คำนิยม
นโยบายประการหนง่ึ ทก่ี ำหนดไวเ มอ่ื มาดำรงตำแหนง ประธานศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษ
คอื การเสรมิ สรา งความเปน เอกภาพของคำพพิ ากษาของศาลและสง เสรมิ ใหก ระบวนการพจิ ารณา
และพิพากษาในศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษรอบคอบ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การรวบรวมคำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษแผนกตา ง ๆ ทเ่ี คยถกู จดั เกบ็ ไวร ปู แบบ
หลากหลายและยากแกการเขาถึงมาจัดทำเปนหนังสือซึ่งเปนสื่อที่สะดวกแกการคนควาใชงาน
และยงั ไมส ามารถทดแทนโดยสอ่ื หรอื อปุ กรณอ น่ื อยา งสมบรู ณเ พอ่ื เผยแพรเ ปน ภารกจิ หนง่ึ ทจ่ี ะเปน
แนวทางใหน โยบายดงั กลา วประสบความสำเรจ็ จงึ เปน ทม่ี าของการแตง ตง้ั คณะทำงานเพอ่ื รวบรวม
และเผยแพรคำพิพากษาของศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษนับตั้งแตศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษ
เริ่มเปดทำการจนถึงปจจุบัน การจัดทำหนังสือเลมนี้ไมใชแตเพียงไดประโยชนในการใชเปน
แหลง ขอ มลู ในการเรยี นรู สบื คน และใชเ ปน แนวทางในการทำงานของผพู พิ ากษาและผปู ระกอบ
วิชาชีพกฎหมายเทานั้น แตจะเปนประโยชนแกนักศึกษากฎหมายและผูสนใจทั่วไปดวย ทั้งยัง
ถือเปนตัวอยางที่ดีในการนำนโยบายมาแปรเปลี่ยนเปนรูปธรรมใหสัมฤทธิ์ผลตามนโยบาย
ทก่ี ำหนดไวอีกดวย
ทั้งนี้ ดิฉันขอขอบคุณสำนักงานศาลยุติธรรมที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและสนับสนุน
งบประมาณในการจดั ทำหนงั สอื เลม น้ี ขอชน่ื ชมและขอบคณุ คณะทำงานฯ ทป่ี รกึ ษาของคณะทำงานฯ
และผูที่เกี่ยวของที่รวมแรงรวมใจกันจัดทำใหหนังสือเลมนี้สำเร็จขึ้นดวยความวิริยอุตสาหะของ
ทกุ ทา น และขอขอบคณุ ทา นรองประธานศาลอุทธรณคดชี ำนัญพเิ ศษทง้ั หาแผนกท่ใี หคำแนะนำ
ทรงคุณคาแกคณะทำงานฯ และสละเวลาตรวจทานความถูกตองของหนังสือเลมนี้จนสมบูรณ
บรรลุวัตถุประสงคทุกประการ
(นางอโนชา ชีวิตโสภณ)
ประธานศาลอุทธรณค ดชี ำนญั พิเศษ
คำปรารภ
ดวยศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษมีการพิจารณาพิพากษาโดยองคคณะผูพิพากษาที่มี
ความรคู วามเชย่ี วชาญ และตง้ั แตม กี ารจดั ตง้ั ศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษในป ๒๕๕๙ จนถงึ ปจ จบุ นั
เปน ระยะเวลารว ม ๖ ป ศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษไดพ จิ ารณาพพิ ากษาคดแี ละวางหลกั คำพพิ ากษา
เพื่อเปนบรรทัดฐานเปนจำนวนไมนอย กระผมมีความภาคภูมิใจและยินดีเปนอยางยิ่งที่ไดเปน
สวนหนึ่งของการจัดทำหนังสือเลมนี้ ทั้งในรูปแบบเอกสารและรูปแบบอิเล็กทรอนิกส ทั้งเนื้อหา
ในหนังสือเลมนี้ไดรับการเผยแพรในเว็บไซตของศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษเพื่อความสะดวก
ในการสบื คน ของผทู ม่ี คี วามสนใจ และหวงั เปน อยา งยง่ิ วา การเผยแพรน จ้ี ะเปน ประโยชนต อ ผสู นใจ
ตอไป
กระผมขอขอบคณุ ทา นประธานศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษทม่ี คี วามตง้ั ใจในการเผยแพร
คำพพิ ากษาของศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษใหผ ทู ม่ี คี วามสนใจไดเ ขา ถงึ แหลง ขอ มลู ทางวชิ าการน้ี
และขอขอบคณุ ทา นผชู ว ยใหญแ ละทา นผชู ว ยเลก็ ในแผนก และผเู กย่ี วขอ งทกุ ฝา ย ทร่ี ว มแรงรว มใจกนั
ใหเ กิดงานอนั เปน ประโยชนตอ ประชาชน
(นายอมรรตั น กริยาผล)
รองประธานศาลอทุ ธรณคดีชำนญั พิเศษ
คำนำ
ศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษจดั ตง้ั ขน้ึ โดยพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษ
พ.ศ. ๒๕๕๘ เปด ทำการเมอ่ื วนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๙ มอี ำนาจพจิ ารณาพพิ ากษาบรรดาคดที อ่ี ทุ ธรณ
คำพพิ ากษาหรอื คำสง่ั ของศาลชำนญั พเิ ศษ ซง่ึ คำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษของแตล ะ
แผนกคดไี ดร บั การพจิ ารณาพพิ ากษาโดยองคค ณะผพู พิ ากษาทม่ี คี วามรู ความเชย่ี วชาญในแตล ะ
แผนกคดีและมีความสำคัญตอสภาพเศรษฐกิจและสังคม การเผยแพรคำพิพากษาศาลอุทธรณ
คดชี ำนญั พเิ ศษทง้ั หา แผนกคดที ส่ี ำคญั ไวใ นทแ่ี หง เดยี วกนั จงึ เปน ประโยชนอ ยา งยง่ิ แกผ พู พิ ากษา
นกั กฎหมาย และผูสนใจทวั่ ไป
ครั้นทานอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษเขารับตำแหนง
เมอ่ื วนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๖๔ ไดม นี โยบายใหร วบรวมคำพพิ ากษาหรอื คำสง่ั ศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษ
และคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษที่ไดรับแจงการอานแลวตั้งแตวันที่
ศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษเปด ทำการจนถงึ ปจ จบุ นั ตอ มาจงึ มคี ำสง่ั แตง ตง้ั คณะทำงานรวบรวม
คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษและคำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ
คดชี ำนญั พเิ ศษ ท่ี ๓๒/๒๕๖๕ ลงวนั ท่ี ๑๒ เมษายน ๒๕๖๕ และคำสง่ั ท่ี ๓๔/๒๕๖๕ ลงวนั ท่ี ๑๙
พฤษภาคม ๒๕๖๕ โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการใหเสรจ็ สิ้นภายในเดอื นสงิ หาคม ๒๕๖๕
บดั น้ี การจดั ทำหนงั สอื รวบรวมคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษทง้ั หา แผนกคดี
ตง้ั แตว นั ทศ่ี าลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษเปด ทำการจนถงึ ปจ จบุ นั (เดอื นมถิ นุ ายน ๒๕๖๕) ตามคำสง่ั
ประธานศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษ ท่ี ๓๒/๒๕๖๕ และ ๓๔/๒๕๖๕ ไดเ สรจ็ สน้ิ ลงแลว คณะทำงานฯ
หวงั วา หนงั สอื รวบรวมคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษเลม นจ้ี ะเปน ประโยชนต อ ผพู พิ ากษา
ตลอดจนนกั กฎหมายและผสู นใจทวั่ ไป
ขอขอบพระคุณประธานศาลอุทธรณคดีชำนัญพิเศษ คณะทำงานฯ ที่ปรึกษา และผูที่
เกย่ี วขอ งทกุ ทา นทท่ี มุ เทเสยี สละในการจดั ทำหนงั สอื รวบรวมคำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค ดชี ำนญั พเิ ศษ
ท้งั หา แผนกคดีจนบรรลุวตั ถปุ ระสงคซ่งึ เปนประโยชนอ ยางย่งิ ตอ ราชการศาลยตุ ธิ รรมสบื ไป
(นายพทิ กั ษ หลิมจานนท)
ประธานคณะทำงานรวบรวมคำพพิ ากษาหรอื คำสงั่
ศาลอทุ ธรณคดีชำนัญพิเศษและคำวนิ จิ ฉัย
ของประธานศาลอุทธรณค ดชี ำนญั พิเศษ
สารบญั
หนา้
หมวดท่ี ๑ คดีแพง่
๑.๑ สถานะและความสามารถของบุคคล
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี �ำนญั พเิ ศษท่ี ๓/๒๕๕๙ ๑
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษท่ี ๓๒๑/๒๕๖๐ ๓
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พิเศษที่ ๕๔๕/๒๕๖๐ ๕
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีช�ำนัญพเิ ศษท่ี ๒๓๒๓/๒๕๖๐ ๗
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดชี ำ� นัญพิเศษที่ ๒๕๐๔/๒๕๖๐ ๙
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี ำ� นญั พเิ ศษที่ ๖๗๐/๒๕๖๒ ๑๑
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนญั พิเศษท่ี ๘๖/๒๕๖๓ ๑๔
๑.๒ การหมน้ั
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พิเศษที่ ๑๕๕/๒๕๖๔ ๑๖
๑.๓ การสนิ้ สุดแหง่ การสมรส
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษที่ ๗๑๙/๒๕๖๐ ๒๖
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พิเศษท่ี ๗๕๙/๒๕๖๐ ๒๘
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นัญพิเศษที่ ๔๑๗/๒๕๖๓ ๓๓
๑.๔ ทรพั ย์สนิ ระหว่างสามีภรยิ า
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีช�ำนญั พเิ ศษที่ ๓๐๗/๒๕๖๐ ๔๐
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพเิ ศษที่ ๖๙๐/๒๕๖๓ ๔๔
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นัญพเิ ศษที่ ๗๐๒-๗๐๓/๒๕๖๓ ๔๖
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี �ำนญั พิเศษที่ ๑๒๖๘/๒๕๖๓ ๕๒
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นัญพเิ ศษที่ ๑๓๗/๒๕๖๔ ๕๕
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นญั พิเศษท่ี ๑๒/๒๕๖๕ ๖๐
๑.๕ สิทธิเรียกค่าทดแทน หนา้
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนญั พเิ ศษท่ี ๓๑๘/๒๕๖๐
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีชำ� นญั พเิ ศษท่ี ๑๕๘/๒๕๖๓ ๖๔
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษท่ี ๒๖๙๓/๒๕๖๓ ๖๗
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพเิ ศษที่ ๑๕๙๗/๒๕๖๓ ๗๒
๗๕
๑.๖ บดิ ามารดากับบตุ ร
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีชำ� นญั พเิ ศษท่ี ๒๙๗/๒๕๖๐ ๗๙
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนัญพิเศษท่ี ๓๕๑/๒๕๖๑ ๘๑
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นัญพเิ ศษท่ี ๔๔๗๐/๒๕๖๑ ๘๓
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นญั พเิ ศษที่ ๒๘๓/๒๕๖๒ ๘๖
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพเิ ศษท่ี ๑๓๒/๒๕๖๓ ๘๙
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี �ำนัญพิเศษที่ ๒๐๙/๒๕๖๓ ๙๓
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดชี ำ� นัญพเิ ศษที่ ๗๖๖/๒๕๖๓ ๙๗
๑.๗ บุตรบุญธรรม ๑๐๑
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีช�ำนญั พิเศษท่ี ๒๕๐๕/๒๕๖๐ ๑๐๔
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นญั พิเศษท่ี ๑๒๓/๒๕๖๓
๑๐๖
๑.๘ คา่ อปุ การะเลย้ี งดู ๑๑๐
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พิเศษท่ี ๒๒๔๐/๒๕๖๐ ๑๑๕
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพเิ ศษท่ี ๔๕๗๔/๒๕๖๑
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณค์ ดีชำ� นัญพเิ ศษที่ ๑๐๕/๒๕๖๓ ๑๒๐
๑๒๓
๑.๙ พ.ร.บ. คมุ้ ครองเด็กท่ีเกดิ โดยอาศยั เทคโนโลยี ๑๒๖
ช่วยการเจรญิ พันธุท์ างการแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๘
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีช�ำนัญพเิ ศษที่ ๑๓๓๔/๒๕๖๐
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษที่ ๒๕๐๘/๒๕๖๐
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นญั พิเศษที่ ๑๒๔/๒๕๖๕
๑.๑๐ อืน่ ๆ หนา้
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพเิ ศษท่ี ๔๐๗/๒๕๖๐
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพเิ ศษท่ี ๒๓๔๒/๒๕๖๐ ๑๓๒
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีช�ำนญั พเิ ศษที่ ๓๕๐/๒๕๖๑ ๑๓๖
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำ� นญั พิเศษท่ี ๙๓๖๔/๒๕๖๒ ๑๔๐
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพิเศษที่ ๒๗๒๒/๒๕๖๓ ๑๔๓
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พิเศษที่ ๑๗๑๒/๒๕๖๔ ๑๔๗
๑๕๒
หมวดท่ี ๒ คดีอาญา
๒.๑ มาตรการแทนการพิพากษาคดี ๑๖๐
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีชำ� นัญพิเศษที่ ๘/๒๕๕๙ ๑๖๓
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดชี �ำนัญพเิ ศษที่ ๑๒๗/๒๕๖๓ ๑๖๗
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีช�ำนญั พเิ ศษท่ี ๑๕๗/๒๕๖๓
๑๗๒
๒.๒ การลงโทษและวิธีการส�ำหรบั เด็กและเยาวชน ๑๗๗
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดีช�ำนญั พเิ ศษที่ ๓๒๔/๒๕๖๐ ๑๘๑
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นัญพิเศษท่ี ๘๑๔/๒๕๖๐ ๑๘๗
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี ำ� นญั พิเศษที่ ๒๙๓๓/๒๕๖๒ ๑๙๑
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี ำ� นัญพเิ ศษท่ี ๑๒๒/๒๕๖๓
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นัญพเิ ศษที่ ๑๕๐๓/๒๕๖๔ ๑๙๖
๑๙๙
๒.๓ การบวกโทษ เพ่ิมโทษ และนับโทษต่อ ๒๐๒
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พิเศษท่ี ๕๙๒/๒๕๖๐
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษที่ ๗๖๑/๒๕๖๐
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี ำ� นญั พิเศษที่ ๓๘๙/๒๕๖๔
๒.๔ วิธพี ิจารณาความ หนา้
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนัญพเิ ศษท่ี ๖๗๓/๒๕๖๐
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นญั พิเศษท่ี ๘๒๕/๒๕๖๐ ๒๐๕
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณค์ ดีช�ำนัญพิเศษท่ี ๑๒๘๒/๒๕๖๐ ๒๐๘
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี ำ� นญั พเิ ศษที่ ๑๘๗๘/๒๕๖๑ ๒๑๑
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนญั พิเศษที่ ๗๐๒๔/๒๕๖๒ ๒๑๔
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นัญพิเศษท่ี ๖๘๖/๒๕๖๔ ๒๑๘
๒๒๔
๒.๕ การฟื้นฟสู มรรถภาพผ้ตู ิดยาเสพติด
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดชี �ำนญั พิเศษที่ ๗๘๐/๒๕๖๐ ๒๒๘
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี �ำนัญพเิ ศษท่ี ๑๐๒๔/๒๕๖๐ ๒๓๔
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนญั พเิ ศษที่ ๑๑๘๘/๒๕๖๑ ๒๓๙
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดีช�ำนญั พิเศษท่ี ๒๗๕/๒๕๖๔ ๒๔๕
หมวดที่ ๓ คดีคุม้ ครองสวสั ดภิ าพ ๒๕๐
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษที่ ๓๑๕/๒๕๖๐ ๒๕๓
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพิเศษท่ี ๒๔๖๓/๒๕๖๐ ๒๕๗
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนญั พเิ ศษท่ี ๔๘๔๙/๒๕๖๑
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นัญพเิ ศษที่ ๓/๒๕๕๙ พนกั งานอยั การ สำ� นกั งานอยั การ
คุม้ ครองสิทธแิ ละชว่ ยเหลอื
ทางกฎหมายและการบงั คับคดี
จังหวัดแพร่ ผรู้ อ้ ง
ป.พ.พ. มาตรา ๒๘
การยน่ื คำ� รอ้ งขอใหม้ คี ำ� สง่ั ใหบ้ คุ คลใดเปน็ คนไรค้ วามสามารถและตงั้ ผอู้ นบุ าล
ต้องไดค้ วามว่าบุคคลน้นั เปน็ บุคคลวกิ ลจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๘ ซง่ึ ตามพจนานุกรม
ฉบับราชบัณฑิตยสถาน นิยามค�ำว่า “วิกลจริต” ว่า มีความประพฤติหรือกิริยาผิดปกติ
เพราะสติวิปลาส ย่อมหมายความว่า ขาดความรู้สึก ขาดความระลึกได้ และขาดความ
รู้สึกผิดชอบด้วย ซึ่งท�ำให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถประกอบกิจการงานหรือกิจการ
ส่วนตัวด้วยตนเองได้ คดีนี้ผู้ร้องบรรยายค�ำร้องว่านาย ต. ป่วยด้วยอาการเส้นโลหิต
ในสมองแตก แขนขาซ้ายอ่อนแรง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความจ�ำเส่ือม มีความพิการ
ถาวร กลายเป็นคนทุพพลภาพตลอดชีวิต จนไม่สามารถจัดการงานด้วยตนเองได้
ข้อเท็จจริงตามท่ีผู้ร้องบรรยายค�ำร้องดังกล่าวย่อมท�ำให้เข้าใจได้ว่านาย ต. เจ็บป่วย
ดว้ ยอาการเสน้ โลหติ ในสมองแตกทำ� ใหค้ วามจำ� เสอ่ื ม มคี วามพกิ ารถาวร สตสิ มั ปชญั ญะ
ไม่ปกติเฉกเช่นบุคคลทั่วไป ไร้ความสามารถที่จะด�ำเนินกิจการทุกอย่างด้วยตนเองได้
เปน็ บคุ คลวกิ ลจรติ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๘ แมผ้ รู้ อ้ งมไิ ดร้ ะบวุ ่านาย ต. เปน็ บคุ คลวกิ ลจรติ
ในค�ำร้องขอก็ตาม ก็ไม่ท�ำให้ค�ำร้องขอของผู้ร้องไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเง่ือนไขของ
กฎหมาย เพราะการบรรยายค�ำร้องขอในคดีแพ่งไม่จ�ำต้องใช้ถ้อยค�ำตามกฎหมาย
เสมอไป เป็นเร่ืองท่ีศาลต้องไต่สวนให้ได้ความว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามค�ำร้องขอหรือไม่
แลว้ ยกตัวบทกฎหมายขนึ้ ปรับแก่คดี
______________________________
ผรู้ ้องยนื่ คำ� ร้องขอให้ศาลมีคำ� สง่ั วา่ นาย ต. เปน็ คนไรค้ วามสามารถ และใหอ้ ยู่ในความ
อนุบาลของนาย อ. ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา ๒๘
ศาลชัน้ ตน้ มคี ำ� สัง่ ใหย้ กค�ำร้องขอ
1
ผรู้ ้องอุทธรณ์
ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั วนิ จิ ฉยั วา่ การยนื่ คำ� รอ้ งขอ
ให้มีค�ำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถและตั้งผู้อนุบาล ต้องได้ความว่าบุคคลน้ันเป็น
บุคคลวิกลจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๘ ซ่ึงตามพจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน นิยามค�ำว่า “วิกลจริต” ว่ามีความประพฤติหรือกิริยาผิดปกติเพราะ
สติวปิ ลาส ยอ่ มหมายความวา่ ขาดความรูส้ กึ ขาดความระลึกได้ และขาดความรสู้ ึกผิดชอบดว้ ย
ซ่ึงท�ำให้บุคคลดังกล่าวไม่สามารถประกอบกิจการงานหรือกิจส่วนตัวด้วยตนเองได้ คดีนี้
ผรู้ อ้ งบรรยายค�ำรอ้ งขอวา่ นาย ต. ปว่ ยด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก แขนขาซ้ายออ่ นแรง
ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความจ�ำเส่ือม มีความพิการถาวร กลายเป็นคนทุพพลภาพตลอดชีวิต
จนไม่สามารถจัดการงานด้วยตนเองได้ ขอให้มีค�ำส่ังว่า นาย ต. เป็นคนไร้ความสามารถ
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๒๘ ทงั้ ไดแ้ นบใบรบั รองแพทยม์ าพรอ้ มคำ� รอ้ งขอ
ย่อมเข้าใจได้ว่านาย ต. เจ็บป่วยด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตกท�ำให้ความจ�ำเส่ือม
มคี วามพกิ ารถาวร สตสิ มั ปชญั ญะไมป่ กตเิ ฉกเชน่ บคุ คลทว่ั ไป ไรค้ วามสามารถทจ่ี ะด�ำเนนิ กจิ การ
ทุกอย่างด้วยตนเองได้พอเข้าใจได้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริตตามความในประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา ๒๘ แล้ว แม้ผ้รู ้องมไิ ด้ระบุวา่ นาย ต. เป็นบคุ คลวิกลจรติ ในค�ำรอ้ งขอกไ็ ม่
ท�ำให้ค�ำร้องขอของผู้ร้องไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขของกฎหมายเพราะการบรรยายค�ำร้องขอ
ในคดีแพ่งไม่จ�ำต้องใช้ถ้อยค�ำตามกฎหมายเสมอไป เป็นเร่ืองท่ีศาลต้องไต่สวนให้ได้ความว่า
ข้อเท็จจริงเป็นไปตามค�ำร้องขอหรือไม่ แล้วยกตัวบทกฎหมายข้ึนปรับแก่คดี การท่ีศาลชั้นต้น
ดว่ นยกคำ� ร้องขอโดยไม่ไต่สวนเสยี กอ่ นจงึ เป็นการไม่ชอบ อุทธรณ์ของผู้รอ้ งฟงั ขึน้
พิพากษายกค�ำสั่งศาลช้ันต้น ให้ศาลช้ันต้นรับค�ำร้องขอของผู้ร้องไว้ไต่สวนแล้ว
มคี ำ� สงั่ ใหม่ตามรปู คดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชัน้ นใ้ี หเ้ ป็นพบั .
