The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อัยการนิเทศ เล่มที่ 74 ปี 2554

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-11-11 06:30:13

อัยการนิเทศ เล่มที่ 74 ปี 2554

อัยการนิเทศ เล่มที่ 74 ปี 2554

เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมฉบับดังกล่าวแต่อย่างใด ดังน้ัน แม้ท่ีดินส่วนที่ ๒๑ ท่ีผู้ฟ้องคดีขอ
จัดสรรท่ีดินมีแปลงย่อย ๓๑ แปลง แต่ก็ต้องพิจารณารวมกับส่วนอ่ืน ๆ ท่ีได้รับอนุญาตไป
แลว้ จำ�นวน ๗๗๑ แปลงดว้ ย ๕เม๙ือ่ โ๘ค๑ร๐งกตาารรจางัดวสารรจทงึ ี่ดตนิอ้ ขงจอัดงทผฟู้�ำ ร้อางยคงดามีนีจกำ�านรววิเนคแรปาะลหงยผ์ อ่ลยกร๘ะ๖ท๔บ
แปลง และมีเนอื้ ท่ีดิน ๑๐๒ ไร่
สิ่งแวดล้อมเสนอต่อสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมพิจารณา
ให้ความเห็นชอบก่อนยื่นคำ�ขอออกใบอนุญาตทำ�การจัดสรรที่ดิน และเม่ือผู้ฟ้องคดียังไม่ได้
ด�ำ เนนิ การตามขนั้ ตอนดงั กลา่ ว การทผ่ี ถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๔ มมี ตไิ มอ่ อกใบอนญุ าตใหท้ �ำ การจดั สรรทดี่ นิ
ในสว่ นที่ ๒๑ จงึ เปน็ การกระท�ำ ทช่ี อบดว้ ยกฎหมาย และการพจิ ารณาอทุ ธรณข์ องผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๓
ที่มีมติให้ผู้ฟ้องคดีจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมเสนอให้สำ�นักงาน
นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ความเห็นชอบก่อนแล้วจึงย่ืนคำ�ขอ
ต่อผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ เพือ่ พจิ ารณาออกใบอนญุ าตให้ เปน็ การกระท�ำ ทีช่ อบดว้ ยกฎหมายเชน่ กนั
________________________________________

บรษิ ทั รองเมอื งพฒั นา จ�ำ กดั ผฟู้ ้องคดี
ระหวา่ ง

รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย ที่ ๑ กับพวก รวม ๔ คน ผู้ถกู ฟอ้ งคดี

คดนี ี้ผู้ฟอ้ งคดฟี ้องขอใหศ้ าลมีคำ�พิพากษาหรือค�ำ สง่ั ดงั น้ี
๑. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ดำ�เนินการเพิกถอนคำ�ส่ังไม่ออกใบอนุญาตให้ทำ�การจัดสรรที่ดิน
สว่ นที่ ๒๑ ของผู้ฟอ้ งคดี
๒. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ เพิกถอนคำ�ส่ังให้ผู้ฟ้องคดีจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
สง่ิ แวดล้อมในการขอออกใบอนญุ าตใหท้ ำ�การจัดสรรทดี่ ินสว่ นท่ี ๒๑
๓. ขอใหผ้ ูถ้ ูกฟอ้ งคดีท่ี ๔ ด�ำ เนินการออกใบอนุญาตใหท้ �ำ การจดั สรรทีด่ ินสว่ นที่ ๒๑ ของ
ผ้ฟู อ้ งคดี
ผู้ฟ้องคดีย่ืนคำ�ร้องขอถอนฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ และศาลปกครอง
ชั้นตน้ อนุญาตตามค�ำ ขอ
ผถู้ ูกฟอ้ งคดีท่ี ๓ และท่ี ๔ ใหก้ ารปฏเิ สธ
ศาลปกครองชั้นตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาดังนี้
๑. เพกิ ถอนมตขิ องผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๓ ในการประชมุ ครง้ั ท่ี ๒/๒๕๔๖ เมอื่ วนั ท ่ี ๒๐ กมุ ภาพนั ธ์
๒๕๔๖ ในส่วนที่มีมติให้ผู้ฟ้องคดีจัดท�ำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมเสนอส�ำ นักงาน
นโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มใหค้ วามเหน็ ชอบกอ่ นยนื่ ค�ำ ขอออกใบอนญุ าต

144 อยั การนิเทศ

จดั สรรท่ีดนิ ในสว่ นท่ี ๒๑ ต่อผถู้ ูกฟอ้ งคดีที่ ๔
๒. เพิกถอนมตขิ องผถู้ ูกฟอ้ งคดีท่ี ๔ ในการประชมุ คร้งั ที่ ๘/๒๕๔๕ เม่ือวันท่ี ๑๗ มนี าคม
๒๕๔๕ ในส่วนท่ีมีมติไม่ออกใบอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีจัดสรรท่ีดินส่วนที่ ๒๑ และให้ผู้ฟ้องคดีจัดทำ�
รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติ
และส่งิ แวดล้อมใหค้ วามเห็นชอบกอ่ น
๓. ใหผ้ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ ออกใบอนญุ าตใหผ้ ฟู้ อ้ งคดที �ำ การจดั สรรทด่ี นิ สว่ นที่ ๒๑ จ�ำ นวนทด่ี นิ
แปลงย่อย ๓๑ แปลง ภายใน ๖๐ วัน นบั แต่วันทมี่ คี ำ�พพิ ากษา
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ อุทธรณ์ ขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำ�พิพากษากลับคำ�พิพากษาของ
ศาลปกครองชนั้ ต้น
ผฟู้ อ้ งคดแี กอ้ ทุ ธรณ์ ขอใหศ้ าลปกครองสงู สดุ พพิ ากษายนื ตามค�ำ พพิ ากษาของศาลปกครอง
ชั้นตน้
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้ว คดีมีประเด็นท่ีจะต้องพิจารณาวินิจฉัยตามคำ�อุทธรณ์
ของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ พร้อมด้วยเหตุผลในการวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีต้องจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์
ผลกระทบส่ิงแวดล้อมเสนอต่อสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
ให้ความเห็นชอบตามประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและส่ิงแวดล้อม ฉบับท่ี ๒
(พ.ศ. ๒๕๓๕) หรอื ไม่
พิเคราะหแ์ ล้ว เหน็ วา่ ประกาศของคณะปฏิวตั ิ ฉบับท่ี ๒๘๖ ลงวันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๑๕ ขอ้ ๑ ใหค้ �ำ นยิ ามของค�ำ วา่ “คณะกรรมการ” หมายความวา่ คณะกรรมการควบคมุ การจดั สรร
ท่ีดนิ ขอ้ ๗ ก�ำ หนดวา่ คณะกรรมการมอี ำ�นาจหนา้ ท่คี วบคุมการจดั สรรท่ดี ินให้เปน็ ไปตามประกาศ
ของคณะปฏวิ ตั ฉิ บบั นี้ อ�ำ นาจหนา้ ทเ่ี ชน่ วา่ นใ้ี หร้ วมถงึ (๑) การวางขอ้ ก�ำ หนดเกยี่ วกบั การจดั สรรทดี่ นิ
(๒) การพจิ ารณาค�ำ ขออนุญาตและการออกหรือโอนใบอนญุ าตใหจ้ ดั สรรทดี่ ิน ข้อ ๑๐ วรรคหน่ึง
ก�ำ หนดวา่ หา้ มมใิ หผ้ ใู้ ดท�ำ การจดั สรรทดี่ นิ เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั อนญุ าตจากคณะกรรมการ และวรรคสอง
กำ�หนดว่า การขอและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เง่ือนไขและวิธีการท่ีกำ�หนด
ในกฎกระทรวง และให้เสียค่าธรรมเนียมตามที่ก�ำ หนดในกฎกระทรวง ซ่ึงกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๑
(พ.ศ. ๒๕๑๖) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๕๑๕ ข้อ ๑ กำ�หนดวา่ ผใู้ ดประสงคจ์ ะขอใบอนุญาตทำ�การจัดสรรทดี่ ินให้ปฏบิ ตั ดิ ังนี้ (๑)
ยนื่ ค�ำ ขอตอ่ เจา้ พนกั งานทด่ี นิ ทอ้ งทซี่ ง่ึ ทด่ี นิ นนั้ ตง้ั อยู่ (๒) สง่ หลกั ฐานและรายละเอยี ดตามทรี่ ะบไุ วใ้ น
ข้อ ๑๑ แหง่ ประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบบั ท่ี ๒๘๖ ลงวันท่ ี ๒๔ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๑๕ จ�ำ นวน
๑๒ ชดุ พรอ้ มกับค�ำ ขอ
คดีน้ีผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนคำ�ขออนุญาตทำ�การจัดสรรที่ดินและผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตจาก
คใหณจ้ ะดั กทรำ�รโมคกรงากราครวจบัดคสุมรกราบรนจเัดนสอ้ื รทรีด่ ทนิ ่ีดิน๑ต๐า๒มปไรร่ะ๕ก ๙ า ศ ๘ ข ๑ อ ๐ง ค ตณาะรปางฏวิวาัตเิ มฉ่อื บวับนั ทท่ี ี่ ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕)
๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔

อัยการนเิ ทศ 145

โดยแบ่งแผนผังโครงการเพื่อออกใบอนุญาตเป็น ๑๘ ส่วน จำ�นวนที่ดินแปลงย่อย ๖๕๑ แปลง
และต่อมาไดข้ อแก้โครงการอกี ๕ ครัง้ ท�ำ ให้มที ่ีดินแปลงย่อยเพิ่มขึ้นเป็น ๘๖๔ แปลง และก่อนท่ี
ผู้ฟ้องคดีจะได้รับอนุญาตให้ทำ�การจัดสรรท่ีดินในส่วนที่ ๑ เมื่อวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๕ ได้มี
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกมาใช้บังคับเมื่อ
วันท่ี ๓ มิถุนายน ๒๕๓๕ ซึ่งตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๔๖ วรรคหน่ึง บัญญัติว่า
เพ่ือประโยชน์ในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของ
คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ มีอำ�นาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำ�หนดประเภทและ
ขนาดของโครงการหรือกิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนที่มีผลกระทบส่ิงแวดล้อม
ซงึ่ ตอ้ งจดั ท�ำ รายงานการวเิ คราะหผ์ ลกระทบสง่ิ แวดลอ้ ม เพอื่ เสนอขอความเหน็ ชอบตามมาตรา ๔๗
มาตรา๔๘และมาตรา๔๙ และวรรคสองบญั ญตั วิ า่ ในการประกาศตามวรรคหนง่ึ ใหก้ �ำ หนดหลกั เกณฑ์
วิธีการ ระเบียบปฏิบัติแนวทางการจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม ตลอดจน
เอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ งซงึ่ ตอ้ งเสนอพรอ้ มกบั รายงานการวเิ คราะหผ์ ลกระทบสงิ่ แวดลอ้ ม ส�ำ หรบั โครงการ
หรอื กิจการแต่ละประเภทและแตล่ ะขนาดด้วย มาตรา ๔๘ วรรคหนง่ึ บญั ญตั ิว่า ในกรณที ีโ่ ครงการ
หรือกิจการซึ่งต้องจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมตามมาตรา ๔๖ เป็นโครงการ
หรอื กจิ การซงึ่ จะตอ้ งไดร้ บั อนญุ าตจากทางราชการตามกฎหมายกอ่ นเรม่ิ การกอ่ สรา้ งหรอื ด�ำ เนนิ การ
ใหบ้ คุ คลผขู้ ออนญุ าตเสนอรายงานการวเิ คราะหผ์ ลกระทบสง่ิ แวดลอ้ มตอ่ เจา้ หนา้ ทซี่ ง่ึ มอี �ำ นาจตาม
กฎหมายน้ัน และต่อสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการเสนอ
รายงานดังกล่าวอาจจัดทำ�เป็นรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมเบื้องต้นตามหลักเกณฑ์
และวิธีการทร่ี ฐั มนตรีกำ�หนดตามมาตรา ๔๖ วรรคสอง กไ็ ด้ และวรรคสอง บัญญัตวิ ่า ใหเ้ จา้ หน้าท่ี
ซึ่งมีอำ�นาจอนุญาตตามกฎหมายรอการสั่งอนุญาตสำ�หรับโครงการหรือกิจการตามวรรคหนึ่งไว้
ก่อนจนกว่าจะทราบผลการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม ตามมาตรา ๔๙
จากสำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยแี ละสงิ่ แวดลอ้ มไดอ้ าศยั อ�ำ นาจตามมาตรา ๔๖ แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ วออกประกาศ
กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละส่ิงแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ซึ่งใชบ้ ังคบั เมอ่ื วนั ที่ ๒๓
ตลุ าคม ๒๕๓๕ เรอ่ื ง ก�ำ หนดประเภทและขนาดของโครงการหรอื กจิ การของสว่ นราชการ รฐั วสิ าหกจิ
หรือเอกชนที่ต้องจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อม โดยกำ�หนดให้การจัดสรรท่ีดิน
เพอ่ื เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั หรอื ประกอบการพาณชิ ยท์ มี่ ที ด่ี นิ จ�ำ นวนแปลงยอ่ ยตงั้ แต่ ๕๐๐ แปลงขน้ึ ไป หรอื
มีเนือ้ ท่เี กนิ กวา่ ๑๐๐ ไร่ ต้องจดั ท�ำ รายงานการวิเคราะหผ์ ลกระทบส่ิงแวดล้อม
๕ ๙ ๘ ๑ ๐ ข ้อตเาทร็าจงจวราิงแในลคะมดทีีน่ดีี้ปินรแาปกลฏงวย่า่อยโเคกรนิ งกกวาา่ รจ๕ัด๐ส๐รแรปทลี่ดงินแขตอ่เงนผ่ือู้ฟง้จอางกคผดถู้ ีมูกีเฟนื้้อองทคี่ดดินที ่ี ๑๐๒ ไร่
๔ ได้ออก
ใบอนญุ าตให้ผู้ฟอ้ งคดที ำ�การจัดสรรท่ีดนิ สว่ นที่ ๑ ถึงสว่ นที่ ๒๐ ไปแลว้ ตง้ั แตว่ นั ที่ ๒๑ ธันวาคม
๒๕๓๕ ถึงวันท่ี ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๑ ซึ่งเป็นการออกใบอนุญาตภายหลังจากพระราชบัญญัติ

146 อยั การนเิ ทศ

ส่งเสรมิ และรักษาคุณภาพสง่ิ แวดล้อมแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ออกใช้บงั คับแล้ว โดยไมไ่ ด้ใหผ้ ู้ฟ้องคดี
จัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมก่อนการพิจารณาอนุญาต แต่ในการขอแก้ไข
แผนผังคร้ังท่ี ๕ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ได้มีเงื่อนไขให้ผู้ฟ้องคดีจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
ส่ิงแวดล้อมก่อนจึงจะสามารถยื่นคำ�ขอออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในส่วนที่ ๒๑ ได้ แต่ผู้ฟ้องคดี
ไม่ได้ดำ�เนนิ การ ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๔ จงึ ไม่ออกใบอนุญาตใหท้ ำ�การจดั สรรทีด่ ิน ผ้ฟู อ้ งคดจี งึ อุทธรณ์ตอ่
ผ้ถู กู ฟ้องคดีท่ี ๓ ซง่ึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๓ พจิ ารณาแลว้ ยนื ตามคำ�สง่ั ของผถู้ กู ฟ้องคดที ี่ ๔ แตผ่ ฟู้ ้องคดี
เหน็ วา่ ผฟู้ อ้ งคดไี ดร้ บั อนญุ าตใหจ้ ดั สรรทด่ี นิ ตามประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕)
ก่อนมกี ารตราพระราชบัญญตั ิส่งเสริมและรกั ษาคณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ มแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ใช้บังคับ
และไดเ้ สนอระบบประปา ระบบสาธารณปู โภคใหต้ รวจสอบทงั้ โครงการแลว้ และไดร้ บั การอนญุ าตให้
ท๓�ำ๑กแารปจลดั งสแรลรทะมดี่ เีนิ นมื้อาทแี่ดลนิว้ ร๒ว๐มกสบัว่ สน่วปนรทะี่ก๒อ๒บกเพบั ยี กงาร๗จดัไรส่ ร๖ร ๑ ท ด่ี ๙ นิ ๑ ใ๐ น ตสาว่ รนาทงวี่ ๒า๑จึงมไที มดี่ต่ นิ้อแงจปดัลทงยำ�อ่รายยเพงายี นง
การวเิ คราะหผ์ ลกระทบสง่ิ แวดลอ้ ม และการใหผ้ ฟู้ อ้ งคดจี ดั ท�ำ รายงานดงั กลา่ วเปน็ การเพม่ิ ภาระใหแ้ ก่
ผูฟ้ ้องคดีแต่ผู้ถกู ฟอ้ งคดีท่ี ๓ เหน็ วา่ การพิจารณาเน้อื ทดี่ นิ จะตอ้ งพิจารณาทั้งโครงการ จะพิจารณา
โดยแยกส่วนไม่ได้ ท่ีดินของผู้ฟ้องคดีจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ต้องทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
ส่ิงแวดล้อมตามกฎหมายก่อน และการที่คณะกรรมการควบคุมการจัดสรรท่ีดินตามประกาศของ
คณะปฏวิ ัติ ฉบับท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕) อนญุ าตใหท้ ำ�การจัดสรรทด่ี ินได้ ยังมิใช่การออกใบอนญุ าต
ใหท้ �ำ การจดั สรรทด่ี ิน
คดีจึงมีประเด็นต้องพิจารณาต่อไปว่า ผู้ฟ้องคดีต้องจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
สงิ่ แวดลอ้ มเสนอตอ่ ส�ำ นกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มใหค้ วามเหน็ ชอบ
ก่อนออกใบอนุญาตใหท้ ำ�การจัดสรรทด่ี ินส่วนที่ ๒๑ หรอื ไม่
เหน็ วา่ การทผ่ี ฟู้ อ้ งคดไี ดร้ บั อนญุ าตจากคณะกรรมการควบคมุ การจดั สรรทดี่ นิ ตามประกาศ
ของคณะปฏวิ ัติ ฉบบั ที่ ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕) จะถือว่าผ้ฟู ้องคดไี ด้รบั อนุญาตให้ทำ�การจัดสรรทด่ี นิ
แล้วก่อนมีพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพส่ิงแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ใช้บังคับ
หรือไมน่ ัน้ เห็นวา่ คณะกรรมการควบคมุ การจดั สรรทด่ี นิ ตามประกาศของคณะปฏวิ ตั ิ ฉบับที่ ๒๘๖
(พ.ศ. ๒๕๑๕) ได้มีมติอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีทำ�การจัดสรรที่ดิน โดยแบ่งแผนผังโครงการเพื่อออก
ใบอนญุ าตเปน็ ๑๘สว่ นและจดั ท�ำ ระบบประปาระบบการระบายนาํ้ และบอ่ บ�ำ บดั นา้ํ เสยี ตามทเี่ สนอได้
แตก่ ารออกใบอนญุ าตใหท้ �ำ การจดั สรรทดี่ นิ หมายถงึ ขน้ั ตอนทพี่ นกั งานเจา้ หนา้ ทผ่ี มู้ อี �ำ นาจไดล้ งนาม
ในใบอนุญาตให้จัดสรรท่ดี ินแล้ว จึงจะถอื วา่ ผูข้ อไดร้ บั ใบอนุญาตให้ทำ�การจดั สรรท่ดี ิน แต่กรณขี อง
ผู้ฟ้องคดี ผู้มีอำ�นาจลงนามในใบอนุญาตได้ลงนามในใบอนุญาตหลังจากที่พระราชบัญญัติส่งเสริม
และรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ บังคับใช้แล้ว กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดี
ได้รับอนุญาตให้ทำ�การจัดสรรที่ดินจากคณะกรรมการควบคุมการจัดสรรที่ดินตามประกาศของ
คณะปฏวิ ตั ิ ฉบบั ท่ี ๒๘๖ (พ.ศ. ๒๕๑๕) แลว้ ดงั น้ัน เม่อื ขณะท่ีผ้ฟู อ้ งคดขี อออกใบอนุญาตทำ�การ

อยั การนเิ ทศ 147

จัดสรรที่ดินส่วนที่ ๑ ได้มีการตราพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕ ใชบ้ ังคบั แล้ว เมื่อวันท่ี ๒๓ มถิ ุนายน ๒๕๓๕ และมปี ระกาศกระทรวงวทิ ยาศาสตร์
เทคโนโลยีและส่ิงแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) เรอื่ ง กำ�หนดประเภทและขนาดของโครงการ
หรือกิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือเอกชนท่ีต้องจัดท�ำ รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ
ส่ิงแวดล้อมใช้บังคับเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๕ กำ�หนดให้โครงการหรือกิจการการจัดสรรที่ดิน
เพ่ือที่อยู่อาศัยหรือเพื่อประกอบการพาณิชย์ขนาดที่ดินจ�ำ นวนแปลงย่อย ๕๐๐ แปลงข้ึนไป หรือ
มเี นอ้ื ที่เกินกวา่ ๑๐๐ ไร่ ต้องจัดทำ�รายงานการวิเคราะหผ์ ลกระทบส่งิ แวดลอ้ มเสนอตอ่ ส�ำ นกั งาน
นโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมให้ความเห็นชอบก่อน และโครงการจัดสรร
ท่ีดินของผู้ฟ้องคดีเป็นโครงการจัดสรรท่ีดินเพ่ือเป็นท่ีอยู่อาศัยหรือประกอบการพาณิชย์มีขนาด
ที่ดินเกิน ๕๐๐ แปลงขึ้นไป และมีเนื้อที่เกินกว่า ๑๐๐ ไร่ จึงอยู่ในบังคับใช้ของพระราชบัญญัติ
สง่ เสริมและรักษาคณุ ภาพสง่ิ แวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๔๖ มาตรา ๔๗ และมาตรา ๔๙
รวมทั้งอยู่ในบังคับใช้ของประกาศกระทรวงวิทยาศาสตร์ดังกล่าวข้างต้นด้วย และโดยที่ประกาศ
กระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยแี ละสงิ่ แวดลอ้ ม ฉบบั ที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ไดก้ �ำ หนดวา่ “โครงการ”
ดังน้ัน การพิจารณาอนุญาตให้ท�ำ การจัดสรรท่ีดินจึงต้องพิจารณาท้ังโครงการจะพิจารณาโดยแยก
ส่วนไม่ได้ แมผ้ ูถ้ ูกฟ้องคดที ี่ ๔ จะได้ออกใบอนุญาตให้ท�ำ การจัดสรรท่ีดนิ ไปแล้ว ๒๐ สว่ น โดยไม่
ได้ให้ผู้ฟ้องคดีจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมก่อนการพิจารณาอนุญาต ย่อม
มิได้หมายความว่าโครงการจัดสรรท่ีดินของผู้ฟ้องคดีจะได้รับการยกเว้นไม่อยู่ภายใต้การบังคับของ
พระราชบญั ญตั ิส่งเสริมและรักษาคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ มแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ และประกาศกระทรวง
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมฉบับดังกล่าวแต่อย่างใด การที่คณะกรรมการควบคุม
การจัดสรรท่ีดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ อนุญาตให้จัดสรรท่ีดินและให้แบ่งการ
จัดสรรเป็นส่วน ๆ ได้นั้น เพราะต้องการให้ผู้ยื่นคำ�ขอปลดภาระติดพันในที่ดินก่อนนำ�มาจัดสรร
การอนุญาตใหจ้ ดั สรรที่ดนิ เปน็ สว่ น ๆ จงึ ไม่ได้เป็นการแยกสว่ นโครงการออกจากกัน การพิจารณา
วา่ การจดั สรรทด่ี นิ มเี นอื้ ทเี่ กนิ ๑๐๐ไร่หรอื มแี ปลงยอ่ ยตงั้ แต่๕๐๐แปลงหรอื ไมจ่ �ำ ตอ้ งพจิ ารณารวมกนั
ทั้งโครงการ ดังนน้ั แม้ที่ดินสว่ นท่ี ๒๑ ทผี่ ูฟ้ ้องคดีขอจัดสรรท่ีดินมแี ปลงย่อย ๓๑ แปลง แต่กต็ อ้ ง
ผพูฟ้จิ า้อรงณคดารมี วจี ม�ำ กนบั วสนว่ แนปอลน่ื งๆย่อทยไ่ี ด๘ร้ ๖บั ๔อนแญุ ปาลตงไปแแลละว้มจเี น�ำ นื้อทวนี่ดิน๗๗๑๑๐แ๒ปไลรง่ ๕ดว้๙ ย เ๘ ม ๑อื่ ๐โ ค ตรางรกาางรวจาดั จสงึรตรท้อดี่งจนิ ดั ขทอำ�ง
รายงานการวเิ คราะหผ์ ลกระทบสงิ่ แวดลอ้ มเสนอตอ่ ส�ำ นกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนยื่นค�ำ ขอออกใบอนุญาตทำ�การจัดสรรที่ดิน และ
เม่ือผู้ฟอ้ งคดี ยังไมไ่ ดด้ ำ�เนินการตามข้นั ตอนดงั กล่าว การทผ่ี ถู้ ูกฟอ้ งคดที ่ี ๔ มมี ตใิ นคราวประชุม
คร้ังท่ี ๘/๒๕๔๕ เมื่อวันท่ี ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๕ ไม่ออกใบอนุญาตให้ทำ�การจัดสรรที่ดินใน
ส่วนที่ ๒๑ จึงเป็นการกระทำ�ท่ีชอบด้วยกฎหมาย และการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓
ท่มี มี ตใิ นคราวประชมุ ครัง้ ที่ ๒/๒๕๔๖ เม่ือวันท่ี ๒๐ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๖ ใหผ้ ูฟ้ อ้ งคดีจดั ท�ำ รายงาน

148 อยั การนิเทศ

การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอให้สำ�นักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอ้ มใหค้ วามเหน็ ชอบกอ่ นแล้วจงึ ยื่นค�ำ ขอตอ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๔ เพื่อพจิ ารณาออกใบอนุญาต
ให้ เป็นการกระทำ�ท่ชี อบดว้ ยกฎหมายเช่นกนั ทีศ่ าลปกครองชัน้ ตน้ พพิ ากษาให้เพกิ ถอนค�ำ สัง่ ของ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ท่ีส่ังให้ผู้ฟ้องคดีจัดทำ�รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบส่ิงแวดล้อมในการ
ขอออกใบอนุญาตให้ทำ�การจัดสรรท่ีดินส่วนท่ี ๒๑ เพิกถอนคำ�ส่ังไม่อนุญาตให้ทำ�การจัดสรรท่ีดิน
สว่ นท่ี๒๑และใหด้ �ำ เนนิ การออกใบอนญุ าตใหท้ �ำ การจดั สรรทด่ี นิ สว่ นท่ี๒๑ของผฟู้ อ้ งคดภี ายใน๖๐วนั
นบั แตว่ ันที่มคี ำ�พพิ ากษา ศาลปกครองสูงสดุ ไมเ่ ห็นพ้องดว้ ย
พิพากษากลับใหย้ กฟอ้ ง


