การทำ� ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๒๖๗๓ ตำ� บลทงุ่ ลาน อำ� เภอหาดใหญ่ จงั หวัดสงขลา ให้
แก่โจทก์ เน่ืองจากโจทก์ซ้ือท่ีดินพิพาทจากนาย จ. ขณะนาย จ. ยังเป็นผู้เยาว์ จ�ำเลยให้การ
และฟ้องแย้ง โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ส่งมอบ
หนงั สือรับรองการทำ� ประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกลา่ วใหแ้ ก่จ�ำเลย กบั ให้ขบั ไล่โจทก์และบรวิ าร
ออกจากทด่ี นิ พพิ าท ระหวา่ งพจิ ารณาผรู้ อ้ งสอดยน่ื คำ� รอ้ งขอเขา้ มาเปน็ คคู่ วามอา้ งวา่ ผรู้ อ้ งสอด
เปน็ ผคู้ รอบครองทดี่ นิ พพิ าทโดยความสงบและโดยเปดิ เผยดว้ ยเจตนาเปน็ เจา้ ของตลอดมานบั แต่
ปี ๒๕๒๙ ขอใหย้ กฟอ้ งของโจทกแ์ ละฟอ้ งแยง้ ของจำ� เลย ศาลจงั หวดั สงขลาเหน็ วา่ กรณมี ปี ญั หา
ว่า คดีน้ีอยู่ในอ�ำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวหรือไม่ จึงส่งส�ำนวนให้
ประธานศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและ
วธิ พี ิจารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑ ประธานศาลอทุ ธรณค์ ดีช�ำนญั
พเิ ศษวินิจฉยั วา่ คดนี ี้อยู่ในอ�ำนาจพจิ ารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลจังหวัด
สงขลาจึงโอนคดีไปยังศาลชั้นต้น ต่อมาโจทก์ถึงแก่ความตาย นาย ท. ย่ืนค�ำร้องขอเข้าเป็น
คู่ความแทน ศาลชัน้ ตน้ มคี �ำสง่ั อนุญาต
ระหว่างพิจารณา โจทก์กับจ�ำเลยตกลงกันได้ โจทก์กับจ�ำเลยย่ืนค�ำร้องขอถอนฟ้อง
และฟอ้ งแย้งผรู้ ้องสอดคัดค้าน
ศาลชน้ั ตน้ มคี ำ� สง่ั อนญุ าตใหโ้ จทกก์ บั จำ� เลยถอนฟอ้ งและฟอ้ งแยง้ จำ� หนา่ ยคดอี อกจาก
สารบบความ คนื คา่ ขน้ึ ศาลใหโ้ จทกเ์ ปน็ กรณพี เิ ศษ ๖๑,๐๐๐ บาท สว่ นทจ่ี ำ� เลยฟอ้ งแยง้ นน้ั จำ� เลย
ไดร้ บั การยกเว้นไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ส�ำหรับในส่วนของผู้รอ้ งสอด เห็นว่า ผรู้ ้องสอดขอ
ให้พิพากษาว่าผู้ร้องสอดมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและห้ามโจทก์จ�ำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับ
ท่ีดินพิพาท กับขอให้ยกฟ้องของโจทก์นั้นเป็นการโต้แย้งสิทธิทางแพ่งเกี่ยวกับที่ดินท่ัวไปซึ่งไม่
เปน็ กรณที ตี่ อ้ งบงั คบั ตามกฎหมายครอบครวั คดจี งึ ไมอ่ ยใู่ นอำ� นาจของศาลเยาวชนและครอบครวั
ทจี่ ะพจิ ารณาพพิ ากษาคดีได้ หากผ้รู ้องสอดประสงค์จะดำ� เนินคดีตอ่ ไป ให้ผรู้ ้องสอดดำ� เนนิ การ
ยื่นฟอ้ งยงั ศาลท่ีมีอำ� นาจพิจารณาพิพากษา คนื ค่าข้ึนศาลใหผ้ ู้ร้องสอดทง้ั หมด
ผรู้ อ้ งสอดอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เห็นว่า แม้คดี
นี้ประธานศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษมีค�ำวินิจฉัยแล้วว่า คดีของโจทก์ จ�ำเลยและผู้ร้องสอด
อยู่ในอ�ำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัว แต่ค�ำวินิจฉัยดังกล่าวยังได้
วินิจฉัยในส่วนคดีของผู้ร้องสอดด้วยว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิทางแพ่งเกี่ยวกับท่ีดินท่ัวไปซ่ึง
141
ไม่เป็นกรณีท่ีต้องบังคับตามกฎหมายครอบครัว และเหตุท่ีให้ศาลเยาวชนและครอบครัวมี
อ�ำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของผู้ร้องสอดด้วยเพราะเป็นคดีที่เสนอภายหลังเก่ียวเนื่องกับ
คดีของโจทก์กับจ�ำเลยซึ่งเป็นคดีครอบครัวท่ีค้างพิจารณาอยู่ในศาลตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗ (๑) เม่ือโจทก์กับจ�ำเลยถอนฟ้องและฟ้องแย้งและศาลช้ันต้น
มีค�ำสั่งอนุญาตแล้วย่อมลบล้างผลแห่งการย่ืนค�ำฟ้องและฟ้องแย้งนั้น รวมท้ังกระบวนพิจารณา
อื่น ๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นค�ำฟ้องและฟ้องแย้ง และกระท�ำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิม
เสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นฟ้องเลยและแม้ค�ำร้องสอดของผู้ร้องสอดจะไม่ตกไปเนื่องจากเป็น
ค�ำร้องสอดที่ผู้ร้องสอดใช้สิทธิของผู้ร้องสอดเองเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายท่ีสาม ไม่ได้อาศัยสิทธิ
ตามค�ำฟ้อง แต่คดีของผู้ร้องสอดไม่ใช่คดีครอบครัวตามค�ำวินิจฉัยของประธานศาลอุทธรณ์
คดีช�ำนัญพิเศษข้างต้นอยู่แล้ว ที่ศาลช้ันต้นยกค�ำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นเหตุผลให้เห็นว่าคดีของ
ผู้ร้องสอดไม่อยู่ในอ�ำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวภายหลังจากที่โจทก์
จ�ำเลยได้ถอนฟ้องและฟ้องแย้งจึงชอบแล้ว แต่กรณีเช่นน้ีจะต้องเปล่ียนแปลงศาลท่ีมีอ�ำนาจ
พิจารณาพิพากษาคดีซ่ึงตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี
เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑ ให้ศาลเดิมโอนคดไี ปยงั ศาลท่มี อี ำ� นาจพิจารณา
พิพากษาคดีดังกล่าว และให้ถือว่ากระบวนพิจารณาท่ีได้ด�ำเนินการไปแล้วในศาลเดิมก่อนมี
ค�ำพิพากษาไม่เสียไป ดังน้ัน ท่ีศาลชั้นต้นมีค�ำส่ังว่าจ�ำหน่ายคดีในส่วนของผู้ร้องสอดด้วยและ
หากผู้ร้องสอดประสงค์จะด�ำเนินคดีต่อไป ให้ผู้ร้องสอดด�ำเนินการยื่นฟ้องยังศาลที่มีอ�ำนาจ
พจิ ารณาพพิ ากษาคดตี อ่ ไปจงึ ไมถ่ กู ตอ้ ง ศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษเหน็ สมควรแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ ง
พิพากษายกค�ำส่ังของศาลช้ันต้นที่ให้จ�ำหน่ายคดีในส่วนของผู้ร้องสอด ให้ศาลช้ันต้น
ดำ� เนนิ การโอนคดขี องผรู้ อ้ งสอดไปยงั ศาลทมี่ อี ำ� นาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดตี อ่ ไป คา่ ฤชาธรรมเนยี ม
ชัน้ อุทธรณ์ให้เป็นพบั .
(อมรรตั น์ กริยาผล - ประวิทย์ อิทธิชยั วฒั นา - พนารตั น์ คดิ จติ ต์)
ฉันทนา ชมพานิชย์ - ย่อ
นรินทร์ ทองค�ำใส - ตรวจ
142
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณ์คดีช�ำนญั พเิ ศษที่ ๙๓๖๔/๒๕๖๒ นางสาว ป. โจทก์
นาย ศ. จ�ำเลย
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๖๒
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๖๒ กําหนดหลักเกณฑ์การท่ีศาลจะมีอํานาจออกหมายจับและ
สั่งให้กักขังลูกหน้ีตามคําพิพากษาในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้จ่าย
คา่ อปุ การะเลีย้ งดหู รือค่าเลย้ี งชพี ไว้เป็นลําดับข้นั ตอนว่า ศาลตอ้ งเหน็ สมควรมีคําส่ังให้
ลูกหนี้ตามคําพิพากษานําเงินมาวางศาลตามเง่ือนไข หรือระยะเวลาที่ศาลกําหนด
เสียก่อน หากลูกหน้ีตามคําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคําสั่งดังกล่าว ให้ศาลเรียกตัวลูกหน้ี
ตามคําพิพากษามาสอบถาม หากปรากฏว่าเป็นความจริงก็ให้ศาลว่ากล่าวตักเตือนให้
ปฏิบัติตามคําสั่ง และหากลูกหนี้ตามคําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคําตักเตือนโดยไม่มีเหตุ
อันสมควร จึงให้ศาลมีอํานาจออกหมายจับและสั่งให้กักขังลูกหน้ีตามคําพิพากษา
เม่ือข้อเท็จจริงคดีน้ีได้ความว่า หลังจากท่ีศาลมีคําพิพากษาตามยอมแล้ว จําเลยไม่
ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ขอให้ศาลช้ันต้นเรียกจําเลยมา
สอบถาม จําเลยแถลงต่อศาลว่าปัจจุบันจําเลยมีรายได้ไม่แน่นอน ไม่มีเจตนาท่ีจะ
ไม่ปฏิบัติตามคําพิพากษา ศาลชั้นต้นเห็นว่าจําเลย มิได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตาม
คําพิพากษาจึงให้เล่ือนคดีไปนัดพร้อมเพ่ือฟังผลการปฏิบัติตามท่ีจําเลยแถลงว่าจะ
ชําระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ โดยไม่ปรากฏว่าศาลช้ันต้นมีคําสั่งกําหนดเง่ือนไข
หรือระยะเวลาให้จําเลยนําเงินค่าอุปการะเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์ตามคําพิพากษามาชําระ
หรือวางศาลแต่อย่างใด เม่ือถึงกําหนดวันนัดพร้อมจําเลยไม่มาศาล และศาลช้ันต้น
ส่ังให้มีการส่งหมายนัดพร้อมให้แก่จําเลยเพื่อให้มาศาลตามกําหนดนัดน้ัน การส่ง
หมายนัดให้แก่จําเลยดังกล่าวก็เพ่ือให้จําเลยทราบกําหนดวันนัดพร้อมใหม่เท่าน้ัน มิใช่
เป็นกรณีที่ศาลหมายเรียกตัวจําเลยมาให้ถ้อยคําในการพิจารณาคดีแล้วจําเลยไม่มา
อันจะถือว่าจําเลยขัดขืนหมายหรือคําส่ังของศาลตามท่ีโจทก์อุทธรณ์ ทั้งตามข้อเท็จจริง
ก็ยังถือไม่ได้ว่าศาลชั้นต้นได้เรียกตัวจําเลยมาตักเตือนให้ปฏิบัติตามคําสั่งศาลและ
143
จําเลยไม่ปฏิบัติตามคําตักเตือนของศาลโดยไม่มีเหตุอันสมควรอันเป็นเหตุให้ศาล
มีอํานาจออกหมายจับและสั่งให้กักขังจําเลยได้แต่อย่างใด กรณีจึงยังไม่มีเหตุตาม
กฎหมายทจ่ี ะใหศ้ าลอทุ ธรณค์ ดชี ํานญั พเิ ศษมคี ําสง่ั ออกหมายจบั และสงั่ ใหก้ กั ขงั จําเลยได ้
_____________________________
ศาลช้ันต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยว่า
จ�ำเลยตกลงจา่ ยค่าอุปการะเลีย้ งดูบตุ รผ้เู ยาวเ์ ปน็ เงนิ ๕๐,๐๐๐ บาท ภายในวันที่ ๓๑ มกราคม
๒๕๖๒ และจ่ายค่าอุปการะเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์เป็นรายเดือน เดือนละไม่น้อยกว่า ๔,๕๐๐ บาท
โดยจะช�ำระทุกวันสิ้นเดือน เร่ิมช�ำระเดือนแรกสิ้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป จนกว่า
บุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ การช�ำระเงินให้จ�ำเลยโอนเงินเข้าบัญชีนางสาว ธ. ต่อมาวันที่
๑๓ มีนาคม ๒๕๖๒ โจทก์ยื่นค�ำร้องว่า จ�ำเลยมีพฤติกรรมจงใจไม่ปฏิบัติตามค�ำพิพากษา
ขอให้ศาลช้ันต้นเรียกตัวจ�ำเลยมาเพ่ือสอบถามถึงเหตุท่ีจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามค�ำพิพากษา
ตามยอม ศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังว่า หมายนัดสอบถาม ให้โจทก์น�ำส่ง ไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิด เม่ือ
ถึงวันนัดสอบถาม มารดาโจทก์ ทนายโจทก์ และจ�ำเลยมาศาล ศาลชั้นต้นสอบถามจ�ำเลยถึง
เหตุท่ีจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามค�ำพิพากษาตามยอม จ�ำเลยแถลงว่า ปัจจุบันจ�ำเลยมีรายได้
ไม่แน่นอน แต่มิได้มีเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงไม่ช�ำระค่าอุปการะเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์ และจ�ำเลย
ยินดีช�ำระเงินค่าอุปการะเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์เป็นรายเดือนเดือนละ ๔,๕๐๐ บาท ต้ังแต่เดือน
มีนาคม ๒๕๖๒ ถงึ เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ รวม ๓ เดือน เปน็ เงนิ ๑๓,๕๐๐ บาท ให้เสรจ็ สน้ิ
ภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ ส่วนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ๕๐,๐๐๐ บาท
จ�ำเลยขอระยะเวลาในการรวบรวมเงินดังกล่าวก่อน ศาลชั้นต้นเห็นว่า จ�ำเลยมิได้มีเจตนา
ท่ีจะไม่ปฏิบัติตามค�ำพิพากษาตามยอม แต่เนื่องจากความจ�ำเป็นจากการประกอบอาชีพ
ซ่ึงมีรายได้ไม่แน่นอนเป็นเหตุให้ขาดส่งค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ เพ่ือให้โอกาสจ�ำเลย
จึงให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อดูผลการปฏิบัติตามที่จ�ำเลยแถลงไว้ คร้ันถึงวันนัดพร้อมทนายโจทก์
มาศาล สว่ นจ�ำเลยทราบนดั โดยชอบแลว้ ไมม่ า ทนายโจทกแ์ ถลงวา่ จ�ำเลยไดช้ ำ� ระเงนิ ๑๓,๕๐๐ บาท
ครบถ้วนแล้ว ส่วนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ ๕๐,๐๐๐ บาท จ�ำเลยยังไม่ได้ช�ำระ
ศาลช้ันตน้ เห็นว่าจำ� เลยแถลงวา่ จะมาเจรจาเกี่ยวกบั เงินจำ� นวนดงั กลา่ วในวันนี้ เมือ่ จำ� เลยไม่มา
ศาลจงึ ไมอ่ าจสอบถามได้ ใหเ้ ลอ่ื นไปนดั พรอ้ มเพอื่ สอบถาม หมายแจง้ วนั นดั ใหจ้ ำ� เลยทราบ เมอื่ ถงึ
วนั นดั พรอ้ มเพอ่ื สอบถาม ทนายโจทกม์ าศาล สว่ นจำ� เลยทราบนดั โดยชอบแลว้ ไมม่ า ทนายโจทก์
144
แถลงวา่ จำ� เลยไมม่ าศาลตามทกี่ ำ� หนดถงึ ๒ ครงั้ แลว้ ขอใหศ้ าลออกหมายจบั จำ� เลยเพอื่ สอบถาม
ตอ่ ไป ศาลช้ันตน้ พจิ ารณาแลว้ มคี ำ� ส่ังวา่ กรณสี ืบเนอื่ งมาจากจ�ำเลยไม่ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลงท่จี ะ
ชำ� ระคา่ อปุ การะเลยี้ งดบู ตุ รผเู้ ยาวต์ ามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ ฉบบั ลงวนั ที่ ๒๖ กนั ยายน
๒๕๖๑ ยังไม่มีเหตุที่จะออกหมายจับจ�ำเลย เม่ือจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม
ยอมความ ถือวา่ เปน็ ผ้ผู ิดสญั ญาให้โจทก์ดำ� เนินการบังคบั คดแี กจ่ �ำเลยตามกฎหมายตอ่ ไป
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา
ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า กรณีมีเหตุตามกฎหมายท่ีจะให้ศาลมีค�ำส่ังออกหมายจับ
และกักขังจ�ำเลยได้หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา
คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๖๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในคดีท่ีศาลมี
ค�ำพิพากษาหรือค�ำสั่งให้จ่ายค่าอุปการะเล้ียงดูหรือค่าเลี้ยงชีพถ้าศาลเห็นสมควรจะส่ังให้
ลกู หนต้ี ามคำ� พพิ ากษานำ� เงนิ มาวางศาลตามเงอ่ื นไข หรอื ระยะเวลาทศี่ าลกำ� หนด...” และวรรคสอง
บัญญัติว่า “เม่ือความปรากฏต่อศาลเองหรือผู้มีสิทธิได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูหรือค่าเล้ียงชีพ
ร้องต่อศาลว่าลูกหนี้ตามค�ำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลเรียกตัวมาสอบถาม หาก
ปรากฏว่าเป็นความจริงให้ศาลว่ากล่าวตักเตือนให้ปฏิบัติตามค�ำสั่งศาล” และวรรคสาม บัญญัติว่า
“ในกรณีลูกหน้ีตามค�ำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามค�ำตักเตือนของศาลตามวรรคสองโดยไม่มีเหตุอัน
สมควร ศาลมีอ�ำนาจออกหมายจับและสั่งให้กักขังลูกหนี้ตามค�ำพิพากษาไว้จนกว่าลูกหนี้จะน�ำ
เงินค่าอุปการะเล้ียงดูหรือค่าเล้ียงชีพมาช�ำระหรือวางศาล...” ตามบทบัญญัติดังกล่าวก�ำหนด
หลกั เกณฑก์ ารทศ่ี าลจะมอี ำ� นาจออกหมายจบั และสงั่ ใหก้ กั ขงั ลกู หนต้ี ามคำ� พพิ ากษาในคดที ศี่ าล
มคี ำ� พพิ ากษาหรอื คำ� สงั่ ใหจ้ า่ ยคา่ อปุ การะเลย้ี งดหู รอื คา่ เลย้ี งชพี ไวเ้ ปน็ ลำ� ดบั ขนั้ ตอนวา่ ศาลตอ้ ง
เห็นสมควรมคี �ำสั่งให้ลูกหน้ีตามคำ� พิพากษานำ� เงนิ มาวางศาลตามเง่อื นไข หรอื ระยะเวลาท่ีศาล
ก�ำหนดเสียก่อน หากลูกหน้ีตามค�ำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามค�ำส่ังของศาลดังกล่าว ให้ศาลเรียก
ตัวลูกหน้ีตามค�ำพิพากษามาสอบถาม หากปรากฏว่าเป็นความจริงก็ให้ศาลว่ากล่าวตักเตือน
ให้ปฏิบัติตามค�ำส่ังศาล และหากลูกหนี้ตามค�ำพิพากษาไม่ปฏิบัติตามค�ำตักเตือนของศาลโดย
ไม่มีเหตุอันสมควร จึงให้ศาลมีอ�ำนาจออกหมายจับและส่ังให้กักขังลูกหน้ีตามค�ำพิพากษา เม่ือ
ขอ้ เทจ็ จรงิ คดนี ไ้ี ดค้ วามวา่ หลงั จากทศ่ี าลมคี ำ� พพิ ากษาตามยอมแลว้ จำ� เลยไมป่ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญา
ประนปี ระนอมยอมความ โจทกข์ อใหศ้ าลชน้ั ตน้ เรยี กจำ� เลยมาสอบถาม ซงึ่ จำ� เลยมาแถลงตอ่ ศาล
วา่ ปัจจุบันจำ� เลยมีรายได้ไม่แนน่ อน ไมม่ ีเจตนาท่จี ะไม่ปฏิบัติตามคำ� พิพากษา ศาลชน้ั ต้นเห็นว่า
145
จ�ำเลยมิได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามค�ำพิพากษาเนื่องจากจ�ำเลยมีความจ�ำเป็นในการประกอบ
อาชีพท่ีมีรายได้ไม่แน่นอน และให้เล่ือนคดีไปนัดพร้อมเพื่อฟังผลการปฏิบัติตามท่ีจ�ำเลยแถลง
ว่าจะช�ำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ โดยไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นเห็นสมควรมีค�ำสั่งก�ำหนด
เงอ่ื นไขหรอื ระยะเวลาใหจ้ ำ� เลยนำ� เงนิ คา่ อปุ การะเลยี้ งดบู ตุ รผเู้ ยาวต์ ามคำ� พพิ ากษามาชำ� ระหรอื
วางศาลแตอ่ ยา่ งใด สว่ นเมอื่ ถงึ กำ� หนดวนั นดั พรอ้ มจำ� เลยไมไ่ ดม้ าศาล และศาลชน้ั ตน้ สง่ั ใหม้ กี าร
สง่ หมายนดั พรอ้ มใหแ้ กจ่ ำ� เลยเพอ่ื ใหจ้ ำ� เลยมาศาลตามกำ� หนดนดั นน้ั การสง่ หมายนดั ใหแ้ กจ่ ำ� เลย
ดังกล่าวก็เพ่ือให้จ�ำเลยทราบก�ำหนดวันนัดพร้อมใหม่เท่านั้น มิใช่เป็นกรณีที่ศาลหมายเรียกตัว
จ�ำเลยมาให้ถ้อยค�ำในการพิจารณาคดีแล้วจ�ำเลยไม่มาอันจะถือว่าจ�ำเลยขัดขืนหมายหรือค�ำส่ัง
ของศาลตามที่โจทก์อุทธรณ์ท้ังตามข้อเท็จจริงก็ยังถือไม่ได้ว่าศาลช้ันต้นได้เรียกตัวจ�ำเลยมา
ตักเตือนให้ปฏิบัติตามค�ำสั่งศาลและจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามค�ำตักเตือนของศาลโดยไม่มีเหตุ
อันสมควร อันเป็นเหตุให้ศาลมีอ�ำนาจออกหมายจับและสั่งให้กักขังจ�ำเลยได้แต่อย่างใด กรณี
จึงยังไม่มีเหตุตามกฎหมายท่ีจะให้ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษมีค�ำส่ังออกหมายจับและสั่งให้
กักขังจ�ำเลยได้ ที่ศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังว่ายังไม่มีเหตุที่จะออกหมายจับจ�ำเลย ศาลอุทธรณ์คดี
ช�ำนญั พเิ ศษเห็นพอ้ งด้วย อทุ ธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขน้ึ
อนึ่ง ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕๕ บัญญัติว่า “ในการยื่นค�ำฟ้องหรือค�ำร้องตลอดจนการ
ด�ำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ในคดีครอบครัวเพ่ือเรียกค่าอุปการะเล้ียงดูหรือค่าเล้ียงชีพให้ได้
รับการยกเว้นไม่ต้องช�ำระค่าข้ึนศาลและค่าฤชาธรรมเนียม” คดีน้ีโจทก์กับจ�ำเลยพิพาทกันเรื่อง
ค่าอุปการะเล้ียงดู จึงได้รับยกเว้นค่าขึ้นศาลและค่าฤชาธรรมเนียม ดังนี้ ที่ศาลช้ันต้นเรียกเก็บ
คา่ ข้ึนศาลในชน้ั อทุ ธรณ์ ๒๐๐ บาท และคา่ สง่ ค�ำคูค่ วาม ๒๖๐ บาท จากโจทก์ จึงไม่ชอบ
พพิ ากษายนื แตใ่ ห้คนื ค่าข้นึ ศาลชัน้ อุทธรณ์ ๒๐๐ บาท และคา่ ส่งคำ� ค่คู วาม ๒๖๐ บาท
แกโ่ จทก์.
(ประวิทย์ อทิ ธชิ ัยวัฒนา - อมรรตั น์ กรยิ าผล - พนารตั น์ คิดจติ ต)์
นิชญา ปราณจี ิตต์ - ย่อ
แก้วตา เทพมาลี - ตรวจ
146
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี ำ� นญั พิเศษท่ี ๒๗๒๒/๒๕๖๓ นาย ว. โจทก์
จ�ำเลย
นางสาว ล.
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๒๗๔
สัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๒ ระบุว่า จําเลยตกลงรับแบ่งสินสมรส
ตามข้อ ๑.๑ ถงึ ๑.๕ เทา่ นน้ั สนิ สมรสอนื่ ใดนอกเหนอื จากสัญญาประนีประนอมยอมความ
ฉบับนี้ จําเลยไม่ประสงค์รับข้อสัญญาดังกล่าวย่อมมีผลเพียงว่า จําเลยไม่มีกรรมสิทธ์ิ
หรือสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินท่ีจําเลยได้สละแล้วเท่านั้น แต่มิได้หมายความไปถึงว่า
จําเลยจะต้องส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่โจทก์ด้วย เพราะสัญญาประนีประนอม
ยอมความไม่ได้กําหนดให้จําเลยต้องปฏิบัติเช่นนั้น การที่โจทก์อ้างว่าจําเลยปฏิบัติ
ผิดสัญญาเน่ืองจากไม่ยอมส่งมอบสินสมรสอ่ืนให้แก่โจทก์ เท่ากับว่าโจทก์ตีความ
ข้อสัญญาไปในทางเพิ่มความรับผิดให้แก่จําเลย จึงเป็นการตีความสัญญาท่ีไม่ถูกต้อง
ท้ั ง ไ ม ่ ป ร า ก ฏ ว ่ า สั ญ ญ า ป ร ะ นี ป ร ะ น อ ม ย อ ม ค ว า ม ดั ง ก ล ่ า ว ร ะ บุ ว ่ า สิ ท ธิ ก า ร เ ช ่ า
ร้านค้า น. เป็นสินสมรส กรณีจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าสิทธิการเช่าร้านค้า น. เป็น
สนิ สมรสตามทโ่ี จทกอ์ า้ ง เนอ่ื งจากยงั ไมไ่ ดม้ กี ารพสิ จู นว์ า่ ทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วเปน็ สนิ สมรส
หรือไม่ หากโจทก์กับจําเลยมีข้อโต้แย้งเก่ียวกับสิทธิการเช่าร้านค้าดังกล่าวกันอย่างไร
ก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ โจทก์หามีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีใน
คดีนี้ไม่ การท่ีจําเลยไม่ออกไปจากร้านค้า น. และไม่ส่งมอบร้านค้าให้แก่โจทก์ จึงหา
เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิท่ีจะบังคับคดีแก่จําเลยได้ ดังน้ัน การท่ีศาลช้ันต้นออกหมาย
บังคับคดีแก่จําเลยตามคําขอของโจทก์ถือว่าเป็นการออกหมายบังคับคดีนอกเหนือ
ไปจากคําพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการออกหมายบังคับคดี
ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗๔ ประกอบ พ.ร.บ.
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖ ย่อมมีเหตุเพกิ ถอนหมายบังคับคดนี ้ันเสียได้
______________________________
147
คดีสืบเน่ืองมาจากโจทก์กับจ�ำเลยตกลงกันท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความ
ฉบับลงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ใจความว่า ข้อ ๑. โจทก์และจ�ำเลยตกลงแบ่งสินสมรส
กันดังนี้ ข้อ ๑.๑ โจทก์ตกลงให้ร้านค้าของช�ำซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ ๑ ต�ำบลสิงห์ อ�ำเภอไทรโยค
จังหวัดกาญจนบุรี เป็นสิทธิของจ�ำเลยแต่เพียงผู้เดียว โดยโจทก์และบริวารของโจทก์จะไม่
ยุ่งเก่ียวกับร้านดังกล่าวอีกต่อไปนับแต่วันท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับน้ี ข้อ ๑.๒
โจทก์ตกลงให้ที่ดินมือเปล่าซึ่งตั้งอยู่หมู่ท่ี ๑ ต�ำบลสิงห์ อ�ำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
เนื้อท่ีประมาณ ๑ ไร่ ซึ่งครอบครองท�ำประโยชน์โดยการปลูกมะกรูด ให้เป็นสิทธิของจ�ำเลย
แตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว โดยโจทกแ์ ละบรวิ ารของโจทกจ์ ะไมย่ งุ่ เกยี่ วกบั ทด่ี นิ ดงั กลา่ ว ขอ้ ๑.๓ โจทกต์ กลง
ให้ที่ดนิ ภ.บ.ท. ๕ ซ่งึ ตงั้ อยู่หมู่ที่ ๑ ตำ� บลสงิ ห์ อ�ำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เน้อื ท่ี ๔ ไร่
๓ งาน ใหเ้ ปน็ สทิ ธขิ องจำ� เลยแตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว โดยโจทกแ์ ละบรวิ ารของโจทกจ์ ะไมย่ งุ่ เกยี่ วกบั ทด่ี นิ
ดงั กลา่ ว ขอ้ ๑.๔ โจทกต์ กลงใหร้ ถกระบะยห่ี อ้ นสิ สนั ฟรอนเทยี รเ์ ปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องจำ� เลย โดยโจทก์
จะไปด�ำเนินการทางทะเบียนให้เป็นชื่อจ�ำเลยภายใน ๗ วัน นับแต่วันท�ำสัญญาประนีประนอม
ยอมความฉบับน้ี หากโจทก์ไม่ด�ำเนินการ ให้ถือเอาสัญญาประนีประนอมยอมความและ
คำ� พพิ ากษาตามยอมเปน็ การแสดงเจตนาแทน ขอ้ ๑.๕ โจทกต์ กลงชำ� ระเงนิ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ใหแ้ ก่
จำ� เลย โดยจะชำ� ระใหเ้ สรจ็ สน้ิ ภายในระยะเวลา ๑ ปี นบั แตว่ นั ทำ� สญั ญาประนปี ระนอมยอมความ
ฉบับน้ี โดยโจทก์จะโอนเงินเข้าบัญชีในชื่อของจ�ำเลย ส่วนหมายเลขบัญชีธนาคารและสาขา
จ�ำเลยจะแจ้งให้โจทก์ทราบภายใน ๑๐ วัน หากโจทก์ผิดนัดยินยอมให้จ�ำเลยบังคับคดีได้ทันที
พร้อมยินยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินท่ีโจทก์ยังคงค้างช�ำระ และ
ขอ้ ๒. จ�ำเลยตกลงรับแบง่ สินสมรสตามข้อ ๑.๑ ถงึ ขอ้ ๑.๕ เทา่ น้ัน สินสมรสอื่นใดนอกเหนือ
จากสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ จ�ำเลยไม่ประสงค์รับ และจะไม่ด�ำเนินการบังคับคดี
กับจ�ำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงท่ี ๙๕/๒๕๕๗ ของศาลช้ันต้น ศาลช้ันต้นพิพากษาตามยอม
ต่อมาโจทก์ย่ืนค�ำร้องว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๒. หมายความว่า หากมี
ทรัพย์สินอ่ืน ๆ ซ่ึงเป็นสินสมรส จ�ำเลยไม่ประสงค์รับ เม่ือปรากฏว่ามีสินสมรสนอกเหนือ
จากสัญญาประนีประนอมยอมความดังน้ี ๑. สิทธิการเช่าร้านค้ารวมทั้งรายได้หรือสินค้า
ท่ีเหลือในร้านเป็นเงินประมาณ ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ทรัพย์สินอื่น ๆ ภายในและนอก
ร้านค้า อุปกรณ์ผลิตน้�ำด่ืมและเก็บน้�ำแข็ง ๓. เงินรายได้จากการท่ีจ�ำเลยน�ำไปเล่นแชร์และ
รายไดท้ ใี่ หผ้ อู้ นื่ กยู้ มื เงนิ ในระหวา่ งทโ่ี จทกก์ บั จำ� เลยสมรสกนั ๔. เงนิ ตามสญั ญากยู้ มื จากธนาคาร
ออมสนิ ทโี่ จทกช์ ำ� ระแทน หรอื เงนิ ตามสญั ญากยู้ มื เงนิ จากธนาคารกรงุ ไทย จำ� กดั (มหาชน) ทโี่ จทก์
148
กู้มาในระหว่างสมรสและน�ำมาใช้เป็นทุนในการประกอบกิจการร้านค้าและใช้จ่ายในครอบครัว
โดยจ�ำเลยยังครอบครองทรัพย์สินดังกล่าว และไม่ยอมส่งมอบทรัพย์สินให้แก่โจทก์ ท�ำให้โจทก์
ไมส่ ามารถเข้าไปในรา้ นค้าได้ อันเปน็ การไมป่ ฏบิ ตั ติ ามสัญญาประนปี ระนอมยอมความ โจทกม์ ี
ความประสงคจ์ ะบงั คบั คดแี กจ่ ำ� เลย ขอใหต้ งั้ เจา้ พนกั งานบงั คบั คดี ศาลชนั้ ตน้ ออกหมายบงั คบั คดี
แก่จำ� เลย
จ�ำเลยยน่ื คำ� ร้องว่า ทรพั ย์สนิ ที่โจทกก์ ล่าวอา้ งตามค�ำขอของโจทกท์ ้งั หมดน้ันไดย้ ุตไิ ป
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จ�ำเลยไม่ได้ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ขอให้
ศาลชัน้ ต้นมีค�ำสง่ั เพกิ ถอนหมายบงั คับคดี
โจทกย์ นื่ ค�ำคัดค้าน ขอใหย้ กค�ำรอ้ ง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีค�ำสั่งให้เพิกถอนหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่
๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้อง
วนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกว์ า่ คำ� สง่ั เพกิ ถอนหมายบงั คบั คดขี องศาลชนั้ ตน้ ชอบหรอื ไม่ เหน็ วา่
สญั ญาประนปี ระนอมยอมความระหวา่ งโจทกก์ บั จำ� เลยทที่ ำ� กนั ในศาลขอ้ ๒. ระบวุ า่ จำ� เลยตกลง
รับแบ่งสนิ สมรสตามข้อ ๑.๑ ถึง ๑.๕ เทา่ นนั้ สินสมรสอน่ื ใดนอกเหนอื จากสัญญาประนปี ระนอม
ยอมความฉบับน้ี จ�ำเลยไม่ประสงค์รับ และจะไม่ด�ำเนินการบังคับคดีกับจ�ำเลยในคดีแพ่ง
หมายเลขแดงท่ี ๙๕/๒๕๕๗ ของศาลชั้นต้น ข้อสัญญาที่ระบุว่าจ�ำเลยไม่ประสงค์รับสินสมรส
อนื่ ใดนอกเหนอื จากสญั ญาฉบบั น้ี หมายความวา่ จำ� เลยแสดงเจตนาสละกรรมสิทธ์ิสว่ นของตน
ในสินสมรสอ่ืนนอกเหนือจากสินสมรสที่ระบุไว้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อสัญญา
ดังกล่าวย่อมมีผลเพียงว่าจ�ำเลยไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใด ๆ ในทรัพย์สินที่จ�ำเลยได้สละแล้ว
เท่าน้ัน แต่มิได้หมายความไปถึงว่าจ�ำเลยจะต้องส่งมอบทรัพย์สินน้ันให้แก่โจทก์ด้วย เพราะ
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ก�ำหนดให้จ�ำเลยต้องปฏิบัติเช่นน้ัน เป็นไปตามหลัก
การตีความสัญญาที่ว่าจะต้องไม่ตีความไปในทางเพ่ิมความรับผิดให้แก่คู่ความ ท้ังตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความไม่ได้ระบุชัดว่าสินสมรสอ่ืนดังกล่าวน้ัน มีทรัพย์สินอะไรบ้าง เป็น
ทรัพย์สินประเภทและชนิดใดก็ไม่อาจทราบได้และตามข้อสัญญาก็ไม่ได้ก�ำหนดให้จ�ำเลยเป็น
ผู้มีหน้าท่ีต้องส่งมอบสินสมรสอื่นใดให้แก่โจทก์ และไม่ได้ก�ำหนดห้ามมิให้จ�ำเลยยุ่งเก่ียวกับ
สินสมรสหรือต้องออกจากสินสมรสอ่ืนใดด้วย การท่ีโจทก์อ้างว่าจ�ำเลยไม่ยอมส่งมอบสินสมรส
149
อื่นให้แก่โจทก์ ถือว่าจ�ำเลยปฏิบัติผิดสัญญานั้น เท่ากับว่าโจทก์ตีความข้อสัญญาไปในทาง
เพ่ิมความรับผิดให้แก่จ�ำเลย จึงเป็นการตีความสัญญาที่ไม่ถูกต้อง ประกอบกับตามค�ำร้อง
ขอออกหมายบังคับคดีของโจทก์ที่อ้างว่า สิทธิการเช่าร้านค้าเป็นสินสมรสอื่นนอกเหนือจาก
สัญญาประนีประนอมยอมความ จ�ำเลยยังครอบครองทรัพย์สินดังกล่าวและไม่ยอมส่งมอบ
ทรัพยส์ นิ ให้แกโ่ จทก์ ทำ� ใหโ้ จทกไ์ มส่ ามารถเขา้ ไปในรา้ นค้าได้ อันเป็นการไม่ปฏิบตั ติ ามสัญญา
ประนีประนอมยอมความน้ัน เม่ือไม่ปรากฏว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่าสิทธิ
การเช่าร้านค้าเป็นสินสมรส กรณีจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าสิทธิการเช่าร้านค้าเป็นสินสมรส
ตามท่ีโจทก์อ้าง เน่ืองจากยังไม่ได้มีการพิสูจน์ว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรสหรือไม่ โจทก์กับ
จำ� เลยมขี อ้ โตแ้ ยง้ เกยี่ วกบั สทิ ธกิ ารเชา่ รา้ นคา้ กนั อยา่ งไร โจทกช์ อบทจ่ี ะตอ้ งด�ำเนนิ การฟอ้ งบงั คบั
ให้จ�ำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวเป็นคดีใหม่ โจทก์หามีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดี
ในคดีนี้ไม่ ดังนั้น การที่จ�ำเลยไม่ออกไปจากร้านค้าและไม่ส่งมอบร้านค้าให้แก่โจทก์ จึงหาเป็น
เหตใุ หโ้ จทกม์ สี ทิ ธทิ จ่ี ะบงั คบั คดแี กจ่ ำ� เลยได้ เพราะจำ� เลยไมไ่ ดป้ ระพฤตผิ ดิ สญั ญาประนปี ระนอม
ยอมความ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแก่จ�ำเลย นอกจากนี้หมายบังคับคดี
ท่ีศาลชั้นต้นสงั่ ให้ออกเม่อื วนั ที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ ระบุวา่ ใหบ้ งั คบั คดตี ามค�ำพิพากษา ซึ่ง
ศาลได้มีค�ำส่ังให้จ�ำเลยส่งมอบทรัพย์สินท่ีนอกเหนือตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และ
จ�ำเลยไม่ประสงค์จะรับคืนให้แก่โจทก์นั้น โดยท่ีตามสัญญาประนีประนอมยอมความซ่ึงเป็น
ส่วนหนึ่งของค�ำพิพากษาตามยอมไม่มีข้อสัญญาก�ำหนดให้จ�ำเลยต้องส่งมอบทรัพย์สินอ่ืนใด
นอกเหนือจากสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี
แก่จ�ำเลยดังกล่าว ถือว่าเป็นการออกหมายบังคับคดีนอกเหนือไปจากค�ำพิพากษาตามสัญญา
ประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการออกหมายบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๔ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชน
และครอบครัวและวิธพี ิจารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ย่อมมีเหตเุ พิกถอน
หมายบังคับคดีนั้นเสียได้ ท่ีศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังให้เพิกถอนหมายบังคับคดีฉบับลงวันท่ี ๑๒
ธนั วาคม ๒๕๖๒ นั้น ศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษเหน็ พ้องดว้ ยในผล อุทธรณ์ของโจทกฟ์ งั ไม่ขนึ้
อน่ึง ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งค่าฤชาธรรมเนียม เป็นการไม่ชอบตามประมวลกฎหมาย
วธิ พี ิจารณาความแพง่ มาตรา ๑๖๗ วรรคหนึง่ ประกอบพระราชบญั ญัติศาลเยาวชนและครอบครวั
และวิธีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ศาลอทุ ธรณ์คดชี ำ� นัญพเิ ศษ
เหน็ สมควรแก้ไขใหถ้ ูกตอ้ ง
150
พิพากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนียมทง้ั สองศาลให้เป็นพับ.
(ประวิทย์ อทิ ธชิ ยั วฒั นา - อมรรัตน์ กรยิ าผล - พนารตั น์ คดิ จติ ต์)
นภกมล หะวานนท์ - ยอ่
พาชนื่ แสงจนั ทร์เทศ - ตรวจ
151
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นัญพเิ ศษที่ ๑๗๑๒/๒๕๖๔ นางสาว ฉ. โจทก์
จ�ำเลย
นาย ธ.
