ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
5. ปัญหาการน�ำ ทางเลือกการลงโทษและการลงโทษระดับกลางมาใช้
พจิ ารณาสาเหตกุ ารกระท�ำ ความผิดและบคุ คลผกู้ ระท�ำ ความผิด
การประกอบอาชญากรรมมีท่ีมาจากปัญหาสังคม บุคคล และส่ิงแวดล้อม
เครอ่ื งชว้ี ดั ปจั จยั ความเสย่ี งแสดงใหเ้ หน็ วา่ การประกอบอาชญากรรมเพมิ่ ขนึ้ แตไ่ มอ่ าจกลา่ วถงึ
สาเหตุของอาชญากรรมได้อย่างแน่ชัด ปัจจัยความเสี่ยงแสดงให้เห็นความเป็นไปได้ในการ
กระทำ�ความผิดที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมของบุคคล ปัจจัยความเสี่ยงจะมีปฏิสัมพันธ์กับ
การใช้ชีวิตของบุคคลท่ีมีความสลับซับซ้อน แบ่งได้เป็นสองประเภทกล่าวคือปัจจัยความเส่ียง
ในระดบั ประชากรทวั่ ไป และปจั จัยความเสย่ี งในระดบั บุคคล
สว่ นปจั จยั ปอ้ งกนั การกระท�ำ ผดิ มคี วามสมั พนั ธส์ องประการระหวา่ ง บรบิ ททางสงั คม
และการพัฒนาการของบุคคล งานวิจัยติดตามผลในระยะยาวแสดงให้เห็นปัจจัยป้องกัน
ความเสย่ี งในการกระทำ�ความผิดหลายประการได้แกร่ ะดับบคุ คล ระดบั ครอบครัวและสงั คม5
ปัจจัยทางสังคม ได้แก่สิ่งแวดล้อมของครอบครัวและความประพฤติของผู้ปกครอง
เปน็ ปจั จยั ปอ้ งกนั ความเสย่ี งในการกระท�ำ ความผดิ ทมี่ คี วามส�ำ คญั ในการท�ำ ใหเ้ ดก็ และเยาวชน
ไม่ไปเก่ยี วขอ้ งกับอาชญากรรม ครอบครัวเปน็ ตัวอยา่ งที่ดใี นการพฒั นาการของเด็ก
ปัญหาการศึกษา ความสำ�เร็จทางด้านการศึกษาจะลดความเส่ียงในการแสวงหา
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากการประกอบอาชญากรรรมและการกระทำ�ความผิด การศึกษามี
บทบาทส�ำ คญั ในการสรา้ งรายได้ โอกาสทางสงั คม เศรษฐกจิ และอน่ื ๆ พอ่ แมท่ ม่ี กี ารศกึ ษานอ้ ย
จะมคี วามเส่ยี งทบี่ ุตรอายตุ ่าํ กว่า 13 ปี จะกระทำ�ความผิดมากกวา่
ปัญหาเศรษฐกิจ ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีอิทธิพลต่อการกระทำ�ความผิด โดยเฉพาะ
ความยากจน การไมม่ รี ายไดเ้ พยี งพอในการดำ�รงชวี ติ และการวา่ งงาน ปจั จยั ทางเศรษฐกจิ ทำ�ให้
มคี วามเส่ียงในการประกอบอาชญากรรม
ปัญหาชุมชนและเพ่ือน การอาศัยในชุมชนและกลุ่มเพ่ือน เป็นปัจจัยเส่ียงเบ้ืองต้น
ทมี่ ผี ลตอ่ พฤตกิ รรมตอ่ ตา้ นสงั คม การวดั ปจั จยั เสย่ี งของชมุ ชนท�ำ ไดย้ าก แตช่ มุ ชนมผี ลตอ่ ความ
ประพฤตติ อ่ ต้านสงั คมและอาชญากรรม สิง่ แวดลอ้ มของเพื่อนบา้ นและชมุ ชนจะมีอิทธิพลมาก
5 Strategic Policy Brief, Social Risk Factors for Involvement in Crime. Strategy Policy Brief,
March, 2009.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 250 |
ทางเลือกการลงโทษ การลงโทษระดับกลางและการแก้ไขผู้กระทำ�ผิดในชุมชน
ยงิ่ ขน้ึ เมอื่ เดก็ เตบิ โตมากขนึ้ การวจิ ยั แสดงใหเ้ หน็ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง พฤตกิ รรมตอ่ ตา้ นสงั คม
ระหว่างกลมุ่ เพอื่ นทน่ี ำ�ไปสู่การประพฤติเบีย่ งเบนและการใชค้ วามรุนแรง
สุราและยาเสพติด ปัญหาการด่ืมสุราและยาเสพติดเป็นปัจจัยเส่ียงสำ�หรับบุคคล
บางคนโดยเฉพาะผ้ทู ี่มีสว่ นเก่ยี วข้องกับอาชญากรรม6
ปัจจัยเส่ียงทางชีววิทยาในการประกอบอาชญากรรม การศึกษาในเร่ืองปัจจัย
ความเสี่ยงทางชีววิทยาสามประการได้แก่ พันธุกรรม การส่ือสารของระบบประสาท และ
ชีววิทยาประสาท ปัจจัยเหล่าน้ี มีที่มาจากการวิจัยทางด้านชีวิทยาที่เป็นสาเหตุอาชญากรรม
ปัจจัยต่าง ๆ เหล่าน้มี คี วามซับซ้อนมากและบางครัง้ ไม่มีความชดั เจนมากนกั
ปญั หาพนั ธุกรรม การอภปิ รายบทบาททางพันธุกรรมเก่ยี วกับพฤตกิ รรมของมนษุ ย์
ชี้ให้เห็นว่าลักษณะบางประการทางพันธุกรรมเป็นที่มาของพฤติกรรมต่อต้านสังคมหรือ
การ กระทำ�ผดิ มีพยานหลกั ฐานแสดงวา่ ลกั ษณะทางพันธุกรรมเป็นท่ีมาของการกระทำ�ผิดซํ้า
ในความผิดเก่ียวกับทรัพย์ ในทางตรงกันข้ามมีพยานหลักฐานน้อยมากที่แสดงว่าพันธุกรรม
เป็นท่ีมาของการกระทำ�ความผิดใช้ความรุนแรง อย่างไรตามมีผลการศึกษาที่แสดงให้เห็น
ความเส่ียงในการกระทำ�ความผิดและปัจจัยป้องกันการกระทำ�ความผิดมากขึ้น โดยเฉพาะ
ลักษณะจนี (gene) บางประเภททส่ี ร้างเอนไซม์ น้อยอาจเป็นต้นเหตทุ ่ที �ำ ให้บคุ คลมพี ฤตกิ รรม
ใช้ความรุนแรงและความประพฤติต่อต้านสังคม (ผลการศึกษาในเรื่องน้ีปรากฏให้เห็นมากใน
การศึกษาทางด้านทฤษฎีชีวะ-สังคม (Biosocial Criminology) สหสัมพันธ์ของการศึกษา
เกี่ยวกบั จนี เกดิ ขึน้ จากบคุ คลทถ่ี ูกกระทำ�ดว้ ยความรนุ แรงในวัยเด็ก
การสอ่ื สารของระบบประสาท ความบกพรอ่ งของการสอื่ สารในระบบประสาทภายใน
สมองมีความสัมพันธ์กับการกระทำ�ความผิด ฮอร์โมนเป็นสารเคมีที่มีอยู่ในร่างกายสำ�หรับ
การส่ือสารระว่างเซลล์ (cell) สาร Serotonin, Norepinephrine และ Dopamine
เป็นฮอร์โมนสามประเภทท่ีนักวิจัยได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความผิดปกติของฮอร์โมน
กับการกระท�ำ ความผิด กล่าวคือมีความสัมพนั ธ์ทแ่ี สดงวา่ เซโรโทนินระดบั ตาํ่ ท�ำ ใหม้ ีพฤตกิ รรม
ตอ่ ต้านสงั คม ส่วนสารอน่ื มคี วามสมั พันธ์นอ้ ย
6 Strategic Policy Brief, Biological Risk Factors for Involvement in Crime, Strategy Policy
Brief, March 2009.
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 251 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
ชีววิทยาประสาท การศึกษาในเรื่องน้ีเน้นโครงสร้างของการทำ�งานของสมอง เช่น
การตรวจดว้ ยเครอื่ งมือ MRI (Magnetic Resonance Imaging) ท�ำ ใหม้ ขี ้อมลู การทำ�งานของ
สมองมากข้ึน มีพยานหลักฐานแสดงว่าความเสียหายของประสาทส่วนหน้าของสมองนำ�ไปสู่
การกระท�ำ ความผดิ เชน่ การบาดเจ็บท่ีศีรษะ การคลอดทผ่ี ดิ ปกติ การเป็นโรคหรอื ไดร้ ับมลพิษ
จากส่ิงแวดลอ้ ม เชน่ การด่ืมสุรา ใชย้ าตา่ ง ๆ เปน็ ต้น มคี วามสมั พันธก์ ับพฤติกรรมตอ่ ตา้ นสงั คม
การบาดเจ็บของสมองส่วนหน้าทำ�ให้การควบคุมตนเองได้น้อยหรือสูญเสียการควบคุมตนเอง
แรงกระตุ้นภายในร่างกาย ปัญหาด้านอารมณ์และความก้าวร้าว รวมท้ังการท่ีบุคคลน้ัน
ไม่มเี หตุผล การสญู เสยี ทางด้านสติปัญญา การแก้ปญั หาและผลการเรยี นตกตา่ํ เปน็ ตน้
ความเส่ียงของอาการทางสมองอาจเกิดจากการตั้งครรภ์ อันเป็นผลมาจากบุหร่ี
สุราหรือการใช้ยาของแม่ นอกจากน้ีการพัฒนาในวัยเยาว์ มีผลต่อการพัฒนาของสมองมนุษย์
อย่างมาก เช่นการได้รับการปฏิบัติโดยมิชอบบ่อยคร้ัง การถูกทำ�ร้ายทางร่างกาย ถูกทอดท้ิง
จะท�ำ ใหม้ อี าการผดิ ปกตขิ องระบบรา่ งกาย ท�ำ ใหร้ ะบบประสาทบกพรอ่ ง ท�ำ ใหบ้ คุ คลมแี นวโนม้
กระทำ�ความผดิ
สุขภาพจิต มีพยานหลักฐานแสดงว่าปัจจัยเสี่ยงทางชีววิทยามีความสัมพันธ์กับการ
กระท�ำ ความผดิ คันพบว่ามแี นวโน้มเพ่ิมขึน้ โดยเฉพาะสุขภาพจติ เป็นศูนยก์ ลางของปัจจัยทาง
ดา้ นชีววิทยา ไดแ้ ก่พนั ธุกรรมและประสาทวิทยา ความผิดปกตทิ างจิต การซึมเศรา้ ที่มผี ลลัพธ์
มาจากอาการการบาดเจ็บทางร่างกายและจิตใจ ดังน้ันปัญหาสุขภาพจิตจึงมีความสัมพันธ์
โดยตรงหรอื โดยอ้อมกบั การประกอบอาชญากรรม
ปจั จัยทางชวี วทิ ยาและสงั คมอนื่ ๆ ปจั จัยที่เก่ียวข้องอ่นื ๆ ยังมีอกี มากทม่ี ีอทิ ธพิ ล
ตอ่ ความเสย่ี งท�ำ ใหบ้ คุ คลกระท�ำ ความผดิ แตพ่ ยานหลกั ฐานจากการศกึ ษาทางดา้ นชวี วทิ ยาและ
สังคมยังมีไม่มากพอที่จะสรุปได้อย่างชัดเจน ปัจจัยทางด้านความพิการทางสติปัญญา การ
รับประทานอาหารไม่มคี ุณภาพ แรงกระตนุ้ และอารมณร์ ุนแรง ฮอร์โมนชนิดต่าง ๆ มลพิษจาก
สิ่งแวดล้อม อาจมีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจของบุคคลทำ�ให้มีพฤติกรรมต่อต้านสังคมหรือ
ประกอบอาชญากรรม7
7 Strategic Policy Brief, Biological Risk Factors for Involvement in Crime, Strategy Policy
Brief, March 2009
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 252 |
ทางเลือกการลงโทษ การลงโทษระดับกลางและการแก้ไขผู้กระทำ�ผิดในชุมชน
การเลือกหน่วยงานรับผิดชอบ หนว่ ยงานทีป่ ฏบิ ตั ิหนา้ ท่ีเดิม ไดแ้ ก่กรมคมุ ประพฤติ
กรมราชทัณฑ์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรทำ�หน้าท่ีบริหารจัดการ การลงโทษระดับกลาง
หรือการนำ�มาตรการท่ีเกี่ยวข้องมาเป็นผู้ดำ�เนินงาน หรือควรให้หน่วยงานของรัฐอ่ืนหรือ
ให้เอกชนเปน็ ผู้บรหิ ารจดั การเป็นประเด็นที่ผูม้ อี �ำ นาจก�ำ หนดนโยบายเป็นผู้ตัดสิน
ปญั หาการคดั เลือกผกู้ ระท�ำ ความผิด ผ้กู ระทำ�ความผดิ ประเภทใด กระท�ำ ความผดิ
ใดหรือมีบุคลกิ ลักษณะอยา่ งไรควรไดร้ ับการลงโทษระดบั กลาง เช่น การพิจารณาความร้ายแรง
ของความผิด การพิจารณาจากปัญหาพฤติกรรมของผู้กระทำ�ความผิดหรือการพิจารณา
ท้ังสองประการข้างตน้
ในการพจิ ารณาพิพากษาคดีของศาล โครงการตา่ ง ๆ ทมี่ ีอยตู่ อบสนองตอ่ การแก้ไข
ผู้กระทำ�ความผิดได้หรือไม่ เป็นไปตามความจำ�เป็นในการคุ้มครองสังคม และเหมาะสมกับ
ผู้กระทำ�ความผิดหรือไม่ มาตรการลงโทษระดับกลางที่เป็นทางเลือกสำ�หรับศาลสามารถใช้ได้
ดังนี้
การใช้เป็นทางเลือกการลงโทษในคดียาเสพติด หรือใช้ร่วมกับกฎหมายฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพตดิ
การลงโทษปรับขั้นสูงสำ�หรับผู้กระทำ�ความผิดตามฐานะทางเศรษฐกิจหรือ
การปรับเพิ่มข้ึนในกรณีความรบั ผดิ ทางอาญาของนิติบุคคล
การริบทรัพย์สนิ ท้ังทางแพ่งและอาญา
การท�ำ งานบรกิ ารสงั คมและการชดใชค้ า่ เสยี หาย เพอื่ เปน็ การส�ำ นกึ ในการกระท�ำ
ความผดิ แทนการลงโทษจ�ำ คกุ ฯลฯ
6. การลงโทษและการแกไ้ ขผูก้ ระท�ำ ผดิ ในชมุ ชน
การควบคมุ ตวั ในเคหะสถานทกี่ �ำ หนดใหห้ รอื ในทอ่ี ยอู่ าศยั ของผกู้ ระท�ำ ความผดิ มขี อ้ ดี
หลายประการ เชน่ เสยี คา่ ใช้จา่ ยน้อย สะดวก มคี วามยดื หยุ่น ไมก่ ระทบการด�ำ รงชวี ิตมากนัก
และการกลบั คนื สสู่ ังคมท�ำ ไดง้ ่าย
การควบคุมตวั ในศูนย์ควบคุมทบ่ี ริหารงานโดยรฐั หรอื เอกชน
การรายงานตวั ในศนู ยร์ ายงานตวั ในชมุ ชน ในกรณกี ารสอดสอ่ งตามเงอ่ื นไขทศ่ี าล
ก�ำ หนดไว้
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 253 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
การใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตัว ใช้ได้ง่ายมีค่าใช้จ่ายไม่สูงมากนักสามารถใช้
ร่วมกับมาตรการอย่างอ่ืนได้ เช่น การปล่อยชั่วคราว การคุมความประพฤติ
การลดวันต้องโทษ และการพกั การลงโทษ วิธกี ารเพ่ือความปลอดภยั ฯลฯ
7. การทำ�ให้ทางเลือกการลงโทษระดับกลางประสบความสำ�เร็จ
มีองคป์ ระกอบดงั นี้
การกำ�หนดโทษตามคำ�พิพากษาของศาล ประเด็นที่สำ�คัญที่สุดเก่ียวกับทางเลือก
ในการก�ำ หนดโทษระดบั กลาง ขน้ึ อยกู่ บั ปรชั ญาการลงโทษและการปฏบิ ตั ซิ ง่ึ อาจมคี วามขดั แยง้
หรอื ท�ำ ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั มิ คี วามลงั เลใจในการปฏบิ ตั ิ ในกรณขี องศาลการใชห้ ลกั เกณฑต์ ามค�ำ แนะน�ำ
ของประธานศาลฎกี านา่ จะเปน็ ทางเลอื กการปฏบิ ตั ทิ น่ี �ำ ไปสกู่ ารสรา้ งองคค์ วามรใู้ นการพจิ ารณา
และพพิ ากษาคดีในอนาคต
การลงโทษโดยเน้นหลักการทดแทนความผิดหรือให้เหมาะสมกับความผิด (just
deserts) ความผดิ อยา่ งเดียวกนั ตอ้ งไดร้ บั โทษเทา่ กนั เปน็ ประเดน็ ทางด้านความยตุ ธิ รรมและ
ความเสมอภาค เช่นการควบคุมความประพฤติอย่างเข้มงวด (intensive supervision
probation) สำ�หรับผกู้ ระทำ�ผิดบางคน และการลงโทษปรับอย่างสูงส�ำ หรับบางคนอาจขัดกบั
หลกั การลงโทษอย่างเทา่ เทยี มกัน
1. การท�ำ ใหท้ างเลอื กการลงโทษไดผ้ ลดี จะตอ้ งสรา้ งหลกั การทเี่ ปลย่ี นการใชว้ ธิ กี าร
ลงโทษอย่างหน่ึงแทนที่กับอีกวิธีการอย่างอ่ืน หรือใช้ทดแทนกันได้อย่าง
มปี ระสิทธิภาพ
2. รปู แบบการลงโทษระดบั กลางทแี่ ตกตา่ งกนั ในแตล่ ะแบบ ตอ้ งปรบั ระดบั ใหเ้ ทยี บ
เคยี งกันหรือเทา่ เทยี มกบั แบบทีใ่ ช้ทดแทนกนั ได้ แมจ้ ะใช้วธิ กี ารท่แี ตกต่างกนั
3. ขอบเขตการลงทาระดับกลางอยู่ระหว่างการรอการลงโทษ กับการใช้โทษจำ�คุก
ในเรือนจำ� ดังน้ันจึงสามารถปรับระดับความหนักเบาให้เกิดความยุติธรรม
ไดเ้ ช่นเดียวกบั การใช้โทษจ�ำ คุก
4. ผไู้ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั การลงโทษระดบั กลางมคี วามเหน็ วา่ โทษระดบั กลางไมอ่ าจเปรยี บ
เทียบไดก้ บั การรอการลงโทษหรอื โทษจ�ำ คกุ
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 254 |
ทางเลือกการลงโทษ การลงโทษระดับกลางและการแก้ไขผู้กระทำ�ผิดในชุมชน
5. ผู้กระทำ�ผิดบางคนต้องการให้ศาลลงโทษจำ�คุกมากกว่าการลงโทษระดับกลาง
ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับสถานะของบุคคลแต่ละคนที่มีความแตกต่างกันทางด้านเศรษฐกิจ
และสงั คม เช่นคนรวยกบั คนยากจน
การใช้หลักเกณฑ์เลือกผู้กระทำ�ความผิดโดยใช้การลงโทษระดับกลางควรใช้สำ�หรับ
ผู้กระทำ�ความผิดท่ีเหมาะสมหรือได้รับการกลั่นกรอง แต่ไม่ควรเลือกปฏิบัติตามเพศ เชื้อชาติ
ศาสนา หรอื อายุ
8. การลงโทษระดบั กลางมเี ปา้ หมายทัว่ ไปสองประการ
1. เป็นทางเลือกในการลงโทษท่ปี ระหยดั คา่ ใช้จ่ายมากกวา่ เรือนจำ�
2. เปน็ ทางเลือกทมี่ ปี ระสิทธิภาพมากกวา่ การรอการลงโทษ
3. การใช้ดุลพินิจเลือกการลงโทษระดับกลางแทนการรอการลงโทษหรือแทน
การลงโทษจำ�คุกทำ�ให้ศาลเกิดความลังเล เพราะโทษระดับกลางมีหลากหลายดังน้ันจึงต้องมี
การจำ�แนกโทษระดับกลางและวัตถุประสงค์การใช้ให้ชัดเจน เช่นการคุมขังในบ้าน ในชุมชน
ในคา่ ยบ�ำ บดั ผตู้ ดิ ยาเสพตดิ หรอื การควบคมุ ในโรงพยาบาล จะตอ้ งมหี นว่ ยงานรบั ผดิ ชอบบรหิ าร
จดั การในเร่อื งดงั กล่าวอยา่ งชดั เจน
4. การใชท้ างเลอื กแทนวธิ กี ารรอการลงโทษกม็ ปี ญั หาเชน่ เดยี วกนั ในกรณที ผี่ กู้ ระท�ำ
ความผิดมีความเส่ียงสูงท่ีจะฝ่าฝืนเง่ือนไขการคุมความประพฤติ แม้ว่าจะใช้วิธีการสอดส่อง
ควบคุมของพนกั งานคุมประพฤติ ดังนนั้ อาจจำ�เปน็ ต้องใชเ้ คร่ืองมืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เพ่มิ เตมิ หรอื
ใช้ในระยะเวลาหน่ึงจนท�ำ ใหม้ ีความม่นั ใจในการควบคุมสอดส่อง
5. ความลังเลใจของศาลในการใช้ทางเลือกอื่นแทนการลงโทษจำ�คุก โดยการใช้
การลงโทษระดบั กลางทำ�ใหก้ ารหลีกเลยี่ งการลงโทษจำ�คกุ ไม่บรรลุเป้าหมาย
9. การไมบ่ รรลุเปา้ หมายมีสองประการ
(1) ทางเลือกการใช้โทษอย่างอื่นแทนโทษจำ�คุกสำ�หรับคดีที่ผู้กระทำ�ผิดไม่สมควร
ได้รบั โทษจำ�คุก ไมป่ ระหยัดเงนิ งบประมาณ
(2) การใชว้ ธิ กี ารคมุ ประพฤตแิ บบเขม้ ขน้ หรอื เครอื่ งมอื อเิ ลก็ ทรอนกิ สร์ ว่ มดว้ ยส�ำ หรบั
ผกู้ ระทำ�ผิดทีม่ ีความเสี่ยงตาํ่ ไม่เป็นประหยดั เงนิ งบประมาณเช่นเดียวกนั
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 255 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
10. ทางเลอื กการลงโทษระดับกลางและวชิ าชพี ใหม่
การรเิ รม่ิ การลงโทษระดบั กลางไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงการทำ�งานของผปู้ ระกอบ
วิชาชีพในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำ�ความผิดแนวใหม่ การเปล่ียนแปลงทางด้านผู้ปฏิบัติงาน
ภายใต้ส่ิงแวดล้อมใหม่ หน่วยงานบังคับโทษจำ�เป็นจะต้องมีการพัฒนาบุคลากรควบคู่กับ
การน�ำ มาตรการลงโทษแบบใหม่มาใช้ นอกจากนั้นอาจมกี ารพฒั นานวตั กรรมอย่างอื่นได้แก่
1. บทบาทขององค์กรเอกชนที่เข้ามาทำ�หน้าท่ีการบริหารจัดการโครงการแก้ไข
ผู้กระท�ำ ความผดิ ในชมุ ชน
2. การเน้นความรับผิดชอบเพ่ิมขึ้นและการลดการใช้ดุลพินิจในการปฏิบัติงานของ
บคุ คลใหน้ ้อยลง โดยมีหลกั เกณฑ์การตัดสนิ ใจเชงิ ภาววสิ ัยมากย่ิงขึ้น
(1) การทำ�งานในปัจจุบันใช้แนวทางปฏิบัติงาน (guidelines) ภายในขอบเขต
ความรับผดิ ชอบในการปฏิบตั งิ านเพ่ือความแน่นอน
(2) ทางเลือกการใช้นโยบายที่กำ�หนดไว้สำ�หรับการปฏิบัติในคดีต่าง ๆ เพ่ือให้
บรรลุเปา้ หมาย
3. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ประกอบวิชาชีพและผู้รับบริการ มีความสำ�คัญน้อยกว่า
หลักปฏิบตั ใิ นกระบวนการยุติธรรมทก่ี ำ�หนดความสัมพนั ธ์ระหวา่ งผูใ้ หบ้ รกิ ารกบั ผู้รบั บริการ
แนวทางสามประการที่กล่าวมาแล้วทำ�ให้มีผลกระทบต่อการปฏิบัติงานของ
ผปู้ ระกอบวชิ าชพี ในกระบวนการยตุ ธิ รรมทไ่ี ดป้ ฏบิ ตั มิ าเปน็ เวลานานหรอื ปฏบิ ตั จิ นเปน็ ประเพณี
ผูป้ ระกอบวิชาชีพมีความรบั ผิดชอบมากขน้ึ
ผปู้ ระกอบวชิ าชพี มแี นวโนม้ ปฏบิ ตั งิ านตามนโยบายของหนว่ ยงานมากกวา่ แตก่ อ่ น
สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงแรงจูงใจในการทำ�งานและการฝึกอบรมของเจ้าหน้าท่ี
ผู้ปฏิบัติงานเป็นการแสดงให้เห็นว่าการปฏิบัติงานตามประเพณีมีความสมดุลระหว่างผู้กระทำ�
ความผดิ เจ้าหน้าท่แี ละระบบราชการไดเ้ ปล่ียนไป
11. การบัญญตั กิ ฎหมายวา่ ดว้ ยการแกไ้ ขผู้กระท�ำ ผิดในชุมชน
แนวทางการปฏบิ ตั เิ ปน็ ไปตามกฎหมายและระบบงาน มขี อ้ นา่ สงั เกตวา่ เมอื่ กฎหมาย
เปลีย่ นแปลง ระบบงานจะเปลยี่ นหรือไม่ การรองรับงานอันเกดิ จากกฎหมายท่เี ปลย่ี นแปลงไป
ควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง ระบบการลงโทษแนวทางใหม่ท่ีกฎหมายเปลี่ยนแปลงไป
ไมอ่ าจเกิดผลได้ถ้าระบบงานและบุคลากรไมม่ ีความรคู้ วามเขา้ ใจ ไมม่ ีเปา้ หมายการปฏบิ ัติงาน
ฯลฯ
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 256 |
ทางเลือกการลงโทษ การลงโทษระดับกลางและการแก้ไขผู้กระทำ�ผิดในชุมชน
แนวความคิดและวิธีปฏิบัติงานตามนวัตกรรมที่เกิดขึ้น บางคร้ังเห็นได้ชัดเจนจาก
วธิ ปี ฏิบตั ิท่ยี งั ไมม่ ีการเปล่ยี นแปลง การบงั คับใช้กฎหมายเปน็ ตวั อย่างท่ดี ที ที่ ำ�ใหเ้ ราเหน็ ไดจ้ าก
ความแตกต่างทางด้านการปฏิบัติและปรัชญาการทำ�งานในท่ีต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน สะท้อนให้
เห็นความจริงของการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคมที่เก่ียวกับความเชื่อค่านิยมในสิ่งท่ีถูก
หรอื ผดิ ในการจดั การปัญหาผูก้ ระทำ�ความผดิ ในสถานทห่ี นึ่งกบั อีกท่หี นงึ่ มีความแตกตา่ งกัน
กฎหมายทใี่ ชม้ าตรการแกไ้ ขผกู้ ระท�ำ ความผดิ ในชมุ ชนจะตอ้ งท�ำ ความเขา้ ใจเปา้ หมาย
ของนโยบายและการนำ�วิธีการนี้มาใช้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการพ่ึงพาเรือนจำ� การมุ่งสู่
เป้าหมายนี้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมจะต้อทำ�ความเข้าใจถึงขอบเขตการใช้ทางเลือก
ทม่ี มี ากขน้ึ กวา่ แตก่ อ่ น การปฏบิ ตั ติ อ่ ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ตง้ั แตช่ น้ั เจา้ หนา้ ทตี่ �ำ รวจ พนกั งานอยั การ
ศาลยตุ ธิ รรม งานคุมประพฤติและงานราชทณั ฑ์ ฯลฯ
กฎหมายเกี่ยวกับการแก้ไขผู้กระทำ�ความผิดในชุมชนมีพื้นฐานจากแนวคิดการ
