The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การคิดเชิงระบบเพื่อการแก้ปัญหา
Systematic Thinking for Problem Solving

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by phonphotlanhad, 2021-07-14 23:22:45

การคิดเชิงระบบเพื่อการแก้ปัญหา

การคิดเชิงระบบเพื่อการแก้ปัญหา
Systematic Thinking for Problem Solving

Keywords: Systematic Thinking for Problem Solving,การคิดเชิงระบบเพื่อการแก้ปัญหา

1

มหาวทิ ยาลัยราชภัฏภเู ก็ต
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาขาวิชาคณิตศาสตรแ์ ละสถติ ิ

9904207

การคดิ เชิงระบบเพื่อการแก้ปัญหา
Systematic Thinking for Problem
Solving

รายวิชาหมวดการศึกษาทั่วไป
หลกั สูตรวิทยาศาสตรบณั ฑิต
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ภูเก็ต

2

มหาวิทยาลัยราชภฏั ภเู กต็
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาขาวิชาคณติ ศาสตรแ์ ละสถิติ

9904207

การคดิ เชิงระบบเพื่อการแกป้ ัญหา
Systematic Thinking for Problem
Solving

รายวิชาหมวดการศกึ ษาทัว่ ไป
หลกั สตู รวทิ ยาศาสตรบณั ฑติ
คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ภเู ก็ต

สงวนลขิ สทิ ธ์ิ :
เปน็ ลขิ สทิ ธิ์ คณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

3

มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ภูเก็ต ประธาน
ผอู้ อกแบบปก :พิมพ์ช่ือผู้ออกแบบปก รองประธาน
ผู้ออกแบบกราฟฟกิ : พิมพช์ ่ือผูอ้ อกกราฟฟกิ กรรรมการ
กรรรมการ
รายนามคณะกรรมการดำเนินการจัดทำเอกสาร กรรรมการ
กรรรมการ
1. คณบดคี ณะวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กรรรมการ
2. รองคณบดฝี า่ ยวชิ าการ คณะวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี เลขานุการ
3. พิมพ์ชอ่ื อาจารย์
4. พิมพช์ อ่ื อาจารย์
5. พิมพช์ อ่ื อาจารย์
6. พมิ พ์ช่อื อาจารย์
7. พมิ พ์ชื่ออาจารย์
8. ช่อื ประธานสาขาโดยตำแหน่ง

4

คำนำ

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการคิดเชิงระบบเพื่อการแก้ไขปัญหา (Systematic
Thinking for Problem Solving) รหัสวิชา 9904207 ฉบับนี้เรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการ
จัดการเรียนการสอนในหมวดศึกษาทั่วไป โดยมุ่งเน้นให้นักศึกษารู้จักคิด มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์
รรู้ ะเบียบวธิ กี ารคดิ เกดิ ทกั ษะและเทคนคิ วธิ ใี นการตัดสินใจและนำไปใชแ้ ก้ปญั หาในชวี ิตประจำวันได้

เอกสารประกอบการสอนฉบับน้ีเน้ือหาได้ปรับปรุงมาจากเอกสารประกอบการสอนการ
รายวิชาคิดวิเคราะห์เพื่อการแก้ไขปัญหา รหัสวิชา 9904206 และรายวิชาการคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้
และการแก้ปัญหา รหัสวิชา 9904201 เพ่ือทำให้เนื้อหาและกิจกรรมมีคุณภาพและสมบูรณ์ย่ิงข้ึน คณะ
ผู้จดั ทำหวงั เปน็ อย่างย่งิ วา่ เอกสารฉบับนคี้ งเป็นประโยชนต์ อ่ ผสู้ อนและผ้เู รยี นตามสมควร

สาขาวชิ าคณติ ศาสตร์และสถติ ิ

5

สารบญั

เร่ือง หน้าท่ี
คำนำ................................................................................................................................ ก
สารบญั ............................................................................................................................ ข
สารบญั ภาพ ..................................................................................................................... ค
สารบัญตาราง .................................................................................................................. ง
มคอ 3 ............................................................................................................................ จ
บทท่ี 1 กระบวนการคิดของมนุษยแ์ ละการแก้ปัญหา .......................................................... 31
1.1 กระบวนการคิดของมนุษย์ ........................................................................................ 32
1.2 กลไกทางสมองกบั การพัฒนาความคดิ ของมนุษย์ ...................................................... 33
1.3 ทักษะการคดิ และลักษณะการคิด.............................................................................. 40
1.4 การพฒั นากระบวนการคิดรูปแบบตา่ ง ๆ .................................................................. 41
1.5 การแก้ปญั หาทางคณิตศาสตร์................................................................................... 70
1.6 ยุทธวิธแี กป้ ญั หาทางคณิตศาสตร์.............................................................................. 73
คำถามทา้ ยบท................................................................................................................. 98
บทที่ 2 การให้เหตุผลและการตรวจสอบความสมเหตสุ มผล ............................................... 105
2.1 การให้เหตุผล ............................................................................................................ 105
2.2 การตรวจสอบความสมเหตุสมผล .............................................................................. 122
คำถามท้ายบท................................................................................................................. 145
บทท่ี 3 ร้อยละในชีวิตประจำวัน........................................................................................... 155
3.1 อตั ราสว่ น.................................................................................................................. 155
3.2 สัดส่วน...................................................................................................................... 156
3.3 รอ้ ยละ ...................................................................................................................... 157
3.4 ดอกเบยี้ .................................................................................................................... 167
3.5 การผอ่ นชำระหนี้ ...................................................................................................... 176
3.6 ภาษีมูลค่าเพิ่ม........................................................................................................... 181
คำถามท้ายบท................................................................................................................. 189

บทที่ 4 ข้อมลู และการวเิ คราะหเ์ พอื่ การตดั สินใจ .................................................................... 197
4.1 ความหมายและประเภทของข้อมลู ............................................................................ 198

6

4.2 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู .............................................................................................. 203
4.3 การนำเสนอข้อมูลเพ่ือการตดั สนิ ใจ .......................................................................... 207
4.4 การวเิ คราะห์ขอ้ มลู ขา่ วสาร ...................................................................................... 225
คำถามทา้ ยบท ................................................................................................................ 266

เอกสารอา้ งองิ ..................................................................................................................... 273

7

สารบัญภาพ หน้าที่
ภาพที่
34
ภาพที่ 1.1 การพัฒนาของเซลล์สมอง ตั้งแต่หลงั ปฏสิ นธิจนถงึ 2 ปี 35
37
(Leisman and MelIllo 2012) ................................................................
38
ภาพที่ 1.2 การทำงานของสมองท้ังสองด้าน (สมศักดิ์ สนิ ธุระเวชญ์ 2544: 3).......... 51
ภาพท่ี 1.3 ปัจจยั สง่ เสริมการพัฒนาของสมอง (นยั พนิ ิจ คชภักดี, 2534 : 26) ......... 52
ภาพท่ี 1.4 การเปรียบเทยี บเซลล์สมองของเด็กขาดสารอาหารและเดก็ ปกติ 59
60
(นัยพนิ ิจ คชภกั ดี, 2534 : 26) .............................................................
ภาพท่ี 1.5 กระบวนการคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ.................................................... 60
ภาพที่ 1.6 ทักษะการคิดและลักษณะการคดิ ในกระบวนการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ .
ภาพท่ี 1.7 แผนภูมิเชิงเหตุผลตามหลักอรยิ สจั 4 ในสว่ นท่ีเป็นเนอื้ หา ..................... 62
ภาพที่ 1.8 แผนภมู ติ ามหลัก อรยิ สจั 4 ในส่วนทเ่ี ป็นกระบวนการคิด...................... 66
ภาพท่ี 1.9 ทักษะการคิดและลักษณะการคดิ ในกระบวนการคดิ เลียนแบบอรยิ สจั 4 68
115
ตอนที่ 1 .............................................................................................
ภาพที่ 1.10 ทกั ษะการคดิ และลกั ษณะการคิดในกระบวนการคดิ เลียนแบบอรยิ สจั 4

ตอนที่ 2 .............................................................................................
ภาพท่ี 1.11 แสดงลำดับขน้ั การคดิ .....................................................................
ภาพท่ี 1.12 แสดงการคดิ สร้างสรรค์...................................................................
ภาพที่ 2.1 กระบวนการการใหเ้ หตุผลเชิงนริ นยั ....................................................

8

สารบัญตาราง

ตารางท่ี หนา้ ที่
ตารางท่ี 1.1 แสดงข้อมลู ของรูปสี่เหล่ียมมมุ ฉาก.............................................
ตารางที่ 1.2 แสดงพ้ืนทขี่ องสนามหญ้าหนา้ บา้ นของครอบครวั สขุ เกษม 76
และครอบครัวสขุ สนั ต์...................................................................
ตารางที่ 1.3 แสดงยทุ ธวิธีการคาดเดาและตรวจสอบจำนวนขนมปังที่มนัสวซี อื้ . 80
ตารางท่ี 1.4 แสดงยุทธวธิ กี ารคดิ แบบย้อนกลบั เพื่อหาจำนวนรถแทรกเตอร์ 80
ที่แต่ละบริษัทมอี ยู่เดมิ ....................................................................
ตารางที่ 1.5 แสดงการวิเคราะหข์ อ้ มูลผู้สอนวิชาต่างๆ ................................... 82
ตารางท่ี 1.6 แสดงการวิเคราะหข์ ้อมูลตำแหนง่ ทน่ี ั่ง ....................................... 85
ตารางที่ 3.1 แสดงอตั ราการผอ่ นชำระคืนเงินตน้ รวมท้ังดอกเบีย้ งวดละ 86
เท่า ๆ กันต่อเงินตน้ 1 บาท…..…………………………………………...
ตารางท่ี 4.1 แสดงการแจกแจงความถ่ีคะแนนสอบวิชาคณติ ศาสตรข์ อง 176
นกั ศกึ ษา 40 คน…………………………………………………..……..…
ตารางที่ 4.2 แสดงการแจกแจงความถ่ีคะแนนสอบวชิ าคณิตศาสตรข์ อง 230
นักศกึ ษา 40 คน……………………………………………….………..….
ตารางท่ี 4.3 แสดงการแจกแจงความถ่ีจำนวนผสู้ มัครสมาชิกชมรม 231
คณิตศาสตร์จำแนกตามอาย…ุ …….………………………………..…. ...
ตารางท่ี 4.4 แสดงจำนวนอันตรภาคชั้นจำแนกตามจำนวนข้อมูล.................. 231
ตารางที่ 4.5 แสดงการแจกแจงความถีร่ ายจา่ ยประจำวันของพนักงานบรษิ ทั 234

ประกนั ภยั 30 คน............................................................... 234

ตารางที่ 4.6 แสดงการแจกแจงความถีร่ ายจา่ ยประจำวันของพนกั งานบริษทั 235
236
ประกนั ภัย 30 คน...............................................................
238
ตารางที่ 4.7 แสดงการแจกแจงความถี่นำ้ หนกั สัมภาระของผ้โู ดยสาร 40 ชน้ิ
ตารางท่ี 4.8 แสดงการแจกแจงความถี่ผลการวดั เชาว์ (I.Q.) ของนกั เรยี น

อายุ 6-12 ปี จำนวน 400 คน....................................................

9

ตารางที่ 4.9 แสดงการแจกแจงความถีผ่ ลการวัดเชาว์ (I.Q.) ของนกั เรียน 239
อายุ 6-12 ปี จำนวน 400 คน ................................................... 240
241
ตารางที่ 4.10 แสดงการแจกแจงความถี่สะสมการใชโ้ ทรศพั ทท์ างไกล 241
ใน 1 เดอื น ของแมบ่ ้าน 50 คน................................................

ตารางท่ี 4.11 แสดงการแจกแจงความถสี่ มั พทั ธ์การใช้โทรศพั ทท์ างไกล

(คดิ เป็นนาที) ใน 1 เดอื น ของแมบ่ ้าน 50 คน......................

ตารางท่ี 4.12 แสดงการแจกแจงความถ่สี ะสมสัมพัทธ์การใช้โทรศัพทท์ างไกล

(คิดเป็นนาที) ใน 1 เดอื น ของแม่บ้าน 50 คน......................