อยั การนเิ ทศ 149

คำ�พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๒๐๘/๒๕๕๓

พ.ร.บ. อาคารชุด พ.ศ. ๒๕๓๗ (มาตรา ๑๔, ๑๘, ๒๙ )
โดยที่มาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า
ผู้ใดประสงค์จะจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับห้องชุดตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นำ�
หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดมาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่
ขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธ์ิในห้องชุด ให้ผู้ขอน�ำ หนังสือรับรองรายการหนี้
อันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๑๘ จากผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุดที่เก่ียวข้องมาแสดง
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย และให้พนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้เม่ือมี
การชำ�ระหน้ีนั้นครบถ้วนแล้ว ซ่ึงค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว
วรรคหนง่ึ หมายถงึ คา่ ใชจ้ ่ายทเี่ จ้าของรว่ มตอ้ งร่วมกนั ออกค่าใชจ้ ่ายที่เกดิ จากบริการส่วนรวม
และทเ่ี กดิ จากเครอื่ งมอื เครอื่ งใชท้ ม่ี ไี วเ้ พอื่ ประโยชนร์ ว่ มกนั ตามสว่ นแหง่ ประโยชนท์ มี่ ตี อ่ หอ้ งชดุ
ทงั้ น้ี ตามทกี่ �ำ หนดไวใ้ นขอ้ บงั คบั และวรรคสอง หมายถงึ เจา้ ของรว่ มตอ้ งรว่ มกนั ออกคา่ ภาษอี ากร
และคา่ ใชจ้ า่ ยทเ่ี กดิ จากการดแู ลรกั ษาและการด�ำ เนนิ การเกยี่ วกบั ทรพั ยส์ ว่ นกลางตามอตั ราสว่ น
ท่ีเจ้าของร่วมแต่ละคนมีกรรมสิทธ์ิในทรัพย์ส่วนกลางตามมาตรา ๑๔ จากบทบัญญัติของ
กฎหมายทไ่ี ดก้ ลา่ วมาขา้ งต้นแสดงใหเ้ ห็นว่า อาคารชุดมลี กั ษณะพเิ ศษทแ่ี ตกต่างไปจากอาคาร
โดยทว่ั ไป เนอื่ งจากมที รพั ยส์ ว่ นกลางทมี่ ไี วเ้ พอื่ ประโยชนร์ ว่ มกนั ส�ำ หรบั เจา้ ของหอ้ งชดุ ในอาคาร
ชุดนั้นทั้งหมด ดังนั้น กฎหมายจึงกำ�หนดให้เจ้าของร่วมทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องชำ�ระค่าใช้จ่าย
อันเกิดจากบริการส่วนรวมและเคร่ืองมือเครื่องใช้ท่ีมีไว้ใช้ร่วมกัน และหน้ีค่าใช้จ่ายดังกล่าว
ถือเป็นบุริมสิทธิเหนือหน้ีอื่นตามท่ีกฎหมายกำ�หนดไว้ ทั้งน้ีเพราะหากมีการไม่ชำ�ระค่าใช้จ่าย
ดังกล่าวย่อมจะส่งผลกระทบต่อประโยชน์ร่วมกันของเจ้าของห้องชุดท้ังหมดนั่นเอง ด้วยเหตุ
น้ี กฎหมายจึงได้บญั ญัติไวว้ า่ ผทู้ ีจ่ ะขอจดทะเบยี นโอนกรรมสิทธ์ิต้องน�ำ หนังสอื รับรองรายการ
หนค้ี า่ ใชจ้ า่ ยดงั กลา่ วมาแสดงตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทดี่ ว้ ย ทงั้ นี้ เพอ่ื ตอ้ งการใหพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ที่
ตรวจสอบหนี้ในเรอื่ งดังกล่าวว่ามีการคงค้างอยหู่ รอื ไม่ และในการพิจารณารบั จดทะเบยี นสิทธิ
และนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดน้ัน พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอ�ำ นาจพิจารณาคำ�ขอมีหน้าท่ี
ทจ่ี ะพจิ ารณาใหไ้ ดค้ วามชดั เจนเสยี กอ่ นวา่ คา่ ใชจ้ า่ ยทเี่ กดิ จากการบรกิ ารสว่ นรวมและทเ่ี กดิ จาก
เครอ่ื งมอื เครอ่ื งใชท้ มี่ ไี วเ้ พอื่ ประโยชนร์ ว่ มกนั ของหอ้ งชดุ ซงึ่ ไดย้ นื่ คำ�ขอจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธ์ิ
นนั้ ไดช้ ำ�ระแกน่ ติ บิ คุ คลอาคารชดุ ดงั กลา่ วโดยครบถว้ นแลว้ หรอื ไม่ หากมกี ารชำ�ระหนค้ี รบถว้ น
แลว้ กใ็ หพ้ นกั งานเจา้ หนา้ ทรี่ บั จดทะเบยี นได้ แตห่ ากมกี ารชำ�ระไมค่ รบถว้ น พนกั งานเจา้ หนา้ ทกี่ ็
ยอ่ มทจี่ ะไมร่ บั จดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมนนั้ ได้ ทงั้ น้ี โดยมไิ ดก้ ำ�หนดขอ้ ยกเวน้ ไวแ้ ตป่ ระการใด
คดนี ขี้ อ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ ผฟู้ อ้ งคดไี ดไ้ ปขอจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมโอนกรรมสทิ ธใิ์ นหอ้ งชดุ
ของอาคารชุด ร. คอนโดมเิ นยี ม ทีซ่ ้ือมาจากการขายทอดตลาด แตเ่ ม่อื ผฟู้ ้องคดมี ิได้น�ำ หนงั สือ

150 อัยการนเิ ทศ

รับรองรายการหน้ีอันเกิดจากค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๑๘ จากผู้จัดการของนิติบุคคลอาคารชุด
ดังกล่าว มาแสดงต่อผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีมิได้ปฏิบัติตามมาตรา ๒๙ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ ดังน้ัน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ มีคำ�ส่ังปฏิเสธไม่
จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธ์ิในห้องชุดให้แก่ผู้ฟ้องคดี จึงเป็นการกระท�ำ ท่ีชอบ
ด้วยกฎหมาย เมื่อการกระทำ�ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายแล้ว การกระทำ�ของ
ผถู้ ูกฟอ้ งคดที ่ี ๒ จึงไมเ่ ป็นการกระทำ�ละเมิดอนั เกิดจากการใช้อ�ำ นาจทางกฎหมายตอ่ ผฟู้ อ้ งคดี
ผูถ้ ูกฟอ้ งคดีท่ี ๑ จึงไมต่ อ้ งรบั ผิดชดใช้คา่ สินไหมทดแทนใหแ้ ก่ผูฟ้ ้องคดี

________________________________________

นายสริ ิประสงค์ ตนั จริยานนท์ ผ้ฟู อ้ งคดี
ระหวา่ ง กรมทดี่ ิน ที่ ๑ ผู้ถูกฟอ้ งคดี
เจ้าพนักงานทด่ี นิ จงั หวดั นนทบุรี ที่ ๒
ผ้วู า่ ราชการจังหวัดนนทบุรี ที่ ๓


คดนี ี้ผฟู้ อ้ งคดีฟ้องและเพมิ่ เตมิ ค�ำ ฟ้องว่า ผฟู้ ้องคดีได้ซือ้ ห้องชดุ เลขท่ี ๑๑๑/๕๕๘ ชั้นที่ ๑๔
อาคารเลขท่ี ๑ ชอ่ื อาคารชุด ร. คอนโดมิเนยี ม ทะเบยี นอาคารชุดเลขที่ ๑๖/๒๕๓๕ บนที่ดินโฉนด
เลขท่ี ๑๓๕๗๑๔ เลขท่ี ๔๒๗๗๗ ต�ำ บลบางกระสอ (บางซอื่ ) อ�ำ เภอเมอื งนนทบรุ ี จงั หวดั นนทบรุ ี จาก
การขายทอดตลาดโดยปลอดการจำ�นองของส�ำ นกั งานบังคบั คดจี ังหวัดนนทบรุ ี ผูฟ้ อ้ งไดน้ ำ�หนังสือ
ท่ี ยธ ๐๕๑๒.๐๘/๑๗๔๗๐ ลงวันที่ ๒๒ มถิ ุนายน ๒๕๔๗ ที่ส�ำ นักงานบงั คับคดจี งั หวัดนนทบุรอี อก
ใหเ้ ปน็ หลักฐานไปขอใหผ้ ้ถู กู ฟอ้ งคดีที่ ๒ จดทะเบียนระงับการจ�ำ นองและโอนกรรมสิทธใิ์ นห้องชุด
ดงั กลา่ ว ใหแ้ กผ่ ฟู้ อ้ งคดี แตผ่ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ ไมร่ บั จดทะเบยี นดงั กลา่ วใหแ้ กผ่ ฟู้ อ้ งคดี โดยอา้ งวา่ ตาม
มาตรา ๒๙ แหง่ พระราชบญั ญตั อิ าคารชดุ พ.ศ. ๒๕๒๒ ผฟู้ อ้ งคดจี ะตอ้ งน�ำ หนงั สอื รบั รองการปลอดหนี้
มาแสดงดว้ ย ซงึ่ กรณเี จา้ ของรว่ มหอ้ งเลขท่ี ๑๑๑/๕๕๘ คา้ งช�ำ ระคา่ สาธารณปู โภค (คา่ สว่ นกลางและ
ค่าน้าํ ประปา) ตอ่ นิติบคุ คลอาคารชดุ ร. คอนโดมเิ นียม เปน็ จำ�นวนเงิน ๕๙,๑๙๘ บาท รวมเบย้ี ปรับ
๔๓,๔๕๕ บาท เปน็ เงนิ ท้ังสิ้น ๑๐๒,๖๕๓ บาท ผฟู้ ้องคดีเหน็ ว่าผ้ฟู อ้ งคดีเป็นผซู้ ื้อห้องชดุ จากการ
ขายทอดตลาดทรัพย์ และผู้ฟ้องคดี ไม่ได้เป็นผู้ก่อหนี้ดังกล่าว นิติบุคคลอาคารชุดชอบท่ีจะขอรับ
ชำ�ระหน้ีค่าใช้จ่ายส่วนกลางท่ีเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดคนเดิมเป็นหน้ีอยู่น้ันต่อเจ้าพนักงานบังคับ
คดโี ดยการขอเฉลย่ี ทรพั ยห์ รอื ขอรบั ช�ำ ระหนบ้ี รุ มิ สทิ ธผิ ฟู้ อ้ งคดไี มม่ หี นา้ ทตี่ อ้ งน�ำ หนงั สอื รบั รองแสดง
การปลอดหน้ีค่าใช้จ่ายมาแสดงตามมาตรา ๒๙ ผู้ฟ้องคดี จึงได้ยื่นอุทธรณ์คำ�ส่ังดังกล่าว
ตอ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ ซงึ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ ไดน้ �ำ เสนอตอ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๓ และผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๓ พจิ ารณา
อทุ ธรณแ์ ลว้ มคี �ำ สงั่ ไมร่ บั อทุ ธรณข์ องผฟู้ อ้ งคดี ผฟู้ อ้ งคดจี งึ ไดม้ หี นงั สอื ลงวนั ที่ ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๗

อยั การนเิ ทศ 151

ขอใหผ้ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ชดใชค้ า่ เสยี หายเปน็ เงนิ ในอตั ราเดอื นละ ๕,๐๐๐ บาท นบั แตว่ นั ท่ี ๒๒ มถิ นุ ายน
๒๕๔๗ เป็นต้นไปจนกว่าผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ จะรับจดทะเบียนระงับการจำ�นอง แล้วโอนกรรมสิทธิ์
หอ้ งชุดดงั กลา่ วใหแ้ ก่ผฟู้ ้องคดี โดยใหด้ �ำ เนนิ การภายใน ๗ วัน แตผ่ ถู้ ูกฟอ้ งคดที ่ี ๑ มไิ ด้ดำ�เนนิ การ
ตามท่ผี ฟู้ ้องคดรี อ้ งขอแตอ่ ยา่ งใด
ขอใหศ้ าลพพิ ากษาหรือมีคำ�สั่งดงั ต่อไปน้ี
๑. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในอัตราเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่
๒๒ มถิ นุ ายน ๒๕๔๗ เป็นต้นไปจนกวา่ ผ้ถู ูกฟ้องคดีที่ ๒ จะรับจดทะเบยี น
๒. ใหผ้ ถู้ กู ฟ้องคดีท่ี ๒ รับจดทะเบียนสทิ ธิและนติ กิ รรมหอ้ งชุดเลขท่ี ๑๑๑/๕๕๘
ผู้ถกู ฟอ้ งคดีท่ี ๑ ใหก้ ารวา่ ผ้ฟู อ้ งคดไี มใ่ ชผ่ ้เู สียหายโดยตรงจากการที่ผู้ถูกฟอ้ งคดที ี่ ๒ ไม่รับ
จดทะเบียนยกเลกิ จำ�นองและโอนกรรมสิทธิ์หอ้ งชดุ เนอ่ื งจากผฟู้ ้องคดีไมไ่ ดเ้ ป็นผ้ขู อใหจ้ ดทะเบยี น
ดงั กลา่ วตามฟ้อง และผู้ฟ้องคดีไมม่ อี ำ�นาจฟ้องผู้ถกู ฟ้องคดที ี่ ๑ เน่ืองจากผู้ฟอ้ งคดีไม่ใชผ่ ู้เสียหาย
โดยตรงเปน็ เพยี งผกู้ ระทำ�แทนเจา้ พนกั งานบงั คบั คดจี งั หวดั นนทบรุ ี ซง่ึ เปน็ ผขู้ อจดทะเบยี นโดยตรง
และตามมาตรา ๒๙ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั อิ าคารชดุ พ.ศ. ๒๕๒๒ ก�ำ หนดใหผ้ ขู้ อจดทะเบยี น
นำ�หนังสือรับรองรายการหนี้อันเกิดจากค่าใช้จ่ายจากผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดมาแสดงต่อ
เจ้าพนักงานที่ดินด้วย จึงเป็นหน้าท่ีของเจ้าพนักงานบังคับคดีจังหวัดนนทบุรีหรือผู้ฟ้องคดีต้องมี
หนังสือรบั รองรายการหนด้ี งั กลา่ วมาแสดงต่อผถู้ ูกฟ้องคดีท่ี ๒ ซ่งึ เป็นตัวแทนของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑
ในขณะจดทะเบียนดังกล่าว เมื่อผู้ฟ้องคดีไม่มีหนังสือรับรองหนี้มาแสดงจึงขัดกับบทบัญญัติของ
กฎหมายดังกลา่ ว และแนวปฏิบตั ิของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ตามหนังสอื ที่ มท ๐๕๑๗.๓/๒๖๖๘๔ ลง
วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๖
ผถู้ ูกฟอ้ งคดที ่ี ๒ และผถู้ ูกฟอ้ งคดีท่ี ๓ ให้การวา่ ผูถ้ กู ฟอ้ งคดีท่ี ๒ และผู้ถกู ฟ้องคดีที่ ๓ จะ
ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามมาตรา ๑๘ และมาตรา ๒๙ แหง่ พระราชบญั ญตั อิ าคารชดุ พ.ศ. ๒๕๒๒ แมว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดี
จะไดซ้ อ้ื กรรมสทิ ธข์ิ องหอ้ งชดุ จากการขายทอดตลาดกต็ าม และปฏบิ ตั ติ ามนยั หนงั สอื ตอบขอ้ หารอื
ของกรมท่ีดินกับจังหวัดเชียงใหม่ ท่ี มท ๐๕๑๗.๓/๒๖๖๘๔ ลงวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๖ ซ่ึง
เป็นกรณีที่กฎหมายและผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้วางหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติงานไว้อย่างชัดเจนแล้ว
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ ได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการครบถ้วนตามพระราชบัญญัติ
วธิ ปี ฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๕ มาตรา ๔๔ ประกอบดว้ ยกฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๔
พ.ศ. ๒๕๔๐ ออกตามความในพระราชบัญญัติ วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ข้อ ๒ (๘) แลว้
ศาลปกครองชั้นตน้ พจิ ารณาแล้วพพิ ากษายกฟอ้ ง
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์ ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษากลับคำ�พิพากษาศาลปกครองช้ันต้น
เป็นให้ผู้ถูกฟอ้ งคดที ัง้ สามปฏบิ ตั ติ ามค�ำ ขอบงั คับทรี่ ะบุไว้ตามทา้ ยของค�ำ ฟอ้ งดว้ ย
ผู้ฟ้องคดีได้มีคำ�ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวก่อนการพิพากษาโดยอ้างว่า ได้รับ

152 อยั การนเิ ทศ

ความเดอื ดรอ้ นและเสยี หายจากการทย่ี งั ไมไ่ ดร้ บั โอนกรรมสทิ ธใ์ิ นหอ้ งชดุ จงึ ไมส่ ามารถใชป้ ระโยชน์
จากหอ้ งชดุ ดังกลา่ วได้ ขอใหศ้ าลมคี ำ�สั่งใหผ้ ถู้ ูกฟอ้ งคดที ี่ ๒ รบั จดทะเบียนโอนกรรมสทิ ธห์ิ อ้ งชุดให้
แกผ่ ูฟ้ ้องคดเี ปน็ การช่ัวคราว โดยมีเง่ือนไขมใิ ห้ผ้ฟู ้องคดโี อนกรรมสิทธ์หิ อ้ งชดุ ตอ่ ไปจนกว่าศาลจะมี
คำ�สั่งเป็นอย่างอ่ืน หรือมีเงื่อนไขให้ผู้ฟ้องคดีวางหลักประกันตามจ�ำ นวนที่ศาลกำ�หนดเพ่ือประกัน
ความเสยี หายท่ีอาจจะเกดิ ข้ึนแก่ผู้ถกู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ ซึง่ ศาลปกครองสูงสดุ พิจารณาแล้วเหน็ วา่ ยงั ไมม่ ี
เหตุเพยี งพอที่จะมีค�ำ สัง่ ให้เป็นไปตามค�ำ รอ้ งขอของผู้ฟ้องคดี จึงมีคำ�สงั่ ยกค�ำ ขอของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ แก้อุทธรณ์ ขอศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามคำ�พิพากษาของ
ศาลปกครองชัน้ ตน้
ศาลปกครองสูงสดุ พิจารณาแลว้ คดีนี้มปี ระเดน็ ทจ่ี ะต้องวนิ จิ ฉัยวา่ การทีผ่ ถู้ ูกฟอ้ งคดีที่ ๒
ปฏิเสธการขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดให้แก่ผู้ฟ้องคดีซึ่งผู้ฟ้องคดีได้
จากการขายทอดตลาดของส�ำ นกั งานบงั คบั คดจี งั หวดั นนทบรุ ี เปน็ การกระท�ำ ทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมาย
และเปน็ การกระทำ�ละเมดิ อนั เกดิ จากการใชอ้ ำ�นาจตามกฎหมายตอ่ ผู้ฟ้องคดีหรอื ไม่
พเิ คราะหแ์ ลว้ เหน็ วา่ โดยทม่ี าตรา ๒๙ วรรคหนงึ่ แหง่ พระราชบญั ญตั อิ าคารชดุ พ.ศ. ๒๕๒๒
บัญญัตวิ ่า ผใู้ ดประสงคจ์ ะจดทะเบยี นสิทธแิ ละนติ ิกรรมเกยี่ วกบั ห้องชดุ ตามพระราชบัญญัตินีใ้ ห้นำ�
หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดมาจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีท่ีขอ
จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธ์ิในห้องชุด ให้ผู้ขอนำ�หนังสือรับรองรายการหน้ีอันเกิด
จากค่าใชจ้ า่ ยตามมาตรา ๑๘ จากผู้จดั การของนติ ิบคุ คลอาคารชดุ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งมาแสดงต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ด้วย และให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีรับจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมได้เมื่อมีการชำ�ระหน้ีน้ัน
ครบถ้วนแล้ว ซึ่งค่าใช้จ่ายตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว วรรคหนึ่ง หมายถึง
ค่าใช้จ่ายท่ีเจ้าของร่วมต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายท่ีเกิดจากบริการส่วนรวมและท่ีเกิดจากเคร่ืองมือ
เครอ่ื งใชท้ ม่ี ไี ว้เพ่อื ประโยชนร์ ่วมกนั ตามสว่ นแหง่ ประโยชน์ท่ีมตี อ่ ห้องชุด ทั้งนี้ ตามทีก่ ำ�หนดไวใ้ น
ข้อบังคบั และวรรคสอง หมายถึง เจา้ ของร่วมต้องร่วมกนั ออกค่าภาษีอากรและคา่ ใชจ้ า่ ยท่ีเกดิ จาก
การดูแลรักษาและการดำ�เนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางตามอัตราส่วนที่เจ้าของร่วมแต่ละคน
มกี รรมสทิ ธใ์ิ นทรพั ยส์ ว่ นกลางตามมาตรา ๑๔ จากบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทไ่ี ดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ แสดง
ให้เหน็ ว่าอาคารชดุ มีลกั ษณะพิเศษทแ่ี ตกตา่ งไปจากอาคารโดยทวั่ ไป เน่ืองจากมที รัพย์สว่ นกลางท่ี
มไี วเ้ พือ่ ประโยชนร์ ่วมกันสำ�หรบั เจ้าของหอ้ งชุดในอาคารชุดนัน้ ทัง้ หมด ดงั น้นั กฎหมายจงึ กำ�หนด
ใหเ้ จา้ ของรว่ มทกุ คนมหี นา้ ทที่ จี่ ะตอ้ งช�ำ ระคา่ ใชจ้ า่ ยอนั เกดิ จากบรกิ ารสว่ นรวมและเครอื่ งมอื เครอ่ื ง
ใช้ที่มีไว้ใช้ร่วมกัน และหนี้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวถือเป็นบุริมสิทธิเหนือหน้ีอ่ืนตามท่ีกฎหมายก�ำ หนดไว้
ทง้ั นเี้ พราะหากมกี ารไมช่ �ำ ระคา่ ใชจ้ า่ ยดงั กลา่ วยอ่ มจะสง่ ผลกระทบตอ่ ประโยชนร์ ว่ มกนั ของเจา้ ของ
หอ้ งชดุ ทงั้ หมดนนั่ เอง ดว้ ยเหตนุ ี้ กฎหมายจงึ ไดบ้ ญั ญตั ไิ วว้ า่ ผทู้ จ่ี ะขอจดทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธต์ิ อ้ ง
น�ำ หนงั สอื รบั รองรายการหนค้ี า่ ใชจ้ า่ ยดงั กลา่ วมาแสดงตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทด่ี ว้ ย ทง้ั น้ี เพอ่ื ตอ้ งการ
ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหน้ีในเรื่องดังกล่าวว่า มีการคงค้างอยู่หรือไม่ และในการพิจารณา

อัยการนิเทศ 153

รบั จดทะเบียนสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมโอนกรรมสทิ ธใิ์ นห้องชดุ นัน้ พนกั งานเจา้ หน้าทผ่ี ู้มอี �ำ นาจพจิ ารณา
ค�ำ ขอมหี นา้ ทที่ จ่ี ะพจิ ารณาใหไ้ ดค้ วามชดั เจนเสยี กอ่ นวา่ คา่ ใชจ้ า่ ยทเี่ กดิ จากการบรกิ ารสว่ นรวมและ
ท่ีเกิดจากเคร่ืองมือเครื่องใช้ท่ีมีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันของห้องชุดซ่ึงได้ย่ืนคำ�ขอจดทะเบียนโอน
กรรมสิทธิ์น้ัน ได้ชำ�ระแก่นิติบุคคลอาคารชุดดังกล่าวโดยครบถ้วนแล้วหรือไม่ หากมีการชำ�ระหน้ี
ครบถ้วนแล้วก็ให้พนักงานเจ้าหน้าที่รับจดทะเบียนได้ แต่หากมีการชำ�ระไม่ครบถ้วนพนักงาน
เจา้ หน้าทีก่ ย็ ่อมที่จะไม่รับจดทะเบยี นสิทธแิ ละนติ กิ รรมนัน้ ได้ ทงั้ น้ี โดยมไิ ด้กำ�หนดข้อยกเวน้ ไวแ้ ต่
ประการใด คดนี ้ขี อ้ เทจ็ จริงปรากฏวา่ ผฟู้ ้องคดีได้ไปขอจดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ ิกรรมโอนกรรมสิทธิ์
ในหอ้ งชดุ ของอาคารชดุ ร.คอนโดมเิ นยี มทซ่ี อื้ มาจากการขายทอดตลาดแตเ่ มอื่ ผฟู้ อ้ งคดมี ไิ ดน้ �ำ หนงั สอื
รบั รองรายการหนอ้ี นั เกดิ จากคา่ ใชจ้ า่ ยตามมาตรา ๑๘ จากผจู้ ดั การของนติ บิ คุ คลอาคารชดุ ดงั กลา่ ว
มาแสดงตอ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ จงึ ถอื วา่ ผฟู้ อ้ งคดมี ไิ ดป้ ฏบิ ตั ติ ามมาตรา ๒๙ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ิ
อาคารชดุ พ.ศ. ๒๕๒๒ ดังนนั้ การทผ่ี ถู้ กู ฟ้องคดที ี่ ๒ มคี �ำ สั่งปฏิเสธไมจ่ ดทะเบียนสิทธิและนติ กิ รรม
โอนกรรมสทิ ธิใ์ นห้องชุดใหแ้ กผ่ ู้ฟอ้ งคดี จงึ เป็นการกระท�ำ ทชี่ อบด้วยกฎหมาย เมื่อการกระท�ำ ของ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๒ ชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ การกระท�ำ ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ จงึ ไมเ่ ปน็ การกระท�ำ ละเมดิ
อันเกดิ จากการใชอ้ �ำ นาจทางกฎหมายตอ่ ผฟู้ ้องคดี ผู้ถกู ฟ้องคดท่ี ๑ จงึ ไมต่ ้องรับผิดชดใชค้ า่ สนิ ไหม
ทดแทนให้แกผ่ ฟู้ ้องคดี
สว่ นทผ่ี ฟู้ อ้ งคดอี า้ งวา่ ผฟู้ อ้ งคดซี อื้ หอ้ งชดุ มาจากการขายทอดตลาดของส�ำ นกั งานบงั คบั คดี
จังหวัดนนทบุรี ผู้ฟ้องคดีไม่มีหน้าท่ีต้องย่ืนหนังสือรับรองรายการหน้ีอันเกิดจากค่าใช้จ่ายท่ีระบุไว้
ในมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัตอิ าคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ และหน้ีดังกลา่ วผฟู้ ้องคดไี มไ่ ดเ้ ป็นผู้กอ่
หนด้ี งั กลา่ วนติ บิ คุ คลอาคารชดุ จะตอ้ งเรยี กรอ้ งเอากบั เจา้ ของรว่ มคนเดมิ อกี ทงั้ การโอนกรรมสทิ ธใ์ิ น
ทรพั ยห์ อ้ งชดุ ของอาคารชดุ ร. คอนโดมเิ นยี ม กระท�ำ โดยเจา้ พนกั งานบงั คบั คดมี ใิ ชเ่ จา้ ของรว่ มคนเดมิ
หรือทายาทของเจ้าของร่วมคนเดิมเป็นผู้โอน ซ่ึงเจ้าพนักงานบังคับคดีมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์จึงไม่
อยู่ในบังคบั ตามมาตรา ๒๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญตั ดิ งั กลา่ ว น้นั เหน็ วา่ ขอ้ อ้างดงั กลา่ วเป็น
เรอื่ งการโตแ้ ย้งเก่ยี วกับการขอชำ�ระหนข้ี องเจ้าหนี้ (ผู้จดั การนติ ิบคุ คลอาคารชดุ ร. คอนโดมิเนียม)
ซง่ึ ไมเ่ กยี่ วขอ้ งกบั การทผี่ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ จะรบั จดทะเบยี นสทิ ธแิ ละนติ กิ รรมโอนกรรมสทิ ธห์ิ อ้ งชดุ ของ
อาคารชดุ ร. คอนโดมเิ นยี ม ใหแ้ กผ่ ฟู้ อ้ งคดีทีก่ ฎหมายอาคารชดุ กำ�หนดไวเ้ ปน็ การเฉพาะ อทุ ธรณ์
ของผฟู้ อ้ งคดจี งึ ฟงั ไมข่ น้ึ การทศ่ี าลปกครองชนั้ ตน้ พพิ ากษายกฟอ้ ง ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พอ้ งดว้ ย
พพิ ากษายืน


