาต่างประเทศมาประสมกับคำไทย 4.1.4 หน้าที่ของคำประสม เปรมจิต ชนะวงศ์ (2538: 123-124) กล่าวถึงหน้าที่ของคำประสม ดังนี้ 1. คำประสมที่ใช้เป็นคำนามและคำขยายนาม เช่น
31 คำนาม คำขยายนาม กล้วยไม้ ดอกกล้วยไม้ คู่มือ หนังสือคู่มือ น้ำนมแมว นมแมว ส้นสูง รองเท้าสั้นสูง หม้อแกง ขนมหม้อแกง 2. คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยาและคำขยายนาม เช่น คำกริยา คำขยายนาม ชั้นต่ำ คนชั้นต่ำ ซักแห้ง น้ำยาซักแห้ง ปากหวาน คนปากหวาน เสริมสวย โรงเรียนเสริมสวย 4.2 คำซ้ำ 4.2.1 ความหมายของคำซ้ำ คำซ้ำเป็นการสร้างคำแบบไทยที่มีการนำเอาคำมูลมาออกเสียงซ้ำ สำหรับ ความหมายของคำซ้ำมีผู้ให้ความหมายของคำช้ำไว้หลายท่าน ดังนี้ วินัย ภู่ระหงษ์ (2531: 85-87) กล่าวว่า คำซ้ำ คือคำที่เกิดจากการออกเสียงคำ เดียวกัน 2 ครั้ง เมื่อกล่าวซ้ำแล้วความหมายของคำอาจเน้นหนักหรือเบาลง ต่างไปจากความหมายของคำเดิม คำเดียว ในการเขียนคำซ้ำภาษาไทยติดเครื่องหมาย “ไม้ยมก” ใช้เขียนคำซ้ำคำหลัง เช่น เด็กเด็ก เขียนเป็น เด็กๆ ทั่วทั่วไป เขียนเป็น ทั่ว ๆ ไป ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ (2544: 30) กล่าวว่า คำซ้ำ เป็นการสร้างคำโดย การนำคำเดิมคำเดียวมากล่าวซ้ำโดยใช้ไม้ยมก (ๆ) กำกับ เช่น ดีๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ แดง ๆ ฯลฯ หรือเล่นเสียง วรรณยุกต์ เช่น ส้วยสวย แก๊แก่ ฯลฯ เปรมจิต ชนะวงศ์ (2545: 175-177) กล่าวว่า คำช้ำ คือคำที่เกิดจากการนำคำมูลมา ออกเสียง 2 ครั้ง นับเป็นคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ ซึ่งเมื่อพิจารณโครงสร้างของคำตามการออกเสียงก็มี โครงสร้างเช่นเดียวกับคำประสมและคำซ้อน เช่น กล้วย + กล้วย = กล้วย ๆ ใกล้+ ใกล้ = ใกล้ๆ ดี+ ดี = ดีๆ แบน + แบน = แบน ๆ เพื่อน + เพื่อน = เพื่อน ๆ
32 จากที่กล่าวมาเกี่ยวกับความหมายของคำซ้ำสรุปได้ว่า คำซ้ำ หมายถึง คำที่เกิดจากการนำคำมูลมา ออกเสียงช้ำ 2 ครั้งขึ้นไป โดยเป็นการเพิ่มรายละเอียดของความหมาย หรือการใช้เป็นเชิงเปรียบเทียบ 4.2.2 ลักษณะของคำซ้ำ ลักษณะของคำซ้ำ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ (2544: 30) กล่าวถึงลักษณะของ คำซ้ำไว้อย่างสอดคล้องกันสรุปได้ดังนี้ 1. คำซ้ำทั้งคำ มีการออกเสียงคำซ้ำกันหรือการนำคำมูลหรือคำเดี่ยวมา ออกเสียงซ้ำ เช่น เพื่อน ๆ = เพื่อน ๆ มากันหมดหรือยัง น้อง ๆ = น้อง ๆ กำลังอ่านหนังสือ สวย ๆ = แอ้มีเสื้อสวย ๆ ทั้งนั้น ชิ้น ๆ = ตัดเป็นชิ้น ๆ นะ ตอน ๆ = อ่านเป็นตอน ๆ สิ 2. คำซ้ำบางส่วน คำซ้ำที่ซ้ำเฉพาะบางส่วนของคำ เช่น ค้าวขาว = เสื้อของเธอค้าวขาว ดี๊ดี = หนังสือเล่มนี้ดี๊ดี แด๊งแดง = กระโปรงที่แอ๋วสวมสีแด๊งแดง บู้บี้ = น้องทำกะละมังบู้บี้หมดเลย เอิบอาบ = ใบหน้าพ่อเอิบอาบไปด้วยความสุข 4.2.3 วิธีสร้างคำซ้ำ สำหรับวิธีสร้างคำซ้ำ ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ (2544: 30) กล่าวถึงวิธีสร้าง คำซ้ำไว้อย่างสอดคล้องกันสรุปได้ดังนี้ 1. คำซ้ำที่ใช้ไม้ยมกกำกับ เช่น เด็ก ๆ อร่อย ๆ เงิน ๆ ทอง ๆ ตก ๆ หล่น ๆ ฯลฯ ตัวอย่าง เด็ก ๆ ไปไหน (เด็ก ๆ หมายถึง เด็กหลายคน) ของอร่อย ๆ ทั้งนั้น (อร่อย ๆ หมายถึง ของอร่อยทุกอย่าง ไม่เน้นว่าอร่อยเพียงใด) 2. คำซ้ำที่เปลี่ยนเสียงวรณยุกต์แรกให้สูงขึ้น กล่าวคือพยางค์หน้าและพยางค์หลัง ต่างกันเฉพาะเสียงวรรณยุกต์ของพยางค์หน้าเป็นเสียงตรี ส่วนพยางค์หลังมีเสียงเหมือนคำเดิมคำที่นำมาซ้ำ ส่วนใหญ่เป็นคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ เช่น ซ้วยสวย อร้อยอร่อย เชัยเซย เบื้อเบื่อ เจ็บใจ๊เจ็บใจ ดี๊ดี ฯลฯ ตัวอย่าง น้องคนที่หมายเลขสามซ้วยสวย (ช้วยสวย หมายถึง สวยมากๆ) ลองรับประทานก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ไหมคะ พี่เขาบอกว่าอร้อยอร่อย (อร้อยอร่อย หมายถึง อร่อยมาก)