(ชนากานต์ ธรี เวชพลกุล - ชารียา เด่นนนิ นาท - อนิ ทิรา ฉวิ รัมย์)
พทิ ักษ์ หลิมจานนท์ - ยอ่
นรินทร์ ทองคำ� ใส - ตรวจ
2
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี �ำนญั พเิ ศษที่ ๓๒๑/๒๕๖๐ พนั โทหญงิ ศ. ผู้ร้อง
ป.พ.พ. มาตรา ๒๘, ๓๒ วรรคหนึ่ง
ป.พ.พ. มาตรา ๓๒ วรรคหนง่ึ กำ� หนดบคุ คลทมี่ สี ทิ ธริ อ้ งขอตอ่ ศาลใหส้ งั่ ใหบ้ คุ คลใด
เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ต้องเป็นบุคคลท่ีระบุไว้ในมาตรา ๒๘ แต่ผู้ร้องเป็นเพียง
น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนาง พ. และข้อเท็จจริงตามค�ำร้องขอของผู้ร้องปรากฏว่า
นาง พ. อยใู่ นความดแู ลของนาง ฉ. บตุ รบญุ ธรรมของสามนี าง พ. แมผ้ รู้ อ้ งบรรยายคำ� รอ้ งวา่
นาง พ. เคยไปพกั อาศยั อยทู่ บ่ี า้ นของผรู้ อ้ งและผรู้ อ้ งเคยพานาง พ. ไปรกั ษาตวั ทโ่ี รงพยาบาล
กเ็ ปน็ เพยี งชว่ั ครง้ั ชว่ั คราว ปจั จบุ นั นาง พ. ยงั คงพกั อาศยั อยทู่ บี่ า้ นของนางฉ. ผรู้ อ้ งจงึ มไิ ดเ้ ปน็
ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ หรือผู้ซึ่งปกครองดูแลนาง พ. อันจะท�ำให้ผู้ร้องมีสิทธิย่ืนค�ำร้อง
ขอใหศ้ าลส่ังใหน้ าง พ. เป็นคนเสมือนไรค้ วามสามารถได้
______________________________
ผู้ร้องยื่นค�ำร้องขอให้มีค�ำสั่งว่า นาง พ. เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และให้อยู่ใน
ความพทิ กั ษ์ของผู้รอ้ ง
ศาลชั้นตน้ มคี ำ� ส่ังยกค�ำรอ้ งขอของผู้รอ้ ง
ผ้รู อ้ งอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ปัญหาท่ีต้อง
วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องมีว่า ค�ำสั่งศาลช้ันต้นที่ให้ยกค�ำร้องขอของผู้ร้องโดยไม่ไต่สวน
เสียกอ่ นเป็นคำ� ส่ังทชี่ อบดว้ ยกฎหมายหรือไม่ เหน็ วา่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๓๒
วรรคหน่ึง ก�ำหนดบุคคลท่ีมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
ตอ้ งเป็นบคุ คลท่รี ะบุไว้ในมาตรา ๒๘ ซึง่ ไดแ้ ก่ คู่สมรส ผบู้ พุ การี คอื บิดา มารดา ป่ยู ่า ตายาย
ทวด ผู้สืบสันดาน คือ ลูก หลาน เหลน ล่ือ รวมท้ังผู้ปกครองและผู้พิทักษ์ ผู้ซ่ึงปกครองดูแล
บคุ คลนน้ั อยู่ หรอื พนกั งานอยั การ แตผ่ รู้ อ้ งเปน็ เพยี งนอ้ งรว่ มบดิ ามารดาเดยี วกนั กบั นาง พ. และ
ข้อเท็จจรงิ ตามค�ำรอ้ งขอของผูร้ อ้ งปรากฏว่านาง พ. อยใู่ นความดแู ลของนาง ฉ. บุตรบญุ ธรรม
ของนาย บ. สามขี องนาง พ. แมผ้ ู้ร้องบรรยายค�ำรอ้ งขอไวต้ อนหนึ่งว่า นาง พ. เคยไปพักอาศยั
อยทู่ บี่ า้ นของผรู้ อ้ งและผรู้ อ้ งเคยพานาง พ. ไปรกั ษาตวั ทโ่ี รงพยาบาลวชริ พยาบาล แตพ่ ฤตกิ ารณ์
3
ตามคำ� รอ้ งขอของผรู้ ้องดงั กล่าวก็เป็นเพียงช่วั ครั้งช่วั คราว ปจั จุบนั นาง พ. ยังคงพกั อาศยั อยู่ท่ี
บ้านของนาง ฉ. ผู้ร้องจึงมิได้เป็นผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ หรือผู้ซ่ึงปกครองดูแลนาง พ. อันจะ
ทำ� ใหผ้ รู้ อ้ งมสี ทิ ธยิ น่ื คำ� รอ้ งขอใหศ้ าลสง่ั ใหน้ าง พ. เปน็ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถตามบทกฎหมาย
ดงั กลา่ วขา้ งตน้ ได้ กรณจี งึ ไมจ่ ำ� ตอ้ งไตส่ วนพยานผรู้ อ้ ง ทศ่ี าลชน้ั ตน้ ตรวจคำ� รอ้ งขอของผรู้ อ้ งแลว้
มีค�ำส่ังว่า ตามค�ำร้องขอและใบรับรองแพทย์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่านาง พ. เป็นบุคคลท่ีกฎหมาย
ก�ำหนดอันจะใชส้ ิทธริ อ้ งขอใหเ้ ป็นคนเสมอื นไร้ความสามารถ จงึ งดการไต่สวน และยกค�ำร้องขอ
ของผู้ร้องน้ัน ศาลอุทธรณ์คดีชำ� นญั พิเศษเหน็ พ้องด้วยในผล อทุ ธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึน้
อน่ึง คดีน้ีศาลชั้นต้นมีค�ำสั่งยกค�ำร้องขอของผู้ร้องในชั้นตรวจค�ำร้องขอ ถือว่าได้
วนิ จิ ฉัยในเนื้อหาแหง่ คดีแลว้ แต่ศาลช้นั ตน้ มไิ ดม้ ีคำ� ส่งั เกยี่ วกบั คา่ ฤชาธรรมเนยี ม จงึ ไม่ถูกต้อง
ศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษเห็นสมควรแก้ไขเสียใหถ้ ูกตอ้ ง
พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมทัง้ สองศาลให้เปน็ พบั .
(ประวิทย์ อทิ ธิชัยวัฒนา - อมรรตั น์ กริยาผล - พนารตั น์ คิดจติ ต)์
ฉนั ทนา ชมพานิชย์ - ย่อ
นรินทร์ ทองค�ำใส - ตรวจ
4
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี ำ� นัญพิเศษท่ี ๕๔๕/๒๕๖๐ นาง อ. ผ้รู อ้ ง
บริษัท ส. ผู้คัดค้าน
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๒ (๕)
ป.พ.พ. มาตรา ๒๘
คดนี ี้ ผรู้ อ้ งยน่ื คำ� รอ้ งขอใหศ้ าลสงั่ ใหน้ าย ก. เปน็ คนไรค้ วามสามารถและแตง่ ตงั้
ผ้รู อ้ งเป็นผอู้ นุบาล เม่อื ผ้คู ดั ค้านไม่ไดเ้ ป็นคสู่ มรส ผู้บพุ การี ผสู้ ืบสันดาน ผปู้ กครองหรือ
ผพู้ ทิ กั ษห์ รอื พนกั งานอยั การซง่ึ เปน็ บคุ คลทก่ี ฎหมายกำ� หนดใหเ้ ปน็ ผมู้ สี ทิ ธยิ น่ื คำ� รอ้ งขอ
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๘ ผ้คู ัดคา้ นย่อมไม่มสี ่วนได้เสยี ในมลู ความแห่งคดตี ามกฎหมาย
จงึ ไม่มีสิทธยิ ื่นคำ� คัดค้านเขา้ มาในคดีนไี้ ด้
ปัญหาว่านาย ก. เป็นหน้ีหรือต้องรับผิดต่อผู้คัดค้านหรือไม่ เป็นเร่ืองท่ีจะต้อง
ว่ากล่าวเป็นอีกเร่ืองต่างหาก ท่ีศาลชั้นต้นรับค�ำคัดค้านของผู้คัดค้านจึงไม่ชอบ ปัญหานี้
แม้คู่ความไม่อุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาล
อุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษมีอ�ำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕)
ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ เม่ือผู้คัดค้านไม่มีสิทธิยื่นค�ำคัดค้านเข้ามาในคดีนี้ได้ ผู้คัดค้าน
ย่อมไม่อยู่ในฐานะคู่ความที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ค�ำส่ังศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญ
พิเศษจึงไม่รับวินจิ ฉยั อทุ ธรณข์ องผู้คดั คา้ น
______________________________
ผรู้ อ้ งยน่ื คำ� รอ้ งขอวา่ ขอใหส้ งั่ ใหน้ าย ก. เปน็ คนไรค้ วามสามารถและอยใู่ นความอนบุ าล
ของผู้รอ้ ง
ผคู้ ัดค้านยื่นคำ� คดั คา้ นวา่ ขอใหย้ กคำ� ร้องขอของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีค�ำส่ังว่า นาย ก. เป็นคนไร้ความสามารถ และให้อยู่ในความอนุบาลของ
นาง อ. ผรู้ ้อง
5
ผคู้ ัดคา้ นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีน้ีเป็นเร่ือง
ผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย ก. เป็นคนไร้ความสามารถและแต่งต้ังผู้ร้องเป็นผู้อนุบาล
เมื่อผู้คัดค้านไม่ได้เป็นคู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์หรือพนักงาน
อยั การซงึ่ เปน็ บคุ คลทก่ี ฎหมายกำ� หนดใหเ้ ปน็ ผมู้ สี ทิ ธยิ นื่ คำ� รอ้ งขอตามประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์ มาตรา ๒๘ ทำ� ใหผ้ ู้คดั คา้ นไม่มีสว่ นไดเ้ สยี ในมลู ความแหง่ คดตี ามกฎหมาย ผคู้ ดั ค้าน
จึงไมม่ สี ิทธิยน่ื ค�ำคัดค้านเขา้ มาในคดนี ี้ได้
ส่วนปัญหาที่ว่านาย ก. เป็นหนี้หรือต้องรับผิดต่อผู้คัดค้านหรือไม่ เป็นเรื่องท่ีจะต้อง
วา่ กล่าวเปน็ อีกเรื่องหน่งึ ต่างหาก ทศ่ี าลชัน้ ต้นรบั ค�ำคัดคา้ นของผู้คดั ค้านจึงไม่ชอบ ปญั หานแี้ ม้
คคู่ วามไมอ่ ทุ ธรณ์ แตเ่ ปน็ ปญั หาเกยี่ วดว้ ยความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั
พเิ ศษมอี ำ� นาจหยบิ ยกขนึ้ วนิ จิ ฉยั เองไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑๔๒ (๕)
ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ เมอื่ ผคู้ ดั ค้านไม่มีสทิ ธิยนื่ คำ� คดั ค้านเข้ามาในคดีน้ีได้ ผ้คู ดั ค้านย่อมไม่อยู่
ในฐานะคู่ความท่ีจะใช้สิทธิย่ืนอุทธรณ์ค�ำสั่งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษจึงไม่รับ
วินิจฉยั อุทธรณข์ องผคู้ ดั ค้าน
พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ยกค�ำสั่งศาลช้ันต้นที่รับค�ำคัดค้านของผู้คัดค้าน
และเพกิ ถอนกระบวนพจิ ารณาในสว่ นทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั คำ� คดั คา้ นทง้ั หมด คนื คา่ ขนึ้ ศาลชน้ั อทุ ธรณ์
แก่ผู้คดั คา้ นคา่ ฤชาธรรมเนยี มนอกจากท่ีสัง่ คนื และคา่ ฤชาธรรมเนียมในศาลช้นั ตน้ ให้เปน็ พับ.
(ปรญิ ญา อิทธวิ กิ ลุ - รตั นา กิตติพิบูลย์ - รชั ดาพร เสนยี ว์ งศ์ ณ อยธุ ยา)
เกียรตยิ ศ ไชยศริ ิธัญญา - ย่อ
นรนิ ทร์ ทองค�ำใส - ตรวจ
6
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดีชำ� นญั พิเศษท่ี ๒๓๒๓/๒๕๖๐ นาวาเอก บ. ผรู้ อ้ ง
ป.พ.พ. มาตรา ๓๔ (๘) วรรคหนึง่ , ๓๔ วรรคสาม
การท่ีคนเสมือนไร้ความสามารถจะขายที่ดินเป็นการท�ำการอย่างหน่ึงอย่างใด
เพื่อจะปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อน
แลว้ จงึ จะทำ� การดงั กลา่ วไดต้ าม ป.พ.พ. มาตรา ๓๔ (๘) วรรคหนงึ่ และในกรณที คี่ นเสมอื น
ไร้ความสามารถไม่สามารถจะกระท�ำการดังกล่าวได้ด้วยตนเองเพราะเหตุมีกายพิการ
หรอื มจี ติ ฟน่ั เฟอื นไมส่ มประกอบ ศาลจะสง่ั ใหผ้ พู้ ทิ กั ษเ์ ปน็ ผมู้ อี ำ� นาจกระทำ� การนนั้ แทน
คนเสมือนไร้ความสามารถกไ็ ด้ ตามมาตรา ๓๔ วรรคสาม ดังน้ี ผู้พิทักษ์จะมอี �ำนาจดแู ล
จดั การทำ� นติ กิ รรมแทนคนเสมอื นไรค้ วามสามารถกต็ อ่ เมอ่ื ไดร้ บั อนญุ าตจากศาล ทง้ั การ
จัดการดงั กลา่ วตอ้ งเป็นไปเพือ่ รกั ษาประโยชน์ของคนเสมือนไร้ความสามารถ
______________________________
ผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอและแก้ไขค�ำร้องขอให้มีค�ำส่ังอนุญาตให้ผู้ร้องขายท่ีดินแทน
นางสาว ส.
ศาลช้นั ต้นประกาศนัดไต่สวนแล้ว ไมม่ ผี ู้ใดคดั ค้าน
ศาลชน้ั ต้นพิจารณาแลว้ มีค�ำสง่ั ให้ยกค�ำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนยี มให้เปน็ พบั
ผรู้ อ้ งอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา
ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า สมควรอนุญาตให้ผู้ร้องขายที่ดินโฉนดเลขท่ี ๓๔๑๗๔
แทน นางสาว ส. คนเสมือนไร้ความสามารถหรือไม่ เห็นว่า การท่ีคนเสมือนไร้ความสามารถ
จะขายท่ีดินเป็นการท�ำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อจะปล่อยไปซึ่งสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ ซ่ึงต้อง
ได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะท�ำการดังกล่าวได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา ๓๔ (๘) วรรคหน่ึง และในกรณีท่ีคนเสมือนไร้ความสามารถไม่สามารถ
จะท�ำการดังกล่าวได้ด้วยตนเอง เพราะเหตุมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ศาล
จะส่ังให้ผู้พิทักษ์เป็นผู้มีอ�ำนาจกระท�ำการน้ันแทนคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้ ตามมาตรา
๓๔ วรรคสาม ดังน้ีผู้พิทักษ์จะมีอ�ำนาจดูแลจัดการท�ำนิติกรรมแทนคนเสมือนไร้ความสามารถ
7
ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากศาล ท้ังการจัดการดังกล่าวต้องเป็นไปเพื่อรักษาประโยชน์ของคน
เสมือนไร้ความสามารถ ที่ผู้ร้องมายื่นค�ำร้องขอขายท่ีดินของ นางสาว ส. คนเสมือนไร้ความ
สามารถ โดยอ้างว่า นางสาว ส. มีร่างกายพิการและสมองไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถให้ปากค�ำ
ต่อเจ้าพนักงานท่ีดินได้นั้น ทางพิจารณาได้ความว่า นาย ก. ท�ำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคาร
โดยนางสาว ส. จดทะเบียนจำ� นองที่ดินของตนเปน็ ประกันหนีเ้ งนิ กู้ดังกลา่ ว ต่อมา นาง ถ. ช�ำระหนี้
เงินกู้และไถ่ถอนจ�ำนองแล้วจะรับโอนที่ดินน้ัน แต่ไม่ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวมีราคาประเมินของ
ทางราชการเพยี งใด การโอนขายทดี่ ินจะเกดิ ประโยชนแ์ ก่ นางสาว ส. และจะทำ� ให้ นางสาว ส.
เสียเปรียบหรือไม่ ทัง้ ผรู้ อ้ งไมไ่ ดน้ ำ� นาย ก. มาน�ำสืบถึงสาเหตุทีไ่ มช่ �ำระหน้ี สว่ นที่ผูร้ อ้ งอา้ งวา่
มีค่าใช้จ่ายในการดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ ผู้ร้องก็มิได้น�ำสืบว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่าย
ทจ่ี �ำเปน็ อะไรบา้ ง เดือนละเท่าใด หากขายท่ดี ินของคนเสมือนไร้ความสามารถแลว้ จะมเี งนิ เหลือ
เปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยดังกล่าวหรือไม่ ตามทางน�ำสืบของผู้ร้องจงึ ยังไมม่ เี หตสุ มควรทจี่ ะอนญุ าตให้ผ้รู ้อง
ท�ำนติ กิ รรมขายท่ดี นิ แทนคนเสมือนไรค้ วามสามารถ ที่ศาลช้ันตน้ มคี ำ� สง่ั ยกค�ำร้องขอของผรู้ อ้ ง
น้นั ศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษเหน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณข์ องผ้รู ้องฟงั ไมข่ นึ้
พพิ ากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนยี มในชัน้ นี้ให้เป็นพับ.