หลีกเล่ียงการจำ�คุก และต้องการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแก้ไขผู้กระทำ�ความผิด ในขณะ
เดียวกันก็พบว่าชุมชนมีแรงจูงใจน้อยในการดูแลผู้กระทำ�ความผิดไว้ในชุมชนของตนเอง
เรือนจำ�จึงเป็นทางเลือกท่ีง่ายที่สุดเพราะเป็นเร่ืองของรัฐและใช้งบประมาณแผ่นดิน แรงจูงใจ
ทางด้านงบประมาณทำ�ให้เกิดเรือนจำ� ดังนั้นการสร้างระบบค่าตอบแทนการแก้ไขผู้กระทำ�
ความผิดในชุมชนต้องทำ�ให้เกิดขึ้นโดยอาศัยจำ�นวนผู้ได้รับการแก้ไขในชุมชนกับงบประมาณ
ที่ได้รบั แทนการขยายเรือนจำ�จะตอ้ งได้รบั การพิจารณาอย่างจรงิ จงั
การบัญญัติกฎหมายให้นำ�การแก้ไขผู้กระทำ�ผิดในชุมชนมาเป็นทางเลือกแทนการใช้
เรือนจำ� และไม่ให้พึ่งพาเรือนจำ�ในการควบคุมผู้กระทำ�ความผิดท่ีมีความเส่ียงตํ่าแบ่งได้เป็น
สามประการ
1. การลดอัตราผ้กู ระทำ�ความผดิ ท่ตี ้องโทษจ�ำ คกุ ในเรือนจ�ำ ให้น้อยลง
2. การลดงบประมาณของเรือนจำ�โดยจัดสรรไปยังการบริหารงานทางเลือกในการ
ลงโทษในรูปแบบตา่ ง ๆ
3. การลดจ�ำ นวนผตู้ อ้ งขงั ในเรอื นจ�ำ ใหไ้ ดส้ ดั สว่ นกบั จ�ำ นวนประชากร เชน่ ประชากร
นกั โทษเด็ดขาดคดิ เปน็ อตั ราตอ่ ประชากรไม่เกนิ สองร้อยต่อแสนคนเป็นตน้
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 257 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
12. การดำ�เนินการดังกล่าวน้ีมีโอกาสเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด
หน่วยงานทร่ี บั ผดิ ชอบจ�ำ เปน็ ตอ้ งแสวงหาขอ้ เทจ็ จรงิ
1. จ�ำ นวนนกั โทษในเรือนจ�ำ เพ่มิ ข้นึ ในภาพรวมของประเทศ
2. การแกไ้ ขผกู้ ระท�ำ ผดิ ในชมุ ชนมผี ลตอ่ การเปลย่ี นแปลงของจ�ำ นวนผตู้ อ้ งขงั ในเรอื น
จำ�หรือไม่
3. ผลลัพธ์การปฏิบัติงานแก้ไขผู้กระทำ�ความผิดที่ผ่านมาไม่สามารถหาข้อยุติได้
ได้หรือไม่
13. อนาคตการลงโทษระดับกลางและการแก้ไขผู้กระทำ�ความผิดใน
ชุมชน
แนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการแสวงหานวัตกรรมการเปล่ียนแปลงระบบงาน
ยุติธรรมท่ีไม่อาจเปล่ียนแปลงได้จากระบบงานที่ปฏิบัติมาเป็นเวลานานเป็นประเพณีนิยม
ทไี่ ม่อาจนำ�ไปสูท่ างเลือกใหม่ ๆ ในการปฏบิ ตั ิต่อผูก้ ระท�ำ ผดิ โดยไมใ่ ชก้ ารควบคุมตัวในเรอื นจำ�
ระบบงานที่ทำ�เป็นกิจวัตรจนเกิดความเคยชิน รวมท้ังการติดตามสอดส่องดูแลผู้ต้องขังท่ีอยู่
ภายใต้ระบบงานคุมประพฤติประเภทต่าง ๆ เช่นงานคุมประพฤติเด็กและเยาวชน ผู้ท่ีศาลสั่ง
รอการลงโทษโดยการคุมความประพฤติและผู้ได้รับการพักการลงโทษ เป็นต้นการได้รับการ
สนับสนุนจากประชาชน ชุมชนและประชาสังคมจะต้องมีมากขึ้น ทำ�ให้ประชาชนไม่ตกอยู่
ภายใตค้ วามหวาดกลวั ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ทใี่ ชม้ าตรการใหม่ เพราะเปน็ ทางเลอื กใหมท่ สี่ รา้ งสรรค์
กว่าในระหว่างที่กำ�ลังเปลี่ยนแปลงวิธีปฏิบัติ วัตถุประสงค์การลงโทษผู้กระทำ�ความผิดจะต้อง
ทำ�ให้มีความชัดเจน ไม่มีโครงการแก้ไขผู้กระทำ�ความผิดที่ประสบความสำ�เร็จและสามารถ
ด�ำ เนนิ การได้เป็นเวลานาน ถา้ เปา้ หมายการด�ำ เนินงานไมม่ คี วามชัดเจน
กล่าวโดยสรุป ทางเลือกการลงโทษผู้กระทำ�ความผิด มีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือ
หลกี เลย่ี งการควบคมุ ผกู้ ระท�ำ ผดิ ในเรอื นจ�ำ เนอ่ื งจากการจ�ำ คกุ ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ผลเสยี หลายประการ
เช่น ผู้กระทำ�ผิดท่ีเคยต้องโทษจำ�คุกไม่สามารถกลับเข้าสู่สังคมได้ สังคมไม่ไว้วางใจผู้กระทำ�
ความผดิ อยา่ งไรกด็ กี ารปล่อยให้ผกู้ ระทำ�ผิดอยนู่ อกทคี่ มุ ขงั กอ็ าจเป็นอนั ตรายต่อผอู้ ่นื ได้ เชน่
การข่มขู่ผู้เสียหาย การทำ�ร้ายพยาน และอาจกระทำ�ความผิดซ้ําอีกเน่ืองจากความเข้าใจผิด
ว่าจะไม่ต้องถูกจำ�คุก ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลดีต่อสังคม ผู้กระทำ�ผิด เหย่ือและ
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 258 |
ทางเลือกการลงโทษ การลงโทษระดับกลางและการแก้ไขผู้กระทำ�ผิดในชุมชน
กระบวนการยุตธิ รรมทางอาญา การเปิดโอกาสใหผ้ กู้ ระทำ�ผดิ ทำ�ประโยชนต์ ่อสังคม เปน็ วิธกี าร
ทจ่ี ะชว่ ยสรา้ งจติ ส�ำ นกึ ในความรบั ผดิ ชอบใหผ้ กู้ ระท�ำ ผดิ ไดก้ ลบั ตวั เปน็ พลเมอื งดี ดงั นน้ั ผปู้ ฏบิ ตั ิ
งานในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาท่ีมีหน้าท่ีนำ�หลักการนี้มาปฏิบัติจำ�เป็นต้องคำ�นึงถึง
ความปลอดภัยของสังคมด้วย เพ่ือให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ส่วนวิธีการอื่น ๆ ที่ใช้กับ
ผู้กระทำ�ผิดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้ทำ�งานสาธารณะ การคุมขังผู้กระทำ�ผิดไว้ในบ้าน
ของตนเอง การส่งให้เข้าฝึกแบบค่ายทหาร การจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้กระทำ�ผิด วิธีการเหล่านี้
แม้จะก่อให้เกิดผลร้ายแก่ผู้กระทำ�ผิดแต่ไม่มีสถานะเป็นโทษ ส่วนมากจะใช้ในลักษณะเป็น
เงื่อนไขของการคมุ ประพฤติ แต่ในปัจจบุ นั พบว่าการปฏิบตั แิ กผ่ กู้ ระทำ�ผดิ เชน่ นไ้ี ดม้ ีการพัฒนา
และขยายตัวอย่างต่อเน่ือง และมีแนวโน้มว่าจะเป็นรูปแบบการลงโทษผู้กระทำ�ผิดต่อไป
ในอนาคต
เอกสารอ้างอิง
Axel Dressecker, Dangerousness, long prison terms, and preventive measures in
Germany, Vol. VI 2009 : Varia, pp. 1-20.
Encyclopedia of Crime and Justice -COPYRIGHT 2002 the Gale Group Inc.
Michael Tonry and Mary Lynch, Intermediate Sanctions, 20 Crime & Just. 99 (1996),
available at http://scholarship.law.umn.edu/faculty_article 484
Ministry of Justice, New Zealand. Strategic Policy Brief, Risk Factors and Causal
Mechanisms for Offending. March 2009
Ministry of Justice, New Zealand. Strategic Policy Brief, Social Risk Factors for
Involvement in Crime. March 2009
Ministry of Justice, New Zealand. Strategic Policy Brief, Biological Risk Factors for
Involvement in Crime, March 2009
Paula Smith, Claire Goggin and Paul Gendreu, The Effects of Prison Sentences
and Intermediate Sanctions on Recidivism : General effects and
Individual Differences, 2002, Department of Psychology, Centre for
Criminal Justice Studies University of New Brunswick, Saint John http :
www.sgc.gc.ca
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 259 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช 2560
ประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติมประมวลกฎหมาย
อาญา (ฉบบั ท่ี 25) พ.ศ. 2559
ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา พ.ศ. 2477 และพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวล
กฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา (ฉบบั ที่ 25) พ.ศ. 2550
พระราชบัญญตั ิคมุ ประพฤติ พ.ศ. 2559
พระราชบญั ญัติราชทณั ฑ์ พ.ศ. 2560
คำ�แนะนำ�ของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับวิธีการรอการกำ�หนดโทษ การรอการลงโทษและ
การก�ำ หนดเงื่อนไขเพ่อื คมุ ความประพฤติ พ.ศ. 2559 ลงวันที่ 14 ตลุ าคม พ.ศ. 2559
หนงั สอื เวยี นของส�ำ นกั กฎหมายและวชิ าการศาลยตุ ธิ รรม เรอื่ งการใชพ้ ระราชบญั ญตั คิ มุ ประพฤติ
พ.ศ. 2559 ลงวนั ที่ 20 ตลุ าคม 2559
สำ�นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อเสนอเกณฑ์การกำ�หนดโทษอาญาในการตรากฎหมาย
และแนวทางดำ�เนินการการสัมมนาทางวิชาการ ณ โรงแรมเบิร์คลีย์ ประตูนํ้า
กรุงเทพฯ วันท่ี 13 กนั ยายน 2560
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 260 |
การพจิ ารณาความเป็นผูเ้ สียหายในคดีอาญา :
เปรยี บเทยี บกฎหมายไทยและกฎหมายฝรงั่ เศส
ปรญี าภรณ์ อุบลสวัสด1ิ์
ในกระบวนการดำ�เนินคดีอาญาน้ันมีบุคคลที่เก่ียวข้องกับการดำ�เนินคดีอาญา
หลายฝ่าย โดยในประเทศท่ียินยอมให้ผู้เสียหายเข้ามามีส่วนร่วมในการดำ�เนินคดีอาญา เช่น
ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมนี และประเทศไทย ผู้เสยี หายถือเปน็ บุคคลท่ีมบี ทบาทสำ�คญั
ในกระบวนการด�ำ เนินคดีอาญา ตามกฎหมายไทยนนั้ ผูเ้ สยี หายมสี ทิ ธิตา่ ง ๆ ในคดีอาญาตามที่
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายอื่น ๆ ที่เก่ียวข้องบัญญัติไว้ อาทิเช่น
การร้องทุกข์ การยอมความ การฟ้องคดีอาญา การเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ
การอุทธรณ์ และการฎีกา ดังนั้นการพิจารณาว่าบุคคลใดเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาจึงมีความ
ส�ำ คญั เพราะท�ำ ใหท้ ราบวา่ บคุ คลดงั กลา่ วมสี ทิ ธปิ ระการตา่ ง ๆ ตามทกี่ ฎหมายรบั รองไวใ้ นฐานะ
ผูเ้ สยี หายในคดอี าญา
ประเทศฝร่ังเศสเป็นประเทศท่ีมีกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใกล้เคียงกับ
ประเทศไทย กล่าวคือ เป็นประเทศที่ใช้กฎหมายระบบซีวิลลอว์ (Civil law) ซ่ึงยึดถือ
กฎหมายลายลักษณ์อักษรเป็นสำ�คัญ และการดำ�เนินคดีอาญาใช้ระบบกล่าวหา (Procédure
accusatoire)2 นอกจากนี้ผู้เสียหายในคดีอาญาก็สามารถมีส่วนร่วมในการดำ�เนินคดีอาญาได้
เช่นเดียวกัน ดังน้ันการพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาจึงควรนำ�กฎหมายทั้งสอง
1 อาจารย์ประจำ�คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ปัจจุบันกำ�ลังศึกษาต่อระดับปริญญาเอก
ทางนิติศาสตร์ ด้าน Sciences criminelles ณ มหาวทิ ยาลยั Aix-Marseille ประเทศฝรั่งเศส
2 การด�ำ เนนิ คดอี าญาในประเทศฝร่งั เศสเป็นการผสมผสานกนั ระหว่างสองระบบ กลา่ วคอื การดำ�เนิน
คดีอาญาระบบไต่สวน (Procédure inquisitoire) จะใช้กับการพิจารณาคดีในศาลไต่สวน (Juge d’instruction)
และการดำ�เนินคดีอาญาระบบกล่าวหา (Procédure accusatoire) จะใช้กับการพิจารณาคดีในศาลตัดสินคดี
(Juridiction de jugement)
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 261 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
ประเทศดังกล่าวมาเปรียบเทียบกันเพื่อให้ทราบถึงข้อเหมือนและข้อแตกต่างของหลักเกณฑ์
การเป็นผู้เสียหายในแต่ละประเทศ ตลอดจนทราบถึงผลสืบเน่ืองจากการเป็นผู้เสียหายตาม
กฎหมายของประเทศนน้ั ๆ
ฉะนั้นเพ่ือให้บรรลุจุดประสงค์ข้างต้น บทความฉบับนี้มุ่งศึกษาหลักเกณฑ์การ
พิจารณาความเป็นผู้เสียหายในกฎหมายไทย หลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายใน
กฎหมายฝร่ังเศส และขอ้ เปรยี บเทียบความเป็นผู้เสียหายของกฎหมายท้ังสองประเทศดงั กลา่ ว
1. หลกั เกณฑ์การพจิ ารณาความเป็นผู้เสยี หายในกฎหมายไทย
ประมวลกฎหมายวิธพีิ ิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ให้บทนยิ ามคำ� “ผูเ้ สียหาย”
ว่าหมายความถึง บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำ�ผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมท้ัง
บุคคลอ่ืนที่มีอำ�นาจจัดการแทนได้ ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 ซึ่งจากบทบัญญัตินี้
สามารถจำ�แนกผู้เสียหายเป็น 2 ประเภท คือ ผู้เสียหายท่ีแท้จริง และผู้มีอำ�นาจจัดการแทน
ผูเ้ สยี หายทแ่ี ทจ้ ริง
1.1 ผู้เสียหายท่แี ทจ้ รงิ
ผู้เสียหายท่ีแท้จริงในท่ีนี้หมายถึงบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำ�ความผิด
อาญาฐานใดฐานหนง่ึ หรอื หลายฐานโดยตรง ดงั นน้ั จงึ เรยี กอกี อยา่ งวา่ “ผเู้ สยี หายโดยตรง” โดย
หลกั เกณฑใ์ นการพจิ ารณาความเปน็ ผู้เสียหายท่แี ท้จรงิ มี 3 ประการ ดังนี้
1) มกี ารกระท�ำ ความผดิ อาญาฐานใดฐานหนงึ่ เกิดขึ้น
การจะเปน็ ผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ หรอื ไมจ่ ะตอ้ งพจิ ารณาหลกั เกณฑป์ ระการแรกเสยี
ก่อน กลา่ วคือ ต้องพจิ ารณาวา่ การกระทำ�นั้นเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายสารบัญญตั ิ
ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาหรือพระราชบัญญัติต่าง ๆ ที่มีโทษทางอาญาหรือไม่
หากมีการกระทำ�ถึงขั้นที่กฎหมายอาญาได้บัญญัติไว้เป็นความผิด โดยท่ีผู้กระทำ�ไม่มีอำ�นาจ
กระท�ำ การดงั กลา่ ว ล�ำ ดบั ตอ่ ไปจงึ คอ่ ยพจิ ารณาหลกั เกณฑป์ ระการถดั ไปของการเปน็ ผเู้ สยี หาย
ทแี่ ทจ้ รงิ แตใ่ นทางกลบั กนั หากพจิ ารณาแลว้ เหน็ วา่ การกระท�ำ ดงั กลา่ วไมเ่ ปน็ ความผดิ ทางอาญา
ดังน้ียอ่ มไม่ต้องพจิ ารณาหลักเกณฑป์ ระการตอ่ ไปเพราะไม่มผี ู้เสียหายจากการกระทำ�ดงั กลา่ ว
2) บคุ คลนั้นไดร้ บั ความเสยี หายจากการกระทำ�ความผิดอาญาฐานน้นั
หลักเกณฑ์ประการน้ีเป็นการพิจารณาว่าการกระทำ�ความผิดอาญาท่ีเกิดข้ึนน้ัน
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 262 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
มีบคุ คลใดได้รบั ความเสียหายโดยตรงจากการกระทำ�ความผิดดังกล่าวหรือไม่ ซง่ึ บคุ คลท่ไี ด้รับ
ความเสียหายในทีน่ ีอ้ าจเปน็ บุคคลธรรมดาหรือนติ ิบุคคล นอกจากนี้ในการวนิ จิ ฉัยว่าบคุ คลน้ัน
ได้รับความเสียหายจากการกระทำ�ความผิดฐานนั้นหรือไม่น้ัน ลำ�ดับแรกจะต้องวินิจฉัยให้ได้
เสียกอ่ นวา่ กระทำ�ความผิดอาญาทีเ่ กดิ ข้นึ นน้ั เปน็ ความผดิ ฐานใดบ้าง จากนั้นจงึ พจิ ารณาต่อไป
วา่ ความผดิ แตล่ ะฐานดังกลา่ ว กฎหมายประสงค์ท่ีจะค้มุ ครองบคุ คลใด
ในกรณีท่คี วามผดิ อาญานน้ั มุ่งท่จี ะค้มุ ครองส่วนท่เี ปน็ “เอกชน” บคุ คลทไ่ี ด้รับ
ผลกระทบจากการกระทำ�ดังกล่าวย่อมเป็นผู้เสียหาย อาทิ ความผิดเก่ียวกับทรัพย์ ตามแนว
ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าวนิ จิ ฉยั วา่ กฎหมายมงุ่ คมุ้ ครองกรรมสทิ ธแิ์ ละสทิ ธคิ รอบครองซงึ่ เปน็ สว่ นท่ี
เป็นเอกชน เจ้าของกรรมสิทธิ์หรือผู้มีสิทธิครอบครองทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายโดยตรง
ในการกระทำ�ความผิดอาญาเก่ียวกับทรัพย์ ตัวอย่างเช่น โจทก์ร่วมเช่าซ้ือรถยนต์มาจากผู้อ่ืน
ขณะรถยนตถ์ กู ลกั กรรมสทิ ธย์ิ งั ไมโ่ อนเปน็ ของโจทกร์ ว่ ม แตโ่ จทกร์ ว่ มเปน็ ผคู้ รอบครองรถยนต์
อยู่ เมื่อถูกจำ�เลยแย่งการครอบครอง โจทก์ร่วมย่อมเป็นผู้เสียหาย จึงมีอำ�นาจร้องทุกข์และ
เขา้ รว่ มเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ3
กรณีความผิดฐานบุกรุก ซึ่งเป็นความผิดที่เกิดข้ึนและสิ้นสุดทันทีท่ีมีการบุกรุก
มใิ ชค่ วามผดิ ตอ่ เนอ่ื งแตอ่ ยา่ งใด ผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ ในความผดิ ฐานดงั กลา่ วจงึ ไดแ้ กผ่ มู้ กี รรมสทิ ธิ์
หรือสิทธิครอบครองที่ดินขณะที่มีการบุกรุกคร้ังแรก ฉะน้ันแม้ว่าการบุกรุกจะยังคงอยู่ขณะที่
ผคู้ รอบครองทด่ี นิ โอนทด่ี นิ ดงั กลา่ วใหแ้ กผ่ รู้ บั โอนโดยการซอ้ื ขาย ผรู้ บั โอนเปน็ เพยี งผคู้ รอบครอง
ที่ดินหลังจากที่ความผิดน้ันได้กระทำ�จนสำ�เร็จไปแล้ว เฉพาะผู้โอนซ่ึงเป็นผู้ครอบครองที่ดิน
ขณะบกุ รุกเทา่ นั้นทเ่ี ปน็ ผ้เู สยี หายท่แี ทจ้ ริง ผ้รู ับโอนไมใ่ ชผ่ ู้เสียหายในความผิดฐานดงั กล่าว4
สว่ นในกรณีทคี่ วามผดิ อาญาน้ันมุ่งคุม้ ครองสว่ นท่ีเป็น “ส่วนรวม” รฐั เท่านนั้ ท่ี
เป็นผู้เสียหายที่แท้จริง เอกชนไม่อาจอ้างว่าเป็นผู้เสียหายในความผิดดังกล่าวได้ ตัวอย่างเช่น
ความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522, พระราชบัญญัติจราจรทางบก
พ.ศ. 2522, พระราชบญั ญตั อิ าวธุ ปนื เครอื่ งกระสุนปืน วตั ถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิง่ เทียม
อาวุธปืน พ.ศ. 2490, พระราชบญั ญัตกิ ารเล่นแชร์ พ.ศ. 2534, พระราชกำ�หนดการกยู้ มื เงนิ ท่ี
เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาบางฐาน เช่น
ความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา 138, ความผิดฐานทำ�ลายดวงตราของ
3 ค�ำ พิพากษาฎกี าที่ 1548/2535
4 ค�ำ พิพากษาฎีกาที่ 1881/2538
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 263 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
เจา้ พนกั งานตามมาตรา 141, ความผิดฐานขัดขนื หมายหรือค�ำ สั่งศาลตามมาตรา 170, ความ
ผิดฐานทำ�ลายพยานหลักฐานตามมาตรา 199 และความผิดฐานพกพาอาวุธตามมาตรา 371
เป็นตน้
อยา่ งไรกด็ คี วามผดิ อาญาบางฐาน แมโ้ ดยหลกั แลว้ กฎหมายตอ้ งการคมุ้ ครองสว่ น
ท่ีเป็นส่วนรวม แต่หากเอกชนได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจากการกระทำ�ความผิดอาญา
ฐานนั้น ผู้น้ันย่อมเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงในความผิดดังกล่าวได้เช่นกัน ความผิดในกลุ่มน้ีมี
ขอ้ สังเกตคอื มักเป็นความผดิ ท่ีราษฎรกระทำ�ตอ่ เจา้ พนกั งาน หรือเจ้าพนักงานกระทำ�ความผดิ
ต่อตำ�แหน่งหน้าที่ อีกท้ังมักมีองค์ประกอบความผิดว่า “ซ่ึงอาจทำ�ให้ผู้อื่นหรือประชาชน
เสยี หาย” หรอื “โดยประการท่นี ่าจะเกดิ ความเสียหายแก่ผอู้ ืน่ หรอื ประชาชน” หรอื “เพ่อื ให้
เกดิ ความเสยี หายแกผ่ หู้ นงึ่ ผใู้ ด” ปรากฏในบทบญั ญตั นิ นั้ ๆ ตวั อยา่ งเชน่ ความผดิ ฐานแจง้ ความ
เท็จแก่เจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และความผิดฐานเจ้าพนักงาน
ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157
3) บุคคลนนั้ เปน็ ผูเ้ สียหายโดยนติ นิ ยั
เมื่อได้ความว่าบุคคลนั้นครบหลักเกณฑ์สองประการข้างต้นแล้วก็จะพิจารณา
หลักเกณฑ์ประการสุดท้าย กล่าวคือต้องพิจารณาว่าบุคคลนั้นเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยหรือไม่
หลักเกณฑ์ประการน้ีไม่ปรากฏในบทบัญญัติมาตรา 2 (4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา แตเ่ กิดจากหลกั ทว่ั ไปท่ีว่า “ผูท้ ่จี ะมาขอพ่ึงบารมีแห่งความยตุ ธิ รรมตอ้ งมาด้วยมือ
อันบรสิ ทุ ธ”ิ์ ซ่งึ ศาลฎีกาไทยกไ็ ดย้ ดึ ถอื หลักการนีเ้ ปน็ แนวทางในการวนิ จิ ฉยั มาโดยตลอด
ผู้เสียหายโดยนิตินัยในที่นี้ หมายความว่า บุคคลน้ันต้องไม่มีส่วนร่วมในการ
กระทำ�ความผิด ไม่ยินยอมให้มีการกระทำ�ความผิดต่อตน ไม่มีส่วนพัวพันกับการกระทำ�
ความผิด ไม่มีส่วนก่อให้เกิดความผิด และไม่กระทำ�การโดยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้าม
ชดั แจ้งโดยกฎหมายหรือเป็นการขัดตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชน
กรณีบุคคลน้นั มีส่วนรว่ มในการกระท�ำ ความผดิ เช่น โจทกแ์ ละจำ�เลยตา่ งสมคั ร
ใจเข้าวิวาททำ�ร้ายกันและกัน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย ย่อมไม่มีอำ�นาจเป็นโจทก์
ฟ้องขอให้ลงโทษจำ�เลยได้5 หรือการท่ีผู้ตายและจำ�เลยต่างขับรถด้วยความเร็วและต่างขับรถ
5 ค�ำ พิพากษาฎกี าท่ี 223-224/2513
