เจา ของ สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 1 สาํ นกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา
ที่ปรกึ ษา ดร.สุเทพ แกง สนั เทียะ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา
นายมณฑล ภาคสุวรรณ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
รศ.ดร.ศกั ด์ิ กองสวุ รรณ นายกสภาสถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 1
ดร.เฉลิมศกั ดิ์ นามเชยี งใต นายกสภาสถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 3
ดร.ชาญทนงค บุญรักษา ผูอํานวยการสถาบนั การอาชีวศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 2
นายสมใจ เชาวพ านิช ผอู าํ นวยการสถาบนั การอาชวี ศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 3
นายลิขิต พลเหลา ผูอาํ นวยการสถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 4
ดร.กาญจนา เงอื่ นกลาง ผูอํานวยการสถาบันการอาชีวศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 5
บรรณาธิการอาวโุ ส ศ.ดร.สัมพนั ธ ฤทธิเดช เลขาธกิ ารคณะกรรมการการอุดมศึกษา
รองบรรณาธิการอาวโุ ส ศ.ดร.มนตชัย เทียนทอง คณบดบี ณั ฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลาพระนครเหนือ
ศ.พล.ต.ต.ดร.เกียรติพงษ มเี พยี ร มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏมหาสารคาม
บรรณาธิการ ดร.วรวทิ ย ศรีตระกูล ผอู าํ นวยการสถาบันการอาชวี ศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนอื 1
รองบรรณาธกิ าร นายพงศว วิ ฒั น ฮงทอง รองผูอาํ นวยการสถาบันการอาชีวศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 1
นายอุดมภูเบศวร สมบรู ณเ รศ รองผูอํานวยการสถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 1
ดร.สนุ ทรผไท จนั ทระ ผอู าํ นวยการวิทยาลยั บรหิ ารธรุ กิจและการทอ งเท่ียวอดุ รธานี ทําหนาที่
ผชู ว ยผูอํานวยการสถาบันการอาชีวศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 1
ผชู ว ยบรรณาธิการ ดร.อนริ ุทธ จนั ทมลู สถาบันการอาชวี ศึกษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 3
นายโชค ออ นพรม ผเู ชย่ี วชาญดานการจดั การอาชวี ศกึ ษาบณั ฑติ
นายถาวร ราชรองเมือง ผูอาํ นวยการอาชีวศึกษาบณั ฑติ
นายชชั วาล ปณุ ขันธุ ผูอาํ นวยการสํานกั ยทุ ธศาสตรแ ละความรวมมอื อาชวี ศกึ ษา
กองบรรณาธิการ รศ.ดร.ธเนศ ธนิตยธ รี พนั ธ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลาธนบรุ ี
รศ.ดร.ชญาดา สุระวนิชกุล มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน วทิ ยาเขตหนองคาย
ผศ.ดร.สาธติ กระเวนกจิ มหาวิทยาลยั ขอนแกน วทิ ยาเขตหนองคาย
ดร.พทุ ธ ธรรมสนุ า สถาบนั การอาชวี ศกึ ษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 1
ดร.จักรี ตน เชอื้ สถาบันการอาชีวศกึ ษาภาคตะวันออกเฉียงเหนอื 2
ดร.วิบูลย พันธสุ ะอาด สถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 3
ดร.รุง สวาง บุญหนา สถาบันการอาชีวศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4
ดร.รวิกร แสงชํานิ สถาบนั การอาชีวศกึ ษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5
ดร.สนิท หฤหรรษวาสนิ สถาบันเทคโนโลยจี ติ รลดา
ดร.เดชวชิ ยั พิมพโคตร วิทยาลยั เทคนิคหนองคาย
ดร.ยวุ ดี ธรรมสุนา วิทยาลัยบรหิ ารธุรกจิ และการทอ งเที่ยวอุดรธานี
เลขานุการกองบรรณาธกิ าร นางกรรณกิ า สายสญิ จน วทิ ยาลัยเทคนิคหนองคาย
นางปวีณา สมบูรณเรศ วทิ ยาลยั เทคนิคหนองคาย
ผูชว ยเลขานกุ ารกองบรรณาธกิ าร นางปภาภัทร แสงแกว วทิ ยาลยั อาชวี ศกึ ษาหนองคาย
ดร.พชั ร ออ นพรม วทิ ยาลัยเทคนิคหนองคาย
ที่อยูกองบรรณาธิการ 306 หมู 5 ต.โพธิช์ ัย อ.เมอื งหนองคาย จ.หนองคาย 43000
ผูประสานงาน นางอนสุ รณ พฤกษะศรี สถาบันการอาชีวศกึ ษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 1 โทร. 042-411447 มอื ถอื 084-6029320
โทร. 042-411445 มือถอื 081-7393264
นายขจรศักดิ์ วเิ ศษสุนทร สถาบนั การอาชีวศึกษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 1 โทร. 042-411445 มือถือ 094-5058558
โทร. 042-411445 มอื ถอื 097-3265539
นางสาวชไมพร โมรา สถาบันการอาชวี ศึกษาภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 1
นางสาวภัคชาดา แยมสาขา สถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 1
Website : https://www.tci-thaijo.org/index.php/ve-irj/index E-mail : [email protected]
กาํ หนดออก ปล ะ 2 ฉบับ (มกราคม – มถิ นุ ายน และ กรกฎาคม - ธนั วาคม)
เร่มิ ตพี มิ พ มกราคม - มถิ ุนายน 2560
หนา
- การสงั เคราะหงานวิจยั ดา นอาชีวศกึ ษาเพ่ือจัดทาํ ขอ เสนอเชงิ นโยบายการจัดการอาชวี ศึกษา 1 - 12
ของสาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา กลุม อุตสาหกรรม
- การผลติ ถานอัดแทง จากเศษหนอไมเ หลือทิง้ 13 - 20
- ผลกระทบของผงแคลเซียมคารบอเนตตอ สมรรถนะการไหลและกาํ ลงั รบั แรงอดั 21 - 30
ของคอนกรีตมวลรวมเบาทอ่ี ัดแนน ไดดวยตวั เอง
- การพฒั นารั้วซเี มนตมอรต ารสําเรจ็ รูป 31 - 35
- อปุ กรณว งจรบูทแรงดันไฟฟากระแสตรงเพ่ือใหแรงดันท่อี นิ เวอรเ ตอรข ับมอเตอร 36 - 46
- การพัฒนาเว็บแอพพลิเคชนั่ ระบบฐานขอมูลบณั ฑติ วิทยาลยั หลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต (ทล.บ) 47 - 56
สาขาวิชาคอมพวิ เตอรธุรกิจ วทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษาอุดรธานี
- การพฒั นารูปแบบการบริหารโฮมสเตย เพ่ือการทอ งเที่ยวชมุ ชนบนฐานเศรษฐกิจพอเพยี ง 57 - 64
ในพืน้ ทอ่ี าํ เภอหนองแสง จังหวัดอุดรธานี
- การศึกษาความสําเรจ็ ในการจัดทาํ บญั ชขี องวิสาหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอมในเขตจงั หวัดอดุ รธานี 65 - 74
- องคป ระกอบการจดั องคกรแหงนวตั กรรมทางการศกึ ษายคุ ดิจิทลั สําหรับสถาบันการอาชีวศกึ ษา 75 - 89
ภายใตสถานการณวิถีปกติใหมใ นประเทศไทย
- การศกึ ษาลกั ษณะการใชอาคารเรยี นและพนื้ ท่ีปฏบิ ตั ิการ สาขาวิชาเครื่องกล
วิทยาลัยในสงั กดั สถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 90 - 98
- รปู แบบการบรหิ ารจดั การศูนยทดสอบและรับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพและคุณวฒุ ิวิชาชพี 99 -112
เพื่อพฒั นาคุณภาพผูเรยี นและชมุ ชน วทิ ยาลัยสารพัดชางเพชรบรู ณ
- คาํ ศัพทรว มสมยั : ยุคศตวรรษท่ี 21 ยุคดิจติ อลและยุคไทยแลนด 4.0 113 - 123
- ทบทวนวรรณกรรม เรอื่ ง เทคโนโลยกี ารทอดสุญญากาศ 124 - 136
- การศึกษาพฒั นาชดุ การสอน วิชาการขบั รถยนต รหสั วชิ า 2101-2105 ของนักศึกษา 137 - 149
ระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ พทุ ธศักราช 2556 สาขาวิชาชา งยนต วิทยาลยั เทคนคิ หนองคาย
- การสรา งและหาประสิทธภิ าพเอกสารประกอบการสอน 150 - 157
รายวชิ างานเครอ่ื งยนตแกสโซลีน รหสั วิชา 20101-2001
- รายงานการสรางและหาประสิทธภิ าพเอกสารประกอบการสอนวชิ าผลิตช้นิ สวนดวยเครื่องมือกล 1 158 - 175
รหสั วชิ า 20102-2008 หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม
สํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
- องคป ระกอบและตัวบงชข้ี องคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงคส าํ หรบั นกั ศึกษา ครชู า งอุตสาหกรรม 176 - 187
มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคล
- การพฒั นาหลักสตู รฝกอบรมเพอ่ื พฒั นาสมรรถนะครูดานการจดั การเรยี นรู แบบใชโ ครงงานเปน ฐาน 188 - 199
ของวิทยาลัยการอาชีพปราณบรุ ี 200 -213
- การศึกษารปู แบบการเรยี นรขู องนักศกึ ษาและความคิดเหน็ ตอ การจัดการเรยี นการสอนออนไลน
ในรายวชิ า ทฤษฎโี ครงสราง กรณีศึกษา: ระดับ ปวส.1 แผนกวชิ าชางกอสราง วทิ ยาลัยเทคนิคนาน
Vocational Education Innovation and Research Journal 1
วารสารวจิ ัยและนวัตกรรมการอาชวี ศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
การสังเคราะห์งานวิจยั ด้านอาชีวศึกษาเพื่อจัดทาขอ้ เสนอเชิงนโยบาย
การจดั การอาชีวศึกษาของสานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา กลุ่มอุตสาหกรรม
เรืออากาศโทสมพร ปานดา1
สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา กระทรวงศึกษาธกิ าร
ดร.วรวทิ ย์ ศรีตระกูล2
ผูอ้ านวยการสถาบนั การอาชวี ศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 1
บทคัดยอ่
บทความฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือสังเคราะห์งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับด้านอาชีวศึกษาเพ่ือจัดทาข้อเสนอเชิง
นโยบายการจดั การอาชีวศึกษาของสานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ของกลุ่มอุตสาหกรรม โดยศึกษารวบรวม
และสังเคราะห์งานวิจัยท้ังสิ้น 26 งานวิจัย โดยสังเคราะห์ใน 6 ประเด็น ประกอบไปด้วย ประเด็นที่ 1 ด้านหลักสูตร
ประเด็นที่ 2 ด้านครู ประเด็นท่ี 3 ด้านผู้เรียน ประเด็นที่ 4 ด้านการจัดการเรียนการสอนจานวน ประเด็นท่ี 5 ด้าน
การบริหารจัดการ ประเด็นท่ี 6 ด้านความร่วมมือ และ ประเด็นที่ 7 เรื่องอื่น ๆ ท่ีเก่ียวนโยบายและแนวโน้มการ
พฒั นา
ผลการสังเคราะห์งานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับด้านอาชีวศึกษา สามารถนามาจัดทาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายการ
จัดการอาชีวศึกษาของสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ของกลุ่มอุตสาหกรรม และเป็นแนวทางการปฏิบัติ
รวมทั้งการนาไปประยุกต์ใช้ จัดทาโรงการต่าง ๆ เพื่อการสร้างกาลังคนอาชีวศึกษาให้มีความสามารถผสมผสาน
วิชาการด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมให้เข้ากับทักษะทางด้านช่าง สร้างนวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ควบคู่กับ
การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 อันจะนาไปสู่การยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยี ให้กับภาคการ
ผลติ ของประเทศ
คาสาคัญ : อาชีวศึกษา, อุตสาหกรรม, นโยบาย, ขอ้ เสนอ, สังเคราะห์งานวจิ ยั
1รองเลขาธกิ ารคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
2ผ้อู านวยการสถาบันการอาชวี ศึกษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 1
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 2
2 วารสารวิจัยและนวัตกรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
บทนา
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ได้กล่าวถึงสาเหตุท่ีทาให้ประเทศไทยต้องมีการปรับตัวให้พร้อม
สาหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและบริการของประเทศให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง และสามารถแข่งขันกับนานา
ประเทศได้ โดยการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพ้ืนฐาน เคร่ืองจักร เทคโนโลยี และกาลังคนให้มีความรู้
ความสามารถ และทักษะ เพื่อเข้าสู่สังคมงานและอาชีพได้อย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ
สังคม และเทคโนโลยี โดยเฉพาะการผลิตกาลังคนให้ตรงตามความต้องการกาลังคนในภาคอุตสาหกรรมและการ
บรกิ าร เนือ่ งจากระบบเศรษฐกิจโลกกาลังเปลย่ี นแปลงไปสู่อตุ สาหกรรมสมัยใหม่ ปัจจุบนั นวตั กรรมและเทคโนโลยี มี
การพฒั นาไปอยา่ งไม่หยดุ ยัง้ สง่ ผลใหเ้ กิดอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ขึ้นมาเป็นจานวนมากเพื่อตอบสนอง
ความต้องการของตลาด [1] ทั้งน้ีการแปลงของโลกเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านวิทยาการความก้าวหน้าทาง
สนเทศเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีแนวโน้มท่ีจะเกิดการเปล่ียนแปลงแบบพลิกผนั (Disruptive change) ยิ่งขน้ึ
สภาวการณ์เปลีย่ นแปลงนี้ของโลกเรียกว่า โลกยุควูก้า หรือ VUCA World โดยคาว่า VUCA เป็นคาที่เกิดจากอักษร
ตัวแรกของคา 4 คาในภาษาอังกฤษ ซึ่งสะท้อนถึงสภาวการณ์ทีม่ ีลักษะพเิ ศษ 4 อย่างดังนี้ ความผันผวน (volatility)
ความไม่แน่นอน (uncertainty) ความสลับซับซ้อน (complexity) และความคลุมเครือ (ambiguity) [2] จาก
สภาวการณด์ งั กล่าวของ WCA World ส่งผลให้นกั วทิ ยาศาสตรแ์ ละผนู้ าโลกไมส่ ามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ในโลกอนาคต โดยมีการเปลี่ยนแปลงของ 2 ด้านที่สาคญั [3] คอื 1) ในดา้ นที่เกยี่ วกบั การเปลย่ี นแปลงของภูมิอากาศ
1.1) มคี วามผันผวนแบบสดุ ข้ัว เชน่ แล้งจดั น้าทว่ มรนุ แรง 1.2) มสี ง่ิ เล็ก ๆ ทมี่ ีพลงั มหาศาลและสง่ ใหเ้ กิดผลกระทบท่ี
รุนแรงและกว้างขวางได้ ดังที่พบเห็นอยู่ในปัจจุบัน คือ เชื้อไวรัสโควดิ -19 (Covid-19) ท่ีส่งผลกระทบไปทุกระบบทวั่
ทั้งโลก และยังไม่แน่ชัดว่าจะยุติสถานการณ์น้ีได้อย่างไร 2) ในต้นพลังของการขับเคล่ือนสังคม ปัจจุบันโลกสังคม
ออนไลน์ซ่ึงเป็นพลังเล็ก ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างมหาศาลเกิดการเผยแพร่วัฒนธรรมและการกระจายข้อมูล
ต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซ่ึงทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบ รวมถึงภาคการศึกษาที่ต้องรับมือกับกระแสโลกที่ผันผวนนี้ด้วย
นอกจากนี้แล้วยังพบว่า ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทาให้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence)
รวมทั้งหุ่นยนต์ที่มีคุณสมบัติและความสามารถคล้ายมนุษย์และยังสามารถทางานหลายอย่างได้ดีกว่ามนุษย์ โดยใน
ปัจจุบนั AI ไดเ้ ข้ามาทางานแทนทีม่ นษุ ย์ในเกือบทุกอุตสาหกรรม [4] ทาใหม้ นษุ ยส์ ะดวกสบายมากยิง่ ขึน้ ซ่งึ ทีผ่ า่ นมา
การศึกษาของไทยเป็นการศึกษาที่การตอบสนองการเรียนรู้ด้วยความรู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อย ซ่ึงไม่สอดคล้องกับ
ปัจจุบันท่ีความรู้เปล่ียนแปลได้อย่างรวดเร็ว ไม่แน่นอน ซับซ้อนและคลุมเครือ [5] ส่ิงเหล่านี้จะย่ิงเพ่ิมความท้าทาย
ให้กับการจัดการศึกษาท่ีความคาดหวังในการเตรียมทรัพยากรมนุษยใ์ นระดบั ต่าง ๆ ให้มีความสามารถในการปรับตวั
และตอบสนองต่อการเปลยี่ นแปลงดังกล่าวมากยง่ิ ข้นึ ตามลาดับ สาหรับทศิ ทางการพัฒนาด้านการศึกษาจากประเทศ
ต่าง ๆ ทั่วโลก มีการวางแผนระยะยาวด้านการพัฒนาประเทศเพ่ือให้เกิดความเป็นเอกภาพในการพัฒนาท้ังด้าน
เศรษฐกิจ สังคม การเมืองและส่ิงแวดล้อม [6] ภายใต้แผนย่อยการปฏิรูปกระบวนการศึกษาและการเรียนรู้ท่ี
ตอบสนองตอ่ การเปลย่ี นแปลงของโลกในศตวรรษท่ี 21
ผู้เขียนจึงรวบรวมแนวทางจากการค้นคว้าและสืบค้นงานวิจัยท่ีมีความโดดเด่นด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ด้าน
กาลงั คนอาชวี ศึกษา และการพฒั นาทร่ี องรับกบั โลกในศตวรรษท่ี 21 มาสังเคราะห์ เพื่อจัดทาขอ้ เสนอเชิงนโยบายการ
จัดการอาชีวศึกษาของสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ของกลุ่มอุตสาหกรรม โดยมีรายละเอียดประเด็นท่ี
นามาสังเคราะห์งานวิจัยด้านอาชีวศึกษาเพื่อจัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการอาชีวศึกษาของสานักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศึกษากลุ่มอตุ สาหกรรม ดงั น้ี ประเดน็ ที่ 1 หลักสตู รจานวน 3 เรอื่ ง ประเดน็ ที่ 2 ครู จานวน
3 เร่ือง ประเด็นท่ี 3 ผู้เรียน จานวน 3 เรื่อง ประเด็นที่ 4 การจัดการเรียนการสอนจานวน 4 เรื่อง ประเด็นที่ 5
การบริหารจัดการจานวน 4 เร่ือง ประเด็นที่ 6 ความร่วมมือ จานวน 4 เรื่อง และ ประเด็นท่ี 7 เร่ืองอ่ืน ๆ ท่ีเก่ียว
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 3
วารสารวจิ ยั และนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
นโยบายและแนวโน้มการพัฒนาจานวน 5 เร่ือง เพื่อจัดทาเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายการจัดการอาชีวศึกษาของ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาของกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ของ
อาชีวศึกษา นาไปสู่เป้าหมายการสร้างกาลังคนอาชวี ศึกษาให้มีความสามารถผสมผสานวิชาการด้านเทคโนโลยี และ
นวัตกรรมให้เข้ากับทักษะทางด้านช่าง เพ่ือสร้างนวัตกรรมและส่ิงประดิษฐ์ใหม่ ๆ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะการ
เรียนรใู้ นศตวรรษที่ 21 อันจะนาไปส่กู ารยกระดับความสามารถทางเทคโนโลยี ให้กับภาคการผลิตของประเทศ
ผลการสังเคราะหง์ านวิจัยดา้ นอาชวี ศกึ ษา
ประเด็นที่ 1 ดา้ นหลกั สูตร
อุตสาหกรรม 4.0 ความตระหนักด้านส่ิงแวดล้อม [7] และการศึกษาเปรียบเทียบเพื่อยกระดับการพัฒนาช่าง
เทคนิคพรีเม่ียม สาขาเมคคาทรอนิกส์และ หุ่นยนต์กับสาขาเทคนิคควบคุมและซ่อมบารุงระบบขนส่งทางรางให้
สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย [8] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่
ปฏบิ ัติได้ คือ สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา พัฒนาหลกั สตู รการจดั การสงิ่ แวดล้อม เพ่ือเพิม่ ศกั ยภาพในการ
เพิ่มผลผลิต “อุตสาหกรรมสีเขียว 4.0” (Green Industry) ผลิตภัณฑ์สีเขียว (Green Product) การตลาดสีเขียว
(Green Marketing) การเพมิ่ ผลติ ภาพสเี ขียว (Green Productivity) การประเมินวฏั จักรชวี ติ ผลิตภัณฑ์ (Life Cycle
Assessment : LCA) เทคโนโลยีอัจฉริยะท่ีสอดคล้องกับแนวคิดสีเขียว (Smart is new green) Smart cities,
Smart factories หรือ Smart farms, Innovating to Zero, Future of energy
การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษาประเภทช่างอตุ สาหกรรมภายใต้นโยบายประเทศไทย 4.0
[9] และการศึกษาเปรียบเทียบเพื่อยกระดับการพฒั นาชา่ งเทคนคิ พรีเมี่ยมสาขาเมคคาทรอนิกสแ์ ละหุ่นยนต์กบั สาขา
เทคนคิ ควบคุมและซ่อมบารุงระบบขนสง่ ทางรางให้สอดคล้องกับการพฒั นาประเทศในกลุม่ อุตสาหกรรมเป้าหมาย [8]
โดยมีประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรส่งเสริม
และจดั อบรมผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ใหเ้ ขา้ ใจในกระบวนการพฒั นาหลักสูตร ทีส่ อดคลอ้ งกับมาตรฐานอาชีพ มาตรฐาน
คุณวุฒิวิชาชีพ และเพ่ิมความร่วมมือกับต่างประเทศ และเร่งพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพ ให้สอดคล้องกับความต้องการ
ของสถานประกอบการกับนโยบายการพัฒนา และการแข่งขันของประเทศ ควรส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษาจัด
หลกั สูตรพฒั นาเพ่ิมทกั ษะ (Up skill) ใหก้ บั กลุม่ แรงงานในอุตสาหกรรม ยกระดบั ให้เปน็ ช่างเทคนคิ พรเี มยี ม เนอ่ื งจาก
แรงงานท่มี ีการศึกษาไมเ่ กินระดบั มธั ยมตน้ มีสัดส่วนสูงถงึ 61.30%
ความสามารถในการแขงขันของประเทศกบั การพฒั นาอย่างยงั่ ยนื : กรณีศกึ ษาการพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ยของ
ประเทศสิงคโปรและประเทศไทย [11] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้ คือ สานักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา พัฒนาหลักสูตรใหผ้ ้เู รยี นอาชีวศึกษามที ักษะแห่งอนาคต
1) การวเิ คราะหขอมูล (Data analytics) - การเงิน (Finance)
2) บรกิ ารท่ีใชเทคโนโลยเี ปนฐาน (Tech-enable services)
3) ส่ือดจิ ิทัล (Digital media) - ความปลอดภัยทางไซเบอร (Cyber security)
4) การเปนผู้ประกอบการ (Entrepreneurship)
5) การผลิตขั้นสงู (Advanced manufacturing)
6) การพฒั นาเมือง (Urban solution)
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 4
4 วารสารวจิ ัยและนวัตกรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
ประเด็นท่ี 2 ด้านครู
การสังเคราะห์และพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลครูอาชีวศึกษา เพื่อรองรับนโยบายประเทศไทย 4.0 [12] โดยมี
ประเด็นท่นี ่าสนใจในการนาไปส่นู โยบายท่ปี ฏบิ ตั ิได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ควรพฒั นาหลักสตู ร
ฝึกอบรมพัฒนาครูอาชีวศึกษาให้มีสมรรถนะดิจิทัล โดยเฉพาะเร่ืองที่เก่ียวข้องกับการปกป้องข้อมูลส่วนตัว และส่วน
ราชการ เช่น การป้องกันภัยคุกคามข้อมูลระบบเครือข่าย การป้องกันมัลแวร์ การใช้อินเทอร์เน็ตอย่างถูกต้องและ
ปลอดภยั
โครงการวิจยั เพือ่ พัฒนาต้นแบบคลงั ปัญญาเพอ่ื การผลิตและพัฒนาชา่ งเทคนคิ : กรณีศกึ ษาสาขาปิโตรเคมีและ
เคมภี ัณฑ์ [13] โดยมปี ระเด็นท่นี า่ สนใจในการนาไปส่นู โยบายทีป่ ฏิบัติได้ คือ สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา
ควรดาเนินการสร้างระบบการขับเคล่ือนความร่วมมือกับภาคประกอบการ ด้วยนวัตกรรมคลังปัญญา (Intelligence
Center) เพ่ิมช่องทางสอื่ สารระหว่างสถานศกึ ษากับภาคประกอบการ ขยายศูนย์ทดสอบมาตรฐานอาชพี และคุณวฒุ ิ
วิชาชีพ และแสวงหาความร่วมมอื เพิ่มเติมกับสถานประกอบการท่ีมีศักยภาพและพร้อมที่จะถ่ายทอดองค์ความรู้ ของ
ตน เช่ือมโยงเครอื ข่ายขอ้ มูล องคค์ วามรู้ และการสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรยี นรรู้ ่วมกนั ใหค้ รูในสถานศึกษา และครูฝกึ ใน
สถานประกอบการได้นาองคค์ วามรูไ้ ปใช้ร่วมกัน
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูในการจัดการเรียนการสอนวิชาชีพเพื่อพัฒนาทกั ษะการคิดแก้ปัญหางาน [14]
และการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพ่ือส่งเสริมทักษะในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนอาชีวศึกษาตามแนวคิด
ทฤษฎีการสร้างความรู้ [15] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการ
การอาชีวศึกษา ควรจัดการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมครูชา่ งอุตสาหกรรมให้สามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิด
“ทักษะการคิดแก้ปัญหา” (Problem solving skills) ของนักศึกษาที่นาไปสู่การแก้ปัญหาในการทางานในสถาน
ประกอบการ และส่งเสริมสนับสนุนให้สถานศึกษามีการจัดกิจกรรมที่พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา ให้มีกระบวนการ
แก้ปัญหาในชีวิตท่ีมีกระบวนการคิด ควบคุมการคิดด้วยตนเอง และมีการถ่ายทอดการคิด หลากหลายช่องทาง
ลดปัญหาการใชค้ วามรุนแรง ทะเลาะวิวาทได้
ประเด็นที่ 3 ดา้ นผูเ้ รยี น
นักศึกษาให้ความสาคัญกับทักษะท่ีจาเป็นในยุคดิจิทัลอย่างไร การศึกษานาร่องโดยใช้การวิเคราะห์เอ็มดีเอส
และเอ็มดียู [16] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษาควรจัดอบรมครูอาชีวศึกษาเพ่ือพัฒนาความรู้ให้สามารถพัฒนา “ทักษะยุคดิจิทัลในระดับสูง”
ประกอบด้วย 1) ทักษะด้านอารมณ์ 2) ทักษะเก่ียวกับรหัส 3) ทักษะสื่อสังคม 4) ทักษะในการจูงใจตนเอง
5) ทกั ษะความคดิ สร้างสรรคแ์ ละนวตั กรรม 6) ทักษะภาษา และ 7) ทกั ษะด้านการวเิ คราะห์
โครงการศึกษาการพัฒนากาลังคนด้านดิจิทัล (Digital Manpower) เพ่ือรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
(S-Curve) และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) มูลนิธิ
สถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนาประเทศไทย : TDRI [17] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้ คือ
รัฐบาลควรมีนโยบายเพ่ือให้เกิดกาลังคนด้านดิจิทัล ที่สามารถพัฒนาและใช้เทคโนโลยีหลักที่เปล่ียนแปลงอย่างพลิก
ผันได้ และสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรจัดทาโครงการ ICT Model Schools ให้สถาบันการศึกษา
สมคั รเขา้ รว่ มโครงการ หลกั สูตรการสอนทเ่ี หมาะสมและความพรอ้ มดา้ น สถานท่ีและอปุ กรณ์วจิ ัย แล้วได้รบั สนบั สนนุ
จากสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาควรจัดหลกั สูตรพัฒนาดา้ น ICT
อย่างเข้มข้นระยะประมาณ 6 เดือน สาหรับผู้สอนสาขาธุรกิจดิจิทัล เพื่อไปสร้างกาลังพลด้านดิจิทัลให้กับประเทศ
ต่อไป และควรสนบั สนนุ ให้มีการสอบวัดระดบั ทกั ษะอาชีพ ICT ตามมาตรฐานสากล
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 5
วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
การศึกษาทักษะท่พี ึงประสงคใ์ นศตวรรษที่ 21 ของนกั ศึกษามหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีสรุ นารี ประจาปกี ารศึกษา
2562 [18] การพฒั นาทกั ษะชีวติ ดา้ นทกั ษะทางปัญญาอย่างมีวจิ ารณญาณของนักศึกษาระดบั อาชวี ศึกษา [19] โดยมี
ประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรจัดอบรมครู
อาชีวศึกษาเพื่อพัฒนาความรู้ให้สามารถพฒั นาทกั ษะทพ่ี ึงประสงค์ของผู้เรียนโดยเฉพาะในเร่ือง 1) ทักษะการสื่อสาร
และเจรจาตอ่ รอง 2) ทกั ษะทางปญั ญาอยา่ งมีวจิ ารณญาณ
ประเดน็ ที่ 4 ด้านการจดั การเรียนการสอน
การพัฒนาทักษะชีวิตด้านทักษะทางปัญญาอย่างมีวิจารณญาณ ของนักศึกษาระดับอาชีวศึกษา [19] โดยมี
ประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบตั ไิ ด้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา พัฒนากระบวนการ
เรียนรู้ด้านพฤติกรรมด้วยกิจกรรมส่งเสริมผู้เรียน ด้วยทักษะชีวิตด้านทักษะทางปัญญาอย่างมีวิจารณญาณ (CCS)
เพือ่ ลดปญั หาการมีพฤตกิ รรมไม่พึงประสงค์ในการทางาน และชวี ติ ประจาวัน
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบโครงงานออนไลน์ ที่มีการส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยเทคนิคความผูกพันของ
ผู้เรียน สาหรับผู้เรียนอาชีวศึกษา [20] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้ คือ สานักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศึกษานากลยุทธ์การสร้างความผูกพันธ์ระหว่างเรียน Online เช่น การเรียนรู้ร่วมกัน การ
ติดตามใกล้ชิด การสรา้ งความม่ันใจใหก้ บั ผเู้ รียน ช่วยในการกระตนุ้ การตอบสนองในช้นั เรียน
รปู แบบสมรรถนะครูเกอ้ื หนุนในระบบการเรยี นรู้เชิงบูรณาการร่วมกับ การทางานสาหรับอาชีวศึกษา [21] โดย
มีประเดน็ ที่น่าสนใจในการนาไปสนู่ โยบายทปี่ ฏบิ ตั ิได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาพฒั นาสมรรถนะครู
นิเทศติดตามผู้เรียนในสถานประกอบการ เน้นสมรรถนะครูเก้ือหนุน (Facilitators) โดยมีการประเมินสมรรถนะครู
เก้ือหนนุ
การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเปน็ ฐาน (Project Based Learning : PjBL) โดยการใช้ไอซที เี พอื่ พฒั นา
ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้สาหรับนักศึกษาระดับชั้น ปวส.1 สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดิจิทัล วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก
[22] โดยมีประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาพัฒนา
ทักษะการสอนแบบ (Project Based Learning : PjBL) ของครูอาชีวศึกษา ในรูปแบบ Online ให้เหมาะสมกับ
สถานการณ์ในปัจจุบัน รองรับการเปลยี่ นแปลงในอนาคต
ประเดน็ ท่ี 5 ดา้ นการบรหิ ารจดั การ
การจัดการความเส่ียงท่ีส่งผลต่อการบรรลุมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการ
อาชีวศึกษาภาคกลาง 4 [23] โดยมีประเดน็ ที่น่าสนใจในการนาไปส่นู โยบายท่ีปฏบิ ัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการ
การอาชวี ศกึ ษา ส่งเสริมให้สถานศกึ ษามีการจัดการความเสี่ยงด้านการดาเนินงาน โดยใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในการ
ดาเนินงานอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ สอศ. สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดทาแผนบริหารความเส่ียงตาม
มาตรฐานการอาชีวศึกษา
การศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีในการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาอาชวี ศึกษาเอกชนตามมาตรฐานการ
อาชีวศึกษา พ.ศ.2561 : การประยุกต์ใช้พหุแนวคิด (ณัฐพล ธิตินานันทกูล, 2563) [24] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจใน
การนาไปสู่นโยบายท่ปี ฏิบัตไิ ด้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรกาหนดแนวปฏิบตั ิ หรือจัดหา จัดทา
คู่มือแนวปฏิบัติท่ีดีท่ีเกิดจากการประยุกต์ใช้พหุแนวคิดในการประกันคุณภาพการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของ
สถานศึกษาและควรสนบั สนุน ส่งเสริมให้มกี ารจดั ทาแผนพัฒนาคณุ ลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค์ของนกั ศึกษาประจาปีที่เกิด
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 6
6 วารสารวจิ ยั และนวตั กรรมการอาชวี ศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
จากการมีส่วนรว่ มของผู้เรียนและครู พรอ้ มมกี ารกากับ ตดิ ตามรายงานผลการดาเนินการ รวมทงั้ ควรมกี ารบูรณาการ
หลักสูตรใหส้ อดคลอ้ งกบั การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ดา้ นการอาชวี ศกึ ษา (V-NET)
แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานอาชีวศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาขอนแก่น [25] โดยมีประเด็นท่ี
น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบัตไิ ด้ คอื สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาควรสนบั สนุนส่งเสรมิ ให้มีการ
จัดทาแผนการศึกษาระยะสั้นโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศ ปัจจัยการบริหารจัดการที่มาจาก SWOT ที่สอดรับและ
สอดคล้องกับแผนพัฒนาตนเองของครโู ดยใชผ้ ่านระบบสารสนเทศในการบริหารจัดการ
การศึกษาการดาเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคระยอง [27] โดยมีประเด็นที่
นา่ สนใจในการนาไปสูน่ โยบายท่ีปฏบิ ตั ไิ ด้ คอื สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ควรมีการพัฒนาบคุ ลากรเพื่อ
สง่ เสริมความเขา้ ใจในการประกันคุณภาพการศึกษาท้ังกล่มุ ผู้บริหาร ครู และบคุ ลากรทางการศึกษาอนื่
ประเด็นท่ี 5 ด้านการบรหิ ารจดั การ
การจัดการความเสี่ยงท่ีส่งผลต่อการบรรลุมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการ
อาชีวศึกษาภาคกลาง 4 [24] โดยมีประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปส่นู โยบายที่ปฏบิ ตั ิได้ คือ สานักงานคณะกรรมการ
การอาชีวศึกษา ควรส่งเสรมิ ให้สถานศึกษามีการจัดการความเส่ียงด้านการดาเนินงาน โดยใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศใน
การดาเนินงานอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และ สนับสนุนให้สถานศึกษาจัดทาแผนบริหารความเสี่ยงตาม
มาตรฐานการอาชีวศกึ ษา
การศึกษาแนวปฏิบัติทด่ี ีในการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาอาชวี ศึกษาเอกชนตามมาตรฐานการ
อาชีวศึกษา พ.ศ.2561 : การประยุกต์ใช้พหุแนวคิด [25] โดยมีประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้
คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรกาหนดแนวปฏิบัติ หรือจัดหา จัดทาคู่มือแนวปฏิบัติที่ดีท่ีเกิดจาก
การประยุกต์ใช้พหุแนวคิดในการประกันคุณภาพการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา รวมท้ังควร
สนับสนุน ส่งเสริมให้มีการจัดทาแผนพัฒนาคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาประจาปี ท่ีเกิดจากการมีส่วนร่วม
ของผู้เรียนและครู พร้อมมีการกากับ ติดตามรายงานผลการดาเนินการ และควรมีการบูรณาการหลักสูตรให้
สอดคลอ้ งกับ
การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ด้านการอาชีวศึกษา (V-NET) แนวทางการบริหารสถานศึกษาตาม
มาตรฐานอาชีวศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาขอนแก่น [26] โดยมีประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบตั ิได้ คือ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรสนับสนุนส่งเสริมให้มีการจัดทาแผนการศึกษาระยะส้ันโดยใช้ข้อมูล
สารสนเทศ ปัจจัยการบริหารจัดการที่มาจาก SWOT ท่ีสอดรับและสอดคลอ้ งกับแผนพัฒนาตนเองของครูโดยใช้ผา่ น
ระบบสารสนเทศในการบรหิ ารจัดการ
การศึกษาการดาเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคระยอง [27] โดยมีประเด็นท่ี
น่าสนใจในการนาไปสนู่ โยบายที่ปฏบิ ตั ไิ ด้ คือ สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรมีการพฒั นาบุคลากรเพื่อ
สง่ เสริมความเข้าใจในการประกันคุณภาพการศึกษาทงั้ กลุ่ม ผบู้ ริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษาอ่ืน
ประเด็นท่ี 5 ดา้ นการบริหารจดั การ
การจัดการความเส่ียงท่ีส่งผลต่อการบรรลุมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาของสถานศึกษาสังกัดสถาบันการ
อาชีวศึกษาภาคกลาง 4 [24] โดยมีประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบตั ิได้ คือ สานักงานคณะกรรมการ
การอาชีวศึกษา ควรส่งเสรมิ ใหส้ ถานศึกษามกี ารจัดการความเส่ียงด้านการดาเนินงาน โดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศใน
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 7
วารสารวิจยั และนวตั กรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
การดาเนินงานอย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ และสนับสนุนให้สถานศึกษาจัดทาแผนบริหารความเสี่ยงตาม
มาตรฐานการอาชีวศกึ ษา
การศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีในการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาอาชวี ศึกษาเอกชนตามมาตรฐานการ
อาชีวศึกษา พ.ศ.2561 : การประยุกต์ใช้พหุแนวคิด [25] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบัตไิ ด้
คอื สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ควรกาหนดแนวปฏบิ ัติหรอื จดั หา จดั ทาค่มู อื แนวปฏบิ ตั ทิ ี่ดีท่เี กดิ จากการ
ประยุกต์ใช้พหุแนวคิดในการประกันคุณภาพการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา รวมท้ังควรสนับสนุน
ส่งเสริมให้มีการจัดทาแผนพัฒนาคุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์ของนกั ศึกษาประจาปี ท่ีเกิดจากการมีส่วนร่วมของผู้เรียน
และครู พร้อมมีการกากับ ติดตามรายงานผลการดาเนินการ และควรมีการบูรณาการหลักสูตรให้สอดคล้องกับการ
ทดสอบทางการศึกษาระดับชาติ ด้านการอาชวี ศกึ ษา (V-NET)
แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานอาชีวศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาขอนแก่น [25] โดยมีประเด็นท่ี
นา่ สนใจในการนาไปสนู่ โยบายทปี่ ฏิบัตไิ ด้ คอื สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรสนบั สนุนสง่ เสริมให้มีการ
จัดทาแผนการศึกษาระยะสั้นโดยใช้ข้อมูลสารสนเทศ ปัจจัยการบริหารจัดการที่มาจาก SWOT ที่สอดรับและ
สอดคล้องกับแผนพฒั นาตนเองของครโู ดยใชผ้ า่ นระบบสารสนเทศในการบริหารจดั การ
การศึกษาการดาเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคระยอง [26] โดยมีประเด็นท่ี
น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายทีป่ ฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษาควรมีการพฒั นาบคุ ลากรเพ่ือ
สง่ เสรมิ ความเข้าใจในการประกันคุณภาพการศกึ ษาทัง้ กลุ่ม ผบู้ รหิ าร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษาอนื่
ประเดน็ ที่ 6 ดา้ นความร่วมมือ
การพัฒนาระบบความร่วมมือในการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ระหว่างสถานศึกษากับสถาน
ประกอบการ [27] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษาควร จัดงบประมาณ หรือดาเนินการ ฝึกอบรมเตรียมความพร้อมครูผู้สอนอาชีวศึ กษา ก่อนออกฝึก
ประสบการณ์วิชาชีพในสถานประกอบการ รัฐบาลและสอศ. ควรสนับสนุนระบบความร่วมมือกับอาชีวศึกษา
ต่างประเทศมากข้ึน เช่น การแลกเปลี่ยน ครู/นักศึกษาอาชีวศึกษา การส่งครู /นักศึกษาฝึกประสบการณ์ใน
ต่างประเทศ
การพัฒนาความร่วมมือกับภาคประกอบการในการจัดการอาชีวศึกษาเชิงรุก ประเภทวิชาอุตสาหกรรม [28]
รัฐบาล ควรขับเคล่ือนการใช้กฎหมายเฉพาะเพื่อส่งเสริมให้ ภาคประกอบการอุตสาหกรรม ร่วมจัดการอาชีวศึกษา
มากยง่ิ ขึน้ โดยมกี ลไกท่รี ฐั บาลไทยยังไมไ่ ดด้ าเนนิ การ ดังนี้
1) ตรากฎหมายเฉพาะ เพอื่ สร้างมาตรการจูงใจ สิทธปิ ระโยชน์
2) สนับสนนุ การจัดตัง้ กองทนุ สทิ ธปิ ระโยชน์เพ่ือส่งเสริมความร่วมมอื
รูปแบบความร่วมมือการผลติ นกั ศึกษาชา่ งเทคนิควิศวกรรมเคมี : กรณีศึกษาการผลิตช่างเทคนิควิศวกรรมเคมี
สาขาปิโตรเคมี วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด [29] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายท่ีปฏิบัติได้ คือ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาควร ควรผลักดันให้เกิดกระบวนการ การบริหารโครงการในรูปแบบ
คณะกรรมการโดยมีภาคเอกชนเปน็ ผนู้ า และ ควรผลกั ดนั ใหเ้ กิดแนวทางการจดั การเรยี นรู้ในสถานประกอบการ เนน้
พ้ืนฐานความรู้ (Background Knowledge) เรียนรู้จากงานจริง Learning by Doing และออกแบบเครื่องมือในการ
เรียนรู้ หรือสรา้ งคุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ เช่น Dialogue, Mindfulness
โครงการขับเคลื่อนการจัดการอาชีวศึกษาและระบบทวิภาคีเชิงพื้นท่ี [30] โดยมีประเด็นที่น่าสนใจในการ
นาไปสนู่ โยบายที่ปฏบิ ตั ไิ ด้ คือ สถานศึกษา ต้องวิเคราะห์ความตอ้ งการของสถานประกอบการในพืน้ ที่ ความต้องการ
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 8
8 วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
ของผู้เรียน ผู้ปกครอง และความพร้อมของสถานศึกษา โดยท่ีผู้บริหาร หัวหน้างาน และครู ที่โยกย้ายมายัง
สถานศึกษาเฉพาะทาง ตอ้ งต่อยอดนโยบายเดิมใหบ้ รรลจุ ดุ หมายปลายทาง และปรบั สาขาวชิ าที่จะเปดิ สอนในระบบ
DVE ใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานประกอบการที่ต้งั อย่ใู นพื้นที
ประเด็นที่ 7 อนื่ ๆ : นโยบายและแนวโน้มการพฒั นาดา้ นอุตสาหกรรม
ความสามารถในการแขงขันของประเทศกบั การพัฒนาอยางย่ังยนื : กรณีศึกษาการพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ยของ
ประเทศสิงคโปรและประเทศไทย [11] โดยมีประเด็นทน่ี ่าสนใจในการนาไปส่นู โยบายทป่ี ฏบิ ัตไิ ด้ คอื รัฐบาลควรศกึ ษา
ข้อมูล“ความสามารถในการแขงขันของภาคอุตสาหกรรมกบั นานาประเทศ (Competitiveness)” โดยเฉพาะประเทศ
ที่พัฒนาด้านอุตสาหกรรมแล้ว เช่น สิงคโปร์ เกาหลีไต้ เวียดนามให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาควรพัฒนาหลักสูตรให้ผู้สาเร็จการศึกษาอาชีวศึกษามี “ทักษะแห่งอนาคต”
ได้แก่ -การวิเคราะห์ขอมูล (Data analytics) -การเงิน (Finance) -บริการท่ีใชเทคโนโลยีเปนฐาน (Tech-enable
services) -ส่ือดิจิทัล (Digital media) -ความปลอดภัยทางไซเบอร (Cyber security) -การเปนผู้ประกอบการ
(Entrepreneurship) การผลิตขน้ั สูง (Advanced manufacturing) -การพฒั นาเมอื ง (Urban solution)
การพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ยุค 4.0 [31] รัฐบาลควรมุ่งพัฒนาให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart
Industry) “สู่อุตสาหกรรมที่ขับเคล่ือนด้วยปัญญาและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก” สานักงานคณะกรรมการการ
อาชวี ศึกษาควรพัฒนากาลงั พล ท่ีมที ักษะดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารเพ่มิ มากขึ้นในทุกสาขาวชิ า
แนวทางการป้องกันการออกกลางคันของนักศึกษากลุ่มเสี่ยง กรณีศึกษา : วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ [32]
รัฐบาลควรสนับสนุนงบประมาณด้านครุภัณฑ์ให้อาชีวศึกษามีเคร่ืองมือเคร่ืองจักรท่ีทันสมัยสาหรับการฝึกทักษะช่าง
อตุ สาหกรรมเพ่อื ลดสาเหตุการออกกลางคนั ของนักศึกษา
การจัดทาแผนปฏิบัติการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาในภาคอุตสาหกรรม เพ่ือก้าวไปสู่อุตสาหกรรม
ฐานความรู้ [33] โดยมีประเด็นท่ีน่าสนใจในการนาไปสู่นโยบายที่ปฏิบัติได้ คือ สานักงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษาควร ควรส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาในภาคอุตสาหกรรม ที่ร่วมจัดการศึกษาระบบทวิภาคี เชน่
สง่ เสรมิ สถานประกอบการใหย้ กระดับครฝู ึกในสถานประกอบการ ใหเ้ ปน็ นกั วิจัยและพฒั นา
บทสรปุ ข้อเสนอเชงิ นโยบาย
สรปุ ประเดน็ ที่ 1 ด้านหลักสูตร
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา ควรวางเปา้ หมายในการพัฒนาหลกั สตู ร ท้ังภาคปกติ และ Up Skills
สอดคลอ้ งกับมาตรฐานอาชพี มาตรฐานคุณวุฒวิ ิชาชีพ และแนวโนม้ ของอุตสาหกรรมในอนาคต โดยใหผ้ ู้เรียนมีทักษะ
อนั หลากหลาย
สรปุ ประเดน็ ที่ 2 ด้านครู
1. เช่ือมโยงเครือข่ายข้อมลู องค์ความรู้ และการสรา้ งชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้รว่ มกนั ใหค้ รใู นสถานศึกษา และ
ครูฝึกในสถานประกอบการไดน้ าองค์ความรู้ไปใช้รว่ มกนั
2. เพม่ิ ช่องทางสอื่ สารระหว่างสถานศึกษากบั ภาคประกอบการ
3. ขยายศูนยท์ ดสอบมาตรฐานอาชพี และคณุ วฒุ วิ ชิ าชพี
4. พฒั นาหลกั สตู รฝกึ อบรมครูชา่ งอุตสาหกรรมใหส้ ามารถจดั กจิ กรรมการเรียนรทู้ ่ีกอ่ ใหเ้ กดิ “ทักษะการคิด
แกป้ ญั หา” และมีสมรรถนะด้านความปลอดภัยทางดจิ ิทลั และทักษะทางวชิ าชพี ให้ทนั ตอ่ สถานการณป์ จั จุบนั (SkillGap)
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 9
วารสารวิจยั และนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
สรปุ ประเด็นที่ 3 ด้านผ้เู รียน
สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา และสถานศกึ ษา ควรใหค้ วามสาคญั กับการพัฒนาครชู า่ งอตุ สาหกรรม
ทั้งทางด้านทักษะวิชาชีพ ทักษะในการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลาย เช่น ทักษะยุคดิจิทัลในระดับสูง ประกอบด้วย 7
ทักษะ และทกั ษะการส่อื สารและเจรจาต่อรอง ทักษะทางปัญญาอย่างมวี ิจารณญาณ ทกั ษะดา้ น ICT
สรปุ ประเด็นท่ี 4 ด้านการจดั การเรยี นการสอน
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรพัฒนากระบวนการเรียนรู้ด้านพฤติกรรม ด้วยกิจกรรมส่งเสริม
ผู้เรียน ด้วยทักษะชีวิตด้านทักษะทางปญั ญาอย่างมีวจิ ารณญาณ (CCS) การสร้างความผูกพันธ์ระหวา่ งเรียน Online
เน้นการพัฒนาสมรรถนะครูเก้อื หนนุ (Facilitators) การพัฒนาทกั ษะการสอนแบบ (Project Based Learning : PjBL)
ของครอู าชวี ศกึ ษาในรูปแบบOnlineใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณใ์ นปัจจบุ ันรองรับการเปล่ยี นแปลงในอนาคต
สรุปประเดน็ ท่ี 5 ดา้ นการบรหิ ารจัดการ
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรส่งเสริมให้มีการจัดทา 1) คู่มือแนวปฏิบัติที่ดีที่เกิดจากการ
ประยุกต์ใช้พหุแนวคิดในการประกันคุณภาพการศึกษาให้เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษา 2) แผนพัฒนา
คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาประจาปี 3) แผนการศึกษาระยะส้ันโดยใช้ระบบสารสนเทศ 4) แผนบริหาร
ความเสย่ี งตามมาตรฐานการอาชีวศกึ ษา และอ่ืน ๆ
สรุปประเดน็ ที่ 6 ดา้ นความร่วมมือ และอาชีวศกึ ษาระบบทวิภาคี
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรดาเนินการพลิกโฉมความร่วมมือการจัดการศึกษาระบบทวิภาคี
ให้ความสาคัญกับภาคเอกชนเป็นผู้นา เสนอให้รัฐบาลออกกฎหมายต่าง ๆ ท่ีให้ประโยชน์เกิดขึ้นทั้งฝ่ายสถาน
ประกอบการและผู้เรียน เช่น สนับสนุนการจัดต้ังกองทุนสิทธิประโยชน์เพ่ือส่งเสริมความร่วมมือ ควรออกแบบการ
เรียนรู้ในสถานประกอบการที่เหมาะสม สมอ.ควรเผยแพร่องค์ความรู้ ในการวิเคราะห์ความต้องการของสถาน
ประกอบการในพ้ืนท่ี รวมถึงของผู้เรียน ผู้ปกครอง และความพร้อมของสถานศึกษา ควรมีการเตรียมความพร้อมครู
ก่อนออกฝึกประสบการณว์ ิชาชพี ในสถานประกอบการ และเพ่ิมความร่วมมอื กบั อาชวี ศึกษาในต่างประเทศ
สรปุ ประเด็นที่ 7 ด้านอืน่ ๆ ที่เก่ียวกับดา้ นนโยบายและแนวโน้มการพัฒนาดา้ นอตุ สาหกรรม
สานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ควรวางภาพฉายอนาคต (Foresight) เพอ่ื เป็นการเปิดมุมมองอนาคต
ที่มีโอกาสจะเป็นเพื่อสร้างแนวคิดในการพัฒนากาลังคนอาชีวศึกษา ด้านอุตสาหกรรมให้สอดคล้องกับการ
เปลี่ยนแปลงสาคญั ท่ีคาดวา่ เกดิ ขึน้ ปี 2030 (Global Mega trends) เพอ่ื เพิม่ ความสามารถในการแขงขันของประเทศ
ให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์/นโยบาย/ยุทธศาสตร การวิเคราะหกลยุทธ์ในการแข่งขัน และแนวโน้มของการพัฒนา
ทรัพยากรมนุษยของประเทศ โดยมีเป้าหมายให้กาลังพลอาชีวศึกษามีสมรรถนะในเร่ืองต่าง ๆ เช่นอุตสาหกรรมสีเขียว
อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญา ทักษะแห่งอนาคต และทักษะด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร รัฐบาล
ควรสนับสนุนให้มีครุภัณฑ์มาตรฐานช่างอุตสาหกรรม เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้เรียนคงอยู่ในระบบ และลดปัญหาการ
กลางคนั
กติ ตกิ รรมประกาศ
งานวิจัยท่ีทรงคุณค่าช้ินนี้เกิดข้ึนเพราะมีการร่วมกันสร้างสรรค์ ซึ่งต้องขอขอบคุณคณะที่ปรึกษา และทีมงาน
วจิ ยั สถาบนั การอาชีวศกึ ษาภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื 1 ท่ีร่วมกนั สังเคราะหง์ านวชิ าการท่ีทรงคุณคา่ ช้นิ นีอ้ อกมา
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 10
10 วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
เอกสารอา้ งอิง
[1] สมพร ปานดา. “ยทุ ธศาสตรก์ ารผลติ กาลงั คนอาชวี ศึกษาดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเภทอุตสาหกรรม
รองรับนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม” วารสารพัฒนาเทคนิคศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระ
จอมเกลา้ พระนครเหนอื ., ปีที 33 (ฉบบั ที่116), 22-28, 2563.
[2] Giles, Sunnie. (2018). “How VUCA Is Reshaping The Business Environment, And What It Means
For Innovation” [Online]. Available: https://www.forbes.com. [Accessed:April. 27, 2021].
[3] ประสาท มีแตม้ , “ทาใหโ้ ลกของเรายง่ิ ใหญอ่ ีกคร้งั : Make Our Planet GreatAgain” (ออนไลน)์ . เข้าถึงไดจ้ าก
http://www.life.ac.th/2017/index. php/component/k2/item/543-make-our-planet-great-again. 1
ตุลาคม 2564.
[4] ธนาคาร คุ้มภัยและคณะ. รูปแบบการจัดการเรียนการสอนเร่ืองเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่งผ่านการ
เรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐาน. วารสารวชิ าการสถาบันการอาชวี ศกึ ษาภาคใต้1., ปีที 5 (ฉบับท่ี1), 33-41, 2563.
[5] นรรัชต์ ฝันเชียร. การส่งเสริมการศึกษาไทยเพ่ือรับมือกับโลกยุค VUCA. (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก
https://www.trueplookpanya.com/blog/content/76134/-blog-teaartedu-teaart-. 2 ตลุ าคม 2564
[6] สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สานักนายกรัฐมนตรี. สรุปสาระสาคัญ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี 12 (พ.ศ. 2560 -2564). (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก
http://www.library.coj.go.th/Info/ 48341?c=7236996. 2 ตลุ าคม 2564.
[7] จิตรดา หมายม่ัน และสมบัติ ทีฑทรัพย์,“ อุตสาหกรรม 4.0: ตอนท่ี 1 - ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม”,
วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ฉบับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, ปีท่ี 10 (ฉบับที่ 2), พ.ศ.2560,
หน้า 39-49.
[8] คมกฤตย์ ชมสวุ รรณ และคณะ, การศกึ ษาเปรยี บเทียบเพื่อยกระดบั การพัฒนาช่างเทคนิค พรเี ม่ยี มสาขาแมคคา
ทรอนิกส์และ หุ่นยนต์กับสาขาเทคนิคควบคุมและ ซ่อมบารุงระบบขนส่งทางรางให้สอดคล้องกับการพัฒนา
ประเทศในกลมุ่ อตุ สาหกรรมเปา้ หมาย, สานกั งานกองทุนสนับสนุนการวจิ ัย (สกว.), พ.ศ.2563
[9] สาโรจน์ ขอจ่วนเต๋ียว,“การพัฒนารูปแบบการบริหารสถานศึกษาอาชีวศึกษา ประเภทช่างอุตสาหกรรมภายใต้
นโยบายประเทศไทย 4.0”, วารสารพฒั นาเทคนคิ ศกึ ษา.