10

รายละเอียดของรายวชิ า (มคอ.3)

ชื่อสถาบัน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏภูเกต็
ผู้รับผดิ ชอบ หมวดการศึกษาทว่ั ไป

หมวดที่ 1 ขอ้ มูลท่วั ไป
1. รหัสรายวชิ า 9904207 การคดิ เชงิ ระบบเพ่อื การแกป้ ัญหา

(Systematic Thinking for Problem Solving)
2. จำนวนหน่วยกติ 3 (3-0-6) หน่วยกิต
3. หลกั สูตรและประเภทรายวิชา

ศึกษาท่ัวไป-64
4. อาจารย์ผู้รบั ผิดชอบรายวิชา

อาจารยผ์ ูร้ ับผดิ ชอบรายวิชา
5. ภาคการศึกษา/ชั้นปีทีเ่ รียน

ภาคการศกึ ษาที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564
6. รายวิชาท่ีต้องเรยี นมาก่อน (Pre-requisite) (ถ้ามี)

-
7. รายวชิ าท่ตี อ้ งเรียนพรอ้ มกัน (Co-requisites) (ถ้าม)ี

-
8. สถานทีเ่ รยี น

คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
9. วนั ทจ่ี ัดทำรายละเอียดของรายวิชา หรอื วนั ทีม่ กี ารปรบั ปรุงคร้ังล่าสุด

31 มีนาคม 2564

11

หมวดที่ 2 จดุ มุ่งหมายและวัตถุประสงค์

1. จุดมุ่งหมายของรายวิชา
1.1 มคี วามรู้ความเขา้ ใจในหลักการและกระบวนการคิดทางคณติ ศาสตร์
1.2 มีความรู้ความเข้าใจในการให้เหตุผล ร้อยละและภาษีมูลค่าเพ่ิมในชีวิตประจำวัน การวิเคราะห์
ข้อมลู เพอ่ื การตัดสนิ ใจ
1.3 มีเทคนิค วิธีการ เลือกใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีในการคิดวิเคราะห์และสังเคราะห์อย่างเป็น
ระบบ
1.4 สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการแกป้ ญั หาในชวี ิตประจำวัน

2. วัตถปุ ระสงคใ์ นการพัฒนา/ปรบั ปรุงรายวชิ า
2.1 เพื่อให้นักศึกษามีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ มีจิตสำนึกในความเป็นไทย
มคี วามรกั ความผูกพันต่อท้องถ่นิ และมคี วามซาบซ้ึงในศลิ ปวัฒนธรรมไทย
2.2 เพ่ือให้นักศึกษามีความรู้ ความสามารถในวิชาการและวิชาชีพ มีความสามารถในการคิด
วิเคราะห์อย่างมีเหตุผล มีความสามารถในการประยุกต์ทฤษฎีและหลักการสู่การปฏิบัติ มี
ความสามารถในการศึกษาค้นคว้า และเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีความรู้ภาษาต่างประเทศอย่าง
นอ้ ย 1 ภาษา และมคี วามสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์เปน็ อยา่ งดีพอควร
2.3 สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข เอื้อเฟ้ือเผื่อแผ่ เห็นประโยชน์ของส่วนรวมท้ังใน
สังคมไทย และสังคมโลก รู้จักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ดี มีความรับผิดชอบ
ขยัน อดทน พึง่ ตนเองได้ มีความเปน็ ผู้นำ ตลอดจนอยู่รว่ มในสังคมโลกได้
2.4 เพอ่ื ให้นักศึกษามีสขุ ภาพดที ง้ั กาย และจติ ใจ และมีบคุ ลกิ ภาพท่ีดี

12

หมวดที่ 3 ลักษณะและการดำเนนิ การ

1. คำอธบิ ายรายวชิ า
หลักการและกระบวนการคิดของมนุษย์ การพัฒนาทักษะเพ่ือการแก้ปัญหา โดยใช้ เทคนิค วิธีการ
เครื่องมือ เทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ สถิติ การนำเสนอ กระบวนการคิด
การวางแผน การตัดสินใจและการประยุกตใ์ ช้

2. จำนวนช่ัวโมงท่ีใช้ต่อภาคการศึกษา

บรรยาย การฝกึ ปฏิบัติ/งาน การศึกษาด้วยตนเอง สอนเสริม
ภาคสนาม/การฝึกงาน

45 ช่วั โมง ไมม่ ี 90 ชั่วโมง ตามความต้องการของ

นกั ศึกษา

3. จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ท่ีอาจารย์ให้คำปรึกษาและแนะนำทางวิชาการแก่นักศึกษาเป็น
รายบคุ คล
12 ชัว่ โมงตอ่ สปั ดาห์

หมวดท่ี 4 การพัฒนาการเรยี นรู้ของนกั ศึกษา
1. ด้านคุณธรรมจริยธรรม

1.1 คุณธรรมจริยธรรม ทีต่ ้องพฒั นา
1) มีระเบยี บวนิ ัยและมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและสังคม
2) เห็นคุณคา่ และสำนกึ ในความเปน็ ไทย

1.2 กลยุทธ์การสอนทใี่ ช้พัฒนาการเรียนรู้ดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม
1) สอนและ/หรือจัดกิจกรรมโดยสอดแทรกเน้ือหาคุณ ธรรม จริยธรรม ความ
ซอ่ื สัตย์ สุจริต มจี ติ อาสา ความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและสงั คม
2) ช้ีแจงและส่งเสริมให้ ผู้เรียนมีความเคารพในกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับของ
มหาวิทยาลัย เช่น การเข้าชั้นเรียน การตรงเวลา การแต่งกายตามระเบียบที่
มหาวิทยาลัยกำหนด และยกย่องชื่นชมผู้ที่มีความเสียสละหรือให้รางวัลตามโอกาสที่
เหมาะสม

13

3) มอบหมายให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่ม ฝึกการเป็นผู้นำและผู้ตามท่ีดี รวมท้ังการรับฟัง
ความคิดเห็นของผู้อืน่

1.3 กลยทุ ธก์ ารประเมนิ ผลการเรยี นรดู้ า้ นคุณธรรม จริยธรรม
1) ประเมินจากพฤติกรรมของผู้เรียน เช่น การเข้าชั้นเรียนตรงเวลา ส่งงานตรงเวลาและ
ครบถว้ น การรว่ มกจิ กรรมในชน้ั เรยี นอย่างผมู้ ีความรบั ผดิ ชอบ เป็นต้น
2) สังเกตจากพฤติกรรมของผู้เรียนในการปฏิบัติตามกฎและระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ของ
มหาวิทยาลยั
3) ประเมนิ จากความรับผดิ ชอบในหนา้ ทท่ี ไ่ี ดร้ ับมอบหมาย

2. ดา้ นความรู้
2.1 ผลการเรียนรู้ด้านการเรียนรู้
1) มคี วามรอบรูแ้ ละความเขา้ ใจในสาระสำคญั ของเนือ้ หาวชิ าอย่างกวา้ งขวาง
2) สามารถตดิ ตามความก้าวหนา้ ของความรู้ในวิชาท่ีศึกษา
2.2 กลยทุ ธก์ ารสอนที่ใชพ้ ัฒนาการเรียนรู้ดา้ นการเรียนรู้
1) จดั การเรียนการสอนที่มีลักษณะ Active Learning โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้นการ
จัดกิจกรรมในลักษณะบูรณาการความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้เรียนเข้ากับความรู้
และประสบการณใ์ หม่ในรายวชิ าทสี่ อน
2) จัดการเรียนการสอนโดยเน้นหลักทางทฤษฎีและ/หรือการปฏิบัติ สามารถนำความรู้ท่ี
ได้ศึกษาไปใชใ้ นการดำรงชวี ติ ได้อย่างเหมาะสม
3) ศึกษาดูงานหรือเชญิ ผูเ้ ช่ยี วชาญทม่ี ีประสบการณ์ตรงมาเป็นวิทยากรพิเศษ
4) มอบหมายให้ผู้เรียนทำการศึกษา ค้นคว้าองค์ความรู้และวิทยาการใหม่ ๆ และ/หรือ
วิจัยเพอ่ื ตอ่ ยอดองคค์ วามรู้
2.3 กลยุทธ์การประเมินผลการเรยี นรู้ด้านความรู้
1) ทดสอบยอ่ ย สอบกลางภาคการศกึ ษาและปลายภาคการศึกษา
2) ประเมนิ จากการอภิปราย แลกเปลี่ยนและแสดงความคดิ เหน็ ในชั้นเรยี น
3) ประเมนิ จากการฝกึ ปฏิบตั ิ
4) ประเมนิ จากงานทีม่ อบหมาย
5) ประเมนิ จากการนำเสนอผลงานหน้าช้ันเรียน

3. ทกั ษะทางปัญญา
3.1 ผลการเรียนรู้ดา้ นทกั ษะทางปัญญา

14

1) มีทักษะการแสวงหาความรตู้ ลอดชวี ิต เพ่ือพัฒนาตนเองอย่างตอ่ เนื่อง
2) สามารถประยกุ ต์ใช้ความรใู้ นการป้องกันและแกป้ ํญหา
3.2 กลยุทธ์การสอนที่ใชพ้ ฒั นาการเรียนรดู้ ้านทกั ษะทางปัญญา
1) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยกระบวนการคิดเพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนคิด

วิเคราะห์ ด้วยเหตุผล และมีวิจารณญาณ เช่น อภิปรายกลุ่ม ฝึกแก้ปัญหาเป็นกลุ่ม จัด
สถานการณจ์ ำลองให้ผเู้ รยี นฝกึ ตัดสนิ ใจ เป็นตน้
2) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยประสบการณ์ตรง เช่น ศึกษานอกสถานที่ การ
สัมภาษณ์ พูดคุยกับผู้มีประสบการณ์แล้วสรุปเป็นสาระ ความรู้ แนวคิด ข้อคิดที่
สามารถนำมาประยุกต์ใชใ้ นการปอ้ งกนั และแก้ปญั หาชีวิตประจำวันได้
3) มอบหมายงานใหผ้ ู้เรียนทำการศกึ ษา คน้ คว้าจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย
3.3 กลยทุ ธ์การประเมนิ ผลการเรียนรู้ดา้ นทักษะทางปญั ญา
1) ประเมินจากการสังเกตพฤติกรรมทางปัญญาของผู้เรียนตั้ งแต่ ขั้นสังเกต ตั้ง
คำถาม สืบค้น คดิ วเิ คราะห์ สังเคราะห์และประเมินค่า ตามลำดับ
2) ประเมินด้วยการสรา้ งสถานการณจ์ ำลอง แล้วให้ผู้เรียนฝกึ ตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างมีเหตุ
มผี ล โดยผสู้ อนและผูเ้ รยี นรว่ มกนั ประเมนิ ผลงานน้ัน
3) ประเมินจากงานทม่ี อบหมายและการนำเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรยี น
4. ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรบั ผดิ ชอบ
4.1 ผลการเรยี นรดู้ ้านทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลและความรบั ผดิ ชอบ
1) มคี วามคดิ รเิ ริ่มในการวิเคราะห์ และแก้ปญํ หา โดยใช้นวัตกรรมอย่างสรา้ งสรรค์
2) มีความรับผิดชอบในการเรยี นรแู้ สวงหาความรอู้ ยา่ งต่อเน่อื งเพื่อพัฒนาตนเอง
4.2 กลยุทธ์การสอนท่ีใช้พัฒนาการเรียนรู้ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความ
รับผิดชอบ
1) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านประสบการณ์ตรงจากการทำงานเป็นคู่ หรือเป็น
กลุ่ม เพื่อฝึกความรับผิดชอบ ฝึกทักษะความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี มีทักษะการสร้าง
มนุษยสมั พนั ธ์ การปรบั ตวั และยอมรับความแตกตา่ งของคนในสงั คม
2) จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแต่ละคนได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน
เรียนรู้ และช่วยกันวิเคราะห์ปัญหา เช่น ทำงานกลุ่ม การแสดงบทบาทสมมุติ
รว่ มกัน การวเิ คราะห์สถานการณเ์ พอ่ื แก้ปญั หา เปน็ ต้น

15

4.3 กลยุทธ์การประเมินผลการเรียนรู้ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความ
รับผิดชอบ
1) สังเกตพฤติกรรมและการแสดงออกของผเู้ รยี นขณะทำกิจกรรมกลุ่ม
2) ประเมินจากการนำเสนอผลงานของกลุ่ม
3) ประเมนิ ความรับผดิ ชอบจากงานทม่ี อบหมาย

5. ทกั ษะในการวิเคราะหเ์ ชงิ ตัวเลข การส่ือสาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
5.1 ผลการเรียนรู้ด้านทักษะในการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสาร และการใช้เทคโนโลยี
สารสนเทศ
1) สามารถประยุกต์ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ และสถิติไปใช้ในการดําเนินชีวิตและ
ปฏิบตั ิงานไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
5.2 กลยทุ ธ์การสอนที่ใช้พัฒนาการเรียนรู้ดา้ นทกั ษะในการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสาร และ
การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ
1) สอนหลักคณิตศาสตร์ สถิติและ/หรือการวิเคราะห์เชิงปริมาณที่สามารถนำไปใช้ในการ
ดำเนนิ ชวี ิตและปฏบิ ตั งิ านได้
2) จดั กิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพ่ือสืบค้น
ข้อมูล ใช้ตัวกรองเพ่ือจำกัดผลลัพธ์ ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
ต่าง ๆ จัดระบบและแบ่งปันทรัพยากร และตระหนักถึงประเด็นต่าง ๆ เรื่อง
ลขิ สทิ ธ์ิ การคัดลอกผลงาน ความปลอดภัยออนไลน์ การปกป้องข้อมูล ภาพลักษณ์ส่วน
ตน เรียนรู้หลักการพ้ืนฐานและผลิตส่ือดิจิทัล ติดตั้งและใช้ซอฟต์แวร์และ/หรือ
แอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์ส่วนตัว ในการรวบรวมและจัดระเบียบบันทึกข้อมูลในการใช้
งาน การสนทนา การแบ่งปันเอกสารและ/หรือข้อคิดเห็น และทำงานร่วมกับผู้อ่ืนแบบ
ออนไลน์
3) สอนโดยเน้นให้ผู้เรียนใช้ภาษาไทยและ/หรือภาษาต่างประเทศในการรับ-ส่งสาร ได้
ถูกตอ้ งตามหลักไวยากรณ์ทง้ั รปู แบบการฟัง พดู อา่ น และเขียน
5.3 กลยุทธก์ ารประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้านทักษะในการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การส่ือสาร และการ
ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ
1) สงั เกตพฤติกรรมการใช้เคร่ืองมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ ระหวา่ งรว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้
ในชน้ั เรยี น หรอื ขณะรว่ มกจิ กรรมเสริมหลักสตู รท่มี หาวิทยาลยั จัดขึน้
2) ประเมินจากการนำเสนอผลงานเป็นรูปเล่ม และ/หรอื การนำเสนอผลงานหนา้ ช้นั เรยี น

16

3) ประเมินความสามารถในการสืบค้นข้อมลู ออนไลน์ และการอ้างอิงแหล่งที่มาได้อย่าง
ถูกต้อง

