The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักการวิจัยสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by WANVIPHA CHAIYASING, 2022-04-18 22:01:56

หลักการวิจัยสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

หลักการวิจัยสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

ตวั แปรต่อเน่ืองแยกเป็น 2 ประเภทเช่นกนั ตวั แปรช่วง (Interval variable) ซ่งึ แสดงระยะห่าง
ระหว่างแต่ละจุดมีช่วงห่างท่เี ท่ากนั และช่วงห่างนัน้ บ่งบอกถึงปรมิ าณและความหมายท่เี ปรียบเทยี บ
กนั ได้ เช่น อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซยี ส และ 39 องศาเซลเซยี ส มชี ่วงห่างเท่ากบั ความแตกต่างระหว่าง
39 องศาเซลเซยี ส และ 41 องศาเซลเซยี ส สว่ นตวั แปรอตั ราสว่ น (Ratio variable) มลี กั ษณะเช่นเดยี วกบั
ตัวแปรช่วงแต่ความหมายมีลักษณะสมบูรณ์ในตัวเอง เช่น น้ําหนัก 0 กิโลกรัม หมายความว่า
ไมม่ นี ้ําหนกั เลย

มาตรวดั ทม่ี คี ่าตงั้ แต่เหน็ ดว้ ยน้อยทส่ี ุดจนถงึ เหน็ ดว้ ยมากทส่ี ดุ ไม่ใช่ตวั แปรช่วง เพราะช่วงห่าง
ระหวา่ งเหน็ ดว้ ยทส่ี ดุ กบั เหน็ ดว้ ยน้อยไมม่ คี วามหมายทแ่ี ทจ้ รงิ และไมท่ ราบช่วงห่าง

ความแตกต่างระหว่างตวั แปรต่อเน่ืองและตวั แปรจําแนกประเภทมคี วามสาํ คญั เพราะส่งผล
ถงึ วธิ ี การวดั และวธิ กี ารประมวลผลความแตกต่างระหว่างตวั แปรกล่มุ ตวั แปรอนั ดบั และตวั แปรต่อเน่ืองจะ
มผี ลต่อการพจิ ารณาเลอื กใชส้ ถติ ใิ นการวเิ คราะห์

4) หากตวั สรา้ งนนั้ ประกอบดว้ ยหลายตวั บ่งช้ี จาํ เป็นตอ้ งกาํ หนดกฎการวดั (Measurement rule)
เพ่ือเป็ นการรวมค่าของแต่ละตัวบ่งช้ีมารวมกัน ซ่ึงอาจใช้วิธีไม่ถ่วงน้ําหนัก (Unweight) เช่น
วดั ความรจู้ ากขอ้ คาํ ถาม 2 ตอน ตอนท่ี 1 มี 5 ขอ้ ตอนท่ี 2 มี 10 ขอ้ ใหค้ ะแนนเทา่ กนั ขอ้ ละ 1 คะแนน ได้
คะแนนความรู้รวม 15 คะแนน เป็นต้น หรอื ใช้วธิ ีถ่วงน้ําหนัก (Weight) เช่น วดั ความรู้จากขอ้ คําถาม
2 ตอน ตอนท่ี 1 มี 5 ข้อ ให้คะแนนข้อละ 2 คะแนน ตอนท่ี 2 มี 10 ข้อ ให้คะแนนข้อละ 1 คะแนน
ไดค้ ะแนนความรรู้ วม 20 คะแนน เป็นตน้

เม่ือได้ค่าเป็นค่าเดียวแล้ว (ไม่ว่าจะเป็นค่าท่ีได้จากข้อบ่งช้เี ดียว หรอื หลายขอ้ บ่งช้รี วมกนั )
นกั วจิ ยั ต้องกําหนดว่าจะสรุปค่าท่กี ําหนดใหอ้ ยู่ในระดบั ความละเอยี ดใดจงึ จะเหมาะสมในการวเิ คราะห์
เช่น ผู้ป่ วยมีค่าความดันโลหิต Diastolic ท่ีระดับ 100 mmHg เม่ือได้รบั ยาแล้ววัดค่าความดนั โลหิต
diastolic ได้ 80 mmHg แสดงว่าค่า Diastolic ลดลง 20 mmHg หลังได้รับยา เป็ นการใช้ค่าท่ีวัดได้
เป็นลักษณะค่าตัวเลขต่อเน่ืองโดยตรง แต่หากผู้วิจัยวัดระดับน้ําตาลในเลือดผู้ป่ วยได้ค่าออกมา
200 mg/dl จะสรุปว่าระดบั น้ําตาลในเลือดสูงป่ วยเป็นเบาหวาน เป็นการสรุปค่าตัวเลขให้เป็น 2 กลุ่ม
(Dichotomous) คอื ป่วย-ไมป่ ่วย

เม่ือผ่านกระบวนการทัง้ 4 ขนั้ ตอนแล้ว ตัวสร้างท่ีกําหนดข้ึนซ่ึงมีลักษณะเป็นนามธรรม
กจ็ ะกลายสภาพเป็นตวั แปร (variable) ทม่ี คี วามเป็นรูปธรรมสามารถวดั ไดแ้ ละมคี า่ ทผ่ี นั แปรแตกต่างกนั
ออกไป หากค่าท่วี ดั ออกมาได้จากทุกหน่วยในการศกึ ษาได้ค่าเท่ากนั แม้จะผ่านกระบวนการขา้ งต้น
กไ็ มน่ บั วา่ เป็นตวั แปรเพราะมคี ่าไมแ่ ปรเปลย่ี นไดค้ ่าคงท่ี (constant) เมอ่ื เปรยี บเทยี บทุกหน่วยศกึ ษา

ในการวดั ตวั สรา้ งทต่ี วั แปรมอี งคป์ ระกอบ นกั วจิ ยั ตอ้ งจาํ แนกตวั แปรนนั้ ออกเป็นมติ ิ (Dimension)
ของตวั สรา้ งตามนิยาม อาทเิ ช่น หากต้องการวดั ความเฉลยี วฉลาดกต็ อ้ งมาพจิ ารณาก่อนว่าจะวดั ในมติ ิ
ใดบ้าง (Weschsler ให้ความหมายของ Intelligence ว่า "... the global capacity of a person to act
purposefully, to think rationally, and to deal effectively with his environment. ” ( Wechsler, 1939)
เป็นรากฐานสาํ คญั ใหม้ กี ารพฒั นาต่อเน่ืองมาจนถงึ ปัจจบุ นั )

189

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

บ่อยครงั้ ตวั สรา้ งทถ่ี ูกวดั อาจแสดงออกในรูปของปัจจยั ซง่ึ บางปัจจยั กอ็ าจแสดงค่าออกมาได้
จากตัวบ่งช้ีเพียงตัวเดียวหรืออาจมาจากตัวบ่งช้ีหลายตัว ตัวปัจจัยน้ีในทางการวัดจะนับว่าเป็ น
ตวั แปรแฝง (Latent variable) ใชส้ ญั ลกั ษณ์วงกลม สว่ นตวั บ่งชท้ี ส่ี ามารถวดั ไดจ้ ะนับวา่ เป็นตวั แปรสงั เกต
ได้ (Observe variable) ใชส้ ญั ลกั ษณ์สเ่ี หลย่ี ม

รปู ที่ 24 องคป์ ระกอบของปัจจยั
จากรปู จะเหน็ ไดว้ ่าแต่ละปัจจยั (Factor 1-3) จะประกอบไปดว้ ยขอ้ คาํ ถาม (y1-4, y5-6, y7-9)
ซ่ึงแต่ละปัจจัยนัน้ เรียกว่าเป็นตัวแปรแฝง (Latent variable) และข้อคําถามจะเรียกว่าเป็นตัวแปร
สงั เกตได้ (Observe variable)
ตวั เลขทไ่ี ดจ้ ากการวดั (y1-9) เป็นค่าคะแนนจากการสงั เกต (Observed score) ซง่ึ คะแนนจาก
การสงั เกตน้ีมคี วามแตกต่างจากคะแนนจรงิ (True score) เน่ืองจากอาจเกิดจากความคลาดเคล่ือน
ในการวดั หลายประการทงั้ จากเคร่ืองมอื วดั และกระบวนการวดั ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเคร่อื งชงั่ น้ําหนัก
ไม่ได้ถูกปรับตัง้ ค่าให้ได้มาตรฐานก่อนการชัง่ และพบว่าเคร่ืองชงั่ นัน้ แสดงน้ําหนักอยู่แล้ว 0.5 กก.
ทงั้ ทย่ี งั ไม่ได้วางน้ําหนักใดลงบนเคร่อื งชงั่ เม่อื เอาสงิ่ ของวางบนเคร่อื งชงั่ อ่านค่าได้ 2 กก. กแ็ สดงว่า
สง่ิ ของนนั่ มนี ้ําหนกั ทแ่ี ทจ้ รงิ เพยี ง 1.5 กก. ดงั นนั้ คา่ ทว่ี ดั ได้ 2 กก. (X) จงึ เท่ากบั ค่าจรงิ 1.5 กก. (T) รวม
กบั ค่าความคลาดเคล่อื น 0.5 กก. (e) ปรากฎการณ์น้ีตรงกบั ทฤษฎคี ะแนนจรงิ True score theory หรอื
Classical test theory

8.3 ทฤษฎีคะแนนจริง (True score theory)

ทฤษฎีคะแนนจรงิ (True score theory) หรอื เรยี กว่าทฤษฎกี ารทดสอบแบบดงั้ เดมิ (Classical
test theory) ทฤษฎนี ้อี ธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่างคะแนนทไ่ี ดจ้ ากการวดั และความคลาดเคล่อื นในการวดั
โดยมขี อ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ หลายประการ (Allen and Yen, 1979; Linn, 1989) ดงั น้ี

190

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

1. คะแนนทส่ี งั เกตได้ (Observed score) หรอื คะแนนทไ่ี ดจ้ ากการวดั ของแต่ละตวั อยา่ ง เป็นผล
รวมของคะแนนทแ่ี ทจ้ รงิ (True score) รวมกบั คะแนนความคลาดเคล่อื น (Error score) ของตวั อย่างนนั้

X = T+e
คะแนนทส่ี งั เกตได้ = คะแนนจรงิ + คะแนนความคลาดเคลอ่ื นวดั ไดจ้ ากแบบสอบถาม
2. คะแนนจรงิ เป็นค่าคาดหวงั (Expected value) หรอื ค่าเฉลย่ี ประชากร (Population average)
ของคะแนนสงั เกตไดห้ รอื คะแนนจรงิ เป็นค่าเฉลย่ี ของการแจกแจงตามทฤษฎี (Theoretical distribution)
ของคะแนนสงั เกตได้ทต่ี วั อย่างนัน้ ถูกทดสอบดว้ ยแบบทดสอบเดมิ หลาย ๆ ครงั้ (Repeated measure)
โดยการทดสอบแต่ละครงั้ เป็นอิสระต่อกนั เช่น นาย ก ทําแบบทดสอบฉบบั หน่ึงเป็นจํานวน 30 ครัง้
แต่ละครงั้ เป็นอสิ ระต่อกนั ปรากฏว่าครงั้ ท่ี 1 ได้ 45 เป็นคะแนนสงั เกตได้ ครงั้ ท่สี องได้ 60 ทําอย่างน้ี
ไปเร่อื ย ๆ 30 ครงั้ ค่าเฉล่ียของคะแนนสงั เกตได้ดงั กล่าวเท่ากนั 52 จะสรุปว่า นาย ก มคี ะแนนจริง
เท่ากบั 52

T = 52
3. คะแนนความคลาดเคล่อื นและคะแนนจรงิ ของประชากรผู้ทําแบบทดสอบฉบบั ใดฉบบั หน่ึง
ไม่มคี วามสมั พนั ธก์ นั
4. คะแนนความคลาดเคล่อื นในการทําแบบทดสอบฉบบั หน่ึง และคะแนนความคลาดเคล่อื น
ในการทําแบบทดสอบอีกฉบับหน่ึง (ฉบับท่ีสอง) ไม่มีความสัมพันธ์กนั คะแนนความคลาดเคล่ือน
ของแบบทดสอบสองฉบับท่ีแตกต่างกันไม่มีความสัมพันธ์กัน กล่าวคือ ผู้สอบคนหน่ึงมีคะแนน
ความคลาดเคล่ือนเป็นทางบวกในการทําแบบสอบฉบบั หน่ึง และอาจมคี วามคลาดเคล่อื นในทางบวก
หรอื ทางลบในการทาํ แบบสอบอกี ฉบบั หน่ึงกไ็ ด้
5. คะแนนความคลาดเคล่ือนในแบบทดสอบฉบับท่ีหน่ึง ไม่มีความสมั พนั ธ์กับคะแนนจริง
ในแบบทดสอบฉบับท่ีสอง ข้อตกลงเบ้ืองต้นเป็ นการนิยามความคลาดเคล่ือนของการวัด
เป็นความคลาดเคล่อื นแบบสมุ่ (Random error) อาจถกู ฝ่าฝืนได้ ถา้ แบบทดสอบฉบบั ทส่ี องวดั คณุ ลกั ษณะ
ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อการเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นในแบบทดสอบฉบบั ทห่ี น่ึง
6. แบบทดสอบฉบบั A และ B เป็นแบบทดสอบค่ขู นาน (Parallel tests) ถ้าคะแนนท่สี งั เกตได้
จากแบบทดสอบ A และ B เป็น Xa และ Xb ทเ่ี ป็นไปตามขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ เม่อื Xa = Ta+ea และ Xb =
Tb+eb แลว้ สาํ หรบั ประชากรผทู้ ดสอบทกุ คน จะได้ Ta = Tb และ σ2ea = σ2eb
เน่ืองจากในการทดสอบแต่ละครงั้ จะเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นขน้ึ แต่เป้าหมายของการวดั ตอ้ งการ
ใหค้ ะแนนทว่ี ดั ไดห้ รอื ทดสอบไดม้ คี า่ ใกลเ้ คยี งคะแนนจรงิ มากทส่ี ดุ ดงั นนั้ จงึ ต้องพยายามหาวธิ กี ารต่าง ๆ
เพ่อื ทําใหก้ ารวดั เกดิ ความคลาดเคล่อื นน้อยทส่ี ดุ เท่าทจ่ี ะทําไดภ้ ายใตข้ อ้ ตกลงเบอ้ื งต้นของทฤษฎคี ะแนน
จรงิ จงึ มขี อ้ พงึ ระวงั ทจ่ี ะเกดิ ความคลาดเคลอ่ื น ดงั น้ี
1) จากการกําหนดให้ความคลาดเคล่ือนรวมกนั เป็นค่าเดียว เหมือนกับมาจากแหล่งเดียว
(Single error component) จึงทําให้การประมาณค่าเช่อื มัน่ ท่ีได้รบั โดยวิธีการของ Spearman-Brown
มีค่าสูงกว่าท่ีควรจะเป็ น และถ้าใช้ Kuder Richardson (KR20) หรือ Cronbach Alpha’s Coefficient
จะไดค้ า่ ต่ํากว่าค่าทค่ี วรจะเป็น

191

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

2) ค่าสถติ ทิ อ่ี ธบิ ายลกั ษณะของขอ้ คําถาม (Item statistics) เชน่ ค่าความยาก ค่าอาํ นาจจาํ แนก
จะแปรผันตามลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง ดังนัน้ ถ้านําแบบทดสอบไปใช้กบั กลุ่มตัวอย่างท่ีมีระดับ
ความสามารถไม่เหมอื นกบั กลุ่มตวั อย่างทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหแ์ บบทดสอบแลว้ จะตอ้ งทําการประมาณค่า
ความเชอ่ื มนั่ ใหม่ เน่ืองจากค่าความเชอ่ื มนั่ มคี ่ามากน้อยเพยี งใดขน้ึ อยู่กบั ลกั ษณะการกระจายของคะแนน
ของกลมุ่ ตวั อย่างนนั้ ๆ ความยาวของแบบทดสอบ ค่าความยาก และ คา่ อาํ นาจจาํ แนก

3) การประมาณค่าความเช่ือมัน่ ตามข้อตกลงเบ้ืองต้นแบบคู่ขนาน (Parallel assumption)
ซง่ึ ในทางปฏบิ ตั เิ ป็นไปไดย้ าก จงึ ทาํ ใหเ้ กดิ ความคลาดเคล่อื นในการประมาณ

4) จากการกําหนดให้ความคลาดเคล่ือนจากการวัดของแต่ละคนมีค่าเท่ากัน โดยเป็ น
ความคลาดเคล่อื นมาตรฐานของการวดั แต่ในความเป็นจรงิ แลว้ ความคลาดเคลอ่ื นของการทาํ แบบทดสอบ
จะขน้ึ อย่กู บั ระดบั ของความสามารถของผสู้ อบแต่ละคน

5) ในการประมาณค่าความเทย่ี งท่วี เิ คราะหจ์ ากตวั ประกอบตวั เดยี ว ซง่ึ ไดแ้ ต่ขอ้ คําถาม (Item)
ไม่พจิ ารณาตวั ประกอบอ่นื ๆ เช่น ผู้ตรวจ จํานวนครงั้ ของการสอบ เป็นต้น จึงทําให้ค่าทป่ี ระมาณได้
มคี วามคลาดเคลอ่ื นและการนําผลทไ่ี ดไ้ ปสรุปอา้ งองิ จงึ ไมก่ วา้ งขวาง

จากแนวคิดของสมการดังกล่าว ได้นํามาสู่การสร้างข้อตกลงเบ้ืองต้นท่ีเก่ียวข้องกบั โมเดล
การวดั และแบบสอบคู่ขนานอย่หู ลายประการ และเป็นทม่ี าของวธิ กี ารวเิ คราะหข์ อ้ สอบตามแนวทฤษฎี
การทดสอบแบบดงั้ เดมิ ซง่ึ ประกอบดว้ ยตวั บง่ ชค้ี ุณภาพขอ้ สอบ 3 ประการ ไดแ้ ก่

1. ค่าความยากง่ายของขอ้ คาํ ถาม (Item difficulty)
2. ค่าอาํ นาจจาํ แนกของคาํ ถาม (Item discrimination) และ
3. ประสทิ ธภิ าพตวั ลวง (Item distractor)
หลกั การวิเคราะห์คุณภาพของข้อสอบจะอยู่บนพ้ืนฐานของคุณลักษณะ และจํานวนผู้สอบ
ในการสอบแต่ละครงั้ การวเิ คราะหค์ ่าความยากงา่ ยของขอ้ สอบจะคาํ นวณจากอตั ราสว่ นของจาํ นวนผสู้ อบ
ทต่ี อบขอ้ สอบถกู ต่อจาํ นวนผเู้ ขา้ สอบทงั้ หมด
การพฒั นามาตรวดั นําหลกั การขา้ งต้นมาประยุกต์ใชพ้ จิ ารณาคุณภาพของมาตรวดั ในสองมติ ิ
ดว้ ยกนั
1. ดา้ นคณุ ภาพของมาตรวดั มกี ารพจิ ารณาคุณสมบตั ดิ า้ นความน่าเช่อื ถอื (Reliability) ซง่ึ กค็ อื
ความคงท่ี (Stability) ความสม่ําเสมอในผลการวดั ท่เี กดิ จากการวดั ซ้ําด้วยมาตรวดั เดมิ หรอื คู่ขนานกนั
หรือจากความสอดคล้องภายใน (Internal consistency) ของการวัดเน้ือหาเดียวกันส่วนคุณสมบัติ
อกี ประการ คือ คุณสมบตั ิด้านความถูกต้อง (Validity) ซ่งึ นับเป็นคุณสมบตั ิท่สี ําคญั ท่สี ุดของมาตรวดั
ซง่ึ ประกอบดว้ ยการตรวจสอบความถูกต้องตามเน้อื หาความถูกตอ้ งตามเกณฑส์ มั พนั ธ์ และความถูกต้อง
เชงิ ทฤษฎี
2. ด้านคุณภาพของมาตรวดั (เพราะมาตรวดั ทต่ี ้องการวดั ความรู้ จะมกี ารคํานวณหาค่าดชั นี
ของการวเิ คราะหค์ ุณภาพใน 3 ลกั ษณะ คอื ค่าระดบั ความยากง่าย คา่ อาํ นาจจาํ แนก และ คา่ ประสทิ ธภิ าพ
ตัวลวง โดยมีแนวคิดและการพัฒนาดชั นีสําหรับวัดความสอดคล้องของการเลือกตัวเลือก (Choice-
agreement index) ทฤษฎกี ารทดสอบแบบดงั้ เดมิ มขี อ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ หลายขอ้ ซง่ึ นกั วชิ าการจาํ นวนหน่ึง

192

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

เหน็ วา่ เป็นขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ ทไ่ี ม่สมเหตุสมผล (weak assumption) และไม่สอดคลอ้ งกบั สภาพในปัจจุบนั
ไม่ว่าจะเป็นการกําหนดให้ค่าความคลาดเคล่ือนมีความเท่ากนั ในทุกตัวอย่างหรือข้อตกลงเก่ียวกับ
ความเป็นคู่ขนานของการทดสอบทเ่ี ป็นไปได้ยากในทางปฏบิ ตั ิ Hambleton และ Swaminathan (1985)
ไดก้ ลา่ วถงึ ขอ้ ดอ้ ยของการวเิ คราะหค์ ุณภาพขอ้ สอบตามทฤษฎกี ารทดสอบแบบดงั้ เดมิ ไว้ 5 ประการ ดงั น้ี

1) ค่าสถิติท่ใี ช้ในการวิเคราะห์ เช่น ค่าความยากง่าย และค่าอํานาจจําแนกขน้ึ อยู่กบั
กลุ่มตวั อย่างทเ่ี ขา้ ทดสอบในแต่ละครงั้ เช่น หากกลุ่มตวั อย่างมคี วามสามารถแตกต่าง
กันมาก (Heterogeneous in ability) ดัชนีค่าความยากง่าย และค่าอํานาจจําแนก
จะมแี นวโน้มสงู เป็นตน้

2) วิธีการและเทคนิคการออกแบบมาตรวัด และการวิเคราะห์เพ่ือการเปรียบเทียบ
ค่าความสามารถของตวั อย่างท่วี ดั ไดข้ น้ึ อยู่กบั ชุดของแบบสอบถามทเ่ี ป็นคู่ขนานกนั
ภายใต้สถานการณ์เดยี วกนั นอกจากน้ียงั ไม่สามารถเปรยี บเทยี บกนั ได้ เช่น ผูส้ อบ
ทไ่ี ดค้ ะแนน 60 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในแบบสอบถามชุดแรก มคี วามสามารถทส่ี ูงหรอื ต่ํากว่า
ผสู้ อบทไ่ี ดค้ ะแนน 40 เปอรเ์ ซน็ ต์ จากแบบสอบถามชุดอน่ื

3) การคํานวณค่าความเทย่ี งของแบบสอบถาม กาํ หนดจากส่วนของความเป็นแบบสอบ
ค่ขู นานซง่ึ มคี วามเป็นไปไดย้ ากทจ่ี ะปฏบิ ตั ไิ ดจ้ รงิ

4) ทฤษฎีการทดสอบแบบดงั้ เดิมไม่มีสารสนเทศท่ีจะบ่งช้ีว่าผู้สอบแต่ละคนมีโอกาส
ท่จี ะตอบขอ้ สอบไดถ้ ูกต้องในระดบั ใด ซ่งึ สารสนเทศน้ีมคี วามจําเป็นอย่างยิ่งต่อการ
ออกแบบ แบบทดสอบปรบั ใหเ้ หมาะสมทม่ี รี ะดบั ความยากงา่ ยของขอ้ สอบเหมาะสมกบั
ระดบั ความสามารถของผูส้ อบ (Tailor test) หรอื แบบทดสอบทส่ี ามารถคดั เลอื กขอ้ สอบ
ทเ่ี หมาะสมกบั ความสามารถของผูส้ อบไดด้ ว้ ยระบบคอมพวิ เตอร์ (Computer adaptive
testing)

5) ทฤษฎีการทดสอบแบบดงั้ เดมิ สมมติว่าความแปรปรวนของความคลาดเคล่ือนของ
การวดั (Error of measurement) มคี ่าเทา่ กนั ในผสู้ อบทุกคน

หลกั การทส่ี าํ คญั ของทฤษฎคี ะแนนจรงิ (True score theory) หรอื ทฤษฎกี ารทดสอบแบบดงั้ เดมิ
(Classical test theory) ก็คือทฤษฎีท่ีมุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนท่ีสงั เกตได้กับคะแนน
ความสามารถทแ่ี ทจ้ รงิ ของตวั อยา่ ง ซง่ึ เป็นรากฐานทส่ี าํ คญั ของการพฒั นามาตรวดั

8.4 ความแม่นตรง (Validity)

นักวิจัยต้องพยายามท่ีจะวัดข้อมูลในเชิงวัตถุวิสัย (Objective) เน่ืองจาก สามารถ
ลดความคลาดเคล่ือนท่ีอาจเกิดจากตัวผู้สงั เกตได้ อย่างไรก็ตาม พบว่ามีเคร่ืองมือวัดจํานวนมาก
ทไ่ี ม่สามารถวดั ขอ้ มูลในลกั ษณะทเ่ี ป็นวตั ถุวสิ ยั ไดท้ งั้ หมด ยงั คงดําเนินการวดั ในลกั ษณะท่เี ป็นอตั วสิ ยั
(Subjective) ทาํ ใหเ้ กดิ ความเคล่อื นในค่าของผลลพั ธท์ ว่ี ดั ได้