[10] มนูญกติ ติ์ คาทอง, ขวัญชัย กรพนั ธ์ และ นิชฌานนั ท์ หอ้ งสินหลาก,“การเสริมกาลังเสาคอนกรีต”, วารสารวจิ ัย
ม.ข., ปีท่ี 5, พ.ศ.2554, หนา้ 100-106.
[11] ศักดิ์ดา ศิริภัทรโสภณ,“ความสามารถในการแขงขันของประเทศกับการพัฒนาอยางยั่งยืน : กรณีศึกษาการ
พัฒนาทรัพยากรมนุษย ของประเทศสิงคโปร และประเทศไทย ”, Journal of the Association of
Researchers, ปที ี่ 25 (ฉบับที่ 3), พ.ศ.2563, หน้า 9-27.
[12] ฉันทนา ปาปัดถา และคณะ,“การสังเคราะห์และพัฒนาสมรรถนะดิจิทัลครูอาชีวศึกษา เพ่ือรองรับนโยบาย
ประเทศไทย 4.0”, วารสารวจิ ยั และนวัตกรรม สถาบนั การอาชวี ศึกษากรุงเทพมหานคร, ปที ่ี 4(ฉบับท่ี 1), พ.ศ.
2564, หนา้ 2-17.
[13] ประไพ นาธวัช,“โครงการวิจัยเพ่ือพัฒนาต้นแบบ คลังปัญญาเพ่ือการผลิตและพัฒนาช่างเทคนิค: กรณีศึกษา
สาขาปโิ ตรเคมแี ละเคมีภณั ฑ์”, รายงานการวิจัย. สถาบันปิโตรเลยี มแหง่ ประเทศไทย:กรุงเทพฯ. พ.ศ.2563.
[14] อลงกรณ์ เลศิ ปัญญา และสบสนั ต์ิ อุตกฤษฏ์,“การพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมครใู นการจดั การเรยี นการสอนวชิ าชพี
เพ่อื พัฒนาทกั ษะการคิดแกป้ ัญหางาน”, วารสารวชิ าการครศุ าสตรอตุ สาหกรรม มหาวทิ ยาลยั พระจอมเกล้าพระ
นครเหนอื , ปีที่ 10(ฉบับที่ 2), พ.ศ.2562, หนา้ 138-147.
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 11
วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
[15] วรตั ถพ์ ัชร์ ทวีเจริญกิจ,“การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอนเพ่ือสง่ เสริมทกั ษะในการคดิ แก้ปญั หา ของนักเรียน
อาชีวศึกษาตามแนวคิดทฤษฎีการสร้างความรู้”, วารสารราชพฤกษ์, ปีท่ี 17 (ฉบับที่ 1), พ.ศ.2562, หน้า 86-
93.
[16] วัชรศักด์ิ สุดหล้า,“นักศึกษาให้ความสาคัญกับทักษะที่จาเปน็ ในยุคดิจิทัลอย่างไร? การศึกษานาร่องโดยใช้การ
วเิ คราะหเ์ อม็ ดีเอสและเอ็มดียู”, วารสารศึกษาศาสตร์ มสธ. มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมธิราช, ปีท่ี 13 (ฉบบั ท่ี 1),
พ.ศ.2554, หน้า 114-130.
[17] มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย :TDRI, โครงการศึกษาการพัฒนากาลังคนด้านดิจิทัล (Digital
Manpower) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) และ การพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาค
ตะวันออก ( Eastern Economic Corridor: EEC), มูลนิธิสถาบันวิจัยเพ่ือการพัฒนาประเทศไทย :
กรุงเทพมหานคร, พ.ศ.2563.
[18] ชุติมา ไชยเสน,“การศึกษาทักษะท่ีพึงประสงค์ในศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
ประจาปกี ารศกึ ษา 2562”, รายงานการวิจัย (Research reports), มหาวทิ ยาลัยเทคโนโลยีสรุ นารี, พ.ศ.2562.
[19] กนก พานทอง,“การพัฒนาทักษะชีวิตด้านทักษะทางปัญญาอย่างมีวิจารณญาณ ของนักศึกษาระดับ
อาชวี ศกึ ษา”, วารสารคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา, ปีท่ี 27 (ฉบบั ที่ 3), พ.ศ.2562, หน้า 10-22.
[20] รงั สรรค์ ทบวอ,“การพฒั นารปู แบบการเรยี นรู้แบบโครงงานออนไลน์ ท่ีมีการส่งเสริมการเรยี นรู้ด้วยเทกนคิ ความ
ผูกพันของผ้เู รียน สาหรับผู้เรียนอาชวี ศึกษา”, วารสารศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, ปีท่ี 13 (ฉบบั ที่
3), พ.ศ.2562, หนา้ 183-194.
[21] กุลจิรา ทองย้อย,“ รูปแบบสมรรถนะครูเก้ือหนุนในระบบการเรียนรู้เชิงบูรณาการร่วมกับการทางานสาหรับ
อาชวี ศึกษา”, วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศกึ ษา, ปที ี่ 15 (ฉบับท่ี 3), พ.ศ.2564, หนา้ 41-57.
[22] ภูมิพัฒน์ วนพิพัฒน์พงศ์,“การจัดการเรียนการสอนแบบโครงงานเป็นฐาน (Project Based Learning: PjBL)
โดยการใช้ไอซีทีเพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ สาหรับนักศึกษาระดับช้ัน ปวส.1 สาขาเทคโนโลยีธุรกิจดจิ ทิ ลั
วิทยาลัยอาชีวศึกษาพิษณุโลก”, วารสารวิชาการ T-Vet Journal สถาบันการอาชีวศึกษาภาคเหนือ 3, ปีท่ี 5
ฉบบั ที่ 9, พ.ศ.2564, หนา้ 156-171.
[23] พงษ์สนิท แสงจินดา,“การจัดการความเสี่ยงท่ีส่งผลต่อการบรรลุมาตรฐานการจัดการอาชีวศึกษาของ
สถานศึกษา สังกัดสถาบันการอาชีวศึกษาภาคกลาง 4”, วารสารศิลปากรศึกษาศาสตร์วิจัย, ปีที่ 12 (ฉบับท่ี 2),
พ.ศ.2563, หน้า 126-139.
[24] ณัฐพล ธิตินานันทกูล,“การศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีในการประกันคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาอาชีวศึกษา
เอกชนตามมาตรฐานการอาชีวศึกษา พ.ศ.2561 : การประยุกต์ใช้พหุแนวคิด”, Journal of Graduate of
Studies Valaya Alongkorn Rajaphut University, ปีที่ 15 (ฉบับที่ 2), พ.ศ.2564, หน้า 54-66.
[25] กฤษธเนศ จันดาอาจ,“แนวทางการบริหารสถานศึกษาตามมาตรฐานอาชีวศึกษาสังกัดอาชีวศึกษาขอนแก่น”,
Journal of Roi Kaensarn Academi, ปีท่ี 6 (ฉบบั ท่ี 6), พ.ศ.2564, หนา้ 233-246.
[26] เจริญ ศรีแสง,“การศึกษาการดาเนินงานการประกันคุณภาพการศึกษาของวิทยาลัยเทคนิคระยอง”, หลักสูตร
การศึกษามหาบัณฑติ สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์, พ.ศ.2562, มหาวทิ ยาลัยบูรพา.
[27] วรรณา ตันประภัสร์,“การพัฒนาระบบความร่วมมือในการจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ระหว่าง
สถานศึกษากับสถานประกอบการ”, วารสารวิชาการศิลปศาสตร์ประยุกต์, ปีท่ี 9 (ฉบับที่ 2), พ.ศ.2559, หน้า
38-45.
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 12
12 วารสารวิจัยและนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
[28] สมพร ปานดา,“การพัฒนาความร่วมมือกับภาคประกอบการในการจัดการอาชีวศึกษาเชิงรุก ประเภทวิชา
อุตสาหกรรม”, วารสารมหาจฬุ านาครทรรศน์, ปที ่ี 7 (ฉบับที่ 8), พ.ศ.2563, หน้า 381-397.
[29] สุนันทา พลโภชน์, “รูปแบบความร่วมมือการผลิตนักศึกษาช่างเทคนิควิศวกรรมเคมี : กรณีศึกษาการผลิตช่าง
เทคนิควิศวกรรมเคมี สาขาปิโตรเคมี วิทยาลัยเทคนิคมาบตาพุด”, สานักอานวยการ สานักงานคณะกรรมการ
การอาชีวศกึ ษา, พ.ศ.2561.
[30] ปริยาภรณ์ ตั้งคุณานันต์ และคณะ,“โครงการขับเคลื่อนการจัดการอาชีวศึกษา และระบบทวิภาคีเชิงพื้นท่ี”,
สานักงานคณะกรรมการสง่ เสริมวิทยาศาสตร์ วจิ ัยและนวตั กรรม (สกสว.), พ.ศ.2563.
[31] ชุติระ ระบอบ,“การพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ยุค 4.0”, วารสาร ธุรกจิ ปรทิ ัศน์, ปีที่ 9 (ฉบับท่ี 2), พ.ศ.2560, หนา้
249-267.
[32] ธัญญ์พิชชา ท้วมทับ และคณะ,“แนวทางการป้องกันการออกกลางคันของนักศึกษา กลุ่มเสี่ยง กรณีศึกษา :
วิทยาลัยเทคนคิ อตุ รดติ ถ์”, วารสารมหาจฬุ านาครทรรศน์, ปีท่ี 7 (ฉบบั ที่ 8), พ.ศ.2563, หนา้ 381-397.
[33] ธรี วุฒิ บุณยโสภณ และคณะ,“การจดั ทาแผนปฏิบตั กิ ารส่งเสริมการวจิ ยั และพฒั นาในภาคอตุ สาหกรรม เพือ่ ก้าว
ไปสู่อุตสาหกรรมฐานความรู้”, วารสารวิชาการพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, ปีที่ 21 (ฉบับที่ 1), พ.ศ.2554,
หนา้ 148-156.
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 13
วารสารวจิ ยั และนวตั กรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
การผลิตถานอดั แทง จากเศษหนอ ไมเ หลอื ทงิ้
The Production of Charcoal Briquettes from Waste Bamboo Shoots
พงศกร สุรนิ ทร1*, ชูเกยี รติ ธรรมจนิ ดา2, ณรงค คอ มคิรินทร3 และ อดิเรก เฉลยี ว4
Pongsakorn Surin1*, Chookeit Tumjinda2, Narong Komkirin3 and Adirek Chaliew4
*1234สาขาวิชาวศิ วกรรมอตุ สาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลลานนา จังหวดั ลําปาง 52000
*1234Department or Industrial Engineering, Faculty of Engineering, Rajamangala University of Technology Lanna, Lampang 52000
Received : 2021-04-18 Revised : 2021-04-30 Accepted : 2021-05-05
บทคัดยอ Province. Therefore entrepreneurs want to
เศษหนอไมเหลือทิ้งจากกระบวนการแปรรูป find a way to make use of the waste bamboo
shoots. The objectives of this research were
หนอไมซง่ึ นบั วาเปนปญหาดานขยะของผูประกอบการ to: 1) to examine the rate of charcoal
ในจงั หวดั ลาํ ปาง ดงั นน้ั ผปู ระกอบตองการหาแนวการ briquette production from bamboo shoot
ใชประโยชนจากเศษหนอไมเหลือท้ิง การวิจัยนี้มี waste 2) to examine the maximum
วตั ถปุ ระสงค คอื 1) ศกึ ษาอตั ราสวนผสมการผลิตถาน temperature of charcoal briquette production
อัดแทงจากเศษหนอไมเหลือทิ้ง 2) ศึกษาอุณหภูมิ from bamboo shoot waste. Research
สูงสุดถา นอัดแทง จากเศษหนอ ไมเ หลือท้งิ วิธีการวิจัย methodology this was an experimental
เชงิ ทดลองอตั ราสว นผสมการผลิตถานอัดแทง จากเศษ research mixture rate of charcoal briquette
หนอไมเหลือทิ้ง รวมกับผงถาน แปงมันสําปะหลัง production from waste bamboo shoots.
และนํ้า โดยใชกระบวนการอัดข้ึนรูปถานดวยเคร่ือง Together with charcoal powder tapioca starch
อัดแบบเกลียวรูปกรวยและตากแหงถานอัดแทงจาก and water. The charcoal extrusion process is
เศษหนอไมเ หลือทิง้ หลงั จากนั้นจงึ ทดสอบดวยวิธกี าร then used by a conical screw compressor. And
ตมน้ําใหเดือด ผลการวิจัย 1) อัตราสวนที่เหมาะสม dry the charcoal sticks from the remnants of
คือ เศษหนอไม 300 กรัม, ผงถาน 2,500 กรัม, แปง bamboo shoots after that the test was done
มันสําปะหลัง 500 กรัม และน้ํา 2,500 กรัม 2) by boiling water to boil. The results of the
อุณหภูมิสูงสุด 70 องศาเซลเซียส ชวงเวลาที่ใหค วาม study were as follows : 1) the optimum ratio
รอ นสงู สุดทเ่ี วลา 80 นาที รวมเวลาเผาไหม 135 นาที was 300 grams of bamboo shoots 2,500 grams
คําสําคญั :ถานอดั แทง, หนอ ไม, คา ความรอ น of charcoal powder 500 grams of tapioca
starch and 2,500 grams of water. 2) the
Abstract
The Bamboo shoots left over from the maximum temperature is 70 C°, the
maximum heating time is 80 minutes,
process of processing bamboo shoots, which is including the burning time 135 minutes.
a waste problem for entrepreneurs in Lampang Keywords : Charcoal, Heating value,
Province. Therefore entrepreneurs want to
Temperature
*พงศกร สรุ นิ ทร
E-mail : : [email protected].
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 14
14 วารสารวจิ ยั และนวตั กรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
1. บทนาํ 2. แนวคิดทฤษฎีทเี่ กี่ยวของ
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษพลังงาน [1] 2.1 การผลิตความรอน
ไดป ระเมินศักยภาพชวี มวลจากเศษวัสดุทางการเกษตร ก ร ม พั ฒ น า พ ลั ง ง า น ท ด แ ท น แ ล ะ อ นุ รั ก ษ
ในประเทศในป พ.ศ.2561 โดยแบงออกเปนชีวมวลท่ี พลังงาน [1] อุตสาหกรรมเกษตรมีการใชพลังงาน
เกิดข้ึนในอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ทดแทนและพลังงานทางเลือกในรูปของพลังงาน
และชีวมวลที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่เพาะปลูก ดังน้ี 1) ความรอนอยางแพรหลาย ซ่ึงชวยลดตนทุนคา
ชีวมวลท่ีเกิดข้ึนในอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทาง
การเกษตร อาทเิ ชน กากออ ย จากอุตสาหกรรมนาํ้ ตาล เช้ือเพลิงและเปนการนําของเสียกลับมาใชประโยชน
แกลบจากโรงสีขาว ใยปาลมและทะลายปาลมเปลา ท่ี ไดอกี ดวยท่ีผานมาในป พ.ศ. 2561 ชวี มวลถูกนํามาใช
ไดจากอุตสาหกรรมสกัดน้ํามัน ปาลมดิบ เปนตน 2) ผลิตความรอนมากที่สุดถึงรอยละ 90 ของการผลิต
ชีวมวลที่เกิดขึ้นบริเวณพ้ืนท่ีเพาะปลูกจะเกิดจากชีว พลงั งานความรอ นจากพลงั งานทดแทนท้งั หมดรอยละ
มวลสวนท่ีเหลอื ภายหลงั จากการเก็บเกี่ยวผลผลติ ของ 50 ของชวี มวลมาจากชานออ ยในอุตสาหกรรมนาํ้ ตาล
เกษตรกร ไดแก เหงามันสําปะหลงั ฟางขาว ยอดและ
ใบออ ย ตอและรากไม ยางพารา เปน ตน ชีวมวลเหลา น้ี สวนท่ีเหลือเปนพลังงานความรอนจากกาซชีวภาพ
ไมนิยมนํามาผลิตพลังงาน เนื่องจากมีตน ทุนสูงในการ ขยะ และพลังงานแสงอาทติ ย
รวบรวมและขนสงจากพ้ืนที่เพาะปลูกไปยังสถานที่ใช
งานท่ีอยูหางไกล ชีวมวลเหลานี้จึงมักถกู ท้ิงไวในพนื้ ที่ ตารางที่ 1 การใชพ ลังงานความรอนจากพลงั งาน
เพาะปลูกเพ่ือใหยอยสลายกลายเปนสารปรับปรุงดิน ทดแทนและพลงั งานทางเลอื ก
หรอื ถูกเผาทาํ ลายในพน้ื ทเี่ พาะปลูก
ป พ.ศ.2559–2561
บริษัทอ่ิน-ออง ฟูด จํากัด มีผลิตภัณฑ ไดแก
หนอไมอัดบิ๊ป ชนิดบรรจุลงบิ๊ป กระเทียมดอง ชนิด ประเภท ความรอ น (พันตนั เทียบเทา นํา้ มันดบิ )
บรรจุลงขวดโหลพลาสติก ผักกาดดอง ชนิดบรรจุลง
ขวดโหลพลาสติก และหนอไมเสน ชนิดบรรจุลง เชอ้ื เพลงิ พ.ศ.2559 พ.ศ.2560 พ.ศ.2561
ถุงพลาสติก โดยหลังจากกระบวนการแปรรูปหนอไม
จะมีเศษหนอไมเหลือทิ้งที่ไมสามารถใชประโยชนได 1.แสงอาทิตย 6.7 9.3 10.1
จํานวน 500–1,000 กิโลกรัมตอวัน ทําใหทางบริษัทฯ
จึงตองนําเศษหนอ ไมเ หลอื ทิ้งไปกําจดั ดว ยวิธีการเททิ้ง 2.ชีวมวล 6,507 6,616 7,152
ในพ้ืนท่ีของตนเอง จากประเด็นของเศษหนอไมเหลือ
ทิ้งดังกลา ว คณะผูวิจยั จึงใหความสาํ คัญตอการนาํ เศษ - ฟน 162 229 272
ห น อ ไ ม เ ห ลื อ ท้ิ ง ซ่ึ ง ถื อ ว า เ ป น ชี ว ม ว ล แ บ บ ห นึ่ ง ซึ่ ง
สามารถใชใหเกิดประโยชนในดานพลังงานเชื้อเพลิง - แกลบ 193 366 429
โดยการวิจัยน้ีมีวัตถุประสงค คือ 1) ศึกษาอัตราสวน
ผสมการผลิตถานอัดแทงจากเศษหนอไมเหลือท้ิง 2) - ชานออย 3,248 3,824 4,270
ศึกษาอุณหภูมิสูงสุดการผลิตถานอัดแทงจากเศษ
หนอ ไมเหลือทิง้ - วัสดเุ หลือใช 2,904 2,197 2,181
ทางการเกษตร*
3.กา ซชวี ภาพ 593 634 634
4.ขยะ 75 63 123
รวม 7,182 7,322 7,919
*วสั ดุเหลอื ใชท างการเกษตร ไดแ ก ชานออ ย แกลบ เศษไม ใบปาลม
กะลาปาลม และขเ้ี ลื่อย เปนตน
2.2 กระบวนการอัดแทง เช้อื เพลงิ ประกอบดวย
2 . 2 . 1 ก า ร อั ด แ ล ว ทํ า ใ ห เ ป น ถ า น
Carbonization สําหรับการทําวิธีนี้จะตองมีการอัด
วัตถดุ บิ ที่มีอยูใ หละเอียดกอนแลว จึงจะทาํ ใหเปน ถา น
อัดแทง Carbonization ตามข้ันตอนโดยการท่ีใช
เตาเผาตามรปู แบบธรรมดา ซง่ึ มขี อ ดีคือ เมือ่ มีการอัด
ถานใหเปนแทงแลวสามารถใชเปนเช้ือเพลิงไดเลย
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 15
วารสารวิจัยและนวตั กรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
โดยที่ไมตองมีการทําใหเปนถาน Carbonization วัสดุเขาไปในกระบอกอัดเพิ่มข้ึนพรอมกับแรงเสียด
กอนและยังสามารถใชเผาไดในเตาเผาถา นแบบทว่ั ไป ทานท่ีมากขึ้น กาํ ลังในการผลิตของเครือ่ งอดั แทง แบบ
และธรรมดา สวนขอเสยี ของการอัดแลวทาํ ใหเปน ถา น นีอ้ ยูในชวง 500-1,000 กโิ ลกรมั ตอ ชัว่ โมง อตั รากาํ ลงั
คือ ในกระบวนการผลิตเมื่อมีการใหพลังงานสูงสวน ของมอเตอรท่ีใชขับเคล่ือนอัดอยูระหวาง 35-75
ใหญม กั จะเกดิ ความดนั สูงขน้ึ ในการอัดถา น โดยความ กิโลวัตต วัสดุที่ใชทําการอัดควรมีลักษณะเปนเม็ด
ดันที่สูงจะมีผลกระทบตอเคร่ืองสูงมากถึงข้ันทําให ละเอยี ดและมคี วามชน้ื รอ ยละ 8-10
เสยี หายได และกอ นเช้ือเพลิงทยี่ งั ไมผานการจะตองมี
การดูแลในเร่ืองของการแตกราวในระหวางการตาก รูปที่ 1 เครื่องอดั แบบเกลียวรูปกรวย
และดแู ลในเรื่องความชน้ื โดยตองมีโรงเก็บที่เหมาะสม
เพื่อปองกันไมใหถานเกิดความช้ืน เม่ือถานเกิด 2.4 การหาประสิทธิภาพการใหความรอน
ความชื้นจะทาํ ใหต ิดไฟไดยาก สําหรับการใชง านทาง ความรอนของ (Heat
Utilization Efficiency) สามารถหาไดจ ากสมการ [2]
2.2.2 การทําใหเปนถาน Carbonization
แลวจึงอัด วิธีนี้จะมีการทําใหวัตถุดิบเปนถาน ∑ (1)η =Thermal
Carbonization กอน และตองมีการบดถานที่ได ms(t2 − t1) + t3 − t1) x100
เพื่อใหเปนผงถานกอนท่ีจะอัด โดยที่มีการเลือกตัว Wq
ประสานที่เหมาะสมในการผลิต ซึ่งมีขอดีคือ ใช
พลังงานในการอัดนอยกวาวิธีแรก และในการผลิต เมอ่ื ηThermal = ประสทิ ธิภาพการใชงงานทางความ
มักจะไมเกิดของเสีย สวนขอเสียคือ อาจจะมีขนาด รอ นของเช้อื เพลิง (%)
เล็กไมเหมาะในทางการคา ตองมีการมาอัดแทงกอ น
และสัดสวนของถานตอหนวยวัตถุดิบจะไดผลผลิต W = น้าํ หนักของเชือ้ เพลิง (g )
นอ ยกวา วิธีแรก q = คา ความรอ นของแทงเช้อื เพลงิ (J/g)
W = นํ้าหนกั ของเชอ้ื เพลิง (g )
2.2.3 การตากแหงผลผลิต การอัดแทง m = นาํ้ หนักของนา้ํ ในหมอตม (g)
เช้ือเพลิงจากวัสดุเกษตรน้ันหลังจากผสมตัวประสาน
และอัดออกมาเปนแทงแลวมักจะมีความชื้นแฝงอยู S = คาความรอนจาํ เพาะของนํา้ 4.81 J/g (°C)
ดังนั้นกอนท่ีจะนําไปใชงานจะตองทําใหแหงกอนโดย
วิธีที่สะดวกและประหยัดคือ การตากแดดโดยตรงอาจ t1 = คาอณุ หภูมิของน้ําเม่อื เรมิ่ แรก (°C)
ตากบนพ้ืนซีเมนต หรือบนสังกะสีลูกฟูกฯลฯ ก็นับวา
เปนวิธีที่ประหยัดที่สุดนอก และยังมีวิธีการตากหรือ t2 = คาอณุ หภูมขิ องน้ําเดือด (°C)
การทําแหงหลายวิธี คือ อบในตูแสงอาทิตย อบดวย
ความรอนจกเตาผาขยะ อบดวยความรอนที่เหลือทิ้ง t3 = คา อณุ หภมู ขิ องนํา้ สดุ ทา ยของหมอตม (°C)(1 เค
จากโรงงานอุตสาหกรรมและอบดวยความรอนจาก
เคร่ืองทาํ ความรอน เปนตน 3. วธิ ีดําเนินการวิจยั
3.1 วัสดุ อุปกรณ ในการศึกษาอัตราสวนผสม
2.3 เครื่องอัดแบบเกลียวรูปกรวย (Conical
screw press) การผลิตถานอัดแทงจากเศษหนอ ไมเหลือทิ้ง มดี งั นี้
3.1.1 เคร่อื งช่ังแบบตจิ ติ อล
มีหลักการทํางานคือเกรียวรูปกรวยจะดันให
วัสดุเคล่ือนตัวไปขางหนา เม่ือพนเกลยี วไปวัสดุถูกดัน
ผานกระบอกอดั ขนาด 25 มิลลิเมตร การไหลผานของ