ป.พ.พ. มาตรา ๘๕๐, ๘๕๒
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๓ วรรคหน่ึง, ๑๔๕ วรรคหน่งึ
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๔๖
การใชอ้ ำ� นาจเปรยี บเทยี บใหค้ คู่ วามตกลงกนั ตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๖ ตอ้ งเปน็ กรณที ่เี กดิ ข้ึน
ดว้ ยเจตนาและความสมคั รใจของคคู่ วามทง้ั สองฝา่ ยทจ่ี ะตกลงประนปี ระนอมกนั ในขอ้ พพิ าท
เป็นส�ำคัญ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างจากการพิพากษาคดีที่ศาลมีอ�ำนาจพิจารณาพิพากษาตาม
พยานหลกั ฐานและพฤตกิ ารณแ์ หง่ คดที งั้ ปวงประกอบกนั เมอื่ คดนี โ้ี จทกฟ์ อ้ งหยา่ จำ� เลยโดยอา้ ง
เหตุจ�ำเลยยกย่องหญิงอ่ืนและท�ำร้ายร่างกายโจทก์ และขอให้ศาลสั่งให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจ
ปกครองบตุ รผเู้ ยาวเ์ พียงผู้เดียว โดยโจทกก์ บั จำ� เลยตกลงกันได้และท�ำสญั ญาประนีประนอม
ยอมความกันเพือ่ ระงับขอ้ พพิ าทตาม ป.พ.พ. มาตรา ๘๕๐ ย่อมทำ� ให้ข้อพพิ าทตามฟอ้ งระงับ
สิ้นไป และท�ำให้โจทก์กับจ�ำเลยได้สิทธิตามท่ีตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ
ดงั กลา่ วตามมาตรา ๘๕๒ ทงั้ เมอ่ื ศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษาไปตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ
โดยที่โจทก์และจ�ำเลยต่างมิได้อุทธรณ์ค�ำพิพากษาน้ัน ค�ำพิพากษาตามยอมของศาลช้ันต้น
ยอ่ มถงึ ทส่ี ดุ และผกู พนั คคู่ วามตามป.ว.ิ พ.มาตรา๑๔๕วรรคหนงึ่ และเมอ่ื สญั ญาประนปี ระนอม
ยอมความถือเป็นส่วนหนึ่งของค�ำพิพากษาตามยอม การที่จะแก้ไขสัญญาประนีประนอม
ยอมความและคำ� พพิ ากษาตามยอมซง่ึ ถงึ ทสี่ ดุ ไปแลว้ จงึ มไี ดแ้ ตเ่ ฉพาะเมอื่ เปน็ ขอ้ ผดิ พลาดหรอื
ขอ้ ผดิ หลงเลก็ น้อยอนื่ ๆ ตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๓ วรรคหนึ่ง หรือมีบทบัญญัติของกฎหมาย
บัญญัติไว้โดยชดั แจ้งใหส้ ามารถเปลย่ี นแปลงแกไ้ ขในภายหลงั ได้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิรอ้ งขอให้
ศาลเปลย่ี นแปลงแกไ้ ขคำ� พพิ ากษาตามยอมหรอื ขอ้ ตกลงตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ
โดยมคี ำ� ขอใหศ้ าลพพิ ากษาใหโ้ จทก์เป็นฝ่ายชนะคดีซง่ึ แตกต่างไปจากสัญญาประนปี ระนอม
ยอมความกนั ไดไ้ ม่ หากโจทกห์ รอื จำ� เลยเหน็ วา่ อกี ฝา่ ยผดิ ขอ้ ตกลงตามสญั ญาประนปี ระนอม
ยอมความก็ชอบท่ีจะขอให้บังคับคดีตามสภาพบังคับแห่งการท�ำสัญญาประนีประนอม
152
ยอมความท่ีได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้ง เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอม
ยอมความนน้ั
______________________________
คดีสืบเน่ืองมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากกัน
และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองเด็กชาย ร. บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว จ�ำเลยให้การขอ
ให้ยกฟ้อง ต่อมาโจทก์กับจ�ำเลยตกลงกันได้และท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย
ศาลชนั้ ต้นพพิ ากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมือ่ วนั ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ มีขอ้
ตกลงวา่ ขอ้ ๑ โจทกก์ บั จำ� เลยตกลงไมห่ ยา่ ขาดจากกนั และจะรว่ มกนั ดแู ลบตุ รผเู้ ยาวจ์ นกวา่ บตุ ร
ผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ข้อ ๒ โจทก์กับจ�ำเลยตกลงจะอยู่ร่วมกัน ณ บ้านเลขที่ ๘๘/๔๖
หมู่ท่ี ๔ ต�ำบลคลองต�ำหรุ อ�ำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยจ�ำเลยจะผ่อนช�ำระหน้ีค่าบ้าน
แต่เพียงฝ่ายเดียว เม่ือช�ำระครบถ้วนแล้วจะจดทะเบียนให้เป็นช่ือของโจทก์กับจ�ำเลยร่วมกัน
ข้อ ๓ โจทก์กับจ�ำเลยตกลงจะเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารในนามของโจทก์เพ่ือเป็นค่าใช้จ่ายใน
ครอบครวั โดยโจทกก์ บั จำ� เลยจะฝากเงนิ เข้าบญั ชี คนละ ๕,๐๐๐ บาท ภายในทกุ วันสิ้นเดอื นของ
ทกุ เดอื น เริ่มตัง้ แต่วนั ท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป และให้โจทกเ์ บิกถอนเงนิ จากบญั ชี
ดงั กลา่ วเปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยภายในครอบครวั โดยแสดงใบเสรจ็ รบั เงนิ แกจ่ ำ� เลยตามสมควร ขอ้ ๔ โจทก์
กบั จำ� เลยตกลงจะรว่ มกนั เปดิ บญั ชเี งนิ ฝากออมทรพั ยใ์ นนามของบตุ รผเู้ ยาวโ์ ดยโจทกก์ บั จ�ำเลยจะ
น�ำเงนิ ฝากเขา้ บญั ชีดังกล่าว คนละ ๒,๐๐๐ บาท ภายในวันส้ินเดือนของทุกเดือน เริ่มตงั้ แต่วันท่ี
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เปน็ ตน้ ไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลนุ ิตภิ าวะ หากจำ� เป็นตอ้ งเบิกถอน
เงินจากบัญชีดังกล่าว ใหโ้ จทก์กับจ�ำเลยเบกิ ถอนเงนิ จากบญั ชีร่วมกนั ข้อ ๕ โจทก์ยินยอมช�ำระ
ค่าจ้างเล้ียงเด็กหรือค่าอนุบาลบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะเข้าเรียนช้ันอนุบาล
ตามเกณฑ์ ข้อ ๖ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดนัดไม่ช�ำระเงินตามข้อ ๒ ถึงข้อ ๕ ให้บังคับคดีได้
ทันทีโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่ายที่ผิดนัดมาช�ำระหนี้พร้อมดอกเบ้ียอัตราร้อยละ
๗.๕ ตอ่ ปี ของต้นเงินทค่ี า้ งชำ� ระ ขอ้ ๗ ค่าฤชาธรรมเนยี มและค่าทนายความทั้งสองฝา่ ยตกลง
ใหเ้ ป็นพบั ข้อ ๘ โจทก์และจ�ำเลยตกลงไม่เรียกรอ้ งสิ่งใดต่อกันในกรณพี ิพาทตามฟอ้ งอีกตอ่ ไป
ต่อมาวันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒ โจทก์ย่ืนค�ำร้องว่า จ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอม
ยอมความขอ้ ๓ และขอ้ ๔ ขอใหเ้ รยี กจำ� เลยมาสอบถามเพอ่ื ไกลเ่ กลย่ี อกี ครงั้ ศาลชนั้ ตน้ นดั สอบถาม
วนั ที่ ๙ กนั ยายน ๒๕๖๒ ในวนั นดั สอบถาม ศาลชน้ั ตน้ สอบถามโจทกแ์ ละทนายจำ� เลยแลว้ มคี ำ� สงั่ วา่
โจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๓ และข้อ ๔ ส่วนจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตาม
153
สญั ญาประนปี ระนอมยอมความขอ้ ๔ จงึ ตกั เตอื นใหท้ งั้ สองฝา่ ยปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาประนปี ระนอม
ยอมความ หากไมป่ ฏบิ ตั ศิ าลจะออกหมายจบั เพอื่ บงั คบั ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามคำ� พพิ ากษาตามยอมตอ่ ไป
วนั ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ โจทกย์ นื่ คำ� รอ้ งวา่ จำ� เลยไมป่ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาประนปี ระนอม
ยอมความ ข้อ ๓ โดยปฏิเสธไม่น�ำเงิน ๕,๐๐๐ บาท เข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ และหลัง
จากโจทกไ์ ปอยรู่ ว่ มกบั จำ� เลยทบี่ า้ นเลขที่ ๘๘/๔๖ ตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความขอ้ ๒ แลว้
จ�ำเลยกับโจทกท์ ะเลาะและมีปากเสียงกัน จ�ำเลยดหู มน่ิ ตอ่ วา่ ดา่ ทอ ตบตี ทำ� รา้ ยรา่ งกายโจทก์
และไม่ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ตามสมควร ท้ังยังเคยข่มขู่และกักขังโจทก์ไว้ในบ้านตาม
ล�ำพังท�ำให้โจทก์หวาดกลัวและเดือดร้อนเกินควรจนโจทก์ไม่สามารถทนอยู่กับจ�ำเลยต่อไปได้
ขอใหเ้ รยี กจ�ำเลยมาศาลและขอให้แกไ้ ขคำ� พพิ ากษาโดยใหโ้ จทกห์ ย่าขาดจากจำ� เลย หากจำ� เลย
ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาค�ำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจ
ปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียว กับให้จ�ำเลยช�ำระค่าอุปการะเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์จนกว่าบุตร
ผเู้ ยาวจ์ ะบรรลุนิติภาวะ และชำ� ระคา่ อปุ การะเล้ยี งดูโจทก์
จ�ำเลยยื่นค�ำคัดค้านว่า จ�ำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความครบถ้วนมา
ตลอด โดยผ่อนช�ำระค่าบ้านตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๒ โอนเงิน ๕,๐๐๐ บาท
เข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๓ และน�ำเงินฝากเข้าบัญชี
เงินออมให้บุตรผู้เยาว์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ ๔ ในบัญชีเงินออมของบริษัท
ไทยซัมซุง ประกันชีวิต จ�ำกัด (มหาชน) ปีละ ๓๐,๐๐๐ บาท ทั้งจ�ำเลยยังช�ำระค่าเล้ียงดูบุตร
ผเู้ ยาวแ์ ทนโจทกซ์ ง่ึ เปน็ ฝา่ ยทตี่ อ้ งรบั ผดิ ชอบตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความขอ้ ๕ มาตลอด
นบั ตง้ั แตบ่ ตุ รผเู้ ยาวม์ อี ายุ ๖ เดอื น จนถงึ ปจั จบุ นั สว่ นโจทกไ์ มเ่ คยปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาประนปี ระนอม
ยอมความและไม่เคยช่วยเหลือค่าใช้จ่ายใด ๆ จ�ำเลยไม่เคยหน่วงเหน่ียวกักขังโจทก์ ส่วนท่ี
โจทก์อ้างว่าถูกจ�ำเลยท�ำร้ายเป็นเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นจากความหึงหวงและการแย่งโทรศัพท์กัน
เมือ่ ปี ๒๕๕๙ โจทกเ์ ปน็ คนโมโหรา้ ย กา้ วรา้ ว และมีสองบคุ ลิก เมื่อทะเลาะกันโจทกจ์ ะโวยวาย
พดู จาหยาบคาย ดา่ ทอและยวั่ ยใุ หจ้ ำ� เลยโมโห ทงั้ ยงั ทำ� ลายสง่ิ ของภายในบา้ น และทำ� รา้ ยรา่ งกาย
จำ� เลยดว้ ย โจทกไ์ มม่ อี าชพี เปน็ หลกั แหลง่ มหี นสี้ นิ มาก จำ� เลยเปน็ ฝา่ ยเลยี้ งดบู ตุ รผเู้ ยาวม์ าตลอด
ระยะเวลา ๒ ปี สว่ นโจทก์แทบจะไม่เคยอย่บู า้ นเพ่อื ดแู ลบตุ รผูเ้ ยาว์ โจทกก์ ลับมาอยกู่ บั จำ� เลย
และบุตรผู้เยาว์เพ่ือหาโอกาสน�ำบุตรผู้เยาว์ไปอยู่กับมารดาโจทก์ท่ีจังหวัดขอนแก่นแล้วกีดกัน
ไมใ่ หจ้ �ำเลยพบกบั บุตรผ้เู ยาว์ จ�ำเลยไม่ได้ประพฤติชวั่ ไม่เคยท�ำร้ายโจทก์ และไม่ได้ท�ำการเปน็
ปฏปิ ักษ์ตอ่ การเปน็ สามภี ริยาจึงไม่มีเหตุให้โจทกฟ์ ้องหย่า ขอให้ยกฟอ้ ง (ทถี่ กู ยกค�ำร้อง) และ
154
ใหบ้ ังคับโจทก์ชำ� ระเงนิ ตามสัญญาประนปี ระนอมยอมความฉบบั ลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ข้อ ๒ ถึงข้อ ๕
ศาลช้ันต้นไต่สวนแล้ว มีค�ำสั่งให้เปลี่ยนแปลงค�ำพิพากษาตามยอม โดยพิพากษา
ให้โจทก์หย่าขาดจากจ�ำเลย และให้เด็กชาย ร. บุตรผู้เยาว์อยู่ในอ�ำนาจปกครองของโจทก์
แต่เพียงผู้เดียว แต่ให้จ�ำเลยไปเยี่ยมและรับบุตรผู้เยาว์ไปอยู่ด้วยได้ตามแต่ที่โจทก์จะเห็น
สมควร กับให้จำ� เลยช�ำระค่าอปุ การะเลยี้ งดโู จทก์เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับตง้ั แตว่ นั ที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๓ จนถึงวันก่อนค�ำพิพากษาถึงที่สุด กับให้ช�ำระค่าเลี้ยงชีพเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับ
แต่วันท่ีค�ำพิพากษาถึงท่ีสุดจนกว่าโจทก์จะท�ำการสมรสใหม่ และให้ช�ำระค่าอุปการะเล้ียงดู
บุตรผู้เยาว์เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันท่ีโจทก์ย่ืนค�ำร้องคือวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓
จนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ ส่วนเงื่อนไขอื่นตามค�ำพิพากษาตามยอมให้ยกเลิกท้ังหมด
คา่ ฤชาธรรมเนียมในชน้ั นีใ้ หเ้ ปน็ พบั ค�ำขออนื่ ใหย้ ก
จำ� เลยอทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั วนิ จิ ฉยั วา่ กรณเี หน็ สมควร
วนิ จิ ฉยั กอ่ นว่า ที่ศาลชน้ั ต้นมคี ำ� สง่ั ให้เปล่ยี นแปลงค�ำพพิ ากษาตามยอมซึ่งพิพากษาตามสญั ญา
ประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยพิพากษาให้โจทก์หย่าขาด
จากจ�ำเลย และให้เด็กชาย ร. บุตรผู้เยาว์อยู่ในอำ� นาจปกครองของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว แต่ให้
จ�ำเลยมีสิทธิไปเยี่ยมและรับบุตรผู้เยาว์ไปอยู่ด้วยได้ตามแต่ที่โจทก์จะเห็นสมควร กับให้จ�ำเลย
ช�ำระคา่ อุปการะเล้ยี งดูโจทกเ์ ดอื นละ ๕,๐๐๐ บาท นับตั้งแตว่ ันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ จนถึงวนั
ก่อนค�ำพิพากษาถึงท่ีสุด และช�ำระค่าเล้ียงชีพเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันท่ีค�ำพิพากษา
ถงึ ทสี่ ุดจนกว่าโจทก์จะสมรสใหม่ และให้ชำ� ระค่าอปุ การะเลี้ยงดบู ุตรผู้เยาว์เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท
นับแต่วันที่โจทก์ย่ืนค�ำร้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ และให้ยกเลิกเงื่อนไขอ่ืน
ทั้งหมดตามค�ำพิพากษาตามยอมของศาลช้ันต้นน้ัน ชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวธิ พี ิจารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๖
ซ่ึงบัญญัติว่า “การพิจารณาพิพากษาคดีครอบครัวน้ันไม่ว่าการพิจารณาคดีจะได้ด�ำเนินไปแล้ว
เพียงใด ให้ศาลพยายามเปรียบเทียบให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอมกันในข้อพิพาท
โดยค�ำนึงถึงความสงบสุขและการอยู่ร่วมกันในครอบครัว เพื่อการน้ีให้ศาลค�ำนึงถึงหลักการ
ดังต่อไปน้ีเพื่อประกอบดุลพินิจด้วย คือ (๑) การสงวนและคุ้มครองสถานภาพของการสมรส
ในฐานะทเี่ ปน็ ศนู ยร์ วมของชายและหญงิ ทสี่ มคั รใจเขา้ มาอยกู่ นิ ดว้ ยกนั ฉนั สามภี รยิ า หากไมอ่ าจ
155
รักษาสถานภาพของการสมรสได้ก็ให้การหย่าเป็นไปด้วยความเป็นธรรมและเสียหายน้อยท่ีสุด
โดยค�ำนึงถึงสวัสดิภาพและอนาคตของบุตรเป็นส�ำคัญ...” นั้น เป็นบทบัญญัติท่ีให้ศาลมีอ�ำนาจ
ทจ่ี ะดำ� เนนิ การเพอ่ื ใหค้ คู่ วามในคดคี รอบครวั มโี อกาสเจรจาตกลงประนปี ระนอมกนั ในคดไี ดไ้ มว่ า่
คดีดังกล่าวจะมีการด�ำเนินกระบวนพิจารณาไปแล้วมากน้อยเพียงใด ท้ังน้ีโดยมีเจตนารมณ์
ให้เกิดการประนีประนอมกันได้มากท่ีสุดในระหว่างคู่ความเพื่อให้มีโอกาสกลับไปอยู่ร่วมกัน
ในครอบครัวดว้ ยความสงบสุข หรือหากไม่อาจรกั ษาสถานภาพการสมรสต่อไปได้กใ็ ห้คูค่ วามได้
ตกลงประนีประนอมกันเพ่ือให้มีการหย่ากันด้วยความเป็นธรรมและเกิดความเสียหายน้อยที่สุด
แก่ทัง้ สองฝ่ายรวมทง้ั บตุ รผู้เยาว์ แตบ่ ทบญั ญตั ิดังกล่าวมีลกั ษณะเป็นเพียงการให้ศาลมีบทบาท
ในการเปรียบเทียบให้โอกาสแก่คู่ความได้ประนีประนอมกันเพ่ือให้เกิดเป็นความตกลงกันใน
ระหว่างคู่ความด้วยความสมัครใจเป็นส�ำคัญซ่ึงมีลักษณะแตกต่างจากการพิพากษาคดีท่ีศาลมี
อ�ำนาจพิจารณาพิพากษาตามพยานหลักฐานและพฤติการณ์แห่งคดีท้ังปวงประกอบกัน ดังน้ัน
การใช้อ�ำนาจเปรียบเทียบให้คู่ความตกลงกันตามมาตรา ๑๔๖ จึงต้องเป็นกรณีท่ีเกิดขึ้นด้วย
เจตนาและความสมคั รใจของคคู่ วามทง้ั สองฝา่ ยทจ่ี ะตกลงประนปี ระนอมกนั ในขอ้ พพิ าทเปน็ สำ� คญั
เมื่อคดีน้ีโจทก์ฟ้องหย่าจ�ำเลยโดยอ้างเหตุจ�ำเลยยกย่องหญิงอ่ืนและท�ำร้ายร่างกายโจทก์ และ
ขอใหศ้ าลสงั่ ใหโ้ จทกเ์ ปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจปกครองบตุ รผเู้ ยาวเ์ พยี งผเู้ ดยี ว แตโ่ จทกก์ บั จำ� เลยตกลงกนั
ไดแ้ ละท�ำสญั ญาประนปี ระนอมยอมความกนั โดยทต่ี า่ งฝา่ ยตา่ งตกลงประนปี ระนอมกนั เพอื่ ระงบั
ข้อพิพาทในเร่ืองการหย่าและการขอเป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวซ่ึงเป็น
ประเด็นข้อพิพาทตามฟ้องทมี่ อี ยู่ ท้ังยงั มีข้อตกลงกนั ในเรอ่ื งการอุปการะเลี้ยงดูและการชำ� ระคา่
อุปการะเล้ียงดูบุตรผู้เยาว์ร่วมกันซึ่งเป็นกรณีท่ีเกี่ยวพันกับข้อพิพาทในคดีให้เสร็จส้ินไปด้วย
ต่างฝา่ ยตา่ งยอมผ่อนผนั ให้แกก่ ันอนั เปน็ การประนปี ระนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๐ ย่อมท�ำให้ข้อพิพาทตามฟ้องของโจทก์ในเรื่องเหตุหย่าและการ
ขอเป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์แต่เพียงฝ่ายเดียวที่โจทก์และจ�ำเลยต่างยอมสละไปน้ัน
ระงบั สนิ้ ไป และทำ� ใหโ้ จทกก์ บั จำ� เลยไดส้ ทิ ธติ ามทต่ี กลงกนั ไวใ้ นสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ
ดงั กลา่ วตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๘๕๒ ทงั้ เมอ่ื ศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษาไปตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวโดยท่ีโจทก์และจ�ำเลยต่างมิได้อุทธรณ์ค�ำพิพากษา
ตามยอมภายในก�ำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๙ ประกอบ
พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๘๐ ค�ำพิพากษาตามยอมของศาลช้ันต้นดังกล่าวย่อมถึงที่สุดและผูกพันคู่ความตาม
156
ประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพง่ มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึง่ และเม่อื สญั ญาประนีประนอม
ยอมความถือเป็นส่วนหนึ่งของค�ำพิพากษาตามยอม การท่ีจะแก้ไขสัญญาประนีประนอม
ยอมความและค�ำพิพากษาตามยอมซ่ึงถึงที่สุดไปแล้วจึงมีได้แต่เฉพาะเม่ือเป็นข้อผิดพลาดหรือ
ขอ้ ผิดหลงเล็กน้อยอน่ื ๆ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพง่ มาตรา ๑๔๓ วรรคหนงึ่
หรือมีบทบัญญัติของกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้สามารถเปล่ียนแปลงแก้ไขในภายหลัง
