กบั ใหจ้ ำ� เลยแบง่ เงนิ สนิ สมรส ๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท แกโ่ จทก์ และใหจ้ ำ� เลยแบง่ เงนิ รายไดค้ า่ เชา่ ทด่ี นิ
สนิ สมรสแกโ่ จทกก์ ง่ึ หนงึ่ นบั ถดั จากเดอื นสงิ หาคม ๒๕๕๘ เปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะสนิ้ อายสุ ญั ญาเชา่
หรือจนกวา่ จะเลิกการเช่าหรอื เลิกการให้เช่า
จำ� เลยใหก้ ารขอใหย้ กฟอ้ งและฟอ้ งแยง้ ขอใหบ้ งั คบั โจทกแ์ บง่ เงนิ ทไ่ี ดจ้ ากการขายทด่ี นิ
สนิ สมรสแกจ่ ำ� เลยเปน็ เงนิ ๘,๑๘๕,๐๐๐ บาท เมอื่ หกั กลบลบหนก้ี นั กบั เงนิ คา่ เชา่ ทโ่ี จทกเ์ รยี กรอ้ ง
ขอแบ่งสินสมรสจากจ�ำเลยจ�ำนวน ๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท แล้วให้โจทก์แบ่งเงินจากการขายที่ดิน
สนิ สมรสเปน็ เงนิ ๔,๕๘๕,๐๐๐ บาท แกจ่ �ำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟอ้ งแย้งขอให้ยกฟอ้ งแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จ�ำเลยจดทะเบียนใส่ช่ือโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในท่ีดิน
โฉนดเลขที่ ๖๑๒๖๗ ต�ำบลลาดพรา้ ว อำ� เภอบางกะปิ จงั หวดั นครหลวงกรงุ เทพธนบรุ ี กับท่ีดนิ
โฉนดเลขท่ี ๑๕๒๖๘, ๑๕๒๖๙, ๑๕๒๗๐ และ ๑๕๒๗๑ ตำ� บลลาดพรา้ ว อำ� เภอลาดพรา้ ว จงั หวดั
กรุงเทพมหานคร หากจ�ำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาค�ำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย
ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ค�ำขออื่นนอกจากน้ีให้ยก ยกฟ้องแย้งของจ�ำเลย ค่าฤชาธรรมเนียม
ในสว่ นฟอ้ งแย้งให้เปน็ พับ
จ�ำเลยอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
ท่ีคู่ความไม่โต้แย้งรับฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์กับจ�ำเลยจดทะเบียนสมรสกันเม่ือวันท่ี ๑๒
กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖ ตามใบส�ำคัญการสมรส ต่อมาวันท่ี ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ นาง บ. ท�ำ
สัญญาให้ที่ดินโฉนดเลขท่ี ๖๑๒๖๖ และเลขที่ ๖๑๒๖๗ ต�ำบลลาดพร้าว อ�ำเภอบางกะปิ
จังหวัดนครหลวงกรุงเทพธนบุรี แก่จ�ำเลยโดยเสน่หา หลังจากนั้นที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๒๖๖
ถูกเวนคืนหมดท้ังแปลง ส่วนท่ีดินโฉนดเลขที่ ๖๑๒๖๗ ถูกเวนคืนไปบางส่วน คงเหลือเน้ือที่
๖ ไร่ ๓ งาน ๔๗ ตารางวา และมีการแบ่งแยกออกเป็นท่ีดินแปลงย่อยอีก ๔ แปลง คือท่ีดิน
โฉนดเลขที่ ๑๕๒๖๘, ๑๕๒๖๙, ๑๕๒๗๐ และ ๑๕๒๗๑ ตำ� บลลาดพรา้ ว อำ� เภอลาดพรา้ ว จงั หวดั
กรุงเทพมหานคร รวมกบั ที่ดนิ แปลงคงเหลือเปน็ ๕ แปลง คอื ที่ดนิ พิพาท
คดมี ปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำ� เลยวา่ ทด่ี นิ พพิ าทเปน็ สนิ สว่ นตวั ของจำ� เลย
หรือไม่ และโจทก์มีสิทธิขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในโฉนดท่ีดินพิพาทหรือไม่ โดยจ�ำเลย
อุทธรณ์ว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม มาตรา ๑๔๖๖ ไม่ใช่กฎหมาย
เกย่ี วกับความสงบเรียบร้อยและศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน บุคคลทเ่ี ป็นเจ้าของทรพั ย์สินมสี ทิ ธิ
41
ทำ� นติ กิ รรมหรอื สญั ญาใด ๆ ทไ่ี มข่ ดั ตอ่ กฎหมายได้ และหากมกี ฎหมายบญั ญตั ไิ วเ้ จา้ ของทรพั ยส์ นิ
ก็มีสิทธิท�ำนิติกรรมหรือสัญญายกเว้นข้อกฎหมายได้ อีกท้ังการที่ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณชิ ย์ บรรพ ๕ เดมิ มาตรา ๑๔๖๖ วรรคสอง บัญญตั ิวา่ ถา้ กรณเี ปน็ ท่สี งสยั ว่าทรัพย์สนิ อยา่ งหนึ่ง
เป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส จึงเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่ากฎหมาย
ไม่ได้ห้ามมิให้จ�ำเลยพิสูจน์ว่าท่ีดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวแต่ประการใด ซ่ึงจ�ำเลยได้น�ำสืบพยาน
หลักฐานไว้แล้วว่า นาง บ. ยกที่ดินพิพาทให้แก่จ�ำเลยโดยเสน่หาและนาง บ. มีเจตนาให้ท่ีดิน
พิพาทเป็นสินส่วนตัวของจ�ำเลยนั้น เห็นว่า นาง บ. ยกที่ดินพิพาทให้แก่จ�ำเลยโดยเสน่หาขณะท่ี
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม ยงั มีผลใช้บังคบั ดังน้ัน หากนาง บ. มีเจตนา
ยกท่ดี นิ พพิ าทใหเ้ ปน็ สินสว่ นตวั ของจ�ำเลย นาง บ. จะต้องแสดงให้ปรากฏในหนงั สอื ยกใหต้ าม
มาตรา ๑๔๖๔ (๓) แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ ๕ เดมิ ซง่ึ บญั ญตั วิ า่ สนิ สว่ นตวั
ได้แก่...(๓) ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงได้มาระหว่างเป็นสามีภริยาโดยทางพินัยกรรม หรือยก
ให้โดยเสน่หา เมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้นั้นได้แสดงไว้ให้เป็นสินส่วนตัว... การที่นาง บ.
มิได้แสดงให้ปรากฏว่ามีเจตนายกที่ดนิ พิพาทให้เป็นสินสว่ นตัวของจ�ำเลยในหนังสอื ยกให้ย่อมมี
ผลท�ำให้ที่ดินพพิ าทตกเป็นสินสมรสระหวา่ งโจทก์กบั จ�ำเลยตามมาตรา ๑๔๖๖ วรรคหนง่ึ แหง่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดมิ ส่วนทมี่ าตรา ๑๔๖๖ วรรคสอง แหง่ ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดมิ บญั ญตั ิวา่ ถา้ กรณีเปน็ ทส่ี งสยั ว่า ทรพั ย์สินอยา่ งหนงึ่
เป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสนั้น เป็นข้อสันนิษฐานส�ำหรับ
ทรัพย์สินท่ีคู่สมรสมีหรือได้มาโดยทางอื่นที่มิใช่โดยทางพินัยกรรมหรือยกให้โดยเสน่หา ซ่ึงจะ
ต้องพิจารณาข้อความในพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ว่าผู้ท�ำพินัยกรรมหรือผู้ให้ได้แสดงเจตนา
ให้เป็นสินส่วนตัวของผู้รับพินัยกรรมหรือผู้รับการให้หรือไม่ จึงไม่อาจใช้ข้อสันนิษฐานตามบท
กฎหมายมาตราน้ีเป็นข้อสันนิษฐานส�ำหรับท่ีดินพิพาทซ่ึงจ�ำเลยได้มาโดยการรับการให้โดย
เสน่หาจากนาง บ. เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจ�ำเลย
โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้ลงช่ือตนเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินพิพาทได้ตามมาตรา ๑๔๗๕ แห่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ปจั จบุ ัน ค�ำพิพากษาศาลชั้นตน้ ชอบแลว้ อุทธรณ์
ของจ�ำเลยฟังไม่ขนึ้
42
พพิ ากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในช้ันอุทธรณ์ให้เป็นพบั .
(อินทิรา ฉวิ รมั ย์ - ชนากานต์ ธรี เวชพลกุล - ชารยี า เด่นนินนาท)
มณฑาทิพย์ ต้ังวิชาชาญ - ยอ่
นรินทร์ ทองคำ� ใส - ตรวจ
43
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นัญพเิ ศษท่ี ๖๙๐/๒๕๖๓ นาง ป. โจทก์
นาย ส. กบั พวก จ�ำเลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๖, ๑๔๘๐
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๒ (๕), ๑๔๕
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทซ่ึงเป็นสินสมรสระหว่าง
โจทก์กับจําเลยท่ี ๑ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ โดยโจทก์ทราบอยู่แล้วก่อน
ฟ้องว่า จําเลยที่ ๑ จดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทแก่จําเลยที่ ๒ ต่อมาจําเลยท่ี ๒ ขายท่ีดิน
พิพาทให้แกน่ าง ศ. บคุ คลภายนอก แต่โจทกฟ์ ้องเพยี งจําเลยท้งั สองใหเ้ พิกถอนนติ กิ รรม
การโอนทีด่ ินพพิ าทโดยไมเ่ รียกนาง ศ. เข้ามาเปน็ คคู่ วามในคดี ทง้ั ทนี่ าง ศ. เปน็ ผู้โต้แยง้
สิทธิโจทก์ด้วย จึงเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของนาง ศ. ซ่ึงเป็นบุคคล
ภายนอกคดี ย่อมต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕ ปัญหาเกี่ยวกับอํานาจฟ้องเป็น
ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอํานาจหยิบยกข้ึน
วินจิ ฉยั ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕)
____________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้อง ขอให้พิพากษาเพิกถอนนิติกรรมการให้ท่ีดินโฉนดเลขที่
๒๖๓๙๒, ๒๖๓๙๓ และ ๒๗๑๕๔ จงั หวดั พจิ ิตร ในส่วนของโจทกใ์ ห้จำ� เลยทง้ั สองไปจดทะเบียน
โอนท่ีดินท้ังสามแปลงดังกล่าวให้กลับเป็นสินสมรส หากจ�ำเลยท้ังสองไม่ไปจดทะเบียนโอนให้
ถอื เอาคำ� พพิ ากษาแทนการแสดงเจตนาของจำ� เลยทง้ั สอง หากไมส่ ามารถโอนทด่ี นิ ทง้ั สามแปลง
ดงั กลา่ วใหก้ ลบั คนื ไปเปน็ สนิ สมรสได้ ใหจ้ ำ� เลยทงั้ สองรว่ มกนั ชำ� ระราคาใหแ้ กโ่ จทก์ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
จ�ำเลยทง้ั สองใหก้ าร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชน้ั ต้นพิพากษายกฟ้อง คา่ ฤชาธรรมเนยี มให้เปน็ พับ
โจทกอ์ ทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
รับฟังเป็นท่ียุติในเบื้องต้นว่า โจทก์กับจ�ำเลยท่ี ๑ เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย อยู่กินกัน
ต้ังแต่ปี ๒๕๑๙ และจดทะเบียนสมรสเมื่อวันท่ี ๑๙ กันยายน ๒๕๒๗ มีบุตรด้วยกัน ๒ คน
44
คอื จ�ำเลยท่ี ๒ และนาย ส. ระหว่างโจทกก์ ับจ�ำเลยท่ี ๑ อยู่กินเป็นสามภี รยิ ากนั มที รัพย์สินคอื
ที่ดิน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๗๗๑, ๗๗๐ และ ๗๖๙ จังหวัดพิจิตร ซึ่งต่อมาออกเป็นโฉนดที่ดินเลขท่ี
๒๖๓๙๒, ๒๖๓๙๓ และ ๒๗๑๕๔ จังหวัดพิจิตร ท่ีดินท้ังสามแปลงมีชื่อจ�ำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือ
กรรมสิทธ์ิ เมอื่ วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ จ�ำเลยท่ี ๑ จดทะเบียนให้ทด่ี ินโฉนดเลขที่ ๒๖๓๙๒,
๒๖๓๙๓ และ ๒๗๑๕๔ แก่จ�ำเลยที่ ๒ ตอ่ มาวนั ที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๑ จำ� เลยที่ ๒ ขายท่ดี ิน
ทั้งสามแปลงดังกล่าวให้แก่นาง ศ. ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษเห็นควรหยิบยกปัญหาเร่ือง
อ�ำนาจฟ้องข้ึนวินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน
ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า จ�ำเลยท่ี ๑ จดทะเบียนให้ท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๒๖๓๙๒, ๒๖๓๙๓ และ
๒๗๑๕๔ แก่จ�ำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ หลังจากน้ันวันท่ี ๑๑ เมษายน
๒๕๖๑ จำ� เลยที่ ๒ ขายทดี่ ินทง้ั สามแปลงข้างต้นให้แก่นาง ศ. ดังน้นั ก่อนฟ้องคดีนีโ้ จทก์ทราบ
อยู่แล้วว่า จ�ำเลยท่ี ๒ และนาง ศ. ท�ำนิติกรรมจดทะเบียนซ้ือขายท่ีดินพิพาทท้ังสามแปลง
ตามฟ้อง ผู้โต้แย้งสิทธิและผู้ท�ำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องนอกจากจ�ำเลยท้ังสองแล้ว
ยังมนี าง ศ. แต่โจทกฟ์ ้องเพยี งจำ� เลยทง้ั สองเท่าน้นั มิไดฟ้ ้องหรือเรยี กนาง ศ. เขา้ มาเปน็ คู่ความ
ในคดีด้วย โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนท่ีดินโฉนดเลขที่ ๒๖๓๙๒, ๒๖๓๙๓ และ
๒๗๑๕๔ โดยใหจ้ ดทะเบยี นโอนทดี่ นิ กลบั มาเปน็ สนิ สมรสนนั้ เปน็ การขอใหศ้ าลพพิ ากษากระทบ
ถึงสิทธิของนาง ศ. ซ่ึงเป็นบุคคลภายนอกมิใช่คู่ความในคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๒ โจทก์มิอาจฟ้อง
บังคับได้ ปัญหาเก่ียวกับอ�ำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเก่ียวด้วยความสงบเรียบร้อยของ
ประชาชน แม้คู่ความมิได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษก็มีอ�ำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๘๒
และกรณไี ม่จ�ำตอ้ งวินิจฉัยอทุ ธรณข์ องโจทกอ์ กี ต่อไป เพราะไมท่ ำ� ใหผ้ ลคดเี ปลยี่ นแปลงท่ศี าลช้ันตน้
พิพากษายกฟอ้ ง ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพเิ ศษเหน็ พ้องด้วยในผล อุทธรณข์ องโจทก์ฟงั ไมข่ น้ึ
พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มชนั้ อทุ ธรณ์ให้เปน็ พบั .
(เผดิม เพช็ รกลู - ชารียา เด่นนนิ นาท - อินทิรา ฉิวรมั ย)์
ฉนั ทนา ชมพานชิ ย์ - ย่อ
แก้วตา เทพมาลี - ตรวจ
45
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดีชำ� นญั พิเศษที่ ๗๐๒-๗๐๓/๒๕๖๓ นาย อ. โจทก์
นาง ส. จ�ำเลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๘๙, ๑๔๙๐
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๒
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖
จ�ำเลยให้การโดยจ�ำเลยมิได้ขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่าหน้ีท่ีจ�ำเลยกู้จาก
สหกรณ์ฯ น้ันเป็นหนี้ร่วมที่โจทก์กับจ�ำเลยจะต้องร่วมกันรับผิดคนละก่ึงหน่ึงหรือขอ
ให้แบ่งหุ้นสหกรณ์ฯ อันเป็นสินสมรสโดยให้หักใช้หน้ีเงินกู้ดังกล่าวก่อน การที่ศาลช้ันต้น
พิพากษาให้แบ่งหุ้นสหกรณ์ฯ อนั เป็นสนิ สมรสโดยหักชำ� ระหนที้ ี่จ�ำเลยมีอยู่แก่สหกรณฯ์
กอ่ นจงึ เปน็ การพพิ ากษาเกนิ ไปกวา่ ทปี่ รากฏในคำ� ใหก้ ารและจำ� เลยไมไ่ ดฟ้ อ้ งแยง้ เขา้ มา
ซ่ึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัว
และวธิ ีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖
การทสี่ ามภี ริยารบั ผดิ ในหนี้ร่วมตอ่ กนั ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๘๙ และมาตรา
๑๔๙๐ น้ัน จะต้องรับผิดต่อเมื่อสามีหรือภริยาช�ำระหนี้ร่วมให้แก่เจ้าหน้ีไปแล้ว หาก
ฝ่ายที่ช�ำระหนี้ร่วมให้แก่เจ้าหนี้ไปเกินส่วนที่ตนได้สินสมรสไปเท่าใดก็มีสิทธิเรียกร้อง
อีกฝ่ายหนึ่งชดใช้ให้ มิใช่ว่าหากสามีหรือภริยาหย่าและแบ่งสินสมรสแล้วจะต้องน�ำหน้ี
ร่วมมาหักออกจากสินสมรสให้ฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเก็บรักษาไว้เพ่ือช�ำระหน้ีแก่เจ้าหน้ีก่อน
แล้วจึงจะแบ่งสินสมรสส่วนท่ีเหลือกัน เพราะหากไม่น�ำเงินที่หักไว้ไปช�ำระให้แก่เจ้าหนี้
เจา้ หนีอ้ าจเรยี กให้อกี ฝา่ ยรับผดิ ช�ำระหนี้เงินกู้เต็มจำ� นวนไดอ้ ยู่
______________________________
ส�ำนวนแรกโจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้อง ขอให้บังคับจ�ำเลยลงช่ือโจทก์ในทะเบียน
ท่ดี นิ โฉนดเลขที่ ๔๔๘๑๑ และ ๔๔๘๑๒ ต�ำบลบางเลน อ�ำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และ
หอ้ งชุดเลขท่ี ๕๘๕/๖๕ อาคารเลขที่ A ชน้ั ที่ ๖ อาคารชุด ซ. เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร
เพ่ือเป็นเจ้าของในโฉนดที่ดินและห้องชุดดังกล่าวร่วมกับจ�ำเลย หากจ�ำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือ
46
เอาค�ำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจ�ำเลย และให้จ�ำเลยช�ำระเงิน ๕๐๔,๑๗๒.๔๙ บาท
พรอ้ มดอกเบย้ี อตั ราร้อยละ ๗.๕ ตอ่ ปี นับแต่วนั ฟ้องเป็นต้นไปจนกวา่ จะชำ� ระเสร็จ
จำ� เลยใหก้ ารและฟอ้ งแยง้ ขอใหย้ กฟอ้ งและพพิ ากษาใหโ้ จทกเ์ ปน็ ลกู หนรี้ ว่ มกบั จำ� เลย
ก่ึงหน่ึงตามสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนางสาว อ. กับจ�ำเลย ฉบับลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๙
และตามสญั ญากยู้ มื ระหวา่ งนาย น. กบั จำ� เลย ฉบบั ลงวนั ท่ี ๒๔ ตลุ าคม ๒๕๕๒ บงั คบั โจทกช์ ำ� ระ
เงนิ ใหแ้ กจ่ �ำเลย ๑,๔๑๖,๓๐๘ บาท ใหโ้ จทกไ์ ปจดทะเบยี นถอนชอ่ื โจทกอ์ อกจากโฉนดทดี่ นิ เลขท่ี
๕๓๐๕๘ และ ๕๓๐๕๙ ตำ� บลบางรักใหญ่ อ�ำเภอบางบัวทอง จงั หวัดนนทบรุ ี และให้ขบั ไล่โจทก์
ออกจากทีด่ ินทง้ั สองแปลงดังกล่าว
โจทกใ์ ห้การแกฟ้ อ้ งแยง้ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
สำ� นวนหลงั โจทกฟ์ อ้ ง ขอใหพ้ พิ ากษาใหจ้ ำ� เลยแบง่ สนิ สมรสใหแ้ กโ่ จทก์ ๒,๖๒๐,๐๑๓.๕๐ บาท
จำ� เลยใหก้ าร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งท่ีดินโฉนดเลขที่ ๔๔๘๑๑ และ ๔๔๘๑๒ ต�ำบล
บางเลน อ�ำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และท่ีดินโฉนดเลขที่ ๕๓๐๕๘ และ ๕๓๐๕๙ ต�ำบล
บางรักใหญ่ อ�ำเภอบางบวั ทอง จังหวัดนนทบรุ ี แกโ่ จทก์จ�ำเลยคนละกง่ึ หนง่ึ ให้แบ่งหนุ้ สหกรณ์
ออมทรัพย์ ก. ของโจทก์ให้แก่จ�ำเลยก่ึงหน่ึง และของจ�ำเลยให้แก่โจทก์กึ่งหน่ึง เม่ือโจทก์กับ
จ�ำเลยได้รับเงินค่าหุ้นนี้หลังจากหักช�ำระหนี้สหกรณ์ฯ แล้ว และให้โจทก์กับจ�ำเลยร่วมกัน
รับผดิ อยา่ งลูกหนีร้ ่วมตามหนงั สือสัญญากูย้ มื เงนิ ฉบับลงวนั ท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ และสญั ญา
ประนีประนอมหนี้ระหว่างนาย น. ผู้ให้กู้ กับนาง ส. ผู้กู้ ฉบับลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒
(ท่ีถูก ๒๕๖๐) ค�ำขออื่นตามฟ้องและฟ้องแย้งนอกจากน้ีให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมตามฟ้องและ
ฟอ้ งแยง้ ให้เปน็ พบั
โจทกอ์ ุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
ที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า โจทก์กับจ�ำเลยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย
จดทะเบียนสมรสครั้งแรกเม่ือวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๒๒ จดทะเบียนหย่ากันเม่ือวันท่ี ๑๑
มกราคม ๒๕๒๗ จดทะเบียนสมรสครง้ั ท่ีสองเมอื่ วันที่ ๘ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๒๘ จดทะเบียนหย่ากัน
อกี ครง้ั เม่อื วนั ท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๓๓ แลว้ จดทะเบยี นสมรสครั้งท่สี ามเมอื่ วนั ที่ ๑๒ พฤศจิกายน
๒๕๓๖ ตอ่ มาวนั ที่ ๕ สงิ หาคม ๒๕๕๙ จำ� เลยฟอ้ งหยา่ โจทก์ ศาลอทุ ธรณค์ ดชี าํ นญั พเิ ศษพพิ ากษายนื
ตามค�ำพิพากษาศาลชั้นต้นท่ีให้โจทก์กับจ�ำเลยหย่าขาดจากกัน โจทก์ย่ืนค�ำร้องขออนุญาตฎีกา
47
แตศ่ าลฎกี ามคี ำ� สงั่ ไมอ่ นญุ าตใหฎ้ กี า จำ� เลยไดน้ ำ� สำ� เนาคำ� พพิ ากษาทถ่ี งึ ทสี่ ดุ ไปจดทะเบยี นหยา่
แล้วเม่ือวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๒ ท่ีดินโฉนดเลขท่ี ๔๔๘๑๑ และ ๔๔๘๑๒ ต�ำบลบางเลน
อ�ำเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม และท่ดี ินโฉนดเลขที่ ๕๓๐๕๘ และ ๕๓๐๕๙ ตำ� บลบางรกั ใหญ่
อำ� เภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบรุ ี กบั หอ้ งชุดเลขท่ี ๕๘๕/๖๕ อาคารเลขที่ A ชั้นท่ี ๖ อาคาร
ชุด ซ. เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ย่ีห้อโตโยต้าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ
จำ� เลย โจทก์และจำ� เลยตา่ งมหี นุ้ ในสหกรณ์ออมทรัพย์ ก.