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 16
16 วารสารวิจัยและนวตั กรรมการอาชวี ศึกษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
3.1.2 เทอรโ มมเิ ตอรดจิ ติ อลแบบจมุ 3.2 วิธีการดําเนินงาน ในการศึกษาอัตรา
3.1.3 เศษหนอไมเหลือท้ิง ที่นํามาจาก สวนผสมการผลติ ถานอดั แทงจากเศษหนอไมเหลือท้ิง
โรงงานจะถูกนํามาลดขนาดลงใหมีขนาดเล็กลงกอน มีดังนี้
จากน้ันจะนําเศษหนอไมเหลือทิ้งท่ีลดขนาดแลวไป
ตากใหแหงเพอ่ื ลดความชื้นลงใชเวลาในการทําใหแ หง 3.2.1 การผสมวัตถุดิบสําหรับอดั ถาน โดย
การนําวตั ถุดิบท้งั หมดเทผสมในถงั ผสมจากนั้นทําการ
จาํ นวน 48 ช่ัวโมง เดินเคร่ืองเพื่อใหใบกวนทําการผสมวัตถดุ บิ ใหเ ขากัน
ซ่ึงอัตราสวนเปนองคประกอบที่สําคัญในการอัดถา น
สําหรับการอัดถานในคร้ังนี้ไดศึกษาอัตราสวน ดังที่
ปรากฏในตารางท่ี 2
ตารางที่ 2 อตั ราสว นการผสมวตั ถุดบิ
ลําดับท่ี วตั ถุดบิ อัตราสวน
1
2 (กรมั )
3 เศษหนอไมเหลอื ท้ิงท่ี 1,000 : 1,000 :
รูปท่ี 2 เศษหนอ ไมเ หลือทง้ิ ทต่ี ากแหง แลว ตากแหง : ผงถานไม : 500 : 2,000
3.1.4 เครื่องอัดถานแทงจากเศษหนอไม แปงมนั สัมปะหลัง : นํา้
เ ห ลื อ ทิ้ ง ร ะ บ บ ส ก รู เ ก ลี ย ว แ บบ รู ป ก ร วย มี
สว นประกอบ สวนหลัก ดังน้ี เศษหนอไมเหลือทิ้งที่ 500 : 2,000 :
4.1) ถังผสม ตากแหง : ผงถา นไม : 500 : 2,500
4.2) ชดุ เกลยี วอดั รูปกรวย
4.3) ชุดควบคมุ เคร่อื ง แปงมนั สมั ปะหลัง : น้าํ
4.4) ชดุ ตนกาํ ลัง
เศษหนอ ไมเหลอื ท้ิงท่ี 300 : 2,500 :
ตากแหง : ผงถานไม : 500 : 2,500
แปงมนั สมั ปะหลัง : น้ํา
รูปท่ี 3 เคร่ืองอดั ถา นแทง เช้ือเพลิงจากเศษ รูปท่ี 4 การชงั่ นาํ้ หนกั สวนผสม (ก) เศษหนอ ไมเหลือ
หนอ ไมเหลอื ทงิ้ ทง้ิ ท่ียอยและตากแหง แลว (ข) ผงถา น
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 17
วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชวี ศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
รปู ท่ี 5 การชง่ั น้าํ หนกั สว นผสม (ค) แปง มนั รปู ท่ี 8 อตั ราสวนท่ี 3 (กรมั ) 300 : 2,000 : 500 :
สัมปะหลงั (ง) นํา้ 2,500
3.2.2 การอัดถานและลดความชื้น การอัด 3.2.3 ศึกษาอุณหภูมสิ งู สุดการผลติ ถานอัด
ถานแทงจะใชเกลียวอัดรูปกรวยซ่ึงเปนการข้ึนรูปอดั แทงจากเศษหนอไมเหลือท้ิง สําหรับการใชงานทาง
แบบเย็นซ่ึงถานที่ไดจะเปนลักษณะแทง ทรงกระบอก ความรอนของ (Heat Utilization Efficiency) ของ
ยาวเฉล่ีย 20 เซนติเมตร เสนผาศูนยกลางเฉลี่ย 7.5 ถานอัดแทงจากเศษหนอไม โดยการวัดอุณหภูมิจาก
เซนติเมตร และจะมีรูตรงกลางเสนผาศนู ยกลางเฉลยี่ ท้ัง 3 อัตราสว น อยางละ 500 กรัม เพ่อื ตม น้าํ จาํ นวน
2.3 เซนติเมตร โดยหลังจากน้ีจะนําถานท่ีไดไปตาก 2,000 กรัม ทําการวัดอุณหภูมิดวย Thermometer
แหง เพ่ือไลความชน้ื จํานวน 48 ช่ัวโมง ดิจิตอลแบบจุม โดยจะบันทกึ เวลาและอุณหภมู ิทกุ ๆ
5 นาทีต้ังแตถานเร่มิ ติดไฟไปถงึ ถา นไหมจนมอดดบั
รปู ท่ี 6 อตั ราสวนสว นที่ 1 (กรมั ) 1,000 : 1,000 : รูปที่ 9 การทดสอบตม น้าํ
500 : 2,000
4. ผลการวจิ ัย
รูปท่ี 7 อตั ราสว นสว นที่ 2 (กรัม) 500 : 2,000 : 4.1 อัตราสวนผสมถานอัดแทงจากเศษหนอไม
500 : 2,500
เหลือท้ิง พบวา อัตราสวนผสมที่ 3 เศษหนอไม : ผง
ถาน : แปงมนั สําประหลงั : น้ํา (300 กรมั : 2,500 กรมั
: 500 กรัม : 2,500 กรมั ) เหมาะสมท่ีสดุ เน่อื งจาก มี
ความหนาแนนท่ีดี การคงรูปหลังแหงดี รองลงมา
อัตราสวนผสมท่ี 2 เศษหนอไม : ผงถาน : แปงมันสํา
ประหลัง : น้ํา (500 กรัม : 2,000 กรัม : 500 กรัม:
2,500 กรัม) เน่ืองจาก มีความหนาแนนปานกลาง
การคงรูปหลังแหงดี และอัตราสวนผสมที่ 1 เศษ
หนอไม : ผงถาน : แปงมันสําประหลัง : นํ้า (1,000
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 18
18 วารสารวิจัยและนวตั กรรมการอาชวี ศึกษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
กรัม : 1,000 กรัม : 500 กรัม : 2,000 กรัม) มีความ ตารางท่ี 3 การทดสอบดว ยการตม นาํ้ (ตอ )
หนาแนนตาํ่ การคงรูปหลงั แหงปานกลาง
สว นผสมในการทดลอง
4.2 อุณหภูมิสูงสุดการผลิตถานอัดแทงจากเศษ
หนอ ไมเ หลอื ทง้ิ พบวา อตั ราสว นผสมที่ 3 ใชเ วลาการ เวลา อัตราสวน อัตราสวนท่ี อัตราสว นที่
เผาไหมเริ่มตนท่ี 0 นาที โดยอุณหภูมิสูงสุดอยูที่ 70
องศาเซลเซียส ณ เวลาท่ี 80 นาที จากนั้นอุณหภูมิ (นาที) ท1่ี 2 3
คอยๆ ลดลงจนเหลือแตข้ีเถาใชเวลา 135 นาที ซึ่ง
สัมพันธกับอัตราสวนผสมท่ีเหมาะสมที่สุด รองลงมา อณุ หภมู ิ อณุ หภูมิ อุณหภมู ิ
อตั ราสว นผสมท่ี 2 ใชเ วลาการเผาไหมเริม่ ตนที่ 0 นาที
โดยอณุ หภมู ิสงู สุดอยูท่ี 72.8 องศาเซลเซียส ณ เวลาที่ (องศา (องศา (องศา
40 นาที จากนั้นอุณหภมู ิคอ ยๆ ลดลงจนเหลอื แตข เ้ี ถา
ใชเวลา 95 นาที ซึ่งสัมพันธกับอัตราสวนผสมท่ี เซลเซยี ส เซลเซยี ส เซลเซียส
เหมาะสมปานกลางและอัตราสวนผสมที่ 1 ใชเวลา
การเผาไหมเร่ิมตนท่ี 0 นาที โดยอุณหภูมิสูงสุดอยูท ่ี 55 65.3 70.1 66.7
70.7 องศาเซลเซียส ณ เวลาที่ 40 นาที จากน้ัน
อุณหภูมคิ อ ยๆ ลดลงจนเหลอื แตขเ้ี ถา ใชเวลา 85 นาที 60 64.1 69.2 67.2
ซึ่งสัมพันธก ับอตั ราสว นผสมท่ตี ่ําเกินไป
65 62.1 66.3 66.9
70 60.1 64.1 67.1
75 58.5 60.5 69.3
80 56.1 59.2 70
85 52.6 58.6 66.7
90 - 58.1 67.6
95 - 57.4 66.9
100 - - 65.7
ตารางท่ี 3 การทดสอบดวยการตมนํ้า 105 - - 64.3
สวนผสมในการทดลอง 110 - - 63.9
เวลา อัตราสว น อัตราสว นท่ี อตั ราสว นท่ี 115 - - 62.9
(นาท)ี ท1ี่ 2 3 120 - - 62.3
อณุ หภมู ิ อณุ หภูมิ อุณหภูมิ 125 - - 60.7
(องศา (องศา (องศา 130 - - 58.7
เซลเซียส เซลเซยี ส เซลเซียส 135 - - 57.3
0 23 28.2 32.5
5 35.5 38.1 36.5
10 42.5 44.1 41.3
15 50.2 50.5 44.6
20 58.9 58.9 47.9
25 65.7 65.5 52.5
30 69.7 68.2 57
35 70.5 71.8 59
40 70.7 72.8 59.3
45 67.7 70.7 62.8 รูปที่ 10 กราฟประสิทธภิ าพการใชง าน
50 66.9 71.3 65.3
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 19
วารสารวิจัยและนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
จากรูปท่ี 10 .ประสิทธิภาพการใชง าน อตั รา กรัม : 500 กรัม : 2,500 กรัม) ใหอุณหภูมิสูงสุด 70
สวนผสมท่ี 3 ใหอุณหภูมิสงู สุด 70 องศาเซลเซยี ส องศาเซลเซียส ชวงเวลาท่ีใหความรอนสูงสุดท่ีเวลา
ชวงเวลาทใ่ี หค วามรอนสูงสดุ ท่เี วลา 80 นาที รวม 80 นาที รวมเวลาเผาไหม 135 นาที ซ่ึงก็สอดคลอง
เวลาเผาไหม 135 นาที จะเหน็ ไดวาอตั ราสวนผสมที่ กับงานวิจัยที่มีการหาคาความรอนของเช้ือเพลิงชีว
3 สามารถเผาไหมไดย าวนานกวา อตั ราสว นผสมท่ี 1 มวล ปกรณ อุนไธสง และรชต มณีโชติ [2] ถานอัด
เปนเวลา 50 นาที คดิ เปน 37.03 เปอรเ ซน็ ต และ แทงจากฝกราชพฤกษ ใหคาความรอน 22.58 MJ/kg
สามารถเผาไหมไดย าวนานกวา อัตราสว นผสมท่ี 2 (5,394 kcal/kg) และประสิทธภิ าพการใชง านอณุ หภมู ิ
เปนเวลา 40 นาที คดิ เปน 29.26 เปอรเ ซน็ ต สูงสุดที่ 87.6°C แลวปลอยใหอุณหภูมิลดลงเหลือ
50°C รวมเวลาเผาไหม 451 นาทีประสิทธิภาพทาง
5. อภปิ รายและสรุปผลการวิจัย ความรอน 52.81% ธนิรันต ย อด ดําเนิน และ
เศษหนอไมเหลือทิง้ ทง้ั 3 อัตราสว น ทน่ี ํามาศึกษา เสาวลักษณ ยอดวิญูวงศ [3] ศึกษาการพัฒนา
ผลิตภัณฑถานอัดแทงจากใบออยและชานออยใหคา ความ
จดั อยใู นกลมุ ของชีวมวลท่ีเกดิ ขึ้นในอตุ สาหกรรมแปร รอนเทากับ4,591.80cal/g และมีคาประสิทธิภาพการใช
รูปผลผลิตทางการเกษตร โดยนํามาผสมรวมกับวสั ดุ งานทางความรอ นของถา นอดั แทง จากใบออ ยและชาน
ตัวประสาน ผงถาน แปงมันสําปะหลัง และน้ํา ซึ่งก็ ออยสูงสุดประมาณ 46.5% ศตพล มุงค้ํากลาง [4]
สอดคลองกับงานวจิ ยั ทมี่ ีการนาํ ชวี มวลมาใชป ระโยชน ถา นกะลา มะพรา วผสมกบั วัสดุเหลือใชท างการเกษตร
รวมกับวัสดุตัวประสานตาง ๆ ดังท่ีปกรณ อุนไธสง จากการทดลองพบวา แทงเชื้อเพลิงจากถาน
และรชต มณีโชติ [2] โดยการนําฝกราชพฤกษแกม า ก ะ ล า ม ะ พ ร า ว ผ ส ม ฟ า ง ข า ว มี ค า ค ว า ม ร อ น
ศึกษาสวนประกอบถานฝกราชพฤกษ แปงมัน 6,186.066,014.315,880.265,770.74 แ ล ะ
สําปะหลัง และนํ้า รวม 3 อัตราสวนไดแ ก อัตราสวน 5,667.04 Kcal/Kg โรสลนี า อนันตนุกลู วงศ และคณะ
1 : 1 : 0.75, 2 : 1 : 0.50 แ ล ะ 3 : 1 : 0.25 โ ด ย [5] ถานอัดแทงจากวัสดุเหลือใชกะลามะพราว (พันธุ
นํ้าหนัก ธนิรันต ยอดดําเนิน และเสาวลักษณ ยอด ตนสูง) ใบไมแหง (ใบตนละมุด) ขี้เล่ือย (ตนทุเรียน)
วิญูวงศ [3] ใชอัตราสวนผสมจากใบออยและชาน พบวาคาความรอนจากกะลามะพราว(พันธุตนสูง),
ออย น้ําและแปงมันสาํ ปะหลัง ศตพล มุงคํ้ากลาง [4] ใบไมแหง (ใบตนละมุด),ข้ีเลื่อย(ตนทุเรียน) มีคา
อัตราสวนของถานกะลามะพราวตอ ฟางขาวหรือชาน เ ท า กั บ 4910.82 cal/g 3,195.757 cal/g แ ล ะ
ออย ท่ีอัต ราสวน 9:1 8:2 7:3 6:4 และ 5:5 โดย 5,067.55cal/g และอนุวัตร ศรีนวล และ อัมพวัลย
ปริมาตร โรสลีนา อนันตนุกูลวงศ และคณะ [5] การ ชัยนาวา [6] ศึกษาความสัมพันธของสัดสวนผสม
ผลิตถานอดั แทง จากวัสดเุ หลอื ใชกะลามะพราว (พนั ธุ ระหวางถานหินลิกไนตและใบสนประดิพัทธ ใหคา
ตนสูง) ใบไมแหง (ใบตนละมุด) ขี้เลื่อย (ตนทุเรียน) ความรอน 5,322.25 แคลอรีตอกรัม ขอเสนอแนะที่
ผลติ เปนถา นอัดแทงโดยมีนํ้าหนัก 100 % และอนวุ ตั ร จะนําผลการวิจัยน้ันไปใชประโยชน คือ การเลือกใช
ศรีนวล และอัมพวัลย ชัยนาวา [6] สัดสวนผสม ผงถานทม่ี ีคาความรอ นทเ่ี หมาะสม เพราะจะใหส งผล
ระหวางถานหินลิกไนตและใบสนประดิพัทธ สัดสวน ถึงคาความรอนท่ีจะสูงตามไปดวย นอกจากความ
70:30 และตัวประสานความเขมขน 1% มีคุณสมบัติ ละเอียดของการเตรียมเศษหนอไมเ หลือทิ้งใหมีขนาด
ตามเกณฑม าตรฐานผลติ ภัณฑช มุ ชน จงึ สรุปไดวา เศษ ท่ีละเอียดก็เปนอีกปจจัยหน่ึงท่ีทําใหการอัดมีความ
หนอไมเหลือทิ้งสามารถนํามาใชประโยชนในดา นของ หนาแนน มากขน้ึ ทําใหเชอ้ื เพลงิ เผาไหมไดน านขนึ้
การนาํ มาเปน สวนผสมสาํ หรบั การทําเชอื้ เพลิงชวี มวลได
นอกจากน้ีอัตราสวนผสมท่ี 3 เศษหนอไม : ผง
ถาน : แปงมันสําประหลัง : นํ้า (300 กรัม : 2,500
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 20
20 วารสารวิจยั และนวัตกรรมการอาชีวศึกษา [6] อนวุ ัตร ศรีนวล และ อมั พวัลย ชัยนาวา.
(2561). การศึกษาเชื้อเพลงิ อดั แทงจากใบ
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564 สนประดพิ ทั ธผ สมถานหินลิกไนต. วารสาร
วิศวกรรมสารเกษมบัณฑิต, 8(3), 128-151
กิตติกรรมประกาศ
ขอขอบคณุ บริษัทอน่ิ -ออ ง ฟดู จํากัด ที่ใหความ
อนุเคราะหในการรวมทํางานและสนับสนุนในดาน
ตาง ๆ จะใหการดําเนินงานบรรลุวัตถุประสงค และ
ขอขอบคุณคณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัย
เทคโนโลยีราชมงคลลา นนา ท่ใี หก ารสนบั สนนุ ในดาน
ตาง ๆ
เอกสารอา งองิ
[1] แผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงาน
ทางเลือก พ.ศ.2561-2580. (2563).
กรุงเทพฯ: กรมพัฒนาพลงั งานทดแทนและ
อนุรักษพลังงาน.
[2] ปกรณ อนุ ไธสง และรชต มณโี ชติ. (2562).
การสรางเคร่อื งและหาประสิทธิภาพถา นอดั
แทงจากฝกราชพฤกษ. วารสารวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏอดุ รธาน,ี
7(2), 147-157.
[3] ธนริ ันต ยอดดาํ เนนิ และเสาวลกั ษณ ยอด
วิญูวงศ. (2563). การพฒั นาผลิตภณั ฑ
ถา นอัดแทงจากใบออ ยและชานออยสู
วสิ าหกจิ ชุมชน. วารสารวิชาการเทคโนโลยี
พลงั งานและสง่ิ แวดลอ ม, 7(2), 12-24.
[4] ศตพล มงุ คาํ้ กลาง. (2559). การหา
ประสทิ ธภิ าพแทง เชือ้ เพลงิ จากถา น
กะลามะพราวและวสั ดเุ หลือใชทางเกษตรใน
การประกอบอาหาร. วารสารวชิ าการคณะ
เทคโนโลยีอุตสาหกรรม : เทพสตรี I-TECH,
11(1), 59-67.
[5] โรสลนี า อนนั ตนกุ ลู วงศ, รอดียะห เจะ แม
และนรุ มายามีน สาเระน.ุ (2562). การผลติ
ถา นอัดแทง จากวัสดุเหลือใชท างเกษตร.
วารสารวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี มรย,
4(1), 47-53.
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 21
ǑǥǏǗǥǏǑˡǐǛˏ ǪǖǨLjǑDžˏ ƮǏǏljƮǥǏǣǥƿˣǑǃƮ˥ ǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘˏǘdžˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎˏLjǑǥǁlj 2564
ผลกระทบของผงแคลเซียมคารบ อเนตตอสมรรถนะการไหลและกาํ ลงั รับแรงอดั
ของคอนกรตี มวลรวมเบาทอ่ี ัดแนน ไดด วยตัวเอง
Effect of Calcium Carbonate Powder on Flowing Performances and
Compressive Strength of Lightweight Aggregate Self-Compacting Concrete (LWASCC)
บญุ ญานนั เพ็ญสุวรรณ1, นฤมล พลายทอง2, คงกฤช สมฤดี3 และ มงคล นามลกั ษณ4*
Bunyanun Pensuwan1 Narumon Plaithong2, Kongkrit Somrudee3 and Mongkhon Narmluk4*
*1234ภาควชิ าครศุ าสตรโ ยธา คณะครศุ าสตรอ ุสาหกรรมและเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา ธนบุรี กรงุ เทพฯ 10140
*1234 Department of Civil Technology Education, Faculty of Industrial Education and Technology,
King Mongkut’s University of Technology Thonburi, Bangkok 10140
Received : 2021-07-27 Revised : 2021-08-12 Accepted : 2021-08-16
บทคดั ยอ ปูนซีเมนตดวยผงแคลเซียมคารบอเนตรอยละ 20
งานวิจัยนี้นําเสนอผลกระทบของการใชผง ไดร ับกาํ ลงั รับแรงอัดสงู สุด
คาํ สําคัญ : คอนกรตี ทีอ่ ัดแนน ไดด วยตัวเอง,
แคลเซียมคารบอเนตแทนที่ปนู ซีเมนตบางสวน ที่มีตอ
สมรรถนะการไหลและกําลังรับแรงอัดของคอนกรีตท่ี ผงแคลเซยี มคารบ อเนต, สมรรถนะ
อัดแนนไดดวยตัวเองที่ใชเม็ดดินเหนียวขยายตัวเบา การไหล, เม็ดดินเหนียวขยายตัวเบา
เปนมวลรวมหยาบ ในการทดลองไดนําผงแคลเซียม
คารบอเนตแทนที่ปูนซีเมนตปอรตแลนด รอยละ 20, Abstract
35 และ 50 ของปรมิ าตรวัสดุประสานรวม การศกึ ษา This research presents the effect of the
คุณสมบัติของคอนกรีตประกอบดวย คาการไหลแผ
ระยะเวลาไหลแผถึงเสนผานศูนยกลาง 500 มม. use of calcium carbonate powder, as a cement
(T500) ระยะเวลาไหลผานกลองแบนรูปตัววี ดัชนีการ replacement material, on flowing performances
ไหลผานส่ิงกีดขวาง H2/H1 จากการทดสอบ L-box and compressive strength of self-compacting
และกําลังรับแรงอัดของคอนกรีต ผลการวิจัยพบวา concrete incorporating lightweight expanded
ก า ร ใ ช ผ ง แ ค ล เ ซี ย ม ค า ร บ อ เ น ต แ ท น ท่ี ปู น ซี เ ม น ต clay aggregate (LECA) as coarse aggregate. In
บางสวน ลดความสามารถในการไหลของคอนกรีต the experiment, calcium carbonate powder
LWASCC คาการไหลแผและดัชนีการไหลผานส่ิงกีด was used to replace Portland cement by 20,
ขวาง H2/H1 ลง ขณะที่ระยะเวลา T500 และเวลาใน 35 and 50 % of total binder volume. The
การไหลผานกลอ งแบนรูปทรงวีเพม่ิ ข้ึนตามปรมิ าณผง investigated concrete properties included
แคลเซียมคารบอเนต นอกจากน้ีพบวา คอนกรีตที่มี slump flow, flow time to reach a diameter of
สวนผสมของผงแคลเซียมคารบอเนตท่ีสวนผสมมีคา 500 mm (T500), V-funnel flow time, L-box
กําลังรับแรงอัดที่อายุ 7 วัน สูงกวาคอนกรีตควบคุม H2/H1 passing index, and compressive
รอ ยละ 13.3-33.2 และการเลือกใชอัตราการแทนท่ี strength of the concrete. The results revealed
that the replacement of calcium carbonate
*มงคล นามลกั ษณ powder in Portland cement decreased flowing
of LWASCC. The slump flow diameter and
E-mail : [email protected]. H2/H1
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 22
22 ǑǥǏǗǥǏǑˡǐǛˏ ǪǖǨLjǑDžˏ ƮǏǏljƮǥǏǣǥƿˣǑǃƮ˥ ǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘǘˏ džˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎˏLjǑǥǁlj 2564
passing index were decreased, while T500 and มวลรวมน้ําหนักเบาที่ไดรับความนิยมอยางกวางขวาง
V-funnel flow time were increased by of the ในการผลิต LWASCC ในปจจุบัน คือ เม็ดดินเหนียว
volume of calcium carbonate replacement. In ข ย า ย ตั ว เ บ า ( Lightweight Expanded Clay
addition, the concrete containing calcium Aggregate, LECA) เนื่องจากสามารถผลิตขึ้นไดเองใน
carbonate powder had the compressive ปรมิ าณทตี่ อ งการ
strength higher than the control at 7 days, and
the use of cement replacement with calcium จ า ก ก า ร ศึ ก ษ า พ บ ว า มี ง า น วิ จั ย ทั้ ง ใ น แ ล ะ
carbonate powder of 20% obtained the ตางประเทศ ทีศ่ กึ ษาคณุ สมบตั ดิ า นตา งๆ ของคอนกรีต
highest compressive strength. LWASCC ที่ ใ ช LECA เ ป น ม ว ล ร ว ม ห ย า บ อา ทิ
Keywords : Self-compacting concrete,Calcium Maghsoudi และคณะ [4] รายงานวาคอนกรีตซึ่งใช
LECA ขนาด 4.75-9.5 มม. เปนมวลรวมหยาบใน
carbonate powder, Flowing ปริมาณ 175 กก./ม.3 มคี าความหนาแนน ท่อี ายุ 28 วนั
performances, Lightweight อยูในชวง 1,890-1,870 กก./ม.3 ปานปรียา ขาวเถิน
expanded clay aggregate. และคณะ [5] รายงานวาการแทนที่หินปูนบดยอยดวย
LECA รอยละ 16-47 โดยน้ําหนัก ทําใหคาการไหลแผ
1. บทนาํ สูงขึ้น คาความหนาแนน และกําลังรับแรงอัดลดลง เม่ือ
ค อ น ก รี ต ม ว ล ร ว ม เ บ า ท่ี อั ด แ น น ไ ด ด ว ย ตั ว เ อ ง เปรียบเทียบกับคอนกรีตควบคุม ซึ่งขัดแยงกับ
Alexandre Bogas และคณะ [6] ที่รายงานวาการ
(Lightweight Aggregate Self-Compacting เพิ่มขึ้นของปริมาตร LECA ในสวนผสม ทําใหคอนกรีต
Concrete, LWASCC) คือ คอนกรีตที่มีคุณสมบัติใน มีคาการไหลแผ (Slump flow) ลดลงเล็กนอย ขณะที่
การไหลเขาแบบหลอไดดีและมีความหนาแนนตํ่ากวา ระยะเวลาการไหลแผถึงเสนผานศูนยกลาง 500 มม.