33 4.2.4 หน้าที่ของคำซ้ำ หน้าที่ของคำซ้ำ ฐะปะนีย์นาครทรรพ และคณะ (2544: 30) กล่าวถึงหน้าที่ของ คำ ซ้ำไว้อย่างสอดคล้องกันสรุปได้ดังนี้ 1. คำซ้ำที่สื่อความหมายพหูพจน์ คำซ้ำลักษณะนี้มาจากคำนาม คำสรรพนาม หรือ คำกริยา ที่เป็นคำมูลหรือคำเดี่ยว เมื่อนำมาออกเสียงช้ำกันจะสื่อความหมายพหูพจน์ เช่น เด็ก ๆ = เด็ก ๆ กลับไปหมดแล้ว หนุ่ม ๆ = หนุ่ม ๆ มาทางนี้ดีกว่า 2. คำช้ำที่สื่อความหมายพหูพจน์และเน้นลักษณะ คำซ้ำลักษณะนี้มาจากคำกริยา หรือคำวิเศษณ์ และมักใช้เป็นคำขยาย เช่น เป็น ๆ = ปลาเป็น ๆ เก็บไว้ก่อน ใหม่ๆ = เขามีหนังสือใหม่ๆ มาให้ยืมเสมอ 3. คำซ้ำที่แสดงความไม่เจาะจงและลดน้ำหนักของคำเดิม มักเป็นคำที่เกิดจาก คำวิเศษณ์ คำบุพบท หรือคำสรรพนาม เช่น ขวด ๆ = ใช้ให้หมดเป็นขวด ๆ ดีกว่า ชุด ๆ = ตรวจเป็นชุด ๆ สิ 4. คำซ้ำที่เพิ่มน้ำหนักของคำ เน้นความ และขณะเดียวกันจะสื่อความหมายพหูพจน์ ด้วย คำที่นำมาซ้ำมักเป็นคำสรรพนาม หรือคำวิเศษณ์ที่ไม่ชี้เฉพาะ จะปรากฏร่วมกับ “ก็” โดยปรากฏนำหน้า “ก็” เช่น เท่าไร ๆ = พูดเท่าไร ๆ ก็ไม่เชื่อ ไหน ๆ = เสื้อตัวไหน ๆ ก็ไม่ชอบ อะไร ๆ = ขนมอะไร ๆ ก็ได้ซื้อมาเถอะ 5. คำซ้ำที่แสดงความไม่แน่ใจ คำที่นำมาซ้ำมักเป็นคำวิเศษณ์หรือคำบุพบท เช่น ใกล้ ๆ = ฉันอยู่ใกล้ ๆ นี้เอง เช้า ๆ = พรุ่งนี้ตื่นเช้า ๆ นะ เที่ยง ๆ = เจอกันเที่ยง ๆ ดีกว่า แถว ๆ = เขาซื้อบ้านแถว ๆ สี่แยก 6. คำซ้ำที่สื่อความหมายในเชิงเปรียบเทียบ มักใช้เป็นคำขยาย เช่น กล้วย ๆ = ของกล้วย ๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ พลาง ๆ = อ่านหนังสือไปพลาง ๆ นะ พื้น ๆ = ของพื้น ๆ อย่างนี้เธอไม่สนใจหรอก ส่ง ๆ = ฉันทำส่ง ๆ ไปอย่างนั้นเอง 7. คำช้ำที่เกิดจากคำซ้อนโดยช้ำคำซ้อนนั้นจะสื่อความหมายตามรูปคำและสื่อ ความหมายในเชิงเปรียบเทียบ เช่น
34 งู ๆ ปลา ๆ = ฉันรู้แต่งู ๆ ปลา ๆ หรอก เจ็บ ๆ ไข้ ๆ = เขาเจ็บ ๆ ไข้ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ดี ๆ ชั่ว ๆ = เลี้ยงไปเถอะดี ๆ ชั่ว ๆ ก็ลูกหลานเรา 8. คำซ้ำที่เสียงพยัญชนะและเสียงสระช้ำกัน และสื่อความหมายในลักษณะการเน้น ความหมายให้มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น เช่น แพ้งแพง = ร้านนี้ขายของแพ้งแพง ซ้วยสวย = นางงามจักรวาลปีนี้ซ้วยสวย 9. คำซ้ำที่เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ซ้ำกัน และสื่อความหมายตามรูปคำ ทำหน้าที่เป็นคำขยาย ได้แก่ กวาดแกวด คึกคัก เซ่อซ่า โด่งดัง ทึกทัก บุบบิบ บู้บี้ ผุดผาด พุดเพิด แพรวพราว โพล้เพล้ ฟันฟาง มัวเมา ยั้วเยี้ย วังเวง เป็นต้น ดั่งตัวอย่างปรากฎในประโยค เช่น มายืนเซ่อซ่าอยู่ทำไม เขามีชื่อเสียงโด่งดังมานานแล้ว สองคำนี้สูงไล่เลี่ยกันเลยนะ จากที่กล่าวมาเกี่ยวกับคำซ้ำสรุปได้ว่า คำซ้ำมีวิธีสร้างคำ 2 วิธี ได้แก่ คำซ้ำที่ใช้ไม้ยมกกำกับ และคำซ้ำที่เปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์แรกให้สูงขึ้น ลักษณะการสื่อความหมายของคำซ้ำมีหลายลักษณะ ได้แก่ สื่อความหมายพหูพจน์ สื่อความหมายอ่อนลง สื่อความหมายเน้นสื่อความหมายไม่เจาะจง สื่อความหมายแยก เป็นส่วน ๆ สื่อความหมายต่อเนื่องกันเป็นหลายครั้ง และสื่อความหมายในเชิงเปรียบเทียบ 4.3 คำซ้อน 4.3.1 ความหมายของคำซ้อน คำช้อนเป็นวิธีการสร้างคำวิธีหนึ่งในภาษาไทย มีผู้ให้ความหมายของคำซ้อนไว้ดังนี้ จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ (2530: 93) กล่าวถึงความหมายของคำซ้อน ว่า คำซ้อน หมายถึง คำที่ประกอบด้วยหน่วยคำอิสระที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันหรือเป็นไปในทำนอง เดียวกันมาซ้อนคู่กัน สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลข์ (2540: 123) กล่าวว่า คำซ้อน คือ การประสมอีกแบบหนึ่ง โดย นำคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันมาคู่กันเรียกพิเศษออกไปว่า คำซ้อน พระยาอุปกิตศิลปสาร (2544: 61) ได้กล่าวถึงคำซ้อนไว้ว่า เป็นคำประสมประเภท หนึ่งที่เกิดจากการนำคำที่มีรูปไม่เหมือนกันแต่เนื้อความอย่างเดียวกันมารวมกัน เกิดความหมายใหม่แตกต่าง ไปจากคำมูลเดิม เช่น ถ้อยคำ ดูแล ว่ากล่าว คำหนึ่งให้ชัดเจนขึ้น คำที่นำมาซ้อนกัน นอกจากจะเป็นคำไทย เดิมแล้ว อาจเป็นคำต่างประเทศก็ได้ ทั้งนี้เพื่อขยายคำภาษาต่างประเทศให้เข้าใจ เช่น จิตใจ คำว่า “จิต” เป็นคำภาษาบาลีสันสกฤตซ้อนกับคำว่า "ใจ" ซึ่งเป็นคำไทย นอกจากคำซ้อน 2 คำแล้ว ยังมีคำซ้อน 2 คู่ เช่น ติดสอยห้อยตาม เก็บหอมรอมริบ คำซ้อนชนิดนี้มุ่งเพื่อความไพเราะสละสลวยของเสียงเป็นสำคัญ