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการแรกว่า การกู้ยืมเงินระหว่างจ�ำเลย
กบั นางสาว อ. เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันจริงหรือไม่ เหน็ วา่ โจทก์เบิกความยอมรบั วา่
โจทกแ์ ละจำ� เลยซอ้ื หอ้ งชดุ เลขที่ ๕๘๕/๖๕ อาคารเลขที่ A ช้นั ท่ี ๖ อาคารชุด ซ. เม่อื วันที่ ๓๐
มีนาคม ๒๕๕๓ โดยใส่ชื่อจ�ำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธ์ิแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาวันท่ี ๑๓ มิถุนายน
๒๕๕๙ จำ� เลยไถถ่ อนจำ� นองจากธนาคาร และจำ� เลยเบกิ ความวา่ สญั ญากยู้ มื เงนิ รวม ๔ ฉบบั นน้ั
เมื่อรวมยอดเงินกู้จะเท่ากับยอดเงินกู้ของจ�ำเลยในคดีส�ำนวนแรก เม่ือพิจารณาสัญญากู้ยืมเงิน
ระหวา่ งจำ� เลยกบั นางสาว อ. รวม ๔ ฉบบั คอื ฉบบั ลงวนั ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๙ วนั ท่ี ๒๓ เมษายน
๒๕๕๙ วนั ท่ี ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๙ รวมยอดเงนิ ตามสญั ญา
ก้ยู ืมเงนิ ทั้ง ๔ ฉบบั จะเท่ากบั จำ� นวนเงินตามสัญญากู้ยมื เงนิ ฉบับลงวนั ที่ ๑๗ มถิ นุ ายน ๒๕๕๙
ของจ�ำเลยในคดีส�ำนวนแรก จึงหาใช่เป็นกรณีที่ผิดหลักความจริงท่ีผู้ให้กู้ได้ให้เงินกู้ผู้กู้จ�ำนวน
สูงมากไปช�ำระหน้ีก่อนที่จะมาท�ำสัญญากู้ เป็นการไถ่ถอนก่อนมีการกู้ยืมเงิน ขัดแย้งกับความ
เป็นจรงิ ดังท่ีโจทก์กล่าวอ้างไม่ ทีโ่ จทก์อ้างวา่ จ�ำเลยกบั นางสาว อ. สร้างหลักฐานสญั ญากู้ยืมเงิน
ทั้งสี่ฉบับข้ึนมาใหม่เพ่ือให้เห็นว่ามีหน้ีอยู่ก่อนวันไถ่ถอนจ�ำนองเพ่ือให้โจทก์ร่วมรับผิดกับจ�ำเลย
เอกสารดงั กล่าวรบั ฟังไมไ่ ดน้ นั้ เหน็ ว่า โจทก์กล่าวอา้ งลอย ๆ การท่ีจ�ำเลยน�ำสืบสัญญากู้ยืมเงนิ
ท้ังสี่ฉบับดังกล่าวเป็นการน�ำสืบถึงท่ีมาของสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๙
จ�ำนวนเงิน ๑,๙๔๕,๐๐๐ บาท จึงย่อมน�ำสืบได้ และข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในการซื้อห้องชุด
เลขที่ ๕๘๕/๖๕ อาคารเลขท่ี A ชั้นท่ี ๖ อาคารชดุ ซ. ซง่ึ เปน็ สนิ สมรสระหวา่ งโจทกก์ บั จำ� เลยนน้ั
น่าเชื่อว่าโจทก์ยอมให้จ�ำเลยเป็นคนด�ำเนินการซ้ือและท�ำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคาร รวมท้ัง
กู้ยืมเงินจากนางสาว อ. การกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ด้วย ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าการ
กู้ยืมเงินระหว่างจ�ำเลยกับนางสาว อ. เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันดังท่ีโจทก์อุทธรณ์
อุทธรณ์ข้อนข้ี องโจทก์ฟงั ไม่ขน้ึ
48
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปว่า เงินสะสมท่ีจ�ำเลยมีอยู่
ในสหกรณ์ออมทรพั ย์ ก. ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท จะตอ้ งหักชำ� ระหน้ีที่จ�ำเลยมีอย่แู ก่สหกรณฯ์ ก่อน
ดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า จ�ำเลยให้การเพียงว่าจ�ำเลยกู้ยืมเงินจากสหกรณ์
ออมทรพั ย์ ก. ๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท จำ� เลยเหลอื เงนิ หนุ้ สหกรณฯ์ เมอื่ หกั ยอดหนแี้ ลว้ เพยี ง ๔๐๐,๐๐๐ บาท
โดยจ�ำเลยมิได้ขอให้ศาลมีค�ำพิพากษาแสดงว่าหนี้ที่จ�ำเลยกู้จากสหกรณ์ฯ นั้นเป็นหน้ีร่วมที่โจทก์
กับจ�ำเลยจะต้องร่วมกันรับผิดคนละกึ่งหนึ่งหรือขอให้แบ่งหุ้นสหกรณ์ฯ อันเป็นสินสมรสโดยให้
หักหน้ีเงินกู้ดังกล่าวก่อน การท่ีศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ ก. อันเป็น
สินสมรสโดยหักช�ำระหน้ีที่จ�ำเลยมีอยู่แก่สหกรณ์ฯ ก่อนจึงเป็นการพิพากษาท่ีให้เกิน
ไปกว่าที่ปรากฏในค�ำให้การและจ�ำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเข้ามาซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ เนื่องจากการท่ีจะให้สามี
ภริยารับผดิ ในหนร้ี ว่ มตอ่ กนั ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘๙ และมาตรา
๑๔๙๐ นั้น จะต้องรับผิดต่อเมื่อสามีหรือภริยาช�ำระหน้ีร่วมให้แก่เจ้าหนี้ไปแล้ว หากฝ่าย
ที่ช�ำระหน้ีร่วมให้แก่เจ้าหน้ีไปเกินส่วนท่ีตนได้สินสมรสไปเท่าใดก็มีสิทธิเรียกร้องอีกฝ่ายหนึ่ง
ชดใช้ให้ มิใช่ว่าหากสามีหรือภริยาหย่าและแบ่งสินสมรสแล้วจะต้องน�ำหน้ีร่วมมาหักออกจาก
สินสมรสให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเก็บรักษาไว้เพ่ือช�ำระหน้ีแก่เจ้าหน้ีก่อนแล้วจึงจะแบ่งสินสมรส
ส่วนท่ีเหลือกัน เพราะหากไม่น�ำเงินที่หักไว้ไปช�ำระให้แก่เจ้าหนี้ เจ้าหน้ีอาจเรียกให้อีกฝ่ายรับผิด
ช�ำระหน้ีเงินกู้เต็มจ�ำนวนได้อยู่ที่ศาลช้ันต้นพิพากษาให้แบ่งหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ ก. ของโจทก์
ใหแ้ กจ่ ำ� เลยกงึ่ หนง่ึ และของจ�ำเลยใหแ้ กโ่ จทกก์ ง่ึ หนงึ่ หลงั จากหกั ชำ� ระหนส้ี หกรณฯ์ กอ่ นจงึ ไมช่ อบ
โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งจากหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ ก. ก่ึงหนึ่งมีผลย้อนหลังไปจนถึงวัน
ฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๒ (ข) และ ๑๕๓๓ อทุ ธรณข์ อ้ น้ี
ของโจทกฟ์ งั ขึน้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประการต่อไปว่า จ�ำเลยจะต้องใช้เงินค่า
ขายรถยนตใ์ ห้แกโ่ จทก์ ๓๒๕,๐๐๐ บาท หรอื ไม่ เห็นวา่ ขอ้ เท็จจริงฟงั ได้วา่ รถยนต์ดังกล่าวเปน็
สินสมรส เมื่อมีการหย่ากันตามค�ำพิพากษาของศาลจ�ำเลยจึงต้องแบ่งรถยนต์ดังกล่าวให้แก่โจทก์
กงึ่ หนง่ึ มผี ลยอ้ นหลงั ไปจนถงึ วนั ฟอ้ งหยา่ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๓๒ (ข)
ทั้งจ�ำเลยก็ไม่ได้น�ำสืบว่าจ�ำเลยน�ำเงินท่ขี ายรถยนตไ์ ปช�ำระหน้ีหรอื ใช้จ่ายในครอบครัวหมดแลว้
จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจ�ำเลยน�ำเงินท่ีขายรถยนต์ไปช�ำระหนี้หรือใช้จ่ายในครอบครัว แม้จ�ำเลย
49
จะขายรถยนต์ไปก็ถือว่าเป็นการจ�ำหน่ายสินสมรสเพ่ือประโยชน์ของจ�ำเลยฝ่ายเดียว เพราะ
โจทก์มิได้มีโอกาสท่ีจะใช้ประโยชน์ด้วย ให้ถือเสมือนว่าทรัพย์สินน้ันยังคงมีอยู่เพื่อจัดการแบ่ง
สนิ สมรสตามมาตรา ๑๕๓๓ และ ๑๕๓๔ จำ� เลยจงึ ตอ้ งแบง่ รถยนตด์ งั กลา่ วตามมลู คา่ ณ วนั ทฟ่ี อ้ งหยา่
แตโ่ จทกก์ ไ็ มไ่ ดน้ ำ� สบื ใหเ้ หน็ ชดั เจนวา่ ณ วนั ทฟ่ี อ้ งหยา่ รถยนตด์ งั กลา่ วมมี ลู คา่ เทา่ ใด จงึ เหน็ ควร
ให้แบง่ ตามราคาท่ีจ�ำเลยขายรถยนต์ได้ ซึง่ จำ� เลยขายรถยนต์ดงั กลา่ วไปเม่ือวันท่ี ๒๐ ธันวาคม
๒๕๖๐ ในราคา ๔๕๕,๐๐๐ บาท จงึ ต้องแบ่งให้แก่โจทกก์ ึง่ หนง่ึ เป็นเงนิ ๒๒๗,๕๐๐ บาท การที่
ศาลชนั้ ตน้ ไมพ่ พิ ากษาใหจ้ ำ� เลยแบง่ เงนิ คา่ ขายรถยนตใ์ หแ้ กโ่ จทกน์ น้ั ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษ
ไม่เห็นพอ้ งด้วย อุทธรณข์ ้อน้ีของโจทกฟ์ งั ขึ้น
มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกป์ ระการตอ่ ไปวา่ การกยู้ มื เงนิ ระหวา่ งจำ� เลย
กับนาย น. มิได้เป็นการกู้ยืมเงินกันจริงแต่เป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันหรือไม่ เห็นว่า
นอกจากสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๑ แล้ว จ�ำเลยยังมีเอกสารสัญญากู้ยืม
เงินฉบบั ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ ซงึ่ จำ� เลยกู้ยืมเงินจากนาย น. มาแสดงต่อศาล โจทก์อา้ ง
ลอย ๆ เพียงว่าจ�ำเลยกับนาย น. เป็นญาติกันไม่เชื่อว่าได้กู้ยืมเงินกันจริง และจ�ำเลยเพียงแต่
มอบโฉนดทีด่ ิน ๔ ฉบบั ให้นาย น. ยึดถือไว้เปน็ ประกันการก้ยู มื เงินโดยไม่ไดจ้ ดทะเบียนจ�ำนองนั้น
เห็นว่า หากจ�ำเลยไม่ได้เป็นหน้ีเงินกู้ยืมต่อนาย น. จ�ำเลยก็ไม่น่าจะท�ำสัญญากู้ยืมเงินไว้ให้
แก่นาย น. เพราะจะเป็นหลักฐานให้นาย น. ฟ้องร้องจ�ำเลยได้ ส่วนการที่จ�ำเลยไม่ได้จดทะเบียน
จ�ำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้น้ัน ก็ไม่ได้ท�ำให้พยานหลักฐานของจ�ำเลยรับฟังไม่ได้ว่าจ�ำเลยไม่ได้
กยู้ มื เงนิ จากนาย น. พยานหลกั ฐานของจำ� เลยมนี ำ�้ หนกั มากกวา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไมไ่ ดว้ า่ จำ� เลย
กับนาย น. แสดงเจตนาลวงโดยสมรกู้ ันดงั ทีโ่ จทกก์ ล่าวอ้าง อุทธรณ์ข้อนข้ี องโจทกฟ์ ังไมข่ น้ึ
มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกป์ ระการสดุ ทา้ ยวา่ จำ� เลยเปน็ หนเ้ี งนิ กยู้ มื โจทก์
๕๐๕,๐๐๐ บาท ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหน่ึงกู้ยืมเงินของตน แต่
ท้ังสองฝ่ายก็ไม่มีสัญญากู้ยืมเงินมาแสดงต่อศาล เป็นเพียงใบรับฝากเงินเข้าบัญชีของจ�ำเลย
เทา่ นน้ั ทศ่ี าลชนั้ ตน้ วนิ จิ ฉยั ว่าโจทกแ์ ละจำ� เลยชว่ ยเหลืออปุ การะเลย้ี งดกู นั อันเปน็ การทำ� หน้าท่ี
ของสามภี รยิ า ไมม่ หี นท้ี จี่ ะตอ้ งชำ� ระตอ่ กนั นนั้ ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษเหน็ พอ้ งดว้ ย อทุ ธรณ์
ของโจทกใ์ นขอ้ น้ฟี ังไมข่ ้นึ เช่นกนั
พิพากษาแก้เป็นว่า การแบ่งหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ ก. ของโจทก์ให้แก่จ�ำเลยก่ึงหนึ่ง
และของจ�ำเลยให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ไม่ต้องหักใช้หนี้เงินกู้สหกรณ์ฯ ก่อน โดยให้แบ่งนับแต่
50
วนั ฟอ้ งหยา่ (ฟอ้ งหยา่ วนั ท่ี ๕ สงิ หาคม ๒๕๕๙) กบั ใหจ้ ำ� เลยแบง่ เงนิ ใหแ้ กโ่ จทก์ ๒๒๗,๕๐๐ บาท
นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามค�ำพิพากษาศาลชน้ั ต้น คา่ ฤชาธรรมเนียมในชนั้ อุทธรณ์ให้เป็นพบั .
(ชนิ วทิ ย์ จนิ ดา แต้มแกว้ - เผดมิ เพช็ รกลู - ชารยี า เดน่ นนิ นาท)
ฉันทนา ชมพานชิ ย์ - ย่อ
พาชนื่ แสงจันทร์เทศ - ตรวจ
51
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษที่ ๑๒๖๘/๒๕๖๓ นาง ส. โจทก์
นาย ส. จำ� เลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึง่ , ๑๓๐๐, ๑๕๓๒ (ก)
โจทก์กับจ�ำเลยหย่ากันโดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย ป.พ.พ. มาตรา
๑๕๓๒ (ก) บัญญัติให้จัดการแบ่งทรัพย์สินของสามีภริยาตามท่ีมีอยู่ในเวลาจดทะเบียน
การหย่า ดงั นั้น ข้อตกลงตามสำ� เนาบันทึกท้ายทะเบยี นการหย่าระหว่างโจทก์กับจ�ำเลย
ท่ีจ�ำเลยยินยอมยกท่ีดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมบ้านเลขท่ี ๑๑๖ ให้เป็นกรรมสิทธ์ิ
ของโจทก์ จึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อ
นายทะเบยี นจดทะเบยี นการหย่าให้แลว้ ถือวา่ ท้งั สองฝ่ายไดจ้ ัดการแบ่งทรพั ยส์ ินพพิ าท
ดังกล่าวกันเรียบร้อยแล้ว ที่ดินพิพาทท้ังสองแปลงพร้อมส่ิงปลูกสร้างบ้านเลขท่ี ๑๑๖
จึงตกเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว การท่ีจ�ำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนที่ดิน
พร้อมส่ิงปลูกสร้างส่วนของตนให้แก่โจทก์ มีผลเพียงท�ำให้การได้มาโดยนิติกรรมซึ่ง
อสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ยังไม่บริบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหน่ึง เท่าน้ัน
และโจทกไ์ ดค้ รอบครองทดี่ นิ พรอ้ มสง่ิ ปลกู สรา้ งพพิ าทเพยี งผเู้ ดยี วตลอดมา เพยี งแตโ่ จทก์
ยังไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันถือได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะ
อันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๐ โจทก์ในฐานะ
เจ้าของท่ีดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างพิพาทย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนและฟ้องขอให้จ�ำเลย
จดทะเบียนโอนกรรมสิทธ์ิที่ดินพิพาทท้ังสองแปลงพร้อมส่ิงปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๑๑๖
แก่โจทก์ในระยะเวลาใดก็ได้ ซึ่งไม่มีก�ำหนดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๓๖
คดีโจทกจ์ ึงไม่ขาดอายุความ
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๘๗๕๙
และ ๘๗๖๑ ต�ำบลปากเพรียว อ�ำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ต�ำบล
ปากเพรียว อ�ำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปด�ำเนินการให้ถือเอา
คำ� พิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำ� เลย
52
จำ� เลยใหก้ ารขอให้ยกฟ้อง
จำ� เลยขาดนดั พิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟอ้ ง คา่ ฤชาธรรมเนยี มให้เป็นพับ
โจทกอ์ ุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
ที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับจ�ำเลยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย
มสี ินสมรสคือท่ีดนิ พิพาทโฉนดเลขท่ี ๘๗๕๙ และ ๘๗๖๑ ต�ำบลปากเพรยี ว อ�ำเภอเมอื งสระบรุ ี
จงั หวดั สระบรุ ี เนอ้ื ที่ ๒๘.๑ ตารางวา และ ๒ ตารางวา ตามล�ำดบั พรอ้ มสิ่งปลูกสร้าง ตำ� บล
ปากเพรียว อ�ำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ต่อมาโจทก์กับจ�ำเลยจดทะเบียนหย่ากันเม่ือ
วนั ท่ี ๒๘ มถิ นุ ายน ๒๕๓๗ และท�ำบันทึกทา้ ยทะเบียนการหย่าวา่ จำ� เลยตกลงยกทดี่ นิ พพิ าท
ทง้ั สองแปลงพรอ้ มบา้ นเลขที่ ๑๑๖ ใหแ้ ก่โจทก์ ภายหลังจดทะเบยี นหย่าจำ� เลยยา้ ยออกจากบา้ น
และเพิกเฉยไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมบ้านเลขท่ี ๑๑๖ ให้แก่โจทก์ตามท่ี
ตกลงกนั
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่
เหน็ วา่ โจทกก์ บั จำ� เลยหยา่ กนั โดยความยนิ ยอมของทงั้ สองฝา่ ย ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา ๑๕๓๒ (ก) บัญญัตใิ หจ้ ดั การแบ่งทรพั ย์สนิ ของสามีภริยาตามท่ีมอี ยู่ในเวลาจดทะเบียน
การหย่า ดังน้ัน ข้อตกลงตามส�ำเนาบันทึกท้ายทะเบียนการหย่าระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยท่ี
จ�ำเลยยินยอมยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมบ้าน ต�ำบลปากเพรียว อ�ำเภอเมืองสระบุรี
จังหวัดสระบุรี ให้เป็นกรรมสิทธ์ิของโจทก์ จึงเป็นสัญญาแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตาม
บทบัญญัติดังกล่าว เม่ือนายทะเบียนจดทะเบียนการหย่าให้แล้ว ถือว่าทั้งสองฝ่ายได้จัดการ
แบ่งทรัพย์สินพิพาทดังกล่าวกันเรียบร้อยแล้ว ดังน้ัน นับแต่วันที่มีการท�ำบันทึกท้ายทะเบียน
การหย่าที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้าง จึงตกเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว
จ�ำเลยไม่มีกรรมสิทธ์ิรวมอีกต่อไป ซึ่งมีผลบังคับยันกันได้ระหว่างโจทก์กับจ�ำเลย การที่
จ�ำเลยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนท่ีดินพร้อมส่ิงปลูกสร้างส่วนของตนให้แก่โจทก์ มีผลเพียง
ท�ำให้การได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ยังไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคหนึ่ง เท่านั้น และโจทก์ได้ครอบครองที่ดินพร้อม
ส่ิงปลูกสร้างพิพาทเพียงผู้เดียวตลอดมา เพียงแต่โจทก์ยังไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่อันถือได้ว่าโจทก์เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๓๐๐ โจทกใ์ นฐานะเจา้ ของทดี่ ินพร้อมสิง่ ปลูกสร้าง
53
พิพาทย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนและฟ้องขอให้จ�ำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ท่ีดินพิพาท
ทั้งสองแปลงพร้อมส่ิงปลูกสร้างแก่โจทก์ในระยะเวลาใดก็ได้ ซ่ึงไม่มีก�ำหนดอายุความตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๓๖ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ แม้จะล่วงเลย
ระยะเวลา ๑๐ ปี นบั แต่วันท่ีโจทก์กับจ�ำเลยทำ� บันทึกทา้ ยทะเบียนการหยา่ กต็ าม ทศ่ี าลช้นั ต้น
วินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความมาน้ัน ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษไม่เห็นชอบด้วย อุทธรณ์
ของโจทกฟ์ ังขน้ึ
พพิ ากษากลบั วา่ ใหจ้ �ำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธ์ิทด่ี ินโฉนดเลขที่ ๘๗๕๙ และ
๘๗๖๑ ตำ� บลปากเพรียว อำ� เภอเมอื งสระบุรี จังหวัดสระบรุ ี พร้อมสิ่งปลกู สร้าง ต�ำบลปากเพรียว
อ�ำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ให้แก่โจทก์ หากไม่ไปด�ำเนินการให้ถือเอาค�ำพิพากษา
แทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย คา่ ฤชาธรรมเนยี มทั้งสองศาลให้เป็นพบั .