154 อัยการนิเทศ

ค�ำ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ. ๑๓๙/๒๕๕๓

พระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ (มาตรา ๗, ๑๖)
ตามมาตรา ๗ แหง่ พระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบา้ นข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ น้ัน เป็นการ
กำ�หนดเก่ียวกับสิทธิของข้าราชการในการขอเบิกค่าเช่าบ้านโดยกำ�หนดให้ข้าราชการที่ได้รับ
คำ�สั่งให้เดินทางไปประจำ�สำ�นักงานในต่างท้องท่ี มีสิทธิท่ีจะได้รับค่าเช่าบ้านได้ เว้นแต่กรณี
ทางราชการจัดที่พักอาศัยให้อยู่แล้ว หรือมีเคหสถานเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือของสามี
หรือภริยาทพ่ี กั อาศัยอยรู่ ว่ มกนั ไดใ้ นท้องท่ที ่ีไปประจำ�ส�ำ นักงานใหม่ หรือไดร้ ับค�ำ ส่ังให้เดนิ ทาง
ไปประจำ�สำ�นักงานใหม่ในท้องที่ซึ่งข้าราชการผู้น้ัน เร่ิมรับราชการคร้ังแรก หรือท้องที่ท่ีกลับ
เข้ารับราชการใหม่ โดยเงื่อนไขดังกล่าวกำ�หนดให้อยู่ภายใต้บทบัญญัติของมาตรา ๑๖ แห่ง
พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว กล่าวคือ บทบัญญัติในมาตรา ๑๖ เป็นการกำ�หนด ในกรณีท่ี
ข้าราชการผู้น้นั มีสทิ ธิในการไดร้ บั คา่ เชา่ บา้ นขา้ ราชการตามมาตรา ๗ โดยสมบูรณแ์ ลว้ แตไ่ ด้
เชา่ ซอื้ บา้ นหรอื ผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอื่ ช�ำ ระราคาบา้ นทคี่ า้ งช�ำ ระในทอ้ งทท่ี ไ่ี ดร้ บั ค�ำ สง่ั ใหเ้ ดนิ ทางไป
ประจำ�ส�ำ นักงานใหม่ โดยต้องใช้เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศัยและอาศัยอย่จู รงิ ในบ้านทเ่ี ช่าซ้อื หรอื บ้านที่ผอ่ น
ชำ�ระเงินกู้ให้สามารถได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามอัตราที่กำ�หนดไว้ได้ โดยกำ�หนดเง่ือนไข
ไว้ว่า ตนเอง สามีหรือภริยา ผ่อนช�ำ ระค่าเช่าซ้อื หรอื เงินกู้เพ่ือชำ�ระราคาบา้ นเพยี งหลังเดียวใน
ท้องท่ีนั้น และต้องเช่าซื้อหรือกู้เงิน เพ่ือชำ�ระราคาบ้านจากสถาบันการเงิน หรือรัฐวิสาหกิจ
หรือสหกรณ์ท่ีดำ�เนินการเก่ียวกับการเคหะตามท่ีกำ�หนดไว้ และต้องไม่เคยใช้สิทธิดังกล่าวกับ
บา้ นหลงั ใดหลงั หนง่ึ ในทอ้ งทน่ี นั้ เวน้ แตไ่ ดร้ บั แตง่ ตง้ั ใหก้ ลบั ไปรบั ราชการในทอ้ งทนี่ นั้ อกี และใช้
สทิ ธเิ ชน่ เดมิ ตามทเี่ คยใชส้ ทิ ธดิ งั กลา่ วมาแลว้ ซง่ึ การกำ�หนดสทิ ธใิ นกรณดี งั กลา่ วเปน็ การกำ�หนด
เพอ่ื การขยายสิทธิในการเบกิ คา่ เช่าบา้ นขา้ ราชการตามมาตรา ๗ ออกไปโดยให้ขยายรวมไปถงึ
การเชา่ ซอื้ หรอื การผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอื่ ช�ำ ระราคาบา้ นทค่ี า้ งช�ำ ระดว้ ย ท�ำ ใหข้ า้ ราชการทป่ี ระสงค์
จะมีบา้ นเป็นของตนเอง โดยการเชา่ ซื้อหรอื กเู้ งินเพ่ือปลูกสร้างบ้านสามารถเบกิ เงินคา่ เช่าบา้ น
เพอ่ื น�ำ ไปช�ำ ระคา่ เชา่ ซอ้ื หรอื หนเ้ี งนิ กดู้ งั กลา่ วบางสว่ นได้ การทกี่ �ำ หนดหรอื ยอมใหข้ า้ ราชการท่ี
มสี ทิ ธเิ บกิ คา่ เชา่ บา้ นไดน้ �ำ หลกั ฐานช�ำ ระคา่ เชา่ ซอ้ื หรอื ผอ่ นหนเี้ งนิ กเู้ พอ่ื ช�ำ ระราคาบา้ นมาเบกิ ได้
เหน็ ไดว้ า่ เปน็ นโยบายและวตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี อ้ งการชว่ ยขา้ ราชการใหม้ บี า้ นเปน็ ของตนเอง ซง่ึ การ
ที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ทางราชการจะต้องรับภาระหรือเล็งเห็นว่าจะต้องผูกพันท่ีจะ
ตอ้ งใหข้ า้ ราชการผนู้ น้ั ใชส้ ทิ ธเิ บกิ คา่ เชา่ บา้ นเพอ่ื ช�ำ ระคา่ เชา่ ซอื้ หรอื ผอ่ นหนเี้ งนิ กเู้ พอ่ื ช�ำ ระราคา
บา้ นจนกวา่ จะช�ำ ระคา่ เชา่ ซอื้ หรอื ผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอื่ ชำ�ระราคาบา้ นนน้ั หมด ไมว่ า่ ขา้ ราชการที่
ใชส้ ทิ ธดิ งั กลา่ วจะไดท้ �ำ งานประจ�ำ ส�ำ นกั งานในทอ้ งทท่ี ไ่ี ดเ้ ชา่ ซอ้ื หรอื ซอ้ื บา้ นโดยผอ่ นชำ�ระเงนิ กู้
นัน้ หรอื ไดไ้ ปประจำ�สำ�นักงานใหมต่ ามค�ำ สง่ั ของทางราชการ
เม่อื ผ้ฟู อ้ งคดเี ป็นผมู้ สี ิทธิเบิกคา่ เชา่ บ้านขา้ ราชการตามมาตรา ๗ แหง่ พระราชกฤษฎกี า

อัยการนิเทศ 155

ค่าเชา่ บ้านขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ การท่ผี ้ฟู อ้ งคดไี ดก้ เู้ งินจากธนาคาร อ. เพื่อซื้อทด่ี นิ พร้อม
บ้านแต่ไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้เน่ืองจากบ้านหลังดังกล่าวมีสภาพทรุดโทรมยากแก่การ
ซ่อมแซม จึงได้กู้เงินจากธนาคารเดียวกันอีกคร้ังหน่ึงเพื่อรื้อบ้านหลังเดิมแล้วปลูกสร้างบ้าน
หลังใหม่ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินแปลงเดียวกันโดยไม่เคยใช้สิทธินำ�หลักฐานการผ่อนชำ�ระเงินกู้เพ่ือ
ช�ำ ระราคาบา้ นมาเบกิ คา่ เชา่ บา้ นจากทางราชการมากอ่ นแตอ่ ยา่ งใด กรณขี องผฟู้ อ้ งคดดี งั กลา่ ว
ถอื ไดว้ า่ เปน็ การใชส้ ทิ ธกิ ารผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอื่ ช�ำ ระราคาบา้ นเพยี งหลงั เดยี วในทอ้ งทที่ ตี่ นมสี ทิ ธิ
เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการและใช้เป็นที่อยู่อาศัยและอาศัยอยู่จริงในบ้านดังกล่าว จึงต้องด้วย
หลกั เกณฑแ์ ละเงอ่ื นไขตามมาตรา๑๖แหง่ พระราชกฤษฎกี าคา่ เชา่ บา้ นขา้ ราชการพ.ศ.๒๕๒๗แลว้
ผฟู้ อ้ งคดจี งึ เปน็ ผมู้ สี ทิ ธนิ �ำ หลกั ฐานการผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอ่ื ช�ำ ระราคาบา้ นมาเบกิ คา่ เชา่ บา้ นจาก
ทางราชการได้

________________________________________

นางประดับเดือน พวงจนั ทร ์ ผูฟ้ ้องคดี
ผถู้ กู ฟ้องคดี
ระหวา่ ง
ผอู้ ำ�นวยการโรงพยาบาลพระน่ังเกลา้ ที่ ๑
คณะกรรมการตรวจสอบการใช้สทิ ธเิ บกิ คา่ เชา่ บ้าน
ของขา้ ราชการ ที่ ๒

คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้อง ขอให้ศาลมีคำ�พิพากษาหรือคำ�ส่ังให้เพิกถอนคำ�ส่ังไม่อนุมัติของ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ และมคี �ำ สง่ั ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดนี �ำ หลกั ฐานการผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอื่ ซอ้ื ทด่ี นิ และบา้ นครงั้ แรก
วันท่ ี ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ และครง้ั ทสี่ อง วนั ท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๔๖ เพอื่ ปลกู สร้างบา้ นหลังใหม่
มาเบกิ คา่ เช่าบ้านข้าราชการได้ ทั้งนี้ ภายในวงเงนิ ทกี่ ำ�หนดไวต้ ามบัญชอี ตั ราคา่ เช่าบา้ นข้าราชการ
ท้ายพระราชกฤษฎกี า คา่ เชา่ บา้ นข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗
ผถู้ ูกฟ้องคดที ้ังสองให้การว่า ผู้ถูกฟอ้ งคดที ั้งสองไดป้ ฏิบัติตามระเบียบและไดห้ ารือกระทรวง
การคลังผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวและปฏิบัติตามทุกประการ ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิ
ฟ้องคดีนี้ตามกฎหมาย
ศาลปกครองชน้ั ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนค�ำ สงั่ ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ทไี่ มอ่ นญุ าต
ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดนี �ำ หลกั ฐานการผอ่ นช�ำ ระเงนิ กมู้ าเบกิ คา่ เชา่ บา้ น โดยมเี งอื่ นไขใหผ้ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ด�ำ เนนิ
การเพอ่ื ให้ผ้ฟู อ้ งคดีเบกิ ค่าเช่าบา้ นเพอ่ื นำ�ไปผ่อนชำ�ระเงนิ กรู้ าคาบ้าน ๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามบัญชี
อัตราคา่ เชา่ บา้ น ทกี่ ฎหมายกำ�หนดตั้งแตว่ ันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ซึ่งเปน็ วนั ทีผ่ ู้ฟอ้ งคดเี ขา้ อาศยั
อยจู่ ริงในบา้ นหลังดังกลา่ ว ทั้งนี้ ภายในสามสบิ วันนบั แตว่ นั ทคี่ ดถี งึ ท่ีสุด

156 อัยการนิเทศ

ผู้ถกู ฟอ้ งคดีทั้งสองอทุ ธรณ์ ขอให้พพิ ากษากลบั ค�ำ พิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
ผู้ฟอ้ งคดีแกอ้ ุทธรณ์ ขอศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนตามค�ำ พพิ ากษาของศาลปกครองชั้นต้น
ศาลปกครองสงู สดุ พจิ ารณาแลว้ ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟงั ไดว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดเี ปน็ ขา้ ราชการ เรม่ิ รบั ราชการ
ในตำ�แหน่งพยาบาลวิชาชพี ๓ อ�ำ เภอศรสี งคราม จังหวัดนครพนม ต่อมา กระทรวงสาธารณสขุ มี
ค�ำ สง่ั ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดยี า้ ยมาปฏบิ ตั ริ าชการประจ�ำ ทโ่ี รงพยาบาลพระนง่ั เกลา้ จงั หวดั นนทบรุ ี ในต�ำ แหนง่
พยาบาลวชิ าชพี ๗ โดยผฟู้ อ้ งคดไี ดเ้ ชา่ บา้ นเลขท่ี ๗๖/๒๔ ซอยเปรมฤทยั อ�ำ เภอเมอื งนนทบรุ ี จงั หวดั
นนทบุรีเป็นท่ีอยู่อาศัย และใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านมาโดยตลอด ต่อมา เม่ือวันท่ี ๒๓ พฤษภาคม
๒๕๔๕ ผู้ฟอ้ งคดี ไดก้ เู้ งินจากธนาคาร อ. จ�ำ นวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อซ้อื ท่ดี นิ พร้อมบ้าน เลขท่ี
๙๕/๓ หมทู่ ่ี ๑ ต�ำ บลบางเขน อำ�เภอเมืองนนทบุรี จงั หวดั นนทบรุ ี ซ่ึงเป็นบา้ นทปี่ ลกู สรา้ งมานาน
สภาพช�ำ รดุ ทรดุ โทรมไมส่ ามารถเขา้ พกั อาศยั อยไู่ ด้ ผฟู้ อ้ งคดจี งึ ไดร้ อื้ ถอนบา้ นหลงั ดงั กลา่ วเพอ่ื ปลกู
สร้างบ้านหลงั ใหม่บนที่ดนิ แปลงเดมิ โดยกเู้ งนิ จำ�นวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากธนาคาร อ. และได้
เข้าอยู่อาศัยในบ้านหลังดังกล่าวจริงตั้งแต่วันท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ และได้ขอใช้สิทธิเบิกค่าเช่า
บ้านเพือ่ ผอ่ นชำ�ระเงินกูจ้ �ำ นวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท กบั ธนาคาร อ. แตผ่ ถู้ ูกฟ้องคดีท่ี ๑ ไม่อนมุ ตั ใิ ห้
ผูฟ้ อ้ งคดีเบิกค่าเช่าบา้ นตามความเห็นของกรมบัญชีกลาง ซ่ึงตอบขอ้ หารอื วา่ ผู้ฟ้องคดไี มม่ ีสิทธเิ บกิ
ค่าเชา่ บา้ นหลงั ดงั กลา่ ว เนอื่ งจากไดร้ อื้ ถอนบา้ นหลังแรกแลว้ ปลูกสรา้ งบา้ นหลังใหม่ ถือว่าสทิ ธิเบกิ
คา่ เช่าบา้ นทเี่ กิดจากบา้ นหลงั แรกไดส้ ้ินสุดลง ผ้ฟู อ้ งคดไี ดอ้ ุทธรณค์ �ำ สั่งดงั กลา่ วแตผ่ ูถ้ กู ฟ้องคดีท่ี ๑
โดยข้อเสนอของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ พิจารณาแล้วยืนยันตามความเห็นเดิม ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำ�สั่งไม่
อนมุ ตั ใิ หผ้ ฟู้ อ้ งคดใี ชส้ ทิ ธเิ บกิ คา่ เชา่ บา้ นไมเ่ ปน็ ธรรม จงึ น�ำ คดมี าฟอ้ งตอ่ ศาล ขอใหศ้ าลมคี �ำ พพิ ากษา
หรอื คำ�สั่งให้เพิกถอนคำ�สั่งของผถู้ กู ฟ้องคดที ี่ ๑ ท่ีไม่อนุมตั ใิ ห้ผูฟ้ อ้ งคดีใช้สทิ ธเิ บกิ ค่าเช่าบ้าน และ
ส่ังให้ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน เพ่ือผ่อนชำ�ระเงินกู้ราคาบ้านท่ีค้างชำ�ระอยู่กับธนาคาร ต้ังแต่
วนั ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ซง่ึ เป็นวนั ท่ผี ฟู้ ้องคดีเข้าอยูอ่ าศยั จริงในบ้านทขี่ อใช้สิทธเิ บกิ ค่าเช่าบ้าน
ตามอตั ราคา่ เชา่ บา้ นทก่ี ฎหมายกำ�หนด
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นท่ีจะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดี
ทง้ั สองวา่ ค�ำ สง่ั ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑ ทไ่ี มอ่ นมุ ตั ใิ หผ้ ฟู้ อ้ งคดนี �ำ หลกั ฐานการผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอ่ื ช�ำ ระ
ราคาบ้านมาเบิกคา่ เช่าบา้ นข้าราชการเป็นค�ำ ส่ังท่ีชอบด้วยกฎหมายหรอื ไม่
เหน็ ว่า ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบา้ นขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ นั้น เปน็ การ
กำ�หนดเกี่ยวกับสิทธิของข้าราชการในการขอเบิกค่าเช่าบ้านโดยก�ำ หนดให้ข้าราชการท่ีได้รับคำ�สั่ง
ให้เดินทางไปประจ�ำ ส�ำ นกั งานในต่างทอ้ งท่ี มสี ิทธิท่จี ะได้รบั คา่ เชา่ บ้านได้ เวน้ แต่กรณที างราชการ
จดั ทพี่ กั อาศยั ใหอ้ ยแู่ ลว้ หรอื มเี คหสถานเปน็ กรรมสทิ ธข์ิ องตนเองหรอื ของสามหี รอื ภรยิ าทพ่ี กั อาศยั
อยู่ร่วมกันได้ในท้องท่ีที่ไปประจำ�สำ�นักงานใหม่ หรือได้รบั ค�ำ ส่ังให้เดนิ ทางไปประจำ�สำ�นักงานใหม่
ในท้องที่ซึ่งข้าราชการผู้น้ันเร่ิมรับราชการครั้งแรกหรือท้องท่ีท่ีกลับเข้ารับราชการใหม่ โดยเง่ือนไข
ดังกล่าวกำ�หนดให้อยู่ภายใต้บทบัญญัติของมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว กล่าวคือ

อยั การนิเทศ 157

บทบัญญัติในมาตรา ๑๖ เป็นการกำ�หนดในกรณีท่ีข้าราชการผู้นั้นมีสิทธิในการได้รับค่าเช่าบ้าน
ขา้ ราชการตามมาตรา ๗ โดยสมบูรณแ์ ลว้ แต่ไดเ้ ชา่ ซ้อื บา้ นหรอื ผ่อนชำ�ระเงินกู้เพ่ือช�ำ ระราคาบ้าน
ท่ีค้างชำ�ระในท้องท่ีท่ีได้รับคำ�สั่งให้เดินทางไปประจำ�สำ�นักงานใหม่ โดยต้องใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยและ
อาศัยอยู่จริงในบ้านที่เช่าซื้อหรือบ้านที่ผ่อนชำ�ระเงินกู้ให้สามารถได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตาม
อตั ราทก่ี �ำ หนดไวไ้ ด้ โดยก�ำ หนดเงอื่ นไขไวว้ า่ ตนเอง สามหี รอื ภรยิ าผอ่ นช�ำ ระคา่ เชา่ ซอื้ หรอื เงนิ กเู้ พอื่
ชำ�ระราคาบ้านเพียงหลังเดียวในทอ้ งท่นี ้นั และต้องเชา่ ซื้อหรอื กู้เงินเพื่อชำ�ระราคาบา้ นจากสถาบนั
การเงนิ หรอื รฐั วสิ าหกจิ หรอื สหกรณท์ ดี่ �ำ เนนิ การเกยี่ วกบั การเคหะตามทก่ี �ำ หนดไว้ และตอ้ งไมเ่ คยใช้
สิทธิดังกล่าวกับบ้านหลังใดหลังหน่ึงในท้องท่ีน้ัน เว้นแต่ได้รับแต่งตั้งให้กลับไปรับราชการในท้องที่
นั้นอีก และใช้สิทธิเช่นเดิมตามที่เคยใช้สิทธิดังกล่าวมาแล้ว ซึ่งการกำ�หนดสิทธิในกรณีดังกล่าว
เปน็ การก�ำ หนดเพอื่ การขยายสทิ ธใิ นการเบกิ คา่ เชา่ บา้ นขา้ ราชการตามมาตรา ๗ ออกไปโดยใหข้ ยาย
รวมไปถึงการเช่าซื้อหรือการผ่อนช�ำ ระเงินกู้เพ่ือช�ำ ระราคาบ้านท่ีค้างช�ำ ระด้วย ทำ�ให้ข้าราชการที่
ประสงค์จะมีบ้านเป็นของตนเองโดยการเช่าซ้ือหรือกู้เงินเพ่ือปลูกสร้างบ้านสามารถเบิกเงินค่าเช่า
บ้านเพ่ือนำ�ไปชำ�ระค่าเช่าซ้ือหรือหนี้เงินกู้ดังกล่าวบางส่วนได้ การท่ีกำ�หนดหรือยอมให้ข้าราชการ
ท่ีมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้นำ�หลักฐานชำ�ระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนหนี้เงินกู้เพื่อชำ�ระราคาบ้านมาเบิกได้
เห็นไดว้ า่ เปน็ นโยบายและวัตถุประสงค์ทีต่ อ้ งการช่วยขา้ ราชการใหม้ บี า้ นเป็นของตนเอง ซ่งึ การท่ี
จะบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวได้ทางราชการจะต้องรับภาระหรือเล็งเห็นว่าจะต้องผูกพันที่จะต้อง
ให้ข้าราชการผู้นั้นใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชำ�ระค่าเช่าซ้ือหรือผ่อนหน้ีเงินกู้เพื่อชำ�ระราคาบ้าน
จนกว่าจะชำ�ระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชำ�ระเงินกู้เพื่อชำ�ระราคาบ้านน้ันหมด ไม่ว่าข้าราชการที่ใช้สิทธิ
ดงั กล่าวจะได้ทำ�งานประจ�ำ สำ�นักงานในทอ้ งทที่ ไ่ี ดเ้ ช่าซ้อื หรอื ซอื้ บา้ นโดยผอ่ นชำ�ระเงินก้นู น้ั หรอื ได้
ไปประจ�ำ สำ�นกั งานใหม่ตามคำ�สัง่ ของทางราชการ
เม่ือข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับการบรรจุและแต่งต้ังให้เข้ารับราชการคร้ังแรกเม่ือ
วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๓๔ ท่ีอำ�เภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ต่อมากระทรวงสาธารณสุขได้มี
คำ�ส่ังย้ายผู้ฟ้องคดีให้มาปฏิบัติราชการประจำ�ท่ีโรงพยาบาลพระน่ังเกล้า จังหวัดนนทบุรี เม่ือ
วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๓๘ ซ่ึงเป็นสำ�นักงานในต่างท้องที่ท่ีรับราชการครั้งแรก ผู้ฟ้องคดีจึงเป็น
ผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ โดยที่ผู้ฟ้องคดีได้เช่าบ้านเลขท่ี ๗๖/๒๔ ซอยเปรมฤทัย ตำ�บลบางเขน
อ�ำ เภอเมอื งนนทบรุ ี จงั หวดั นนทบรุ ี และไดใ้ ชส้ ิทธเิ บกิ คา่ เชา่ บา้ นข้าราชการมาโดยตลอด ตอ่ มาเมอื่
วนั ที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๕ ผฟู้ ้องคดไี ด้กู้เงนิ จากธนาคาร อ. จ�ำ นวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อซื้อที่ดนิ
พร้อมบา้ นเลขที่ ๙๕/๓ หมู่ท่ี ๑ ต�ำ บลบางเขน อำ�เภอเมืองนนทบุรี จงั หวดั นนทบรุ ี แตบ่ ้านหลังดงั
กลา่ วมสี ภาพทรุดโทรมไมส่ ามารถเขา้ พกั อาศัยอย่ไู ด้ ผูฟ้ อ้ งคดีจงึ ไดก้ ูเ้ งนิ จากธนาคาร อ. อกี ในวนั
ท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๔๖ เปน็ เงินจ�ำ นวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพ่ือรื้อบา้ นหลังเดมิ และปลูกสร้างบ้าน
หลงั ใหม่บนที่ดนิ แปลงเดิม ตั้งแตก่ ้เู งินมาผู้ฟ้องคดยี ังมิได้ใชส้ ิทธนิ �ำ หลักฐานการผอ่ นชำ�ระเงนิ กู้เพ่ือ

158 อัยการนเิ ทศ

ชำ�ระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ จนกระท่ังสร้างบ้านหลังใหม่เสร็จแล้วผู้ฟ้องคดี
จึงได้ย้ายเข้ามาพักอาศัยในบ้านหลังดังกล่าว ต้ังแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ เป็นต้นมา ต่อมา
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๗ ผูฟ้ ้องคดีได้นำ�หลกั ฐานการผอ่ นชำ�ระเงนิ กูเ้ พื่อชำ�ระราคาบ้านมา
เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำ�สั่งไม่อนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีเบิกค่าเช่าบ้าน โดยให้
เหตุผลตามความเห็นของกรมบัญชีกลางท่ีตอบข้อหารือของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ว่าผู้ฟ้องคดีได้กู้เงิน
จากธนาคาร อ. และได้ซ้ือบ้านพร้อมท่ีดินในท้องที่อ�ำ เภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี จึงถือว่า
ผู้ฟ้องคดีอยู่ในระหว่างการผ่อนชำ�ระเงินกู้เพื่อชำ�ระราคาบ้านหลังแรกในท้องที่ดังกล่าวอยู่แล้ว
เม่ือมีการร้ือบ้านหลังดังกล่าวสิทธิในการนำ�หลักฐานการผ่อนชำ�ระเงินกู้เพ่ือชำ�ระราคาบ้านมาเบิก
คา่ เชา่ บา้ นสน้ิ สดุ ลง ผฟู้ อ้ งคดไี มม่ สี ทิ ธเิ บกิ คา่ เชา่ บา้ นและไมม่ สี ทิ ธนิ �ำ หลกั ฐานการผอ่ นช�ำ ระหนเี้ งนิ กู้
เพ่ือชำ�ระราคาบ้านหลังที่สองมาเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า
ผฟู้ อ้ งคดมี สี ทิ ธน�ำ หลกั ฐานการผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอื่ ช�ำ ระราคาบา้ นมาเบกิ คา่ เชา่ บา้ นจากทางราชการ
หรอื ไม่ เหน็ วา่ เมอ่ื ผฟู้ อ้ งคดเี ปน็ ผมู้ สี ทิ ธเิ บกิ คา่ เชา่ บา้ นขา้ ราชการตามมาตรา ๗ แหง่ พระราชกฤษฎกี า
คา่ เช่าบ้านขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ การทผี่ ู้ฟ้องคดไี ด้กู้เงินจากธนาคาร อ. เพือ่ ซอื้ ทด่ี ินพรอ้ มบ้าน
แต่ไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้เนื่องจากบ้านหลังดังกล่าวมีสภาพทรุดโทรมยากแก่การซ่อมแซม จึง
ได้กู้เงินจากธนาคารเดียวกันอีกคร้ังหนึ่งเพ่ือร้ือบ้านหลังเดิมแล้วปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ซึ่งตั้งอยู่
บนที่ดินแปลงเดียวกันโดยไม่เคยใช้สิทธินำ�หลักฐานการผ่อนชำ�ระเงินกู้เพื่อชำ�ระราคาบ้านมาเบิก
ค่าเช่าบ้านจากทางราชการมาก่อนแต่อย่างใด กรณีของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวถือได้ว่า เป็นการใช้สิทธิ
การผ่อนชำ�ระเงินกเู้ พอื่ ชำ�ระราคาบา้ นเพียงหลงั เดยี วในทอ้ งทท่ี ตี่ นมสี ิทธเิ บกิ คา่ เช่าบ้านข้าราชการ
และใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยและอาศัยอยู่จริงในบ้านดังกล่าว จึงต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตาม
มาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ แล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มี
สิทธนิ ำ�หลกั ฐานการผ่อนชำ�ระเงนิ กู้เพอ่ื ช�ำ ระราคาบา้ นมาเบิกคา่ เชา่ บ้านจากทางราชการได้ ดังน้นั
ค�ำ สง่ั ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ทไ่ี มอ่ นมุ ตั ใิ หผ้ ฟู้ อ้ งคดนี ำ�หลกั ฐานการผอ่ นช�ำ ระเงนิ กเู้ พอื่ ช�ำ ระราคาบา้ น
มาเบกิ คา่ เชา่ บา้ นข้าราชการจึงเปน็ คำ�ส่ังทไ่ี มช่ อบด้วยกฎหมาย
ส่วนท่ีผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองอุทธรณ์ว่า ก่อนการฟ้องคดีผู้ฟ้องคดีมิได้ยื่นอุทธรณ์คำ�สั่งไม่อนุมัติ
ให้เบิกค่าเช่าบ้านต่อผู้ออกคำ�ส่ังจึงไม่ชอบด้วยมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองและวธิ พี ิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ นน้ั เห็นวา่ เม่อื ผ้ถู กู ฟอ้ งคดีท่ี ๑ มีคำ�สัง่ ไม่
อนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีนำ�หลักฐานการผ่อนชำ�ระเงินกู้เพื่อชำ�ระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ
ผฟู้ ้องคดีไดอ้ ทุ ธรณค์ �ำ สัง่ ดงั กล่าว ตามหนงั สือลงวันท่ี ๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ ต่อผ้ถู กู ฟอ้ งคดีที่ ๑ ซง่ึ
ผูถ้ ูกฟอ้ งคดที ่ี ๑ ควรสง่ อทุ ธรณข์ องผู้ฟ้องคดใี ห้ อ.ก.พ. จังหวดั นนทบุรพี จิ ารณาตามขอ้ ๖ (๑) ของ
กฎ ก.พ. ฉบบั ท่ี ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญตั ริ ะเบยี บข้าราชการพลเรอื น
พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ขอให้แก้ไขการปฏิบัติไม่ถูกต้อง
หรือไมป่ ฏิบัตติ ามกฎหมาย แต่ผ้ถู กู ฟ้องคดีท่ี ๑ กลบั มอบหมายให้ผู้ถูกฟอ้ งคดที ี่ ๒ พิจารณาเสนอ

อัยการนิเทศ 159

ความเห็นและผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคำ�สั่งไม่อนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีเบิกค่าเช่าบ้านตามข้อเสนอของ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แล้วแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีทราบ การท่ีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ส่งอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีให้
ผู้วา่ ราชการจังหวดั นนทบุรเี พ่อื น�ำ เสนอ อ.ก.พ. จังหวัดพจิ ารณา อนั เปน็ หนา้ ท่ขี องผถู้ กู ฟ้องคดที ี่ ๑
ที่ต้องดำ�เนินการ แต่กลับดำ�เนินการวินิจฉัยเสียเองและได้มีหนังสือแจ้งผลการวินิจฉัยให้ผู้ฟ้องคดี
ทราบ พร้อมทั้งได้มีหนังสือแจ้งไม่อนุมัติตามความเห็นเดิม ถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้ดำ�เนินการตาม
ข้ันตอนหรือวิธีการสำ�หรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่ง
พระราชบญั ญตั จิ ดั ตั้งศาลปกครองและวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ก่อนนำ�คดีมาฟ้องต่อ
ศาลแล้ว อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีท้ังสองฟังไม่ข้ึน การท่ีศาลปกครองช้ันต้นพิพากษาให้เพิกถอน
ค�ำ สง่ั ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑ ทไ่ี มอ่ นญุ าตใหผ้ ฟู้ อ้ งคดนี ำ�หลกั ฐานการผอ่ นชำ�ระเงนิ กมู้ าเบกิ คา่ เชา่ บา้ น
โดยมเี งอื่ นไขใหผ้ ถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ด�ำ เนนิ การเพอื่ ใหผ้ ฟู้ อ้ งคดเี บกิ คา่ เชา่ บา้ นเพอื่ นำ�ไปผอ่ นชำ�ระเงนิ กู้
ราคาบา้ น ๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามบัญชอี ัตราคา่ เช่าบา้ นท่ีกฎหมายกำ�หนด ตัง้ แตว่ นั ท่ี ๑ กรกฎาคม
๒๕๔๖ ซึ่งเป็นวันท่ีผู้ฟ้องคดีเข้าอาศัยอยู่จริงในบ้านหลังดังกล่าว ท้ังน้ี ภายในสามสิบวัน นับแต่
วันที่คดถี งึ ท่ีสดุ นนั้ ศาลปกครองสงู สุดเห็นพ้องดว้ ย
พพิ ากษายืน