ได้ การท่ีโจทก์ย่ืนค�ำรอ้ งตอ่ ศาลชน้ั ต้นให้แก้ไขค�ำพิพากษาตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความ
โดยขอใหโ้ จทกก์ บั จำ� เลยหยา่ ขาดจากการเปน็ สามภี รยิ ากนั และใหโ้ จทกเ์ ปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจปกครอง
บุตรผู้เยาว์แต่เพียงผู้เดียวกับให้จ�ำเลยแต่เพียงฝ่ายเดียวช�ำระค่าอุปการะเล้ียงดูโจทก์และบุตร
ผู้เยาว์อันแตกต่างโดยสิ้นเชิงไปจากข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความท่ีโจทก์กับ
จำ� เลยตกลงกันดว้ ยความสมัครใจและศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษาตามยอมจนคดีถึงที่สดุ แลว้ โดยอา้ งวา่
เปน็ เพราะจำ� เลยไมป่ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความและโจทกก์ บั จำ� เลยมปี ญั หาทะเลาะ
กนั จงึ เปน็ การที่โจทก์ย่ืนค�ำร้องโดยม่งุ หมายให้สญั ญาประนีประนอมยอมความและค�ำพิพากษา
ตามยอมซ่ึงถึงท่ีสุดไปแล้วเสียเปล่าไม่อาจใช้บังคับได้ ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับการขอให้
เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและค�ำพิพากษาตามยอมโดยที่ไม่มีบทบัญญัติ
แห่งกฎหมายให้อ�ำนาจไว้โดยชัดแจ้งจึงไม่อาจกระท�ำได้ เพราะเมื่อโจทก์กับจ�ำเลยท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความกันจนศาลช้ันต้นพิพากษาตามยอมและคดีถึงท่ีสุดย่อมท�ำให้ข้อพิพาท
ตามฟ้องเดิมระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยเก่ียวกับเหตุหย่าและการขอใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
แต่เพียงฝ่ายเดียวของโจทก์ยุติไป และเม่ือได้ความตามค�ำร้องของโจทก์ฉบับลงวันท่ี ๓๑
กรกฎาคม ๒๕๖๓ วา่ โจทกย์ น่ื คำ� รอ้ งจากเหตทุ อี่ า้ งวา่ จำ� เลยมไิ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาประนปี ระนอม
ยอมความในเร่ืองการน�ำเงิน ๕,๐๐๐ บาท เข้าบัญชีเพื่อใช้จ่ายในครอบครัว และก่อนโจทก์ย่ืน
คำ� รอ้ งดังกลา่ ว โจทก์กบั จำ� เลยกม็ ปี ญั หาเร่อื งการปฏบิ ตั ิตามสัญญาประนปี ระนอมยอมความมา
แล้วและโจทก์เคยยื่นค�ำร้องให้เรียกจ�ำเลยมาสอบถามเพื่อให้ปฏิบัติตามค�ำพิพากษาตามยอม
โดยโจทกก์ บั ทนายจำ� เลยตา่ งแถลงยอมรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตอ่ ศาลชน้ั ตน้ ตามรายงานกระบวนพจิ ารณา
ฉบบั ลงวนั ที่ ๙ กนั ยายน ๒๕๖๒ วา่ โจทกแ์ ละจ�ำเลยซงึ่ มหี นา้ ทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลงในสญั ญา
ประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่างก็ยังมิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอม
ยอมความดังกล่าวให้ครบถ้วน และศาลช้ันต้นมีค�ำสั่งตักเตือนก�ำชับท้ังสองฝ่ายให้ปฏิบัติตาม
สญั ญาประนปี ระนอมยอมความแลว้ ทงั้ ในการไตส่ วนคำ� รอ้ งของโจทกฉ์ บบั ลงวนั ท่ี ๓๑ กรกฎาคม
๒๕๖๓ โจทกก์ ็เบกิ ความยอมรบั ว่า โจทกย์ งั ไม่ได้ปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลงตามสัญญาประนีประนอม
157
ยอมความใหค้ รบถ้วนเช่นกันเนือ่ งจากโจทก์ไมม่ รี ายได้เพราะไม่ไดท้ �ำงาน สว่ นจ�ำเลยแมจ้ ะเบกิ
ความว่าจ�ำเลยปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความครบถ้วนเพียงฝ่ายเดียวมาตลอด แต่
จำ� เลยกเ็ บกิ ความยอมรบั วา่ จำ� เลยกบั โจทกย์ งั มไิ ดร้ ว่ มกนั เปดิ บญั ชเี งนิ ออมใหแ้ กบ่ ตุ รตามสญั ญา
ประนปี ระนอมยอมความขอ้ ๔ จรงิ กรณจี งึ เปน็ เรอื่ งทต่ี า่ งฝา่ ยตา่ งอา้ งวา่ อกี ฝา่ ยผดิ ขอ้ ตกลงตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความ เม่ือในระหว่างไต่สวนโจทก์กับจ�ำเลยมาศาลแล้วแต่มิได้เจรจา
ตกลงเกย่ี วกบั การปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความทตี่ า่ งฝา่ ยตา่ งมขี อ้ ขดั ขอ้ ง และเมอ่ื
ข้อตกลงตามสญั ญาประนีประนอมยอมความ ข้อ ๖ ระบุวา่ หากฝ่ายใดฝา่ ยหน่ึงผดิ นัดไม่ช�ำระเงิน
ตามข้อตกลงข้อ ๒ ถึงข้อ ๕ ให้บังคับคดีได้ทันทีโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินส่วนตัวของฝ่ายที่
ผิดนัดมาช�ำระหนี้ที่ค้างช�ำระพร้อมดอกเบี้ยได้ ดังน้ัน หากโจทก์หรือจ�ำเลยเห็นว่าอีกฝ่ายผิด
ขอ้ ตกลงตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความกช็ อบทจี่ ะขอใหบ้ งั คบั คดตี ามสภาพบงั คบั แหง่ การ
ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความท่ีได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงตาม
สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗๔
ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๒ สว่ นทโ่ี จทก์อ้างเปน็ ทำ� นองวา่ ภายหลังจากโจทกก์ บั จ�ำเลยทำ� สัญญา
ประนีประนอมยอมความกันแล้ว โจทก์ถูกจ�ำเลยท�ำร้ายและจ�ำเลยไม่ให้ค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์
ตามสมควรน้ัน ก็เป็นเพียงเหตุฟ้องหย่าท่ีเกิดขึ้นใหม่ภายหลังจากโจทก์กับจ�ำเลยท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความและศาลมีค�ำพิพากษาตามยอมแล้วที่โจทก์อาจใช้สิทธิเป็นคดีต่างหาก
ได้ในภายหลังเท่าน้ัน แต่มิใช่เหตุท่ีโจทก์จะอ้างเพื่อขอให้ศาลเปลี่ยนแปลงแก้ไขค�ำพิพากษา
ตามยอมซ่ึงถึงที่สุดแล้วได้ ท้ังเม่ือกรณีตามค�ำร้องของโจทก์มิใช่การขอให้เปล่ียนแปลงแก้ไข
อ�ำนาจปกครองบุตรตามท่ีกฎหมายให้อ�ำนาจไว้ และมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ขอให้แก้ไขในเร่ืองค่า
อุปการะเลี้ยงดโู ดยให้เพิกถอน ลด เพิ่ม หรอื กลับให้ค่าอุปการะเล้ยี งดูอีกเพราะเหตทุ พี่ ฤติการณ์
รายได้ หรือฐานะของคู่กรณีได้เปล่ียนแปลงไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
๑๕๙๘/๓๙ วรรคหนงึ่ ดงั น้ัน โจทก์จงึ ไมม่ สี ิทธริ ้องขอให้ศาลเปลยี่ นแปลงแกไ้ ขค�ำพิพากษาตาม
ยอมหรอื ข้อตกลงตามสญั ญาประนีประนอมยอมความโดยใหศ้ าลพพิ ากษาใหโ้ จทกห์ ยา่ ขาดจาก
จ�ำเลยและบังคบั ให้โจทกเ์ ปน็ ผู้ใชอ้ �ำนาจปกครองบุตรผเู้ ยาว์แตเ่ พยี งฝา่ ยเดยี ว หรือบงั คับจำ� เลย
ชำ� ระคา่ อปุ การะเลยี้ งดโู จทกแ์ ละบตุ รผเู้ ยาวแ์ ตเ่ พยี งฝา่ ยเดยี วอนั มลี กั ษณะทำ� นองเดยี วกบั ขอให้
ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีและจ�ำเลยต้องรับช�ำระค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตร
ผเู้ ยาวเ์ พยี งฝา่ ยเดยี วอนั แตกตา่ งไปจากทโ่ี จทกก์ บั จำ� เลยตกลงทำ� สญั ญาประนปี ระนอมยอมความ
158
กันได้ไม่ และเม่ือพิจารณาถึงกรณีที่โจทก์จะมีสิทธิได้รับค่าเล้ียงชีพน้ันต้องเป็นกรณีท่ีโจทก์
ฟ้องเรียกค่าเลี้ยงชีพมาในคดีฟ้องหย่าด้วยท้ังยังจะต้องน�ำสืบให้ได้ความว่า เหตุแห่งการหย่า
เปน็ ความผดิ ของจำ� เลยแตเ่ พยี งฝา่ ยเดยี ว และการหยา่ นนั้ ทำ� ใหโ้ จทกย์ ากจนลงเพราะไมม่ รี ายได้
จากทรัพย์สินหรือจากการงานท่ีเคยท�ำอยู่ระหว่างสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๕๒๖ วรรคหน่ึง ด้วย ดังน้ัน จึงเป็นการไม่ชอบที่ศาลช้ันต้นจะอาศัยอ�ำนาจตาม
พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๔๖ มคี ำ� ส่ังใหเ้ ปล่ียนแปลงคำ� พิพากษาตามยอมซงึ่ พพิ ากษาตามสญั ญาประนีประนอม
ยอมความฉบับลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจ�ำเลย
และใหเ้ ด็กชาย ร. บตุ รผเู้ ยาวอ์ ย่ใู นอ�ำนาจปกครองของโจทกแ์ ต่เพยี งผู้เดยี ว โดยใหจ้ �ำเลยมีสิทธิ
ไปเยยี่ มและรบั บตุ รผเู้ ยาวไ์ ปอยดู่ ว้ ยไดต้ ามแตท่ โี่ จทกจ์ ะเหน็ สมควร กบั ใหจ้ ำ� เลยชำ� ระคา่ อปุ การะ
เล้ียงดูโจทก์เดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นบั ตัง้ แตว่ ันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ จนถึงวนั ก่อนค�ำพพิ ากษา
ถงึ ท่ีสุด และช�ำระคา่ เล้ยี งชีพเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแตว่ นั ที่ค�ำพิพากษาถึงทีส่ ุดจนกว่าโจทก์
จะสมรสใหม่ และใหช้ ำ� ระค่าอปุ การะเล้ียงดบู ตุ รผู้เยาวเ์ ดอื นละ ๕,๐๐๐ บาท นับแตว่ ันทโ่ี จทก์ยืน่
ค�ำร้องเป็นต้นไปจนกว่าบุตรผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะ โดยให้ยกเลิกเง่ือนไขอื่นท้ังหมดตาม
ค�ำพิพากษาตามยอมของศาลช้ันต้น และเม่ือวินิจฉัยได้ดังนี้กรณีจึงไม่จ�ำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์
ของจำ� เลยอีกต่อไป
พิพากษากลบั ใหย้ กค�ำร้องของโจทก์ฉบบั ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ทีข่ อให้ศาล
แก้ไขค�ำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
คา่ ฤชาธรรมเนยี มในช้ันอุทธรณใ์ หเ้ ปน็ พบั .
(รัชดาพร เสนยี ว์ งศ์ ณ อยุธยา - อเุ ทน ศริ ิสมรรถการ - ปารณี มงคลศิรภิ ัทรา)
นภกมล หะวานนท์ สว่างแจ้ง - ยอ่
พาชื่น แสงจนั ทรเ์ ทศ - ตรวจ
159
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณ์คดีช�ำนญั พเิ ศษที่ ๘/๒๕๕๙ พนกั งานอัยการคดีเยาวชน
และครอบครัว
จังหวัดนครปฐม โจทก์
นาย ป. จำ� เลย
ป.อ. มาตรา ๓๓ (๑)
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๓๒, ๑๓๓
การใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒ เป็นกระบวนการ
ทางเลือกที่มุ่งประสงค์ให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจน�ำเอาวิธีการแก้ไข บ�ำบัด ฟื้นฟู
ตวั จำ� เลยมาใชใ้ นกรณที ศี่ าลเหน็ ว่าตามพฤตกิ ารณแ์ หง่ คดยี งั ไมส่ มควรจะมคี ำ� พพิ ากษา
เพ่ือให้จ�ำเลยสามารถกลับตัวเป็นคนดีและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยปกติสุขแทน
การพิพากษาลงโทษจ�ำเลย โดยมาตรา ๑๓๓ วรรคหน่ึง บัญญัติเกี่ยวกับผลของการ
ใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีแก่จ�ำเลยไว้ว่า เมื่อจ�ำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข
และภายในระยะเวลาท่ีศาลก�ำหนดตามมาตรา ๑๓๒ แล้ว ให้ศาลสั่งยุติคดีโดยไม่
ต้องมีค�ำพิพากษาเก่ียวกับการกระท�ำความผิดของจ�ำเลย เว้นแต่ค�ำส่ังเก่ียวกับ
ของกลางและให้ถือว่าสิทธิน�ำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ ดังนั้น ในส่วนท่ีเก่ียวกับ
การริบของกลาง จงึ เปน็ การพพิ ากษาลงโทษเก่ียวกบั ทรัพย์สนิ ไมเ่ ปน็ โทษทม่ี ผี ลกระทบ
ต่อตัวจ�ำเลยในการใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข ซึ่งกฎหมายยังคงประสงค์ให้ศาลมี
อ�ำนาจลงโทษในทางทรัพย์สินได้ คดีน้ีศาลชั้นต้นใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีใน
การแก้ไข บ�ำบัด ฟื้นฟูจ�ำเลย และจ�ำเลยได้ปฏิบัติตามเง่ือนไขและภายในระยะเวลาที่
ศาลก�ำหนดตามมาตรา ๑๓๒ แล้ว ศาลชน้ั ตน้ จึงตอ้ งมคี �ำส่งั เกี่ยวกบั เรื่องของกลางด้วย
เมื่อจ�ำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ซ่ึงบรรยายฟ้องว่าวันเกิดเหตุจ�ำเลยขับรถ
จักรยานยนต์ของกลางแล่นไปตามถนนเพชรเกษมซ่ึงเป็นทางสาธารณะด้วยความเร็ว
โดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ ความปลอดภยั และความเดอื ดรอ้ นของผอู้ นื่ อนั เปน็ การฝา่ ฝนื ตอ่ กฎหมาย
รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินซึ่งจ�ำเลยได้ใช้ในการกระท�ำความผิด ศาล
160
มีอ�ำนาจส่ังริบรถจักรยานยนต์ของกลางได้ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓ (๑) ประกอบ พ.ร.บ.
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๓๓ ______________________________
โจทก์ฟ้องขอใหล้ งโทษจ�ำเลยตามพระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา
๔๓ (๘), ๑๖๐ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓ รบิ รถจกั รยานยนตข์ องกลาง
จำ� เลยใหก้ ารรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นเห็นควรใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีแก่จ�ำเลยตามพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒
วรรคหนึ่ง โดยก�ำหนดเงื่อนไขให้จ�ำเลยเข้าร่วมโครงการที่ศาลช้ันต้นจัดขึ้น ๒ โครงการ ต่อมา
จ�ำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วนและมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีข้ึนจึงมีค�ำสั่ง
ใหย้ ุตคิ ดแี ละจำ� หน่ายคดีออกจากสารบบความริบของกลาง
จำ� เลยอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาท่ีต้อง
พิจารณาตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยว่า การที่ศาลชั้นต้นมีค�ำส่ังจ�ำหน่ายคดีแล้วจะมีอ�ำนาจสั่งให้
ริบของกลางได้หรือไม่ จ�ำเลยอุทธรณ์ว่า เม่ือศาลชั้นต้นสั่งจ�ำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จึงไม่มีคดีที่จะต้องพิจารณาต่อไป ศาลจึงไม่มีอ�ำนาจริบของกลางเพราะเท่ากับพิพากษาให้
ริบทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการลงโทษจ�ำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ (๕) เห็นว่า
พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
บัญญัติเก่ียวกับการใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีไว้ตามมาตรา ๑๓๒ ว่า ในกรณีที่ศาล
เห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรจะมีค�ำพิพากษาหรือบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือ
บุคคลซึง่ จ�ำเลยอาศยั อยู่ดว้ ยร้องขอ เม่อื ศาลสอบถามผเู้ สียหายแล้ว ศาลอาจมีค�ำสง่ั ใหป้ ล่อยตวั
จ�ำเลยชั่วคราวแล้วมอบตัวจ�ำเลยให้บุคคลดังกล่าวโดยไม่มีประกัน หรือมีประกัน หรือมีประกัน
และหลักประกันด้วยก็ได้ โดยกำ� หนดเง่อื นไขใหจ้ ำ� เลยกระทำ� ภายในระยะเวลาท่ีศาลเหน็ สมควร
แตต่ ้องไม่เกนิ กวา่ จ�ำเลยนน้ั มอี ายคุ รบยสี่ ิบสป่ี ีบริบรู ณ์ มาตรา ๑๓๓ วรรคหน่ึง บัญญัตเิ กีย่ วกบั
ผลของการใช้มาตรการแทนการพิพากษาคดีแก่จ�ำเลยไว้ว่า เมื่อจ�ำเลยได้ปฏิบัติตามเง่ือนไข
และภายในระยะเวลาทศ่ี าลกำ� หนดตามมาตรา ๑๓๒ แลว้ ใหศ้ าลสง่ั ยตุ คิ ดโี ดยไมต่ อ้ งมคี �ำพพิ ากษา
เก่ียวกับการกระท�ำความผิดของจ�ำเลย เว้นแต่ค�ำสั่งเก่ียวกับของกลาง และให้ถือว่าสิทธิน�ำคดี
อาญามาฟ้องเป็นอันระงับ บทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวเป็นกระบวนการทางเลือกท่ีมุ่งประสงค์
ให้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจน�ำเอาวิธีการแก้ไข บ�ำบัด ฟื้นฟูตัวจ�ำเลย มาใช้ในกรณีที่ศาลเห็นว่า
ตามพฤติการณแ์ ห่งคดียงั ไม่สมควรจะมคี �ำพิพากษา เพ่อื ให้จำ� เลยสามารถกลบั ตวั เปน็ คนดีและ
161
ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้โดยปกติสุขต่อไปแทนการพิพากษาลงโทษจ�ำเลยเกี่ยวกับการกระท�ำ
ความผิดของจ�ำเลยเท่าน้ันแต่ในส่วนเกี่ยวกับการริบของกลางเป็นการพิพากษาลงโทษเกี่ยวกับ
ทรัพย์สินไม่เป็นโทษที่มีผลกระทบต่อตัวจ�ำเลยในการใช้ชีวิตในสังคมอย่างปกติสุข กฎหมาย
จึงยังคงประสงค์ให้ศาลมีอ�ำนาจลงโทษในทางทรัพย์สินได้ คดีนี้ศาลช้ันต้นใช้มาตรการแทนการ
พพิ ากษาคดีในการแก้ไข บำ� บดั ฟนื้ ฟูจ�ำเลย ตามพระราชบญั ญัตศิ าลเยาวชนและครอบครัวและ
วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒ วรรคหนึ่ง โดยก�ำหนด
เงื่อนไขใหจ้ �ำเลยเข้าร่วมโครงการที่ศาลช้ันต้นจัดข้นึ ๒ โครงการ ซึ่งปรากฏวา่ จำ� เลยได้เขา้ ร่วม
โครงการเจียระไนเยาวชนเพื่อชีวิตใหม่และโครงการต้นกล้าความดีฟื้นฟูจิตใจด้วยธรรมะ
เป็นท่เี รยี บรอ้ ยแลว้ ตามรายงานเจ้าหน้าท่ีฉบบั ลงวันท่ี ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๕๙ จึงเปน็ กรณีทจี่ �ำเลย
ได้ปฏบิ ัติตามเง่ือนไขและภายในระยะเวลาท่ีศาลก�ำหนดตามมาตรา ๑๓๒ แลว้ ซึง่ กรณีดงั กลา่ ว
บทบัญญัติมาตรา ๑๓๓ วรรคหน่ึง บัญญัติให้ศาลส่ังยุติคดีโดยไม่ต้องมีค�ำพิพากษาเกี่ยวกับ
การกระท�ำผิดของจ�ำเลย เว้นแต่ค�ำส่ังเกี่ยวกับของกลาง ดังนั้น แม้ศาลชั้นต้นมีค�ำส่ังให้ยุติคดี
และจ�ำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ศาลช้ันต้นยังคงต้องมีค�ำส่ังเก่ียวกับเรื่องของกลางด้วย
เมื่อจ�ำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ซ่ึงบรรยายฟ้องว่า วันเกิดเหตุจ�ำเลยขับรถ
จักรยานยนต์ของกลางแล่นไปตามถนนเพชรเกษม ต�ำบลล�ำพยา อ�ำเภอเมืองนครปฐม จังหวดั
นครปฐม ซึ่งเป็นทางสาธารณะด้วยความเร็วโดยไม่ค�ำนึงถึงความปลอดภัยและความเดือดร้อน
ของผู้อื่นอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย รถจักรยานยนต์ของกลางจึงเป็นทรัพย์สินซ่ึงจ�ำเลยได้
ใช้ในการกระท�ำความผิด ศาลมีอ�ำนาจสั่งริบรถจักรยานยนต์ของกลางได้ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๓ (๑) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา
คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๓ ที่ศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังริบรถจักรยานยนต์
ของกลางจงึ ชอบแลว้ อทุ ธรณ์ของจำ� เลยฟงั ไมข่ น้ึ
พพิ ากษายืน.