คอนกรีตท่ัวไป ทําใหงายตอการเทและทําใหช้ินสวน (T500) มีคาเพ่ิมขึ้น และดัชนีการไหลผานสิ่งกีดขวาง
โครงสรางที่มีน้ําหนักเบา ซึ่งเหมาะสําหรับอุตสาหกรรม H2/H1 จากการทดสอบ L-box มีคาลดลง
การผลิตชนิ้ สวนโครงสรางคอนกรตี สําเรจ็ รปู ในปจ จบุ ัน
คุณลักษณะพื้นฐานคอนกรีต LWASCC คือ ตองมี นอกจากนี้ยังพบวา สวนผสมของคอนกรีต
สมรรถนะการไหลเปนไปตามเกณฑมาตรฐานของ LWASCC ในงานวิจัยสวนใหญ ยังใชปูนซีเมนตใน
คอนกรีตท่ีอัดแนนไดดวยตัวเอง (Self-Compacting ปริมาณมาก เพื่อเพมิ่ เนื้อซีเมนตเ พสตซง่ึ เปนตัวกลางที่
Concrete, SCC) [1] กลาวคือ 1) สามารถแทรกตัว ทําใหเกิดการไหล ซึ่งทําใหคอนกรีต SCC มีราคาสูง
และอัดแนนในแบบหลอ (Filling ability) ไดดวย และเกิดความรอนสูง [2] ดังนั้นทิศทางการพัฒนา
น้ําหนักตัวเองโดยไมตองใชแรงกระทําจากภายนอก สวนผสมของคอนกรีต LWASCC ที่นาสนใจ คือ การ
2) สามารถไหลผานส่ิงกีดขวางไดโดยไมติดขัด ลดปริมาณปูนซีเมนตโดยใชวัสดุเติมแทรก (Filler)
(Passing ability) และ 3) สามารถตานทานตอการ ทดแทนปนู ซเี มนตบ างสว น
แยกตวั (Segregation resistance) คอื มเี นื้อคอนกรีต
ที่สม่ําเสมอ ไมเกิดการแยกตัวของน้ําปูนหรือเกิดการ ผงแคลเซียมคารบอเนต (Calcium carbonate
ตกตะกอนของมวลรวม [2] แตคุณสมบัติเฉพาะท่ี powder, CC) คือ วัสดุเติมแทรก (Filler) ในงาน
สําคัญของ LWASCC ซึ่งแตกตางจาก SCC ทั่วไป คือ คอนกรีตท่ีไดจากการบดหินปูนจนไดผงสีขาวท่ีมีความ
มีนํ้าหนักเบา (ความหนาแนนตํ่ากวา 2,000 กก./ม.3 ละเอียดสูง โดยทั่วไปผงแคลเซียมคารบอเนตไมมี
[3] ซ่ึ ง ทํ า ไ ด โ ด ย ก า ร ใ ช ม ว ล ร ว ม น้ํ า ห นั ก เ บ า คุณสมบัติเปนวัสดุปอซโซลาน แตสามารถแทรกตัว
(Lightweight aggregate) เปนมวลรวมหยาบ และ ระหวางอนุภาคปูนซีเมนตทําใหโครงสรางจุลภาคของ
ซีเมนตเพสตมีความพรุนตํ่าลง งานวิจัยในอดีตได
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 23
ǑǥǏǗǥǏǑǐˡ Ǜˏ ǪǖǨLjǑDžˏ ƮǏǏljƮǥǏǣǥƿǑˣ ǃƮ˥ ǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘˏǘdžˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎˏLjǑǥǁlj 2564
รายงานอิทธิพลของผงแคลเซียมคารบอเนตที่มีตอ นําไปประยุกตใชในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นสวน
คุณสมบัติของคอนกรีต SCC อาทิ Sue-iam และ โครงสรา งคอนกรีตสําเร็จรปู ในปจจุบนั
Makul [7] พบวาการใชผงแคลเซียมคารบอเนตท่ีได
จากกระบวนการบดหินปูน เปนวัสดุปรับแตงสวนผสม 2. วิธีดาํ เนินการวิจัย
คอนกรีต SCC ท่ีใชเถาแกลบไมบดแทนที่ทราย 2.1 วัสดุทีใ่ ชในการทดลอง
บางสวน ทําใหคอนกรีตมีคากําลังรับแรงอัดและ งานวิจยั นีใ้ ชป นู ซีเมนตป อรตแลนดป ระเภทท่ี
ความสามารถในการไหลผานส่ิงกีดขวางดีข้ึน John
และคณะ [8] รายงานวาการใชผงแคลเซยี มคารบอเนต 1 ตามมาตรฐาน มอก.15 เลม 1−2555 [10] เปน วัสดุ
รอยละ 2.5-5.0 แทนที่ปูนซีเมนต สามารถปรับปรุง ประสานหลัก และใชผงแคลเซยี มคารบ อเนตทม่ี คี วาม
กําลังและความหนาแนนของคอนกรีต SCC แตทําให ละเอียดสูง รุน CALCRETE F3 จากบริษัทสุรินทร
ความสามารถทํางานไดต่ําลง พงศกร พรมสวัสดิ์ และ ออมยา เคมคิ อล (ประเทศไทย) จํากดั เปนวสั ดแุ ทนท่ี
คณะ [9] รายงานวาในคอนกรีต SCC ที่ใชเถาลอย ปูนซีเมนตบางสวน ซึ่งมีสวนประกอบทางเคมี คือ
รวมกับผงแคลเซียมคารบอเนตแทนท่ปี นู ซเี มนต ทําให CaCO3 มากกวารอยละ 98.5 MgCO3 ไมเกินรอยละ
คาการไหลแผล ดลง เนือ่ งจากคอนกรตี มคี วามหนืดมาก 0.8 FeO3 ไมเกินรอยละ 0.02 และ HCl ที่ไมละลาย
ขึ้น การแทนที่ปูนซีเมนตดวยเถาลอยรอยละ 20 นํ้า ไมเกินรอยละ 1 และมีคา pH 8-10 สมบัติทาง
รวมกับผงแคลเซียมคารบอเนตรอยละ 5 ทําให กายภาพของปูนซีเมนตปอรตแลนดและผงแคลเซียม
คอนกรีตท่ีคากําลังรับแรงอัดสูงกวาคอนกรีตควบคุม คารบอเนต แสดงในตารางที่ 1 สําหรับมวลรวม
(ท่ีใชปูนซีเมนตลวน) เล็กนอย แตเม่ือปริมาณผง ละเอียดใชทรายแมน้ําสะอาด มีคาความถวงจําเพาะ
แคลเซียมคารบอเนตเพิ่มข้ึน เปนรอยละ 10 และ 20 เทากับ 2.61 คาการดูดซึมนํ้าในสภาวะอิ่มตัวผิวแหง
พบวาคากาํ ลังรับแรงอัดมีแนวโนม ตํ่าลง รอยละ 1.10 และมีคาดัชนีความละเอียดเทากับ 2.21
สําหรับมวลรวมหยาบใชเม็ดดินเหนียวขยายตัวเบา
จากขอมูลขางตนจะเห็นวา การรายงาน (LECA) จากบริษัทไซมีส อีโคไลท จํากัด จังหวัด
ผลกระทบของผงแคลเซยี มคารบ อเนตท่มี ตี อสมรรถนะ ราชบุรี ดงั รูปท่ี 1 ซ่ึงมีขนาดเม็ดโตสดุ เทากับ 8 มม. มี
การไหลของคอนกรีต SCC ยังมีนอยและขัดแยงกัน คาความถวงจําเพาะเทากับ 1.16 และมีคาการดูดซึม
และยังไมพบการศึกษาผลกระทบของผงแคลเซียม น้ําในสภาพอ่ิมตัวผิวแหงเทากับรอยละ 14.09 สวน
คารบอเนตตอคุณสมบัติของคอนกรีต LWASCC สารลดนํ้าใชสารลดน้ําพิเศษ (Superplasticizer)
โดยตรง นอกจากน้ีอัตราการแทนที่ปูนซีเมนตดวยผง ประเภทโพลีคารบ็อกซีเลต ADVA® 208 จากบริษัท
แคลเซียมคารบอเนตยงั ใชค อ นขางตาํ่ จีซีพี แอพพลาย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จํากัด มี
ความหนาแนน 1.10 กรัม/ซม.3 และนํ้าท่ีใชในการ
ดงั นัน้ งานวิจยั นมี้ วี ตั ถุประสงคเ พอื่ ศึกษาอทิ ธิพล ผสมคอนกรตี ใชน้ําประปาสะอาด
ของผงแคลเซียมคารบอเนตที่มีตอสมรรถนะการไหล
ของคอนกรีต LWASCC ท่ีใช LECA เปนมวลรวมหยาบ 2.2 อัตราสวนผสมของคอนกรีตที่ใชใ นการวิจัย
ไดแก คาการไหลแผ (Slump flow) ระยะเวลาไหลแผ ค อ น ก รี ต SCC ค ว บ คุ ม ( Controlled
ถึงเสนผานศูนยกลาง 500 มม. (T500) ระยะเวลาไหล
ผานกลองแบนรูปทรงวี (V-funnel flow time) และ concrete) ในงานวิจัยนี้ใชปูนซีเมนตปอรตแลนด
คาดัชนีการไหลผานส่ิงกีดขวางดวยวิธี L-box โดยมุง ประเภทท่ี 1 จํานวน 585 กก./ม.3 อัตราสวนน้ําตอ
ศึกษาการใชผงแคลเซียมคารบอเนตแทนที่ปูนซีเมนต วัสดุประสาน (w/b) เทากับ 0.35 และสารลดน้ําพิเศษ
ในปริมาณในระดับสูงกวางานวิจัยในอดีต คือ รอยละ รอยละ 0.6 ของนํ้าหนักวัสดุประสาน สวนคอนกรีต
20 35 และ 50 โดยปริมาตร ซึ่งผลการวิจัยน้ีสามารถ SCC กลุมทดลองในงานวิจัยน้ี แสดงในตารางที่ 2 มี
รายละเอียดของสว นผสมดงั นี้ สวนผสม CC20, CC35,
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 24
24 ǑǥǏǗǥǏǑǐˡ Ǜˏ ǪǖǨLjǑˏDžƮǏǏljƮǥǏǣǥƿˣǑǃ˥Ʈǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘǘˏ džˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎˏLjǑǥǁlj 2564
และ CC50 ใชผงแคลเซยี มคารบ อเนตแทนท่ปี ูนซีเมนต และนําคอนกรีตอีกสวนหนึ่งเทลงในแบบหลอสําหรับ
ปอรตแลนดประเภทท่ี 1 รอยละ 20, 35 และ 50 โดย การทดสอบกําลังรับแรงอัดโดยไมทําการจ้ีเขยาหรือ
ปริมาตรของวัสดุประสานรวม (ปูนซีเมนต+ผง กระทงุ
แคลเซียมคารบอเนต) ตามลําดับ โดยควบคุมคา w/b ตารางที่ 2 อตั ราสวนผสมคอนกรตี
ใหคงท่ีเทากบั 0.35 (โดยน้าํ หนกั )
อัตราสวนผสมคอนกรีต (กก./ม.3)
ตารางที่ 1 สมบตั ิทางกายภาพของวสั ดปุ ระสาน กลุม ัตวอยางCalciu Superplast
m LE
ตวั อยาง ความถว ง พ้ืนทผ่ี วิ นาํ้ หนกั คางบน Cement icizer (%)
SandCarbo CA
Waternate
วัสดุ จําเพาะ (ซม.2/กรัม) ตะแกรงเบอร - 49 67 20
18 1
325 (รอยละ) Control 585 0.60
0.65
Cement 3.13 3,470 - 49 67 19 0.68
18 9 0.70
CC 2.70 6,000 1.50 CC20 466 101
หมายเหตุ : CC คือ ผงแคลเซียมคารบอเนต CC35 383 179 49 67 19
18 7
CC50 298 258 49 67 19
18 4
หมายเหตุ : CC35 หมายถึง ใชปูนซเี มนต รอ ยละ 65
และ ผงแคลเซยี มคารบ อเนต รอ ยละ 35 และปรมิ าณ
สารลดนาํ้ พเิ ศษ (Superplasticizer) คิดเปน รอยละ
ของน้าํ หนกั วัสดุผง
รูปที่ 1 ลักษณะทางกายภาพของเม็ดดินเหนียว 2.4 วธิ กี ารทดสอบ
ขยายตวั เบา (LECA) การประเมินสมรรถนะการไหลของคอนกรีต
2.3 การผสมคอนกรตี LWASCC ในงานวจิ ยั นี้ ไดทําตามแนวทางการทดสอบ
การผสมคอนกรตี ในงานวจิ ัยน้ี มขี ้ันตอนดงั นี้ ของ EFNARC 2005 [1] ซึ่งประกอบดว ย คอื 1)ความ
สามารถในการไหล (Flow ability) พิจารณาจาก
1) ผสมสารลดนํ้าพเิ ศษกับน้าํ ท่ีตองในการผสมท้งั หมด ขนาดเสนผา นศนู ยก ลางสูงสุดของการไหลแผ (Slump
และแบงเปน 5 สวน 2) เติมมวลรวมหยาบ (LECA) flow) 2) ความสามารถในการเติมแทรกแบบหลอ
ท่ีอยูในสภาพอิ่มตัวผิวแหง ลงในเครื่องผสมคอนกรีต (Filling ability) เปนการประเมินจากความหนืด
พรอมเติมน้ํา 1 สวน แลวเดินเคร่ืองผสม 1 นาที (Viscosity) ของคอนกรีตสด โดยการทดสอบระยะ
3) เติมปูนซีเมนตปอรตแลนด พรอมน้ํา 2 สวน แลว เวลาที่ใชใ นการไหลแผถ ึงขนาดเสน ผา นศูนยก ลาง
เดินเครื่องผสม 5 นาที 4) เติมมวลรวมละเอียด(ทราย) 500 มม. (T500) และระยะเวลาไหลผานกลอ งแบน
พรอมนํ้า 1 สวน แลวเดินเครื่องผสม 5 นาที และ รปู ตัววี และ 3) ความสามารถในการไหลผานสิ่งกีด
5) ใสผงแคลเซียมคารบอเนต พรอมน้ํา 1 สวน แลว ขวาง (Passing ability) พจิ ารณาจากดัชนี H2/H1
เดินเคร่ืองผสม 3 นาที เม่ือผสมคอนกรีตจนเขากันดี ท่ีไดจากการทดสอบ L-box โดยมีเกณฑมาตรฐานท่ี
แลว นําคอนกรีตท่ีไดไปทดสอบสมรรถนะการไหล ยอมรับ ไ ดและการแบง ช้ัน คุณภาพของ คุณ ส ม บัติ
ขา งตน ดงั แสดงในตารางท่ี 3
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 25
ǑǥǏǗǥǏǑˡǐǛˏ ǪǖǨLjǑˏDžƮǏǏljƮǥǏǣǥƿˣǑǃƮ˥ ǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘǘˏ džˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎˏLjǑǥǁlj 2564
2.4.1 วธิ กี ารทดสอบคา การไหลแผและ รปู ท่ี 4 การทดสอบ L-box
ระยะเวลาการไหล T500
วางแผนเหล็กบนพนื้ ทไี่ ดร ะดับและ
ใชกรวยสําหรบั การทดสอบคายบุ ตวั วางหงายให
ปลายกรวยดานแคบสัมผัสกบั แผนเหล็ก จากนั้นเท
คอนกรตี จนเต็มโดยไมตองกระทุง ใหแนน แลวยก
กรวยทดสอบข้ึนในแนวด่ิง ปลอ ยใหคอนกรตี ไหลแผ
อิสระดวยนํ้าหนักตนเอง เริม่ จับเวลาท่ีคอนกรตี ไหล
แผจนถงึ ระยะเสน ผานศนู ยกลาง 500 มม. จึงหยดุ
เวลาและบนั ทกึ เปน คา เวลาการไหล T500 จากนั้น
ปลอ ยใหคอนกรตี ไหลแผจนหยุดนิ่งดังรูปที่ 2 จึงวดั
เสนผานศนู ยก ลางของคอนกรีตทีแ่ ผออกใน 2 แนว
ท่ีตั้งฉากกัน เพือ่ หาคาการไหลแผเฉลี่ย งานวิจัยนี้
รายงานคาเฉลี่ยของคาการไหลแผแ ละระยะเวลาการ
ไหล T500 จากการทดสอบซา้ํ 3 คร้งั
รูปที่ 5 การวดั คา ผลการทดสอบ L-box
ตารางที่ 3 เกณฑม าตรฐานที่ยอมรบั ไดของผลการทด
สอบสมรรถนะการไหล EFNARC2005[1]
รูปท่ี 2 การทดสอบคาการไหลแผและระยะเวลา เกณฑม าตรฐานท่ี
การไหล T500
สมรรถนะ การ ยอมรับ
รูปท่ี 3 การทดสอบระยะเวลาไหลผา น V-funnel ทดสอบ
ความสามารถใน ชน้ั คาที่
การไหล (Flow Slump
ability) flow คุณภาพ ยอมรบั
test
ความสามารถใน Slump Slump
การไหล (Flow Slump
ability) flow test class flow
(mm)
SF1 550-650
SF2 660-750
SF3 760-850
Slump Slump
class flow (mm)
SF1 550-650
SF2
SF3 660-750
760-850
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 26
26 ǑǥǏǗǥǏǑǐˡ Ǜˏ ǪǖǨLjǑˏDžƮǏǏljƮǥǏǣǥƿˣǑǃƮ˥ ǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘǘˏ džˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎLjˏ Ǒǥǁlj 2564
ตารางที่ 3 (ตอ ) เกณฑม าตรฐานท่ยี อมรับไดของผลการทด อยางอิสระจนหยุดไหลดวยตวั เองดังรูปที่ 4 จากน้ันจงึ
สอบสมรรถนะการไหล EFNARC2005[1] วัดความสูงของระดับผิวหนาคอนกรีตท่ีตนรางและท่ี
ปลายราง เพ่ือนําไปคํานวณหาคา H1 และ H2 ดังรูปท่ี
เกณฑม าตรฐานที่ 5 งานวิจัยน้ีรายงานคาเฉล่ียของดัชนี H2/H1 ท่ีไดจาก
การทดสอบซ้ํา 3 ครงั้
สมรรถนะ การ ยอมรบั
ทดสอบ 2.4.4 วิธกี ารทดสอบกําลังรบั แรงอัด
ความสามารถใน ชน้ั คาท่ี การทดสอบหาคากําลังรับแรงอัด ได
การเตมิ แทรก T500
(Filling ability) คณุ ภาพ ยอมรับ ทําตามมาตรฐาน ASTM C39 [11] โดยใชตัวอยาง
V-funnel ทดสอบขนาดเสนผานศูนยกลาง 15 ซม. สูง 30 ซม.
ความสามารถ test Viscosity T500 time ซึ่งถอดแบบที่อายุ 24 ช่ัวโมง แลวบมในนํ้า และนํา
ไหลผานสิง่ กดี class (sec) ตัวอยางทดสอบข้ึนจากนํ้าและปลอยใหแหงในอากาศ
ขวาง (Passing L-box test 24 ช่ัวโมงกอนทดสอบท่ีอายุ 7 วัน และ 80 วัน
VS1/VF1 ≤2 นอกจากนี้ไดชั่งนํ้าหนักและวัดปริมาตรจริงของ
ability) ตัวอยางทดสอบเพ่ือหาคาความหนาแนนกอนทดสอบ
VS2/VF2 >2 กําลงั รบั แรงอัด งานวจิ ัยนีร้ ายงานคา เฉล่ียของกาํ ลังรับ
แรงอัดและความหนาแนนท่ีไดจากการทดสอบซํ้า 3
Viscosity V-funnel ตัวอยา ง
class time (sec)
VS1/VF1 3. ผลการวจิ ยั และอภิปรายผล
≤8 3.1 ความสามารถในการไหล (Flow ability)
จากรูปที่ 6 แสดงผลการทดสอบคาการไหล
VS2/VF2 9-25
แผของคอนกรีต LWASCC ทีใ่ ชเ มด็ ดนิ เหนยี วขยายตวั
Passing H2/H1 เบาเปนมวลรวมหยาบ จากรูปจะเห็นวาโดยภาพรวม
class index คอนกรีต LWASCC ท่ีผลิตขึ้น มีคาการไหลแผอยู
ในชวง 558-567 มม. เม่ือเปรียบเทียบกับตารางท่ี 3
PA1 ≥0.8 with พบวาผานเกณฑที่ยอมรับได และจัดอยูในช้ันคุณภาพ
PA2 2 bars SF1 ซง่ึ เปนชัน้ คุณภาพทมี่ ีความสามารถในการไหลแผ
ต่ําที่สุดท่ียอมรับได เหมาะแกการใชเทในงาน
≥0.8 with โครงสรางทมี่ ีเหล็กเสรมิ นอ ย หรือชิ้นสว นโครงสรางใน
แนวด่ิง เชน เสาและผนัง [12] เม่ือพิจารณาผลของ
3 bars การแทนท่ีปูนซีเมนตดวยผงแคลเซียมคารบอเนต
พบวาการแทนท่ีดวยผงแคลเซียมคารบอเนตท่ีเพิ่มขน้ึ
2.4.2 วิธกี ารทดสอบ V-funnel ทําใหคอนกรีตมีคาการไหลแผต่ําลง โดยคอนกรีต
CC50 มีคาการไหลแผตํ่าสุด เทากับ 558 มม. ขณะที่
ตั้งกลองแบนรปู ทรงวี (V-funnel) บน คอนกรีต Control ท่ีมีคาการไหลแผสูงสุด เทากับ
พื้นใหไดระดับ และปดฝาชองเปดดานลางใหสนิท 567 มม. ซ่ึงมีสาเหตุมากจากผงแคลเซียมคารบอเนต
จากน้ันนําคอนกรีตท่ีผสมเสรจ็ แลวลงใน V-funnel จน ท่ีใชในงานวิจัยน้ีมีความละเอียดสูงมาก สามารถผาน
เต็ม พรอมกับเปดฝาชองเปดดานลาง เพื่อปลอยให
คอนกรตี ไหลผานอยา งอสิ ระ ลงในภาชนะรองรับดังรูป
ที่ 3 พรอมจับเวลาตั้งแตเร่ิมปลอยคอนกรีตจนกระท่ัง
คอนกรีตไหลผานจนหมดและมองเห็นแสงลอดผาน
ดานลาง ทําการทดสอบซ้ํา 3 ครั้ง และคํานวณหา
ระยะเวลา V-funnel flow time เฉล่ียที่วัดไดจ ากการ
ทดสอบ 3 ครง้ั
2.4.3 วิธกี ารทดสอบ L-box
วางกลอ งทดสอบรปู ทรงแอล (L-box)
ชนิดที่มีเหล็กกีดขวาง 3 เสน บนพ้ืนที่ไดระดับ พรอม
ปดแผนปดกั้นการไหลใหสนิท และเทคอนกรีตที่
ผสมเสร็จแลวลงในกลอ ง L- Box ในแนวตั้งจนเตม็ โดย
ไมตองทําใหแนน จากแรงภายนอก จากนั้นเปดแผน ปด
ก้ันเพื่อใหคอนกรีตไหลผานเหล็กกีดขวางท้ัง 3 เสน
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 27
ǑǥǏǗǥǏǑǐˡ ˏǛǪǖǨLjǑˏDžƮǏǏljƮǥǏǣǥƿˣǑǃƮ˥ ǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘǘˏ džˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎLjˏ Ǒǥǁlj 2564
ตะแกรงเบอร 325 ไดมากกวารอยละ 98.5 และมี ผลการทดสอบขางตนแสดงใหเห็นวาผงแคลเซียม
พื้นที่ผิวจําเพาะถึง 6,000 ซม.2/กรัม ซ่ึงสูงกวา คารบอเนตมีอิทธิพลทําใหคอนกรีตมีความหนืดมาก
ปูนซีเมนตปอรตแลนดประเภทที่ 1 ถึง 1.73 เทา ข้ึน จึงทําใหคอนกรีตตองใชเวลาในการไหลแผถึงเสน
(3,470 ซม.2/กรัม) จึงสามารถดูดซับน้ําไวบนผิว ผานศูนยกลาง 500 มม. และระยะเวลาในการไหล
อนุภาคไดมาก คอนกรีตจึงมีความหนืดเพิ่มขึ้นและ ผาน V-funnel ยาวนานมากข้ึน ซึ่งเม่ือเปรียบเทียบ
ไหลแผไดนอยลง สอดคลองกับงานวิจัยของ พงศกร กับเกณฑมาตรฐาน EFNARC 2005 ในตารางท่ี 3
พรมสวัสดิ์ และคณะ [9] ท่ีอธิบายวาผงแคลเซียม พบวาคอนกรีตทุกสวนผสมจัดอยูในช้ันคุณภาพ
คารบอเนตมีลักษณะอนุภาครูปทรงเหล่ียมมุม และมี VS2/VF2 ซึ่งจัดเปนคอนกรีต LWASCC ที่ไหลไมเร็ว
พื้นที่ผิวจําเพาะและคารอยละการสูญเสียน้ําหนัก แตมีขอดี คือ ชวยลดแรงดันของคอนกรีตที่กระทําตอ
เน่ืองจากการเผาไหมท่ีสูง ทําใหเกิดการดูดกลืนน้ํา แบบหลอ และมีความตานทานตอการแยกตัวไดดีขึ้น
มาก สงผลใหความสามารถในการไหลของคอนกรีต เหมาะสําหรับการใชหลอชิ้นสวนโครงสรางในแนวด่ิง
SCC ต่ําลง [12]
3.2 ความสามารถในการเติมแทรกแบบหลอ รูปที่ 6 ผลการทดสอบการไหลแผ (Slumpflowtest)
(Filling ability)
รูปท่ี 7 ผลการทดสอบระยะเวลา T500
ความสามารถในการเติมแทรกแบบหลอ ใน
งานวิจัยน้ีพิจารณาจากระยะเวลาไหลแผถึงเสนผาน
ศูนยก ลาง 500 มม. หรอื T500 และระยะเวลาไหลผา น
กลองแบนรูปทรงวีในรูปที่ 7 และรูปที่ 8 ซ่ึงแสดงถึง
อัตราเร็วในการไหล (Flow rate) ของคอนกรีต
กลาวคือ คอนกรตี ทม่ี คี วามหนืดมาก จะใชเ วลาในการ
ไหลยาวนานมากขน้ึ
จากรูปท่ี 7 จะเห็นวาคอนกรีตทุกสวนผสมมี
ระยะเวลา T500 มากกวา 2 วนิ าที เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั
เกณฑท่ียอมรับไดในตารางท่ี 3 จัดอยูในชั้นคุณภาพ
VS2 โดยคอนกรีต Control มคี า T500 ต่ําท่สี ดุ คือ 2.2
วินาที เมื่ออตั ราการแทนทปี่ ูนซีเมนตดวยผงแคลเซียม
คารบอเนตเพิ่มข้ึน จะทําใหระยะเวลา T500 สูงข้ึน
ตามลําดับ และคอนกรีต CC50 มีคา T500 สูงสุด คือ
4.4 วินาที จากรูปที่ 8 จะเห็นวาคอนกรีตทุกสว นผสม
มีระยะเวลา V-funnel flow time อยูในชวง 9-25
วินาที ซ่ึงจัดอยูในช้ันคุณภาพ VF2 โดยคอนกรีต
Control มีระยะเวลาไหลผาน V-funnel ตํ่าที่สุด คือ
9.3 วินาที เมื่ออัตราการแทนที่ปูนซีเมนตดวยผง
แคลเซียมคารบอเนตเพิ่มข้ึน จะทําใหระยะเวลาไหล
ผาน V-funnel สูงข้ึนตามลําดับ และคอนกรีต CC50
มีระยะเวลาไหลผาน V-funnel สงู สดุ คอื 13.8 วินาที
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 28
28 ǑǥǏǗǥǏǑˡǐǛˏ ǪǖǨLjǑDžˏ ƮǏǏljƮǥǏǣǥƿǑˣ ǃ˥Ʈǚǥ
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘˏǘdžˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎˏLjǑǥǁlj 2564
รูปท่ี 8 ผลการทดสอบระยะเวลาไหลผา น V-funnel ปฏิกิริยาไฮเดรชั่นของปูนซีเมนต นอกจากนี้พบวา
คอนกรตี ควบคมุ และคอนกรีตทมี่ ีการแทนที่ปนู ซเี มนต
3.3 ความสามารถในการไหลผานสิ่งกดี ขวาง ดวยผงแคลเซียมคารบอเนตรอยละ 20, 35 และ 50
(Passing ability) มีคากําลังรับแรงอัดที่อายุ 7 วัน เทากับ 241, 321,
313 และ 273 กก./ซม.2 ตามลําดับ แสดงใหเห็นวา
จากรูปที่ 9 แสดงผลการทดสอบดัชนีการ คอนกรีตที่มีสวนผสมของผงแคลเซียมคารบอเนตทุก
ไหลผานสิ่งกีดขวาง H2/H1 ท่ีไดจากการทดสอบ L- อัตราสวน มีคากําลังรับแรงอัดที่อายุ 7 วัน สูงกวา
box ของคอนกรีต LWASCC ท่ีใชเม็ดดินเหนียว คอนกรีตควบคุม ในชวงรอยละ 13.3-33.2 ซ่ึงเปนผล
ขยายตัวเบาเปนมวลรวมหยาบ จากรูปจะเห็นวา จากการเติมแทรกของอนุภาคแคลเซียมคารบอเนตใน
คอนกรีตทุกอัตราสวนผสมมีคาดัชนี H2/H1 อยูในชวง ชองวางระหวางอนุภาคปูนซีเมนต (Filler effect) จึง
0.86-0.96 แสดงใหเ ห็นวา เปนคอนกรตี LWASCC ที่มี ทําใหโ ครงสรา งจุลภาคของซีเมนตเพสตในชว งอายุตน
ความสามารถในการไหลผานสิ่งกีดขวางไดดี ผาน มีความอัดแนนสูงกวาคอนกรีตควบคุม โดยคอนกรีต
เกณฑมาตรฐานท่ียอมรับไดใ นตารางที่ 3 จัดอยูในช้นั CC20 มีคากําลังรับแรงอัดท่ีอายุ 7 วันสูงที่สุด เมื่อ
คุณภาพ PA2 เมื่อพิจารณาผลของการแทนที่ พิจารณาคากาํ ลังรบั แรงอัดในระยะยาวพบวาคอนกรตี
ปูนซีเมนตดวยผงแคลเซียมคารบอเนต พบวาการ Control, CC20, CC35 แ ล ะ CC50 มี ค า กํ า ลั งรับ
แทนที่ปูนซีเมนตดวยผงแคลเซียมคารบอเนตใน แรงอัดท่ีอายุ 80 วัน เทากับ 333, 354, 326 และ
ปริมาณเพิ่มขึ้นทําใหคอนกรีตมีคาดัชนีการไหลผาน 310 กก./ซม.2 ตามลาํ ดบั จะเหน็ วาคอนกรตี CC20 มี
ส่ิงกีดขวาง H2/H1 ตํ่าลง ตามลําดับ โดยคอนกรีต คากําลังรับแรงอัดสูงสุด ซ่ึงสูงกวาคอนกรีตควบคุม
CC50 มีคา H2/H1 ตํ่าสุด คือ 0.86 ขณะที่คอนกรีต รอยละ 6.3 ขณะที่คอนกรีต CC35 และ CC50 มีคา
Control มีคา H2/H1 สูงสุด คือ 0.96 แสดงใหเห็นวา กําลังรับแรงอัดนอยลงเล็กนอย รอยละ 2.1 และ 6.9
การแทนที่ปูนซีเมนตดวยผงแคลเซียมคารบอเนตรอย ตามลําดับ เน่ืองจากคอนกรีต CC35 และ CC50 มี
ละ 50 ทําใหคอนกรีตเกิดการสญู เสียความสามารถใน อัตราการแทนที่ดวยผงแคลเซียมคารบอเนตที่สูง ทํา
การไหลผานสิ่งกีดขวาง รอยละ 10.4 ซึ่งเปนผลมา ใหเหลือปริมาณปูนซีเมนตในระบบคอนขางต่ํา สงผล
จากผงแคลเซียมคารบอเนตทมี่ ีพื้นที่ผวิ จําเพาะสูง ทํา ใหเกิดสารประกอบแคลเซียมซิลิเกตไฮเดรตนอย จึง
ใหค อนกรตี มีความหนดื มากขน้ึ จงึ สามารถไหลผานสง่ิ ทาํ ใหมคี ากําลังรับแรงอัดต่าํ ลง
กดี ขวางตา่ํ ลง [7]
รปู ท่ี 9 ผลการทดสอบการไหลผา นสงิ่ กดี ขวาง
3.4 กําลังรับแรงอัด ดวยวิธี L-box
จากรูปที่ 10 แสดงผลการทดสอบกําลังรับ
อัดของคอนกรีต LWASCC ท่ีอายุ 7 วัน และ 80 วัน
จะเห็นไดวาคากําลังรับแรงอัดของคอนกรีตท้ังหมด
เพ่ิมสูงขึ้นตามอายุทดสอบ ซ่ึงเปนผลมาจาก
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal
ǑǥǏǗǥǏǑǐˡ ˏǛǪǖǨLjǑˏDžƮǏǏljƮǥǏǣǥƿǑˣ ǃ˥Ʈǚǥ 29
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘǘˏ džˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎLjˏ Ǒǥǁlj 2564
รปู ที่ 10 ผลการทดสอบกาํ ลงั รบั แรงอัด 4. สรปุ ผลการวิจัย
จากผลการทดลอง สามารถสรุปผลการวจิ ัยไดด ังน้ี
รปู ท่ี 11 ความหนาแนน ของคอนกรตี ท่แี ข็งตวั แลว 4.1 คอนกรีต LWASCC ท่ีผลิตข้ึนในงานวิจัยน้ี มี
3.5 คา ความหนาแนน คาการไหลแผอยูในชวง 558-567 มม. จัดอยูในชั้น
รูปท่ี 11 แสดงคาความหนาแนนของ คุณภาพ SF1 มีระยะเวลา T500 มากกวา 2 วินาที และ
มีระยะเวลาไหลผา น V-funnel อยูในชวง 9-25 วินาที
คอนกรีต LWASCC ที่ใช LECA เปนมวลรวมหยาบ จดั อยูในชนั้ คุณภาพ VS2/VF2 ซ่งึ เปนคอนกรตี SCC ท่ี
จากรูปจะเห็นวาคาความหนาแนนแปรผันอยูในชวง มีความสามารถในการไหลต่ําท่ีสุดที่ยอมรับได และมี
1,817-1,933 กก./ม.3 ซ่ึงใกลเคียงกับผลการวิจัยของ ความสามารถเติมแทรกในแบบหลอไมส ูงนัก เหมาะแก
Maghsoudi และคณะ [4] ซ่ึงเปนคาความหนาแนนที่ การใชเทในงานโครงสรางที่มีเหล็กเสริมนอย หรือ
อยูในชั้นคุณภาพของคอนกรีตมวลเบาสําหรับงาน ช้ินสวนโครงสรางในแนวด่ิง และมีขอดี คือ ชวยลด
โครงสราง (Structural lightweight concrete) [3] แรงดันของคอนกรีตที่กระทําตอแบบหลอ และมีความ
นอกจากนี้พบวาการแทนท่ีปูนซีเมนตด วยผงแคลเซยี ม ตานทานตอการแยกตวั ไดดขี ้นึ
คารบอเนต ไมทําใหคาความหนาแนนของคอนกรีต
แตกตางจากตัวอยางควบคุมอยางชัดเจน ในขณะที่คา 4.2 การแทนที่ปูนซีเมนตดวย ผงแคลเซียม
ความหนาแนนที่อายุ 80 วัน มีคาต่ํากวาอายุ 7 วัน คารบอเนต ทําใหคอนกรีต LWASCC มีสมรรถนะใน
เล็กนอย ซึ่งอาจเปนผลมาจากความช้ืนภายในกอน การไหลโดยรวมตํ่าลง โดยคาการไหลแผและดัชนีการ
ตัวอยางทดสอบทีแ่ ตกตางกนั ไหลผาน L-box ตํ่าลง ในขณะที่ใชเวลาในการไหลแผ
ถึงเสนผานศูนยกลาง 500 มม. (T500) และเวลาในการ
ไหลผาน V-funnel เพ่ิมขึ้นตามปริมาณผงแคลเซียม
คารบอเนต แสดงถึงคอนกรีตมีความหนืดมากข้ึน
เนื่องจากอิทธิพลของความละเอียดของผงแคลเซียม
คารบอเนต
4.3 คอนกรีต LWASCC ท่ีมีสวนผสมของผง
แคลเซยี มคารบ อเนตทุกอตั ราสว น มีคา กําลงั รับแรงอัด
ท่ีอายุ 7 วัน สูงกวาคอนกรีตควบคุม และคอนกรีตซึ่ง
แทนที่ปูนซีเมนตดวยผงแคลเซียมคารบอเนตรอยละ
20 มีคากําลังรับแรงอัดสูงสุด ทั้งท่ีอายุ 7 วัน และ 80
วัน และเม่ือใชผงแคลเซียมคารบอเนตในอัตราสวนที่
มากข้ึน ทําใหคากําลงั รับแรงอัดมีแนวโนม ตาํ่ ลง ดังนั้น
อัตราการแทนที่ปูนซีเมนตดวยผงแคลเซียมคารบอรเนต
ไมค วรเกินรอยละ 20
กิตตกิ รรมประกาศ
ขอขอบคุณ บริษัทสุรินทร ออมยา เคมิคอล
(ประเทศไทย) จํากัด บริษัทไซมีส อีโคไลท จํากัด และ
บริษัท จีซีพี แอพพลาย เทคโนโลยี (ประเทศไทย)
จํากัด ท่ีใหค วามอนุเคราะหวัสดุที่ใชในงานวิจัยนี้
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 30
30 ǑǥǏǗǥǏǑˡǐˏǛǪǖǨLjǑDžˏ ƮǏǏljƮǥǏǣǥƿˣǑǃ˥Ʈǚǥ [7] G. Sua-iam and N. Makul. “Utilization
of limestone powder to improve the
Ǚˤdžˣ˒ 5 Ǖǘǘˏ džˣ˒ 2 ƮǏƮƵǥǁlj - ǎˏLjǑǥǁlj 2564 properties of self-compacting
concrete incorporating high volumes
เอกสารอา งองิ of untreated rice husk ash as fine
[1] EFNARC 2005. “The European aggregate”. Construction and Building
Guidelines for Self-Compacting Materials, 38, pp.455-464, 2013.