17

หมวดที่ 5 แผนการสอนและการประเมนิ ผล

1. แผนการสอน จำนวนชวั่ โมง กจิ กรรมการเรียน ส่ือทใี่ ช้ อาจารย์
การสอน ผู้รบั ผดิ ชอบ
สัปดาห์ หวั ขอ้ /รายละเอียด 3
ท่ี 1. ก ารบ รรย าย 1. เอกสาร ค ณ า จ า ร ย์
2. การอภิ ป ราย ประกอบการ
1 อธบิ ายเนื้อหาและ 3. ก า ร ใ ช้ สอน ผ้สู อน
ขอบเขตของรายวชิ า กรณีศึกษา (Case) 2. หนังสือ
ชีแ้ จงเกณฑ์การให้ 4. ก า ร ใ ช้ 3. Power
คะแนนกจิ กรรมและ สถานการณ์จำลอง Point
การทดสอบ ( Simulation)
บทที่ 1 การคิดและ 5. การสอนแบบ
กระบวนการคดิ ของ โป รแ ก รม
มนษุ ย์ ( Programmed
1.1 กระบวนการ Instruction)/การ
คดิ ของมนษุ ย์ เรียนด้วยบทเรียน
1.2 กลไกทาง คอมพิวเตอร์ช่วย
สมองกบั การพฒั นา ส อ น /ก ารเรีย น
ความคิดของมนษุ ย์ แบบผสมผสาน/
1.3 ทักษะการคิด ก า ร เรี ย น แ บ บ
และลกั ษณะการคดิ อ อ น ไ ล น์
1.4 การพฒั นา 6. การฝึกปฏิบัติ
กระบวนการคดิ (Practice)
รูปแบบตา่ งๆ
1.5 การแก้ปัญหา 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์
ทางคณิตศาสตร์ 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผู้สอน
1.6 ยทุ ธวิธี 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น
แก้ปัญหาทาง กรณีศึกษา (Case) 2. ห นั ง สื อ
คณติ ศาสตร์ 4. ก า ร ส า ธิ ต 3. Power

2 บทที่ 1 การคดิ และ

กระบวนการคดิ ของ

มนุษย์ (ต่อ)

18

สัปดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จำนวนชั่วโมง กิจกรรมการเรยี น สื่อท่ีใช้ อาจารย์
ท่ี การสอน ผรู้ ับผดิ ชอบ
3
3 บทท่ี 1 การคิดและ (Demonstration) Point ค ณ า จ า ร ย์
กระบวนการคดิ ของ 5. การสอนแบบ ผู้สอน
มนุษย์ (ต่อ) โป รแ ก รม
( Programmed
Instruction)/การ
เรียนด้วยบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วย
ส อ น /ก ารเรีย น
แบบผสมผสาน/
ก า ร เรี ย น แ บ บ
อ อ น ไ ล น์
6. การฝึกปฏิบัติ
(Practice)
1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร
2. การอภิ ป ราย ประกอบการ
3. ก า ร ใ ช้ ส อ น
สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ
( Simulation) 3. Power
4. ก า ร ส า ธิ ต Point
(Demonstration)
5. การสอนแบบ
โป รแ ก รม
( Programmed
Instruction)/การ
เรียนด้วยบทเรียน
คอมพิวเตอร์ช่วย
ส อ น /ก ารเรีย น
แบบผสมผสาน/
ก า ร เรี ย น แ บ บ
อ อ น ไ ล น์

19

สปั ดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จำนวนช่วั โมง กิจกรรมการเรยี น ส่อื ท่ใี ช้ อาจารย์
ท่ี
3 การสอน ผรู้ บั ผิดชอบ
4 บทท่ี 1 การคิดและ
กระบวนการคดิ ของ 3 6. การฝึกปฏิบัติ
มนุษย(์ ต่อ)
(Practice)
5 บทที่ 2 การให้
เหตผุ ลและการ 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์
ตรวจสอบความ
สมเหตุสมผล 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผู้สอน
2.1 การให้เหตุผล
2.2 การตรวจสอบ 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น
ความสมเหตผุ ล
สถานการณจ์ ำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผสู้ อน

3. ก า ร ใ ช้ ส อ น

สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3.Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

20

สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอยี ด จำนวนชั่วโมง กิจกรรมการเรยี น สื่อที่ใช้ อาจารย์

ท่ี การสอน ผูร้ บั ผดิ ชอบ

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

6 บ ท ท่ี 2 ก า ร ใ ห้ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

เห ตุ ผ ล แ ล ะ ก า ร 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผ้สู อน

ตรวจสอบความ 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น

สมเหตสุ มผล (ต่อ) สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

7 บ ท ท่ี 2 ก า ร ใ ห้ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

21

สัปดาห์ หัวขอ้ /รายละเอยี ด จำนวนช่วั โมง กจิ กรรมการเรยี น ส่อื ท่ีใช้ อาจารย์

ท่ี การสอน ผรู้ ับผิดชอบ

เห ตุ ผ ล แ ล ะ ก า ร 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผสู้ อน

ตรวจสอบความ 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น

สมเหตุสมผล (ต่อ) สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

8 บ ท ที่ 2 ก า ร ใ ห้ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

เห ตุ ผ ล แ ล ะ ก า ร 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผูส้ อน

ตรวจสอบความ 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น

สมเหตุสมผล (ตอ่ ) สถานการณจ์ ำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

22

สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอียด จำนวนชว่ั โมง กิจกรรมการเรยี น สือ่ ทใี่ ช้ อาจารย์

ท่ี การสอน ผู้รบั ผิดชอบ

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

9 สอบกลางภาค 3 ค ณ า จ า ร ย์

ผสู้ อน

10 บทท่ี 3 รอ้ ยละและ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

ภาษมี ูลคา่ เพ่มิ ใน 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผ้สู อน

ชีวิตประจำวัน 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น

3.1 อัตราส่วน สถานการณจ์ ำลอง 2. ห นั ง สื อ

3.2 รอ้ ยละ ( Simulation) 3. Power

3.3 ดอกเบยี้ 4. ก า ร ส า ธิ ต Point

3.4 การผ่อนชำระ (Demonstration)

หน้ี 5. การสอนแบบ

3.5 ภาษีมูลคา่ เพ่มิ โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

11 บทที่ 3 ร้อยละและ 3 1. ก ารบ รร ย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

23

สัปดาห์ หวั ข้อ/รายละเอยี ด จำนวนช่วั โมง กจิ กรรมการเรียน สอื่ ทใี่ ช้ อาจารย์

ที่ การสอน ผ้รู บั ผิดชอบ

ภ าษี มู ล ค่ าเพิ่ ม ใน 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผ้สู อน

ชีวติ ประจำวนั (ต่อ) 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น

สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

12 บทท่ี 3 ร้อยละและ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

ภ าษี มู ล ค่ าเพิ่ ม ใน 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผสู้ อน

ชวี ติ ประจำวัน (ต่อ) 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น
สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

24

สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จำนวนช่วั โมง กจิ กรรมการเรยี น สอื่ ทใ่ี ช้ อาจารย์

ท่ี การสอน ผูร้ บั ผดิ ชอบ

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

13 บทท่ี 4 ข้อมลู และ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

การวเิ คราะหเ์ พ่ือการ 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผูส้ อน

ตัดสินใจ 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น
4.1 ความหมาย สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ
( Simulation) 3. Power
และประเภทของ 4. ก า ร ส า ธิ ต Point
ขอ้ มลู (Demonstration)
5. การสอนแบบ
4.2 การเกบ็ โป รแ ก รม
รวบรวมขอ้ มูล ( Programmed
Instruction)/การ
4.3 การนำเสนอ เรียนด้วยบทเรียน
ข้อมลู เพ่อื การ
ตัดสนิ ใจ

4.4 การวิเคราะห์ คอมพิวเตอร์ช่วย

ขอ้ มลู ขา่ วสาร ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

14 บทท่ี 4 ข้อมูลและ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

การวิเคราะห์เพ่ือการ 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผสู้ อน

ตดั สนิ ใจ (ตอ่ ) 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น
สถานการณ์จำลอง 2. ห นั ง สื อ

25

สัปดาห์ หัวข้อ/รายละเอยี ด จำนวนชวั่ โมง กิจกรรมการเรยี น สื่อท่ีใช้ อาจารย์

ที่ การสอน ผู้รับผิดชอบ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

15 บทท่ี 4 ข้อมูลและ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เอกสาร ค ณ า จ า ร ย์

การวิเคราะห์เพ่ือการ 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผูส้ อน

ตดั สนิ ใจ (ตอ่ ) 3. ก า ร ใ ช้ สอน

สถานการณจ์ ำลอง 2. หนงั สอื

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

26

สัปดาห์ หวั ขอ้ /รายละเอียด จำนวนชัว่ โมง กจิ กรรมการเรียน สือ่ ท่ใี ช้ อาจารย์

ท่ี การสอน ผรู้ บั ผดิ ชอบ

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

16 บทที่ 4 ข้อมูลและ 3 1. ก ารบ รรย าย 1. เ อ ก ส า ร ค ณ า จ า ร ย์

การวิเคราะห์เพ่ือการ 2. การอภิ ป ราย ประกอบการ ผสู้ อน

ตัดสินใจ (ต่อ) 3. ก า ร ใ ช้ ส อ น
สถานการณจ์ ำลอง 2. ห นั ง สื อ

( Simulation) 3. Power

4. ก า ร ส า ธิ ต Point

(Demonstration)

5. การสอนแบบ

โป รแ ก รม

( Programmed

Instruction)/การ

เรียนด้วยบทเรียน

คอมพิวเตอร์ช่วย

ส อ น /ก ารเรีย น

แบบผสมผสาน/

ก า ร เรี ย น แ บ บ

อ อ น ไ ล น์

6. การฝึกปฏิบัติ

(Practice)

17 สอบปลายภาค 3 ค ณ า จ า ร ย์

ผู้สอน

27

2. แผนการประเมนิ ผลการเรียนรู้ วธิ ีการประเมิน สัปดาหท์ ีป่ ระเมนิ สดั สว่ นของการ
กิจกรรม ผลการเรยี นรู้ ประเมิน
- ก า ร สั ง เ ก ต ตลอดภาคการศกึ ษา 10
ท่ี
1 คณุ ธรรม จรยิ ธรรม พ ฤ ติ ก ร ร ม 40
20
2 ความรู้ - การส่งงานที่ไดร้ ับ
3 ปัญญา
มอบหมาย

- สอบกลางภาค 9

- สอบปลายภาค 17

สอบยอ่ ย ตลอดภาคการศกึ ษา

4 ความสัมพนั ธ์ระหวา่ ง - การทำงานกลุ่ม ตลอดภาคการศึกษา 15
15
บุคคลและความ - การมีส่วนรว่ ม

รบั ผิดชอบ อภปิ ราย เสนอ

ความคิดเหน็ ในชน้ั

เรียน

- งานทีม่ อบหมาย

5 การคิดวิเคราะห์ การ - การนำเสนอ ตลอดภาคการศึกษา

สื่ อ ส า ร เท ค โ น โ ล ยี ข้อมลู ความคดิ เห็น

สารสนเทศ - งานที่มอบหมาย

รายบคุ คล

28

หมวดที่ 6 ทรพั ยากรประกอบการเรยี นการสอน

1. เอกสารและตำราหลัก
หมวดการศึกษาท่ัวไป. (2564). เอกสารประกอบการสอนวิชาการคิดเชิงระบบเพ่ือการแก้ไขปัญหา.

มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ภเู กต็ .
2. เอกสารและขอ้ มูลสำคญั

ส่อื การสอนออนไลน์ classroom สำหรบั นกั ศึกษาแตล่ ะกล่มุ เรยี น
3. เอกสารและขอ้ แนะนำ

- ทรพั ยากรสารสนเทศในห้องสมดุ
- http://www.google.co.th

หมวดท่ี 7 การประเมินและปรบั ปรงุ การดำเนินการของรายวิชา
1. กลยุทธ์การประเมินประสทิ ธิผลของรายวิชาโดยนักศกึ ษา

การประเมินประสิทธิผลในรายวิชาน้ี ที่จัดโดยมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ภเู ก็ต ไดใ้ หน้ ักศกึ ษาเขา้ ประเมนิ ผล
การเรียนการสอนทางเวบ็ ไซตโ์ ดยการนำแนวคิดและความคิดเหน็ จากนกั ศกึ ษาได้ดงั น้ี

- แบบประเมินผสู้ อน และแบบประเมินรายวิชา
- แสดงความเหน็ ผา่ น google classroom ของอาจารย์ผู้สอน
2. กลยุทธก์ ารประเมนิ การสอน
ใช้กลยทุ ธใ์ นการเก็บข้อมูลเพอ่ื ประเมินการสอนดงั น้ี

- สงั เกตการสอนของผ้รู ่วมทีมสอน
- ประเมินจากผลการประเมินผสู้ อนและผลการเรยี นของนักศึกษา
- การทวนสอบผลประเมนิ ผลการเรียนรู้
3. การปรบั ปรงุ การสอน
หลังจากได้รับผลการประเมินการสอนในข้อ 2 จะมีการปรับปรุงการสอน โดยการจัดกิจกรรมในการ
ระดมสมอง และสรรหาขอ้ มลู เพิ่มเติมในการปรับปรงุ การสอน
4. การทบทวนมาตรฐานผลสมั ฤทธิ์รายวชิ าของนักศึกษา
ในระหว่างกระบวนการสอนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธิ์ในรายหัวข้อ ตามที่คาดหวังจากการ
เรียนรู้ในรายวิชา ได้จากการสอบถามนักศึกษา หรือการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษา รวมถึงพิจารณา

29

จากผลการทดสอบย่อย และหลังการออกผลการเรียนรายวิชา มีการทวนสอบผลสัมฤทธ์ิโดยรวมในวิชา
ได้ดงั นี้

- การทวนสอบการให้คะแนนจากการสุ่มตรวจผลงานของนักศึกษาโดยอาจารย์อ่ืน หรือ
ผู้ทรงคุณวฒุ ิทไ่ี มใ่ ชอ่ าจารย์ประจำหลกั สตู ร

- มีการต้ังคณะกรรมการในสาขาวิชา ตรวจสอบผลการประเมินการเรียนรู้ของนักศึกษา โดย
ตรวจสอบข้อสอบ รายงาน วธิ ีการให้คะแนนสอบ และการใหค้ ะแนนพฤตกิ รรม
5. การดำเนินการทบทวนและการวางแผนปรบั ปรุงประสิทธิผลของรายวชิ า

จากผลการประเมิน และทวนสอบผลสัมฤทธิ์ประสิทธิผลรายวิชา จะมีการวางแผนการปรับปรุงการ
สอนและรายละเอยี ดวชิ า เพอ่ื ให้เกดิ คณุ ภาพมากขนึ้ ดงั นี้