160 อัยการนเิ ทศ

ค�ำ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ. ๑๘๐/๒๕๕๓

พ.ร.บ. ข้อมูลขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ พิจารณาคำ�ร้องขอของผู้ฟ้องคดีแล้วได้มีหนังสือแจ้งปฏิเสธ
การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอ โดยให้เหตุผลว่าเอกสารดังกล่าวไม่อาจ
เปดิ เผยไดต้ ามมาตรา ๑๕ (๒) แห่งพระราชบัญญัตขิ อ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึง่
ตามมาตรา ๑๕ วรรคหนงึ่ ทกี่ �ำ หนดวา่ ขอ้ มลู ขา่ วสารของราชการทม่ี ลี กั ษณะอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด
ดังต่อไปนี้ หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคำ�ส่ังมิให้เปิดเผยก็ได้ โดยคำ�นึงถึง
การปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของ
เอกชนทเ่ี กยี่ วขอ้ งประกอบกนั (๒) การเปดิ เผยจะท�ำ ใหก้ ารบงั คบั ใชก้ ฎหมายเสอื่ มประสทิ ธภิ าพ
หรือไม่อาจสำ�เรจ็ ตามวัตถปุ ระสงคไ์ ด้ ไมว่ ่าจะเกยี่ วกบั การฟ้องคดี การป้องกนั การปราบปราม
การทดสอบ การตรวจสอบ หรือการรู้แหล่งท่ีมาของข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ตาม ประกอบ
หนงั สอื สำ�นักงาน ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๒๖ ลงวนั ที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๗ เหน็ วา่ เหตุผลของ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๒ ดงั กลา่ วไมอ่ าจรบั ฟงั ได้ เนอ่ื งจากขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ ผฟู้ อ้ งคดไี ดม้ หี นงั สอื ถงึ
ผถู้ ูกฟ้องคดีที่ ๒ เพ่อื ชีแ้ จงขอ้ เท็จจรงิ กรณที น่ี ายแพทย์ ส. ไดม้ หี นงั สอื รอ้ งเรียนผู้ฟอ้ งคดเี ร่อื ง
การใช้ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโดยไม่ชอบต่อคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ โดยผู้ฟ้องคดีได้
แนบส�ำ เนาหนงั สอื รอ้ งเรยี นดงั กลา่ วไปพรอ้ มกบั ค�ำ ชแี้ จงดว้ ย ดงั นน้ั การทใี่ หเ้ หตผุ ลวา่ การไมใ่ ห้
เปิดเผยข้อมูลเก่ียวกับเรื่องร้องเรียนดังกล่าวเพ่ือดำ�เนินการสืบสวนในทางลับตามหนังสือ
ส�ำ นกั งาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๒๖ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๔๗ จงึ ไมอ่ าจรับฟังได้ ประกอบ
กับการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นเหตุให้การบังคับใช้กฎหมายเส่ือมประสิทธิภาพแต่
อยา่ งใด เพราะไมป่ รากฏวา่ มกี ฎหมายคมุ้ ครองมใิ หเ้ ปดิ เผยขอ้ มลู ดงั กลา่ วตอ่ ผฟู้ อ้ งคดี ซง่ึ ผฟู้ อ้ งคดี
ถือเป็นคู่กรณีที่สิทธิถูกกระทบกระเทือนจากผลของคำ�สั่งทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒
ดังนั้น คำ�ส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ท่ีปฏิเสธไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคำ�สั่ง
ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เม่ือเอกสารดังกล่าวเป็นข้อมูลข่าวสารของราชการและยังอยู่ในความครอบครองของ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๒ ประกอบกบั ไมม่ กี ฎหมายคมุ้ ครองมใิ หเ้ ปดิ เผย แมว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดจี ะสามารถทราบ
ขอ้ มลู ข่าวสารได้ทางอื่น แต่ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๒ กย็ งั มีหนา้ ท่ีตามกฎหมายท่จี ะต้องเปดิ เผยข้อมลู
ข่าวสารดังกลา่ วให้แกผ่ ้ฟู อ้ งคดีเมอื่ ผูฟ้ ้องคดีรอ้ งขอ ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญตั ขิ อ้ มลู
ข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ สำ�หรับคำ�วินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ท่ียกอุทธรณ์ของ
ผู้ฟ้องคดีน้ัน โดยเห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ทราบข้อเท็จจริงจากผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ได้ดำ�เนินการเก่ียวกับเร่ืองร้องเรียนของนายแพทย์ ส. จนได้ข้อยุติแล้วว่า
ผฟู้ อ้ งคดไี มม่ คี วามผดิ ตามระเบยี บหรอื กฎหมายแตอ่ ยา่ งใด และกรณรี อ้ งเรยี นดงั กลา่ วเปน็ เรอ่ื ง

อยั การนิเทศ 161

ข้อพิพาทส่วนตัวไม่เกี่ยวกับประโยชน์ต่อสาธารณะ และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว
อาจจะขยายความขัดแย้งเรื่องส่วนตัวระหว่างผู้ร้องเรียนและผู้อุทธรณ์ให้เพ่ิมขึ้นไปอีก ซ่ึงมิใช่
เจตนารมณข์ องพระราชบญั ญตั ขิ อ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เมอ่ื พจิ ารณาเหตผุ ลของ
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ที่มีมติให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีนั้น เห็นได้ว่า เป็นคำ�วินิจฉัยที่มิได้คำ�นึง
ถึงประโยชน์ของผู้ฟ้องคดีท่ีชอบจะได้รับการรับรองและคุ้มครองสิทธิในฐานะผู้ร้องขอให้
หน่วยงานที่ครอบครองหรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารท่ีผู้ร้องขอประสงค์ให้หน่วยงานของรัฐ
น้ันเปิดเผยเพ่ือนำ�ไปใช้ประโยชน์ในทางต่อสู้คดีของผู้ฟ้องคดี และแม้ว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็น
ข้อพิพาทส่วนตวั มิใช่ประโยชนส์ าธารณะ แตก่ ็เปน็ สิทธทิ ก่ี ฎหมายรับรองและให้ความค้มุ ครอง
แก่ผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
ดังนนั้ ค�ำ วินิจฉัยของผู้ถูกฟอ้ งคดีที่ ๑ จงึ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

________________________________________

นางสาวนนั ทนา พฤกษค์ มุ้ วงศ์ ผู้ฟอ้ งคดี
ระหว่าง

คณะกรรมการวินจิ ฉยั การเปิดเผยข้อมูลขา่ วสารสาขาสังคม
การบริหารราชการแผ่นดนิ และการบังคับใชก้ ฎหมาย ท่ี ๑
อธกิ ารบดมี หาวิทยาลัยมหดิ ล ที่ ๒ ผถู้ ูกฟ้องคดี

คดนี ี้ผูฟ้ อ้ งคดฟี อ้ งว่า ผฟู้ ้องคดเี ป็นข้าราชการบำ�นาญ กอ่ นเกษียณอายุราชการไดร้ บั ราชการ
ในตำ�แหน่งรองศาสตราจารย์ ระดับ ๙ มหาวิทยาลัยมหิดล และหลังจากเกษียณอายุราชการเม่ือ
วนั ท่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๔๗ แลว้ ผฟู้ อ้ งคดยี งั คงใชส้ �ำ นกั งานเดมิ ทคี่ ณะเภสชั ศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล
ในการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ โครงการจดั การเทคโนโลยเี ชงิ พาณชิ ย์ ตามทไี่ ดท้ �ำ สญั ญาไวก้ บั ส�ำ นกั งานกองทนุ
สนับสนุนการวิจัย (สกว.) เพ่ือทบทวนผลงานวิจัยที่สถาบันต่าง ๆ ทั่วประเทศได้รับทุนอุดหนุน
จากสำ�นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว.) มาบริหารใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อประเทศชาติ โดยได้
รับการอนุเคราะห์และรับทราบการใช้สำ�นักงานดังกล่าวจากคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ ประมาณ
ปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๖ นางสาว ก. ซ่ึงเป็นหลานของผู้ฟ้องคดีและพักอาศัยอยู่ในบ้านเดียวกันได้มี
กรณีพพิ าทกับนาง ศ. และนายแพทย์ ส. ซ่งึ มีท่ีดนิ ขา้ งเคยี งติดต่อกบั บา้ นของผฟู้ อ้ งคดีกรณีตอ่ เติม
บ้านให้เช่ารุกลํ้า ทำ�ให้กำ�แพงบ้านของผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขณะน้ีกรณีพิพาทดังกล่าวอยู่
ระหว่างกระบวนการพจิ ารณาของศาลยุตธิ รรม ตามคดีหมายเลขดำ�ที่ ๓๔๓๙/๒๕๔๗ ของศาลแพง่
โดยนางสาว ก. กับน้องอีก ๓ คน ได้มอบอำ�นาจให้ผู้ฟ้องคดีดำ�เนินคดีดังกล่าวในระหว่างการ
พิสูจน์หาหลักฐานทางคดี ผู้ฟ้องคดีได้ติดต่อหน่วยงานราชการที่เก่ียวข้องโดยใช้กระดาษเขียน

162 อยั การนเิ ทศ

จดหมายของตนเองมีรายละเอียดที่หัวกระดาษคล้ายนามบัตรท่ัวไป ประกอบด้วยตราสัญลักษณ์
มหาวิทยาลัยมหิดล ช่ือ ตำ�แหน่ง ภาควิชา คณะที่สังกัด ท่ีอยู่สำ�หรับติดต่อ ซึ่งเป็นสำ�นักงานท่ี
ผฟู้ ้องคดีใช้ปฏบิ ตั งิ าน หมายเลขโทรศพั ท์ และอีเมลลเ์ ปน็ ภาษาองั กฤษ ซ่ึงกระดาษเขยี นจดหมาย
ดังกล่าว อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ใช้สืบกันมาอย่างแพร่หลาย ต่อมา
นายแพทย์ ส. ไดม้ ีหนงั สือลงวนั ที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๘ ถงึ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ กล่าวหาว่า
ผู้ฟ้องคดีแอบอ้างใช้ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล โดยนำ�ตราสัญลักษณ์ดังกล่าวไปข่มขู่
เจา้ หนา้ ท่ี อนั เปน็ การหมนิ่ ประมาทผฟู้ อ้ งคดี และผฟู้ อ้ งคดไี ดร้ อ้ งทกุ ขท์ ส่ี ถานตี ำ�รวจนครบาลบางซอื่
สถานตี ำ�รวจนครบาลพญาไท และสถานตี ำ�รวจภธู รอ�ำ เภอพุทธมณฑล จงั หวดั นครปฐม ตามลำ�ดับ
แลว้ ตอ่ มาผฟู้ อ้ งคดไี ดใ้ ชส้ ทิ ธติ ามพระราชบญั ญตั ขิ อ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ มหี นงั สอื ลง
วันท่ี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ขอหนงั สอื รอ้ งเรียนของนายแพทย์ ส. และเอกสารทีเ่ ก่ียวข้องทัง้ หมด
เพ่ือประโยชน์ในการเบิกความในคดีหมายเลขดำ�ท่ี ๓๔๓๙/๒๕๔๗ ของศาลแพ่ง และขอทราบ
คำ�วินิจฉัยของมหาวิทยาลัยมหิดล กรณีการใช้ตราสัญลักษณ์ของผู้ฟ้องคดีต่อผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ แต่
ผูถ้ ูกฟ้องคดีที่ ๒ ไดแ้ จ้งใหผ้ ฟู้ อ้ งคดที ราบวา่ ไมส่ ามารถให้คัดส�ำ เนาค�ำ วนิ จิ ฉยั ดังกลา่ วได้ ผฟู้ ้องคดี
จงึ ไดม้ หี นงั สอื ลงวนั ที่ ๒๗ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๙ อทุ ธรณค์ ำ�สงั่ ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ ตอ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑
ซงึ่ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี๑พจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ลไดด้ �ำ เนนิ การเกยี่ วกบั เรอื่ งรอ้ งเรยี นดงั กลา่ ว
จนเป็นท่ียุติแล้วว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีความผิดตามระเบียบและกฎหมายแต่อย่างใด และได้มีหนังสือ
แจ้งยุติเรื่องดังกล่าวให้นายแพทย์ ส. และผู้ฟ้องคดีทราบแล้ว อีกทั้งกรณีเร่ืองร้องเรียนดังกล่าว
เป็นเร่ืองข้อพิพาทส่วนตัวไม่เก่ียวกับประโยชน์สาธารณะ และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าว
อาจจะขยายความขัดแย้งเร่ืองส่วนตัวระหว่างผู้ร้องเรียนและผู้ฟ้องคดีให้เพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งมิใช่
เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ จึงเห็นควรไม่เปิดเผย
ข้อมูลขา่ วสารตามทีผ่ ้ฟู ้องคดรี ้องขอ และได้มีคำ�วินจิ ฉัย ท่ี สค ๒๔/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน
๒๕๔๙ ให้ยกอทุ ธรณข์ องผู้ฟ้องคดี พร้อมกบั มหี นังสือท่ี นร ๐๑๐๗/๑๓๐๗ ลงวนั ท่ี ๙ พฤษภาคม
๒๕๔๙ แจ้งคำ�วินิจฉัยดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำ�วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิ
การใชต้ ราสญั ลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหดิ ล มผี ลกระทบตอ่ ผ้ฟู ้องคดีโดยตรงตามมาตรา ๒๑ แห่ง
พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้มีส่วน
ไดเ้ สยี และค�ำ วนิ จิ ฉยั ดงั กลา่ วสามารถก�ำ หนดเปน็ แนวปฏบิ ตั ใิ นการใชต้ ราสญั ลกั ษณข์ องมหาวทิ ยาลยั
มหิดลของข้าราชการบำ�นาญและข้าราชการที่ยังรับราชการได้ และกรณีร้องเรียนดังกล่าว
คณบดีคณะเภสชั ศาสตรไ์ ดม้ หี นงั สอื ลงวันท่ี ๑๒ ตลุ าคม ๒๕๔๘ ถึงผูฟ้ อ้ งคดี พรอ้ มกบั สง่ หนงั สือ
ร้องเรียนของนายแพทย์ ส. ที่มีถึงคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ประกอบมาด้วย และให้ผู้ฟ้องคดี
ชี้แจงเรื่องการใช้ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยกับจดหมายหรือเอกสารส่วนตัว นอกจากน้ี
ผู้ฟ้องคดีไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งยุติเร่ืองจากมหาวิทยาลัยมหิดล โดยผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ
ลงวันท่ี ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๙ แจ้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทราบว่า ผู้ฟ้องคดีไม่เคยได้รับเอกสาร

อัยการนิเทศ 163

ยุติเร่ือง กรณีการร้องเรียนเก่ียวกับการใช้ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยมหิดลแต่อย่างใด และ
ขอคำ�วินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เก่ียวกับการใช้ตราสัญลักษณ์ดังกล่าว ดังน้ัน คำ�วินิจฉัยของ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ทกี่ ลา่ วอา้ งวา่ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ลมหี นงั สอื แจง้ ยตุ เิ รอ่ื งใหน้ ายแพทย์ ส. และผฟู้ อ้ งคดี
ทราบแลว้ นั้น จงึ เป็นคำ�วนิ จิ ฉัยท่ไี ม่ถกู ต้องและไม่เป็นธรรม และเป็นกระบวนพิจารณาทีไ่ มถ่ กู ต้อง
ขอใหศ้ าลมคี �ำ พพิ ากษาหรอื ค�ำ สง่ั เพกิ ถอนค�ำ วนิ จิ ฉยั ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๑ ท่ี สค ๒๔/๒๕๔๙
ลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ ตามหนังสือ ที่ นร ๐๑๐๗/๑๓๐๗ ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๙ และ
ให้ผูถ้ กู ฟ้องคดที ี่ ๒ เปิดเผยขอ้ มลู ขา่ วสารในค�ำ วินิจฉัยดงั กลา่ ว
ผ้ถู ูกฟ้องคดที ง้ั สอง ใหก้ ารและให้การเพิ่มเติม ขอใหย้ กฟ้องของผู้ฟ้องคดี
ศาลปกครองชนั้ ตน้ พจิ ารณาแลว้ พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนค�ำ สงั่ ของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๒ ตามหนงั สอื
ที่ ศธ ๐๕๑๗/๑๑๔๘๒ ลงวนั ที่ ๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๘ และคำ�วินจิ ฉยั ของผูถ้ ูกฟ้องคดีท่ี ๑ ท่ี สค
๒๔/๒๕๔๙ ลงวนั ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ ตามหนงั สือ ที่ นร ๐๑๐๗/๑๓๐๗ ลงวันท่ี ๙ พฤษภาคม
๒๕๔๙ และให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ เปิดเผยหนังสือร้องเรียน ลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๘ ของ
นายแพทย์ ส. ท่มี ถี ึงผถู้ กู ฟอ้ งคดีที่ ๒ พรอ้ มเอกสารท่ีเกย่ี วขอ้ งท้ังหมดแก่ผู้ฟ้องคดีภายใน ๓๐ วัน
นบั แตว่ นั ที่ศาลมีค�ำ พิพากษาถึงทส่ี ุด
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ง้ั สองอทุ ธรณ์ ขอใหศ้ าลศาลปกครองสงู สดุ พจิ ารณาพพิ ากษากลบั ค�ำ พพิ ากษา
ของศาลปกครองชนั้ ตน้ เปน็ ใหย้ กฟอ้ งผ้ฟู ้องคดี
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ว่า
คำ�สั่งของผถู้ กู ฟอ้ งคดีท่ี ๒ ตามหนงั สือ ท่ี ศธ ๐๕๑๗/๑๑๔๘๒ ลงวันท่ี ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
ไม่เปิดเผยข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ฟ้องคดี และคำ�วินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ท่ี สค ๒๔/๒๕๔๙ ลง
วันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ ทย่ี กอทุ ธรณข์ องผูฟ้ ้องคดี ชอบด้วยกฎหมายหรอื ไม่
เห็นว่า มูลคดีน้ีสืบเนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือ ลงวันท่ี ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ถึง
ผถู้ ูกฟอ้ งคดที ี่ ๒ เพื่อขอหนงั สอื ร้องเรียนของนายแพทย์ ส. ลงวันท่ี ๒๓ กนั ยายน ๒๕๔๘ ที่มถี ึง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และเอกสารที่เก่ียวข้องท้ังหมด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำ�เอกสารดังกล่าวไปใช้
ประโยชนใ์ นการเบกิ ความในคดีหมายเลขดำ�ที่ ๓๔๓๙/๒๕๔๗ ของศาลแพง่ ซง่ึ ผฟู้ อ้ งคดไี ด้รับมอบ
อำ�นาจให้ด�ำ เนินคดีแทนนางสาว ก. กับน้องอีก ๓ คน ซึ่งเป็นโจทก์ โดยมนี าง ศ. และนายแพทย์ ส.
เป็นจำ�เลย ซ่งึ ตามมาตรา ๔ วรรคหนึ่งแหง่ พระราชบัญญัตขิ อ้ มลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐
บัญญัติว่า ข้อมูลข่าวสารของราชการ หมายความว่า ข้อมูลข่าวสารท่ีอยู่ในความครอบครองหรือ
ควบคมุ ดแู ลของหนว่ ยงานของรฐั ไมว่ า่ จะเปน็ ขอ้ มลู ขา่ วสารเกย่ี วกบั การด�ำ เนนิ งานของรฐั หรอื ขอ้ มลู
ขา่ วสารเกย่ี วกบั เอกชน ดงั นนั้ หนงั สอื รอ้ งเรยี นลงวนั ที่ ๒๓ กนั ยายน ๒๕๔๘ ของนายแพทย์ ส. ทมี่ ถี งึ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ และอยใู่ นความครอบครองของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ จงึ เปน็ ขอ้ มลู ขา่ วสารของราชการซง่ึ
อยภู่ ายในบงั คบั แหง่ พระราชบญั ญตั ขิ อ้ มลู ขา่ วสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว
ขา้ งตน้ ซง่ึ มาตรา ๑๑ วรรคหนง่ึ แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว บญั ญตั วิ า่ นอกจากขอ้ มลู ขา่ วสารของ

164 อัยการนเิ ทศ

ราชการทล่ี งพิมพ์ในราชกจิ จานุเบกษาแลว้ หรอื ที่จดั ไวใ้ หป้ ระชาชนเข้าตรวจดูไดแ้ ล้ว หรอื ทม่ี ีการ
จัดให้ประชาชนได้ค้นควา้ ตามมาตรา ๒๖ แล้ว ถ้าบุคคลใดขอขอ้ มลู ข่าวสารอ่ืนใดของราชการและ
ค�ำ ขอของผนู้ น้ั ระบขุ อ้ มลู ขา่ วสารทต่ี อ้ งการในลกั ษณะทอ่ี าจเขา้ ใจไดต้ ามสมควรใหห้ นว่ ยงานของรฐั
ผรู้ บั ผดิ ชอบจดั หาขอ้ มลู ขา่ วสารนนั้ ใหแ้ กผ่ ขู้ อภายในเวลาอนั สมควร เวน้ แตผ่ นู้ นั้ ขอจำ�นวนมากหรอื
บ่อยครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ พิจารณาคำ�ร้องขอ
ของผฟู้ ้องคดีแลว้ ไดม้ ีหนงั สือ ที่ ศธ ๐๕๑๗/๑๑๔๘๒ ลงวันท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๘ แจง้ ปฏเิ สธ
การเปิดเผยข้อมลู ขา่ วสารตามที่ผูฟ้ อ้ งคดรี ้องขอ โดยใหเ้ หตผุ ลว่าเอกสารดงั กล่าวไม่อาจเปดิ เผยได้
ตามมาตรา ๑๕ (๒) แห่งพระราชบัญญตั ิขอ้ มลู ข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ซ่ึงตามมาตรา ๑๕
วรรคหนงึ่ ทกี่ �ำ หนดวา่ ขอ้ มลู ขา่ วสารของราชการทม่ี ลี กั ษณะอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดดงั ตอ่ ไปนี้ หนว่ ยงาน
ของรฐั หรอื เจ้าหนา้ ท่ีของรฐั อาจมีคำ�สั่งมใิ ห้เปดิ เผยก็ได้ โดยคำ�นึงถงึ การปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ตามกฎหมาย
ของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนท่ีเก่ียวข้องประกอบกัน (๒)
การเปดิ เผยจะทำ�ให้การบังคับใช้กฎหมายเสอื่ มประสิทธิภาพ หรอื ไม่อาจส�ำ เร็จตามวัตถปุ ระสงค์ได้
ไม่ว่าจะเก่ียวกับการฟ้องคดี การป้องกันการปราบปราม การทดสอบ การตรวจสอบ หรือการรู้
แหล่งท่ีมาของข้อมูลข่าวสารหรือไม่ก็ตาม ประกอบหนังสือสำ�นักงาน ก.พ. ที่ นร ๑๐๑๑/ว ๒๖
ลงวันท่ี ๑๗ กนั ยายน ๒๕๔๗ เห็นวา่ เหตผุ ลของผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๒ ดังกล่าวไม่อาจรบั ฟงั ได้ เนอื่ งจาก
ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏว่าผฟู้ ้องคดีได้มีหนงั สือ ลงวันท่ี ๗ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๘ ถึงผู้ถกู ฟ้องคดีที่ ๒ เพอื่
ชี้แจงขอ้ เท็จจรงิ กรณที ่ีนายแพทย์ ส. ได้มีหนังสอื ลงวนั ที่ ๒๓ กนั ยายน ๒๕๔๘ ร้องเรยี นผฟู้ ้องคดี
เรอ่ื งการใช้ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยโดยไมช่ อบต่อคณบดีคณะเภสัชศาสตร์ โดยผ้ฟู อ้ งคดไี ด้
แนบสำ�เนาหนังสือร้องเรียนดังกล่าวไปพร้อมกับค�ำ ช้ีแจงด้วย ดังนั้น การที่ให้เหตุผลว่าการไม่ให้
เปิดเผยข้อมลู เกีย่ วกบั เรื่องร้องเรยี นดงั กลา่ วเพ่อื ด�ำ เนินการสบื สวนในทางลับตามหนงั สอื สำ�นักงาน
ก.พ. ท่ี นร ๑๐๑๑/ว ๒๖ ลงวันที่ ๑๗ กนั ยายน ๒๕๔๗ จงึ ไม่อาจรับฟงั ได้ ประกอบกับการเปดิ เผย
ข้อมูลดังกล่าว ไม่เป็นเหตุให้การบังคับใช้กฎหมายเส่ือมประสิทธิภาพแต่อย่างใด เพราะไม่ปรากฏ
ว่ามีกฎหมายคุ้มครองมิให้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวต่อผู้ฟ้องคดี ซึ่งผู้ฟ้องคดีถือเป็นคู่กรณีท่ีสิทธิถูก
กระทบกระเทือนจากผลของคำ�ส่ังทางปกครองของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ดังน้ัน คำ�สั่งของผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ แจง้ ตามหนังสือ ท่ี ศธ ๐๕๑๗/๑๑๔๘๒ ลงวนั ท่ี ๓๐ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๘ ท่ีปฏเิ สธไมเ่ ปดิ เผย
ข้อมูลข่าวสารแก่ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นคำ�สั่งท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ อ้างว่า
ผู้ฟ้องคดีได้เห็นและทราบข้อความในหนังสือร้องเรียน ลงวันท่ี ๒๓ กันยายน ๒๕๔๘ ของ
นายแพทย์ส.ทม่ี ถี งึ ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่๒แลว้ โดยทราบจากคณบดคี ณะเภสชั ศาสตร์หรอื ทราบจากเอกสารที่
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ สง่ ใหส้ ถานตี �ำ รวจภธู รอ�ำ เภอพทุ ธมณฑลนนั้ เหน็ วา่ เมอ่ื เอกสารดงั กลา่ วเปน็ ขอ้ มลู
ข่าวสารของราชการและยังอยู่ในความครอบครองของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ประกอบกับไม่มีกฎหมาย
คมุ้ ครองมใิ ห้เปดิ เผย แม้ว่าผฟู้ อ้ งคดจี ะสามารถทราบข้อมลู ขา่ วสารไดท้ างอืน่ แต่ผู้ถกู ฟอ้ งคดที ี่ ๒
กย็ งั มหี นา้ ทตี่ ามกฎหมายทจ่ี ะตอ้ งเปดิ เผยขอ้ มลู ขา่ วสารดงั กลา่ วใหแ้ กผ่ ฟู้ อ้ งคดเี มอื่ ผฟู้ อ้ งคดรี อ้ งขอ

อัยการนเิ ทศ 165

ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบญั ญัตขอ้ มูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ สำ�หรบั ค�ำ วนิ จิ ฉยั ของ
ผู้ถูกฟอ้ งคดที ี่ ๑ ที่ สค ๒๔/๒๕๔๙ ลงวันท่ ี ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ ทย่ี กอุทธรณข์ องผู้ฟ้องคดีนนั้ โดย
เห็นวา่ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้ทราบข้อเท็จจริงจากผู้ถูกฟอ้ งคดที ี่ ๒ ว่า ผ้ถู ูกฟ้องคดที ี่ ๒ ได้ดำ�เนนิ การ
เกี่ยวกับเรื่องรอ้ งเรยี นของนายแพทย์ ส. จนไดข้ ้อยตุ ิแล้ววา่ ผ้ฟู ้องคดีไมม่ ีความผดิ ตามระเบียบหรอื
กฎหมายแต่อย่างใด และกรณีร้องเรียนดังกล่าวเป็นเรื่องข้อพิพาทส่วนตัวไม่เก่ียวกับประโยชน์ต่อ
สาธารณะ และการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวอาจจะขยายความขัดแย้งเร่ืองส่วนตัวระหว่าง
ผู้ร้องเรียนและผู้อุทธรณ์ให้เพิ่มข้ึนไปอีก ซึ่งมิใช่เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของ
ราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ เมอื่ พจิ ารณาเหตผุ ลของผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ทม่ี มี ตใิ หย้ กอทุ ธรณข์ องผฟู้ อ้ งคดนี น้ั
เหน็ ไดว้ า่ เปน็ ค�ำ วนิ จิ ฉยั ทม่ี ไิ ดค้ �ำ นงึ ถงึ ประโยชนข์ องผฟู้ อ้ งคดที ชี่ อบจะไดร้ บั การรบั รองและคมุ้ ครอง
สิทธิในฐานะผู้ร้องขอให้หน่วยงานที่ครอบครอง หรือควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารที่ผู้ร้องขอประสงค์
ให้หน่วยงานของรัฐน้ันเปิดเผยเพ่ือนำ�ไปใช้ประโยชน์ในทางต่อสู้คดีของผู้ฟ้องคดี และแม้ว่าเรื่อง
ดังกล่าวจะเป็นข้อพิพาทส่วนตัวมิใช่ประโยชน์สาธารณะ แต่ก็เป็นสิทธิท่ีกฎหมายรับรองและให้
ความคุ้มครองแก่ผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ดังนั้น คำ�วินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ท่ี สค ๒๔/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน
๒๕๔๙ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ศาลปกครองชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนคำ�ส่ังของ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ่ี๒ตามหนงั สอื ที่ศธ๐๕๑๗/๑๑๔๘๒ลงวนั ที่๓๐พฤศจกิ ายน๒๕๔๘และค�ำ วนิ จิ ฉยั ของ
ผ้ถู กู ฟอ้ งคดที ่ี ๑ ที่ สค ๒๔/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ และใหผ้ ถู้ กู ฟอ้ งคดีที่ ๒ เปดิ เผย
หนังสอื ร้องเรยี น ลงวนั ที่ ๒๓ กนั ยายน ๒๕๔๘ ของนายแพทย์ ส. ทม่ี ีถึงผถู้ ูกฟ้องคดีที่ ๒ พรอ้ ม
เอกสารที่เก่ียวข้องท้ังหมดแก่ผู้ฟ้องคดีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันท่ีศาลมีคำ�พิพากษาถึงที่สุดนั้น
ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพอ้ งดว้ ย
พิพากษายืน