(รตั นา กิตติพบิ ลู ย์ - อเุ ทน ศิรสิ มรรถการ - รชั ดาพร เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา)
ฉันทนา ชมพานิชย์ - ย่อ
พาชนื่ แสงจันทรเ์ ทศ - ตรวจ
54
คำ� พิพากษาศาลอุทธรณ์คดชี ำ� นญั พิเศษท่ี ๑๓๗/๒๕๖๔ พนั โท ป. โจทก์
จำ� เลย
นาง ท.
ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๖๖ วรรคหนงึ่ เดิม, ๑๔๗๕
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๔ วรรคหน่งึ , ๑๔๘, ๑๗๓ วรรคสอง (๑)
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖
เมอื่ คดชี นั้ ขอกนั สว่ นคคู่ วามในคดี คอื โจทกซ์ งึ่ เปน็ ผรู้ อ้ งขอกนั สว่ นในคดดี งั กลา่ ว
กบั โจทกใ์ นคดเี ดมิ เทา่ นน้ั สว่ นจําเลยมใิ ชค่ คู่ วามในคดชี นั้ ขอกนั สว่ นและในคดชี น้ั ขอกนั สว่ น
มีประเด็นข้อพิพาทว่า ผู้ร้องขอกันส่วนมีสิทธิขอกันส่วนที่ดินพิพาทได้หรือไม่ ส่วนคดีน้ี
มปี ระเดน็ ขอ้ พพิ าทวา่ โจทกใ์ นฐานะคสู่ มรสมสี ทิ ธขิ อใหจ้ ําเลยลงชอ่ื โจทกเ์ ปน็ เจา้ ของรวมใน
โฉนดทดี่ นิ พพิ าทตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๕ หรอื ไม่ เมอื่ คดใี นชน้ั ขอกนั สว่ นดงั กลา่ วกบั คดนี ้ี
มปี ระเดน็ ขอ้ พพิ าทและคําขอใหบ้ งั คบั แกบ่ คุ คลทแ่ี ตกตา่ งกนั ทง้ั คดใี นชน้ั ขอกนั สว่ นดงั กลา่ ว
ศาลแพง่ ยงั มไิ ดม้ คี ําพพิ ากษาหรอื คําสงั่ หรอื คําวนิ จิ ฉยั ชขี้ าดในประเดน็ แหง่ คดแี ละประเดน็
ทว่ี า่ ทีด่ นิ พพิ าทเปน็ สินสมรสระหว่างโจทก์กบั จําเลยหรอื ไม่ การท่ีโจทกย์ ่นื ฟ้องจําเลยคดนี ี้
จึงมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นท่ีได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุ
อยา่ งเดียวกันอันเป็นการฟอ้ งซ�้ำซึ่งต้องห้ามตาม ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๘ ประกอบ พ.ร.บ. ศาล
เยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖
และมิใช่เป็นกรณีท่ีโจทก์ยื่นคําฟ้องจําเลยแล้วโจทก์ยื่นคําฟ้องจําเลยในเรื่องเดียวกันน้ัน
ต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นในขณะท่ีคดีเดิมนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาอันเป็นการ
ฟ้องซอ้ นซึ่งต้องหา้ มตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชน
และครอบครัวและวิธีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ทั้งมิใช่เป็น
กรณีท่ีศาลได้มีคําพิพากษา หรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว
มีการดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลน้ันอันเก่ียวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยช้ีขาด
แล้วน้ันอันเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาซ�้ำซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๔
วรรคหน่ึง ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ
ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖
55
ในกรณีท่ีจะพิจารณาว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาประเภท
ใดนั้น ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้ท่ีดินพิพาทนั้นมา
จําเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยการรับมรดกจากมารดาของจําเลยซึ่งถึงแก่
ความตายเมื่อปี ๒๕๑๗ อันเป็นการได้สิทธิครอบครองท่ีดินพิพาทมาในขณะท่ีโจทก์
กับจําเลยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมายในช่วงเวลาที่มีการใช้ ป.พ.พ. บรรพ ๕ เดิม
ท่ีดนิ พพิ าทจึงเปน็ สินสมรสระหว่างโจทกก์ บั จําเลย ตาม ป.พ.พ. บรรพ ๕ เดมิ มาตรา ๑๔๖๖
วรรคหนึ่ง โจทก์ในฐานะท่ีเป็นสามีของจําเลยมีสิทธิร้องขอให้ลงช่ือตนเป็นเจ้าของรวม
ในโฉนดทีด่ ินพพิ าทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๕
______________________________
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจ�ำเลยจดทะเบียนลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกึ่งหนึ่ง
ในโฉนดที่ดินเลขท่ี ๑๗๙๙๔ ต�ำบลบางโขมด อ�ำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี หากจ�ำเลย
ไม่ด�ำเนินการใหถ้ ือเอาค�ำพพิ ากษาแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย
จำ� เลยขาดนดั ยื่นคำ� ใหก้ าร
ศาลชัน้ ตน้ พพิ ากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนยี มใหเ้ ป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
เบ้ืองต้นรับฟังได้ว่า โจทก์กับจ�ำเลยเป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรส
เม่ือวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๐๘ เดิมท่ีดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๑๗๙๙๔ ต�ำบลบางโขมด
อ�ำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี เน้ือที่ ๑๖ ไร่ ๘๐ ตารางวา มีนาง ย. มารดาของจำ� เลยเป็น
ผู้มีสิทธิครอบครอง ต่อมาวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๑๗ มารดาของจ�ำเลยถึงแก่ความตาย
จ�ำเลยได้ครอบครองท่ีดินพิพาทดังกล่าวต่อมาและแจ้งขอให้เจ้าพนักงานท่ีดิน ส�ำนักงานท่ีดิน
จงั หวัดสระบรุ ี รงั วดั ที่ดินเพอ่ื ออกโฉนดท่ีดิน โดยจำ� เลยได้รบั โฉนดท่ดี ินเม่อื วันท่ี ๑๑ มกราคม
๒๕๒๑ ภายหลงั จากโจทก์ฟอ้ งคดนี ้ี เมื่อวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๖๓ โจทก์ย่ืนค�ำร้องขอกนั สว่ นท่ดี ิน
พิพาทกึ่งหน่ึงในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ มย ๙๔/๒๕๖๑ ของศาลแพ่ง ซึ่งเป็นคดีท่ีจ�ำเลย
ถูกเจ้าหนี้ฟ้องให้ช�ำระหน้ีและยึดที่ดินพิพาทไว้เพื่อขายทอดตลาดช�ำระหน้ี โดยโจทก์อ้าง
เหตุในคดีดังกล่าวว่าท่ีดินพิพาทเป็นสินสมรสของผู้ร้อง (โจทก์ในคดีน้ี) กับจ�ำเลย ศาลแพ่ง
รับค�ำร้องขอกันส่วนเป็นคดีแพ่งหมายเลขด�ำที่ มยก ๓/๒๕๖๓ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา
56
และวันท่ี ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๓ โจทก์ยื่นค�ำร้องขอเพิกถอนการขายทอดตลาดท่ีดินพิพาท
ในคดแี พง่ หมายเลขแดงท่ี มย ๙๔/๒๕๖๑ ของศาลแพ่ง
คดีมีปัญหาท่ีต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อแรกว่า ที่ศาลช้ันต้นไม่วินิจฉัย
คดีนี้ เพราะเห็นว่าประเด็นข้อพิพาทที่ต้องวินิจฉัยในคดีน้ีกับคดีแพ่งหมายเลขด�ำที่ มยก
๓/๒๕๖๓ ของศาลแพ่ง ท่ีโจทก์ย่ืนค�ำร้องขอกันส่วนท่ีดินพิพาทโฉนดเลขที่ ๑๗๙๙๔ ต�ำบล
บางโขมด อ�ำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ไว้ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ มย ๙๔/๒๕๖๑
ของศาลแพ่ง เป็นประเด็นเดียวกัน การวินิจฉัยคดีน้ีจึงเป็นการซ้�ำซ้อนและไม่มีเหตุท่ีต้อง
วินิจฉัยซ�้ำอีกน้ัน ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงตามทางน�ำสืบของโจทก์ได้ความว่า
โจทก์เคยยื่นค�ำร้องขอกันส่วนที่ดินพิพาทในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ มย ๙๔/๒๕๖๑ ของ
ศาลแพง่ และศาลแพ่งรับไว้เปน็ คดแี พง่ หมายเลขดำ� ที่ มยก ๓/๒๕๖๓ ของศาลแพ่ง โดยในคดี
ดงั กลา่ วโจทกอ์ ้างเหตวุ า่ ทดี่ ินพิพาทเป็นสนิ สมรสระหวา่ งโจทก์กับจ�ำเลย ซง่ึ เปน็ เหตอุ ยา่ งเดียว
กันกับเหตุท่ีโจทก์อ้างในคดีนี้เพ่ือขอให้ศาลมีค�ำพิพากษาให้จ�ำเลยด�ำเนินการลงชื่อโจทก์เป็น
เจา้ ของรวมในโฉนดทด่ี นิ พพิ าท แตเ่ มอ่ื คดชี น้ั ขอกนั สว่ นในคดแี พง่ หมายเลขแดงท่ี มย ๙๔/๒๕๖๑
ของศาลแพ่ง คู่ความในคดี คือ โจทก์ซึ่งเป็นผู้ร้องขอกันส่วนในคดีดังกล่าวกับโจทก์ในคดีเดิม
เท่าน้ัน ส่วนจ�ำเลยมิใช่คู่ความในคดีช้ันขอกันส่วน และในคดีช้ันขอกันส่วนมีประเด็นข้อพิพาท
วา่ ผ้รู อ้ งขอกันส่วน (โจทกใ์ นคดีน้ี) มสี ิทธิขอกันส่วนท่ดี ินพิพาทไดห้ รือไม่ สว่ นคดีน้มี ปี ระเด็น
ข้อพิพาทว่า โจทก์ในฐานะคู่สมรสมีสิทธิขอให้จ�ำเลยลงชื่อโจทก์เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดิน
พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๕ หรือไม่ แม้ในชั้นขอกันส่วนใน
คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ มย ๙๔/๒๕๖๑ ของศาลแพ่ง และคดีนีม้ ีประเด็นที่ต้องวินจิ ฉยั ในขอ้ อา้ ง
ของโจทกว์ า่ ทดี่ นิ พพิ าทเปน็ สนิ สมรสระหวา่ งโจทกก์ บั จำ� เลยหรอื ไมเ่ ชน่ เดยี วกนั แตเ่ มอ่ื คดใี นชน้ั
ขอกันส่วนดังกล่าวกับคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทและค�ำขอให้บังคับแก่บุคคลท่ีแตกต่างกัน ท้ังคดี
ในชัน้ ขอกนั สว่ นดงั กลา่ วศาลแพง่ ยงั มไิ ด้มคี �ำพพิ ากษาหรือคำ� ส่งั หรอื คำ� วินิจฉัยชีข้ าดในประเด็น
แห่งคดีและประเด็นท่ีว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยหรือไม่ การท่ีโจทก์
ย่ืนฟ้องจ�ำเลยคดีน้ีจึงมิใช่เป็นกรณีท่ีคู่ความเดียวกันร้ือร้องฟ้องกันอีก ในประเด็นท่ีได้วินิจฉัย
โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอันเป็นการฟ้องซ�้ำซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา
คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ และมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ยื่นค�ำฟ้องจ�ำเลย
แล้วโจทก์ยื่นค�ำฟ้องจ�ำเลยในเรื่องเดียวกันน้ันต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นในขณะท่ีคดีเดิม
57
น้ันอยู่ในระหว่างพิจารณาอันเป็นการฟ้องซ้อนซ่ึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ทั้งมิใช่เป็นกรณีท่ีศาลได้มี
ค�ำพิพากษา หรือค�ำสั่งวินิจฉัยช้ีขาดคดีหรือในประเด็นข้อใดแห่งคดีแล้ว มีการด�ำเนินกระบวน
พิจารณาในศาลน้ันอันเก่ียวกับคดีหรือประเด็นที่ได้วินิจฉัยช้ีขาดแล้วนั้นอันเป็นการด�ำเนิน
กระบวนพิจารณาซ้�ำ ซ่ึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๔
วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ดังนั้น เม่ือฟ้องโจทก์คดีนี้มิได้เป็นกรณีต้องห้ามตาม
บทบัญญัติแห่งกฎหมายดังท่ีได้วินิจฉัยมา และไม่ปรากฏข้อห้ามตามกฎหมายอื่นใดท่ีห้ามมิให้
โจทก์ฟ้องคดีน้ีเพ่ือใช้สิทธิของตนตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๕
บัญญัติให้อ�ำนาจไว้ การท่ีศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยคดีน้ีเพราะเห็นว่าจะเป็นการวินิจฉัยซ�้ำซ้อนกับ
ประเดน็ ในคดีแพ่งหมายเลขดำ� ที่ มยก ๓/๒๕๖๓ ของศาลแพง่ ที่โจทก์ย่ืนคำ� ร้องขอกนั สว่ นที่ดนิ
พพิ าทไวใ้ นคดีแพง่ หมายเลขแดงที่ มย ๙๔/๒๕๖๑ ของศาลแพง่ จงึ ไม่ชอบ อุทธรณ์ของโจทก์
ขอ้ นฟี้ งั ข้ึน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ข้อต่อไปว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรส
ระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยซึ่งโจทก์มีสิทธิขอให้ลงช่ือตนเป็นเจ้าของรวมในโฉนดท่ีดินพิพาทหรือไม่
เห็นว่า ในกรณีที่จะพิจารณาว่าท่ีดินพิพาทเป็นทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาประเภทใดนั้น ต้อง
พิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีใช้ในขณะท่ีได้ท่ีดินพิพาทน้ันมา เม่ือปรากฏตามส�ำเนา
แบบแจ้งการครอบครองท่ีดินว่า เดิมท่ีดินพิพาทมีช่ือนาง ย. มารดาของจ�ำเลยเป็นผู้มีสิทธิ
ครอบครองต้งั แตป่ ี ๒๔๙๘ ต่อมามารดาของจ�ำเลยถงึ แกค่ วามตายเมอ่ื วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๑๗
ตามส�ำเนามรณบัตร เอกสารหมาย จ.๕ หลังจากนั้นวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๑๘ จ�ำเลยย่ืน
ค�ำขอให้เจ้าพนักงานท่ีดิน ส�ำนักงานที่ดินจังหวัดสระบุรี รังวัดที่ดินเพื่อขอออกโฉนดท่ีดิน และ
เจ้าพนกั งานทด่ี ินออกโฉนดที่ดนิ ให้แก่จ�ำเลยเมือ่ วนั ท่ี ๑๑ มกราคม ๒๕๒๑ ขอ้ เทจ็ จริงจงึ รับฟงั
ได้ว่า จ�ำเลยได้สิทธิครอบครองท่ีดินพิพาทโดยการรับมรดกจากมารดาของจ�ำเลยซึ่งถึงแก่
ความตายเมอื่ ปี ๒๕๑๗ อนั เปน็ การไดส้ ทิ ธคิ รอบครองทด่ี นิ พพิ าทมาในขณะทโ่ี จทกก์ บั จำ� เลยเปน็
สามภี รยิ าชอบดว้ ยกฎหมายในชว่ งเวลาทมี่ กี ารใชป้ ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ ๕ เดมิ
ซง่ึ ตามมาตรา ๑๔๖๖ วรรคหนงึ่ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ บรรพ ๕ เดมิ บญั ญตั ิวา่
“สนิ สมรสไดแ้ กท่ รพั ยส์ นิ ทงั้ หมดทค่ี สู่ มรสไดม้ าระหวา่ งสมรส นอกจากทรี่ ะบไุ วว้ า่ เปน็ สนิ เดมิ หรอื
58
สนิ สว่ นตวั ตามมาตรา ๑๔๖๓ หรอื ๑๔๖๔” โดยทม่ี าตรา ๑๔๖๓ บญั ญตั วิ า่ “สนิ เดมิ ไดแ้ กท่ รพั ยส์ นิ ...
(๒) ท่ีฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ไดม้ าระหวา่ งเปน็ สามภี รยิ าโดยทางพนิ ยั กรรม หรอื ยกให้โดยเสน่หา เม่อื
พินัยกรรมหรือหนังสือยกให้น้ันได้แสดงไว้ว่าให้เป็นสินเดิม” และมาตรา ๑๔๖๔ บัญญัติว่า
“สนิ สว่ นตวั ไดแ้ ก.่ ..(๓) ทรพั ยส์ นิ ทฝี่ า่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ ไดม้ าระหวา่ งเปน็ สามภี รยิ าโดยทางพนิ ยั กรรม
หรือยกให้โดยเสน่หา เม่ือพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้นั้นได้แสดงไว้ให้เป็นสินส่วนตัว...”
ดังน้ี เม่ือจ�ำเลยได้รับที่ดินพิพาททางมรดกในระหว่างสมรสอันมิใช่การรับมรดกในฐานะท่ีเป็น
สินเดิมหรือสนิ ส่วนตวั ดงั ท่บี ญั ญตั ไิ ว้ตามมาตรา ๑๔๖๓ เดิม และมาตรา ๑๔๖๔ เดิม ที่ดินพิพาท
จึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจ�ำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ เดิม
มาตรา ๑๔๖๖ วรรคหนงึ่ เมอ่ื ท่ดี ินพิพาทเปน็ สนิ สมรสระหว่างโจทก์กบั จำ� เลยทล่ี งชื่อจ�ำเลยเป็น
เจา้ ของกรรมสทิ ธใิ์ นโฉนดทดี่ นิ พพิ าทไวเ้ พยี งผเู้ ดยี ว ซง่ึ โจทกใ์ นฐานะทเ่ี ปน็ สามขี องจำ� เลยมสี ทิ ธิ
รอ้ งขอใหล้ งชอ่ื ตนเปน็ เจา้ ของรวมในโฉนดทดี่ นิ พพิ าทไดต้ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา ๑๔๗๕ และโจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่า โจทก์เคยขอให้จ�ำเลยด�ำเนินการลงช่ือโจทก์ถือ
กรรมสทิ ธร์ิ วมในโฉนดทดี่ นิ พพิ าทแลว้ แตจ่ ำ� เลยเพกิ เฉย โจทกจ์ งึ ชอบทจี่ ะฟอ้ งขอใหบ้ งั คบั จำ� เลย
ด�ำเนนิ การลงช่อื โจทกเ์ ปน็ เจ้าของรวมในโฉนดทดี่ ินพพิ าทได้ อทุ ธรณ์ของโจทกข์ อ้ นี้ฟังขึน้
พพิ ากษากลบั วา่ ใหจ้ ำ� เลยดำ� เนนิ การจดทะเบยี นลงชอ่ื โจทกเ์ ปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธร์ิ วม
ก่งึ หนึ่งในโฉนดทดี่ นิ เลขที่ ๑๗๙๙๔ ต�ำบลบางโขมด อำ� เภอบา้ นหมอ จังหวัดสระบรุ ี หากจ�ำเลย
ไม่ด�ำเนนิ การ ให้ถือเอาค�ำพพิ ากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย คา่ ฤชาธรรมเนียม
ในศาลชน้ั ต้นและชั้นอุทธรณ์ใหเ้ ปน็ พับ.
(รชั ดาพร เสนยี ว์ งศ์ ณ อยธุ ยา - อุเทน ศิริสมรรถการ - ปารณี มงคลศิรภิ ทั รา)
ณิศรา กิจคณาศริ ิ - ยอ่
พาชื่น แสงจนั ทร์เทศ - ตรวจ
59
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดีชำ� นญั พิเศษท่ี ๑๒/๒๕๖๕ นาย ม. โจทก์
จ�ำเลย
นาง ส.