- ปรับปรุงรายวิชาหลังการสอนทุกภาคเรียน หรือตามข้อเสนอแนะปรับปรุงการสอนในข้อ 3 และผล
การทวนสอบมาตรฐานผลสัมฤทธ์ติ ามขอ้ 4

ช่ืออาจารย์ผู้รบั ผดิ ชอบรายวชิ า/อาจารยผ์ ูส้ อน
ลงชอื่ อาจารยผ์ ู้สอน
วันที่รายงาน

ช่ือประธานหลกั สูตร
ลงช่ือประธานหลักสูตร
วันทรี่ ายงาน

30

31

บทท่ี 1

กระบวนการคดิ ของมนุษยแ์ ละการแกป้ ญั หา
Human thought processes and problem solving

ชื่อผ้เู รยี บเรียง : คณะผู้จัดทำ

วตั ถุประสงค์ประจำบท
1. อธบิ ายกระบวนการคดิ ของมนษุ ย์และองค์ประกอบย่อยในแต่ละองคป์ ระกอบของกระบวนการคดิ
ของมนษุ ยไ์ ด้
2. อธิบายการทำหน้าทข่ี องสมอง และปจั จัยสง่ เสริมการพฒั นาของสมอง
3. มคี วามสามารถในทักษะการคิดและลักษณะการคิดด้านต่างๆ คอื การคิดคล่องและคิดหลากหลาย
การคิดวเิ คราะหแ์ ละคิดผสมผสาน การคิดรเิ รมิ่ การคดิ ละเอยี ดชัดเจน การคิดอยา่ งมีเหตุผล การ
คดิ กวา้ งและรอบคอบ การคิดไกล การคิดลกึ ซงึ้ และการคิดดคี ิดถูกทาง
4. มีความสามารถในการสร้างกิจกรรม/สถานการณ์ เพ่ือพฒั นาทกั ษะการคดิ และลักษณะการคิดใน
ดา้ นตา่ ง ๆ ของตนเองได้
5. อธิบายขน้ั ตอนของกระบวนการคิดแตล่ ะรปู แบบได้
6. บอกทักษะการคิดและลักษณะการคิด ทจี่ ำเป็นในแต่ละข้ันตอนของกระบวนการคิดแตล่ ะรูปแบบได้
7. มีความสามารถในการใชก้ ระบวนการคดิ รปู แบบต่าง ๆ เพื่อการแก้ปัญหาในสถานการณ์ท่ี
กำหนดใหไ้ ด้
8. มีความสามารถในการสร้างกิจกรรม/สถานการณ์ เพ่ือพฒั นาความสามารถในการใช้กระบวนการ
คดิ รปู แบบต่าง ๆ ของตนเองได้
9. นักศึกษาสามารถแสดงความคดิ และผลของการคิด จากการฝกึ คดิ ตามสถานการณท์ ีเ่ ปน็ ปัญหาที่
กำหนดให้
10. นกั ศึกษาสามารถใช้กระบวนการคิดในรูปแบบตา่ ง ๆ แกป้ ัญหาได้อยา่ งหลากหลายวิธี

32

1.1 กระบวนการคิดของมนษุ ย์
การคิด เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในสมองโดยที่มีการจัดระบบความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ซ่ึงเป็น

ประสบการณ์เดิมกับประสบการณ์ใหม่ หรือส่ิงเร้าใหม่ โดยที่การจัดระบบนั้นมีลักษณะท่ีเป็นได้ทั้งใน
รูปแบบธรรมดา และสลับซับซ้อน ผลจากการจัดระบบ สามารถแสดงออกได้หลายลักษณะ เช่น การสร้างภาพ
ในสมอง จินตนาการ การสร้างสิ่งท่ีเป็นนามธรรม การให้เหตุผล การไตร่ตรอง การสะท้อนความรู้สึก
และการแก้ปญั หาต่างๆ เป็นตน้

การคิดมี 2 ลักษณะใหญ่ๆ คือ การคิดอย่างมีจุดมุ่งหมายกับการคิดไปเร่ือยๆ อย่างไม่มี
จดุ มุง่ หมาย (ทิศนา แขมมณี และคณะ 2540 : 2) ซ่ึงในที่นี้จะกลา่ วถงึ เฉพาะการคิดอย่างมจี ดุ มุ่งหมาย

การคิดอย่างมีจุดมุ่งหมายเป็นกระบวนการทางสมองที่เกิดขึ้นเมื่อมีส่ิงเร้าท่ีเป็นปัญหา ความต้องการ
หรือความสงสัย มากระตุ้น ทำให้จิตและสมองนำข้อมูลหรือความรู้ท่ีมีอยู่มาหาวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ
เพือ่ จะทำใหป้ ัญหาความต้องการ หรอื ความสงสยั นนั้ ลดน้อยลงไปหรอื หมดไป

1.1.1 เหตขุ องการคดิ
ต้นเหตุของการคดิ คือ สิง่ เร้าทเ่ี ปน็ ปัญหา ทีเ่ ป็นความตอ้ งการ หรอื ทีช่ วนสงสัย
ส่งิ เร้าท่ีเป็นปัญหา เป็นสง่ิ เร้าประเภทสถานการณ์ เหตุการณ์ หรือสภาวะที่มากระทบแล้ว

ต้องกระทำส่ิงหนึ่งส่งิ ใดที่จะทำให้ปญั หานั้นลดลงไปหรือหมดไป แต่ไม่อาจทำได้ด้วยวิธงี า่ ย ๆ จงึ ทำให้อยู่
ในสภาพตัดสินใจไม่ได้ ไม่มีทางเลือก ไม่มีวิธีการในการปฏิบัติ สภาพการณ์อยู่ในอันตราย หรือ
สภาพการณส์ ทู่ างไม่ดี เป็นต้น จงึ จำเปน็ ต้องคดิ (have to think) เพ่อื แกท้ ่ปี ญั หานั้น

ส่ิงเร้าท่ีเป็นความต้องการ เป็นความต้องการสิ่งที่ดีขึ้น ดีกว่าเดิม เช่น ทำได้ เร็วขึ้น ทำได้ง่ายขึ้น
ลงทนุ น้อยลง ผิดพลาดน้อยลง ปลอดภัยมากขนึ้ เป็นต้น จงึ ต้องการการคิด (want to think) มาเพื่อทำ
ให้ความตอ้ งการหมดไป

สิง่ เร้าทช่ี วนสงสัย เป็นสง่ิ เร้าแปลกๆ ใหม่ๆ ท่ีมากระตุ้นให้สงสัย อยากรู้ หรืออาจเกดิ จาก
บุคลิกภาพประจำตัวที่เป็นผู้อยากรู้อยากเห็น ช่างคิดช่างสงสัย เม่ือกระทบส่ิงเร้าก็เกิดความสงสัย ทำให้
ต้องการคำตอบ จงึ ตอ้ งการการคดิ เพอ่ื ตอบข้อสงสยั

1.1.2 ผลของการคดิ
ผลของการคิด คือ คำตอบหรือวิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปแก้ปัญหาหรือทำให้ความต้องการ

หรือความสงสยั ลดลงไป ผลการคดิ ไดแ้ ก่
1) บทสรุปหรอื คำตอบทตี่ อ้ งการ
2) แผนปฏบิ ตั งิ านหรอื ข้นั ตอนในการปฏิบตั ิงาน
3) แนวคิดใหมๆ่ ความรูใ้ หม่ๆ ทางเลอื กใหม่ๆ สิ่งประดษิ ฐใ์ หม่ๆ

33

4) วธิ กี ารในการแก้ปญั หา
5) ข้อตดั สนิ ใจ
6) ความเข้าใจทีส่ ามารถอธิบายได้
7) การทำนายหรือคาดการณส์ ่งิ ทอ่ี าจเกิดข้ึน
1.1.3 คุณคา่ ของการคิด
การคดิ สามารถทำให้ตอบคำถามบางประเภทได้
การคิด ทำให้ได้วิธีการท่ีมีประสิทธิภาพ ในการแก้ปัญหาหรือลดความต้องการ ซ่ึงดีกว่า
วิธีการทป่ี ลอ่ ยไปตามธรรมชาติ (เปน็ ไปตามการสมุ่ ) หรือวธิ ลี องผิดลองถูก
การคดิ ทมี่ ีคณุ ภาพ จะทำให้ผลของการคิดที่มปี ระสิทธิภาพช่วยให้ลดเวลาในการแก้ปัญหา
ลดการใชท้ รพั ยากรในการแกป้ ัญหา และช่วยใหก้ ารดำเนินชีวิตเปน็ ไปอยา่ งถกู ต้อง
การคิดทีด่ ี ชว่ ยให้มีการดำเนินชีวติ ทด่ี ี ถกู ต้องและมีคณุ คา่

1.2 กลไกทางสมองกับการพัฒนาความคดิ ของมนุษย์
1.2.1 สมอง
สมอง เปน็ สว่ นหน่ึงของระบบประสาท เป็นอวัยวะทม่ี ีพลังยง่ิ ใหญ่ มหี นา้ ท่ีควบคุม การคิด

การรับรู้ การเรียนรู้ การจำ การวางแผน การตัดสินใจ การจินตนาการ และพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์
การทำงานของสมองเป็นไปอย่างซับซ้อน มนุษย์เข้าใจการทำงานของสมองเป็นบางส่วนเท่าน้ัน สมอง
ควบคุมการทำงานของร่างกาย และพฤติกรรมด้วยการส่งสัญญาณบางส่วนไปยังกล้ามเน้ือ สัญญาณ
บางอย่างควบคุมการทำงานของอวัยวะภายใน บางอย่างควบคุมการทำงานของต่อมต่างๆ ให้ปล่อย
สารเคมีที่เรียกว่า ฮอร์โมน ฮอร์โมนจะไปกระตุ้นการทำงานของร่างกาย เช่น เร้าให้เกิดอารมณ์ และ
ผลกั ดนั ให้ทำพฤติกรรม เพื่อใหต้ นบรรลุเปา้ หมาย (มาลี ยม้ิ พฒั น์, 2542 : 26)

34
การเจรญิ เตบิ โตของเซลล์สมอง

ภาพที่ 1.1 การพฒั นาของเซลล์สมอง ต้ังแต่หลงั ปฏสิ นธิจนถงึ 2 ปี (Leisman and MelIllo 2012)
สมองของมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์สมองประมาณร้อยล้านล้านเซลล์ (พัชรีวัลย์ เกตุแก่น

จันทร์, 2542 : 7) ซ่ึงเป็นจำนวนท่ีไม่แตกต่างกันระหวา่ งทารกแรกเกิดกับผู้ใหญ่ แต่ในผู้ใหญ่เซลล์สมอง
จะมีขนาดใหญ่และยาวกว่า และจะมีจำนวนเดนไดรท์ (dendrite) ของเซลล์สมองมากขึ้น ทำให้การ
เชื่อมโยงระหว่างเซลล์สมองมากขึ้น โดยเซลล์สมองเซลล์หนึ่ง ๆ จะเชอื่ มโยงไปยังเซลล์สมองเซลล์อนื่ ๆ
อีกสองหม่ืนห้าพันเซลล์เพื่อส่งข่าวสารกัน โดยกระแสประสาทจะเกิดปฏิกิริยาเรียก Synapse สุดแต่ว่า
จะเป็นด้านรับ-ส่งสัมผัสต่าง ๆ เช่น ปฏิกิริยาการเคล่ือนไหวกล้ามเนื้อ ความรู้สึกนึก ความจำ อารมณ์
ท้งั หลาย ฯลฯ จึงผสมผสานกันขนึ้ กลายเป็นการเรยี นรู้นำไปสู่การปรบั ตัวอย่างเฉลียวฉลาดของมนุษยแ์ ต่
ละคน (พชั รวี ลั ย์ เกตแุ ก่นจนั ทร์, 2542: 9)

35

ภาพที่ 1.2 การทำงานของสมองทั้งสองด้าน (สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ 2544: 3)
สมองซีกซ้ายและสมองซีกขวา สมองแบ่งออกเป็น 2 ซีก คือ สมองซีกซ้าย กับ สมองซีกขวา
สมองท้ังสองซีกทำงานพร้อมๆ กัน แต่ทำหน้าท่ีต่างกัน มีบางเร่ืองสมองซีกซ้ายเป็นผู้สั่งการอย่างเดียว
หรือสมองซกี ขวาสัง่ การอยา่ งเดยี ว แต่ไมว่ ่าจะสงั่ การโดยสมองซกี ใดมันจะหลอมเป็นความรู้สึกเดียวกันใน
ตัวคนเรา (นัยพินิจ คชภักดี, 2534: 18) เช่น สมองซีกซ้ายบันทึกความทรงจำด้านภาษา ส่วนสมองซีก
ขวาบันทกึ ความจำ ดา้ นภาพลักษณ์ (image) เม่ือไดย้ ินคำว่า “ดอกไม้ ไมด้ อก จมูก” คำเหลา่ นจ้ี ะเข้าสู่
สมองซีกซ้ายส่วนภาพลักษณ์จะเข้าสู่สมองซีกขวา นอกจากน้ัน รูปทรงของตัวอักษรของคำ “ดอกไม้ ไม้ดอก
จมกู ” จะเป็นภาพลักษณ์ชนิดหนงึ่ จะเข้าสสู มองซกี ขวาดว้ ย
สมองซกี ซ้าย มีการทำงานเกีย่ วขอ้ งกับการใช้เหตผุ ล คณิตศาสตร์ การคิดวิเคราะห์ การจดั ระบบ
ระเบียบ กิจกรรมทางด้านภาษา การเขียน ซ่ึงเป็นลักษณะการทำงานในสายวิทยาศาสตร์เป็นส่วนใหญ่
นอกจากน้ีสมองซีกซ้ายยังเป็นตัวควบคุมการกระทำ การฟัง การเห็น และการสัมผัสต่างๆ ของร่างกาย
ทางซกี ขวา (พินทุสร ตวิ ุตานนท์, ม.ป.ป.: 29)
ส่วนสมองซีกขวา ทำงานเกี่ยวกับกิจกรรมด้านสุนทรยี ศิลป์ ได้แก่ นาฏศิลป์ ศิลปะ ดนตรี
ด้านการรับรู้ในภาพรวมด้านจินตนาการความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ด้านอารมณ์ ด้านนามธรรม จริยธรรม
วัฒนธรรม ซ่ึงเป็นลักษณะการทำงานในสายศิลปศาสตร์เป็นส่วนใหญ่และยังเป็นตัวควบคุมร่างกายทาง
ซีกซา้ ย

