The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักการวิจัยสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by WANVIPHA CHAIYASING, 2022-04-18 22:01:56

หลักการวิจัยสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

หลักการวิจัยสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน

บทที่ 7

ตัวแปร การวดั ตวั แปร และ เครอ่ � งมอื

การวิจัยทัง้ ทางวิทยาศาสตร์และทางสังคมศาสตร์ ล้วนแต่ต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูล
เพ่อื นํามาวเิ คราะหใ์ หไ้ ดข้ อ้ สรุปสาํ หรบั การตอบคําถามการวจิ ยั การเกบ็ ขอ้ มูลตวั แปร (Variables) ต่าง ๆ
ในกระบวนการวิจัยเก่ียวข้องกบั การวัดตลอดเวลา ทงั้ น้ีผู้วจิ ยั จําเป็นต้องอาศยั การเลือกและพฒั นา
เครอ่ื งมอื วดั ทเ่ี หมาะสมกบั ตวั แปรเหล่านนั้ เพ่อื ใหก้ ารรวบรวมค่าขอ้ มลู ทเ่ี ป็นจรงิ ตามกฎเกณฑท์ ก่ี ําหนด
ลดอคติหรอื ขอ้ มูลท่ีเป็นเทจ็ และลดความคลาดเคล่อื นจากความเป็นจรงิ ให้น้อยทส่ี ุด การวดั บางอย่าง
สามารถประเมินได้ด้วยเคร่ืองมือวัดทางวิทยาศาสตร์อย่างชัดเจน (Objective assessment) เช่น
การชงั่ น้ําหนกั วดั ส่วนสงู เป็นต้น ขณะท่กี ารประเมนิ ตวั แปรบางชนิดต้องอาศยั การตดั สนิ ใจของมนุษย์
(Subjective assessment) เชน่ การวดั ความเจบ็ ปวด การสาํ รวจความพงึ พอใจ

7.1 ตวั แปร

ตวั แปรมคี วามสาํ คญั ยง่ิ ในทางวจิ ยั ทงั้ น้เี พราะวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั กเ็ พอ่ื อธบิ าย และทาํ นาย
ปรากฏการณ์หรอื พฤตกิ รรมต่าง ๆ ซง่ึ จะต้องอาศยั การวดั ตวั แปรต่าง ๆ ไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมายของตวั แปร
ไวม้ ากมายแต่ขอยกมาพอสงั เขป เชน่

ตวั แปร (Variable) หมายถึง สง่ิ ท่ีเปล่ียนค่าไปได้หลายค่า เป็นลักษณะคุณภาพ คุณสมบตั ิ
ของบุคคล หรอื สงิ่ ทส่ี นใจจะนํามาศกึ ษาทส่ี ามารถนบั ได้ วดั ได้ (ยุวด,ี 2539)

ตวั แปร หมายถงึ คุณลกั ษณะหรอื คุณสมบตั ขิ องสงิ่ ต่าง ๆ ท่มี ชี วี ติ หรอื ไม่มชี วี ติ สามารถนํามา
ศกึ ษาวดั ได้ นับได้ หรอื แจกแจงได้ คุณลกั ษณะและคุณสมบตั เิ หล่าน้ีเปลย่ี นแปลงได้ หรอื เปล่ยี นค่าได้
(ธวชั ชยั , 2540)

คุณลกั ษณะความแตกต่างตามธรรมชาติของตัวแปรท่จี ะศกึ ษา ถือว่าเป็นจุดเร่มิ ต้นท่สี ําคัญ
ทท่ี ําใหน้ ักวจิ ยั สามารถวเิ คราะห์คุณลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกนั ในเชงิ วจิ ยั ได้ เช่น เปรยี บเทยี บความแตกต่าง
ของระดบั ความดนั โลหิตของคนท่ีมารบั การตรวจจากแพทยท์ ่โี รงพยาบาล เปรียบเทยี บความคดิ เหน็
ของประชาชนต่อการทําแทง้ วเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างระดบั เศรษฐกจิ และการศกึ ษากบั การเป็นโรค
พยาธิใบไม้ของประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็ นต้น จากตัวอย่างท่ีกล่าวน้ีนักวิจัย
มแี นวคดิ ทว่ี ่า ระดบั ความดนั โลหติ ความคดิ เหน็ ระดบั เศรษฐกจิ การศกึ ษา และ การเป็นโรคพยาธใิ บไม้
ซง่ึ เป็นตวั แปรทม่ี คี ุณลกั ษณะแตกต่างกนั ในแต่ละบุคคลและในแต่ละกลุ่ม จงึ นําลกั ษณะทแ่ี ตกต่างกนั นัน้
มาวเิ คราะหศ์ กึ ษาดวู า่ มคี วามแตกต่างกนั มากน้อยแค่ไหน หรอื มคี วามสมั พนั ธก์ นั อย่างไร ในทศิ ทางใด ถา้
ลองสมมติว่า ตัวแปรทัง้ หลายในโลกน้ีไม่มีคุณสมบัติท่ีแตกต่างกันเลยก็คงจะไม่มีความจําเป็ น
ท่ตี ้องศกึ ษาวจิ ัย ไม่ต้องเปรียบเทียบอะไร เพราะสามารถนําเอาบุคคลคนเดยี ว หรือส่ิงของสง่ิ เดียว
มาวดั ตวั แปรท่ีต้องการทราบ กส็ ามารถสรุปได้เลยว่า คนอ่นื ๆ ทงั้ หมด หรอื สงิ่ ของสงิ่ นัน้ ในท่อี ่นื ๆ
กม็ คี ณุ ลกั ษณะเหมอื นกนั