35 วัลขา ช้างขวัญยืน และคณะ (2549: 7) กล่าวว่า คำซ้อน หมายถึง คำที่เกิดจาก การนำคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาเรียงต่อกัน โดยแต่ละคำนั้น มีความสัมพันธ์กันในด้านความหมายอาจเป็น ความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน ทำนองเดียวกัน หรือตรงข้ามกันก็ได้ นอกจากนี้ สอางค์ ดำเนินสวัสดิ์ และกณะ (2546 : 34) ฟองจันทร์ สุขยิ่งและคณะ (2547: 1) วันเพ็ญ เทพโสภา (2547: 49) เสนีย์ วิลาวรรณ (2548: 7) ได้กล่าวถึงความหมายของคำซ้อน สรุปได้ว่า คำซ้อน หมายถึง คำที่สร้างขึ้นใหม่จากคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป โดยนำคำที่มีความหมายหรือเสียง ใกล้เคียงกันมาประกอบกัน แล้วเกิดเป็นคำใหม่ มีความหมายใหม่หรือมีความหมายชัดเจนขึ้น เช่น จิตใจ ขัดขวาง ถ้วยชาม บ้านเรือน เงินทอง มากมาย ฯลฯ จากคำจำกัดความข้างต้นสรุปได้ว่า คำซ้อน คือ การนำ คำมูลที่มีความหมาย เหมือนกัน คล้ายกัน เป็นไปในทำนองเดียวกัน ตรงข้ามกัน หรือคำที่มีเสียงใกล้เคียงกันมาซ้อนเข้าคู่กัน ทำให้ เกิดคำเพิ่มขึ้น 4.3.2 ประเภทของคำซ้อน นักวิชาการด้านภาษาไทยได้กล่าวถึงประเภทของคำซ้อนไว้แตกต่างกัน สามารถแยก ได้ ดังนี้ นักวิชาการด้านภาษาไทยกลุ่มที่ 1 แบ่งประเภทของคำซ้อน ดังนี้ ฟองจันทร์ สุขยิ่งและคณะ (2547: 7) ได้กล่าวถึงประเภทของคำซ้อนสรุปได้ว่า คำซ้อนแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ คำซ้อนเพื่อความหมายและคำซ้อนเพื่อเสียง 1. คำซ้อนเพื่อความหมาย มีลักษณะดังนี้ 1.1 ซ้อนคำที่มีคล้ายกัน หรือใกล้เยงกันเข้าด้วยกัน เช่น สวยงาม อ้วนพี 1.2 ซ้อนคำที่มีความหมายพวกเดียวกัน เช่น บ้านเรือน หัวหู หน้าตา 1.3 ซ้อนคำที่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น ชั่วดี ไปมา ได้เสีย เท็จจริง 2. คำซ้อนเพื่อเสียง เช่น โซเซ คู่กี่ งอแง เป็นต้น เสนีย์ วิลาวรรณ (2548: 10) กล่าวถึงประเภทของคำซ้อนไว้ว่า คำซ้อนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. คำซ้อนเพื่อความหมาย เกิดจากคำมูลที่มีความหมายอย่างเดียวกัน ใกล้เคียงกัน หรือตรงกันข้ามมารวมกัน 1.1 ความหมายอย่างเดียวกัน เช่น เติบโต อ้วนพี มากมาย เป็นต้น 1.2 ความหมายใกล้เคียงกัน เช่น เรือแพ หน้าตา คัดเลือก เป็นต้น 1.3 ความหมายตรงกันข้าม เช่น เท็จจริง ผิดชอบ ชั่วดี เป็นต้น 2. คำซ้อนเพื่อเสียง เกิดจากการนำคำที่มีเสียงกล้ายคลึงกันมาซ้อนเพื่อให้ออกเสียง ง่ายขึ้น มีเสียงคล้องจองกัน เกิดความไพเราะขึ้น เช่น เกะกะ เก้งก้าง ตูมตาม โอนเอน เป็นต้น
36 ฐะปะนีย์ นาครทรรพ และคณะ (2550: 29) ได้กล่าวถึงประเภทของคำซ้อนไว้ดังนี้ 1. คำซ้อนเพื่อความหมาย คือ คำซ้อนที่เกิดจากคำมูลที่มีความหมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน หรือตรงข้ามกันมาวางชิดกัน เช่น 1.1 ความหมายเหมือนกัน เช่น เสื่อสาด เหาะเหิน ทองคำ ฯลฯ 1.2 ความหมายใกล้เคียงกัน เช่น คัดเลือก แนะนำ สร้างสรรค์ ฯลฯ 1.3 ความหมายตรงข้ามกัน เช่น ผิดชอบ ชั่วดี ได้เสีย ฯลฯ 2. คำซ้อนเพื่อเสียง คือคำซ้อนที่เกิดจากการนำคำที่มีเสียงคล้องจอง และมี ความหมายสัมพันธ์กันมาซ้อนกัน เพื่อให้ออกเสียงได้ง่าย และไพเราะ มีลักษณะดังนี้ 2.1 ซ้อนเสียงพยัญชนะต้น เช่น ท้อแท้ จริงจัง ตูมตาม ฯลฯ 2.2 ซ้อนเสียงสระ เช่น ราบคาบ แร้นแค้น เบ้อเร่อ ฯลฯ 2.3 ซ้อนเสียงพยัญชนะต้นและสระ เช่น ออดอ้อน อัดอั้น รวบรวม ฯลฯ 2.4 ซ้อนด้วยพยางค์ที่ไม่มีความหมาย แต่มีเสียงสัมพันธ์กับคำที่มี ความหมาย เช่น พยายงพยายาม กระดูกกระเดี้ยว ฯลฯ 2.5 คำซ้อน 4 - 6 พยางค์จะมีเสียงสัมผัสภายในคำ เช่น ข้าเก่าเต่าเลี้ยง ถ้วยโถโอชาม ขโมยขโจร ฯลฯ นักวิชาการด้านภาษาไทยกลุ่มที่ 2 แบ่งประเภทของคำซ้อน ดังนี้ เปรมจิต ชนะ วงศ์ (2538: 133) กล่าวถึงประเภทของคำซ้อนไว้ว่า การพิจารณานำ คำมาซ้อนกันมี 3 ลักษณะ คือ 1. นำคำที่มีความหมายเหมือนกันซ้อนกัน คำซ้อนลักษณะนี้มีใช้ มากที่สุด เนื่องจากมีลักษณะตรงตามความหมายของคำซ้อนที่สุด เช่น เกี่ยว + ข้อง = เกี่ยวข้องเป็นต้น 2. นำคำที่มีความหมายไปในทำนองเดียวกันซ้อนกัน คำซ้อน ลักษณะนี้มีไม่ มากนัก เช่น หน้า + ตา = หน้าตา เป็นต้น 3. การนำคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกันซ้อนกัน เช่น ชั่ว + ดี = ชั่วดีเป็นต้น นววรรณ พันธุเมธา (2544: 81) กล่าวถึงประเภทของคำซ้อนสรุปได้ว่า ประเภทของ คำซ้อนมีดังนี้ 1. คำซ้อนที่เกิดจากหน่วยคำมีความหมายเหมือนกัน เช่น บ้าน + เรือน = บ้านเรือน เป็นต้น 2. คำซ้อนที่เกิดจากหน่วยคำที่มีความหมายเป็นไปในทำนอง เดียวกัน เช่น ใจ + คอ = ใจคอ เป็นต้น 3. การนำคำที่มีความหมายตรงกันข้ามกันซ้อนกัน เช่น ชั่ว + ดี = ชั่วดีเป็นต้น
37 วัลยา ช้างขวัญยืน และคณะ (2549: 58) กล่าวถึงลักษณะความหมายของ คำซ้อนไว้ว่า คำที่นำมาซ้อนกันมีความหมายประเกทใดประเภทหนึ่ง ดังต่อไปนี้ 1. ความหมายเหมือนกัน หมายถึง คำที่นำมาซ้อนกันนั้นหมายถึง สิ่งเดียวกันหรือเป็นอย่างเดียวกัน เช่น เร็วไว ทรัพย์สิน หยาบช้ำ เป็นต้น 2. ความหมายคล้ายกัน หมายถึง คำที่นำมาซ้อนกันนั้นมี ความหมาย ใกล้เคียงกันหรือเป็นไปในทำนองเดียวกันพอที่จะจัดเข้าในกลุ่มเดียวกันได้ เช่น อ่อนนุ่ม ใจคอ เล็กน้อย เป็นต้น 4.3.3 ลักษณะของคำซ้อน ปรีชา ทิชินพงศ์ (2522: 83) กล่าวถึงลักษณะของคำซ้อน ว่ามีหลายลักษณะ ดังนี้ 1. คำไทยกับคำไทยซ้อนกัน มีหลายแบบ ดังนี้ ก. คำไทยเดิม กับคำไทยปัจจุบัน เช่น อ้วนพี เติบโต ว่องไว ข. คำไทยถิ่นต่าง ๆ กับคำไทยปัจจุบัน เช่น ครูบา (เหนือ) อดทน (เหนือ) แปดเปื้อน (อีสาน) 2. คำไทยกับคำต่างประเทศซ้อนกัน มีหลายแบบ ดังนี้ ก. คำไทยกับคำบาลีสันสกฤต เช่น สร้างสรรค์รูปร่าง ซากศพ ข. คำไทยกับคำเขมร เช่น ฉับไว ยกเลิก เล่าเรียน ค. คำไทยกับคำจีน เช่น ห้างร้าน หุ้นส่วน กักตุน 3. คำต่างประเทศซ้อนกับคำต่างประเทศ มีหลายแบบ ดังนี้ ก. คำบาลีสันสกฤตซ้อนกันเอง เช่น รูปภาพ ทรัพย์สมบัติ มิตรสหาย ข. คำบาลีสันสกฤตกับคำเขมร เช่น สรงสนาน (สรง ข. -สนาน ส.) สุขสบาย (สุข บ. - สงบ ข.) เสบียงอาหาร (เสบียง ข. - อาหาร บ.) ค. คำเขมรซ้อนกันเอง เช่น สนุกสนาน เลิศเลอ เฉลิมฉลอง สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2540: 123) กล่าวถึงลักษณะของคำซ้อน ดังนี้ 1. ใช้คำไทยเดิมคู่กับคำไทยปัจจุบัน เช่น ว่องไว เก็บหอม ตัดสิน แตกฉาน เติบโต
38 2. นำคำภาษาถิ่นคู่กับคำไทยกลาง เช่น เข็ดหลาบ หลาบ เป็นคำใช้อยู่ในภาคใต้ แปลว่า เข็ด ครูบา บา เป็นคำใช้อยู่ในถิ่นเหนือ แปลว่า ครู เดียวดาย ดาย ใช้ในภาษาถิ่นต่างๆ 3. ใช้คำไทยคู่กับคำภายาต่างประเทศ เช่น คงกระพัน กระพัน เป็นภาษามลายู แปลว่า คง, ทน สร้างสรรค์ สรรค์ เป็นคำภาษาสันสกฤต แปลว่า สร้าง ละเอียดลออ ลออ เป็นภาษาเขมร แปลว่า งาม 4. ใช้คำภาษาต่างประเทศกับคำภาษาต่างประเทศคู่กัน เช่น เลอเลิศ สรงสนาน ขมีขมัน อิทธิฤทธิ์ 5. ใช้คำไทยปัจจุบันด้วยกันเข้าคู่กัน เช่น ซัดทอด ทักท้วง โต้แย้ง คับแคบ ขาดแคลน สอางค์ ดำเนินสวัสดิ์และคณะ (2546: 34) กล่าวถึงลักษณะของคำซ้อน ดังนี้ 1. คำซ้อนที่เกิดจากคำที่มีความหมายเดียวกัน เช่น จิต + ใจ = จิตใจ (จิต หมายถึง ใจ) 2. คำซ้อนที่เกิดจากคำที่มีความหมายเป็นไปในทำนองเดียวกัน เช่น ขัด + ขวาง = ขัดขวาง (ขัด หมายถึง ทำให้ติดขวางไว้ไม่ให้หลุดออก, ขวาง หมายถึง กีดกั้น) 3. คำซ้อนที่เกิดจากคำที่มีความหมายตรงข้ามกัน เช่น ผิด + ชอบ = ผิดชอบ เสนีย์ วิลาวรรณ (2548: 18) กล่าวว่า คำซ้อนมีลักษณะ ดังนี้ 1. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือทำนองเดียวกัน ส่วนมาก ความหมายอยู่ที่คำมูลคำใดคำหนึ่งเพียงคำเดียว เช่น กีดกัน ความหมายอยู่ที่ กัน เนื้อตัว ความหมาขอยู่ที่ ตัว หน้าตา ความหมายอยู่ที่ หน้า 2. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือทำนองเดียวกัน โดยความหมาย อยู่ที่คำมูลคำหน้าหรือคำหลังคำใดคำหนึ่ง เช่น รากฐาน ความหมายอยู่ที่ ราก หรือ ฐาน บ้านเรือน ความหมายอยู่ที่ บ้าน หรือ เรือน 3. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือทำนองเดียวกัน แต่คำหนึ่งเป็นคำ ภาษาถิ่น ความหมายอยู่ที่คำภาษากลางหรือภาษามาตรฐาน เช่น เสื่อสาด สาด เป็นภาษาถิ่น หมายถึง เสื่อ
39 ทองคำ คำ เป็นภาษาถิ่น หมายถึง ทอง 4. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือทำนองเดียวกัน แต่คำหนึ่งเป็นคำ ภาษาต่างประเทศ ความหมายอยู่ที่คำไทย เช่น สร้างสรรค์ สรรค์ เป็นคำภาษาสันสกฤต หมายถึง สร้าง พงไพร ไพร เป็นภาษาเขมร หมายถึง พง 5. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายทำนองเดียวกัน มีความหมายใหม่กว้างกว่า คำมูล เดิมอาจมีสัมผัสสระระหว่างคำก็ได้ พี่น้อง ไม่ได้หมายเฉพาะพี่กับน้อง แต่รวมถึงญาติทั้งหมด ลูกหลาน ไม่ได้หมายเฉพาะลูกกับหลาน แต่รามถึงญาติทั้งหมด ข้าวปลา ไม่ได้หมายเฉพาะข้าวกับปลา แต่หมายถึงอาหารทั่วไป 6. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายอย่างเดียวกันหรือทำนองเดียวกัน เกิดความหมาย ใหม่แต่มีเค้าความหมายของคำมูลเดิมเช่นเดียวกับคำประสม ถากถาง หมายถึง พูดเสียดแทง ดูแล หมายถึง เอาใจใส่ เดือดร้อน หมายถึง เป็นทุกข์ 7. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายทำนองเดียวกัน ความหมายอยู่ที่คำต้นกับ คำท้าย ส่วนมากมีสัมผัสระหว่างคำ เช่น เคราะห์หามยามร้าย หมายถึง เคราะห์ร้าย ยากดีมีจน หมายถึง ยากจน 8. เกิดจากคำมูลที่มีความหมายตรงกันข้ามกัน เกิดความหมายใหม่ ซึ่งเป็น ความหมายกว้าง เช่น สูงต่ำ หมายถึง ระดับความสูงของสิ่งต่าง ๆ มากน้อย หมายถึง ปริมาณของสิ่งต่าง ๆ ถูกแพง หมายถึง ราคา สรุปได้ว่า คำซ้อนมีลักษณะที่เกิดจากการนำคำมูลที่มีความหมายเดียวกัน เป็นไปในทำนองเดียวกัน หรือตรงข้ามกันมาซ้อนกัน โดยความหมายของคำอยู่ที่คำมูลคำหน้าหรือคำหลัง และคำมูลที่นำมาซ้อนกันนั้น จะเป็นคำไทยกลาง คำภายาถิ่นหรือเป็นคำภายาต่างประเทศก็ได้ 4.3.4 หน้าที่ของคำซ้อน เปรมจิต ชนะวงศ์ (2538: 139 - 140) กล่าวว่า คำช้อนมีหน้าที่ทางไวยากรณ์ ดังนี้ 1. ใช้เป็นคำนาม โดยเป็นประธานหรือกรรมของประโยค เช่น คำซ้อน ประโยค ถ้วยชาม ถ้วยชามเก็บให้เรียบร้อยนะ
40 ถนนหนทาง อย่าไปเลยถนนหนทางลำบาก ทรัพย์สิน พ่อของเขามีทรัพย์สินมากมาย 2. ใช้เป็นคำกริยา ทำหน้าที่กริยาของประโยค เช่น คำซ้อน ประโยค ขัดขวาง เขาคงจะขัดขวางเต็มที่แน่ ค้นคว้า ฉันต้องกันคว้าดูก่อน เปิดเผย เขาเปิดเผยความจริงหมดแล้ว ผิดหูผิดตา วันนี้เขาผิดหูผิดตาไปนะ 3. ใช้เป็นคำขยาย ซึ่งส่วนใหญ่จะขยายคำนาม คำซ้อน ประโยค ใกล้ชิด คนใกล้ชิดของเขาส่วนใหญ่เป็นคนไม่ดี เผ็ดร้อน เธอโต้ตอบด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน เร่งด่วน วันนี้มีเรื่องเร่งด่วนไหม สรุปได้ว่า คำซ้อนมีหน้าที่ทางไวยากรณ์ ดังนี้ เป็นคำนามโดยเป็นประธานหรือกรรมของประโยคเป็น คำกริยา ทำหน้าที่กริยาของประโยค และเป็นคำขยายซึ่งส่วนใหญ่จะขยายนาม 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สุนีรัตน์ บดสันเทียะ (2548) ศึกษาเรื่อง “ศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านออกเสียง คำควบกล้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบ ฝึกทักษะกับการสอนโดยการฝึกทักษะตามคู่มือครู ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 6” : กรณีศึกษา โรงเรียนชุมชนบ้านเหลื่อม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียความสามารถในการอ่านออกเสียง คำควบกล้ำ ร ล ว ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ และได้รับการสอนโดยการฝึกทักษะตามคู่มือครู กับเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ ร้อยละ 75 และเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะกับที่ได้รับการสอนโดยการฝึกทักษะตามคู่มือครู ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2547 กลุ่มตัวอย่าง ที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านเหสื่อม จำนวน 53 คน แบ่งเป็นกลุ่ม ทดลอง จำนวน 25 คน ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ กลุ่มควบคุม จำนวน 28 คน ที่ได้รับการสอนโดย การฝึกทักษะตามคู่มือครู เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบฝึกทักษะความสามารถในการอ่านออก เสียงคำควบกล้ำ ร ล ว กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 14 แบบฝึก และแบบทดสอบความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าร้อยละ ความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำโดยเทียบกับเกณฑ์ และเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน ออกเสียงคำควบกล้ำ ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม โดยการทดสอบค่าที่แบบสองกลุ่มอิสระจากกัน (t-test for independent samples)
41 ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกลำ ร ล ว กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมาเขต 6 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี ค่าประสิทธิภาพจากการทดลองแบบรายบุคคล เท่ากับ 71.94/82.71 มีค่าประสิทธิภาพจากากรทดลองแบบ กลุ่มเล็ก เท่ากับ 84.05/92.59 และมีค่าประสิทธิภาพจากการทดลองภาคสนาม เท่ากับ 86.93/85.53 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 80/80 2) ความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะ เท่ากับ 84.83 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้ง ไว้ ร้อยละ 75 3) ความสามารถในการอ่านออกเสียงคำควบกล้ำ ร ล ว กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4พบว่า การสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะสูงกว่าการสอนโดยการฝึกทักษะตามคู่มือ ครูอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 8.46 และการสอนโดยการฝึกทักษะตามคู่มือครู มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 6.14 ศิริจันทร์ ไชยเดช (2556) ศึกษาเรื่อง “ผลการเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ที่มีต่อความสามารถ ในการเขียนสรุปความภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3” : เนื่องจากผลการรับรองมาตรฐานและ ประเมินคุณภาพการศึกษา (NT) ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2555 ด้านการเขียนจะอยู่ในเกณฑ์ ต่ำร้อยละ 47.3 มีความจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาดังกล่าวเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ในกลุ่มสาระ การเรียนรู้อื่น ๆ ปัญหาส่วนใหญ่ คือ นักเรียนเขียนไม่ได้ อ่านแล้วเขียนสรุปความ สรุปใจความสำคัญของเรื่อง ที่อ่านไม่ได้จึงเป็นปัญหาด้านการเขียน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสรุป ความวิชาภาษาไทยระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การเรียนแบบ ร่วมมือเทคนิค CIRC กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนนาขามวิทยา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวนนักเรียน 27 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC และแบบวัดความสามารถในการ เขียนสรุปความ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที่ ผลการวิจัยปรากฏว่าความสามารถในการเขียนสรุป ความภาษาไทยหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาชามวิทยา ที่เรียนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC สูงกว่าความสามารถดังกล่าวก่อน เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เพ็ญพิชชา ภูกิ่งแก้ว (2557) ศึกษาเรื่อง “การศึกษาความสามารถในการอ่านการเขียนภาษาไทย และพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3” : จากกการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เทคนิค CIRC ร่วมกับแผนผังความคิดผลการวิจัยพบว่า ความก้าวหน้าของการอ่านและการเขียนของนักเรียน วิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีความก้าวหน้า ระหว่างหลังเรียนกับก่อนเรียนคิดเป็นร้อย
42 ละ 26.95 และความสามารถของนักเรียนในการอ่านการเขียนภาษาไทย โดยการเรียนเทคนิค CIRC ร่วมกับ แผนผังความคิด หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ขวัญชนก อยู่ศรี (2565) ศึกษาเรื่อง “ผลการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้นกระบวน การร่วมกับเทคนิค CIRC ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย และความสามารถในการเขียนสื่อ ความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1” : การวิจัยนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบความสามารถในการเขียนสื่อความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังได้รับ การจัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้นกระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้น กระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และ 3) เปรียบเทียบความสามารถใน การเขียนสื่อความของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้น กระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC กับเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม กลุ่มตัวอย่างของการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนชุมชนวัดเสด็จ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 30 คน โดยวิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้น กระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC จำนวน 10 แผน 20 ชั่วโมง มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย มีคำความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 และ 3) แบบวัด ความสามารถในการเขียนสื่อความ ด่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบคำที่แบบกลุ่มเดียว และการทดสอบค่าที่แบบกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระ จากกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการเขียนสื่อความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับการจัด การเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้นกระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้แบบ การสอนเขียนที่เน้นกระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับ การ จัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้นกระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ของ คะแนน เต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (X = 23.00 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน, S.D. = 1.89 และ t = 5.785) 3) ความสามารถในการเขียนสื่อความ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังได้รับการจัด การ เรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้นกระบวนการร่วมกับเทคนิค CRC สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (X = 23.17 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน, S.D. = 2.02 และ t = 5.879) องค์ความรู้ที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ คือ การจัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้นกระบวน การร่วมกับเทคนิค CIRC มีทั้งหมด 5 ขั้นตอน ได้แก่ ชั้นที่ 1 นำเสนอบทเรียน ขั้นที่ 2 แบ่งกลุ่ม แลกเปลี่ยน