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๔๘
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวิธีพจิ ารณาคดีเยาวชนและครอบครวั พ.ศ.๒๕๕๓
มาตรา ๖
โจทก์เคยฟ้องหย่าจ�ำเลยและขอแบ่งสินสมรสจากจ�ำเลย และมีการท�ำสัญญา
ประนีประนอมยอมความโดยโจทก์กับจ�ำเลยตกลงหย่าขาดจากกันและมีการแบ่ง
สินสมรสไปแล้ว ซ่ึงศาลช้ันต้นมีค�ำพิพากษาตามยอมและคดีถึงท่ีสุดแล้วตามคดี
หมายเลขแดงที่ ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒ ของศาลชั้นต้น หากโจทก์เห็นว่าท่ีดินพิพาทเป็น
สินสมรสและประสงค์จะขอแบ่งต้องยกข้ึนว่ากล่าวในคดีก่อนเพ่ือให้ส้ินกระแสความ
ไปในคราวเดียว การที่โจทก์กลับมาฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจ�ำเลยเป็นคดีน้ีอีกย่อม
เป็นการร้ือร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ต้องห้าม
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๘ ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดี
เยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ ไมว่ า่ ทรพั ยท์ โี่ จทกฟ์ อ้ งขอแบง่ จากจำ� เลยใน
คดนี จี้ ะเปน็ ทรพั ยร์ ายเดยี วกนั กบั คดกี อ่ นหรอื ตา่ งรายกนั กย็ งั เปน็ การฟอ้ งรอ้ งในประเดน็
ท่ีจะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอยู่นั่นเอง แม้ในสัญญาประนีประนอม
ยอมความจะไม่มีข้อความว่าโจทก์กับจ�ำเลยไม่ติดใจเรียกร้องใด ๆ ต่อกันอีกก็ตาม
ฟอ้ งโจทก์เป็นฟอ้ งซ้�ำกบั คดีหมายเลขแดงที่ ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒ ของศาลชน้ั ต้น
_____________________________
โจทกฟ์ อ้ ง ขอใหบ้ งั คบั จำ� เลยจดทะเบยี นแบง่ กรรมสทิ ธใิ์ นทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๖๒๑๙๕ ตำ� บล
บ้านมะเกลือ อ�ำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวดั นครสวรรค์ เนอื้ ที่ ๑ ไร่ ๓ งาน ๖๒ ๕/๑๐ ตารางวา
ตามแผนทส่ี งั เขปเอกสารทา้ ยค�ำฟอ้ งหมายเลข ๗ ใหแ้ กโ่ จทก์ หากจ�ำเลยไมด่ �ำเนนิ การใหถ้ อื เอา
ค�ำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
ศาลชั้นต้นตรวจค�ำฟ้องแล้ว เห็นว่า ค�ำฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้�ำกับคดีหมายเลขแดงที่
ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒ ของศาลชน้ั ตน้ พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนยี มใหเ้ ป็นพบั
60
โจทก์อทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
เบือ้ งตน้ รับฟังได้ว่า โจทก์กับจำ� เลยเป็นสามีภริยากัน จดทะเบียนสมรสเมอ่ื วันที่ ๒๔ สงิ หาคม
๒๕๑๖ ณ สำ� นกั ทะเบียนอำ� เภอเมืองนครสวรรค์ จงั หวัดนครสวรรค์ ต่อมาเมอื่ วนั ที่ ๒๖ สงิ หาคม
๒๕๖๒ โจทก์กับจ�ำเลยได้ท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมีข้อตกลงว่า ข้อ ๑. โจทก์
และจ�ำเลยยินยอมหย่าขาดจากกัน ข้อ ๒. โจทก์และจ�ำเลยตกลงแบ่งสินสมรสกัน โดยโจทก์
ไดเ้ ปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธใ์ิ นรถยนตบ์ รรทกุ สบิ ลอ้ พว่ งยห่ี อ้ ฮโี น่ รถไถฟอรด์ รนุ่ ๖๖๐๐ รถไถคโู บตา้
รุ่น ๘๒๑๔๐ รถไถอเิ ซกิ รุ่น ทีเอส ๒๒๑๐ รถไถเดินตาม ๒ คัน จากจำ� นวน ๓ คนั อาวุธปนื
ลกู ซองยาว ขนาด ๑๒ และทดี่ นิ โฉนดเลขท่ี ๙๒๑๑๔ กบั ๖๓๑๗๑ ตำ� บลบา้ นมะเกลอื อำ� เภอ
เมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ พร้อมส่ิงปลูกสร้าง ส่วนจ�ำเลยได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิใน
รถยนต์บรรทุกสิบล้อพ่วงย่ีห้อฮีโน่ รถยนต์กระบะย่ีห้ออีซูซุ และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า
รถไถเดินตาม ๑ คัน จากจ�ำนวน ๓ คัน โดยโจทก์ให้สิทธิจ�ำเลยเลือกก่อน และท่ีดินโฉนด
เลขที่ ๙๘๐๑๒ กบั ๖๓๑๗๓ ต�ำบลบ้านมะเกลอื อำ� เภอเมอื งนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ พรอ้ ม
สงิ่ ปลกู สรา้ ง ทรพั ยส์ นิ ตา่ ง ๆ ดงั ทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ หากรายการใดยงั มภี าระหนสี้ นิ คา้ งอยู่ ใหโ้ จทก์
หรอื จำ� เลยซงึ่ เปน็ ผไู้ ดร้ บั กรรมสทิ ธต์ิ ามขอ้ ตกลงนเี้ ปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบหนสี้ นิ ทงั้ หมดในทรพั ยส์ นิ นนั้
แตเ่ พยี งผเู้ ดยี ว นอกจากนโี้ จทกย์ งั ยนิ ยอมจา่ ยคา่ อปุ การะเลย้ี งดจู ำ� เลยเปน็ เงนิ ๓๕,๐๐๐ บาท ใน
วันท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความน้ี โดยจ�ำเลยไม่ติดใจเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์อีก
ต่อไป โจทก์และจ�ำเลยตกลงตามข้อตกลงท้ังหมดดังที่กล่าวมาข้างต้น หากฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงผิดนัด
ผดิ เงอื่ นไข ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม ฝา่ ยทผี่ ดิ นดั ยนิ ยอมใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ บงั คบั คดตี ามกฎหมาย และยนิ ยอม
ให้สัญญาประนีประนอมยอมความและค�ำพิพากษาตามยอมแทนการแสดงเจตนาของคู่ความ
ทั้งสองฝ่าย ซึ่งศาลช้ันต้นได้พิพากษาตามยอมไป ปรากฏตามส�ำเนาสัญญาประนีประนอม
ยอมความและค�ำพพิ ากษาตามยอม คดหี มายเลขแดงที่ ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒ ของศาลชั้นตน้ คดี
ดงั กล่าวถึงทสี่ ุดแลว้ ตามส�ำเนาหนังสอื รับรองคดีถงึ ทสี่ ดุ ลงวันที่ ๒๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๒ ซึง่
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์และจ�ำเลยไม่มีข้อตกลงแบ่งปันที่ดินโฉนด
เลขท่ี ๖๒๑๙๕ ตำ� บลบา้ นมะเกลอื อำ� เภอเมอื งนครสวรรค์ จงั หวดั นครสวรรค์ แตอ่ ยา่ งใด ซง่ึ ทด่ี นิ
แปลงนมี้ ีชอ่ื จำ� เลยเปน็ เจ้าของกรรมสิทธ์ิ โดยมกี ารออกโฉนดท่ดี นิ เมอื่ วันท่ี ๗ มนี าคม ๒๕๔๐
แต่เดิมท่ีดินแปลงน้ีเป็นท่ีดินท่ีมีเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการท�ำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขท่ี ๑๐๑ ต�ำบลบ้านมะเกลือ อ�ำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มีเนื้อท่ี ๘ ไร่ ๑
61
งาน ๖๗ ตารางวา ซ่งึ มชี ่อื นาง ล. มารดาจำ� เลยเปน็ เจ้าของ และในวนั ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๓๐
นาง ล. ได้แบ่งท่ีดินดังกล่าวให้แก่จ�ำเลยตามรูปแผนท่ี น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๐๑ และท่ีดินไม่มี
สง่ิ ปลูกสร้าง ตามสำ� เนาหนงั สือแบง่ ให้และโฉนดทดี่ นิ
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งที่ดินโฉนด
เลขท่ี ๖๒๑๙๕ เนือ้ ท่ี ๓ ไร่ ๓ งาน ๒๕ ตารางวา จากจำ� เลยกง่ึ หน่ึงโดยอา้ งว่าทดี่ ินเน้อื ท่จี ำ� นวน
ดงั กล่าวเป็นสินสมรส เป็นการฟ้องซำ�้ กบั คดหี มายเลขแดงท่ี ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒ ของศาลชนั้ ตน้
ตามค�ำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๒
กำ� หนดใหจ้ ดั การแบง่ ทรพั ยส์ นิ ระหวา่ งสามภี รยิ าเมอื่ มกี ารหยา่ ไมว่ า่ จะเปน็ การหยา่ โดยความยนิ ยอม
ของทง้ั สองฝา่ ย หรอื หยา่ โดยคำ� พพิ ากษาของศาล โดยมจี ดุ มงุ่ หมายใหม้ กี ารแบง่ ทรพั ยส์ นิ ระหวา่ ง
สามีภรยิ าให้เสร็จเรยี บรอ้ ยกอ่ นทีค่ หู่ ยา่ จะแยกจากกนั ไปต้งั ครอบครวั ของตนข้นึ ใหม่ ในคดกี อ่ น
(คดหี มายเลขแดงท่ี ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒ ของศาลชน้ั ตน้ ) โจทกฟ์ อ้ งหยา่ จำ� เลยและขอแบง่ สนิ สมรส
และมีการท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยโจทก์และจ�ำเลยตกลงเอาทรัพย์สินรายการ
ต่าง ๆ ตามท่ีปรากฏในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น อันเป็นการตกลงระงับข้อพิพาท
อนั ใดอนั หนง่ึ ซง่ึ มอี ยหู่ รอื ทจ่ี ะมขี นึ้ ใหเ้ สรจ็ ไปดว้ ยโดยโจทกแ์ ละจำ� เลยยอมผอ่ นผนั ใหแ้ กก่ นั ทง้ั เปน็
สญั ญาแบง่ ทรพั ยส์ นิ ระหวา่ งสามภี รยิ าตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๓๒ ดว้ ย
ซ่ึงผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมท�ำให้การเรียกร้องซ่ึงโจทก์และจ�ำเลยได้ยอม
สละนัน้ ระงบั สนิ้ ไป และท�ำใหโ้ จทกแ์ ละจำ� เลยไดส้ ทิ ธิตามที่แสดงในสัญญานั้น ทง้ั น้ีเพ่อื ใหป้ ัญหา
การแบ่งสินสมรสเป็นอันยุติไปพร้อมกับการสิ้นสุดแห่งการสมรสด้วยการหย่า เมื่อข้อเท็จจริง
ปรากฏตามคำ� ฟอ้ งโจทกว์ า่ โจทกเ์ คยฟอ้ งหยา่ จำ� เลยและขอแบง่ สนิ สมรสจากจำ� เลย และมกี ารทำ�
สญั ญาประนปี ระนอมยอมความโดยโจทกแ์ ละจำ� เลยตกลงหยา่ ขาดจากกนั และมกี ารแบง่ สนิ สมรส
ไปแลว้ และศาลมคี ำ� พพิ ากษาตามยอม คดถี งึ ทสี่ ดุ ไปแลว้ ตามคดหี มายเลขแดงท่ี ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒
ของศาลชน้ั ตน้ หากโจทก์เหน็ ว่าทีด่ นิ โฉนดเลขที่ ๖๒๑๙๕ เน้อื ที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๒๕ ตารางวา เป็น
สินสมรสและประสงค์จะขอแบ่งต้องยกขึ้นว่ากล่าวในคดีหมายเลขแดงท่ี ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒
ของศาลชนั้ ต้น เพ่ือใหส้ น้ิ กระแสความไปในคราวเดยี ว การท่ีโจทกก์ ลบั มาฟอ้ งขอแบง่ สินสมรส
จากจ�ำเลยเป็นคดีน้ีอีกย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นท่ีได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุ
อย่างเดียวกัน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ ประกอบ
พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖ ไมว่ ่าทรัพย์ทโี่ จทก์ฟ้องขอแบง่ จากจ�ำเลยในคดีน้ีจะเป็นทรพั ย์รายเดยี วกนั กับคดกี ่อน
62
หรือต่างรายกัน ก็ยังเป็นการฟ้องร้องในประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน
อยู่นั่นเอง แม้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่มีข้อความว่าโจทก์และจ�ำเลยไม่ติดใจ
เรียกร้องใด ๆ ต่อกันอีกก็ตาม ท่ีศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฟ้องซ้�ำกับคดี
หมายเลขแดงที่ ยชพ ๑๓๕/๒๕๖๒ ของศาลชั้นต้น จึงชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ข้นึ
พพิ ากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ใหเ้ ปน็ พับ.
(สุรางคนา กมลละคร - เผดิม เพช็ รกลู - พทิ กั ษ์ หลมิ จานนท์)
นภกมล หะวานนท์ สวา่ งแจง้ - ย่อ
พาชนื่ แสงจนั ทร์เทศ - ตรวจ
63
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษท่ี ๓๑๘/๒๕๖๐ นางสาว พ. โจทก์
นางสาว ป. โดยนาง ล.
ผู้แทนโดยชอบธรรม จำ� เลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง
การท่ีจ�ำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยเพ่ือแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีของ
โจทก์ในท�ำนองชู้สาว โจทก์เพียงแต่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจ�ำเลยได้ตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง เท่านั้น หามีสิทธิขอให้บังคับจ�ำเลยให้หยุดกระท�ำชู้กับสามี
ของโจทก์ตอ่ ไปได้ไม่ เนอ่ื งจากสภาพแหง่ ค�ำขอไม่เปิดช่องให้บังคบั คดไี ด้
______________________________
โจทกฟ์ อ้ งขอใหบ้ งั คบั จำ� เลยหยดุ กระทำ� ชกู้ บั สบิ ตรี ว. และหา้ มไมใ่ หจ้ ำ� เลยนำ� ภาพหรอื
วดิ ีโอทส่ี ิบตรี ว. ถา่ ยคู่กับจำ� เลยหรอื ภาพทม่ี ีบุคคลอ่ืนรว่ มอยู่ด้วยแสดงในเฟซบุ๊ก ชอ่ื Pathama
ArPpk ให้แก้ไขสถานะในเฟซบุ๊ก Pathama ArPpk เอาค�ำว่า “หมั้นกับศิลาทองฟิชชิ่งยิม”
ออกจากหน้าเฟซบ๊กุ Pathama ArPpk และในเฟซบุ๊กอ่นื ๆ และในสือ่ ออนไลนท์ ุกชนิดท่จี ำ� เลย
เป็นผู้ต้ังชื่อหรือขอใช้ และให้จ�ำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์วันละ ๒,๐๐๐ บาท นับแต่วัน
ถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจ�ำเลยจะน�ำภาพพิธีฉลองงานหม้ันของจ�ำเลยกับสิบตรี ว.
ซึ่งแสดงในหน้าเฟซบุ๊ก Pathama ArPpk ออกจากหน้าเฟซบุ๊กของจ�ำเลย กับให้จ�ำเลย
ใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ ๕๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จากต้นเงิน
ดังกลา่ ว นับแตว่ ันฟอ้ งเปน็ ต้นไปจนกวา่ จะช�ำระเสรจ็
จำ� เลยขาดนัดยน่ื คำ� ใหก้ าร
ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษาใหจ้ ำ� เลยชำ� ระเงนิ ๒๐๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบย้ี อตั รารอ้ ยละ ๗.๕
ต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์ ห้ามมิให้จ�ำเลยแสดงโดยเปิดเผยว่า
ตนมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. สามีของโจทก์ในท�ำนองชู้สาว และให้จ�ำเลยช�ำระค่าทดแทน
แก่โจทก์วันละ ๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจ�ำเลยจะหยุดแสดงโดยเปิดเผย
ว่าตนมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. ในท�ำนองชู้สาว กับให้จ�ำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
โดยก�ำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท คำ� ขออืน่ นอกจากน้ีใหย้ ก
64
จ�ำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
รบั ฟงั เป็นยตุ ิวา่ โจทกเ์ ปน็ ภรยิ าชอบด้วยกฎหมายของสบิ ตรี ว. โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวนั ที่
๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ มีบุตรด้วยกัน ๒ คน ต่อมาโจทก์ทราบว่าจ�ำเลยกับสิบตรี ว. พักอาศัย
อย่ดู ้วยกนั ท่หี ้องพกั สวสั ดิการทหารของสิบตรี ว. ในกองพันทหารสารวตั รท่ี ๑๑ กรงุ เทพมหานคร
และจ�ำเลยมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. โดยเปิดเผยในฐานะเป็นภริยาอีกคนหนึ่ง อีกท้ังจ�ำเลยยัง
แสดงออกโดยเปิดเผยทางสอ่ื ออนไลนใ์ นเฟซบุก๊ ของจ�ำเลย ชือ่ Pathama ArPpk ว่า จำ� เลยอยู่กนิ
ฉันสามีภริยากับสิบตรี ว. โดยการระบุสถานะในเฟซบุ๊กว่า “หม้ันกับศิลาทองฟิชช่ิงยิม” ซ่ึงเป็น
ชือ่ เฟซบกุ๊ ของสิบตรี ว. และจ�ำเลยน�ำภาพถ่ายแสดงการจดั พธิ หี มน้ั ระหวา่ งจำ� เลยกับสบิ ตรี ว.
ภาพการใช้ชวี ติ ประจ�ำวันร่วมกนั ในทีส่ าธารณะกบั ในหอ้ งพักของสิบตรี ว. แสดงในเฟซบ๊กุ ของ
จ�ำเลยดังกล่าว มีการส่งข้อความทางส่ือออนไลน์ระหว่างจ�ำเลยกับสิบตรี ว. ในลักษณะท่ีแสดง
ถึงการมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันอย่างชัดแจ้ง และจ�ำเลยยังคงมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับ
สบิ ตรี ว. ตลอดมาจนถงึ ปจั จบุ ัน
มปี ญั หาทตี่ อ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องโจทกว์ า่ การทศ่ี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษาหา้ มมใิ หจ้ �ำเลย
แสดงโดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีของโจทก์ในท�ำนองชู้สาว และให้จ�ำเลยช�ำระค่า
ทดแทนแก่โจทก์วันละ ๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจ�ำเลยจะหยุดแสดงโดย
เปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. ในท�ำนองชู้สาวนั้นได้หรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์
ฟ้องจ�ำเลยซ่ึงแสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. ในท�ำนองชู้สาว
โจทก์เพียงแต่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจ�ำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง เท่านั้น หามสี ิทธิท่จี ะขอใหบ้ ังคบั จำ� เลยหยุดกระทำ� ชู้กบั สามีของโจทก์
ต่อไปได้ไม่ เนื่องจากสภาพแห่งค�ำขอไม่เปิดช่องให้บังคับคดีได้ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
หา้ มมใิ หจ้ �ำเลยแสดงโดยเปดิ เผยวา่ ตนมคี วามสมั พันธ์กบั สิบตรี ว. ในท�ำนองชสู้ าว และให้จำ� เลย
ชำ� ระคา่ ทดแทนแกโ่ จทกว์ นั ละ ๕๐๐ บาท นบั ถดั จากวนั ฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จำ� เลยจะหยดุ แสดง
โดยเปิดเผยว่าตนมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. ในท�ำนองชู้สาว จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์
คดชี ำ� นัญพเิ ศษเหน็ ควรแก้ไขให้ถูกตอ้ ง
พพิ ากษาแกเ้ ปน็ วา่ ใหย้ กคำ� พพิ ากษาศาลชน้ั ตน้ ทห่ี า้ มมใิ หจ้ ำ� เลยแสดงโดยเปดิ เผยวา่
ตนมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. สามีของโจทก์ในท�ำนองชู้สาว กับให้จ�ำเลยช�ำระค่าทดแทน
แก่โจทก์วันละ ๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจ�ำเลยจะหยุดแสดงโดยเปิดเผยว่า
65
ตนมีความสัมพันธ์กับสิบตรี ว. ในท�ำนองชสู้ าว และให้ยกคำ� ขอของโจทกใ์ นสว่ นนเ้ี สยี นอกจาก
ทีแ่ กใ้ หเ้ ป็นไปตามคำ� พพิ ากษาศาลช้นั ตน้ คา่ ฤชาธรรมเนยี มในชน้ั อทุ ธรณ์ให้เปน็ พบั .