36

จากการทำงานของสมองท้ังสองซีก เป็นอิสระแยกจากกัน แต่ห้องท้ังสองถูกเชื่อมโยงด้วย
เส้นใยประสาท และทำงานโดยมีการส่งสัญญาณให้แก่กันไปมา ดังน้ันการกระตุ้นหรือการพัฒนาสมองท่ี
ทำใหส้ มองมีการเติบโตพัฒนานั้นควรพฒั นาสมองให้เติบโตทั้งสองซีกอยา่ งสมดุลกัน เพราะสมองมีผลต่อ
การกำหนดความสามารถในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ รวมถึงมีผลต่อการกำหนดอุปนิสัยของมนุษย์ด้วย
เช่น หากในช่วงท่ีสมองซีกซา้ ยกำลังเจริญเติบโต เผอิญมาเกิดปัญหาขึ้นในช่วงน้ัน จนทำให้สมองซกี ซ้าย
ไม่เจริญเติบโต เด็กก็จะถูกกดพัฒนาการด้านคำนวณ ด้านภาษา ด้านความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ ฯลฯ
ในขณะเดียวกันถ้าสมองซีกขวาเกิดปัญหาในระหว่างการเจรญิ เติบโต จะทำให้บุคคลน้ันมีปัญหาด้านการ
จินตนาการ ศิลปะ อารมณ์ ในทางตรงกันข้ามหากสมองซีกขวาของเด็กคนใดได้รับการส่งเสริม
ค่อนข้างมาก การเจริญเติบโตเป็นปกติก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นจิตกร เป็นศิลปินหรือนักแสดง ฯลฯ
ข ณ ะ เดี ย ว กั น ถ้ า ส ม อ งซี ก ซ้ าย ข อ งเด็ ก เจ ริ ญ เติ บ โ ต ดี แ ล ะ ได้ รั บ ก าร ส่ งเส ริ ม ก็ มี แ น ว โ น้ ม ว่ า จ ะ เป็ น
นกั วิทยาศาสตร์ วิศวกร แพทย์ พนกั งานธนาคาร ทหาร ฯลฯ

นอกจากน้นั หากสมองดา้ นใดดา้ นหนึ่งได้รับการกระทบกระเทือน เช่น เกิดอาการเลือดคงั่ ใน
สมองซีกซ้าย จะทำให้เกิดการบกพร่องในการพูด ไม่สามารถพูดได้ดีอีก และหากเกิดขึ้นที่สมองซีกขวาก็
จะไม่สามารถสง่ สัญญาณไปยังกา้ นสมอง ทำให้เกิดความบกพรอ่ งในการกระทำข้ึนได้

อย่างไรก็ดี ไม่ได้หมายความว่า เราควรพัฒนาสมองซีกใดซีกหนึ่งเป็นพิเศษ เพราะหาก
พัฒนาสมองซีกซ้ายมากเป็นพิเศษ ก็อาจทำให้ใช้ความฉลาดไปในทางเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น เพราะ
จินตนาการไม่ออกว่าคนที่ถูกเอาเปรียบจะเป็นอย่างไร หรืออาจจะทำให้สังคมเราเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน
เอาชนะ เอาเปรียบกันด้วยความฉลาด ไร้คุณธรรม เพราะไม่มีสมองซีกขวาท่ีจะเน้นในเรื่องความรัก ความเข้าใจ
หรือคุณธรรม แต่ขณะเดียวกันถ้ามีสมองซีกขวาอย่างเดียว ประเทศก็ล่มจมเหมือนกัน เพราะมีแต่คนพูด
เร่ืองคุณธรรม แต่ไม่รจู้ ักทำมาหากิน ไม่รู้จักการส่งออกว่าจะทำอย่างไร คา้ ขายไมเ่ ป็น (นัยพินิจ คชภักดี,
2534 : 19 -20)

37

1.2.2 ปัจจยั สง่ เสรมิ การพัฒนาของสมอง
ปจั จัยส่งเสริมการพฒั นาของสมอง มดี งั น้ี

พันธุกรรม อาหาร สง่ิ แวดลอ้ ม

การพัฒนาการของสมอง
การพัฒนาการของสมอง
พัฒนาการของพฤติกรรม

ภาพท่ี 1.3 ปจั จยั ส่งเสรมิ การพฒั นาของสมอง (นยั พนิ ิจ คชภักดี, 2534 : 26)

1) พนั ธกุ รรม เนื่องด้วยมนษุ ยไ์ ด้รับการถา่ ยทอดทางพันธกุ รรมจากพ่อแม่ ดังนนั้ สมองจึงมี
ส่วนมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่ มีหลักฐานจากการศึกษาว่า คู่แฝดท่ีถูกแยกไปเล้ียงในครอบครัวที่
แตกต่างกัน สถานท่ีต่างกัน เมื่อโตขึ้นทั้งคู่จะมีสติปัญญาใกล้เคียงกัน อุปนิสัย ความถนัด ความสามารถ
ในด้านเดียวกนั ฯลฯ ซ่งึ เปน็ หลักฐานสนับสนุนว่าพันธกุ รรมมีผลต่อการพฒั นาของสมอง

2) อาหาร เป็นส่ิงที่ร่างกายใช้ในการเจริญเติบโต การสร้างเซลล์ใหม่หรือขยายเซลล์ใน
ร่างกายจำเป็นต้องใช้สารอาหาร เม่ือร่างกายขาดสารอาหารนอกจากมีผลทางร่างกายแล้วยังมีผลต่อการ
พัฒนาสมองด้วย ผลกระทบที่เกิดกับสมองของเด็กที่เป็นโรคขาดสารอาหารทำให้เซลล์ประสาทไม่ได้รับ
สารอาหารที่เพียงพอต่อการพัฒนาของเซลล์สมองหรือหยุดการเจริญเติบโตส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการ
ทางด้านสมองชา้ อาจจะนำไปสู่ภาวะบกพรอ่ งทางสตปิ ัญญา (นัยพนิ จิ คชภกั ดี, 2534: 27)

38

ภาพท่ี 1.4 การเปรียบเทยี บเซลล์สมองของเด็กขาดสารอาหารและเด็กปกติ (นัยพนิ ิจ คชภักดี, 2534 : 26)
3) สิ่งแวดล้อม มีการทดลองท่ีทำการทดลองกับสัตว์ เพื่อนำผลมาสนับสนุนว่า

ส่ิงแวดล้อมมีผลต่อการพัฒนาสมองของสัตว์ เช่น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ประกอบด้วย
มาร์คโรเซนไวท์ (Mark Rosenweiz) มารีแอน ไดมอนด์ (Marian Diamond) และเอดเวริด เบนเนท
(Edward Bennett) ได้นำหนมู าคอกหนง่ึ แล้วแบ่งเป็น 3 กลุ่ม

กล่มุ แรก เอามาขังกรงเดี่ยวในกรงเหล็กที่ขังสัตว์ธรรมดา มีกระบอกข้าว กระบอกน้ำ
ใหม้ อี าหารกิน แตไ่ มม่ ีส่ิงกระตุ้น

กล่มุ ที่สอง ใส่หนูลงในกรงๆ ละ 3 - 4 ตัว ให้อาหารและน้ำเช่นเดียวกับกลุ่มแรก แต่มี
เพือ่ นเล่น

กลุ่มท่ีสาม ในกรงใส่ของเล่น ได้แก่ เศษกระดาษ ด้าย เชือก ลูกบอล ให้อาหารและน้ำ
เช่นเดยี วกบั กลมุ่ แรก

เมื่อเลี้ยงหนูไปได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ก็นำหนูมาทดสอบความเฉลียวฉลาด โดยนำมา
ทดสอบทางว่ิงแล้วให้เลือกทางวิ่งดูว่ามันแก้ปัญหาได้หรือไม่ โดยทำให้หนรู ู้ว่าตอ้ งวง่ิ ทางน้ีถงึ ได้รางวลั คือ
อาหาร วิ่งทางนี้ถูกทำโทษคือ ถูกช็อตด้วยไฟฟ้า ปรากฏว่าหนูท่ีมาจากกรงที่มีส่ิงเร้าอย่างพร้อมเพรียง
หรือกลุ่มท่ี 3 ฉลาดกว่าหนูกรงอ่ืนๆ มาก ส่วนกรงท่ี 2 ยังพอมีอาการปกติ แต่ตัวที่ถูกขังเดี่ยวมีความ
ว้าเหว่และการเรยี นร้ลู ดลงเหลือแค่ 30 – 40% เทา่ น้นั เองคอื ไม่ปกติ

39

จากนั้นนักวิทยาศาสตร์กลุ่มน้ี ได้เอาสมองของหนูทั้ง 3 กรงมาช่ังน้ำหนัก ปรากฏว่ามี
น้ำหนักทางสมองแตกต่างกันไม่มากนัก แต่เมื่อนำเน้ือสมองของหนูท้ัง 3 กลุ่มไปตัดออกเป็นชิ้น ๆ ส่องดู
ด้วยกล้องจุลทรรศน์ เพ่ือดูว่าก่ิงก้านของสมองที่ยื่นออกไปนั้นสั้นหรือยาว และสามารถส่งไปไกลจน
สามารถติดต่อกับเซลล์อื่น ๆ ได้หรือไม่ รวมท้ังมีจำนวนเส้นประสาทแตกต่างกันหรือไม่ ปรากฏว่าเซลล์
และประสาทสมองของหนูท้ัง 3 กลุ่มน้ีแตกต่างกันอย่างชัดเจน หนูตัวที่ถูกเล้ียงในส่ิงแวดล้อมท่ีมีการ
กระตุ้นอย่างดี เซลล์สมองจะมีปลายประสาทย่ืนออกไปไกลจนสามารถติดต่อกับปลายประสาทอื่น ๆ
และแตกกิง่ ก้านสาขาออกไปไดส้ มบรู ณ์

ผลการทดลองนี้ จึงอาจสรุปได้ว่า สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลทำให้สมองเกิดการพัฒนาและ
เปล่ียนแปลงได้ มีผลต่อความเฉลียวฉลาด ประสิทธิภาพของพฤติกรรมและการสร้างเซลล์ประสาทใน
สมอง แต่อย่างไรก็ตามการทดลองน้ีก็ยังมีข้อถกเถียงว่ายังไม่หนักแน่นพอท่ีจะตอบได้ว่าส่ิงแวดล้อมมีผล
อย่างไร อะไรท่ีเป็นตัวกระตุ้นทำให้มีการสร้างเซลล์สมองกันแน่ การมีเพื่อน การเล่น หรือการออกกำลัง
จากขอ้ โต้แย้งดงั กล่าวทำใหม้ ีการทดลองในข้ันต่อไป

นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษช่ือ คอลลิน เบลคมอร์ (Collin Blackemore) ได้ทำการวิจัย
เพ่ือต้องการท่ีจะทราบว่าส่ิงเร้าหรือตัวกระตุ้นมีผลต่อการกำหนดวงจรประสาทได้แค่ไหน เขาได้ทำการ
ทดลองโดยเอาลูกแมวท่ีเกิดใหม่ ๆ ท่ีมาจากลูกแมวครอกเดียวกัน 3 - 4 ตัว ซ่ึงไม่มีความแตกต่างทาง
พนั ธุกรรมเลย กลุ่มหน่ึง เอาไปเลย้ี งในห้องท่ีทาด้วยสีขาวและสีดำใหเ้ ปน็ แถบสีในแนวนอน และเลี้ยงใน
ห้องปกติท่ีมีอุปกรณ์ทุกอย่าง เช่น มีภาพ มีของเล่น อาหาร ฯลฯ ส่วนกลุ่มสอง เล้ียงในห้องท่ีมี
สภาพแวดล้อมไมแ่ ตกต่างจากกล่มุ แรก เพียงแตท่ าสีห้องดว้ ยสีขาวและสีดำให้เปน็ แถบสใี นแนวต้ังเท่านั้น
ส่วนคานและอะไรท่ีเป็นขอบในแนวนอนจะถูกลบไม่ให้เห็น ฉะน้ันในห้องน้ีเมื่อแมวมองไปทางไหน
จะเห็นภาพในแนวต้ังขาวกับดำเหมือนมองเห็นแต่เสาเท่านั้น ไม่เห็นขอบเลย ส่วนอีกห้องหน่ึงเลี้ยงอยู่ใน
ห้องทีม่ แี ต่ขอบอย่างเดียว คอื เห็นแตส่ ิง่ ทมี่ แี นวนอนหมดเลย

หลังจากเล้ียงลกู แมวต้ังแต่แรกเกิดจนกระท่ังประมาณ 50 วัน แล้วเอาลูกแมวมาเดินบนโต๊ะ
ตามสภาพแวดล้อมภายนอก โดยปล่อยให้มันเดินไปเดินมา พบว่าแมวท่ีเลี้ยงในห้องที่มีภาพในแนวตั้ง
ถ้าเอาเสาหรือของที่มีลักษณะเป็นแท่งไปวางบนโต๊ะ พอมันเดินมาถึงเสามันจะเดินอ้อมมาเป็นอย่างดี
แตพ่ อมันเดนิ มาถงึ ขอบโตะ๊ มันจะไมเ่ หน็ แลว้ จะเดินตกโตะ๊ ลงไปเหมอื นกับมนั ไมเ่ คยมองเห็นมาก่อน

เช่นเดียวกับแมวกลมุ่ ทเ่ี ล้ยี งในภาพแนวนอน ถ้าเดินบนโต๊ะแล้วมีเสาหรอื อะไรท่ีเปน็ แนวตั้ง
วางอยู่ แมวจะเดินชนไปเลยเหมือนกบั ว่ามองไม่เหน็ เช่นกนั แต่เม่ือเดินมาถึงขอบโต๊ะมนั จะหยุด รู้ว่าเป็น
ขอบโต๊ะแลว้ จะไมเ่ ดนิ ตกลงไป