193

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

ขอ้ พจิ ารณาในการเลอื กตวั วดั หรอื เครอ่ื งมอื วดั มสี ง่ิ ทต่ี อ้ งพจิ ารณา 7 ประการ คอื
1. ความแมน่ ตรงของเครอ่ื งมอื วดั หมายถงึ เครอ่ื งมอื วดั นนั้ วดั คา่ ทถ่ี ูกตอ้ งใกลเ้ คยี งความเป็นจรงิ
2. ความน่าเช่อื ถอื หมายถงึ ความสามารถของเคร่อื งมอื ทว่ี ดั แลว้ ใหค้ ่าไม่แตกต่างจากเดมิ
3. เคร่อื งมอื นนั้ ตอ้ งสามารถเขา้ ถงึ ได้ สาํ หรบั ผปู้ ่วยทกุ ราย
4. เคร่อื งมอื นนั้ สามารถหาไดโ้ ดยง่าย
5. เคร่อื งมอื นนั้ ตอ้ งมคี า่ ใชจ้ า่ ยทเ่ี หมาะสม
6. เครอ่ื งมอื นนั้ ตอ้ งไดร้ บั การยอมรบั โดยทวั่ ไป
7. เคร่อื งมอื นนั้ ตอ้ งสามารถใชว้ ดั ไดใ้ นสภาพความเป็นจรงิ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นหลักในการพิจารณาเคร่ืองมือมักจะพิจารณาท่ีความแม่นตรงและ
ความน่าเชอ่ื ถอื
ความแม่นตรง (Validity) เป็นความคลาดเคลอ่ื นเชงิ ระบบซง่ึ สามารถพยากรณ์ได้ กาํ หนดใหม้ าก
หรือน้อยได้ และมีความเก่ียวข้องกบั อคติ อนั ท่ีจริงความคลาดเคล่ือนเชิงระบบน้ีสามารถจัดการให้
ลดลงได้ และทําให้ความแม่นตรงเพิ่มข้นึ ได้ด้วยการวางแผนการวดั อย่างระมัดระวงั กําหนดนิยาม
เชิงปฏิบตั ิการให้ชัดเจนรวมทงั้ การตรวจสอบและปรับแก้เคร่ืองมืออย่างสม่ําเสมอ โดยทัว่ ไปแล้ว
ความแม่นตรงของเคร่อื งมอื ทน่ี ิยมใชจ้ ะพจิ ารณาแบ่งแยกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คอื ความแม่นตรง
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เน้ือหา ความแมน่ ตรงทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ บั เกณฑท์ ก่ี าํ หนด และ ความแม่นตรงทส่ี รา้ งขน้ึ
8.4.1 ความแม่นตรงเชิงเนื้อหา
หากการวดั มุ่งเน้นไปท่ีความสามารถของเคร่ืองมือในการท่ีได้ผลเหมอื นเดิม จําเป็นต้องให้
ความสําคัญกับการวัดในสิ่งท่ีควรจะวัดซ่ึงมีความตรงไปตรงมา เช่น การวัดความดันโลหิตท่ีแขน
ซ่งึ อาจเปรียบเทยี บระดบั ความดนั ท่วี ดั ได้จากการวดั ระดบั ความดนั โลหติ ท่ีหวั ใจ เป็นความแม่นตรง
เชงิ เน้อื หา (Content validity) ซง่ึ มกั มที ม่ี าจากการทบทวนทฤษฎตี ่าง ๆ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ
โดยทวั่ ไปการวดั ในการวจิ ยั ไม่ตรงไปตรงมาเพราะนักวจิ ยั จะแสดงให้เหน็ ว่าการวดั นัน้ ได้วดั
ในแนวคิดท่ีกําหนดตามคํานิยามท่ีแตกต่างไปจากทฤษฎีท่ีมีลักษณะสากล (Universal) นักวิจัย
จะกาํ หนดคาํ นิยามเฉพาะทจ่ี ะใชก้ ารวจิ ยั ของตน (Operational definition) ซง่ึ ควรจะเหมอื นหรอื คลา้ ยกบั
สง่ิ ท่ีนักวิจยั อ่ืนใช้ (บางครงั้ ก็อาจแตกต่างมาก) ซ่ึงเป็นหลกั สําคัญในการวิจยั เร่อื งนัน้ ๆ วธิ ีการหน่ึง
ทม่ี กั นยิ มใชก้ ค็ อื การถามกลุ่มผเู้ ชย่ี วชาญ (Expert) ว่า ตวั วดั ทค่ี ดิ ขน้ึ มคี วามสมเหตุสมผลกบั แนวคดิ วจิ ยั
หรือไม่ (สันนิษฐานในเบ้ืองต้นว่าผู้เช่ียวชาญมีความรู้ในเน้ือหาดี มีประสบการณ์ในเร่ืองนัน้ มาก
น่าจะสามารถให้ข้อคิดได้) บางครัง้ วิธีการขอให้ผู้เช่ียวชาญดูน้ีเรียกว่า ความแม่นตรงเฉพาะหน้า
(Face validity) ผู้เช่ียวชาญสามารถให้ความเห็นได้ว่าอะไรคือแนวคิดสําคัญและแก่นองค์ประกอบ
ของแนวคดิ นนั้ ๆ ความเหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญอาจพอสรปุ ภาพไดว้ า่ เครอ่ื งมอื วดั มคี วามเหมาะสม
ในสว่ นของความแม่นตรงทเ่ี กย่ี วกบั เน้อื หานนั้ มกั รจู้ กั ในนามทเ่ี รยี กว่าความแม่นตรงเชงิ เน้ือหา
(Content validity) แต่ปัจจุบนั ตําราดา้ นการวดั หลายเล่มได้แบ่งแยกความแม่นตรงเชิงเน้ือหาออกเป็น
ความแม่นตรงเฉพาะหน้า (Face validity) และความแม่นตรงเชงิ เน้ือหา (Content validity ) ออกจากกนั

194

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

Face validity ในตําราดา้ นการวดั ในต่างประเทศกําหนดให้ Face validity น้ีเป็นความแม่นตรง
เฉพาะหน้าหมายความว่า เป็นความแม่นตรงทบ่ี ุคคลใดบคุ คลหน่ึงพจิ ารณาเคร่อื งมอื แลว้ ใหค้ วามเหน็ ว่า
เครอ่ื งมอื นนั้ ๆ มคี วามเหมาะสมหรอื ไม่ ซง่ึ กฎเกณฑใ์ นการวนิ จิ ฉยั ของแต่ละบคุ คลย่อมแตกต่างกนั ไป จงึ
มลี กั ษณะเสมอื นหน่ึงเป็นความคดิ เหน็ ของบุคคล ซ่งึ อาจมเี กณฑ์ทเ่ี หมอื นหรอื แตกต่างจากคนอ่นื กไ็ ด้
ในวทิ ยาการวดั นับว่าความแม่นตรงชนิดน้ี เป็นความแม่นตรงทม่ี คี วามน่าเช่อื ถอื น้อยท่ีสุด แต่นักวจิ ยั
จํานวนหน่ึงเห็นว่าความแม่นตรงชนิดน้ีเหมือนกบั ความแม่นตรงเชิงเน้ือหา เป็นการคาดประมาณว่า
เคร่อื งมอื จะสะท้อนว่าคุณลกั ษณะของสง่ิ ทจ่ี ะวดั ในด้านเน้ือหาเป็นอย่างไร ครอบคลุมเพยี งพอประเดน็
เหล่านัน้ หรือไม่ ในความแม่นตรงทางเน้ือหาน้ีหากมีทฤษฎีอยู่กใ็ ช้ขอบเขตของทฤษฎีเป็นตวั กําหนด
แต่หากทฤษฎขี าดความชดั เจนกส็ ามารถใหผ้ ูเ้ ชย่ี วชาญแสดงความเหน็ หรอื รวบรวมการแสดงความเหน็
จากผเู้ ชย่ี วชาญได้

มีวิธีการท่ีอาจดีกว่า คือ การสงั เกตผู้ป่ วย การสัมภาษณ์ผู้ป่ วย และดูผลท่ีผ่านมา เพ่ือท่ี
จะใหม้ นั่ ใจว่าวธิ กี ารวดั ต่อไปน้ีจะมคี วามเหมาะสมทจ่ี ะวดั เน้ือหาท่ตี ้องการ อย่างไรกด็ ใี นการวเิ คราะห์
ขนั้ สุดท้ายมักข้ึนอยู่กับความเห็นของผู้รู้หรือผู้เช่ียวชาญ (เน่ืองจากความเห็นของผู้รู้มักผูกขาด
ความคดิ เห็นของสงั คมซ่ึงบางครงั้ อาจไม่ถูกต้องนัก นักวิชาการควรยดึ หลกั การมากกว่ายึดบุคคล)
สงิ่ น้ีทําใหค้ วามแม่นตรงเชงิ เน้ือหาเป็นความแม่นตรงทม่ี คี วามน่าเช่อื ถอื ไม่สูงมากนัก เน่ืองจากนกั วจิ ยั
อาจร้องขอเพ่ือน ผู้บงั คบั บัญชา หรือ ผู้ใต้บงั คับบัญชา ให้ความเห็นได้ ความแม่นตรงท่ีดีกว่า คือ
ความแม่นตรงเชงิ เกณฑส์ มั พนั ธ์

8.4.2 ความแมน่ ตรงเชิงเกณฑส์ มั พนั ธ์
จากจุดอ่อนของความแม่นตรงเชิงเน้ือหาด้วยความคิดของผู้เช่ียวชาญ ซ่ึงบ่อยครัง้
เป็นจุดอ่อน วธิ กี ารท่มี จี ุดแขง็ มากกว่า คอื ความแม่นตรงเชงิ เกณฑส์ มั พนั ธ์ (Criterion related validity)
ซง่ึ เปรยี บเทยี บไปหาวธิ มี าตรฐานโดยทวั่ ไปแบง่ ออกได้ 2 ประเภท ตามระยะเวลาคอื 1) การเปรยี บเทยี บ
ในเวลาเดยี วกนั ซ่งึ เรยี กว่า ความแม่นตรงปัจจุบนั (Concurrent validity) ใชเ้ ม่อื ตวั วดั มคี วามสมั พนั ธก์ บั
ผลท่ตี อ้ งการทราบในขณะนัน้ แต่หากตวั วดั ต้องใชใ้ นการพยากรณ์หรอื ยนื ยนั ผลการทดสอบในอนาคต
จะเรยี กว่าความแม่นตรงพยากรณ์ (Predictive validity) ดชั นีต่าง ๆ ในเกณฑ์เหล่าน้ีจะดูค่าสมั ประสทิ ธิ์
ความสมั พนั ธ์ระหว่างคะแนนของเคร่อื งมอื ท่ีใช้กบั ค่าท่ไี ด้จากเคร่อื งมอื มาตรฐานท่วี ดั ในปัจจุบนั หรือ
วดั ในอนาคต
การเปรยี บเทยี บระหว่างความดนั โลหติ ทว่ี ดั จากเคร่อื งความดนั โลหติ ชนดิ ปรอทเป็นตวั อยา่ งทด่ี ี
ทส่ี ะทอ้ นวธิ กี ารวดั ทม่ี าตรฐาน เหมาะสมสาํ หรบั การพฒั นาตวั วดั ใหม่ ในการวดั ภาวะซมึ เศรา้ มเี คร่อื งมอื
วดั สองชนิดทส่ี นั้ และราคาถูก คอื Beck Depression Inventory (BDI) และมาตรวดั CESD หากจะพฒั นา
เคร่ืองมือวัดใหม่ก็จะต้องเลือกท่ีดีกว่า ซ่ึงไม่ได้แสดงแต่ความสอดคล้องของค่าคะแนนเท่านั้น
แต่ความสอดคลอ้ งของค่าคะแนนตอ้ งอย่ใู กล้ 1 และตอ้ งพฒั นาให้ง่ายกว่า ถูกกว่า และวดั ในสงิ่ ท่คี วรวดั
ดว้ ย
ความแมน่ ตรงเชงิ เกณฑส์ มั พนั ธ์ เป็นการเปรยี บเทยี บระหวา่ งเคร่อื งมอื ทพ่ี ฒั นาขน้ึ ใหม่กบั เกณฑ์
ตดั สนิ ของเคร่อื งมอื ทม่ี อี ยู่แลว้ ทเ่ี ป็นมาตรฐานในแง่ของการวนิ ิจฉัยโรค หรอื อาจใชพ้ ยากรณ์เหตุการณ์ท่ี

195

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

เกดิ ขน้ึ ในอนาคตกไ็ ด้ ในทางการแพทยม์ าตรฐานการวนิ ิจฉยั โรคมกั ถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ตวั เลอื ก คอื
ป่วย หรอื ไม่ป่วย ดงั นนั้ เครอ่ื งมอื ทค่ี ดิ ขน้ึ มาใหมจ่ ะตอ้ งสามารถจาํ แนกตวั แปรออกเป็น ป่วย และ ไมป่ ่วย
เช่นเดยี วกนั เคร่อื งมอื ทด่ี ตี อ้ งมคี วามสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานเดมิ ใหค้ า่ ความถูกตอ้ งทุกประการ แต่ในการ
พฒั นาเคร่อื งมอื โดยทวั่ ไปพบว่า เคร่อื งมอื ทพ่ี ฒั นาขน้ึ ใหม่อาจเป็นเคร่อื งมอื ทม่ี รี าคาถูกกว่าทาํ ใหผ้ ูป้ ่ วย
ทุกทรมานน้อยกว่า ใชเ้ วลาสนั้ กว่า แต่อาจใหค้ วามแม่นยําไดไ้ ม่เท่าของเดมิ จงึ มกี ารหาค่าความพรอ้ ม
ของเครอ่ื งมอื ทงั้ สองชนดิ น้ี เป็นคา่ ความไวและค่าความจาํ เพาะ

8.4.3 ความแม่นตรงเชิงตวั สรา้ ง
ความแม่นตรงท่ีมีการนําไปใช้มากแต่มักมีความเข้าใจน้อยคือ ความถูกต้องเชิงตัวสร้าง
(construct validity) นักวชิ าการบางท่านเรยี กว่า ความถูกต้องเชงิ โครงสร้าง ซ่ึงอาจทําให้ความหมาย
คลาดเคล่ือนออกไปจากเดิม และเป็ นท่ีมาของความเข้าใจผิดในภายหลัง ในท่ีน้ี จึงจะใช้คําว่า
ความแมน่ ตรงเชงิ ตวั สรา้ ง
ความถูกต้องเชงิ ตวั สรา้ ง (Construct validity) ใชเ้ ม่อื ไมม่ รี ายละเอยี ดของเคร่อื งมอื วดั ทถ่ี กู สรา้ ง
ไวก้ อ่ น เป็นการทดสอบความสมั พนั ธร์ ะหว่างเครอ่ื งมอื วดั ทส่ี รา้ งขน้ึ กบั ตวั ชว้ี ดั ทส่ี ะทอ้ นสง่ิ เดยี วกนั ในทาง
ทฤษฎี ซง่ึ ตวั ชว้ี ดั ทม่ี อี ยู่แลว้ เป็นตวั ชว้ี ดั ทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั ดงั นนั้ เคร่อื งมอื วดั ใหม่จงึ นําค่าคะแนนไปหา
ความสมั พนั ธ์ หากผลออกมาไปในทศิ ทางเดยี วกนั กแ็ สดงว่าสมมุตฐิ านของเคร่อื งมอื ทส่ี รา้ งขน้ึ ถูกต้อง
ตอ้ งเขา้ ใจว่าไมไ่ ดม้ คี วามพยายามทดสอบความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสองเคร่อื งมอื นักวจิ ยั ไม่ไดพ้ ยายามทจ่ี ะ
บอกวา่ เครอ่ื งมอื วดั ทส่ี รา้ งขน้ึ ไมถ่ กู ตอ้ งหรอื ทฤษฎไี ม่ถูกตอ้ ง ตวั อยา่ งเชน่ การพฒั นาเครอ่ื งมอื วดั คุณภาพ
ชวี ติ ของผปู้ ่วย นกั วจิ ยั ตงั้ สมมุตฐิ านว่าเคร่อื งมอื วดั ควรตอ้ งมคี วามสมั พนั ธอ์ ยา่ งแนบแน่นกบั การทาํ หน้าท่ี
ของอวัยวะต่าง ๆ และไม่ควรสัมพันธ์กบั การพัฒนาโรค เช่น การสะสมของหินปูน ข้อเส่ือม ฯลฯ
เม่ือนักวิจัยหวังว่าจะวัดผู้ป่ วยด้วยโรคนัน้ ก็จะตัง้ ข้อสมมติฐานว่าค่าคะแนนไม่ควรจะสมั พันธ์กับ
ธรรมชาตขิ องโรค
พงึ สงั เกตว่า การตัง้ วตั ถุประสงค์ของความถูกต้องเชิงตวั สร้างน้ีไม่มคี ําตอบทถ่ี ูก สมมติฐาน
บางข้อถูก บางขอ้ ผดิ และการตดั สนิ ว่ามีความถูกต้องหรือไม่ข้นึ อยู่กบั การถ่วงน้ําหนักของสงิ่ ต่าง ๆ
ในขนั้ ตอนของการสรา้ งเครอ่ื งมอื
Construct validity เป็นการประเมนิ เคร่อื งมอื ในแง่มุมของความหมายและขอบเขตของเน้ือหา
ตามข้อสมมติฐาน โดยใช้การสร้างองค์ประกอบข้นึ มาเปรียบเทียบกับนิยามท่ีได้รับการยอมรบั กัน
โดยทวั่ ไปวา่ ตวั สรา้ งมอี งคป์ ระกอบครบถว้ น และใหค้ า่ สอดคลอ้ งกบั นิยามภาพรวมทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั มาก
น้อยเพยี งใด

8.5 ความน่าเชื่อถอื (Reliability)

ค่าความน่าเช่ือถือ (Reliability) เป็นการวดั ความมากน้อยท่เี คร่อื งมอื วดั จะให้ผลเหมือนเดมิ
เม่ือนําไปใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ (เช่น ผู้สังเกตต่างกัน หรือ สงั เกตคนละวัน) แต่ความสามารถ
ในการให้ผล (Reproducibility) เป็นการเปรียบเทียบตัวแปรในต่างสถานการณ์ (ความคาดเคล่ือน

196

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ของความแปรปรวน) เม่ือเปรียบเทียบกับความผันแปรท่ีแท้จริง (ความแปรปรวนในกลุ่มผู้ป่ วย)
ค่าสมั ประสทิ ธคิ์ วามเช่อื ถอื ไดห้ าได้ ดงั น้ี

ความน่าเชอ่ื ถอื = ความแปรปรวนในผปู้ ่วย
ความแปรปรวนในผปู้ ่วย+ความคลาดเคล่อื นของความแปรปรวน

คาํ จํากดั ความของความน่าเช่อื ถอื คอื สดั สว่ นของความแปรปรวนจรงิ ในผปู้ ่วย ซง่ึ สนั นษิ ฐานว่า
ผู้ป่ วยเหล่านัน้ มีลกั ษณะเป็นเอกพนั ธ์ (Homogeneous) ในตัวแปรท่ีสนใจ ถ้าความคลาดเคล่ือนของ
ความแปรปรวนมคี ่าเขา้ ใกล้ 0 กจ็ ะทําใหค้ ่าความน่าเช่อื ถอื สูงขน้ึ ดงั นัน้ ความน่าเช่อื ถอื กอ็ าจจะแสดง
ความสามารถในการจาํ แนกผปู้ ่วยในประเดน็ ทศ่ี กึ ษา

คําจํากดั ความของความน่าเช่ือถืออาจดูซับซ้อน แต่การทดสอบอาจเขา้ ใจได้ง่ายข้ึนเพราะ
จุดมุ่งหมายของการวัด คือ การจําแนกแยกแยะผู้ป่ วย และหากผู้ป่ วยทุกคนในประชากรศึกษา
ให้ค่า ๆ เดยี วกนั ในตวั แปรท่ีสนใจ จึงไม่มเี หตุผลใดท่ีจะต้องศกึ ษาต่อไป เพราะอาจคาดคะเนได้ว่า
ผปู้ ่วยคนต่อไปกจ็ ะมคี า่ เช่นเดมิ

Reliability เป็นการวดั อตั ราส่วนของความแปรปรวนระหว่างรายขอ้ ไปถงึ ค่าคะแนนรวมทงั้ หมด
หรอื อกี อยา่ งคอื เป็นการวดั อตั ราสว่ นของความแปรปรวนของคะแนนทเ่ี ป็นคะแนนแตกต่างระหวา่ งรายขอ้

 ค่า Reliability มคี ่า 0-1
 ถา้ Reliability = 0 หมายถงึ ไมม่ คี วามน่าเช่อื ถอื
 ถา้ Reliability = 1 หมายถงึ น่าเชอ่ื ถอื
 คา่ Reliability เป็นการรวมอตั ราสว่ นของ Validity ระหวา่ ง Subject จนถงึ คา่ รวมทงั้ หมด

Standard of acceptable reliability การวัด Reliability coefficient มีค่า 0-1 มีผู้เขียนท่ีให้ค่า
ระดบั ของ Reliability ทแ่ี ตกต่างกนั ไป ถ้า Internal consistency เกินกว่า 0.8 ถอื วา่ ดี

ความน่าเชอ่ื ถอื (Reliability) คอื ความสามารถของเคร่อื งมอื ทใ่ี หผ้ ลเหมอื นเดมิ เม่อื มคี วามจาํ เป็น
ต้องวัดซ้ําในปรากฏการณ์ท่ีไม่เปล่ียนแปลง ดังนัน้ ค่าความน่าเช่ือถือน้ี จึงมีความเก่ียวข้องกับ
ความคลาดเคล่ือนเชิงสุ่ม ซ่ึงมีคําท่ีนิยมใช้ในทางการวิจัยทางการแพทย์อยู่ 4 คํา คือ Reliability,
Reproducibility, Precision และ Consistency

ในวทิ ยาการดา้ นการวดั พจิ ารณาความน่าเช่อื ถอื ออกเป็น 2 ประเภท คอื
1. Stability เป็นการวัดเพ่ือท่ีจะดูผลเม่ือโอกาสนัน้ แตกต่างกัน เช่น ต้องการดูระดับของ
Agreement ระหว่าง Observer (Inter observer reliability); Agreement ระหว่างการสงั เกตเหมอื นกนั แต่
ช่วงเวลาต่างกนั (Intra observer reliability); การสงั เกตผู้ป่ วยใน 2 ช่วงเวลา (Test-retest reliability)
การตดั สนิ คา่ ของการวดั อาจจะอยบู่ นพน้ื ฐานขอ้ มลู บางอย่างทผ่ี วู้ จิ ยั มอี ยแู่ ลว้

197

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

1) Intra - observer คอื การใช้ผวู้ ดั หรอื ผสู้ งั เกตเพยี งคนเดยี ว สงั เกตปรากฏการณ์ 2 ครงั้
ในช่วงเวลาต่างกนั แลว้ พจิ ารณาดูว่า ถา้ ปรากฎการณ์นนั้ ไม่เปลย่ี นแปลง ผสู้ งั เกตจะวดั
ค่าออกมาไดเ้ ท่ากนั หรอื ไม่ หากไม่ใชผ้ สู้ งั เกตกอ็ าจใชก้ ารทดสอบดว้ ยแบบทดสอบแทน
หากเคร่ืองมอื วดั มคี วามน่าเช่อื ถือเม่อื นําไปวดั ในของสงิ่ เดมิ กค็ วรต้องให้ค่าระหว่าง
ครงั้ ท่ี 1 และครงั้ ท่ี 2 เหมอื นเดมิ วธิ กี ารน้ีเรยี กว่า Test retest

2) Inter - observer เป็ นการพิจารณาดูว่า กฎเกณฑ์ท่ีผู้สังเกต 2 คน ใช้สังเกตของ
สง่ิ เดยี วกนั ให้ค่าเหมือนกนั หรือไม่ เช่น ใหผ้ ู้สงั เกต 2 คน ดูคนไขค้ นเดียวกนั ในเวลา
เดยี วกนั และว่าป่วยเหมอื นกนั หรอื ไม่

3) Test - retest เป็นการใช้เคร่ืองมือช้ินเดิมวดั 2 ครงั้ แล้วดูผลว่าจะได้ตรงกันหรือไม่
คลา้ ยกบั วธิ กี ารของ Intra observer

4) Parallel form เป็นการพจิ ารณาว่าหากใชเ้ คร่อื งมอื ในการเกบ็ ขอ้ มลู ต่างชนิดกนั
วดั ปรากฏการณ์เดยี วกนั จะใหค้ ่าเหมอื นกนั หรอื ไม่ วธิ กี ารน้มี ลี กั ษณะคลา้ ย Inter observer

2. Internal consistency ในบางกรณีไม่สามารถจะใช้เคร่ืองมือชนิดเดียวกันวดั 2 ครัง้ ได้
เช่นการวัดความรู้ เน่ืองจากความรู้ของผู้ตอบเปล่ียนแปลงไปเร็วมาก ดังนั้น วิธีการพิจารณา
ความน่าเช่ือถือ จงึ พิจารณาจากทิศทางของคําถามมีความสอดคล้องกนั ระหว่างข้อกบั เร่อื งท่ีจะวัด
โดยสนั นิษฐานว่าผู้ตอบท่ีมีลกั ษณะอย่างหน่ึงน่าจะตอบคําถามไปในลกั ษณะและทิศทางนัน้ ในทุกข้อ
ไปในทศิ ทางเดยี วกนั

8.6 ข้อพิจารณา

รูปแบบของ Validity และ Reliability ทม่ี องเห็นได้เป็นเพยี งการทดสอบบางประการทางสถิติ
แมว้ า่ จะมวี ธิ กี ารประเมนิ และคาํ อธบิ ายมากมาย แต่มี 2 กรณีทค่ี วรจะทราบ

8.6.1 เม่ือมีมาตรวดั อยู่แล้ว ในกรณีทม่ี มี าตรวดั อยู่แลว้ มเี คร่อื งมอื ท่จี ะใชว้ จิ ยั ชดั เจน ดงั นัน้
มาตรวัดเดิมและมาตรวัดใหม่ท่ีวัดในกลุ่มตัวอย่างเดียวกัน ต้องมีความสมั พันธ์กันอย่างแนบแน่น
แต่มขี อ้ พงึ ระวงั 2 ประการ คอื 1) มาตรวดั ใหม่ตอ้ งดกี วา่ มาตรวดั เก่า อาทใิ หค้ ่าทถ่ี กู ตอ้ งแมน่ ยาํ กวา่ หรอื
มฉิ ะนัน้ กต็ ้องสะดวกกว่า ใช้งานได้ง่ายกว่า และ 2) มาตรวดั ย่อมมีค่าความคลาดเคล่อื นรวมอยู่ด้วย
ดงั นนั้ ค่าความสมั พนั ธท์ ไ่ี ดจ้ งึ มกั อยใู่ นระดบั 0.4-0.7 ซง่ึ ถอื เป็นความสมั พนั ธป์ านกลาง

8.6.2 เม่ือไม่มีมาตรวดั อยู่เดิม ควรเร่ิมจาก Construct validity จะเริ่มหาความเช่ือมโยง
คุณลกั ษณะ อาจจะวดั คุณลกั ษณะบางอย่างจากสมมติฐานทต่ี งั้ ไว้ หรอื ดูจาก Construct โดยปกติแล้ว
การตงั้ สมมตฐิ านจะดคู วามแตกต่างระหว่างกลุ่มตวั อย่าง 1 หรอื 2 กลุ่ม ซง่ึ คาดว่าจะมคี วามแตกต่างกนั
กจ็ ะใชเ้ คร่อื งมอื ในการประเมนิ ถา้ ผลออกมาว่าตอบสมมตฐิ านการวดั ของเรากถ็ อื วา่ ดี ถ้าไมต่ อบสมมตฐิ าน
กอ็ าจจะเกดิ จากการวดั ท่ผี ดิ หรอื สมมตฐิ านท่ตี งั้ ไม่ดี ตวั อย่างเช่น การใช้ biochemical ในการทดสอบ
น้ําตาลในเลือด ผู้ท่ีเป็นเบาหวานจะมีน้ําตาลในเลือดสูงกว่าค่าปกติ มีสมมติฐานท่ีสามารถทดสอบ
ใหเ้ หน็ ได้ คอื

198

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

 ผทู้ ถ่ี ูกวนิ ิจฉยั เบาหวานจากเกณฑท์ างคลนิ กิ อาจจะมนี ้ําตาลในเลอื ดสงู กวา่ กลมุ่ ควบคุม
 ผทู้ ป่ี ัสสาวะมนี ้ําตาลอาจจะมนี ้ําตาลในเลอื ดสงู กว่าคนทป่ี ัสสาวะปกติ
 การฉดี อนิ ซลู นิ อาจจะทาํ ใหร้ ะดบั น้ําตาลในเลอื ดลดลงได้
สมมติฐานน้ีอาจจะไม่ได้รับการทดสอบทงั้ หมด แต่ในแต่ละสมมติฐานต้องทดสอบแบบการ
ทดลอง ซง่ึ Construct เหลา่ น้ีสามารถนํามาสรา้ งเป็นเคร่อื งมอื ได้
ในการวัดมีความผันแปรท่ีอาจเกิดข้ึนในกระบวนการวดั อยู่ 3 แหล่งใหญ่ ๆ ความผนั แปร
ทพ่ี บมากคอื ความผนั แปรทม่ี าจากตวั เคร่อื งมอื หากเครอ่ื งมอื ไม่ดขี าดความน่าเช่อื ถอื แมจ้ ะนําไปวดั ของ
สง่ิ เดมิ ซ้าํ ๆ กนั หลายครงั้ กอ็ าจไดค้ า่ ไม่เท่ากนั
ผู้วัดหรือผู้สังเกตก็เป็นแหล่งท่ีอาจทําให้ค่าท่ีวดั ได้ไม่เท่ากนั หากผู้สังเกตนัน้ มีกฎเกณฑ์
การวนิ ิจฉยั แบบหลวม ๆ ไม่ชดั เจน อาจมผี ลใหก้ ารวนิ จิ ฉยั โรคเบย่ี งเบนออกไป
แหล่งความผนั แปรท่ีมาจากสภาวะทางชีวิวทิ ยามที งั้ ท่เี กดิ ข้นึ ภายในบุคคล เน่ืองจากสภาวะ
ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในบุคคลนัน้ เปลย่ี นแปลงไปตามเวลาและสถานการณ์ ดงั นัน้ ค่าท่วี ดั ไดท้ ไ่ี ม่เท่ากนั อาจเกดิ จาก
การเปล่ียนแปลงภายในบุคคล อาทิ การวดั ความรู้ด้วยแบบทดสอบเดิม 2 ครงั้ กอ็ าจได้ค่าไม่เท่ากนั
แมเ้ คร่ืองมอื นัน้ จะถูกพฒั นามาอย่างดมี มี าตรฐานกต็ าม ในทางการแพทย์ความแตกต่างทางชีววิทยา
ระหว่างบุคคลเป็นอีกปัจจัยหน่ึงท่ีอาจต้องพิจารณาว่า ค่าท่ีวัดได้บอกอะไร เน่ืองจากแต่ละบุคคล
มสี ภาวการณ์ของตนเองทอ่ี าจแตกต่างไปจากผอู้ น่ื
นอกเหนือไปจากเคร่อื งมอื วดั และสภาวะทางชวี วทิ ยาแลว้ ยงั มคี วามแตกต่างและความผนั แปร
ทอ่ี าจทาํ ใหเ้ กดิ ความคลาดเคล่อื นในการวดั ได้ เชน่ ชว่ งเวลาในแต่ละวนั ความรว่ มมอื และสภาวะทางจติ ใจ
ของผู้ป่ วย และ อ่นื ๆ เช่น ผูส้ งั เกตอาจจะสงั เกตผู้ป่ วยในตอนเชา้ ดกี ว่าตอนบ่าย หรอื ผู้ป่ วยท่ยี นิ ยอม
ร่วมมอื ในการรกั ษาอาจวดั ค่าไดด้ กี ว่าผปู้ ่ วยทไ่ี ม่ยนิ ยอม เป็นตน้ แหล่งของความคลาดเคล่อื นน้ีถูกควบ
รวมเขา้ ด้วยกัน ทงั้ ความคลาดเคล่ือนท่ีมาจากวิธีการวดั จากตวั ผู้ป่ วยและส่วนอ่ืน ๆ ทําให้เกิดเป็น
ความคลาดเคล่ือนท่ีผสมผสานอยู่ในค่าสงั เกตได้ ทําให้ค่าสงั เกตได้จึงประกอบไปด้วย ค่าจริง และ
ความคลาดเคล่อื นตามทฤษฎี Ture Score Theory
สาํ หรบั ผูส้ งั เกตมแี หล่งของความคลาดเคล่อื นท่คี วรต้องพจิ ารณาอยู่อย่างน้อย 5 ประการ คอื
การใชผ้ ู้สงั เกตหลาย ๆ คน ก่อใหเ้ กดิ ความคลาดเคล่ือนท่ีมาจากการวินิจฉัยของผู้สงั เกตแต่ละคนได้
การเกบ็ ขอ้ มูลจากหลายสถานพยาบาลกอ็ าจก่อใหเ้ กดิ ความคลาดเคล่อื นในการบนั ทกึ ผลและมาตรฐาน
ท่ีใช้ในแต่ละสถานพยาบาล ความคลาดเคล่ือนท่ีเกิดข้ึนจากข้อจํากัดทางเทคนิควิธีการบางชนิด
ก็อาจทําให้ค่าท่ีวัดได้มีความน่าเช่ือถือแตกต่างกันออกไป เกณฑ์การวินิจฉัยท่ีใช้ปฏิบัติอยู่ประจํา
ท่แี ตกต่างกนั กจ็ ะให้ผลแตกต่างกนั รวมทงั้ ความสมบูรณ์ของขอ้ มูลท่อี ยู่ในเวชระเบยี น ผู้สงั เกตก็อาจ
บนั ทกึ ไวส้ มบรู ณ์ไม่เท่ากนั สงิ่ ต่าง ๆ เหลา่ น้ีสง่ ผลใหก้ ารวดั ใหค้ ่าทแ่ี ตกต่างกนั แมจ้ ะวดั ในผปู้ ่วยคนเดมิ ก็
อาจมคี วามคลาดเคลอ่ื นได้ โดยปกตกิ ารวดั จะวดั ออกมาเป็นค่า 4 ระดบั
ในทางการแพทยน์ ิยมกําหนดวดั ออกมาเป็นกลุ่ม และมกั นิยมใชเ้ พยี ง 2 กลุ่ม โดยกําหนดให้
แต่ละกลุ่มมคี วามเท่าเทยี มกนั ไม่สามารถบอกไดว้ ่ากลุ่มใดมคี ุณสมบตั ดิ กี ว่ากลุ่มใด เช่น กรุป๊ เลอื ด เพศ
เชอ้ื ชาติ กลุ่มโรค ฯลฯ

199

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ในการวดั แบบกลุ่มกําหนดให้ทุกกลุ่มมคี วามเท่าเทยี มกนั แต่หากสามารถนําคําตอบของกลุ่ม
มาจดั อนั ดบั ไดจ้ ะเรยี กว่าเป็นการวดั ประเภทอนั ดบั คอื สามารถบอกไดว้ ่ากลุ่มใดอย่กู ่อน กลุ่มใดอย่หู ลงั
กลุ่มใดอยู่สงู กลุ่มใดอย่ตู ่าํ อาทิ การวดั ความรุนแรงของมะเรง็ ในระยะต่าง ๆ เป็นต้น ทงั้ การวดั แบบกลุ่ม
และการวัดแบบอันดับ ข้อมูลท่ีได้ยังเป็นข้อมูลชนิดจําแนกประเภท ไม่สามารถไปดําเนินการทาง
คณติ ศาสตรไ์ ดเ้ วน้ แต่จะใชว้ ธิ นี บั ความถ่ี และหาสดั สว่ นว่าแต่ละกลมุ่ คดิ เป็นสดั สว่ นเท่าไรของทงั้ หมด

แต่หากสามารถนําขอ้ มูลประเภทอนั ดบั มาเรยี งต่อกนั และสามารถกําหนดได้ว่าแต่ละอนั ดบั
มคี วามห่างเท่า ๆ กนั ขอ้ มลู ลกั ษณะน้เี รยี กวา่ เป็นขอ้ มลู ประเภทช่วง เชน่ อุณหภมู ิ ซง่ึ เป็นขอ้ มลู ประเภท
ต่อเน่ือง และสามารถนําไปคดิ คํานวณเป็นขอ้ มูลทางคณิตศาสตรไ์ ด้ เช่น การหาค่าเฉล่ยี ค่าเบย่ี งเบน
มาตรฐาน แต่หากขอ้ มลู นนั้ มคี ่าต่ําสดุ ท่ี 0 มใิ ช่ค่าสมมตเิ หมอื นอุณหภูมิ แต่ 0 หมายถงึ ไม่มสี ง่ิ นนั้ อยู่เลย
เชน่ ระยะเวลา ความยาว น้ําหนกั อายุ จะเรยี กขอ้ มลู เหล่านนั้ ว่าเป็นขอ้ มลู แบบอตั ราสว่ น ซง่ึ มคี ุณสมบตั ิ
เหมอื นขอ้ มลู แบบช่วงทกุ ประการ แต่เพม่ิ คณุ สมบตั ิ คอื จุดต่าํ สดุ ตอ้ งเป็น 0 เทา่ นนั้

การลดความคลาดเคล่ือนจากกระบวนการวัดท่ีนิยมทําในปัจจุบัน สามารถดําเนินการได้
3 ประการ คอื การจดั ทําคู่มอื ให้ผู้เก่ยี วข้องได้ทราบและดําเนินการวดั ได้โดยง่าย หรอื การท่พี ยายาม
จะทาํ ใหว้ ธิ กี ารวดั ไดม้ าตรฐาน และมกี ารฝึกอบรมผเู้ กย่ี วขอ้ งใหด้ าํ เนินการวดั ดว้ ยมาตรฐานเดยี วกนั

สรปุ

การวดั ถอื เป็นองค์ประกอบหลกั 1 ใน 3 ส่วนของกระบวนการวจิ ยั ดงั นัน้ หากกระบวนการวดั
มคี วามถูกต้องและน่าเช่อื ถอื กส็ ามารถจะใชป้ ระกอบการวเิ คราะหแ์ ละตดั สนิ ใจในงานวจิ ยั นนั้ ไดอ้ ย่างดี
เม่ือต้องการพัฒนาเคร่ืองมือวดั หรือประยุกต์ใช้เคร่ืองมือวัดในงานวิจยั มีคําถามอยู่ 3 คําถามหลัก
ท่ตี ้องพจิ ารณา คอื จะวดั อะไรวดั อย่างไร และวดั ด้วยวิธีใด และอาจจะต้องถามต่อไปด้วยว่าต้องการ
มากน้อยเท่าไร

ในการวัดอะไรนัน้ นักวิจัยต้องเลือกระหว่างข้อมูลท่ีมีลักษณะเป็ น Soft หรือ Hard data
ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นวตั ถุวสิ ยั หรอื อตั วสิ ยั ขอ้ มลู ทส่ี ะทอ้ นสภาพปัจจุบนั หรอื อดตี รวมทงั้ ตอ้ งกาํ หนดคุณลกั ษณะว่า
ต้องการข้อมูลเป็นการวัดระดับใด ในประเด็นการวัดอย่างไรนัน้ ผู้วิจยั ต้องเลือกชนิดของเคร่ืองมือ
ว่าต้องการใช้เคร่ืองมือหรือแบบทดสอบ แบบสอบถาม การสังเกต การสมั ภาษณ์ ใช้ผู้เช่ียวชาญ
การติดตามระยะเวลา หรือผสมผสานหลาย ๆ แบบเขา้ ด้วยกนั รวมทงั้ ต้องกําหนดด้วยว่าจะวดั แบบ
ติดตามไปข้างหน้าหรือย้อนกลบั ไปในอดีต และประเดน็ สุดท้าย คอื วิธีการวดั จะต้องกําหนดว่าใคร
คือผู้วดั ผู้วดั จะมกี ่ีคน อาทิ ผู้สมั ภาษณ์มกี ่ีคน ผู้สงั เกตมีก่คี น คนเหล่านัน้ จะทําอย่างไรกบั เคร่อื งมือ
มกี ระบวนการฝึกอบรมคนเหล่านัน้ หรอื ไม่ จะวดั เม่อื ไร วดั ก่คี รงั้ ต้องมนั่ ใจว่ากระบวนการวดั ท่กี ําลงั
จะเกดิ ขน้ึ จะตอ้ งใหผ้ ลทม่ี คี วามแม่นตรงและน่าเชอ่ื ถอื จะรวบรวมขอ้ มลู อย่างไร จะควบคุมคุณภาพขอ้ มลู
อย่างไร และจะแปรผลอย่างไร สงิ่ เหล่าน้ีเป็นคําถามหลกั ท่ผี ูว้ จิ ยั จะต้องจดั ทํารายละเอยี ดเพ่อื ประกอบ
การจดั ทาํ โครงรา่ งวจิ ยั

200

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

เอกสารอ้างอิง

มานพ คณะโต. วิทยาการระบาดเชิงคลินิกและชีวสถิติ. ขอนแกน่ : เครอื ขา่ ยพฒั นาวชิ าการและ
ขอ้ มลู ยาเสพตดิ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ; 2551.

Allen, Mary J.and Yen, Wendy M.(1979). Introduction to Measurement Theory. Monterey:
Brooks/Cole Publishing Company.

Hambleton, R. K. & Swaminathan, H. (1985). Item response theory: Principles and application.
Boston: Kluwer-Nyjhoff

Linn, R. L. (Ed.). (1989). Educational measurement. (3rd ed.). Macmillan Publishing Co, Inc;
American Council on Education.

McDowell, I., & Newell, C. (1987). Measuring health: A guide to rating scales and
questionnaires. New York: Oxford University Press.

Mcdowel I. (2006). Measuring Health: A Guide to Rating Scale and Questionnaires.
Oxford University Press, New York, NY

McDowell, I. (2006-04-06). Measuring Health: A guide to rating scales and questionnaires. :
Oxford University Press. Retrieved 4 Feb. 2022, from
https://oxford.universitypressscholarship.com/view/10.1093/acprof:oso/9780195165678.001.
0001/acprof-9780195165678.

Netemeyer R.G., Bearden W.O., Sharma S. (2003). Scaling Procedure: issues and application.
Sage Publications, Thousand Oaks, CA

Streiner D.L., Norman G.R. (1989). Health Measurement Scale: A Practical Guide to their
Development and Use, Oxford University Press, New York, NY

Wechsler, D. (1939). The measurement of adult intelligence. Baltimore, MD:
William and Wilkins.

201

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

คาํ ถามท้ายบท

1. จงอธบิ ายความหมายของ แบบจาํ ลองการวดั (Measurement model) และยกตวั อย่างประกอบ
2. นกั วชิ าการวทิ ยาการระบาดแบ่งระดบั ทางเลอื กของการวดั สภาวะสขุ ภาพเป็นคา่ ตวั แปรสาํ คญั

5 ตวั แปรหลกั (5DS Death, Disease, Disability, Discomfort, and Dissatisfaction) ตวั แปรเหลา่ น้ี
บางตวั กส็ ามารถวดั ไดง้ า่ ย และบางตวั กว็ ดั ไดย้ าก อย่างไรกต็ ามตวั แปรเหล่าน้ีกเ็ ป็นตวั แปร
สามารถใหค้ ่า (Value) เป็นไปตามเกณฑท์ ก่ี าํ หนดในการเลอื ก การวดั ตวั แปรเหลา่ น้ขี น้ึ อย่กู บั
ขอ้ พจิ ารณาอะไร
3. วธิ กี ารวเิ คราะหข์ อ้ สอบตามแนวทฤษฎกี ารทดสอบแบบดงั้ เดมิ ซง่ึ ประกอบดว้ ยตวั บ่งชค้ี ุณภาพ
กป่ี ระการ อะไรบา้ ง
4. วทิ ยาการดา้ นการวดั พจิ ารณาความน่าเชอ่ื ถอื ออกเป็น 2 ประเภท คอื อะไร จงอธบิ ายพอสงั เขป
5. จงอธบิ ายความหมายของคาํ ว่า “Face validity” และยกตวั อยา่ งประกอบ

202

บทที่ 9

การจดั การขอ้ มลู และการวเ� คราะหข์ อ้ มลู

ขอ้ มูลท่ีเกบ็ มาได้โดยวธิ ตี ่าง ๆ ตามรูปแบบการวิจยั แต่ละวธิ ดี งั ท่กี ล่าวมาแล้วในตอนต้นนัน้
ยงั ถือว่าเป็นข้อมูลดิบ เป็นข้อมูลในลักษณะคําตอบท่ีปรากฏอยู่ในเคร่ืองมือแบบสอบถาม หรือใน
แบบฟอร์มบนั ทึกต่าง ๆ ข้อมูลเหล่านัน้ ยงั ไม่สามารถนําไปวิเคราะห์ข้อมูลได้โดยตรง จําเป็นต้องนํา
ไปทําการตรวจสอบแก้ไขขอ้ ผดิ พลาดในขนั้ ต้นเสยี ก่อน รวมทงั้ ทําการเปล่ยี นแปลงขอ้ มูลของคําตอบ
เหล่านนั้ ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบทพ่ี รอ้ มจะนําไปวเิ คราะหท์ างสถติ ไิ ดใ้ นขนั้ ต่อไป

9.1 ขนั้ ตอนในการจดั การข้อมลู

การจดั การขอ้ มลู ในระยะน้ีสามารถแบ่งออกไดเ้ ป็น 4 ขนั้ ตอนใหญ่ ๆ คอื
 การตรวจสอบแกไ้ ขขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ (Preliminary editing)
 การใหร้ หสั ขอ้ มลู (Coding)
 การถ่ายโอนขอ้ มลู (Data transferring)
 การตรวจสอบแกไ้ ขรหสั ครงั้ สดุ ทา้ ย (Final editing)

9.1.1 การตรวจสอบแก้ไขขอ้ มลู เบือ้ งต้น (Preliminary editing)
ขอ้ มูลดบิ (Raw data) ซง่ึ เป็นขอ้ มลู ทย่ี งั อย่ใู นแบบฟอรม์ ต่าง ๆ ของเคร่อื งมอื หรอื แบบสอบถาม
ทใ่ี ชใ้ นงานวจิ ยั จําเป็นตอ้ งนํามาตรวจสอบความถูกตอ้ งก่อนทจ่ี ะนําไปเขา้ รหสั การตรวจสอบขอ้ มลู ในขนั้
น้จี ะพจิ ารณาความถูกตอ้ งของขอ้ มลู ในหวั ขอ้ ทส่ี าํ คญั (พชิ ติ , 2525) คอื

 ความครบถว้ นสมบรู ณ์ของขอ้ มลู (Completeness)
 ความสอดคลอ้ งของคาํ ตอบทเ่ี กย่ี วขอ้ งกนั (Consistency)
 คณุ ลกั ษณะของตวั อย่างตรงตามวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั (Characteristics of samples)
1) การตรวจสอบความครบถ้วนสมบูรณ์ของขอ้ มลู
ผูว้ จิ ยั ต้องตรวจสอบขอ้ มูลในแบบฟอร์มทใ่ี ช้เกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทุกฉบบั คาํ ถามทุกขอ้ มคี ําตอบ
ครบถว้ นหรอื ไม่ ถา้ ขอ้ ใดไม่มคี าํ ตอบตอ้ งมกี ารตกลงก่อนว่าจะทําอย่างไร จะตดั ขอ้ มูลขอ้ นัน้ ทง้ิ ไป หรอื
พยายามหาขอ้ มูลจากคาํ ถามอ่นื ๆ ทม่ี าช่วยเสรมิ เป็นคําตอบในขอ้ นนั้ ได้ สาํ หรบั การพจิ ารณาในประเดน็
หลงั น้ีคงทําไดเ้ ฉพาะขอ้ มลู ง่าย ๆ เช่น ขอ้ มูลคุณลกั ษณะของประชากรหรอื ขอ้ มูลสง่ิ แวดลอ้ มทวั่ ๆ ไป
เท่านนั้ ถา้ เป็นขอ้ มลู เกย่ี วกบั คาํ ตอบจากตวั อยา่ งเองคงทาํ ไมไ่ ดต้ อ้ งตดั ขอ้ มลู ในขอ้ นนั้ ทง้ิ ไปเลย
2) การตรวจสอบความสอดคลอ้ งของคาํ ตอบที่เก่ียวข้องกนั
ขอ้ มลู ในบางคาํ ตอบอาจผดิ พลาด เน่ืองจากผูเ้ กบ็ ขอ้ มูลจดบนั ทกึ ไม่ละเอยี ดหรอื บนั ทกึ ผดิ พลาด
ทาํ ใหข้ อ้ มลู ในขอ้ นัน้ เกดิ ขดั แยง้ ไม่ตรงกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ กบั คาํ ถามขอ้ อน่ื ๆ การตรวจสอบขอ้ มูลนอกจากจะดู

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ความครบถว้ นของคําตอบแลว้ ยงั ต้องดูความถูกต้องและความสอดคลอ้ งของคาํ ตอบอกี ดว้ ย ตวั อย่างเช่น
ขอ้ มูลในเร่อื งอายุของผู้ตอบเป็นสตรีอายุ 23 ปี สถานภาพสมรสยงั ไม่ไดแ้ ต่งงาน แต่ปรากฏว่า ขอ้ มูล
ในเร่อื งการมบี ตุ ร มบี ตุ ร 2 คน ซง่ึ เป็นขอ้ มลู ทข่ี ดั แยง้ กนั ผวู้ จิ ยั จาํ เป็นตอ้ งพจิ ารณารายละเอยี ดของขอ้ มูล
ในคาํ ถามอ่นื ๆ ทงั้ หมดเพอ่ื ทจ่ี ะแกไ้ ขขอ้ มลู ทถ่ี ูกตอ้ งวา่ ควรเป็นอย่างไร

3) การวางสอบคณุ ลกั ษณะของตวั อย่างตรงตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจยั
ในงานวจิ ยั แต่ละเร่อื งจะกาํ หนดคุณลกั ษณะของตวั อย่างทต่ี อ้ งเกบ็ ขอ้ มลู เอาไว้ อย่างไรกต็ ามใน
แง่ของการปฏบิ ตั จิ รงิ ผทู้ เ่ี กบ็ ขอ้ มูลกอ็ าจไปเกบ็ ขอ้ มูลจากตวั อย่างทม่ี คี ุณลกั ษณะไม่ตรงกบั ทก่ี าํ หนดไว้
ตัวอย่างเช่น ให้เก็บข้อมูลจากสตรวี ยั เจริญพนั ธุ์ท่แี ต่งงานแล้วและกําลงั อยู่กินกบั สามีเท่านัน้ แต่ก็มี
ผดิ พลาดใหเ้ หน็ อยเู่ สมอ ๆ ทผ่ี ูเ้ กบ็ ขอ้ มลู ไปเกบ็ จากสตรวี ยั เจรญิ พนั ธุท์ แ่ี ต่งงานแลว้ แต่สามเี สยี ชวี ติ หรอื
หย่ารา้ งกนั ไปแลว้ หรอื ใหไ้ ปเกบ็ ขอ้ มลู จากบุคคลทเ่ี ป็นหวั หน้าครอบครวั เท่านัน้ แต่กม็ บี างรายทไ่ี ปเกบ็
ขอ้ มลู จากผทู้ เ่ี ป็นสมาชกิ ในครอบครวั แทน ซง่ึ สง่ิ เหล่าน้ีผวู้ จิ ยั จําเป็นต้องตรวจสอบความถูกต้องเสยี ก่อน
พยายามคดั แยกข้อมูลท่มี ีคุณลกั ษณะของตัวอย่างซ่งึ ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ท่ีตงั้ ไว้ออกไปไม่นํามา
วเิ คราะหด์ ว้ ย
การปฏิบตั ิเม่ือข้อมลู ไม่สมบรู ณ์ถกู ต้อง
1. คดั ขอ้ มูลทง้ิ ไป เม่อื ขอ้ มลู ไม่สมบรู ณ์หรอื มคี วามผดิ พลาดต่าง ๆ ของขอ้ มลู เกดิ ขน้ึ กบั สว่ นท่ี
เป็นสาระสาํ คญั ของขอ้ มลู เร่อื งนัน้ หรอื มคี วามผดิ พลาดมาก เช่น ไม่มคี าํ ตอบเกย่ี วกบั การจาํ แนกประเภท
ขอ้ มูล ต้องการเปรยี บเทยี บขอ้ มูลระหว่างกลุ่มอายุทแ่ี ตกต่างกนั แต่ไม่มขี อ้ มูลเกย่ี วกบั อายุ เป็นตน้ การ
คดั เลอื กขอ้ มูลทง้ิ ไปมาก ๆ จะมผี ลกระทบต่อขนาดของตวั อย่างและกระทบต่อความเช่อื ถือของขอ้ มูล
เกณฑท์ จ่ี ะยอมรบั ไดข้ นาดของตวั อย่างจะลดลงจากทก่ี าํ หนดไวไ้ ม่เกนิ 5 เปอรเ์ ซน็ ต์ ถา้ มกี ารคดั ขอ้ มลู ทง้ิ
ไปหลายชุดจะต้องจัดทําเพ่ิมมาชดเชยให้ครบ ดังนัน้ จึงควรมีการเก็บข้อมูลจากตัวอย่างมากกว่า
ขนาดตวั อยา่ งทก่ี าํ หนดไวอ้ กี 5-10 เปอรเ์ ซน็ ต์
2. ปล่อยใหข้ อ้ มลู เฉพาะสว่ นว่างไว้ ในกรณีทข่ี อ้ มูลสว่ นใหญ่ถูกต้องแต่มขี อ้ มูลบางขอ้ ผดิ พลาด
หรอื ไม่สมบรู ณ์ แต่ไม่ใชส่ าระสาํ คญั จะตดั ทง้ิ เฉพาะขอ้ มลู สว่ นนนั้ ๆ โดยยงั คงเกบ็ ขอ้ มลู ชุดน้ีไวใ้ ชง้ าน
3. เปลย่ี นแปลงขอ้ มลู ใหถ้ ูกตอ้ งสมบรู ณ์ในกรณีทข่ี อ้ มลู ผดิ พลาดหรอื ไมส่ มบรู ณ์เป็นขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ี
แน่นอนและสามารถตรวจสอบได้ ผตู้ รวจสอบอาจจะเปลย่ี นแปลงขอ้ มลู ใหถ้ กู ตอ้ งหรอื เตมิ ขอ้ มลู ใหส้ มบรู ณ์
4. ขอ้ มลู ทม่ี มี าตราวดั ต่าง ๆ เม่อื หน่วยไมต่ รงกนั ใหเ้ ปลย่ี นแปลงใหเ้ ป็นมาตราสว่ นเดยี วกนั
9.1.2 การให้รหสั ขอ้ มูล (Coding)
ขอ้ มูลดบิ ทผ่ี ่านการตรวจสอบในขนั้ แรกมาแลว้ จะนํามาใสร่ หสั ตามความเหมาะสมของขอ้ มลู แต่
ละชนิด โดยพจิ ารณาจากระดบั การวดั ของขอ้ มลู นนั้ รวมทงั้ พจิ ารณากรอบของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู นนั้ ตาม
วตั ถุประสงค์ หรอื สมมตฐิ านทแ่ี สดงไวใ้ นตารางจาํ ลองทส่ี รา้ งขน้ึ ไว้ การใหร้ หสั ขอ้ มลู กเ็ พอ่ื เป็นการเปลย่ี น
ข้อมูลซ่ึงอาจอยู่ในรูปของขอ้ ความและตวั เลขต่าง ๆ ผสมกนั โดยเปล่ยี นให้เป็นตวั เลขในแบบฟอร์ม
เดยี วกนั ทงั้ หมดสาํ หรบั นําไปวเิ คราะหด์ ว้ ยเคร่อื งคดิ เลข หรอื เคร่อื งคอมพวิ เตอรไ์ ดอ้ ย่างสะดวก ในขนั้ น้ี
ผวู้ จิ ยั จาํ เป็นต้องสรา้ งคมู่ อื ลงรหสั (Coding manual) ซง่ึ ดาํ เนนิ การเหมอื นกบั การสรา้ งค่มู อื แบบสอบถาม
นนั่ เอง คู่มอื ลงรหสั จะอธบิ ายรายละเอยี ดและความหมายของรหสั ทใ่ี ชก้ บั ขอ้ มลู แต่ละขอ้ ในแบบสอบถาม

204

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

ตงั้ แต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย คู่มือลงรหสั น้ีถือว่าเป็นกุญแจท่สี าํ คญั ท่ผี ู้วจิ ยั จะใช้ในการตรวจสอบ
ความถูกต้องของข้อมูลในครงั้ สุดท้าย และใช้ในการแปลผลหลงั จากท่ีวิเคราะห์ข้อมูลแล้วอีกด้วย
ดงั นัน้ คู่มือลงรหสั น้ีถ้าเขียนรหัสและความหมายต่าง ๆ ไว้อย่างละเอยี ดชัดเจนมากเท่าไร ก็จะเป็น
ประโยชน์ต่อตวั ผวู้ จิ ยั เองและต่อผอู้ ่นื ทช่ี ่วยวเิ คราะหข์ อ้ มลู สาํ หรบั ตรวจสอบขอ้ มลู ไดง้ ่าย และไมส่ บั สนต่อ
การแปลผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในภายหลงั

การใหร้ หสั ขอ้ มลู จะพจิ ารณาแยกขอ้ มลู ออกเป็น 3 กลุ่ม คอื
1. ข้อมูลท่ีใช้แสดงสถานท่ี ตําแหน่ง แบบฟอร์มในการเก็บข้อมูล หรือ เลขท่ีของตัวอย่าง
(Identification )
2. ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นจาํ นวนตวั เลข (Numeric)
3. ขอ้ มลู ทแ่ี สดงคณุ ลกั ษณะไมไ่ ดเ้ ป็นตวั เลข (String)
การให้รหสั ขอ้ มลู ท่ีใช้แสดงสถานที่ ตาํ แหน่ง หรอื หมายเลขของตวั อยา่ ง (Identification)
ขอ้ มลู ในสว่ นน้ีไดแ้ กข่ อ้ มลู ในหน้าแรกหรอื ในสว่ นตน้ ของแบบฟอรม์ เกบ็ ขอ้ มลู ซง่ึ ไดแ้ ก่ สถานท่ี
อย่ขู องตวั อย่าง เช่น บา้ นเลขท่ี หมบู่ า้ น ตําบล ในเขต นอกเขต เทศบาล/สุขาภบิ าล อาํ เภอ จงั หวดั และ
ภาค เป็นตน้ ขอ้ มลู เหลา่ น้จี ะใหร้ หสั ละเอยี ดมากน้อยแค่ไหนขน้ึ อย่กู บั ผวู้ จิ ยั ว่าตอ้ งการทจ่ี ะวเิ คราะหข์ อ้ มลู
แยกรายละเอยี ดลงไปในถงึ ระดบั ไหน ถา้ เป็นขอ้ มูลใหญ่มากระดบั ภาคหรอื ระดบั ประเทศ กจ็ าํ เป็นทต่ี ้อง
ให้รหสั ไวล้ ะเอยี ดสําหรบั ทจ่ี ะวเิ คราะห์ขอ้ มูลไดใ้ นทุกระดบั ท่ตี ้องการ เพราะมขี อ้ มูลจํานวนมากพอ ถ้า
ไม่ได้ใหร้ หสั ละเอยี ดไวใ้ นตอนแรก แต่ต้องการวเิ คราะหข์ อ้ มูลในระดบั ย่อยทหี ลงั กท็ ําไม่ได้ เช่น ใหร้ หสั
ข้อมูลไว้แค่ระดบั ภาคกบั จังหวดั เท่านัน้ แต่ภายหลังต้องการวิเคราะห์ขอ้ มูลย่อยลงไปถึงระดบั ตําบล
หมู่บา้ น หรอื ในเขต กบั นอกเขตเทศบาล ซง่ึ ไม่ไดใ้ หร้ หสั ไว้ กไ็ ม่สามารถวเิ คราะหไ์ ด้ เป็นตน้ แต่ถ้าเป็น
งานวจิ ยั เลก็ ๆ ไม่มขี อ้ มลู มากนกั รหสั ทใ่ี หก้ บั ขอ้ มลู สว่ นน้ีกไ็ ม่ตอ้ งละเอยี ดมากเหมอื นกบั งานวจิ ยั ใหญ่
ๆ คงพจิ ารณาตามความเหมาะสมเท่าทต่ี ้องการวเิ คราะห์ข้อมูลแบบย่อยลงไปถึงระดบั ของสถานท่ใี น
การศกึ ษานนั้ กพ็ อแลว้
ผู้ท่ีเร่ิมทําวิจยั ไม่ควรมองข้ามรายละเอียดของการให้รหัสในข้อมูลกลุ่มแรกน้ี เพราะจะมี
ผลกระทบต่อการแยกระดบั ของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในภายหลงั ได้ นอกจากน้ีการใหร้ หสั ผดิ เช่น ลงรหสั
ตําบลผดิ หรอื อาํ เภอผดิ กท็ ําใหจ้ าํ นวนตวั อย่างในตําบลนนั้ หรอื อาํ เภอนนั้ ผดิ ความจรงิ ไป การไม่ลงรหสั
ของแถวทไ่ี วด้ ว้ ย ในกรณที ข่ี อ้ มลู ทงั้ แบบฟอรม์ 1 ชุด ใหร้ หสั มากกว่า 1 แถวขน้ึ ไป จะไม่สามารถวเิ คราะห์
ตวั แปรทต่ี อ้ งการไดเ้ พราะไม่ทราบว่าอย่ใู นแถวไหน

205

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

การให้รหสั ข้อมูลที่เป็นจาํ นวนตวั เลข
การใหร้ หสั ขอ้ มูลลกั ษณะน้ีพจิ ารณาได้ 2 ประเดน็ คอื ประเดน็ แรก ผู้วจิ ยั ใชต้ วั เลขขอ้ มูลจาก
คาํ ตอบทไ่ี ดแ้ ทนเป็นรหสั ไปเลย เช่น ระดบั การศกึ ษา อายุใชจ้ าํ นวนปีเตม็ รายไดใ้ ชค้ าํ นวณเงนิ เป็นบาท
ต่อเดอื น น้ําหนกั ตวั เป็นตวั เลขกโิ ลกรมั หรอื สว่ นสงู เป็นตวั เลขเซนตเิ มตร เป็นตน้
ประเดน็ ท่ี 2 ให้รหสั หมายเลขใหม่ โดยจดั กลุ่มขอ้ มูลนัน้ ตามลกั ษณะทต่ี ้องการวเิ คราะห์ อาทิ
การจดั ขอ้ มลู ประเภทชว่ ง (Interval) เป็นประเภทอนั ดบั (Ordinal) หรอื เป็นประเภทสมุ่ (Nominal) นนั่ คอื
ขอ้ มลู ดบิ จะถูกจดั กลุ่มใหมซ่ ง่ึ เทา่ กบั เป็นการลดระดบั การวดั ใหต้ ่ําลงมาหรอื นามมาตรา รหสั ทใ่ี หจ้ ะใชแ้ ทน
ความหมายทเ่ี ป็นกลุม่ ขอ้ มลู น้ีเท่านนั้ เช่น

ข้อมลู รหสั ความหมาย
1 รวมระดบั การศกึ ษาตงั้ แต่ ป.1 ถงึ ป.4
การศึกษา ป.1 – ป.4 2 รวมระดบั การศกึ ษาตงั้ แต่ ป.5 ถงึ ป.6
ป.5 – ป.6 3 รวมระดบั การศกึ ษาตงั้ แต่ ม.1 ถงึ ม.4
ม.1 – ม.3 4 รวมระดบั การศกึ ษาตงั้ แต่ ม.5 ถงึ ม.6
ม.4 – ม.6 1 รวมผทู้ ม่ี อี ายตุ งั้ แต่ เกดิ จนถงึ อายุ 9 ปี
2 รวมผทู้ ม่ี อี ายตุ งั้ แต่ 10 ปี จนถงึ 19 ปี
อายุ 0 – 9 ปี 3 รวมผทู้ ม่ี อี ายตุ งั้ แต่ 20 ปี จนถงึ 29 ปี
10 – 19 ปี 4 รวมผทู้ ม่ี อี ายุตงั้ แต่ 30 ปี จนถงึ 39 ปี
20 – 29 ปี 5 รวมผทู้ ม่ี อี ายุตงั้ แต่ 40 ปี จนถงึ 49 ปี
30 – 39 ปี 6 รวมผทู้ ม่ี อี ายุตงั้ แต่ 50 ปีขน้ึ ไป
40 – 49 ปี
50 + ปี

การพจิ ารณารหสั สาํ หรบั ขอ้ มลู ทม่ี ลี กั ษณะเป็นเลขจาํ นวน ขอใหร้ ะมดั ระวงั ใหม้ ากสาํ หรบั ทจ่ี ะให้
รหสั แบบประเดน็ ท่ี 2 มฉิ ะนนั้ จะเกดิ ปัญหาในการวเิ คราะหภ์ ายหลงั ได้ ถา้ ผวู้ จิ ยั ยงั ไม่แน่ใจว่าขอ้ มลู ในกล่มุ
น้ีจะวเิ คราะหล์ ะเอยี ดหรอื หยาบมากน้อยแค่ไหน กอ็ าจใชต้ วั เลขของขอ้ มูลนัน้ เป็นรหสั ไปก่อนได้ ถ้าจะ
รวมกลุ่มทหี ลงั กส็ ามารถใช้คอมพิวเตอร์ช่วยรวมกลุ่มทหี ลงั ได้ ไม่เหมอื นกบั กรณีท่ใี ชร้ หสั รวมกลุ่มไป
แลว้ แต่ภายหลงั ตอ้ งการรายละเอยี ดมากกวา่ จะไม่สามารถทาํ ได้

เช่น ถ้าผูว้ จิ ยั ไปใชร้ หสั ขอ้ มูลรวมกลุ่มอายุทุก 10 ปี ดงั ตวั อย่างทก่ี ล่าวแลว้ แต่ภายหลงั ผูว้ จิ ยั
ตอ้ งการแยกวเิ คราะหเ์ ฉพาะเดก็ อายุ 0-1 ปี หรอื ต่าํ กว่า 5 ปี กไ็ มส่ ามารถทําได้ แต่ในกรณที ย่ี งั คงใชร้ หสั
จากขอ้ มลู เดมิ ผวู้ จิ ยั ยงั สามารถเปลย่ี นแปลงการวเิ คราะหไ์ ดต้ ามทต่ี อ้ งการ

โดยหลกั การทวั่ ไป การใหร้ หสั สาํ หรบั ขอ้ มลู จะใชเ้ ลข 0 ถงึ 9 ถา้ ขอ้ มลู นนั้ มหี ลายตาํ แหน่งกต็ อ้ ง
เพม่ิ จํานวนรหสั ตามตําแหน่งเลข เชน่ ขอ้ มลู อายุ ตอ้ งการรายละเอยี ดถงึ วนั ดว้ ย กต็ ้องใชเ้ ลข 6 ตําแหน่ง
2 ตาํ แหน่งแรกเป็นปี 2 ตําแหน่งถดั มาเป็นเดอื น 2 ตาํ แหน่งหลงั สดุ เป็นวนั แต่ถา้ ตอ้ งการแค่จาํ นวนปีเตม็
กใ็ ช้ 2 ตําแหน่งกพ็ อ ในทน่ี ้ีสมมตวิ ่าอายุของประชากรทศ่ี กึ ษาไม่เกนิ 90 ปี รหสั ทใ่ี ชก้ จ็ ะเรม่ิ ดว้ ย 01 ถงึ
90 เชน่

206

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

อายุ 1 ปี จะใชร้ หสั 01
อายุ 2 ปี จะใชร้ หสั 02
อายุ 90 ปี จะใชร้ หสั 90
นอกเหนือจากรหสั ท่ีใช้น้ีแล้ว นักวิจยั จะกําหนดรหัสพิเศษข้นึ มาสําหรับข้อมูลบางอย่างท่ี
ไม่ครบถ้วน ไม่ทราบ ไม่ตอบ หรอื ไม่ได้จดบนั ทกึ ไว้ รหสั ส่วนน้ีมกั จะใช้ตวั เลขสงู ๆ เพ่อื ให้แตกต่าง
ต่างจากรหสั ขอ้ มลู ทใ่ี ช้ ซง่ึ ปกตมิ กั ใชเ้ ลข 8, 9 สาํ หรบั ขอ้ มลู ทม่ี เี ลขตาํ แหน่งเดยี ว และ 88 หรอื 99 สาํ หรบั
ขอ้ มลู ทม่ี เี ลข 2 ตาํ แหน่ง ยกตวั อย่าง คอื
8, 88 หรอื 888 แทน ไม่ทราบ ไม่แน่ใจ
9, 99 หรอื 999 แทน ไม่ตอบ ไมไ่ ดจ้ ดบนั ทกึ ไว้
รหสั พเิ ศษเหล่าน้ี ผู้วจิ ยั จะใชแ้ ทนความหมายทแ่ี ตกต่างไปจากตวั อย่างท่แี สดงให้เห็นน้ีกไ็ ด้
ขน้ึ อยู่กบั ดุลยพนิ ิจของผวู้ จิ ยั เอง อย่างไรกต็ ามผวู้ จิ ยั ตอ้ งคาํ นงึ ไวด้ ว้ ยวา่ ขอ้ มลู ทุกขอ้ ตอ้ งมรี หสั พเิ ศษน้ีไว้
ดว้ ยเสมอ รหสั กลุ่มน้ีจะช่วยใหผ้ ูว้ จิ ยั สามารถแยกขอ้ มลู ทเ่ี สยี หรอื ไม่ตอ้ งการออกมาจากการวเิ คราะหไ์ ด้
นอกจากน้ี ขอ้ มูลในรหสั กลุ่มน้ี ยงั เป็นเคร่อื งช้ที างออ้ มว่าขอ้ มูลขอ้ นนั้ มคี วามเช่อื ถอื ไดม้ ากน้อยแค่ไหน
ไดอ้ กี ดว้ ย เชน่ ถ้าขอ้ มูลนนั้ มเี ปอรเ์ ซน็ ตค์ ําตอบ ไม่แน่ใจ ไม่ทราบ หรอื ไม่ตอบ ค่อนขา้ งสงู เม่อื เทยี บกบั
คาํ ตอบทงั้ หมดกแ็ สดงถงึ ความบกพรอ่ งของขอ้ มูลนนั้ คําตอบทไ่ี ดก้ ไ็ ม่แน่ใจไดว้ ่าเป็นตวั แทนของคาํ ถาม
ในกลุ่มตวั อยา่ งทงั้ หมดไดห้ รอื ไม่ ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั ไม่ควรมองขา้ มรหสั พเิ ศษน้ไี ป
การให้รหสั ข้อมลู ที่แสดงคณุ ลกั ษณะ

รหสั ทใ่ี ห้สาํ หรบั ขอ้ มูลท่แี สดงคุณลกั ษณะ อาจใชต้ วั อกั ษร (Sting) เลย ซง่ึ จะไม่สามารถนําไป
คํานวณใด ๆ ได้ ซ่งึ โปรแกรมส่วนมากรบั เป็นอกั ษรภาษาองั กฤษ แต่กม็ บี างโปรแกรมท่รี บั ภาษาไทย
เชน่ ช่อื ความคดิ เหน็ ฯลฯ แต่มนี กั วจิ ยั บางกล่มุ ใชต้ วั เลข 0 ถงึ 9 และวธิ กี ารเหมอื นกบั การใหร้ หสั ในกลุ่ม
ท่ี 2 แต่ต่างกนั ตรงทว่ี ่า รหสั ในกลุ่ม 2 มที างเลอื กโดยใชต้ วั เลขของขอ้ มลู นัน้ เป็นรหสั เลย หรอื ใหร้ หสั ใหม่
ในลกั ษณะจดั กลุ่มขอ้ มลู เดมิ เสยี ใหม่ ส่วนรหสั ในกลมุ่ ท่ี 3 จะเป็นรหสั ทแ่ี ทนคณุ ลกั ษณะขอ้ มลู แต่ต้องจํา
ไวเ้ สมอว่ารหสั ทใ่ี หน้ ้ีจะไม่มคี วามหมายในเชงิ คณิตศาสตรใ์ ด ๆ ทงั้ สน้ิ ไม่สามารถบวก ลบ คณู หาร ได้
มคี วามหมายเพยี งแค่อธบิ ายความหมายบางกล่มุ เทา่ นนั้ ตวั อยา่ งเช่น

อาชีพ รหสั อาชีพ รหสั
6
รบั จา้ งใชแ้ รงงาน 1 คา้ ขาย 7
ชา่ งฝีมอื 2 รบั ราชการ
8
เลย้ี งสตั ว์ 3 อน่ื ๆ 9
ทาํ นา 4 ไมต่ อบ/ไม่ไดบ้ นั ทกึ
ทาํ ไร่ 5

207

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

สภาวะของรา่ งกาย รหสั เดก็ คลอดก่อนกาํ หนดหรอื ไม่ รหสั

ปกติ 1 คลอดปกติ 0

ป่ วย 2 คลอดก่อนกาํ หนด 1

ใหน้ มบตุ ร 3 ไมเ่ ขา้ ขา่ ย 8

ไมต่ อบ/ไมไ่ ดบ้ นั ทกึ 9 ไม่ทราบ/ไมต่ อบ/ไมไ่ ดบ้ นั ทกึ 9

รหสั ทงั้ หมดของขอ้ มลู เหลา่ น้ีจะตอ้ งเขยี นใหล้ ะเอยี ดชดั เจนและเขยี นไวใ้ นค่มู อื ลงรหสั
9.1.3 การถ่ายโอนขอ้ มูล
ขนั้ ตอนการเตรยี มขอ้ มลู สาํ หรบั โปรแกรมสาํ เรจ็ รปู ทางสถิติที่ทาํ งานบน Windows
โปรแกรมสาํ เรจ็ รปู ทางสถติ ลิ กั ษณะน้ี ไดแ้ ก่ SPSS for Windows, STATA for Windows เป็นตน้
แมแ้ ต่โปรแกรมสาํ เรจ็ รูปกระดาษทด (Spreadsheet) บางโปรแกรมกส็ ามารถทาํ การวเิ คราะหข์ อ้ มูลทาง
สถิติได้ ได้แก่ MS-Excel ในการเตรียมข้อมูลเพ่ือนําไปวิเคราะห์ในโปรแกรมสําเร็จรูปประเภทน้ี
มกั ประกอบไปดว้ ยขนั้ ตอนทน่ี ้อยลงกว่าการเตรยี มขอ้ มลู เพ่อื นําไปวเิ คราะหใ์ นโปรแกรมสาํ เรจ็ รปู ทางสถติ ิ
การเตรยี มขอ้ มลู สาํ หรบั โปรแกรมสาํ เรจ็ รปู ทางสถติ ทิ ท่ี าํ งานบน Windows มขี นั้ ตอนต่าง ๆ ดงั น้ี

 การเตรยี มแบบบนั ทกึ ขอ้ มลู (Preparation)
 การตรวจสอบความสมบรู ณ์และความถูกตอ้ งของขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ (Preliminary editing)
 การบนั ทกึ ขอ้ มลู (Data entry)
 การรวบรวมเอกสารประกอบการบนั ทกึ ขอ้ มลู (Documentation)
 การตรวจสอบรหสั ขอ้ มลู สดุ ทา้ ย (Final editing)
1. การเตรยี มแบบบนั ทึกขอ้ มลู
ในการเตรยี มขอ้ มลู สาํ หรบั โปรแกรมสาํ เรจ็ รปู ทท่ี าํ งานบน Windows ไมจ่ ําเป็นตอ้ งมกี ารลงรหสั
ข้อมูลตามช่อง (สดมภ์ละ 1 ตัวอกั ษร) แต่จะต้องมกี ารจดั ข้อมูลข้นึ เป็นสดมภ์ละ 1 ตัวแปร ซ่งึ ทําให้
ขนั้ ตอนการลงรหสั และการถ่ายรหสั ไม่มีความจําเป็น ดงั นัน้ ขนั้ ตอนการเตรยี มขอ้ มูลสําหรบั โปรแกรม
สาํ เรจ็ รูปประเภทน้ีทําใหผ้ ูบ้ นั ทกึ ขอ้ มูลทําการบนั ทกึ ขอ้ มูลจากขอ้ มูลท่ไี ด้มาในแบบบนั ทกึ ขอ้ มูลได้เลย
การออกแบบแบบบนั ทกึ ขอ้ มลู น้ีจาํ เป็นอยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งมคี วามง่ายต่อผบู้ นั ทกึ ขอ้ มลู เพอ่ื ใหผ้ บู้ นั ทกึ ขอ้ มูล
ทาํ การบนั ทกึ โดยมคี วามผดิ พลาดน้อยทส่ี ดุ
แบบบนั ทกึ ขอ้ มลู ทด่ี คี วรจะมลี กั ษณะดงั น้ี
- มเี ลขกาํ กบั ตวั ขอ้ มลู ทจ่ี ะตอ้ งทาํ การบนั ทกึ เพอ่ื ใหผ้ บู้ นั ทกึ ทราบไดว้ า่ ขอ้ มลู ทก่ี าํ ลงั บนั ทกึ อยู่
นนั้ เป็นขอ้ มลู ตวั ทเ่ี ท่าใด
- ควรมกี ารลาํ ดบั คาํ ถามในแบบบนั ทกึ ขอ้ มลู ใหเ้ รยี งตามเลขกาํ กบั ขอ้ มลู ทใ่ี หไ้ วใ้ นขอ้ 1 จาก
ซา้ ยไปขวาและจากบนลงลา่ ง
- มกี ารรวมส่วนของขอ้ มลู ทใ่ี ชเ้ ป็นเพยี งหลกั ฐาน (ซง่ึ จะไมน่ ําไปวเิ คราะห)์ แยกต่างหากออก
จากขอ้ มลู ทจ่ี ะนําไปวเิ คราะห์

208

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

2. การตรวจสอบความสมบูรณ์และความถกู ต้องของข้อมลู เบอื้ งต้น
ขนั้ ตอนน้ียังคงมีความสําคัญไม่ว่าจะเป็นการเตรียมข้อมูลเพ่ือการวิเคราะห์โดยโปรแกรม
สาํ เรจ็ รปู ประเภทใด และการปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนน้ใี หป้ ฏบิ ตั เิ หมอื นทก่ี ลา่ วไวใ้ นช่วงตน้ ของบท
3. การบนั ทึกขอ้ มูล
ในการบนั ทกึ ขอ้ มูลน้ีผบู้ นั ทกึ จําเป็นทจ่ี ะตอ้ งมคี วามคุน้ เคยในการใชโ้ ปรแกรมสาํ เรจ็ รปู จําพวก
กระดาษทด (Spreadsheet) โปรแกรมเหล่าน้ีได้แก่ MS-Excel โปรแกรมสาํ เรจ็ รูปทางสถิตทิ ท่ี ํางานบน
Windows จะมีส่วนการรบั ข้อมูลเพ่ือนํามาวเิ คราะห์ในลกั ษณะเดยี วกนั กบั โปรแกรมสําเรจ็ รูปจําพวก
กระดาษทด (Spreadsheet) เหล่าน้ี หรอื ผวู้ จิ ยั สามารถทจ่ี ะใชโ้ ปรแกรมเหลา่ น้ใี นการบนั ทกึ ขอ้ มลู แลว้ ค่อย
นําขอ้ มูลทบ่ี นั ทกึ แล้วน้ีไปวเิ คราะหใ์ นโปรแกรมสําเรจ็ รูปทางสถติ ิต่อไป ซ่งึ มกั จะมขี อ้ แม้ว่า โปรแกรม
สาํ เรจ็ รปู ทางสถติ นิ นั้ สามารถอา่ นขอ้ มลู ทจ่ี ดั การบนั ทกึ ดว้ ยโปรแกรมสาํ เรจ็ รปู กระดาษทด (Spreadsheet)
ชนิดนนั้ ได้
ในการเรมิ่ ต้นบนั ทกึ ขอ้ มูล ผบู้ นั ทกึ อาจจะตอ้ งมกี ารกํากบั ช่อื ตวั แปรของแต่ละขอ้ มูลไว้ ช่อื ตวั
แปรน้ีมกั จะมปี ระโยชน์ในการเรยี กขอ้ มูลเพ่อื นํามาวเิ คราะห์ และยงั มปี ระโยชน์ในการตรวจสอบขอ้ มลู อกี
ดว้ ย
ในการบนั ทกึ ขอ้ มลู สามารถทําไดโ้ ดยใส่ขอ้ มลู ของแต่ละชุด ใหอ้ ย่ใู นแถวเดยี วกนั โดยทม่ี ขี อ้ มูล
ในแต่ละสดมภต์ รงกบั หวั ขอ้ ขอ้ มลู น้ีสามารถเป็นไดท้ งั้ ตวั เลข และตวั อกั ษร ตวั อย่างเช่น

รปู ที่ 25 การบนั ทกึ ขอ้ มลู ในโปรแกรม MS-Excel
209

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

การใชโ้ ปรแกรมสาํ เรจ็ รูปประเภทกระดาษทด (Spreadsheet) ยงั มปี ระโยชน์ในการประมวลผล
ขอ้ มูลเบ้ืองต้น (Preliminary data processing) ก่อนนําขอ้ มูลไปวเิ คราะห์ ได้แก่ การเรยี งลําดบั ขอ้ มูล
การเปลย่ี นขอ้ มลู ตวั อกั ษรใหเ้ ป็นขอ้ มลู ตวั เลข หรอื การจดั กลมุ่ ของขอ้ มลู เป็นตน้

จากตวั อย่าง จะมกี ารเปลย่ี นขอ้ มลู เร่อื งเพศทไ่ี ดท้ าํ การบนั ทกึ เป็นตวั อกั ษร (ช หรอื ญ) ใหเ้ ป็น
ตวั เลข (1 หรอื 2) มกี ารเรยี งขอ้ มลู ตามเลขทแ่ี บบสอบถาม

รปู ท่ี 26 ตวั อย่างการการลงหสั ขอ้ มลู และเรยี งขอ้ มลู ตามเลขทแ่ี บบสอบถาม
4. การรวบรวมเอกสารประกอบการบนั ทึกขอ้ มลู
หลงั จากการบนั ทึกขอ้ มูลเสรจ็ สน้ิ แล้ว ควรได้มกี ารรวบรวมเอกสารต่าง ๆ ท่ไี ด้ใช้ประกอบ
ในการบนั ทกึ ขอ้ มูลเพ่อื เกบ็ ไว้ใชเ้ ป็นหลกั ฐานในการตรวจสอบความผดิ พลาดอนั อาจเกดิ ขน้ึ ในระหว่าง
การบนั ทกึ ขอ้ มลู การรวบรวมเอกสารเหลา่ น้คี วรเกบ็ ไวใ้ นทเ่ี ดยี วกนั เพ่อื ความสะดวกในการคน้ หา
เน่ืองจากในขนั้ ตอนการบนั ทกึ ขอ้ มูลนัน้ ผูท้ ําการบนั ทกึ ได้อ่านขอ้ มูลโดยตรงจากแบบบนั ทึก
ขอ้ มลู หรอื แบบสอบถาม ไมไ่ ดม้ กี ารทาํ การลงรหสั ก่อนการบนั ทกึ ซง่ึ ทาํ ใหไ้ มม่ คี วามจาํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งจดั ทาํ
ค่มู อื การลงรหสั แต่เอกสารสาํ คญั ทส่ี ามารถเป็นหลกั ฐานไดด้ คี อื แบบบนั ทกึ ขอ้ มลู เปล่า หรอื แบบสอบถาม
เปล่าทย่ี งั ไม่มขี อ้ มูลใด ๆ เอกสารน้สี ามารถนํามาใชต้ รวจสอบความเป็นไปไดข้ องค่าขอ้ มลู ทท่ี าํ การบนั ทกึ
แลว้
เอกสารอ่นื ๆ ทจ่ี ดั ทําขน้ึ เป็นข้อตกลงในการบนั ทกึ ขอ้ มูล เช่น การกําหนดตวั เลขแทนขอ้ มูล
ท่ขี าดหายไป (Missing data) ซ่ึงมกั จะใช้เป็นรหสั ท่ีลงท้ายดว้ ย 8 หรอื 9 เพ่อื แทนคําถามท่ไี ม่ไดต้ อบ
และไม่มขี อ้ มลู