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 264 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
เขา้ ไปในชอ่ งเดินรถของอกี ฝา่ ยหนึ่ง ถือเปน็ การขับรถโดยประมาททั้งสองฝ่าย เมอื่ ผตู้ ายมีสว่ น
กระทำ�ผิดด้วย ผ้ตู ายจึงมใิ ชผ่ เู้ สยี หายโดยนิตนิ ัยตามมาตรา 2 (4) โจทก์ร่วมซง่ึ เป็นบิดาผูต้ าย
ย่อมไมม่ ีอ�ำ นาจจดั การแทนผ้ตู ายได้ตามมาตรา 5 (2) แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความ
อาญา ดังนั้นจึงไม่มีอำ�นาจเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการตามมาตรา 30 ของกฎหมาย
ฉบบั เดียวกนั 6
กรณีบคุ คลนั้นยนิ ยอมใหม้ กี ารกระทำ�ความผดิ ต่อตน เช่น หญิงยนิ ยอมใหผ้ ้อู น่ื
ทำ�ใหต้ นเองแทง้ ลกู ถอื วา่ หญิงน้ันมสี ว่ นรว่ มในการกระท�ำ ผิดด้วย จงึ ไมใ่ ช่ผเู้ สยี หายตามมาตรา
2 (4) และแม้หญิงนั้นจะถึงแก่ความตาย บิดาของหญิงนั้นก็ไม่มีสิทธิท่ีจะฟ้องผู้ท่ีทำ�ให้หญิง
แท้งลกู ได้7
กรณีบุคคลนั้นมีส่วนในการก่อให้เกิดการกระทำ�ความผิด เช่น จำ�เลยละเมิด
ลิขสิทธิ์โดยทำ�ซํ้าบันทึกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของโจทก์เพ่ือมอบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ตามท่ี
ส. ได้ลอ่ ซ้อื มิใชท่ ำ�ซาํ้ โดยผู้กระทำ�มเี จตนากระทำ�ผิดอย่แู ลว้ ก่อนการลอ่ ซอ้ื การกระทำ�ผดิ ของ
จ�ำ เลยเกิดขน้ึ เนือ่ งจากการลอ่ ซือ้ ของ ส. ซ่งึ ไดร้ ับจ้างให้ล่อซ้ือจากโจทก์ เท่ากับโจทก์เป็นผู้ก่อ
ให้ผู้อื่นกระทำ�ผิด โจทก์ย่อมไม่อยู่ในฐานะผู้เสียหายโดยนิตินัยท่ีมีอำ�นาจฟ้องคดีนี้8 แต่หาก
เป็นกรณีท่ีผู้เสียหายจ้างให้นักสืบไปติดต่อซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งมีการทำ�ซํ้าโปรแกรม
คอมพวิ เตอรซ์ งึ่ มกี ารละเมดิ ลขิ สทิ ธขิ์ องผเู้ สยี หายโดยจ�ำ เลยมเี จตนาทจี่ ะกระท�ำ ความผดิ อยแู่ ลว้
ดังน้ีถือเป็นการกระทำ�เพ่ือแสวงหาพยานหลักฐานมาดำ�เนินคดีแก่ผู้กระทำ�ละเมิดลิขสิทธ์ิของ
ผู้เสียหายซ่ึงเป็นโจทก์ในคดีเท่าน้ัน ไม่ถือว่าเป็นการชักจูงใจหรือก่อให้ฝ่ายจำ�เลยกระทำ�
ความผิดคดีนี้ขึน้ มา จึงถือไดว้ ่าโจทกเ์ ป็นผเู้ สยี หายโดยนติ ินัย มีอำ�นาจฟ้องจ�ำ เลยได9้
กรณบี คุ คลนน้ั กระท�ำ การโดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ การตอ้ งหา้ มชดั แจง้ โดยกฎหมาย
หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น การท่ีผู้เสียหาย
ตกลงจะซ้ือธนบัตรปลอมจากจำ�เลย แม้จะเป็นโดยจำ�เลยใช้อุบายหลอกลวงอันเป็นความผิด
ฐานฉอ้ โกงก็ตาม กเ็ ปน็ ความตกลงทมี่ ีวัตถปุ ระสงคจ์ ะกระท�ำ ผิดกฎหมาย มิได้เป็นไปโดยสจุ รติ
จะถือว่าเป็นผู้เสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้ พนักงานอัยการไม่มีสิทธิท่ีจะนำ�คดีอันเน่ือง
6 ค�ำ พิพากษาฎกี าท่ี 4461/2534
7 ค�ำ พิพากษาฎกี าท่ี 954/2502
8 ค�ำ พิพากษาฎีกาท่ี 4301/2543
9 ค�ำ พพิ ากษาฎีกาที่ 6523/2545
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 265 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
มาจากคำ�รอ้ งทกุ ข์ของผ้เู สยี หายเชน่ นี้มาว่ากลา่ วได1้ 0
เม่ือพิจารณาแล้วเห็นว่าบุคคลนั้นครบตามหลักเกณฑ์ในการพิจารณาทั้งสาม
ประการขา้ งตน้ บคุ คลดงั กลา่ วยอ่ มมฐี านะเปน็ ผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ ในคดอี าญาและมสี ทิ ธปิ ระการ
ตา่ ง ๆ ตามทก่ี ฎหมายบญั ญตั ไิ วโ้ ดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ตามประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
ซึ่งได้แก่ สิทธิในการร้องทุกข์และถอนคำ�ร้องทุกข์ตามมาตรา 126 สิทธิในการฟ้องคดีอาญา
ตามมาตรา 28 (2) สทิ ธิในการยอมความและการถอนฟ้องในคดอี าญาตามมาตรา 35 สิทธิใน
การขอเขา้ รว่ มเปน็ โจทก์กับพนกั งานอัยการตามมาตรา 30 สทิ ธิในการฟอ้ งคดีแพ่งทเี่ กยี่ วเนื่อง
กบั คดีอาญาตามมาตรา 40 สทิ ธิในการแก้ไขเพิ่มเติมคำ�ฟ้องตามมาตรา 163 และมาตรา 164
สทิ ธใิ นการอทุ ธรณ์ และสทิ ธใิ นการฎกี า เปน็ ตน้ แตท่ ง้ั นใี้ นการใชส้ ทิ ธขิ องบคุ คลดงั กลา่ วจะตอ้ ง
เปน็ ไปตามเงอ่ื นไขท่กี �ำ หนดไว้ในกฎหมายด้วย
นอกจากบทบัญญตั มิ าตรา 2 (4) แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา
จะกลา่ วถงึ ผเู้ สยี หายทแี่ ทจ้ รงิ แลว้ กย็ งั กลา่ วถงึ ผเู้ สยี หายอกี ประเภทหนงึ่ นน่ั คอื ผมู้ อี �ำ นาจจดั การ
แทนผู้เสยี หายท่แี ท้จริง
1.2 ผู้มอี �ำ นาจจดั การแทนผเู้ สียหายทีแ่ ท้จริง
เม่ือพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 2 (4) สามารถสรุปความได้ว่าผู้มีอำ�นาจจัดการ
แทนผู้เสียหายที่แท้จริง หมายถึงบุคคลตามมาตรา 4, 5 และ 6 แห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญาซึ่งกฎหมายกำ�หนดให้มีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริงเฉพาะ
การดำ�เนินการอย่างใด ๆ ดงั บัญญัตไิ ว้ในมาตรา 3 ของกฎหมายเดียวกัน
การพจิ ารณาวา่ การกระทำ�ความผิดแต่ละฐานท่ีเกิดขนึ้ สามารถมี “ผู้มีอำ�นาจจดั การ
แทนผู้เสียหายที่แท้จริง” ได้หรือไม่นั้น จะต้องได้ความเสียก่อนว่ามี “ผู้เสียหายท่ีแท้จริง”
ในความผดิ ฐานนัน้ มากอ่ น ทัง้ น้เี พราะเมือ่ พิจารณาจากบทนิยามคำ� “ผู้เสียหาย” ตามมาตรา
2 (4) จะเห็นได้ว่าบทบัญญัติดังกล่าวใช้คำ� “...รวมถึงบุคคลอ่ืนท่ีมีอำ�นาจจัดแทนได้” นั่นก็
หมายความว่าการจะมีผู้มีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริงหรือไม่นั้นย่อมข้ึนอยู่กับการมี
อยขู่ องผเู้ สยี หายทแี่ ทจ้ รงิ ในความผดิ ดงั กลา่ ว ดงั นนั้ หากการกระท�ำ ใด ๆ ไมอ่ าจมผี เู้ สยี หายทแี่ ท้
จรงิ เนอื่ งจากขาดองคป์ ระกอบอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดของการเปน็ ผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ แลว้ ไซร้ ยอ่ มไม่
ตอ้ งพิจารณาอีกตอ่ ไปว่าจะมบี คุ คลอื่นใดสามารถจัดการแทนบุคคลดงั กล่าวได้
10 ค�ำ พิพากษาฎีกาที่ 771/2493 ประชมุ ใหญ่
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 266 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
เมื่อผ้มู ีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายทแ่ี ทจ้ ริงหมายถงึ บคุ คลตามมาตรา 4, 5 และ 6
ดงั นนั้ ผู้มอี ำ�นาจจัดการแทนผเู้ สยี หายทแ่ี ท้จรงิ จึงแยกพจิ ารณาได้เป็น 3 กรณี ดังนี้
1) ผู้มีอ�ำ นาจจัดการแทนโดยตอ้ งไดร้ บั อนญุ าตจากผเู้ สียหายทแ่ี ทจ้ ริง
ผมู้ อี �ำ นาจจดั การแทนผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ กรณนี เ้ี ปน็ กรณตี ามมาตรา 4 วรรคสอง
ซงึ่ บญั ญัตวิ า่ “ภายใต้บงั คบั แห่งมาตรา 5 (2) สามีมีสิทธฟิ ้องคดอี าญาแทนภริยาได้ ต่อเมือ่ ได้
รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา” บทบัญญัติน้ีเป็นกรณีที่ผู้เสียหายที่แท้จริงเป็นหญิงมีสามี
กฎหมายใหอ้ �ำ นาจสามฟี อ้ งคดอี าญาแทนภรยิ าได้ แตท่ งั้ นส้ี ามตี อ้ งไดร้ บั อนญุ าตโดยชดั แจง้ จาก
ภริยา การปรับใช้บทบัญญัติดังกล่าวจึงต้องได้ความเสียก่อนว่าผู้เสียหายท่ีแท้จริงและบุคคล
ที่มีอ�ำ นาจจัดการแทนเป็นสามีภริยาโดยชอบดว้ ยกฎหมาย กล่าวคอื ตอ้ งจดทะเบียนสมรสโดย
ถูกต้องตามหลักในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซ่ึงหากได้ความดังกล่าวแล้วสามีต้อง
ได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยาให้ฟ้องคดีอาญาด้วย ซึ่งการอนุญาตน้ีจะใช้รูปแบบใดก็ได้
ไม่วา่ จะเปน็ การอนญุ าตดว้ ยวาจา การอนุญาตโดยลายลกั ษณ์อกั ษร หรอื โดยวิธกี ารอืน่ ใด ทง้ั นี้
เพราะกฎหมายมิไดก้ �ำ หนดแบบไว้ นอกจากนี้การปรับใช้บทบัญญตั มิ าตรา 4 วรรคสองตอ้ งอยู่
ภายใตบ้ งั คบั แหง่ มาตรา 5 (2) ซงึ่ กห็ มายความวา่ มาตรา 4 วรรคสองสามารถใชก้ บั ความผดิ ฐาน
ใดก็ได้ แต่ต้องมิใช่ความผิดท่ีภริยาถูกทำ�ร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเอง
ได้เพราะกรณีดังกล่าวมาตรา 5 (2) ให้อำ�นาจสามีจัดการแทนภริยาได้ทันทีโดยไม่ต้องได้รับ
อนุญาตโดยชัดแจง้ จากภรยิ า
มาตรา 4 วรรคสองมีข้อที่ควรพิจารณาคือมาตราดังกล่าวมิได้ให้อำ�นาจภริยา
ฟ้องคดีแทนสามี ดังนั้นหากสามีเป็นผู้เสียหายท่ีแท้จริง ภริยาไม่มีอำ�นาจฟ้องคดีแทนสามี
เว้นแต่เป็นกรณีมาตรา 5 (2) หรือภริยาได้รับมอบอำ�นาจจากสามีซึ่งเราจะกล่าวถึงเร่ืองนี้ใน
ล�ำ ดบั ตอ่ ไป
2) ผู้มอี ำ�นาจจดั การแทนโดยไม่ต้องได้รับอนญุ าตจากผู้เสียหายท่แี ทจ้ รงิ
ผู้มีอำ�นาจจัดการแทนโดยไม่ต้องรับอนุญาตจากผู้เสียหายที่แท้จริงหมายถึงผู้มี
อ�ำ นาจจัดการแทนตามมาตรา 5 ซึ่งแบ่งออกเปน็ 3 กรณี กล่าวคอื
กรณตี ามมาตรา 5 (1) เปน็ กรณีทีผ่ ูแ้ ทนโดยชอบธรรมหรอื ผ้อู นุบาลมอี �ำ นาจ
จัดการแทนผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซ่ึงอยู่ในความดูแล การเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมหรือ
ผู้อนุบาลในท่ีน้ีจะต้องชอบด้วยกฎหมายตามหลักในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และ
การใช้อนุมาตรานี้จะจำ�กัดเฉพาะกรณีท่ีผู้เสียหายท่ีแท้จริงท่ีเป็นผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถ
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 267 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะหากผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถถึงแก่ความตาย อำ�นาจปกครอง
สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/6 กรณีย่อมไม่ตกอยู่ในบังคับ
มาตรา 5 (1) แตอ่ าจเข้ากรณีตามมาตรา 5 (2)
กรณีตามมาตรา 5 (2) เป็นกรณีท่กี ฎหมายให้อำ�นาจแกผ่ ้บู ุพการี ผสู้ บื สนั ดาน
สามีหรือภริยา ในการจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริงซ่ึงถูกทำ�ร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่
สามารถจัดการเองได้ ตามอนมุ าตรานค้ี �ำ ว่า “ผู้บุพการี” และ “ผู้สบื สนั ดาน” จะพจิ ารณาตาม
ความเปน็ จริงกลา่ วคอื เปน็ ไปตามหลกั การสืบสายโลหติ ส่วนสามีภรยิ าก็ตอ้ งชอบดว้ ยกฎหมาย
เช่นเดียวกับกรณีตามมาตรา 4 วรรคสอง นอกจากน้ีความผิดอาญาท่ีเกิดข้ึนอันเป็นผลทำ�ให้
ผู้เสียหายท่ีแท้จริงได้รับบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้หรือถึงแก่ความตายจะต้องมา
จากการกระท�ำ ของจ�ำ เลยไม่ว่าจะเกดิ โดยเจตนาหรือประมาทกต็ าม
กรณีตามมาตรา 5 (3) เป็นกรณีท่ีกฎหมายกำ�หนดให้ผู้แทนนิติบุคคล ซึ่ง
ไดแ้ ก่ ผจู้ ดั การหรอื ผแู้ ทนอนื่ ๆ ของนติ บิ คุ คลมอี �ำ นาจจดั การแทนนติ บิ คุ คลในความผดิ ทก่ี ระท�ำ
ลงแก่นิติบุคคลน้ัน ท้ังน้ีเพราะบุคคลดังกล่าวเป็นบุคคลซึ่งตามกฎหมายที่ก่อตั้งนิติบุคคลนั้น
หรอื ตามขอ้ บงั คบั ของนติ บิ คุ คลนนั้ ก�ำ หนดใหเ้ ปน็ ผแู้ สดงออกซง่ึ เจตนาของนติ บิ คุ คล ยกตวั อยา่ ง
เช่น กรรมการผู้จัดการเป็นผู้แสดงออกซ่ึงเจตนาของบริษัทจำ�กัด รัฐมนตรีเป็นผู้แสดงออกซึ่ง
เจตนาของกระทรวง และอธิการบดีเป็นผแู้ สดงออกซึ่งเจตนาของมหาวทิ ยาลยั เปน็ ตน้ หากต่อ
มานติ บิ คุ คลเปลย่ี นตวั ผจู้ ดั การหรอื ผแู้ ทนนติ บิ คุ คล ผมู้ อี �ำ นาจจดั การแทนนติ บิ คุ คลตามมาตรา
5 (3) ก็จะเปลีย่ นแปลงตามไปดว้ ยเช่นกัน
3) ผ้มู ีอ�ำ นาจจดั การแทนโดยได้รับแต่งตัง้ จากศาล
ผู้มีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายที่แท้จริงกรณีน้ีหมายถึง “ผู้แทนเฉพาะคดี”
ตามมาตรา 6 ซงึ่ มีอ�ำ นาจจดั การแทนผู้เสียหายทแ่ี ทจ้ รงิ เฉพาะคดที ต่ี นไดร้ ับการแตง่ ตัง้ เท่านั้น
มาตราน้ีเป็นการอุดช่องว่างสำ�หรับกรณีท่ีผู้เยาว์ ผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถซึ่งเป็น
ผู้เสยี หายทแี่ ทจ้ รงิ ไมม่ ีผูแ้ ทนโดยธรรมหรอื ผูอ้ นุบาลตามมาตรา 5 (1) หรอื มบี คุ คลดงั กลา่ วแต่
บุคคลน้ันไม่สามารถกระทำ�การแทนได้โดยเหตุผลบางประการ ดังนั้นการต้ังผู้แทนเฉพาะคดี
ตามมาตรา 6 จงึ ตอ้ งเป็นกรณีใดกรณหี นงึ่ กลา่ วคือ กรณีแรกเปน็ กรณีที่ผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ ซงึ่
เป็นผู้เยาว์ ผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล จึงไม่
สามารถใช้กรณตี ามมาตรา 5 (1) ได้ ทำ�ใหม้ คี วามจ�ำ เปน็ ต้องต้ังบคุ คลอน่ื เปน็ ผู้แทนเฉพาะคดี
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 268 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
ตามมาตรา 6 เพ่ือให้บุคคลน้ันมีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริง กรณีท่ีสองเป็นกรณีที่
ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลของผู้เยาว์ ผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถไม่สามารถจะ
ทำ�การตามหน้าที่ได้โดยเหตุหน่ึงเหตุใด หรือมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์หรือคนไร้ความ
สามารถนน้ั หากเขา้ กรณใี ดในสองกรณีดังทีก่ ลา่ วมา ญาติหรอื ผมู้ ปี ระโยชน์เก่ียวข้องกบั ผูเ้ ยาว์
ผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถอาจร้องขอต่อศาลขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีได้ แต่
ถ้าศาลเห็นว่าไม่มีบุคคลใดที่เหมาะสม ก็อาจต้ังพนักงานฝ่ายปกครองเป็นผู้แทนเฉพาะคดี
มาตรานม้ี ขี อ้ สงั เกตประการส�ำ คญั คอื การรอ้ งขอตง้ั ผแู้ ทนเฉพาะคดจี ะตอ้ งกระท�ำ ขณะทผ่ี เู้ ยาว์
ผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถยังมีชีวิตอยู่เท่าน้ัน หากบุคคลดังกล่าวถึงแก่ความตายก่อน
ท่จี ะมกี ารไตส่ วนค�ำ ร้อง ศาลไม่อาจตัง้ ผู้ร้องเปน็ ผแู้ ทนเฉพาะคดีได้
ส�ำ หรบั อ�ำ นาจของผมู้ อี �ำ นาจจดั การแทนผเู้ สยี หายทแี่ ทจ้ รงิ ตามมาตรา 4, 5 และ
6 น้ัน มาตรา 3 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำ�หนดว่าบุคคลดังกล่าวมี
อำ�นาจจัดการแทนในเรื่องดังต่อไปนี้คือ การร้องทุกข์ การเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญาหรือเข้าร่วม
เป็นโจทกก์ บั พนักงานอยั การ การเป็นโจทก์ฟ้องคดแี พ่งท่ีเก่ียวเน่ืองกบั คดอี าญา การถอนฟอ้ ง
คดีอาญาหรือคดีแพ่งทีเ่ กีย่ วเน่ืองกับคดีอาญา และการยอมความในคดีความผิดต่อสว่ นตัว
นอกเหนอื จากผมู้ ีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสยี หายทแ่ี ท้จริงตามมาตรา 4, 5 และ 6
แลว้ มบี คุ คลอกี ประเภทหนง่ึ ทมี่ อี �ำ นาจจดั การแทนผเู้ สยี หายทแี่ ทจ้ รงิ ไดเ้ ชน่ กนั บคุ คลประเภท
นี้เราเรียกว่าผู้รับมอบอำ�นาจให้จัดการแทน แต่เดิมศาลฎีกาถือหลักว่าในคดีอาญานั้นบุคคลท่ี
จะจดั การแทนผู้เสยี หายทแี่ ท้จริงได้นน้ั ต้องเป็นบุคคลทรี่ ะบุไวใ้ นประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณา
ความอาญา มาตรา 4, 5 และ 6 เทา่ น้ัน ผู้เสียหายที่แท้จริงจึงไม่มอี ำ�นาจมอบใหบ้ คุ คลอื่นใด
กระทำ�การแทนตนได้11 แต่ต่อมาศาลฎีกาวินิจฉัยกลับหลักเดิมโดยถือว่าผู้เสียหายท่ีแท้จริง
สามารถมอบอำ�นาจให้บุคคลอ่ืนกระทำ�แทนตนได้ตามหลักทั่วไป12 การมอบอำ�นาจให้จัดการ
แทนในท่ีนี้หมายถึงการท่ีผู้เสียหายท่ีแท้จริงมอบอำ�นาจให้บุคคลใดบุคคลหน่ึงจัดการเก่ียวกับ
คดอี าญาแทนตน การมอบอ�ำ นาจใหจ้ ดั การแทนเปน็ คนละเรอ่ื งกบั การมอี �ำ นาจจดั การแทนตาม
มาตรา 4 ถงึ มาตรา 6 เพราะการมอี ำ�นาจจัดการแทนตามมาตรา 4 ถึงมาตรา 6 เปน็ กรณที ี่
กฎหมายให้อำ�นาจโดยอัตโนมัติแก่บุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตราดังกล่าว และอำ�นาจของผู้มี
11 ค�ำ พิพากษาฎกี าท่ี 1857/2499
12 ค�ำ พพิ ากษาฎกี าท่ี 755/2502 ประชมุ ใหญ่ และคำ�พิพากษาฎีกาที่ 890/2503
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 269 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
อำ�นาจจัดการแทนน้ันจะกระทำ�การได้เฉพาะแต่เพียงเท่าท่ีระบุในมาตรา 3 เท่าน้ัน ส่วนการ
มอบอำ�นาจให้จัดการแทนเป็นกรณีที่ผู้เสียหายท่ีแท้จริงต้องทำ�เป็นหนังสือมอบอำ�นาจโดยชัด
แจ้งและต้องระบุด้วยว่าประสงค์จะให้ผู้รับมอบอำ�นาจจัดการเกี่ยวกับคดีอาญาประการใดบ้าง
แทนตน ทั้งนี้เพราะผู้รับมอบอำ�นาจจากผู้เสียหายที่แท้จริงมีอำ�นาจกระทำ�การเพียงเท่าท่ีอยู่
ภายในขอบเขตทต่ี นได้รับมอบอ�ำ นาจเท่าน้ัน
2. หลกั เกณฑก์ ารพจิ ารณาความเป็นผเู้ สยี หายในกฎหมายฝรงั่ เศส
ประมวลกฎหมายอาญาฝรงั่ เศส (Code pénal) และประมวลกฎหมายวธิ พี ิจารณา
ความอาญาฝรั่งเศส (Code de procédure pénale) ไม่ได้บัญญัติบทนิยามคำ�ว่าผู้เสียหาย
(Victime) ไว้อยา่ งชัดเจน อย่างไรก็ดเี มือ่ พจิ ารณาบทบัญญตั มิ าตรา 2 วรรคแรกของประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่กล่าวถึงคำ�ฟ้องคดีแพ่งท่ีเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา (Action
civile)13 ก็พอจะอนุมานได้ว่าผู้เสียหายคือบุคคลที่ได้รับความเสียหายส่วนตัวและโดยตรงจาก
การกระทำ�ความผิดทางอาญา นอกจากน้ีเม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติต่าง ๆ ของประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ก็จะพบหลากหลายถ้อยคำ�ที่สื่อความหมายถึงผู้เสียหาย
เชน่ la partie lésée, l’auteur de la plainte, la partie civile, la victime qui a porté
plainte sans se constituer partie civile และ la victime qu’elle se soit ou non
constituée partie civile lors de la procédure เป็นต้น
แมค้ �ำ นยิ ามทางกฎหมายของค�ำ วา่ ผเู้ สยี หายจะไมป่ รากฏในตวั บทกฎหมายอาญาและ
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่เราสามารถค้นหาคำ�จำ�กัดความของคำ�ดังกล่าวได้จาก
พจนานุกรมทางกฎหมายที่จัดทำ�โดยหน่วยงานต่าง ๆ ท้ังที่เป็นพจนานุกรมคำ�ศัพท์ทั่วไปทาง
นิติศาสตร์ เช่น พจนานุกรมศัพท์นิติศาสตร์ของ ศาสตราจารย์ Gérard CORNU14 และ
พจนานุกรมศัพท์นิติศาสตร์ที่จัดทำ�โดยสำ�นักพิมพ์ Dalloz15 และพจนานุกรมทางนิติศาสตร์
13 Article 2 alinéa 1er du Code de procédure pénale prévoit : « L’action civile en
réparation du dommage causé par un crime, un délit ou une contravention appartient à tous ceux
qui ont personnellement souffert du dommage directement causé par l’infraction. »
14 G. Cornu, Vocabulaire juridique, 11e édition, Paris : Presses Universitaires de France,
2016
15 S. Guinchard et T. Debard, Lexique des termes juridiques, 25e édition 2017-2018,
Paris : Dalloz, 2017.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 270 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
สำ�หรับคำ�ศัพท์เฉพาะทาง เช่น พจนานุกรมเกี่ยวกับระบบความยุติธรรมท่ีจัดทำ�ในปี ค.ศ.