40

เบลคมอร์ เอาแมวพวกน้ีไปวัดสัญญาณประสาทในสมอง พบว่า สมองของแมวที่เลี้ยงใน
ส่ิงแวดล้อมแนวตั้ง จะมีเซลล์ประสาทท่ีตอบสนองต่อสัญญาณภาพในแนวต้ังเท่าน้ัน จะไม่มี เซลล์
ประสาทท่ีตอบสนองต่อภาพท่ีฉายเข้าไปในตาท่ีเป็นแนวนอนเลย และเช่นเดียวกันแมวอีกกลมุ่ หนงึ่ กเ็ ป็น
เช่นนัน้ คือไม่มเี ซลล์ประสาททีต่ อบสนองต่อส่ิงท่ีเปน็ แนวต้งั เลย (นัยพนิ ิจ คชภักดี, 2534: 29 -32)

จากการทดลองกับสัตว์ให้ผลยืนยันว่า สิ่งแวดล้อมน้ันมีผลต่อการพัฒนาการทางสมองและ
ในมนษุ ย์ก็เชน่ เดยี วกนั สิ่งแวดลอ้ มสามารถกระตุ้นพัฒนาการของสมองได้เช่นกัน

ดังน้ันพันธุกรรม อาหาร และสิ่งแวดลอ้ ม เปน็ ปจั จัยสง่ เสริมการพัฒนาของสมองในส่วนของ
พันธุกรรมนั้นเป็นสิ่งท่ีติดตัวมาแล้วตั้งแต่เกิดไม่สามารถปรับปรุงเปล่ียนแปลงแก้ไขได้ คงเหลือแต่ปัจจัย
อีก 2 อย่างคือ อาหาร และส่ิงแวดล้อม ท่ีเป็นปัจจัยท่ีมนุษย์สามารถปรับปรุง เปล่ียนแปลง และแก้ไข
เพอื่ นำมาให้เป็นประโยชน์ตอ่ การสง่ เสริมการพฒั นาของสมองได้

1.3 ทักษะการคดิ และลกั ษณะการคดิ
ทักษะการคิด คือ ความสามารถในการคิดท่ีเป็นพื้นฐานของการคิดระดับสูง ทักษะของการคิด

มมี ากมายหลายทักษะ เชน่ การจำแนก การแยกแยะ การขยายความ การสรุป การคิดริเรมิ่ เปน็ ต้น
ลักษณะการคิด คือ รูปแบบของการคิดท่ีประกอบด้วยทักษะการคิดหลายๆ ทักษะ ลักษณะการคิด

แต่ละลักษณะประกอบด้วย ทักษะการคิดท่ีแตกต่างกัน ทำให้จุดมุ่งหมายของการคิดแตกต่างกันไป
ลักษณะการคดิ ไดแ้ ก่ การคดิ กวา้ ง การคดิ ละเอียดลึกซ้ึง การคดิ ไกล เป็นตน้

ทักษะการคิดและลกั ษณะการคดิ ที่สำคัญ ทีม่ ักใช้เป็นประจำในชีวิตประจำวนั ได้แก่
1.3.1 การคิดคลอ่ งและคดิ หลากหลาย

การคิดคล่องและคิดหลากหลาย เป็นความสามารถท่ีจะคิดในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่งหรือ
ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หน่ึง ได้ผลการคิดจำนวนมาก รวดเร็ว ตรงประเด็น และมีความหลากหลาย
สามารถแตกแยกเป็นหลายแขนง หลายกลมุ่ หลายลักษณะ หลายประเภท หรอื หลายรูปแบบ

1.3.2 การคดิ วิเคราะห์และคดิ ผสมผสาน
การคิดวิเคราะห์ เป็นการแบ่งหรือแยกแยะส่ิงที่สนใจ หรือสิ่งที่ต้องการศึกษาออกเป็น

ส่วนย่อยๆ หรือออกเป็นแง่มุมต่างๆ แล้วทำการศึกษาส่วนย่อยๆ น้ันอย่างลึกซ้ึง การวิเคราะห์จะทำให้
เกิดความเข้าใจหรือความรู้เกี่ยวกับส่ิงท่ีสนใจ หรือสิ่งท่ีต้องการศึกษาได้มากข้ึน และสามารถค้นพบ
ส่ิงต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้นได้งา่ ยขึ้น

การคิดผสมผสาน เป็นการรวมความรู้ย่อย หรือผลจากการวิเคราะห์ให้เป็นข้อมูลใหม่
ข้อสรปุ ใหม่ กระบวนการใหม่ หรือส่งิ ประดษิ ฐใ์ หม่ เพื่อนำไปใช้ประโยชนใ์ นรปู แบบใหมไ่ ด้มากข้นึ

41

1.3.3 การคดิ ริเร่ิม
การคิดริเริ่ม เป็นการคิดที่ให้ผลการคิดที่มีความแปลกใหม่แตกต่างไปจากความคิดของคนทั่วๆ ไป

มลี ักษณะหรือมุมมองไม่เหมอื นผอู้ ่ืน เปน็ การนำความรู้เดมิ มาดัดแปลงใหเ้ ปน็ ความคดิ ใหม่ซึ่งไม่ซ้ำกับใคร
1.3.4 การคดิ ละเอียดรอบคอบ
การคิดละเอียดรอบคอบ เป็นการคิดท่ีให้ผลการคิดที่มีรายละเอียดท้ังส่วนที่เป็นหลักของ

เรอ่ื งที่คดิ และส่วนที่เป็นองค์ประกอบยอ่ ยของหลักที่คิด รวมถึงการคิดท่ีชดั เจน โดยสามารถอธิบายเรอื่ ง
ที่ตนเองคิด หรือยกตัวอย่างท่ีสอดคล้องกับเรื่องที่ตนเองคิดได้ และในกรณีการคิดเกี่ยวกับการปฏิบัติ
จะสามารถบอกขน้ั ตอนการปฏิบตั ิได้

1.3.5 การคดิ อยา่ งมีเหตผุ ล
การคิดอย่างมีเหตุผล เป็นการคิดท่ีอ้างอิงหลักฐาน มาสนับสนุนเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้อง

โดยสามารถอ้างหลกั ฐานและอธิบายหรอื บอกความสัมพันธร์ ะหว่างหลักฐานที่อา้ งกับขอ้ สรุปได้
1.3.6 การคดิ กว้างและรอบคอบ
การคิดกว้างและรอบคอบ เป็นคิดทค่ี รอบคลุมถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเร่ืองที่คิดในทุกด้านทกุ แง่

ทุกมุมท่ีเกี่ยวข้องกับเรื่องน้ัน ไม่คิดเฉพาะเรื่องที่มาเก่ียวข้องกับตัวเอง หรือเร่ืองที่เป็นผลประโยชน์ของ
ตวั เอง

1.3.7 การคดิ ไกล
การคิดไกล เป็นการคิดถึงส่ิงที่จะเกิดข้ึนในอนาคต ซ่ึงอาจเป็นผลท่ีเกิดข้ึนจากการกระทำ

ในปจั จุบนั หรอื เปน็ จุดประสงค์ หรือจดุ มุ่งหมายทีต่ อ้ งการให้เกิดข้นึ ในอนาคต
1.3.8 การคดิ ลึกซึ้ง
การคิดลึกซ้ึง เป็นการคิดท่ีทำให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง และลึกซึ้งเก่ียวกับเรื่องที่คิด

โดยสามารถเข้าใจสภาพต่างๆ ท่ซี บั ซ้อน ทง้ั ในภาพรวมและสว่ นประกอบยอ่ ยของเรอื่ งทีค่ ิดได้
1.3.9 การคิดดี คิดถูกทาง
การคิดดี คิดถูกทาง เป็นการคิดท่ีตรงจุดมุ่งหมาย คิดในแง่ท่ีดีท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเอง

ตอ่ สว่ นรวม ทั้งในระยะสน้ั และระยะยาว
1.4 การพฒั นากระบวนการคดิ รปู แบบตา่ ง ๆ

กระบวนการคิด หมายถึง รูปแบบการคิดท่ีมีข้ันตอนของการคิดเป็นลำดับขั้น ในแต่ละข้ันตอน
ของการคิดต้องใช้ทักษะการคิดหรือลักษณะการคิดหลาย ๆ แบบมาประกอบกัน การปฏิบัติการการคิด
ตามลำดับข้ันตอนของการคดิ แต่ละแบบ ช่วยให้การคิดในเรื่องต่าง ๆ มปี ระสิทธิภาพมากขนึ้ และประสบ
ความสำเรจ็ ในการคดิ ได้มากขน้ึ กระบวนการคิดมีหลายรูปแบบทสี่ ำคัญ ไดแ้ ก่

42

1.4.1 การคิดสร้างสรรค์
การคิดสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการคิดท่ีให้ผลการคิดท่ีเป็นสิ่งแปลกใหม่ มีประโยชน์ มี

คุณค่า ผลการคิดอาจออกมาในรูปของประดิษฐ์กรรมใหม่ แนวทางในการแก้ปัญหาแบบใหม่
กระบวนการผลิตใหม่ ทางเลอื กใหม่ เป็นตน้

องคป์ ระกอบของความคดิ สรา้ งสรรค์
โดยท่วั ไปเมอ่ื กล่าวถงึ ความคิดสร้างสรรค์ มักเข้าใจและมุง่ เนน้ ไปท่ีความคิดริเร่ิม ซ่งึ แทท้ ่ีจริงแล้ว
ความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วยลักษณะความคิดอื่น ๆ ด้วยมิใช่เพียงแต่ความคิดริเริ่มเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามความคิดริเริ่มก็จัดเป็นลักษณะสำคัญท่ีทำให้เกิดการเร่ิมต้นขึ้น แต่ความสำเร็จของการ
สรา้ งสรรค์ ก็จำต้องอาศัยลักษณะความคดิ อื่นๆ ประกอบด้วย
จากทฤษฎีโครงสร้างทางสติปัญญาของกิลฟอร์ด (Guilford) ได้อธิบายว่าความคิด
สร้างสรรค์เป็นความสามารถทางสมองที่คิดได้กว้างไกลหลายทิศทางหรือเรียกว่าลักษณะการคิดอเนกนัย
หรือการคดิ แบบกระจาย (divergent thinking) ซ่งึ ประกอบด้วย
1) ความคดิ ริเริ่ม (originality)
2) ความคดิ คล่องตวั (fluency)
3) ความคดิ ยืดหย่นุ หรือความยืดหยุ่นในการคดิ (flexibility)
4) ความคิดละเอยี ดลออ (elaboration)

1) ความคิดริเริ่ม หมายถึง ลักษณะความคิดแปลกใหม่ แตกต่างจากความคิดธรรมดา
หรือความคดิ ง่ายๆ ความคิดริเร่ิม หรอื ท่ีเรยี กว่า wild idea ซึง่ เป็นความคิดที่เป็นประโยชน์ท้ังตอ่ ตนเอง
และสงั คม

ความคิดริเร่ิม อาจเกิดจากการนำเอาความรู้เดิมมาคิดดัดแปลงและประยุกต์ให้เกิดเป็นสิ่งใหม่
เชน่ การคดิ เครอ่ื งบนิ ไดส้ ำเร็จ ก็ได้แนวคิดจากการทำเคร่อื งรอ่ น เปน็ ต้น

ความคิดริเร่ิมจึงเป็นลักษณะความคิดท่ีเกิดข้ึนเป็นครั้งแรก เป็นความคิดที่แปลกแตกต่าง
จากความคิดเดิม และอาจไม่เคยมีใครเคยนึกหรือคิดถึงมาก่อน ความคิดริเริ่มจำต้องอาศัยลักษณะความ
กล้าคิด กล้าลอง เพ่ือทดสอบความคิดของตน บ่อยคร้ังท่ีความคิดริเร่ิมจำเป็นต้องอาศัยความคิด
จินตนาการ คิดเร่ืองและคิดฝันจากจินตนาการหรือท่ีเรียกว่าเป็นความคิดจินตนาการประยุกต์คือ ไม่ใช่
คิดเพียงอย่างเดยี ว แต่จำเปน็ ต้องคดิ สร้างและหาทางทำให้ได้ผลงานดว้ ย ดังนั้นความคิดจนิ ตนาการและ
ความพยายามท่ีจะสร้างผลงานจึงเป็นสิ่งคู่กัน ตัวอย่างเช่น เคยมีผู้กล่าวว่าคนที่คิดอยากจะบินน้ัน

43

ประหลาด และไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ต่อมาพ่ีน้องตระกูลไรท์ก็สามารถคิดประดิษฐ์เครื่องบินได้สำเร็จ
เป็นต้น

บาเร็ต (Bartlett, 1958) ได้ศึกษาค้นคว้าเร่ืองลักษณะความคิดริเริ่มและสรุปได้ว่า
ความคิดริเริ่มเป็นความคิดท่ีน่าตื่นเต้น หรือที่เขาเรียกว่า “adventurous thinking” ซ่ึงเป็นความคิด
แตกออกไปจากความคิดเก่าหรือความคิดเดิม หรือจากแบบพิมพ์และนำไปสู่ความคิดใหม่ โดยอาศัย
ความไม่มีอคติ หรือไม่ปิดบังและสกัดกั้นความคิด แต่ยอมเปิดรับความคิดและประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่ง
นำไปสคู่ วามคิดที่ไมซ่ ำ้ กับความคดิ เดิม

ซิมป์สัน (Simpson, 1922) ก็ได้กล่าวว่าความคิดริเริ่มของบุคคลจัดเป็นความสามารถของ
สมองทพี่ ยายามคิดให้แตกต่างไปจากกระสวนเดมิ เพ่อื นำไปสู่ความคิดใหม่ ๆ

ทอแรนซ์ (Torrance, 1962) ก็อธบิ ายเพ่มิ เติมว่าความคดิ ริเริ่มเปน็ กระบวนการทางสมองที่
สามารถคิดใหแ้ ตกต่างไปจากสิ่งธรรมดา หรอื สิง่ ที่เกดิ ข้ึนแล้ว