210

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

5. การตรวจสอบแก้ไขรหสั ขอ้ มลู ครงั้ สดุ ท้าย (Final editing)
5.1 ขนั้ ตอนตรวจความถกู ต้องของข้อมูลท่ีบนั ทึก
วิธีท่ี 1 ตรวจจากรหสั ขอ้ มูลทเ่ี คร่ืองคอมพวิ เตอรพ์ มิ พ์ออกมา เปรยี บเทียบกบั รหสั ท่ลี งไว้ใน
แบบฟอรม์ ตอนแรก วธิ นี ้ีเหมาะสาํ หรบั ขอ้ มูลท่มี จี ํานวนไม่มากนัก ซ่งึ สามารถใช้เจา้ หน้าท่ลี งรหสั ช่วย
ตรวจสอบรหสั ในแต่ละแถวในแต่ละคอลมั น์เร่อื ย ๆ ไปได้ เม่อื พบรหสั ทผ่ี ดิ กต็ อ้ งกลบั ไปตรวจกบั รหสั ทล่ี ง
ไวใ้ นแบบฟอรม์ ตอนแรก หรอื ถา้ ยงั สงสยั กต็ อ้ งกลบั ไปตรวจกบั ขอ้ มลู ในตน้ ฉบบั
วิธีที่ 2 ตรวจรหสั โดยใชค้ นพมิ พข์ อ้ มลู ชุดเดยี วกนั 2 คน หรอื คนเดยี วพมิ พข์ อ้ มลู ชุดทงั้ 2 ครงั้
แลว้ เขยี นโปรแกรมจบั ค่ขู อ้ มลู ทงั้ 2 ชุดนนั้ ว่าตรงกนั ไหม ถ้าตรงกนั กค็ าดว่าถูกตอ้ ง ถา้ ไม่ตรงกนั กจ็ ะให้
เคร่อื งคอมพวิ เตอรพ์ มิ พอ์ อกมาโดยระบุทผ่ี ดิ ว่าเกดิ ขน้ึ กบั ตวั อย่างหมายเลขทเ่ี ท่าไร คอลมั น์และแถวท่ี
เทา่ ไร แลว้ นํารหสั ทผ่ี ดิ นัน้ ไปตรวจกบั รหสั ในแบบฟอรม์ หรอื ในตน้ ฉบบั ขอ้ มลู นํามาแกไ้ ขใหถ้ กู ตอ้ งต่อไป
วธิ นี ้ีกเ็ หมาะสมกบั ขอ้ มูลทม่ี จี าํ นวนน้อย ๆ เช่นกนั ถ้าขอ้ มลู จํานวนมากจะเสยี เวลาและค่าใชจ้ ่ายในการ
พมิ พข์ อ้ มลู เพมิ่ ขน้ึ อกี เทา่ ตวั ดงั นนั้ จงึ ควรไปใชว้ ธิ ที ่ี 3 จะเหมาะกว่า
วิธีที่ 3 ตรวจรหสั โดยใชโ้ ปรแกรมตรวจสอบรหสั ทผ่ี ดิ คลา้ ย ๆ กบั วธิ ที ่ี 2 แต่พมิ พข์ อ้ มลู เพยี งครงั้
เดยี วเท่านัน้ โปรแกรมน้ีจะช่วยสงั่ ใหค้ อมพวิ เตอรพ์ มิ พร์ ายละเอยี ดขอ้ ผดิ พลาดออกมาเหมอื นกบั วธิ ที ่ี 2
วธิ ตี รวจสอบแบบท่ี 3 น้ีเหมาะสาํ หรบั ขอ้ มลู จาํ นวนมาก ๆ โปรแกรมตรวจสอบน้นี อกจากมผี สู้ รา้ งสาํ เรจ็ รปู
ไวใ้ หใ้ ชแ้ ลว้ ผวู้ จิ ยั อาจใหผ้ ทู้ ม่ี คี วามรใู้ นการเขยี นโปรแกรมเขยี นขน้ึ มาตรวจสอบขอ้ มลู โดยเฉพาะกไ็ ด้
5.2 การตรวจความเป็นไปไดข้ องรหสั ข้อมลู
เป็นการตรวจสอบวา่ รหสั ขอ้ มลู ทไ่ี ดบ้ นั ทกึ ลงไปนนั้ เป็นคา่ ทม่ี คี วามหมายของขอ้ มลู เชน่ ขอ้ มลู เร่อื งเพศท่ี
ได้บันทึกค่าเป็นตัวเลข จะมีค่าท่ีเป็ นไปได้เพียง 1, 2, 8 และ 9 เท่านัน้ ถ้ามีข้อมูลในชุดใดมีค่า
นอกเหนอื จากน้ีแสดงว่ามขี อ้ ผดิ พลาดในการบนั ทกึ ขอ้ มลู เพศในชดุ นนั้ การตรวจสอบความเป็นไปไดข้ อง
รหสั ขอ้ มูลนนั้ สามารถกระทําไดใ้ นโปรแกรมสาํ เรจ็ รูปกระดาษทด (Spreadsheet) โดยง่ายเพยี งแต่เขยี น
สตู รการตรวจสอบขอ้ มลู ขน้ึ
การตรวจสอบแกไ้ ขขอ้ มลู ครงั้ สดุ ทา้ ยน้ีเป็นการกลนั่ กรองความผดิ พลาดของขอ้ มลู ใหเ้ หลอื น้อย
ทส่ี ดุ เทา่ ทจ่ี ะน้อยไดก้ ่อนทจ่ี ะนําไปวเิ คราะหจ์ รงิ ๆ ถา้ ผวู้ จิ ยั มกี ารวางแผนในการตรวจสอบแกไ้ ขขอ้ มลู เป็น
อย่างดแี ลว้ จะลดปัญหาในการวเิ คราะหข์ อ้ มูลทเ่ี กย่ี วขอ้ งในเร่อื งรหสั ผดิ พลาดลงไปไดม้ าก เพราะไม่ต้อง
เสียเวลากลับไปกลับมาในการตรวจสอบรหสั กับแบบฟอร์มเดิมหรือตรวจสอบกับข้อมูลในต้นฉบับ
ซง่ึ บางครงั้ กห็ าตน้ ฉบบั ไม่พบอกี นอกจากน้ีการแกไ้ ขขอ้ มลู ในช่วงของการวเิ คราะหท์ าํ ใหข้ ดั จงั หวะในการ
เขยี นรายงานเป็นอย่างมาก แทนทจ่ี ะวเิ คราะหข์ อ้ มูลรวดเดยี วเสรจ็ แลว้ เขยี นรายงานจากผลการวเิ คราะห์
ออกมาได้เลย กลบั ต้องมาหยุดชะงกั เขยี นต่อไม่ได้เพราะไปเจอขอ้ ผดิ พลาดของขอ้ มูล ต้องเสยี เวลา
กลบั ไปตรวจสอบทผ่ี ดิ และวเิ คราะหข์ อ้ มลู ใหม่ และกว่าทจ่ี ะไดผ้ ลนํามาเขยี นรายงานใหต้ ่อเน่อื ง จะตอ้ งเรม่ิ
ตงั้ สมาธปิ ะตดิ ปะต่อเรอ่ื งทค่ี า้ งไวก้ นั ใหม่ ในทางปฏบิ ตั จิ รงิ ๆ เป็นเร่อื งทเ่ี สยี เวลาไม่น้อยทเี ดยี ว สรุปแลว้
ผวู้ จิ ยั ไม่ควรขา้ มขนั้ ตอนของการตรวจสอบแก้ไขขอ้ มูลครงั้ สุดท้าย ซ่งึ การเสยี เวลาตอนน้ีดกี ว่าต้องไป
เสยี เวลาแกไ้ ขในชว่ งของการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ซง่ึ จะเสยี เวลามากกวา่ น้ีอกี หลายเทา่ ตวั

211

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

9.2 การวิเคราะหข์ ้อมลู

การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เป็นกระบวนการทน่ี ําเอารหสั ขอ้ มูลทพ่ี มิ พไ์ ว้ ซง่ึ ไดผ้ ่านการตรวจสอบแกไ้ ข
รหสั ทผ่ี ดิ ในขนั้ สดุ ทา้ ยมาแลว้ ไปวเิ คราะห์ โดยใชส้ ถติ ทิ เ่ี หมาะสมเพ่อื ใหไ้ ดผ้ ลการวเิ คราะหส์ ามารถตอบ
ปัญหาวจิ ยั ไดค้ รบถว้ น อน่ึง การวเิ คราะหข์ อ้ มลู นัน้ ไม่จาํ เป็นทต่ี อ้ งใชเ้ ครอ่ื งคอมพวิ เตอรเ์ สมอไปถา้ ขอ้ มลู
มจี ํานวนไม่มาก เช่น ตวั อย่างทใ่ี ชป้ ระมาณไม่เกนิ 50 ราย กส็ ามารถวเิ คราะหข์ อ้ มลู โดยใชเ้ คร่อื งคดิ เลข
ท่ีมีประสิทธิภาพการคํานวณท่ีดีได้เช่นกัน เคร่ืองคิดเลขท่ีดีในปัจจุบนั มีโปรแกรมทางสถิติบรรจุไว้
ซ่งึ ช่วยคํานวณทางสถิติได้มากทเี ดียว แต่อย่างไรก็ตามถ้าขอ้ มูลท่วี ิเคราะห์มจี ํานวนมากย่อมต้องใช้
เคร่อื งคอมพวิ เตอรช์ ่วย เพราะจะสะดวกรวดเรว็ และไดผ้ ลถูกตอ้ งมากกวา่

การวิเคราะห์ข้อมูลท่ีมีประสิทธิภาพ ควรเป็นขัน้ ตอนท่ีผู้วิจัยได้เลือกโปรแกรมสถิติจาก
คอมพวิ เตอรม์ าวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตามกรอบของตารางจาํ ลอง (Dummy table) ถา้ ผูว้ จิ ยั ไดส้ รา้ งตารางจาํ ลอง
และระบุสถิตทิ ่จี ะวเิ คราะหไ์ วช้ ดั เจนตงั้ แต่ตอนแรก การวเิ คราะหข์ ้อมูลในขนั้ น้ีมกั จะไม่มปี ัญหายุ่งยาก
มากนกั อาจมกี ารเปลย่ี นแปลงสถติ ทิ ว่ี เิ คราะหบ์ างตวั เพอ่ื ความเหมาะสมกบั ลกั ษณะของขอ้ มลู ทเ่ี กบ็ มาได้
หรือเพ่ิมเติมแก้ไขตารางวิเคราะห์บางตารางเท่านัน้ ปัญหาการวิเคราะห์ข้อมูลแบบลองผิดลองถูก
มกั จะไม่ไดผ้ ลเป็นไปตามวตั ถุประสงคห์ รอื สมมติฐานทต่ี งั้ ไว้ เพราะไม่ไดม้ กี ารเตรยี มตารางวเิ คราะหไ์ ว้
ล่วงหน้า จงึ อาจทาํ ใหม้ ผี ลกระทบโยงไปถงึ ปัญหาการเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ย ทส่ี าํ คญั คอื การเกบ็ ขอ้ มลู ไมค่ รบถว้ น
ทค่ี วรจะเกบ็ กลบั ไมไ่ ดเ้ กบ็ หรอื เกบ็ มาแลว้ ไมล่ ะเอยี ดพอทจ่ี ะวเิ คราะหใ์ หไ้ ดผ้ ลตรงตามทต่ี อ้ งการได้ ปัญหา
การวเิ คราะหข์ อ้ มลู จะลดลงไดม้ ากถา้ มกี ารเตรยี มตารางวเิ คราะหข์ อ้ มลู ไวล้ ว่ งหน้าใหช้ ดั เจนเสยี ก่อน

9.2.1 ขนั้ ตอนการวิเคราะหข์ อ้ มูล
ในทางปฏบิ ตั ิการวเิ คราะห์ขอ้ มูลจะดําเนินการเป็น 2 ขนั้ ตอน คือ ขนั้ แรก เป็นการวิเคราะห์
หาค่าความถ่ี (Frequencies) ของขอ้ มูลทกุ ตวั ขนั้ ทส่ี อง เป็นการวเิ คราะหร์ ายละเอยี ดของขอ้ มลู แต่ละตวั
เพ่อื ตอบวตั ถุประสงคแ์ ละสมมตฐิ านโดยใชส้ ถิตทิ เ่ี หมาะสมต่อไป สําหรบั การวเิ คราะหห์ าค่าความถ่ขี อง
ขอ้ มลู ทุกตวั ในขนั้ แรกนัน้ มปี ระโยชน์หลายประการ กล่าวคอื ผู้วจิ ยั สามารถตรวจสอบความถูกตอ้ งของ
รหสั ของขอ้ มูลนนั้ ไดอ้ กี ครงั้ หน่ึง ถึงแมว้ ่าผวู้ จิ ยั ไดม้ กี ารตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มลู มาแลว้ ในตอน
แรกก็ตาม โอกาสท่ยี งั คงมคี วามผดิ พลาดหลงเหลอื อยู่อกี กอ็ าจมไี ด้ การตรวจสอบน้ีสามารถดูได้จาก
ตารางวเิ คราะหค์ วามถ่ซี ง่ึ จะแจกแจงตามรหสั ของขอ้ มลู นนั้ ถา้ มรี หสั นอกเหนือไปจากรหสั ทใ่ี หไ้ วใ้ นค่มู อื
ลงรหสั ปรากฏอยู่ในตารางวเิ คราะห์ความถ่ี กแ็ สดงว่ามคี วามผดิ พลาดของรหสั ปะปนเขา้ มาดว้ ย ผูว้ จิ ยั
ตอ้ งกลบั ไปตรวจสอบรหสั ของขอ้ มลู ในแบบฟอรม์ ลงรหสั อกี ครงั้ หน่งึ เพ่อื แกไ้ ขใหถ้ ูกตอ้ งก่อนทจ่ี ะใชส้ ถติ ิ
วเิ คราะห์รายละเอียดในขนั้ ต่อไป ขอยกตัวอย่างการตรวจสอบรหสั ของข้อมูลสภาวะร่างกาย (V25)
จากตารางวเิ คราะหค์ วามถโ่ี ดยใชโ้ ปรแกรมสาํ เรจ็ รปู SPSS ดงั น้ี

212

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

V25 Value Frequencies Percentages

0 2 3.18

1 32 50.79

2 10 15.87

3 6 9.52

4 7 11.11

5 1 1.59

7 3 4.76

9 2 3.18

Total 63 100.00

จากการตรวจสอบคู่มือลงรหสั สําหรบั ขอ้ มูลน้ีปรากฏว่า มรี หสั หมายเลข 1, 2, 3, 4 และ 9
เท่านัน้ แต่จากตารางใน Print out คอมพวิ เตอร์ มรี หสั 0, 5 และ 7 ปนเขา้ มาดว้ ย แสดงว่ามรี หสั ทพ่ี มิ พ์
ผดิ ปนเขา้ มา ดงั นนั้ ผวู้ จิ ยั ตอ้ งกลบั ไปตรวจแกไ้ ขขอ้ มลู ใหม่อกี ครงั้ หน่ึง

นอกจากน้ี ตารางวเิ คราะหค์ วามถ่ยี งั ชว่ ยใหผ้ วู้ จิ ยั สามารถดูลกั ษณะการกระจายของขอ้ มลู แต่ละ
ตวั ไดว้ ่ามคี ุณสมบตั พิ น้ื ฐานเหมาะสมทจ่ี ะใชส้ ถติ ติ ามทร่ี ะบุไวใ้ นตารางจําลองไดห้ รอื ไม่ โดยเฉพาะสถิติ
แบบพาราเมตรกิ มขี อ้ ตกลงเกย่ี วกบั การกระจายของขอ้ มูลต้องเป็นแบบปกติ ดงั นัน้ จากตารางวเิ คราะห์
ความถผ่ี วู้ จิ ยั ยงั สามารถสงั่ ใหค้ อมพวิ เตอรช์ ่วยทาํ กราฟแสดงลกั ษณะการกระจายของขอ้ มลู ออกมาไดด้ ว้ ย
วา่ มรี ปู กราฟเป็นแบบใด ถา้ รปู กราฟมลี กั ษณะการกระจายเบไ้ ปทางหน่ึงทางใดมาก ๆ แลว้ กย็ ่อมสะทอ้ น
ใหเ้ หน็ วา่ คุณสมบตั ขิ องขอ้ มลู นัน้ ไมเ่ หมาะสมกบั สถติ บิ างตวั ทจ่ี ะใชว้ เิ คราะห์ ควรเลอื กสถติ ติ วั ใหมท่ น่ี ่าจะ
เหมาะสมกว่าในการวเิ คราะหข์ อ้ มูลนนั้ จงึ เหน็ ไดว้ ่าขอ้ มูลจากการวเิ คราะหค์ วามถเ่ี ป็นขอ้ มลู พน้ื ฐานท่มี ี
ประโยชน์ต่อผวู้ จิ ยั อยา่ งมากไม่ควรมองขา้ มไป

ตารางวิเคราะห์ความถ่ียงั ช่วยให้ผู้วิจยั สามารถพิจารณารายละเอยี ดข้อมูลท่ีต้องการตัดท้ิง
ออกไปจากการคาํ นวณค่าสถติ หิ รอื การวเิ คราะหต์ ารางไขว้ (Cross tabulation) โดยเฉพาะขอ้ มูลทล่ี งรหสั
7, 8, 9 หรือ 0 ซ่ึงเป็นข้อมูลไม่ทราบ ไม่ตอบ ไม่มีข้อมูล จําเป็นต้องใช้คําสงั่ MISSING VALUES
(เป็นตวั อย่างคําสงั่ ของโปรแกรม SPSS) เพ่อื ตดั ขอ้ มูลเหล่าน้ีออกจากการคํานวณค่าสถิตติ ่าง ๆ หรอื
ในกรณีการใช้คําสงั่ RECODE (เป็นตัวอย่างคําสงั่ ของโปรแกรม SPSS) เพ่ือจัดรวมกลุ่มข้อมูลใหม่
ใหเ้ หมาะสมสาํ หรบั การวเิ คราะหต์ ารางไว้ ซง่ึ ต้องดูรายละเอยี ดจากขอ้ มูลแจกแจงความถ่ีประกอบดว้ ย
จงึ จะทราบว่าค่าต่ําสุดและสงู สุดเป็นเท่าไร ควรจดั กลุ่มขอ้ มลู ทเ่ี หมาะสมเป็นกก่ี ลุ่มและช่วงค่าของขอ้ มูล
ในแต่ละกลุม่ ควรจะเป็นเท่าไรจงึ จะทาํ ใหผ้ ลการวเิ คราะหต์ ารางไขวอ้ อกมาชดั เจนถูกตอ้ งตามวตั ถุประสงค์
ของการวจิ ยั นนั้

หลังจากท่ีผ่านขนั้ ตอนของการวิเคราะห์ความถ่ีของข้อมูลแล้ว ขนั้ ต่อไปเป็นการวิเคราะห์
รายละเอยี ดของขอ้ มูล ซง่ึ ในการปฏบิ ตั นิ ิยมแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คอื 1) ขอ้ มูลแสดงคุณลกั ษณะ

213

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ทวั่ ไปของตวั อย่างหรอื สภาพแวดลอ้ มของสถานท่ที ศ่ี กึ ษา 2) ขอ้ มูลทต่ี อบวตั ถุประสงค์ และ 3) ขอ้ มูลท่ี
ตอบสมมตฐิ าน สาํ หรบั ขอ้ มลู แต่ละกลมุ่ จะใชส้ ถติ แิ ตกต่างกนั ออกไปในแต่ละระดบั ของการวเิ คราะหโ์ ดยท่ี
ผวู้ จิ ยั สามารถพจิ ารณาหลกั ใหญ่ ๆ ไดด้ งั น้ี

ข้อมูลแสดงคุณลกั ษณะทวั่ ไป ต้องพิจารณาดูระดบั การวดั ของข้อมูลนัน้ ว่าอยู่ในระดบั ใด
ถา้ เป็นขอ้ มลู ในระดบั นามมาตรากส็ ามารถวเิ คราะหร์ ายละเอยี ดไดแ้ ก่จาํ นวนและรอ้ ยละเท่านนั้ ถา้ ขอ้ มูล
เพ่ิมระดบั เป็นอนั ดบั มาตรากจ็ ะสามารถวิเคราะห์ขอ้ มูลเพมิ่ เติมจากจํานวนและร้อยละข้นึ มาเป็นการ
วเิ คราะห์ค่ามธั ยฐาน (Median) และ ฐานนิยม (Mode) ได้ และเม่อื ขอ้ มูลมรี ะดบั การวดั สูงข้นึ เป็นช่วง
มาตรา หรอื อตั ราส่วนมาตรา การวเิ คราะหส์ ามารถเพิ่มรายละเอียดได้มากสุด คอื สามารถวิเคราะห์
ค่าสถติ ติ ่าง ๆ ดงั กล่าวแลว้ และยงั วเิ คราะหค์ ่าเฉลย่ี และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐานไดอ้ กี ดว้ ย ขอ้ มูลทแ่ี สดง
คุณลกั ษณะทวั่ ไปจะใชค้ ่าสถติ พิ น้ื ฐานเบอ้ื งต้นวเิ คราะหร์ ายละเอยี ดสาํ หรบั อธบิ ายคุณลกั ษณะของขอ้ มูล
ตารางวเิ คราะหข์ อ้ มลู กลุ่มน้ีจะเป็นตารางเดย่ี วแยกตวั แปรแต่ละตวั หรอื อาจเป็นตารางเดย่ี วแต่รวมตวั แปร
เหล่าน้ไี วเ้ ป็นหมวดหมู่ ซง่ึ มคี ุณลกั ษณะอย่ใู นกลุ่มเดยี วกนั กไ็ ด้

ขอ้ มูลที่ตอบวตั ถปุ ระสงค์ การวเิ คราะหข์ อ้ มูลในลกั ษณะน้ีอาจวเิ คราะหเ์ ป็นตารางเดย่ี วคลา้ ย
กบั ขอ้ มูลในกลุม่ แรก หรอื อาจเพม่ิ รายละเอยี ดของการวเิ คราะหข์ อ้ มูลบางตวั ทต่ี อบวตั ถุประสงคข์ องขอ้ ท่ี
ลกึ ซง้ึ โดยวเิ คราะหใ์ นลกั ษณะตารางไขวแ้ บบ 2 ทางกไ็ ด้ สถติ ทิ ใ่ี ชว้ เิ คราะหข์ อ้ มลู เพ่อื ตอบวตั ถุประสงค์
ยงั คงใชส้ ถติ ขิ นั้ พน้ื ฐานธรรมดา

ข้อมูลท่ีตอบสมมติฐาน การวเิ คราะหข์ อ้ มูลในกลุ่มทใ่ี ช้ตอบสมมติฐานจําเป็นต้องเพมิ่ ระดบั
ของสถติ ทิ ใ่ี ช้วเิ คราะหใ์ ห้สงู มากขน้ึ กว่าระดบั การวเิ คราะหใ์ นขอ้ มลู กลุ่มหน่ึงและกลุ่มสองท่กี ล่าวมาแล้ว
ตารางท่ีใช้วเิ คราะห์อาจเริ่มจากตารางไขว้แบบ 2 ทางข้นึ ไป รวมทงั้ ตารางสถิติแต่ละวิธที ่ีใช้ทดสอบ
สมมติฐานแต่ละข้อ ซ่ึงข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของวิธีสถิติท่ีใช้ เช่น Z 2 test, t-test, ANOVA และ
Regression เป็นตน้

214

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

แนวทางคาํ นวณค่าสถิติและการแสดงผล
ตวั แปร
(Variable)

บอกคณุ ลกั ษณะ บอกปรมิ าณ
วิธีการเกบ็ : การนบั วิธีการเกบ็ : การวดั
การคาํ นวณค่าสถิติ การคาํ นวณคา่ สถิติ
คา่ กึ่งกลาง
- คา่ รอ้ ยละ - มชั ฌมิ เลขคณิต (Arithmetic mean)
- ค่าสดั สว่ น - มชั ฌมิ เรขาคณติ (Geometric mean)
- อตั ราสว่ น - มธั ยฐาน (Median)
- อตั รา - ฐานนยิ ม (Mode)
การนําเสนอขอ้ มลู ค่าการกระจาย
- ตาราง - พสิ ยั (Range)
- แผนภมู แิ ท่ง - ค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
- แผนภูมแิ ทง่ สดั สว่ น - ค่าความแปรปรวน (Variance)
- แผนภมู วิ งกลม - สมั ประสทิ ธแิ หง่ การกระจาย (Coefficient of variation)
- แผนภูมแิ ผนท่ี - ควอไทล,์ เดไซส,์ เปอรเ์ ซน็ ตไ์ ทล์
- แผนภมู ริ ปู ภาพ การแสดงผล
- แผนภมู ฮิ สี โตแกรม
- รปู หลายเหลย่ี มแหง่ ความถ่ี
- กราฟแสดงความถส่ี มั พนั ธส์ ะสม
- Box plot
- กราฟเสน้
- Scatter plot

215

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

9.3 การแปลความหมายข้อมลู ท่ีใช้สถิติวิเคราะห์

9.3.1 หลกั ในการแปลความหมายของขอ้ มูล
ข้อมูลท่ีวิเคราะห์มานัน้ ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยในลกั ษณะใดจะพบว่ามีทัง้ ข้อมูลเชิงปริมาณ
และคุณภาพ ขอ้ มูลทเ่ี ป็นเชงิ ปรมิ าณใช้หลกั สถิตแิ ละคณิตศาสตร์สรุปและแปลความไดง้ ่ายและชดั เจน
แต่ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผู้ทําวิจยั จะต้องใช้ดุลยพินิจของตนเองในการสรุปผลและแปลความหมายเอง
ดงั นัน้ ถ้าขาดหลกั การท่มี นั่ คงแน่นอนผลการแปลความหมายอาจทําให้งานวิจยั ท่ที ุ่มเททํามากมาย
ผดิ พลาดและลม้ เหลว
หลกั ทพ่ี งึ ยดึ ถอื ในการแปลความตามขอ้ มลู มี 5 ประการ คอื
1. การเสนอขอ้ แนะนําใด ๆ ตอ้ งสมั พนั ธ์กบั ขอ้ มูลท่นี ํามากล่าวถงึ ขอ้ มลู ท่รี วบรวมมาวเิ คราะห์
เรยี บรอ้ ยเป็นเหตุ ถา้ เสนอขอ้ แนะนําทไ่ี ม่สมั พนั ธก์ นั ไม่ใช่เร่อื งเดยี วกนั ย่อมไม่เป็นเหตุเป็นผลต่อกนั ไม่มี
น้ําหนกั ทจ่ี ะใหเ้ ช่อื ถอื
2. การแปลความหมายแต่ละขอ้ ตอ้ งมหี ลกั ฐานประกอบอยา่ งสมบรู ณ์
การสรุปผลใด ๆ ท่ไี ดจ้ ากการวเิ คราะหข์ อ้ มูลจะตอ้ งแสดงท่มี าหรอื แหล่งอา้ งองิ ได้ ไม่กล่าวถงึ
อย่างเลอ่ื นลอย จะตอ้ งนําขอ้ มลู ทเ่ี กบ็ รวบรวมมาแสดงประกอบ
3. การแสดงหลกั ฐานอ้างองิ ต่าง ๆ ควรแสดงเท่าทจ่ี ําเป็นและตรงกบั ทต่ี อ้ งการเท่านนั้ การนํา
ขอ้ มลู ไมว่ ่าจะเป็นตาราง หรอื แผนภาพใด ๆ หรอื แมแ้ ต่การเขยี นเรยี งไปตามลาํ ดบั มาอา้ งองิ ในเน้อื หาของ
รายงานเพ่อื สนบั สนุนขอ้ สรุปใด ๆ ควรจดั ทําใหถ้ ูกต้องตรงกบั ขอ้ สรุปนัน้ ๆ อกี ทงั้ แสดงเท่าทจ่ี ําเป็นต้อง
แสดง การอา้ งองิ หรอื นําหลกั ฐานประกอบมากเกนิ ความจาํ เป็นจะทําใหร้ ายงานขาดน้ําหนกั ความเช่อื ถอื
เพราะไมม่ เี น้ือหาในการแปลความหมาย
4. ตอ้ งระมดั ระวงั ไมใ่ หข้ อ้ เสนอแนะขดั แยง้ กบั ขอ้ มลู ทน่ี ําเสนอ
ในแบบฟอรม์ ของรายงานนัน้ ขอ้ เสนอแนะอยู่คนละส่วน คนละหวั ข้อกบั สรุปผลการวเิ คราะห์
ขอ้ มลู ดงั นัน้ หากผทู้ ําวจิ ยั ขาดความละเอยี ดรอบคอบหรอื เขยี นขอ้ เสนอแนะต่างเวลากบั การเขยี นขอ้ มูล
วเิ คราะหห์ รอื สรุปผล จะเสนอขอ้ แนะนําทข่ี ดั แยง้ กบั ขอ้ มลู ทาํ ใหค้ ณุ คา่ ของงานวจิ ยั นนั้ สญู สน้ิ ไปทนั ที
5. ตอ้ งกลา่ วถงึ รายละเอยี ดของขอ้ มลู ทผ่ี ดิ ปกตหิ รอื ขอ้ ยกเวน้ ใด ๆ
ในการนําขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วกบั ระยะเวลาช่วงยาวมาศกึ ษาวเิ คราะห์ จะพบว่าขอ้ มลู เหล่านนั้ จะมขี อ้ มลู
บางขอ้ มลู ผดิ แปลกจากส่วนอ่นื ๆ อย่างเหน็ ไดช้ ดั หรอื มเี หตุการณ์ผดิ จากปกตเิ กดิ ขน้ึ จะต้องกล่าวถงึ สงิ่
เหล่านัน้ โดยชดั แจ้งเพ่ือเสนอเป็นองค์ประกอบท่ีดีในการตดั สนิ ใจ สําหรบั ผู้รบั รายงานจะได้นําไปใช้
เน่ืองจากขดั แยง้ ใดท่จี ะต้องระลกึ ถึงเม่ือจะตดั สนิ ใจอะไรก็ตามเพราะไม่มีขอ้ มูลท่สี ะดุดตาแต่อย่างไร
ดงั นนั้ จงึ ควรจะมกี ารกลา่ วถงึ สว่ นน้อยดว้ ย
หลกั ท่ีผวู้ ิจยั ต้องระมดั ระวงั เสมอในการแปลความหมายของขอ้ มูล
1. ซ่อื สตั ย์ เทย่ี งตรง และ สขุ ุมรอบคอบ การแปลความหมายของขอ้ มูลทุกครงั้ จะต้องไม่มอี คติ
ใช้ความรูส้ กึ ส่วนตวั หรอื พยายามตีความไปในลกั ษณะบดิ เบอื นขอ้ เทจ็ จรงิ เพ่อื ให้เป็นไปตามสมมตฐิ าน
ทต่ี งั้ ไวใ้ หไ้ ด้ และควรจดั ทาํ ดว้ ยความรอบคอบ