(รชั ดาพร เสนีย์วงศ์ ณ อยธุ ยา - ปรญิ ญา อทิ ธวิ กิ ลุ - รตั นา กติ ติพิบูลย)์
พิทกั ษ์ หลิมจานนท์ - ยอ่
นรนิ ทร์ ทองค�ำใส - ย่อ
66
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี �ำนัญพิเศษท่ี ๑๕๘/๒๕๖๓ นางสาว ต. โจทก์
นาง พ. จำ� เลย
ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๐, ๔๔๗, ๑๕๒๓ วรรคสอง
การท่ีสามีโจทก์ไปมีความสัมพันธ์ในทํานองชู้สาวกับจําเลยอันเป็นการกระทบ
กระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ซ่ึงเป็นภริยานั้น มีบทบัญญัติให้จําเลยรับผิดไว้โดยเฉพาะ
แล้วตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง ดังน้นั โจทก์จะฟ้องเรียกคา่ ทดแทนจากจําเลย
เพราะจําเลยแสดงโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าจําเลยมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ใน
ทํานองชู้สาวโดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๒๐ และ
มาตรา ๔๔๗ โดยให้จําเลยชําระค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้อง
จนกว่าจําเลยจะเลกิ มีความสมั พันธใ์ นทํานองชู้สาวกับสามโี จทก์อกี ไม่ได้
_____________________________
โจทก์ฟ้องและแก้ไขค�ำฟ้อง ขอให้บังคับจ�ำเลยช�ำระเงินค่าทดแทน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์
และใหจ้ ำ� เลยชำ� ระเงนิ คา่ ทดแทนใหแ้ กโ่ จทกเ์ ดอื นละ ๑๐,๐๐๐ บาท นบั แตว่ นั ฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกวา่
จำ� เลยจะไมย่ งุ่ เก่ียวกับนาย ย. โดยเดด็ ขาดหรือจนกว่าการกระท�ำอันเปน็ การละเมดิ ส้นิ สุดลง
จ�ำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษาใหจ้ ำ� เลยชำ� ระเงนิ คา่ ทดแทน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบย้ี อตั รา
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะช�ำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จ�ำเลยช�ำระเงิน
ค่าทดแทนอีกเดือนละ ๑๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจ�ำเลยจะไม่ยุ่งเก่ียวกับ
สามีโจทก์โดยเด็ดขาดหรือจนกว่าการกระท�ำอันเป็นการละเมิดสิ้นสุดลง กับให้จ�ำเลยใช้ค่าฤชา
ธรรมเนยี มแทนโจทก์ โดยก�ำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท
จำ� เลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
เบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนาย ย. โดย
จดทะเบยี นสมรสกันที่สำ� นกั ทะเบยี นอำ� เภอกันทรลักษ์ จงั หวัดศรสี ะเกษ เมอื่ วนั ที่ ๒๑ มถิ ุนายน
67
๒๕๕๓ และอยู่กินฉันสามีภริยาท่ีบ้านเลขที่ ๑๘ หมู่ที่ ๑๒ ต�ำบลดงอีจาน อ�ำเภอโนนสุวรรณ
จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อวันท่ี ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ โจทก์กับนาย ย. ร่วมกันประกอบกิจการค้าขาย
ชือ่ รา้ น ID WATER ขายปลีก ขายส่ง และรบั เหมาตดิ ตั้งตูท้ ำ� นำ�้ เยน็ เครอ่ื งกรองน�้ำ สารกรองนำ้�
และปั๊มน�้ำทุกระบบ ส่วนจ�ำเลยประกอบอาชีพเปิดร้านขายอาหารตามส่ังอยู่ที่บ้านเลขที่ ๖๒
หมูท่ ่ี ๓ ตำ� บลดงอจี าน อำ� เภอโนนสุวรรณ จังหวดั บรุ ีรมั ย์ เมอ่ื วันท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ จ�ำเลย
จดทะเบียนพาณิชย์ใช้ชื่อ Va Va Filter เพื่อประกอบกิจการขายปลีกเฟอร์นิเจอร์ชนิดใช้ใน
ครวั เรือน เครือ่ งกรองนำ้� สารเครือ่ งกรองน�้ำ และอปุ กรณ์ที่ใช้ในครวั เรอื น
มปี ญั หาตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำ� เลยประการแรกวา่ จำ� เลยแสดงตนโดยเปดิ เผย
เพ่ือแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับนาย ย. สามีโจทก์ในท�ำนองชู้สาวเป็นเหตุให้โจทก์เรียก
คา่ ทดแทนจากจำ� เลยตามคำ� พพิ ากษาศาลชนั้ ต้นหรอื ไม่ เหน็ ว่า พยานโจทกท์ ั้งสป่ี ากเบกิ ความ
ยนื ยนั สอดคลอ้ งตอ้ งกนั ในขอ้ เทจ็ จรงิ อนั เปน็ สาระสำ� คญั ประกอบดว้ ยเหตผุ ลซง่ึ มคี วามเกย่ี วเนอื่ ง
เชอื่ มโยงกนั เปน็ ลำ� ดบั ขน้ั ตอน พยานปากใดรเู้ หน็ เหตกุ ารณเ์ พยี งใดกเ็ บกิ ความไปตามนนั้ นาย ศ.
พกั อาศยั อยบู่ า้ นเดยี วกนั กบั โจทกแ์ ละนาย ย. สว่ นนาย จ. และนาง น. พกั อาศยั อยบู่ า้ นตดิ กนั กบั
โจทก์และนาย ย. ท้งั นาย ศ. กับนาย จ. ยงั เปน็ ลกู จ้างร้าน ID WATER ของโจทก์กับนาย ย. โดย
เปน็ ชา่ งตดิ ตง้ั ตทู้ ำ� นำ�้ เยน็ เครอ่ื งกรองนำ�้ และปม๊ั นำ�้ ทกุ ระบบ ยอ่ มมคี วามใกลช้ ดิ เพยี งพอทจ่ี ะรบั รู้
เรอื่ งราวทง้ั ในเรอื่ งสว่ นตวั และเรอ่ื งงานของโจทกก์ บั นาย ย. โดยเฉพาะนาย ศ. เปน็ นอ้ งชายนาย ย.
สว่ นนาย จ. และนาง น. เปน็ บดิ าและมารดาของนาย ย. นอกจากพยานทง้ั สขี่ องโจทกจ์ ะเบกิ ความ
ในสว่ นของความสมั พันธร์ ะหวา่ งจ�ำเลยกับนาย ย. ว่า พยานท้ังส่รี เู้ ห็นมาโดยตลอดว่า จ�ำเลยกบั
นาย ย. คบหาไปมาหาสู่กันในท�ำนองชู้สาว มีการแสดงอย่างเปิดเผยต่อบุคคลทั่วไปอย่าง
ออกหน้าออกตาตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๑ ปัจจุบันนาย ย. ไปพักอาศัยอยู่กับจ�ำเลยอย่างเปิดเผย
แล้ว นาย ศ. ยังเป็นประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์เมื่อประมาณกลางเดือนและปลายเดือน
มีนาคม ๒๕๖๒ ซ่ึงขณะน้ันโจทก์ไม่อยู่บ้าน พยานเห็นนาย ย. ไปรับจ�ำเลยมานอนค้างคืน
ท่ีบ้านของโจทก์ด้วย และเบิกความตอบทนายจ�ำเลยถามค้านว่า พยานเห็นจ�ำเลยมานอน
ค้างท่ีบ้านของโจทก์เน่ืองจากพยานเป็นคนเปิดประตูให้จ�ำเลยกับนาย ย. เข้ามาในบ้าน
ส่วนนาย จ. ซ่งึ เป็นบดิ าของนาย ย. เป็นประจักษ์พยานเห็นจ�ำเลยกบั นาย ย. ไปดแู ลการตดิ ตัง้
อปุ กรณ์ตา่ ง ๆ ของร้าน ID WATER ตามท่ีรับงานโครงการต่าง ๆ ไว้เป็นประจ�ำและเบกิ ความ
ตอบทนายจ�ำเลยถามค้านว่า พยานเห็นจ�ำเลยเดินทางไปพักค้างคืนกับนาย ย. ท่ีต่างจังหวัด
บ่อยคร้ัง ส�ำหรับนาง น. ซ่ึงเป็นมารดาของนาย ย. เป็นประจักษ์พยานเห็นจ�ำเลยมาหา
68
นาย ย. ทบ่ี า้ นของโจทกห์ ลายครง้ั ในขณะทโี่ จทกไ์ มอ่ ยบู่ า้ นแลว้ ปดิ บา้ นอยดู่ ว้ ยกนั นานนบั ชวั่ โมง
พยานใช้โทรศัพท์เคลื่อนท่ีของพยานถ่ายภาพไว้และตอบทนายโจทก์ถามติงว่า ตามภาพถ่าย
พยานเห็นต้ังแต่ตอนท่ีจ�ำเลยเข้ามาท่ีบ้าน พอจะเข้าไปก็ถอดหมวกนิรภัยออก พยานยืนอยู่ที่
ถนนจงึ เหน็ วา่ เป็นจ�ำเลย ประกอบกับนาย จ. นาง น. และนาย ศ. เปน็ บดิ ามารดาและนอ้ งชาย
ของนาย ย. หากเหตุการณ์ไม่เป็นความจริงย่อมไม่เบิกความให้เป็นผลร้ายแก่นาย ย.
ค�ำเบิกความดังกล่าวจึงมีน้�ำหนักน่าเช่ือถือ ท้ังโจทก์มีแผ่นซีดีบันทึกคลิปเสียง บันทึกการสนทนา
จากคลิปเสียง และรายงานประจ�ำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานว่า โจทก์แจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่า
เมอื่ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๙.๓๑ นาฬกิ า โจทกพ์ ูดคยุ กับจ�ำเลยทางโทรศัพท์เคลื่อนที่
โดยมีรายละเอียดในคลิปเสียงซึ่งบันทึกการสนทนาจากคลิปเสียงระบุว่า จ�ำเลยรับว่าจ�ำเลย
ร่วมหลับนอนกับนาย ย. หลายคร้ัง และโจทก์มีภาพถ่ายซ่ึงเป็นภาพจ�ำเลยกอดไหล่และซบบ่า
ของนาย ย. แสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่าจ�ำเลยกับนาย ย. มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมิใช่เพียงแค่
คนรู้จักกันธรรมดา สนับสนุนให้พยานหลักฐานโจทก์มีความน่าเช่ือถือย่ิงขึ้น ส่วนจ�ำเลยอ้าง
ตนเองเปน็ พยานเพียงปากเดียวเบิกความปฏิเสธวา่ นาย ย. เป็นเพียงลกู คา้ ร้านอาหารตามสงั่
ของจ�ำเลย จ�ำเลยไม่ได้มีความสัมพันธ์ในท�ำนองชู้สาวกับนาย ย. และไม่เคยเดินทางไปไหน
มาไหนด้วยกัน จ�ำเลยไม่ได้พูดคุยกับโจทก์ตามบันทึกการสนทนาจากคลิปเสียง กิจการ
ร้าน Va Va Filter เป็นของจ�ำเลยโดยได้เงินลงทุนมาจากน้องชายของบิดาจ�ำเลย โดยจ�ำเลย
ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาน�ำสืบสนับสนุนค�ำเบิกความของจ�ำเลย จึงเป็นการกล่าวอ้าง
ลอย ๆ ไม่มีน�้ำหนักให้รับฟัง ส่วนที่จ�ำเลยอุทธรณ์ว่า นาย ศ. อ้างว่าเมื่อประมาณกลางเดือน
และปลายเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ นาย ศ. เป็นคนเปิดประตูบ้านให้จ�ำเลยกับนาย ย. มานอน
ท่ีบ้านของโจทก์ แต่นาย ศ. เบิกความตอบทนายจ�ำเลยถามค้านว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์
ดังกล่าวนาย ศ. ไม่สามารถเข้าบ้านของโจทก์ได้เนื่องจากนาย ศ. ไม่มีกุญแจบ้าน นาง น. ก็
เบิกความว่าหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้ นาย ย. ปิดล็อกบ้านและเปลี่ยนกุญแจใหม่ ค�ำเบิกความ
ของนาย ศ. ที่อ้างว่าเห็นเหตุการณ์ที่จ�ำเลยไปนอนท่ีบ้านของโจทก์จึงไม่น่าเช่ือถือนั้น เห็นว่า
แม้โจทก์ฟ้องคดีนี้เม่ือวันท่ี ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ แต่ก็ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่านาย ย. เปลี่ยน
กุญแจบ้านใหม่เมื่อใด ท้ังนาย ศ. ก็เบิกความตอบทนายจ�ำเลยถามค้านเพียงว่าปัจจุบัน
นาย ศ. ไม่สามารถเข้าไปพักอาศัยในบ้านของโจทก์ได้เนื่องจากไม่มีกุญแจ ค�ำเบิกความ
ดังกล่าวอาจมีความหมายเพียงว่าปัจจุบันขณะท่ีนาย ศ. เบิกความต่อศาลในวันที่ ๔ มิถุนายน
๒๕๖๒ นาย ศ. ไมม่ กี ญุ แจใหมท่ จ่ี ะไขเขา้ บ้านกเ็ ป็นได้ ส�ำหรบั คำ� เบกิ ความของนาง น. ทเี่ บกิ ความ
69
ว่า หลังจากโจทก์ฟ้องคดีน้ี นาย ย. ได้ปิดล็อกบ้านและเปลี่ยนกุญแจใหม่อาจเป็นช่วงหลัง
เดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ก็เป็นได้เช่นกัน จึงไม่ท�ำให้ค�ำเบิกความของนาย ศ. มีน�้ำหนักน้อยลง
ท่ีจ�ำเลยอุทธรณ์ว่า แผ่นซีดีบันทึกคลิปเสียงและบันทึกการสนทนาจากคลิปเสียง โจทก์ไม่มี
หลกั ฐานจากผใู้ หบ้ รกิ ารโทรศพั ทเ์ คลอื่ นทม่ี าแสดงวา่ โทรศพั ทเ์ คลอื่ นทหี่ มายเลข ๐๖ ๕๖๘๒ xxxx
เป็นของจ�ำเลยนั้น เห็นว่าโจทก์อ้างว่าเสียงในแผ่นซีดีบันทึกคลิปเสียงเป็นเสียงของจ�ำเลย
และโจทก์ไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนให้ลงรายงานประจ�ำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานว่า โจทก์ใช้
โทรศัพท์เคล่อื นท่ีของโจทกห์ มายเลข ๐๘ ๓๖๑๓ xxxx พูดคุยกบั จ�ำเลยโดยไม่ไดอ้ ้างว่าจำ� เลย
ใชโ้ ทรศัพทเ์ คลือ่ นท่ีหมายเลขดังกล่าว ข้ออา้ งของจ�ำเลยยังไม่ถงึ ขนาดท�ำใหพ้ ยานหลักฐานของ
โจทก์มีข้อพิรุธน่าสงสัย ส่วนอุทธรณ์ข้ออ่ืนของจ�ำเลยเป็นรายละเอียดปลีกย่อยไม่ท�ำให้ผลของ
คดีเปล่ียนแปลงไปจึงไม่จ�ำต้องวินิจฉัย พยานหลักฐานของโจทก์ที่น�ำสืบมามีน�้ำหนักรับฟังได้
มากกว่าพยานหลักฐานของจ�ำเลย จึงรับฟังได้ตามท่ีโจทก์น�ำสืบ พฤติการณ์ที่จ�ำเลยแสดงตน
โดยเปดิ เผยเพอื่ แสดงวา่ ตนมคี วามสมั พนั ธก์ บั นาย ย. สามโี จทกใ์ นท�ำนองชสู้ าวเปน็ เหตใุ หโ้ จทก์
เรียกค่าทดแทนจากจำ� เลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง
ที่ศาลช้ันต้นพิพากษาให้โจทก์เรียกค่าทดแทนจากจ�ำเลยได้นั้น ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ
เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ข้อน้ขี องจ�ำเลยฟังไม่ข้นึ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยประการสุดท้ายว่า จ�ำเลยต้องชดใช้ค่า
ทดแทนให้แก่โจทก์ตามค�ำพิพากษาศาลช้ันต้นเพียงใด เห็นว่า ค่าทดแทนท่ีภริยาเรียกจาก
หญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพ่ือแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในท�ำนองชู้สาวน้ัน
พิจารณาจากความเสียหายท่ีภริยาพึงได้รับ พฤติการณ์แห่งคดีและสถานะของคู่สมรสเป็นหลัก
โจทก์นำ� สืบวา่ โจทกก์ บั นาย ย. อยูก่ ินฉันสามีภรยิ ากนั ต้ังแต่ปี ๒๕๔๙ โดยขณะนัน้ เป็นพนักงาน
ในห้างท้ังสองคน จากนั้นท�ำพิธีแต่งงานในปี ๒๕๕๐ และจดทะเบียนสมรสกันเม่ือวันท่ี ๑
มิถุนายน ๒๕๕๓ ตามใบส�ำคัญการสมรส โจทก์กับนาย ย. ร่วมกันประกอบกิจการค้าชื่อร้าน
ID WATER โดยจดทะเบียนพาณิชย์เมือ่ วนั ที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ จำ� หน่ายตทู้ ำ� น้�ำเยน็ เคร่อื ง
กรองนำ้� สารกรองนำ�้ ปม๊ั นำ�้ ทกุ ระบบตามใบทะเบยี นพาณชิ ย์ นอกจากนโ้ี จทกย์ งั มสี ง่ิ พมิ พโ์ ฆษณา
นำ� เสนอสินค้าและบริการของโจทกใ์ นโครงการประชารัฐ นาย จ. กเ็ บิกความว่า พยานดแู ลการ
ติดต้ังงานหลายโครงการ แต่ละปีได้รับการว่าจ้าง ๕๐ ถึง ๖๐ โครงการ การที่โจทก์ท�ำธุรกิจ
ดังกล่าวมานานถงึ ๑๐ ปี ยอ่ มตอ้ งมลี กู คา้ และมคี นรจู้ กั จ�ำนวนมาก ทั้งจำ� เลยก็เบกิ ความรบั ว่า
อยูห่ มู่บ้านเดยี วกนั กับนาย ย. คอื หมบู่ ้านดงนคร ซงึ่ เป็นหม่บู า้ นใหญ่แบ่งเปน็ ๒ หมู่ จ�ำเลย
จึงอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับโจทก์ ท้ังการไปมีความสัมพันธ์ในท�ำนองชู้สาวกับสามีคนอ่ืนมัก
70
เปน็ เรอื่ งทคี่ นในหมบู่ า้ นใหค้ วามสนใจและนำ� เรอ่ื งไปพดู คยุ กนั ขยายเปน็ วงกวา้ ง การกระทำ� ของ
จำ� เลยดงั กลา่ วยอ่ มทำ� ใหโ้ จทกไ์ ดร้ บั ความอบั อายตอ้ งทนทกุ ขท์ รมานทางจติ ใจทส่ี ามที อดทง้ิ ไปอยู่
กับจ�ำเลยจนครอบครัวแตกแยก ทั้งโจทก์ยังได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงและกิจการต้องปิดตัวลง
โจทก์ต้องกลับไปอยู่กับมารดาที่จังหวัดศรีสะเกษ ท่ีศาลชั้นต้นก�ำหนดค่าทดแทนให้จ�ำเลยต้อง
รบั ผดิ เปน็ เงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบย้ี ให้แก่โจทกน์ ้ัน นบั ว่าเหมาะสมแลว้ สว่ นที่จำ� เลย
อุทธรณ์ว่า โจทก์ฟ้องว่าจ�ำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในท�ำนอง
ชู้สาว ขอให้จ�ำเลยใช้ค่าทดแทนแก่โจทก์ ซ่ึงเป็นการเรียกค่าทดแทนตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๒๑ วรรคสอง (ทถ่ี ูก มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง) ซึ่งมบี ทกฎหมายเฉพาะ
บัญญัติไว้แล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าทดแทนเป็นรายเดือนจนกว่าจ�ำเลยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับ
สามีโจทก์โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๐
และมาตรา ๔๔๗ ได้อกี นั้น เหน็ ว่า การท่ีสามโี จทกไ์ ปมคี วามสมั พันธ์ท�ำนองชสู้ าวกบั จำ� เลยอัน
เปน็ การกระทบกระเทอื นถงึ สทิ ธขิ องโจทกซ์ ง่ึ เปน็ ภรยิ านนั้ มบี ทบญั ญตั ไิ วเ้ ปน็ พเิ ศษตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง จึงเป็นกรณีท่ีกฎหมายบัญญัติให้รับผิด
ไว้โดยเฉพาะแล้ว ดังนั้นโจทก์จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากจ�ำเลยเพราะจ�ำเลยแสดงโดยเปิดเผย
เพ่ือแสดงว่าจ�ำเลยมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในท�ำนองชู้สาว โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิ
ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๔๒๐ และมาตรา ๔๔๗ โดยให้จำ� เลย
ช�ำระค่าทดแทนเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องจนกว่าจ�ำเลยจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสามีโจทก์อีกไม่ได้
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จ�ำเลยช�ำระค่าทดแทนเป็นรายเดือนนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจ�ำเลย
จะไม่ยุ่งเก่ียวกับสามีโจทก์โดยเด็ดขาดหรือจนกว่าการกระท�ำอันเป็นการละเมิดสิ้นสุดลงจึงเป็น
การไม่ชอบ ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง อุทธรณ์ข้อนี้ของจ�ำเลย
ฟงั ขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกค�ำขอของโจทก์ที่ขอให้จ�ำเลยช�ำระค่าทดแทนเป็นรายเดือน
ไปจนกว่าจำ� เลยจะไมย่ งุ่ เกี่ยวกับสามีโจทกโ์ ดยเดด็ ขาดหรือจนกวา่ การกระท�ำอันเปน็ การละเมดิ
สิ้นสุดลง นอกจากท่ีแก้ให้เป็นไปตามค�ำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในช้ันอุทธรณ์
ใหเ้ ป็นพบั .
(ขวัญชีวี เสยี งสวุ รรณ - อุเทน ศริ สิ มรรถการ - รตั นา กติ ตพิ บิ ูลย์)
นชิ ญา ปราณีจติ ต์ - ย่อ
พิทักษ์ หลมิ จานนท์ - ตรวจ
71
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดีชำ� นัญพเิ ศษท่ี ๒๖๙๓/ ๒๕๖๓ นางสาว อ. โจทก์
จำ� เลย
นางสาว จ.