(ฐานนั ท์ วรรณโกวิท - อเุ ทน ศิรสิ มรรถการ - รตั นา กิตตพิ ิบลู ย)์
นราธิป บุญญพนชิ - ย่อ
นรินทร์ ทองค�ำใส - ตรวจ
8
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนัญพเิ ศษที่ ๒๕๐๔/๒๕๖๐ นาย ว. ผรู้ อ้ ง
นาย บ. กบั พวก ผคู้ ดั คา้ น
ป.พ.พ. มาตรา ๒๘, ๓๒, ๑๕๖๒
ผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอให้ศาลมีค�ำส่ังว่าผู้คัดค้านที่ ๑ และท่ี ๒ เป็นคนเสมือน
ไร้ความสามารถและให้ผู้ร้องเป็นผู้พิทักษ์ ซ่ึงกฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ร้องในฐานะ
ผู้สืบสันดานในการที่จะย่ืนค�ำร้องขอได้ตามท่ี ป.พ.พ. มาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๒
ก�ำหนดไว้ มิใช่กรณีที่ผู้ร้องมีค�ำขออย่างใดอย่างหน่ึงในทางที่จะเป็นการบังคับเอากับ
ผ้คู ดั ค้านท่ี ๑ และท่ี ๒ ซงึ่ เปน็ บพุ การี แม้ผู้คัดคา้ นที่ ๑ และท่ี ๒ จะยน่ื คำ� คดั คา้ นเข้ามา
ก็เป็นการกระท�ำของผู้คัดค้านที่ ๑ และท่ี ๒ เอง มิใช่การกระท�ำของผู้ร้อง ดังนั้น คดี
ของผูร้ ้องจึงไม่เปน็ อทุ ลมุ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๒ ผรู้ อ้ งมีอ�ำนาจยน่ื ค�ำร้องขอได้
______________________________
ผู้ร้องยน่ื คำ� ร้องขอให้ศาลมคี ำ� สั่งว่า นาย ว. กับนาง พ. เปน็ คนเสมือนไร้ความสามารถ
และตั้งผูร้ ้องเปน็ ผ้พู ทิ กั ษ์
ผู้คัดคา้ นท่ี ๑ ท่ี ๒ ที่ ๓ และท่ี ๔ ยืน่ ค�ำคดั คา้ นขอให้ยกคำ� รอ้ งขอ
ศาลชน้ั ตน้ มีคำ� สงั่ ว่า นาย ว. ผคู้ ัดค้านที่ ๑ กบั นาง พ. ผ้คู ัดค้านท่ี ๒ เปน็ คนเสมือน
ไร้ความสามารถ ให้บุคคลทั้งสองอยู่ในความพทิ ักษ์ของ นาย ช. ผู้ร้อง และนาย ย. ผู้คัดค้าน
ที่ ๓ ค่าฤชาธรรมเนียมใหเ้ ปน็ พบั
ผูค้ ดั ค้านท้งั สี่อทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
รับฟงั เปน็ ทย่ี ตุ ใิ นเบอื้ งตน้ ว่า ผคู้ ดั คา้ นท่ี ๑ เกิดเม่อื วันท่ี ๒๗ มิถนุ ายน ๒๔๖๙ ผ้คู ัดคา้ นที่ ๒
เกิดเมื่อวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๔๗๗ ขณะท่ีผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอผู้คัดค้านที่ ๑ อายุ ๘๘ ปีเศษ
และผู้คัดค้านที่ ๒ อายุ ๘๑ ปีเศษ ผู้คัดค้านที่ ๑ และที่ ๒ เป็นสามีภริยากัน มีบุตรด้วยกัน
๔ คน คือ ผู้คัดค้านที่ ๔ ผู้คัดค้านท่ี ๓ นาย ต. และผู้ร้อง ตามล�ำดับ ตามส�ำเนาใบส�ำคัญ
การสมรส ส�ำเนาบัตรประจ�ำตัวประชาชน และส�ำเนาทะเบียนบ้าน ผู้คัดค้านที่ ๑ และที่ ๒
ประกอบธุรกิจจ�ำหน่ายเคร่ืองใช้ไฟฟ้าโดยจดทะเบียนเป็นบริษัทจ�ำกัดเมื่อปี ๒๕๒๗ ใช้ช่ือ
9
ว่า บริษัท ว. จ�ำกัด ตามส�ำเนาหนังสือรับรอง ผู้คัดค้านที่ ๑ และที่ ๒ ไม่เป็นบุคคลมีกาย
พิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้คัดค้านท้ังส่ี
ในว่า ผู้ร้องไม่มีอ�ำนาจยื่นค�ำร้องขอเพราะเป็นอุทลุมไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๒ หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอให้ศาลมีค�ำสั่งว่าผู้คัดค้าน
ที่ ๑ และท่ี ๒ เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้ผู้ร้องเป็นผู้พิทักษ์ ซ่ึงกฎหมายให้สิทธิแก่
ผู้ร้องในฐานะผู้สืบสันดานในการท่ีจะย่ืนค�ำร้องขอได้ตามท่ีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๒๘ และมาตรา ๓๒ ก�ำหนดไว้ มิใช่กรณีท่ีผู้ร้องมีค�ำขออย่างใดอย่างหน่ึงในทาง
ที่จะเป็นการบังคับเอากับผู้คัดค้านที่ ๑ และที่ ๒ ซ่ึงเป็นบุพการี แม้ผู้คัดค้านท่ี ๑ และท่ี ๒
จะยืน่ คำ� คัดค้านเข้ามากเ็ ป็นการกระท�ำของผู้คดั ค้านที่ ๑ และท่ี ๒ เอง มิใชก่ ารกระท�ำของผู้ร้อง
ดังน้ัน คดีของผู้ร้องจึงไม่เป็นอุทลุม ผู้ร้องมีอ�ำนาจยื่นค�ำร้องขอได้ ท่ีศาลช้ันต้นวินิจฉัยมานั้น
ชอบแลว้ อุทธรณข์ ้อน้ขี องผู้คดั ค้านท้งั สีฟ่ งั ไม่ขึน้
พิพากษากลับให้ยกค�ำร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลช้ันต้นและชั้นอุทธรณ์
ใหเ้ ป็นพบั .
(เผดิม เพ็ชรกลู - ชารยี า เดน่ นนิ นาท - อินทริ า ฉิวรัมย์)
นราธิป บญุ ญพนชิ - ยอ่
นรินทร์ ทองคำ� ใส - ตรวจ
10
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นัญพิเศษที่ ๖๗๐/๒๕๖๒ นางสาว ช. ผรู้ ้อง
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๗๔
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๗๔ เป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่มีเจตนารมณ์ในการ
มุ่งคุ้มครองทรัพย์สินของผู้เยาว์โดยมิให้ผู้ใช้อ�ำนาจปกครองกระท�ำนิติกรรมอย่างใด
อย่างหน่ึงอันเก่ียวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังท่ีบัญญัติไว้ใน (๑) ถึง (๑๓) โดยไม่ได้รับ
อนญุ าตจากศาลกอ่ น เพอ่ื ใหศ้ าลไดพ้ จิ ารณาถงึ เหตผุ ลความจำ� เปน็ ทผ่ี ใู้ ชอ้ ำ� นาจปกครอง
ขออนญุ าตทำ� นติ กิ รรมดงั กลา่ ววา่ มเี หตสุ มควรหรอื ไม่ และการทำ� นติ กิ รรมดงั กลา่ วทำ� ให้
ผู้เยาว์เสียเปรียบในทางทรัพย์สินหรือไม่เป็นส�ำคัญ ซึ่งการขออนุญาตท�ำนิติกรรมขาย
ทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามมาตรา ๑๕๗๔ (๑) นั้น มีสาระส�ำคัญในการพิจารณาอนุญาต
ให้ท�ำนิติกรรมเพียงว่ามีเหตุจ�ำเป็นที่จะขายทรัพย์สินน้ันหรือไม่ และการขายทรัพย์สิน
นั้นท�ำให้ผู้เยาว์เสียเปรียบในทางทรัพย์สินหรือไม่เท่านั้น ส่วนการจะขายทรัพย์สินนั้น
ให้แก่ผู้ใดหาใช่ส่วนที่เป็นสาระส�ำคัญไม่ แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงส่วนหน่ึง
ที่ผู้ร้องน�ำสืบพยานหลักฐานประกอบการพิจารณาขออนุญาตท�ำนิติกรรมขายทรัพย์สิน
นั้นก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงท่ีแสดงให้เห็นได้ว่ามีผู้ประสงค์จะซ้ือทรัพย์สินน้ัน
มิใช่เป็นการขออนุญาตท�ำนิติกรรมขายทรัพย์สินโดยเล่ือนลอยเท่านั้น ชื่อของผู้จะซื้อ
ทรัพยส์ นิ จงึ มิใช่สว่ นทเี่ ปน็ สาระสำ� คญั ที่จ�ำต้องระบุเป็นการเฉพาะไว้ในคำ� ส่งั ของศาล
_____________________________
คดีสืบเน่ืองมาจากผู้ร้องยื่นค�ำร้องขออนุญาตขายทรัพย์สินแทนเด็กหญิง ด. ผู้เยาว์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีค�ำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องท�ำนิติกรรมขายห้องชุดเลขท่ี ๕๙/๑๑๐ ชั้นที่ ๖
อาคารซี แขวงหวั หมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ชอ่ื อาคารชุดลุมพนิ ี วิลล์ รามค�ำแหง ๒๖
ให้แก่นางสาว น. ผู้จะซื้อในราคาไม่ต�่ำกว่า ๒,๙๐๐,๐๐๐ บาท ภายในก�ำหนด ๑ ปี นับแต่
วนั ทค่ี �ำสั่งถึงทสี่ ดุ ค่าฤชาธรรมเนยี มให้เป็นพบั คดีถงึ ทสี่ ุดแล้ว
ต่อมาผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอให้แก้ไขค�ำสั่งศาลช้ันต้น เนื่องจากนางสาว น. ซึ่งเป็นผู้จะ
ซ้ือห้องชุดเดิมขอยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับผู้ร้อง แต่เม่ือผู้ร้องหาผู้จะซื้อห้องชุด
รายใหม่ เจ้าพนักงานที่ดินแจ้งว่าจดทะเบียนโอนห้องชุดให้แก่ผู้จะซื้อรายใหม่ไม่ได้เน่ืองจาก
11
ค�ำส่ังของศาลชั้นต้นระบุเฉพาะเจาะจงให้ผู้ร้องท�ำนิติกรรมขายห้องชุดให้แก่นางสาว น. ผู้ร้อง
จึงไม่อาจขายห้องชุดของผู้เยาว์ตามค�ำสั่งศาลชั้นต้นได้ ขอให้แก้ไขค�ำส่ังศาลช้ันต้นจากเดิม
ทีร่ ะบุให้ผู้รอ้ งทำ� นิติกรรมขายหอ้ งชดุ ให้แก่นางสาว น. เป็นไมร่ ะบชุ อ่ื ผจู้ ะซื้อหอ้ งชุด แทน
ศาลชน้ั ต้นมคี ำ� ส่ังว่า ตามค�ำรอ้ งขอไม่ใชก่ ารแก้ไขเพิ่มเติมเลก็ นอ้ ย หากผ้รู ้องประสงค์
จะท�ำนิติกรรมกับผู้จะซื้อรายอื่นนอกจากที่เคยยื่นค�ำร้องขอต่อศาล จะต้องยื่นพยานหลักฐาน
เขา้ มาใหม่และดำ� เนนิ การไต่สวนไปตามข้ันตอนของกฎหมาย ยกค�ำรอ้ ง
ผ้รู อ้ งอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา
ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า มีเหตุสมควรแก้ไขค�ำส่ังศาลชั้นต้นตามค�ำร้องขอของ
ผู้ร้องหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๗๔ เป็นบทบัญญัติของ
กฎหมายท่ีมีเจตนารมณ์ในการมุ่งคุ้มครองทรัพย์สินของผู้เยาว์โดยมิให้ผู้ใช้อ�ำนาจปกครอง
กระทำ� นิติกรรมอย่างใดอย่างหน่ึงอนั เกีย่ วกับทรัพย์สินของผู้เยาวด์ ังทบ่ี ญั ญตั ิไว้ใน (๑) ถึง (๑๓)
แห่งบทบัญญัติดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน เพ่ือให้ศาลได้พิจารณาถึงเหตุผล
ความจ�ำเป็นท่ีผู้ใช้อ�ำนาจปกครองขออนุญาตท�ำนิติกรรมดังกล่าวว่ามีเหตุสมควรหรือไม่และการ
ท�ำนิติกรรมดังกล่าวท�ำให้ผู้เยาว์เสียเปรียบในทางทรัพย์สินหรือไม่เป็นส�ำคัญซึ่งการขออนุญาต
ทำ� นติ กิ รรมขายทรพั ยส์ นิ ของผเู้ ยาวต์ ามมาตรา๑๕๗๔(๑)นน้ั มสี าระสำ� คญั ในการพจิ ารณาอนญุ าต
ให้ท�ำนิติกรรมเพียงว่า มีเหตุจ�ำเป็นท่ีจะขายทรัพย์สินนั้นหรือไม่และการขายทรัพย์สินน้ัน
ท�ำให้ผู้เยาว์เสียเปรียบในทางทรัพย์สินหรือไม่เท่าน้ันส่วนการจะขายทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ใด
หาใช่ส่วนท่ีเป็นสาระส�ำคัญไม่ แม้ข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งที่ผู้ร้อง
น�ำสืบพยานหลักฐานประกอบการพิจารณาขออนุญาตท�ำนิติกรรมขายทรัพย์สินน้ันก็ตาม
แตก่ เ็ ปน็ เพยี งขอ้ เทจ็ จรงิ ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ไดว้ า่ มผี ปู้ ระสงคจ์ ะซอ้ื ทรพั ยส์ นิ นนั้ มใิ ชเ่ ปน็ การขออนญุ าต
ท�ำนิติกรรมขายทรัพย์สินโดยเลื่อนลอยเท่านั้น ชื่อของผู้จะซื้อทรัพย์สินจึงมิใช่ส่วนที่เป็นสาระ
ส�ำคัญที่จ�ำต้องระบุเป็นการเฉพาะไว้ในค�ำสั่งของศาล ทั้งตามค�ำร้องขอของผู้ร้องก็เพียงแต่ขอ
ใหศ้ าลไตส่ วนและมคี ำ� สง่ั อนญุ าตใหข้ ายหอ้ งชดุ เทา่ นนั้ ดงั นน้ั เมอ่ื คำ� สงั่ ของศาลชน้ั ตน้ ทอี่ นญุ าต
ให้ขายทรัพย์สินมีข้อความระบุเฉพาะให้ท�ำนิติกรรมขายห้องชุดของผู้เยาว์แก่นางสาว น. และ
มีเหตุขัดข้องต่อมาในช้ันบังคับคดีเน่ืองจากนางสาว น. บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับ
ผู้ร้องตามหนังสือขอยกเลิกสัญญาจะซ้ือจะขายท้ายอุทธรณ์ของผู้ร้อง ซ่ึงการบอกเลิกสัญญา
ดังกล่าวมิใช่ความผิดของผู้ร้อง และเม่ือการแก้ไขในส่วนดังกล่าวไม่ใช่การแก้ไขค�ำส่ังในส่วนที่เป็น
12
สาระสำ� คญั จงึ มเี หตสุ มควรทจี่ ะแกไ้ ขคำ� สงั่ ศาลชนั้ ตน้ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการบงั คบั ปฏบิ ตั ติ ามคำ� สง่ั
ศาลชั้นต้นได้ ที่ศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังยกค�ำร้องของผู้ร้อง จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์
คดีชำ� นัญพิเศษ อุทธรณ์ของผรู้ อ้ งฟงั ขนึ้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แก้ไขค�ำส่ังศาลช้ันต้นโดยให้ผู้ร้องขายห้องชุดแก่ผู้จะซ้ือได้
ภายในเวลาและราคาตามค�ำสั่งศาลช้ันต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่
แก้ให้เปน็ ไปตามค�ำสัง่ ศาลชน้ั ตน้ .
(รชั ดาพร เสนยี ์วงศ์ ณ อยธุ ยา - อเุ ทน ศิรสิ มรรถการ - รตั นา กติ ติพิบลู ย์)
ณศิ รา อุปัตศิ ฤงค์ - ยอ่
พทิ ักษ์ หลิมจานนท์ - ตรวจ
13
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีช�ำนญั พิเศษที่ ๘๖/๒๕๖๓ นาย ธ. ผู้ร้อง
ป.พ.พ. มาตรา ๒๘ วรรคสอง, ๑๕๗๔ (๓), ๑๕๙๐, ๑๕๙๘/๑๘ วรรคสอง
ผู้ร้องยื่นค�ำร้องขอต่อศาลเพ่ือให้ศาลมีค�ำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาล
ทำ� นติ กิ รรมเกย่ี วกบั ทรพั ยส์ นิ ของนาง ก. คนไรค้ วามสามารถ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๗๔ (๓)
ประกอบมาตรา ๑๕๙๘/๑๘ วรรคสอง และมาตรา ๒๘ วรรคสอง เมื่อปรากฏว่า
คดีน้ีผู้ร้องมิได้เป็นผู้อนุบาลเพียงคนเดียวของนาง ก. ตามค�ำสั่งศาลท่ีต้ังผู้ร้องร่วมกับ
นาย ธ. เป็นผู้อนุบาลของนาง ก. น้ัน มิได้ให้อ�ำนาจแก่ผู้ร้องเพียงผู้เดียวที่จะจัดการ
เก่ียวกับทรัพย์สินของนาง ก. ในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งได้โดยเฉพาะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๙๐
ดังน้ัน ผรู้ ้องเพียงล�ำพังจงึ ไม่มอี ำ� นาจยนื่ ค�ำร้องขอ
______________________________
ผ้รู ้องยน่ื คำ� ร้องขอใหม้ คี ำ� สัง่ อนญุ าตให้ผรู้ ้องและนาย น. ในฐานะผอู้ นบุ าลของนาง ก.
จดทะเบียนให้ท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๑๓๔๒๖๔ ต�ำบลคลองถนน อ�ำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร
ของนาง ก. คนไร้ความสามารถ ตกอยู่ภายใต้บังคับภาระจ�ำยอมเรื่องทางเดิน ทางรถยนต์
ทางระบายน้�ำ ระบบไฟฟ้า ระบบประปา โทรศัพท์และสาธารณูปโภคอ่ืน ๆ ของที่ดิน
โฉนดเลขท่ี ๓๒๔๐๓ ถึง ๓๒๔๐๗ ต�ำบลคลองถนน อ�ำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร
หากนาย น. ไม่ปฏิบัติตามขอให้มีค�ำสั่งให้นาย น. ส่งมอบโฉนดท่ีดินเลขที่ ๑๓๔๒๖๔
ที่นาย น. ครอบครองอยู่ให้แก่ผู้ร้องหรือต่อศาล และให้ถือเอาค�ำสั่งศาลแทนการแสดงเจตนา
ของนาย น. เพ่อื ใหผ้ ู้รอ้ งได้ด�ำเนินการตามคำ� สงั่ ศาลตอ่ ไป
ศาลช้นั ต้นมีค�ำสง่ั ยกค�ำร้องขอ
ผู้ร้องอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหา
ท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องจะยื่นค�ำร้องขอเป็นคดีนี้เพียงล�ำพังคนเดียว
ได้หรือไม่ เห็นว่า ท่ีผู้ร้องยื่นค�ำร้องขอเป็นคดีนี้ หาใช่เป็นการยื่นค�ำร้องขอต่อศาลเพ่ือ
ให้ศาลมีค�ำส่ังว่าผู้ร้องได้ภาระจ�ำยอมในที่ดินโฉนดเลขท่ี ๑๓๔๒๖๔ โดยอายุความตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ มาตรา ๑๔๐๑ ประกอบมาตรา ๑๓๘๒ ไม่ แต่
14
เป็นกรณีที่ผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอต่อศาลเพ่ือให้ศาลมีค�ำส่ังอนุญาตให้ผู้ร้องในฐานะผู้อนุบาล
ท�ำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินของนาง ก. คนไร้ความสามารถ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณชิ ย์ บรรพ ๕ มาตรา ๑๕๗๔ (๓) ประกอบมาตรา ๑๕๙๘/๑๘ วรรคสอง และประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๑ มาตรา ๒๘ วรรคสอง เม่ือปรากฏว่าคดีน้ีผู้ร้องมิได้เป็นผู้อนุบาล
เพียงคนเดียวของนาง ก. และตามค�ำสั่งศาลที่ต้ังผู้ร้องร่วมกับนาย น. เป็นผู้อนุบาลของ
นาง ก. น้ัน มิได้ให้อ�ำนาจแก่ผู้ร้องเพียงผู้เดียวท่ีจะจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของนาง ก.
ในเร่ืองใดเรื่องหนึ่งได้โดยเฉพาะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๙๐
ดังนั้น ผู้ร้องเพียงล�ำพังจึงไม่มีอ�ำนาจยื่นค�ำร้องขอเป็นคดีนี้ ศาลช้ันต้นวินิจฉัยชอบแล้ว
อุทธรณ์ของผ้รู อ้ งฟงั ไมข่ ้นึ
พิพากษายนื คา่ ฤชาธรรมเนียมทัง้ สองศาลให้เป็นพบั .