Concrete. Free pdf copy
downloadable from [8] W. John, A.O. Oghenekume, T.L.
<http://www.efnarc.org>. Zahemen, “Effect of calcium
[2] ธนธรณ คมั ภรี ย ิ่งเจรญิ และ มงคล carbonate filler on self-compacting
นามลักษณ, “อทิ ธพิ ลของเถา ชวี มวลจาก concrete using different aggregate
โรงไฟฟา ตอ การเกิดความรอ นและการหด sizes”. European Journal of
ตัวของคอนกรตี ชนิดอดั แนนไดดว ยตัวเอง”, Engineering Research and Science, 4,
วารสารวจิ ยั และนวัตกรรมการอาชีวศึกษา, pp.9-16, 2019.
ปท ่ี 4, พ.ศ.2564, หนา 159-167.
[3] K.H. Yang, G.H. Kim, and Y.H. Choi. "An [9] พงศกร พรมสวัสดิ์, บรุ ฉัตร ฉัตรวรี ะ, และ
initial trial mixture proportioning กฤษดา เสือเอี่ยม, “สมบตั ิของคอนกรตี ไหล
procedure for structural lightweight อดั แนนดว ยตวั เองผสมรว มผงแคลเซียม
aggregate concrete". Construction and คารบ อเนตและเถาลอย”, วศิ วกรรมสารฉบับ
Building Materials, 55, pp. 431-439, วิจัยและพฒั นา, ปท ่ี 31, พ.ศ. 2563, หนา
2014. 11-22.
[4] A.A. Maghsoudi, Sh. Mohamadpour,
and M. Maghsoudi. “Mix design and [10] Thai Industrial Standard Institute. "TIS
mechanical properties of self- 15: 2555 Thai standard for Portland
compacting light weight concrete”. cement: Part I specification". TISI,
Int. J. Civ. Eng. 9(3), pp.230–236, 2011. 2012.
[5] ปานปรยี า ขาวเถิน, นบิ สั ซมั เดะแอ และ
มงคล นามลักษณ, “อิทธพิ ลของเมด็ ดนิ [11] ASTM C39 / C39M-21, “Standard Test
เหนียวขยายตวั เบาตอคุณสมบัตขิ อง Method for Compressive Strength of
คอนกรตี ท่ีมคี วามสามารถเทไดสงู ”, วารสาร Cylindrical Concrete Specimens”.
วจิ ัยและนวัตกรรมการอาชวี ศึกษา, ปท ่ี 5, ASTM International, West
พ.ศ.2564, หนา 159-167. Conshohocken, PA, 2021,
[6] J. Alexandre Bogas, Augusto Gomes, www.astm.org
and M.F.C. Pereira, “Self-compacting
lightweight concrete produced with [12] G. De Schutter, P. Bartos, P. Domone,
expanded clay aggregate”. J. Gibbs. Self-compacting concrete.
Construction and Building Materials, Whittles Publishing, Caithness, 2008.
35, pp.1013–1022, 2012.
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 31
วารสารวิจัยและนวตั กรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
การพฒั นาร้วั ซีเมนต์มอร์ตา้ ร์สาเร็จรปู
A DEVELOPMENT OF A READY-MADE CEMENT MORTAR FENCE
พชั ร ออ่ นพรม1*, วนิ ัย ชัยเพชร2 และ เมสิณี นิลทะวชั 3
Patchara Onprom1* , Vinai Chaiphet2 , and Mesinee Nintavat3
*1สาขาวิชาเทคโนโลยีโยธา วทิ ยาลัยเทคนคิ หนองคาย สถาบนั การอาชวี ศึกษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ 1 จงั หวดั หนองคาย 43000
*1Field of Civill Technology, Nongkhai Technical College, Institute of Vocational Education : Northeastern Region 1,
Nongkhai 43000
Received : 2021-05-03 Revised : 2021-05-20 Accepted : 2021-05-20
บทคดั ยอ่ และ 10 วัน ตามลาดับ สาหรับราคาวัสดุและค่าแรง
จุดประสงค์ของโครงการพิเศษด้านเทคโนโลยี ในการก่อสร้างพบว่า ร้ัวอิฐมอญมีราคาวัสดุและ
ค่าแรงมากที่สุด โดยมีค่าเท่ากับ 10,035 บาท
ก่อสร้างนี้เพ่ือพัฒนาร้ัวซีเมนต์มอร์ต้าร์สาเร็จรูป รองลงมาได้แก่ ร้ัวอิฐบล็อก และรั้วซีเมนต์มอร์ตาร์
สาหรับบ้านพักอาศัยขนาดเล็ก เพ่ือนาข้อมูลจาก สาเร็จรูป โดยมีค่าเท่ากับ 8,588 และ 4,945 บาท
การศกึ ษาทีไ่ ดใ้ ชเ้ ป็นแนวทางการพัฒนา ปรับปรงุ และ ตามลาดับ
แก้ไขคุณภาพงานก่อสร้างร้ัวด้วยระบบโครงสร้าง คาสาคัญ : กาลังรับแรงอัด,ความหนาแนน่ ,ระยะเวลาการ
สาเร็จรูป โดยออกแบบชิ้นส่วนโครงสร้างรั้วสาเร็จรูป
โดยใช้เสาขนาด 30 x 30 x 3 เซนติเมตร ภายในกลวง กอ่ สร้างอฐิ
ระยะห่างระหว่างศูนย์กลางถึงศูนย์กลางเสาเท่ากับ 2
เมตร สงู 1.60 ม. โดยเสาหน่งึ ต้นแบง่ ออกเปน็ 2 ท่อน Abstract
ยาวท่อนละ 80 ซม. กาแพงตรงกลาง สูง 60 ซม. The purpose of this construction
กว้าง 1.70 ม. แบ่งออกเป็น 6 ท่อน สูงท่อนละ 30
ซม. ยาวท่อนละ 85 ซม. ทาการทดสอบกาลังรับ project were to develop a ready- made
แรงอัดและความหนาแน่น ท่ีอายุ 7 และ 28 วัน cement mortar fence for small homes and to
ระยะเวลาการก่อสร้าง ราคาการก่อสร้างในเรื่องค่า use information from the study as a guideline
วัสดุและค่าแรงในการก่อสร้าง เปรียบเทียบกับการ for development and improve the quality of
สร้างร้ัวที่ใช้อิฐบล็อกและอิฐมอญเป็นวัสดุในการ fence construction work by prefabricated
ก่อสร้าง ผลการทดสอบพบว่า กาลังรับแรงอัดและ structure. The fence structure is designed as
ความหนาแน่นของมอร์ต้าร์ ท่ีอายุ 7 และ 28 วัน follows: 30 x 30 x 3 cm. The distance between
มีค่าเท่ากับ 212, 326 กก./ตร.ซม. และ 1692, 1658 poles is 2 m, 1. 60 m high, with one pillar
กก./ลบ.ม. ตามลาดับ ในขณะท่ีระยะเวลาในการ divided into 2 pieces of 80 cm each, 60 cm
ก่อสร้างพบว่า รั้วซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูปมีระยะใน wide, 1. 70 m high, divided into 6 sections,
การก่อสร้างน้อยท่ีสุด รองลงมาได้แก่ร้ัวอิฐบล็อกและ each section is 30 cm high, 85 cm long. A
รั้วอิฐมอญ โดยมีระยะเวลาในการกอ่ สร้างที่ 4, 9, project was tested for compressive strength
and density at the ages of 7 days and 28 days,
*พชั ร อ่อนพรม duration of construction, Materials and labor
Eแ-ลmะail1: 0Civวilันmaตnา25ม1ล7า@ดgmบั aสil.cาoหmรบั ราคาวสั ดุและคา่ แรง
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 32
32 วารสารวจิ ัยและนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
cost in construction compared with building ล้าหน้ามักจะก่อให้เกิดปัญหาสภาวะโลกร้อนตามมา
fences using brick blocks and clay brick as a ซึ่งส่งผลโดยรวมมาจากการใช้พลัง งาน แ ล ะ
construction material. The results showed ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลือง จนก่อให้เกิด
that compressive strength and mortar วิกฤตการณ์ทางธรรมชาติและยังส่งผลกระทบต่อ
densities at 7 and 28 days were 212.02, 325.62 ความผันผวนของกระแสเศรษฐกิจโลกอีกด้วย จาก
kg/ cm2 and 1692. 26, 1746. 33 kg / m3, เหตุดังกล่าวส่งผลให้ธุรกิจงานก่อสร้างด้วยระบบ
respectively, the duration of construction for โครงสร้างสาเร็จรูปมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วและมี
the ready- made cement mortar fence was แนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เน่ืองจากช่วยลด
minimum, compared to brick block and clay ต้นทุนการก่อสร้างและระยะเวลาการทางานให้
brick fence; 4, 9, and 10 days, respectively. For ผู้ประกอบการ ตอบสนองความต้องการท่ีเพิ่มข้ึนของ
the price of materials and labor cost in the ลูกคา้ ในด้านของราคา การพร้อมอยู่ และคณุ ภาพของ
construction, clay brick fence was the most งาน [2]
expensive at 10,035 baht. The brick block
fence and cement mortar ready- made fence มอร์ต้าร์ (Mortar) เป็นอัตราส่วนระหว่าง
were 8,588 and 4,945 baht, respectively. ปูนซีเมนต์ ทราย และน้า ซึ่งเป็นวัสดุหลักท่ีใช้ในงาน
Keywords : Compressive Strength, Density, ด้านวิศวกรรมโยธาควบคู่กับการใชค้ อนกรีตโดยทั่วไป
จะใช้ในงานฉาบผนังอาคาร เคลือบผิวโครงสร้าง งาน
Duration of Construction, Brick เทปรับระดับพื้นผิวคอนกรีต หรืองานท่ีไม่ต้องการ
ความสามารถในการรบั กาลงั มากนกั [3]
1. บทนา
ร้ัวเป็นที่ได้รับความนิยมต่อเน่ืองมาเป็นเวลานาน จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น คณะผู้จัดทาจึงมี
แนวคิดท่ีจะพัฒนาร้ัวซีเมนต์มอร์ต้าร์สาเร็จรูปสาหรับ
โดยใช้บ่งบอกถึงขอบเขตความเป็นเจ้าของ และยัง บ้านพักอาศัยขนาดเล็ก เพ่ือช่วยลดความสูญเสียใน
เปน็ การปอ้ งกันผู้บุกรุกเข้ามาในเขตที่ดนิ อีกทัง้ ยังเปน็ ขั้นตอนการปฏิบัติงานและควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้าง
การบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ และรสนิยมของผู้ท่ีเป็นเจ้า นอกจากน้ี ยังสามารถนาความรู้เร่ืองการสร้างร้ัว
ของบ้าน โดยทั่วไปการก่อสร้างร้ัวจะใช้อิฐเป็นวัสดุ ซีเมนต์มอร์ต้าร์สาเร็จรูปไปเผยแพร่แก่ชุมชนใน
หลกั ในการทางาน ซงึ่ รวั้ ทีใ่ ชอ้ ิฐเป็นตวั วัสดุต้องใช้เวลา ทอ้ งถน่ิ ต่อไป
ในการปฏิบัติงานจึงส่งผลโดยตรงกับค่าแรงงาน และ
เมอ่ื มีสภาพอากาศทแ่ี ปรปรวนก็จะทาให้งานลา่ ช้ากว่า 2. วตั ถปุ ระสงค์ของโครงการ
กาหนดการตามแผนงานทีว่ างไว้ 2.1 ศึกษากาลังรบั แรงอัด และความหนาแนน่ รวั้
ระบบการก่อสร้างในประเทศไทยพบว่ายังคงมี ซเี มนตม์ อรต์ า้ ร์สาเร็จรูป
ปัญหาอยู่มากอาทิเช่น ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน 2.2 ศึกษาระยะเวลาการกอ่ สรา้ ง คา่ วสั ดุและ
วัสดุก่อสร้างมีราคาแพง ต้นทุนและค่าขนส่งท่ีสูงข้ึน
ตามราคาน้ามัน รวมถึงแนวโน้มการเกิดภัยพิบัติทาง คา่ แรง การกอ่ สรา้ งรว้ั ซเี มนตม์ อร์ตา้ ร์สาเร็จรูปเปรียบ
ธรรมชาติที่เราไมอ่ าจคาดการณ์ได้ ดังน้ันช่องทางการ เทียบกบั รวั้ อฐิ มอญและอฐิ บล็อก
แก้ไขปัญหาดังกล่าวคงหนีไม่พ้นความเจริญก้าวหน้า
ทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นการพัฒนาที่มักจะสวน 3. วิธีดาเนนิ โครงการ
ทางกับกระแสอนุรกั ษ์โลก ด้วยเหตุผลทีว่ า่ ความเจริญ 3.1 วัสดแุ ละอปุ กรณข์ องโครงการ
3.1.1 ใช้เสาขนาด 30 x 30 x 3 เซนติเมตร
ภายในกลวง ระยะห่างระหวา่ งศูนยก์ ลางถงึ ศนู ย์กลาง
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 33
วารสารวิจยั และนวัตกรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
เสาเท่ากบั 2 เมตร สงู 1.60 เมตร ดา้ นขา้ งตรงกลาง 3) การทดสอบระยะเวลาในการ
ทาเปน็ รอ่ งลึก 3 เซนตเิ มตร กวา้ ง 10 เซนติเมตร ไว้ กอ่ สรา้ ง
สาหรบั ใสต่ วั ลอ็ คกาแพง โดยเสาหนงึ่ ตน้ แบง่ ออกเปน็
2 ท่อน ยาวทอ่ นละ 80 เซนตเิ มตร คณะผู้ศึกษาวิจัยจานวน 2 คน ดาเนินการ
กอ่ สรา้ งร้วั ซีเมนต์มอรต์ าร์สาเรจ็ รูปดว้ ยตนเอง โดยทา
3.1.2 กาแพงตรงกลาง สูง 60 เซนตเิ มตร การจับเวลาในการปฏิบัติงานก่อสร้างต้ังแต่เร่ิมต้นจน
กว้าง 1.70 เมตร แบง่ ออกเป็น 8 ท่อน ขนาด 40 แล้วเสร็จ เปรียบเทียบกับระยะเวลาการก่อสร้างรั้วท่ี
x 42.5 x 3 ลูกบาศก์เซนติเมตร ใช้รั้วอิฐบล็อกและอิฐมอญเป็นวัสดุก่อสร้าง (รูปที่ 1
A-D)
3.1.3 ตัวล็อคด้านบนและด้านล่าง ขนาด
ยาว 1.70 เมตร หนา 10 x 10 เซนติเมตร มีเดือยยื่น (A) การหลอ่ เสารวั้ (B) นาคานลอ็ กดา้ นลา่ ง
ออกมาข้างละ 1.50 เซนติเมตร ตรงกลางทาเป็นร่อง ประกอบเขา้ กบั เสา
ลกึ 5 เซนตเิ มตร กวา้ ง 4 เซนตเิ มตร เดอื ย 2 ข้างหนา
2.5 เซนติเมตร ตัวล็อคด้านบนเจาะรเู พ่ือทจ่ี ะใสเ่ หลก็ (C) เทมอร์ต้ารเ์ ป็น (D) ประกอบตัวประสาน
ขนาด 1 x 1 นิ้ว ระยะห่างจากจุดศูนย์กลางเหล็ก 10 ชนิ้ ส่วนเสา
เซนตเิ มตร
รูปที่ 1 ข้นั ตอนการก่อสรา้ งร้ัวมอร์ต้าร์สาเร็จรูป
3.2 ข้นั ตอนการดาเนินงาน
3.2.1 ศึกษาขอ้ มูลรั้วเพื่อใช้ประกอบการ 4) การทดสอบค่าวสั ดแุ ละคา่ แรงใน
การกอ่ สรา้ ง
ออกแบบและเขียนแบบรั้วซีเมนต์มอร์ต้ารส์ าเรจ็ รปู
คณะผู้วจิ ยั ไดศ้ กึ ษาขอ้ มูลเบ้อื งตน้ โดยการ คณะผศู้ กึ ษาวจิ ัยทาการประมาณราคา
ก่อสร้างของรั้วซีเมนต์มอร์ตา้ ร์สาเร็จรูป ร้วั อฐิ บล็อก
สารวจรั้วบา้ นพักอาศัยขนาดเลก็ ในเขตพืน้ ท่อี าเภอ และร้วั อิฐมอญ โดยแบง่ ออกเปน็ 2 ส่วน ดงั นี้
เมอื ง จงั หวัดหนองคาย เพื่อหาขอ้ มลู เกีย่ วกบั ขนาด
และรูปร่างใช้ประกอบการออกแบบและเขยี นแบบรั้ว 4.1) ค่าวัสดกุ ่อสรา้ ง ดาเนนิ การ
ซีเมนตม์ อร์ตาร์สาเร็จรปู ประมาณราคาคา่ วสั ดุจากรปู แบบรั้วขนาดเดยี วกนั
โดยอ้างองิ ราคาวัสดุภายในเขตพนื้ ที่จังหวัดหนองคาย
3.2.2 การออกแบบและเขยี นแบบ จากกรมบญั ชีกลาง กระทรวงพาณชิ ย์ พ.ศ. 2560 [5]
จากข้อมูลในหวั ขอ้ 2.1 คณะผจู้ ดั ทา
4.2) ค่าแรง โดยท่ีซีเมนต์รั้วมอร์
ได้ทาการออกแบบและเขียนแบบร้ัวซเี มนต์มอร์ตาร์ ต้าร์สาเร็จรูปใช้ระยะเวลาจากการปฏิบัติงานก่อสร้าง
สาเรจ็ รูป โดยแยกเปน็ ชน้ิ สว่ นตา่ งๆ ประกอบดว้ ย เสา
คาน และผนงั โดยใชโ้ ปรแกรม Auto CAD เวอรช์ นั
2013
3.2.3 อตั ราสว่ นผสม
สาหรับอัตราสว่ นผสมซเี มนต์มอร์ตาร์
สาหรับงานวจิ ัยในครัง้ น้ีคือ อัตราส่วนปูนซเี มนต์ต่อ
ทรายเทา่ กบั 1:1 และใชอ้ ตั ราสว่ นนา้ ต่อปูนซเี มนต์
เทา่ กับ 0.5
3.2.4 หัวข้อการทดสอบ
1) การทดสอบกาลังรับแรงอดั ซีเมนต์
มอร์ตาร์ ตามมาตรฐาน ASTM C 109 [4]
2) การทดสอบความหนาแนน่
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 34
34 วารสารวจิ ยั และนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
จริงเพ่ือนามาคิดค่าแรงงาน ในขณะที่ร้ัวอิฐบล็อกและ มาตรฐานงานทางสาหรบั องคก์ ารปกครองสว่ นทอ้ งถน่ิ
รั้วอิฐมอญ ใช้วิธีการสอบถามช่างผู้รับเหมาก่อสร้าง ทก่ี าหนดใหก้ าลงั รบั แรงอดั ของคอนกรีตท่ีอายุ 28 วนั
เกีย่ วกบั ขั้นตอนและระยะเวลาในการทางาน ประกอบ ไมน่ อ้ ยกว่า 280 กก./ตร.ซม. [7]
กับการศึกษาข้ันตอนการวางแผนงานก่อสร้างจาก
หนงั สอื ทีเ่ กีย่ วขอ้ งกบั การบริหารงานก่อสรา้ ง [6] 4.4 ผลการทดสอบความหนาแนน่
ผลการทดลองความหนาแนน่ ซีเมนต์มอรต์ าร์
4. ผลการดาเนนิ โครงการ
4.1 ขอ้ มลู ทใี่ ชใ้ นการออกแบบจากการสารวจ ที่อายุ 7 และ 28 วัน พบว่า ค่าความหนาแน่นมีค่า
จากการสารวจรั้วบ้านพักอาศัยขนาดเล็กใน ใกล้เคียงกัน โดยมีค่าความหนาแน่นทีอ่ ายุ 7 และ 28
วัน เท่ากับ 1,692 และ 1,658 กก./ลบ.ม. ตามลาดับ
เขตพื้นที่อาเภอเมือง จังหวัดหนองคายพบว่า การ ซึ่งค่าความหนาแน่นดังกล่าวเบากว่าคอนกรีตเสริม
ก่อสร้างรั้วโดยทั่วไปมีขนาดความกว้าง 2.00 เมตร เหลก็ โดยท่วั ไปท่มี นี า้ หนักประมาณ 2,400 กก./ลบ.ม.