(พนารตั น์ คดิ จติ ต์ - อมรรัตน์ กริยาผล - ประวิทย์ อทิ ธิชัยวฒั นา)
พิทักษ์ หลมิ จานนท์ - ยอ่
นรินทร์ ทองคำ� ใส - ตรวจ
162
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นญั พเิ ศษที่ ๑๒๗/๒๕๖๓ พนักงานอยั การคดเี ยาวชน
และครอบครัว
จังหวัดอำ� นาจเจรญิ โจทก์
นาย ส. จำ� เลย
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๓๒ และมาตรา ๑๓๓ วรรคหนงึ่
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒ วรรคหน่ึง ให้อํานาจศาลทจ่ี ะใช้มาตรการแทนการพพิ ากษาได้
เม่ือศาลเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรจะมีคําพิพากษา ท้ังนี้เพ่ือให้
โอกาสแก้ไขบําบัดฟื้นฟูเด็กหรือเยาวชนให้สามารถกลับตนเป็นพลเมืองท่ีดีของ
สังคมต่อไปได้ โดยหากศาลเห็นว่าไม่สมควรปล่อยตัวจําเลยก็ยังสามารถที่จะทํา
การแก้ไขบําบัดฟื้นฟูจําเลยในระบบควบคุมได้ตามมาตรา ๑๓๒ วรรคสอง ซึ่งตาม
มาตรา ๑๓๒ วรรคสอง ให้อํานาจศาลที่จะควบคุมตัวจําเลยเพื่อการแก้ไขบําบัด
ฟื้นฟูเป็นระยะเวลาเท่าใดก็ได้ตามท่ีศาลเห็นสมควร แต่ท้ังน้ีต้องไม่เกินกว่าจําเลย
มีอายุครบย่ีสิบสี่ปีบริบูรณ์ เนื่องจากเด็กหรือเยาวชนแต่ละคนอาจใช้ระยะเวลา
ในการแกไ้ ขฟน้ื ฟแู ตกตา่ งกนั และไมอ่ าจทราบลว่ งหนา้ วา่ จะตอ้ งใชร้ ะยะเวลาในการแกไ้ ข
บําบัดฟื้นฟูเด็กหรือเยาวชนแต่ละคนเท่าใดแน่นอน ทั้งการแยกตัวเด็กหรือเยาวชน
ออกจากสังคมเป็นเวลานานเกินไปก็อาจเป็นผลร้ายแก่เด็กหรือเยาวชนน้ันเองได้
การควบคุมตัวจําเลยซ่ึงยังเป็นเด็กหรือเยาวชนจึงต้องปรับเปลี่ยนไปตามพฤติกรรม
ของจําเลยแต่ละคนท่ีเปล่ียนแปลงไปจากการเข้ารับการแก้ไขบําบัดฟื้นฟู ซ่ึงอาจมี
การเพิ่มหรือลดระยะเวลาแก้ไขบําบัดฟื้นฟูก็ได้ ดังนั้น การที่ศาลช้ันต้นกําหนด
ระยะเวลาในการแก้ไขบําบัดฟื้นฟูจําเลยเป็นเวลา ๖ เดือน จึงเป็นระยะเวลาท่ี
คาดหมายเบ้ืองต้นว่าเพียงพอท่ีจะใช้ในการแก้ไขบําบัดฟื้นฟูจําเลยเท่านั้น เมื่อจําเลย
ได้เข้ารับการแก้ไขบําบัดฟื้นฟูและมีผลให้จําเลยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปทางท่ีดีขึ้น
แล้วตามรายงานของผู้อํานวยการสถานพินิจ ซึ่งโจทก์ก็ไม่ได้โต้แย้งรายงานดังกล่าวว่า
ไม่ถูกต้อง ศาลช้ันต้นจึงมีอํานาจที่จะปรับเปลี่ยนระยะเวลาในการแก้ไขบําบัดฟื้นฟู
163
จําเลยให้เหมาะสมกับพฤติกรรมที่เปล่ียนแปลงไปได้ โดยการปล่อยตัวจําเลยก่อน
กําหนด อันถือได้ว่าจําเลยได้ปฏิบัติตามเง่ือนไขและภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด
ตามมาตรา ๑๓๒ วรรคสอง แลว้ ศาลจงึ มอี ํานาจทจ่ี ะสงั่ ใหย้ ตุ คิ ดโี ดยไมต่ อ้ งมคี ําพพิ ากษา
ตามมาตรา ๑๓๓ วรรคหน่ึง
______________________________
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา
๔, ๗, ๘, ๑๕, ๕๗, ๖๖, ๙๑, ๑๐๑/๑, ๑๐๒ พระราชบญั ญัติอาวุธปืน เคร่อื งกระสุนปนื วตั ถรุ ะเบดิ
ดอกไม้เพลิง และส่ิงเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๗, ๗๒ ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๒, ๓๓, ๙๑ รบิ ของกลาง
จ�ำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชนั้ ตน้ มคี ำ� สง่ั วา่ จำ� เลยมพี ฤตกิ รรมเกย่ี วขอ้ งกบั ยาเสพตดิ และคบเพอ่ื นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
กับยาเสพติด ผู้ปกครองไม่สามารถควบคุมดูแลจ�ำเลยได้ จึงเห็นสมควรให้ใช้มาตรการ
แทนการพิพากษาตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒ วรรคสอง ให้ส่งตัวจ�ำเลยไปยังสถานพินิจและ
คุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอ�ำนาจเจริญ เพื่อบ�ำบัดรักษาการเสพติดตามแผนแก้ไข
ฟื้นฟูอย่างจริงจังเป็นเวลา ๖ เดือน นับแต่วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๒ โดยให้สถานพินิจและ
คุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอ�ำนาจเจริญรายงานผลการบ�ำบัดให้ศาลทราบก่อนวันนัด
ไมน่ ้อยกวา่ ๓ วนั เพื่อประกอบการพจิ ารณาตอ่ ไป และให้นัดฟังผลการบ�ำบัดหรือนัดพจิ ารณา
ในวนั ท่ี ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๖๒
ผู้อ�ำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานีรายงานผล
การแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูและความประพฤติของจ�ำเลยซึ่งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
จงั หวดั อำ� นาจเจรญิ สง่ มาตามคำ� สง่ั ศาลวา่ จำ� เลยเขา้ รบั การอบรมตามแผนแกไ้ ขบำ� บดั ฟน้ื ฟู เชน่
พบครูที่ปรึกษา ๑๐๒ ครั้ง เข้ารับการบ�ำบัดตามโปรแกรมการบ�ำบัดในสถานแรกรับ ๑๕ คาบ
เข้ารับการให้ค�ำปรึกษาเฉพาะบุคคลในเร่ืองการวางเป้าหมายและการวางแผนในการด�ำเนิน
ชีวติ เข้ารบั การบำ� บัดตามโปรแกรมยาเสพตดิ ๒๙ คาบ และเขา้ ร่วมกิจกรรมอ่นื ๆ รวมทัง้ หมด
๒๑ กิจกรรม โดยจ�ำเลยเข้ารับการบ�ำบัดตามแผนแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูครบถ้วนตามโปรแกรมและ
ได้รับการประเมินจากครูผู้สอนอยู่ในระดับดีท่ีสุด จ�ำเลยเข้าใจถึงโทษและผลกระทบของการ
เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด รู้จักปฏิเสธเม่ือเจอปัญหา มีการสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยน
164
พฤติกรรมของตนเอง จำ� เลยมคี วามประพฤตเิ ปลี่ยนแปลงไปในทางทดี่ ีขน้ึ และปัจจบุ ันคงเหลอื
ระยะเวลาควบคุมตวั ๒๙ วัน จึงเสนอความเห็นในการยตุ ิคดกี ่อนก�ำหนดตามหนงั สือสถานพินิจ
และคมุ้ ครองเดก็ และเยาวชนจงั หวดั อุบลราชธานี ท่ี ยธ ๐๖๐๕๕/๕๗๖๒ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๒ ศาลช้ันต้นก�ำหนดวนั นัดไตส่ วนยุติคดกี อ่ นกำ� หนดในวันท่ี ๘ ตุลาคม ๒๕๖๒
ศาลช้ันต้นมีค�ำสั่งให้ยุติคดีโดยไม่ต้องมีค�ำพิพากษาและให้ถือว่าสิทธิน�ำคดีอาญา
มาฟ้องเป็นอันระงับตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๓ วรรคหนึ่ง ริบเมทแอมเฟตามีน อาวุธปืนพก
(ประกอบขนึ้ เอง) และกระเปา๋ สะพายสีส้มของกลาง จำ� หนา่ ยคดอี อกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา
ข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ค�ำส่ังของศาลช้ันต้นท่ีส่ังให้ยุติคดีชอบด้วย
กฎหมายหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลเห็นว่าตาม
พฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรจะมีค�ำพิพากษา หรือบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลซ่ึง
จ�ำเลยอาศัยอยดู่ ้วยรอ้ งขอ เมอื่ ศาลสอบถามผ้เู สียหายแล้ว ศาลอาจมคี �ำส่ังให้ปลอ่ ยตัวชว่ั คราว
แล้วมอบตัวจ�ำเลยให้บุคคลดังกล่าวโดยไม่มีประกันหรือมีประกัน หรือมีประกันและหลักประกัน
ด้วยก็ได้ โดยก�ำหนดเง่ือนไข ...” และวรรคสอง บัญญัติว่า “ในกรณีศาลเห็นว่าจ�ำเลยไม่
สมควรใช้วิธีการตามวรรคหน่ึง ศาลจะส่งตัวจ�ำเลยไปยังสถานพินิจหรือสถานท่ีอื่นที่จัดต้ังขึ้น
ตามกฎหมายและตามท่ีศาลเห็นสมควรท่ียินยอมรับตัวจ�ำเลยไว้ดูแลช่ัวคราว หรือจะให้ใช้วิธี
การส�ำหรับเด็กและเยาวชนไปพลางก่อนก็ได้ แต่ต้องไม่เกินกว่าจ�ำเลยนั้นมีอายุครบยี่สิบส่ีปี
บริบูรณ์” ซ่ึงตามบทบัญญัติดังกล่าวให้อ�ำนาจศาลที่จะใช้มาตรการแทนการพิพากษาได้เมื่อ
เห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรจะมีค�ำพิพากษา ท้ังนี้เพื่อให้โอกาสแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟู
เด็กหรือเยาวชนให้สามารถกลับตนเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมต่อไปได้ โดยหากศาลเห็นว่า
ไม่สมควรปล่อยตัวจ�ำเลยก็ยังสามารถที่จะท�ำการแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูจ�ำเลยในระบบควบคุมได้
ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒ วรรคสอง ดังเช่นในกรณีของจำ� เลยนี้ ซง่ึ ตามมาตรา ๑๓๒ วรรคสอง
ให้อ�ำนาจศาลที่จะควบคุมตัวจ�ำเลยแต่ละคนเพ่ือการแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูเป็นระยะเวลาเท่าใดก็ได้
ตามท่ีศาลเห็นสมควร แต่ท้ังนี้ต้องไม่เกินกว่าจ�ำเลยน้ันมีอายุครบย่ีสิบสี่ปีบริบูรณ์ เน่ืองจาก
165
เด็กหรือเยาวชนแต่ละคนอาจใช้ระยะเวลาในการแก้ไขฟื้นฟูแตกต่างกัน และไม่อาจทราบล่วงหน้า
ว่าจะต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูเด็กหรือเยาวชนแต่ละคนเท่าใดแน่นอน
ท้ังการแยกตัวเด็กหรือเยาวชนออกจากสังคมเป็นเวลานานเกินไปก็อาจเป็นผลร้ายแก่เด็ก
หรือเยาวชนน้ันเองได้ การควบคุมตัวจ�ำเลยซ่ึงยังเป็นเด็กหรือเยาวชนจึงต้องปรับเปลี่ยน
ไปตามพฤติกรรมของจ�ำเลยแต่ละคนที่เปลี่ยนแปลงไปจากการเข้ารับการแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟู
ซ่ึงอาจมีการเพิ่มหรือลดระยะเวลาแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูก็ได้ แต่ท้ังน้ีต้องไม่เกินกว่าจ�ำเลยนั้นมี
อายคุ รบยส่ี บิ สปี่ บี รบิ รู ณ์ ดงั นนั้ การทศ่ี าลชน้ั ตน้ กำ� หนดระยะเวลาในการแกไ้ ขบำ� บดั ฟน้ื ฟจู ำ� เลย
เปน็ เวลา ๖ เดอื น จงึ เปน็ ระยะเวลาทค่ี าดหมายเบอ้ื งตน้ วา่ เพยี งพอทจี่ ะใชใ้ นการแกไ้ ขบำ� บดั ฟน้ื ฟู
จ�ำเลยเท่าน้ัน เมื่อจ�ำเลยได้เข้ารับการแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูและมีผลให้จ�ำเลยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ไปทางท่ีดีข้ึนแล้วตามรายงานของผู้อ�ำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัด
อุบลราชธานี ซ่ึงโจทก์เองก็ไม่ได้โต้แย้งรายงานดังกล่าวว่าไม่ถูกต้อง ศาลชั้นต้นจึงมีอ�ำนาจ
ทจี่ ะปรบั เปลยี่ นระยะเวลาในการแกไ้ ขบำ� บดั ฟน้ื ฟจู ำ� เลยใหเ้ หมาะสมกบั พฤตกิ รรมทเ่ี ปลย่ี นแปลง
ไปได้ โดยการปล่อยตัวจ�ำเลยก่อนก�ำหนด อันถือได้ว่าจ�ำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขและภายใน
ระยะเวลาที่ศาลก�ำหนดตามมาตรา ๑๓๒ วรรคสอง แล้ว ศาลจึงมีอ�ำนาจท่ีจะส่ังให้ยุติคดีโดย
ไม่ต้องมีค�ำพิพากษาตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๓ วรรคหน่ึง ค�ำสั่งของศาลชน้ั ต้นทีส่ ัง่ ให้ยตุ คิ ดแี ละให้
ถือว่าสทิ ธินำ� คดอี าญามาฟ้องเป็นอันระงบั จึงชอบดว้ ยกฎหมาย อุทธรณ์ของโจทกฟ์ งั ไมข่ ้ึน
พพิ ากษายนื .
(ประวทิ ย์ อิทธชิ ัยวฒั นา - อมรรัตน์ กรยิ าผล - พนารัตน์ คดิ จติ ต)์
เดชวิบุล พนาเศรษฐเนตร - ย่อ
แก้วตา เทพมาลี - ตรวจ
166
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นัญพิเศษที่ ๑๕๗/๒๕๖๓ พนักงานอยั การคดีเยาวชน
และครอบครัว
จังหวัดนครปฐม โจทก์
เด็กชาย ป. หรือ ห.
กบั พวก จ�ำเลย
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๓๒, ๑๓๓
คําสั่งยุติคดีโดยไม่ต้องมีคําพิพากษาตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัว
และวธิ ีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๓ วรรคหนงึ่ ใหส้ ิทธิ
นําคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ หาได้มีผลให้สิทธิในการได้ทรัพย์สินคืนหรือใช้ราคา
ซ่ึงเป็นสิทธิในคดีส่วนแพ่งของผู้เสียหายระงับไปด้วยไม่ สิทธิในการเรียกทรัพย์สินหรือ
ราคาแทนผู้เสียหายในคดีส่วนแพ่งของพนักงานอัยการซึ่งอาศัยอํานาจตาม ป.วิ.อ.
มาตรา ๔๓ ย่อมยงั คงมีอยู่ ทศ่ี าลชัน้ ตน้ ไม่วนิ จิ ฉยั และมีคําสงั่ คําขอดงั กล่าวจึงไมช่ อบ
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ.๒๕๕๓ไมม่ บี ทบญั ญตั เิ กย่ี วกบั การวนิ จิ ฉยั คดแี พง่ ทเ่ี กย่ี วเนอ่ื งกบั คดอี าญาไวเ้ ปน็ การ
เฉพาะ จึงต้องนําบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๖ ในกรณี
ที่ศาลไม่ได้มีคําพิพากษาในคดีส่วนอาญา บทบัญญัติแห่ง ป.วิ.อ. ที่นํามาใช้บังคับ
ในกรณีนี้คือ มาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง ซ่ึงบัญญัติว่า “คําพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไป
ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งโดยไม่ต้อง
คํานึงถึงว่าจําเลยต้องคําพิพากษาว่าได้กระทําความผิดหรือไม่” กล่าวคือศาลต้องวินิจฉัย
คดีส่วนแพ่งไปตามพยานหลักฐานในสํานวน ซ่ึงคดีน้ีปรากฏว่าจําเลยท้ังสามให้การ
รบั สารภาพ ข้อเทจ็ จรงิ จงึ รบั ฟังได้ตามฟอ้ งโจทกว์ า่ จําเลยทั้งสามกบั พวกร่วมเอาทรัพย์
ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต อันเป็นการทําละเมิดต่อผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายกับจําเลย
ทั้งสามจะเคยตกลงกันว่าจําเลยท้ังสามจะชําระค่าเสียหายคนละ ๔๐,๐๐๐ บาท เม่ือ
จําเลยท้ังสามชําระค่าเสียหายครบถ้วนแล้วผู้เสียหายก็ไม่ติดใจดําเนินคดีทางแพ่งกับ
จําเลยทงั้ สามอกี ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ จําเลยที่ ๒ และที่ ๓ ชําระคา่ เสยี หายใหแ้ กผ่ เู้ สยี หาย
ครบถว้ นแลว้
167
สว่ นจําเลยที่ ๑ ไมช่ ำ� ระ สทิ ธใิ นการดําเนนิ คดสี ว่ นแพง่ แทนผเู้ สยี หายของโจทกย์ งั คงมอี ยู่
จําเลยท่ี ๑ จงึ ตอ้ งคนื ทรัพยส์ นิ หรอื ใชร้ าคาทรัพยท์ ่ยี ังไมไ่ ด้คืนให้แก่ผ้เู สยี หาย
______________________________
โจทกฟ์ ้องขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๓, ๓๓๕, ๓๓๖ ทวิ
ให้จ�ำเลยท้ังสามร่วมกันคืนทรัพย์ท่ีไม่ได้คืนตามบัญชีทรัพย์ท่ีถูกประทุษร้ายที่ไม่ได้คืน เอกสาร
ทา้ ยคำ� ฟ้องหมายเลข ๓ หรือใหร้ ่วมกันชดใชร้ าคาทรัพยท์ ย่ี ังไมไ่ ด้คืน เปน็ เงิน ๒๑๐,๑๕๕ บาท
แก่ผู้เสียหายและนับโทษจ�ำคุกหรือระยะเวลาควบคุมเพื่อฝึกอบรมของจ�ำเลยที่ ๑ และจ�ำเลย
ที่ ๒ ในคดีนตี้ ่อจากโทษจำ� คุกหรือระยะเวลาควบคมุ เพื่อฝกึ อบรมของจ�ำเลยที่ ๒ และจ�ำเลยที่ ๑
ในคดอี าญาหมายเลขดำ� ที่ ๑๓๐/๒๕๖๑ ของศาลชั้นต้น
จำ� เลยทง้ั สามใหก้ ารรบั สารภาพ และจำ� เลยท่ี ๑ ที่ ๒ รบั วา่ เปน็ บคุ คลคนเดยี วกบั จำ� เลย
ที่ ๒ และจ�ำเลยที่ ๑ ท่โี จทก์ขอใหน้ บั โทษจ�ำคกุ หรือระยะเวลาฝึกและอบรมต่อ
ระหว่างพิจารณาผู้เสียหายกับจ�ำเลยท้ังสามและผู้ปกครองของจ�ำเลยทั้งสามตกลงกันว่า
จำ� เลยทง้ั สามและผปู้ กครองของจำ� เลยทง้ั สามจะชดใชค้ า่ เสยี หายใหแ้ กผ่ เู้ สยี หายคนละ ๔๐,๐๐๐ บาท
โดยการผ่อนช�ำระ หากจ�ำเลยทั้งสามช�ำระครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายก็ไม่ติดใจด�ำเนินคดีแพ่ง
และคดอี าญากบั จ�ำเลยทงั้ สามอีกต่อไปตามรายงานกระบวนพจิ ารณาฉบับลงวนั ที่ ๑๗ กันยายน
๒๕๖๑ โดยจ�ำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ชำ� ระเงนิ ค่าเสียหายใหแ้ กผ่ ู้เสียหายครบถ้วนแล้ว แตจ่ �ำเลยที่ ๑
ไม่ช�ำระ
ศาลชนั้ ตน้ มคี ำ� สง่ั ใหใ้ ชม้ าตรการแทนการพพิ ากษาคดแี กจ่ ำ� เลยทง้ั สามตามพระราชบญั ญตั ิ
ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี ิจารณาคดีเยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๒
วรรคหนึ่ง ต่อมาเม่ือวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๖๒ วันท่ี ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ และวันท่ี
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ศาลชั้นต้นมีค�ำสั่งให้ยุติคดีและจ�ำหน่ายคดีในส่วนของจ�ำเลยที่ ๓
จำ� เลยที่ ๑ และจำ� เลยที่ ๒ ตามลำ� ดบั ตามมาตรา ๑๓๓ วรรคหนงึ่
โจทกอ์ ทุ ธรณค์ ำ� สัง่ ยุติคดีและใหจ้ ำ� หนา่ ยคดใี นสว่ นของจ�ำเลยท่ี ๑
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา
ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การท่ีศาลช้ันต้นมีค�ำส่ังให้ยุติคดีและจ�ำหน่ายคดีใน
ส่วนของจ�ำเลยที่ ๑ ออกเสียจากสารบบความโดยมิได้มีค�ำส่ังในเรื่องท่ีโจทก์มีค�ำขอให้จ�ำเลย
ท่ี ๑ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ท่ียังไม่ได้คืนให้แก่ผู้เสียหาย ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า
168
การท่ีโจทก์มีค�ำขอท้ายฟ้องให้ศาลสั่งให้จ�ำเลยท้ังสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย
โดยอาศัยอ�ำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๓ ที่มีเจตนารมณ์
เพื่อช่วยให้ผู้เสียหายได้รับทรัพย์สินคืน หรือได้รับชดใช้ราคาทรัพย์ท่ีสูญเสียไปเนื่องจาก
การกระท�ำความผิดของจ�ำเลยทั้งสามโดยไม่ต้องด�ำเนินคดีแพ่งเป็นอีกคดีหน่ึง ถือเป็นการท่ี
กฎหมายให้อ�ำนาจพนักงานอัยการในการใช้สิทธิเรียกร้องและด�ำเนินคดีแทนผู้เสียหายต่อเนื่องไป
ในคดีอาญาเพ่ือให้การพิจารณาพิพากษาท้ังคดีแพ่งและคดีอาญาเสร็จส้ินไปในคราวเดียว ดังนั้น
ในกระบวนการพิจารณาพิพากษาคดีอาญาตามปกติ เมื่อเสร็จการพิจารณาศาลย่อมมีค�ำพิพากษา
ทั้งในส่วนคดีอาญาและส่วนคดีแพ่งไปในค�ำพิพากษาเดียวกัน ส�ำหรับคดีน้ีในส่วนของจ�ำเลยท่ี ๑
ซึ่งโจทก์อุทธรณ์นั้น ศาลช้ันต้นมิได้ใช้กระบวนพิจารณาพิพากษาตามปกติแก่จ�ำเลยที่ ๑
เนื่องจากศาลช้ันต้นมิได้มีค�ำพิพากษาเกี่ยวกับการกระท�ำความผิดของจ�ำเลยท่ี ๑ แต่ได้ใช้
มาตรการแทนการพิพากษาคดีตามมาตรา ๑๓๒ แห่งพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ซ่ึงเป็นมาตรการพิเศษที่ศาลใช้กับ
จ�ำเลยท่ี ๑ ในกรณีท่ีศาลเห็นว่าตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่สมควรจะมีค�ำพิพากษา
หรือบิดา มารดา ผู้ปกครองหรือบุคคลซึ่งจ�ำเลยท่ี ๑ อาศัยอยู่ด้วยร้องขอให้ใช้ โดยศาล
อาจมีค�ำส่ังให้ปล่อยตัวจ�ำเลยที่ ๑ ชั่วคราวโดยก�ำหนดเง่ือนไขในการแก้ไขบ�ำบัดฟื้นฟูต่าง ๆ
ตามมาตรา ๑๓๒ วรรคหน่ึง หรือส่งตัวจ�ำเลยท่ี ๑ ไปยังสถานพินิจหรือสถานที่อื่นที่จัดตั้งขึ้น
ตามกฎหมายและตามที่ศาลเห็นสมควร หรือจะใช้วิธีการส�ำหรับเด็กและเยาวชนไปพลางก่อน
ตามมาตรา ๑๓๒ วรรคสอง หากต่อมาจ�ำเลยท่ี ๑ ได้ปฏิบัติตามเง่ือนไขและภายในระยะเวลา
ที่ศาลก�ำหนด ศาลต้องมีค�ำส่ังยุติคดีโดยไม่ต้องมีค�ำพิพากษาเก่ียวกับการกระท�ำความผิด
ของจ�ำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๑๓๓ วรรคหนึ่ง อันเป็นประโยชน์ต่อจ�ำเลยที่ ๑ ที่ไม่ต้อง
ค�ำพิพากษาในคดีอาญา อย่างไรก็ตาม มาตรา ๑๓๓ วรรคหน่ึง ให้ถือเฉพาะสิทธิน�ำ
คดีอาญามาฟ้องเท่าน้ันท่ีเป็นอันระงับไป หาได้มีผลให้สิทธิในการได้ทรัพย์สินคืนหรือใช้ราคา
ทรัพย์สินซึ่งเป็นสิทธิในคดีส่วนแพ่งของผู้เสียหายระงับไปด้วยไม่ เม่ือสิทธิในคดีส่วนแพ่งของ
ผู้เสียหายไม่ระงับไป สิทธิในการเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายในคดีส่วนแพ่งของ
พนักงานอัยการซ่ึงอาศัยอ�ำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๓
ย่อมยงั คงมอี ยู่ การนำ� บทบญั ญัตมิ าตรา ๑๓๓ วรรคหน่งึ แหง่ พระราชบัญญัตศิ าลเยาวชนและ
ครอบครวั และวธิ พี ิจารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตคี วามว่า คำ� สั่งยุตคิ ดีมผี ล
ท�ำให้สิทธิน�ำคดีอาญามาฟอ้ งเป็นอันระงับไปและท�ำให้คำ� ขอในคดีส่วนแพ่งของพนักงานอัยการ
169
ท่ีให้จ�ำเลยที่ ๑ คนื หรอื ใชร้ าคาทรัพย์ทย่ี งั ไม่ไดค้ ืนตกไปดว้ ยนั้นหาชอบไม่ ศาลตอ้ งมคี ำ� วินจิ ฉัย
ตามค�ำขอท้ายฟ้องของโจทก์ท่ีเป็นค�ำขอในคดีส่วนแพ่งด้วย ที่ศาลชั้นต้นมิได้มีค�ำส่ังในเรื่อง
ท่ีโจทก์มีค�ำขอให้จ�ำเลยท่ี ๑ คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนให้แก่ผู้เสียหายจึงไม่ชอบด้วย
กฎหมาย แม้ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ ไม่มบี ทบญั ญัตเิ กี่ยวกับการวินจิ ฉยั คดแี พ่งทีเ่ กี่ยวเนือ่ งกับคดีอาญาไว้
เป็นการเฉพาะ กรณีจึงต้องน�ำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้
บังคับโดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ในกรณที ่ศี าลไม่ไดม้ คี �ำพิพากษาในคดีสว่ นอาญา บทบัญญัติ
แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาทนี่ ำ� มาใชบ้ งั คบั ในกรณนี ค้ี อื มาตรา ๔๗ วรรคหนงึ่
ซ่งึ บัญญตั ิวา่ “ค�ำพิพากษาคดีสว่ นแพง่ ต้องเปน็ ไปตามบทบญั ญตั แิ ห่งกฎหมายอนั ว่าดว้ ยความ
รับผิดของบุคคลในทางแพ่งโดยไม่ต้องค�ำนึงถึงว่าจ�ำเลยต้องค�ำพิพากษาว่าได้กระท�ำความผิด
หรือไม่” กล่าวคือศาลต้องวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งไปตามพยานหลักฐานในส�ำนวน ซึ่งคดีน้ีปรากฏ
ว่าจ�ำเลยท้ังสามให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามฟ้องโจทก์ว่า จ�ำเลยทั้งสามร่วม
กบั พวกเอาทรพั ย์ของผู้เสียหายไปโดยทจุ ริตอันเป็นการทำ� ละเมิดตอ่ ผเู้ สียหาย แม้ผเู้ สียหายกับ
จ�ำเลยทง้ั สามจะเคยตกลงกันวา่ จำ� เลยทงั้ สามจะชำ� ระคา่ เสยี หายคนละ ๔๐,๐๐๐ บาท เมื่อจำ� เลย
ทั้งสามช�ำระค่าเสียหายครบถ้วนแล้วผู้เสียหายก็ไม่ติดใจด�ำเนินคดีทางแพ่งกับจ�ำเลยทั้งสามอีก
ขอ้ เท็จจริงปรากฏว่าจ�ำเลยท่ี ๒ และที่ ๓ ชำ� ระคา่ เสียหายให้แกผ่ ูเ้ สียหายคนละ ๔๐,๐๐๐ บาท
ครบถว้ นแล้ว สว่ นจ�ำเลยท่ี ๑ ไม่ช�ำระ สทิ ธใิ นการดำ� เนินคดสี ่วนแพง่ แทนผูเ้ สยี หายของโจทก์ยัง
คงมีอยู่ จำ� เลยท่ี ๑ จงึ ตอ้ งคนื ทรัพยส์ นิ หรือใช้ราคาใหแ้ ก่ผู้เสียหาย ที่ศาลชนั้ ตน้ มิไดม้ ีค�ำวนิ จิ ฉัย
ให้จำ� เลยท่ี ๑ คนื ทรัพย์สินหรอื ใชร้ าคาทรพั ยท์ ีย่ งั ไม่ได้คนื ให้แกผ่ เู้ สียหาย ศาลอุทธรณค์ ดีชำ� นัญ
พิเศษไมเ่ หน็ พ้องด้วย อทุ ธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
อน่งึ ศาลชั้นต้นมีค�ำสั่งยุติคดแี ละจำ� หน่ายคดีในส่วนของจำ� เลยท่ี ๒ และท่ี ๓ โดยยงั
มิได้วินิจฉัยคดีตามค�ำขอในส่วนแพ่งของโจทก์อันเป็นการมิชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อ
กฎหมายเกยี่ วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ย แมไ้ มม่ คี คู่ วามฝา่ ยใดอทุ ธรณ์ ศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษ
เหน็ ควรหยบิ ยกขน้ึ วนิ จิ ฉยั ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง
ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๐ เมื่อจำ� เลยที่ ๒ และท่ี ๓ ชำ� ระคา่ เสยี หายคนละ ๔๐,๐๐๐ บาท ให้แก่
ผ้เู สยี หายครบถว้ นแลว้ ถอื ว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำ� เนินคดสี ว่ นแพง่ ต่อจ�ำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ อกี
170
อ�ำนาจของโจทก์ในการใช้สิทธิเรียกร้องและด�ำเนินคดีแทนผู้เสียหายในทางแพ่งเฉพาะส่วนของ
จ�ำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ จึงระงบั ไป จำ� เลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงไม่ต้องคนื ทรพั ย์สนิ หรือใชร้ าคาให้แก่
ผู้เสยี หายอีก
พิพากษาแก้เป็นวา่ ให้จำ� เลยที่ ๑ คืนทรพั ยส์ นิ ทีย่ งั ไมไ่ ด้คนื หรือใชร้ าคาแทนเปน็ เงนิ
๑๓๐,๑๕๕ บาท ยกค�ำขอท่ีให้จ�ำเลยท่ี ๒ และท่ี ๓ คืนทรัพย์สินหรือใช้ราคาแทน นอกจาก
ทแี่ ก้ให้เป็นไปตามค�ำพิพากษาศาลชน้ั ต้น.