สตาคเวตเตอร์ (Starkweather, 1962) ก็กล่าวสนับสนุนว่าความคิดริเร่ิมเป็นลักษณะ
ความคิดท่ีไม่ยอมคล้อยตามความคิด (non–conformity) ของผู้อื่นอย่างง่ายดาย จนกว่าจะมีเหตุมีผล
พอควรและพรอ้ มกันน้นั กย็ งั สามารถขยายความคดิ ของผูอ้ นื่ ให้เด่นชดั และมีน้ำหนักขึ้นอีกดว้ ย

พฤติกรรมด้านความคดิ ริเร่ิม
ลกั ษณะของบุคคลท่ีมีความคิดริเรม่ิ สรุปจากการศึกษาค้นคว้าก็พบว่า คนที่มีความคิดริเร่ิม
มกั ไม่ชอบความจำเจ ซ้ำซาก แต่จะชอบปรับปรุงและเปลยี่ นแปลงใหง้ านของเขามชี ีวติ ชีวา และมีความ
แปลกใหม่กว่าเดิม เขาจะเป็นบุคคลท่ีมีความศรัทธาที่จะทำงานที่ ค่อนข้างยากซับซ้อน อาศัย
ความสามารถสูงให้สำเร็จได้ และเขาจะเป็นบุคคลที่มุ่งมั่นและมีสมาธิแน่วแน่ในงานของตน โดยไม่เห็น
แก่สินจ้างและรางวัล แต่เป็นการทำงานท่ีเกิดจากแรงจูงใจภายใน หรือความศรัทธาและพอใจที่จะ
ทำงานนนั้ ๆ
พฤติกรรมของบุคคลทีม่ ีความคดิ ริเร่มิ มกั เป็นบคุ คลที่กลา้ คิดกล้าแสดงออก กล้าทดลอง กลา้ เส่ยี ง
และเล่นกับความคิดของตน เขาจึงเป็นบุคคลท่ีมีเอกลักษณ์ของตนเองและมีความเช่ือม่ันในตนเอง จะ
ไม่ขลาดกลัวตอ่ ส่ิงท่ีลึกลบั ประหลาด หรอื คลุมเครือ แต่กลับย่วั ยุและทา้ ทายให้อยากลอง และรสู้ ึกพอใจ
และตื่นเตน้ ท่ีจะเผชญิ กับสิง่ เหล่าน้ัน จดั วา่ เป็นบคุ คลทมี่ ีสุขภาพจิตดที เี ดยี ว
นอกจากน้ัน ไวสเบอร์กและสปริงเกอร์ (Weisberg and Springer. 1961) ได้อธิบาย
เพิ่มเติมผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยลักษณะพฤติกรรมของเด็กว่า เด็กท่ีมีความคิดริเร่ิมสูงจะมีความรู้สึกท่ี
ดีเก่ียวกับตนเองมักเป็นเด็กที่ระลึกส่ิงต่างๆ ได้ง่าย เป็นคนมีอารมณ์ขัน มีความเป็นอิสระ มีความรู้สึกไว
ชา่ งสงั เกต

44

มีความคิดแปลกใหม่ ชอบการผจญภัย เส่ียงชอบทดลอง มีนิสัยอยากรู้อยากเห็น กระหาย
ใคร่รู้อยู่เสมอ ไมย่ อมคล้อยตามความคดิ ของคนอนื่ ๆ อย่างง่าย(non – conformist)

การพัฒนาใหม้ คี วามคิดรเิ ร่ิมมากขน้ึ สามารถพัฒนาได้หลายรูปแบบ เชน่
- การฝึกจนิ ตนาการ
- ฝกึ ให้มมี ุมมองหลากหลาย
- ฝึกหาทางเลือกหลากหลาย
- ฝึกผสมผสานความคดิ
- ฝึกคดิ ออกนอกกรอบ ความคดิ ปกติ
- ฝึกคิดปรับปรุงสงิ่ ที่มอี ยู่
ตวั อยา่ งท่ี 1.1 คำถามเพ่อื ฝึกจินตนาการ ได้แก่
1. ถ้าเสือพบรถยนต์ จะพูดคยุ กันว่าอย่างไร
2. อกี 10 ปีข้างหน้า โทรศพั ทน์ ่าจะมีรูปรา่ งและลักษณะการใชเ้ ป็นอย่างไร
3. ถ้าทา่ นพบกบั นายกรฐั มนตรีโดยบงั เอญิ ท่านจะพดู อะไรกับท่านนายก ฯ
4. ถา้ ท่านถกู สลากกินแบง่ ของรฐั บาลรางวลั ที่ 1 สิ่งท่ีทา่ นไม่อยากทำมากทีส่ ดุ 3 อนั ดบั แรก
5. จะเกิดอะไรขนึ้ ถ้า……………..……

ตวั อย่างที่ 1.2 คำถามเพอื่ ฝกึ ใหม้ มี ุมมองหลากหลาย
1. ทำไมต้องมีการโกงการเลอื กตงั้
2. ทำไมชาวนาจึงยากจน
3. มองรปู นเี้ ปน็ รูปอะไรไดบ้ า้ ง

45

ตัวอย่างที่ 1.3 ปัญหาเพือ่ ฝึกใหห้ าทางเลือกหลากหลาย
1. งานแตง่ งานทไ่ี มม่ เี จ้าสาว
2. วธิ ีการอน่ื ๆ ในการตอบแทนพนักงานทนี่ อกเหนือจากเพ่มิ เงินเดอื น และการใหเ้ งินโบนสั
3. นกั ศึกษามสี ่วนชว่ ยสรา้ งเกียรติภูมิให้กบั สถาบนั ไดอ้ ย่างไรบ้าง
4. ลองช่วยกันแกป้ ญั หา ในกรณี “โรงเรยี นไมม่ ีคร”ู

ตัวอย่างท่ี 1.4 คำถามเพ่ือฝกึ คิดออกนอกกรอบ ความคิดปกติ
1. สรา้ งรถจกั รยานสำหรับคนไม่มีแขน
2. นาฬกิ าสำหรบั คนตาบอด
3. วางวัตถุ 3 ช้ินให้ห่างจากกันเท่ากัน เม่ือวางได้แล้วให้เพิ่มอีก 1 ช้ิน รวมเป็น 4 ช้ิน

วางวัตถุ 4 ชิน้ น้ใี ห้แต่ละชิ้นอยูห่ า่ งจากชิ้นอนื่ ๆ อีก 3 ชน้ิ เท่ากัน
4. ใหล้ ากเส้นตรง 4 เส้น ท่ีตอ่ กนั ให้ผา่ นจดุ 9 จดุ ทกี่ ำหนดให้

ตวั อยา่ งที่ 1.5 สถานการณ์เพือ่ นำมาฝึกคดิ ปรบั ปรุงสงิ่ ท่มี ีอยู่
1. การแขง่ ขันกฬี า
2. การแตง่ กายของนักศึกษา
3. การเรยี นการสอนในสถาบัน
4. การเลือกตง้ั

2) ความคิดคล่องตัว หมายถึง ปริมาณความคิดที่ไม่ซ้ำกันในเรื่องเดียวกัน โดยแบ่ง
ออกเปน็

(1) ความคิดคล่องแคล่วทางด้านถ้อยคำ (word fluency) เป็นความสามารถในการ
ใช้ถอ้ ยคำอยา่ งคลอ่ งแคลว่ นน่ั เอง

(2) ความคิดคล่องแคล่วทางด้านการโยงสัมพันธ์ (associational fluency) เป็น
ความสามารถที่จะคดิ หาถ้อยคำทเ่ี หมือนกันหรือคลา้ ยกนั ไดม้ ากที่สดุ เท่าท่ีจะมากไดภ้ ายในเวลาที่กำหน

46

(3) ความคล่องแคล่วทางด้านการแสดงออก (expressional fluency) เป็นความสามารถ
ในการใช้วลีหรือประโยค กล่าวคือ สามารถท่ีจะนำคำมาเรียงกันอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ประโยคท่ีต้องการ
จากการวิจัย พบว่าบคุ คลทม่ี คี วามคลอ่ งแคล่วทางด้านการแสดงออกสูงจะมีความคดิ สรา้ งสรรค์สูง

(4) ความคล่องแคล่วในการคิด (ideational fluency) เป็นความสามารถท่ีจะคิดส่ิงที่
ต้องการภายในเวลาท่ีกำหนด เช่น ให้คิดหาประโยชน์ของก้อนอิฐมาให้ได้มากท่ีสุดภายในเวลาท่ี
กำหนดให้ ซึ่งอาจเปน็ 5 นาที หรือ 10 นาที

ความคล่องแคล่วนับว่าเป็นความสามารถอันดับแรกในการที่จะพยายามเลือกเฟ้นให้ได้
ความคิดที่ดีและเหมาะสมท่ีสุด ก่อนอื่นจึงจำเป็นต้องคิด คิดออกมาให้ได้มาก หลายอย่าง และแตกต่างกัน
แล้วจึงนำเอาความคิดท่ีได้ทั้งหมดมาพิจารณา แต่ละอย่างเปรียบเทียบกันว่าความคิดอันใดจะเป็น
ความคิดท่ีดีที่สุด และให้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด โดยคำนึงถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณา เช่น ประโยชน์ท่ใี ช้เวลา
การลงทุน ความยากง่าย บุคลากร เป็นตน้

ความคิดคล่องตัว นอกจากจะช่วยให้เด็กได้เลือกคำตอบท่ีดีและเหมาะสมท่ีสุดแล้วยัง
ช่วยจัดหาทางเลือกอ่ืน ๆ ที่อาจเป็นไปได้ให้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในการแก้ปัญหาใด ๆ ก็ตาม เรา
มักจะพยายามทำวิธีการแก้หลาย ๆ วิธี โดยเราให้โอกาสในการเลือกเป็นอันดับลงมา เช่น ถ้าเราไม่
สามารถทำได้อย่างวิธีที่ 1 วิธีท่ี 2 ก็อาจนำมาทดลองใช้ได้ หรือวิธีที่ 3 ก็ยังเป็นท่ีน่าสนใจ ถ้าวิธีท่ี 2
ไม่สามารถแก้ได้ เหล่าน้ีเป็นต้น ความคิดคล่องแคล่ว นอกจากช่วยให้มีข้อมูลมากพอในการเลือกแล้ว
ยงั มีช่องทางอื่นท่ีเป็นไปได้ให้เลือกอีกด้วย จึงนับได้วา่ ความคิดคล่องตัวเป็นความสามารถเบ้ืองต้นที่จะ
นำไปสู่ความคิดทม่ี คี ณุ ภาพ หรอื ความคิดสรา้ งสรรคน์ ั่นเอง

การพัฒนาความคิดคล่องและคิดหลากหลาย สามารถปฏิบัติได้โดยการต้ังปัญหาหรือ
สถานการณ์ท่ีเป็นปัญหา แล้วฝึกตอบให้ได้คำตอบมากที่สุดในเวลาที่จำกัด และคำตอบนั้นต้องอยู่ใน
ประเด็นของคำถาม โดยทั่วไปจะใช้การคิดให้หลากหลายก่อน แล้วตามด้วยคำตอบที่เป็นรายละเอียดจะ
ชว่ ยใหค้ ิดคลอ่ งมากข้ึน

47

ตัวอยา่ งท่ี 1.6 ให้บอกประโยชน์ของก้อนอฐิ ให้มากทส่ี ดุ

คำตอบ สร้างบ้าน สร้างกำแพง สร้างผนังตึก สร้างกระท่อม ก่อเป็นท่ีปลูกต้นไม้ สร้างเตาใช้แทนค้อน
ตอกตะปู ใช้ตอกไม้ลงดิน ใช้ทับกระดาษกันลมพัด ใช้ทับผ้ากันลมพัด ใช้ขว้างไล่สุนัข ใช้ขว้างไล่สัตว์
ใช้ใส่ในโถน้ำเพื่อเพิ่มระดับน้ำ ใช้ประดับในตู้ปลา ใช้ทำลวดลายประดับบ้าน ทุบเป็นก้อนเล็กๆ ปลูกต้น
กลว้ ยไม้ ใช้รองวตั ถุให้สูงขน้ึ ใช้ในงานศิลปะ ใช้ถ่วงแทนต้มุ นำ้ หนัก

จะเห็นว่ามีคำตอบ 20 คำตอบ ถ้ามีคำตอบมากแสดงว่าคำตอบมาจากความคิดคล่องมาก
สว่ นในคำตอบนี้ถ้าจำแนกประเภทคำตอบจะได้หลายประเภท เช่น ใช้ในการก่อสร้าง ใช้แทนค้อน ใช้ทำ
ท่ที ับวตั ถุ ใช้เป็นอาวุธ ใช้ในงานศิลปะ เป็นตน้ ถ้าคำตอบมีหลายประเภทมากข้ึนแสดงว่าคำตอบมาจาก
ความคิดหลากหลายมากข้ึน

การคิดคล่องตัว เปน็ กระบวนการพื้นฐานในการท่ีจะไดค้ วามคิดท่ดี ที ี่เหมาะสม เพราะทำให้
ได้ความคิดจำนวนมากทีแ่ ตกตา่ งกนั ทำให้มตี วั เลอื กหรอื ทางเลือกซ่ึงเป็นความคดิ ทีด่ ที ่ีเหมาะสมมากขึน้

3) ความคิดยดื หยนุ่ หมายถงึ ประเภท หรอื แบบของความคิด แบง่ ออกเป็น
(1) ความคิดยืดหยุ่นท่ีเกิดขึ้นทันที (spontaneous flexibility) เป็นความสามารถท่ี

จะพยายามคิดให้หลายอย่าง อย่างอิสระ เช่น คนที่มีความคิดยืดหยุ่นในด้านนี้ จะคิดได้ว่าประโยชน์ของ
ก้อนหินมีอะไรบ้างหลายอย่าง ในขณะท่ีคนท่ีไม่มีความคิดสร้างสรรค์จะคิดได้เพียงอย่างเดียวหรือสอง
อย่างเท่านั้น