(ชินวิทย์ จินดา แตม้ แกว้ - เผดิม เพ็ชรกลู - ชารียา เดน่ นินนาท)
ฉันทนา ชมพานิชย์ - ย่อ
พิทกั ษ์ หลมิ จานนท์ - ตรวจ
15
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษท่ี ๑๕๕/๒๕๖๔ นางสาว พ. โจทก์
นาย ส. กับพวก จำ� เลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๓๙, ๑๔๔๔, ๑๔๔๗/๑
การกระท�ำชั่วอย่างร้ายแรงของโจทก์อันเป็นเหตุให้จ�ำเลยท่ี ๑ มีสิทธิบอกเลิก
สัญญาหมั้นได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๔๔ ต้องเป็นการกระท�ำท่ีเกิดขึ้นภายหลัง
การหม้ัน ส่วนพฤติกรรมของโจทก์ที่ไม่ให้จ�ำเลยที่ ๑ อยู่ร่วมรับประทานอาหารกับ
ครอบครัวของจ�ำเลยที่ ๑ และให้จ�ำเลยที่ ๑ พาออกไปรับประทานอาหารท่ีอ่ืนนั้น
แม้จะมีลักษณะไม่ให้เกียรติและไม่เคารพบุคคลในครอบครัวของจ�ำเลยที่ ๑ อยู่บ้าง
กต็ าม กเ็ ปน็ เพยี งการกระทำ� ทไ่ี มส่ มควรและไมเ่ หมาะสม แตย่ งั ไมถ่ งึ กบั เปน็ การกระทำ� ชว่ั
อยา่ งรา้ ยแรงแตอ่ ย่างใด จำ� เลยท่ี ๑ จึงไมม่ สี ทิ ธบิ อกเลิกสญั ญาหมน้ั กับโจทก์
โจทก์กับจ�ำเลยท่ี ๑ ก�ำหนดจัดงานพิธีสมรสในวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
แต่เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จ�ำเลยที่ ๑ พูดยืนยันขอบอกเลิกสัญญาหม้ันและ
ปฏิเสธการสมรสกับโจทก์ ท้ังบอกว่าไม่ต้องการคบหากับโจทก์อีกต่อไป หลังจากนั้น
จำ� เลยท่ี ๑ ก็ไมไ่ ด้ติดตอ่ กับโจทก์อกี ต่อมาวันท่ี ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ จำ� เลยท่ี ๑ ได้แจง้
ยกเลิกการจองสถานที่จัดงานพิธีสมรส จ�ำเลยท่ี ๑ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นมาตั้งแต่
วันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ มิใช่ผิดสัญญาหม้ันในวันท่ีก�ำหนดจัดงานพิธีสมรสเดิม
การท่ีโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จึงพ้นก�ำหนดหกเดือนนับแต่
วันผิดสัญญาหม้ัน ฟ้องโจทก์ในส่วนเรียกค่าทดแทนจึงขาดอายุความตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๔๔๗/๑ วรรคหน่งึ
_____________________________
โจทกฟ์ ้อง ขอใหบ้ งั คับจ�ำเลยท้ังสองส่งมอบของหม้ัน คือ บ้านเลขท่ี ๙๕/๑๘๗ พรอ้ ม
ทีด่ ินโฉนดเลขท่ี ๔๘๖๒๒ ตำ� บลมหาสวัสดิ์ อำ� เภอบางกรวย จังหวัดนนทบรุ ี ในหมบู่ า้ นบางกอก
บเู ลอวารด์ ราคาประมาณ ๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท เงนิ สด ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทองรูปพรรณน�ำ้ หนกั
๒๐ บาท ราคาประมาณ ๓๘๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ หากจ�ำเลยทั้งสองไม่สามารถส่งมอบได้ให้
ใช้ราคาแทน ๑๑,๘๘๐,๐๐๐ บาท และให้จ�ำเลยทั้งสองช�ำระค่าสินสอด ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท กับ
16
คา่ ทดแทนและค่าเสยี หาย ๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงนิ ๑๙,๘๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี นับแตว่ นั ฟอ้ งเปน็ ต้นไปจนกว่าจะชำ� ระเสร็จแกโ่ จทก์
จ�ำเลยท้งั สองใหก้ าร ขอใหย้ กฟ้อง
ศาลชน้ั ต้นพพิ ากษาให้จำ� เลยท่ี ๑ จา่ ยค่าทดแทนให้แก่โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท พรอ้ ม
ดอกเบยี้ อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟอ้ ง (ฟอ้ งวนั ท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒) เปน็ ตน้ ไป
จนกว่าจะช�ำระเสร็จ ให้จ�ำเลยที่ ๑ ช�ำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์ โดย
ให้ใช้ค่าขึ้นศาลแทนโจทก์เฉพาะทุนทรัพย์ในส่วนท่ีโจทก์ชนะคดี และก�ำหนดค่าทนายความ
๑๐,๐๐๐ บาท คำ� ขออนื่ นอกจากน้ใี หย้ ก
โจทก์และจำ� เลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั วนิ จิ ฉยั วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ เบอ้ื งตน้
ท่ีคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่โต้แย้งกันในช้ันน้ีรับฟังได้ว่า เม่ือปี ๒๕๔๙ โจทก์รู้จักกับจ�ำเลยท่ี ๑
และคบหากันฉันคนรักมาตั้งแต่ขณะศึกษาอยู่ด้วยกันที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า
เจ้าคุณทหารลาดกระบังในระดับช้ันปริญญาตรี และศึกษาต่อในระดับช้ันปริญญาโทด้วยกัน
ท่จี ุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย จนสำ� เรจ็ การศึกษาเม่อื ปี ๒๕๕๖ ต่อมาจำ� เลยที่ ๑ มอบแหวนหมัน้
และขอโจทก์แต่งงานโดยก�ำหนดจัดพิธีหม้ันและสมรสในวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และ
จัดพิธีฉลองมงคลสมรสในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๑ โจทก์กับจ�ำเลยที่ ๑ ได้จองสถานท่ี
เพื่อจัดพิธีหมั้นและสมรสที่บ้านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ิ ปราโมช จองสถานท่ีจัดพิธีฉลองมงคล
สมรสที่สโมสรทหารบก จองคิวร้านดอกไม้เพื่อตกแต่งสถานท่ี รวมถึงจองชุดแต่งงานและ
ชา่ งแตง่ หนา้ แลว้ โดยจำ� เลยที่ ๑ เป็นผูช้ ำ� ระเงนิ มัดจ�ำทั้งหมด ต่อมาจ�ำเลยที่ ๑ ยกเลกิ การจอง
สถานท่ีดงั กล่าวและยกเลกิ การจองชา่ งแต่งหน้า
คดีมีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยที่ ๑ ประการแรกว่า จ�ำเลยท่ี ๑ ผิด
สัญญาหม้ันหรือไม่ เห็นว่า กรณีท่ีจ�ำเลยท่ี ๑ อ้างว่า โจทก์กระท�ำชั่วอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุ
ให้จ�ำเลยท่ี ๑ มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหม้ันได้นั้น จะต้องเป็นการกระท�ำช่ัวอย่างร้ายแรงท่ีเกิด
ข้ึนภายหลังการหม้ันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๔๔ เห็นควรวินิจฉัย
ก่อนวา่ โจทก์และจำ� เลยที่ ๑ หมัน้ กนั เม่ือใด โจทกเ์ บกิ ความว่า เมื่อวันท่ี ๒๕ ธนั วาคม ๒๕๖๐
จ�ำเลยที่ ๑ ว่าจ้างให้ร้านอาหารจัดสถานท่ีเป็นงาน “Will you marry me” ซ่ึงเป็นการแอบ
จัดงานเพื่อสร้างความประหลาดใจให้แก่โจทก์ (Surprise Party) โดยมิได้บอกให้โจทก์ทราบ
มากอ่ น ในวนั ดงั กลา่ วจำ� เลยท่ี ๑ เชญิ เพอ่ื น ๆ มารว่ มงาน จำ� เลยที่ ๑ บอกวา่ รกั โจทกอ์ ยากใชช้ วี ติ
17
ร่วมกันและขอแต่งงานกับโจทก์ พร้อมทั้งสวมแหวนหมั้นให้แก่โจทก์เป็นการยืนยันขอหม้ัน
ไว้ก่อนตามภาพถ่ายหมาย จ.๑๐ และ จ.๑๑ ส่วนจ�ำเลยที่ ๑ เบิกความว่า เม่ือวันท่ี ๒๔
ธันวาคม ๒๕๖๐ จ�ำเลยที่ ๑ จัดงานเลี้ยงที่ร้านอาหารโดยบอกให้โจทก์ทราบล่วงหน้าและ
มอบแหวนเพชร ๑ วง ราคา ๓๐,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์เป็นของหมนั้ ตามภาพถ่ายหมาย ล.๔
หลังจากน้ันโจทก์และจ�ำเลยที่ ๑ ก็ช่วยกันจัดเตรียมงานสมรส และจ�ำเลยที่ ๑ เบิกความ
ตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ในวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ จ�ำเลยท่ี ๑ พูดขอโจทก์แต่งงาน
เม่ือพิจารณาภาพถ่ายหมาย จ.๑๐ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศในงาน “Will you marry me” ก็ไม่
ปรากฏวันท่ีจัดงานดังกล่าว ส่วนภาพถ่ายหมาย จ.๑๑ เป็นภาพถ่ายบุคคลท่ีมาร่วมงาน
เป็นกลมุ่ มาจากอินสตาแกรมระบวุ ันท่ี ๒๕ ธนั วาคม ๒๕๖๐ มขี ้อความว่า “ภาพแห่งความทรงจ�ำ
เพ่ือนรักจะแต่งงาน” แต่ภาพถ่ายหมาย ล.๔ ซึ่งเป็นภาพถ่ายที่จ�ำเลยที่ ๑ คุกเข่า
สวมแหวนหมั้นให้โจทก์มาจากเฟซบุ๊กระบุวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ เชื่อว่าภาพถ่าย
หมาย จ.๑๑ เป็นภาพท่ีน�ำมาลงในอินสตาแกรมหลังจากวันท่ีจ�ำเลยที่ ๑ หมั้นกับโจทก์แล้ว
กรณีจึงฟังได้ว่าจ�ำเลยท่ี ๑ หมั้นกับโจทก์เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ ในส่วนเหตุการณ์ท่ี
จ�ำเลยท่ี ๑ อ้างว่าโจทก์กระท�ำชั่วอย่างร้ายแรงภายหลังวันหม้ัน จ�ำเลยท่ี ๑ จึงมีสิทธิบอกเลิก
สัญญาหมั้นน้ัน จ�ำเลยที่ ๑ เบิกความและเบิกความตอบทนายจ�ำเลยทั้งสองถามติงได้ความว่า
เม่อื วนั ท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เปน็ วนั ทำ� บญุ ข้นึ บ้านใหมข่ องครอบครัวจำ� เลยที่ ๑ โดยจ�ำเลย
ท่ี ๑ บอกให้โจทก์ไปร่วมงานด้วย เนื่องจากท่ีผ่านมาโจทก์ยังไม่เคยเจอญาติผู้ใหญ่ของจ�ำเลย
ท่ี ๑ อกี หลายคน จำ� เลยท่ี ๑ นดั วา่ จะไปรบั โจทก์ ในเวลา ๗.๓๐ นาฬกิ า แตโ่ จทกล์ งมาจากบา้ นชา้
และยังขอไปซื้อกาแฟก่อน ท้ังในการไปซ้ือกาแฟโจทก์ก็มีปากเสียงกับพนักงานท่ีร้านกาแฟ
จนต้องโทรศัพท์ไปหาเจ้าของร้าน ท�ำให้จ�ำเลยท่ี ๑ ไปถึงบ้านในเวลา ๑๐ นาฬิกาเศษ จ�ำเลย
ที่ ๑ ถกู บิดาตำ� หนอิ ย่างรุนแรง เมอื่ เสรจ็ งานพธิ กี าร จำ� เลยที่ ๑ ต้องการรว่ มรบั ประทานอาหาร
กับญาติผู้ใหญ่ โจทก์ก็แสดงอาการก้าวร้าวบังคับให้จ�ำเลยที่ ๑ พาโจทก์ออกจากงานทันที
ทั้งชักสีหน้าไม่พอใจและไม่ยอมร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวของจ�ำเลยท่ี ๑
เม่ือจ�ำเลยที่ ๑ พาโจทก์ออกมาจากงาน โจทก์ก็พูดให้ร้ายครอบครัวของจ�ำเลยที่ ๑
กับด่าทอบิดาของจ�ำเลยที่ ๑ ว่าขี้เรื้อน เป็นการท�ำร้ายจิตใจของจ�ำเลยที่ ๑ เป็นอย่างมาก
ซ่ึงขณะนั้นบิดาของจ�ำเลยท่ี ๑ ป่วยเป็นโรคตุ่มน้�ำพองซ่ึงเกิดจากน้�ำเหลืองเป็นพิษ ท�ำให้มี
แผลไปท่ัวบริเวณล�ำตัวและใบหน้าตามใบรับรองแพทย์ เอกสารหมาย ล.๗ และโจทก์ต่อว่า
วัฒนธรรมของครอบครัวจ�ำเลยท่ี ๑ ว่าเป็นคนเจ๊ก ทั้งยังทุบหน้าอกของจ�ำเลยที่ ๑ อย่างแรง
18
ขณะท่ีจ�ำเลยท่ี ๑ ขับรถยนต์อยู่บนทางด่วน ท�ำให้จ�ำเลยท่ี ๑ เจ็บและจุกแน่นท่ีหน้าอก
จากนนั้ โจทก์ใหจ้ ำ� เลยท่ี ๑ ไปสง่ ทสี่ ถานทีอ่ อกกำ� ลงั กายและรอรับโจทกก์ ลบั ไปสง่ ท่ีคอนโดมิเนียม
ย่านเกียกกาย เมื่อจ�ำเลยที่ ๑ กลับถึงบ้าน โจทก์ยังโทรศัพท์มาต่อว่าจ�ำเลยท่ี ๑ อีกว่าลืม
ขนมโมจิและส่ังให้จ�ำเลยที่ ๑ ไปซ้ือให้ในวันรุ่งขึ้น การท่ีโจทก์แสดงพฤติกรรมไม่ให้เกียรติ
และไม่เคารพบุคคลในครอบครัวของจ�ำเลยท่ี ๑ ท�ำให้จ�ำเลยท่ี ๑ ตัดสินใจท่ีจะไม่สมรสกับ
โจทก์ เนื่องจากพฤติกรรมของโจทก์รุนแรงมากข้ึนทุกวัน นอกจากน้ีโจทก์ยังเคยบังคับให้
จ�ำเลยที่ ๑ สาปแช่งบดิ ามารดาของจ�ำเลยท่ี ๑ ใหเ้ สียชวี ิตไปโดยเรว็ แตห่ ากจ�ำเลยท่ี ๑ บอก
เลิกสัญญาหม้ันและปฏิเสธท่ีจะสมรสกับโจทก์ในขณะนั้น โจทก์จะต้องขู่ว่าจะฆ่าตัวตายเหมือน
ทุกครั้งท่ีผ่านมาและท�ำร้ายจ�ำเลยท่ี ๑ อย่างรุนแรงจนอาจถึงแก่ชีวิตได้ ซ่ึงในวันดังกล่าว
เป็นวันท่ีจ�ำเลยที่ ๑ ไม่สามารถทนพฤติกรรมอันร้ายแรงต่าง ๆ นานาของโจทก์ได้อีกต่อไป
และจ�ำเลยท้ังสองมีนางสาว ส. น้าของจ�ำเลยท่ี ๑ เป็นพยานเบิกความว่า เม่ือวันที่ ๑๕
กรกฎาคม ๒๕๖๑ พยานสังเกตเห็นว่าโจทก์มีท่าทีอึดอัดไม่ค่อยอยากอยู่ร่วมงาน พยาน
ทราบจากจ�ำเลยท่ี ๒ ว่า โจทก์เร่งรัดบังคับให้จ�ำเลยท่ี ๑ พาออกจากงานไม่ยอมอยู่ร่วม
รับประทานอาหารด้วย และจ�ำเลยท้ังสองมีนางสาว น. ป้าของจ�ำเลยท่ี ๑ เป็นพยาน
เบิกความว่า วันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โจทก์มีท่าทีไม่อยากอยู่ร่วมงาน พยานชวน
โจทก์รับประทานอาหารด้วยกัน โจทก์ก็ปฏิเสธและบอกให้จ�ำเลยท่ี ๑ พาออกจากงาน
ส่วนโจทก์เบิกความว่า ในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จ�ำเลยท่ี ๑ ชวนโจทก์ไปร่วมงาน
ท�ำบุญขึ้นบ้านใหม่ของจ�ำเลยที่ ๑ โจทก์ร่วมรับประทานอาหารโต๊ะจีนด้วย แต่โจทก์อยู่ระหว่าง
การลดน�้ำหนักจึงบอกให้จ�ำเลยท่ี ๑ พาออกไปรบั ประทานอาหารที่ไม่ท�ำใหอ้ ้วนและไปด่ืมกาแฟ
โดยจำ� เลยท่ี ๒ บอกให้โจทกก์ ลับมาพูดคยุ เกย่ี วกบั ของช�ำรว่ ยในวนั หมนั้ โจทก์ก็กลับมาพดู คุย
กับจ�ำเลยที่ ๒ ตามปกติ และโจทก์เบิกความตอบทนายจ�ำเลยทั้งสองถามค้านว่า ก่อนที่จะไป
ร่วมงานท�ำบุญท่ีบ้านของจ�ำเลยที่ ๑ น้ัน โจทก์และจ�ำเลยท่ี ๑ แวะท่ีร้านกาแฟก่อน
โจทก์มีเร่ืองทะเลาะกับพนักงานของร้านกาแฟ โจทก์ออกจากบ้านของจ�ำเลยทั้งสองในเวลา
ประมาณ ๑๔ นาฬิกา แลว้ จ�ำเลยที่ ๑ ไปสง่ โจทก์ที่สถานทีอ่ อกก�ำลงั กาย จากนัน้ กแ็ ยกยา้ ยกัน
เห็นว่า แม้โจทก์และจ�ำเลยที่ ๑ เบิกความรับกันว่าจ�ำเลยท่ี ๑ ไปรับโจทก์มาร่วมงานท�ำบุญ
ขึ้นบ้านใหม่ที่บ้านของจ�ำเลยท่ี ๑ แต่โจทก์ให้จ�ำเลยท่ี ๑ แวะท่ีร้านกาแฟก่อนแล้วโจทก์
มีเร่ืองทะเลาะกับพนักงานของร้านกาแฟ และโจทก์ยังขอให้จ�ำเลยที่ ๑ พาออกจากงาน
หลังจากท่ีมีการท�ำบุญเล้ียงพระเสร็จแล้ว โดยจ�ำเลยท่ี ๑ ประสงค์จะอยู่ร่วมรับประทานอาหาร
19
กับญาติและบุคคลในครอบครัว แต่โจทก์กลับบอกให้จ�ำเลยที่ ๑ พาออกไปรับประทานอาหาร
ทไี่ มท่ ำ� ให้อว้ น เน่ืองจากโจทกอ์ ย่ใู นชว่ งลดน�ำ้ หนกั ซ่งึ จ�ำเลยที่ ๑ เบิกความยนื ยันวา่ โจทกไ์ ด้
แสดงอาการก้าวร้าวบังคับให้จ�ำเลยท่ี ๑ พาโจทก์ออกจากงานทันที ทั้งโจทก์ชักสีหน้าไม่พอใจ
และไม่ยอมร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวของจ�ำเลยที่ ๑ แม้จ�ำเลยที่ ๑ จะมีพยานปาก
นางสาว ส. และนางสาว น. เป็นพยานเบิกความสนบั สนนุ ว่า ในวันดังกลา่ วโจทก์มที ่าทอี ดึ อัด
ไม่อยากอยู่ร่วมงานและไม่ยอมร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัวของจ�ำเลยที่ ๑ ก็ตาม แต่
พยานโจทกท์ ง้ั สองปากกม็ ไิ ดเ้ บกิ ความยนื ยนั วา่ โจทกไ์ ดแ้ สดงอาการกา้ วรา้ วเพอ่ื บงั คบั ใหจ้ ำ� เลย
ท่ี ๑ พาโจทก์ออกจากงานแต่อย่างใด สว่ นที่จ�ำเลยท่ี ๑ อา้ งวา่ หลังจากพาโจทกอ์ อกมาจากงาน
โจทก์พูดจาให้ร้ายครอบครัวของจ�ำเลยท่ี ๑ ด่าทอบิดาของจ�ำเลยท่ี ๑ ว่าเป็นข้ีเรื้อน และ
ต่อว่าวัฒนธรรมของครอบครัวจ�ำเลยท่ี ๑ ว่าเป็นคนเจ๊ก ท้ังโจทก์ยังทุบหน้าอกของจ�ำเลยท่ี ๑
อย่างแรงขณะท่ีจ�ำเลยท่ี ๑ ขับรถยนต์อยู่บนทางด่วน แต่ทางน�ำสืบของจ�ำเลยที่ ๑
ไม่ปรากฏว่าเพราะเหตุใดโจทก์จึงได้ต่อว่าจ�ำเลยที่ ๑ เช่นนั้น และในวันดังกล่าวจ�ำเลยท่ี ๑
ได้เล่าเหตุการณ์ดังกล่าวให้ผู้ใดทราบบ้าง ข้ออ้างของจ�ำเลยที่ ๑ ดังกล่าวจึงเป็นการกล่าวอ้าง
ลอย ๆ ไมม่ นี �ำ้ หนักให้รับฟงั พฤติกรรมของโจทกท์ ่ีไม่ใหจ้ �ำเลยที่ ๑ อยรู่ ่วมรบั ประทานอาหาร
กับครอบครัวของจ�ำเลยท่ี ๑ และให้จ�ำเลยท่ี ๑ พาออกไปรับประทานอาหารท่ีไม่ท�ำให้อ้วน
นั้น แม้จะมีลักษณะไม่ให้เกียรติและไม่เคารพบุคคลในครอบครัวของจ�ำเลยท่ี ๑ อยู่บ้างก็ตาม
กเ็ ปน็ เพยี งการกระทำ� ทไ่ี มส่ มควรและไมเ่ หมาะสม แตย่ งั ไมถ่ งึ กบั เปน็ การกระทำ� ชว่ั อยา่ งรา้ ยแรง
แตอ่ ยา่ งใด จำ� เลยที่ ๑ จงึ ไมม่ สี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาหมนั้ กบั โจทก์ การทจ่ี ำ� เลยที่ ๑ บอกเลกิ สญั ญาหมนั้
โดยการแสดงเจตนาทีจ่ ะไมส่ มรสกับโจทก์โดยไม่มเี หตทุ ีจ่ ะอ้างไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย จำ� เลยที่ ๑
จงึ เป็นผผู้ ิดสัญญาหมนั้ โจทกจ์ ึงมีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจ�ำเลยท่ี ๑ ไดต้ ามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๓๙ ท่ศี าลชนั้ ตน้ วินิจฉยั วา่ จำ� เลยที่ ๑ เปน็ ฝา่ ยผิดสัญญาหม้นั นน้ั
ศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพเิ ศษเห็นพอ้ งด้วย อทุ ธรณ์ของจำ� เลยท่ี ๑ ขอ้ นฟี้ งั ไม่ขนึ้
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยที่ ๑ ประการต่อไปว่า สิทธิเรียกร้อง
ค่าทดแทนขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๓๙ บัญญัติ
วา่ “เมอ่ื มกี ารหมนั้ แลว้ ถา้ ฝา่ ยใดผดิ สญั ญาหมนั้ อกี ฝา่ ยหนงึ่ มสี ทิ ธเิ รยี กใหร้ บั ผดิ ใชค้ า่ ทดแทน...”