และ สูง 1.60 เมตร ซึ่งผู้จัดทาโครงการจะใช้ข้อมูลน้ี [8]
เ ป็ น ตั ว ก า ห น ด ใ น ก า ร อ อ ก แ บ บ แ ล ะ เ ขี ย น แ บ บ รั้ ว
ซเี มนต์มอรต์ ารส์ าเรจ็ รูป 4.5 ผลการศึกษาระยะเวลาในการก่อสรา้ ง
ผลการศึกษาระยะเวลาในการก่อสร้างร้ัวใน
4.2 การออกแบบและเขยี นแบบ
จากข้อมลู ในหวั ขอ้ 5.1 คณะผจู้ ดั ทาไดท้ าการ รูปแบบตา่ ง ๆ (รั้วอิฐบล็อก ร้ัวอิฐมอญ และรั้วซเี มนต์
มอรต์ ้าร์สาเรจ็ รปู ) จากการปฏิบัตงิ านก่อสรา้ งจริงโดย
ออกแบบและเขียนแบบรั้วซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูป ใช้มาตรส่วนเดียวกัน และผู้ปฏิบัติงานจานวน 2 คน
โดยแยกออกเป็นชิ้นส่วนประกอบด้วย เสา คาน และ เหมือนกัน พบว่า ร้ัวซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูปมีระยะ
ผนัง โดยใช้โปรแกรม Auto CAD เวอร์ชัน 2013 ดัง ในการก่อสร้าง 4 วัน ในขณะท่ีรั้วอิฐบล็อกและรั้วอิฐ
แสดงในรปู ท่ี 2 มอญ ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง 9 และ 10 วัน
ตามลาดบั ดงั แสดงในรปู ท่ี 3
15 ระยะเวลาการกอ่ สรา้ งระยะเวลาก่อส ้ราง (วัน)
รูปท่ี 2 แบบรัว้ มอรต์ า้ ร์สาเร็จรปู 10
4.3 ผลการทดสอบกาลงั รบั แรงอัด 5
ผลการทดลองกาลังรับแรงอัดของร้ัวซีเมนต์
0
มอรต์ าร์สาเร็จรปู ที่อายุ 7 วันและ 28 พบวา่ กาลงั อัด
ของก้อนมอร์ตาร์ ท่ีอายุ 7 และ 28 วัน มีค่าเฉลี่ย รปู ที่ 3 ระยะเวลาการก่อสร้างร้ัวแบบตา่ ง ๆ
เท่ากับ 212 และ 326 กก./ตร.ซม. ตามลาดับ ซ่ึง
กาลังรับแรงอัดของรั้วรั้วซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูปที่ 4.6 ผลการศึกษาค่าวัสดุและค่าแรงที่ใช้ในการ
อายุ 28 วัน ดังกล่าว สูงกว่ามาตรฐานกาลังรับแรงอัด ก่อสรา้ ง
ของถนนคอนกรีตเสริมเหล็กภายในหมู่บา้ น ตามแบบ
ผลการศึกษาราคาวัสดุและค่าแรงในการ
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2 ก่อสร้างร้ัวซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูป ร้ัวอิฐบล็อกและ
รั้วอิฐมอญ จากการบันทึกรายการวัสดุและค่าแรงต่อ
วันจากปฏิบัติงานจริงพบว่า รั้วอิฐมอญมีราคาวัสดุ
และค่าแรงทใี่ ชใ้ นการกอ่ สร้างสงู ท่ีสุด รองลงมาได้แก่
Vocational Education Innovation and Research Journal
วารสารวิจยั และนวัตกรรมการอาชวี ศกึ ษา 35
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
ร้ัวอิฐบล็อกและรั้วซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูป โดยมี เอกสารอา้ งองิ
ราคาวัสดุและค่าแรงในการก่อสร้างต่อหนึ่งช่วงเสา [1] คมกฤช ชเู กยี รตมิ ั่น. 2561. กฎหมายควรรู้
เท่ากับ 10035, 8588, และ6145 บาท ตามลาดับ เม่อื จะกอ่ สร้างหรอื ดัดแปลงบา้ น.
ดังแสดงในรูปท่ี 4 www.scgbuildingmaterials.com. [สืบค้น
วันท่ี 30 พฤษภาคม 2561].
10,000.00 ราคาวัสดุและค่าแรงทใ่ี ช้ในการกอ่ สรา้ ง [2] บรษิ ทั ณุศาศิริ จากัด(มหาชน). 2561. ปจั จัย
ความเส่ียงในการดาเนนิ ธรุ กจิ ก่อสรา้ ง
ราคาก่อสร้าง (บาท)8,000.00 www.nusa_th.listedcompany.com.
[สบื คน้ วนั ท่ี 30 พฤษภาคม 2561].
6,000.00 [3] ศตวรรษ หฤหรรษพงศ์ ทวชิ พลู เงนิ และ
สมชาย ชชู พี สกลุ . 2554. ปีท่ี 34 ฉบบั ที่ 3.
4,000.00 กาลงั อดั และโครงสร้างจลุ ภาคของซีเมนต์
มอรต์ า้ ร์ผสมนาโนซลิ กิ า. วารสารวจิ ยั และ
2,000.00 พฒั นา มหาวทิ ยาลัยพระจอมเกลา้ ธนบุร.ี
[4] ASTM C 109. 1997. Standard Test
0.00 Method for Compressive Strength of
Hydraulic Cement Mortar. ASTM Book
รว้ั มอรต์ ารส์ าเรรจ็ วั้ อิฐบลอ็ ก รวั้ อิฐมอญ of Standard. 4(1): 71-75.
[5] กระทรวงพาณิชย.์ 2560. ราคากลางวัสดุ
รปู ท่ี 4 ราคาวัสดุและค่าแรงกอ่ สร้างรว้ั แบบตา่ ง ๆ กอ่ สร้าง. www.indexpr.moc.go.th.
[สบื คน้ วันท่ี 15 ธันวาคม 2560].
5. สรุปผลการดาเนนิ โครงการ [6] กวี หวังนเิ วศนก์ ุล. 2552. การบริหารงาน
5.1 ร้ัวซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูปมีกาลังรับแรงอัด วศิ วกรรมก่อสรา้ ง. พิมพค์ ร้งั ที่ 1.
กรุงเทพมหานคร. สานักพิมพ์ บริษทั ซเี อด็ -
และความหนาแน่น ทส่ี ามารถนาไปใชง้ านได้จรงิ ยูเคชนั จากัด(มหาชน).
5.2 ร้ัวซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูป มีระยะเวลาใน [7] กรมทางหลวงชนบท 2556. แบบมาตรฐาน
งานทางสาหรับ อปท.
การก่อสรา้ งนอ้ ยกว่ารั้วอิฐบล็อก และร้วั อฐิ มอญ www.yotathai.com.
5.3 ร้ัวซีเมนต์มอร์ตาร์สาเร็จรูปมีราคาค่าวัสดุ [สบื คน้ วนั ท่ี 20 พฤษภาคม 2564].
[8] กวี หวังนิเวศนก์ ุล. 2562. การออกแบบ
และค่าแรงในการก่อสร้างน้อยกว่า ร้ัวอิฐบล็อก และ โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก.
ร้ัวอิฐมอญ กรงุ เทพมหานคร. สานักพิมพ์ บรษิ ทั ซีเอด็ -
ยเู คชัน จากัด(มหาชน).
6. ขอ้ เสนอแนะ
6.1 ผลการดาเนนิ โครงการครั้งน้เี ป็นเพยี งข้อมูล
เบอ้ื งตน้ เก่ียวกบั แนวทางการนาซเี มนต์มอรต์ าร์มาทา
เปน็ รวั้ สาเรจ็ รปู จึงควรทาการศกึ ษาวิจยั คณุ สมบัติใน
ดา้ นอื่น ๆ เพมิ่ เตมิ เพ่อื ความมน่ั ใจในการนาไปใชง้ าน
ไดจ้ รงิ
6.2 เพ่มิ ระยะเวลาทดสอบ เพื่อดูพฤตกิ รรมการ
ใช้งานในระยะยาว
6.3 ออกแบบลกั ษณะของร้วั ให้มรี ปู แบบที่แปลก
ใหม่และประหยัดวสั ดุมากกว่านี้
6.4 ออกแบบช้ินสว่ นสาเร็จรูปให้มากช้นิ กวา่ นี้
เพอื่ ความสะดวกในการถอดแบบ
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 36
36 วารสารวิจยั และนวัตกรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
อปุ กรณว์ งจรบทู แรงดนั ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อใหแ้ รงดันไฟฟา้ ทอ่ี นิ เวอรเ์ ตอร์ขบั มอเตอร์
DC Voltage Boot Circuit Device to Enable the Voltage
on the Inverter Motor Driving
ธนพล แกว้ คาแจ้ง1*, วกร สีสัมฤทธ์ิ2, ปริญญา โพธหิ ลา้ 3 และ พนมเดช นพอาจ4
Thanapon Keokhumcheng1*, Waworn Seesumrit2, Prarinya Phpthila3 and Phanomdet Noppaart4
*1234สาขาวิชาเทคโนโลยีอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ วทิ ยาลยั เทคนิคหนองบวั ลาภู สถาบันการอาชวี ศึกษาภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื 1 จงั หวัดหนองคาย 43000
*1234Field of Electronic Technology, Nongbualumphu Technical College, Institute of Vocational Education : Northeastern Region 1,
Nongkhai 43000
Received : 2021-05-01 Revised : 2021-06-05 Accepted : 2021-06-10
บทคดั ย่อ มอเตอร์ อยู่ในระดับมาก มีค่าสถิติดังนี้ ( X =4.73,
การวิจัยครั้งนมี้ ีความมุ่งหมายเพ่ือสรา้ งอปุ กรณ์ S.D. =0.65)
วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดัน Abstract
ไฟฟา้ ท่อี นิ เวอรเ์ ตอร์ขับมอเตอร์ โดยการควบคุมระดบั This research aims to create a DC
แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าไฟฟ้าตรงด้วยบอร์ดไมโคร
คอนโทรลเลอร์ตระกูลอาดูโน่นาโน แล้วทาการศึกษา voltage boot circuit device to provide the
ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ ใ น ก า ร ใ ช้ ง า น เ พื่ อ ใ ห้ แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า ท่ี voltage at the inverter for motor driving by
อินเวอรเ์ ตอร์ขับมอเตอรท์ ่ีได้ออกแบบไว้ ให้มีค่าระดับ controlling the DC voltage level with micro
แรงดันเอาต์พุตคงที่อยู่ที่ระดับแรงดันไฟฟ้ากระแส controller Arduino NANO. In addition, a study
ไฟฟ้าไฟฟ้าตรง 300 โวลต์ โดยที่จะทาการปรับระดบั of satisfaction Satisfied in use was conducted.
รักษาแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเอาท์พุตให้คงที่ To provide the designed motor drive voltage
ตลอดการใช้งาน ในขณะท่ีแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า keep the output voltage level constant at the
ตรงที่อินพุตอาจมีระดับแรงดันไม่คงที่ หรือ มีระดับ pressure level DC 300 volts, which will adjust
แรงดันอินพุตมีขนาดต่ากว่า 100 โวลต์ อุปกรณ์วงจร the level to keep the output DC voltage
บูทแรงดนั ไฟฟ้ากระแสไฟฟา้ ตรงเพ่อื ให้แรงดนั ไฟฟ้าท่ี constant throughout use. While the DC
อินเวอร์เตอร์ขบั มอเตอรจ์ ะหยุดทางาน voltage at the input may be unstable or the
input voltage level is less than 100 volts. The
งานวิจัยน้ีจะเป็นการหาความพึงพอใจของ DC voltage boot circuit device to provide
อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้ voltage to the inverter. Drive motor will stop
แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า ที่ อิ น เ ว อ ร์ เ ต อ ร์ ขั บ ม อ เ ต อ ร์ โ ด ย มี ผ ล working.
ออกมาในการทดลองใช้งานของโครงการ การศึกษา
และหาความพึงพอใจอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้า This research found the satisfaction of
กระแสไฟฟ้าตรงเพือ่ ใหแ้ รงดนั ไฟฟ้าท่ีอินเวอรเ์ ตอรข์ บั the DC voltage boot circuit device to provide
the voltage at the inverter to drive the motor.
คE*าธ-สmนาaพคilลญั: kแpก:oว้nอgคนิtาhเแaวnจอaง้ รpเ์oตnอokร@์มgอmเaตilอ.cรo์m,.ความพงึ พอใจ The results came out in the trial work of the
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 37
วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชีวศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
project; education and satisfaction are in good จึงได้ศึกษาระบบการชดเชยการลดทอนประสิทธภิ าพ
level ( X = 4.73, S.D.= 0.65) การผลิตกระแสไฟฟ้า ที่เกิดข้ึนในกระบวนการผลิต
Keywords : Inverter Motor, Satisfaction ดังกล่าว โดยการศึกษาและออกแบบการทางานจาก
การใช้อุปกรณ์เพาเวอร์อิเล็กทรอนิกส์ควบคุมด้วย
1. บทนา ไมโครคอนโทรลเลอร์ควบคุมการจ่ายไฟให้กับไมโคร
1.1 ที่มาและความสาคญั สวิตซิ่ง (Micro Switching) เพื่อรักษาระดับแรงดัน
พลงั งานทดแทนหรอื พลงั งานสะอาด เปน็ อีก ไฟฟา้ ท่ีลดทอนประสิทธิภาพการผลติ
ทางเลือกหน่ึงท่ีกาลังเป็นที่นิยมและหน่วยงานท้ัง จึงได้เกิดเป็นแนวคิดในการศึกษาและหาความ
ภาครัฐและเอกชนให้ความสนใจในหลาย ๆ ปีที่ผ่าน พึ ง พ อ ใ จ [1] อุ ป ก ร ณ์ ว ง จ ร บู ท แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า
มาวิกฤตการโลกร้อนทาให้มีหลายองค์กรท้ังภาครัฐ กระแสไฟฟา้ ตรงเพอ่ื ใหแ้ รงดันไฟฟา้ ท่ีอนิ เวอร์เตอรข์ ับ
และเอกชนได้ส่งเสริมและทาวิจัยเพื่อการอนุรักษ์ ม อ เ ต อ ร์ ท า ง ก า ร เ รี ย น รู้ เ น้ น ใ น ทั ก ษ ะ ด้ า น
พลังงานท่ีมีผลงานวิจัยเป็นที่ยอมรับในหลายรูปแบบ ความสามารถการใช้ และสามารถใชง้ านไดจ้ รงิ อันจะ
โดยเป็นอีกหนึ่งช่องทางของพลังงานทางเลือกเป็น นาไปสกู่ ารลงมือปฏิบตั ิจรงิ ได้ ใช้เป็นสอ่ื การเรียนการ
พลงั งานไฟฟ้าในอนาคต เพื่อทดแทนการใชพ้ ลังงานท่ี สอนแก่นักเรียน นักศึกษา และสามารถใช้งานได้จริง
ใช้กันมาในระยะเวลาท่ียาวนาน โดยเฉพาะพลังงาน อีกท้ังเพื่อศึกษาการพัฒนาและหาความพึงพอใจ[2]
ไฟฟา้ ในปจั จุบนั ประเทศไทย ประสบความสาเร็จเป็น อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้
อย่างดีในการนาเอาความร้อนของแสงอาทติ ย์มาใชใ้ ห้ แรงดนั ไฟฟ้าท่ีมอเตอร์
เป็นประโยชน์ ซ่ึงเป็นการนาเอาพลังงานแสงอาทิตย์
ม า ใ ช้ โ ด ย ต ร ง ท่ี มิ ต้ อ ง อ า ศั ย เ ท ค โ น โ ล ยี สู ง ห รื อ 1.2 ลกั ษณะของงานวิจัย
สลับซับซ้อนนกั และการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทติ ย์ทา เ พ่ื อ ส ร้ า ง อุ ป ก ร ณ์ ว ง จ ร บู ท แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า
ได้ 2 วิธีคือ 1) การเปลี่ยนพลังงานแสงเป็นไฟฟ้า
โดยตรง และ 2) ใช้ความร้อนของแสงอาทติ ย์ไปต้มน้า กระแสไฟฟา้ ตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าที่อนิ เวอร์เตอรข์ ับ
หรือทาให้ก๊าซร้อน แล้วใช้ไอน้าร้อนหรือก๊าซร้อนไป มอเตอร์ โดยการควบคุมระดับแรงดันไฟฟ้า
ทาให้เทอร์ไบน์หรือกังหันใบพัดของเครื่องกาเนิด กระแสไฟฟ้าตรงด้วยบอร์ดไมโครคอนโทรลเลอร์
ไฟฟ้าหมุนอีกต่อหนึ่ง ในการเลือกใช้พลังงานงานจาก ตระกูลอาดูโน่นาโน แล้วทาการศึกษาความพึงพอใจ
แสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้านั้น จะเป็นการเปลี่ยน ในการใช้งานเพื่อให้แรงดันไฟฟ้าที่อินเวอร์เตอร์ขับ
พลังงานแสงอาทติ ย์เป็นไฟฟ้าโดยตรง ซ่งึ เป็นหลกั การ มอเตอร์ท่ีได้ออกแบบไว้ ให้มีค่าระดับแรงดันเอาต์พุต
สาคัญของเซลล์แสงอาทิตย์หรือโซล่าร์เซลล์ (Solar คงที่อยู่ที่ระดับแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงขนาด
Cell) โดยจะได้พลังงานไฟฟ้าเป็นไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า แรงดัน 300 โวลต์ จากกลุ่มตัวอย่าง 20 คน ด้วย
ตรง จากนั้นนาแรงดันไฟฟ้าที่ได้ไปชาร์จเก็บไว้ใน วิธีการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) จาก
แบตเตอร์รี่ การนาไปใช้งานจึงต้องนามาแปลงมาเปน็ ประชากร 43 คน
ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าสลับเสียก่อน โดยนามาต่อเข้ากับ
อุปกรณ์ท่ีเรียกว่า อินเวอร์เตอร์ ( Inverter ) ซ่ึง 1.3 วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย
ก า ลั ง ไ ฟ ฟ้ า ท่ี ไ ด้ ก็ จ ะ มี ก า ร สู ญ เ สี ย จ า ก ก า ร แ ป ล ง 1.3.1 เพ่ือสร้างอุปกรณ์วงจรบูทแรงดัน
ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ไ ฟ ฟ้ า จ า ก ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ต ร ง เ ป็ น
กระแสไฟฟา้ สลับ ทาใหล้ ดทอนประสทิ ธิภาพการผลิต ไ ฟ ฟ้ า ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ต ร ง เ พื่ อ ใ ห้ แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า ท่ี
กระแสไฟฟา้ ไฟฟ้าลงไป จากปญั หาที่เกดิ ขนึ้ ทางผ้วู จิ ัย อนิ เวอร์เตอรข์ บั มอเตอร์ใหส้ ามารถใชเ้ ปน็ สอื่ การเรียน
การสอนในวทิ ยาลยั เทคนิคหนองบวั ลาภู
1.3.2 เพ่ือหาความพึงใจของอุปกรณ์วงจร
บูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือใหแ้ รงดันไฟฟ้าที่
อนิ เวอร์เตอร์ขับมอเตอร์
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 38
38 วารสารวจิ ัยและนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
1.4 ขอบเขตของการวจิ ัย 1.6.4 ทดสอบการทางาน โดยการนา
อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้
แรงดันไฟฟ้าทีอ่ ินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ มาจา่ ยแรงดนั
ตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าท่ีอินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ ไฟฟ้าอินพุต และวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงท่ี
ทางานเต็มประสิทธิภาพ สาหรับใช้เรียนเพ่ิมเติมจาก เอาต์พุต ใหไ้ ด้ตามการออกแบบ
ผู้เรียน และ ผู้ท่ีสนใจ โดยเป็นการสร้างและนาไป
ศึกษาเพ่ือหาความพึงพอใจ ในด้านของอุปกรณ์วงจร 1.6.5 กาหนดกลมุ่ ตวั อยา่ ง จากผู้ทส่ี นใจใน
บูทแรงดนั ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่อื ใหแ้ รงดนั ไฟฟ้าท่ี วิทยาลัยเทคนิคหนองบัวลาภู จานวน 43 คน ด้วย
อินเวอรเ์ ตอรข์ ับมอเตอร์ อยใู่ นเกณฑ์ดี วธิ กี ารส่มุ แบบเจาะจง(purposive sampling) จานวน
20 คน
โดยการวิจยั ในครัง้ นไี้ ดแ้ บง่ เกณฑค์ วาม พึง
พอใจออกเปน็ 2 ด้าน คือ 1.6.6 นาไปทดลองใช้ โดยการนาอุปกรณ์
วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดัน
1.4.1 ดา้ นในการทดลองใชง้ านของ ไฟฟ้าท่ีอินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ ไททดลองต่อกับ
โครงการ อินเวอรเ์ ตอรม์ อเตอร์ทใี่ ช้งานในสภาพจริง
1.4.2 ด้านการอปุ กรณ์วงจรบูทแรงดนั 1.6.7 เกบ็ ข้อมลู หาความพึงพอใจ โดยใช้
ไฟฟ้ากระแสไฟฟา้ ตรงเพ่อื ใหแ้ รงดันไฟฟา้ ที่ แบบสอบถามจากการออกแบบ เก็บข้อมูลจากกลุ่ม
อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ ตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (purposive
sampling) 20 คน จากจานวนผสู้ นใจ จานวน 43 คน
1.5 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะไดร้ ับ
1.5.1 สามารถนาอุปกรณ์วงจรบูทแรงดัน 1.6.8 สรุปผลการทดลอง และ แกไ้ ข
ข้อผิดพลาด
ไ ฟ ฟ้ า ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ต ร ง เ พ่ื อ ใ ห้ แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า ที่
อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ทางานเต็มประสิทธิภาพให้ 1.6.9 นาเสนอเปน็ ตน้ แบบอปุ กรณว์ งจรบทู
สามารถใชเ้ ปน็ สื่อการเรยี นการสอนในวทิ ยาลัยเทคนคิ แรงดันไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรงเพอ่ื ให้แรงดันไฟฟา้ ท่ี
หนองบัวลาภู อินเวอรเ์ ตอรข์ ับมอเตอร์
1.5.2 สามารถนาอุปกรณ์วงจรบูทแรงดัน 2. ทฤษฎี
ไ ฟ ฟ้ า ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ต ร ง เ พ่ื อ ใ ห้ แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า ท่ี 2.1 วงจรบูสตค์ อนเวอรเ์ ตอร์ (BoostConverter)
อินเวอร์เตอร์มอเตอร์ทางานเต็มประสิทธิภาพให้ วงจรบูสต์คอนเวอร์เตอร์ (BoostConverter)
สามารถใชง้ านไดจ้ ริง
เป็นวงจรที่ใช้สาหรับการแปลงแรงดัน ไฟฟ้าทางด้าน
1.5.3 ความพึงพอใจของอุปกรณ์วงจรบูท เอาต์พุตให้มีค่ามากกว่า แรงดันทาง ด้านอินพุต ท่ี
แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าท่ี ป้อนเข้ามาในวงจรหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวงจรทบ
อนิ เวอร์เตอร์ขับมอเตอรท์ างานเต็มประสทิ ธิภาพ ของ ระดับ วงจรบูสต์คอนเวอร์เตอร์จะใช้มอสเฟสกาลัง
ผู้เรยี นและผู้ทสี่ นใจ (MosFET) หรือไอจบี ที ี (IGBT)
1.6 การดาเนนิ การ 2.1.1 โหมด 1 เมอื่ สวิตช์เปิด (Mode 1
1.6.1 ศึกษาขอ้ มลู การทางานของอนิ เวอร์ Switch On)
เตอรแ์ ละการทางานมอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรง 2.1.2 โหมด 2 สวติ ชป์ ดิ (Mode 2
1.6.2 ทาการศกึ ษาโครงสรา้ งการทางาน Switch Off)
ของ Arduino NANO
1.6.3 ออกแบบวงจรวงจรบทู แรงดันไฟฟา้
กระแสไฟฟา้ ตรงเพื่อใหแ้ รงดนั ไฟฟ้าทมี่ อเตอร์
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal
วารสารวิจัยและนวตั กรรมการอาชวี ศึกษา 39
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
ผังการทางานอปุ กรณว์ งจรบูทแรงดันไฟฟา้ เมือ่
กระแสไฟฟา้ ตรงเพ่ือใหแ้ รงดันไฟฟา้ ทม่ี อเตอร์ แสดง
ดังรูปท่ี 1 VL = แรงดันไฟฟา้ ท่ตี วั เหน่ียวนา
Vin = แรงดันไฟฟา้ ทีแ่ หล่งจา่ ย
L = คา่ ความเหน่ียวนา
IL = กระแสไฟฟ้าไหลผ่านตัวเหน่ยี วนา
2.1.4 ขณะสวติ ช์หยุดนากระแสไฟฟา้
INPUT Arduino NANO MosFET OUTPUT ข ณ ะ ส วิ ต ช์ ห ยุ ด น า ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า
MCU กระแสไฟฟ้าไฟฟ้าในตัวเหน่ียวนาจะเปลี่ยนแปลง
ทันทีทันใดไม่ได้ ไดโอดจะถูกไบอัสไปหน้าให้นา
กระแสไฟฟ้า ทาให้กระแสไฟฟ้าไฟฟ้าไหลผ่านตัว
รูปที่ 1 ภาพโครงสร้างการทางานอุปกรณ์วงจรบทู เหน่ียวนาอย่างต่อเน่ือง สมมุติแรงดันไฟฟ้าเอาต์พุต
แรงดันไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรงเพือ่ ให้
แรงดันไฟฟ้าทม่ี อเตอร์ (Vo) มีค่าคงที่ จากกฎของเคอร์ชอฟฟ์จะได้สมการ
ของแรงดันไฟฟ้าท่ตี กคร่อมตัวเหนีย่ วนาดงั นี้
VL = Vin - Vo (3)
จากการทางานของวงจรท้งั 2 โหมดนีท้ าใหเ้ หน็ เมอ่ื
ไดช้ ดั วา่ วงจรบสู ตค์ อนเวอรเ์ ตอร์ (Boost Converter) VL = แรงดันไฟฟ้าทต่ี วั เหน่ียวนา
จะมีการจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับโหลดอยู่ตลอดเวลา Vin = แรงดนั ไฟฟ้าท่ีแหลง่ จา่ ย
ถึงแม้ว่า จะมีบางส่วนที่สวิตช์ไม่ได้ทางานก็ตามและ VO = แรงดันไฟฟ้าทเ่ี อาท์พตุ
จากความสัมพันธ์ของการทางานของวงจรบูสต์คอน จากวงจรบูสต์คอนเวอร์เตอร์จะมีค่า Duty
เวอร์เตอร์(Boost Converter) ทงั้ 2โหมดนีเ้ ราสามารถ Cycle (D) เป็นตัวกาหนดอัตราขยายแรงดันไฟฟ้า
หาค่าแรงดันไฟฟา้ ขาออกได้จากสมการดงั ต่อไปนี้ เม่ือค่า Duty Cycle เพิ่มข้ึนอัตราขยายแรงดันไฟฟ้า
Va= Vs / (1-D) (1) จะเพ่ิมข้ึนแบบไม่เป็นเชิงเส้น ในทางปฏิบัตินิยมปรับ
เมอื่ อัตราขยายไม่เกิน 4 เท่าเพ่ือให้วงจรสเถียรภาพ
VS = แรงดันของแหล่งจา่ ยไฟฟ้ากระแส ส า ม า ร ถ หาค่า Duty Cycle (D) ไ ด้ ต ามสมการ
ไฟฟา้ ตรง (Dc) ดังต่อไปนี้
D = ดวิ ต้ีไซเคลิ (Duty Cycle) D = [1-(Vin / Vo)] (4)
Va = แรงดันเอาต์พุต (Output) เมอื่
2.1.3 ขณะสวิตชน์ ากระแสไฟฟ้า D = อตั ราการเกิดรูปคลนื่ ส่ีเหลีย่ มใน 1 วนิ าที
การทางานของบสู ตค์ อนเวอร์เตอร์ใน Vin = แรงดันอินพุต
สภาวะสวิตช์เปิด (Switch On) กระแสไฟฟ้าไฟฟ้า VO = แรงดนั เอาทพ์ ตุ
จากแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรง (Vin) จะไหล 2.2 มอสเฟต
ผ่านตัวเหนี่ยวนาโดยผ่านสวิตช์ ขณะเดียวกันไดโอด มอสเฟต (Metal–oxide–semiconductor
จะถูกไบอัสย้อนกลับทาให้ไม่สามารถนากระแสไฟฟ้า field-effect transistor : MOSFET) เป็นทรานซสิ เตอร์
ได้ แรงดันไฟฟ้าท่ีตัวเหน่ียวนา (VL) จะมีค่าเท่ากับ ที่ใชอ้ ิทธพิ ลสนามไฟฟา้ ในการควบคมุ สญั ญาณไฟฟา้
แรงดันไฟฟ้าท่ีแหล่งจ่าย (Vin) ตามกฎแรงดันของ โดยใชอ้ อกไซดข์ องโลหะในการทาสว่ น GATE นิยมใช้
เคอรช์ อฟตามสมการดังตอ่ ไปนี้ ในวงจรดจิ ติ อล โดยนาไปสรา้ งลอจิกเกตต่าง ๆ เพราะ