166 อยั การนิเทศ

คำ�พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ. ๒๑๑/๒๕๕๓

พ.ร.บ. สภาตำ�บลและองคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ�บล พ.ศ. ๒๕๓๗ (มาตรา ๔๗ ตรี วรรคหน่ึง (๔))
การท่ีผู้ฟ้องคดีในขณะดำ�รงตำ�แหน่งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนต�ำ บลน้ําพุได้ย่ืน
ซองเสนอราคาตามโครงการซ่อมแซมถนนลกู รังในหมบู่ า้ น หมู่ท่ี ๑ ถึงหมู่ที่ ๖ ตำ�บลนํ้าพุ ตาม
ประกาศองค์การบรหิ ารสว่ นต�ำ บลนํา้ พุ เรอ่ื ง สอบราคาจา้ งโครงการซ่อมแซมถนนลูกรังภายใน
หมู่บา้ น หมูท่ ี่ ๑ ถงึ หม่ทู ่ี ๖ ต�ำ บลนา้ํ พุ ต่อองค์การบริหารส่วนต�ำ บลน้าํ พุ ซองเสนอราคาของ
ผู้ฟ้องคดีเป็นเพียงคำ�เสนอจะทำ�สัญญา ซ่ึงเม่ือองค์การบริหารส่วนตำ�บลนํ้าพุไม่ทำ�คำ�สนอง
สัญญาจึงยังไม่เกิดขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับองค์การบริหารส่วนต�ำ บลนํ้าพุจึงยังไม่มีนิติสัมพันธ์
ท่ีจะต้องปฏิบัติตามสัญญาต่อกัน และก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีได้ใช้อำ�นาจหน้าที่
เข้าไปยุ่งเก่ียวกับโครงการข้างต้น กรณีจึงถือไม่ได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรง
หรือทางอ้อมในสัญญากับองค์การบริหารส่วนตำ�บลที่ตนดำ�รงตำ�แหน่งหรือในกิจการที่กระทำ�
ใหแ้ กอ่ งคก์ ารบริหารส่วนต�ำ บลนํ้าพุ ตามมาตรา ๔๗ ตรี วรรคหน่งึ (๔) แห่งพระราชบญั ญตั ิ
สภาตำ�บลและองค์การบริหารส่วนตำ�บล พ.ศ. ๒๕๓๗ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
สภาต�ำ บลและองค์การบริหารส่วนตำ�บล (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึง่ จะทำ�ใหส้ มาชิกภาพของ
สมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ�บลของผฟู้ อ้ งคดสี นิ้ สดุ ลงแตอ่ ยา่ งใด ขอ้ อา้ งของผถู้ กู ฟอ้ งคดี
ทว่ี า่ แมผ้ ฟู้ อ้ งคดจี ะไมไ่ ดร้ บั การคดั เลอื กใหเ้ ปน็ ผชู้ นะการสอบราคา แตก่ ถ็ อื ไดว้ า่ การกระทำ�ของ
ผู้ฟ้องคดีมีเจตนาชัดแจ้งในการเข้าท�ำ สัญญาจ้างกับองค์การบริหารส่วนต�ำ บลน้ําพุเพราะหาก
ผฟู้ อ้ งคดชี นะการสอบราคากจ็ ะไดเ้ ขา้ ท�ำ สญั ญาผกู พนั กบั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลนา้ํ พมุ าตง้ั แต่
แรกที่เข้ายื่นซองเสนอราคา ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการท่ีจะกระท�ำ ให้แก่องค์การ
บรหิ ารสว่ นตำ�บลนาํ้ พนุ น้ั ไมอ่ าจรบั ฟงั ได้ เพราะการจะถอื วา่ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั เปน็ ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี
ในกรณีนี้ หมายถงึ การทไ่ี ดเ้ ข้าไปถอื เอาประโยชนห์ รือเขา้ ไปด�ำ เนนิ กจิ การขององคก์ ารบริหาร
สว่ นตำ�บลทผ่ี นู้ ้นั ดำ�รงตำ�แหนง่ สมาชกิ สภาขององคก์ ารบรหิ ารส่วนตำ�บลนน้ั แล้ว ไมว่ ่าทางตรง
หรอื ทางออ้ ม โดยมเี จตนาประสงคใ์ หต้ นไดร้ บั ประโยชนห์ รอื เปน็ การเออ้ื ประโยชนใ์ หแ้ กบ่ คุ คลอนื่
ดังนั้น เพียงผู้ฟ้องคดียื่นซองเสนอราคาแล้ว แต่ถูกคณะกรรมการปรับตกไปก่อนจะได้รับการ
คัดเลือกให้เข้าทำ�สัญญาจ้างกับองค์การบริหารส่วนตำ�บลน้ําพุ จึงหาใช่เป็นการเข้าไปถือ
เอาประโยชน์หรือเข้าไปดำ�เนินกิจการขององค์การบริหารส่วนตำ�บลน้ําพุแล้ว ซ่ึงจะมีผลให้
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำ�บลนํ้าพุของผู้ฟ้องคดีต้องส้ินสุดลงตาม
มาตรา ๔๗ ตรี วรรคหนึ่ง (๔) แหง่ พระราชบญั ญตั ิดงั กลา่ วดงั ท่ีผูถ้ กู ฟ้องคดวี นิ จิ ฉัยไม่ การที่
ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำ�ส่ังให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำ�บล
น้ําพุ จึงเปน็ การใชด้ ุลพินิจไมช่ อบ ค�ำ สง่ั ดงั กลา่ วของผูถ้ กู ฟอ้ งคดีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

________________________________________

อัยการนเิ ทศ 167

นายเสง็ ชัย พิมเพราะ ผฟู้ ้องคดี
ระหวา่ ง

นายอ�ำ เภอเมืองราชบรุ ี ผถู้ ูกฟ้องคดี

คดนี ผ้ี ู้ฟ้องคดฟี ้องและแกไ้ ขเพม่ิ เติมคำ�ฟ้องวา่ ผู้ฟอ้ งคดดี ำ�รงต�ำ แหนง่ สมาชกิ สภาองคก์ าร
บริหารส่วนตำ�บลน้ําพุ หมู่ท่ี ๒ อำ�เภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ต่อมาเม่ือวันที่ ๑๗ ธันวาคม
๒๕๔๖ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลนาํ้ พไุ ดม้ ปี ระกาศสอบราคาจา้ งโครงการซอ่ มแซมถนนลกู รงั ภายใน
หมูบ่ ้าน หม่ทู ี่ ๑ ถึงหมทู่ ่ี ๖ ตำ�บลน้ําพุ อ�ำ เภอเมอื งราชบุรี จงั หวัดราชบุรี โดยมผี ้ซู ้ือแบบรายการ
ทง้ั ทเ่ี ปน็ นติ บิ คุ คลและบคุ คลธรรมดา รวม ๑๗ ราย ซง่ึ บรษิ ทั ส. จ�ำ กดั โดยผฟู้ อ้ งคดไี ดซ้ อื้ แบบรายการ
เปน็ ลำ�ดับที่ ๗ เม่อื วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๖ จากนนั้ เมือ่ วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๗ คณะกรรมการ
ได้ท�ำ การเปดิ ซองสอบราคา ปรากฏว่า บริษทั พ. เปน็ ผูเ้ สนอราคาต่าํ สุดแต่ไมม่ ีใบรับรองผลงาน จงึ
ปรบั ตก สว่ นบรษิ ทั ส. จ�ำ กดั ไดย้ นื่ ซองสอบราคาในโครงการซอ่ มแซมถนนพรอ้ มกบั ใบรบั รองผลงาน
แตเ่ ปน็ คนละประเภทกันกับงานทจี่ ้างจึงปรบั ตกเช่นกนั คณะกรรมการพจิ ารณาแล้วเห็นควรจา้ งให้
พล. ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการกำ�หนดเข้าทำ�สัญญาเป็นคู่สัญญากับองค์การบริหารส่วน
ต�ำ บลนํ้าพ ุ เพอื่ ด�ำ เนนิ การดังกล่าว ต่อมา เม่ือวันท่ี ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดไี ด้มหี นงั สอื
อ�ำ เภอเมอื งราชบรุ ดี ว่ นทส่ี ดุ ท่ี มท ๐๘๖๕.๕/๓๐๔ ลงวนั ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ แจง้ ผลการวนิ จิ ฉยั
เกย่ี วกบั การใหส้ มาชกิ ภาพของสมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลนา้ํ พขุ องผฟู้ อ้ งคดสี น้ิ สดุ ลงตง้ั แต่
วนั ที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๗ ตามมาตรา ๔๗ ตรี วรรคหนึ่ง (๔) แหง่ พระราชบัญญัตสิ ภาตำ�บลและ
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล พ.ศ. ๒๕๓๗ ซึ่งแก้ไขเพ่มิ เตมิ โดยพระราชบัญญตั สิ ภาตำ�บลและองค์การ
บริหารส่วนตำ�บล (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนซองสอบราคาตามโครงการ
ข้างต้นผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำ�สั่งดังกล่าว โดยอ้างความเห็นของคณะกรรมการ
กฤษฎีกา (คณะท่ี ๑) ตามหนังสือสำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ท่ี นร ๐๙๐๑/๑๑๖๐ ลง
วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ มาเป็นแนววินิจฉัยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการเลือกปฏิบัติที่
ไม่เป็นธรรม เพราะกรณีผู้ฟ้องคดีเป็นกรณีย่ืนซองเสนอราคาแล้วไม่ได้รับการคัดเลือกการกระทำ�
ดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีจึงเป็นเพียงการแสดงเจตนาท่ีจะท�ำ สัญญากับองค์การบริหารส่วนต�ำ บลนํ้าพุ
ประกอบกับผู้ถูกฟ้องคดียังมิได้รับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน พยานผู้เช่ียวชาญของ
ผู้ฟ้องคดกี อ่ นตามมาตรา ๒๔ มาตรา ๓๐ และมาตรา ๕๐ แหง่ พระราชบญั ญตั ิวิธปี ฏิบัตริ าชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ค�ำ สง่ั ของผู้ถกู ฟอ้ งคดจี งึ ไมม่ ีผลบงั คับได้ตามมาตรา ๖ ของรฐั ธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
ขอให้ศาลปกครองมีคำ�พิพากษาหรือคำ�ส่ังเพิกถอนคำ�ส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีตามหนังสือ
อ�ำ เภอเมืองราชบุรี ด่วนทส่ี ดุ ที่ มท ๐๘๖๕.๕/๓๐๔ ลงวนั ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ และหนงั สือ

168 อยั การนเิ ทศ

อำ�เภอเมอื งราชบรุ ี ด่วนทสี่ ุด ที่ มท ๐๘๖๕.๕/๓๐๕ ลงวนั ท่ี ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ เร่อื ง สมาชกิ
ภาพสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนต�ำ บลนาํ้ พุสนิ้ สดุ ลง เนื่องจากเป็นผู้มีสว่ นไดเ้ สีย
ผถู้ กู ฟอ้ งคดีใหก้ ารปฏิเสธ
ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาเพิกถอนคำ�สั่งของผู้ถูกฟ้องคดีท่ีวินิจฉัยให้
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำ�บลน้ําพุของผู้ฟ้องคดีสิ้นสุดลง ตามหนังสือ
อ�ำ เภอเมอื งราชบุรี ด่วนทีส่ ุด ท่ี มท ๐๘๖๕.๕/๓๐๔ ลงวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ และหนังสอื
อำ�เภอเมืองราชบุรีด่วนที่สุด ท่ี มท ๐๘๖๕.๕/๓๐๕ ลงวันท่ี ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ โดยให้มีผล
ยอ้ นหลังไปตง้ั แต่วนั ท่ี ๖ มกราคม ๒๕๔๗
ผู้ถูกฟ้องคดีอุทธรณ์ ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาพิพากษากลับคำ�พิพากษา
ของศาลปกครองชั้นต้น เปน็ ยกฟอ้ งผูฟ้ ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีแก้อุทธรณ์ ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาพิพากษายืนตามคำ�พิพากษา
ศาลปกครองชั้นต้นตอ่ ไป
ศาลปกครองสูงสดุ พิเคราะห์แล้ว เห็นวา่ การท่ผี ฟู้ อ้ งคดีในขณะดำ�รงต�ำ แหน่ง สมาชิกสภา
องค์การบริหารส่วนตำ�บลนํ้าพุได้ย่ืนซองเสนอราคาตามโครงการซ่อมแซมถนนลูกรังในหมู่บ้าน
หมทู่ ่ี ๑ ถงึ หม่ทู ่ี ๖ ตำ�บลน้าํ พุ ตามประกาศองคก์ ารบริหารสว่ นตำ�บลนา้ํ พุ ลงวนั ที่ ๑๗ ธนั วาคม
๒๕๔๖ เรือ่ ง สอบราคาจา้ งโครงการซอ่ มแซมถนนลกู รงั ภายในหม่บู า้ น หมู่ที่ ๑ ถงึ หมทู่ ่ี ๖ ต�ำ บล
น้ําพุ ต่อองคก์ ารบริหารสว่ นต�ำ บลนํ้าพุ ซองเสนอราคาของผู้ฟ้องคดีเป็นเพียงค�ำ เสนอจะทำ�สญั ญา
ซึ่งเมื่อองค์การบริหารส่วนตำ�บลน้ําพุไม่ทำ�คำ�สนอง สัญญาจึงยังไม่เกิดขึ้นระหว่างผู้ฟ้องคดีกับ
องคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลนา้ํ พจุ งึ ยงั ไมม่ นี ติ สิ มั พนั ธท์ จ่ี ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามสญั ญาตอ่ กนั และกไ็ มป่ รากฏ
ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ผฟู้ อ้ งคดไี ดใ้ ชอ้ �ำ นาจหนา้ ทเ่ี ขา้ ไปยงุ่ เกย่ี วกบั โครงการขา้ งตน้ กรณจี งึ ถอื ไมไ่ ดว้ า่ ผฟู้ อ้ งคดี
เป็นผู้มีส่วนได้เสียไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญากับองค์การบริหารส่วนตำ�บลที่ตนดำ�รง
ต�ำ แหนง่ หรอื ในกจิ การทกี่ ระท�ำ ใหแ้ กอ่ งคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลนา้ํ พ ุ ตามมาตรา ๔๗ ตรี วรรคหนงึ่ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติสภาตำ�บลและองค์การบริหารส่วนตำ�บล พ.ศ. ๒๕๓๗ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดย
พระราชบญั ญตั สิ ภาต�ำ บลและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บล(ฉบบั ที่๓)พ.ศ.๒๕๔๒ซง่ึ จะท�ำ ใหส้ มาชกิ ภาพ
ของสมาชกิ สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำ บลของผูฟ้ ้องคดสี ิ้นสุดลงแต่อยา่ งใด ข้ออ้างของผูถ้ กู ฟอ้ งคดี
ที่ว่า แม้ผู้ฟ้องคดีจะไม่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ชนะการสอบราคา แต่ก็ถือได้ว่า การกระท�ำ ของ
ผู้ฟ้องคดีมีเจตนาชัดแจ้งในการเข้าทำ�สัญญาจ้างกับองค์การบริหารส่วนตำ�บลน้ําพุ เพราะหาก
ผฟู้ อ้ งคดชี นะการสอบราคากจ็ ะไดเ้ ขา้ ท�ำ สญั ญาผกู พนั กบั องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำ�บลนาํ้ พมุ าตงั้ แตแ่ รก
ที่เข้ายื่นซองเสนอราคา ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการท่ีจะกระทำ�ให้แก่องค์การบริหาร
ส่วนตำ�บลน้ําพุนั้นไม่อาจรับฟังได้ เพราะการจะถือว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกรณีนี้
หมายถึง การที่ได้เข้าไปถือเอาประโยชน์หรือเข้าไปดำ�เนินกิจการขององค์การบริหารส่วนตำ�บลที่
ผู้นั้นดำ�รงตำ�แหน่งสมาชิกสภาขององค์การบริหารส่วนตำ�บลน้ันแล้วไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

อัยการนเิ ทศ 169

โดยมีเจตนาประสงค์ให้ตนได้รับประโยชน์หรือเป็นการเอ้ือประโยชน์ให้แก่บุคคลอ่ืน ดังนั้น เพียง
ผู้ฟ้องคดีย่ืนซองเสนอราคาแล้ว แต่ถูกคณะกรรมการปรับตกไปก่อนจะได้รับการคัดเลือกให้เข้า
ทำ�สัญญาจ้างกับองค์การบริหารส่วนต�ำ บลน้ําพุ จึงหาใช่เป็นการเข้าไปถือเอาประโยชน์หรือเข้าไป
ดำ�เนินกิจการขององค์การบริหารส่วนตำ�บลน้ําพุแล้ว ซ่ึงจะมีผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภา
องค์การบริหารส่วนตำ�บลนํ้าพุของผู้ฟ้องคดีต้องสิ้นสุดลงตามมาตรา ๔๗ ตรี วรรคหน่ึง (๔) แห่ง
พระราชบัญญัติดังกล่าวดังที่ผู้ถูกฟ้องคดีวินิจฉัยไม่ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคำ�สั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจาก
สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำ�บลนํ้าพุ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจไม่ชอบ คำ�ส่ัง
ดงั กลา่ วของผถู้ กู ฟอ้ งคดจี งึ ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายทศ่ี าลปกครองชน้ั ตน้ พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนค�ำ สงั่ ของ
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำ�บลนํ้าพุของผู้ฟ้องคดีส้ินสุดลง
ตามหนังสืออำ�เภอเมืองราชบุรี ด่วนท่ีสดุ ที่ มท ๐๘๖๕.๕/๓๐๔ ลงวนั ที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ และ
หนงั สืออ�ำ เภอเมืองราชบรุ ี ดว่ นทสี่ ุด ท่ี มท ๐๘๖๕.๕/๓๐๕ ลงวนั ท่ ี ๒๖ มกราคม ๒๕๔๗ โดยให้มี
ผลยอ้ นหลังไปตงั้ แตว่ นั ท่ี ๖ มกราคม ๒๕๔๗ นั้น ชอบแลว้ อุทธรณข์ องผ้ถู กู ฟ้องคดีฟังไมข่ น้ึ
พิพากษายนื


170 อัยการนเิ ทศ

ค�ำ ชี้ขาด
ความเหน็ แยง้ ของ

อยั การสูงสดุ

อยั การนิเทศ 171

172 อยั การนิเทศ

คำ�ชี้ขาดความเห็นแย้งความผิดฐานจำ�หน่ายภาพยนตร์ในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่าน
การตรวจและไดร้ บั อนญุ าตจากคณะกรรมการ และประกอบกจิ การจ�ำ หนา่ ยภาพยนตร์
โดยทำ�เป็นธุรกิจโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตจากนายทะเบียน

(ชี้ขาดความเหน็ แย้งท่ี ๔๙๘/๒๕๕๒)
ป.อ. ความผิดหลายกรรมต่างกนั (มาตรา ๙๑)
พ.ร.บ. ภาพยนตร์ พ.ศ. ๒๕๕๑ (มาตรา ๒๕, ๓๘, ๗๘, ๗๙)
คดีมีผู้กล่าวหากับพวกยืนยันว่าได้ร่วมจับกุมผู้ต้องหาได้พร้อมด้วยแผ่นดีวีดีและวีซีดี
ภาพยนตร์ลามกของกลางรวมจ�ำ นวน ๖๗๙ แผน่ ขณะยนื จ�ำ หน่ายให้แก่ประชาชนทว่ั ไปอย่ทู ี่
แผงลอยบริเวณตลาดคลองถม แม้ของกลางจะเป็นของลามกอนาจาร แต่ก็ยังเป็นภาพยนตร์
ตามค�ำ นยิ ามของค�ำ ว่า “ภาพยนตร”์ ตามมาตรา ๔ ของพระราชบัญญตั ิภาพยนตรแ์ ละวดี ิทศั น์
พ.ศ. ๒๕๕๑ ซงึ่ หมายความวา่ วสั ดุที่มกี ารบนั ทกึ ภาพหรอื ภาพและเสยี งซ่งึ สามารถนำ�มาฉาย
ให้เห็นเป็นภาพที่เคล่ือนไหวได้อย่างต่อเน่ือง แต่ไม่รวมถึงวีดิทัศน์ โดยไม่มีการระบุข้อยกเว้น
ไว้ ดังน้ัน ภาพยนตร์จึงมีความหมายรวมถึงภาพยนตร์ลามกอนาจารด้วย เม่ือแผ่นวีซีดีและ
ดวี ดี ภี าพยนตรล์ ามกของกลางมิไดผ้ ่านการตรวจพจิ ารณาและไดร้ บั อนุญาตจากคณะกรรมการ
พิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การกระทำ�ของจำ�เลยจึงเป็นความผิดฐานน้ี และเป็นคนละ
กรรมกบั การกระท�ำ ผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ ซ่ึงไดย้ ่นื ฟอ้ งตอ่ ศาลและคดี
ถงึ ทส่ี ดุ ไปแลว้ สว่ นขอ้ หาประกอบกจิ การจ�ำ หนา่ ยภาพยนตรโ์ ดยท�ำ เปน็ ธรุ กจิ หรอื ไดร้ บั ประโยชน์
ตอบแทนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนนั้น เห็นว่า แม้ผู้ต้องหาจะเป็นพ่อค้าท่ีขาย
ของตามแผงลอย ซึ่งไม่มีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งแน่นอน ก็อยู่ในความหมายของ
คำ�ว่าประกอบกิจการได้ เมื่อผู้ต้องหาจ�ำ หน่ายของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
การกระท�ำ ของผตู้ อ้ งหาจงึ เปน็ ความผดิ ฐานประกอบกจิ การจ�ำ หนา่ ยภาพยนตรโ์ ดยท�ำ เปน็ ธรุ กจิ
หรอื ไดร้ ับประโยชน์ตอบแทนโดยไม่ได้รับใบอนญุ าตจากนายทะเบียน

________________________________________
ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ นาย ช. ผตู้ อ้ งหา มอี าชพี จ�ำ หนา่ ยแผน่ วซี ดี ี และดวี ดี ี โดยตงั้ แผงจ�ำ หนา่ ย
อยู่บริเวณตลาดคลองถม ซอยมหาจักร ถนนมหาจักร แขวงป้อมปราบ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย
กรุงเทพมหานคร เมอื่ วนั ที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ นาฬกิ า ขณะที่ผู้ต้องหา
ก�ำ ลงั ยืนจ�ำ หนา่ ยแผ่นวซี ีดีและดวี ีดี ได้มีพันต�ำ รวจตรี ก. กบั พวก เขา้ ทำ�การตรวจคน้ ท่ีแผงจำ�หน่าย
แผน่ วซี ีดแี ละดีวีดีของผตู้ ้องหา ปรากฏว่าพบแผน่ วีซดี ลี ามก จ�ำ นวน ๓๕๓ แผ่น และแผ่นดวี ดี ีลามก
จ�ำ นวน ๓๒๖ แผน่ เจา้ หน้าท่ีต�ำ รวจจงึ ได้จับกุมตัวผูต้ ้องหาและยึดแผ่นวีซีดีและแผ่นดีวีดี จ�ำ นวน
ดังกล่าวเป็นของกลาง นำ�สง่ พนกั งานสอบสวนทำ�การสอบสวนตอ่ ไป

อยั การนิเทศ 173

ชนั้ สอบสวนผตู้ อ้ งหาใหก้ ารรบั สารภาพ พนกั งานสอบสวนมคี วามเหน็ ควรสงั่ ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหา
พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานจำ�หน่ายภาพยนตร์ในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่าน
การตรวจและไดร้ บั อนญุ าตจากคณะกรรมการพจิ ารณาภาพยนตรแ์ ละวดี ทิ ศั นแ์ ละประกอบกจิ การ
จำ�หน่ายภาพยนตร์โดยทำ�เป็นธุรกิจ หรือได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจาก
นายทะเบยี น ตามมาตรา ๒๕ และ ๓๘ แหง่ พระราชบญั ญัตภิ าพยนตร์และวดี ทิ ศั น์ พ.ศ. ๒๕๕๑
ผู้บญั ชาการต�ำ รวจแห่งชาติ มีความเห็นแย้งคำ�สง่ั ไมฟ่ ้องผูต้ อ้ งหาของพนักงานอยั การ
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เหน็ ว่า คดมี ีผ้กู ล่าวหากับพวกยนื ยันว่าได้รว่ มจบั กมุ ผู้ตอ้ งหาได้
พร้อมแผ่นดีวีดีและวีซีดีภาพยนตร์ลามกของกลางรวมจ�ำ นวน ๖๗๙ แผ่น ขณะยืนจำ�หน่ายให้แก่
ประชาชนทั่วไปอยู่ท่ีแผงลอยบริเวณตลาดคลองถม แม้ของกลางจะเป็นของลามกอนาจารแต่ก็ยัง
เปน็ ภาพยนตรต์ ามคำ�นิยามของค�ำ ว่า “ภาพยนตร์” ตามมาตรา ๔ ของพระราชบัญญัติภาพยนตร์
และวดี ทิ ศั น์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เนอ่ื งจากนยิ ามของค�ำ วา่ “ภาพยนตร”์ หมายความวา่ วสั ดทุ ม่ี กี ารบนั ทกึ
ภาพหรอื ภาพและเสยี งซง่ึ สามารถน�ำ มาฉายใหเ้ หน็ เปน็ ภาพทเ่ี คลอ่ื นไหวไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอ่ื ง แตไ่ มร่ วม
ถึงวีดิทัศน์ โดยไม่มีการระบุข้อยกเว้นไว้ ดังนั้น ภาพยนตร์จึงมีความหมายรวมถึงภาพยนตร์ลามก
อนาจารดว้ ย เมอ่ื แผน่ วซี ดี แี ละดีวีดีภาพยนตร์ลามกของกลางมไิ ด้ผา่ นการตรวจพิจารณาและไดร้ บั
อนุญาตจากคณะกรรมการพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การกระทำ�ของจำ�เลยจึงเป็นความผิด
ฐานนี้ และเปน็ คนละกรรมกบั การกระทำ�ผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๗ ซง่ึ ไดย้ นื่ ฟอ้ ง
ตอ่ ศาลและคดถี งึ ทสี่ ดุ ไปแลว้ สว่ นขอ้ หาประกอบกจิ การจำ�หนา่ ยภาพยนตรโ์ ดยทำ�เปน็ ธรุ กจิ หรอื ได้
รบั ประโยชนต์ อบแทนโดยไมไ่ ด้รบั ใบอนุญาตจากนายทะเบียนน้นั เห็นวา่ แม้ผูต้ อ้ งหาจะเปน็ พ่อคา้
ท่ีขายของตามแผงลอย ซึ่งไม่มีสถานประกอบการเป็นหลักแหล่งแน่นอน ก็อยู่ในความหมายของ
คำ�ว่าประกอบกิจการได้ เมื่อผู้ต้องหาจำ�หน่ายของกลางโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน
การกระท�ำ ของผตู้ อ้ งหาจงึ เปน็ ความผดิ ฐานประกอบกจิ การจ�ำ หนา่ ยภาพยนตรโ์ ดยท�ำ เปน็ ธรุ กจิ หรอื
ไดร้ ับประโยชนต์ อบแทนโดยไมไ่ ด้รบั ใบอนญุ าตจากนายทะเบียน
จึงช้ีขาดให้ฟ้อง นาย ช. ผู้ต้องหาฐานจำ�หน่ายภาพยนตร์ในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่าน
การตรวจพจิ ารณาและไดร้ บั อนญุ าตจากคณะกรรมการพจิ ารณาภาพยนตรแ์ ละวดี ทิ ศั น์ และประกอบ
กจิ การจ�ำ หนา่ ยภาพยนตรโ์ ดยทำ�เปน็ ธรุ กจิ หรอื ไดร้ บั ประโยชนต์ อบแทนโดยไมไ่ ดร้ บั ใบอนญุ าตจาก
นายทะเบยี น ตามพระราชบญั ญตั ภิ าพยนตร์และวีดิทศั น์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๒๕, ๓๘, ๗๘, ๗๙
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑


174 อยั การนเิ ทศ

คำ�ชี้ขาดความเห็นแย้งความผดิ ฐานฉอ้ โกง

(ชขี้ าดความเหน็ แย้งที่ ๑๖๖/๒๕๕๓)
ป.อ. ฉ้อโกง (มาตรา ๓๔๑)
ป.ว.ิ อ. การจดั การของกลาง คำ�สง่ั ไมฟ่ ้อง (มาตรา ๘๕, ๑๔๕)
พ.ร.บ. พนกั งานอัยการ พ.ศ. ๒๔๙๘ (มาตรา ๑๒)
ระเบียบสำ�นักงานอัยการสูงสุดว่าด้วยการดำ�เนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗
(ข้อ ๕๔ (๙))
คดีนีน้ าย ส. ผู้เสียหาย ร้องทุกขต์ อ่ พนกั งานสอบสวนให้ด�ำ เนนิ คดีกบั นาย ป. ผูต้ อ้ งหา
ฐานฉ้อโกง ซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว ขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ
ประจ�ำ ศาลชั้นต้น ปรากฏว่าผเู้ สียหายได้เป็นโจทกย์ ่นื ฟอ้ งผ้ตู ้องหาเปน็ จ�ำ เลยต่อศาลแขวงดุสิต
ในคดีดังกล่าว ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการไต่สวนมูลฟ้อง กรณีจึงเข้าเง่ือนไขระงับคดีซ่ึงท�ำ ให้
สิทธิในการฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการระงับไป ตามระเบียบสำ�นักงานอัยการสูงสุด
ว่าด้วยการดำ�เนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๕๔ (๙) ท่ีกำ�หนดว่า
“เมื่อคดีเป็นความผิดต่อส่วนตัวและผู้เสียหายได้ย่ืนฟ้องแล้ว ไม่ว่าจะได้ย่ืนฟ้องก่อนหรือหลัง
จากท่ีพนกั งานอัยการไดร้ ับส�ำ นวนการสอบสวน และไมว่ า่ คดที ผ่ี ู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแลว้ นั้นศาล
จะได้พิพากษาแล้วหรอื ไม่” ให้พนักงานอัยการผู้มอี ำ�นาจดำ�เนนิ คดีต้องส่งั ยุติการด�ำ เนินคดกี บั
ผู้ต้องหาโดยไม่ต้องปฏิบัติตาม มาตรา ๑๔๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ดังนั้น เม่ือความปรากฏในช้ันพิจารณาช้ีขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุด จึงใช้อำ�นาจตาม
พระราชบัญญตั ิพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๒ มีค�ำ สง่ั ยุตกิ ารดำ�เนนิ คดีกบั ผู้ตอ้ งหา
ฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ เพราะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวและ
ผ้เู สียหายไดย้ ื่นฟ้องแล้ว

________________________________________
ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ต้องหาได้นำ�รถยนต์ยี่ห้อนิสสัน รุ่นเทียน่า คันหมายเลขทะเบียน
ชห ๑๖๕๓ กรงุ เทพมหานคร มาขายใหน้ าย ส. ผเู้ สยี หาย ในราคา ๘๑๕,๐๐๐ บาท โดยก่อนซอื้
ผเู้ สียหายไดต้ รวจสอบเอกสารเกี่ยวกบั รถยนต์คันดังกล่าว อีกทงั้ ไดต้ รวจสอบเวป็ ไซด์ของส�ำ นักงาน
ตำ�รวจแห่งชาติปรากฏว่ารถคันดังกล่าวไม่ติดแชร์ลูกโซ่หรือถูกอายัดทางทะเบียน ผู้เสียหายจึงได้
ตกลงซือ้ รถคันดงั กล่าว หลังจากนั้นผู้เสียหายไดน้ ำ�รถคนั ดงั กลา่ วจอดขายทเี่ ต็นท์รถ ตอ่ มานาย อ.
ไดม้ าตดิ ตอ่ ขอซอื้ รถคนั ดงั กลา่ ว ผเู้ สยี หายจงึ ตดิ ตอ่ กบั กรมการขนสง่ ทางบก ปรากฏวา่ รถคนั ดงั กลา่ ว
ไดถ้ กู อายดั เนอื่ งจากนางสาว ภ. ซงึ่ เปน็ เจา้ ของรถแทจ้ รงิ ไดแ้ จง้ ความดำ�เนนิ คดกี บั นาย ช. ในขอ้ หา
ยักยอก เจา้ พนักงานจงึ ยึดรถคันดังกล่าวเปน็ ของกลาง

อยั การนเิ ทศ 175

ช้ันสอบสวนผตู้ อ้ งหาใหก้ ารปฏเิ สธ
เหตุเกิดเมื่อวันท่ี ๒๘ เมษายน ๒๕๕๑ เวลากลางวัน ท่ีแขวงสามเสนใน เขตพญาไท
กรงุ เทพมหานคร
พนกั งานสอบสวนมคี วามเหน็ ควรสง่ั ฟอ้ งผตู้ อ้ งหาในความผดิ ฐานฉอ้ โกง ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๔๑ และขอให้ศาลมคี ำ�สั่งเกยี่ วกับรถยนตข์ องกลางเนอ่ื งจากมีการโตแ้ ยง้ กรรมสิทธ์ิ
รถยนตค์ ันดังกลา่ วระหว่างนาย ส. ผกู้ ลา่ วหากับนางสาว ภ.
อธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลแขวงมีคำ�ส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานฉ้อโกง (ผู้ต้องหาร้องขอความเป็น
ธรรมต่อพนกั งานอยั การ)
ผชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการตำ�รวจแหง่ ชาติ ปฏบิ ตั ริ าชการแทนผบู้ ญั ชาการตำ�รวจแหง่ ชาติ มคี วามเหน็
แยง้ ค�ำ สง่ั ไม่ฟ้องผูต้ ้องหา
อยั การสงู สุดมคี �ำ สงั่ สอบสวนเพม่ิ เตมิ ได้ความว่า นาย ส. ผูเ้ สยี หายให้การว่า หลังจากทราบ
วา่ อยั การมีค�ำ สง่ั ไม่ฟอ้ งคดีนี้ ได้ให้ทนายความยนื่ ฟ้องผตู้ ้องหาตอ่ ศาลแขวงดสุ ิตแลว้ ขณะน้ีคดีอยู่
ระหว่างการไตส่ วนมูลฟ้อง
พิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้นาย ส. ผู้เสียหาย ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำ�เนินคดี
กับนาย ป. ผู้ต้องหาฐานฉ้อโกง ซ่ึงเป็นความผิดต่อส่วนตัว ขณะคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของ
พนักงานอัยการประจำ�ศาลช้ันต้น ปรากฏว่าผู้เสียหายได้เป็นโจทก์ย่ืนฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำ�เลยต่อ
ศาลแขวงดุสิตในคดดี ังกล่าว ปจั จุบันคดอี ยู่ระหว่างการไต่สวนมลู ฟ้อง กรณีจึงเขา้ เง่ือนไขระงบั คดี
ซ่ึงทำ�ให้สิทธิในการฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการระงับไป ตามระเบียบสำ�นักงานอัยการสูงสุด
ว่าด้วยการดำ�เนนิ คดีอาญาของพนกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอ้ ๕๔ (๙) ทีก่ ำ�หนดวา่ “เม่อื คดีเป็น
ความผิดต่อส่วนตัวและผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องแล้ว ไม่ว่าจะได้ยื่นฟ้องก่อนหรือหลังจากที่พนักงาน
อัยการได้รับสำ�นวนการสอบสวน และไม่ว่าคดีที่ผู้เสียหายได้ย่ืนฟ้องแล้วน้ันศาลจะได้พิพากษา
แลว้ หรอื ไม”่ ใหพ้ นกั งานอยั การผมู้ อี ำ�นาจดำ�เนนิ คดตี อ้ งสงั่ ยตุ กิ ารดำ�เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาโดยไมต่ อ้ ง
ปฏิบัตติ ามมาตรา ๑๔๕ แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา ดงั นนั้ เม่ือความปรากฏใน
ช้ันพิจารณาชี้ขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุด จึงใช้อ�ำ นาจตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ
พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๒ มคี �ำ สงั่ ยตุ กิ ารด�ำ เนนิ คดกี บั ผตู้ อ้ งหาฐานฉอ้ โกง ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๔๑ เพราะเปน็ คดคี วามผดิ ตอ่ สว่ นตวั และผเู้ สยี หายไดย้ น่ื ฟอ้ งแลว้ ส�ำ หรบั รถยนตข์ องกลาง
ใหแ้ จง้ พนักงานสอบสวนจดั การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕


176 อัยการนเิ ทศ

ค�ำ ชข้ี าดความเหน็ แยง้ ฐานใชบ้ ตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องผอู้ น่ื โดยมชิ อบในประการทน่ี า่ จะ
กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกผ่ อู้ น่ื หรอื ประชาชน, เตมิ หรอื ตดั ทอนขอ้ ความ หรอื แกไ้ ขดว้ ย
ประการใด ๆ ในบตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ท่แี ท้จริงฯ, แกไ้ ข เปลีย่ นแปลง หรอื เพมิ่ เติมไม่ว่า
ทง้ั หมดหรอื บางสว่ น ซงึ่ ขอ้ มลู คอมพวิ เตอรข์ องผอู้ น่ื โดยมชิ อบตามพระราชบญั ญตั วิ า่
ด้วยการกระทำ�ความผดิ เกยี่ วกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐

(ชีข้ าดความเหน็ แยง้ ที่ ๔๙๕/๒๕๕๒)
ป.อ. ใชบ้ ตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สข์ องผอู้ นื่ โดยมชิ อบในประการทนี่ า่ จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกผ่ อู้ น่ื
หรือประชาชน, เติมหรอื ตัดทอนขอ้ ความ หรือแกไ้ ขด้วยประการใด ๆ ในบตั รอเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ่ี
แท้จรงิ ฯ (มาตรา ๒๖๙/๑, ๒๖๙/๕)
พ.ร.บ. วา่ ดว้ ยการกระทำ�ความผดิ เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ (มาตรา ๙)
บริษัท ท. จำ�กัด (มหาชน) ผู้เสียหาย ได้เปิดให้บริการโทรศัพท์มือถือเรียกว่าระบบ
ทรมู ูฟ เปน็ การใช้โทรศัพทม์ ือถอื และเสียค่าบรกิ ารโดยการเตมิ เงินอัตโนมตั ิ กลา่ วคือ ลูกคา้ ตอ้ ง
ใช้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งได้สัมปทานของบริษัทผู้เสียหายที่ติดตั้งอยู่ท่ัวไป โดยยกหูโทรศัพท์ขึ้น
และหยอดเหรยี ญตามจ�ำ นวนทต่ี อ้ งการเตมิ เงนิ แลว้ กดหมายเลขโทรศพั ทซ์ ง่ึ เปน็ รหสั การเตมิ เงนิ
อัตโนมัติของผู้เสียหาย จากน้ันจะมีสัญญาณตอบรับอัตโนมัติส่ังให้ลูกค้ากดหมายเลขโทรศัพท์
มือถือ(ระบบทรมู ฟู ) ที่ต้องการเตมิ เงนิ แลว้ โทรศพั ทส์ าธารณะเครื่องดงั กลา่ วจะแปลงสญั ญาณ
รหัสท่ีได้รับจากผู้ใช้ส่งผ่านสายโทรศัพท์ไปยังศูนย์ควบคุมการทำ�งานของระบบคอมพิวเตอร์
ที่บริษัทผู้เสียหาย เมื่อศูนย์ควบคุมการทำ�งานได้รับรหัสสัญญาณ จะมีการส่งสัญญาณคลื่น
โทรศัพท์ไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ผู้ใช้ส่งรหัสเติมเงินเพื่อเติมเงินจำ�นวนดังกล่าวให้กับ
โทรศัพท์มือถือหมายเลขน้ัน การท่ีผู้ต้องหาใช้วิธีการเติมเงินโทรศัพท์มือถือโดยหลีกเลี่ยงการ
หยอดเหรียญเตมิ เงนิ โดยน�ำ โทรศัพท์มอื ถอื ระบบทรมู ฟู หมายเลข ๐๘๐-๓๒๓-๒๘๖๘ ของตน
มาถอดซมิ การด์ ออก แลว้ ตงั้ คา่ การโอนสายเมอื่ มคี นโทรศพั ทม์ าใหม้ กี ารโอนสายไปยงั หมายเลข
๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐ ซง่ึ เปน็ รหสั ทใี่ ชใ้ นการเตมิ เงนิ อตั โนมตั ขิ องบรษิ ทั ผเู้ สยี หายในกรณลี กู คา้ เตมิ เงนิ
ครงั้ ละ ๓๐ บาท จากน้ันผ้ตู ้องหาได้หยอดเหรยี ญ ๑๐ บาท จำ�นวน ๑ เหรียญ เข้าไปในโทรศพั ท์
สาธารณะเครื่องเกิดเหตุหมายเลข ๐๒-๗๕๒-๘๗๗๔ ที่มีการก�ำ หนดรหัสการเติมเงินดังกล่าว
แล้วโทรไปยังโทรศัพท์มือถือหมายเลข ๐๘๐-๓๒๓-๒๘๖๘ ท่ีต้ังค่าการโอนสายไว้ ท�ำ ให้ระบบ
คอมพิวเตอร์ของบรษิ ัทผู้เสียหายทีต่ ั้งคา่ ไว้โอนสายไปยงั หมายเลข ๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐ เมือ่ รหสั
เตมิ เงนิ อตั โนมตั ขิ องบรษิ ทั ผเู้ สยี หายไดร้ บั สญั ญาณเรยี กเขา้ จากโทรศพั ทส์ าธารณะเครอื่ งเกดิ เหตุ
ระบบเตมิ เงนิ กจ็ ะแจง้ ใหผ้ ตู้ อ้ งหากดหมายเลขโทรศพั ทม์ อื ถอื ทต่ี อ้ งการเตมิ เงนิ จากนนั้ ผตู้ อ้ งหา
ได้กดหมายเลขเตมิ เงินลงในโทรศพั ท์มือถือหมายเลข ๐๘๓-๖๑๔-๐๕๔๗ ซึ่งเป็นโทรศพั ท์ของ
ผตู้ อ้ งหาอกี เคร่ืองหนึ่ง จำ�นวน ๓ คร้งั ครงั้ ละ ๓๐ บาท รวมเปน็ เงิน ๙๐ บาท และกดหมายเลข

อยั การนเิ ทศ 177

เติมเงนิ ลงในโทรศพั ทม์ อื ถือหมายเลข ๐๘๓-๒๕๑-๗๐๑๒ ซ่ึงเป็นของเพ่อื นผ้ตู ้องหาอกี ๓ ครง้ั
ครัง้ ๓๐ บาท รวมเปน็ เงนิ ๙๐ บาท การกระท�ำ ของผูต้ อ้ งหาจึงเป็นการใช้โทรศพั ทส์ าธารณะ
เคร่ืองเกิดเหตุของบริษัทผู้เสียหายที่มีการกำ�หนดรหัสการเติมเงินและโทรศัพท์หมายเลข
๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐ ซึ่งเป็นรหัสท่ีใช้ในการเติมเงินอัตโนมัติ อันถือเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๑๔) โดยไม่หยอดเหรียญใส่โทรศัพท์สาธารณะ
เครอ่ื งเกดิ เหตุจำ�นวน ๑๘๐ บาท เป็นค่าเติมเงนิ อนั เป็นการลกั ลอบเตมิ เงินโดยทุจริตก่อใหเ้ กิด
ความเสียหายแก่บริษัทผู้เสียหาย จึงมีความผิดฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบ
ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๖๙/๕ ไม่เป็นความผิดฐานเติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ
ในบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่แท้จริงฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๑ และฐานแก้ไข
เปล่ยี นแปลง หรือเพม่ิ เติมไมว่ ่าทงั้ หมดหรือบางสว่ น ซึง่ ข้อมลู คอมพิวเตอร์ของผอู้ ื่นโดยมชิ อบ
ตามพระราชบัญญตั วิ า่ ดว้ ยการกระท�ำ ความผดิ เกี่ยวกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙

________________________________________
ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ กอ่ นเกดิ เหตุ นาย ส. พนกั งานประจ�ำ หนว่ ยตรวจสอบและพฒั นางาน
ด้านโทรศัพทส์ าธารณะตำ�แหนง่ ช่างเทคนคิ ของบรษิ ัท ท. จ�ำ กัด ผู้เสยี หาย ไดต้ รวจสอบพบว่ายอด
เงนิ ค่าใช้บริการจากตูโ้ ทรศพั ท์สาธารณะทต่ี ัง้ อย่อู าคาร D ในโครงการนริ นั ดร์เรสสเิ ดนทฯ์ ซง่ึ มกี าร
ให้บริการเติมเงินแก่โทรศัพท์มือถือที่เก็บได้จริงยอดเงินที่ระบบบันทึกรายการใช้บริการหมายเลข
โทรศพั ทเ์ คลอื่ นท่ี ในเครอื ข่ายทรมู ูฟ ผดิ ปกตจิ ากแบบท่บี รษิ ัทก�ำ หนดไว้ให้ลกู คา้ ทม่ี คี วามประสงค์
ในการเติมเงินดำ�เนินการ ผู้กระทำ�ความผิดใช้วีธีการ นำ�เลขหมายโทรศัพท์มือถือเลขหมาย
๐๘๓-๓๒๓-๒๘๖๘ หรือเลขหมาย ๐๘๓-๖๑๔-๐๕๔๗ หรือ ๐๘๓-๗๗๖-๗๒๒๙ หรือ
๐๘๙-๔๕๒-๒๒๑๕ มาทำ�การโอนสายไปยังเลขหมายที่บริษัทกำ�หนดให้เป็นรหัสการเติมเงิน คือ
เลขหมาย ๐๒-๖๙๘-๑๐๑๐ (ใชเ้ มื่อตอ้ งการเตมิ เงินครง้ั ละ ๑๐ บาท) เลขหมาย ๐๒-๖๙๘-๑๐๒๐
(ใช้เม่ือต้องการเติมเงินครั้งละ ๒๐ บาท) เลขหมาย ๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐ (ใช้เม่ือต้องการเติมเงิน
ครั้งละ ๓๐ บาท) โดยหยอดเหรยี ญตามจำ�นวนเงนิ ที่ต้องการเตมิ ลงทต่ี โู้ ทรศพั ทส์ าธารณะหลงั จาก
นน้ั ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ไดม้ าใชบ้ รกิ ารเตมิ เงนิ ทเ่ี ครอื่ งโทรศพั ทส์ าธารณะของผเู้ สยี หาย ทเ่ี ปดิ ใหบ้ รกิ าร
เติมเงนิ ทรูมฟู แก่ลกู คา้ ทั่วไป และได้ดำ�เนินการโทรเข้าเลขหมายโทรศัพท์มือถือทไ่ี ดท้ ำ�การโอนสาย
ไว้ เพอ่ื ใหม้ กี ารโอนสญั ญาณเรยี กเขา้ จากตโู้ ทรศพั ทส์ าธารณะ ไปยงั รหสั เตมิ เงนิ ของบรษิ ทั ทผี่ ตู้ อ้ งหา
ได้ตั้งไว้เมื่อรหัสเติมเงินของบริษัทได้รับสัญญาณเรียกเข้าจากเครื่องโทรศัพท์สาธารณะ ระบบการ
เติมเงินก็จะทำ�การเติมเงินให้ผู้กระทำ�ความผิดตามอัตราของรหัสเติมเงินท่ีผู้ต้องหาได้ท�ำ การโอน
สายไว้ ซง่ึ การกระทำ�ดงั กลา่ วนท้ี �ำ ใหเ้ ครอ่ื งโทรศพั ทส์ าธารณะคดิ วา่ เปน็ การโทรออกไปยงั หมายเลข
โทรศัพท์มือถือ จึงคิดอัตราค่าบริการตามอัตราที่กำ�หนดไว้สำ�หรับการใช้บริการเชื่อมต่อสัญญาณ

178 อัยการนเิ ทศ

โทรศัพท์มือถือ (๑๘ วินาที/๑ บาท) โดยเครื่องไม่ได้มองว่าการกระทำ�ดังกล่าวของผู้กระทำ�
ความผิดทำ�เพื่อต้องการเช่ือมต่อสัญญาณไปยังรหัสเติมเงินของบริษัท และต้องการหลีกเลี่ยง
การหยอดเงินเหรียญตามจำ�นวนที่ต้องการเติมเงินเข้าทรูมูฟ ตามอัตราท่ีบริษัทกำ�หนดแต่ละ
รหัสการเติมเงนิ เปน็ เหตใุ ห้บรษิ ทั ฯ ไดร้ ับความเสยี หาย
ต่อมานาย ส. ได้ประสานไปยังเจ้าพนักงานตำ�รวจเพื่อดำ�เนินการสืบสวนเฝ้าจับกุมตัว
ผู้กระทำ�ความผิดโดยได้มีการดักซุ่มเฝ้าระวังการกระทำ�ความผิด ท่ีบริเวณอาคาร A โครงการ
นิรันดรเ์ รสสเิ ดนท์ ๗ ซึ่งเปน็ ทตี่ งั้ ของเครอื่ งโทรศพั ทส์ าธารณะ หมายเลขเคร่ือง BS ๐๒ C-๐๓๐๒
หมายเลข ๗๕๒๘๗๗๔ และเมอื่ วนั ที่ ๑๓ มนี าคม ๒๕๕๑ เวลาประมาณ ๐๒.๔๕ น. นาย ส. ไดร้ บั แจง้
จากระบบควบคุมบนั ทึกรายการใชบ้ ริการโทรศพั ทข์ องบรษิ ทั ฯ ว่ามีการเตมิ เงินโดยวิธีการโอนสาย
ที่เครื่องโทรศัพท์สาธารณะที่เฝ้าดูอยู่ โดยขณะท่ีได้รับแจ้งเหตุได้พบเห็นผู้ต้องหากำ�ลังใช้บริการที่
เครื่องโทรศัพทส์ าธารณะทไ่ี ด้รับแจง้ เหตุอยู่ นาย ส. กบั เจ้าพนักงานต�ำ รวจจึงไดเ้ ข้าไปใกล้บริเวณ
ที่เกิดเหตุพบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมผิดปกติจากผู้ใช้บริการทั่วไป คือ มีการกดแป้นวางสายเพื่อ
ขอสัญญาณการโทรคร้ังต่อไปจำ�นวนหลายครั้ง โดยแต่ละคร้ังในการขอสัญญาณการโทรคร้ังต่อไป
ผตู้ ้องหาไม่มกี ารหยอดเหรยี ญท่ีตโู้ ทรศพั ทส์ าธารณะแตอ่ ย่างใด ประกอบกบั ขณะที่นาย ส. กบั พวก
สังเกตพฤตกิ รรมของบุคคลดังกล่าวอยู่ กย็ งั คงไดร้ ับการแจ้งจากเจา้ หนา้ ที่ที่ควบคมุ ระบบวา่ ยังคง
มีการเติมเงินโดยใช้การโอนสายจากเคร่ืองท่ีผู้ต้องหากำ�ลังใช้บริการอยู่ และในบริเวณใกล้เคียงท่ี
มเี คร่อื งโทรศัพทเ์ คร่อื งอื่น ๆ ตงั้ อยู่ไม่มีบคุ คลใดใช้บรกิ ารโทรศพั ท์สาธารณะแตอ่ ยา่ งใด น่าเชอ่ื ว่า
ผู้ต้องหาเป็นผูก้ ระทำ�ผดิ นาย ส. กับพวกจึงเขา้ ไปทำ�ทขี อเข้าตรวจสอบเคร่อื ง โดยยึดหฟู ังโทรศพั ท์
ของเครอ่ื งโทรศพั ทส์ าธารณะทเ่ี กดิ เหตไุ วเ้ พอื่ ปอ้ งกนั ไมใ่ หผ้ ตู้ อ้ งหาวางสาย เพอ่ื ตรวจสอบหมายเลข
ปลายทางทป่ี รากฏอยหู่ นา้ จอแสดงผล ซงึ่ พบวา่ เลขหมายทป่ี รากฏอยทู่ จ่ี อแสดงผลนน้ั คอื เลขหมาย
๐๘๐-๓๒๓-๒๘๖๘ นาย ส. กบั พวกจงึ ได้ร่วมกนั จบั กมุ ผูต้ อ้ งหา คน้ ตวั ผตู้ อ้ งหาพบ
๑. สมุดจดรายชื่อเลขหมายการโอนเงินและเบอร์โทรศัพท์ท่ีผู้ต้องหาโอนเงินไปให้ลูกค้า
จ�ำ นวน ๑ เลม่ ปรากฏเลขหมายทั้งสิน้ ๑๖ เลขหมาย
๒. โทรศพั ทเ์ คล่อื นที่ จ�ำ นวน ๒ เคร่อื ง คอื โทรศัพทม์ อื ถอื ยี่หอ้ โนเกยี รุน่ เอน็ ๗๐ สดี ำ�
ระบบดีแทค เลขหมาย ๐๘๙-๔๕๒-๒๒๑๕ และโทรศัพท์มือถือย่ีห้อ ไอโมบายสีดำ� ระบบทรูมูฟ
เลขหมาย ๐๘๓-๖๑๔-๐๕๔๗ ซึ่งเป็นเลขหมายตรงกันกับรายงานการตรวจสอบการกระทำ�
ความผิด ท่ีปรากฏในบันทึกรายการใช้บริการในระบบโทรศัพท์สาธารณะ จึงยึดไว้เป็นของกลาง
นำ�ส่งพนักงานสอบสวน
จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหามีข้ันตอนการกระทำ�ผิดดังน้ี คือ ผู้ต้องหาได้ใช้วิธีการนำ�
หมายเลขโทรศพั ท์เคลื่อนที่ (โทรศัพทม์ ือถือ) เลขหมาย ๐๘๐-๓๒๓-๒๘๖๘ มาตั้งการโอนสายเมื่อ
มีคนโทรเข้ามาให้มีการโอนสายไปยังเลขหมายที่บริษัทผู้เสียหายกำ�หนดให้เป็นรหัสการเติมเงิน
คือ เลขหมาย ๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐ (ใช้เมื่อต้องการเติมเงินคร้ังละ ๓๐ บาท โดยหยอดเหรียญตาม