216

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

2. วิเคราะห์และแปลความหมายเฉพาะขอ้ มูลส่วนท่ตี รงกับวัตถุประสงค์ในการวจิ ัยเท่านัน้
จะตอ้ งยดึ ถอื วตั ถุประสงคท์ ก่ี าํ หนดไวเ้ ป็นแนวทางและเกณฑป์ ฏบิ ตั ิ

3. การวเิ คราะหแ์ ละแปลความหมายของขอ้ มลู ควรจะเรมิ่ จากส่วนทง่ี ่าย ๆ ก่อน เร่อื งพน้ื ฐานท่ี
บุคคลอ่ืน ๆ ทราบเร่ืองดีแล้วจึงตีความให้สมั พนั ธ์ลึกซ้ึงเพิ่มมากข้นึ ถ้าไม่จําเป็นควรหลีกเล่ียงการ
วเิ คราะหแ์ ละแปลความหมายขอ้ มลู ทย่ี ่งุ ยากซบั ซอ้ น

4. ให้น้ําหนักเหตุการณ์ทงั้ หลายท่ีเกดิ ขน้ึ เท่า ๆ กนั เพ่อื ป้องกนั มใิ ห้การตัดสนิ ใจขน้ึ อยู่กับ
น้ําหนกั ของเหตุการณ์ทม่ี ากหรอื น้อย เช่น เหตุการณ์ใดทม่ี กี ารย้าํ หรอื เน้นมากกว่า

5. ต้องคาํ นงึ ถงึ ขอ้ ผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากขนาดตวั อย่างเลก็ เกนิ ไป การทาํ วจิ ยั ทุกประเภทสว่ นใหญ่
จะศกึ ษาจากตวั อย่างกลุ่มหน่ึงและนําไปประมาณเป็นค่าของประชากรทงั้ จํานวน ฉะนัน้ ถ้าตวั อย่างขนาด
เลก็ มากความแตกต่างระหว่างตวั อย่างกบั ประชากรจะมมี ากขน้ึ ตวั อย่างไมถ่ อื เป็นตวั แทนทด่ี ี

6. การใชค้ ่าเฉลย่ี ต่าง ๆ ในการวเิ คราะหข์ อ้ มูลต้องยอมรบั ค่าเฉลย่ี เป็นเพยี งแนวโน้มแบบหน่ึง
เท่านัน้ ไม่ใช่ตวั แทนทด่ี ขี องประชากรหรอื ตวั แทนทแ่ี ทจ้ รงิ เสมอไป ดงั นนั้ การใชจ้ ะตอ้ งระมดั ระวงั ยง่ิ ถา้
ค่าการกระจายของขอ้ มลู มมี าก การสรปุ ผลอาจจะผดิ พลาดไดง้ ่าย

7. อย่างมองขา้ มขอ้ มลู ประกอบต่าง ๆ เร่อื งเลก็ ๆ น้อย ๆ อาจมคี วามสาํ คญั ต่อผลสรุปงานวจิ ยั
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ถา้ เป็นความคดิ เหน็

8. แยกความแตกต่างของขอ้ มลู สว่ นทเ่ี ป็นความคดิ เหน็ กบั สว่ นทเ่ี ป็นขอ้ เทจ็ จรงิ ส่วนขอ้ เทจ็ จรงิ
ควรวเิ คราะหแ์ ละเสนอในรปู ของตวั เลข

9. ต้องแยกให้เห็นชดั เจนในส่วนท่เี ป็นเหตุหรอื ผล การตัดสนิ ใจท่พี จิ ารณาแต่ผลลพั ธ์โดยไม่
ทราบสาเหตุถอื เป็นสงิ่ ทอ่ี นั ตรายมาก

นอกเหนือจากหลกั กว้าง ๆ 9 ขอ้ ดงั กล่าวแล้ว ผู้วจิ ยั หรอื ผูแ้ ปลความหมายของขอ้ มูลจะต้อง
คาํ นึงลกั ษณะหรอื วธิ กี ารแปลความหมายทจ่ี ะนํามาใชม้ ี 2 วธิ ี หรอื 2 แบบ

1. การแปลความหมายตามขอ้ มลู
ยดึ ถอื หลกั ทว่ี ่า ขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ วบรวมมาผ่านขนั้ ตอนการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ต่าง ๆ เป็นขอ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ ง
แล้ว ผู้วจิ ยั จะแปลความตามขอ้ มูลท่จี ดั หามาเท่านัน้ จะไม่มกี ารหยบิ ยกหรอื จดั หาข้อมูลอ่นื ๆ มาใช้
ประกอบอีก ดงั นัน้ การสรุปผลหรือเสนอแนะวิธกี ารแก้ไขใด ๆ จะให้สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูลท่นี ําเสนอมา
เท่านนั้ ใหเ้ ป็นเหตุเป็นผลกนั ถอื วา่ ถูกตอ้ ง
2. การแปลความหมายตามสถานการณ์
จุดมุ่งหมายในการจดั ทําวจิ ยั สําหรบั สาธารณสุขหวงั จะได้นําข้อเสนอแนะต่าง ๆ ไปใช้ปฏบิ ตั ิ
แก้ปัญหาท่ีเกิดขน้ึ แต่ถ้าขอ้ เสนอแนะเหล่านัน้ ล้าสมยั หรอื ขดั กบั นโยบาย ระเบยี บปฏบิ ตั ิท่ใี ช้อยู่เดิม
ขอ้ เสนอแนะเหล่านนั้ ย่อมไม่มโี อกาสจะถูกนําไปใช้ ดงั นนั้ โอกาสทง่ี านวจิ ยั จะถูกนําไปใชป้ ระโยชน์ไดจ้ งึ
ขน้ึ อย่กู บั การใชไ้ ดจ้ รงิ หรอื ไม่ และความเป็นไปไดน้ ้จี ะขน้ึ อย่กู บั การคาํ นงึ ถงึ ขอ้ มลู ปัจจุบนั ทเ่ี ป็นขอ้ เทจ็ จรงิ
ซง่ึ อาจจะไม่ไดส้ อบถามหรอื เป็นขอ้ มลู ทเ่ี ป็นทท่ี ราบกนั ดอี ยู่แลว้ หรอื เป็นขอ้ มูลทจ่ี ดั หาไดง้ ่าย รวมไปถงึ
การคาํ นึงถงึ ความเป็นไปไดท้ จ่ี ะปฏบิ ตั ติ าม ไม่ขดั กบั นโยบายของกจิ การ สอดคลอ้ งตามสภาพแวดลอ้ มใน
ขณะนนั้

217

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

หลกั ที่พงึ ถือปฏิบตั ิในการแปลความหมายตามสถานการณ์
1. ต้องศึกษาสถานภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ทงั้ ภายในและภายนอกกิจการนํามาประกอบการ
เสนอแนะขอ้ แนะนํา เน่อื งจากอาจมเี หตุการณ์อน่ื ๆ เกดิ ขน้ึ ในช่วงเวลาหลงั จากเกบ็ ขอ้ มลู แลว้ เช่น มกี าร
เปลย่ี นแปลงแบบแผนการใชบ้ รกิ ารงาน แผนกผปู้ ่ วยนอก ดา้ นการสง่ ต่อผปู้ ่ วย ฉะนัน้ จงึ ควรมกี ารศกึ ษา
ผลการเปล่ยี นแปลงใด ๆ ท่เี กดิ ขน้ึ ภายหลงั จากการเกบ็ รวบรวมมาแล้ว และนํามาประกอบเพมิ่ เตมิ กบั
ขอ้ มูลทไ่ี ดเ้ กบ็ รวบรวมมาแลว้ แมแ้ ต่ระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั ิงานของแต่ละกจิ การทแ่ี ตกต่างกนั หรอื มนี โยบาย
ต่างกนั ขอ้ แนะนําจะถกู นําไปปฏบิ ตั ไิ ดต้ ่อเมอ่ื ไมข่ ดั ต่อนโยบายหรอื ระเบยี บวธิ ปี ฏบิ ตั งิ านเท่านนั้
2. ควรขอความร่วมมอื จากเจา้ หน้าทผ่ี ูป้ ฏบิ ตั งิ านโดยตรงของกจิ การ นําไปประกอบการแปล
ความหมายได้ถูกต้อง และแนะนําได้ถูกต้อง อกี ทงั้ เป็นการสรา้ งความนิยมยอมรบั ในผลงานล่วงหน้า
ผู้ท่ีจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะในภายหลงั จะไม่รู้สกึ ว่าถูกบังคบั ให้ต้องปฏิบตั ิ เน่ืองจากตนเอง
มสี ว่ นรว่ มในการออกความเหน็ มาก่อน เป็นการใหเ้ กยี รตยิ อมรบั ความสาํ คญั ของผปู้ ฏบิ ตั งิ าน
3. การเสนอขอ้ แนะนําควรจดั ทําใหช้ ดั เจน การเสนอขอ้ แนะนํา ขอ้ ควรปฏบิ ตั ิใด ๆ ควรเขยี น
เรยี งเป็นขอ้ ๆ แยกใหเ้ หน็ โดยชดั เจน ไมใ่ ชว่ ธิ เี ขยี นรวม ๆ คลุมเครอื ปลอ่ ยใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั วิ นิ ิจฉยั เองว่าควรจะ
ปฏบิ ตั อิ ะไรบา้ งหรอื ควรจะปฏบิ ตั ติ ามขอ้ เสนอแนะใดก่อน ควรเขยี นเรยี งเป็นขอ้ ๆ รวมทงั้ แสดงผลทค่ี าด
ว่าจะไดร้ บั ดว้ ยจากการปฏบิ ตั ติ ามขอ้ เสนอแนะนนั้ ๆ ดงั นนั้ จะมกี ารยอมรบั นําไปใชม้ ากขน้ึ
4. ควรแสดงการเปล่ยี นแปลงท่ีเกิดข้นึ ตามลําดบั ขนั้ และทางเลือกท่คี วรปฏบิ ตั ิเม่ือเกิดการ
เปลย่ี นแปลงอน่ื ๆ
5. ควรไดก้ ลา่ วถงึ ผลตรงกนั ขา้ มทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากการละเวน้ การปฏบิ ตั กิ ารใด ๆ ตอ้ งแสดงถงึ ผลท่ี
คาดวา่ จะเสยี หรอื ลดการไดท้ ม่ี อี ยเู่ ดมิ ใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจนดว้ ย
จากการเสนอลกั ษณะการแปลความหมาย 2 แบบ จะเหน็ ไดว้ ่าการแปลความหมายตามขอ้ มลู จะ
กล่าวถึงเฉพาะขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ากการรวบรวมมาเท่านัน้ โดยไม่คํานึงผลการเปลย่ี นแปลงอ่นื ๆ ไม่คํานึงถึง
ความเป็นไปได้ หรอื โอกาสทข่ี อ้ เสนอแนะจะนําไปใชห้ รอื ไม่ ผดิ กบั การแปลความหมายตามสถานการณ์
ทจ่ี ะตอ้ งมกี ารคาํ นงึ ถงึ ความเป็นไปไดแ้ ละโอกาสการนําไปใชป้ ฏบิ ตั จิ รงิ ๆ

สรปุ

ข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาและนํามาจัดหมวดหมู่โดยการแจกแจงความถ่ีแล้ว ยังไม่สามารถ
จะบ่งชผ้ี ลจากการวจิ ยั ไดช้ ดั เจน จงึ ตอ้ งมกี ารวเิ คราะหข์ อ้ มลู การวเิ คราะหข์ อ้ มูลอาจจดั ทาํ อย่างงา่ ย ๆ คอื
อ่านผลตามตารางขอ้ มลู โดยพยายามอธบิ ายความสมั พนั ธเ์ กย่ี วขอ้ งทม่ี องเหน็ ไดจ้ ากขอ้ มลู ในตารางหรอื
โดยการใชเ้ ทคนิคสถติ มิ าวเิ คราะห์

การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยเทคนิคสถติ จิ ะตอ้ งคาํ นงึ ถงึ หลกั เกณฑ์ 3 ประการ คอื จาํ นวนตวั แปรทจ่ี ะ
วิเคราะห์ ผลการวเิ คราะห์ท่ีต้องการให้เป็นเชิงพรรณนาหรือเชิงอนุมาน และ มาตรวดั ท่ีจะนํามาใช้
หลกั เกณฑ์ทงั้ 3 ประการน้ีจะเป็นตวั กําหนดการเลอื กเทคนิคสถติ ิท่จี ะใชว้ เิ คราะหส์ ถติ ิท่นี ํามาใชใ้ นการ
วเิ คราะหข์ อ้ มลู มหี ลายวธิ ี มที งั้ แบบง่าย ๆ เช่น การคํานวณหาค่าเปอร์เซน็ ต์ การหาค่าเฉลย่ี การหาค่า

218

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

การกระจาย จนถงึ การวเิ คราะหท์ ย่ี ่งุ ยากซบั ซอ้ น เพ่อื หาความสมั พนั ธต์ ่อเน่อื งของขอ้ มลู เชน่ การทดสอบ
สมมตฐิ าน ตลอดจนการวเิ คราะหส์ หสมั พนั ธ์ การวเิ คราะหแ์ นวโน้ม ฯลฯ

ขอ้ มูลท่วี เิ คราะหแ์ ปรเปลย่ี นเป็นค่าสถติ แิ ล้วจะต้องนํามาแปลความหมายของขอ้ มูลเพ่อื จดั ทํา
รายงานใหผ้ อู้ ่นื อา่ นเขา้ ใจไดง้ ่าย การแปลความหมายของขอ้ มลู อาจใชว้ ธิ แี ปลความหมายตามขอ้ มลู ทเ่ี กบ็
รวบรวมมาได้เท่านัน้ ไม่นําขอ้ มูลอ่นื ๆ มาประกอบ หรอื อาจแปลความหมายของขอ้ มูลตามสถานการณ์
คอื มกี ารคํานึงถึงขอ้ เท็จจรงิ ท่เี ป็นสถานการณ์ ความเป็นไปได้ท่ีจะนําผลวจิ ยั นัน้ ไปปฏิบตั ิ ไม่ขดั ต่อ
นโยบายของกจิ การ สอดคลอ้ งกบั สภาพแวดลอ้ มปัจจุบนั โดยถอื ว่าผลวจิ ยั ทน่ี ําไปใชป้ ฏบิ ตั ไิ ม่ไดเ้ พราะ
ความลา้ สมยั ขดั กบั นโยบายของกจิ การยอ่ มเป็นการสญู เปลา่ ไรป้ ระโยชน์เม่อื ไมส่ ามารถจะแกไ้ ขปัญหาได้

219

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

เอกสารอ้างอิง

บุญธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ทุ ธ.ิ์ (2549). เทคนิคการสรา้ งเครอ่ื งมอื รวบรวมข้อมูลสาํ หรบั การวิจยั .
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 6, นครปฐม: คณะสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล.

พชิ ติ พทิ กั ษ์เทพสมบตั .ิ (2525). ค่มู ือสาํ หรบั การบรรณาธิการและการให้รหสั ขอ้ มูลทางสงั คมศาสตร.์
เอกสารวชิ าการฉบบั พเิ ศษหมายเลข 5 สถาบนั ประชากรศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

ภริ มย์ กมลรตั น์กลุ และคณะ. (2542). หลกั การทาํ วิจยั ใหส้ าํ เรจ็ . กรงุ เทพฯ:
เทก็ ซแ์ อนดเ์ จอรน์ ลั พบั ลเิ คชนั่ จาํ กดั .

มานพ คณะโต. วิทยาการระบาดเชิงคลินิกและชีวสถิติ. ขอนแกน่ : เครอื ขา่ ยพฒั นาวชิ าการและ
ขอ้ มลู ยาเสพตดิ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ ; 2551.

ธวชั ชยั วรพงศธร. (2543). หลกั การวิจยั ทางสาธารณสุขศาสตร.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4. กรงุ เทพฯ:
โรงพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั .

ยุทธ ไกยวรรณ์. (2545). พนื้ ฐานการวิจยั . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4, กรงุ เทพฯ: ชมรมเดก็ .
. (2550). การสรา้ งเครอื่ งมอื วิจยั . กรุงเทพฯ: ศนู ยส์ อ่ื เสรมิ กรงุ เทพ.

วญั ญา วศิ าสาภรณ์. (2531) .การวิจยั ทางการศึกษา หลกั การและแนวปฏิบตั ิ. กรุงเทพฯ:
คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร.

อุทุมพร ทองอไุ ทย. (2525). แบบสอบถาม: การสรา้ งและการใช้. กรงุ เทพฯ:
คณะครุศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

Dixon, W. J., & Massey, F. J. (1969). Introduction to statistical analysis. New York:
McGraw-Hill.

Kerlinger Fred N. (1986). Foundation of Behavioral Research. (Third edition). New York:
Holt, Rinehart and Wiston, Inc.

Ferguson, George A. (1976). Statistical Analysis in Psychology and Education. 4th ed. Tokyo:
McGraw-Hill Kogakusha, Ltd.

220

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

คาํ ถามท้ายบท

1. จงอธบิ ายขนั้ ตอนในการจดั การขอ้ มลู มกี ข่ี นั้ ตอน อะไรบา้ ง
2. การตรวจสอบแกไ้ ขขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ (Preliminary editing) จะพจิ ารณาความถูกตอ้ งของขอ้ มลู

ในหวั ขอ้ ทส่ี าํ คญั อะไรบา้ ง
3. หากพบวา่ ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมไดไ้ ม่สมบรู ณ์ การปฏบิ ตั เิ ม่อื ขอ้ มลู ไม่สมบรู ณ์ถกู ตอ้ งทาํ อย่างไร
4. จงอธบิ ายการใหร้ หสั ขอ้ มลู จะพจิ ารณาอะไรบา้ งและดาํ เนินการอย่างไร
5. หลกั ในการการแปลความหมายตามขอ้ มลู มอี ะไรบา้ ง และ ควรระมดั ระวงั อะไรในการแปล

ความหมายขอ้ มลู

221

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

222

บทที่ 10

สถติ พิ นื้ ฐานในการวจ� ยั

การใชส้ ถติ วิ เิ คราะหข์ อ้ มูล ผวู้ จิ ยั สามารถเลอื กใชโ้ ปรแกรมการวเิ คราะหส์ าํ เรจ็ รปู ไดต้ ามความถนดั
ผลการวเิ คราะห์ของโปรแกรมต่าง ๆ จะใหผ้ ลเป็นค่าสถติ ิบรรยายและสถิตอิ ้างองิ แต่ผู้วเิ คราะห์ควรมี
พน้ื ฐานความรู้ด้านสถิติเพ่อื จะได้เลอื กใช้สถติ แิ ละนําตวั เลขทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะหม์ านําเสนอได้ถูกต้อง
อย่างไรกต็ ามผลการวเิ คราะหจ์ ะถูกต้องหรอื ไม่ขน้ึ อยู่กบั คุณภาพของขอ้ มลู ตงั้ แต่ขนั้ การรวบรวมขอ้ มูล
การป้อนขอ้ มูล การตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มูลก่อนการวเิ คราะห์ ตลอดจนขอ้ มูลนัน้ สอดคล้องกบั
ขอ้ ตกลงเบ้อื งต้นของสถิติท่ีใช้ในการวเิ คราะหน์ ัน้ ๆ หรือไม่ สําหรบั รายละเอียดวธิ วี ิเคราะห์และการ
นําเสนอขอ้ มลู ตลอดจนสตู รต่าง ๆ ของสถติ ทิ ใ่ี ช้ ผอู้ ่านสามารถหาอา่ นไดจ้ ากหนงั สอื การวจิ ยั ในหอ้ งสมุด
ในหวั ขอ้ สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ท่มี อี ยู่มากมายทวั่ ไปได้ การวเิ คราะหข์ อ้ มูลจะแบ่งเป็น 2 ประเภท คอื การ
วเิ คราะหด์ ว้ ยสถติ บิ รรยาย และ สถติ อิ า้ งองิ

สถิติบรรยาย ใชเ้ พอ่ื อธบิ ายขอ้ มลู ทเ่ี กบ็ รวบรวมได้ การเลอื กใชส้ ถติ บิ รรยายเพอ่ื วเิ คราะหข์ อ้ มูล
ขน้ึ อยู่กับวตั ถุประสงค์ของการวิจยั ชนิดของตัวแปร และนําเสนอด้วยตารางหรือแผนภูมิตามความ
เหมาะสม สถติ ิบรรยายทอ่ี ธบิ ายลกั ษณะตวั แปรเชงิ ปรมิ าณ คอื ค่าเฉล่ยี มธั ยฐาน ฐานนิยม เปอรเ์ ซน็ ต์
ไทล์ เดไซล์ ควอไทล์ พสิ ยั สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน สว่ นสถติ บิ รรยายทใ่ี ชอ้ ธบิ ายลกั ษณะของตวั แปรเชงิ
คณุ ภาพ คอื รอ้ ยละ อตั รา สดั ส่วนอตั ราสว่ นและฐานนยิ ม สถติ บิ รรยายทอ่ี ธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั
แปรเชงิ ปรมิ าณใชส้ มั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธเ์ ชงิ เสน้ สว่ นตวั แปรเชงิ คุณภาพใชก้ ารสรา้ งตารางไขว้

สถิติอ้างอิง เป็นสถิตทิ ่ใี ช้เพ่อื นําผลการวเิ คราะห์ท่ไี ด้จากตวั อย่างเพ่อื อา้ งองิ ไปถงึ ประชากร
การเลอื กใช้ขน้ึ อย่กู บั วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั รปู แบบการวจิ ยั และชนิดของตวั แปรสถติ อิ า้ งองิ แบ่งเป็น
สถติ อิ า้ งองิ เพอ่ื เปรยี บเทยี บความแตกต่างของคา่ เฉลย่ี และเปรยี บเทยี บความแตกต่างของสดั สว่ นกบั สถติ ิ
อา้ งองิ เพอ่ื หาความสมั พนั ธแ์ ละการทาํ นายใชอ้ ธบิ ายความสมั พนั ธแ์ ละการทาํ นาย ใชอ้ ธบิ ายความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตาม หรอื การสรา้ งสมการทาํ นายตวั แปรและสถติ ทิ ใ่ี ชว้ เิ คราะหต์ วั แปรพหคุ ูณ
ใชอ้ ธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตามทม่ี หี ลายตวั พรอ้ ม ๆ กนั

10.1 ความหมาย

สถิติ ตรงกบั คาํ วา่ Statistics ซง่ึ มาจากคาํ ว่า State แปลว่า รฐั
สถิติ อาจหมายถงึ ขอ้ มูลสถติ ิ (Statistical data) ซง่ึ หมายถงึ ตวั เลข หรอื หมายถงึ สถติ ศิ าสตร์
(Statistics) ศาสตรช์ นิดหน่ึงทว่ี ่าดว้ ยการจดั การต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ขอ้ มลู ซง่ึ ไดแ้ ก่ การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
การนําเสนอขอ้ มูล และ การวเิ คราะห์ การแปลความหมายหรอื แปลผล รวมทงั้ นําเอาขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้
จากตวั อย่างไปใชใ้ นการคาดคะเนและการตดั สนิ ใจต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ประชากร

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ประชากร (Population) คอื กลุ่มของหน่วยทงั้ หมดทต่ี อ้ งการจะศกึ ษา หรอื ทุกหน่วยในเร่อื งท่ี
สนใจศกึ ษา (Universe of all unit beings studied)

พารามิเตอร์ (Parameter) คือ ค่าท่ีแสดงคุณลักษณะของประชากร ได้แก่ ค่าเฉล่ียของ
ประชากร ความแปรปรวนของประชากร สดั สว่ นของประชากร

ตวั อย่าง (Samples) คอื สว่ นยอ่ ยของประชากรหรอื บางสว่ นของประชากร
ค่าสถิติ (Statistics) คือ ค่าท่คี ํานวณจากข้อมูลตวั อย่าง ได้แก่ ค่าเฉล่ียของตัวอย่าง ความ
แปรปรวนของตวั อย่าง

10.2 ประเภทของสถิติ

สถติ แิ บง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภทคอื
1. สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive statistics) เป็นสถิติท่ีใช้อธิบายคุณลักษณะของสิ่งท่ี
ต้องการศึกษากลุ่มใดกลุ่มหน่ึง ไม่สามารคาดคะเนลักษณะต่าง ๆ ของข้อมูลออกไปจากท่ีมีอยู่ได้
ซ่งึ ได้แก่ การนําเสนอขอ้ มูล การแจกแจงความถ่ี การวดั แนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลาง การวดั การกระจาย
การวดั ความเบแ้ ละความโดง่ การวดั ตําแหน่ง
2. สถิติเชิงอนุมาน (Inferential statistics) เป็นสถติ ทิ ใ่ี ชอ้ ธบิ ายคุณลกั ษณะของสง่ิ ทต่ี ้องการ
ศกึ ษากลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรอื หลายกลุ่ม แลว้ สามารถอา้ งองิ ไปยงั กลุ่มประชากรได้ โดยกลุ่มทน่ี ํามาศกึ ษา
จะตอ้ งเป็นตวั แทนทด่ี ขี องประชากร (Population) ซง่ึ ตวั แทนทด่ี ขี องประชากรไดม้ าโดยวธิ กี ารสมุ่ ตวั อย่าง
และเรียกตัวแทนของประชากรน้ีว่า กลุ่มตัวอย่าง (Samples) ซ่ึงการอ้างอิงจะอาศัยวิธีการทางสถิติ
2 ประเภท คอื
2.1.1 สถิติแบบพาราเมตริก (Parametric statistics) เป็นการนําค่าทไ่ี ดจ้ ากตวั อย่าง (Samples)

ซง่ึ เรยี กว่า “คา่ สถติ ”ิ ไปอธบิ ายคุณลกั ษณะของประชากร (Population)
ซง่ึ เรยี กว่า “ค่าพารามเิ ตอร”์ ซง่ึ จะตอ้ งเป็นไปตามขอ้ กาํ หนดเบอ้ื งตน้ (Assumption)
วา่ ประชากรตอ้ งมกี ารกระจายแบบเป็นโคง้ ปกติ (Normal distribution)
และตวั อย่างแต่ละตวั อย่าง (Observations) จะตอ้ งเป็นอสิ ระต่อกนั
2.1.2 สถิติแบบนอนพาราเมตริก (Non-parametric statistics) ใชก้ บั ประชากร
ทไ่ี มม่ กี ารกระจายแบบเป็นโคง้ ปกติ และใชก้ บั กลมุ่ ตวั อยา่ งทม่ี ขี นาดเลก็
เหมาะกบั ขอ้ มลู ทม่ี รี ะดบั การวดั เป็น Nominal และ Ordinal scale