43 เรียนรู้ ขั้นที่ 3 ร่างงานเขียนและเขียนงาน ขั้นที่ 4 อ่านทบทวนและแก้ไขงานเขียน และชั้นที่ 5 นำเสนองาน เขียนและประเมินผล ซึ่งในทุกขั้นตอนช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการเขียนสื่อความ มีความกล้า แสดงออก และเห็นความสำคัญของการทำงานเป็นกลุ่ม ดังนั้นควรนำการจัดการเรียนรู้แบบการสอนเขียนที่เน้น กระบวนการร่วมกับเทคนิค CIRC ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้นักเรียนประสบผลสำเร็จใน การเรียน ต่อไป นภาเพ็ญ แสนสามารถ (2562) ศึกษาเรื่อง “การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย โดยใช้ การ เรียนแบบร่วมมือ เทคนิค CIRC ร่วมกับการอ่านการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำ เพื่อเสริมสร้างทักษะ การ อ่านและการเขียน การคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1” : การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย โดยใช้การเรียน แบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับการอ่านการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำ 2) เปรียบเทียบทักษะการอ่านและ การเขียน 3) เปรียบเทียบการคิดวิเคราะห์ 4) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน หลังได้รับ การสอนโดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับการอ่านการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำระหว่างก่อน เรียนและหลังเรียน และ 5) เปรียบเทียบทักษะการอ่านและการเขียน การคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธิ์ทาง การ เรียนของนักเรียน ที่มีความใฝ่เรียนรู้แตกต่างกัน (สูง ปานกลาง และต่ำ) เมื่อได้รับการสอนด้วยแบบฝึก ทักษะ วิชาภาษาไทย โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับการอ่านการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนอนุบาลนาแกผดุงราชกิจเจริญ จังหวัดนครพนม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนมเขต 1 จำนวน 26 คน ที่กำลังเรียนอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็น หน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย โดยใช้การเรียนแบบ ร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับการอ่านการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำ 2) แบบทดสอบวัดทักษะการอ่านและ การเขียน 3) แบบทดสอบวัดการคิดวิเคราะห์ 4) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 5) แบบวัด ความใฝ่เรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I.) สถิติทดสอบค่าที (t – test Dependent Samples) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One - way ANOVA) การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วมพหุคูณทางเดียว (One – way MANCOVA) และวิเคราะห์ ความแปรปรวนร่วมทางเดียว (One - way ANCOVA) ผลการวิจัยพบว่า 1. แบบฝึกทักษะวิชาภาษาไทย โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับการอ่าน การเขียนแบบแจกลูกสะกดคำ มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.59 แสดงว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทาง การเรียนคิดเป็นร้อยละ 59 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 2. ทักษะการอ่านและการเขียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะ วิชาภาษาไทย โดยใช้การเรียนแบบร่วมมือเทคนิค CIRC ร่วมกับการอ่านการเขียนแบบแจกลูกสะกดคำ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05