อัยการนเิ ทศ 179

จ�ำ นวนเงินท่ีตอ้ งการเตมิ ลงที่ต้โู ทรศัพท์สาธารณะ) หลังจากน้ันผู้ตอ้ งหาไดม้ าใชบ้ ริการการเตมิ เงิน
ทเ่ี ครอ่ื งโทรศพั ทส์ าธารณะของผเู้ สยี หายทต่ี ง้ั อยบู่ รเิ วณทเี่ กดิ เหตุ หมายเลขเครอ่ื ง BS ๐๒C-๐๓๐๒
(๐๒-๗๕๒-๘๗๗๔) โดยใช้เงนิ เหรยี ญชนดิ ๑๐ บาท ๑ เหรยี ญหยอดลงเครอ่ื งโทรศพั ทส์ าธารณะ
ดังกล่าว และกดโทรออกไปยังเลขหมาย ๐๘๐-๓๒๓-๒๘๖๘ ซึ่งเป็นเลขหมายโทรศัพท์เคล่ือนท่ีท่ี
ได้ทำ�การโอนสายไว้เพ่ือให้มีการโอนสัญญาณเรียกเข้าจากตู้โทรศัพท์สาธารณะไปยังรหัสเติมเงิน
(๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐) ของบริษัทผู้เสียหายเมื่อรหัสเติมเงินของบริษัทได้รับสัญญาณเรียกเข้า ระบบ
การเติมเงินก็จะแจ้งให้ผู้ต้องหากดหมายเลขโทรศัพท์ท่ีต้องการเติมเงินโดยผู้ต้องหาไม่ต้อง
หยอดเหรียญใส่ตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นค่าเติมเงินดังกล่าว โดยผู้ต้องหาได้มีการเติมเงินให้
กบั โทรศพั ทเ์ คลอ่ื นที่หมายเลข๐๘๓-๖๑๔-๐๕๔๗ จ�ำ นวน๓ครงั้ ครง้ั ละ๓๐บาทรวมเปน็ เงนิ ๙๐บาท
โดยในการเติมเงินดังกล่าวผู้ต้องหามิได้หยอดเงินตามจำ�นวนท่ีเติมตามปกติแต่อย่างใด
รวมความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับจากการเติมเงินเป็นเงินจ�ำ นวน ๑๘๐ บาท นาย ส. ซ่ึงได้รับ
มอบอ�ำ นาจจากผเู้ สียหายจงึ เขา้ รอ้ งทุกขใ์ หด้ ำ�เนินคดกี บั ผู้ตอ้ งหา
พนักงานสอบสวนเห็นควรส่ังฟ้องผู้ต้องหาฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕
พนักงานอัยการส่ังไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๓๕ พระราชบัญญัตแิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕
มาตรา ๑๑
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติ
มีความเห็นว่าตามทพ่ี นกั งานอยั การมีค�ำ สั่งไม่ฟ้องผูต้ อ้ งหานนั้ เห็นว่า การสอบสวนยงั ไมส่ ิน้ กระแส
ความไมเ่ พยี งพอทจ่ี ะมคี วามเหน็ ทางคดตี ามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕
ได้ และเหน็ วา่ การกระท�ำ ของผตู้ อ้ งหาเปน็ การเตมิ หรอื ตดั ทอนขอ้ ความ หรอื แกไ้ ขดว้ ยประการใด ๆ
ในบัตรอิเล็กทรอนกิ สท์ ่ีแท้จรงิ โดยประการทนี่ ่าจะเกิดความเสยี หายแกผ่ ้อู นื่ หรอื เพอ่ื ใชป้ ระโยชน์
อยา่ งหนง่ึ อยา่ งใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๑ และเปน็ การแกไ้ ข เปลยี่ นแปลง หรอื
เพ่ิมเตมิ ไมว่ ่าท้ังหมดหรอื บางส่วน ซงึ่ ข้อมลู คอมพวิ เตอร์ของผ้อู ืน่ โดยมชิ อบ ตามพระราชบญั ญตั ิว่า
ดว้ ยการกระท�ำ ความผดิ เกยี่ วกบั คอมพวิ เตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙ จงึ เหน็ ควรใหพ้ นกั งานสอบสวน
ผูร้ บั ผิดชอบแจง้ ขอ้ กล่าวหาและด�ำ เนนิ คดีกบั ผ้ตู ้องหาฐานความผดิ ดังกลา่ ว
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า การท่ีผู้ช่วยผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติมีความเห็น
ดงั กลา่ วขา้ งตน้ เทา่ กบั วา่ ไดใ้ หค้ วามเหน็ ชอบกบั ค�ำ สงั่ ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาฐานลกั ทรพั ยใ์ นเวลากลางคนื
ของพนักงานอัยการแล้ว กรณีย่อมถือว่าพนักงานอัยการได้มีคำ�สั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาตาม
ฐานความผดิ ดงั กลา่ วแลว้ สว่ นกรณที ผี่ ชู้ ว่ ยผบู้ ญั ชาการต�ำ รวจแหง่ ชาตฯิ มคี วามเหน็ วา่ การกระท�ำ ของ
ผตู้ อ้ งหาเปน็ ความผดิ ฐานเตมิ หรอื ตดั ทอนขอ้ ความ หรอื แกไ้ ขดว้ ยประการใด ๆ ในบตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
ท่ีแท้จริงฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๑ และฐานแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือ

180 อยั การนิเทศ

เพิม่ เติมไมว่ า่ ทงั้ หมดหรือบางส่วน ซ่ึงขอ้ มลู คอมพวิ เตอรข์ องผู้อน่ื โดยมิชอบ ตามพระราชบัญญตั วิ า่
ดว้ ยการกระท�ำ ความผดิ เกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙ น้ัน แมค้ วามเห็นของผ้ชู ว่ ย
ผบู้ ญั ชาการต�ำ รวจแหง่ ชาตฯิ ดงั กลา่ วจะไมใ่ ชค่ วามเหน็ แยง้ ทอี่ ยั การสงู สดุ จะตอ้ งพจิ ารณาชขี้ าดตาม
ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ กต็ าม แต่เม่ือความปรากฏในชน้ั พิจารณา
ช้ีขาดความเห็นแย้งของอัยการสูงสุด ซึ่งหากอัยการสูงสุดเห็นพ้องด้วยว่าการกระทำ�ของผู้ต้องหา
เป็นความผิดตามฐานความผิดท่ีผู้ช่วยผู้บัญชาการตำ�รวจแห่งชาติฯ เสนอมา หรือเป็นความผิด
ฐานอนื่ อยั การสงู สดุ กส็ ามารถใชอ้ �ำ นาจตามพระราชบญั ญตั พิ นกั งานอยั การ พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๒ มี
ค�ำ สงั่ ฟ้องผตู้ อ้ งหาเพือ่ ใหไ้ ดร้ บั โทษตามความผดิ ที่กระท�ำ ลงได้ อนั ถอื เปน็ การอ�ำ นวยความยตุ ิธรรม
ทางอาญาในการวินิจฉัยสั่งคดีประการหนึ่ง (ข้อเท็จจริงในทำ�นองเดียวกันน้ีอัยการสูงสุดได้เคยมี
คำ�วินิจฉัยส่ังฟ้องผู้ต้องหาไว้ ตามสำ�เนาคำ�ช้ีขาดความเห็นแย้ง เลขรับท่ี ชย.๔๑๓/๒๕๕๒
ลงวนั ที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๓)
สำ�หรับคดนี ้ี ข้อเท็จจรงิ รับฟงั ได้วา่ บริษทั ท. จ�ำ กดั (มหาชน) ผเู้ สยี หาย ไดเ้ ปิดใหบ้ รกิ าร
โทรศัพท์มือถือเรียกว่าระบบทรูมูฟ เป็นการใช้โทรศัพท์มือถือและเสียค่าบริการโดยการเติมเงิน
อัตโนมัติ กล่าวคือ ลูกค้าต้องใช้โทรศัพท์สาธารณะซึ่งได้สัมปทานของบริษัทผู้เสียหายท่ีติดต้ังอยู่
ทวั่ ไป โดยยกหโู ทรศพั ทข์ น้ึ และหยอดเหรยี ญตามจำ�นวนทต่ี อ้ งการเตมิ เงนิ แลว้ กดหมายเลขโทรศพั ท์
ซ่ึงเป็นรหัสการเติมเงินอัตโนมัติของผู้เสียหาย จากน้ันจะมีสัญญาณตอบรับอัตโนมัติส่ังให้ลูกค้ากด
หมายเลขโทรศัพท์มือถือ (ระบบทรูมูฟ) ท่ีต้องการเติมเงิน แล้วโทรศัพท์สาธารณะเคร่ืองดังกล่าว
จะแปลงสัญญาณรหัสท่ีได้รับจากผู้ใช้ส่งผ่านสายโทรศัพท์ไปยังศูนย์ควบคุมการทำ�งานของระบบ
คอมพวิ เตอร์ที่บรษิ ทั ผู้เสียหาย เมอื่ ศนู ย์ควบคุมการทำ�งานไดร้ ับรหสั สัญญาณ จะมกี ารส่งสญั ญาณ
คล่ืนโทรศัพท์ไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่ผู้ใช้ส่งรหัสเติมเงินเพื่อเติมเงินจำ�นวนดังกล่าวให้กับ
โทรศัพท์มือถอื หมายเลขน้นั การท่ผี ตู้ อ้ งหาใชว้ ธิ ีการเตมิ เงินโทรศพั ท์มอื ถือโดยหลกี เลีย่ งการหยอด
เหรียญเติมเงิน โดยนำ�โทรศัพท์มือถือระบบทรูมูฟหมายเลข ๐๘๐-๓๒๓-๒๘๖๘ ของตนมาถอด
ซมิ การด์ ออก แลว้ ตงั้ คา่ การโอนสายเมอ่ื มคี นโทรศพั ทม์ าใหม้ กี ารโอนสายไปยงั หมายเลข ๐๒-๖๙๘-
๑๐๓๐ซงึ่ เปน็ รหสั ทใี่ ชใ้ นการเตมิ เงนิ อตั โนมตั ขิ องบรษิ ทั ผเู้ สยี หายในกรณลี กู คา้ เตมิ เงนิ ครงั้ ละ๓๐บาท
จากนั้นผู้ต้องหาได้หยอดเหรียญ ๑๐ บาท จำ�นวน ๑ เหรียญ เข้าไปในโทรศัพท์สาธารณะเคร่ือง
เกดิ เหตหุ มายเลข ๐๒-๗๕๒-๘๗๗๔ ทมี่ กี ารกำ�หนดรหสั การเตมิ เงนิ ดงั กลา่ ว แลว้ โทรไปยงั โทรศพั ท์
มือถือหมายเลข ๐๘๐-๓๒๓-๒๘๖๘ ที่ตั้งค่าการโอนสายไว้ ทำ�ให้ระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัท
ผเู้ สียหายท่ตี ั้งคา่ ไวโ้ อนสายไปยงั หมายเลข ๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐ เมือ่ รหัสเติมเงนิ อัตโนมัติของบรษิ ทั
ผู้เสียหายได้รับสัญญาณเรียกเข้าจากโทรศัพท์สาธารณะเครื่องเกิดเหตุ ระบบเติมเงินก็จะแจ้งให้
ผตู้ อ้ งหากดหมายเลขโทรศพั ทม์ อื ถอื ทต่ี อ้ งการเตมิ เงนิ จากนนั้ ผตู้ อ้ งหาไดก้ ดหมายเลขเตมิ เงนิ ลงใน
โทรศพั ทม์ อื ถอื หมายเลข ๐๘๓-๖๑๔-๐๕๔๗ ซงึ่ เปน็ โทรศพั ทข์ องผตู้ อ้ งหาอกี เครอื่ งหนง่ึ จ�ำ นวน ๓ ครง้ั
ครั้งละ ๓๐ บาท รวมเป็นเงิน ๙๐ บาท และกดหมายเลขเติมเงินลงในโทรศัพท์มือถือหมายเลข

อยั การนเิ ทศ 181

๐๘๓-๒๕๑-๗๐๑๒ ซึ่งเป็นของเพื่อนผู้ต้องหาอีก ๓ คร้ัง คร้ัง ๓๐ บาท รวมเป็นเงิน ๙๐ บาท
การกระทำ�ของผู้ต้องหาจึงเป็นการใช้โทรศัพท์สาธารณะเคร่ืองเกิดเหตุของบริษัทผู้เสียหายท่ีมีการ
กำ�หนดรหัสการเติมเงินและโทรศัพท์หมายเลข ๐๒-๖๙๘-๑๐๓๐ ซึ่งเป็นรหัสที่ใช้ในการเติมเงิน
อัตโนมัติ อันถือเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๑๔) โดยไม่
หยอดเหรียญใส่โทรศัพท์สาธารณะเคร่ืองเกิดเหตุจำ�นวน ๑๘๐ บาท เป็นค่าเติมเงิน อันเป็นการ
ลักลอบเติมเงินโดยทุจริตก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัทผู้เสียหาย จึงมีความผิดฐานใช้บัตร
อิเล็กทรอนิกส์ของผู้อ่ืนโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๕ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานเตมิ หรอื ตดั ทอนขอ้ ความ หรอื แกไ้ ข
ดว้ ยประการใด ๆ ในบตั รอเิ ลก็ ทรอนกิ สท์ แ่ี ทจ้ รงิ ฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๑ และ
ฐานแกไ้ ข เปลย่ี นแปลง หรือเพิ่มเติมไม่วา่ ทัง้ หมดหรอื บางส่วน ซึง่ ขอ้ มูลคอมพิวเตอรข์ องผูอ้ น่ื โดย
มชิ อบ ตามพระราชบญั ญัตวิ ่าดว้ ยการกระท�ำ ความผิดเกีย่ วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙
จึงส่ังฟ้อง นาย อ. ผู้ต้องหา ฐานใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการท่ี
น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อ่ืนหรือประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๙/๕
พระราชบัญญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี ๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๕ และให้
แจ้งพนักงานสอบสวนทำ�การแจ้งข้อหาและสอบคำ�ให้การผู้ต้องหาตามฐานความผิดที่สั่งฟ้อง โดย
ปฏบิ ตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาทแี่ กไ้ ขใหมก่ อ่ นยนื่ ฟอ้ งดว้ ย สว่ นทรพั ย์
ของกลางใหแ้ จง้ พนกั งานสอบสวนจดั การตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา มาตรา ๘๕


182 อยั การนิเทศ

ค�ำ ชขี้ าดความเหน็ แยง้ ความผิดฐานดูหมิน่ ผู้อนื่ ซ่งึ หนา้

(ช้ขี าดความเห็นแยง้ ท่ี ๑๕๘/๒๕๕๓)
ป.อ. ดูหมนิ่ ผอู้ ื่นซง่ึ หนา้ (มาตรา ๓๙๓)
ความผิดฐานดูหม่ินผู้อื่นซ่ึงหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓ ต้องเป็น
การกระทำ�ต่อหน้าผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายจะต้องอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ถ้าผู้เสียหายไม่อยู่ในที่
เกดิ เหตกุ ไ็ มอ่ าจเปน็ ดหู มน่ิ ซง่ึ หนา้ ได้ การทผ่ี ตู้ อ้ งหาใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื ของตนสง่ ขอ้ ความ “พอ่ มงึ
ก็โกง มึงก็โกง พ่อกูไม่เคยโกงใคร ไม่เคยใช้เงินพ่อแม่มึง” เข้าโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย
แม้ขอ้ ความดงั กล่าวจะเป็นการดูหมน่ิ ผ้เู สียหาย แต่ผตู้ อ้ งหาไมไ่ ดก้ ระท�ำ ตอ่ หนา้ ผูเ้ สยี หาย หรอื
ผเู้ สยี หายอยใู่ นทน่ี นั้ ทงั้ ขอ้ ความทถี่ กู สง่ เขา้ โทรศพั ทม์ อื ถอื ของผเู้ สยี หายดงั กลา่ ว หากผเู้ สยี หาย
ไมเ่ ปดิ ดกู จ็ ะไม่ทราบข้อความที่ดูหมนิ่ ผูเ้ สยี หายในทันที ตามพฤตกิ ารณ์ยังถอื ไม่ได้ว่า ผู้ตอ้ งหา
ดูหมน่ิ ผู้เสยี หายซึง่ หน้า

_____________________________________
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับผู้ต้องหาเป็นญาติกันโดยผู้ต้องหาเป็นพ่ีสะใภ้ของ
ผู้เสียหายและพักอาศัยอยู่บ้านคนละหลังกัน เม่ือวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลาประมาณ
๑๙.๐๐ น. ผู้เสียหายได้ออกจากบ้านพักไปทำ�ธุระกลับมาท่ีบ้านเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. และ
ทราบจากบุตรสาวของผู้เสียหายว่าระหว่างที่ผู้เสียหายไม่อยู่บ้านผู้ต้องหาได้เข้ามาในบ้านของ
ผู้เสยี หายแลว้ ขนเอาตไู้ ม้จำ�นวน ๓ หลงั ท่อี ยู่ในบ้านของผ้เู สยี หายออกไป ผเู้ สยี หายจึงโทรศัพท์ไป
ท่ีหมายเลข ๐๘๑-๙๙๙๖xxx ซึ่งเป็นเบอร์โทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหาเพ่ือจะสอบถามว่าผู้ต้องหา
ขนตู้ไม้ดังกล่าวไปเพราะเหตุใดแต่ผู้ต้องหาไม่รับสาย ผู้เสียหายจึงส่งข้อความไปที่โทรศัพท์มือถือ
ของผตู้ ้องหาวา่ “รูไ้ หมขอ้ หาบกุ รกุ เป็นอยา่ งไร” ตอ่ มาวนั ท่ี ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๒ เวลาประมาณ
๐๖.๔๑ น. ก็มีข้อความถูกส่งจากโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหามาที่โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายว่า
“ไมร่ เู้ พราะวา่ บา้ นหลงั นเ้ี ปน็ ชอ่ื กู รแู้ ตโ่ ทษฉอ้ โกงวา่ ตดิ คกุ แน”่ ผเู้ สยี หายจงึ สง่ ขอ้ ความตอบกลบั ไป
ว่า “แล้วพ่อมงึ ละวา่ ตอนนอี้ าศยั อย่ทู ่ีไหน” หลังจากนั้นเวลา ๗.๓๐ น. ของวนั เดยี วกันกม็ ขี ้อความ
ถูกส่งจากโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหามาที่โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายว่า “พ่อมึงก็โกง มึงก็โกง
พอ่ กูไมเ่ คยโกงใคร ไม่เคยใชเ้ งนิ พ่อแม่มึง” ผู้เสียหายจงึ แจ้งความรอ้ งทุกขต์ อ่ พนกั งานสอบสวนให้
ด�ำ เนนิ คดกี บั ผ้ตู ้องหา
พนักงานสอบสวนเหน็ ควรส่งั ฟอ้ งผ้ตู อ้ งหา
พนกั งานอยั การสง่ั ไมฟ่ อ้ งผตู้ อ้ งหาโดยเหน็ วา่ สาระส�ำ คญั ของการกระท�ำ ความผดิ ฐานดหู มน่ิ
ผู้อ่ืนซึ่งหน้าต้องเป็นการกระท�ำ ซ่ึงหน้า การส่งข้อความส้ัน (SMS) แม้จะเป็นการส่งผ่านโทรศัพท์
เคลอื่ นทแ่ี ตผ่ สู้ ่งและผรู้ บั อยตู่ ่างกันคนละสถานท่ไี มไ่ ดอ้ ยซู่ ง่ึ หนา้ กนั การโตต้ อบแมจ้ ะตอบโตก้ นั จะ

อยั การนิเทศ 183

ว่าเป็นการกระทำ�ซึ่งหน้าไม่ได้และแม้ข้อความดูหมิ่นผู้เสียหายจะถูกส่งมาจากโทรศัพท์มือถือของ
ผตู้ อ้ งหา แตไ่ มม่ พี ยานหลกั ฐานวา่ ผตู้ อ้ งหาเปน็ ผสู้ ง่ ขอ้ ความดงั กลา่ ว คดมี พี ยานหลกั ฐานไมพ่ อฟอ้ ง
ผู้วา่ ราชการจงั หวดั มคี วามเหน็ แยง้ ค�ำ สงั่ ไม่ฟอ้ งผ้ตู อ้ งหา
อยั การสูงสดุ พจิ ารณาแลว้ เห็นว่า ความผิดฐานดูหมนิ่ ผู้อื่นซ่ึงหนา้ ตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๙๓ ตอ้ งเปน็ การกระท�ำ ตอ่ หน้าผู้เสียหาย โดยผู้เสยี หายจะตอ้ งอยู่ในทเี่ กิดเหตุ
ดว้ ย ถ้าผเู้ สยี หายไม่อยใู่ นที่เกิดเหตุ กไ็ มอ่ าจเปน็ ดหู ม่นิ ซง่ึ หน้าได ้ การท่ผี ตู้ อ้ งหาใชโ้ ทรศพั ทม์ อื ถอื
ของตนสง่ ข้อความ “พอ่ มึงกโ็ กง มงึ กโ็ กง พ่อกูไมเ่ คยโกงใคร ไม่เคยใช้เงินพ่อแมม่ งึ ” เขา้ โทรศัพท์
มือถือของผู้เสียหาย แม้ข้อความดังกล่าวจะเป็นการดูหม่ินผู้เสียหาย แต่ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำ�
ต่อหน้าผู้เสียหาย หรือผู้เสียหายอยู่ในท่ีนั้น ทั้งข้อความท่ีถูกส่งเข้าโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย
ดังกล่าว หากผู้เสียหายไม่เปิดดูก็จะไม่ทราบข้อความท่ีดูหมิ่นผู้เสียหายในทันที ตามพฤติการณ์
ยังถอื ไม่ได้วา่ ผู้ตอ้ งหาดูหมิ่นผเู้ สยี หายซ่งึ หน้า
จึงช้ีขาดไมฟ่ อ้ งผ้ตู ้องหาฐานดูหมน่ิ ผูอ้ ่ืนซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๓


184 อยั การนเิ ทศ

ค�ำ ชขี้ าดความเหน็ แยง้ ความผดิ ฐานเพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ น่ื รว่ มกนั เปน็ ธรุ ะจดั หา
ล่อไป พาไปซง่ึ หญิงเพอ่ื การอนาจาร รว่ มกนั พาหรือสง่ คนออกไปนอกราชอาณาจกั ร
โดยใช้อบุ ายหลอกลวง รว่ มกนั เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาซ่งึ หญิงให้กระท�ำ การ
ค้าประเวณี ฯ

(ชข้ี าดความเหน็ แย้งที่ ๕๔๖/๒๕๕๒)
ป.อ. เพอ่ื สนองความใครข่ องผู้อน่ื ร่วมกนั เปน็ ธรุ ะจดั หา ลอ่ ไป พาไปซ่งึ หญิงเพ่ือการอนาจาร
รว่ มกนั พาไป หรอื สง่ คนออกไปนอกราชอาณาจกั รโดยใชอ้ บุ ายหลอกลวง รว่ มกนั เปน็ ธรุ ะ
จัดหา ล่อไป หรือชักพาซึ่งหญิงให้กระทำ�การค้าประเวณี ฯ (มาตรา ๖, ๗, ๘๓, ๙๑,
๒๘๓ วรรคแรก, ๓๒๐ วรรคแรก)

แมจ้ ะไมป่ รากฏพยานหลักฐานวา่ ผูต้ อ้ งหาที่ ๓ ได้ร่วมกบั ผูต้ อ้ งท่ี ๑ ใชอ้ บุ ายหลอกลวง
ผู้เสียหายกับนางสาว น. ในประเทศไทยให้ไปทำ�การค้าประเวณีในประเทศอิตาลี แต่การที่
ผู้ตอ้ งหาท่ี ๓ ซึง่ เคยท�ำ การคา้ ประเวณีมากอ่ นและมีภูมลิ �ำ เนาในประเทศไทยอยใู่ นละแวกเดียว
กบั ผ้ตู อ้ งหาที่ ๑ ได้ไปรอรับผเู้ สียหายและนางสาว น. ทสี่ นามบนิ ในประเทศฝร่ังเศส แล้วร่วม
กับชายต่างชาตินำ�พาผู้เสียหายและนางสาว น. ไปส่งให้ผู้ต้องหาท่ี ๒ ในประเทศอิตาลี โดย
ผู้ต้องหาที่ ๓ รู้อยู่แล้วว่าเป็นการนำ�พาไปเพื่อให้ทำ�การค้าประเวณี และได้รับเงินค่านำ�พา
เป็นจำ�นวนมากถึง คนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นพฤติการณ์ที่ฟังได้ว่าผู้ต้องหาท่ี ๓ สมคบกับ
ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ และที่ ๒ กระทำ�ความผดิ ดว้ ยการแบ่งหนา้ ทก่ี นั ท�ำ

______________________________________

ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ เมอ่ื ประมาณเดอื นพฤษภาคม๒๕๔๙นางจ.ผตู้ อ้ งหาที่๑ซง่ึ เปน็ เพอ่ื นบา้ น
พักอาศัยอยู่ท่ีหมู่บ้านหนองดุม ตำ�บลหนองหัวช้าง อำ�เภอกันทรารมย์ได้ไปชักชวนนางสาว ด.
ผู้เสียหายไปทำ�งานที่ร้านอาหารของนาง ล. ผู้ต้องหาที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตรสาวของผู้ต้องหาท่ี ๑ ท่ี
ประเทศอติ าลี โดยผูต้ ้องหาท่ี ๑ เป็นผ้อู อกค่าใชจ้ ่ายในการเดนิ ทางใหก้ อ่ นแลว้ จะหกั เอาเงนิ คา่ แรง
หลังจากได้ทำ�งานแล้ว หากไม่สามารถทำ�งานดังกล่าวได้ก็ให้ไปทำ�งานเก็บผลไม้ ผู้เสียหายจึงได้
หลงเช่ือตกลงเดินทางไปตามท่ีผู้ต้องหาที่ ๑ ชักชวน โดยผู้ต้องหาท่ี ๑ เป็นผู้นำ�หนังสือเดินทาง
ของผู้เสียหายไปทำ�วีซ่าและซ้ือต๋ัวเคร่ืองบินและเป็นธุระให้ผู้เสียหายได้เดินทางไปประเทศอิตาลี
กอ่ นเดินทางไปกรงุ เทพฯ ผเู้ สียหายได้พบกบั นางสาว น. ซ่ึงถกู ผู้ต้องหาที่ ๑ หลอกลวงใหไ้ ปท�ำ งาน
ทป่ี ระเทศอติ าลเี ชน่ กนั ทบี่ า้ นพกั ของผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ แลว้ ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑ ไดพ้ าผเู้ สยี หายและนางสาว น.
โดยสารรถไฟจากสถานีรถไฟกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เดินทางเข้ากรุงเทพมหานคร ครั้น
วนั ที่ ๒ มถิ ุนายน ๒๕๔๙ ผเู้ สยี หายและนางสาว น. ไดข้ ึน้ เครื่องบนิ เดนิ ทางไปถงึ ประเทศฝรั่งเศส
เม่ือไปถึงได้มีนาง บ. ผู้ต้องหาท่ี ๓ และชายชาวต่างชาติ ๒ คน มารับที่สนามบินชาลเดอโกล

อัยการนิเทศ 185

ตอ่ จากนนั้ ผตู้ อ้ งหาที่ ๓ กบั พวกไดข้ บั รถพาผเู้ สยี หายและนางสาว ด. เดนิ ทางไปสง่ ทปี่ ระเทศอติ าลโี ดย
พาไปพกั ยงั ทพ่ี กั เปน็ อพารท์ เมน้ ทข์ องผตู้ อ้ งหาท่ี ๒ ใชเ้ วลาเดนิ ทางประมาณ ๙ ชวั่ โมง เมอื่ ไปถงึ แลว้
ผตู้ อ้ งหาท่ี ๒ ไดบ้ อกผเู้ สยี หายวา่ ไมม่ งี านอน่ื ใหท้ ำ�นอกจากงานคา้ ประเวณแี ละบอกวา่ ผเู้ สยี หายเปน็
หนี้ผู้ต้องหาท่ี ๒ จ�ำ นวน ๖๕๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงเป็นค่าใช้จ่ายในการเดนิ ทางที่ไดม้ กี ารออกเงนิ แทนไป
และเปน็ หนค้ี า่ จา้ งคนไปรบั ทส่ี นามบนิ อกี คนละ ๕๐,๐๐๐ บาท โดยผตู้ อ้ งหาที่ ๒ จะหกั คา่ แรงจากท่ี
ผ้เู สยี หายให้บริการแขกหรือลูกค้าที่มารว่ มประเวณใี นวนั ท่ี ๖ มิถนุ ายน ๒๕๔๙ ผูเ้ สียหายจึงทำ�งาน
ให้บริการทางเพศแกล่ กู ค้าจำ�นวน ๒ ราย สว่ นนางสาว น. ยังไม่เร่มิ ท�ำ งานเน่ืองจากเพิ่งคลอดลกู
และบตุ รเพง่ิ หยา่ นม และยงั มปี ระจ�ำ เดอื น จนกระทง่ั วนั ท่ี ๗ มถิ นุ ายน ๒๕๔๙ ไดม้ เี จา้ หนา้ ทตี่ �ำ รวจ
อติ าลเี ขา้ ไปตรวจคน้ ทอ่ี พารท์ เมน้ ทแ์ ละไดพ้ บผเู้ สยี หายกบั นางสาวน. จงึ ไดน้ �ำ ตวั ไปสง่ ทศี่ นู ยช์ ว่ ยเหลอื
ของประเทศอติ าลี ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๔๙ ผู้เสยี หายและนางสาว น. จึงถกู สง่ ตวั เดินทาง
กลับมาถึงประเทศไทยโดยมีเจ้าหน้าที่จากกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการเข้ามารับตัวและให้การ
ช่วยเหลือ ต่อมาผู้เสียหายจึงได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการ
กระทำ�ผดิ ตอ่ เดก็ เยาวชน และสตรี ให้ดำ�เนนิ คดแี ก่นาง จ. นาง ล. และนาง บ. ผ้ตู ้องหาท่ี ๑ ถึงท่ี ๓
พนักงานสอบสวนเหน็ ควรส่งั ฟ้องผูต้ อ้ งหาทั้งสาม
พนกั งานอยั การส่ังไม่ฟ้องผูต้ ้องหาท่ี ๓
ผบู้ ัญชาการตำ�รวจแหง่ ชาติ มคี วามเห็นแย้งคำ�ส่งั ไม่ฟ้องผตู้ ้องหาที่ ๓ ของพนักงานอยั การ
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีนางสาว ด. ผู้เสียหาย และนางสาว น. ให้การใน
ช้ันสอบสวนและเบิกความในศาลชัน้ สบื พยานไว้กอ่ นรบั ฟังได้ว่า ผูต้ อ้ งหาท่ี ๑ ได้ใชอ้ บุ ายหลอกลวง
ชกั ชวนผู้เสียหายและนางสาว น. ใหไ้ ปท�ำ งานในรา้ นอาหารของผู้ตอ้ งหาท่ี ๒ หรือทำ�งานเก็บผลไม้
ในประเทศอติ าลี โดยผู้ตอ้ งหาท่ี ๑ จะออกคา่ ใช้จ่ายในการเดนิ ทางให้กอ่ น แตเ่ มือ่ ผตู้ ้องหาท่ี ๑ ได้
สง่ ผู้เสยี หายและนางสาว น. เดินทางไปถงึ สนามบนิ ประเทศฝรง่ั เศส ผู้เสยี หายและนางสาว น. ได้
ถูกผ้ตู ้องหาที่ ๓ กบั ชายตา่ งชาติสองคน พาขน้ึ รถยนต์ไปสง่ ที่พักของผตู้ ้องหาท่ี ๒ ในประเทศอติ าล ี
ซ่ึงเป็นสถานที่ท่ีผู้ต้องหาที่ ๒ ใช้ทำ�การค้าประเวณี แล้วผู้ต้องหาที่ ๒ ได้จัดให้ผู้เสียหายทำ�การ
คา้ ประเวณใี นสถานทด่ี งั กลา่ ว ถงึ แมจ้ ะไมป่ รากฏพยานหลกั ฐานวา่ ผตู้ อ้ งหาที่ ๓ ไดร้ ว่ มกบั ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑
ใชอ้ ุบายหลอกลวงผูเ้ สียหายกับนางสาว น. ในประเทศไทยให้ไปท�ำ การคา้ ประเวณใี นประเทศอติ าลี
แตก่ ารทผี่ ู้ต้องหาท่ี ๓ ซ่งึ เคยทำ�การคา้ ประเวณีมาก่อนและมภี ูมลิ �ำ เนาในประเทศไทยอยู่ในละแวก
เดียวกับผู้ต้องหาที่ ๑ ได้ไปรอรับผู้เสียหายและนางสาว น. ท่ีสนามบินในประเทศฝร่ังเศสแล้ว
ร่วมกับชายต่างชาตินำ�พาผู้เสียหายและนางสาว น. ไปส่งให้ผู้ต้องหาท่ี ๒ ในประเทศอิตาลี โดย
ผู้ต้องหาที่ ๓ รู้อยู่แล้วว่า เป็นการนำ�พาไปเพ่ือให้ทำ�การค้าประเวณี และได้รับเงินค่านำ�พาเป็น
จำ�นวนมากถงึ คนละ ๕๐,๐๐๐ บาท เปน็ พฤตกิ ารณท์ ฟี่ ังได้วา่ ผู้ตอ้ งหาท่ี ๓ สมคบกับผู้ตอ้ งหาที่ ๑
และท่ี ๒ กระท�ำ ความผิดด้วยการแบง่ หนา้ ท่ีกันท�ำ คดีมีพยานหลกั ฐานเพียงพอพิสูจนค์ วามผิดของ
ผ้ตู ้องหาที่ ๓ ได้