200416 พจนานุกรมด้านกฎหมายอาญาของสำ�นักพิมพ์ Dalloz ที่จัดทำ�ในปี ค.ศ. 200417
พจนานุกรมทเี่ กยี่ วกบั ความรนุ แรง ซ่งึ จดั ท�ำ เมื่อปี ค.ศ. 2011 (Dictionnaire de la violence
2011)18 และพจนานุกรมออนไลน์ด้านกฎหมายอาญา (Dictionnaires en ligne de droit
criminel) ของศาสตราจารย์ Jean-Paul DOUCET19
เมอ่ื พจิ ารณาจากบทบญั ญตั ขิ องประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา และนยิ าม
คำ�วา่ ผ้เู สียหายตามที่ปรากฏอยูใ่ นพจนานุกรมฉบบั ตา่ ง ๆ ท�ำ ให้สรุปความได้วา่ บุคคลที่จะเปน็
ผเู้ สยี หายในคดอี าญาจะตอ้ งมลี กั ษณะประการส�ำ คญั คอื ตอ้ งไดร้ บั ความเสยี หายโดยตรงและเปน็
สว่ นตัวจากการกระทำ�ความผดิ ทางอาญา ลักษณะดังกล่าวน้ีท�ำ ให้ทราบว่าโดยหลกั แล้วบุคคล
ท่ีจะเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรง (Victime directe) จากการกระทำ�
ความผิดทางอาญา อย่างไรก็ดีมีบางกรณีท่ีผู้เสียหายโดยอ้อม (Victime indirecte) สามารถ
เป็นผเู้ สยี หายในคดอี าญาได้เชน่ กนั
2.1 ผู้เสยี หายโดยตรง
ผเู้ สยี หายโดยตรง (Victime directe หรอื Victime immédiate) เปน็ ผเู้ คราะห์รา้ ย
ท่ไี ด้รับความเสยี หายจากการกระทำ�ความผดิ อาญา ทงั้ นีโ้ ดยมหี ลกั เกณฑ์ในการพจิ ารณาความ
เป็นผูเ้ สียหายประเภทดังกล่าว ดงั น้ี
1) มกี ารกระท�ำ ความผดิ อาญาฐานใดฐานหน่งึ เกิดขึ้น
การมผี เู้ สยี หายโดยตรงในคดอี าญาหรอื ไมน่ น้ั ยอ่ มตอ้ งพจิ ารณาเสยี กอ่ นวา่ มกี าร
กระทำ�ความผิดทางอาญาฐานใดฐานหน่ึงเกิดขึ้นแล้วหรือไม่ เพราะหากการกระทำ�นั้น ๆ
กฎหมายอาญาไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ไิ วเ้ ปน็ ความผดิ กไ็ มต่ อ้ งพจิ ารณาตอ่ ไปวา่ มบี คุ คลใดไดร้ บั ความเสยี หาย
จากการกระท�ำ ดงั กลา่ วเพราะเป็นที่ชดั เจนวา่ ไม่มผี เู้ สียหายในคดีอาญาอย่างแน่นอน
16 L. Cadiet, Dictionnaire de la justice, Paris : Presses Universitaires de France, 2004.
17 G. Lopez et T. Stamatios, Dictionnaire des sciences criminelles, Paris : Dalloz 2004.
18 M. Maria Michela, Dictionnaire de la violence, Paris : Presses Universitaires de France,
2011.
19 http://ledroitcriminel.fr/dictionnaire.htm
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 271 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
2) บุคคลนั้นได้รับความเสียหายโดยตรงและเป็นส่วนตัวจากการกระทำ�
ความผดิ อาญานัน้
เมอ่ื มกี ารกระท�ำ ความผดิ อาญาฐานใดฐานหนงึ่ เกดิ ขนึ้ แลว้ กรณจี งึ ตอ้ งพจิ ารณา
ต่อไปว่ามีบุคคลใดได้รับความเสียหายจากการกระทำ�ความผิดนั้นหรือไม่ บุคคลท่ีได้รับความ
เสียหายในที่น้ีอาจเป็นบุคคลธรรมดา (Personne physique) หรือนิติบุคคล (Personne
morale) กไ็ ด้ แตท่ ั้งน้ีมขี อ้ สังเกตวา่ ในกรณีทีบ่ คุ คลดังกล่าวตอ้ งการใช้สทิ ธใิ นการดำ�เนินคดจี ะ
ต้องปฏิบัติตามเง่ือนไขของกฎหมายด้วย ยกตัวอย่างเช่น การใช้สิทธิของบุคคลธรรมดาท่ี
เก่ียวข้องกับกระบวนการยุติธรรมน้ันจะต้องพิจารณาเรื่องสัญชาติและอายุของผู้เสียหาย
กลา่ วคอื ในเรอื่ งสญั ชาตนิ นั้ หากผเู้ สยี หายมสี ญั ชาตฝิ รง่ั เศส กระบวนการด�ำ เนนิ คดยี อ่ มงา่ ยดาย
กว่ากรณีที่ผู้เสียหายเป็นคนสัญชาติอื่น อย่างไรก็ดีผู้เสียหายท่ีเป็นคนต่างชาติสามารถได้รับ
ความชว่ ยเหลอื หรือความคุ้มครองจากรัฐดว้ ยมาตรการตา่ ง ๆ ที่ท�ำ ให้การดำ�เนินคดอี าญาเป็น
ไปดว้ ยความสะดวกมากยงิ่ ขน้ึ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเรอื่ งภาษาซงึ่ เปน็ ประเดน็ ส�ำ คญั ทส่ี ดุ ในการ
ดำ�เนินคดี เพราะหากผู้เสียหายไม่เข้าใจภาษาฝร่ังเศสเป็นอย่างดี การดำ�เนินคดีย่อมไม่มี
ประสิทธิภาพอย่างเพียงพอ ดังน้ันรัฐจึงต้องให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายท้ังในด้านการแปล
ความกฎหมายและการแปลภาษา20 นอกจากนใ้ี นระหวา่ งการด�ำ เนนิ คดอี าญาในศาลของฝรง่ั เศส
ผู้เสียหายจำ�เป็นต้องพำ�นักในประเทศดังกล่าวเพ่ือความสะดวกในการดำ�เนินคดีจนกว่าคดีจะ
ถงึ ทส่ี ดุ กรณจี งึ เกดิ ปญั หาเรอื่ งการมใี บอนญุ าตใหพ้ �ำ นกั ในประเทศฝรงั่ เศส กฎหมายคนเขา้ เมอื ง
(Code de l’entrée et du séjour des étrangers et du droit d’asile) จึงกำ�หนดมาตรการ
แก้ไขปัญหาดังกล่าวไว้ว่าในความผิดบางประเภท ผู้เสียหายท่ีเป็นชาวต่างชาติมีสิทธิได้รับใบ
อนญุ าตใหพ้ �ำ นกั เปน็ การชวั่ คราวตลอดระยะเวลาของการด�ำ เนนิ คดี สว่ นในเรอื่ งอายนุ น้ั การใช้
สิทธิของผู้เสียหายท่ีบรรลุนิติภาวะกับการใช้สิทธิของผู้เสียหายท่ียังเป็นผู้เยาว์ย่อมแตกต่างกัน
นบั ตง้ั แต่ปี ค.ศ.1974 เปน็ ต้นมา กฎหมายก�ำ หนดว่าบุคคลธรรมดายอ่ มบรรลุนิตภิ าวะหรอื พ้น
จากสภาวะความเป็นผเู้ ยาว์เม่ือมอี ายุครบ 18 ปีบรบิ ูรณ์21 หากผ้เู สยี หายจากการกระทำ�ความ
ผิดเปน็ ผู้เยาว์และปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้แทนตามกฎหมาย (Représentant légal) ของบุคคล
นน้ั ไมไ่ ดใ้ หค้ วามคมุ้ ครองแกผ่ เู้ ยาวอ์ ยา่ งดพี อ กรณดี งั กลา่ วพนกั งานอยั การ องคก์ รอยั การ หรอื
20 Article 10-3 du Code de procédure pénale, créé par la loi n°2015-993 du 17 août 2015
article 7.
21 Loi n° 74-631 du 5 juillet 1974.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 272 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
ศาลไตส่ วนตอ้ งแต่งต้งั บุคคลท่เี รียกวา่ “ผู้ปกครองเฉพาะกจิ (Administrateur ad hoc)” เพ่ือ
ใหบ้ ุคคลดังกลา่ วเป็นผู้ใช้สิทธิตา่ ง ๆ ของผเู้ สียหายในนามของผเู้ ยาว์
ส่วนลักษณะการได้รับความเสียหายของบุคคลจะต้องประกอบด้วยเง่ือนไขท่ี
ส�ำ คญั 2 ประการ กล่าวคือ ประการแรก ตอ้ งเปน็ ความเสยี หายโดยตรง หมายความวา่ ความ
เสยี หายทเี่ กดิ ขนึ้ ตอ้ งมเี หตมุ าจากการกระท�ำ ความผดิ อาญานนั้ ๆ อกี ทงั้ ตอ้ งมคี วามเชอื่ มโยงกบั
เงื่อนไขประการที่สอง เช่น เมื่อมีการลักทรัพย์เกิดขึ้นย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของ
ทรัพยส์ นิ เง่ือนไขประการท่สี องคอื ความเสียหายนนั้ ต้องเป็นสว่ นตัว หมายความว่า บคุ คลทไ่ี ด้
รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำ�ความผิดตอ้ งถูกท�ำ ให้เสื่อมเสียตอ่ รา่ งกาย จิตใจ หรอื
ทรัพย์สินของบุคคลดังกล่าว นอกจากนี้ความเสื่อมเสียหรือความเสียหายท่ีถูกกล่าวหาโดย
ผู้เสียหายต้องสอดคล้องกับผลท่ีได้จากการฟ้องร้องคดี เมื่อพิจารณาจากตัวอย่างเรื่องการ
ลกั ทรพั ย์ การลกั ทรพั ยเ์ ปน็ การยกั ยา้ ยซงึ่ ทรพั ยส์ นิ ของบคุ คลอน่ื ไปโดยทจุ รติ จนเปน็ เหตใุ หบ้ คุ คล
นั้นสูญเสียทรัพย์สินดังกล่าว เจ้าของกรรมสิทธ์ิหรือผู้มีสิทธิครอบครองทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็น
ผู้เสียหาย เง่ือนไขสองประการน้ีถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัดในการพิจารณาความเป็นผู้เสียหาย
นอกจากน้ีความเสียหายท่ีเกิดข้ึนต้องชัดเจนแน่นอนและมีอยู่ในปัจจุบัน (Préjudice certain
et actuel) อย่างไรก็ดคี วามเสียหายทเ่ี กิดขึ้นในอนาคตสามารถถกู น�ำ มาพจิ ารณาได้เชน่ กันถา้
หากวา่ ความเสยี หายดังกล่าวสามารถคาดการณ์ไดอ้ ยา่ งแน่นอน22
เมอ่ื พจิ ารณาหลกั เกณฑข์ า้ งตน้ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในขอ้ ทว่ี ่าบุคคลนน้ั ตอ้ งไดร้ บั
ความเสยี หายโดยตรงและเปน็ สว่ นตวั จากการกระท�ำ ความผดิ แลว้ ปรากฏวา่ บคุ คลใดมฐี านะเปน็
ผู้เสียหายโดยตรงครบตามหลักเกณฑ์ท่ีกล่าวมา ผลคือบุคคลน้ันสามารถใช้สิทธิในการดำ�เนิน
คดีอาญาได้ในฐานะผเู้ สียหายโดยตรง ซึง่ สทิ ธทิ ว่ี า่ นีไ้ ด้แก่ การรอ้ งทุกข์ (Plainte) ตอ่ เจา้ หน้าท่ี
ต�ำ รวจ และการเปน็ โจทกร์ ว่ มกบั พนกั งานอยั การในคดอี าญา (Constitution de partie civile)
ส่วนการฟ้องคดีอาญาด้วยตนเองนั้นผู้เสียหายไม่สามารถกระทำ�ได้เพราะสิทธิในการฟ้องคดี
อาญาในศาลฝรง่ั เศสเปน็ ของพนกั งานอยั การเพยี งผเู้ ดยี ว หากผเู้ สยี หายประสงคจ์ ะฟอ้ งคดกี จ็ ะ
ท�ำ ไดแ้ ตเ่ พียงการฟ้องคดีแพ่งทเ่ี กีย่ วเนอื่ งกบั คดีอาญา (Action civile) เท่านน้ั
หากตคี วามบทบญั ญัตมิ าตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา
ฝรั่งเศสให้กว้างออกไป เราจะเห็นว่าบทบัญญัติดังกล่าวไม่ปฏิเสธการมีอยู่ของผู้เสียหายอีก
22 T. Garé et C. Ginestet, Droit pénal Procédure pénale, 9e édition, Paris : Dalloz, 2016,
p. 324.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 273 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
ประเภทหนึ่งที่เรียกว่าผเู้ สียหายโดยออ้ ม
2.2 ผูเ้ สยี หายโดยออ้ ม
ผเู้ สยี หายโดยออ้ ม (Victime indirecte หรอื Victime par ricochet) หมายถงึ บรรดา
ญาติสนิทหรือสมาชิกในครอบครัวที่มีความเก่ียวพันอย่างใกล้ชิดกับบุคคลที่เป็นผู้เสียหาย
โดยตรงจากการกระทำ�ความผิด บุคคลดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายอีกประเภทหนึ่งท่ีสามารถใช้
สทิ ธใิ นการด�ำ เนินคดอี าญาแก่ผู้กระทำ�ความผิดไดเ้ ชน่ เดียวกับผ้เู สยี หายโดยตรง
แตเ่ ดิมเป็นที่ยอมรบั ว่าในประเด็นเร่อื งการดำ�เนินคดีของผเู้ สียหายโดยออ้ มนั้น หาก
พจิ ารณาจากขอ้ ความคดิ ตา่ ง ๆ ทางกฎหมาย รวมทง้ั การตระหนกั ถงึ ความเชอื่ มโยงของเหตแุ หง่
การกระทำ� ย่อมสันนิษฐานไว้ก่อนว่าการดำ�เนินคดีสามารถกระทำ�โดยบรรดาญาติสนิทของ
บคุ คลทเี่ สยี หายจากการท�ำ รา้ ยรา่ งกายจนไดร้ บั อนั ตรายแกช่ วี ติ และการท�ำ ใหไ้ ดร้ บั บาดเจบ็ โดย
เจตนา ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1989 ได้เกิดการเปล่ียนแปลงคร้ังยิ่งใหญ่โดยผลจาก
คำ�พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาซ่ึงตัดสินว่าบรรดาญาติสนิทของผู้เสียหายจากการได้รับ
บาดเจ็บโดยประมาทถือเป็นบุคคลท่ีได้รับความเสียหายด้วยเช่นกันหากว่าบุคคลน้ันสามารถ
พิสูจน์ได้ว่าความเสียหายจากการกระทำ�ความผิดเกิดข้ึนโดยตรงและเป็นส่วนตัว เหตุท่ีมีการ
ยอมรบั สทิ ธขิ องบคุ คลดงั กลา่ วกเ็ พอ่ื จดุ ประสงคท์ จ่ี ะใหก้ ารคมุ้ ครองแกผ่ เู้ สยี หายจากการกระท�ำ
ความผดิ มปี ระสทิ ธภิ าพมากยง่ิ ขนึ้ ผลทตี่ ามมากค็ อื ขอ้ ความคดิ เกยี่ วกบั ความเสยี หายทางอาญา
(Préjudice pénal) ได้ขยายขอบเขตกวา้ งขน้ึ ตามไปดว้ ย โดยตัง้ แต่มีคำ�พิพากษาในปดี ังกล่าว
ก็ทำ�ให้เกิดความชัดเจนในการยอมรับสิทธิในการดำ�เนินคดีของผู้เสียหายโดยอ้อม ท้ังน้ีเพราะ
ไม่มีเหตุผลอันชอบด้วยกฎหมายใด ๆ ท่ีจะจำ�กัดสิทธิของผู้เสียหายโดยอ้อมในการดำ�เนินคดี
สำ�หรับความผิดที่เกิดจากการกระทำ�โดยประมาท เช่นเดียวกับท่ีศาลฎีกาได้ขยายขอบเขต
ของความคุ้มครองไปยังความผิดต่าง ๆ โดยเร่ิมจากความผิดเก่ียวกับการทำ�ร้ายร่างกายจน
ได้รบั อันตรายแก่ชีวิตและการท�ำ ใหไ้ ด้รบั บาดเจ็บโดยเจตนา แลว้ จงึ ค่อย ๆ ขยายไปยังทุกฐาน
ความผดิ 23
จากท่ีกล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการพิจารณาว่าบุคคลใดเป็นผู้เสียหายโดยอ้อม
หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นบุคคลท่ีมีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายโดยตรงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการ
ดำ�เนินคดีแก่ผู้กระทำ�ความผิดจึงขึ้นอยู่กับการตีความของศาลว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความ
23 Ibid., p. 325.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 274 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
เสยี หายโดยตรงและเป็นส่วนตวั จากการกระทำ�ความผิดหรอื ไม่ ซ่งึ หากบุคคลใดเปน็ ผู้เสียหาย
โดยอ้อม บคุ คลน้นั ยอ่ มใชส้ ิทธดิ �ำ เนินคดใี นเรอ่ื งดังตอ่ ไปนีเ้ ชน่ เดยี วกบั ผเู้ สียหายโดยตรง ไดแ้ ก่
การรอ้ งทกุ ขต์ อ่ เจา้ หนา้ ทต่ี �ำ รวจ การเปน็ โจทกร์ ว่ มกบั พนกั งานอยั การในคดอี าญา และการฟอ้ ง
คดแี พ่งเกี่ยวเนอื่ งกบั คดอี าญา
เมื่อทราบถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาความเป็นผู้เสียหายทั้งในกฎหมายไทยและ
กฎหมายฝรั่งเศสแล้ว ในหัวข้อต่อไปจะเป็นการเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างของ
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายของท้งั สองประเทศดงั กล่าว
3. ข้อเปรียบเทียบความเป็นผู้เสียหายในกฎหมายไทยและกฎหมาย
ฝร่งั เศส
จากการศึกษาถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาความเป็นผู้เสียหายดังที่กล่าวมาข้างต้น
เราจะพบว่ามีประเด็นส�ำ คญั ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ผู้เสียหายตามกฎหมายไทยและกฎหมายฝร่ังเศส
อนั ควรน�ำ มาศึกษาเปรียบเทียบดังต่อไปนี้
3.1 การใหค้ �ำ จ�ำ กัดความคำ� “ผเู้ สียหาย”
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) ได้ให้คำ�จำ�กัดความคำ�
“ผู้เสียหาย” ไว้อย่างชัดเจนว่าหมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำ�ผิดฐานใด
ฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอ่ืนท่ีมีอำ�นาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 ซึ่ง
จากบทบัญญัตินี้ทำ�ให้ทราบอย่างชัดเจนว่าผู้เสียหายตามกฎหมายไทยมี 2 ประเภทคือ
ผู้เสียหายท่ีแท้จริงและผู้มีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริง อีกท้ังทำ�ให้ทราบหลักเกณฑ์
ในการพิจารณาความเป็นผู้เสียหายแต่ละประเภทไปด้วยในตัว แต่ในประเทศฝรั่งเศสน้ันไม่มี
การให้บทนิยามศัพท์ “ผู้เสียหาย” อย่างชัดเจนในตัวบทกฎหมาย จึงต้องอาศัยการอนุมาน
จากบทบัญญัติมาตรา 2 วรรคแรกแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาฝร่ังเศสและ
การค้นหาบทนิยามคำ�ดังกล่าวจากพจนานุกรมคำ�ศัพท์ทางนิติศาสตร์ รวมท้ังอาศัยคำ�อธิบาย
จากต�ำ ราทางกฎหมาย ซง่ึ สรปุ ความไดว้ า่ ผเู้ สยี หายหมายถงึ บคุ คลทไี่ ดร้ บั ความเสยี หายโดยตรง
และเป็นส่วนตัวจากการกระทำ�ความผิดอาญา จากคำ�จำ�กัดความนี้ทำ�ให้ประเทศฝรั่งเศสมี
การจ�ำ แนกประเภทของผูเ้ สียหายออกเป็นผ้เู สียหายโดยตรงและผูเ้ สียหายโดยอ้อม
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 275 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
3.2 การพจิ ารณาความเป็นผูเ้ สียหายทแี่ ทจ้ รงิ หรือผ้เู สียหายโดยตรง
ค�ำ “ผเู้ สียหายทแ่ี ท้จริง” ตามกฎหมายไทยและคำ� “ผ้เู สียหายโดยตรง” (Victime
directe หรอื Victime immédiate) ตามกฎหมายฝรัง่ เศสเปน็ คำ�ทม่ี ีความหมายคลา้ ยคลึงกัน
เพราะแต่ละคำ�ล้วนหมายถึงบุคคลท่ีได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำ�ความผิดอาญา
โดยหลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงตามกฎหมายไทยเป็นการนำ�เอา
บทนิยามคำ� “ผู้เสยี หาย” ตามมาตรา 2 (4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญามา
ขยายความและท�ำ ใหเ้ กดิ หลกั เกณฑส์ องประการแรกคอื ตอ้ งมกี ารกระท�ำ ความผดิ อาญาฐานใด
ฐานหนงึ่ เกดิ ขน้ึ และบคุ คลนน้ั ตอ้ งไดร้ บั ความเสยี หายจากการกระท�ำ ความผดิ อาญาฐานดงั กลา่ ว
สว่ นหลกั เกณฑป์ ระการสดุ ทา้ ยของการพจิ ารณาความเปน็ ผเู้ สยี หายตามกฎหมายไทยคอื บคุ คล
น้ันเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยกลับมิได้ปรากฏอยู่ในถ้อยความของบทบัญญัติมาตรา 2 (4) แต่
เกดิ จากหลกั ทว่ั ไปทว่ี า่ “ผทู้ จ่ี ะมาขอพง่ึ บารมแี หง่ ความยตุ ธิ รรมตอ้ งมาดว้ ยมอื อนั บรสิ ทุ ธ”ิ์ โดย
ศาลฎีกาไทยให้ความสำ�คัญกับหลักการนี้จึงได้ตัดสินสอดคล้องกับหลักการดังกล่าวตลอดมา
ดังน้ันหากบุคคลท่ีได้รับความเสียหายจากการกระทำ�ความผิดอาญามีส่วนร่วมในการกระทำ�
ความผดิ ยนิ ยอมใหม้ กี ารกระท�ำ ความผดิ ตอ่ ตน มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งอนื่ ใดในการกระท�ำ ความผดิ นน้ั
หรือกระทำ�การขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
อันดีของประชาชน บุคคลนั้นย่อมมิใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยและส่งผลสืบเนื่องทำ�ให้บุคคล
ดังกลา่ วไม่สามารถใชส้ ิทธิในการด�ำ เนนิ คดีอาญาอยา่ งใด ๆ แก่ผู้กระทำ�ความผดิ
ส่วนในประเทศฝร่ังเศสน้ัน หลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายโดยตรงนำ�
มาจากการขยายค�ำ จ�ำ กดั ความค�ำ “ผเู้ สยี หาย” และการจ�ำ แนกประเภทของผเู้ สยี หายซง่ึ ปรากฏ
ในต�ำ รากฎหมายและค�ำ พิพากษาต่าง ๆ ซึ่งอธบิ ายไว้วา่ การจะมผี ู้เสียหายโดยตรงน้ันนอกจาก
จะต้องพิจารณาว่ามีการกระทำ�ความผิดอาญาฐานใดฐานหนึ่งเกิดข้ึนแล้ว หลักเกณฑ์ประการ
สำ�คัญคือต้องได้ความว่าบุคคลน้ันได้รับความเสียหายโดยตรงและเป็นส่วนตัวจากการกระทำ�
ความผดิ ดงั กล่าวด้วย หากครบหลกั เกณฑท์ ้ังสองประการทกี่ ล่าวมา อกี ท้งั ความเสียหายทเี่ กิด
ขน้ึ เปน็ ทแี่ นน่ อนและมอี ยใู่ นปจั จบุ นั บคุ คลนน้ั ยอ่ มเปน็ ผเู้ สยี หายโดยตรงและสามารถใชส้ ทิ ธใิ น
การดำ�เนินคดีอาญากับผู้กระทำ�ความผิดได้ทันที ส่วนการพิจารณาว่าบุคคลท่ีได้รับความ
เสยี หายโดยตรงและเปน็ สว่ นตวั จะตอ้ งเปน็ ผเู้ สยี หายโดยนติ นิ ยั ดว้ ยหรอื ไมน่ นั้ มใิ ชห่ ลกั เกณฑใ์ น
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายโดยตรงในคดีอาญา ทั้งนี้เพราะประเทศฝร่ังเศสนำ�เอาหลัก
ท่วั ไปท่ีว่า Nemo auditor suam propriam turpitudinem allegans ซง่ึ แปลว่าผูท้ จี่ ะมา
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 276 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
ขอพึ่งบารมีแห่งความยุติธรรมต้องมาด้วยมืออันบริสุทธ์ิมาใช้เฉพาะในคดีแพ่งเท่านั้น โดยใน
เรอื่ งนศ้ี าลฎกี าฝรง่ั เศสไดม้ คี �ำ ตดั สนิ ตลอดมาเปน็ เวลายาวนานในลกั ษณะทตี่ รงขา้ มกนั ระหวา่ ง
คดีแพ่งและคดีอาญาโดยตัดสินว่าหลัก Nemo auditor suam propriam turpitudinem