และมาตรา ๑๔๔๗/๑ วรรคหนงึ่ บญั ญตั วิ า่ “สทิ ธเิ รยี กรอ้ งคา่ ทดแทนตามมาตรา ๑๔๓๙ ใหม้ อี ายุ
ความหกเดือนนับแต่วันท่ีผิดสัญญาหมั้น” เห็นควรวินิจฉัยก่อนว่า จ�ำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาหมั้น
เมื่อใด โจทก์เบิกความว่า ในช่วงเย็นของวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ บิดามารดาของโจทก์
20
กลบั มาจากจังหวดั ปัตตานไี ด้สอบถามโจทกว์ า่ เม่ือวานไปดชู ดุ แตง่ งานกับจำ� เลยท่ี ๑ มาแล้วมี
ปัญหาอะไรหรือไม่ และจ�ำเลยท่ี ๑ บอกเรื่องอะไรกับโจทก์หรือไม่ แล้วบิดาของโจทก์บอกว่า
จำ� เลยที่ ๒ โทรศัพท์ไปแจ้งวา่ ขอเลื่อนการแต่งงานออกไปโดยไม่มกี ำ� หนดก่อน เน่อื งจากจำ� เลย
ที่ ๑ แจง้ ว่ายังไมพ่ รอ้ ม เม่ือโจทกไ์ ด้ยินจงึ อึง้ ไปสกั พกั และคดิ ว่าทำ� ไมจ�ำเลยที่ ๑ ไมบ่ อกโจทก์
ด้วยตนเอง ถ้าไม่ต้องการแต่งงานกน็ า่ จะบอกแต่แรก ปล่อยให้เวลาลว่ งเลยมาจนมีการหมั้นและ
เตรียมงานแต่งงานกันไว้หมดแล้ว โจทก์จึงโทรศัพท์หา จ�ำเลยที่ ๑ แต่จ�ำเลยท่ี ๑ ไม่รับสาย
ต่อมาจ�ำเลยท่ี ๑ โทรศัพท์กลับมาหาบิดาของโจทก์ บิดาของโจทก์เปิดล�ำโพงคุย จ�ำเลยที่ ๑
พูดเพียงว่าตอนน้ีสภาพร่างกายและจิตใจไม่ปกติ ขอเล่ือนการจัดงานออกไปก่อน ซึ่งบิดาของ
โจทกก์ ำ� ลงั จะพดู วา่ ใหน้ ำ� ผใู้ หญม่ าขอโทษแลว้ คยุ กนั แตจ่ ำ� เลยท่ี ๑ วางสายไปกอ่ น บดิ าของโจทก์
จึงส่งข้อความทางไลน์แจ้งให้จ�ำเลยท่ี ๑ น�ำผู้ใหญ่มาคุยกัน จ�ำเลยท่ี ๑ อ่านข้อความแล้ว
ไม่ตอบและบล็อกไลน์ของบิดาของโจทก์ จากน้ันเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา โจทก์ขอให้บิดา
มารดาของโจทกพ์ าโจทก์ไปหาจำ� เลยที่ ๑ ท่ีบา้ นทีถ่ นนลาดพรา้ ว แต่ป้าและนา้ ของจำ� เลยท่ี ๑
แจ้งว่าจ�ำเลยที่ ๑ ยังไม่กลับบ้าน ไม่รู้ว่าไปไหน โจทก์รออยู่สักพักใหญ่จึงกลับบ้าน วันที่ ๒๔
กรกฎาคม ๒๕๖๑ ชว่ งเช้า โจทก์แอบไปหาจ�ำเลยท่ี ๑ โดยทบี่ ดิ ามารดาของโจทก์ยังไมต่ ่ืนนอน
ทบี่ า้ นของจำ� เลยท่ี ๒ แตจ่ ำ� เลยท่ี ๒ บอกว่าจำ� เลยท่ี ๑ มอี าการเครยี ดไม่อาจออกมาพบได้ และ
โทรศัพท์แจ้งให้บิดาของโจทก์มารับโจทก์กลับ เม่ือบิดามารดาของโจทก์มาถึง จ�ำเลยท่ี ๒
ก็ยงั ไมย่ อมไปตามจำ� เลยท่ี ๑ ออกมาพบ แต่ภายหลังบิดาของจ�ำเลยท่ี ๑ ไปเรียกจ�ำเลยท่ี ๑ ให้
ออกมาพบ จ�ำเลยท่ี ๑ พูดเพียงว่ายังไม่พร้อมคุย รอให้จ�ำเลยท่ี ๑ มีสภาพจิตใจ
พร้อมก่อนแล้วจะติดต่อกลับไป จ�ำเลยท่ี ๒ บอกโจทก์และบิดามารดาของโจทก์ให้ใจเย็น ๆ
แล้วค่อยมาคุยกันใหม่และให้ยกเลิกงานพิธีต่าง ๆ กับเล่ือนงานแต่งงานออกไปก่อนรอให้
จ�ำเลยที่ ๑ พร้อม มารดาของโจทก์ถามว่าเล่ือนไปเม่ือใด จ�ำเลยท่ี ๒ บอกว่า ซินแสบอกว่า
เลยจากฤกษ์ท่ีก�ำหนดไว้แล้วต้องอีก ๗ ปี ข้างหน้าจึงจะมีฤกษ์ใหม่ บิดาของโจทก์จึงบอก
จำ� เลยที่ ๒ วา่ วนั ที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ใหจ้ ำ� เลยทง้ั สองไปพบและพดู คยุ กนั ทบี่ า้ นบดิ ามารดา
ของโจทก์ แตจ่ �ำเลยท้ังสองไม่ไดไ้ ปตามนดั และต้ังแตว่ นั ที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จนถงึ ปัจจุบัน
โจทก์ยังไม่ได้รับการติดต่อจากจ�ำเลยทั้งสองอีก ซึ่งบิดาของโจทก์พยายามท่ีจะติดต่อกับจ�ำเลย
ท่ี ๑ เพอื่ ใหม้ าพดู คยุ กนั แตไ่ มส่ ามารถตดิ ตอ่ ได้ และโจทกม์ พี นั เอก จ. และนาง ท. บดิ าและมารดา
ของโจทก์เป็นพยานเบิกความในท�ำนองเดียวกันได้ความว่า ช่วงบ่ายของวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม
๒๕๖๑ จ�ำเลยท่ี ๒ โทรศัพท์ไปบอกพยานท้ังสองว่า ขอเลื่อนการแต่งงานออกไปก่อนโดยไม่มี
21
ก�ำหนด เนื่องจากจำ� เลยที่ ๑ แจง้ ว่ายังไมพ่ รอ้ ม และพูดวา่ ขอโทษ แลว้ จะพูดคยุ กันอกี ที ต่อมา
วันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ พยานท้งั สองจึงรบี เดินทางกลับจากจังหวดั ปัตตานีมาบอกใหโ้ จทก์
ทราบ โจทกร์ ้องไหอ้ ย่างเสยี สตแิ ละพยายามโทรศพั ท์หาจำ� เลยท่ี ๑ แต่จ�ำเลยท่ี ๑ ไมย่ อมรับสาย
สักพักจ�ำเลยที่ ๑ โทรศัพท์กลับมาบอกพันเอก จ. ว่า ตอนนี้สภาพร่างกายและจิตใจไม่ปกติ
ขอเลื่อนการจัดงานออกไปก่อนแล้วก็วางสายไป พันเอก จ. จึงส่งข้อความทางไลน์บอกให้
จำ� เลยที่ ๑ นำ� ผใู้ หญม่ าคยุ กนั จำ� เลยท่ี ๑ อา่ นแลว้ ไมต่ อบและบลอ็ กไลนไ์ ป จากนนั้ เวลาประมาณ
๒๒ นาฬกิ า โจทก์ขอใหพ้ ยานท้ังสองพาไปหาจ�ำเลยที่ ๑ ทีบ่ า้ นที่ถนนลาดพร้าว แต่ปา้ และน้า
ของจำ� เลยที่ ๑ แจง้ วา่ จ�ำเลยท่ี ๑ ยงั ไมก่ ลบั บา้ น ไมร่ วู้ า่ ไปไหน โจทกร์ ออยสู่ กั พกั ใหญจ่ งึ กลบั บา้ น
วันท่ี ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โจทกแ์ อบไปหาจำ� เลยที่ ๑ ทีบ่ า้ นของจ�ำเลยที่ ๒ แต่จ�ำเลยที่ ๒
บอกว่าจ�ำเลยที่ ๑ มีอาการเครียดไม่อาจออกมาพบได้ และโทรศัพท์แจ้งให้พยานทั้งสองไปรับ
โจทก์กลับ เม่ือพยานทัง้ สองไปถงึ จ�ำเลยท่ี ๒ กย็ งั ไมย่ อมไปตามจำ� เลยที่ ๑ มาพูดคุยดว้ ย จน
บิดาของจำ� เลยที่ ๑ ไปตามจ�ำเลยที่ ๑ ออกมาพบ จ�ำเลยที่ ๑ พูดเพยี งวา่ ยงั ไม่พร้อมคยุ แล้วเดนิ
เข้าบ้านไป จ�ำเลยท่ี ๒ บอกโจทก์และพยานทั้งสองให้ใจเย็น ๆ แล้วค่อยมาคุยกันใหม่และ
ให้ยกเลิกงานพิธีต่าง ๆ กับให้เล่ือนงานแต่งงานออกไปก่อนรอให้จ�ำเลยที่ ๑ พร้อม นาง ท.
ถามว่าเลื่อนไปเมอื่ ใด จำ� เลยที่ ๒ บอกว่า ซินแสบอกมฤี กษอ์ ีก ๗ ปี ขา้ งหน้า พยานทงั้ สองบอก
จำ� เลยท่ี ๒ วา่ ใหพ้ าจำ� เลยท่ี ๑ ไปพบและพดู คยุ กนั ทบี่ า้ นของพยานทง้ั สองในวนั ท่ี ๒๙ กรกฎาคม
๒๕๖๑ แต่จำ� เลยทง้ั สองไม่ไดไ้ ปตามนัด สว่ นจ�ำเลยที่ ๑ เบิกความวา่ ในวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม
๒๕๖๑ จ�ำเลยที่ ๑ โทรศัพท์ไปหาบิดาของโจทก์ซ่ึงขณะนั้นปฏิบัติงานอยู่ที่ภาคใต้ จ�ำเลยที่ ๑
ประสงคจ์ ะให้บิดาของโจทกเ์ ดินทางกลับมาทีก่ รุงเทพมหานครเพอ่ื มาอยกู่ บั โจทก์ กอ่ นทจ่ี ำ� เลย
ที่ ๑ จะบอกเลิกสัญญาหม้ันกับโจทก์ เพราะเกรงว่าโจทก์อาจท�ำร้ายร่างกายจ�ำเลยที่ ๑ หรือ
คนอื่นหรือขู่จะฆ่าตัวตาย หรืออาละวาดและโวยวายสร้างความเดือดร้อนแก่ครอบครัวของ
จ�ำเลยที่ ๑ ซง่ึ จ�ำเลยที่ ๑ ได้บอกเล่าเหตกุ ารณ์ท่เี กิดข้นึ และพฤตกิ รรมต่าง ๆ ของโจทก์ให้บดิ า
ของโจทก์ฟัง บิดาของโจทกถ์ ามว่า “จะสมรสกบั โจทก์หรือเลิกคบหาไปเลย” จ�ำเลยท่ี ๑ บอกว่า
“ขอบอกเลกิ สญั ญาหมนั้ โดยจะไมส่ มรสกบั โจทกแ์ ละตอ่ จากนจ้ี ำ� เลยที่ ๑ จะไมข่ อคบหากบั โจทก์
ต่อไป” จ�ำเลยที่ ๑ ขอร้องบิดาของโจทก์ว่าอย่าเพ่ิงบอกเรื่องน้ีให้โจทก์ทราบตอนน้ี รอให้บิดา
ของโจทก์กลับมาหาโจทก์ที่กรุงเทพมหานครก่อน ต่อมาในวันเดียวกันน้ัน มารดาของโจทก์
พยายามโทรศพั ทม์ าหาจ�ำเลยที่ ๑ หลายคร้งั ซง่ึ จ�ำเลยที่ ๑ คาดว่าบิดาของโจทก์คงเล่าเรือ่ งท่ี
จำ� เลยท่ี ๑ จะไมส่ มรสกับโจทกใ์ ห้ฟงั จนกระทง่ั นางสาว ส. มารับโทรศัพท์แทนและมารดาของ
22
โจทกพ์ ดู ตอ่ ว่าเรือ่ งทจ่ี ำ� เลยท่ี ๑ บอกเลิกการแต่งงาน ตอ่ มาวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เมือ่
โจทกท์ ราบเรอ่ื งที่จำ� เลยท่ี ๑ บอกเลิกสัญญาหมั้นไม่ยอมสมรสกับโจทก์ทั้งยังเลิกคบหากบั โจทก์
ด้วยนัน้ โจทกแ์ ละบดิ ามารดาของโจทกเ์ ดินทางมาหาจำ� เลยที่ ๑ ท่ีบา้ นป้าของจำ� เลยท่ี ๑ ชว่ ง
กลางคนื แต่ไมพ่ บ โจทกร์ อ้ งไห้โวยวายและโทรศัพท์หาจำ� เลยท่ี ๑ เม่ือจำ� เลยที่ ๑ รบั โทรศพั ท์
จึงบอกเลิกสัญญาหม้ันและปฏิเสธที่จะสมรสกับโจทก์ทั้งยังบอกเลิกคบหากัน ต่อมาในวันที่ ๒๔
กรกฎาคม ๒๕๖๑ โจทกเ์ ดนิ ทางมาหาจ�ำเลยท่ี ๑ ท่ีบา้ นของจำ� เลยท่ี ๒ และนง่ั รอ้ งไห้อยูท่ ่ชี ัน้ ล่าง
ของบ้าน จ�ำเลยที่ ๒ และนางสาว ธ. จึงเรียกจ�ำเลยที่ ๑ ให้ลงมาพูดคุยกับโจทก์ จ�ำเลยที่ ๑
ลงมาพบโจทก์และพูดยืนยันขอบอกเลิกสัญญาหมั้นและปฏิเสธการสมรสกับโจทก์ ท้ังบอกว่า
ไม่ต้องการคบหากับโจทก์อีกต่อไป เนื่องจากโจทก์ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงท�ำลายชีวิตท่ี
ควรจะเป็นปกติสุขของจ�ำเลยที่ ๑ เมื่อจ�ำเลยที่ ๑ ได้พบโจทก์ก็ยิ่งมีอาการเครียดสะสมรุนแรง
มากยิ่งข้ึน หลังจากน้ันจ�ำเลยท่ี ๑ ก็ไม่ได้ติดต่อกับโจทก์อีก ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑
จ�ำเลยท่ี ๑ ยกเลิกการจองสถานท่ีจัดงานสมรสและช่างแต่งหน้าตามข้อความสนทนาแจ้งการ
ยกเลิกทางไลน์ เอกสารหมาย ล.๘ และ ล.๙ และจ�ำเลยท่ี ๑ ทราบจากพนักงานของสโมสร
ทหารบกวา่ เม่ือจ�ำเลยที่ ๑ ยกเลกิ การจองสถานทแี่ ลว้ โจทกแ์ ละบิดามารดาของโจทกไ์ ด้ติดต่อ
ขอรบั เงินมดั จำ� ๓๐,๐๐๐ บาท คืน ซง่ึ เงนิ จ�ำนวนดังกล่าวเป็นเงนิ ของจำ� เลยที่ ๑ ดังนั้น โจทก์
และบิดามารดาโจทก์จึงทราบเร่ืองการบอกเลิกสัญญาหม้ันและปฏิเสธการสมรสจากจ�ำเลยท่ี ๑
ตงั้ แตว่ ันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และนาย ส. ทนายโจทกม์ ีหนงั สอื บอกกลา่ วใหจ้ ำ� เลยทัง้ สอง
ส่งมอบของหมั้นและเรียกค่าเสียหายโดยระบุว่าโจทก์และบิดามารดาโจทก์ได้ทราบการบอกเลิก
สญั ญาหมน้ั และปฏเิ สธการสมรสกอ่ นวนั ที่ ๑๑ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ อนั เปน็ กำ� หนดวนั จดั พธิ สี มรส
โจทก์ย่ืนฟ้องคดีน้ีวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จึงพ้นก�ำหนดระยะเวลา ๖ เดือน คดี
ในส่วนของค่าทดแทนจึงขาดอายุความ เห็นว่า ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจ�ำเลยท้ังสองต่างเบิกความ
ต้องตรงกันว่า ในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ โจทก์ได้พบและพูดคุยกับจ�ำเลยท่ี ๑ และ
หลังจากวันดังกล่าวจ�ำเลยที่ ๑ ก็ไม่ได้ติดต่อกับโจทก์อีก โดยโจทก์และบิดามารดาของโจทก์
เบิกความยืนยันว่า จ�ำเลยท้ังสองแจ้งขอเลื่อนการแต่งงานออกไปโดยไม่มีก�ำหนดและให้ยกเลิก
งานพธิ ตี า่ ง ๆ ออกไปกอ่ นเพอื่ รอใหจ้ ำ� เลยท่ี ๑ พรอ้ ม สว่ นจำ� เลยทงั้ สองเบกิ ความยนื ยนั วา่ จำ� เลย
ที่ ๑ บอกเลิกสญั ญาหม้นั และปฏิเสธการสมรสกบั โจทก์ ท้ังบอกขอเลิกคบหากบั โจทก์อีกตอ่ ไป
ซ่ึงไดค้ วามจากค�ำเบกิ ความของจ�ำเลยที่ ๑ วา่ เมอ่ื วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ จำ� เลยที่ ๑ ไดย้ กเลิก
การจองสถานที่จัดงานสมรสและช่างแต่งหน้าตามข้อความสนทนาแจ้งการยกเลิกทางไลน์
23
เอกสารหมาย ล.๘ และ ล.๙ และจำ� เลยที่ ๑ ทราบจากพนกั งานของสโมสรทหารบกว่า หลงั จาก
ท่ีจ�ำเลยท่ี ๑ ยกเลิกการจองสถานท่ีแล้ว โจทก์และบิดามารดาของโจทก์ได้ติดต่อขอรับเงิน
มัดจ�ำ ๓๐,๐๐๐ บาท คืน ซ่ึงพยานโจทก์ปากพันเอก ส. ผู้จัดการสโมสรทหารบกก็เบิกความ
รับว่า จ�ำเลยท่ี ๑ ติดตอ่ จองสถานท่ีสโมสรทหารบกเพื่อเปน็ สถานที่จดั งานแต่งงานและจ่ายเงนิ
มัดจ�ำ ๓๐,๐๐๐ บาท ตามส�ำเนาใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย จ.๒๒ ต่อมาได้มีการขอยกเลิก
การจอง พยานทราบว่าบิดาของโจทก์เคยไปติดต่อสอบถามเก่ียวกับหลักฐานการวางเงินมัดจ�ำ
แต่ไมไ่ ดม้ าติดต่อขอรบั เงินมัดจำ� คนื แต่อย่างใด นอกจากน้ใี นวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ จำ� เลยท่ี ๑
ได้แจ้งขอยกเลิกการจองสถานท่ีจัดงานสมรสที่บ้านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธ์ิ ปราโมช ตามเอกสาร
หมาย ล.๘ ซ่ึงโจทกก์ ็เบิกความตอบทนายโจทกถ์ ามตงิ ว่า ในตอนแรกจ�ำเลยทั้งสองบอกโจทก์วา่
จะเล่ือนงานแต่งงานเท่านั้น ต่อมาบิดาของโจทก์ให้จ�ำเลยท้ังสองมาพูดคุยกันแต่จ�ำเลยท้ังสอง
ไม่มา และในช่วงเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ บิดาของโจทก์ไปที่สโมสรทหารบกซึ่งเป็นสถานท่ีที่จะ
จัดงานแต่งงานจึงทราบว่า จ�ำเลยท่ี ๑ ยกเลิกการจองสถานท่ีแล้ว ท�ำให้โจทก์ม่ันใจว่าจะไม่มี
งานหมนั้ และงานแต่งงานระหว่างโจทกก์ บั จำ� เลยท่ี ๑ และนาง ท. มารดาของโจทก์ก็เบิกความ
ตอบทนายจำ� เลยทั้งสองถามคา้ นรบั วา่ หลังจากวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จ�ำเลยท่ี ๑ ไม่ได้ตดิ ต่อ
โจทกอ์ ีก พฤติการณ์ทโ่ี จทก์และบิดามารดาของโจทก์มาพบและพดู คยุ กับจำ� เลยทงั้ สองเม่ือวันที่
๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ หลงั จากนน้ั จ�ำเลยท่ี ๑ ไมย่ อมติดตอ่ พดู คุยกบั ฝ่ายโจทก์อีกแตอ่ ย่างใด
ทั้งจ�ำเลยท่ี ๑ ก็ยังแจ้งยกเลิกการจองสถานที่ท่ีจะจัดงานสมรสทุกแห่งรวมทั้งช่างแต่งหน้าใน
วันงานด้วยนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่าจ�ำเลยที่ ๑ มีเจตนาท่ีต้องการตัดขาดจากโจทก์
โดยไม่ยอมคบหากับโจทก์อีกต่อไป ซ่ึงหากจ�ำเลยที่ ๑ ประสงค์จะขอเลื่อนการสมรสดังที่
ฝ่ายโจทก์น�ำสืบมาน้ัน จ�ำเลยท่ี ๑ กับโจทก์ย่อมต้องยังคงมีความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกันสามารถ
พูดคยุ กันได้ กรณจี งึ เชอ่ื วา่ เมอ่ื วันท่ี ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ จำ� เลยที่ ๑ บอกเลกิ สญั ญาหม้นั และ
ปฏเิ สธการสมรสกบั โจทก์ ทง้ั บอกขอเลกิ คบหากบั โจทก์ พยานหลกั ฐานทโ่ี จทกน์ ำ� สบื มามนี ำ้� หนกั
นอ้ ยกวา่ พยานหลกั ฐานของจำ� เลยทงั้ สอง ขอ้ เทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ จำ� เลยที่ ๑ ผดิ สญั ญาหมนั้ มาตงั้ แต่
วนั ท่ี ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ แต่โจทกเ์ พ่งิ ยื่นฟอ้ งเมอ่ื วนั ที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จงึ พ้นกำ� หนด
หกเดือนนับแต่วันที่ผิดสัญญาหม้ัน ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกค่าทดแทนจึงขาดอายุความตาม
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๔๔๗/๑ วรรคหนง่ึ ทศี่ าลชน้ั ตน้ วนิ จิ ฉยั วา่ ฟอ้ งโจทก์
ในส่วนน้ีไม่ขาดอายุความและก�ำหนดให้จ�ำเลยที่ ๑ ช�ำระค่าทดแทนแก่โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจ�ำเลยท่ี ๑ ข้อน้ีฟังขึ้น เม่ือวินิจฉัย
24
ดงั นแ้ี ลว้ กรณีจึงไมจ่ ำ� ต้องวนิ จิ ฉัยอุทธรณข์ องโจทก์ในปัญหาท่วี า่ ท่ศี าลช้นั ต้นกำ� หนดใหจ้ ำ� เลย
ท่ี ๑ ช�ำระค่าทดแทนให้แกโ่ จทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท น้อยเกินไปหรือไม่ และจำ� เลยท่ี ๒ ตอ้ งรว่ ม
รับผิดกับจ�ำเลยที่ ๑ ช�ำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์หรือไม่ เพราะไม่ท�ำให้ผลของคดีเปล่ียนแปลง
สำ� หรบั เรอื่ งของหมน้ั ทโ่ี จทกอ์ ทุ ธรณโ์ ตแ้ ยง้ มานนั้ กป็ รากฏวา่ โจทกร์ ะบใุ นคำ� ฟอ้ งอทุ ธรณม์ าดว้ ย
ว่า โจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องเอาซ่ึงของหม้ันตามสัญญาหม้ันจากจ�ำเลยทั้งสองอีก และโจทก์
มีค�ำขอท้ายค�ำฟ้องอุทธรณ์เพียงว่า ขอให้พิพากษาให้จ�ำเลยท้ังสองรับผิดร่วมกันหรือแทนกัน
ช�ำระเงนิ คา่ ทดแทนใหแ้ กโ่ จทก์ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบ้ยี อตั ราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นบั แต่
วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช�ำระเสร็จ กรณีจึงไม่จ�ำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นท่ี
เกย่ี วกบั ของหมั้นอีกต่อไป
พิพากษากลบั ให้ยกฟ้องโจทก์ คา่ ฤชาธรรมเนยี มท้ังสองศาลใหเ้ ปน็ พบั .