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑)
คําฟ้องคดีก่อนซึ่งโจทก์เคยฟ้องจําเลยกับคําฟ้องคดีนี้มีสภาพแห่งข้อหาและ
ข้ออ้างท่ีอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกัน คือ จําเลยแสดงตนโดยเปิดเผยเพ่ือ
แสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในทํานองชู้สาว โดยโจทก์บรรยายคําฟ้อง
ทั้งสองคดีถึงพฤติกรรมของจําเลยเริ่มตั้งแต่หลังจากโจทก์กับจําเลยตกลงทําสัญญา
ประนีประนอมยอมความกันในคดีหมายเลขแดงท่ี พ.๕๓๗/๒๕๖๑ ของศาลชั้นต้นอันเป็น
การกระทําที่สืบเน่ืองติดต่อกันมา มิใช่การกระทําต่างกรรมต่างวาระดังท่ีโจทก์อุทธรณ์
เพียงแต่คําฟ้องโจทก์คดีก่อนระบุว่าประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ โจทก์ว่าจ้าง
นักสืบติดตามพฤติกรรมของจําเลย พบว่าจําเลยยังคงยุ่งเกี่ยวกับสามีโจทก์เช่นเดิม
ส่วนคําฟ้องคดีน้ีระบุว่า ระหว่างวันท่ี ๑๒ ถึงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๓ โจทก์ว่าจ้าง
นักสืบติดตามพฤติกรรมของจําเลย พบว่าจําเลยยังคงยุ่งเก่ียวกับสามีโจทก์เช่นเดิม
อันเป็นวิธีการสืบหาข้อมูลถึงความสัมพันธ์ระหว่างจําเลยกับสามีโจทก์คนละช่วง
เวลาเท่าน้ัน ถือได้ว่ามูลคดีตามคําฟ้องโจทก์ท้ังสองคดีเป็นเร่ืองเดียวกัน การท่ีโจทก์
มาย่ืนคําฟ้องเร่ืองเดียวกันใหม่เป็นคดีนี้ขณะท่ีคดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณา
ของศาลอุทธรณ์คดีชํานัญพิเศษ จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๓
วรรคสอง (๑) ประกอบ พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖
______________________________
โจทกฟ์ ้อง ขอให้บังคบั จำ� เลยช�ำระคา่ ทดแทน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
รอ้ ยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนบั แตว่ นั ฟอ้ งเป็นต้นไปจนกวา่ จะชำ� ระเสรจ็ แก่โจทก์
จำ� เลยใหก้ าร ขอให้ยกฟอ้ ง
ระหวา่ งพจิ ารณา โจทกก์ บั จำ� เลยแถลงรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ รว่ มกนั วา่ โจทกเ์ คยฟอ้ งจำ� เลยตาม
คดหี มายเลขแดงท่ี พ.๕๓๗/๒๕๖๑ ของศาลชนั้ ตน้ คดถี งึ ทส่ี ดุ โดยโจทกก์ บั จำ� เลยตกลงทำ� สญั ญา
72
ประนีประนอมยอมความกัน ต่อมาโจทก์ฟ้องจ�ำเลยตามคดีหมายเลขแดงท่ี ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒
ของศาลชั้นต้นในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างสามีโจทก์กับจ�ำเลยและเรียกค่า
ทดแทน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ แล้วโจทก์มาฟ้องจ�ำเลย
เป็นคดีนี้ในประเด็นเร่ืองความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างสามีโจทก์กับจ�ำเลยและเรียกค่าทดแทน
เช่นเดยี วกับคดกี ่อน
ศาลช้ันตน้ วนิ จิ ฉัยวา่ โจทก์เคยฟอ้ งจ�ำเลยตามคดหี มายเลขแดงท่ี ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒
ของศาลช้ันต้นในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างสามีโจทก์กับจ�ำเลยและเรียก
ค่าทดแทน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ แล้วโจทก์ฟ้อง
จ�ำเลยเป็นคดีนี้ในประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างสามีโจทก์กับจ�ำเลยและเรียก
ค่าทดแทนอีก แม้วันเวลาต่างกันก็ตาม แต่สืบเน่ืองมาจากข้อตกลงในสัญญาประนีประนอม
ยอมความในคดีหมายเลขแดงท่ี พ.๑๑๔/๒๕๖๑ ของศาลช้ันต้น (ท่ีถูก คดีหมายเลขแดงที่
พ.๕๓๗/๒๕๖๑) ในขอ้ ๒ เปน็ หลกั แห่งขอ้ หาในการฟอ้ งคดีน้ีอกี การทโี่ จทกฟ์ อ้ งจ�ำเลยเป็นคดนี ี้
เรียกร้องอาศัยประเด็นตามค�ำฟ้องเดิมอันเป็นประเด็นท่ีสืบเนื่องเป็นเรื่องเดียวกันกับประเด็น
ในคดีเดิมนั้น ค�ำฟ้องคดีน้ีจึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขแดงที่ ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒ ของ
ศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑)
พพิ ากษายกฟ้อง คา่ ฤชาธรรมเนียมใหเ้ ป็นพับ
โจทกอ์ ทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อ
กฎหมายต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงข้อเดียวว่า ค�ำฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อน
กบั คดีหมายเลขแดงท่ี ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒ ของศาลช้ันต้นหรือไม่ เห็นว่า การวินิจฉัยวา่ คำ� ฟอ้ ง
เร่ืองใดจะเป็นฟ้องซ้อนหรือไม่จะต้องพิจารณาว่าโจทก์ฟ้องในมูลคดีอันเป็นเรื่องเดียวกันหรือ
ไม่เป็นส�ำคัญ คดีก่อนซ่ึงโจทก์เคยฟ้องจ�ำเลยตามคดีหมายเลขแดงท่ี ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒ ของ
ศาลชั้นต้นกับค�ำฟ้องคดีนี้มีสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างท่ีอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นเดียวกัน
คือ จ�ำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยเพ่ือแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีโจทก์ในท�ำนองชู้สาว
โดยโจทก์บรรยายค�ำฟ้องท้ังสองคดีถึงพฤติกรรมของจ�ำเลยเริ่มต้ังแต่หลังจากโจทก์กับจ�ำเลย
ตกลงท�ำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในคดีหมายเลขแดงที่ พ.๕๓๗/๒๕๖๑ ของ
ศาลชน้ั ตน้ อนั เป็นการกระทำ� ทสี่ บื เนื่องติดตอ่ กนั มา มใิ ชก่ ารกระท�ำต่างกรรมต่างวาระดงั ทโ่ี จทก์
อุทธรณ์ เพียงแต่ค�ำฟ้องโจทก์ตามคดีหมายเลขแดงที่ ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒ ของศาลช้ันต้น
73
ระบุว่าประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ โจทก์ว่าจ้างนักสืบติดตามพฤติกรรมของจ�ำเลย
พบว่าจ�ำเลยยังคงยุ่งเกี่ยวกับสามีโจทก์เช่นเดิม ส่วนค�ำฟ้องคดีน้ีระบุว่าระหว่างวันที่ ๑๒ ถึง
วันท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๖๓ โจทก์ว่าจ้างนักสืบติดตามพฤติกรรมของจ�ำเลย พบว่าจ�ำเลยยังคง
ยุ่งเก่ียวกับสามีโจทก์เช่นเดิม อันเป็นวิธีการสืบหาข้อมูลถึงความสัมพันธ์ระหว่างจ�ำเลยกับสามี
โจทก์คนละช่วงเวลาเท่าน้ัน ถือได้ว่ามูลคดีตามค�ำฟ้องโจทก์ทั้งสองคดีเป็นเรื่องเดียวกัน การที่
โจทก์มายื่นค�ำฟ้องเรื่องเดียวกันใหม่เป็นคดีนี้ขณะท่ีคดีหมายเลขแดงท่ี ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒
ของศาลชั้นต้นอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษ จึงเป็นฟ้องซ้อน
ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ วรรคสอง (๑) ประกอบ
พระราชบญั ญตั ศิ าลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖ ท่ีศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ค�ำฟ้องโจทก์คดีน้ีเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขแดงท่ี
ยชพ.๓๗๖/๒๕๖๒ ของศาลชั้นต้นและพิพากษายกฟ้องมาน้ันชอบแล้ว ศาลอุทธรณ์
คดีช�ำนญั พเิ ศษเหน็ พ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟงั ไมข่ ึน้
พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอทุ ธรณ์ให้เปน็ พบั .
(อุเทน ศิริสมรรถการ - ปารณี มงคลศิรภิ ทั รา - รชั ดาพร เสนียว์ งศ์ ณ อยุธยา)
เดชวบิ ลุ พนาเศรษฐเนตร - ยอ่
พาชน่ื แสงจนั ทร์เทศ - ตรวจ
74
คำ� พพิ ากษาศาลอุทธรณค์ ดีช�ำนัญพิเศษท่ี ๑๕๙๗/๒๕๖๓ นาง ช. โจทก์
จ�ำเลย
นางสาว ป.
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง
แม้ ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง มไิ ดบ้ ญั ญตั วิ า่ หญงิ อนื่ ซงึ่ มคี วามสมั พนั ธก์ บั
สามนี นั้ จะตอ้ งทราบวา่ สามมี ภี รยิ าอยแู่ ลว้ หรอื ไม่ แตเ่ มอ่ื การเรยี กคา่ ทดแทนจากหญงิ อนื่
เพราะเหตุตามมาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง เป็นการเรียกค่าเสียหายที่มีมูลมาจากการ
กระท�ำที่เป็นการละเมิดสิทธิในครอบครัว ซ่ึงการกระท�ำน้ันจะเป็นการท�ำละเมิดหรือไม่
ต้องพิจารณาจากเจตนาของผู้กระท�ำว่าจงใจกระท�ำละเมิดหรือไม่ โดยต้องพิจารณา
จากข้อเท็จจริงว่าจ�ำเลยรู้ถึงสิทธิในครอบครัวของโจทก์ท่ีถูกละเมิดหรือไม่ ข้อเท็จจริง
ที่ว่าจ�ำเลยทราบหรือไม่ว่านาย อ. มีโจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้วจึงเป็น
ข้อเทจ็ จรงิ ท่ีส�ำคัญท่ีแสดงถงึ เจตนาแห่งการกระทำ� ของจ�ำเลย เพราะหากจ�ำเลยมไิ ดร้ ถู้ ึง
ข้อเท็จจริงดังกล่าว การท่ีจ�ำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปด้วยการคบหา
แต่งงาน และอยู่กินฉันสามีภริยากับนาย อ. ย่อมถือเป็นเรื่องปกติวิสัยของสามีภริยา
ทวั่ ไป ไม่อาจถือวา่ เป็นการละเมิดสิทธใิ นครอบครัวของโจทก์
______________________________
โจทกฟ์ อ้ งขอใหบ้ งั คบั จำ� เลยชำ� ระคา่ ทดแทนแกโ่ จทก์ ๔,๕๖๐,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบยี้
อตั รารอ้ ยละ ๗.๕ ต่อปี นบั ถัดจากวนั ฟ้องเป็นตน้ ไปจนกวา่ จะชำ� ระเสรจ็
จ�ำเลยใหก้ าร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชนั้ ต้นพพิ ากษายกฟ้อง คา่ ฤชาธรรมเนียมใหเ้ ป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริง
ที่โจทก์และจ�ำเลยไม่โต้แย้งกันในชั้นอุทธรณ์รับฟังได้เป็นยุติว่า โจทก์กับนาย อ. เป็น
สามีภริยาชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสเม่ือวันท่ี ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๘ เดิมโจทก์
ใช้ชื่อว่า พ. และ ช. นาย อ. ใช้ช่ือว่า ท. มีบุตรด้วยกัน ๒ คน คือ นาย ค. และนาย ภ.
ปัจจุบันบรรลุนิติภาวะแล้ว โจทก์ประกอบกิจการส่วนตัวและเป็นผู้สอบบัญชีนาย อ. และ
75
จ�ำเลยรับราชการอยู่กรมท่ีดิน นาย อ. ถึงแก่ความตายเม่ือวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ก่อน
ถงึ แกค่ วามตายนาย อ. มตี ำ� แหนง่ นายชา่ ง สำ� นกั งานทด่ี นิ จงั หวดั ศรสี ะเกษ สว่ นจำ� เลยมตี ำ� แหนง่
ปัจจบุ ันเป็นหวั หน้าฝ่าย ส�ำนักงานทีด่ นิ จงั หวดั ศรีสะเกษ ระหว่างท่ีนาย อ. รับราชการทจ่ี งั หวดั
อุบลราชธานี นาย อ. อย่กู ินฉันสามภี รยิ ากับจ�ำเลย มบี ตุ รด้วยกนั ๑ คน คอื นางสาว ป. หรอื ร.
เกดิ เมอ่ื วนั ที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๔๔ ซ่ึงนาย อ. จดทะเบียนรบั เปน็ บุตรแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจาก
จ�ำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า
แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง บัญญัติว่า “สามีจะเรียก
ค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในท�ำนองชู้สาวก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจาก
หญิงอ่ืนที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในท�ำนองชู้สาวก็ได้”
อนั เปน็ การรบั รองสทิ ธขิ องภรยิ าชอบดว้ ยกฎหมายในการเรยี กคา่ ทดแทนจากหญงิ อน่ื ทแ่ี สดงตน
วา่ มคี วามสมั พนั ธก์ บั สามใี นทำ� นองชสู้ าวได้ และขอ้ เทจ็ จรงิ คดนี ไี้ ดค้ วามตามทางนำ� สบื ของโจทก์
และจ�ำเลยว่า จ�ำเลยคบหาในท�ำนองชู้สาวและอยู่กินฉันสามีภริยากับนาย อ. สามีโจทก์ตลอดมา
ต้ังแต่ปี ๒๕๔๑ จนกระท่ังถึงวันที่นาย อ. ถึงแก่ความตาย แต่เม่ือจ�ำเลยอ้างว่าจ�ำเลยคบหา
กับนาย อ. โดยไม่รวู้ ่านาย อ. มโี จทกเ์ ปน็ ภริยาชอบด้วยกฎหมายแล้วอันเป็นการอา้ งว่าจำ� เลย
มไิ ดจ้ งใจกระทำ� ละเมดิ ตอ่ โจทกต์ ามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว ซงึ่ แมป้ ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง มิได้บัญญัติว่าหญิงอื่นซ่ึงมีความสัมพันธ์กับสามีนั้นจะต้องทราบว่า
สามีมีภริยาอยู่แล้วหรือไม่ แต่เม่ือการเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นเพราะเหตุตามมาตรา ๑๕๒๓
วรรคสอง เป็นการเรียกค่าเสียหายท่ีมีมูลมาจากการกระท�ำท่ีเป็นการละเมิดสิทธิในครอบครัว
ซ่ึงการกระท�ำน้ันจะเป็นการท�ำละเมิดหรือไม่ต้องพิจารณาจากเจตนาของผู้กระท�ำว่าจงใจกระท�ำ
ละเมิดหรือไม่ โดยต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงว่าจ�ำเลยรู้ถึงสิทธิในครอบครัวของโจทก์ที่ถูก
ละเมดิ หรือไม่ ข้อเทจ็ จริงทว่ี า่ จำ� เลยทราบหรือไมว่ ่านาย อ. มโี จทกเ์ ป็นภริยาชอบดว้ ยกฎหมาย
อยู่แล้วจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ส�ำคัญท่ีแสดงถึงเจตนาแห่งการกระท�ำของจ�ำเลย เพราะหากจ�ำเลย
มิได้รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว การท่ีจ�ำเลยแสดงตนโดยเปิดเผยแก่บุคคลท่ัวไปด้วยการคบหา
แต่งงาน และอยู่กินฉันสามีภริยากับนาย อ. ย่อมถือเป็นเร่ืองปกติวิสัยของสามีภริยาท่ัวไป
ไม่อาจถอื ว่าเป็นการละเมิดสิทธใิ นครอบครัวของโจทก์ เมื่อขอ้ เท็จจรงิ ตามทางนำ� สืบของจ�ำเลย
ไดค้ วามว่า ก่อนทีจ่ ำ� เลยอยกู่ นิ ฉันสามีภรยิ ากบั นาย อ. จ�ำเลยกบั นาย อ. ได้คบหาเป็นคนรักกัน
มาก่อนประมาณ ๒ ปี แล้วจึงมีการสู่ขอและจัดงานแต่งงานกันตามประเพณีโดยเปิดเผย ซ่ึงมี
76
ผูบ้ งั คบั บัญชาและเพือ่ นของจำ� เลยและนาย อ. รวมประมาณ ๒๐๐ คน เขา้ รว่ มงานแต่งงานและ
หลังจากแต่งงานกันแล้วจ�ำเลยกับนาย อ. ก็อยู่กินฉันสามีภริยาโดยเปิดเผยตลอดมาเป็นเวลา
นานถงึ ๑๙ ปี โดยไมป่ รากฏว่าโจทก์เคยไปหานาย อ. ท่บี า้ นพักหรือแสดงตนใหจ้ ำ� เลยทราบวา่
โจทกเ์ ป็นภริยาชอบดว้ ยกฎหมายของนาย อ. แม้โจทกม์ ีภาพถ่ายว่านาย อ. เคยพานาย ภ. ไป
ท่ีท�ำงานของนาย อ. แต่ตามภาพถ่ายดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าเป็นสถานที่ใด และจ�ำเลยท�ำงาน
อยู่สถานทด่ี งั กล่าวด้วยหรือไม่ และโจทกไ์ ม่มพี ยานอน่ื ใดในสถานทีท่ ำ� งานดงั กลา่ วมาเบกิ ความ
ยนื ยันวา่ นาย อ. เคยพานาย ภ. ไปแสดงตนว่าเปน็ บตุ รของนาย อ. ในสถานท่ีทำ� งาน ทง้ั นางสาว ศ.
พยานโจทก์ซ่ึงรับราชการอยู่ท่ีส�ำนักงานท่ีดินจังหวัดศรีสะเกษและเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของ
นาย อ. ก็เบกิ ความตอบค�ำถามคา้ นของทนายจำ� เลยวา่ ระหวา่ งทนี่ าย อ. เป็นผู้ใตบ้ งั คบั บญั ชา
ของพยาน พยานไม่เคยทราบมาก่อนว่าผู้ใดเป็นภริยาของนาย อ. จนกระทั่งวันท่ีพยานไป
ท่ีบ้านของนาย อ. ที่กรุงเทพมหานคร แต่พยานไม่เคยบอกจ�ำเลยเน่ืองจากไม่เคยพบจ�ำเลย
ย่ิงเจือสมกับค�ำเบิกความของจ�ำเลยแสดงให้เห็นว่าโจทก์ไม่เคยไปแสดงตนว่าเป็นภริยานาย อ.
ในสถานที่ท�ำงานของนาย อ. ส่วนนาง น. และนาย ย. พยานโจทก์อีกสองปากซ่ึงเบิกความ
ทำ� นองเดยี วกนั เพยี งวา่ พยานทง้ั สองทราบในวนั จดั งานศพนาย อ. วา่ จำ� เลยเปน็ ภรยิ าอกี คนของ
นาย อ. กไ็ มใ่ ชพ่ ยานทย่ี นื ยนั ไดว้ า่ จำ� เลยทราบวา่ นาย อ. มโี จทกเ์ ปน็ ภรยิ าชอบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่
และเม่ือพิจารณาค�ำเบิกความของโจทก์ท่ีเบิกความตอบค�ำถามค้านทนายจ�ำเลยว่า หลังจาก
นาย อ. ไปรับราชการท่ตี า่ งจังหวัด โจทกไ์ ม่เคยใช้ชีวติ ค่รู ว่ มกับนาย อ. ไมท่ ราบว่านาย อ. เช่า
บา้ นพกั ทีใ่ ด ใชช้ ีวติ อยา่ งไร และตลอดเวลา ๒๐ ปี ทนี่ าย อ. รบั ราชการทจี่ ังหวดั อุบลราชธานี
และจังหวัดศรีสะเกษ โจทก์ไม่เคยออกงานร่วมกับนาย อ. ประกอบกับการท่ีโจทก์ไม่เคยทราบ
เร่ืองความสัมพันธ์ระหว่างนาย อ. กับจ�ำเลยท่ีแต่งงานและอยู่กินฉันสามีภริยาโดยเปิดเผยและ
มบี ุตรดว้ ยกนั เปน็ เวลานานถงึ ๑๙ ปี แตเ่ พ่งิ รู้เมื่อจ�ำเลยและบุตรของจำ� เลยมาแสดงตัวตอ่ โจทก์
ในงานศพนาย อ. ยิ่งเจือสมกบั ค�ำเบิกความของจ�ำเลยว่าจ�ำเลยไม่ทราบว่าโจทก์เป็นภริยาชอบ
ดว้ ยกฎหมายของนาย อ. ท�ำใหค้ ำ� เบิกความของจ�ำเลยมนี ำ้� หนกั มากข้นึ สว่ นทีโ่ จทก์เบิกความ
ว่าโจทก์เคยไปหาและพักท่ีบ้านเช่าของนาย อ. น้ันโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานว่าโจทก์ไปหา
นาย อ. เม่ือใด ทงั้ หากโจทก์เคยไปหาและพักอาศัยอยกู่ ับนาย อ. ทีบ่ ้านเช่าในขณะท่นี าย อ. รับ
ราชการในจงั หวดั ท่ีนาย อ. อยกู่ นิ ฉันสามีภรยิ ากบั จ�ำเลย เชื่อว่าโจทกค์ งทราบถึงความสัมพันธ์
ระหว่างนาย อ. กับจ�ำเลยได้และแสดงตัวให้จ�ำเลยทราบว่าโจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมาย
ของนาย อ. คงไม่ปลอ่ ยใหน้ าย อ. และจำ� เลยอยูก่ นิ ฉนั สามีภริยากนั เป็นเวลานานเช่นนนั้ สว่ น
77
ทโี่ จทก์อทุ ธรณว์ า่ การท่ีบดิ ามารดาของนาย อ. ไม่ได้ไปสู่ขอจ�ำเลย นาย อ. กลับกรุงเทพมหานคร
เดือนละ ๑ ถึง ๒ ครั้ง และจ�ำเลยไม่เคยพบหรือได้รับการแนะน�ำให้รู้จักญาติของนาย อ.