allegans นำ�มาใช้กับการดำ�เนินคดีแพ่งแต่ไม่นำ�มาใช้กับการดำ�เนินคดีอาญา24 ดังน้ันการ
พจิ ารณาวา่ บคุ คลนั้น ๆ เป็นผูเ้ สยี หายโดยตรงในคดอี าญาหรอื ไม่จึงไม่ตอ้ งพิจารณาความเปน็
ผู้เสียหายโดยนิตินัยของบุคคลดังกล่าว ฉะน้ันแม้บุคคลนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำ�
ความผิดอาญา เช่น ยินยอมให้มีการกระทำ�ความผิดต่อตน มีส่วนร่วมในการกระทำ�ความผิด
หรือกระทำ�การอันขัดต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายก็ตาม หากบุคคลน้ันได้รับความเสียหาย
โดยตรงและเปน็ ส่วนตวั จากการกระทำ�ความผิดน้นั บุคคลดงั กลา่ วกย็ ังคงมีฐานะเปน็ ผ้เู สียหาย
โดยตรงและสามารถเร่ิมต้นคดีโดยการร้องทุกข์ รวมถึงเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการในคดี
อาญาและฟ้องคดีแพ่งท่ีเกี่ยวเน่ืองกับคดีอาญาได้ เหตุท่ีเป็นเช่นนี้ก็เพราะระบบการดำ�เนินคดี
อาญาของฝรงั่ เศสสอดคลอ้ งกบั หลกั การด�ำ เนนิ คดอี าญาโดยรฐั ซง่ึ ถอื วา่ หากมกี ารกระท�ำ ความ
ผิดอาญาที่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยในสังคมเกิดข้ึน รัฐมีหน้าท่ีต้องเข้าไปจัดการกับการ
กระทำ�ความผิดดังกล่าวโดยไม่ต้องคำ�นึงว่าการกระทำ�ความผิดอาญานั้นบุคคลท่ีได้รับความ
เสยี หายจากการกระท�ำ ความผดิ เปน็ ผเู้ สยี หายโดยนติ นิ ยั หรอื ไม่ ซงึ่ แตกตา่ งจากศาลไทยทยี่ ดึ ถอื
หลักการที่วา่ ผูเ้ สียหายตอ้ งมาศาลดว้ ยมอื อันบริสทุ ธิ์อย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ดีคำ�พิพากษาของ
ศาลฎีกาฝรั่งเศสในระยะหลัง ๆ เรมิ่ มีแนวโน้มท่จี ะนำ�หลกั Nemo auditor suam propriam
turpitudinem allegans มาใช้กับคดีอาญาเพ่ิมข้ึนเนื่องจากแนวคิดที่ว่ารัฐไม่จำ�ต้องเข้าไป
จัดการกับการกระทำ�ความผดิ อาญาทั้งหมดเริม่ เขา้ มามบี ทบาทมากยง่ิ ข้นึ
3.3 การพจิ ารณาความเปน็ ผมู้ อี �ำ นาจจดั การแทนผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ และ
ผ้เู สยี หายโดยออ้ ม
ผู้มีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริงตามกฎหมายไทยและผู้เสียหายโดยอ้อม
(Victime indirecte หรือ Victime par ricochet) ตามกฎหมายฝรงั่ เศสมลี ักษณะเหมอื นกนั
ตรงที่บุคคลดังกล่าวล้วนเป็นผู้ที่สามารถใช้สิทธิแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริงหรือผู้เสียหายโดยตรง
เพอื่ ด�ำ เนนิ คดกี บั ผกู้ ระท�ำ ความผดิ ได้ แตก่ ระนน้ั กม็ คี วามแตกตา่ งกนั ในประการส�ำ คญั ตรงทกี่ าร
เป็นผู้มีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแท้จริงจะต้องเป็นโดยผลของกฎหมาย กล่าวคือ เฉพาะ
24 Ibid., pp. 324-325.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 277 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
บคุ คลท่ีระบุไว้ในมาตรา 4, 5 และ 6 แห่งประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญาเทา่ นน้ั ที่มี
อำ�นาจจดั การแทนผู้เสียหายท่แี ท้จริงดงั ท่มี าตรา 2 (4) ของกฎหมายเดียวกนั บัญญัตไิ ว้ ดังน้นั
หากบคุ คลใดเขา้ เงอ่ื นไขของแตล่ ะมาตราดงั กลา่ วกย็ อ่ มมอี �ำ นาจจดั การแทนผเู้ สยี หายทแี่ ทจ้ รงิ
ได้ทนั ที การบัญญตั ิกฎหมายในลักษณะเชน่ น้ีจงึ มผี ลดีตรงที่กอ่ ให้เกดิ ความชดั เจนของบุคคลท่ี
สามารถใชส้ ทิ ธใิ นการด�ำ เนนิ คดอี าญาแทนผเู้ สยี หายทแ่ี ทจ้ รงิ และท�ำ ใหบ้ คุ คลดงั กลา่ วสามารถ
เตรียมการล่วงหน้าเพื่อดำ�เนินคดีอาญาแก่ผู้กระทำ�ความผิด แต่ในกฎหมายฝรั่งเศสกลับไม่มี
บทบญั ญตั ทิ กี่ ลา่ วถงึ บคุ คลทส่ี ามารถเปน็ ผเู้ สยี หายโดยออ้ มไวอ้ ยา่ งชดั เจน ดงั นนั้ การจะพจิ ารณา
ว่าบุคคลใดเป็นผู้เสียหายโดยอ้อมซึ่งจะมีอำ�นาจจัดการแทนผู้เสียหายโดยตรงจึงข้ึนอยู่กับการ
ตีความของศาลว่าบุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหายโดยตรงและเป็นส่วนตัวจากการกระทำ�
ความผิดอาญานั้น ๆ หรือไม่ ดังน้ันหลักเกณฑ์การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายโดยอ้อมตาม
กฎหมายฝรั่งเศสจึงยังขาดความชัดเจนในแง่ของบทบญั ญัตแิ หง่ กฎหมาย แตก่ ม็ ีข้อดใี นแงท่ ี่วา่
ศาลสามารถวนิ ิจฉัยตามข้อเท็จจรงิ ท่ีปรากฏไดอ้ ย่างทันทว่ งที
3.4 สิทธิของผเู้ สยี หาย
กฎหมายไทยให้อำ�นาจผู้เสียหายในการดำ�เนินคดีอาญาได้อย่างกว้างขวางเพราะใน
ระบบการดำ�เนินคดีอาญาของไทยน้ันผู้เสียหายมีสถานะเป็นประธานในคดีอาญาและมีสิทธิ
เขา้ ไปมสี ่วนรว่ มในการด�ำ เนนิ คดีอาญาเคียงคกู่ ับพนักงานอยั การ โดยมีอำ�นาจเร่มิ ตน้ คดอี าญา
โดยการรอ้ งทกุ ขแ์ ละการเปน็ โจทกฟ์ อ้ งคดอี าญา และยตุ คิ ดอี าญาโดยการถอนค�ำ รอ้ งทกุ ข์ ถอน
ฟ้องและยอมความ นอกจากน้ยี ังมสี ทิ ธิประการอ่นื ๆ ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การดำ�เนินคดีอาญา เช่น
การขอเขา้ รว่ มเปน็ โจทกก์ บั พนกั งานอยั การ การแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ ค�ำ ฟอ้ ง การอทุ ธรณ์ การฎกี า การ
ฟอ้ งและการถอนฟอ้ งคดแี พง่ ทเ่ี กยี่ วเนอื่ งกบั คดอี าญา เปน็ ตน้ สทิ ธติ า่ ง ๆ ทกี่ ลา่ วมานกี้ ฎหมาย
ให้แก่บุคคลที่มีฐานะเป็นผู้เสียหายท่ีแท้จริงสามารถกระทำ�การได้ภายใต้เงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน
กฎหมาย แตใ่ นกรณที บี่ คุ คลนนั้ มสี ถานะเปน็ เพยี งผมู้ อี �ำ นาจจดั การแทนผเู้ สยี หายทแี่ ทจ้ รงิ ตาม
มาตรา 4, 5 และ 6 แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา บคุ คลดงั กลา่ วมอี �ำ นาจจดั การ
แทนได้เฉพาะในเร่ืองทบี่ ญั ญตั ิไว้ในมาตรา 3 ของกฎหมายเดยี วกนั อนั ได้แก่ การร้องทกุ ข์ การ
เป็นโจทก์ฟอ้ งคดีอาญาและคดีแพง่ ท่เี กีย่ วเนอื่ งกบั คดอี าญา การเขา้ ร่วมเป็นโจทก์กับพนักงาน
อัยการในคดีอาญา การถอนฟ้องคดีอาญาหรือคดีแพ่งที่เก่ียวเนื่องกับคดีอาญา และการยอม
ความในคดีความผิดต่อส่วนตัว แต่ในเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากท่ีกล่าวมา บุคคลดังกล่าว
ไม่สามารถกระทำ�การแทนได้เว้นแต่โดยอาศัยหนังสือมอบอำ�นาจจากผู้เสียหายที่แท้จริงท่ีระบุ
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 278 |
การพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญา : เปรียบเทียบกฎหมายไทยและกฎหมายฝรั่งเศส
อย่างชัดเจนว่าบุคคลดังกล่าวได้รับมอบอำ�นาจให้จัดการแทนในเรื่องใด แต่ท้ังน้ีบุคคลที่ได้รับ
มอบอำ�นาจจะไมม่ ีสถานะเป็นผูม้ อี �ำ นาจจัดการแทนผู้เสียหายท่ีแทจ้ ริงตามมาตรา 4, 5 หรือ 6
แตจ่ ะมีสถานะเปน็ ผ้รู ับมอบอ�ำ นาจใหจ้ ดั การแทน
ส่วนในประเทศฝรั่งเศสนั้น แม้ผู้เสียหายสามารถเข้าร่วมในการดำ�เนินคดีอาญา แต่
การมสี ว่ นรว่ มเปน็ ไปอยา่ งมขี อ้ จ�ำ กดั เพราะการด�ำ เนนิ คดอี าญาของฝรงั่ เศสเปน็ ไปตามหลกั การ
ด�ำ เนนิ คดอี าญาโดยรฐั พนกั งานอยั การจงึ เปน็ ผมู้ บี ทบาทหลกั ในการด�ำ เนนิ คดอี าญา โดยเฉพาะ
อยา่ งยง่ิ การฟอ้ งคดอี าญาซง่ึ เปน็ อ�ำ นาจเฉพาะของพนกั งานอยั การ ผเู้ สยี หายไมม่ อี �ำ นาจดงั กลา่ ว
ดังน้ันผู้เสียหายในคดีอาญาไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือผู้เสียหายโดยอ้อมจึงมีเพียงสิทธิ
บางประการในการดำ�เนินคดอี าญา อนั ประกอบด้วยการรอ้ งทุกขต์ ่อเจา้ หน้าที่ตำ�รวจ การเปน็
โจทก์ร่วมกบั พนักงานอยั การในคดอี าญา และการฟ้องคดีแพ่งที่เกีย่ วเนื่องกับคดอี าญา
บทสรุป
จากการศึกษาข้างต้นจะเห็นได้ว่าการพิจารณาความเป็นผู้เสียหายในคดีอาญาก่อให้
เกิดผลอย่างมีนัยสำ�คัญต่อการดำ�เนินคดีอาญาเน่ืองจากผู้เสียหายเป็นบุคคลท่ีได้รับผลกระทบ
โดยตรงจากการกระท�ำ ความผดิ อาญา จงึ เปน็ บคุ คลทม่ี บี ทบาทส�ำ คญั ในกระบวนการด�ำ เนนิ คดี
อาญา โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ส�ำ หรบั ประเทศไทยและประเทศฝรงั่ เศสซงึ่ มรี ะบบการด�ำ เนนิ คดอี าญา
ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั และทงั้ สองประเทศตา่ งกเ็ ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ สยี หายเขา้ มามบี ทบาทในการด�ำ เนนิ คดี
อย่างไรก็ดีการพิจารณาความเป็นผู้เสียหายของท้ังสองประเทศมีข้อแตกต่างกันบางประการ
ทง้ั ในแงค่ วามชดั เจนของการใหค้ �ำ จ�ำ กดั ความค�ำ วา่ ผเู้ สยี หาย หลกั เกณฑก์ ารพจิ ารณาความเปน็
ผูเ้ สยี หายแตล่ ะประเภท และสทิ ธขิ องผเู้ สยี หายในคดอี าญา ซึง่ ความแตกตา่ งเหลา่ นเ้ี ป็นผลมา
จากพัฒนาการทางกฎหมาย บทบัญญัติแห่งกฎหมาย และการตีความของศาลที่ไม่เหมือนกัน
ของทั้งสองประเทศ การทราบถึงลักษณะของผู้เสียหายในคดีอาญารวมทั้งผลสืบเน่ืองจากการ
เป็นผู้เสียหายตามกฎหมายฝรั่งเศสทำ�ให้เห็นว่ากฎหมายไทยและคำ�ตัดสินของศาลไทยท่ี
เก่ียวข้องกับเร่ืองดังกล่าวมีพัฒนาการมิได้ด้อยไปกว่ากฎหมายฝรั่งเศสและค่อนข้างมีความ
ชดั เจนในสว่ นของการบญั ญตั กิ ฎหมาย อกี ทงั้ คำ�พพิ ากษาของศาลทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั หลกั เกณฑก์ าร
พิจารณาความเป็นผู้เสียหายยังเป็นไปในแนวทางเดียวกัน จึงทำ�ให้การบังคับใช้กฎหมายใน
เร่ืองดงั กล่าวคอ่ นขา้ งมปี ระสิทธิภาพมากพอควร
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 279 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
การก�ำ หนดให้การสำ�คัญผิดในขอ้ เทจ็ จริงทีผ่ ู้กระทำ�
มีอ�ำ นาจกระทำ�ได้เปน็ เหตยุ กเวน้ ความผิด
เป็นความผดิ พลาดในการบัญญัติกฎหมาย1
It is a mistake to apply a mistaken
justification as a justification
รณกรณ์ บุญมี 2
บทนำ�
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 กำ�หนดให้การพิจารณาความรับผิดตามความ
เขา้ ใจผดิ ของผกู้ ระท�ำ มากกวา่ ทจี่ ะพจิ ารณาตามขอ้ เทจ็ จรงิ ทเี่ กดิ ขน้ึ โดยสง่ิ ทเี่ ปน็ ปญั หามากทส่ี ดุ
กค็ ือการทมี่ าตราดังกล่าวก�ำ หนดว่า ถา้ ผ้กู ระทำ�ส�ำ คญั ผิดว่ามีข้อเท็จจรงิ ใดอยู่ และขอ้ เท็จจรงิ
นั้นถ้าปรากฏข้ึนจริงจะทำ�ให้การกระทำ�ไม่เป็นความผิด ดังน้ีแม้ข้อเท็จจริงน้ันจะไม่มีอยู่จริง
1 บทความน้ีเขียนขน้ึ เพื่อบูชาคณุ ของศาสตราจารยณ์ รงค์ ใจหาญ เน่ืองในโอกาสท่ที า่ นมีอายคุ รบ 60
ปี ศาสตราจารยณ์ รงค์ มอี ทิ ธพิ ลกบั ชวี ติ ของผเู้ ขยี นอยา่ งมาก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในสว่ นของการท�ำ วจิ ยั ดว้ ยค�ำ ชกั ชวน
จากทา่ น ผเู้ ขยี นจงึ มโี อกาสไดไ้ ปท�ำ งานเกย่ี วกบั การตอ่ ตา้ นการทรมาน และงานทคี่ มุ้ ครองสทิ ธเิ สรภี าพของประชาชน
อกี หลายอยา่ ง ซงึ่ เปน็ ฐานส�ำ คญั ทท่ี �ำ ใหผ้ เู้ ขยี นสนใจศกึ ษาตอ่ และท�ำ วจิ ยั ดา้ นความเชอื่ มโยงระหวา่ งสทิ ธมิ นษุ ยชนกบั
กฎหมายอาญาตอ่ มา นอกจากนน้ั ศาสตราจารยณ์ รงคย์ งั ไดใ้ หค้ �ำ แนะน�ำ ทง้ั ในการวางตวั ทางวชิ าการ และชวี ติ สว่ นตวั
ทั้งดว้ ยวาจาและการเป็นแบบอยา่ งท่ดี ีในทง้ั สองดา้ นแก่ผูเ้ ขียนเสมอมา
เพ่ือบูชาคุณอาจารย์ ผู้เขียนจึงเลือกหัวข้อนี้เพ่ือต่อยอดจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของคณะ
นติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรท์ ศี่ าสตราจารย์ณรงค์ ใจหาญ ได้ท�ำ ไว้เพอื่ พฤษภาคม 2527 ชอ่ื “ความส�ำ คญั
ผดิ ในเหตทุ ีผ่ ูก้ ระท�ำ มอี ำ�นาจทำ�ได้” ซึ่งไดว้ างรากฐานในเรื่องดังกล่าวไดอ้ ยา่ งดมี าก
2 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำ�คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ น.บ. (เกียรตินิยมอันดับ 2)
ธรรมศาสตร.์ , น.บ.ท., น.ม. (กฎหมายอาญา) ธรรมศาสตร.์ , LL.M. in Human Rights Law with Merit, London
School of Economic and Political Sciences (Chevening Scholarship), น.ด. ธรรมศาสตร.์ , PhD Candidate,
National University of Singapore (ทนุ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์).
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 280 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
ผู้กระทำ�ก็จะไม่มีความผิด เรียกโดยกระชับก็คือการสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงท่ีผู้กระทำ�มีอำ�นาจ
กระท�ำ ได้ (mistaken justification) ท�ำ ไมเรอื่ งนถี้ งึ เปน็ ปญั หา? กอ่ นทจ่ี ะไดอ้ ธบิ ายถงึ แนวความ
คิดทฤษฎี ลองพจิ ารณากรณตี อ่ ไปนี้
นายดำ�เห็นนายแดงกำ�ลังจะใช้ปืนยิงนางสาวขาว นายดำ�จึงใช้ปืนยิงนายแดงเพื่อ
ป้องกนั นายสาวขาวไม่ใหถ้ กู ยิง ผลคอื นายแดงไดร้ ับบาดเจบ็ แต่ปรากฏว่าท่ีจรงิ แลว้ ในขณะน้ัน
นายแดงและนางสาวขาวกำ�ลังซ้อมบทละครกันอยู่อย่างสมจริงสมจัง แต่นายดำ�ไม่รู้ถึงข้อ
เทจ็ จริงนั้น ดงั นนี้ ายดำ�จะมีความรบั ผิดทางอาญาหรือไม่ อยา่ งไร ค�ำ ตอบเรือ่ งน้เี มื่อพิจารณา
ตามประมวลกฎหมายอาญาแล้วจะเห็นได้ว่าแม้ภยันตรายจากนายแดงจะไม่มีอยู่จริง แต่เมื่อ
นายด�ำ ส�ำ คญั ผดิ วา่ มอี ยู่ การกระท�ำ ของนายด�ำ จงึ ไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานพยายามฆา่ นายแดง เพราะ
เปน็ การป้องกนั ตัวโดยส�ำ คญั ผดิ และเมอื่ การแสดงนนั้ สมจรงิ ย่อมไม่อาจถือได้วา่ การสำ�คญั ผดิ
ของนายดำ�เกิดขึ้นโดยประมาท นายดำ�จงึ ไม่มคี วามผดิ ฐานกระทำ�โดยประมาทเป็นเหตุใหผ้ ู้อ่ืน
รบั อันตรายแก่กาย
มาถงึ ขนั้ นเี้ ราอาจจะยงั ไมเ่ หน็ ปญั หาอะไร เพราะแมน้ ายด�ำ จะไดก้ ระท�ำ ความผดิ โดย
เจตนาแต่นายดำ�ก็ไม่ควรถูกลงโทษจากการกระทำ�ท่ีมีเจตนาดีป้องกันผู้อื่น3 แต่ถ้าเราเล่นภาพ
ช้าลงและเพมิ่ เติมฉากลงไปว่า ขณะท่ีนายด�ำ เล็งปืนมาท่ีนายแดง นายแดงและนายเขียวเพอ่ื น
นายแดงเห็นเข้าพอดแี ละร้วู า่ นายด�ำ ก�ำ ลงั เข้าใจผดิ ว่านายแดงก�ำ ลังจะยิงนางสาวขาว นายแดง
จงึ ขวา้ งปนื ปลอมไปหานายแดง สว่ นนายเขยี วเขา้ ไปจบั ตวั นายด�ำ ไว้ ดงั นน้ี ายแดงและนายเขยี ว
มีความรับผิดทางอาญาอย่างไร จากข้อเท็จจริงใหม่นี้ ตามประมวลกฎหมายอาญานายแดง
จะมีความผิดฐานพยายามทำ�ร้ายร่างกาย (ในกรณีที่นายแดงมิได้รับบาดเจ็บ) และนายเขียว
จะมีความผิดฐานกักขังหน่วงเหนี่ยว โดยที่นายแดงและนายเขียวท่ีเป็นผู้บริสุทธ์ิและเข้าใจ
เหตุการณ์ทั้งหมดท้ังสองคนไม่อาจยกอ้างเหตุป้องกันมายกเว้นความผิดของตนได้ เพราะเป็น
การกระทำ�ต่อนายดำ�ท่ีไม่ได้ก่อภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย เพราะนายดำ�ได้รับยกเว้น
ความผิด (จากการกระทำ�โดยสำ�คัญผิดของตน)4 อย่างไรก็ตามนายแดงและนายเขียวจะได้รับ
การยกเว้นโทษเพราะเป็นการกระทำ�โดยจำ�เป็นเพ่ือให้ตนพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและ
ตนไม่ได้เป็นผกู้ ่อขนึ้ สรุปกค็ ือไม่มีใครต้องตดิ คุก ถ้าถูกฟ้องทั้งนายดำ� นายแดง และนายเขียว
ทกุ คนก็จะไดร้ บั การยกฟ้องท้งั หมดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185
3 อยา่ งไรกต็ ามจากค�ำ อธบิ ายประโยคนี้ บางคนกอ็ าจเห็นถึงปัญหาแลว้
4 ประเดน็ นศี้ าสตราจารย์ ดร.สรุ ศกั ดิ์ ลิขสิทธวิ ฒั นกลุ ไม่เห็นดว้ ย รายละเอียดดเู ชิงอรรถท่ี 72 ดา้ นลา่ ง.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 281 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
ถงึ ขนั้ นหี้ ลายคนกอ็ าจจะยงั ไมเ่ หน็ วา่ ปญั หาคอื อะไร แตถ่ า้ เราเพม่ิ ฉากเขา้ ไปอกี เพยี ง
เลก็ นอ้ ยปัญหาอาจจะเห็นปัญหาไดอ้ ยา่ งชัดเจนมากขน้ึ โดยถา้ ขณะท่นี ายเขยี วกำ�ลงั จะเข้าจบั
ตัวนายดำ� และนายแดงกำ�ลังจะขว้างปืนปลอมไปที่นายดำ�นั้น นายเทาเห็นเหตุการณ์ท้ังหมด
ตง้ั แตต่ น้ นายเทาจงึ เขวย้ี งหนิ ไปถกู ศรี ษะนายแดง และถบี นายเขยี วเพอ่ื ปอ้ งกนั นายด�ำ ดงั นตี้ าม
ประมวลกฎหมายอาญาเนื่องด้วยนายแดงและนายเขียวเพียงแต่ได้รับยกเว้นโทษ การกระทำ�
ของท้ังสองจึงยังคงเป็นความผิดอยู่ การกระทำ�ของนายเทาท่ีตอบโต้การกระทำ�ทั้งสองเพื่อ
ป้องกนั นายด�ำ นั้นจึงเปน็ การปอ้ งกันตวั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ไม่เปน็ ความผิด แตถ่ ้าหากมาถึง
ขนั้ น้ีแล้วยงั ไม่เขา้ ใจวา่ ปญั หาของมาตรา 62 คืออะไร ผู้เขยี นขอสรปุ ให้ฟงั ดงั น้ี
ปญั หา, อย่างนอ้ ยในมมุ มองของผเู้ ขียน, ก็คอื มาตรา 62 ไม่ได้เพยี งแต่ทำ�ให้นายด�ำ
ผกู้ ระทำ�โดยส�ำ คญั ผิดไม่ถกู ลงโทษเท่าน้ัน แตย่ ังทำ�ใหก้ ารกระทำ�น้นั เปน็ การกระทำ�ทีไ่ ม่ละเมิด
กฎหมาย ผลก็คอื บคุ คลอน่ื หรือผเู้ สียหายจากการกระทำ�ของนายด�ำ ไม่สามารถตอบโตน้ ายดำ�
ไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย พดู อกี อยา่ งกค็ อื กฎหมายคาดหวงั วา่ นายแดง นายเขยี ว และทกุ ๆ คน
ตอ้ งทนยอมต่อการกระทำ�ทีส่ �ำ คัญผิดของนายดำ� ทั้งทต่ี วั นายแดงและพวกไมไ่ ดส้ ำ�คญั ผิด หรือ
ท�ำ อะไรผดิ เลย ปญั หาในลกั ษณะนไี้ มไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ เฉพาะในกฎหมายไทย แตเ่ กดิ กบั Model Penal
Code5 ของสหรัฐอเมริกา และกฎหมายของอังกฤษด้วย6 เพราะทั้ง Model Penal Code
และกฎหมายอังกฤษรวมเอาการป้องกันตัวท่ีแท้จริง และการป้องกันตัวโดยสำ�คัญผิดเป็นเหตุ
ยกเวน้ ความผดิ (justification) ทง้ั คู่ โดยไมไ่ ด้แยกออกจากกนั นอกจากนน้ั ในเยอรมนั กย็ ังมี
ความเห็นที่ไม่ลงรอยกันระหว่างคำ�พิพากษาของศาลยุติธรรมแห่งสหพันธรัฐ (Bundesger-
ichtshof : BGH / The Federal Court of Justice) และความเหน็ ทางตำ�รากระแสหลักวา่
การกระทำ�ดงั กลา่ วควรเปน็ การกระทำ�ทผ่ี ดิ กฎหมายหรอื ไม่7
นอกจากน้ีแม้ว่าผู้เสียหายจะไม่ถูกลงโทษจากการตอบโต้นายดำ� แต่การตอบโต้นั้น
กจ็ ะถกู เรยี กวา่ เปน็ การกระท�ำ ความผดิ ซงึ่ นน้ั อาจไมใ่ ชเ่ รอ่ื งใหญน่ กั หากมองในแงข่ องกฎหมาย
5 Model Penal Code มาตรา 3.02 (1) ใชค้ ำ�ว่า “Conduct which the actor believes to be
necessary to avoid a harm or evil to himself or to another is justifiable, provided that...” (emphasis
added) และดู Paul H. Robinson, Competing Theories of Justification: Deeds V. Reasons, in A. P.