(พนารตั น์ คดิ จติ ต์ - อมรรตั น์ กริยาผล - ประวิทย์ อทิ ธชิ ัยวฒั นา)
นชิ ญา ปราณจี ิตต์ - ย่อ
พาชืน่ แสงจนั ทรเ์ ทศ - ตรวจ
25
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดชี �ำนัญพิเศษที่ ๗๑๙/๒๕๖๐ นาย ส. โจทก์
จ�ำเลย
นาง ม.
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๔ วรรคสอง, ๑๕๑๕, ๑๕๑๖
ป.พ.พ. บรรพ ๕ บัญญัติเรื่องการหย่าโดยความยินยอมไว้เป็นการเฉพาะ
ในมาตรา ๑๕๑๔ วรรคสอง ว่า การหย่าโดยความยินยอมต้องท�ำเป็นหนังสือและ
มีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน และมาตรา ๑๕๑๕ บัญญัติว่า การหย่าโดย
ความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเม่ือสามีและภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว ซ่ึงแสดง
ให้เห็นว่าการที่คู่สมรสได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายประสงค์จะยุติการสมรส
ระหว่างกันโดยความยินยอม คู่สมรสท้ังสองฝ่ายต้องแสดงความยินยอมหย่าขาด
จากกันโดยท�ำเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือช่ืออย่างน้อยสองคนจึงสามารถ
น�ำความยินยอมที่ได้แสดงไว้ไปฟ้องขอให้บังคับคู่สมรสอีกฝ่ายไปจดทะเบียนหย่า
ตามความยินยอมน้ันได้ กรณีจึงไม่อาจน�ำค�ำม่ันซ่ึงไม่มีบัญญัติไว้ในบรรพ ๕
มาใช้ฟอ้ งบังคบั ใหค้ ู่สมรสฝา่ ยใดฝา่ ยหนึง่ ไปจดทะเบียนหยา่ ได้
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาค�ำพิพากษา
แทนการแสดงเจตนาของจำ� เลย
ศาลช้นั ต้นตรวจค�ำฟอ้ งแล้วพพิ ากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนยี มใหเ้ ปน็ พบั
โจทกอ์ ุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวตรวจวินิจฉัยว่า มีปัญหา
ข้อกฎหมายท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์อาศัยค�ำม่ันว่าจะจดทะเบียนหย่า
เป็นหลักฐานฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ได้หรือไม่ โดยโจทก์อุทธรณ์ว่า
โจทก์ฟ้องขอให้จ�ำเลยปฏิบัติตามค�ำม่ันที่จ�ำเลยให้ไว้แก่โจทก์ว่าจะไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์
ยงั ไมถ่ ึงข้ันตอนการหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๑๔ วรรคสอง ทีต่ อ้ ง
ท�ำเปน็ หนังสอื และมีพยานลงลายมอื ชอ่ื อย่างนอ้ ยสองคนตามที่ศาลชั้นต้นวินจิ ฉัย เห็นว่า โจทก์
บรรยายฟ้องว่าจ�ำเลยให้ค�ำมั่นว่าจะไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ เท่ากับเป็นการแสดงให้เห็นว่า
26
โจทกอ์ า้ งวา่ การตกลงหยา่ กนั ของโจทกก์ บั จำ� เลยเปน็ การตกลงหยา่ โดยความยนิ ยอมของทงั้ สองฝา่ ย
ซ่ึงการหย่าโดยความยินยอมนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ได้บัญญัติไว้
เป็นการเฉพาะในมาตรา ๑๕๑๔ วรรคสอง ว่า การหย่าโดยความยินยอมต้องท�ำเป็นหนังสือ
และมีพยานลงลายมือช่ืออย่างน้อยสองคน และมาตรา ๑๕๑๕ บัญญัติว่า ...การหย่า
โดยความยินยอมจะสมบูรณ์ต่อเม่ือสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า
การที่คู่สมรสท่ีได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายประสงค์จะยุติการสมรสระหว่างกันโดยความ
ยนิ ยอม คสู่ มรสทง้ั สองฝา่ ยตอ้ งแสดงความยนิ ยอมหยา่ ขาดจากกนั โดยทำ� เปน็ หนงั สอื และมพี ยาน
ลงลายมือชื่ออยา่ งนอ้ ยสองคนตามบทบญั ญตั ดิ ังกลา่ วไว้ จงึ จะน�ำความยินยอมท่ีได้แสดงเจตนา
ไว้ไปฟ้องขอให้บังคับคู่สมรสอีกฝ่ายไปจดทะเบียนหย่าตามความยินยอมน้ันได้ เมื่อบทบัญญัติ
ดังกล่าวได้บัญญัติไว้เฉพาะในเรื่องการหย่าโดยความยินยอมของคู่สมรสที่ได้จดทะเบียนสมรส
ตามกฎหมายแล้ว กรณีจึงไม่อาจน�ำค�ำม่ันซึ่งไม่มีบทบัญญัติใดในประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ บรรพ ๕ ให้น�ำมาใช้บังคับแก่เรื่องน้ีมาฟ้องเพื่อบังคับให้คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไป
จดทะเบียนหย่าได้ ดังน้ัน เมื่อค�ำฟ้องของโจทก์บรรยายชัดแจ้งว่าจ�ำเลยเพียงแต่ให้ค�ำม่ันไว้
กับโจทก์โดยปราศจากหลักฐานเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่อดังท่ีกฎหมายบัญญัติไว้
จึงเป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่ากรณีดังกล่าวไม่อาจฟ้องบังคับให้จ�ำเลยไปจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ได้
ดังที่ไดว้ ินิจฉยั ขา้ งตน้ ทีศ่ าลชนั้ ตน้ ตรวจค�ำฟ้องแลว้ พิพากษายกฟอ้ งโจทก์จงึ ชอบแลว้ อทุ ธรณ์
ของโจทกฟ์ ังไมข่ ึ้น
พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มให้เปน็ พบั .
(รัชดาพร เสนียว์ งศ์ ณ อยุธยา - ปริญญา อทิ ธิวกิ ลุ - รัตนา กิตตพิ บิ ลู ย์)
พิทักษ์ หลิมจานนท์ - ยอ่
นรนิ ทร์ ทองคำ� ใส - ตรวจ
27
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดีช�ำนัญพิเศษท่ี ๗๕๙/๒๕๖๐ นาย ช. โจทก์
นาง ว. จ�ำเลย
ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๔๘
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๖ (๖)
คดีแรก โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยา โดย
บรรยายฟ้องว่าจ�ำเลยเหยียดหยามกล่าวถ้อยค�ำหยาบคายต่อมารดาโจทก์ ทิ้งร้าง
โจทก์ไปเกิน ๑ ปี และสมัครใจแยกกันอยู่เกิน ๓ ปี จ�ำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้
โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากกัน ศาลช้ันต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง ขณะ
คดีแรกอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จ�ำเลยฟ้องขอเรียกค่าอุปการะเล้ียงดู
จากโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ช�ำระค่าอุปการะเล้ียงดูแก่จ�ำเลยและโจทก์
ฟ้องจ�ำเลยเป็นคดีที่สอง ขอให้โจทก์หย่าขาดจากจ�ำเลยอีกโดยบรรยายฟ้องอ้างถึง
คดีแรกว่า โจทก์ฟ้องหย่าจ�ำเลยและจ�ำเลยให้การและฟ้องแย้งขอให้โจทก์จ�ำเลยหย่า
ขาดจากกัน อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่สามารถอยู่ร่วมกับโจทก์ได้โดยปกติสุข
การแสดงเจตนาของโจทก์และจ�ำเลยในคดีแรกเป็นการแสดงเจตนาสมัครใจแยกกันอยู่
เพราะเหตุท่ีไม่สามารถอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาได้เป็นเวลาเกิน ๓ ปี ซึ่งในคดีท่ีสอง
ศาลฎีกามคี ำ� พพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ วา่ เปน็ ฟอ้ งซอ้ นกบั คดีแรก เน่อื งจากชว่ งเวลาท่โี จทก์อา้ งวา่
โจทก์กับจ�ำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับคดีแรก คือ ช่วงปลายปี
๒๕๓๙ เป็นต้นมา ส่วนคดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามี
ภริยาโดยบรรยายฟ้องว่า การแสดงเจตนาของจ�ำเลยในการยื่นค�ำให้การและฟ้องแย้ง
ในคดีแรก เป็นการแสดงเจตนาสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ นับแต่จ�ำเลยยื่นค�ำให้การ
ในคดดี งั กลา่ วถงึ ปจั จบุ นั เปน็ เวลาเกนิ ๓ ปี ซง่ึ เปน็ เหตเุ ดยี วกนั และชว่ งเวลาตอ่ เนอ่ื งจาก
ชว่ งเวลาเดยี วกบั ทโี่ จทกเ์ คยอา้ งเปน็ เหตฟุ อ้ งหยา่ จำ� เลยในคดที ส่ี อง เหตหุ ยา่ เพราะสมคั รใจ
แยกกันอยู่ในคดีน้ีจึงไม่ใช่มูลเหตุใหม่ แต่เม่ือปรากฏในค�ำฟ้องของโจทก์ว่า นอกจาก
เหตุหย่าดังกล่าวโจทก์ยังอ้างเหตุท่ีจ�ำเลยใช้สิทธิบังคับคดีตามค�ำพิพากษาศาลชั้นต้น
ในคดีท่ีจ�ำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจ�ำเลยเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู โดยการอายัด
เงินเดือนและเงินได้จากการท�ำงานของโจทก์ว่าเป็นการกระท�ำที่เกินสมควร ท�ำให้โจทก์
28
ไดร้ บั ความเสยี หายและเดอื ดรอ้ นเกนิ ควรและการใชส้ ทิ ธยิ นื่ ฟอ้ งคดกี บั การดำ� เนนิ การตา่ งๆ
ของจ�ำเลยดังกล่าวเป็นการกระท�ำท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง
ซึ่งเป็นเหตุใหม่แยกต่างหากจากเหตุหย่าในคดีเดิม ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดี
ในส่วนนจี้ งึ ต่างจากเหตุหยา่ ในคดีเดมิ คดีนจ้ี ึงไมเ่ ป็นฟอ้ งซำ�้
การทจ่ี ำ� เลยใชส้ ทิ ธบิ งั คบั คดหี ลงั จากทศ่ี าลชนั้ ตน้ มคี ำ� พพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ใหโ้ จทก์
ชำ� ระคา่ อปุ การะเลยี้ งดแู กจ่ ำ� เลยแตโ่ จทกไ์ มป่ ฏบิ ตั ติ ามคำ� บงั คบั ตามคำ� พพิ ากษาเปน็ เพยี ง
ข้ันตอนท่ีปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามค�ำบังคับตามค�ำพิพากษาส่วนการท่ีจะบังคับเอาแก่
เงินเดือน รายได้หรือทรัพย์สินอ่ืนใดของโจทก์เพื่อช�ำระหน้ีตามค�ำพิพากษา เป็นข้ันตอน
การด�ำเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงไม่อาจถือว่าเป็นการกระท�ำของจ�ำเลย
ที่มีเจตนาให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร อันจะเป็นเหตุให้โจทก์
ฟอ้ งหย่าได้
______________________________
โจทกฟ์ อ้ งขอให้พิพากษาใหโ้ จทกก์ บั จำ� เลยหยา่ ขาดจากการเปน็ สามภี ริยากัน
จ�ำเลยใหก้ ารขอให้ยกฟ้อง
ศาลชัน้ ต้นพพิ ากษายกฟอ้ ง คา่ ฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทกอ์ ทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับ
ฟังเป็นยุติว่าโจทก์กับจ�ำเลยเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรสเมื่อวันท่ี ๗ พฤศจิกายน
๒๕๓๘ มีบุตรด้วยกัน ๑ คน ต่อมาวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๓๙ จ�ำเลยออกจากบ้านไป
พักอาศัยอยู่กับบิดามารดาของจ�ำเลย และไม่ได้กลับมาอยู่กับโจทก์อีก วันที่ ๕ กรกฎาคม
๒๕๔๕ โจทก์ฟ้องหย่าจ�ำเลยต่อศาลช้ันต้น จ�ำเลยให้การและฟ้องแย้งในคดีดังกล่าวขอให้
โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดกัน ศาลช้ันต้นพิพากษายกฟ้องและยกฟ้องแย้ง ตามคดีหมายเลข
แดงที่ ๘๑๐/๒๕๔๗ ของศาลชั้นต้น ต่อมาจ�ำเลยยื่นฟ้องขอเรียกค่าอุปการะเล้ียงดูจากโจทก์
ศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษาใหโ้ จทกช์ ำ� ระคา่ อปุ การะเลย้ี งดแู กจ่ ำ� เลย ๒๐๐,๐๐๐ บาท และคา่ อปุ การะเลย้ี งดู
รายเดอื นอกี เดอื นละ ๙,๐๐๐ บาท จนกวา่ การสมรสจะสนิ้ สดุ ลง ตามคดหี มายเลขแดงที่ ๓๓/๒๕๔๙
ของศาลช้นั ต้นหลังจากน้ันโจทกฟ์ อ้ งหยา่ จ�ำเลยอกี ๒ คดี คือ คดหี มายเลขแดงท่ี ๑๙๖๒/๒๕๔๙
และ ๑๗๒๒/๒๕๕๒ ของศาลช้ันตน้ ซง่ึ คำ� พพิ ากษาถึงที่สุดแล้ว
29
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์คดีน้ีเป็น
ฟ้องซำ้� กับคดีหมายเลขแดงที่ ๘๑๐/๒๕๔๗, ๑๙๖๒/๒๕๔๙ และ ๑๗๒๒/๒๕๕๒ ของศาลช้นั ต้น
หรือไม่ เห็นว่า ในคดีหมายเลขแดงที่ ๘๑๐/๒๕๔๗ โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาด
จากการเปน็ สามภี รยิ าโดยบรรยายฟอ้ งวา่ จ�ำเลยเหยยี ดหยามกลา่ วค�ำหยาบคายตอ่ มารดาโจทก์
ท้งิ ร้างโจทกไ์ ปเกิน ๑ ปี และสมัครใจแยกกนั อยู่เกนิ ๓ ปี สว่ นคดหี มายเลขแดงท่ี ๑๙๖๒/๒๕๔๙
โจทกฟ์ อ้ งขอใหโ้ จทกก์ บั จำ� เลยหยา่ ขาดจากการเปน็ สามภี รยิ าโดยบรรยายฟอ้ งวา่ โจทกฟ์ อ้ งหยา่
จำ� เลย สว่ นจ�ำเลยใหก้ ารและฟอ้ งแย้งในคดหี มายเลขแดงท่ี ๘๑๐/๒๕๔๗ ขอใหโ้ จทกจ์ �ำเลยหยา่
ขาดจากการเป็นสามีภรยิ าและยงั ฟอ้ งโจทกอ์ กี ๕ คดี อันเปน็ การแสดงให้เห็นวา่ ไมส่ ามารถอยู่
ร่วมกับโจทก์ได้โดยปกติสุข การแสดงเจตนาของโจทก์และจ�ำเลยเป็นการแสดงเจตนาสมัครใจ
แยกกันอยู่เพราะเหตทุ ไี่ ม่สามารถอยกู่ ินรว่ มกนั ฉนั สามภี รยิ าไดเ้ ป็นเวลาเกนิ ๓ ปี ซงึ่ ศาลฎกี ามี
ค�ำพิพากษาถึงที่สุดว่า คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๙๖๒/๒๕๔๙ เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลข
แดงที่ ๘๑๐/๒๕๔๗ เน่ืองจากช่วงเวลาที่โจทก์อ้างว่าโจทก์กับจ�ำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เป็น
ช่วงเวลาเดียวกันคือช่วงปลายปี ๒๕๓๙ และคดีหมายเลขแดงที่ ๑๗๒๒/๒๕๕๒ โจทก์ฟ้อง
ขอให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาโดยบรรยายฟ้องว่า จ�ำเลยย่ืนฟ้องโจทก์
ท้ังคดีแพ่งและคดีอาญาหลายคดีอันเป็นการกระท�ำท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน
อย่างร้ายแรง ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยาโดย
บรรยายฟ้องว่า การแสดงเจตนาของจ�ำเลยในการยื่นค�ำให้การและฟ้องแย้งในคดีหมายเลข
แดงท่ี ๘๑๐/๒๕๔๗ ของศาลช้ันต้น เป็นการแสดงเจตนาสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ นับแต่
จ�ำเลยยื่นค�ำให้การในคดีดังกล่าวถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกิน ๓ ปี ซึ่งเป็นเหตุเดียวกันและช่วง
เวลาต่อเน่ืองจากช่วงเวลาเดียวกับท่ีโจทก์เคยอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าจ�ำเลยในคดีหมายเลข
แดงที่ ๑๙๖๒/๒๕๔๙ ของศาลชั้นต้น ซ่ึงศาลฎีกามีค�ำพิพากษาถึงท่ีสุดแล้วว่าเป็นช่วงเวลา
เดียวกับท่ีโจทก์อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าในคดีหมายเลขแดงท่ี ๘๑๐/๒๕๔๗ ของศาลชั้นต้น
เหตุหย่าเพราะสมัครใจแยกกันอยู่ในคดีน้ีจึงไม่ใช่มูลเหตุใหม่ดังที่โจทก์อุทธรณ์แต่เม่ือปรากฏ
ในค�ำฟ้องของโจทก์ว่านอกจากเหตุหย่าดังกล่าว โจทก์ยังอ้างเหตุที่จ�ำเลยใช้สิทธิบังคับคดีตาม
ค�ำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงท่ี ๓๓/๒๕๔๙ ของศาลชั้นต้น โดยการอายัดเงินเดือนและ
เงินได้จากการท�ำงานของโจทก์ว่าเป็นการกระท�ำที่เกินสมควรเม่ือน�ำเอารายได้และรายจ่าย
ของโจทก์มาพิจารณา ท�ำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร และการใช้สิทธิ
ย่ืนฟ้องคดีกับการด�ำเนินการต่าง ๆ ของจ�ำเลยดังกล่าวเป็นการกระท�ำท่ีเป็นปฏิปักษ์ต่อการ
30
เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นเหตุใหม่แยกต่างหากจากเหตุหย่าในคดีเดิม ข้อเท็จจริง
ซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดี ในส่วนน้ีจึงต่างจากเหตุหย่าในคดีเดิม คดีน้ีจึงไม่เป็นฟ้องซ�้ำกับ
คดีหมายเลขแดงที่ ๘๑๐/๒๕๔๗, ๑๙๖๒/๒๕๔๙ และ ๑๗๒๒/๒๕๕๒ ของศาลช้ันต้น ตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชน
และครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ อุทธรณ์ข้อนี้
ของโจทก์ฟังข้ึน และเพื่อให้กระบวนพิจารณาเป็นไปโดยรวดเร็วศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
เห็นสมควรวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อต่อไปของโจทก์ว่า จ�ำเลยท�ำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการท่ีเป็น
สามีภริยากันอย่างร้ายแรง และท�ำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควรอันเป็น
เหตุให้โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าหรือไม่ โดยไม่ต้องย้อนส�ำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษา
ใหม่ โจทกเ์ บกิ ความว่าเมอ่ื วันที่ ๑๗ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๘ จ�ำเลยฟ้องเรยี กค่าอปุ การะเลยี้ งดจู าก