10.3 สถิติเบือ้ งต้น

หลกั จากเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และสรา้ งแฟ้มขอ้ มูลเรยี บรอ้ ยแลว้ ผวู้ จิ ยั ต้องทาํ การวเิ คราะห์ขอ้ มูล
ตามวตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั โดยจะแบ่งสถติ อิ อกเป็น 2 ประเภท คอื

1. สถติ ิเชิงพรรณาเป็นหลกั การทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลและการนําเสนอทงั้ ในรูปกราฟ
รปู ภาพ และ การหาค่าสถติ เิ บอ้ื งตน้ ฯลฯ

224

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

2. สถติ เิ ชงิ อนุมาน หมายถงึ ค่าสถติ ขิ องวเิ คราะหต์ วั อย่าง แลว้ นําผลการวเิ คราะหน์ นั้ อา้ งองิ ถงึ
ลกั ษณะทส่ี าํ คญั ของประชากร โดยใชห้ ลกั เกณฑข์ องความน่าจะเป็น ประกอบดว้ ยการประมาณค่า

สถิติเชิงพรรณนา ประกอบดว้ ย
1. การนําเสนอขอ้ มลู

• การนําเสนอในรปู บทความ เชน่ สถติ ขิ องคนไทยแยกตามเพศ
• การนําเสนอในรปู ตารางหรอื รอ้ ยละ ซง่ึ อาจจะจาํ แนกทางเดยี วหรอื หลายทาง
• การนําเสนอในรปู กราฟ เชน่ กราฟเสน้ กราฟแทง่ และ กราฟวงกลม ฯลฯ
2. การแจกแจงความถ่ี เชน่ จาํ นวนเปอรเ์ ซน็ ตข์ องอาจารยจ์ ฬุ าฯแยกตามวุฒกิ ารศกึ ษาและเพศ
3. การวดั คา่ กลางของขอ้ มลู สถติ ทิ ใ่ี หว้ ดั คา่ กลาง เชน่
ค่าเฉลย่ี (Mean) ประกอบดว้ ยคา่ เฉลย่ี เลขคณติ มชั ฌมิ เรขาคณติ มชั ฌมิ ฮารโ์ มนิค
มธั ยฐาน (Median) ฐานนิยม (Mode) เปอรเ์ ซนตไ์ ทล์ (Percentile) ควอไทล์ (Quartile)
4. การวดั การกระจายของขอ้ มลู ประกอบดว้ ยสถติ ิ เชน่
พสิ ยั (Range) พสิ ยั ควอไทล์ (Interquartile range) คา่ แปรปรวน (Variance) ค่าเบย่ี งเบน
มาตรฐาน (Standard deviation) สมั ประสทิ ธคิ์ วามแปรผนั (Coefficient of variation)
คา่ คลาดเคล่อื นมาตรฐานของคา่ เฉลย่ี (Standard error of mean) การวดั ความเบ้
(Skewness) การวดั ความโดง่ (Kurtosis)
สถิติเชิงอนุมาน เป็นสถิติสําหรบั ข้อมูลเชิงปรมิ าณ เป็นข้อมูลท่ีเป็นตัวเลขและจดั ให้ข้อมูล
Interval scale และ Ratio scale ซ่งึ สามารถคํานวณสถิติเพ่อื การแสดงถึงค่ากลางและการกระจายของ
ขอ้ มลู เช่น คา่ เฉลย่ี ค่ามธั ยฐาน ค่าแปรปรวน ค่าสงู สดุ ค่าต่าํ สดุ

10.4 ความหมายของข้อมลู และตวั แปร

ข้อมลู หมายถงึ ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ อาจจะอยใู่ นรปู ของขอ้ ความหรอื ตวั เลข
ตวั แปร หมายถึง ข้อมูลท่ีได้จากการสงั เกต วดั สอบถามจากหน่วยศึกษา แต่หน่วยศึกษา
จะแตกต่างกนั ข้อมูลท่ีได้จงึ จะแตกต่างกนั เช่น รายได้ของคนใน กทม. แต่รายได้ของแต่ละคนก็จะ
แตกต่างกนั ตวั แปรนนั้ กค็ อื รายไดข้ องคน
สาเหตุทท่ี าํ ใหค้ า่ ของตวั แปรหรอื ขอ้ มลู มคี ่าแตกต่างกนั
1. คุณลกั ษณะท่ีแตกต่างกัน เช่น การท่รี ายได้แตกต่างกนั เน่ืองจาก อายุ เพศ การศึกษา
สถานภาพสมรส หรอื ตําแหน่ง เป็นตน้
2. เวลาทแ่ี ตกต่างกนั เช่น ราคาน้ํามนั ต่อลติ รของแต่ละเดอื นจะแตกต่างกนั
3. สถานทแ่ี ตกต่างกนั เชน่ ราคาน้ํามนั ต่อถงั ในแต่ละภาคอาจจะแตกต่างกนั
10.4.1 ขอ้ มูล
ภายหลงั จากกําหนดประเดน็ และตวั ชว้ี ดั เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ จะต้องพจิ ารณาอย่างละเอยี ดถถ่ี ว้ น
และตดั สนิ ใจดว้ ยความรอบครอบว่าตอ้ งการใชข้ อ้ มลู สารสนเทศอะไร ขอ้ มลู สารสนเทศดงั กล่าวมลี กั ษณะ

225

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

อย่างไรและมอี ยู่ ณ แหล่งใด รวมทงั้ ควรใชเ้ คร่อื งมอื และวธิ กี ารอะไรในการเกบ็ รวบรวม ทงั้ น้ีเพ่อื จะไดน้ ํา
ขอ้ มลู สารสนเทศไปวเิ คราะหส์ บื คน้ หาขอ้ สรุป ความรู้ ความจรงิ ทงั้ ทค่ี น้ พบเองและ/หรอื สรรคส์ รา้ งขน้ึ ใหม่
อนั นําไปสกู่ ารตอบโจทยท์ ก่ี าํ หนดขน้ึ ทาํ ใหผ้ ปู้ ระเมนิ ทราบปัจจยั เชงิ สาเหตุ ภายใตก้ ารทดสอบสมมตฐิ าน
ทก่ี าํ หนดขน้ึ ตามแนวทฤษฎใี ด วา่ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู เชงิ ประจกั ษ์ทเ่ี กบ็ รวบรวมมาไดห้ รอื ไม่ หรอื นําไปสู่
การก่อรูปความเขา้ ใจอย่างลุ่มลกึ และกระจ่างชดั เกย่ี วกบั ประเดน็ การประเมนิ ทต่ี อ้ งการแสวงหาคําตอบ
ขอ้ สรุปทค่ี น้ พบหรอื สรรคส์ รา้ งขน้ึ ใหม่จะมคี วามถูกตอ้ งและเช่อื ถอื ไดม้ ากน้อยเพยี งใด ขน้ึ อย่กู บั คุณภาพ
ของข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมมาได้จากเคร่ืองมือและ/หรือวิธีการท่ีดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
นอกเหนอื จากความละเอยี ดถถ่ี ว้ นในกระบวนการวเิ คราะหแ์ ละประมวลผลขอ้ มลู รวมทงั้ ความถูกตอ้ งตาม
หลกั วชิ าในการแปลความหรอื ตคี วามหมายขอ้ สรุปทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะห์ ดงั นัน้ การมคี วามรูค้ วามเขา้ ใจ
เกย่ี วกบั เครอ่ื งมอื และวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู จงึ เป็นสง่ิ จาํ เป็นอยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งเรยี นรู้

ขอ้ มูล (Data) หมายถงึ ตวั เลข ตวั อกั ษร สญั ลกั ษณ์ ภาพหรอื เสยี ง ทบ่ี อกรายละเอยี ดเกย่ี วกบั
ขอ้ เทจ็ จริงของปรากฏการณ์ทผ่ี ู้ประเมินสนใจใคร่รู้ โดยทําการแสวงหามาจากแหล่ง (Source) ต่าง ๆ
เพ่อื นํามาใชเ้ ป็นหลกั ฐาน (Evidence) ในกระบวนการวเิ คราะหแ์ ละประมวลผลสบื คน้ หาขอ้ สรุปเพ่อื ตอบ
ประเดน็ คําถามวจิ ยั ท่ีสนใจ ขอ้ มูลท่รี วบรวมไดเ้ ม่อื นํามาผ่านกระบวนการจดั ระบบ คน้ หาข้อสรุป และ
นําเสนอในรูปแบบท่ีมีลกั ษณะง่ายต่อการเข้าถึงสาระสําคญั หรือเขา้ ใจความหมายท่ีต้องการส่อื สาร
ออกมาสผู่ ูท้ ส่ี นใจ เช่น ขอ้ ความ ตาราง แผนภูมิ หรอื รปู เรยี กว่า สารสนเทศ (Information) ลกั ษณะของ
ขอ้ มลู สามารถจาํ แนกตามทน่ี ิยมใช้ 2 ลกั ษณะ

ลกั ษณะท่ี 1: จาํ แนกตามแหล่งทม่ี าของขอ้ มลู แบง่ ออกได้ 2 ประเภท คอื
1. ขอ้ มูลปฐมภมู ิ (Primary data) หมายถงึ ขอ้ มลู หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทเ่ี กบ็ รวบรวมจากแหลง่ กาํ เนดิ
หรอื ต้นตอโดยตรง วธิ กี ารท่นี ิยมใชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู ปฐมภูมิ ไดแ้ ก่ การสาํ รวจภาคสนาม (Field survey
method) เช่น การสงั เกต การสมั ภาษณ์ การสนทนากลุ่ม แบบสอบถาม ฯลฯ และวิธกี ารทดลองใน
หอ้ งปฏบิ ตั กิ าร (Laboratory experiment) หรอื ในสนามท่มี ปี ระชากรตามสภาพจรงิ (Field experiment)
ขอ้ มูลปฐมภูมมิ ขี อ้ ดตี รงท่ผี ปู้ ระเมนิ สามารถดําเนินการเกบ็ รวบรวมไดต้ ามท่ตี นเองต้องการซง่ึ ทาํ ให้ได้
ขอ้ มูลสอดคลอ้ งกบั จุดมุ่งหมายของการประเมนิ และการวเิ คราะห์ นอกจากน้ีผูป้ ระเมนิ ยงั สามารถกํากบั
และควบคุมคุณภาพในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลให้เป็นไปตามความรู้ความสามารถ ทกั ษะ หลกั วชิ าการ
รวมทงั้ ความตอ้ งการของตนเอง อย่างไรกต็ ามการเกบ็ รวบรวมโดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในกรณผี ปู้ ระเมนิ ตอ้ งทาํ
การเกบ็ รวบรวมข้อมูลค่อนข้างละเอยี ดลุ่มลกึ และพถิ ีพิถนั จากตวั อย่างขนาดใหญ่เพ่อื ให้ได้ข้อมูลท่มี ี
คณุ ภาพ จะต้องใชเ้ วลาและงบประมาณใชจ้ ่าย รวมทงั้ อาศยั ทกั ษะและประสบการณ์ของผปู้ ระเมนิ ในการ
เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ภาคสนามคอ่ นขา้ งมาก ดงั นนั้ ถา้ ผปู้ ระเมนิ ขาดปัจจยั เกอ้ื หนุนเหลา่ น้ี ขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั อาจ
ไมค่ รอบคลุมครบถว้ นและสอดคลอ้ งกบั หวั ขอ้ ปัญหาการประเมนิ ทต่ี อ้ งการแสวงหาคาํ ตอบ
2. ข้อมูลทุติยภมู ิ (Secondary data) หมายถงึ ขอ้ มลู หรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ ทผ่ี ูป้ ระเมนิ ไม่ไดเ้ ป็นผูท้ ํา
การเกบ็ รวบรวมจากแหล่งท่ใี ห้ขอ้ มูลโดยตรง แต่ได้มาจากขอ้ มลู ต่าง ๆ ซง่ึ อาจเป็นชุดขอ้ มูลดบิ (Data set)
หรอื ขอ้ มลู ทผ่ี ่านกระบวนการวเิ คราะหแ์ ละประมวลผลเรยี บรอ้ ยแลว้ เช่น ขอ้ มูลเกย่ี วกบั สถติ ติ ่าง ๆ จาก
หน่วยงานของรฐั และเอกชน อาทิ อตั ราการว่างงาน การตดิ สารเสพตดิ และ การป่ วยเป็นโรคเอดส์ ฯลฯ)

226

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

ข้อมูลทุติยภูมมิ ขี อ้ ดีท่สี ําคญั ได้แก่ การท่ีผู้ประเมินไม่ต้องสน้ิ เปลืองงบประมาณและเวลาในการเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลใหม่ นอกจากน้ีผู้ประเมนิ ยงั มโี อกาสมองเหน็ แนวโน้มหรอื สภาวการณ์เปลย่ี นแปลงของ
เหตุการณ์หรอื ปรากฏการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในช่วงเวลาต่าง ๆ นบั ตงั้ แต่อดตี จนถงึ ปัจจุบนั ตราบเท่าทข่ี อ้ มลู
จะสามารถย้อนหลงั ไปถึง ในกรณีน้ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลใหม่อาจกระทําได้ค่อนขา้ งยากลําบากหรือ
กระทาํ ไม่ไดเ้ ลย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากการทผ่ี ปู้ ระเมนิ เชงิ ประวตั ศิ าสตรม์ กั ประสบปัญหาอย่างมากกบั การไดม้ า
ซง่ึ ขอ้ มลู หลกั ฐานปฐมภูมทิ บ่ี ่งชเ้ี ร่อื งราวหรอื ความเป็นมาในอดตี ส่วนขอ้ จํากดั ของขอ้ มูลประเภทน้ี คอื
การขาดความครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามหวั ขอ้ ปัญหาและ/หรอื สมมตฐิ านของการประเมนิ เน่อื งจากขอ้ มูล
ทุตยิ ภูมทิ ่มี อี ยู่แล้วนัน้ ไม่ไดจ้ ดั ทําไว้เพ่อื การแสวงหาความรู้ความจรงิ ของผู้ประเมนิ ตามจุดมุ่งหมายท่ี
กาํ หนดไว้ หากแต่เกดิ ขน้ึ มาเพ่อื จดุ มงุ่ หมายขอ้ จาํ กดั ในเร่อื งการทนั ต่อเหตุการณ์และความเช่อื ถอื ไดใ้ นแง่
ความคงเสน้ คงว่าเกย่ี วกบั เน้ือหาสาระทท่ี ําการเกบ็ รวบรวม ดงั นัน้ ผูป้ ระเมนิ จะต้องคํานึงถงึ ขอ้ จํากดั
เหลา่ น้ีก่อนใชข้ อ้ มลู ทุตยิ ภมู ใิ นการแสวงหาความรคู้ วามจรงิ เพอ่ื ตอบหวั ขอ้ ปัญหาการประเมนิ

ลกั ษณะท่ี 2: จาํ แนกตามคณุ สมบตั หิ รอื ลกั ษณะของขอ้ มลู สามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท คอื
1. ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative data) หมายถึง ขอ้ มูลทส่ี ามารถวดั ค่าหรอื แจงนับออกมา
เป็นตวั เลขหรือจํานวนเชิงปริมาณได้ ซ่งึ ผู้ประเมินสามารถนําไปใช้ในกระบวนการวเิ คราะห์ทางสถิติ
เพ่อื หาขอ้ สรปุ ตอบหวั ขอ้ ปัญหาหรอื สมมตฐิ านการประเมนิ ต่อไป
ขอ้ มลู ตวั เลข เช่น เดก็ ชายสมชาย อายุ 15 ปี มคี วามสงู 156 เซนตเิ มตร และน้ําหนกั 56 กโิ ลกรมั
ส่วนข้อมูลท่ีไม่เป็ นตัวเลขแต่แจงนับจํานวนเชิงปริมาณได้ (จะเรียกว่าข้อมูลคุณลักษณะ)
เช่น อ่านหนังสอื การต์ ูนเดอื นละ 21 วนั ด่มื น้ําอดั ลมวนั ละ 2 กระป๋ อง นกั เรยี นกลุ่มน้ีมเี พศชาย 12 คน
เพศหญิง 23 คน เป็นต้น ข้อมูลเชิงปริมาณส่วนใหญ่นิยมใช้เคร่อื งมือหรอื วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
ท่มี ลี กั ษณะเป็นแบบมาตรฐาน กล่าวคอื มแี บบแผนเชิงโครงสรา้ งและวธิ ปี ฏบิ ตั ิการวดั ค่าทก่ี ําหนดไว้
ค่อนข้างแน่นอนตายตัว นอกจากน้ีปฏิสมั พันธ์ระหว่างผู้ประเมินและหน่วยงานตัวอย่างผู้ให้ข้อมูล
(Subject) เป็นไปแบบมที ศิ ทางเดียวและมลี กั ษณะห่างเหนิ หน่วยตัวอย่างผู้ให้ขอ้ มูลมีโอกาสซกั ถาม
ปัญหาหรอื พดู คุยกบั ผูป้ ระเมนิ รวมทงั้ มสี ่วนร่วมในกระบวนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู น้อยมาก เคร่อื งมอื และ
วธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ดงั กลา่ ว ไดแ้ ก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม มาตรวดั (Rating scales)
แบบตรวจสอบรายการ (Check lists) รวมทงั้ การสงั เกตและการสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสร้าง (Structured
observation or interview) โดยใชแ้ บบสอบถาม หรอื แบบตรวจสอบรายการบนั ทกึ ขอ้ มลู ผลของการสงั เกต
หรอื สมั ภาษณ์ เป็นตน้
2. ข้อมูลเชิงคณุ ภาพ (Qualitative data) หมายถึง ขอ้ มูลท่แี สดงรายละเอยี ดเกย่ี วกบั ลกั ษณะ
หรอื คุณค่าทเ่ี ป็นเชงิ คุณภาพ ไม่สามารถวดั ค่าหรอื ระบุออกมาเป็นจํานวนเชงิ ปรมิ าณได้อย่างครบถ้วน
สมบูรณ์เพ่อื แทนลกั ษณะดงั กล่าวได้อย่างมคี วามหมาย (Meaning) และเป็นองค์รวม (Holistic) ดงั นัน้
ผูป้ ระเมนิ ไม่สามารถนําขอ้ มูลประเภทน้ีไปใชใ้ นกระบวนการวเิ คราะหท์ างสถติ ไิ ด้ เช่น เดก็ ชายตู่มาจาก
ครอบครวั ทม่ี ฐี านะปานกลางแต่จติ ใจกวา้ งขวาง เรมิ่ ด่มื สรุ ากบั เพ่อื นครงั้ แรกเมอ่ื อายุ 7 ขวบ ฯลฯ การเกบ็
รวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพโดยทัว่ ไปมักนิยมใช้วิธีการท่ีมีลักษณะยืดหยุ่น ไม่กําหนดแบบแผนเชิง
โครงสรา้ งทแ่ี น่นอนตายตวั ใด ๆ ไวล้ ่วงหน้า รวมทงั้ ใหค้ วามสาํ คญั กบั การเกบ็ ขอ้ มูลในภาคสนาม (Field)

227

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

หรอื สถานทศ่ี กึ ษาวจิ ยั (Setting) จรงิ ๆ โดยมผี ใู้ หข้ อ้ มลู มสี ว่ นร่วมในกระบวนการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู อย่าง
เข้มแข็ง (Active participants) วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าว ได้แก่ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม
การสมั ภาษณ์แบบเชิงลึก (In-depth interview) การสนทนากลุ่ม (Focused group discussion) และ
การศกึ ษาเอกสารหลกั ฐาน เป็นตน้

อน่งึ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณ คาํ ว่า “ปรมิ าณ” ในทน่ี ้ไี ม่ไดม้ คี วามหมายแค่เพยี งเป็นตวั เลขหรอื จาํ นวนท่ี
ไม่มคี ุณภาพ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณทอ่ี ย่ใู นรปู จํานวนอาจมคี ุณภาพเป็นทเ่ี ช่อื ถอื ไดส้ งู สว่ นขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ
คําว่า “คุณภาพ” ในทน่ี ้ีไม่ได้หมายถงึ การมคี ุณภาพดเี สมอไป เพราะบางครงั้ ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพท่เี กบ็
รวบรวมไดก้ ด็ อ้ ยคุณภาพเช่อื ถอื ไดน้ ้อย และกไ็ มไ่ ดป้ ฏเิ สธปรมิ าณทเ่ี ป็นจาํ นวนนบั นอกจากความสบั สน
เก่ยี วกบั ความหมายของขอ้ มูลทงั้ 2 ประเภท ดงั ท่กี ล่าวมาน้ีบางท่านอาจเข้าใจไขว้เขวไปว่างานวจิ ยั
เชงิ ปรมิ าณมุ่งเน้นเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลทอ่ี ย่ใู นรูปคํานวณเป็นหลกั ความจรงิ แลว้ งานวจิ ยั เชงิ ปรมิ าณและ
เชงิ คุณภาพอาจมคี ุณภาพดหี รอื ไม่กไ็ ด้ ไม่ไดข้ น้ึ อยู่กบั ว่าใชข้ อ้ มลู ประเภทใดเป็นหลกั หากแต่ขน้ึ อย่กู บั
ความถกู ตอ้ งเช่อื ถอื ไดข้ องขอ้ มลู ทงั้ 2 ประเภท ทผ่ี ปู้ ระเมนิ เกบ็ รวบรวมได้

10.5 แนวคิดและหลกั การของข้อมลู

10.5.1 แนวคิดและหลกั การของการวดั ค่าข้อมลู เชิงปริมาณ
การวดั (Measurement) หมายถงึ การกาํ หนดตวั เลขไดก้ บั วตั ถุสง่ิ ของ (Objects) หรอื เหตุการณ์
(Events) ตามกฎเกณฑใ์ ด ๆ หรอื กลา่ วอกี อย่างหน่งึ คอื เป็นกระบวนการแปรสภาพแนวคดิ หรอื ตวั แปรท่ี
ผปู้ ระเมนิ ตอ้ งการศกึ ษาตามทฤษฎหี รอื ภาวะสนั นษิ ฐานเชงิ นามธรรม ใหอ้ ยู่ในรปู ของตวั เลขทม่ี คี วามเป็น
รปู ธรรมตามกฎเกณฑอ์ ย่างใดอย่างหน่ึง ซง่ึ เป็นทย่ี อมรบั ในเชงิ เหตุผลหรอื ตรรกะได้ ขอ้ มลู ทเ่ี กบ็ รวบรวม
ไดจ้ ากการวดั ค่า สามารถจาํ แนกตามระดบั ของการวดั ได้ 4 กล่มุ ดงั น้ี
1. มาตรวดั กลุ่ม (Nominal measurement scale) เป็นมาตรวัดท่ีกําหนดตัวเลข ตัวอกั ษร
และสญั ลกั ษณ์ใด ๆ ขน้ึ เพ่อื ความสะดวกในการเรยี ก ระบุ หรอื แยกแยะกลมุ่ หรอื ประเภท (Classification)
ของหน่วยตวั อย่างท่ใี ห้ข้อมูล การจําแนกหน่วยตัวอย่างจะต้องยดึ ถือหลกั เกณฑ์เก่ียวกับคุณสมบตั ิ
ในดา้ นความเหมอื นและความแตกต่างกนั ของหน่วยตวั อย่างทใ่ี หข้ อ้ มลู ในประชากรเป็นหลกั นอกจากน้ี
จะต้องคํานึงถึงความครอบคลุม (Exclusiveness) ความครบถ้วนสมบูรณ์ (Exhaustiveness) และ
ความเป็นอสิ ระจากกนั (Independence) เชน่ จาํ แนกนักศกึ ษาแพทยอ์ อกเป็นกลุ่มตามเพศ (1 = เพศชาย
และ 2 = เพศหญงิ ) เป็นต้น การจดั กระทําขอ้ มูลในระดบั น้ีกระทําได้เพยี งอย่างเดยี ว คอื การแจกแจง
ความถ่ี (Data frequency) เชน่ แจงนบั วา่ มนี กั ศกึ ษาแพทยเ์ ป็นชายกค่ี น หญงิ กค่ี น
2. มาตรวดั อนั ดบั (Ordinal measurement scale) เป็นมาตรวดั ทก่ี าํ หนดตวั เลข ตวั อกั ษรหรอื
สญั ลกั ษณ์ใด ๆ ข้นึ เพ่ือใช้แทนคุณสมบตั ิประจําแต่ละกลุ่มหรือประเภทของหน่วยตัวอย่างท่ตี ้องการ
สามารถจดั เรยี งอนั ดบั แสดงความแตกต่างระหว่างกลุ่มตามปรมิ าณมากน้อยและยงั บ่งช้คี วามแตกต่าง
ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ของหน่วยตัวอย่างท่ีให้ข้อมูลว่ามีปริมาณมากกว่าหรือน้อยกว่ากันในลักษณะ
เรยี งลาํ ดบั ลดหลนั่ กนั ไป เช่น จาํ แนกนกั ศกึ ษาแพทยอ์ อกเป็นกลุม่ โดยยดึ ถอื ระดบั ความพอใจในการเรยี น
การสอนเป็นมาก ปานกลาง และ น้อย

228

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

3. มาตรวดั ช่วง (Interval measurement scale) เป็นมาตรวดั ทก่ี าํ หนดตวั เลข ตวั อกั ษร หรอื
สญั ลกั ษณ์ใด ๆ ขน้ึ เพ่ือใช้แทนคุณสมบตั ขิ องหน่วยตัวอย่างประจําแต่ละกลุ่มหรอื ประเภทท่ีต้องการ
ศกึ ษาวจิ ยั สามารถจดั เรียงอันดบั แสดงความแตกต่างระหว่างกลุ่มตามระดบั ปรมิ าณความมากน้อย
และบ่งช้คี วามแตกต่างระหว่างกลุ่มของหน่วยตัวอย่างต่าง ๆ ท่ใี ห้ข้อมูลว่ามีปรมิ าณมากกว่าเท่ากนั
อยา่ งแน่นอน เพราะหน่วยหรอื ช่วงของมาตรการวดั ระดบั น้ีมลี กั ษณะคงทเ่ี ท่ากนั (Equal units or intervals)
อย่างไรกต็ าม มาตรการวดั น้มี จี ุดเรม่ิ ตน้ เป็นเพยี งศนู ยเ์ ทยี มหรอื ศูนยส์ มั พนั ธ์ (Relative zero) ไม่ใช่ศูนย์
แท้ (Absolute zero) เชน่ ตวั เลข 40oC และ 35oC ทป่ี รากฏบนมาตรวดั ของเทอรโ์ มมเิ ตอรบ์ ่งชว้ี ่ามรี ะดบั
อณุ หภมู แิ ตกต่างเท่ากบั 5oC ซง่ึ เป็นระดบั ทม่ี คี ่าเทา่ กบั ความแตกต่างระหวา่ งตวั เลข 15oC และ 10oC และ
0oC ไม่ได้หมายความว่า “ปราศจาก” อุณหภูมิหรือความร้อนอยู่เลย เพียงแต่กําหนดตัวเลข 0oC
เป็นจุดเรมิ่ ต้นของการวดั อุณหภูมใิ นหน่วยองศาเซลเซยี ส (จุดเปลย่ี นลกั ษณะของน้ําและน้ําแขง็ ) ซง่ึ อาจ
กาํ หนดจุดเรมิ่ ตน้ เป็นอย่างอ่นื กไ็ ด้ นอกจากน้ี Z-Scores หรอื T-Scores ทไ่ี ดจ้ ากการวดั ดว้ ยแบบทดสอบ
มาตรฐาน (Standardized test) อยู่ในมาตรวดั ระดบั ช่วงเช่นกนั ขอ้ มูลท่อี ยู่ในมาตรวดั ระดบั น้ีสามารถ
นํามาจดั กระทาํ ทางคณิตศาสตร์ (Mathematical operation) เช่น บวก ลบ คณู และ หาร กนั ได้