(เผดิม เพช็ รกูล - ชารยี า เด่นนนิ นาท - รัชดาพร เสนยี ว์ งศ์ ณ อยุธยา)
เดชวิบลุ พนาเศรษฐเนตร - ยอ่
แกว้ ตา เทพมาลี - ตรวจ
171
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพเิ ศษที่ ๓๒๔/๒๕๖๐ พนกั งานอัยการคดี
เยาวชนและครอบครัว
จงั หวดั ยะลา โจทก์
จำ� เลย
นาย อ.
ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง
ป.อ. มาตรา ๑๘ วรรคสอง วรรคสาม, ๘๐, ๒๘๘
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖
ป.อ. มาตรา ๑๘ วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีผู้ซึ่งกระท�ำความผิดในขณะที่
มีอายุต�่ำกว่าสิบแปดปีได้กระท�ำความผิดท่ีมีระวางโทษประหารชีวิตหรือจ�ำคุก
ตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษห้าสิบปี ดังนั้น การท่ี
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจ�ำเลยในความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘ ประกอบ
มาตรา ๘๐ ลดมาตราส่วนโทษใหก้ ึง่ หน่งึ ตาม ป.อ. มาตรา ๗๕ ประกอบมาตรา ๕๒ (๒)
จ�ำคุก ๒๕ ปี ทางน�ำสืบของจ�ำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หน่ึงในสาม
ตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ คงจำ� คกุ ๑๖ ปี ๘ เดือน จึงไม่ถูกตอ้ ง เพราะจะท�ำใหจ้ �ำเลยซง่ึ มี
อายุไม่เกิน ๑๘ ปี ได้รับโทษเท่ากับผู้ใหญ่ จึงให้เปล่ียนโทษประหารชีวิตเป็นจ�ำคุก
ห้าสิบปีก่อนแล้วจึงน�ำ ป.อ. มาตรา ๘๐ ให้ระวางโทษสองในสามของโทษจ�ำคุกห้าสิบปี
มาปรับ หลังจากนั้นเม่ือลดมาตราส่วนโทษก่ึงหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา ๗๕ และลดโทษ
หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา ๗๘ แล้ว คงจ�ำคุกเพียง ๑๑ ปี ๑ เดือน ๑๐ วัน ปัญหานี้
เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
มีอ�ำนาจยกข้ึนและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบ
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖
______________________________
172
โจทกฟ์ อ้ งขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐, ๘๓, ๙๑, ๒๘๘, ๒๘๙,
๓๓๙, ๓๔๐ ตรี พระราชบัญญัตอิ าวุธปืน เคร่ืองกระสุนปนื วัตถรุ ะเบดิ ดอกไม้เพลิง และส่ิงเทียม
อาวธุ ปนื พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ ให้จำ� เลยคนื หรือใช้ราคาอาวธุ ปืน
เป็นเงนิ ๓๐,๐๐๐ บาท แกผ่ ู้เสียหาย
จำ� เลยใหก้ ารปฏเิ สธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จ�ำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
ประกอบมาตรา ๘๐, ๓๓๙ วรรคส่ี พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด
ดอกไมเ้ พลิง และส่งิ เทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนง่ึ , ๗๒ วรรคสาม,
๗๒ ทวิ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระท�ำของจ�ำเลยเป็น
ความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๙๑ ขณะกระท�ำความผิดจ�ำเลยอายุ ๑๗ ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้ก่ึงหน่ึง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นกับฐานร่วมกันชิงทรัพย์
เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ
ฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผอู้ น่ื ซง่ึ เปน็ บททมี่ โี ทษหนกั ทส่ี ดุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐
ประกอบมาตรา ๕๒ (๒) จำ� คกุ ๒๕ ปี ฐานรว่ มกนั มอี าวธุ ปนื ทเี่ ปน็ ของผอู้ น่ื ซงึ่ ไดร้ บั ใบอนญุ าตให้
มแี ละใชต้ ามกฎหมายไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าต จำ� คกุ ๖ เดอื น ฐานรว่ มกนั พาอาวธุ ปนื
ติดตัวไปในเมอื ง หมูบ่ า้ น หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนญุ าต จำ� คุก ๖ เดือน รวมจำ� คกุ
๒๕ ปี ๑๒ เดอื น ทางนำ� สบื ของจ�ำเลยเป็นประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษ
ใหห้ น่ึงในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ ฐานร่วมกันพยายามฆา่ ผ้อู ่นื จ�ำคกุ ๑๖ ปี
๘ เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนท่ีเป็นของผู้อ่ืนซ่ึงได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายไว้ใน
ครอบครองโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าต จำ� คกุ ๔ เดอื น ฐานรว่ มกนั พาอาวธุ ปนื ตดิ ตวั ไปในเมอื ง หมบู่ า้ น
หรอื ทางสาธารณะโดยไมไ่ ด้รับใบอนญุ าต จำ� คกุ ๔ เดอื น รวมจ�ำคุก ๑๖ ปี ๑๖ เดือน พเิ คราะห์
รายงานของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดยะลาแล้ว เห็นว่า แม้จ�ำเลยกระท�ำ
ความผิดขณะเป็นเยาวชนเป็นคร้ังแรกก็ตาม แต่ตามความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์
ของจ�ำเลยกับพวกท่ีร่วมกระท�ำความผิดมีลักษณะอุกอาจเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม ประกอบกับ
ปจั จุบันจ�ำเลยมอี ายุ ๒๓ ปี ๔ เดือน ๒ วนั การใช้วิธีการสำ� หรบั เดก็ และเยาวชนแทนการลงโทษ
อาญาหรอื วธิ กี ารเพอื่ ความปลอดภยั จงึ ไมเ่ หมาะสมอกี ตอ่ ไป ใหจ้ �ำเลยคนื อาวธุ ปนื สน้ั ๑ กระบอก
หรือใชร้ าคาแทนเป็นเงนิ ๓๐,๐๐๐ บาท แกผ่ ูเ้ สยี หาย ขอ้ หาอื่นนอกจากนีใ้ ห้ยก
173
จำ� เลยอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่
คคู่ วามไมโ่ ตแ้ ยง้ กนั ในชน้ั อทุ ธรณฟ์ งั ไดว้ า่ นาย ป. ผเู้ สยี หาย ปฏบิ ตั หิ นา้ ทอ่ี าสาสมคั รรกั ษาดนิ แดน
(อส.) ในเขตอ�ำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา มีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณท่ีว่าการ
อ�ำเภอเมืองยะลาหรือตามที่ได้รับมอบหมาย เมื่อวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๕๔ ผู้เสียหายได้รับ
มอบหมายให้ท�ำหน้าท่ีรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณถนนสายอ�ำเภอเมืองยะลา-รามัน เวลา
ประมาณ ๑๙ นาฬกิ า ผเู้ สียหายออกเวร แล้วขับรถจกั รยานยนต์เพ่ือไปซอื้ บหุ รที่ ีร่ ้านขายของชำ�
ตง้ั อยทู่ ถ่ี นนเมอื งใหม่ ๑ ตำ� บลสะเตง อำ� เภอเมอื งยะลา จงั หวดั ยะลา โดยผเู้ สยี หายสวมเครอื่ งแบบ
ครงึ่ ทอ่ น สวมเสอ้ื ยดื และกางเกงลายพราง สวมรองเทา้ คอมแบท มอี าวธุ ปนื สน้ั ยห่ี อ้ โนรงิ โก ขนาด
๙ มลิ ลิเมตร พรอ้ มเคร่ืองกระสุนปนื ๗ นัด เหน็บไว้ทเี่ อวด้านขวา ผูเ้ สยี หายจอดรถจกั รยานยนต์
บรเิ วณหนา้ รา้ นขายของชำ� เดนิ เขา้ ไปซอ้ื บหุ รี่ แลว้ เดนิ กลบั ออกมา ขณะขน้ึ ครอ่ มรถจกั รยานยนต์
มคี นร้าย ๒ คน เดินเข้ามาแย่งอาวุธปืนจากเอวของผูเ้ สยี หาย แล้วยงิ ผเู้ สียหาย กระสนุ ปนื ถูก
บริเวณท้องของผู้เสียหาย ผู้เสียหายยังคงยื้อแย่งอาวุธปืนกลับคืน ระหว่างนั้นคนร้ายยิงอีก
๑ นัด กระสุนปืนถกู พวกคนร้าย จากน้นั คนรา้ ยแย่งอาวธุ ปืนจากผู้เสียหายได้ แล้วยิงผู้เสยี หาย
อีก ๑ นัด กระสุนปืนถูกบรเิ วณทอ้ งของผู้เสยี หาย แล้วคนรา้ ยหลบหนีไป ผู้เสยี หายมีบาดแผล
ถูกกระสุนปืนบริเวณใต้ชายโครงด้านซ้าย ไตด้านซ้ายบาดเจ็บ ล�ำไส้ใหญ่ทะลุ กระสุนปืนทะลุ
ไปถึงกระดกู อุ้งเชงิ กรานด้านหลงั ตอ้ งทำ� การผา่ ตดั เย็บซ่อมไตดา้ นซา้ ยและนำ� ล�ำไสใ้ หญ่มาเปดิ
ทห่ี นา้ ทอ้ งตามผลการตรวจชันสตู รบาดแผลของแพทย์
มปี ญั หาตอ้ งวนิ ิจฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำ� เลยว่า จำ� เลยกระทำ� ความผดิ ตามคำ� พพิ ากษา
ศาลชัน้ ต้นหรือไม่ เหน็ วา่ จำ� เลยกับพวกรว่ มกันทำ� รา้ ยร่างกายผเู้ สียหาย ระหวา่ งน้ันจ�ำเลยแย่ง
อาวุธปืนจากผู้เสียหาย แล้วยิงผู้เสียหาย เมื่อมีการยื้อแย่งอาวุธปืนแล้วจ�ำเลยถูกกระสุนปืนจน
ล้มลงนอนบนพื้น พวกของจ�ำเลยก็เข้าแย่งอาวุธปืนจากผู้เสียหายแล้วยิงผู้เสียหายอีก จากน้ัน
จำ� เลยกบั พวกพากนั หลบหนไี ป โดยไมป่ รากฏวา่ มกี ารตรวจพบอาวธุ ปนื ดงั กลา่ วในทเี่ กดิ เหตุ ยอ่ ม
แสดงว่าจ�ำเลยกับพวกเอาอาวุธปืนดังกล่าวไปด้วย ข้ออ้างในอุทธรณ์ของจ�ำเลยไม่อาจหักล้าง
พยานหลักฐานของโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จ�ำเลยร่วมกับพวกใช้ก�ำลัง
ประทุษร้ายผู้เสียหายแล้วลักอาวุธปืนของผู้เสียหายไปและใช้อาวุธปืนดังกล่าวซึ่งเป็นอาวุธ
ร้ายแรงยิงท่ีท้องของผู้เสียหายซึ่งเป็นอวัยวะส�ำคัญในระยะใกล้ จ�ำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจ
ท�ำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ เม่ือผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตายเพราะแพทย์รักษาได้ทันท่วงที
174
แต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลถูกกระสุนปืนบริเวณใต้ชายโครงด้านซ้าย ไต
ด้านซ้ายบาดเจ็บ ล�ำไส้ใหญ่ทะลุ กระสุนปืนทะลุไปถึงกระดูกอุ้งเชิงกรานด้านหลัง แพทย์ต้อง
ผ่าตัดเย็บซ่อมไตด้านซ้ายและน�ำล�ำไส้ใหญ่มาเปิดที่หน้าท้องตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผล
ของแพทย์ ถือได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา หรือจน
ประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่าย่ีสิบวันแล้ว จ�ำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์
เป็นเหตใุ ห้ผูอ้ นื่ รบั อันตรายสาหสั และร่วมกันพยายามฆา่ ผูอ้ ืน่ อนั เปน็ การกระทำ� กรรมเดยี วเป็น
ความผิดตอ่ กฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ และการที่จำ� เลยกบั พวก
ชิงทรัพย์เอาอาวุธปืนของผู้เสียหายไป จ�ำเลยจึงต้องรับผิดคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย
และเม่อื ไม่ปรากฏจากทางน�ำสบื ของโจทก์วา่ อาวธุ ปนื ของผเู้ สยี หายมีทะเบยี นหรอื ไม่ จงึ ตอ้ งฟงั
ข้อเท็จจริงเป็นคุณแก่จ�ำเลยว่าอาวุธปืนดังกล่าวเป็นอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตาม
กฎหมาย การกระทำ� ของจำ� เลยจงึ เปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกนั มแี ละพาอาวธุ ปนื ของผอู้ นื่ ซง่ึ ไดร้ บั ใบ
อนญุ าตใหม้ แี ละใชต้ ามกฎหมายตามคำ� พพิ ากษาศาลชนั้ ตน้ การทจี่ ำ� เลยกบั พวกรว่ มกนั ใชก้ ำ� ลงั
ประทุษรา้ ยผูเ้ สยี หายซ่งึ เป็นเจา้ หน้าท่รี กั ษาความสงบเรยี บร้อยในเขตอ�ำเภอเมอื งยะลา จังหวัด
ยะลา แล้วแย่งอาวุธปืนของผู้เสียหาย และใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงผู้เสียหายทันที ย่อมเป็นการ
กระท�ำท่ีอุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมส่วนรวม มิใช่เป็น
เพียงการทะเลาะวิวาทชกต่อยตามประสาวัยรุ่นท่ีคึกคะนองดังอุทธรณ์ของจ�ำเลย ประกอบกับ
ปจั จุบนั จำ� เลยอายุ ๒๓ ปีเศษ ทศ่ี าลชัน้ ตน้ ไมใ่ ช้วิธีการส�ำหรับเด็กและเยาวชนแทนการลงโทษ
อาญาแก่จ�ำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ส�ำหรับอุทธรณ์ข้ออื่นของจ�ำเลยไม่เป็น
สาระแกค่ ดี ไม่ทำ� ใหผ้ ลแห่งคดีเปลย่ี นแปลงไป จงึ ไมจ่ �ำต้องวนิ จิ ฉัย ท่ีศาลชนั้ ตน้ พิพากษามาน้นั
ศาลอุทธรณ์คดีชำ� นญั พเิ ศษเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำ� เลยล้วนฟังไมข่ ้ึน
อนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีผู้ซ่ึงกระท�ำ
ความผิดในขณะท่ีมีอายุต�่ำกว่าสิบแปดปีได้กระท�ำความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิตหรือ
จำ� คุกตลอดชวี ติ ใหถ้ อื ว่าระวางโทษดงั กลา่ วได้เปลย่ี นเปน็ ระวางโทษจ�ำคุกหา้ สิบปี ดงั นน้ั การท่ี
ศาลชนั้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษจำ� เลยในความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบ
มาตรา ๘๐ ลดมาตราสว่ นโทษใหก้ งึ่ หนงึ่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ประกอบมาตรา
๕๒ (๒) จำ� คุก ๒๕ ปี ทางนำ� สบื ของจำ� เลยเปน็ ประโยชน์แก่การพจิ ารณาลดโทษใหห้ น่งึ ในสาม
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจ�ำคกุ ๑๖ ปี ๘ เดอื น นน้ั ไม่ถูกต้อง เพราะจะท�ำให้
จ�ำเลยซ่ึงมีอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ได้รับโทษเท่ากับผู้ใหญ่ จึงให้เปลี่ยนโทษประหารชีวิตเป็นจ�ำคุก
175
ห้าสิบปีก่อน แล้วจึงน�ำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๐ ให้ระวางโทษสองในสามของโทษ
จ�ำคุกห้าสิบปีมาปรับ หลังจากน้ันเมื่อลดมาตราส่วนโทษก่ึงหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗๕ และลดโทษหนง่ึ ในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ แลว้ คงจ�ำคกุ เพยี ง
๑๑ ปี ๑ เดอื น ๑๐ วนั ปญั หานเี้ ปน็ ปญั หาขอ้ กฎหมายทเ่ี กยี่ วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ย ศาลอทุ ธรณ์
คดชี ำ� นญั พเิ ศษมอี ำ� นาจยกขนึ้ อา้ งและแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งไดต้ ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความ
อาญา มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบพระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณา
คดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืน ลดมาตราส่วนโทษกึ่งหน่ึง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ประกอบมาตรา ๑๘ วรรคสาม จ�ำคุก ๑๖ ปี ๘ เดือน
ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจ�ำคุก ๑๑ ปี ๑ เดือน
๑๐ วัน เม่ือรวมกับโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้
ตามกฎหมายไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไป
ในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตที่ศาลช้ันต้นลงโทษจ�ำคุกจ�ำเลย
กระทงละ ๔ เดือน แล้ว รวมเป็นจ�ำคุก ๑๑ ปี ๙ เดือน ๑๐ วัน นอกจากท่ีแก้ให้เป็นไปตาม
คำ� พิพากษาศาลช้นั ตน้ .