(2) ความคิดยืดหยุ่นทางด้านการดัดแปลง (adaptive flexibility) ซึ่งมีประโยชน์ต่อ
การแก้ปัญหา คนทีม่ ีความคดิ ยืดหยุ่นจะคิดไดไ้ ม่ซำ้ กัน ตวั อย่างเชน่ ในเวลา 1 ถึง 5 นาที ท่านลองคิดว่า
ท่านสามารถจะใช้หวายทำอะไรได้บ้าง คำตอบ กระบุง กระจาด ตะกร้าใส่กล่องดินสอ กระออมเก็บน้ำ
เปล เตยี งนอน ตู้ โต๊ะเคร่ืองแป้ง เก้าอี้ เกา้ อนี้ อนเล่น โซฟา ตะกรอ้ ชะลอม กรอบรูป กิบ๊ เสียบผม ดา้ มไม้
เทนนิส ไม้แบดมินตัน เป็นต้น หรือหากนำเอาคำตอบดังกล่าวมาจัดเป็นประเภทก็จะจัดได้ 5 ประเภท
ดงั น้ี

ประเภทท่ี 1 เฟอร์นิเจอร์ ตู้ เตียงนอน โตะ๊ เก้าอี้ โซฟา
ประเภทที 2 เครือ่ งใช้ กระบงุ กระจาด ตะกร้า กระออม
ประเภทที่ 3 เครื่องกีฬา ตะกรอ้ ด้ามไมเ้ ทนนิส ด้ามไม้แบดมนิ ตัน
ประเภทที่ 4 เคร่ืองประดบั ก๊ิบเสยี บผม
ประเภทท่ี 5 เครื่องเขยี น กลอ่ งใส่ดินสอ
เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าความคิดยืดหยุ่นจะเป็นตัวเสริมให้ความคิดคล่องแคล่วมีความ
แปลกแตก ต่างออกไป หลีกเลี่ยงการซ้ำซ้อน หรือเพิ่มคุณภาพความคิดให้มากข้ึนด้วย การจัดเป็น

48

หมวดหมู่ และหลักเกณฑย์ ่ิงขน้ึ นบั ได้ว่าความคิดคลอ่ งแคล่ว ความคดิ ยดื หยนุ่ เป็นความคดิ พนื้ ฐานทจี่ ะ
นำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ คือได้หลายหมวดหมู่ หลายประเภท ตลอดจนสามารถเตรียมทางเลือกไว้
หลายๆ ทาง ความคดิ ยดื หยุ่นจึงเปน็ ความคิดเสรมิ คณุ ภาพใหด้ ี

4) ความคดิ ละเอยี ดลออ
แม้ว่าลักษณะความคิดสร้างสรรค์จะประกอบด้วยลักษณะความคิดหลายลักษณะ เช่น

ความคิดริเริ่ม ความคิดยืดหยุ่น ความคิดคล่องตัวก็ตาม แต่ลักษณะความคิดละเอียดลออก็จะขาดเสีย
มิได้ หากปราศจากความคิดละเอียดลออแล้ว ก็ไม่อาจทำให้เกิดผลงานหรือผลิตผลสร้างสรรค์ขึ้นมาได้
และตรงจุดน้ีท่เี ปน็ จดุ สำคัญของความคดิ สร้างท่เี รามุ่งเน้นผลผลติ สร้างสรรคเ์ ป็นสำคัญด้วย

เนลเลอร์ (Kneller, 1965) กล่าวว่าความคิดละเอียดลออเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นใน
การสรา้ งผลงานทมี่ คี วามแปลกใหม่ เป็นพเิ ศษให้สำเรจ็ และยังขยายความอกี ว่า

“ความคิดสร้างสรรค์จึงไม่เพียงแต่ประกอบด้วยส่ิงแปลกใหม่ แต่เพียงอย่างเดียว
เท่านั้นแต่ในความแปลก ความใหม่ และความพิเศษน้ัน จะต้องตระหนักถึงความสำเร็จอย่างสร้างสรรค์ด้วย
ดังนั้นบุคคลท่ีมีความคิดสร้างสรรค์จึงไม่เพียงแต่มีความคิดใหม่เท่านั้น แต่เขาจะต้องพยายามคิด และ
ประสานความคิดติดตามให้ตลอด หรือให้เกิดความสำเร็จด้วย ตัวอย่างเช่น บุคคลทมี่ ีท่าทวี ่าจะเป็นกวีนั้น เขาไม่
เพียง แต่ชอบ และคิดในเร่ืองของความงดงามของบทกลอนเท่าน้ัน แต่เขาจะต้องพยายามสร้างผลงาน
บทกวีขึน้ มาด้วย หรอื หากบุคคลท่ีมีความคดิ สร้างสรรค์ในทางทกั ษะการประดิษฐ์ต่างๆ แทนท่ีเขาจะเล่น
เฉยๆ กับลวดเขาจะคิดและสรา้ งมนั ใหเ้ ป็นวทิ ยขุ ้นึ มาได้

พฒั นาการของความละเอยี ดลออ
(1) การพัฒนาการความละเอียดลออ จะข้ึนอยู่กับอายุ กล่าวคือ เด็กที่มีอายุมากจะมี
ความสามารถทางด้านนม้ี ากว่าเดก็ อายนุ ้อย
(2) เดก็ หญิงจะมีความสามารถมากกว่าเดก็ ผู้ชายในดา้ นความละเอียดลออ
(3) เด็กท่ีมีความสามารถสูงทางด้านความละเอียดลออ จะเป็นเด็กที่มีความสามารถ
ทางดา้ นการสงั เกตสงู ดว้ ย
การพัฒนาให้คนคิดละเอียด ชัดเจน สามารถทำได้โดยฝึกให้คิดวิเคราะห์ละเอียด โดย
วเิ คราะห์จากองค์ประกอบหรอื ปจั จัยหลกั ลงส่สู ่วนประกอบย่อย ฝึกให้ขยายความโดยการอธบิ ายเพิ่มเติม
การยกตัวอย่าง คำอุปมาอุปไมย คำพังเพย ประกอบการอธิบาย และฝึกให้คิดถึงขั้นตอนในการ
ดำเนินการตา่ ง ๆ
ตัวอย่างแนวทางฝกึ เพอื่ พฒั นาการคดิ ละเอียดชดั เจน ได้แก่

49

(1) ฝกึ การเขยี นแผนผงั โดยกำหนดเหตุการณ์หรือสถานการณ์ขึ้น แลว้ คดิ ถงึ องค์ประกอบ
ท่ีเก่ียวข้อง นำมาเขียนเป็นแผนผัง แลว้ จึงขยายลงไปในรายละเอียดยอ่ ย ๆ แผนผังท่ีใช้มีหลายแบบ เช่น
แผนผงั ก้างปลา (fish bone diagram) แผนผังความคิด (mind map) แผนภูมิ

ตัวอยา่ งที่ 1.7 เหตใุ ดนกั เรยี นบางคนเรยี นออ่ น (ทิศนา แขมมณี และคณะ, 2540: 84)
คำตอบ เมื่อคิดองค์ประกอบท่ีเก่ียวข้องได้ดังน้ี คือ 1.ความรับผิดชอบต่อการเรียน 2.ครู 3.ปัญหา
ส่วนตัว 4.ผู้ปกครอง 5.พันธุกรรม นำไปเขียนเป็นแผนผังแล้วขยายเป็นรายละเอียดย่อย ซ่ึงสามารถ
เขียนเปน็ แผนผังได้

(2) ให้ขยายความ โดยกำหนดสิ่งของ เหตุการณ์ สถานการณ์ข้ึนแล้วให้อธิบายเพิ่มเติม ให้วาด
รปู ประกอบ ใหย้ กสภุ าษิต - คำพงั เพย - อปุ มาอุปไมย หรอื ให้ยกตัวอยา่ งประกอบ

ตวั อยา่ งท่ี 1.8
1. ให้ยกตวั อยา่ งประกอบ
1.1 คนไทยชอบพนนั
1.2 คนไทยไม่ชอบทำอะไรจริงจัง
1.3 คนไทยชอบทำอะไรจริงจัง
2. ให้ยกสุภาษติ ทีบ่ อกลักษณะทว่ั ไปของคนไทย

(3) ให้กำหนดแผนงานคร่าวๆ โดยกำหนดงาน หรือกำหนดจุดประสงค์ให้กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แลว้ ให้บอกข้ันตอนแสดงลำดับการดำเนินงานดังกลา่ ว

ตัวอย่างที่ 1.9
1. ถ้านกั ศึกษาจะตอนตน้ ไม้ จะมีขน้ั ตอนดำเนนิ การอยา่ งไร
2. ถ้านกั ศึกษาจะหาหนังสือเพ่อื ศึกษาค้นคว้าจากหอ้ งสมุด นกั ศึกษาตอ้ งทำอะไรบา้ ง

จากผลการวิจัยเม่ือประมาณ 10 ปีท่ีผ่านมา พบว่า โดยทั่วไปโรงเรียนเน้นพัฒนาการทาง
เชาวน์ปญั ญา แตไ่ ม่ไดเ้ นน้ ความคิดสรา้ งสรรค์ของเดก็ ท้ังนี้เพราะความเขา้ ใจทว่ี ่าความคิดสร้างสรรค์ กับ
เชาวน์ปัญญาเป็นลักษณะเดียวกัน เช่น เมียร์และสเตน (Meier and Stein, 1955) พบว่านักเรียนท่ี
ได้คะแนนจากการทดสอบไอคิวสูงมาก ไม่ใช่เด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงหรือเด็กที่ผลิตผลงาน

50

สร้างสรรค์ได้ดีเสมอ เพราะจากการศึกษาของเขาจากกลุ่มตัวอย่างนักเรียนท่ีเก่งคณิตศาสตร์ ซึ่งมี
คุณสมบัติ มีเชาวน์ปัญญาสูง มีคะแนนสอบสูงในวิชาคณิตศาสตร์ มีผลการเรียนคณิตศาสตร์ดีมากทุก
ช้ันเรียน มีความสนใจวิชาคณิตศาสตร์เป็นพิเศษ มีการทำงานดี มีนิสัยรักการเรียนคณิตศาสตร์ และ
ผ่านการทดสอบในการแข่งขันตอบปัญหาทางคณิตศาสตร์ ผลปราฏว่า ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างผล
ขอ้ สอบไอควิ และข้อสอบความคิดสร้างสรรค์

เกตเซล และแจกสนั (Getzels and Jackson, 1962) ไดศ้ กึ ษาจากกลมุ่ ตัวอย่างวยั รนุ่ ท่ี
มีอายุตั้งแต่ 13 – 19 ปี เพื่อจะศึกษาว่า ความคิดสร้างสรรค์กับเชาวน์ปัญญา เป็นส่ิงที่แยกกันอย่าง
อิสระ กลุ่มตัวอย่างของเขามีไอคิวเฉลี่ยสูงกว่า 130 ได้ข้อทดสอบความคิดสร้างสรรค์ของกิลฟอร์ด
(Guilford) และ แคทเทล (Cattell) วัดแล้วแบ่งเด็กเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกได้คะแนนความคิด
สร้างสรรคส์ ูง กลุ่มท่ีสองไดค้ ะแนนความคิดสรา้ งสรรค์ต่ำ แลว้ ได้เปรียบเทียบนักเรียน 2 กลุ่ม ในดา้ น
อ่ืนๆ เช่น การเอาใจใส่การเรียน การสัมพันธ์กับครู ความประพฤติทางบ้าน ความพยายามในการ
ทำงานเพ่ือจะให้สำเร็จ ระดับความพอใจในการรับการอบรม มีความคิดขบขันและส่ิงอื่น ๆ พบว่ามี
นักเรียนท่ีมีความคิดสร้างสรรค์สูงมีอารมณ์ขันมากกว่า มีระดับความพอใจในการรับการอบรมน้อยกว่า
ชอบทำงานเกินกำหนดโดยไม่ละทิ้งผลงาน ผลการทดลองยังไม่อาจบ่งชัดว่า ความคิดสร้างสรรค์และ
สติปญั ญา แยกกันอยา่ งอสิ ระ

วอลลาสและโฮแกน (Wallach and Hogan, 1967) ได้ศึกษาเด็กนักเรียนระดับ 5
จำนวน 151 คน โดยใช้แบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ วัดเด็กท่ีมีเชาวน์ปัญญาสูงและต่ำจากการ
ทดสอบวา่ เด็กท่ีมีความคิดสร้างสรรค์สงู อาจเป็นเด็กที่มีเชาวนป์ ัญญาสูงหรอื ต่ำก็ได้หรอื เด็กที่มีความคิด
สรา้ งสรรคต์ ำ่ อาจมเี ชาวนป์ ญั ญาสงู หรอื ต่ำก็ได้

ความคิดสรา้ งสรรค์สูง-เชาวน์ปญั ญาสูงในช้นั เรียนเด็กพวกน้ีจะเป็นกลมุ่ ที่ได้รับความสนใจ
สงู เปน็ กลุม่ ทีท่ ำงานในโรงเรยี นที่เกีย่ วกับวชิ าการ พวกเขาจะคบกบั คนง่ายชอบสงั คมกบั เพอ่ื น เป็นเพื่อน
กับทกุ คน และเพือ่ นกช็ อบจะเป็นเพือ่ นกับพวกเขาดว้ ย

ความคิดสร้างสรรค์ตำ่ -เชาวน์ปัญญาสูง เด็กกลมุ่ นี้ไม่มีปัญหาในช้ันเรียนไม่ค่อยชอบแสดง
ความคดิ เหน็ และไม่ชอบใหม้ ีการเปล่ียนแปลง พวกเขามกั เป็นคนเฉยเมยหรือไว้ตัวไมช่ อบเข้าสังคมกับเพ่ือน

ความคิดสร้างสรรค์สูง-เชาวน์ปัญญาต่ำ เด็กกลุ่มน้ีมีพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหา ชอบทำลาย
ขาดสมาธิในการเรียน ขาดความต้ังใจในการเรียน มีความมั่นใจในตัวเองตำ่ ที่สุด และมักจะถกู ตดั สินว่า
เป็นเด็กไม่ดี ไม่มีเพ่ือนคบ ซึ่งความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้หลีกเลี่ยงการเข้ากลุ่มเพ่ือน แต่เขามักถูก
รังเกียจจากกลมุ่ เพ่ือน


Click to View FlipBook Version