Simester & A. T. H. Smith (eds.), Harm and Culpability. (Clarendon Press, 1995) 51-52.
6 ส�ำ หรบั กฎหมายองั กฤษจะซบั ซอ้ นขน้ึ ไปอกี เพราะเมอ่ื เปน็ การกระท�ำ ทช่ี อบดว้ ยกฎหมายแลว้ (แมเ้ กดิ
จากการส�ำ คัญผิด) จะถือว่าการกระทำ�น้ัน “ขาดองค์ประกอบ” ของความผดิ ไปเลย รายละเอยี ดดหู ัวข้อท่ี 3 ตอ่ ไป
7 รายละเอียดดหู วั ข้อที่ 4
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 282 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
แต่สาระสำ�คัญก็คือเมื่อเป็นการกระทำ�ความผิด การพิจารณาสัดส่วนของการใช้กำ�ลังจะไม่ได้
รับประโยชน์เท่ากับการพิจารณาสัดส่วนของการกระทำ�ที่ชอบด้วยกฎหมาย8 ยกตัวอย่างเช่น
ถ้านายแดงยิงนายดำ�เพ่ือป้องกันตัวจากการท่ีจะถูกนายดำ�ยิงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย การ
กระทำ�ของนายแดงจะถือวา่ ได้สดั ส่วน แต่เม่อื การกระท�ำ ของนายด�ำ นั้นชอบดว้ ยกฎหมายเสีย
แลว้ นายแดงจึงไม่มีอาจอา้ งป้องกันตามมาตรา 68 เปน็ ขอ้ ต่อสไู้ ด้ ท�ำ ได้เพียงยกมาตรา 67 มา
ยกเวน้ โทษ ซงึ่ ถ้านายแดงยงิ นายด�ำ โดยอา้ งว่าเปน็ การกระทำ�โดยจำ�เป็นน้ัน จะถอื ว่ากระท�ำ ไป
เกนิ สัดสว่ น และได้รับเพยี งการลดโทษตามมาตรา 69 อยา่ ลืมว่าทง้ั หมดน้นี ายแดงไม่ไดก้ ระทำ�
อะไรผิดเลย ปญั หาทัง้ หมดมาจากการท่ีนายดำ�ส�ำ คัญผดิ ไปเองทงั้ นนั้
นอกจากนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นกรณที ไ่ี ดส้ ัดสว่ น นายแดงก็จะเพียงไดร้ บั การยกเวน้ โทษ
เฉพาะในทางอาญาเท่านั้น นายแดงยังมีความรับผิดทางแพ่งที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นแก่นายดำ�ด้วย ในทางตรงกันข้ามบุคคลท่ีกระทำ�โดยความสำ�คัญผิด
ของตนเองจนก่อภยันตรายตามความเป็นจริงให้แก่บุคคลอื่นอย่างนายดำ�นั้น นอกจากจะไม่มี
ความผิดทางอาญาแล้ว ยังไม่ต้องชดใช้เยียวยาความเสียหายใดท่ีตนได้ก่อข้ึนอีกด้วย ด้วยผล
ของมาตรา 449 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือก็คือผู้บริสุทธิ์อย่างนายแดง
นอกจากจะตอ้ งทนยอมถกู นายด�ำ มายงิ โดยส�ำ คญั ผดิ แลว้ ยงั ไมส่ ามารถเรยี กคา่ สนิ ไหมทดแทน
ใดได้ ยง่ิ ไปกว่าน้นั บุคคลอนื่ อย่างนายเทา ทั้งทรี่ ู้ว่านายด�ำ กระทำ�ไปโดยสำ�คัญผิดแตเ่ ม่อื เหน็ วา่
นายดำ�ก�ำ ลงั จะถกู ตอบโต้ ก็สามารถใชก้ �ำ ลังเขา้ ปอ้ งกันนายด�ำ ไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมายและไม่
ตอ้ งรบั ผดิ ชอบทางแพ่งด้วยแตอ่ ยา่ งใด
โดยสรุปตามกฎหมายปัจจบุ ัน กฎหมายอาญามาตรา 62 กำ�ลังชแ้ี นะความประพฤติ
ให้ผู้บริสุทธ์ิต้องทนยอมต่อการกระทำ�โดยสำ�คัญผิดท่ีชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่อาจตอบโต้ได้
และถา้ ตอบโตไ้ ปกเ็ สยี่ งทจ่ี ะเปน็ ความผดิ อาญาซง่ึ อาจตอ้ งรบั โทษกไ็ ด้ และยงั ตอ้ งเสยี คา่ สนิ ไหม
ทดแทนในความเสียหายท่ีเกิดขึ้น และกฎหมายยังอนุญาตให้คนอ่ืนช่วยเหลือผู้ท่ีกระทำ�
โดยสำ�คัญผิดจากภยันตรายท่ีเกิดข้ึนจากผู้บริสุทธิ์ด้วยโดยไม่เป็นความผิดและไม่ต้องชดใช้
8 เกยี รติขจร วจั นะสวสั ดิ,์ กฎหมายอาญา ภาค 1 บทบญั ญตั ิทว่ั ไป (พลสยาม พรนิ้ ติง้ , 10th edition,
2551) 461; แต่ศาสตราจารย์ ดร.ทวเี กยี รติ มีนะกนษิ ฐ เหน็ วา่ การพจิ ารณาสดั ส่วนระหว่างการกระทำ�เพ่ือปอ้ งกัน
ตวั และการกระท�ำ โดยจำ�เปน็ ไมค่ วรแตกตา่ งกนั ทวีเกียรติ มนี ะกนษิ ฐ, กฎหมายอาญา ภาคทั่วไป (วิญญชู น, 2559)
178-181 ซ่ึงถ้าเป็นเช่นน้ันปัญหานี้จะลดความรุนแรงลง เหลือเพียงปัญหาเร่ืองการเข้าให้ความช่วยเหลือ และ
การเยียวยาเทา่ น้ัน.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 283 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
คา่ เสียหายแต่อย่างใด ดงั น้คี งเป็นการยากทจ่ี ะอธิบายไดว้ า่ มาตรานี้ไม่ใช่ปัญหาได้อยา่ งไร
ปัญหาเหล่าน้ีจะไม่เกิดเลยถ้าประมวลกฎหมายอาญากำ�หนดให้การกระทำ�ของ
นายดำ�เป็นความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะแม้นายดำ�จะได้ทำ�ไปโดยเจตนาดีป้องกันผู้อื่น
จิตใจของนายดำ�ปราศจากความน่าตำ�หนิ แต่ในความเป็นจริงการกระทำ�ของนายดำ�ไม่ได้
ชว่ ยท�ำ ใหส้ ังคมดีขึ้น หรือลดภยันตรายแกส่ ังคมแต่อย่างใด9
ปญั หาในขอ้ ตอ่ สเู้ รอื่ งส�ำ คญั ผดิ นไ้ี มไ่ ดเ้ กดิ ขน้ึ เฉพาะในประเทศไทย โดยในบทความน้ี
จะได้กลา่ วถึงกฎหมายของประเทศอังกฤษ และเยอรมน1ี 0 รวมถึงขอ้ เสนอท่ีมกี ารถกเถียงใหม้ ี
การแกไ้ ขกฎหมายในประเทศดงั กล่าว ในหัวข้อที่ 3, 4, และ 5 ตามลำ�ดบั อยา่ งไรกต็ ามกอ่ น
กลา่ วถงึ กฎหมายตา่ งประเทศบทความนจี้ ะกลา่ วถงึ ผลทางกฎหมายของการส�ำ คญั ผดิ ในอ�ำ นาจ
กระทำ�ตามกฎหมายไทยก่อนที่จะมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายอาญาก่อนในหัวข้อท่ี 2
และในสว่ นท่ี 6 ผเู้ ขยี นจะไดแ้ สดงความเหน็ โดยยอ่ เพอ่ื ชใ้ี หเ้ หน็ วา่ การก�ำ หนดใหก้ ารกระท�ำ โดย
สำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุแห่งอำ�นาจกระทำ�เป็นเหตุยกเว้นความผิดนั้นเกิดจากความ
สบั สนในการพจิ ารณาสองเรอื่ งท่แี ม้จะใกล้เคยี งกันแตเ่ ป็นคนละเรอ่ื งกัน
1. กฎหมายไทยกอ่ นประมวลกฎหมายอาญา
ในกฎหมายลักษณะอาญาไม่มีบทบัญญัติเรื่องสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นคุณแก่
ผู้กระทำ�ความผิด ในประมวลกฎหมายฉบับดังกล่าวกำ�หนดไว้เพียงการสำ�คัญผิดตัวผู้เสียหาย
โดยหลงและพลั้งพลาดตามมาตรา 4411 ว่าไม่เป็นข้อต่อสู้ เช่นเดียวกับการสำ�คัญผิดในข้อ
กฎหมายว่าการกระทำ�น้ันเป็นความผิดก็ต้องห้ามไม่ให้ยกขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดเช่นกัน
ตามมาตรา 4512 แต่หามีบทบัญญัติใดกำ�หนดเร่ืองความสำ�คัญผิดในเหตุที่ทำ�ให้การกระทำ�
เปน็ การชอบดว้ ยกฎหมาย (รวมทง้ั เหตทุ ท่ี �ำ ใหไ้ ดร้ บั ยกเวน้ โทษ, หรอื ลดโทษ) ในท�ำ นองเดยี วกนั
กับกรณีมาตรา 62 ในประมวลกฎหมายอาญาปจั จุบนั
9 ส�ำ หรบั ขอ้ เสนอและขอ้ โตแ้ ยง้ เรอ่ื งเหตยุ กเวน้ ความผดิ ตามแบบอรรถประโยชนน์ ยิ มโปรดดู Robinson
(n 5) 45-46; Joshua Dressler, Understanding Criminal Law (LexisNexis, 2009) 208-211; รณกรณ์ บุญม,ี
ขอ้ สังเกตบางประการเกย่ี วกบั เหตยุ กเวน้ ความผิดและเหตุยกเวน้ โทษ (2554) 40 วารสารนติ ิศาสตร์ 2, 321-335.
10 ผู้เขียนสอดแทรกกฎหมายสหรัฐอเมริกาและกฎหมายฝร่ังเศสไปด้วยเล็กน้อย เพื่อให้ผู้สนใจได้ใช้
คน้ คว้าต่อ
11 ลักษณะเดียวกบั มาตรา 61 ในประมวลกฎหมายอาญา
12 ลักษณะเดียวกับมาตรา 64 ในประมวลกฎหมายอาญา แต่เคร่งครัดกว่าเพราะไม่อนุญาตให้ยกเป็น
ข้อแกต้ ัวอย่างเดด็ ขาดแมเ้ พยี งเพอ่ื ลดโทษ
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 284 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
อย่างไรก็ตามในเร่ืองนี้มีความเห็นในทางวิชาการว่าการที่ผู้กระทำ�สำ�คัญผิดเข้าใจไป
เองวา่ มีเหตกุ ารณ์บางอยา่ งเกดิ ขึน้ ท�ำ ใหต้ นเองอาจอา้ งเหตยุ กเวน้ ความผิด เช่นการกระทำ�โดย
ป้องกันได้ ทั้งท่ีเหตุการณ์น้ันไม่มีอยู่จริง การกระทำ�ดังกล่าวไม่ควรเป็นเหตุยกเว้นความผิด
ผกู้ ระท�ำ ไมค่ วรมอี �ำ นาจกระท�ำ โดย “ความส�ำ คญั ผดิ เปน็ แตเ่ พยี งเหตยุ กเวน้ โทษเพราะผกู้ ระท�ำ
มิได้มีเจตนาจะกระทำ�ความผิดอาญา”13 โดยผู้ที่ให้ความเห็นเช่นน้ีคือศาสตราจารย์ ดร.หยุด
แสงอุทัย ซึ่งน่าแปลกใจเน่ืองด้วยศาสตราจารย์ ดร.คณิต อธิบายว่าศาสตราจารย์ ดร.หยุด
เป็นผู้สมาทานแนวความคิดแบบ “ผลกำ�หนด” (Kausalitat) ตามอย่างแนวความคิดกระแส
หลักของกฎหมายอาญาของเยอรมันในสมัยนั้น14 ซึ่งถ้าเป็นเช่นน้ัน ศาสตราจารย์ ดร.หยุด
ควรจะเสนอให้เร่ืองดังกล่าวขาดเจตนาไปเลยและการกระทำ�นั้นไม่เป็นการกระทำ�ความผิด15
แตใ่ นต�ำ ราของทา่ นกลบั เสนอและวเิ คราะหโ์ ดยชดั แจง้ วา่ การกระท�ำ โดยส�ำ คญั ผดิ ในขอ้ เทจ็ จรงิ
ที่เป็นเหตุอำ�นาจกระทำ�นั้น ต่างกับกรณีท่ีผู้กระทำ�ที่อำ�นาจกระทำ�ที่แท้จริง โดยท่านเห็นว่า
กรณีสำ�คัญผดิ นี้เปน็ เพยี งเหตยุ กเว้นโทษ16
อย่างไรกต็ ามศาลฎกี าหาไดร้ บั เอาแนวความคิดดังกล่าวในการพจิ ารณาพิพากษาคดี
ไม่ โดยศาลฎกี าไดพ้ จิ ารณาพพิ ากษาโดยถอื วา่ เมอ่ื ผกู้ ระท�ำ ไดส้ �ำ คญั ผดิ วา่ มเี หตกุ ารณใ์ ดเกดิ ขนึ้
ท�ำ ใหก้ ารกระท�ำ ของตนสามารถท�ำ ไดโ้ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย การกระท�ำ ดงั กลา่ วกย็ อ่ มชอบดว้ ย
กฎหมายไปด้วย เชน่ ถา้ จำ�เลยเห็นผูต้ ายผลบุ ๆ โผล่ ๆ เดินเข้ามาในบา้ นจ�ำ เลย จ�ำ เลยเขา้ ใจผิด
คดิ วา่ เปน็ คนรา้ ยจงึ ใชม้ ดี แทงผตู้ ายตาย ดงั นเี้ ปน็ การปอ้ งกนั พอสมควรแกเ่ หตไุ มเ่ ปน็ ความผดิ 17
หรือเห็นตำ�รวจจะเข้ามาจับนึกว่าเป็นโจรจึงยิงไปหน่ึงนัดเพื่อป้องกันตัว ไม่ผิดกฎหมายเป็น
การป้องกันตัวโดยสุจริตและพอสมควรแก่เหตุ18 หรือเผชิญหน้ากับผู้ตายโดยกะทันหันในบ้าน
ของตนแล้วเข้าใจว่าเป็นโจรโดยไม่รู้ว่ามีอาวุธหรือไม่จึงแทงไปโดยแรงจนตาย เป็นการป้องกัน
ตวั พอสมควรแกเ่ หต1ุ 9 นอกจากนั้นการปอ้ งกนั โดยส�ำ คญั ผิดนสี้ ามารถใชอ้ ้างเพ่ือปอ้ งกนั บุคคล
อ่ืนที่เจ้าตัวไม่มีอำ�นาจป้องกันตนเองได้ด้วย เช่นกรณีท่ีจำ�เลยไปฟันผู้เสียหายตายเพื่อป้องกัน
13 หยดุ แสงอทุ ัย, ค�ำ อธิบายกฎหมายลกั ษณะอาญา (วญิ ญชู น, 6th edition, 2548) 136.
14 คณติ ณ นคร, กฎหมายอาญา ภาคทั่วไป (วิญญูชน. 3rd edition, 2551) 99, 273.
15 ซ่ึงศาสตราจารย์ ดร.คณิต ก็ “คาด” เชน่ นน้ั ดู เพ่งิ อ้าง 273.
16 ดู หยดุ แสงอุทัย, การวนิ ิจฉัยปญั หาคดีอาญา (2483) 12 บทบัณฑิตย,์ 136
17 ค�ำ พพิ ากษาฎกี าท่ี 267/2469, 18/2498
18 ค�ำ พพิ ากษาฎีกาที่ 1681/2493
19 ค�ำ พิพากษาฎีกาท่ี 1442/2498
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 285 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
แม่ของตนจากการถูกรุมทำ�ร้าย ท้ังที่แม่ของจำ�เลยเป็นผู้ผิดไปลักขโมยทรัพย์ของคนอ่ืนจึง
ไม่มีสทิ ธิป้องกันตัว แตเ่ มือ่ จ�ำ เลยสำ�คญั ผดิ วา่ แมข่ องตนเป็นฝา่ ยถูกจึงเขา้ ปอ้ งกันดงั นจ้ี �ำ เลยจึง
ไม่มีความผดิ เปน็ การป้องกนั ตวั พอสมควรแกเ่ หต2ุ 0 ซ่ึงศาสตราจารยจ์ ติ ติ ติงศภัทิย์ ก็มีความ
เห็นโน้มเอียงไปในทางนี้โดยถือว่าการพิจารณาความผิดต้องพิจารณา ตามความเข้าใจของ
ผ้กู ระท�ำ ซ่ึงเป็นหลกั เดยี วกบั การพิจารณาเรือ่ งเจตนา21
นอกจากแนวความคิดเร่ืองการสำ�คัญผิดในเหตุที่ทำ�ให้มีอำ�นาจกระทำ�ควรเป็นเพียง
เหตุยกเว้นโทษเท่าน้ันของศาสตราจารย์ ดร.หยุดจะไม่ได้รับการยอมรับในการพิจารณาคดี
ของศาลฎีกาแล้ว แม้แต่ในการร่างประมวลกฎหมายอาญาฉบบั ปจั จุบันท่ที า่ นเข้าไปมสี ่วนร่วม
อย่างมากก็ยังไม่ยอมรับเอาแนวความคิดดังกล่าว โดยคณะผู้ร่างได้ตัดสินใจเลือกให้กรณี
ดงั กลา่ วมผี ลเปน็ เหตยุ กเวน้ ความผดิ ไปเลยทเี ดยี ว อยา่ งทเี่ ราเหน็ อยใู่ นปจั จบุ นั และในค�ำ อธบิ าย
ประมวลกฎหมายอาญาปัจจุบันของศาสตราจารย์ ดร.หยุดก็ไม่ได้กล่าวถึงข้อโต้แย้งนี้ไว้ เพียง
แตอ่ ธิบายตามกฎหมายปัจจบุ นั เท่านัน้
ผเู้ ขยี นไมท่ ราบวา่ ผรู้ า่ งประมวลกฎหมายอาญาไดต้ ดั สนิ ใจก�ำ หนดใหก้ ารสำ�คญั ผดิ ใน
อำ�นาจกระทำ�เป็นเหตุยกเว้นความผิดโดยรับเอาแนวความคิดของประเทศใด หรือยึดเอาแนว
คำ�พิพากษาของศาลฎีกาข้างต้นมาพัฒนาเป็นมาตรา 62 แห่งประมวลกฎหมายอาญาอย่างที่
บงั คบั ใชใ้ นปจั จบุ นั เพราะเมอื่ คน้ ดรู ายงานการประชมุ อนกุ รรมการตรวจพจิ ารณาแกไ้ ขประมวล
กฎหมายอาญาจนถึงปี พ.ศ. 2487 ก็ไม่พบว่าได้มีการเพิ่มเติมบทบัญญัติดังกล่าวลงใน
ร่างประมวลกฎหมายอาญา เท่าที่พบก็มีเพียงการแก้ไขเร่ืองสำ�คัญผิดในตัวผู้ถูกกระทำ� และ
ส�ำ คญั ผดิ ในกฎหมายตามมาตรา 44 และ 45 ตามล�ำ ดับเท่านน้ั 22 ทง้ั นี้ไมไ่ ดห้ มายความคณะ
อนุกรรมการฯ ไม่ได้มีการพิจารณาเรื่องน้ีซ่ึงเป็นไปไม่ได้ แต่ด้วยข้อจำ�กัดของทรัพยากรและ
การเข้าถึงข้อมูลทำ�ให้ผู้เขียนค้นไม่พบเท่าน้ัน ดังนั้นเพื่อพิจารณาเรื่องน้ีให้รอบด้านขึ้น ใน
หัวข้อถัดไปผู้เขียนจะได้กล่าวถึงกฎหมายของประเทศต่าง ๆ ท่ีอาจทำ�ให้เราเข้าใจเร่ืองความ
สำ�คัญผิดในอำ�นาจกระทำ�มากย่งิ ขนึ้
20 ค�ำ พพิ ากษาฎกี าท่ี 608/2469
21 จิตติ ติงศภัทิย,์ กฎหมายอาญา ภาค 1 (ส�ำ นักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑติ ยสภา, 2555) 228
อย่างไรก็ตามความเห็นของศาสตราจารย์จิตติน้ีได้ให้ไว้ตอนท่ีกฎหมายเร่ืองสำ�คัญผิดได้แก้ไขให้เป็นแบบกฎหมาย
ปัจจบุ นั แล้ว
22 ดู รายงานการประชมุ อนุกรรมการตรวจพจิ ารณาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาครั้งที่ 105/43/2483
วนั ศกุ รท์ ่ี 12 กรกฎาคม 2483, ครงั้ ที่ 140/190/2483, วนั องั คารที่ 19 พฤศจกิ ายน 2483, และครงั้ ที่ 207/247/2484
วันศกุ รท์ ี่ 8 สิงหาคม 2484.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 286 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
2. กฎหมายอังกฤษ
ข้อต่อสู้เรื่องสำ�คัญผิดในกฎหมายอังกฤษน้ีแม้ผลสุดท้ายจะคล้ายคลึงกัน แต่ก็มี
หลักเหตุผลทีม่ าและรายละเอียดทีแ่ ตกต่างจากกฎหมายไทยหลายประการ ดงั นี้
2.1 สำ�คญั ผดิ หรือขาดองคป์ ระกอบภายใน?
กฎหมาย common law แม้จะแยกความสำ�คญั ผดิ ใน “องค์ประกอบ” ภายนอก
ของความผิด หรอื ทก่ี ฎหมายไทยอธบิ ายความไมร่ ขู้ ้อเทจ็ จรงิ อันเปน็ องคป์ ระกอบของความผดิ
ตามมาตรา 59 วรรค 3 ออกจากความสำ�คัญผิดในเหตุการณ์ท่ีทำ�ให้ตนอาจอ้าง “ข้อต่อสู้”
เพื่อยกเว้นความรับผิดทางอาญาตามมาตรา 62 วรรค 1 ทั้งในคำ�พิพากษา23 และคำ�อธิบาย
ทางกฎหมาย24 อยู่บ้าง แต่โดยรากฐานแล้วทั้งสองเร่ืองถูกตัดสินบนพื้นฐานเดียวกัน และ
ถูกอธบิ ายรวมกนั ไปภายใตห้ ัวขอ้ mistake/ignorance of fact25 โดยถอื วา่ ถา้ จ�ำ เลยส�ำ คัญผดิ
ในข้อเท็จจริงการกระทำ�ของจำ�เลยก็จะขาดองค์ประกอบภายใน (mens rea) ของการ
กระทำ�ความผิด26
ปญั หาของเรอ่ื งนมี้ าจากการที่ common law บัญญตั คิ วามผิดอาญาหลายฐานโดย
เอาข้อต่อสู้ (defence) ไปรวมเป็นส่วนหน่ึงของฐานความผิด (offence) โดยไม่ได้แยกกัน
23 DPP v Morgan [1975] UKHL 3 “It is equally impermissible to draw direct or necessary
inferences from decisions where the mens rea is, or includes, a state of opinion, and cases where
it is limited to intention…or between cases where there is a special “ defence “, like self-defence
or provocation and cases where the issue relates to the primary intention which the prosecution
has to prove.” < http://www.bailii.org/uk/cases/UKHL/1975/3.html > last accessed 6 October 2017.
24 Jonathan Herring, Criminal law: text, cases, and materials (OUP, 7th edition, 2016)
688-691; Andrew P Simester, Mistakes in Defence (1992) 12 Oxford Journal of Legal Studies, 2,
295-310
25 ค�ำ วา่ mistake of fact กบั ignorance of fact ถกู ใช้ในกฎหมายอาญาทงั้ ในคำ�อธบิ ายในทางตำ�รา
และคำ�พพิ ากษาอย่างเปน็ ค�ำ ท่ีมีความหมายเดียวกนั เชน่ Wayne R LaFave, Criminal Law (West Group, 2000)
431 และถงึ แมจ้ ะมีผู้พยายามอธบิ ายว่า ignorance กับ mistake มีความหมายแฝง (implied meaning) ทแ่ี ตกต่าง
กนั แตใ่ นแงข่ องกฎหมายอาญาในเรอ่ื งนกี้ ย็ นื ยนั มาตลอดวา่ ค�ำ ทง้ั สองใหค้ วามหมายเดยี วกนั หาไดม้ คี วามหมายทแ่ี ตก
ต่างในสาระส�ำ คัญ Rollin M Perkins, Ignorance and Mistake in Criminal Law (1939) 88 University of
Pennsylvania Law Review and American Law Register 1, 35-70; Jerome Hall, Ignorance and Mistake
in Criminal Law (1957) 33 Indiana Law Journal 1 2; Dressler (n 9) 153.