(ชนากานต์ ธรี เวชพลกุล - ชารียา เด่นนนิ นาท - อินทิรา ฉิวรมั ย)์
พทิ กั ษ์ หลมิ จานนท์ - ยอ่
นรนิ ทร์ ทองคำ� ใส - ตรวจ
176
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีช�ำนัญพิเศษที่ ๘๑๔/๒๕๖๐ พนกั งานอัยการคดเี ยาวชน
และครอบครวั จงั หวดั
นครศรีธรรมราช โจทก์
นาย ภ. โดยนาง ร.
ผแู้ ทนโดยชอบธรรม โจทกร์ ว่ ม
นาย ธ. จำ� เลย
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๑๙, ๑๔๒
คดีน้ี ศาลช้ันต้นพิพากษาให้ส่งตัวจ�ำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมมีก�ำหนด
ข้ันต่�ำ ๓ ปี ข้ันสูง ๕ ปี เมื่อวิธีการส�ำหรับเด็กและเยาวชนท่ีศาลช้ันต้นก�ำหนดให้ใช้
บังคับแก่จ�ำเลยยังไม่เหมาะสม ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาในการก�ำหนดวิธีการส�ำหรับ
เด็กและเยาวชน ซ่ึงศาลต้องค�ำนึงถึงบุคลิกลักษณะ สภาพร่างกายและสภาพจิตของ
เด็กหรือเยาวชนซ่ึงแตกต่างกันเป็นคน ๆ ไป และลงโทษหรือเปล่ียนโทษหรือใช้
วิธีการส�ำหรับเด็กและเยาวชนให้เหมาะสมแก่ตัวเด็กหรือเยาวชนและพฤติการณ์
เฉพาะเร่ืองตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑๙ ประกอบมาตรา ๑๔๒ แม้จ�ำเลยมิได้อุทธรณ์
ในปญั หาดงั กลา่ ว ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษกม็ อี ำ� นาจเปลย่ี นแปลงวธิ กี ารใหเ้ หมาะสม
โดยลดระยะเวลาการควบคุมตัวจำ� เลยเพื่อฝกึ อบรมให้นอ้ ยลงได้
______________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒, ๓๓,
๘๐, ๘๓, ๙๑, ๒๘๘, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวธุ ปืน เครอื่ งกระสนุ ปนื วตั ถรุ ะเบดิ ดอกไมเ้ พลิง
และส่ิงเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทว,ิ ๗๒, ๗๒ ทวิ กบั รบิ เม็ดกระสนุ ลกู ปราย
ของกระสนุ ปนื ลกู ซองหมอนรองกระสนุ ปนื ลกู ซองขนาด ๑๒ และเศษหมอนรองกระสนุ ปนื ลกู ซอง
ของกลาง
177
จำ� เลยให้การปฏเิ สธ
ระหว่างพจิ ารณา นาย ภ. ผู้เสียหาย โดย นาง ร. ผู้แทนโดยชอบธรรมยื่นค�ำร้องขอ
เข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลช้ันต้นอนุญาตเฉพาะข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ส่วนข้อหาร่วมกันมี
และพาอาวุธปืนโจทก์รว่ มไม่เปน็ ผเู้ สยี หาย จงึ ไม่อนุญาต
ศาลช้ันต้นพิพากษาว่า จ�ำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
ประกอบมาตรา ๘๐, ๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง
และส่ิงเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง, ๗๒ วรรคสาม, ๗๒ ทวิ
วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระท�ำของจ�ำเลยเป็นความผิด
หลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๙๑ ขณะกระท�ำความผิดจ�ำเลยอายุ ๑๖ ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กระทงละก่ึงหน่ึง
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืน จ�ำคุก ๕ ปี ฐาน
ร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อ่ืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จ�ำคุก ๖ เดือน
ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนตดิ ตวั ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ไดร้ บั ใบอนุญาตและ
โดยไม่มีเหตุสมควร เป็นการกระท�ำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ
ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๙๐ จำ� คุก ๖ เดอื น รวมจำ� คุก ๕ ปี ๑๒ เดือน อาศัยอ�ำนาจตามพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๒
(๑) ให้เปล่ียนโทษจ�ำคุกเป็นการส่งตัวจ�ำเลยไปควบคุมเพ่ือฝึกอบรมท่ีศูนย์ฝึกและอบรมเด็ก
และเยาวชนเขต ๘ จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี มกี ำ� หนดข้ันตำ่� ๓ ปี ขั้นสูง ๕ ปี และใหจ้ �ำเลยเข้ารบั
การศกึ ษาเลา่ เรยี นตอ่ จนจบระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลายกบั ฝกึ อบรมวชิ าชพี ทจ่ี �ำเลยประสงค์
และศูนยฝ์ กึ และอบรมฯ จดั ใหม้ ีอยา่ งน้อย ๒ วชิ าชพี หากจำ� เลยมีอายุครบยี่สิบสป่ี ีบริบูรณแ์ ล้ว
ยงั ไม่ได้ถกู ควบคุมตัวเพอ่ื ฝกึ อบรม ใหส้ ่งจ�ำเลยไปจำ� คกุ ในเรอื นจำ� มีก�ำหนด ๒ ปี หรอื ถา้ จ�ำเลย
ถูกควบคุมตัวเพื่อฝึกอบรมแล้วแต่ยังไม่ครบก�ำหนดเวลาการฝึกอบรมขั้นต�่ำ ให้ส่งตัวจ�ำเลย
ไปจ�ำคุกในเรือนจ�ำจนครบเวลาฝึกอบรมท่ีเหลือดังกล่าว ริบเม็ดกระสุนลูกปรายของกระสุนปืน
ลูกซอง หมอนรองกระสุนปืนลูกซองและเศษหมอนรองกระสุนปืนลูกซองของกลาง ข้อหาอ่ืน
ให้ยก
178
จำ� เลยอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงท่ี
คู่ความไม่ได้โต้แย้งค�ำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นอย่างอื่นรับฟังได้เป็นยุติว่า วันเวลาและสถานที่
เกิดเหตุตามฟ้อง มีชายคนร้าย ๕ คน ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมหลายนัด แต่กระสุนปืน
ไม่ถูกโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงไม่ถึงแก่ความตาย หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานต�ำรวจมาตรวจ
สถานท่ีเกิดเหตุและยึดลกู กระสุนปนื ลูกซอง (ตะกัว่ ) ๑ เม็ด หมอนรองกระสนุ ปืนลกู ซอง ๓ อนั
เศษหมอนรองกระสุนปนื ลกู ซอง ๓ ชิ้น เป็นของกลางตามบญั ชีของกลางคดอี าญา
คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำ� เลยวา่ จำ� เลยกระทำ� ความผดิ ตามคำ� พพิ ากษา
ศาลช้นั ต้นหรอื ไม่ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีนำ้� หนกั เชอ่ื วา่ โจทกร์ ว่ มเห็น
และจดจำ� จำ� เลยไดจ้ รงิ เมอ่ื วนิ จิ ฉยั ดงั นแ้ี ลว้ อทุ ธรณข์ อ้ อนื่ ของจำ� เลยไมท่ ำ� ใหผ้ ลคดเี ปลย่ี นแปลง
จงึ ไมจ่ ำ� ตอ้ งวนิ จิ ฉยั ทศี่ าลชน้ั ตน้ พพิ ากษามานน้ั ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษเหน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณ์
ของจ�ำเลยฟังไมข่ นึ้
อน่ึง ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษเห็นว่า วิธีการส�ำหรับเด็กและเยาวชนท่ีศาลชั้นต้น
ก�ำหนดให้ใช้บังคับแก่จ�ำเลยน้ันยังไม่เหมาะสม ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาในการก�ำหนดวิธีการ
ส�ำหรับเด็กและเยาวชน ซ่ึงศาลต้องค�ำนึงถึงบุคลิกลักษณะ สภาพร่างกายและสภาพจิตของ
เดก็ หรือเยาวชนซ่ึงแตกต่างเป็นคน ๆ ไป และลงโทษหรือเปลี่ยนโทษหรือใชว้ ิธกี ารส�ำหรับเด็ก
และเยาวชนให้เหมาะสมแก่ตัวเด็กหรือเยาวชน และพฤติการณ์เฉพาะเร่ืองตามพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ ีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๑๙
ประกอบมาตรา ๑๔๒ แม้จ�ำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษก็มี
อ�ำนาจเปลี่ยนแปลงวิธีการให้เหมาะสมได้ ดังน้ี เม่ือพิจารณารายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจ�ำเลย
ของสถานพนิ จิ และคมุ้ ครองเดก็ และเยาวชนจงั หวดั นครศรธี รรมราชแลว้ เหน็ วา่ มผี ลการประเมนิ
ระดับความเสี่ยงหรือโอกาสในการกระท�ำความผิดซ้�ำอยู่ในระดับปานกลาง และความประพฤติ
โดยทั่วไปของจ�ำเลยยังมีข้อเสียหายไม่มากนักประกอบกับระยะเวลาในการศึกษาระดับชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลายตามหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนใช้เวลาศึกษา ๒ ปี ก็สามารถ
จบการศึกษาได้ การท่ีศาลชั้นต้นพิพากษาให้ส่งตัวจ�ำเลยไปควบคุมเพ่ือฝึกอบรมท่ีศูนย์ฝึก
และอบรมเดก็ และเยาวชนเขต ๘ จังหวดั สุราษฎรธ์ านี มกี �ำหนดขั้นต่ำ� ๓ ปี ขน้ั สูง ๕ ปี และให้
จำ� เลยเขา้ รบั การศกึ ษาเลา่ เรยี นตอ่ จนจบในระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย กบั ฝกึ อบรมวชิ าชพี
ทจ่ี ำ� เลยประสงคแ์ ละศนู ยฝ์ กึ และอบรมฯ จดั ใหม้ อี ยา่ งนอ้ ย ๒ วชิ าชพี กเ็ พอ่ื ปรบั เปลยี่ นพฤตกิ รรม
179
ของจ�ำเลยให้ดีขึ้น เมื่อค�ำนึงถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นแล้ว เห็นว่า ระยะเวลาการฝึกอบรม
ที่ศาลชั้นต้นก�ำหนดส�ำหรับจ�ำเลยนั้นไม่เหมาะสม ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษเห็นสมควรลด
ระยะเวลาการควบคุมตัวจ�ำเลยเพ่ือฝึกอบรมให้น้อยลง โดยให้ส่งตัวจ�ำเลยไปควบคุมเพ่ือฝึก
อบรมทศ่ี นู ยฝ์ กึ และอบรมเดก็ และเยาวชนเขต ๘ จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี มกี ำ� หนดขน้ั ตำ�่ ๒ ปี ขน้ั สงู
๓ ปี สำ� หรับเงื่อนไขอนื่ ใหค้ งเปน็ ไปตามค�ำพพิ ากษาศาลชัน้ ตน้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ส่งจ�ำเลยไปควบคุมเพ่ือฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและ
เยาวชนเขต ๘ จงั หวัดสุราษฎร์ธานี มกี ำ� หนดขั้นตำ�่ ๒ ปี ข้นั สงู ๓ ปี นอกจากทีแ่ กใ้ หเ้ ปน็ ไปตาม
ค�ำพิพากษาศาลชั้นตน้ .
(ประวิทย์ อิทธชิ ัยวฒั นา - อมรรัตน์ กริยาผล - พนารัตน์ คิดจติ ต์)
ชนากานต์ ธีรเวชพลกุล - ย่อ/ตรวจ
180
คำ� พพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีช�ำนัญพเิ ศษที่ ๒๙๓๓/๒๕๖๒ พนักงานอัยการ
ส�ำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นาย ป. กบั พวก จำ� เลย
ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง, ๒๑๓
ป.อ. มาตรา ๑๘ วรรคสาม, ๗๕, ๘๐, ๙๐, ๒๘๘
พ.ร.บ.อาวธุ ปนื เครอื่ งกระสนุ ปนื วตั ถรุ ะเบดิ ดอกไมเ้ พลงิ และสงิ่ เทยี มอาวธุ ปนื พ.ศ.๒๔๙๐
มาตรา ๗๘ วรรคหนึง่ และวรรคสาม
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๘๒
ความผดิ ฐานรว่ มกนั มวี ตั ถรุ ะเบดิ ทไี่ มอ่ าจออกใบอนญุ าตใหไ้ ดไ้ วใ้ นครอบครอง
โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดท่ีไม่อาจออกใบอนุญาต
ให้ได้ในการกระทําความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืน และความผิดฐานร่วมกัน
พยายามฆ่าผู้อ่ืน เป็นการกระทํากรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้อง
ลงโทษจําเลยที่ ๑ ในความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้
ในการกระทําความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษหนัก
ท่ีสุด ตาม ป.อ. มาตรา ๙๐ โดยความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่ไม่อาจออก
ใบอนุญาตให้ได้ในการกระทํา ความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น มีระวางโทษ
จําคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ในกรณีผู้ซึ่งกระทําความผิดในขณะท่ีมีอายุต่�ำกว่า
สิบแปดปีได้กระทําความผิดท่ีมีระวางโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิต ให้ถือว่า
ระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจําคุกห้าสิบปีตาม ป.อ. มาตรา ๑๘ วรรคสาม
ดังนั้น ขณะกระทําความผิดจําเลยที่ ๑ อายุ ๑๗ ปีเศษ เม่ือลดมาตราส่วนโทษลง
กง่ึ หนง่ึ ตาม ป.อ. มาตรา ๗๕ ประกอบมาตรา ๑๘ วรรคสาม แลว้ คงเหลอื ระวาง โทษจําคกุ
เพยี ง๒๕ปีปญั หาดงั กลา่ วเปน็ ขอ้ กฎหมายทเี่ กย่ี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยแมค้ คู่ วามจะมไิ ด้
อทุ ธรณ์ แตศ่ าลอทุ ธรณค์ ดชี ํานญั พเิ ศษมอี ํานาจยกขนึ้ วนิ จิ ฉยั และแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งไดต้ าม
ป.ว.ิ อ. มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณา
คดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๒ เม่ือโจทกฟ์ อ้ งและนําสบื ว่า จําเลย
181
ท่ี ๒ ถึงท่ี ๘ ร่วมกันกระทําความผดิ กบั จําเลยที่ ๑ ในความผดิ ฐานดงั กลา่ ว จึงเปน็ เหตุ
อยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษมีอํานาจพิพากษาตลอดไปถึง
จําเลยที่ ๒ ถงึ ที่ ๘ ทม่ี ไิ ด้อทุ ธรณต์ าม ป.ว.ิ อ. มาตรา ๒๑๓ ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชน
และครอบครวั และวธิ ีพิจารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๒
______________________________
คดีนี้เดิมศาลช้ันต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันมากับคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี
อ.๙๕๖/๒๕๖๑ ของศาลช้นั ต้น โดยใหเ้ รยี กจ�ำเลยในสำ� นวนนวี้ า่ จ�ำเลยที่ ๑ ถึงจ�ำเลยที่ ๗ และ
เรียกจ�ำเลยในคดอี าญาหมายเลขแดงท่ี อ.๙๕๖/๒๕๖๑ ของศาลชัน้ ตน้ วา่ จ�ำเลยที่ ๘ ตามลำ� ดบั
โจทกฟ์ อ้ งขอใหล้ งโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๐, ๘๓, ๙๑, ๒๘๘, ๓๗๑
พระราชบัญญัติอาวุธปืน เคร่ืองกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และส่ิงเทียมอาวุธปืน
พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๖, ๓๘, ๕๕ และ ๗๘ รบิ อาวธุ มดี ของกลาง
จ�ำเลยทง้ั แปดให้การปฏเิ สธ แต่ก่อนสบื พยาน จำ� เลยท้ังแปดขอถอนคำ� ใหก้ ารเดิมและ
ให้การใหม่เปน็ รบั สารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จ�ำเลยทั้งแปดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๐, ๘๓, ๓๗๑ พระราชบัญญตั อิ าวุธปนื เครอ่ื งกระสนุ ปนื วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และส่ิงเทียมอาวุธปนื พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๓๘ วรรคหน่งึ , ๕๕, ๗๘ วรรคหนงึ่
และวรรคสาม การกระท�ำของจำ� เลยทัง้ แปดเป็นความผดิ หลายกรรมต่างกนั ให้ลงโทษทกุ กรรม
เปน็ กระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ขณะกระทำ� ความผิดจ�ำเลยที่ ๑
ถึงที่ ๓ และที่ ๕ ถงึ ที่ ๘ อายุ ๑๗ ปี เศษ สว่ นจำ� เลยท่ี ๔ อายุ ๑๖ ปี เศษ ลดมาตราส่วนโทษลง
คนละกึ่งหน่ึงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ (ที่ถูก ประกอบมาตรา ๑๘ วรรคสาม)
ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย
และฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดท่ีไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำความผิดฐานร่วมกัน
พยายามฆ่าผู้อื่น เป็นการกระท�ำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม
พระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปนื เครอื่ งกระสนุ ปนื วตั ถรุ ะเบดิ ดอกไมเ้ พลงิ และสง่ิ เทยี มอาวธุ ปนื พ.ศ. ๒๔๙๐
มาตรา ๗๘ วรรคสาม ซง่ึ เป็นกฎหมายบททมี่ โี ทษหนกั ที่สดุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐
จ�ำคุกคนละ ๒๖ ปี ฐานร่วมกนั พาวตั ถรุ ะเบิดและอาวธุ มีดไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะ
โดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ ๔๐๐ บาท ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จ�ำคุกคนละ ๑๐ ปี
182
รวมจ�ำคุกจ�ำเลยทั้งแปดมีก�ำหนดคนละ ๓๖ ปี และปรับคนละ ๔๐๐ บาท จ�ำเลยทั้งแปดให้การ
รบั สารภาพเปน็ ประโยชนแ์ กก่ ารพจิ ารณา มเี หตบุ รรเทาโทษ ลดโทษใหก้ ระทงละกง่ึ หนงึ่ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงจำ� คกุ จำ� เลยทงั้ แปดมกี ำ� หนดคนละ ๑๘ ปี และปรบั คนละ ๒๐๐ บาท
อาศัยอ�ำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ ให้รอการลงโทษจ�ำคุกจ�ำเลยที่ ๒ และ
ท่ี ๔ ถงึ ที่ ๘ ไว้มกี �ำหนดคนละ ๓ ปี และใหค้ ุมความประพฤตขิ องจำ� เลยที่ ๒ และที่ ๔ ถงึ ที่ ๘
ภายในเวลาดังกล่าว โดยก�ำหนดเงื่อนไขเพอื่ คมุ ความประพฤติ ดังน้ี
๑. ให้จ�ำเลยท่ี ๒ และที่ ๔ ถึงท่ี ๘ ไปรายงานตวั ต่อพนักงานคุมประพฤติทกุ ๓ เดอื น
ต่อครั้ง ทุกครงั้ ท่ีไปรายงานตัวใหต้ รวจปัสสาวะด้วย หากพบสารเสพตดิ ใหร้ ายงานศาล
๒. ให้จ�ำเลยท่ี ๒ และที่ ๔ ถึงท่ี ๘ ประกอบอาชีพเป็นกิจจะลักษณะ ให้ตั้งใจศึกษา
เลา่ เรียนและนำ� ผลการเรียนมาแสดงทกุ ครัง้ ทมี่ ารายงานตัว
๓. ห้ามจ�ำเลยท่ี ๒ และท่ี ๔ ถึงท่ี ๘ คบหาสมาคมกับบุคคลที่มีความประพฤติไม่ดี
ห้ามเที่ยวเตร่ในเวลากลางคืนหรือในสถานเริงรมย์ทุกแห่ง และห้ามเก่ียวข้องกับยาเสพติด
ให้โทษทุกชนิด ให้จ�ำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ถึงท่ี ๘ เข้ารับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลตุลาการ
เฉลิมพระเกียรติจนครบขั้นตอนหรือตามความเห็นของแพทย์และทีมบ�ำบัด และเข้าโครงการ
เฝ้าระวังการกระท�ำผิดซ�้ำด้วย ส่วนจ�ำเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ อาศัยอ�ำนาจตามพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครวั และวิธีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๒ (๑)
ให้เปล่ียนโทษจ�ำคุกเป็นการส่งตัวจ�ำเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ ไปควบคุมเพ่ือฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและ
อบรมเด็กและเยาวชนกรงุ เทพมหานคร มกี �ำหนดขน้ั ต�่ำคนละ ๑ ปี ข้นั สงู คนละ ๒ ปี นับแต่วัน
ถกู ควบคมุ ใหจ้ �ำเลยท่ี ๑ และที่ ๓ ศกึ ษาเลา่ เรยี นจนจบการศกึ ษาระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
และให้ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร จัดให้จ�ำเลยที่ ๑ และท่ี ๓ ฝึกวิชา
อาชพี อยา่ งนอ้ ย ๒ หลกั สตู ร กบั ใหเ้ ขา้ รบั การบำ� บดั รกั ษาทโ่ี รงพยาบาลตลุ าการเฉลมิ พระเกยี รติ
จนครบขั้นตอนหรือตามความเห็นของแพทย์และทีมบ�ำบัด หากไม่ช�ำระค่าปรับให้ส่งตัวจ�ำเลย
ท้ังแปดไปควบคุมเพ่อื ฝึกอบรมท่ีศนู ย์ฝกึ และอบรมเดก็ และเยาวชนกรุงเทพมหานคร มกี ำ� หนด
คนละ ๑ วนั ทง้ั นี้ อาศยั อำ� นาจตามพระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดี
เยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๕ วรรคหนงึ่ ริบอาวธุ มีดของกลาง
จำ� เลยที่ ๑ อทุ ธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ จ�ำเลยที่ ๑ ยื่นค�ำร้องขอถอน
อทุ ธรณ์ ฉบับลงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒
183
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้อง
วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยท่ี ๑ เพียงประการเดียวว่า สมควรลงโทษสถานเบาและรอการ
ลงโทษให้แก่จ�ำเลยที่ ๑ หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลช้ันต้นมีค�ำพิพากษาให้เปลี่ยนโทษจ�ำคุก