เป็นการผิดปกติวิสัย และการที่จ�ำเลยมิได้พยายามค้นหาความจริงและมิได้ตรวจสอบสถานะ
การสมรสของนาย อ. ว่ามีภริยาชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่ ส่อให้เห็นว่าจ�ำเลยไม่สนใจว่า
นาย อ. มีภริยาอยู่แล้วหรือไม่ นั้น เห็นว่าตามพฤติการณ์ท่ีจ�ำเลยกับนาย อ. คบหากัน
เป็นเวลาเกือบ ๒ ปี ก่อนแต่งงาน หลังจากน้ันมีการสู่ขอและแต่งงานกันตามประเพณีซึ่งมี
ผูบ้ ังคบั บญั ชาและเพ่อื นรับรู้ และจ�ำเลยกับนาย อ. อยกู่ นิ ฉันสามีภรยิ ากันมาตามปกตเิ ปน็ เวลา
นาน ประกอบกับเมื่อพิจารณาถึงอาชีพการงานของนาย อ. ท่ีเป็นข้าราชการมารับราชการ
ในต่างจังหวัดโดยที่มีบิดามารดาอยู่ที่กรุงเทพมหานครและพฤติกรรมของนาย อ. ท่ีมีความ
ประพฤติดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ และไม่มีปัญหาเรื่องผู้หญิง การท่ีจ�ำเลยมิได้ค้นหาความจริง
และมิได้ตรวจสอบสถานะการสมรสของนาย อ. ว่ามีภริยาชอบด้วยกฎหมายแล้วหรือไม่
จึงมิใช่ข้อท่ีแสดงได้ว่าจ�ำเลยทราบว่านาย อ. มีคู่สมรสแล้ว ดังนั้น เม่ือจ�ำเลยปฏิเสธว่าจ�ำเลย
ไม่เคยทราบข้อเท็จจริงว่านาย อ. มีโจทก์เป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายแล้วและโจทก์มีภาระ
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงให้รับฟังได้ว่าจ�ำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวและจงใจกระท�ำละเมิดสิทธิ
ในครอบครัวของโจทก์โดยแสดงตนโดยเปดิ เผยเพอื่ แสดงวา่ ตนมีความสัมพันธ์กับนาย อ. ในท�ำนอง
ชู้สาวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๔/๑ ประกอบพระราชบัญญัติ
ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖
แต่พยานหลักฐานของโจทก์ที่น�ำสืบมายังไม่มีน�้ำหนักให้รับฟังได้ว่าจ�ำเลยรู้ว่านาย อ. เป็นสามี
ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ ดังน้ันแม้จ�ำเลยคบหาและอยู่กินฉันสามีภริยากับนาย อ. โดย
เปิดเผยตลอดมาก็ยังไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นการกระท�ำโดยจงใจละเมิดสิทธิในครอบครัว
ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๒๓ วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ
เรยี กคา่ ทดแทนจากจ�ำเลย ทศี่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ งโจทกม์ านน้ั ศาลอทุ ธรณค์ ดชี �ำนญั พเิ ศษ
เหน็ พ้องด้วย อทุ ธรณข์ องโจทกฟ์ งั ไมข่ ึ้น
พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมในช้นั อุทธรณใ์ ห้เปน็ พบั .
(รัชดาพร เสนยี ว์ งศ์ ณ อยธุ ยา - อุเทน ศริ สิ มรรถการ - รตั นา กิตติพบิ ูลย์)
นภกมล หะวานนท์ สวา่ งแจง้ - ยอ่
พาชืน่ แสงจันทรเ์ ทศ - ตรวจ
78
ค�ำพพิ ากษาศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษที่ ๒๙๗/๒๕๖๐ นาง น. ผรู้ อ้ ง
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๕๖ วรรคสาม
แม้ผู้ร้องจะยื่นค�ำร้องขอให้ศาลมีค�ำสั่งว่าผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของ
ผู้ตายเม่ือพ้นก�ำหนด ๑ ปี นับแต่วันท่ีผู้ร้องบรรลุนิติภาวะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๕๖
วรรคสาม แต่ปญั หาเรอ่ื งอายุความแมจ้ ะเป็นปัญหาขอ้ กฎหมายแต่กม็ ใิ ชป่ ัญหาเกย่ี วกับ
ความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลชั้นต้นย่อมไม่อาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและน�ำมา
เปน็ เหตุยกค�ำรอ้ งขอของผรู้ อ้ งได้
_____________________________
ผู้ร้องยื่นค�ำรอ้ งขอให้มคี ำ� สั่งวา่ ผรู้ ้องเปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของนาย ส. ผตู้ าย
ศาลชน้ั ตน้ ประกาศนัดไตส่ วนแล้ว ไม่มผี ใู้ ดคัดคา้ น
ศาลชนั้ ต้นมคี ำ� สงั่ ยกคำ� ร้องขอ ค่าฤชาธรรมเนยี มใหเ้ ปน็ พบั
ผู้รอ้ งอทุ ธรณ์
ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั วนิ จิ ฉยั วา่ ผรู้ อ้ งอทุ ธรณว์ า่
ค�ำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกค�ำร้องขอของผู้ร้องเพราะเหตุคดีขาดอายุความชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า
แม้การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตร กรณีที่เด็กบรรลุนิติภาวะแล้ว จะต้องฟ้องคดีภายในหน่ึงปี
นับแต่วันบรรลุนิติภาวะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๕๖ วรรคสาม และ
ผู้ร้องย่ืนค�ำร้องขอเป็นคดีนี้ เม่ือพ้นก�ำหนดเวลาดังกล่าวก็ตาม แต่ปัญหาเร่ืองอายุความมิใช่
ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลชั้นต้นย่อมไม่อาจหยิบยกข้ึนวินิจฉัยและ
น�ำมาเป็นเหตุยกค�ำร้องขอของผู้ร้องได้ ค�ำส่ังศาลชั้นต้นท่ีให้ยกค�ำร้องขอของผู้ร้องเพราะเหตุ
คดีขาดอายุความจึงไม่ชอบ อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังขึ้น ส่วนปัญหาที่ว่าผู้ร้องเป็นบุตรชอบด้วย
กฎหมายของผู้ตายหรือไม่น้ัน ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษมีอ�ำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามท่ี
ปรากฏในส�ำนวนได้ โดยไมจ่ �ำเปน็ ตอ้ งยอ้ นส�ำนวนใหศ้ าลชน้ั ตน้ วนิ จิ ฉยั เสยี กอ่ น ทางไตส่ วนของ
ศาลชัน้ ตน้ ได้ความวา่ ผูร้ ้องเปน็ บตุ รของผตู้ ายกบั นาง ส. ผตู้ ายกับนาง ส. ถงึ แก่ความตายแลว้
และศาลจังหวัดขอนแกน่ มีคำ� ส่ังตงั้ ผ้รู อ้ งเปน็ ผจู้ ัดการมรดกของผูต้ าย พฤตกิ ารณ์ดังกล่าวแสดง
ให้เห็นว่ามีพฤติการณ์ท่ีรู้กันท่ัวไปตลอดมาว่าผู้ร้องเป็นบุตรของผู้ตายจึงชอบท่ีจะมีค�ำส่ังว่า
ผู้ร้องเป็นบตุ รชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย
79
พิพากษากลบั ว่า นาง น. ผู้ร้อง เปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของนาย ส. ผู้ตาย ตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๕๕
(รตั นา กิตตพิ บิ ูลย์ - ปรญิ ญา อิทธวิ กิ ลุ - รชั ดาพร เสนยี ์วงศ์ ณ อยธุ ยา)
พทิ กั ษ์ หลมิ จานนท์ - ย่อ
นรินทร์ ทองค�ำใส - ตรวจ
80
ค�ำพิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีชำ� นัญพเิ ศษท่ี ๓๕๑/๒๕๖๑ นาง ว. โจทก์
นาย ภ. จ�ำเลย
ป.ว.ิ พ. มาตรา ๕๕
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖
โจทก์บรรยายค�ำฟ้องว่า จ�ำเลยเป็นบุคคลท่ีนาง ด. รับมาเล้ียง จ�ำเลยจึงไม่ใช่
บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของนาง ด. กบั นาย ป. บดิ าของโจทก์ และตามคำ� ฟอ้ งไมป่ รากฏวา่
นาย ป. ถงึ แกค่ วามตายแลว้ หากขอ้ อา้ งตามคำ� ฟอ้ งของโจทกเ์ ปน็ ความจรงิ ผทู้ ถ่ี กู โตแ้ ยง้
สทิ ธิ คอื นาย ป. ส่วนโจทกม์ ิใชผ่ ูท้ ี่ถกู โตแ้ ยง้ สทิ ธิ โจทกจ์ งึ ไม่มีอ�ำนาจฟ้องขอใหพ้ พิ ากษา
ว่าจ�ำเลยไมใ่ ช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของนาย ป.
_______________________________
โจทกฟ์ อ้ ง ขอใหพ้ พิ ากษาวา่ จำ� เลยไมใ่ ชบ่ ตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของนาย ป. และไมใ่ ชน่ อ้ ง
ร่วมบดิ าเดียวกนั กบั โจทก์ กบั ใหจ้ ำ� เลยด�ำเนนิ การแกไ้ ขรายการจดทะเบียนในสตู บิ ตั ร ทะเบียน
บา้ นฉบบั ราชการและฉบบั ของจำ� เลย กบั เอกสารอน่ื ของทางราชการ หากไมด่ ำ� เนนิ การใหถ้ อื เอา
คำ� พพิ ากษาแทนการแสดงเจตนาของจ�ำเลย
ศาลชน้ั ตน้ ตรวจคำ� ฟอ้ งแลว้ เหน็ ว่า บุคคลผูไ้ ด้รับความเสียหายหรอื ถกู โตแ้ ยง้ สิทธิ คือ
นาย ป. เมอื่ นาย ป. ยังไม่ถงึ แกค่ วามตายจงึ ยังไมม่ ขี ้อโตแ้ ยง้ เกิดขนึ้ เกี่ยวกับสิทธหิ รือหน้าที่ของ
บคุ คลตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๔๔ (๑) โจทกย์ ังไม่ถกู โตแ้ ย้งสิทธติ าม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและ
ครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๖ พิพากษายกฟ้อง
ค่าฤชาธรรมเนียมใหเ้ ปน็ พบั
โจทกอ์ ุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า มีปัญหาต้อง
วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้พิพากษาว่าจ�ำเลยไม่ใช่บุตรชอบด้วย
กฎหมายของนาย ป. บดิ าของโจทก์หรอื ไม่ โจทก์อุทธรณ์ว่า การท่ีนาง ด. นำ� เอกสารราชการ
81
ต่าง ๆ ระบวุ ่าจ�ำเลยเปน็ บตุ รของนาย ป. หรอื แสดงออกตอ่ โจทก์หรือบุคคลภายนอกว่าจ�ำเลย
เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนาย ป. รวมทั้งการน�ำเอกสารทะเบียนบ้านแสดงต่อสถาน
การศึกษาหรือหน่วยงานราชการก่อให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์ แม้ไม่มีกฎหมายให้อ�ำนาจ
โจทกใ์ นฐานะบตุ รของนาย ป. ฟอ้ งเพิกถอนความเป็นบุตรชอบดว้ ยกฎหมายของจำ� เลย แต่ตาม
พฤตกิ ารณแ์ ละข้อเท็จจรงิ ตามค�ำฟอ้ งของโจทกต์ ้องดว้ ยจารตี ประเพณแี หง่ ทอ้ งถิ่นตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๔ วรรคสอง เหน็ วา่ โจทกบ์ รรยายคำ� ฟอ้ งวา่ จำ� เลยเปน็ บคุ คลท่ี
นาง ด. รับมาเล้ียง จ�ำเลยจึงไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฎหมายของนาง ด. กับนาย ป. อีกทั้งตาม
คำ� ฟอ้ งของโจทกไ์ มป่ รากฏวา่ นาย ป. ถงึ แกค่ วามตายแลว้ ดงั น้ี หากขอ้ อา้ งตามคำ� ฟอ้ งของโจทก์
เป็นความจริงผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิคือนาย ป. ส่วนโจทก์มิใช่ผู้ท่ีถูกโต้แย้งสิทธิแต่อย่างใด ปัญหา
ดังกล่าวมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีโดยเฉพาะอยู่แล้ว กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา ๔
วรรคสอง ท่ีจะต้องวินิจฉัยคดีตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นตามที่โจทก์อุทธรณ์ ดังน้ี
เม่ือโจทก์มิใช่ผู้ที่ถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอ�ำนาจฟ้องขอให้พิพากษาว่าจ�ำเลยไม่ใช่บุตรชอบ
ด้วยกฎหมายของนาย ป. ท่ีศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์น้ันชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์
ฟงั ไม่ขึ้น
พิพากษายนื ค่าฤชาธรรมเนียมช้นั อุทธรณ์ให้เปน็ พบั .
(รัชดาพร เสนียว์ งศ์ ณ อยธุ ยา - อุเทน ศิริสมรรถการ - รตั นา กติ ติพิบลู ย)์
พทิ ักษ์ หลมิ จานนท์ - ย่อ
โตมร สิรวิ วิ ัฒน์ภากร - ตรวจ
82
คำ� พิพากษาศาลอทุ ธรณ์คดีช�ำนัญพเิ ศษที่ ๔๔๗๐/๒๕๖๑ นางสาว น. โจทก์
นาย อ. จำ� เลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๔๖, ๑๕๕๖ วรรคหน่ึง, ๑๕๖๖, ๑๕๖๙
ตามคำ� ฟอ้ งของโจทกร์ ะบุว่าเด็กชาย น. เปน็ บตุ รของโจทก์โดยได้แนบสำ� เนาแบบ
รับรองรายการทะเบียนคนเกิดเอกสารท้ายค�ำฟ้อง อันเป็นส่วนหน่ึงของค�ำฟ้องโจทก์ ซึ่งก็
ระบวุ า่ โจทกเ์ ปน็ มารดาของเดก็ ชาย น. ดงั นนั้ เดก็ ชาย น. เปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของโจทก์
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๔๖ เมอื่ เดก็ ชาย น. ยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะตอ้ งอยภู่ ายใตอ้ ำ� นาจปกครอง
ของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๖ โจทก์จึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชาย น.
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๙ การใช้อ�ำนาจดังกล่าวเป็นอ�ำนาจตามกฎหมายบัญญัติ
โดยไมต่ อ้ งมกี ารแตง่ ตงั้ หรอื มอบหมายแตอ่ ยา่ งใด แมต้ ามคำ� ฟอ้ งโจทกจ์ ะไมไ่ ดร้ ะบวุ า่ โจทก์
ฟอ้ งแทนเดก็ ชายน.หรอื ในฐานะผแู้ ทนโดยชอบธรรมกต็ ามแตต่ ามคำ� ฟอ้ งและคำ� ขอทา้ ยฟอ้ ง
ของโจทกก์ ร็ ะบเุ กย่ี วพนั ไปถงึ ฐานะและสทิ ธขิ องเดก็ ชายน.โดยตรงจงึ ถอื ไดว้ า่ โจทกไ์ ดฟ้ อ้ งคดี
ในฐานะผูแ้ ทนโดยชอบธรรมของเด็กชาย น. ดว้ ยแล้ว
______________________________
โจทกฟ์ อ้ ง ขอใหบ้ งั คบั จำ� เลยจดทะเบยี นรบั เดก็ ชาย น. เปน็ บตุ ร ใหจ้ ำ� เลยชำ� ระคา่ อปุ การะ
เลยี้ งดเู ดก็ ชาย น. ตงั้ แตเ่ กดิ จนถงึ อายุ ๒๐ ปี เดอื นละ ๘,๐๐๐ บาท รวมเปน็ เงนิ ๑,๙๒๐,๐๐๐ บาท
ใหจ้ ำ� เลยช�ำระค่าอปุ การะเล้ียงดโู จทก์ นับถัดจากวนั ฟอ้ งจนถงึ เดก็ ชาย น. อายุ ๒๐ ปี เดือนละ
๒,๐๐๐ บาท รวมเปน็ เงิน ๔๐๘,๐๐๐ บาท พรอ้ มดอกเบ้ยี อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงนิ
๒,๓๒๘,๐๐๐ บาท นบั ถัดจากวันฟอ้ งเปน็ ตน้ ไปจนกว่าจะช�ำระเสรจ็
จำ� เลยใหก้ ารและแกไ้ ขค�ำให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชน้ั ตน้ พพิ ากษาวา่ เดก็ ชาย น. ผเู้ ยาว์ เปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายของจำ� เลย ใหจ้ ำ� เลย
จดทะเบียนรบั เดก็ ชาย น. ผู้เยาว์ เปน็ บุตร หากจ�ำเลยไม่ดำ� เนินการ ใหผ้ ูม้ ีสว่ นได้เสียย่ืนสำ� เนา
ค�ำพิพากษาอันถึงที่สุดซึ่งรับรองถูกต้องเพ่ือบันทึกในทะเบียน ให้จ�ำเลยช�ำระเงินค่าอุปการะ
เลี้ยงดูผเู้ ยาว์ ๑๒๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ตอ่ ปี ของต้นเงนิ ๑๒๙,๐๐๐ บาท
นบั ถัดจากวนั ฟอ้ ง (ฟอ้ งวันที่ ๒๔ สงิ หาคม ๒๕๕๙) เปน็ ตน้ ไปจนกวา่ จะช�ำระเสรจ็ และช�ำระเงิน
83
ค่าอุปการะเล้ียงดูผู้เยาว์เป็นรายเดือน โดยนบั ถดั จากวันฟ้องจนก่อนผู้เยาว์ถึงอายุ ๖ ปี เดอื นละ
๓,๐๐๐ บาท จากอายุ ๖ ปี จนกอ่ นอายุ ๑๒ ปี เดือนละ ๔,๐๐๐ บาท จากอายุ ๑๒ ปี จนกอ่ น
อายุ ๑๘ ปี เดอื นละ ๖,๐๐๐ บาท จากอายุ ๑๘ ปี จนก่อนจะบรรลนุ ติ ภิ าวะ เดอื นละ ๘,๐๐๐ บาท
ใหจ้ ำ� เลยชำ� ระคา่ ฤชาธรรมเนยี มแทนโจทก์ โดยกำ� หนดคา่ ทนายความ ๖,๐๐๐ บาท คำ� ขออน่ื ใหย้ ก
จำ� เลยอุทธรณ์
ศาลอทุ ธรณค์ ดชี ำ� นญั พเิ ศษแผนกคดเี ยาวชนและครอบครวั วนิ จิ ฉยั วา่ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั
ได้ตามค�ำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นโดยที่คู่ความไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่าเด็กชาย น.