โจทก์ ศาลช้ันต้นมีค�ำพิพากษาให้โจทก์ช�ำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่จ�ำเลยตามคดีหมายเลขแดง
ที่ ๓๓/๒๕๔๙ ของศาลช้ันต้น แต่โจทก์ไม่สามารถช�ำระหนี้ตามค�ำพิพากษาได้ต่อเนื่อง จ�ำเลย
จึงใช้สิทธิบังคับคดีจากเงินเดือนและรายได้ของโจทก์ และบังคับให้โจทก์ต้องกู้ยืมเงินมาช�ำระ
ค่าอุปการะเล้ียงดูให้แก่จ�ำเลยตามค�ำพิพากษาดังกล่าว เป็นการกระท�ำที่เกินควรเมื่อน�ำเอาเงิน
รายได้และรายจ่ายของโจทก์มาพิจารณา ท�ำให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควร
เมือ่ เอาสภาพ ฐานะและความเปน็ อย่รู ่วมกันฉันสามภี รยิ ามาคำ� นงึ ประกอบ สว่ นจำ� เลยเบิกความว่า
หลงั จากจำ� เลยคลอดบตุ รในปี ๒๕๓๙ จำ� เลยพาบตุ รไปพกั อาศยั อยกู่ บั บดิ ามารดาของจำ� เลยเพราะ
โจทก์ประกอบอาชีพนักบินไม่ค่อยอยู่บ้าน แต่ต่อมาปี ๒๕๔๔ จ�ำเลยกลับไปท่ีบ้านพบว่าโจทก์
เปลี่ยนกุญแจบ้านทั้งหมดท�ำให้จ�ำเลยกลับเข้าไปอยู่ท่ีบ้านไม่ได้ หลังจากน้ันโจทก์จงใจท้ิงร้าง
จำ� เลยโดยยน่ื ฟอ้ งหยา่ จำ� เลยตอ่ ศาลชน้ั ตน้ หลายคดี จำ� เลยจงึ ฟอ้ งขอเรยี กคา่ อปุ การะเลยี้ งดจู าก
โจทก์และด�ำเนินการบังคับคดีตามท่ีศาลช้ันต้นมีค�ำพิพากษาให้โจทก์ช�ำระค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่
จำ� เลยเดอื นละ ๙,๐๐๐ บาท โดยการอายดั เงนิ เดอื นของโจทก์ เหน็ วา่ การบงั คบั คดเี อาแกเ่ งนิ เดอื น
ของโจทก์สืบเน่ืองจากการที่จ�ำเลยฟ้องขอเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์หลังจากจ�ำเลยย้าย
ออกจากบ้านและโจทกย์ ่ืนฟ้องหยา่ จำ� เลยแลว้ โดยท่ีจำ� เลยกับบตุ รผูเ้ ยาว์ไม่สามารถกลบั เข้าไป
อยทู่ บี่ า้ นโจทกไ์ ดอ้ กี เพราะโจทกเ์ ปลย่ี นกญุ แจบา้ นทง้ั หมด อนั เปน็ การใชส้ ทิ ธขิ อเรยี กคา่ อปุ การะ
เลย้ี งดตู ามทก่ี ฎหมายใหอ้ ำ� นาจจำ� เลยสามารถกระทำ� ได้ และเมอื่ ศาลชนั้ ตน้ มคี ำ� พพิ ากษาถงึ ทสี่ ดุ
ใหโ้ จทกช์ ำ� ระคา่ อปุ การะเลยี้ งดแู กจ่ ำ� เลยแลว้ การทโี่ จทกไ์ มป่ ฏบิ ตั ติ ามคำ� บงั คบั ตามคำ� พพิ ากษา
จำ� เลยชอบทจี่ ะดำ� เนนิ การบงั คบั คดใี หเ้ ปน็ ไปตามค�ำพพิ ากษานน้ั การใชส้ ทิ ธบิ งั คบั คดขี องจ�ำเลย
31
จงึ เปน็ เพยี งขัน้ ตอนทีป่ ฏบิ ตั เิ พอื่ ให้เป็นไปตามคำ� บังคับตามค�ำพพิ ากษา ส่วนการที่จะบงั คับเอา
แก่เงินเดือน รายได้หรือทรัพย์สินอ่ืนใดของโจทก์เพื่อช�ำระหน้ีตามค�ำพิพากษาก็เป็นขั้นตอน
ดำ� เนนิ การของเจา้ พนกั งานบงั คบั คดี จงึ ไมอ่ าจถอื วา่ เปน็ การกระทำ� ของจำ� เลยทม่ี เี จตนาใหโ้ จทก์
ได้รบั ความเสยี หายหรือเดือดร้อนเกนิ ควร ส่วนทโี่ จทก์อทุ ธรณ์อ้างวา่ จ�ำเลยเผยแพรข่ า่ วการต้งั
เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดเงินเดือนของโจทก์ให้เพื่อนร่วมงานและพนักงานของบริษัท
การบนิ ไทย จำ� กดั (มหาชน) ทราบถงึ สถานะการเงนิ และการฟอ้ งคดที ำ� ใหโ้ จทกอ์ บั อาย ถกู ดหู มน่ิ
ดแู คลนจากเพ่อื นรว่ มงานและพนกั งานจนโจทกต์ ้องลาออกจากการทำ� งานน้ัน เหน็ วา่ โจทก์ไม่มี
พยานหลกั ฐานใดทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ จำ� เลยไดก้ ระทำ� การอน่ื ใดนอกเหนอื จากการบงั คบั คดดี งั กลา่ ว
ขา้ งตน้ อันจะทำ� ให้โจทกไ์ ด้รบั ความอับอาย ถูกดหู มน่ิ หรือดูแคลนจากเพือ่ นรว่ มงานดังทโ่ี จทก์
อทุ ธรณ์ กรณีจงึ ฟังไมไ่ ด้ว่าการบงั คบั คดเี พื่อชำ� ระหนี้ค่าอปุ การะเลีย้ งดดู งั กลา่ วของจ�ำเลยทำ� ให้
โจทก์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินควรส่วนท่ีโจทก์อุทธรณ์อ้างว่า พฤติการณ์ในการ
ดำ� เนนิ การตา่ ง ๆ ของจำ� เลยเปน็ การกระทำ� ทเ่ี ปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ การเปน็ สามภี รยิ ากนั อยา่ งรา้ ยแรง
ท�ำใหโ้ จทกเ์ ดอื ดร้อนเกินควรนน้ั เห็นวา่ โจทก์ไมไ่ ด้นำ� สบื ว่าพฤตกิ ารณใ์ นการด�ำเนนิ การต่าง ๆ
ของจ�ำเลยอย่างไรที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงจนถึงขนาดที่ท�ำให้โจทก์
เดอื ดรอ้ นเกนิ ควร สว่ นการใช้สิทธฟิ อ้ งคดแี ละตอ่ สคู้ ดี รวมทง้ั การบังคบั คดีก็ลว้ นแต่เป็นไปตาม
สิทธิและตามขั้นตอนของกฎหมายที่จ�ำเลยพึงกระท�ำได้ กรณีจึงไม่อาจฟังได้ว่าการกระท�ำของ
จำ� เลยเปน็ การกระท�ำทเี่ ปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ การเปน็ สามภี รยิ ากนั อยา่ งรา้ ยแรงทที่ �ำใหโ้ จทกเ์ ดอื ดรอ้ น
เกินควรอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าได้ ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษามาน้ัน ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญ
พเิ ศษเห็นพ้องด้วยในผล อทุ ธรณ์ขอ้ นข้ี องโจทก์ฟังไม่ข้ึน
พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เปน็ พบั .
(รัชดาพร เสนียว์ งศ์ ณ อยธุ ยา - ปริญญา อทิ ธิวิกุล - รตั นา กติ ติพบิ ูลย)์
เกยี รตยิ ศ ไชยศิริธญั ญา - ย่อ
นรนิ ทร์ ทองคำ� ใส - ตรวจ
32
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษที่ ๔๑๗/๒๕๖๓ นางสาว ช. โจทก์
นาย ก. จำ� เลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐๑, ๑๕๑๖
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๖ เปน็ บทบญั ญตั ถิ งึ เหตแุ หง่ การฟอ้ งหยา่ และใหส้ ทิ ธคิ สู่ มรส
อกี ฝา่ ยฟอ้ งหยา่ คสู่ มรสฝา่ ยทก่ี ระทําตามเหตนุ น้ั ไดเ้ ทา่ นนั้ เมอื่ ศาลพพิ ากษาใหห้ ยา่ ขาด
จากกนั แลว้ การสมรสยอ่ มสนิ้ สดุ ลงตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๐๑ ซงึ่ ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว
และบทบัญญัติในเรื่องการหย่าของคู่สมรสไม่ได้ให้ศาลมีอํานาจส่ังห้ามสามีหรือภริยา
ซ่ึงเป็นเหตุแห่งการฟ้องหย่ามิให้เข้าใกล้คู่สมรสอีกฝ่าย และเมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องในมูล
ละเมิด แม้จะมีคําขอท้ายฟ้องให้ศาลมีคําส่ังห้ามดังกล่าวก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม
กฎหมายท่ศี าลจะมีคําสัง่ ห้ามจําเลยเขา้ ใกล้โจทกไ์ ด ้
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากกัน ห้ามจ�ำเลยเข้าใกล้โจทก์
ในระยะหา่ ง ๑๕๐ เมตร หรอื ระยะทศี่ าลเหน็ สมควรหรอื กระท�ำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการ
ด�ำเนินชีวิตอันเป็นปกติสุขของโจทก์ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียง
ผู้เดียว กับขอให้แบ่งกรรมสิทธ์ิบ้าน ห้องชุด และรถยนต์ ย่ีห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ แก่โจทก์กับ
จำ� เลยคนละกง่ึ หนึ่ง
จ�ำเลยให้การขอให้ยกฟอ้ ง
ศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษาใหโ้ จทกห์ ยา่ ขาดจากจำ� เลย หา้ มจำ� เลยเขา้ ใกลโ้ จทกใ์ นระยะ ๕๐ เมตร
ใหโ้ จทกเ์ ปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจปกครองบตุ รผเู้ ยาวเ์ พยี งผเู้ ดยี ว แตท่ งั้ นไ้ี มต่ ดั สทิ ธจิ ำ� เลยในการเยยี่ มเยยี น
บตุ รผเู้ ยาวต์ ามสมควร ใหจ้ �ำเลยจา่ ยคา่ อปุ การะเลยี้ งดบู ตุ รผเู้ ยาวเ์ ดอื นละ ๑๐,๐๐๐ บาท จนบตุ ร
ผเู้ ยาวเ์ รยี นจบชนั้ ประถมศกึ ษา และเดอื นละ ๒๐,๐๐๐ บาท นบั แตบ่ ตุ รผเู้ ยาวเ์ รยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา
จนถึงบุตรผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ ให้โจทก์กับจ�ำเลยแบ่งห้องชุดเลขที่ ๑๘/๓๖๘ และรถยนต์
ยี่ห้อเมอร์เซเดส เบนซ์ คนละกึ่งหน่ึง ให้จ�ำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยก�ำหนด
คา่ ทนายความ ๑๐,๐๐๐ บาท
33
จ�ำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงท่ี
โจทกแ์ ละจำ� เลยไมไ่ ดโ้ ตแ้ ยง้ กนั ในชนั้ นร้ี บั ฟงั ไดเ้ ปน็ ยตุ วิ า่ โจทกก์ บั จำ� เลยรบั ราชการสงั กดั กองทพั เรอื
โจทก์มีชั้นยศนาวาโท เป็นวิสัญญีแพทย์ประจ�ำโรงพยาบาล ส. จ�ำเลยมีชั้นยศนาวาเอก เป็น
รองผอู้ ำ� นวยการกองเวชศาสตรใ์ ตน้ ำ�้ และการบนิ กรม พ. และเปน็ ศลั ยแพทยก์ ระดกู ปฏบิ ตั หิ นา้ ที่
ในโรงพยาบาลหลายแห่งรวมท้ังโรงพยาบาล ส. โจทก์กับจ�ำเลยรู้จักกันเมื่อปี ๒๕๔๘ ต่อมา
สมรสกันโดยจดทะเบียนสมรสเม่อื วนั ที่ ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๕๑ มบี ตุ รดว้ ยกัน ๑ คน คอื เดก็ หญิง พ.
เกิดเมื่อวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๓ หลังจากสมรสกันแล้วโจทก์กับจ�ำเลยพักอาศัยอยู่ด้วยกัน
ที่บ้านพักราชการของโรงพยาบาล ส. โดยมีมารดาจ�ำเลยช่วยดูแลบุตรผู้เยาว์ ต่อมาปี ๒๕๕๕
โจทก์มีปัญหาทะเลาะกับมารดาจ�ำเลยและออกจากบ้านไป ๒ ครั้ง แต่ต่อมาก็กลับมาพักอาศัย
อย่รู ว่ มกับจำ� เลยและบุตรผ้เู ยาวอ์ กี จนกระทัง่ วนั ท่ี ๒๐ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๑ โจทกอ์ อกจากบา้ น
ไปพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมิเนียมแล้วไม่กลับมาอยู่กินกับจ�ำเลยอีกจนถึงปัจจุบัน ส่วนบุตรผู้เยาว์
พักอาศยั อยกู่ ับจ�ำเลยโดยทีโ่ จทก์รบั บุตรผูเ้ ยาวไ์ ปอปุ การะเลยี้ งดสู ลับกับจ�ำเลย โจทก์กบั จำ� เลย
มีสนิ สมรสคือ ห้องชดุ เลขท่ี ๑๘/๓๘๖ และรถยนต์ ยห่ี อ้ เมอรเ์ ซเดส เบนซ์
คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำ� เลยประการแรกวา่ จำ� เลยทำ� การเปน็ ปฏปิ กั ษ์
ต่อการที่เป็นสามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๑๖ (๖) หรือไม่ เห็นว่า แมข้ ้อเท็จจรงิ ตามทางน�ำสบื ของโจทก์และ
จำ� เลยปรากฏวา่ นอกจากปญั หาขดั แยง้ ระหวา่ งโจทกก์ บั มารดาจำ� เลยแลว้ นบั แตโ่ จทกก์ บั จำ� เลย
จดทะเบยี นสมรสและอย่กู ินฉนั สามภี ริยามาต้ังแต่ปี ๒๕๕๑ จนถึงเวลาก่อนท่โี จทกอ์ อกจากบา้ น
ไปเมอ่ื ตน้ ปี ๒๕๖๑ ไมป่ รากฏชดั ว่าโจทก์กบั จ�ำเลยมีปัญหาขัดแย้ง มีการทะเลาะวิวาท ท�ำรา้ ย
รา่ งกาย หรอื มกี ารใชค้ วามรนุ แรงตอ่ กนั มากอ่ นหรอื ไม่ แตต่ ามขอ้ เทจ็ จรงิ ทไี่ ดจ้ ากคำ� เบกิ ความของ
โจทกว์ า่ เมอ่ื มารดาจำ� เลยดา่ ทอ ดหู มนิ่ โจทกด์ ว้ ยถอ้ ยคำ� หยาบคายและไลโ่ จทกอ์ อกจากบา้ น จำ� เลย
ก็ให้โจทก์เก็บของออกจากบ้านไปทันที และจ�ำเลยยังแสดงท่าทีเกลียดชังไม่ดูแลเอาใจใส่โจทก์
ปฏิบัติต่อโจทก์เหมือนมิใช่สามีภริยาต่อเน่ืองมาเป็นระยะเวลานานกว่า ๖ เดือน ซ่ึงเจือสมกับ
คำ� เบกิ ความของจำ� เลยทร่ี บั วา่ หลงั จากโจทกท์ ะเลาะกบั มารดาจำ� เลย จำ� เลยมนึ ตงึ และปฏบิ ตั ติ อ่ โจทก์
ต่างจากเดิมเพราะจ�ำเลยน้อยใจ เสยี ใจ และผิดหวังที่โจทกท์ ะเลาะกับมารดาจำ� เลยอยา่ งรุนแรง
และจำ� เลยไมส่ ามารถตดั สนิ ใจไดว้ า่ ใครเปน็ ฝา่ ยผดิ ประกอบกบั ตามสำ� เนาขอ้ ความสนทนาในไลน์
ระหว่างโจทก์กับจ�ำเลย ซ่ึงปรากฏข้อความของโจทก์ว่า “ไม่อยากหอบเส้ือหอบผ้าออกมาแบบ
34
โดนไล่ออกจากบ้านอีกแล้ว” “ไม่กลับแล้ว” “ขอออกมาเลย ต้องสลับอยู่หลบไปหลบมา ไม่เอา
แนน่ อน” และ “หมดใจไปหลายปแี ลว้ ” และคำ� เบกิ ความของมารดาจำ� เลยทวี่ า่ โจทกท์ ะเลาะกบั พยาน
ในครั้งท่สี องรนุ แรงมาก ล้วนแลว้ แต่เจือสมประกอบกนั แสดงให้เห็นว่า นอกจากการทะเลาะกัน
อยา่ งรนุ แรงระหวา่ งโจทกก์ บั มารดาจำ� เลยแลว้ ยงั มพี ฤตกิ รรมของจำ� เลยทปี่ ฏบิ ตั ติ อ่ โจทกซ์ ง่ึ เปน็
ปญั หาสะสมระหวา่ งโจทกก์ บั จำ� เลยทำ� ใหโ้ จทกต์ ดั สนิ ใจออกจากบา้ นไป แมไ้ มป่ รากฏชดั วา่ จำ� เลย
เคยท�ำร้ายหรือเคยใช้ความรุนแรงต่อโจทก์มาก่อนหรือไม่ และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏชัดว่าการท่ี
จำ� เลยไปพบโจทกใ์ นแตล่ ะครงั้ ตามฟอ้ งนนั้ จำ� เลยมเี จตนาทำ� รา้ ยรา่ งกายโจทก์ แตต่ ามพฤตกิ ารณ์
ทจ่ี ำ� เลยแสดงออกตอ่ โจทกโ์ ดยการยนื ขวางหนา้ รถโจทกเ์ ปน็ เวลานาน เพอ่ื กดดนั ใหโ้ จทกล์ งจาก
รถมาพดู คยุ กบั จำ� เลยในขณะทโ่ี จทกข์ บั รถมาสง่ บตุ รผเู้ ยาว์ ตดิ ตามไปหาและดกั รอโจทกห์ ลายครง้ั
ต่อเน่ืองกันในเวลาเย็นและค�่ำซึ่งมิใช่เวลาปกติ เมื่อโจทก์เดินหนีหรือพยายามว่ิงหนีจ�ำเลยก็
เดินตาม วิ่งตาม หรือแม้แต่เมื่อโจทก์ขับรถหนีจ�ำเลยก็ขับรถไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ ไม่ว่า
จะเปน็ ในสถานทที่ ำ� งานหรอื บรเิ วณถนนสาธารณะ ทงั้ ยงั มกี ารยอื้ ยดุ ฉดุ กระชากกนั เพอื่ พยายาม
แย่งโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่แต่ละฝ่ายใช้บันทึกภาพนิ่งและภาพเคล่ือนไหวของอีกฝ่ายตามสถานที่
ต่าง ๆ หลายคร้ังในลักษณะที่รุนแรงมากข้ึนเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการกระท�ำต่อกัน
ด้วยความรุนแรงเพียงใด ขณะน้ันสวมใส่เคร่ืองแบบของทางราชการหรือไม่ และเป็นการกระท�ำ
ต่อหน้าผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือต่อหน้าบุตรผู้เยาว์ของตนหรือต่อหน้ามารดาโจทก์
รวมทั้งบุคคลท่ัวไปหรือไม่ จนกระท่ังต่างฝ่ายตา่ งไดร้ บั บาดเจบ็ และมีการแจง้ ความตอ่ เจ้าพนักงาน
ต�ำรวจหลายคร้งั และกลายเปน็ ปัญหาความขดั แย้งทุกคร้ังที่โจทกก์ บั จ�ำเลยได้พบเจอกนั แม้โจทก์
เบิกความตอบทนายจ�ำเลยถามค้านว่า โจทก์แจ้งความต่อเจ้าพนักงานต�ำรวจโดยไม่ได้มีเจตนา
ให้จ�ำเลยถูกด�ำเนินคดี แต่ก็แสดงให้เห็นว่า การกระท�ำของจ�ำเลยที่พยายามเข้าหาโจทก์ด้วยการ
กระท�ำดังกล่าวท�ำให้โจทก์กับจ�ำเลยขัดแย้งกันย่ิงข้ึนจนต้องแจ้งความต่อเจ้าพนักงานต�ำรวจเพ่ือ
เป็นหลักฐานป้องกันตน แม้จ�ำเลยจะอ้างว่าจ�ำเลยไม่ได้มีเจตนาคุกคามโจทก์เพียงแต่ต้องการ
พดู คยุ กบั โจทกใ์ นเร่อื งทโี่ จทก์จะขอหยา่ ขาดจากจ�ำเลย เจรจาเร่ืองบุตรผ้เู ยาว์ และขอทรัพยส์ นิ
ของจำ� เลยคนื แตเ่ มอ่ื พฤตกิ รรมของจำ� เลยทแี่ สดงลว้ นแตแ่ สดงใหเ้ หน็ ผลของการกระท�ำทขี่ ดั ตอ่
กับเจตนาตามทีจ่ ำ� เลยอ้าง และยังกลบั ส่งผลให้เกดิ ความรุนแรงเพมิ่ ขึ้น ประกอบกบั การท่ีจ�ำเลย
พยายามหาทางไปพบโจทก์ด้วยการแอบขึ้นไปทางบันไดหนีไฟของคอนโดมิเนียมซ่ึงไม่ใช่ทาง
ปกตทิ ั่วไป และการนำ� เครื่องส่งสญั ญาณ GPS ติดต้ังทร่ี ถของโจทก์เพ่อื ติดตามโจทก์ ตรวจหา
ขอ้ มลู การใชโ้ ทรศพั ทเ์ คลอื่ นทขี่ องโจทก์ หาหลกั ฐานเพอ่ื ตรวจสอบการเดนิ ทางของโจทกไ์ ปตาม
35
สถานที่ต่าง ๆ ซึ่งแม้จ�ำเลยจะอ้างว่าเป็นการกระท�ำในฐานะของสามีที่ต้องการตรวจสอบ แต่ก็
ล้วนแล้วไม่ใช่วิธีการท่ีสอดคล้องกับท่ีจ�ำเลยอ้างว่ามีเจตนาที่จะขอโทษ ขอคืนดี และปรับความ
เข้าใจกับโจทก์เพ่ือให้โจทก์คืนดีและกลับไปอยู่กินกับจ�ำเลย แต่กลับมีลักษณะเป็นการกระท�ำ
เพอื่ พยายามหาหลกั ฐานจบั ผดิ เพอ่ื ใชต้ อ่ สกู้ บั โจทกย์ ง่ิ กวา่ เมอื่ การกระทำ� ของจำ� เลยดงั กลา่ วเปน็
เหตใุ ห้โจทก์ไดร้ ับบาดเจ็บหลายครง้ั และกอ่ ใหโ้ จทก์ไดร้ ับความอับอาย เสียหายแก่ช่อื เสียงของ
โจทก์ ซง่ึ มอี าชพี และหนา้ ทก่ี ารงานเปน็ ทรี่ จู้ กั และนบั ถอื แกบ่ คุ คลทวั่ ไป รวมทงั้ ยงั มผี ลเสยี หายแก่