เป็นการส่งตัวจ�ำเลยท่ี ๑ ไปควบคุมเพ่ือฝึกอบรมท่ีศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน
กรงุ เทพมหานคร มกี ำ� หนดขนั้ ตำ�่ ๑ ปี ขนั้ สงู ๒ ปี ตามพระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั
และวธิ พี จิ ารณาคดีเยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๒ (๑) และ ๑๔๓ อทุ ธรณ์ของ
จ�ำเลยท่ี ๑ จึงเป็นอุทธรณ์ค�ำพิพากษาของศาลชั้นต้นในข้อที่เกี่ยวกับการก�ำหนดให้ใช้วิธีการ
สำ� หรบั เดก็ และเยาวชนตามพระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชน
และครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๐ (๒) และ (๓) ซ่ึงไมป่ รากฏว่ามกี ารอนุญาตใหอ้ ทุ ธรณ์
ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๑ คดขี องจำ� เลยท่ี ๑ จึงต้องหา้ มอทุ ธรณต์ ามบทบญั ญัตขิ องกฎหมาย
ดังกล่าว การท่ีศาลช้ันต้นมีค�ำสั่งรับอุทธรณ์ของจ�ำเลยท่ี ๑ จึงไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญ
พิเศษไม่รับวินิจฉัย แต่อย่างไรก็ตาม การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระท�ำของจ�ำเลยที่ ๑
ในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง โดยฝ่าฝืน
ต่อกฎหมายและฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดท่ีไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำความผิด
ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น เป็นการกระท�ำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษ
จ�ำเลยท่ี ๑ ในความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำ
ความผดิ ฐานร่วมกนั พยายามฆา่ ผู้อน่ื ตามพระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปนื เครื่องกระสนุ ปนื วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗๘ วรรคสาม ซ่ึงเป็นกฎหมายบท
ที่มีโทษหนักท่ีสุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ และลงโทษจ�ำเลยที่ ๑ ในความผิด
ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นเป็นอีกกรรมหนึ่งนั้น เป็นการไม่ชอบ โดยความผิดฐานร่วมกัน
พยายามฆ่าผู้อื่นเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดท่ีไม่อาจออก
ใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายและความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่
ไมอ่ าจออกใบอนญุ าตใหไ้ ดใ้ นการกระทำ� ความผดิ ฐานรว่ มกนั พยายามฆา่ ผอู้ นื่ ตอ้ งลงโทษจำ� เลย
ที่ ๑ ในความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดท่ีไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำความผิด
ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืน ซ่ึงเป็นกฎหมายบทท่ีมีโทษหนักท่ีสุดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๙๐ ส่วนท่ีศาลช้ันต้นลดมาตราส่วนโทษในความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่ไม่อาจ
ออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมาย
184
อาญา มาตรา ๗๕ ประกอบมาตรา ๑๘ วรรคสาม แล้วลงโทษจ�ำคุกจ�ำเลยที่ ๑ มีก�ำหนด
๒๖ ปี เป็นการลดมาตราส่วนโทษไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมาย กล่าวคือ ความผิด
ฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำความผิดฐานร่วมกัน
พยายามฆา่ ผู้อน่ื นั้น มรี ะวางโทษจ�ำคกุ ตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต ในกรณีผู้ซ่งึ กระท�ำความผิด
ในขณะที่มีอายุต�่ำกว่าสิบแปดปีได้กระท�ำความผิดท่ีมีระวางโทษประหารชีวิตหรือจ�ำคุก
ตลอดชีวิต ให้ถือว่าระวางโทษดังกล่าวได้เปลี่ยนเป็นระวางโทษจ�ำคุกห้าสิบปีตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๑๘ วรรคสาม ดงั น้ัน ขณะกระท�ำความผดิ จำ� เลยท่ี ๑ อายุ ๑๗ ปี เศษ
เมื่อลดมาตราส่วนโทษในความผิดฐานดังกล่าวลงกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๗๕ ประกอบมาตรา ๑๘ วรรคสาม แล้ว คงเหลือระวางโทษจ�ำคุกเพียง ๒๕ ปี ศาลอุทธรณ์
คดีช�ำนัญพิเศษจึงเห็นควรแก้ไขโทษเสียใหม่ให้ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เก่ียวกับ
ความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความจะมิได้อุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษมีอ�ำนาจยกขึ้น
วินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕
วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๒ และเม่ือโจทก์ฟ้องและน�ำสืบว่า จ�ำเลยท่ี ๒ ถึงท่ี ๘
รว่ มกนั กระทำ� ความผดิ กบั จำ� เลยท่ี ๑ ในความผดิ ฐานน้ี จงึ เปน็ เหตอุ ยใู่ นสว่ นลกั ษณะคดี ศาลอทุ ธรณ์
คดชี ำ� นญั พเิ ศษมอี ำ� นาจพพิ ากษาตลอดไปถงึ จำ� เลยที่ ๒ ถงึ ท่ี ๘ ทม่ี ไิ ดอ้ ทุ ธรณต์ ามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๓ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและ
วธิ ีพจิ ารณาคดีเยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๒
อน่งึ ส�ำหรับค�ำรอ้ งขอถอนอุทธรณข์ องจำ� เลยท่ี ๑ น้ัน เมอ่ื ศาลอทุ ธรณค์ ดีช�ำนญั พเิ ศษ
วินิจฉัยว่า มีเหตุสมควรต้องแก้ไขค�ำพิพากษาศาลช้ันต้นดังกล่าวแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุสมควร
อนุญาตให้จำ� เลยท่ี ๑ ถอนอทุ ธรณ์ ใหย้ กคำ� รอ้ ง
พิพากษาแก้เป็นว่า การกระท�ำของจ�ำเลยท้ังแปดในความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิด
ท่ไี มอ่ าจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ฐานรว่ มกนั ใช้วัตถรุ ะเบิดท่ี
ไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืน และฐานร่วมกัน
พยายามฆ่าผู้อื่นเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้
วัตถุระเบิดท่ีไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ในการกระท�ำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อ่ืนตาม
พระราชบัญญัติอาวุธปืน เคร่ืองกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน
พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗๘ วรรคสาม ซึ่งเปน็ กฎหมายบททม่ี โี ทษหนกั ทสี่ ดุ ตามประมวลกฎหมาย
185
อาญา มาตรา ๙๐ ขณะกระท�ำความผิดจ�ำเลยทั้งแปดอายุกว่าสิบห้าปีแต่ต่�ำกว่าสิบแปดปี
ลดมาตราสว่ นโทษลงคนละกง่ึ หนึง่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๕ ประกอบมาตรา ๑๘
วรรคสาม จ�ำคุกคนละ ๒๕ ปี จ�ำเลยทั้งแปดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา
มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ จ�ำคุก
คนละ ๑๒ ปี ๖ เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานร่วมกันพาวัตถุระเบิดและอาวุธมีด
ไปในเมอื ง หมบู่ า้ นหรอื ทางสาธารณะโดยไมม่ เี หตสุ มควรตามทศ่ี าลชนั้ ตน้ กำ� หนดแลว้ เปน็ จำ� คกุ
จ�ำเลยทง้ั แปดคนละ ๑๒ ปี ๖ เดอื น และปรับคนละ ๒๐๐ บาท ให้รอการลงโทษจำ� คกุ จ�ำเลยท่ี ๒
และที่ ๔ ถงึ ท่ี ๘ และคุมความประพฤติของจ�ำเลยที่ ๒ และท่ี ๔ ถงึ ท่ี ๘ ตามเง่อื นไขและระยะ
เวลาที่ศาลช้ันตน้ ก�ำหนด สว่ นจ�ำเลยท่ี ๑ และท่ี ๓ ใหเ้ ปลยี่ นโทษจ�ำคกุ เป็นการสง่ ตัวไปควบคุม
เพ่ือฝึกอบรมในสถานที่และตามเง่ือนไขกับระยะเวลาที่ศาลช้ันต้นก�ำหนด นอกจากที่แก้ให้เป็น
ไปตามค�ำพพิ ากษาศาลช้นั ตน้ ยกอุทธรณ์ของจำ� เลยท่ี ๑.
(พนารตั น์ คดิ จติ ต์ - อมรรัตน์ กริยาผล - ประวทิ ย์ อิทธชิ ัยวัฒนา)
ณศิ รา อุปัตศิ ฤงค์ - ยอ่
พิทักษ์ หลมิ จานนท์ - ตรวจ
186
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดชี ำ� นญั พเิ ศษท่ี ๑๒๒/๒๕๖๓ พนกั งานอยั การคดี
เยาวชนและครอบครัว
จงั หวดั อํานาจเจรญิ โจทก์
นาย ส. หรือ อ. จ�ำเลย
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๑๙, ๑๔๒ (๑), ๑๔๕ วรรคหน่ึง, ๑๓๗ วรรคหน่งึ , ๑๓๘ วรรคสอง, ๑๔๐
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจําคุกและปรับจําเลย ให้เปล่ียนโทษจําคุกเป็นการส่งตัว
จําเลยไปควบคมุ เพอ่ื ฝกึ อบรมทศ่ี นู ยฝ์ กึ และอบรมมกี ําหนด ๑ ปี ตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและ
ครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๒ (๑) หากจําเลย
ไม่ชําระค่าปรับให้ส่งตัวจําเลยไปควบคุมเพ่ือฝึกอบรมมีกําหนด ๖ เดือน ตาม พ.ร.บ.
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๔๕ วรรคหน่ึง อันเป็นการใช้วิธีการสําหรับเด็กและเยาวชนแก่จําเลย ขณะ
อยู่ระหว่างการฝึกอบรมแทนค่าปรับ ผู้อํานวยการศูนย์ฝึกและอบรมรายงานว่า จําเลย
มีผลการฝึกอบรมก้าวหน้า มีการพัฒนาตนเองทั้งทางด้านพฤติกรรม ทัศนคติ และ
การแสดงออกอย่างเหมาะสม ปฏิบัติตนให้อยู่ในกฎระเบียบวินัย อีกทั้งจําเลยมีแผน
อันน่าเชื่อถือว่าจะศึกษาต่อและประกอบอาชีพอันเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของจําเลย
ขอให้ปล่อยจําเลยไปก่อนครบกําหนดระยะเวลาฝึกอบรมแทนค่าปรับ จึงเป็นกรณีที่
ความปรากฏต่อศาลชั้นต้นวา่ ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณต์ ามมาตรา ๑๑๙ ได้เปลี่ยนแปลง
ไปจากเดิม ศาลชั้นต้นย่อมมีอํานาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําพิพากษาหรือคําส่ังท่ีให้ใช้วิธีการ
สําหรบั เดก็ และเยาวชนนนั้ ดว้ ยการปลอ่ ยจําเลยไปกอ่ นครบกําหนดระยะเวลาฝกึ อบรมแทน
ค่าปรับตาม พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๗ วรรคหน่งึ ประกอบมาตรา ๑๔๐ และ ๑๓๘ วรรคสอง
______________________________
คดีสืบเน่อื งมาจากศาลชัน้ ต้นพพิ ากษาลงโทษจ�ำเลย จ�ำคุก ๑ ปี ๑ เดอื น ๑๕ วัน และ
ปรับ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้เปล่ียนโทษจำ� คกุ เป็นการส่งตัวจำ� เลยไปควบคุมเพอ่ื ฝึกอบรมทศี่ ูนยฝ์ ึก
187
และอบรมเดก็ และเยาวชนเขต ๕ จงั หวดั อบุ ลราชธานี มกี ำ� หนด ๑ ปี นับแตว่ ันมคี �ำพพิ ากษา
โดยใหห้ กั วนั ควบคมุ ในระหวา่ งสอบสวนและพจิ ารณาออกใหด้ ว้ ย ใหจ้ ำ� เลยเขา้ รบั การบำ� บดั รกั ษา
สารเสพตดิ ใหค้ รบขนั้ ตอน ฝกึ อาชพี อยา่ งนอ้ ยหนง่ึ อาชพี และศกึ ษาเลา่ เรยี นตามพระราชบญั ญตั ิ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธพี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๒
(๑) หากจ�ำเลยไมช่ ำ� ระคา่ ปรบั ให้สง่ ตวั จ�ำเลยไปควบคมุ เพอ่ื ฝกึ อบรมตอ่ เป็นเวลา ๖ เดือน ตาม
พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๑๔๕ วรรคหนงึ่ ศาลช้นั ต้นมีคำ� พพิ ากษาเมือ่ วันท่ี ๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ และในวันเดียวกัน
ไดส้ ง่ ตวั จำ� เลยไปควบคมุ เพอ่ื ฝกึ อบรมทศี่ นู ยฝ์ กึ และอบรมเดก็ และเยาวชนเขต ๕ จงั หวดั อบุ ลราชธานี
ศาลช้ันตน้ ออกหมายแจง้ วิธกี ารเม่อื คดีถึงท่ีสุด เม่อื วันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒ ตอ่ มาวันที่ ๑๖
กันยายน ๒๕๖๒ ผู้อ�ำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต ๕ จังหวัดอุบลราชธานี
มีหนังสือถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอ�ำนาจเจริญ ขอให้ปล่อย
จ�ำเลยก่อนก�ำหนดค่าปรับ โดยรายงานข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
ให้ส่งตัวจ�ำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมท่ีศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต ๕ จังหวัด
อุบลราชธานี มีก�ำหนด ๑ ปี (หักวันควบคุม ๕๗ วัน) และฝึกอบรมแทนค่าปรับ มีก�ำหนด
๖ เดือน จ�ำเลยครบก�ำหนดปลอ่ ยในระยะเวลาฝกึ อบรมในวนั ที่ ๑๓ กนั ยายน ๒๕๖๒ ปัจจุบัน
ก�ำลังอยู่ระหว่างฝึกอบรมแทนค่าปรับอีก ๖ เดือน นับแต่วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๒ โดย
จำ� เลยเขา้ เรยี นโปรแกรมบำ� บดั พืน้ ฐาน ๑๖ คาบ จนครบ ขณะฝกึ อบรมจ�ำเลยมคี วามประพฤตดิ ี
ตั้งใจรับการฝึกอบรม มีผลการประเมินการฝึกอบรมก้าวหน้า มีความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับ
มอบหมายให้ปฏิบัติให้ความเคารพและเช่ือฟังเจ้าหน้าที่ ไม่เคยฝ่าฝืนกฎระเบียบวินัย ปัจจุบัน
จำ� เลยไดร้ บั อนญุ าตจากผอู้ ำ� นวยการศนู ยฝ์ กึ และอบรมเดก็ และเยาวชนเขต ๕ จงั หวดั อบุ ลราชธานี
ให้ออกไปฝึกงานภายนอก ที่ร้านพรค�ำผัดวัสดุก่อสร้าง เพ่ือเรียนรู้และฝึกทักษะการประกอบ
อาชีพพนักงานโรงงานผลิตอิฐแดง ควบคู่กับการศึกษาต่อเนื่องในระดับ กศน. ให้จบชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลาย ศนู ยฝ์ ึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต ๕ จังหวดั อุบลราชธานี พจิ ารณา
แลว้ เหน็ วา่ จำ� เลยมผี ลการฝกึ อบรมก้าวหน้า มกี ารพฒั นาตนเองท้ังทางด้านพฤติกรรม ทัศนคติ
และการแสดงออกอย่างเหมาะสม ปฏิบัติตนให้อยู่ในกฎระเบียบวินัย อีกท้ังจ�ำเลยมีแผนอันน่า
เชื่อถือว่าจะศึกษาต่อและประกอบอาชีพอันเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของจ�ำเลย จึงเห็นสมควร
เสนอศาลขอปล่อยจ�ำเลยไปก่อนครบก�ำหนดระยะเวลาฝึกอบรมแทนค่าปรับอีก ๓ เดือน โดย
วางเง่ือนไขเพื่อคุมความประพฤติจ�ำเลยไว้ด้วยตามหนังสือของผู้อ�ำนวยการศูนย์ฝึกและอบรม
188
เด็กและเยาวชนเขต ๕ จงั หวัดอบุ ลราชธานี เร่อื ง ขอปลอ่ ยก่อนก�ำหนดค่าปรับ ฉบบั ลงวนั ที่ ๑๖
กนั ยายน ๒๕๖๒ ในวนั นดั พิจารณา จ�ำเลยแถลงตอ่ ศาลวา่ จ�ำเลยรู้สำ� นึกในการกระทำ� ของตน
จะประพฤติตนเป็นคนดี ไม่กระท�ำความผดิ อกี และจะปฏบิ ตั ติ ามเงือ่ นไขของศาลอย่างเคร่งครัด
และผู้ปกครองแถลงต่อศาลว่า มีความประสงค์จะรับจ�ำเลยไปดูแลอย่างใกล้ชิด และจะไม่ให้
จ�ำเลยกระทำ� ความผดิ ซ�ำ้ อกี
ศาลชั้นต้นมีค�ำสั่งให้ปล่อยจ�ำเลยไปก่อนครบก�ำหนดระยะเวลาฝึกอบรมแทนค่าปรับ
ให้คุมความประพฤติจ�ำเลยไว้ภายในระยะเวลา ๑ ปี โดยให้จ�ำเลยรายงานตัวต่อพนักงาน
คุมประพฤติจงั หวัดอำ� นาจเจรญิ ทกุ ๔ เดือนต่อครัง้ ใหเ้ ชื่อฟังผปู้ กครอง ต้ังใจศกึ ษาเล่าเรยี น
หรือท�ำงานเป็นกิจจะลักษณะ ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษ ห้ามประพฤติตัวไม่เหมาะสม
ห้ามคบหาสมาคมกับบุคคลที่มีความประพฤติไม่เหมาะสม ห้ามออกนอกบ้านในเวลากลางคืน
เวน้ แตม่ เี หตจุ ำ� เปน็ ตามพระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและ
ครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๑๔๓ (ทถ่ี กู ประกอบมาตรา ๑๔๐ และ ๑๓๘
วรรคสอง โดยไม่ตอ้ งปรับบทมาตรา ๑๔๓)
โจทกอ์ ุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหา
ข้อกฎหมายท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นมีอ�ำนาจปล่อยจ�ำเลยไปก่อน
ครบก�ำหนดระยะเวลาฝึกอบรมแทนค่าปรับหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชน
และครอบครวั และวิธพี ิจารณาคดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๗ วรรคหนง่ึ
บัญญัติว่า “เมื่อได้มีค�ำพิพากษาหรือค�ำส่ังให้ลงโทษหรือใช้วิธีการส�ำหรับเด็กและเยาวชนแล้ว
และต่อมาความปรากฏต่อศาลเอง หรือปรากฏจากรายงานของผู้อ�ำนวยการสถานพินิจ หรือ
ผู้ดูแลหรือผู้ปกครองสถานที่ท่ีก�ำหนดไว้ในหมวด ๔ หรือปรากฏจากค�ำร้องของบิดา มารดา
ผู้ปกครองหรือบุคคลซ่ึงเด็กหรือเยาวชนอาศัยอยู่ด้วยหรือสถานที่ท่ีก�ำหนดไว้ในหมวด ๔
ว่าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ตามมาตรา ๑๑๕ หรือมาตรา ๑๑๙ ได้เปล่ียนแปลงไปจากเดิม
ถ้าศาลท่ีมีอ�ำนาจพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวซึ่งพิพากษาหรือมีค�ำสั่งหรือซึ่งมีเขต
อ�ำนาจในท้องท่ีที่เด็กหรือเยาวชนนั้นก�ำลังรับโทษหรือถูกควบคุมตัวอยู่เห็นว่ามีเหตุอันสมควร
ก็ให้มีอ�ำนาจแก้ไขเปล่ียนแปลงค�ำพิพากษาหรือค�ำสั่งเกี่ยวกับการลงโทษหรือวิธีการส�ำหรับ
เดก็ และเยาวชนได.้ ..” คดนี ศ้ี าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษจ�ำเลย จ�ำคกุ ๑ ปี ๑ เดือน ๑๕ วนั และ
ปรับ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ให้เปล่ยี นโทษจ�ำคกุ เป็นการสง่ ตัวจำ� เลยไปควบคุมเพือ่ ฝกึ อบรมทีศ่ ูนยฝ์ ึก
189
และอบรมเดก็ และเยาวชนเขต ๕ จงั หวัดอุบลราชธานี มกี �ำหนด ๑ ปี นับแต่วันมีคำ� พิพากษา
ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๒ (๑) หากจ�ำเลยไม่ช�ำระค่าปรับให้ส่งตัวจ�ำเลยไปควบคุมเพ่ือฝึก
อบรมต่อเป็นเวลา ๖ เดือน ตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี
เยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง อันเป็นการใชว้ ิธีการส�ำหรบั เดก็
และเยาวชนแก่จ�ำเลย จ�ำเลยได้รับการฝึกอบรมครบตามระยะเวลาที่ศาลช้ันต้นก�ำหนดแล้ว
ขณะอย่รู ะหว่างการฝึกอบรมแทนคา่ ปรบั ผู้อำ� นวยการศนู ยฝ์ กึ และอบรมเด็กและเยาวชนเขต ๕
จงั หวดั อบุ ลราชธานี รายงานวา่ จำ� เลยมผี ลการฝกึ อบรมกา้ วหนา้ มกี ารพฒั นาตนเองทง้ั ทางดา้ น
พฤติกรรม ทัศนคติ และการแสดงออกอยา่ งเหมาะสม ปฏบิ ตั ิตนให้อยู่ในกฎระเบียบวนิ ัย อีกทั้ง
จำ� เลยมแี ผนอนั นา่ เชอ่ื ถอื วา่ จะศกึ ษาตอ่ และประกอบอาชพี อนั เปน็ ประโยชนต์ อ่ อนาคตของจ�ำเลย
ขอใหป้ ลอ่ ยจำ� เลยไปกอ่ นครบกำ� หนดระยะเวลาฝกึ อบรมแทนคา่ ปรบั อกี ๓ เดอื น โดยวางเงอ่ื นไข
เพ่ือคุมความประพฤติจ�ำเลยไว้ด้วย จึงเป็นกรณีท่ีความปรากฏต่อศาลชั้นต้นว่าข้อเท็จจริงหรือ
พฤตกิ ารณต์ ามมาตรา ๑๑๙ ไดเ้ ปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ ศาลชน้ั ตน้ ยอ่ มมอี ำ� นาจแกไ้ ขเปลยี่ นแปลง
ค�ำพิพากษาหรือค�ำส่ังท่ีให้ใช้วิธีการส�ำหรับเด็กและเยาวชนน้ันด้วยการปล่อยจ�ำเลยไปก่อน
ครบก�ำหนดระยะเวลาฝึกอบรมแทนค่าปรับตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและ
วธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๓๗ วรรคหนงึ่ ประกอบมาตรา ๑๔๐
และ ๑๓๘ วรรคสอง คำ� ส่ังศาลช้ันต้นดงั กลา่ วชอบแล้ว อทุ ธรณข์ องโจทกฟ์ งั ไม่ขึ้น
พพิ ากษายนื .
(ทวปี บตุ ตะโยธี - อมรรัตน์ กรยิ าผล - ประวิทย์ อิทธชิ ัยวฒั นา)
ณศิ รา กิจคณาศริ ิ - ย่อ
แก้วตา เทพมาลี - ตรวจ
190