26 Dressler (n 9) 154-155.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 287 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
อย่างชัดเจนเหมือนกันกับกฎหมายไทย การรวมเอาเหตุยกเว้นความผิดมาไว้กับองค์ประกอบ
ความผิดนี้มีข้อโต้แย้งกันมากในหมู่นักกฎหมาย Anglo-American27 มีคำ�พิพากษาท่ีขัดแย้ง
และพยายามหักลา้ งหลักการดงั กล่าว เชน่ ในคดี Albert v Lavin ทสี่ ภาขุนนาง (House of
Lords) เห็นว่าคำ�ว่า unlawful ในความผิดฐาน assault เป็นคำ�ที่ไม่มีความหมายพิเศษ
และต้องแยกการพิจารณาองค์ประกอบความผิดออกจากการพิจารณาข้อต่อสู้ที่จะมายกเว้น
ความรบั ผดิ 28 แต่คำ�พิพากษาดงั กลา่ วกถ็ กู วิพากษว์ จิ ารณ์จากหลายฝ่าย และมีคำ�พิพากษาคดี
Gladstone Williams29 ซ่ึงตัดสินโดยศาลอุทธรณ์แต่ขัดแย้งกับคำ�พิพากษาของสภาขุนนาง
ดังกล่าว แต่เน่ืองด้วยเป็นคำ�พิพากษาของศาลล่างจึงยังไม่ถือเป็นบรรทัดฐาน จนกระท่ังมี
คดี Beckford ที่ตัดสินโดยคณะกรรมาธิการกฎหมายแห่งคณะองค์มนตรี (The Judicial
Committee of the Privy Council) ตัดสินว่าการใช้กำ�ลังทำ�ร้ายร่างกายบุคคลอ่ืนลำ�พัง
ด้วยตวั มนั เองไมเ่ ปน็ องค์ประกอบภายนอก (actus reus) ของความผิดฐาน assault30 หากแต่
ต้องเป็นการใช้ “unlawful force” หรือการใชก้ ำ�ลงั ทไ่ี มช่ อบดว้ ยกฎหมาย เมื่อองคป์ ระกอบ
ภายนอกกำ�หนดว่าต้องเป็น unlawful force ผู้กระทำ�จึงต้องรู้หรือคิดว่าการใช้กำ�ลังของตน
น้นั ไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย หาใช่เพยี งมีเจตนาใช้กำ�ลงั ทำ�รา้ ยผอู้ ่นื เท่านั้นไม่ ดังนน้ั การท่ีจ�ำ เลยคดิ
ว่าตนกำ�ลงั ใช้ก�ำ ลงั เพอื่ ปอ้ งกันตนเองซง่ึ เป็นการใช้กำ�ลังที่ชอบดว้ ยกฎหมายอยู่น้ัน การกระท�ำ
27 Glanville Williams เป็นผู้สนับสนุนให้รวมเอาเหตุยกเว้นความผิดมาเป็นองค์ประกอบความผิด
Glanville Williams, Textbook of Criminal Law (Sweet & Maxwell, 3rd edition, 2012) 160; นอกจากนน้ั
Paul Robinson ก็เป็นนกั วิชาการชือ่ ดงั อกี คนทส่ี นบั สนนุ แนวความคิดนีม้ าอยา่ งยาวนาน Robinson (n 5) อยา่ งไร
ก็ตาม Andrew Simester มีความเห็นคัดค้านแนวความคิดนี้มาโดยตลอด และเห็นว่าการพิจารณาองค์ประกอบ
ความผิด และเหตุยกเว้นความรับผิดควรต้องพิจารณาแยกออกจากกัน Simester (n 24) 302 และดู Andrew
Simester et al, Simester and Sullivan’s Criminal law: Theory and Doctrine (Hart, 5th edition, 2013)
684-688.
28 Albert v Lavin [1981] UKHL 6 < http://www.bailii.org/uk/cases/UKHL/1981/6.html >
last accessed 6 October 2017.
29 R. v Gladstone Williams [1983] EWCA Crim 4
30 ความผดิ ฐาน assault ใน common law กวา้ งกวา่ ความผดิ ฐานท�ำ รา้ ยรา่ งกายของไทยในมาตรา 295
ซึ่งน่าจะคลา้ ยกบั ความผิดฐาน battery มากกว่า โดย assault มากความรวมถงึ การทำ�ใหห้ วาดกววั ว่าจะถูกท�ำ รา้ ย
ดว้ ย ดังนั้นการโทรศพั ท์ไปหาแลว้ ไม่พูดเพ่อื ขม่ ขคู่ นรับสายก็เปน็ ความผิดฐาน assault ได้ ดู R v Ireland [1988]
AC 147 HL อยา่ งไรก็ตามความผดิ ฐาน battery เองกก็ วา้ งกว่ามาตรา 295 เพราะไม่จ�ำ เปน็ ตอ้ งเกดิ ผลเพียงใชก้ �ำ ลงั
สมั ผัสโดยไมม่ อี �ำ นาจกเ็ ป็นความผดิ ได้ Herring (n 24) 321-325 ความผิดฐาน battery จงึ คล้ายกับความผิดตาม
มาตรา 391 มากกว่า
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 288 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
ของจำ�เลยจงึ ยอ่ มขาดองค์ประกอบภายในของความผดิ ฐาน assault จ�ำ เลยไม่มีความผิด31
2.2 ส�ำ คญั ผิดโดยประมาทต้องรบั ผดิ หรอื ไม่
ความพยายามแยกพจิ ารณาเรอื่ งการไมร่ ขู้ อ้ เทจ็ จรงิ อนั เปน็ องคป์ ระกอบของความผดิ
กับการสำ�คัญผิดในเหตุการณ์ท่ีทำ�ให้เชื่อว่าการกระทำ�ของตนไม่เป็นความผิดนั้นวางอยู่บน
พ้ืนฐานเรื่องความเหมาะสมในการกำ�หนดความผิด และข้อโต้แย้งเร่ือง subjectivism และ
objectivism32 โดยผทู้ พ่ี ยายามแยกจะพยายามชใ้ี หเ้ หน็ วา่ ความไมร่ ใู้ นกรณแี รกและความส�ำ คญั
ผิดในกรณีหลังนั้น ควรมีมาตรฐานการพิจารณาที่แตกต่างกันกล่าวคือควรจะพิจารณาอย่าง
อัตตะวิสัยเท่านั้น หรือควรจะพิจารณาทั้งอย่างอัตตะวิสัยและภาวะวิสัยไปพร้อมกัน ซ่ึง
แตกต่างจากประมวลกฎหมายอาญาของไทยที่พิจารณาท้ังสองด้านสำ�หรับท้ังสองกรณี โดย
กำ�หนดว่าถ้าจำ�เลยไม่รู้ หรือสำ�คัญผิดจริงก็จะไม่ถือว่าจำ�เลยมีเจตนาหรือมีข้อต่อสู้ตามความ
เข้าใจตามกรณี แต่ถ้าความไม่รู้หรือความสำ�คัญผิดน้ันเกิดขึ้นโดยประมาทจำ�เลยเมื่อพิจารณา
อย่างภาวะวิสัย จำ�เลยอาจจะต้องรับผิดฐานกระทำ�ความผิดโดยประมาทในกรณีที่กฎหมาย
บญั ญัติใหก้ ารกระทำ�นน้ั เป็นความผิดแมไ้ ดก้ ระท�ำ โดยประมาท ตามมาตรา 62 วรรค 2
Dressler เห็นว่าการเอามาตรฐานอย่างภาวะวิสัยมาใช้พิจารณาทำ�ให้เกิดปัญหา
เพราะอาจท�ำ ใหค้ นทไี่ มร่ หู้ รอื ส�ำ คญั ผดิ โดยประมาทนน้ั ตอ้ งรบั ผดิ ทางอาญา เพราะ 1) ทง้ั ทปี่ กติ
การรับผิดโดยประมาทเป็นเพียงข้อยกเว้นและต้องประมาทอย่างชัดแจ้งจริง และ 2) เม่ือใช้
มาตรฐานการพจิ ารณาอยา่ งภาวะวสิ ยั จะทำ�ใหผ้ กู้ ระทำ�ทไี่ มร่ หู้ รอื สำ�คญั ผดิ โดยประมาทไมอ่ าจ
ยกอ้างความไม่รู้หรือความสำ�คัญผิดข้ึนต่อสู้ได้ และทำ�ให้ศาลถือว่าได้กระทำ�ไปโดยเจตนา
เพราะขอ้ ตอ่ สเู้ รอื่ งความไมร่ แู้ ละความส�ำ คญั ผดิ คอื การปฏเิ สธการมอี ยขู่ ององคป์ ระกอบภายใน
ซงึ่ จะไมเ่ ปน็ ธรรมกบั จ�ำ เลย เพราะจ�ำ เลยหาไดก้ ระท�ำ ไปโดนมเี จตนาจะละเมดิ กฎหมายไม3่ 3 ขอ้
โต้แย้งของ Dressler สำ�หรับการกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดโดยไประมาทเป็นความผิดอาญาน้ัน
แม้จะน่าสนใจสำ�หรับกรณีความผิดอาญาใน common law ท่ีไม่แยกเหตุยกเว้นความรับผิด
31 Beckford v The Queen [1987] UKPC 1 < http://www.bailii.org/uk/cases/UKPC/1987/1.
html > last accessed 6 October 2017.
32 Robinson (n 5); Simester (n 24); Simester et al (n 27); Williams (n 27); David Ormerod
and Karl Laird, Smith and Hogan’s Text, Cases, and Materials on Criminal Law (OUP, 11th edition,
2014) 377-378; Herring (n 24), 688-689.
33 Dressler (n 9) 158.
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 289 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
ออกจากองค์ประกอบความผิด แต่ข้อโต้แย้งดังกล่าวไม่อาจใช้ได้กับกฎหมายไทย เพราะ
1) กฎหมายไทยมมี าตรฐานของการกระท�ำ ประมาทเพยี งระดบั เดยี ว ไมเ่ หมอื น common law
ดงั น้ันเม่ือจำ�เลยประมาทไม่ว่าจะประมาทในการกระทำ� หรอื ประมาทในการพจิ ารณาจนทำ�ให้
ตนไม่รหู้ รอื ส�ำ คัญผดิ ในขอ้ เท็จจริง และการประมาทนัน้ ก่อใหเ้ กดิ ผล กฎหมายไทยก็ลงโทษได้
อยู่แล้ว หาก่อใหเ้ กิดความลักลน่ั ในการใช้กฎหมายอาญาแตอ่ ย่างใด และ 2) กฎหมายไทยยก
อนญุ าตใหจ้ �ำ เลยยกอา้ งขอ้ ตอ่ สเู้ พราะเหตสุ �ำ คญั ผดิ ได้ เพยี งแตไ่ ปลงโทษฐานกระท�ำ โดยประมาท
แตก่ ฎหมาย common law นนั้ ถา้ ความส�ำ คญั ผดิ เกดิ ขน้ึ โดยประมาท จ�ำ เลยจะยกความส�ำ คญั
ผดิ ขน้ึ เป็นขอ้ อ้างไมไ่ ด้เลยท�ำ ใหจ้ ำ�เลยตอ้ งรับโทษเหมอื นกบั ได้ทำ�ไปโดยเจตนา
2.3 กฎหมายอังกฤษปจั จุบัน : มาตรฐานการพจิ ารณา
กฎหมายของอังกฤษปัจจุบันถือว่าการพิจารณาความสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงซึ่งจะ
ท�ำ ให้ตน “จ�ำ เปน็ ” (duress) ต้องกระทำ�สิ่งทีก่ ฎหมายหา้ มนนั้ ตอ้ งใช้ท้ังเกณฑ์อตั ตะวสิ ยั และ
ภาวะวิสยั หมายความว่าถา้ ความส�ำ คัญผดิ เกิดขึ้นโดยประมาทผกู้ ระท�ำ จะยงั ต้องมคี วามรับผดิ
ไมส่ ามารถยกเวน้ ความรบั ผดิ ได้ โดยตอ้ งรบั ผดิ เหมอื นกบั กรณที �ำ ผดิ โดยเจตนา34 ในทางตรงกนั
ข้ามถ้าเป็นความสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงและทำ�ให้เช่ือว่าตนมีอำ�นาจป้องกันตัวได้ ความสำ�คัญ
ผิดเช่นน้ันแม้จะเกิดขึ้นโดยความประมาทก็เป็นเหตุยกเว้นความรับผิดอยู่ดี โดยรัฐสภาได้ออก
กฎหมายเรอ่ื งน้ขี ้นึ มาโดยเฉพาะคอื The Criminal Justice and Immigration Act 2008
มาตรา 76 (4) (b)35 และศาลได้ตัดสินยืนยันตามกฎหมายใหม่นี้36 เว้นแต่จำ�เลยจะสำ�คัญผิด
เพราะอยูใ่ นสภาวะมึนเมา ถ้าเป็นเช่นนัน้ ต้องพจิ ารณาในเชงิ อตั ตะวิสยั ว่า “ถ้า” จ�ำ เลยไม่เมา
จะส�ำ คญั ผิดเช่นนนั้ หรอื ไม่ ถ้ายังส�ำ คญั ผิดอยจู่ ำ�เลยกจ็ ะสามารถยกอ้างความสำ�คัญผดิ เปน็ เหตุ
34 R v Graham [1981] EWCA Crim 5 < http://www.bailii.org/ew/cases/EWCA/Crim/1981/5.
html >; R v Howe [1986] UKHL 4 < http://www.bailii.org/uk/cases/UKHL/1986/4.html >; R v Hasan
[2005] UKHL 22 < http://www.bailii.org/uk/cases/UKHL/2005/22.html > last accessed 6 October
2017
35 (b) if it is determined that D did genuinely hold it, D is entitled to rely on it for the
purposes of subsection (3), whether or not—
(i) it was mistaken, or
(ii) (if it was mistaken) the mistake was a reasonable one to have made.
36 R v Yaman and another [2012] EWCA Crim 1075 และดู (Herring, 2016) 690; (Simester
et al., 2013) 685-686.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 290 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
ยกเวน้ ความรับผดิ ได้37
กลา่ วโดยสรปุ ในกฎหมายองั กฤษปจั จบุ นั ส�ำ หรบั กรณอี �ำ นาจกระท�ำ โดยส�ำ คญั ผดิ เชน่
ทำ�ร้ายร่างกายผู้อื่น โดยเป็นการป้องกันตัวโดยสำ�คัญผิดถือว่าจำ�เลยไม่มีความผิดเลย38 ไม่ใช่
เพียงเป็นเหตุยกเว้นโทษเพราะถือว่าการกระทำ�ของจำ�เลย “ขาดองค์ประกอบภายใน” ของ
ความผิด โดยความสำ�คัญผิดนี้ให้พิจารณาจากตัวจำ�เลยไม่ว่าจะไม่สมเหตุสมผลตามมาตรฐาน
คนทวั่ ไปหรอื วญิ ญูชนแคไ่ หนกต็ าม ตราบใดทค่ี ณะลูกขุนเช่ือวา่ จำ�เลยสำ�คัญผดิ เช่นนัน้ จรงิ
3. กฎหมายเยอรมัน
กฎหมายอาญาเยอรมันน้ันแม้จะได้แยกองค์ประกอบความผิดและเหตุยกเว้นความ
รับผิดออกจากกันเป็น 3 ส่วนอย่างชัดเจนและมีอิทธิพลอย่างสำ�คัญในการอธิบายโครงสร้าง
ความรบั ผิดทางอาญาของไทย อย่างไรกต็ ามในเรื่องส�ำ คญั ผดิ ท่มี ีอำ�นาจกระท�ำ น้นั ยงั มคี วามไม่
ชดั เจน และไม่มีบทบญั ญัติทเ่ี ก่ยี วขอ้ งโดยตรงเหมอื นอยา่ งในประมวลกฎหมายอาญาของไทย
3.1 มาตราทเี่ กี่ยวขอ้ ง
ประมวลกฎหมายอาญาเยอรมนี39 กำ�หนดหลักการเร่ืองการไม่รู้ข้อเท็จจริงและ
ความส�ำ คญั ผดิ ไว้ใน 3 มาตรา คอื มาตรา 16, 17, และ 35 (2)40 ดงั นี้
37 R v Hatton [2005] EWCA Crim 2951.
38 Herring (n 24), 690
39 คำ�แปลประมวลกฎหมายเยอรมันน้ีแปลจากฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษที่ปรากฏในเวปไซต์ของ
กระทรวงยตุ ธิ รรมและการคมุ้ ครองผบู้ รโิ ภคแหง่ สหพนั ธรฐั (Bundesministerium der Justiz und für Verbrauch-
erschutz/ Federal Ministry of Justice and Consumer Protection) < https://www.gesetze-im-internet.
de/englisch_stgb/englisch_stgb.html > last accessed 6 October 2017.
40 Section 16 Mistake of fact
(1) Whosoever at the time of the commission of the offence is unaware of a fact which
is a statutory element of the offence shall be deemed to lack intention. Any liability for negligence
remains unaffected.
(2) Whosoever at the time of commission of the offence mistakenly assumes the
existence of facts which would satisfy the elements of a more lenient provision, may only be
punished for the intentional commission of the offence under the more lenient provision. table of
contents.
Section 17 Mistake of law
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 291 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
“มาตรา 16 การส�ำ คญั ผดิ ในขอ้ เทจ็ จริง
(1) ผู้ใดในขณะกระทำ�ความผิดไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
ถือว่าได้กระทำ�ไปโดยไม่มีเจตนา ความรับผิดใดอันเกิดจากการกระทำ�โดยประมาท
ไมไ่ ด้รับผลกระทบ
(2) ผใู้ ดในขณะกระทำ�ความผดิ สำ�คญั ผดิ วา่ มขี อ้ เทจ็ จรงิ ใดอยู่ ซงึ่ ขอ้ เทจ็ จรงิ นน้ั ครบ
องคป์ ระกอบของความผิดที่มคี วามรุนแรงน้อยกว่า ใหผ้ ู้กระท�ำ รบั โทษในการกระทำ�
โดยเจตนาส�ำ หรับความผิดทรี่ นุ แรงนอ้ ยกว่านน้ั เทา่ นั้น”
“มาตรา 17 การสำ�คญั ผดิ ในขอ้ กฎหมาย
ถ้าในขณะกระทำ�ความผิด ผู้กระทำ�ไม่รู้ว่าตนกำ�ลังกระทำ�ส่ิงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และความสำ�คัญผิดน้ันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ให้ถือว่าผู้กระทำ�ได้กระทำ�ไปโดยขาด
ความช่ัว แตถ่ า้ ความส�ำ คญั ผิดนน้ั สามารถหลีกเล่ียงได้ ใหล้ ดโทษลงตามที่กำ�หนดไว้
ในมาตรา 49 (1)”
“มาตรา 35 การกระทำ�โดยจำ�เปน็ อนั เปน็ เหตุยกโทษ
(2) ถ้าในเวลากระทำ�การ ผู้กระทำ�สำ�คัญผิดคิดไปว่ามีข้อเท็จจริงอยู่ ซึ่งถ้ามีจริง
ขอ้ เท็จจริงเชน่ นั้นจะเป็นเหตุยกเว้นโทษใหต้ นตามอนุมาตรา (1) ผกู้ ระทำ�จะตอ้ งรบั
ผิดก็ต่อเมื่อความสำ�คัญผิดนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่าน้ัน หากจะลงโทษให้ลดโทษลง
ตามที่กำ�หนดไว้ในมาตรา 49 (1)”
จาก 3 มาตราดังกล่าวจะเห็นได้ว่าไม่มีกฎหมายมาตราใดเลยท่ีกำ�หนดเกี่ยวกับการ
สำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงในส่วนของอำ�นาจกระทำ� จะมีก็แต่การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงในการ
กระท�ำ โดยจำ�เป็นซ่ึงเปน็ เหตยุ กโทษเท่านน้ั
If at the time of the commission of the offence the offender lacks the awareness that
he is acting unlawfully, he shall be deemed to have acted without guilt if the mistake was unavoidable.
If the mistake was avoidable, the sentence may be mitigated pursuant to section 49 (1).
Section 35 Duress... (2) If at the time of the commission of the act a person mistakenly
assumes that circumstances exist which would excuse him under subsection (1) above, he will only
be liable if the mistake was avoidable. The sentence shall be mitigated pursuant to section 49 (1).
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 292 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
3.2 สำ�คญั ผิดในขอ้ เท็จจริงทีท่ �ำ ใหม้ ีอำ�นาจกระท�ำ : ค�ำ อธิบาย
ต�ำ รากฎหมายอาญาเยอรมันแบ่งแยกโครงสรา้ งความผดิ ทางอาญาออกเปน็ 3 ส่วน
หรือเรียกว่า dreistufiger Verbrechensaufbau (three-stage crime structure)41 ซึ่ง
คลา้ ยคลงึ กบั โครงสร้างความรับผดิ ทางอาญาของไทยอยา่ งมาก42 คอื
1) องค์ประกอบของความผดิ (Tatbestand)
2) ความชอบดว้ ยกฎหมาย (Rechtswidrigkeit)
3) ความชั่ว (Schuld)
อยา่ งไรกต็ ามค�ำ อธบิ ายในทางต�ำ ราบางเลม่ กม็ แี นวความคดิ เชน่ เดยี วกบั นกั กฎหมาย
Anglo-American ทรี่ วมเอาอ�ำ นาจกระท�ำ เขา้ ไปเปน็ สว่ นหนง่ึ กบั องคป์ ระกอบความผดิ หรอื คอื
การรวมเอาโครงสรา้ งท่ี 1 และ 2 ของโครงสรา้ งความผดิ อาญาเขา้ ไว้ด้วยกนั ซงึ่ เรียกรูปแบบ
โครงสร้างความรับผิดแบบนี้ว่า Gesamtunrechtstatbestand 43 และอธิบายว่าเม่ือจำ�เลย
สำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงบางประการท่ีทำ�ให้เข้าใจว่าการกระทำ�ของตนเป็นการกระทำ�โดยมี
อำ�นาจตามกฎหมาย การกระทำ�ของจำ�เลยจึงขาดเจตนาละเมดิ กฎหมาย จงึ ไม่มีองคป์ ระกอบ
ภายในทีจ่ ะกระทำ�ความผิด44
นอกจากนั้นถึงแม้ว่าศาลของเยอรมันโดยเฉพาะศาลยุติธรรมแห่งสหพันธรัฐ
(Bundesgerichtshof : BGH / The Federal Court of Justice) จะไม่รบั เอาแนวความคิด
การรวมโครงสรา้ งท่ี และ 2 ไวด้ ้วยกนั โดยตรง45 อกี ทง้ั ค�ำ อธิบายทางต�ำ รากระแสหลักจะเปน็
ไปตามทฤษฎีความชั่ว (Schuldtheorie) ของฝ่ายเจตจำ�นงกำ�หนด (Finalitat)46 ที่ถือเอา
เจตนาเฉพาะส่วนการรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดเป็นเรื่องขององค์ประกอบ
ภายในอนั เป็นเปน็ ส่วนหนงึ่ ขององคป์ ระกอบความผิด (Tatbestand) ทเี่ ป็นโครงสร้างข้อที่ 1
41 Michael Bohlander, Principles of German Criminal Law (Studies in International and
Comparative Criminal Law) (Hart, 2009) 16.
42 สำ�หรับข้อความคิดเบ้ืองต้นของโครงสร้างความผิดทางอาญาของเยอรมัน และการเปรียบเทียบกับ
โครงสรา้ งความรบั ผดิ ทางอาญาของไทย ดู คณิต ณ นคร (n 14) 99-104, 108-111 และ ณรงค์ ใจหาญ, ความสำ�คัญ
ผดิ ในเหตทุ ่ผี กู้ ระท�ำ มอี �ำ นาจทำ�ได้ (2527) วทิ ยานิพนธ์นิตศิ าสตรมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ 4-10.
43 Bohlander (n 41) 75.
44 Ibid.
45 Ibid.
46 คณติ ณ นคร (n 14) 99.
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์
| 293 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
และถือเอาการสำ�คัญผิดในอำ�นาจกระทำ�เป็นเรื่องของการขาดความช่ัว (Schuld) ซึ่งเป็น
โครงสร้างข้อที่ 347 ทำ�ให้ตามแนวคิดกระแสหลักน้ีการสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงในส่วนอำ�นาจ
กระท�ำ นถี้ อื วา่ เปน็ การกระท�ำ ทเ่ี ปน็ ความผดิ แตข่ าดซงึ่ ความชว่ั กฎหมายจงึ อาจไมล่ งโทษถา้ เปน็
ความสำ�คัญผิดท่ีหลีกเล่ียงไม่ได้ แต่ถ้าเป็นความสำ�คัญผิดท่ีหลีกเลี่ยงได้กฎหมายก็จะลดโทษ
ให้ โดยตามความเห็นกระแสหลักในทางตำ�ราน้ีเห็นว่าในกรณีสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงแห่งเหตุ
อันเปน็ อ�ำ นาจกระทำ�น้คี วรปรับใช้มาตรา 1748 อยา่ งไรก็ตามในความเป็นจรงิ ศาล BGH กลับ
เทียบเคียงมาตรา 16 มาปรับใช้ จึงเห็นได้ว่าศาล BGH หาได้รับเอาข้อเสนอทฤษฎีความช่ัว
เดด็ ขาด (strenge Schuldtheorie) 49 ของฝา่ ยเจตจ�ำ นงก�ำ หนดทอี่ ธบิ ายวา่ กรณดี งั กลา่ วเปน็ การ
กระทำ�โดยปราศจากความชั่ว โดยเทียบเคียงเอาจากมาตรา 17 และกำ�หนดให้เป็นเพียงเหตุ
ยกเวน้ โทษแต่อย่างใด50
ในคดี BGH 2 StR 375/11 ทต่ี ดั สนิ เมอ่ื 2 พฤศจกิ ายน 2554 ซงึ่ จ�ำ เลยยงิ เจา้ พนกั งาน
ตำ�รวจโดยเข้าใจเป็นเจ้าพนักงานน้ันเป็นสมาชิกของแก๊งคู่อริ ศาลตัดสินโดยอ้างอิงมาตรา 16
ไมใ่ ชม่ าตรา 17 ว่าการกระทำ�ของจ�ำ เลยกระทำ�ไปโดยขาดความชั่วเพราะไมม่ เี จตนาจะกระทำ�
สง่ิ ทเ่ี ปน็ ความผดิ (Vorsatzschuld)51 การกระท�ำ ของจ�ำ เลยจงึ ไมม่ คี วามรบั ผดิ ในทางอาญา การ
ตัดสินนี้ของศาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการตัดสินเพ่ือผลในทางปฏิบัติมากกว่าที่จะเป็นการ
อธิบายตามหลักทฤษฎีเพราะใช้คำ�ท่ีแปลความหมายได้กำ�กวมว่าเป็นการกระทำ�ที่ขาดเจตนา
ท�ำ ใหก้ ารกระทำ�ไมเ่ ปน็ ความผิดไปเลย52 และทำ�ให้บุคคลทเี่ ข้าชว่ ยเหลอื ไม่มคี วามผิด หรือเปน็
เพียงการกระทำ�ทีข่ าดความช่วั ซง่ึ ผทู้ ่เี ขา้ ชว่ ยเหลอื ยังคงมีความผดิ 53
47 Ibid 268-273; ณรงค์ ใจหาญ (n 42) 30-34 ผ้เู ขยี นไดส้ อบถาม Dr Lasse Schuldt และไดร้ บั การ
ยืนยันว่าแนวคามคิดเรื่องทฤษฎีความชั่ว (Schuldtheorie) นี้ยังเป็นแนวความคิดกระแสหลักในทางตำ�ราอยู่
ประวัติการศกึ ษาของ Schuldt ดไู ดท้ ่ี < http://www.law.tu.ac.th/en/teacherspecial/dr-lasse-schuldt >
last accessed 8 October 2017.