ตนเอง ซ่ึงมียศต�ำแหน่งหน้าที่การงานส�ำคัญเช่นกันโดยต่างฝ่ายต่างไม่ได้แสดงออกถึงความ
พยายามที่จะปรับความเข้าใจและประนีประนอมกันเพื่อกลับมาอยู่ด้วยกันฉันสามีภริยา ท้ังยัง
กระท�ำต่อกันด้วยความรุนแรงในลักษณะที่เป็นการเพ่ิมทวีความรุนแรงมากขึ้นจนเห็นได้ว่า
เป็นการยากท่ีจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาต่อไปได้ ทั้งจ�ำเลยยังส่ง
ข้อความทางไลน์ไปหาโจทก์ในลักษณะที่เป็นการต่อว่ากระทบและเปรียบเปรยไปถึงบุพการี
ของโจทก์รวมทั้งวงศ์ตระกูลของโจทก์ ดังนี้ เมื่อเหตุแห่งความร้าวฉานที่รุนแรงเพ่ิมมากข้ึน
ดงั กลา่ วมสี ว่ นเรมิ่ จากการกระทำ� ของจำ� เลยหลายประการทม่ี ลี กั ษณะทเี่ ปน็ การใชอ้ ำ� นาจคกุ คาม
ตอ่ โจทกห์ ลายครง้ั ตอ่ เนอื่ งกนั ตามพฤตกิ ารณจ์ งึ ฟงั ไดว้ า่ จำ� เลยทำ� การเปน็ ปฏปิ กั ษต์ อ่ การทเ่ี ปน็
สามีหรือภริยากันอย่างร้ายแรงท�ำให้โจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพฐานะ
และความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยามาค�ำนึงประกอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๕๑๖ (๖) โจทก์จึงฟ้องหย่าจ�ำเลยได้ ส่วนท่ีจ�ำเลยอุทธรณ์ว่า พฤติการณ์และการ
กระท�ำของจ�ำเลยเกิดจากโจทก์ย่ัวยุและพยายามสร้างพยานหลักฐานเพ่ือใช้เป็นเหตุหย่าเพราะ
โจทก์คบหากับชายอื่นน้ัน เห็นว่า จ�ำเลยไม่ได้ให้การในประเด็นดังกล่าวไว้ในศาลชั้นต้นแต่เพ่ิง
ยกข้ึนกล่าวอ้างในช้ันอุทธรณ์ จึงเป็นข้อท่ีมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลช้ันต้นต้อง
ห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง ประกอบ
พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๘๐ ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษจึงไม่รับวินิจฉัย ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษาให้โจทก์กับ
จ�ำเลยหย่าขาดจากกันนั้น ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษเหน็ พ้องด้วย อุทธรณข์ องจ�ำเลยฟังไมข่ ้นึ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยประการต่อไปว่า ท่ีศาลชั้นต้นมี
ค�ำพิพากษาห้ามจ�ำเลยเข้าใกล้โจทก์ในระยะ ๕๐ เมตร เหมาะสมหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๑๖ เป็นบทบัญญัติถึงเหตุแห่งการฟ้องหย่าซ่ึงให้สิทธิ
คสู่ มรสอีกฝา่ ยฟ้องหยา่ คสู่ มรสฝา่ ยทก่ี ระท�ำตามเหตุน้ันได้เทา่ น้ัน ซึ่งเม่ือศาลพิพากษาใหห้ ยา่
36
ขาดจากกันแล้วการสมรสย่อมสิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐๑
เม่ือตามบทบัญญัติดังกล่าวและบทบัญญัติในเรื่องการหย่าของคู่สมรสไม่ได้บัญญัติให้ศาลมี
อ�ำนาจส่ังห้ามสามีหรือภริยาซ่ึงเป็นเหตุแห่งการฟ้องหย่าตามบทบัญญัติดังกล่าวมิให้เข้าใกล้
คู่สมรสอีกฝ่าย และคดีนี้โจทก์ไม่ได้ฟ้องในมูลละเมิด แม้จะมีค�ำขอท้ายฟ้องให้ศาลมีค�ำส่ังห้าม
ดังกล่าวก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามกฎหมายที่ศาลจะมีค�ำสั่งห้ามจ�ำเลยเข้าใกล้โจทก์ได้
ท่ีศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังห้ามจ�ำเลยเข้าใกล้โจทก์ในระยะ ๕๐ เมตร จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของ
ศาลอุทธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษ อุทธรณข์ องจำ� เลยขอ้ นฟ้ี ังขึ้น
คดมี ีปญั หาต้องวินจิ ฉัยตามอุทธรณข์ องจ�ำเลยประการตอ่ ไปวา่ ทศี่ าลช้ันตน้ พพิ ากษา
ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวเหมาะสมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มิได้
ขอหย่ากับจ�ำเลยทันทีในขณะที่โจทก์ออกจากบ้านไปแต่เพ่ิงขอหย่าในภายหลัง การท่ีโจทก์
มิได้พาบุตรผู้เยาว์ไปด้วยและส่งข้อความสนทนากันทางไลน์กับจ�ำเลยในช่วงระยะเวลาแรก
ท่ีโจทก์ออกจากบ้านไป จึงมิใช่ข้อบ่งช้ีว่าโจทก์ไม่รัก ไม่ผูกพัน และไม่ต้องการเล้ียงดูบุตร
ผู้เยาว์ เพราะข้อเท็จจริงตามท่ีปรากฏในรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีครอบครัวท่ีผู้เยาว์
มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสียของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร
ปรากฏว่าโจทก์ก็รับบุตรผู้เยาว์มาอุปการะเล้ียงดูเช่นกัน ส่วนปัญหาว่าสมควรให้โจทก์หรือ
จ�ำเลยเป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์นั้น เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๕๒๐ วรรคสอง บัญญัตวิ ่า “ในกรณหี ย่าโดยค�ำพพิ ากษาของศาล ให้ศาลซ่งึ พจิ ารณา
คดีฟ้องหย่าน้ันชี้ขาดด้วยว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรคนใด...” ดังน้ัน แม้ข้อเท็จจริง
ได้ความว่าจ�ำเลยก็ให้ความอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ตลอดมาไม่ย่ิงหย่อนไปกว่าโจทก์
และไม่ปรากฏว่าจ�ำเลยมีปัญหาขัดข้องในการให้ความอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ แต่เม่ือปรากฏว่า
โจทก์กับจ�ำเลยมีปัญหากันมาตลอดเมื่อมีการรับส่งบุตรผู้เยาว์ให้อีกฝ่ายเพราะต่างฝ่ายต่างมี
อคติต่อกันและเข้าใจว่าคู่สมรสอีกฝ่ายกีดกันมิให้ตนได้พบกับบุตรผู้เยาว์ โดยมีการกระทบ
กระทั่งกันและมีแนวโน้มว่าจะทวีความขัดแย้งกันที่รุนแรงมากข้ึน เม่ือการกระทบกระทั่งกัน
ระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยอาจมีผลกระทบต่อการศึกษา การด�ำรงชีวิตและสุขภาพจิตของบุตร
ผู้เยาว์ในระยะยาว การก�ำหนดให้ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์โดย
ไม่กีดกันอีกฝ่ายในการเย่ียมเยียนหรือดูแลบุตรผู้เยาว์ในโอกาสท่ีสมควรโดยไม่กระทบต่อการ
ศึกษาและความเป็นอยู่โดยปกติของบุตรผู้เยาว์และคู่สมรสอีกฝ่ายจึงน่าจะเป็นประโยชน์แก่
บุตรผู้เยาว์มากกว่า โจทก์และจ�ำเลยประกอบอาชีพมีรายได้มั่นคง แต่จ�ำเลยปฏิบัติหน้าที่
37
แพทย์ในโรงพยาบาลในเวลาราชการและยังนอกเวลาราชการในโรงพยาบาลเอกชนและสถานท่ี
อื่นซึ่งเป็นสถานที่ส�ำคัญหลายแห่ง แม้จ�ำเลยมีมารดาจ�ำเลยช่วยดูแลและขับรถได้ แต่การท่ี
บุตรผู้เยาว์ได้อยู่ในความดูแลของบิดามารดาย่อมได้รับความรักความอบอุ่นมากกว่า ส่วน
โจทก์ปฏิบัติหน้าที่เป็นแพทย์ประจ�ำในโรงพยาบาลเท่านั้นมิได้ปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาล
เอกชนอื่น เม่ือโจทก์แสดงเจตนาว่าพร้อมให้ความอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์จึงเช่ือว่าโจทก์
ย่อมจัดสรรเวลาของตนเพื่อดูแลบุตรผู้เยาว์ได้มากกว่าประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความตามท่ี
ปรากฏในรายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีครอบครัวท่ีผู้เยาว์มีผลประโยชน์หรือส่วนได้เสีย
ของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครว่า หลังจากโจทก์ออกจากบ้านไป
โจทก์ยังมาหา เย่ียมเยียนและพาบุตรผู้เยาว์ไปพักอยู่ด้วยสลับกับการที่บุตรผู้เยาว์พักอาศัย
อยู่กับจ�ำเลยโดยบุตรผู้เยาว์ชอบอยู่กับโจทก์มากกว่าเนื่องจากโจทก์มีกิจกรรมร่วมกับบุตร
ผู้เยาว์มากกว่าจ�ำเลยที่ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับบุตรผู้เยาว์ จึงแสดงให้เห็นว่าบุตรผู้เยาว์มีความ
ผาสุกและอบอุ่นมากกว่าในขณะที่อยู่กับโจทก์ เมื่อปัจจุบันไม่ปรากฏว่าโจทก์มีครอบครัว
ใหม่อันจะเป็นอุปสรรคในการเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์และเมื่อบุตรผู้เยาว์เป็นเด็กผู้หญิงท่ียังอยู่
ในวัยเยาว์ซึ่งสมควรได้รับความรักความอบอุ่นจากมารดาซ่ึงเป็นเพศเดียวกันเป็นส�ำคัญ
ดังน้ันเมื่อค�ำนึงถึงความอบอุ่นและความสุขด้านจิตใจตามช่วงอายุวัยของบุตรผู้เยาว์แล้ว
ท่ีศาลช้ันต้นพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวจึงเหมาะสมแล้ว
ศาลอทุ ธรณ์คดชี ำ� นัญพเิ ศษเหน็ พอ้ งด้วย อุทธรณข์ องจำ� เลยข้อน้ฟี ังไม่ข้นึ
คดมี ีปัญหาต้องวินจิ ฉัยตามอทุ ธรณข์ องจำ� เลยประการสุดทา้ ยวา่ ท่ีศาลชนั้ ต้นกำ� หนด
ให้จ�ำเลยช�ำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์เดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท จนกว่าบุตรผู้เยาว์เรียนจบ
ชนั้ ประถมศึกษา และเดอื นละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแตบ่ ตุ รผเู้ ยาวเ์ รียนช้นั มธั ยมศกึ ษาจนถึงบตุ ร
ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะเหมาะสมหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๕๒๒ วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าหย่าโดยค�ำพิพากษาของศาลหรือในกรณีที่สัญญาหย่ามิได้
กำ� หนดเรอ่ื งคา่ อปุ การะเลีย้ งดบู ตุ รไว้ ให้ศาลเป็นผู้กำ� หนด” และมาตรา ๑๕๖๔ บัญญตั ิวา่ “บิดา
มารดาจ�ำต้องอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาตามสมควรแก่บุตรในระหว่างท่ีเป็นผู้เยาว์” ดังนี้
เมื่อจ�ำเลยมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ร่วมกับโจทก์ การที่ศาลพิพากษาให้โจทก์กับ
จ�ำเลยหย่าขาดจากกันโดยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว บุตรผู้เยาว์
ย่อมอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของโจทก์ การท่ีศาลช้ันต้นก�ำหนดให้จ�ำเลยช�ำระค่าอุปการะ
เล้ียงดูบุตรผู้เยาว์ในอนาคตต่อไปจึงเหมาะสมแล้ว ส่วนที่จ�ำเลยเคยให้การอุปการะเลี้ยงดูและ
38
ฝากเงินให้แก่บุตรผู้เยาว์ในช่วงเวลาก่อนท่ีศาลมีค�ำพิพากษามิใช่ข้ออ้างท่ีจะไม่ต้องให้การ
อุปการะเลี้ยงดบู ตุ รผ้เู ยาว์ต่อไป เมือ่ คำ� นึงถึงฐานะและความสามารถของจ�ำเลยผมู้ ีหน้าทีต่ ้องให้
ซ่งึ มีตำ� แหนง่ หน้าท่กี ารงานเป็นแพทยม์ ีรายไดจ้ ากการประกอบอาชพี อยใู่ นระดบั สูงย่อมมีความ
สามารถเพียงพอท่ีจะให้ความช่วยเหลือค่าอุปการะเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์ได้ ที่ศาลชั้นต้นก�ำหนดให้
จำ� เลยจ่ายคา่ อปุ การะเลย้ี งดูบุตรผเู้ ยาวเ์ ดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท และ ๒๐,๐๐๐ บาท ตามระดบั
การศึกษาของบุตรผู้เยาว์จึงเหมาะสมแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์
ของจำ� เลยขอ้ นฟี้ ังไม่ข้ึน แต่อยา่ งไรก็ตามท่ศี าลชน้ั ตน้ พิพากษาใหจ้ �ำเลยช�ำระคา่ อุปการะเลีย้ งดู
บตุ รผู้เยาวโ์ ดยไมไ่ ดก้ �ำหนดวา่ ให้ช�ำระนบั แตเ่ มือ่ ใดเป็นการไมถ่ ูกตอ้ ง เห็นสมควรแก้ไข และเมือ่
ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ จำ� เลยยงั ใหค้ วามอปุ การะเลยี้ งดบู ตุ รผเู้ ยาวต์ ลอดมา จงึ เหน็ สมควรกำ� หนด
ใหจ้ �ำเลยช�ำระคา่ อปุ การะเลยี้ งดบู ตุ รผเู้ ยาวน์ บั แตว่ นั ทศี่ าลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษมคี �ำพพิ ากษา
อนงึ่ คดนี แี้ มจ้ �ำเลยจะมคี ำ� ขอใหศ้ าลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษพพิ ากษากลบั ค�ำพพิ ากษา
ศาลช้ันต้น แต่ตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรส ในชั้น
อุทธรณ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ แต่จ�ำเลยเสียค่าข้ึนศาลชั้นอุทธรณ์เกินมา ๑๐๙,๘๐๐ บาท
จึงต้องคืนเงินค่าข้ึนศาลท่ีเสียเกินมาดังกล่าวให้แก่จ�ำเลย นอกจากน้ีศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
บ้านเลขที่ ๔๙/๕๑ ไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยท่ีโจทก์จะขอแบ่งกรรมสิทธิ์ แต่มิได้
พพิ ากษายกคำ� ขอในส่วนนี้ จึงเหน็ สมควรแก้ไข
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหจ้ ำ� เลยชำ� ระคา่ อปุ การะเลย้ี งดบู ตุ รผเู้ ยาวน์ บั แตว่ นั ทศี่ าลอทุ ธรณ์
คดชี �ำนัญพเิ ศษมีคำ� พิพากษา ยกคำ� ขอของโจทก์ทข่ี อใหส้ งั่ ห้ามจ�ำเลยเขา้ ใกล้ และยกค�ำขอแบง่
กรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ ๔๙/๕๑ ให้คืนค่าข้ึนศาลช้ันอุทธรณ์ ๑๐๙,๘๐๐ บาท แก่จ�ำเลย ค่าฤชา
ธรรมเนียมในช้ันอุทธรณ์นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ นอกจากท่ีแก้ให้เป็นไปตามค�ำพิพากษา
ศาลชน้ั ต้น.
(รัชดาพร เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา - อเุ ทน ศิรสิ มรรถการ - รตั นา กิตติพิบูลย์)
ฉันทนา ชมพานิชย์ - ยอ่
แกว้ ตา เทพมาลี - ตรวจ
39
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนัญพเิ ศษที่ ๓๐๗/๒๕๖๐ นาย ฉ. โจทก์
นาง จ. จ�ำเลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖๔ เดมิ , ๑๔๖๖ เดิม
นาง บ. ยกที่ดินพิพาทให้แก่จ�ำเลยโดยเสน่หาขณะท่ี ป.พ.พ. บรรพ ๕ เดิม มีผล
ใชบ้ งั คบั หากนาง บ. มีเจตนายกที่ดินพิพาทให้เปน็ สนิ ส่วนตัวของจ�ำเลย นาง บ. ตอ้ งแสดง
ให้ปรากฏในหนังสือยกให้ตามมาตรา ๑๔๖๔ (๓) แห่ง ป.พ.พ. บรรพ ๕ เดิม การที่นาง บ.
มิได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ายกที่ดินพิพาทให้เป็นสินส่วนตัว ย่อมมีผลท�ำให้ที่ดินพิพาท
ตกเปน็ สนิ สมรส สว่ นทจี่ ำ� เลยอทุ ธรณว์ า่ การที่ ป.พ.พ. บรรพ ๕ เดมิ มาตรา ๑๔๖๖ วรรคสอง
บัญญัติว่า ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ให้สันนิษฐาน
ไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส แสดงว่ากฎหมายไม่ได้ห้ามมิให้จ�ำเลยพิสูจน์ว่าที่ดินพิพาทเป็น
สินส่วนตัว ซึ่งจ�ำเลยได้น�ำสืบไว้แล้วว่านาง บ. ยกที่ดินพิพาทให้เป็นสินส่วนตัวของ
จำ� เลยนน้ั เหน็ วา่ ขอ้ สนั นษิ ฐานตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖๖ วรรคสอง แหง่ ป.พ.พ. บรรพ ๕ เดมิ
เป็นข้อสันนิษฐานส�ำหรับทรัพย์สินที่คู่สมรสมีหรือได้มาโดยทางอ่ืนที่มิใช่โดยทาง
พินัยกรรมหรือยกให้โดยเสน่หา ซ่ึงจะต้องพิจารณาข้อความในพินัยกรรมหรือหนังสือ
ยกให้เป็นส�ำคัญว่าผู้ท�ำพินัยกรรมหรือผู้ให้ได้แสดงเจตนาให้เป็นสินส่วนตัวของผู้รับ
พินัยกรรมหรือผู้รับให้หรือไม่ จึงไม่อาจใช้ข้อสันนิษฐานตามบทกฎหมายมาตรานี้
เป็นข้อสันนิษฐานส�ำหรับท่ีดินพิพาทซ่ึงจ�ำเลยได้มาโดยการรับให้โดยเสน่หาจากนาง บ.
เม่ือข้อเท็จจริงฟังได้ว่านาง บ. ยกท่ีดินพิพาทให้แก่จ�ำเลยโดยหนังสือยกให้มิได้แสดงไว้
ให้เป็นสินส่วนตัวของจ�ำเลย ท่ีดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจ�ำเลย โจทก์ย่อม
มีสิทธขิ อใหล้ งชอ่ื ตนเป็นเจ้าของรวมในโฉนดท่ีดนิ พิพาทได้
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยจดทะเบียนใส่ช่ือโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน
โฉนดเลขท่ี ๖๑๒๖๗ ต�ำบลลาดพร้าว อ�ำเภอบางกะปิ จังหวดั นครหลวงกรุงเทพธนบุรี กบั ทด่ี ิน
โฉนดเลขที่ ๑๕๒๖๘, ๑๕๒๖๙, ๑๕๒๗๐ และ ๑๕๒๗๑ ตำ� บลลาดพรา้ ว อำ� เภอลาดพรา้ ว จงั หวดั
กรุงเทพมหานคร หากจ�ำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาค�ำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย
40