VL = Vin = L(diL / dt) (2) มีขนาดเล็ก
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 40
40 วารสารวจิ ยั และนวัตกรรมการอาชีวศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
รูปท่ี 2 ตวั อยา่ ง มอสเฟต 2.6 บอรด์ Arduino nano
บอร์ด Arduino Nano ออกแบบมาให้มี
ขนาดเล็ก และใช้กับงานทั่ว ๆ ไปใช้ชิปไอซี
ไมโครคอนโทรเลอร์เบอร์ ATmega 168 หรือเบอร์
ATmega 328 โดยนาบอร์ดชนิดน้ีมาใช้ในการทางาน
วจิ ยั ให้ไดต้ ามวัตถุประสงคแ์ ละขอบเขตของงานวิจัย
2.3 การทางานวงจร Inductor รูปท่ี 3 แสดงบอร์ด Arduino Nano
ตัวเหนี่ยวนา (Inductor) บางครั้งถูกเรียกว่า
3. การออกแบบ
คอยล์หรือรีแอคเตอร์ (coil หรือ reactor) เป็น การวิจัยคร้ังนี้มีความมุ่งหมายเพ่ือสร้างอุปกรณ์
ชน้ิ ส่วนในวงจรไฟฟ้าแบบพาสซีฟสองข้ัวไฟฟา้ (ขา) มี
คุ ณ ส ม บั ติ ใ น ก า ร ป้ อ ง กั น ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ข อ ง วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้แรงดัน
กระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นตวั มัน ประกอบด้วยตัวนา เช่น ไฟฟา้ ท่อี ินเวอร์เตอร์ขบั มอเตอร์ โดยการควบคมุ ระดับ
ลวดทองแดงม้วนกันเปน็ วงกลม เม่ือกระแสไฟฟา้ ไหล แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงด้วยบอร์ดไมโคร
ผ่านตัวมัน พลังงานจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวในรูป คอนโทรลเลอร์ตระกลู อาดูโน่ นาโน แล้วทาการศกึ ษา
สนามแม่เหล็กในคอยล์นั้น เมื่อกระแสไฟฟ้าน้ัน ความพึงพอใจในการใช้งานเพื่อให้แรงดันไฟฟ้าท่ี
เปล่ียนแปลง, สนามแม่เหล็กที่แปรตามเวลาจะทาให้ อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ท่ีได้ออกแบบไว้ให้มีค่าระดบั
เกิดแรงดันไฟฟ้าในตัวนาน้ัน ตามกฎการเหน่ียวนา แรงดันเอาต์พุตคงท่ีอยู่ท่ีระดับแรงดันไฟฟ้ากระแส
แม่เหล็กไฟฟ้าของฟาราเดย์ ซ่ึงจะต้านกับการ ไฟฟ้าตรง 300 โวลต์ โดยผู้จัดทาโครงการได้ดาเนิน
เปลย่ี นแปลงของกระแสไฟฟ้า โครงการตามข้นั ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี
2.4 โปรแกรม Proteus 8 Professional 3.1 การออกแบบวงจร
โ ป ร แ ก ร ม Proteus ส า ม า ร ถ ออก แ บ บ ใช้โปรแกรม Proteus ทาการออกแบบลาย
วงจรไฟฟา้ พร้อมท้งั จาลองการทางานของวงจรได้ ท้งั วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดัน
ยงั สามารถออกแบบลายวงจรพิมพไ์ ด้ ความสามารถท่ี ไฟฟ้าไฟฟ้าที่อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ให้สามารถ
โดดเด่นของ Proteus นั้น เป็นโปรแกรมที่สามารถ ทางานไดต้ ามแบบท่ไี ดศ้ ึกษาและออกแบบไว้
จาลองพฤติกรรม (Simulator) การทางานของวงจรที่
ใช้ Microcontroller เบอร์ต่าง ๆ ได้มากมาย โดยไม่
ต้องสิ้นเปลืองเวลาในการประกอบวงจร และ
โปรแกรมที่เขียนข้ึนใช้งานได้หรือไม่ โดยวงจรและ
โปรแกรม (Source code) ที่ตรวจสอบด้วยโปรแกรม
Proteus เป็นท่ีเรียบร้อยแล้วว่าถูกต้อง จากน้ันก็
สามารถสรา้ งวงจรจรงิ ไดต้ ามต้องการ
2.5 การออกแบบโปรแกรมดว้ ย Arduino IDE
ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการพัฒนางานสาหรับบอร์ด
Arduino น่ันคือโปรแกรมที่เรียกว่า Arduino IDE ใน
การเขียนโปรแกรมและคอมไพล์ลงบอร์ดให้สามารถ
ทางานได้ตามวตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 41
วารสารวิจัยและนวัตกรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
รปู ท่ี 4 วงจรแสดงอปุ กรณ์ก่อนการออกแบบ 3.3 สัญญาณแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรง
ลายวงจร เอาตพ์ ุต
สัญญาณแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรง
เอาต์พุต จะถูกตั้งไว้ที่ระดับแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า
ตรงขนาด 300 โวลต์ จะมีลักษณะดงั รปู สญั ญาณทจ่ี ับ
ได้ด้วยออสซิโลสโคป โดยออสซิโลสโคปโดยตั้ง
Volt/Div = 100 VDC แ ล ะ Time/Div = 40 uS
(โหมด x10)
รปู ท่ี 5 แสดงลายวงจรทไ่ี ด้จากการออกแบบวงจร รปู ท่ี 7 แสดงสัญญาณแรงดนั ไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรง
3.2 สญั ญาณแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟา้ ตรงอนิ พตุ เอาตพ์ ุต 300 โวลต์
สัญญาณแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงอินพุต จะถูก 3.4 สรา้ งเครื่องมือทใ่ี ช้ในการทดลอง
ต้ังไว้ที่ระดับแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงขนาด 100 3.4.1 การสร้างเคร่ืองมือสาหรับการทดลอง
โวลต์ จะมีลักษณะดังรูปสัญญาณท่ีจับได้ด้วยออส
ซิ โ ล ส โ ค ป โ ด ย ต้ั ง Volt/Div = 1 0 0 VDC แ ล ะ ครั้งน้ี วิจัยได้แบ่งการศึกษาออกเป็นส่วน ๆ คือ
Time/Div = 40 uS (โหมด x10) อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้
แรงดันไฟฟ้าที่อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ นอกจากน้ียัง
รูปที่ 6 แสดงสญั ญาณแรงดนั ไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรง ทาการศึกษาประสิทธิภาพและความพึงพอใจอุปกรณ์
อนิ พตุ 100 โวลต์ ว ง จ ร บู ท แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ต ร ง เ พื่ อ ใ ห้
แรงดันไฟฟ้าท่ีอินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ สาหรับเก็บ
ขอ้ มูลโดยมรี ายละเอียดและขัน้ ตอนในการดาเนนิ การ
สร้างในแต่ละส่วนดังตอ่ ไปน้ี
1) ศึกษาความเปน็ ไปไดข้ องการนาเอา
Arduino NANO มาใช้เปน็ ตัวตรวจสอบสถานะของ
กระแสไฟฟา้ และแรงดัน
2) ออกแบบวงจรวัดแรงดันในสว่ นของ
อนิ พุตและเอาต์พตุ
3) ใช้โมดลู วัดกระแสไฟฟา้ ไฟฟ้า
สาเร็จรูปมาใชใ้ นการวัดกระแสไฟฟ้าทีเ่ กดิ ขึน้
4) ประกอบวงจรภายในและออกแบบ
บรรจภุ ณั ฑ์ ใหส้ ะดวกต่อการใชง้ าน
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 42
42 วารสารวิจัยและนวัตกรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
รปู ท่ี 8 วงจรบูทแรงดนั ไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรงเพือ่ ให้ รปู ท่ี 11 ภาพแสดงการตอ่ อุปกรณ์วงจรบทู
แรงดันไฟฟา้ ไฟฟา้ ที่อินเวอร์เตอร์ขบั มอเตอร์ แรงดันไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรงเพ่อื ให้
ขณะออกแบบทดลอง แรงดนั ไฟฟา้ ทีอ่ นิ เวอรเ์ ตอร์ขบั มอเตอร์
รูปที่ 9 วงจรบูทแรงดนั ไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรงเพอ่ื ให้ 3.5 เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการวิจยั
แรงดนั ไฟฟา้ ไฟฟา้ ทอี่ นิ เวอรเ์ ตอร์ขับมอเตอร์ ในการวิจัยครั้งน้ี เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย
ประอบสาเรจ็
เป็นแบบสอบถามทผี่ ู้วิจยั สร้างขน้ึ เพอ่ื หาประสิทธิภาพ
รูปท่ี 10 แสดงการทางานของหนา้ ปัดอุปกรณ์วงจร และความพึ่งพอใจอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้า
บทู แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟา้ ตรงเพอ่ื ให้ กระแสไฟฟ้าตรงเพ่อื ใหแ้ รงดันไฟฟา้ ที่อนิ เวอร์เตอร์ขับ
แรงดนั ไฟฟา้ ไฟฟา้ ท่อี นิ เวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ มอเตอร์ นาอปุ กรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟา้
ตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าท่ีอินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ที่
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2 สร้างขึน้ มาทดสอบหาประสิทธภิ าพและความพ่ึงพอใจ
จากน้ันจึงอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า
ตรงเพื่อให้แรงดันไฟฟ้าที่อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์
ตามท่ีได้จากการทดสอบมาทาการปรับปรุงแก้ไข
เพื่อให้ได้อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า
ตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าที่อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ที่
สมบรู ณแ์ บบ
3.5.1 การสร้างแบบประเมินการศึกษาหา
ประสิทธิภาพและความพึงพอใจของอุปกรณ์วงจรบูท
แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าที่
อนิ เวอร์เตอรข์ ับมอเตอร์ โดยมีการกาหนดเป็นข้อสอบ
ถามให้เป็นไปตามต้องการ กาหนดระดับเป็นแบบ
มาตราส่วนประมาณค่า ให้น้าหนักคะแนน 5 ระดับ
กลา่ วคอื
ระดบั คะแนน
5 หมายถงึ มีประสทิ ธภิ าพและความพึงพอใจ
ในการทางานระดบั มากทส่ี ุด
4 หมายถึง มปี ระสิทธภิ าพในการทางาน
ระดับ มาก
Vocational Education Innovation and Research Journal 43
วารสารวิจัยและนวัตกรรมการอาชวี ศกึ ษา
ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2564
3 หมายถงึ มปี ระสทิ ธิภาพและความพึงพอใจ ตารางที่ 1 แสดงระดบั ความพงึ พอใจ
ในการทางานระดบั ปานกลาง
ระดับคะแนน ความหมาย
2 หมายถึง มีประสิทธภิ าพและความพงึ ประสิทธภิ าพ
พอใจในการทางานระดบั พอใช้ 4.50 - 5.00
3.50 - 4.49 มากทีส่ ุด
1 หมายถึง มีประสิทธิภาพและความพงึ 2.50 - 3.49 มาก
พอใจในการทางานระดบั ต่าควร 1.50– 2.49
ปรบั ปรุง 1.00– 1.49 ปานกลาง
พอใช้
เมื่อสร้างแบบประเมินการศึกษาหาประสทิ ธภิ าพ
และความพึงพอใจของอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้า ควรปรบั ปรงุ
กระแสไฟฟา้ ตรงเพอื่ ให้แรงดันไฟฟา้ ทอ่ี นิ เวอรเ์ ตอรข์ ับ
มอเตอร์เรียบร้อยแล้ว ผู้วิจัยได้นาไปทดสอบเพ่ือเกบ็ 3.8 สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล
ข้อมลู ทาการศกึ ษาหาประสิทธภิ าพและความพงึ พอใจ
ตอ่ ไป 3.8.1 คา่ เฉลี่ย (Arithmetic mean)
3.5.2 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง X = x / n (5)
ในการวิจัยเพื่อหาประสิทธิภาพและ กาหนดให้
ความพึงพอใจของอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้า X แทน ค่าเฉลย่ี
กระแสไฟฟา้ ตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าที่อนิ เวอรเ์ ตอร์ขบั
มอเตอร์ จากประชากรกลมุ่ ตวั อย่าง เป็นกลุ่มนักเรียน X แทน ผลรวมของคะแนนทง้ั หมดในกลมุ่
นกั ศึกษา แผนกวิชาชา่ งอิเลก็ ทรอนกิ ส์ และผทู้ ีส่ นใจ
ด้วยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (purposive sampling) n แทน จานวนครั้งในกลุ่ม
จานวน 20 คน จากกลมุ่ ประชากร 43 คน
3.8.2 ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard
3.6 การดาเนินการทดลองและเกบ็ ข้อมลู
การทดลองครง้ั นี้เปน็ การวจิ ยั เชิงทดลอง Deviation)
โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบเจาะจง (purposive S.D. = [(x-x)2]/(N-1)] (6)
sampling) จานวน 20 ตัวอย่าง ทาการทดลอง เมื่อ กาหนดให้ S แทน ความเบยี่ งเบนมาตรฐาน
ทาการทดลองแล้วก็ทาการทดสอบหาสมรรถนะทาง
กายภาพอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้า x แทน คะแนนแตล่ ะตัว
ตรงเพื่อให้แรงดันไฟฟ้าท่ีอินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์
การทดลองแบบน้ีสามารถทาได้ง่าย รวดเร็ว และ X แทน ค่าเฉล่ีย
ประหยัด ผู้วิจัยได้นาอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้า n แทน จานวนคะแนนในกล่มุ
กระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดนั ไฟฟ้าท่ีอินเวอรเ์ ตอรข์ ับ
มอเตอรไ์ ปดาเนินการทดลองเกบ็ ขอ้ มูล แทน ผลรวม
3.7 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 4. ผลการวจิ ัย
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยนาเครื่องมือ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพ่ือสร้างอุปกรณ์
ท่ีสร้างข้ึน ให้กลุ่มตัวอย่างได้ตอบแบบสอบถามและ วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้แรงดัน
เก็บข้อมูลด้วยตนเอง เกณฑ์การวิเคราะห์ผล กาหนด ไฟฟ้าท่ีอนิ เวอรเ์ ตอรข์ ับมอเตอร์ โดยการควบคุมระดบั
ไดด้ งั น้ี แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงด้วยบอร์ดไมโครคอน
โทรลเลอร์ตระกูลอาดูโน่นาโนแล้วทาการศึกษาความ
พึงพอใจในการใช้งานเพื่อให้แรงดันไฟฟ้าไฟฟ้าท่ี
อนิ เวอร์เตอรข์ บั มอเตอร์ทีไ่ ดอ้ อกแบบไว้ ดังต่อไปน้ี
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 44
44 วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชวี ศึกษา
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
4.1 ได้อุปกรณว์ งจรบูทแรงดันไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ความพงึ พอใจในการ X S.D. ระดับ
ตรงเพ่อื ใหแ้ รงดนั ไฟฟา้ ไฟฟา้ ทอ่ี ินเวอรเ์ ตอร์ขับมอเตอร์ ทดลองใชง้ าน
1 ชุด มคี ุณภาพภาพการทางานของโครงการ
1. มคี วามปลอดภัยระหวา่ ง 4.75 0.54 มากทส่ี ุด
ตารางที่ 4.1 ตารางแสดงประสทิ ธภิ าพการทางาน
อุปกรณ์วงจรบทู แรงดันไฟฟา้ กระแส การปฏิบัติงาน
ไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดนั ไฟฟา้ ไฟฟา้ ที่
อินเวอรเ์ ตอร์ขับมอเตอร์ 2. มคี วามสะดวกสบายในการ 4.60 0.66 มากทีส่ ุด
ประสิทธิภาพ ใชง้ าน
ครงั้ การทางาน ผลการ คุณภาพ
ที่ แรงดัน แรงดนั ทดลอง (%) 3. เทคนิคการออกแบบและ 4.80 0.51 มากที่สุด
อินพตุ เอาทพ์ ุต ระบบการทางานถกู ต้องตาม
1 100 300.01 ยอมรับได้ 100 %
2 100 304.00 ยอมรบั ได้ 100 % หลักการ
3 100 304.00 ยอมรับได้ 100 %
4 100 304.00 ยอมรับได้ 100 % 4. รปู ร่าง ขนาด น้าหนกั มี 4.80 0.51 มากทสี่ ุด
5 100 304.00 ยอมรบั ได้ 100 %
6 100 304.00 ยอมรบั ได้ 100 % ความเหมาะสม
4.2 ผลการศึกษาหาประสิทธิภาพและความพึง 5. สามารถนาไปใชก้ บั 4.40 1.02 มาก
พอใจอุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรง
เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าท่ีอินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ ผลการ อุปกรณ์ไฟฟ้าได้หลายชนิด
ทดลองไดด้ งั น้ี
6. มรี ะบบป้องกันความ 4.60 0.73 มากท่สี ุด
ตารางที่ 4.2 ตารางผลการหาความพงึ ใจในการ
ทดลองใชง้ านของโครงการการศึกษา ปลอดภัยท่ีดี
และหาความพงึ พอใจอุปกรณ์วงจรบทู
แรงดนั ไฟฟา้ กระแสไฟฟา้ ตรงเพ่ือให้ 7. สามารถใช้ในการทางาน 4.65 0.79 มากที่สุด
แรงดันไฟฟา้ ไฟฟา้ ทอ่ี ินเวอร์เตอรข์ บั
มอเตอร์ ทางไฟฟ้าไดเ้ ป็นอย่างดี
8. ทาให้อุปกรณบ์ ูท 4.45 0.92 มาก
แรงดันไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าตรง
ทางานเต็มประสิทธิภาพ
9. โครงการ มคี วาม 4.65 0.79 มากที่สุด
สรา้ งสรรค์ เปน็ ส่งิ ประดษิ ฐท์ ่มี ี
ความแปลกใหม่ 4.80 0.51
10. สามารถนาไปต่อยอดและ มากที่สุด
พฒั นากระบวนการผลิตสู่เชิง
พาณิชยไ์ ด้ 4.75 0.54 มากที่สุด
11. ไม่เป็นอนั ตรายต่อ 4.85 0.48 มากที่สุด
ผใู้ ชง้ าน
12. ไม่เปน็ การทาลาย
ธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ มหาก 4.85 0.48 มากทส่ี ุด
เลิกใช้งาน 4.65 0.79 มากท่สี ุด
13. สามารถตดิ ต้ังใชง้ านได้งา่ ย
14. มปี ระสิทธิภาพในการใช้
งาน สามารถใช้งานไดเ้ ป็น 4.70 0.78 มากทส่ี ุด
ระยะเวลานาน
15. ทา่ นคิดว่า โครงการ
สามารถสร้างมลู ค่า หรือขาย
ไดห้ รอื ไม่
โดยรวม 4.69 0.66 มาก
ทส่ี ุด
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal
วารสารวจิ ัยและนวตั กรรมการอาชีวศกึ ษา 45
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564
5. ผลการวิจยั 5.2.2 ควรมีการดดั แปลง เพ่ิมเตมิ ให้
5.1 สรุปผลการทดลอง อุปกรณ์มคี วามคงทน แข็งแรงเพือ่ ป้องกันวงจร
5.1.1 คณุ ภาพภาพการทางานของโครงการ อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ สยี หาย
การศึกษาและหาความพึงพอใจอุปกรณ์วงจรบูท 5.2.3 สร้างชิน้ งานใหม้ นี ้าหนกั เบา หรอื
แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้แรงดันไฟฟ้าที่ สามารถพกพาไปไดท้ กุ ทส่ี ะดวกสบายขณะทางานเปน็
อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ ขึ้นอยู่กับระดับแรงดัน เวลานาน ๆ
อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้
แรงดันไฟฟ้าท่ีอินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ทางานเต็ม 5.2.4 สร้างอุปกรณใ์ ห้โดดเด่น สามารถตอ่
ประสิทธิภาพ คือ ระดับแรงดันอินพุต 100 VDC ยอดไดม้ ากยง่ิ ขนึ้
แรงดันเอาต์พุตจะต้องได้ 300 VDC จึงจะถือว่าการ
ทดลองสามารถทางานได้ตามเงื่อนไข คุณภาพ 5.2.5 สร้างอุปกรณ์ให้สามารถใช้งานใน
แรงดันไฟฟ้าจะเท่ากับ 100 % แต่จากการทดลองได้ ระยะพ้นื ท่ที ี่ไกลไดม้ ากย่งิ ขึน้
ทาการทดลอง ผลท่ีได้เป็นไปตามเงื่อนไขในการ
ทดลอง 5.3 ประสบการณท์ ีผ่ วู้ จิ ัยได้รบั
จากการทาวิจัยโครงการในคร้ังนี้ทาให้ผู้วิจัย
5.1.2 ความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง คือ
นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจ จานวน 20 คน ไ ด้ คิ ด ค้ น ที่ จ ะ ส ร้ า ง อุ ป ก ร ณ์ ว ง จ ร บู ท แ ร ง ดั น ไ ฟ ฟ้ า
มีความพงึ พอใจในการทดลองใชง้ านของโครงการ การ กระแสไฟฟ้าตรงเพอื่ ให้แรงดนั ไฟฟ้าท่อี ินเวอร์เตอรข์ บั
พั ฒ น า แ ล ะ ห า ค ว า ม พึ ง พ อ ใ จ อุ ป ก ร ณ์ ว ง จ ร บู ท มอเตอร์ เป็นการค้นคิดสิ่งท่ีเกิดข้ึนใกล้ๆ ตัว และได้
แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพื่อให้แรงดันไฟฟ้าท่ี นาเอาความรู้ในวิชาที่ได้ศึกษามาประยุกต์ใช้กับงาน
อินเวอร์เตอรข์ บั มอเตอร์ สามารถสรุปไดว้ า่ มคี วามพึง ฝีมือที่ทาเป็นงานวิจัยชิ้นน้ีขึ้นมา อีกท้ังยังทาให้ผู้วิจัย
พอใจโดยรวมอยูใ่ นระดบั มากที่สุด และมคี วามคิดเห็น ได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือและสถิติในการวิจัยเพื่อ
เกี่ยวกับความพึงพอใจในการทดลองใช้งานในแต่ละ เตรยี มพร้อมสู่การวจิ ยั ในเรือ่ งอ่ืน ๆ ตอ่ ไป
ข้อคาถามที่แตกต่างกัน อาทิเช่น ข้อ 5 สามารถ
นาไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าได้หลายชนิด ข้อ 8 ทาให้ เอกสารอา้ งอิง
อุปกรณ์บูทแรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงทางานเต็ม [1] ธนพล แกว้ คาแจ้ง, 2563. การศึกษาความ
ประสิทธิภาพ ระดับความพึงพอใจมาก ส่วนข้ออื่น ๆ พึงพอใจไมเ้ ทา้ ของผูส้ งู วยั แจง้ เตือนผา่ น
จะอยู่ในระดับมากที่สดุ เป็นต้น ซ่ึงหมายถึง โครงการ แอพพลเิ คชนั่ ไลน.์ วารสารวิจัยและนวัตกรรม
การศึกษาและหาความพึงพอใจอุปกรณ์วงจรบูท การอาชีวศึกษา:สถาบันการอาชวี ศึกษาภาค
แรงดันไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าตรงเพ่ือให้แรงดันไฟฟ้าที่ ตะวันออกเฉียงเหนือ1 สานกั งาน
อินเวอร์เตอร์ขับมอเตอร์ สามารถสร้างความพึงพอใจ คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา.
เน่ืองจากมคี ณุ ภาพภาพในการทางาน [2] ธนพล แกว้ คาแจ้ง, 2563. การศกึ ษาความ
พึงพอใจตอ่ มือกลแขนกลเพือ่ คนพิการ
5.2 ขอ้ เสนอแนะและขอ้ คิดเห็น สัง่ งานด้วยเสียง.วารสารวิจัยและนวตั กรรม
5.2.1 อุปกรณ์วงจรบูทแรงดันไฟฟ้า การอาชวี ศึกษา:สถาบนั การอาชีวศึกษาภาค
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือ1 สานักงาน
กระแสไฟฟา้ ตรงเพอ่ื ให้แรงดันไฟฟ้าที่อนิ เวอรเ์ ตอรข์ บั คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา.
มอเตอร์ ท่ีมีประสิทธิภาพและอายุการใช้งานที่ [3] บญุ ชม ศรีสะอาด, (2545) หาค่าสว่ น
ยาวนาน มากยงิ่ ขึ้น เบี่ยงเบนมาตรฐาน
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2
Vocational Education Innovation and Research Journal 46
46 วารสารวจิ ยั และนวตั กรรมการอาชีวศึกษา [15] ราณี เชาวนปรีชาศ์ (2538, หนา้ 18 อ้างถึง
ใน วฤทธิ์ สารฤทธิคาม, 2548, หนา้ 31)
ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 2 กรกฎาคม - ธนั วาคม 2564 ความพงึ พอใจ
[4] พรรณี ลกี ิจวัฒนะ. (2544 : 10) สว่ น [16] วงจรบูสต์คอนเวอรเ์ ตอร์ เขา้ ถงึ เมอ่ื 5
เบีย่ งเบนมาตรฐาน. กมุ ภาพนั ธ์ 2564 เข้าถึงได้จาก
http://dspace.spu.ac.th/bitstream/
[5] พรรณี ลีกจิ วัฒนะ. (2544 : 8) มชั ฌิมเลข
คณติ หรอื คา่ เฉลี่ย. [17] วิรุฬ พรรณเทวี (2542, หน้า 111) ไดใ้ ห้
ความหมายความพงึ พอใจ.
[6] ARDUINO IDE ซอฟต์แวร์สาหรับโปรแกรม
ภาษา C เข้าถงึ เมือ่ 5 กุมภาพันธ์ 2564 . [18] โวลแมน (Wolman, 1973) ความพึงพอใจ
เข้าถึงได้จาก http://www.sbt.ac.th/ [19] สาโรช ไสยสมบัติ (2534, หนา้ 18 อ้างถึงใน
new/sites/.
ปราการ กองแก้ว,2546, หนา้ 17) ความพึง
[7] กดู๊ Good, (1973) กลา่ วว่า ความพงึ พอใจ พอใจ.
[8] ความรพู้ น้ื ฐานเกย่ี วกบั โปรแกรมProteus8
professional เข้าถึงเมอ่ื 5 กมุ ภาพันธ์
2564. https://sites.google.com/
site/intuonwsw/
[9] เคลิรก์ (Quirk, 1987)ความพงึ พอใจหมายถึง
[10] เชลล่ี (Shelli, 1995, p. 9 อา้ งถึงใน ปราการ
กองแกว้ ,2546, หนา้ 17) ไดศ้ ึกษาแนวคิด
เกย่ี วกบั ความพงึ พอใจตัวเหน่ยี วนา เข้าถงึ
เมอื่ 5 กมุ ภาพนั ธ์ 2564 . เข้าถึงได้จาก
https://th.wikipedia.org/wiki/
[11] พาราสรุ ามาน เซทเฮมท และแบรร่ี
(Parasuraman, Zaithamal & Berry, 1994
อา้ งถึงใน ภูษติ สายกิม้ ซ้วน,2550,
หนา้ 18 -20)
[12] หลกั การบรกิ ารท่ดี มี อเตอร์ เข้าถึงเมื่อ 5
กมุ ภาพนั ธ์ 2564. เข้าถึงไดจ้ าก
https://th.wikipedia.org/wiki/
[13] มอสเพส เขา้ ถึงเมือ่ 5 กมุ ภาพันธ์ 2564 .
เขา้ ถึงไดจ้ ากhttps://th.wikipedia.
org/wiki/
[14] มาสโลว์ (Maslow, 1970 อา้ งถึงใน รังสรรค์
ฤทธ์ิผาด,2550, หน้า 23) ทฤษฎคี วาม
ต้องการตามลาดบั ขน้ั
VE-IRJ Thai-Journal Citation Index Centre Tier #2