48 คณติ ณ นคร (n 14) 268-273; ณรงค์ ใจหาญ (n 42) 30-34.
49 Bohlander (n 41).
50 Bohlander (n 41).
51 BGH 2 StR 375/11 - Urteil vom 2. November 2011 (LG Koblenz) โดยเฉพาะประโยคสุดทา้ ย
ของยอ่ หนา้ 35 < http://www.hrr-strafrecht.de/hrr/2/11/2-375-11.php > last accessed 8 October 2017.
52 Bohlander อธิบายตามแนวความคิดนี้ ดู Bohlander (n 41) 75.
53 Schuldt สนับสนุนความเห็นนี้ โดยชี้ให้เห็นว่าศาลยังใช้คำ�ว่า schuld มาเป็นส่วนหน่ึงของ
Vorsatzschuld อยู่.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์
| 294 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
สำ�หรบั ประเทศสำ�คญั ในระบบ civil law อีกประเทศอย่างฝร่ังเศสนนั้ นกั วิชาการที่
ได้รับการเช่ือถือและเป็นผู้นำ�ทางความคิดด้านกฎหมายอาญาในฝรั่งเศสอย่าง Roger Merle
และ André Vitu ให้ความเห็นว่าการป้องกันตัวเพราะสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงนั้นผู้กระทำ�ได้
กระทำ�ไปโดยปราศจาก “เจตนาละเมิดกฎหมาย” ผ้กู ระท�ำ จึงไม่มีความรบั ผิดทางอาญา54 โดย
ศาลฝรัง่ เศสกร็ ับเอาแนวความคิดน้ันพัฒนาตอ่ ยอด และแยกการส�ำ คัญผิดในขอ้ เทจ็ จริงน้อี อก
เป็นสองกรณี คือกรณีที่ผู้กระทำ�สำ�คัญผิดโดยระมัดระวังดีแล้วเมื่อพิจารณาทางภาวะวิสัยโดย
การเทียบกับมาตรฐานวิญญูชน กรณีนี้ศาลจะถือเป็นการ “ป้องกันเสมือนจริง” (légitime
défense vraisemblable) ผลกค็ ือผกู้ ระท�ำ ไม่มคี วามผิด55 เช่นในกรณีทีเ่ จา้ พนักงานต�ำ รวจ
พบคนร้ายสองคนกำ�ลังทำ�การลักทรัพย์ในเวลากลางคืน จึงเข้าทำ�การจับกุมแต่ถูกคนร้ายคน
หน่ึงใช้ไมต้ ี ขณะที่คนรา้ ยอกี คนหนึง่ ที่ถือชะแลงมาด้วยวิ่งหายไป แต่เจา้ พนกั งานตำ�รวจเขา้ ใจ
ผิดคิดว่าคนท่ีว่ิงหายไปน้ันอาจจะกลับมาช่วยเอนตอนใดก็ได้ เจ้าพนักงานตำ�รวจจึงใช้ปืนยิง
คนรา้ ยทย่ี งั เหลอื อยู่ ศาลตดั สนิ วา่ การกระท�ำ ดงั กลา่ วเปน็ การกระท�ำ ทไี่ มม่ คี วามรบั ผดิ ทางอาญา
เพราะเป็นการกระทำ�โดยป้องกัน56 ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้กระทำ�ได้สำ�คัญผิดโดยประมาท
เมื่อเทียบกับมาตรฐานวิญญูชน การกระทำ�น้ันจะถือเป็นเพียงการ “ป้องกันโดยจินตนาการ”
(légitime défense imaginaire) ซง่ึ กรณีดังกล่าวจะอา้ งป้องกันเพอื่ ยกเว้นความผิดไม่ได5้ 7
3.3 สำ�คญั ผิดโดยประมาทตอ้ งรบั ผิดหรอื ไม่
เมือ่ ศาล BGH เทยี บเคยี งมาตรา 16 มาปรับใชใ้ นกรณสี �ำ คัญผิดในขอ้ เทจ็ จรงิ ในเหตุ
54 Roger Merle and Andre Vitu, Traité de droit criminel: problèmes généraux de la
science criminelle droit pénal général (Cujas, 6th edition, 1988) 556 cited by ปกปอ้ ง ศรสี นิท, กฎหมาย
อาญาชัน้ สูง (วญิ ญูชน, 2559) 147 และ ปกปอ้ ง ศรีสนทิ , การสำ�คญั ผิดในกฎหมายอาญาฝรง่ั เศส ใน คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ed.), 65 ปี เกยี รติขจร (โรงพมิ พเ์ ดือนตลุ า, 2557) 51.
55 ค�ำ พพิ ากษาศาลฎกี าฝรง่ั เศส ฉบบั ลงวนั ท่ี 5 มถิ ุนายน 1984, B.C. no 209. อ้างโดย ศรสี นิท, การ
ส�ำ คญั ผิดในกฎหมายอาญาฝร่ังเศส (n 54) 52-53.
56 Paris, 9 oct. 1979, J.C.P., 1979.II.19232 cited by Catherine Elliott, French criminal law
(Willan Pub, 2001) 112.
57 ค�ำ พิพากษาศาลอาญาเมอื ง Seine, ฉบับลงวนั ที่ 25 ตลุ าคม 1955, Gaz. Pal. 1956. 1. 28, Rev.
sc. Crim. 1956. 325, obs. L. Hugueney. อ้างโดย ศรีสนทิ , การสำ�คัญผิดในกฎหมายอาญาฝร่ังเศส (n 54) 52-53
ถึงแม้ว่า Elliot เห็นกรณีการป้องกันโดยสำ�คัญผิดโดยประมาทว่าอาจยังถือได้ว่าผู้กระทำ�ขาดองค์
ประกอบภายในของการกระท�ำ ความผิด อย่างไรก็ตาม Elliot ไมไ่ ด้ให้เหตผุ ลวา่ ทำ�ไมจงึ คดิ เช่นน้นั หรือมีคำ�พพิ ากษา
ใดมาสนบั สนุน ดู Elliott (n 56) 112.
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 295 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
ยกเว้นความรับผิดแล้ว กรณีท่ีจำ�เลยสำ�คัญผิดโดยประมาทจำ�เลยก็ต้องรับผิดจากการกระทำ�
โดยประมาทด้วย เสมือนการที่จำ�เลยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดโดย
ประมาท58 อย่างไรก็ตามประเด็นที่น่าสนใจก็คือกฎหมายเยอรมันมาตรา 35 กำ�หนดให้กรณี
การกระท�ำ โดยจ�ำ เปน็ ทย่ี กเวน้ โทษ (duress) ซงึ่ เกดิ จากความส�ำ คญั ผดิ ทห่ี ลกี เลยี่ งได้ หรอื ส�ำ คญั
ผิดโดยประมาทนั้นไม่เป็นเหตุยกเว้นโทษเหมือนอย่างมาตรา 62 ของไทย แต่เป็นเพียงเหตุ
ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญาเยอรมนั มาตรา 49 การสำ�คัญผดิ ท่จี ะได้รับการยกเว้นโทษ
นน้ั ตอ้ งเป็นการสำ�คัญผิดทีห่ ลีกเลย่ี งไดเ้ ท่านน้ั 59
4. ความเห็นต่อข้อเสนอของ Paul Robinson เร่ืองการกระทำ�กับ
เหตุผล60
ในช่วงหลายทศวรรษหลงั ในหมู่นกั ทฤษฎีกฎหมายอาญาในประเทศกลมุ่ common
law เมื่อมีการวิเคราะห์ถึงผลทางกฎหมายที่ควรจะเป็นของการสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงท่ี
เป็นอำ�นาจกระทำ�นน้ั ช่ือหนง่ึ ท่ีมักจะเป็นเป้าหมายของการวิเคราะห์กค็ อื Paul Robinson ซ่ึง
เป็นนักทฤษฎีกฎหมายอาญาคนสำ�คัญ โดยปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ประจำ�มหาวิทยาลัย
Pennsylvania61 เพราะ Robinson เสนอความคดิ ทม่ี พี น้ื ฐานมาจากแนวทฤษฎอี รรถประโยชน์
นิยม (utilitarianism)62 โดยใน Competing Theories of Justification : Deeds v.
Reasons63 Robinson เสนอวา่ กฎหมายอาญาควรพิจารณาท่ีการกระทำ�เปน็ หลักส�ำ หรบั เหตุ
58 ศาสตราจารย์ ดร.คณติ อธบิ ายวา่ กรณสี �ำ คญั ผดิ ทงั้ ทหี่ ลกี เลย่ี งไดน้ น้ั จะไมไ่ ดร้ บั การยกเวน้ โทษ เพราะ
ยังมคี วามชวั่ โดยปรับใช้มาตรา 17 ไม่ใชม่ าตรา 16 ดู คณิต ณ นคร (n 14) 270, 273.
59 Bohlander (n 41) 76.
60 ด้วยข้อจำ�กัดของขนาดบทความ ผู้เขียนทำ�ได้เพียงสรุปเหตุผลของ Robinson บางส่วนเฉพาะท่ี
เกีย่ วขอ้ งกับบทความ ส�ำ หรับผู้ทีส่ นใจความคิดของ Robinson อาจเร่ิมอา่ นจาก Robinson (n 5); บุญมี, ขอ้ สังเกต
บางประการเกย่ี วกับเหตยุ กเว้นความผดิ และเหตุยกเว้นโทษ (n 9); รณกรณ์ บุญมี, ความรับผิดทางอาญา : ศึกษา
กรณกี ารฆ่าเพือ่ รกั ษาชวี ิตด้วยความจำ�เป็น (2556) วิทยานิพนธ์นิตศิ าสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
61 < https://www.law.upenn.edu/cf/faculty/phrobins/ > last accessed 7 October 2017.
62 อยา่ งไรกต็ ามผเู้ ขยี นเหน็ วา่ Robinson ไมใ่ ชน่ กั คดิ ในส�ำ นกั อรรถประโยชนน์ ยิ มสดุ โตง่ โดย Robinson
ไดร้ บั อทิ ธิพลแนวคดิ แบบ just-desert ผสมอยมู่ าก ดู Paul H. Robinson The criminal-civil distinction and
the utility of desert (1996) 76 Boston University Law Review 1-2, 201 และ Paul H. Robinson,
Intuitions of justice and the utility of desert (OUP, 2013).
63 Robinson, Competing Theories of Justification: Deeds V. Reasons (n 5).
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 296 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
ยกเว้นความผิด ส่วนเรื่องเหตุผลของการกระทำ�ซ่ึงอยู่ภายในตัวผู้กระทำ�นั้นเป็นได้เพียงเหตุ
ยกเวน้ โทษเทา่ นน้ั 64
เพื่อทจ่ี ะเขา้ ใจขอ้ เสนอของ Robinson โปรดพิจารณาตัวอย่างดงั ตอ่ ไป
กรณีท่ี 1 (ผู้กระทำ�ไม่รู้ว่าตนกระทำ�โดยมีอำ�นาจ : unknown justification) :
นายส้มยิงนายชมพูคู่อริท่ีกำ�ลังเดินเข้ามาเสียชีวิต โดยไม่รู้ว่าขณะนั้นนายชมพูเล็งปืนกลไปที่
ฝงู ชนดว้ ยเจตนาจะยงิ กราด ซึง่ ถ้านายชมพูทำ�ส�ำ เร็จจะมีคนตายจำ�นวนมาก
กรณีที่ 2 (ผู้กระทำ�สำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงว่าตนกระทำ�โดยมีอำ�นาจ : mistaken
justification) : นายเหลอื งออกมาวงิ่ ตอนกลางคนื ขณะนั้นมืดมากและไม่มีแสงไฟ นายเหลือง
เหน็ นายฟา้ วงิ่ ตามมาโดยถอื กระบองมาดว้ ยจงึ ตอ่ ยนายฟา้ ไดร้ บั บาดเจบ็ เพอื่ ปอ้ งกนั ตวั แตค่ วาม
จริงแล้วนายฟ้าแค่ออกมาวิ่งออกกำ�ลังกายเท่านั้น และกระบองที่นายเหลืองเห็นแท้จริงแล้วก็
คือกระบอกไฟฉายทถ่ี ่านหมดขณะท่นี ายฟา้ วง่ิ เท่านั้น
ถงึ แมบ้ ทความนจี้ ะเกย่ี วขอ้ งกบั กรณที ่ี 2 มากกวา่ แตก่ ารทำ�ความเขา้ ใจแนวความคดิ
ของ Robinson การอธิบายถงึ กรณที ่ี 1 ดว้ ยแบบสั้น ๆ กอ็ าจเป็นประโยชน์ได้
4.1 ผ้กู ระท�ำ ไมร่ ้วู ่าตนกระท�ำ โดยมีอำ�นาจ : unknown justification
สำ�หรับกรณีท่ี 1 ถ้าคิดแบบ Robinson จะเห็นว่านายส้มควรได้รับการยกเว้น
ความผดิ ฐานฆา่ คนตายเพราะการกระท�ำ ของนายสม้ นน้ั ตรงกบั ความตอ้ งการของกฎหมาย การ
กระทำ�ของนายส้มเม่ือพิจารณาจากทางภาวะวิสัยแล้วสร้างประโยชน์ให้กับสังคมมากว่าสร้าง
ความเสียหายให้กบั สงั คม เมอื่ นายส้มได้ท�ำ สิ่งทก่ี ฎหมายเห็นดว้ ยและตอ้ งการให้ทำ� เหตใุ ดการ
กระทำ�ของนายส้มจงึ ควรจะเป็นการกระท�ำ ทผ่ี ดิ กฎหมาย สำ�หรับ Robinson แล้ว เหตุยกเวน้
ความผดิ เป็นการพจิ ารณาที่ “การกระทำ�” โดยเฉพาะและไม่เกี่ยวกับเจตนา, ความเชอ่ื , หรือ
มูลเหตุชักจูงใจของผู้กระทำ�เลย65 อย่างไรก็ตามเม่ือการกระทำ�ของนายส้มตอนท่ีเล็งและ
เหนีย่ วไกปืนไปท่ีนายชมพไู ดท้ ำ�ไปด้วยเจตนาฆา่ คนโดยไมช่ อบด้วยกฎหมาย ดังนี้เม่อื พิจารณา
64 ขอ้ วจิ ารณเ์ รอื่ งการแบง่ แยกระหวา่ งเหตยุ กเวน้ ความผดิ และเหตยุ กเวน้ โทษโดยใชเ้ รอ่ื งภาวะวสิ ยั และ
อตั ตะวิสยั ของ Robinson สำ�หรับความเห็นไปในทิศทางเดียวกนั ดู สรุ ศักด์ิ ลิขสิทธ์วิ ฒั นกุล, โครงสรา้ งความรับผดิ
ทางอาญาของไทย: พจิ ารณาจากประมวลกฎหมายอาญามาตรา 62. ใน คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(Ed.), 65 ปี เกยี รตขิ จร (โรงพมิ พ์เดอื นตลุ า, 2557); Albin Eser, Justification and Excuse (1976) 24 The
American Journal of Comparative Law 4, 621-637; John Cyril Smith, Justification and excuse in
the criminal law (Stevens, 1989) และขอ้ โตแ้ ย้งเบ้อื งต้นดู Simester et al (n 27) 673-674.
65 Robinson, Competing Theories of Justification: Deeds V. Reasons (n 5) 54-57.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์
| 297 |
ที่ระลึก 60 ปี พี่ใหญ่ ใจหาญ
จากทางอตั ตะวสิ ยั นายสม้ มคี วามนา่ ต�ำ หนไิ ดข้ องจติ ใจและไดล้ งมอื กระท�ำ การโดยมงุ่ หมายตอ่
สง่ิ ทกี่ ฎหมายหา้ ม นายสม้ จงึ ควรมคี วามรบั ผดิ ฐานพยายามฆา่ โดยประมาท ความผดิ ดงั กลา่ วไม่
สำ�เร็จเพราะความตายท่ีเกิดขึ้นน้ันไม่ใช่ความตายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ความรับผิดของนาย
ส้มจึงเป็นเพียงการพยายามฆ่าเท่าน้ัน66 เพราะสำ�หรับ Robinson แล้วการตัดสินแบบน้ีจะ
สง่ ขอ้ ความไปหาประชาชนไดช้ ดั เจนกวา่ การบอกวา่ การกระท�ำ ของนายสม้ เปน็ ความผดิ ฐานฆา่
คนตาย ท้ังทนี่ ายส้มไดฆ้ า่ ผทู้ สี่ มควรจะถูกฆา่
แนวความคดิ ของ Robinson ในกรณนี ย้ี งั ไมไ่ ดร้ บั การยอมรบั 67 โดยในคดี Dadson68
ซงึ่ วางหลักกฎหมาย common law ในเรื่องน้ีกอ่ นท่ี Robinson จะเสนอทฤษฎขี องตน ศาล
ตัดสินว่าการที่จำ�เลยยิงผู้เสียหายท่ีเป็นผู้ต้องหาคดีร้ายแรงท่ีกำ�ลังหลบหนีแม้ปกติจะถือเป็น
การกระทำ�ท่ีชอบด้วยกฎหมาย แต่เม่ือจำ�เลยไม่รู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวการกระทำ�ของจำ�เลย
จึงเป็นความผิด69 คดีดังกล่าวสอดคล้องกับหลักกฎหมายไทย แต่ขัดแย้งกับแนวความคิดของ
Robinson และยังไมม่ ีคดใี ดท่รี ับเอาแนวคิดของ Robinson มาตดั สินคดโี ดยเรอื่ งน้ีเขา้ ใจไดไ้ ม่
ยาก เพราะแม้ Robinson จะคาดหวังว่ากฎหมายอาญาจะสามารถส่ือสารไดอ้ ยา่ งชดั เจนมาก
ยง่ิ ขน้ึ หากแบง่ แยกเหตยุ กเวน้ ความผดิ และเหตยุ กเวน้ โทษตามมมุ มองทางภาวะวสิ ยั และอตั ตะ
วิสัยตามลำ�ดับ70 แต่ 1) ผู้เขียนเห็นว่าเป็นการยากที่จะเข้าใจและอธิบายได้ว่าเมื่อเหตุยกเว้น
ความผดิ คอื สง่ิ ทกี่ ฎหมายสนบั สนนุ และไมห่ า้ มใหท้ �ำ ท�ำ ไมผกู้ ระท�ำ ควรจะถกู ลงโทษแมเ้ พยี งใน
ฐานะการพยายามกระทำ�ความผิด นอกจากน้ันผู้เขียนยังเห็นว่า 2) การออกแบบกฎหมายใน
ลักษณะดังกล่าวจะเป็นการสนับสนุนประชาชนให้กระทำ�ในสิ่งที่กฎหมายห้ามในทางอ้อม แม้
ประชาชนจะไม่มเี หตุผลที่ดีท่ีจะกระทำ�กต็ าม
4.2 ผู้กระทำ�สำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงว่าตนกระทำ�โดยมีอำ�นาจ :
mistaken justification
ในกรณีที่ 2 นี้สำ�หรับ Robinson เห็นว่านายเหลืองไม่ได้รับยกเว้นความผิดเพราะ
66 Ibid 57-60.
67 ดูขอ้ วิจารณ์ William Wilson, The structure of criminal defences (2005) Criminal Law
Review 108-121 และ Simester et al (n 27) 674-676.
68 [1850] 4 Cox CC 358.
69 Simester et al (n 27) 674; Herring (n 24) 697.
70 Robinson, Competing Theories of Justification: Deeds V. Reasons (n 5) 6164.
ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 298 |
การกำ�หนดให้การสำ�คัญผิดในข้อเท็จจริงที่ผู้กระทำ�มีอำ�นาจกระทำ�ได้ฯ
การกระทำ�ของนายเหลืองเมื่อพิจารณาในทางภาวะวิสัยหาได้สร้างประโยชน์ท่ีแท้จริงใดให้กับ
สังคม เพราะเปน็ การทำ�ร้ายร่างกายนายฟา้ ผบู้ รสิ ุทธิ์ กฎหมายย่อมไม่ปรารถนาการกระทำ�ของ
นายเหลือง และถ้ายอมให้การกระทำ�ของนายเหลืองเป็นการกระทำ�ที่ชอบด้วยกฎหมายจะยัง
เปน็ การตดั โอกาสนายฟา้ ไมใ่ หส้ ามารถอา้ งอำ�นาจทจ่ี ะตอบโตน้ ายเหลอื งอยา่ งเหมาะสมไดโ้ ดย
ชอบด้วยกฎหมายด้วย71 แต่เม่ือนายเหลืองกระทำ�ไปโดยไม่มีความน่าตำ�หนิได้ของจิตใจนาย
เหลอื งจงึ ไมค่ วรตอ้ งรบั โทษ หรอื กค็ อื ก�ำ หนดใหก้ ารส�ำ คญั ผดิ ในขอ้ เทจ็ จรงิ แหง่ เหตอุ �ำ นาจกระท�ำ
เปน็ เหตยุ กเวน้ โทษนนั้ เอง72
ผู้เขียนแม้ไม่เหน็ ด้วยกับเหตุผลของ Robinson ในกรณีแรกแตก่ ับกรณีท่ีสองนั้น ผู้
เขยี นหาขอ้ โตแ้ ยง้ ทเี่ หมาะสมไมไ่ ด้73 จรงิ อยวู่ า่ นายเหลอื ง “เชอ่ื ” วา่ การกระทำ�ของตนสอดคลอ้ ง
กบั กฎหมาย หากนายเหลอื งไดใ้ ชค้ วามระวงั ดแี ลว้ ในการพจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ นนั้ แมน้ ายเหลอื ง
จะไดต้ คี วามหรือเขา้ ใจขอ้ เท็จจริงผดิ ไป กฎหมายกไ็ ม่ควรลงโทษนายเหลอื งที่พยายามทำ�ตวั ให้
สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของกฎหมายเพื่อรักษาคุณค่าสูงสุด ในกรณีเช่นน้ีนายเหลืองหาได้มี
ความน่าตำ�หนิได้ของจิตใจแต่อย่างใด การลงโทษนายเหลืองจึงทั้งไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรม
การยกเวน้ โทษใหน้ ายเหลอื งจึงเป็นส่งิ ท่ถี กู ต้อง
อยา่ งไรกต็ ามสงั คมหาไดห้ มนุ โดยมคี วามเชอ่ื ของนายเหลอื งเปน็ ศนู ยก์ ลาง หรอื หมนุ
ตามความเชอ่ื นนั้ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เมอื่ ความเชอื่ นนั้ ผดิ พลาด ถงึ แมน้ ายเหลอื งจะเชอื่ วา่ วา่ การ
กระท�ำ ของตนสอดคลอ้ งกบั กฎหมาย แตเ่ มอื่ ในความเปน็ จรงิ การกระท�ำ ของนายเหลอื งไดส้ รา้ ง
71 Ibid 51-53.
72 Ibid.
73 อย่างไรก็ตามผเู้ ขยี นเหน็ ว่า Robinson เข้าใจผดิ เรอ่ื งการแบ่งแยกระหวา่ งเหตยุ กเว้นความผิด และ
เหตยุ กเวน้ โทษด้วยใชเ้ กณฑภ์ าวะวสิ ยั และอตั ตะวสิ ยั อย่างเดด็ ขาด รายละเอียดดใู นหวั ข้อท่ี 6
74 จากการพูดคุยกับศาสตราจารย์ ดร.สุรศักด์ิ ลิขสิทธิวัฒนกุลก็มีความเห็นไปในทิศทางดังกล่าว โดย
ท่านเหน็ ว่ากฎหมายควรแยกพจิ ารณาวา่ ในสว่ นความรบั ผดิ ของนายเหลืองนัน้ เมื่อพจิ ารณาจากความเขา้ ใจของนาย
เหลือง (from his perception) นายเหลืองอาจได้รับการยกเวน้ ความผดิ ตามมาตรา 68 ประกอบ 62 แต่การกระท�ำ
ของนายเหลอื งในความเปน็ จรงิ (in fact) กย็ งั คงเปน็ ความผดิ อยดู่ ี ดงั นน้ั จากมมุ มองของนายฟา้ ยอ่ มสามารถใชก้ �ำ ลงั
ปอ้ งกนั สิทธขิ องตนจากการประทษุ ร้ายของนายเหลอื งได้ แนวความคิดน้คี ล้ายคลงึ กบั ขอ้ เสนอแก้ปญั หาเฉพาะหน้า
ของ Robinson ที่เสนอให้ตีความว่าการกระทำ�ของบุคคลเช่นนายเหลืองเป็น justified but unlawful act ดู
Robinson, Competing Theories of Justification: Deeds V. Reasons (n 5) 53 อย่างไรกต็ ามขอ้ เสนอว่า
การกระทำ�นั้น justified but unlawful นั้นด้วยตัวมันเองก็ขัดแย้งทางตรรกะอยู่แล้ว ท่ีถูกคือการกระทำ�ของ
นายเหลืองควรเป็น unjustified and unlawful but excused act มากกว่า ดูปัญหาต่อการตอบโต้ justified
threats ที่ Jeff McMahan, Self-Defense Against Morally Innocent Threats (OUP, 2011) 394.
ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์
| 299 |