186 อัยการนเิ ทศ

จงึ ชขี้ าดใหฟ้ อ้ งนางสาว บ. ผตู้ อ้ งที่ ๓ ฐานรว่ มกนั เพอ่ื สนองความใครข่ องผอู้ นื่ เปน็ ธรุ ะจดั หา
ล่อไป หรือพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิงโดยใช้อุบายหลอกลวง ร่วมกันพาหรือส่งคนออกไปนอก
ราชอาณาจักรโดยใช้อุบายหลอกลวง ร่วมกันเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไป ซึ่งหญิง เพ่ือให้
ทำ�การค้าประเวณีโดยใช้อุบายหลอกลวง สมคบกันต้ังแต่สองคนข้ึนไปเพื่อกระทำ�ความผิดเกี่ยว
กับการค้าหญงิ ซ้อื ขาย จำ�หนา่ ย พามาจากหรอื สง่ ไปยงั ท่ใี ด รบั หน่วงเหนีย่ วหรือกกั ขังหญงิ หรอื
จัดให้หญิงกระทำ�การหรือยอมรับการกระทำ�ใด เพ่ือสนองความใคร่ของผู้อ่ืน เพื่อการอนาจาร
หรือเพ่ือแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบสำ�หรับตนเองหรือผู้อ่ืน ไม่ว่าหญิงนั้นจะยินยอม
หรอื ไมก่ ็ตาม และไดล้ งมือกระทำ�ความผดิ ตามทไ่ี ดส้ มคบกนั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๖, ๗, ๒๘๓ วรรคแรก, ๓๒๐ วรรคแรก, ๘๓, ๙๑ พระราชบัญญตั ปิ อ้ งกันและปราบปรามการค้า
ประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๔, ๙ วรรคหนึ่ง, วรรคส่ี พระราชบัญญตั มิ าตรการในการป้องกนั และ
ปราบปรามการค้าหญงิ และเดก็ พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๕, ๗ วรรคหนงึ่ , วรรคสอง พระราชบญั ญตั ิ
ปอ้ งกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๔, ๖ (๑), ๙ วรรคหน่งึ , วรรคสอง, ๕๒
และแจ้งผบู้ ัญชาการตำ�รวจแห่งชาตจิ ัดการใหไ้ ดต้ ัวผตู้ อ้ งหาที่ ๓ มาภายในอายคุ วาม ๒๐ ปี


อัยการนิเทศ 187

ค�ำ ชข้ี าดความเหน็ แยง้ ความผดิ ฐานรว่ มกนั ยดึ ถอื ครอบครองทำ�ประโยชนห์ รอื อยอู่ าศยั
ในทด่ี นิ กน่ สรา้ ง แผว้ ถาง หรอื กระท�ำ ดว้ ยประการใด ๆ อนั เปน็ การเสอื่ มเสยี แกส่ ภาพ
ป่าสงวนแห่งชาติและก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำ�ด้วยประการใด ๆ อันเป็นการ
ทำ�ลายปา่ หรือเข้ายดึ ถือครอบครองปา่ เพ่อื ตนเองหรอื ผอู้ นื่

(ช้ีขาดความเห็นแย้งที่ ๕๘๖/๒๕๕๒)
พ.ร.บ. ปา่ ไม้ พ.ศ. ๒๕๒๒
พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๒๘
บริเวณที่เกิดเหตุเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ป่าเลนคลองบางชีหว้า – คลองท่าจีน)
หมู่ที่ ๓ ตำ�บลรัษฎา อำ�เภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ซ่ึงการกำ�หนดเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ดงั กลา่ วไดอ้ อกเปน็ กฎกระทรวงและประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา ทง้ั ไดป้ ดิ ประกาศใหป้ ระชาชน
ทว่ั ไปทราบแลว้ แตเ่ ขตปา่ สงวนแหง่ ชาตทิ เี่ กดิ เหตมุ รี าษฎรเขา้ ปลกู บา้ นอยอู่ าศยั เปน็ จ�ำ นวนมาก
มานานแล้วจนมีสภาพเปน็ ชมุ ชน มีถนนสายหลกั และถนนซอยทม่ี ีรถแลน่ ขวกั ไขว่ มีการติดตง้ั
เสาไฟฟา้ และระบบนา้ํ ประปาไวท้ วั่ ชมุ ชนโดยมหี นว่ ยงานของรฐั เปน็ ผดู้ แู ล นาย ก. ผตู้ อ้ งหาท่ี ๑
เปน็ คนมภี มู ลิ �ำ เนาอยจู่ งั หวดั อน่ื ประกอบอาชพี รบั จา้ งไดเ้ ขา้ มากอ่ สรา้ งอาคารหอพกั ในทเ่ี กดิ เหตุ
ตามคำ�ส่งั ของนาย ส. ผู้เป็นนายจา้ งโดยนาย ส. ได้รบั การวา่ จ้างจากนาย ข. ไมท่ ราบนามสกุล
ให้ก่อสร้างอาคารหอพักดังกล่าวให้โดยบุคคลท้ังสองไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าท่ี
ส่วนนาย อ. ผ้ตู ้องหาท่ี ๒ มอี าชพี รับเหมาเดินสายไฟ เม่ือนาย ส. วา่ จ้างใหเ้ ดนิ สายไฟในอาคาร
หอพกั ดงั กลา่ ว จงึ พานาย ถ. ผู้ตอ้ งหาที่ ๓ ซึ่งเปน็ ลกู จ้างมาทำ�งานดว้ ยโดยผตู้ ้องหาท่ี ๑ ถงึ
ท่ี ๓ เขา้ ใจว่าทดี่ นิ ทเ่ี กดิ เหตุเป็นทด่ี ินทผี่ คู้ รอบครองมสี ทิ ธกิ อ่ สร้างอาคารหอพกั ได้ ประกอบกบั
เมอื่ พิจารณาสภาพที่เกดิ เหตุตามภาพถ่าย มีสภาพเปน็ ชุมชน มีถนนตัดผา่ นและรถสัญจรผ่าน
ไปมา ตามพฤติการณจ์ ึงฟังไดว้ ่าผ้ตู อ้ งหาท่ี ๑ ถงึ ท่ี ๓ ไดก้ ่อสร้างอาคารหอพกั ในที่เกดิ เหตโุ ดย
สำ�คัญผิดว่าท่ีเกิดเหตุเป็นที่ดินที่มีผู้ครอบครองโดยชอบและไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
และผู้ต้องหาท่ี ๑ ถึง ที่ ๓ ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด การกระท�ำ ของผตู้ ้องหาท่ี ๑ ถึง ที่ ๓ จงึ
เป็นการขาดเจตนาในการกระทำ�ความผดิ ตามขอ้ กลา่ วหา

______________________________________

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุนาย ภ. ผู้กล่าวหา และนาย ช. กับพวก
เจ้าหน้าที่บริหารงานป่าไม้ประจำ�หน่วยประสานงานป้องกันและปราบปรามการทำ�ลายทรัพยากร
ป่าไม้ (นปม.) จังหวัดภูเก็ต ร่วมกันออกตรวจพื้นที่ป่าไม้ในความรับผิดชอบไปถึงบริเวณ ชุมชน
ซอยกิง่ แกว้ อุทิศ พบหอ้ งแถวขนาด ๑๐ หอ้ ง กว้างยาว ๔ x ๙ เมตร และขนาด ๖ ห้อง กว้างยาว
๔ x ๘ เมตร รวม ๒ หลงั อยรู่ ะหวา่ งกอ่ สรา้ งในพน้ื ทพี่ กิ ดั ดาวเทยี ม จ.ี พ.ี เอส ๔๗ เอน็ , ๐๔๓๕๗๓๐ อ,ี

188 อยั การนเิ ทศ

ยทู เี อม็ ๐๘๗๓๐๓๑เอน็ ซงึ่ เปน็ สว่ นหนงึ่ ในเขตพนื้ ทป่ี า่ สงวนแหง่ ชาติปา่ เลนคลองชเี หลา้ –คลองทา่ จนี
ในทอ้ งทีต่ �ำ บลรษั ฎา อ�ำ เภอเมอื งภูเก็ต จงั หวัดภเู ก็ตตามกฎกระทรวงฉบับท่ี ๑๖ (พ.ศ. ๒๕๐๑)
ออกตามความในพระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองและสงวนปา่ พ.ศ. ๒๔๘๑ และแผนทแี่ สดงแนวเขตปา่ ทา้ ย
กฎกระทรวงฯ ซง่ึ ผใู้ หญบ่ า้ น ก�ำ นนั และปา่ ไมอ้ �ำ เภอในพน้ื ที่ ไดป้ ดิ ประกาศส�ำ เนากฎกระทรวงฉบบั
ดังกล่าวไว้ ณ ท่ีทำ�การที่เก่ียวข้อง ผู้กล่าวหากับพวกเห็นว่าเป็นการกระทำ�ผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้
พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔ (๑), ๕๔ และพ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ จงึ แจ้งขอ้ หา
และจบั กมุ ตัวผตู้ ้องหาท่ี ๑ ทแี่ สดงตวั เปน็ ผู้ควบคมุ งานและผู้ตอ้ งหาที่ ๒, ที่ ๓ ทีก่ �ำ ลงั เดินสายไฟอยู่
ในอาคารห้องแถวท่เี กิดเหตุ และตรวจยดึ สายไฟพร้อมอปุ กรณเ์ ดนิ สายไฟ ๖ รายการ ช้นั สอบสวน
ผูต้ อ้ งหาทัง้ สามให้การปฏเิ สธ
พนักงานสอบสวนเหน็ ควรส่งั ไม่ฟอ้ งผูต้ ้องหาท้งั สาม
พนักงานอัยการส่ังไมฟ่ ้องผู้ต้องหาทง้ั สาม
ผู้ว่าราชการจงั หวดั มคี วามเห็นแย้งค�ำ ส่งั ไมฟ่ ้องผตู้ อ้ งหาท้งั สามของพนกั งานอยั การ
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีพยานหลักฐานฟังได้ว่าบริเวณท่ีเกิดเหตุเป็น
เขตปา่ สงวนแห่งชาติ (ปา่ เลนคลองบางชหี วา้ – คลองทา่ จีน) หมู่ที่ ๓ ต�ำ บลรัษฎา อำ�เภอเมืองภูเก็ต
จังหวัดภูเก็ต ซ่ึงการกำ�หนดเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวได้ออกเป็นกฎกระทรวงและประกาศใน
ราชกจิ จานเุ บกษาท้งั ได้ปิดประกาศใหป้ ระชาชนทว่ั ไปทราบแล้ว แต่เขตป่าสงวนแห่งชาตทิ ี่เกดิ เหตุ
มรี าษฎรเขา้ ปลกู บา้ นอยอู่ าศยั เปน็ จำ�นวนมากมานานแลว้ จนมสี ภาพเปน็ ชมุ ชน มถี นนสายหลกั และ
ถนนซอยท่ีมีรถแล่นขวักไขว่มีการติดต้ังเสาไฟฟ้าและระบบน้ําประปาไว้ท่ัวชุมชน โดยมีหน่วยงาน
ของรัฐเป็นผู้ดูแล นาย ก. ผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นคนมีภูมิล�ำ เนาอยู่จังหวัดอื่นประกอบอาชีพรับจ้างได้
เขา้ มากอ่ สรา้ งอาคารหอพักในทีเ่ กิดเหตตุ ามค�ำ ส่ังของนาย ส. ผ้เู ปน็ นายจา้ ง โดยนาย ส. ไดร้ ับการ
ว่าจา้ งจากนาย ข. ไม่ทราบนามสกลุ ให้ก่อสร้างอาคารหอพักดังกลา่ วให้ โดยบคุ คลทง้ั สองไมไ่ ดร้ บั
อนุญาตจากพนกั งานเจ้าหนา้ ที่ ส่วนนาย อ. ผ้ตู อ้ งหาที่ ๒ มีอาชพี รบั เหมาเดินสายไฟ เมอ่ื นาย ส.
ว่าจ้างให้เดินสายไฟในอาคารหอพักดังกล่าว จึงพานาย ถ. ผู้ต้องหาที่ ๓ ซ่ึงเป็นลูกจ้างมาท�ำ งาน
ด้วย โดยผู้ต้องหาที่ ๑ ถึง ท่ี ๓ เข้าใจว่าทด่ี นิ ที่เกิดเหตเุ ป็นที่ดินทีผ่ คู้ รอบครองมสี ทิ ธกิ อ่ สรา้ งอาคาร
หอพกั ได้ ประกอบกับเม่ือพิจารณาสภาพทเี่ กดิ เหตุตามภาพถ่าย มสี ภาพเป็นชมุ ชน มถี นนตัดผา่ น
และรถสญั จรผา่ นไปมาตามพฤติการณ์จงึ ฟงั ได้วา่ ผู้ตอ้ งหาท่ี ๑ ถงึ ที่ ๓ ได้กอ่ สร้างอาคารหอพักใน
ที่เกิดเหตุโดยสำ�คัญผิดว่าท่ีเกิดเหตุเป็นท่ีดินท่ีมีผู้ครอบครองโดยชอบและไม่ได้อยู่ในเขตป่าสงวน
แหง่ ชาติและผตู้ ้องหาท่ี ๑ ถงึ ที่ ๓ ให้การปฏเิ สธมาโดยตลอด การกระทำ�ของผู้ต้องหาท่ี ๑ ถงึ ท่ี ๓
จึงเปน็ การขาดเจตนาในการกระท�ำ ความผดิ ตามขอ้ กลา่ วหาคดมี พี ยานหลกั ฐานไม่พอฟ้อง
จึงช้ีขาดไม่ฟอ้ ง นาย ก. ผตู้ ้องหาท่ี ๑ นาย อ. ผตู้ อ้ งหาที่ ๒ และนาย ถ. ผ้ตู ้องหาท่ี ๓
ฐานร่วมกันก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำ�ด้วยประการใด ๆ อันเป็นการทำ�ลายป่า หรือเข้ายึดถือ
ครอบครองป่า เพอ่ื ตนเองหรือผอู้ นื่ โดยไม่ไดร้ บั อนุญาต และรว่ มกนั ยดึ ถอื ครอบครองทำ�ประโยชน์

อยั การนเิ ทศ 189

หรืออยู่อาศัยในท่ีดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง หรือกระทำ�ด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่
สภาพปา่ สงวนแห่งชาติ ตามพระราชบญั ญตั ิปา่ ไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ มาตรา ๔, ๕๔, ๗๒ ตรี พระราช
บญั ญตั ิปา่ ไม้ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๐๓ มาตรา ๑๖ พระราชบญั ญัตปิ ่าไม้ (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๒๒ พระราชบญั ญตั ปิ า่ ไม้ (ฉบบั ที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗ พระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๔, ๑๔, ๓๑ พระราชบญั ญตั ปิ า่ สงวนแหง่ ชาติ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๓
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๔ ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๘๓


190 อยั การนิเทศ

ค�ำ ชีข้ าดความเหน็ แย้งฐานลกั ทรัพยท์ ่เี ปน็ ของนายจา้ งในเวลากลางคนื

(ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ ๓๗๐/๒๕๕๒)
ป.อ. ลกั ทรัพยท์ เี่ ป็นของนายจา้ งในเวลากลางคนื (มาตรา ๓๓๕ (๑), (๑๑))
แมจ้ ะไมม่ ปี ระจกั ษพ์ ยานรเู้ หน็ ยนื ยนั วา่ ผตู้ อ้ งหาเปน็ คนรา้ ยลกั ทรพั ยข์ องนาง น. ผเู้ สยี หาย
ซ่ึงเป็นนายจ้าง แต่การท่ีผู้ต้องหาเข้าไปทำ�ความสะอาดในบริษัท ท. จำ�กัด ของผู้เสียหาย
รว่ มกบั นาง ด. คนงานในตำ�แหนง่ แมบ่ า้ นของผเู้ สยี หายในชว่ งเวลาทบ่ี รษิ ทั ท. จำ�กดั ปดิ ท�ำ การ
แล้ว หลงั จากนน้ั ผู้ตอ้ งหาเพียงลำ�พังไดเ้ ข้าไปท�ำ ความสะอาดในหอ้ งนอนของผู้เสยี หาย ต่อมา
วนั รงุ่ ขน้ึ ผตู้ อ้ งหาไดห้ ลบหนไี ป เมอื่ ผเู้ สยี หายส�ำ รวจทรพั ยส์ นิ แลว้ พบวา่ โทรศพั ทม์ อื ถอื ๑ เครอ่ื ง
ทเ่ี กบ็ รกั ษาไวใ้ นบรษิ ทั ท. จำ�กดั และโทรศพั ทม์ อื ถอื ๑ เคร่ือง กระเป๋าใส่เงนิ ๑ ใบ พรอ้ มเงนิ ใน
กระเปา๋ จ�ำ นวน ๑,๕๐๐ บาท ทเ่ี กบ็ รกั ษาไวใ้ นหอ้ งนอนของตนหายไป ดงั น้ี พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดแี ละ
พยานแวดล้อมกรณมี นี า้ํ หนกั และเหตุผลฟังไดว้ ่า ผตู้ ้องหาเป็นคนร้ายลกั ทรัพยข์ องผู้เสียหายไป

________________________________________
ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามวา่ เมอื่ วนั ที่ ๑๘ สงิ หาคม ๒๕๕๑ นาง น. ผกู้ ลา่ วหา รบั คนงานในต�ำ แหนง่
แมบ่ า้ นจากหา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำ กดั อ. ซง่ึ จดั สง่ มาใหร้ ะบวุ า่ ชอ่ื นางสาว ล. ตอ่ มาวนั ที่ ๒๓ สงิ หาคม ๒๕๕๑
เวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น. ผกู้ ลา่ วหาสง่ั ใหน้ าง ด. คนงานต�ำ แหนง่ แมบ่ า้ นซงึ่ อยกู่ บั ผกู้ ลา่ วหามากอ่ นแลว้
กบั ใหน้ างสาว ล. คนงานต�ำ แหนง่ แมบ่ า้ นซง่ึ รบั เขา้ มาใหมข่ า้ งตน้ ไปท�ำ ความสะอาดในบรษิ ทั ท. จ�ำ กดั
ของผู้กล่าวหาซ่ึงเปน็ ชว่ งเวลาทบ่ี รษิ ทั ท. จำ�กัด ปดิ ท�ำ การแล้ว ต่อมาเมือ่ บุคคลท้ังสองทำ�งานเสรจ็
แลว้ ไดก้ ลบั มายงั บา้ นพกั ของผกู้ ลา่ วหา จนกระทง่ั เวลา ๑๙.๐๐ น. นางสาว ล. เพยี งคนเดยี วไดเ้ ขา้ ไป
ท�ำ ความสะอาดในหอ้ งนอนของผู้กลา่ วหา วันรุง่ ขึ้นเวลา ๐๖.๐๐ น. นางสาว ล. ได้ออกจากบ้าน
พกั ของผกู้ ล่าวหาโดยบอกวา่ จะไปใส่บาตรพระท่ตี ลาด แต่ปรากฏวา่ นางสาว ล. ไม่กลบั มาท�ำ งาน
อกี เลย ครน้ั วันรงุ่ ขึ้นผกู้ ลา่ วหาพบวา่ โทรศัพทม์ อื ถอื ๑ เครอ่ื ง ราคา ๔,๐๐๐ บาท กระเป๋าสตางค์
๑ ใบ ราคา ๑,๐๐๐ บาท พรอ้ มเงนิ ในกระเป๋าอกี ๑,๕๐๐ บาท ซึ่งเก็บรักษาไวใ้ นหอ้ งนอนของตน
หายไป และตรวจพบอีกวา่ โทรศพั ทม์ อื ถอื ๑ เครอ่ื ง ราคา ๔,๐๐๐ บาท ท่ีวางไว้ในบรษิ ทั ท. จำ�กัด
ได้หายไปเช่นกัน ดังนั้น ผู้กล่าวหาจึงร้องทุกข์ให้ด�ำ เนินคดีกับนางสาว ล. ลูกจ้างของตนดังกล่าว
ฐานลกั ทรพั ย์ของนายจา้ งในเวลากลางคืน
คดีได้ความตามทางการสอบสวนว่า ผู้ต้องหาที่แท้จริงชื่อ นาง ร. แต่ได้สวมรอยเป็น
นาง ล. แลว้ ท�ำ บตั รประจ�ำ ตวั ประชาชนในนามของนาง ล. ซงึ่ ตอ่ มาทางราชการไดย้ กเลกิ บตั รประจ�ำ
ตัวประชาชนทนี่ าง ร. สวมรอยดังกล่าวแล้ว กับได้ความอีกว่ากอ่ นเกดิ เหตุคดนี ้ี ผูต้ ้องหาไดก้ ระท�ำ
ความผดิ ในลกั ษณะเดยี วกนั นอ้ี กี หลายครง้ั ท�ำ ใหน้ าง ล. ตวั จรงิ ตอ้ งไปแสดงตวั ตอ่ พนกั งานสอบสวน
สถานีตำ�รวจนครบาลลุมพินแี ละสถานีต�ำ รวจภูธรอ�ำ เภอพระประแดง ตามหมายเรียก

อัยการนเิ ทศ 191

ชั้นสอบสวน ผตู้ ้องหาหลบหนี
พนักงานสอบสวนเหน็ ควรสง่ั ฟ้องผู้ต้องหา
พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานลักทรัพย์ท่ีเป็นของนายจ้างในเวลากลางคืน โดยให้
เหตผุ ลว่าไมม่ ปี ระจกั ษ์พยานยนื ยันการกระทำ�ความผิดของผตู้ อ้ งหา และการหลบหนีของผ้ตู อ้ งหา
เป็นเหตุอันควรสงสยั เท่านนั้
ผบู้ ัญชาการตำ�รวจแหง่ ชาตมิ คี วามเหน็ แย้งค�ำ ส่งั ไม่ฟอ้ งผตู้ ้องหา
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นาง ล. ผู้ต้องหาในคดีนี้เดิมมีช่ือ
จริงวา่ นาง ร. ไดส้ วมรอยเปน็ นาง ล. แล้วท�ำ บัตรประจำ�ตวั ประชาชนในนามของนาง ล. ซ่ึงตอ่ มา
ทางราชการได้ตรวจสอบพบว่าเป็นการจัดทำ�บัตรประจำ�ตัวประชาชนให้ผิดตัวบุคคล จึงยกเลิก
บัตรประจำ�ตัวประชาชนที่ออกผิดพลาดดังกล่าว ก่อนเกิดเหตุคดีน้ีผู้ต้องหาถูกพนักงานสอบสวน
สถานีตำ�รวจภูธรพระประแดงและสถานีตำ�รวจนครบาลลุมพินีดำ�เนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ โดย
ผู้ต้องหามีพฤติการณ์ในการกระทำ�ความผิดทำ�นองเดียวกัน กล่าวคือ ผู้ต้องหาจะไปสมัครรับจ้าง
ท�ำ งานตามบ้านหรอื สำ�นกั งานโดยใชบ้ ัตรประจ�ำ ตัวประชาชนทท่ี างราชการออกให้ผิดพลาดในนาม
ของนาง ล. เป็นหลกั ฐานในการสมัครงาน หลงั จากนน้ั ผูต้ อ้ งหาจะถือโอกาสลกั ทรัพย์ของนายจา้ ง
แลว้ หลบหนไี ป ส�ำ หรบั คดนี ้ี แม้จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นยนื ยนั ว่าผู้ตอ้ งหาเปน็ คนร้ายลักทรพั ย์
ของนาง น. ผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้าง แต่การที่ผู้ต้องหาเข้าไปทำ�ความสะอาดในบริษัท ท. จำ�กัด
ของผู้เสยี หายร่วมกบั นาง ด. คนงานในต�ำ แหน่งแมบ่ า้ นของผเู้ สยี หายในชว่ งเวลาทบี่ ริษทั ท. จำ�กัด
ปิดทำ�การแล้ว หลังจากน้ันผู้ต้องหาเพียงลำ�พังได้เข้าไปทำ�ความสะอาดในห้องนอนของผู้เสียหาย
ตอ่ มาวนั รงุ่ ขนึ้ ผตู้ อ้ งหาไดห้ ลบหนไี ป เมอื่ ผเู้ สยี หายส�ำ รวจทรพั ยส์ นิ แลว้ พบวา่ โทรศพั ทม์ อื ถอื ๑ เครอื่ ง
ราคา ๔,๐๐๐ บาท ท่เี กบ็ รกั ษาไวใ้ นบรษิ ทั ท. จ�ำ กดั และโทรศพั ทม์ อื ถอื ๑ เคร่อื ง ราคา ๔,๐๐๐
บาท กระเปา๋ ใส่เงนิ ๑ ใบ ราคา ๑,๐๐๐ บาท พรอ้ มเงนิ ในกระเป๋าจำ�นวน ๑,๕๐๐ บาท ทีเ่ กบ็ รักษา
ไว้ในหอ้ งนอนของตนหายไป ดังน้ี พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดแี ละพยานแวดล้อมกรณีมีนา้ํ หนักและเหตผุ ล
ฟังได้ว่าผ้ตู อ้ งหาเปน็ คนร้ายลกั ทรัพย์ของผเู้ สียหายไป
จึงชี้ขาดให้ฟ้อง นางหรือนางสาว ร. ผู้ต้องหา ฐานลักทรัพย์ท่ีเป็นของนายจ้างในเวลา
กลางคืน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑), (๑๑) พระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติม
ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบบั ท่ี ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๑๑ และขอให้ศาลสั่งให้ศาลสัง่ ใหผ้ ู้ตอ้ งหา
คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำ�นวน ๑๐,๕๐๐ บาท แก่ผู้เสียหาย และเนื่องจากยังไม่ได้ตัว
ผตู้ อ้ งหา จงึ ใหแ้ จง้ ผบู้ ญั ชาการต�ำ รวจแหง่ ชาตจิ ดั การใหไ้ ดต้ วั ผตู้ อ้ งหามาด�ำ เนนิ คดภี ายในอายคุ วาม
๑๐ ปี นับแต่วันกระท�ำ ความผดิ


192 อยั การนเิ ทศ

ตอบข้อหารอื

อัยการนเิ ทศ 193


Click to View FlipBook Version