ผู้เยาว์ เกิดเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามส�ำเนาสูติบัตร เป็นบุตรของโจทก์กับจ�ำเลยซ่ึง
ไม่ได้จดทะเบยี นสมรสกนั ปัจจบุ ันเดก็ ชาย น. อยูใ่ นความดแู ลของโจทก์
คดมี ปี ระเดน็ ตอ้ งวนิ จิ ฉยั ตามอทุ ธรณข์ องจำ� เลยเพยี งประเดน็ เดยี ววา่ โจทกม์ อี ำ� นาจฟอ้ ง
ขอให้จ�ำเลยจดทะเบยี นรับเด็กชาย น. ผู้เยาว์ เป็นบตุ รหรือไม่ โดยจ�ำเลยอุทธรณว์ ่า โจทกไ์ ม่มี
อ�ำนาจฟ้องเน่ืองจากการบรรยายค�ำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องในฐานะส่วนตัวมิได้ฟ้องในฐานะ
ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของเดก็ ชาย น. นน้ั เหน็ วา่ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๕๖
วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในระหว่างที่เด็กเป็นผู้เยาว์ ถ้าเด็กมีอายุ
ยงั ไมค่ รบสิบหา้ ปีบรบิ รู ณ์ ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กเป็นผู้ฟ้องแทน ในกรณที เี่ ดก็ ไม่มีผู้แทน
โดยชอบธรรม หรอื มแี ตผ่ แู้ ทนโดยชอบธรรมไมส่ ามารถทำ� หนา้ ทไ่ี ด้ ญาตสิ นทิ ของเดก็ หรอื อยั การ
อาจร้องขอต่อศาลให้ต้ังผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อท�ำหน้าท่ีฟ้องคดีแทนเด็กก็ได้” และในวรรคสอง
บญั ญตั วิ ่า “เมือ่ เดก็ มอี ายุสิบห้าปีบริบูรณ์ เดก็ ต้องฟ้องเอง ทงั้ นี้โดยไม่จำ� ต้องไดร้ บั ความยินยอม
ของผแู้ ทนโดยชอบธรรม” ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ ตามคำ� ฟอ้ งของโจทกร์ ะบวุ า่ เดก็ ชาย น. เปน็ บตุ ร
ของโจทก์ เกิดเม่ือวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๕๖ ปัจจุบันอายุ ๓ ปี โดยได้แนบส�ำเนาแบบรับรอง
รายการทะเบียนคนเกิด อันเป็นส่วนหน่ึงของค�ำฟ้องโจทก์ ก็ระบุว่าโจทก์เป็นมารดาของ
เด็กชาย น. ประกอบกับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๔๖ บัญญัติว่า
“เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิงน้ัน
เว้นแต่จะมกี ฎหมายบัญญตั ิไวเ้ ป็นอยา่ งอ่นื ” ดังนัน้ เดก็ ชาย น. เป็นบตุ รชอบด้วยกฎหมายของ
โจทก์ เมอ่ื เดก็ ชาย น. ยังไมบ่ รรลนุ ติ ิภาวะต้องอยู่ภายใต้อ�ำนาจปกครองของโจทก์ซ่ึงเป็นมารดา
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๖ โจทก์จึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของ
เดก็ ชาย น. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๖๙ ท่บี ญั ญตั วิ า่ “ผูใ้ ชอ้ �ำนาจปกครอง
เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร...” การใช้อ�ำนาจดังกล่าวเป็นอ�ำนาจตามกฎหมายบัญญัติ
84
โดยมิต้องมีการแต่งตั้งหรือมอบหมายแต่อย่างใด เม่ือกรณีที่เด็กชาย น. มีอายุยังไม่ครบ
สบิ หา้ ปบี รบิ รู ณไ์ มส่ ามารถฟอ้ งจำ� เลยขอใหร้ บั เปน็ บตุ รไดด้ ว้ ยตนเองตอ้ งใหผ้ แู้ ทนโดยชอบธรรม
เป็นผู้ฟ้องคดีแทนตามมาตรา ๑๕๕๖ วรรคหนึ่ง การท่ีโจทก์ย่ืนฟ้องจ�ำเลยขอให้รับ
เดก็ ชาย น. เปน็ บตุ รในระหวา่ งทเ่ี ดก็ เปน็ ผเู้ ยาว์ แมต้ ามคำ� ฟอ้ งโจทกจ์ ะไมไ่ ดร้ ะบวุ า่ โจทกฟ์ อ้ งแทน
เดก็ ชาย น. หรอื ในฐานะผแู้ ทนโดยชอบธรรมกต็ าม แตค่ ำ� ฟอ้ งและคำ� ขอทา้ ยฟอ้ งของโจทกก์ ร็ ะบุ
เก่ียวพนั ไปถงึ ฐานะและสทิ ธิของเดก็ ชาย น. ผ้เู ยาว์โดยตรง จึงถือไดว้ ่าโจทกไ์ ด้ฟ้องคดใี นฐานะ
ผแู้ ทนโดยชอบธรรมของเดก็ ชาย น. ดว้ ยหาใชฟ่ อ้ งในฐานะสว่ นตวั แตป่ ระการเดยี วไม่ โจทกจ์ งึ มี
อำ� นาจฟ้อง ท่ีศาลชน้ั ต้นพิพากษามานน้ั ชอบแล้ว อทุ ธรณข์ องจ�ำเลยฟังไมข่ ้นึ
อน่ึง คดีนี้จ�ำเลยอุทธรณ์แต่เฉพาะเรื่องโจทก์มีอ�ำนาจฟ้องขอให้จ�ำเลยจดทะเบียน
รบั เดก็ ชาย น. เปน็ บตุ รหรอื ไมเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว ทง้ั เรอ่ื งคา่ อปุ การะเลย้ี งดไู ดร้ บั ยกเวน้ ไมต่ อ้ งชำ� ระ
ค่าข้ึนศาลและค่าฤชาธรรมเนียมตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา
คดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ มาตรา ๑๕๕ อุทธรณ์ของจ�ำเลยดังกล่าวจึงเป็น
คดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจค�ำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องช�ำระค่าข้ึนศาล ๒๐๐ บาท
เทา่ นน้ั แตจ่ ำ� เลยชำ� ระคา่ ขน้ึ ศาลชนั้ อทุ ธรณแ์ ละคา่ ขนึ้ ศาลในอนาคตมารวมเปน็ เงนิ ๒,๖๘๐ บาท
จงึ เกนิ มา เหน็ สมควรคนื ค่าขน้ึ ศาลส่วนทีเ่ กนิ ๒๐๐ บาท แกจ่ �ำเลย
พิพากษายนื โดยใหค้ นื ค่าข้นึ ศาลช้ันอทุ ธรณส์ ว่ นท่เี กนิ ๒๐๐ บาท แกจ่ �ำเลย คา่ ฤชา
ธรรมเนยี มชัน้ อุทธรณ์นอกจากท่สี ัง่ คนื ใหเ้ ปน็ พับ.
(ชารยี า เดน่ นินนาท - เผดมิ เพช็ รกลู - รชั ดาพร เสนยี ์วงศ์ ณ อยุธยา)
ฉนั ทนา ชมพานิชย์ - ย่อ
โตมร สริ ิวิวฒั นภ์ ากร - ตรวจ
85
ค�ำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์คดีชำ� นญั พเิ ศษที่ ๒๘๓/๒๕๖๒ นาย ต. โจทก์
นาง น. จำ� เลย
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๐, ๑๕๖๖ (๖)
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๖๖ บัญญตั วิ า่ “บตุ รซง่ึ ยังไมบ่ รรลุนติ ภิ าวะต้องอยูใ่ ต้อำ� นาจ
ปกครองของบิดามารดา อ�ำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดาในกรณีดังต่อไปน้ี...
(๖) บิดาและมารดาตกลงกันตามท่ีมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ตกลงกันได้” ดังนั้น บิดาและ
มารดาสามารถที่จะตกลงกันให้อ�ำนาจปกครองบุตรอยู่กับบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งได้
ก็ต่อเม่ือมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ตกลงกันได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงจะมีผลผูกพันบังคับได้
ตามกฎหมาย ซง่ึ ในกรณนี มี้ บี ทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทใ่ี หอ้ ำ� นาจบดิ าและมารดาตกลงกนั
ไดค้ อื ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๒๐ วรรคหนงึ่ ทบี่ ญั ญตั วิ า่ “ในกรณหี ยา่ โดยความยนิ ยอม ใหส้ ามี
ภรยิ าทำ� ความตกลงเปน็ หนงั สอื วา่ ฝา่ ยใดจะเปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจปกครองบตุ รคนใด...”แตค่ ดนี ี้
โจทก์และจ�ำเลยมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย เพียงแต่โจทก์จดทะเบียนบุตร
ผเู้ ยาวเ์ ปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายเทา่ นนั้ จงึ ไมใ่ ชก่ รณตี ามความหมายของมาตรา ๑๕๒๐
วรรคหนงึ่ จำ� เลยจงึ ไมม่ สี ทิ ธยิ น่ื คำ� รอ้ งขอใหถ้ อนอำ� นาจปกครองของโจทกแ์ ละใหจ้ ำ� เลย
เป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวโดยอาศัยข้อตกลงตามบันทึกแนบท้าย
สัญญาประนปี ระนอมยอมความทา้ ยรายงานกระบวนพจิ ารณาของศาลชัน้ ต้นได้
______________________________
คดีสืบเน่ืองมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีค�ำสั่งให้โจทก์เป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตร
ผู้เยาว์แต่ผู้เดียว และมีอ�ำนาจก�ำหนดท่ีอยู่และการศึกษาของบุตรผู้เยาว์ ต่อมาศาลช้ันต้นมี
คำ� พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ลงวนั ที่ ๑๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๙ ให้โจทกแ์ ละ
จ�ำเลยเปน็ ผู้ใช้อำ� นาจปกครองเด็กหญิง ธ. บุตรผ้เู ยาว์
จ�ำเลยย่ืนค�ำร้องขอให้ถอนอ�ำนาจปกครองของโจทก์และให้จ�ำเลยเป็นผู้ใช้อ�ำนาจ
86
ปกครองบุตรผเู้ ยาวเ์ พยี งผู้เดยี ว ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา ๑๕๘๒
โจทก์ยื่นคำ� คดั ค้าน ขอใหย้ กคำ� ร้องขอ
ระหว่างไต่สวนค�ำร้องขอ โจทก์และจ�ำเลยตกลงกันตามบันทึกแนบท้ายสัญญา
ประนปี ระนอมยอมความในวนั นดั ไตส่ วนคำ� รอ้ งขอใหถ้ อนอำ� นาจปกครองของโจทกเ์ มอ่ื วนั ที่ ๓๐
พฤษภาคม ๒๕๖๐
จ�ำเลยย่ืนค�ำร้องขอว่า จ�ำเลยได้ด�ำเนินการตามบันทึกแนบท้ายสัญญาประนีประนอม
ยอมความ ขอ้ ๕ เพอื่ ให้บุตรผ้เู ยาวเ์ ดินทางไปอยกู่ บั โจทก์ที่ประเทศนอรเ์ วย์ ระหว่างวนั ท่ี ๑๕
กรกฎาคม ๒๕๖๐ ถึงวนั ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๖๐ (ท่ถี กู วันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๑) ตามบันทึก
แนบทา้ ยสัญญาประนปี ระนอมยอมความ ขอ้ ๒ แตเ่ ม่อื ครบก�ำหนดเวลาที่โจทกต์ ้องส่งมอบบุตร
ผู้เยาว์ให้แก่จ�ำเลยดูแล โจทก์กลับเพิกเฉยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ไม่ส่งมอบบุตรผู้เยาว์ให้แก่
จ�ำเลยและน�ำบุตรผู้เยาว์ไปให้บุคคลอ่ืนดูแล การกระท�ำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการผิดข้อตกลง
ข้อใดข้อหนึ่งมีผลท�ำให้จ�ำเลยเป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียว ขอให้บังคับโจทก์
ส่งมอบบตุ รผเู้ ยาวใ์ ห้แก่จ�ำเลย หากโจทกไ์ ม่ปฏิบตั ิตามข้อตกลง ขอให้ถอนอ�ำนาจปกครองของ
โจทก์และใหจ้ �ำเลยเป็นผูใ้ ชอ้ �ำนาจปกครองบตุ รผ้เู ยาว์เพียงผเู้ ดียว
โจทกไ์ ม่ยนื่ ค�ำคัดค้าน
ศาลชัน้ ต้นมคี ำ� สง่ั ให้ยกค�ำรอ้ ง (ทถี่ กู ค�ำร้องขอ) คา่ ฤชาธรรมเนียมใหเ้ ป็นพับ
จ�ำเลยอทุ ธรณค์ �ำสง่ั
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่าคดีมีปัญหาต้อง
วินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจ�ำเลยว่า จ�ำเลยมีสิทธิย่ืนค�ำร้องขอให้ถอนอ�ำนาจปกครองของโจทก์
และให้จ�ำเลยเป็นผู้ใช้อ�ำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวโดยอาศัยข้อตกลงตามบันทึกแนบท้าย
สัญญาประนีประนอมยอมความท้ายรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่ ๓๐
พฤษภาคม ๒๕๖๐ ไดห้ รอื ไม่ เหน็ วา่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๕๖๖ บญั ญตั วิ า่
“บตุ รซง่ึ ยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะตอ้ งอยใู่ ตอ้ ำ� นาจปกครองของบดิ ามารดา อำ� นาจปกครองอยกู่ บั บดิ า
หรือมารดาในกรณีดังต่อไปน้ี...(๖) บิดาและมารดาตกลงกันตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ตกลง
กนั ได”้ ดงั นน้ั บดิ าและมารดาสามารถทจ่ี ะตกลงกนั ใหอ้ ำ� นาจปกครองบตุ รอยกู่ บั บดิ าหรอื มารดา
คนใดคนหน่ึงได้ก็ต่อเม่ือมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ตกลงกันได้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงจะมีผลผูกพัน
บงั คบั ไดต้ ามกฎหมาย ซงึ่ ในกรณนี ม้ี บี ทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทใี่ หอ้ ำ� นาจบดิ าและมารดาตกลงกนั
ไดค้ อื ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์มาตรา๑๕๒๐วรรคหนง่ึ ทบ่ี ญั ญตั วิ า่ “ในกรณหี ยา่ โดยความ
ยนิ ยอม ใหส้ ามภี รยิ าทำ� ความตกลงเปน็ หนงั สอื วา่ ฝา่ ยใดจะเปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจปกครองบตุ รคนใด....”
แต่คดีน้ีโจทก์และจ�ำเลยมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย เพียงแต่โจทก์จดทะเบียนบุตร
87
ผเู้ ยาวเ์ ปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายเทา่ นน้ั จงึ ไมใ่ ชก่ รณตี ามความหมายของมาตรา ๑๕๒๐ วรรคหนง่ึ
จ�ำเลยจึงไม่มีสิทธิย่ืนค�ำร้องขอให้ถอนอ�ำนาจปกครองของโจทก์และให้จ�ำเลยเป็นผู้ใช้อ�ำนาจ
ปกครองบุตรผู้เยาว์เพียงผู้เดียวโดยอาศัยข้อตกลงตามบันทึกแนบท้ายสัญญาประนีประนอม
ยอมความท้ายรายงานกระบวนพิจารณาของศาลช้ันต้น ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ได้
ท่ีศาลช้ันต้นวินิจฉัยว่า ล�ำพังแต่เพียงพฤติการณ์ที่จ�ำเลยกล่าวอ้างมายังรับฟังไม่ได้ว่าโจทก์มี
พฤติการณ์ไม่สมควรถึงขนาดที่ศาลจะมีค�ำส่ังถอนอ�ำนาจปกครอง แล้วมีค�ำสั่งยกค�ำร้อง (ท่ีถูก
ยกคำ� ร้องขอ) นน้ั ศาลอุทธรณค์ ดีช�ำนัญพเิ ศษเหน็ พอ้ งดว้ ยในผล อทุ ธรณข์ องจ�ำเลยฟังไม่ขนึ้
พพิ ากษายืน คา่ ฤชาธรรมเนยี มชัน้ อทุ ธรณ์ให้เป็นพบั .
(อุเทน ศิรสิ มรรถการ - รัตนา กิตตพิ ิบลู ย์ - รัชดาพร เสนียว์ งศ์ ณ อยธุ ยา)
เดชวบิ ลุ พนาเศรษฐเนตร - ยอ่
พทิ กั ษ์ หลิมจานนท์ - ตรวจ
88
ค�ำพิพากษาศาลอุทธรณค์ ดชี ำ� นัญพเิ ศษที่ ๑๓๒/๒๕๖๓ นาย อ. ผรู้ อ้ ง
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๔๘ วรรคหน่งึ และวรรคสาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๑ (๓) (๑๑), ๔ (๒), ๕๕
พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแหง่ กฎหมาย พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๑ มาตรา ๓๑
พ.ร.บ. ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ พี จิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๕๓
มาตรา ๖
ตามบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา ๑ (๑๑) “คู่ความ” หมายความว่า บุคคลผู้ยื่น
ค�ำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล... ซ่ึงกําหนดผู้ที่จะย่ืนคําฟ้องต่อศาลเพียงว่าต้องเป็นบุคคล
เท่านั้น ดังน้ันแม้คนต่างด้าว ไม่มีสัญชาติไทย ก็สามารถย่ืนคําฟ้องหรือคําร้องขอ
ต่อศาลได้ หากบุคคลน้ันถูกโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าท่ีตามกฎหมายแพ่งหรือ
จะต้องใช้สิทธิทางศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๕ เม่ือผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องกับนาง ล.
อยู่กินฉันสามีภริยาด้วยกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน คือ เด็กชาย ร.
ผู้เยาว์ ปัจจุบันมีอายุ ๔ ปี ๖ เดือน ผู้ร้องประสงค์จะจดทะเบียนรับผู้เยาว์เป็นบุตร ซ่ึง
ในกรณที บ่ี ดิ าจะจดทะเบยี นเดก็ เปน็ บตุ รชอบดว้ ยกฎหมายไดต้ อ่ เมอื่ ไดร้ บั ความยนิ ยอม
ของเด็กและมารดาเด็ก เม่ือผู้เยาว์ยังไร้เดียงสาไม่อาจให้ความยินยอมได้ จึงเป็นกรณี
ที่การจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรต้องมีคําพิพากษาของศาลตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๔๘
วรรคหนง่ึ และวรรคสาม ซ่ึงบทบัญญัติของกฎหมายดงั กล่าวกไ็ มไ่ ด้ระบวุ า่ ในกรณที บี่ ิดา
จะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรนั้น บิดา มารดาและเด็กจะต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น ผู้ร้อง
จึงมีสิทธิตามกฎหมายท่ีจะใช้สิทธิทางศาลเพ่ือขอจดทะเบียนผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วย
กฎหมายได้ แตอ่ ยา่ งไรก็ตามผู้รอ้ งและนาง ล. เป็นคนตา่ งดา้ ว ไม่มีสญั ชาตไิ ทย ในการ
ดําเนินการจดทะเบยี นรับรองบุตรของผู้ร้องจะตอ้ งดําเนินการใหส้ อดคลอ้ งกบั กฎหมาย
สัญชาติของผู้ร้องในขณะที่รับรองบุตรด้วยตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย
พุทธศกั ราช ๒๔๘๑ มาตรา ๓๑
______________________________
89
ผรู้ อ้ งยนื่ คำ� รอ้ งขอวา่ ผรู้ อ้ งมสี ญั ชาตฝิ รงั่ เศสและอสิ ราเอล ปจั จบุ นั มภี มู ลิ ำ� เนาอยทู่ บ่ี า้ น
เลขที่ ๓๒/๑๓ หม่ทู ี่ ๔ ตำ� บลบา้ นใต้ อำ� เภอเกาะพะงนั จงั หวัดสุราษฎรธ์ านี ผู้ร้องกับนาง ล. ซง่ึ
มีสัญชาตอิ สิ ราเอล อยกู่ นิ ฉนั สามีภรยิ ากนั โดยไมไ่ ด้จดทะเบยี นสมรสตง้ั แตเ่ ดือนมนี าคม ๒๕๕๗
โดยพักอาศัยอย่ดู ้วยกนั ท่ีบา้ นเลขที่ ๕๒/๑ หมู่ท่ี ๕ ต�ำบลเกาะพะงนั อำ� เภอเกาะพะงัน จังหวดั
สรุ าษฎรธ์ านี มบี ตุ ร ๑ คน คอื เดก็ ชาย ร. ผ้เู ยาว์ เกดิ เม่ือวันท่ี ๗ มนี าคม ๒๕๕๘ ปจั จบุ ันอายุ
๔ ปี ๖ เดอื น ผรู้ ้องกับนาง ล. อยกู่ ินด้วยกนั ฉันสามภี รยิ าโดยเปิดเผย ผูร้ ้องเป็นผู้รบั ผดิ ชอบ
คา่ เชา่ เพอื่ ใชส้ ำ� หรบั การอยอู่ าศยั ของครอบครวั และคา่ ใชจ้ า่ ยทง้ั หมด ผรู้ อ้ งกระทำ� โดยเปดิ เผยตอ่
สาธารณชนทวั่ ไปวา่ ผเู้ ยาวเ์ ปน็ บตุ รของผรู้ อ้ ง เมอื่ นาง ล. ใหก้ ำ� เนดิ ผเู้ ยาว์ ผรู้ อ้ งเปน็ ผดู้ ำ� เนนิ การ
ตดิ ตอ่ หนว่ ยงานราชการเพอ่ื ดำ� เนนิ การแจง้ เกดิ ตามกฎหมาย ทง้ั ยนิ ยอมใหร้ ะบใุ นสตู บิ ตั รวา่ ผรู้ อ้ ง
เปน็ บดิ าของผเู้ ยาวแ์ ละใหผ้ เู้ ยาวใ์ ชช้ อ่ื สกลุ ของผรู้ อ้ ง ตอ่ มาผรู้ อ้ งและนาง ล. ยตุ คิ วามสมั พนั ธก์ นั
ผรู้ อ้ งแยกมาอยบู่ า้ นเชา่ อกี แหง่ โดยนาง ล. และผเู้ ยาวย์ งั คงพกั อยบู่ า้ นหลงั ดงั กลา่ ว ผรู้ อ้ งดำ� เนนิ การ
ให้ผู้เยาว์เข้ารับการศึกษาในโรงเรียน ส. ผู้ร้องประสงค์จะจดทะเบียนรับรองผู้เยาว์เป็นบุตร
ชอบดว้ ยกฎหมายของผรู้ อ้ ง จงึ ไดไ้ ปตดิ ตอ่ ทส่ี ำ� นกั ทะเบยี นอำ� เภอเกาะพะงนั จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี
แต่มีเหตุขัดข้องไม่สามารถด�ำเนินการได้ เนื่องด้วยผู้เยาว์ยังไร้เดียงสาไม่สามารถที่จะให้
ความยินยอมในการจดทะเบียนรับรองบุตรได้ ขอให้มีค�ำส่ังอนุญาตให้ผู้ร้องจดทะเบียนรับรอง
เด็กชาย ร. ผู้เยาว์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องและให้ผู้ร้องมีอ�ำนาจปกครองบุตร
ร่วมกบั นาง ล. มารดาผ้เู ยาว์
ศาลช้ันต้นตรวจค�ำร้องขอแล้วมีค�ำส่ังว่า ผู้ร้องและภริยาซ่ึงเป็นมารดาของผู้เยาว์และ
ผู้เยาว์ไม่มีสัญชาติไทย จึงไม่อยู่ในอ�ำนาจของศาลไทยรับรองความเป็นบุตรของผู้ร้อง ให้ยก
คำ� รอ้ งขอ คืนคา่ ข้นึ ศาลและคา่ ส่งหมายแก่ผรู้ อ้ ง
ผรู้ อ้ งอทุ ธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีช�ำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ปัญหาท่ีต้อง
วนิ จิ ฉัยตามอทุ ธรณ์ของผูร้ ้องมวี ่า คดขี องผ้รู อ้ งอยู่ในอ�ำนาจพิจารณาของศาลชนั้ ตน้ หรือไม่ เห็นว่า
สิทธิที่จะด�ำเนินคดีทางศาลได้น้ันมีได้เฉพาะแต่บุคคล และผู้ท่ีจะเป็นคู่ความในคดีได้น้ันต้องเป็น
บุคคลตามที่บัญญตั ิไวใ้ นประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ มาตรา ๑ (๑๑) ซ่งึ ได้ให้คำ� นิยาม
ว่า “คู่ความ” หมายความว่า บุคคลผู้ยื่นค�ำฟ้องหรือถูกฟ้องต่อศาล... ค�ำว่าบุคคลดังกล่าวยัง
หมายถึงบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และ
ความหมายของ “คำ� ฟอ้ ง” ยงั หมายความถงึ คำ� รอ้ งขอดว้ ยตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่
90