4. มาตรวดั อตั ราส่วน (Ratio measurement scale) เป็นมาตราวดั ทม่ี ลี กั ษณะหรอื คุณสมบตั ิ
ครบถว้ นอย่างสมบรู ณ์แบบทส่ี ุด กล่าวคอื มจี ุดเรม่ิ ตน้ บนมาตรวดั ค่าทเ่ี ป็นศูนยแ์ ทไ้ ม่มคี ่าเรมิ่ ตน้ ทต่ี ดิ ลบ
(-1, -2) เช่น น้ําหนัก ส่วนสงู อายุ เป็นต้น ขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการวดั ค่าตวั แปรบนมาตรวดั น้ีสามารถนํามา
จดั กระทาํ ทางคณิตศาสตรห์ รอื สถติ ไิ ด้

ในทางปฏบิ ตั ติ วั แปรหรอื สง่ิ วดั ค่าไดจ้ ากหน่วยตวั อย่างสว่ นใหญ่อย่บู นมาตรวดั ทย่ี งั ไม่ถงึ ระดบั
อตั ราสว่ น เพราะไม่มจี ดุ เรมิ่ ตน้ ทเ่ี ป็นศนู ยส์ มบรู ณ์ทแ่ี ทจ้ รงิ เชน่ ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น ในขณะทต่ี วั แปร
หรอื สง่ิ วดั ค่าไดใ้ นการประเมนิ ทางวทิ ยาศาสตรก์ ายภาพสว่ นใหญ่มมี าตรถงึ ระดบั อตั ราสว่ น เช่น ความยาว
ปรมิ าตร ความดนั ส่วนสูง น้ําหนัก และ ความเรว็ เป็นต้น แต่การวเิ คราะห์ทางสถิตใิ ช้วธิ กี าร/เทคนิค
เดยี วกนั จงึ ควรไมม่ คี วามจาํ เป็นตอ้ งมุ่งมนั่ ในการแยกแยะออก

มขี อ้ สงั เกตสาํ คญั ประการหน่ึง คอื ขอ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการวดั ค่าอยู่ใน 2 ระดบั แรก ตามทร่ี ะบุขา้ งตน้
จดั เป็นขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณบ่งชค้ี ุณลกั ษณะ เพราะค่าทว่ี ดั ไดเ้ ป็นตวั เลขท่มี คี ุณสมบตั ไิ ม่สามารถบ่งชร้ี ะดบั
ปรมิ าณความแตกต่างระหว่างกลุ่มหรอื ระหว่างอนั ดบั ได้ ส่วนข้อมูลท่ีได้จากการวดั ค่าอยู่ใน 2 ระดบั
หลงั จดั เป็นขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณบ่งชป้ี รมิ าณ คอื เป็นขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณอย่างแทจ้ รงิ เพราะขอ้ มลู ทไ่ี ดส้ ามารถ
นํามาจดั ทาํ ทางคณติ ศาสตรห์ รอื วเิ คราะหด์ ว้ ยวธิ กี ารทางสถติ ไิ ด้

10.5.2 แนวคิดและหลกั การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพ
การเกบ็ รวบรวมข้อมูลเชงิ คุณภาพเป็นกระบวนการดําเนินงานท่มี ีลกั ษณะยดื หยุ่น กล่าวคือ
ไม่กําหนดโครงสร้างแบบแน่นอนตายตวั และดําเนินไปอย่างต่อเน่ืองตามลกั ษณะเฉพาะของบรบิ ทและ
สภาวการณ์ศกึ ษาวจิ ยั หน่ึง ๆ วธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลมุ่งเน้นไปทก่ี าระบุลกั ษณะ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ
ลกั ษณะท่ไี ม่สามารถมองเห็นหรอื สมั ผสั ได้ (Intangibility) ของสง่ิ ต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ คําถาม
ย่อย ๆ ทแ่ี ยกแยะมาจากหวั ขอ้ ปัญหาหรอื โจทย์ การประเมนิ ท่ตี ้องการแสวงหาคาํ ตอบโดยอาศยั วธิ กี าร
เก็บรวบรวมขอ้ มูลหลกั ฐานและแหล่งท่ีให้ข้อมูลหลกั ฐานอนั หลากหลาย ข้อมูลหลักฐานเชงิ คุณภาพ
สามารถแบ่งแยก พจิ ารณารายละเอยี ดไดด้ งั น้ี

229

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ความหมายและระดบั ของข้อมูล เน่ืองจากขอ้ มูลเชงิ คุณภาพเป็นขอ้ มูลทแ่ี สดงรายละเอยี ด
เกย่ี วกบั ลกั ษณะหรอื คณุ ค่าของสง่ิ ใดสง่ิ หน่งึ ทไ่ี ม่อยใู่ นรปู ตวั เลขเชงิ ปรมิ าณ (Nonnumeric data) แต่อยใู่ น
รปู ถอ้ ยคาํ หรอื ขอ้ ความทางภาษา (รวมทงั้ รปู ภาพและเสยี ง) ทส่ี ามารถส่อื ความหมายแทนลกั ษณะทส่ี นใจ
นนั้ ไดอ้ ย่างครบถ้วนเป็นองคร์ วม ขอ้ มูลเชงิ คุณภาพสามารถจําแนกพจิ ารณาทาํ ความเขา้ ใจอย่างกวา้ ง ๆ
ได้ 2 ระดบั ตามความซบั ซ้อนเชงิ โครงสรา้ งทางภาษา คอื ขอ้ มูลระดบั จุลภาค (Micro level) และระดบั
มหภาค (Macro level) ดงั มรี ายละเอยี ดต่อไปน้ี

ข้อมูลระดบั จุลภาค เป็นข้อมูลระดบั เลก็ หรือย่อยท่ีสุด ประกอบด้วยคําหรือถ้อยคํา (Word)
กลุ่มคําหรือวลี (Phrase) ข้อความ (Text) หรือ ถ้อยแถลง (Statement) ท่ีอยู่ในรูปของประโยค
มีความหมายในตัวเอง เช่น แพทย์ พยาบาล คนไข้ ยา ห้องฉุกเฉิน และ รถเข็น นํามาเรียบเรียง
เป็นประโยค เช่น แพทย์กําลงั ผ่าตัดคนไข้ในห้องฉุกเฉิน พยาบาลดูแลคนไข้ และ คนไขก้ ําลงั กินยา
เป็นตน้ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู เชงิ คณุ ภาพเรม่ิ ตน้ ดว้ ยการวเิ คราะหก์ ลุ่มคาํ หรอื วลแี ละขอ้ ความ (หรอื ประโยค
สนั้ ๆ) เพ่อื นําไปใชเ้ ป็นดชั นีของขอ้ มลู (Index) ในขนั้ ตอนของการลงรหสั (Coding) เพ่อื แยกแยะขอ้ มูล
เป็นหมวดหมู่ก่อนทาํ การวเิ คราะหส์ บื คน้ หาหวั ขอ้ สรุป (Topic/subcategory) กลุ่มหวั ขอ้ สรุป (Category)
และแบบแผน (Pattern/theme) ของขอ้ มลู ต่อไป

ข้อมูลระดบั มหภาค เป็นข้อมูลทม่ี ีโครงสร้างทางภาษาซบั ซ้อนมากกว่าขอ้ มูลระดบั จุลภาค
กล่าวคอื เป็นขอ้ มูลประกอบดว้ ยถ้อยคํา กลุ่มคํา ขอ้ ความ หรอื ประโยคย่อย ๆ จํานวนหน่ึงทม่ี เี น้ือหา
สาระมุ่งถ่ายทอดรายละเอยี ดเก่ยี วกบั ขนั้ ตอนของเหตุการณ์ (Event) ใด ๆ ท่เี กดิ ขน้ึ อย่างต่อเน่ืองเป็น
ลาํ ดบั กนั ไป หรอื เป็นขอ้ มลู ทป่ี ระกอบดว้ ยขอ้ มลู ระดบั จุลภาคจาํ นวนหน่งึ ทบ่ี อกหรอื สอ่ื ความใหท้ ราบว่าใน
แต่ละเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ เช่น ใครทําอะไร (บุคคล-Actor) ทท่ี ไี่ หน (สถานทห่ี รอื ฉาก-Setting) ทําเมอื่ ไร
(กรอบเวลา-Time) ทําอย่างไร (พฤติกรรม/แบบแผนพฤติกรรม-Act/activity) และทําไม (ความหมาย-
Meaning) การแยกแยะเหตุการณ์ตามโครงสร้างของข้อมูลดิบระดบั มหภาค ให้อยู่ในลกั ษณะท่ีบ่งช้ี
กระบวนการเกดิ ขน้ึ ของเหตุการณ์มผี ลช่วยให้สามารถเขา้ ใจภาพรวมของเหตุการณ์ทอ่ี าจมคี วามสบั สน
และสลบั ซบั ซอ้ นไดอ้ ยา่ งกระจ่างชดั เจนยง่ิ ขน้ึ

10.6 สมมติฐาน

สมมตฐิ าน (Hypothesis) คอื คาํ ตอบทผ่ี ูว้ จิ ยั คาดคะเนไวล้ ่วงหน้าอย่างมเี หตุผล เพ่อื ตอบความ
มุ่งหมายของงานวจิ ยั ทว่ี างไว้ เป็นขอ้ ความทแ่ี สดงถงึ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรต้องเป็นประโยคบอกเล่า
ตงั้ ไว้ล่วงหน้าอย่างมเี หตุผลโดยศกึ ษางานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งหรอื ศกึ ษาเอกสารต่าง ๆ สมมติฐานแต่ละขอ้
ต้องมีตัวแปรท่ีเก่ียวข้องอย่างน้อย 2 ตัว ในลักษณะใดลักษณะหน่ึงจาก 2 ลักษณะ คือ ลักษณะ
เปรยี บเทยี บ หรอื ความสมั พนั ธ์

สมมตฐิ าน แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด
1. สมมตฐิ านทางการวจิ ยั (Research hypothesis)

- สมมตฐิ านแบบมที ศิ ทาง (Directional hypothesis) เชน่ กลุ่มหน่งึ มากกวา่
หรอื น้อยกว่าอกี กลมุ่ หน่ึง

- สมมตฐิ านแบบไมม่ ที ศิ ทาง (Non-directional hypothesis) เชน่ แตกต่างกนั
หรอื สมั พนั ธก์ นั
230

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

2. สมมตฐิ านทางสถติ ิ (Statistical hypothesis)
- สมมตฐิ านทเ่ี ป็นกลาง (Null hypothesis) (Ho) ใชค้ ่าพารามเิ ตอรท์ บ่ี ่งบอกถงึ
ความไม่แตกต่างกนั เช่น µ1 = µ2 เป็นตน้
- สมมตฐิ านทางเลอื ก (Alternative hypothesis) (H1) ใชค้ ่าพารามเิ ตอรท์ บ่ี ง่ บอกถงึ
ความแตกต่างกนั เช่น µ1 < µ2 เป็นตน้

10.7 การพิจารณาความมีนัยสาํ คญั ทางสถิติ

ในการทดสอบสมมติฐานไม่ว่าจะเป็น Chi-square, F-test หรือ t-test หากคํานวณด้วยมือ
ตอ้ งนําค่าทค่ี ํานวณไดไ้ ปเปรยี บเทยี บกบั ค่าในตาราง หากค่าทค่ี ํานวณไดม้ ากกว่าค่าในตาราง จะปฏเิ สธ
สมมติฐาน Ho และยอมรบั สมมติฐาน H1 สําหรบั การวเิ คราะห์ด้วยคอมพวิ เตอร์นัน้ จะพจิ ารณาความ
มนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ทิ ค่ี ่า Probability (p) หรอื ค่า Sig. ซง่ึ กค็ อื ระดบั ของความมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ

ถา้ หากผวู้ จิ ยั กาํ หนดระดบั ความมนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ทิ ่ี 0.05 (α=0.05)
ถ้าสถิติท่ีคํานวณได้ปรากฏว่าค่า p มีค่าสูงกว่าระดับความมีนัยสําคญั ทางสถิติท่กี ําหนดไว้
แสดงว่า ไม่มนี ัยสาํ คญั ทางสถิติ เช่น p= 0.25 จะสงั เกตว่าค่าทค่ี ํานวณไดส้ ูงกว่าท่กี ําหนดไว้ แสดงว่า
ไมม่ นี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ
ถ้าสถิติท่ีคํานวณได้ปรากฏว่าค่า p มีค่าต่ํากว่าระดบั ความมีนัยสําคญั ทางสถิติท่ีกําหนดไว้
แสดงวา่ มนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ เช่น p=0.02 ซง่ึ ต่าํ กว่าค่าทก่ี าํ หนดไว้ แสดงวา่ มนี ยั สาํ คญั ทางสถติ ิ
โดยปกตโิ ปรแกรมจะแสดงระดบั นัยสาํ คญั แบบสองทาง (Two tailed) ถ้าสมมตฐิ านทต่ี งั้ ไว้เป็น
แบบทางเดยี วจะตอ้ งนําระดบั นยั สาํ คญั มาหารสอง
ค่าช่วงเช่ือมนั่ (Confident interval) ความหมายของช่วงเช่ือมนั่ 95 เปอร์เซ็นต์ ช่วงเช่ือมนั่
หมายถงึ ถ้ามกี ารสมุ่ ตวั อย่างดว้ ยวธิ เี ดยี วกนั และขนาดตวั อย่างเท่ากนั 100 ครงั้ จะมโี อกาสทจ่ี ะได้ช่วง
เช่อื มนั่ ทม่ี คี า่ µ ตกอยู่ (ช่วงเช่อื มนั่ ทถ่ี ูกตอ้ ง) ไมต่ ่ํากว่า 95 ครงั้ ในทางกลบั กนั จะไดช้ ่วงเช่อื มนั่ ทไ่ี มม่ คี ่า
µ ตกอยู่ (ช่วงเช่อื มนั่ ทไ่ี ม่ถูกต้อง) มโี อกาสเกดิ ได้ 5 ครงั้ โอกาสท่เี ป็นช่วงเช่อื มนั่ ทผ่ี ดิ (ไม่มคี ่า µ อยู่
ในช่วงเช่อื มนั่ ) เท่ากบั 5 เปอรเ์ ซน็ ต์

10.8 การนําสถิติมาใช้ในงานวิจยั
การนําสถิติมาวิเคราะห์ข้อมูลในงานวจิ ยั จะมีทงั้ สถิติพรรนณา (Descriptive statistics) และ
สถติ อิ นุมาน (อา้ งองิ ) Inference statistics โดยมวี ธิ กี ารใชด้ งั น้ี
1. การใช้สถิติอธิบายลกั ษณะขอ้ มลู (Describing data)
เป็ นการใช้สถิติมาวิเคราะห์ข้อมูลและอธิบายลักษณะของข้อมูลท่ีใช้สถิติจําแนกออกเป็ น

คา่ รอ้ ยละ การแจกแจงออกเป็นความถ่ี ( _ ) การคาํ นวณค่าเฉลย่ี และค่าเบย่ี งเบนมาตรฐาน (S.D.) ซง่ึ มที งั้

X

ขอ้ มลู สว่ นบคุ คล ขอ้ มลู เกย่ี วกบั พฤตกิ รรม เช่น การเลอื กตอบ (Check list) เป็นตน้

231

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

2. การใช้สถิติวิเคราะหเ์ พอ่ื สรปุ จากขอ้ มลู ตวั อยา่ ง (Conclusions from sample data)
เป็นการใช้สถิติวิเคราะห์หาข้อสรุปเพ่ือนําไปสู่การตอบวัตถุประสงค์การวิจัย โดยใช้สถิติ
เชงิ อนุมานวเิ คราะหเ์ พอ่ื นําไปสขู่ อ้ สรปุ ไปยงั ประชากร ซง่ึ มเี ทคนคิ ทางสถติ ิ ดงั น้ี
(1) การใช้สถิติ Chi-Square เพ่ือวิเคราะห์ข้อมูลท่ีอยู่ในรูปของความถ่ี (Frequency)
ซ่งึ เป็นข้อมูลเชงิ คุณภาพหรือคุณลกั ษณะท่ีจําแนกข้อมูลเป็นประเภท เช่น จํานวน
หรอื ความถ่ขี องแต่ละระดบั /แต่ละกลุ่ม เช่น ความคดิ เหน็ ต่อสนิ คา้ /ต่อบรหิ ารจดั การ

ซง่ึ อาจแบง่ ออกเป็น 4-5 ระดบั โดยใชส้ ถติ ิ χ2 ทดสอบสมมตฐิ านสาํ หรบั ขอ้ มลู ทจ่ี าํ แนก

ทางเดียว เช่น การทดสอบลกั ษณะต่าง ๆ และการแจกแจงของประชากร/ตวั อย่าง ว่า
เป็นไปตามท่ีคาดหวงั ไว้หรือไม่ และทดสอบสมมติฐาน สําหรับข้อมูลจําแนกแบบ
สองทาง ซง่ึ เป็นการทดสอบความเป็นอสิ ระกนั ระหว่างขอ้ มูล 2 ลกั ษณะ (Testing for
independence) เช่น ปัจจยั สว่ นบุคคลสมั พนั ธก์ บั พฤตกิ รรมการซอ้ื หรอื ใชบ้ รกิ ารฯ

(2) การใช้สถิติ t – test วเิ คราะหค์ วามแปรปรวนเพ่อื เปรยี บเทยี บค่าเฉลย่ี ( _ ) โดยใช้

X

กับข้อมูล 2 กลุ่ม และมีตัวแปรอิสระท่ีเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ/คุณลักษณะ และ
ตวั แปรตามทม่ี ขี อ้ มลู เป็นเชงิ ปรมิ าณ (คาํ นวณค่าเฉลย่ี ได)้ โดยใชส้ ถติ ิ t - test ไดส้ อง

รปู แบบ คอื กรณีตวั อยา่ ง 2 กลุ่มมคี วามสมั พนั ธห์ รอื กลมุ่ เดยี วกนั (ไม่เป็นอสิ ระต่อกนั )
ใช้ Paired t-test และกรณีท่ีตัวอย่าง 2 กลุ่มเป็ นอิสระต่อกัน (ไม่เก่ียวข้องกัน)
ใช้ Independent sample t-test เช่น เพศชายและเพศหญงิ โดยทดสอบเพ่อื เปรยี บเทยี บ
(คา่ เฉลย่ี ) ระดบั ความพงึ พอใจในการเลอื กซอ้ื สนิ คา้ หรอื ใชบ้ รกิ ารฯ

_

(3) การใช้สถิติ F – test วเิ คราะหค์ วามแปรปรวน เพ่อื เปรยี บเทยี บค่าเฉลย่ี ( X ) โดยใช้
กบั ขอ้ มลู 3 กลมุ่ ขน้ึ ไป มที งั้ การทดสอบความแปรปรวนภายในกล่มุ และความแปรปรวน
ระหว่างกลุ่ม และการทดสอบแบบ One-way ANOVA and Two-way ANOVA
ถ้าการทดสอบตวั แปรตาม ไดผ้ ลปรากฏว่า “แตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาํ คญั ทางสถิติ”
จะต้องนําไปเปรียบเทียบเป็ นรายคู่ โดยวิธีของ Scheffe’s หรือ Fisher’s LSD
ตามความสอดคลอ้ งต่อไป
(4) การวิเคราะหส์ หสมั พนั ธ์ (Multiple correlation) เป็นการหาความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั
แปรตามทข่ี อ้ มลู คาํ นวณค่าเฉลย่ี ไดท้ งั้ 2 ตวั แปร โดยคาํ นวณดว้ ย 4 วธิ ี คอื Product-
moment correlation, Phi’s correlation, Spearman’s rank and Kendall’s และ

เลอื กใชต้ ามเง่อื นไขฯ

232

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

10.9 ตวั อย่างการวิเคราะหข์ ้อมลู ด้วยสถิติต่าง ๆ
10.9.1 การพรรณนาและวิเคราะหข์ อ้ มูลเป็นจาํ นวนและรอ้ ยละ
การนําเสนอขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ อ้ มลู เบอ้ื งตน้ วธิ กี ารทางสถติ ทิ น่ี ิยมใชก้ นั มาก คอื
- การแจกแจงความถใ่ี นรปู ของตารางทางเดยี ว
- การแจกแจงความถใ่ี นรปู ของตารางหลายทาง
1. การแจกแจงความถ่ีในรปู ของตารางทางเดียว
เป็นการแจกแจงขอ้ มูลโดยใชต้ วั แปรเพยี งตวั แปรตวั เดยี ว โดยมรี ะดบั ของตวั แปรเป็นนามมาตรา
(Nominal scale) หรอื อนั ดบั มาตรา (Ordinal scale) และเสนอขอ้ มูลเป็นตารางทางเดยี ว และไม่เปรยี บเทยี บ
คา่ ของตวั แปร
ตารางท่ี แสดงรอ้ ยละของ………………….

ช่ือตวั แปร จาํ นวน รอ้ ยละ

ตวั แปรตวั ท่ี 1

ตวั แปรตวั ท่ี 2

ตวั แปรตวั ท่ี 3

ตวั แปรตวั ท่ี ..

คา่ ของตวั แปรตวั ท่ี n

รวม

ขนั้ ที่ 1 เลอื กเมนูและคาํ สงั่ ตามลาํ ดบั ดงั น้ี
Analyze → Descriptive statistics → Frequencies

จะปรากฏหน้าต่างของ Frequencies ดงั น้ี

ขนั้ ที่ 2 เลอื กตวั แปรทต่ี อ้ งการศกึ ษาไปไวใ้ นบอ๊ กซข์ อง Variable(s)
ขนั้ ที่ 3 คลกิ ทป่ี ่มุ OK จะปรากฏผลลพั ธใ์ นหน้าต่าง Output ดงั รปู

233

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ความหมายของผลลพั ธท์ ี่ได้จากโปรแกรม SPSS
Valid คอื ขอ้ มลู ทน่ี ํามาแจกแจงความถ่ี
Missing คอื ขอ้ มลู ทข่ี าดหายไปหรอื ไม่สมบรู ณ์
Total คอื ขอ้ มลู ทงั้ หมดทน่ี ํามาแจกแจงความถ่ี
Frequency คอื คา่ ทแ่ี สดงจาํ นวน หรอื ความถท่ี น่ี บั ได้
Percent คอื คา่ ทแ่ี สดงจาํ นวน หรอื ความถท่ี น่ี บั ได้ ในรปู รอ้ ยละ
Valid percent คอื คา่ ทแ่ี สดงจาํ นวนทน่ี บั ไดใ้ นรปู รอ้ ยละ โดยไม่นําจาํ นวนขอ้ มลู
ทเ่ี ป็น Missing มารวม
Cumulative percent คอื ค่าทแ่ี สดงจาํ นวนสะสมในรปู รอ้ ยละ โดยไมน่ ําจาํ นวนขอ้ มลู
ทเ่ี ป็น Missing มารวม

2. การแจกแจงความถี่ในรปู ของตารางหลายทาง
เป็นการจําแนกขอ้ มูลตามลกั ษณะของขอ้ มูลตงั้ แต่ 2 ลกั ษณะ มาแจกแจงพรอ้ ม ๆ กนั เรยี กว่า
“การแจกแจงความถ่รี ่วม” (Crosstabs) โดยขอ้ มูลเป็นตวั แปรสองตวั คอื ตวั แปรอสิ ระ และตวั แปรตาม
ซง่ึ ระดบั ของตวั แปรอสิ ระและตวั แปรตามเป็นนามมาตรา (Nominal scale) หรืออนั ดบั มาตรา (Ordinal
scale) และเสนอขอ้ มลู เป็นตารางสองทาง และไมเ่ ปรยี บเทยี บค่าของตวั แปร

234

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ตารางท่ี แสดงรอ้ ยละของ………………….จาํ แนกตาม…………………….

ชื่อตวั แปรตาม

ช่ือตวั แปรอิสระ คา่ ของตวั คา่ ของตวั ค่าของตวั รวม
แปรตวั ท่ี 1 แปรตวั ที่ .. แปรตวั ที่ n

คา่ ของตวั แปรตวั ท่ี 1

ค่าของตวั แปรตวั ที่ ..

ค่าของตวั แปรตวั ท่ี n

รวม

ขนั้ ท่ี 1 เลอื กเมนู และคาํ สงั่ ตามลาํ ดบั ดงั น้ี
Analyze → Descriptive statistics → Crosstabs

ขนั้ ท่ี 2 เลอื กตวั แปร ตวั ท่ี 1 (การใชส้ ารเสพตดิ ในครอบครวั ) ไปไวใ้ นบ๊อกซข์ อง Row(s)
เลอื กตวั แปร ตวั ท่ี 2 (การใชย้ าบา้ ) ไปไวใ้ นบ๊อกซข์ อง Column(s)

ขนั้ ท่ี 3 ถา้ ตอ้ งการหาคา่ รอ้ ยละแบบต่าง ๆ ใหค้ ลกิ ทป่ี ่มุ Cells จะปรากฏหน้าต่างของ
Crosstabs: Cell display ใหเ้ ลอื กค่าทต่ี อ้ งการเพมิ่ เตมิ

ขนั้ ที่ 4 สมมตวิ ่าตอ้ งการรอ้ ยละ ใหเ้ ลอื กบอ๊ กซข์ อง Column ในสว่ นของ Percentages
และคลกิ ทป่ี ่มุ Continue

ขนั้ ที่ 5 คลกิ ทป่ี ่มุ OK จะปรากฏผลลพั ธใ์ นหน้าต่าง Output

235

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

ผลลพั ธท์ ่ีไดจ้ ากโปรแกรม SPSS
Case Processing Summary

236

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

10.9.2 การพรรณนาและวิเคราะหข์ อ้ มลู เป็นค่าเฉล่ีย
พรรณนาข้อมลู เป็นค่าเฉล่ีย โดยมีลกั ษณะของขอ้ มูล และวตั ถปุ ระสงคด์ งั นี้

1) มขี อ้ มลู เป็นตวั แปร 1 กล่มุ ตวั อยา่ ง
2) ระดบั ของตวั แปรเป็นช่วงมาตรา (Interval scale) หรอื อตั ราสว่ นมาตรา (Ratio scale)
3) ไม่เปรยี บเทยี บคา่ เฉลย่ี ของตวั แปร

ตารางท่ี แสดงคา่ เฉลี่ยของ………………..

ชื่อตวั แปร จาํ นวน ค่าเฉลี่ย S.D.

ตวั แปร

ตวั แปร…………

ขนั้ ท่ี 1 เลอื กเมนู และคาํ สงั่ ตามลาํ ดบั ดงั น้ี
Analyze → Descriptive Statistics → Descriptives

จะปรากฏหน้าต่างของ Descriptive ดงั น้ี

ขนั้ ท่ี 2 เลอื กตวั แปรทต่ี อ้ งการวเิ คราะห์ (Age) ไปไวใ้ นบ๊อกซข์ อง Variable(s)
ขนั้ ท่ี 3 คลกิ ป่มุ Options เพอ่ื เลอื กค่าสถติ เิ พมิ่ เตมิ โดยการเชค็ บอ๊ กซท์ ต่ี อ้ งการ

237

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

ขนั้ ที่ 4 เม่อื เลอื กค่าสถติ ไิ ดแ้ ลว้ คลกิ ปุ่ม Continue แลว้ คลกิ ทป่ี ุ่ม OK จะปรากฏผลลพั ธใ์ นหน้าต่าง Output
ดงั น้ี

ความหมายของผลลพั ธท์ ่ีได้จากโปรแกรม SPSS
N คอื จาํ นวนขอ้ มลู ทน่ี ํามาคาํ นวณคา่ สถติ เิ บอ้ื งตน้
Range คอื พสิ ยั
Minimum คอื คา่ ต่ําสดุ
Maximum คอื คา่ สงู สดุ
Sum คอื ค่าผลรวม
Mean คอื คา่ เฉลย่ี
Std. deviation คอื ค่าสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานแสดงถงึ การกระจายของขอ้ มลู
Variance คอื คา่ ความแปรปรวนของขอ้ มลู
Skewness คอื คา่ ทใ่ี ชว้ ดั ความเบข้ องโคง้ ความถ่ี
Kurtosis คอื ค่าทใ่ี ชว้ ดั ความสงู ของโคง้ ปกติ

238


Click to View FlipBook Version