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

7.2 ประเภทของตวั แปร
นกั วจิ ยั สามารถแบ่งตวั แปรออกเป็นหลายแบบ ในทน่ี ้ีจะขอกล่าวถงึ การแบง่ ประเภทของตวั แปร
ทน่ี ยิ มใชใ้ นงานวจิ ยั มากทส่ี ดุ
7.2.1 ตวั แปรต่อเน่ือง และ ตวั แปรไม่ต่อเนื่อง
ตัวแปรต่อเนื่อง (Continuous variable) หมายถึง ตัวแปรท่ีมีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติ
ทต่ี ่อเน่ืองระหว่างตวั แปรหน่ึงไปยงั อกี ตวั แปรหน่ึง ไม่สามารถแยกจากกนั ได้อย่างเด็ดขาด เช่น อายุ
น้ําหนกั ความรู้ ซง่ึ มคี ่าเป็นตวั เลขทต่ี ่อเน่อื งกนั ไมส่ ามารถแยกจากกนั ได้
ตวั แปรไม่ต่อเน่ือง (Discrete หรอื Discontinuous variable) หมายถงึ ตวั แปรทม่ี คี ุณลกั ษณะ

หรอื คุณสมบตั แิ ยกจากกนั อย่างเดด็ ขาดระหว่างตวั แปรหน่ึงไปยงั อกี ตวั แปรหน่ึง แต่ละค่าของตวั แปร
ไมส่ ามารถแยกแต่ละสว่ นได้ ตอ้ งมจี าํ นวนเตม็ เสมอ เชน่
เพศ มคี ่าเป็น ชาย, หญงิ
ศาสนา มคี ่าเป็น พุทธ, ครสิ ต,์ อสิ ลาม, ฯลฯ
จาํ นวนบุตร มคี ่าเป็น 0, 1, 2…..
7.2.2 ตวั แปรต้น และ ตวั แปรตาม

ตวั แปรทงั้ 2 ชนดิ น้ี นกั วจิ ยั ไดก้ าํ หนดขน้ึ ตามลกั ษณะหน้าทท่ี เ่ี กย่ี วขอ้ ง หรอื มคี วามสมั พนั ธก์ นั
ตวั แปรต้น (Independent variables) หมายถึง ตวั แปรท่ีสามารถมีผลกระทบทําให้เกิดการ

เปลย่ี นแปลงต่อตวั แปรอน่ื ๆ ได้
ตวั แปรตาม (Dependent variable) หมายถงึ ตวั แปรทม่ี กี ารเปลย่ี นแปลง เน่อื งจากตวั แปรตน้
ลกั ษณะผลกระทบของตวั แปรต้น และลกั ษณะการเปลย่ี นแปลงของตวั แปรตาม มคี วามหมาย
ครอบคลุมกว้างมาก ซ่ึงครอบคลุมตัง้ แต่ลักษณะความสัมพันธ์แบบธรรมดาไปจนถึงลักษณะ
ความเป็นเหตุเป็นผล (Cause-effect) กนั อย่างชดั เจน ในบางครงั้ การท่จี ะกําหนดว่า ตวั แปรไหนเป็น
ตัวแปรต้น และตัวแปรไหนเป็นตัวแปรตามเป็นเร่ืองท่ียุ่งยากพอสมควร ผู้วิจยั ต้องหาข้อมูลอ่ืน ๆ
มาประกอบในการพจิ ารณาด้วย สําหรบั การวิจัยแบบทดลองไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพราะมองเห็น
ลกั ษณะของตัวแปรค่อนข้างชดั เจน ตัวแปรท่ีเป็นตัวแปรต้นอาจดูได้จาก ตัวแปรท่เี ป็นต้นเหตุ หรือ
ตวั แปรทเ่ี กดิ ขน้ึ กอ่ น และตวั แปรตามอาจดไู ดจ้ ากตวั แปรทเ่ี ป็นผลทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื ตวั แปรทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายหลงั
เชน่
ตวั แปรต้น (เกดิ กอ่ น) ตวั แปรตาม (เกดิ ภายหลงั )
(ตวั แปรเหตุ) (ตวั แปรผล)
เชอ้ื โรค อาการป่ วย
ยารกั ษา
วธิ กี ารรกั ษา ผลของการรกั ษา
สง่ิ กระตุน้ การตอบสนอง

140

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

สาํ หรบั งานวจิ ยั ทไ่ี ม่ใช่เป็นแบบทดลอง การกําหนดตวั แปรต้นและตวั แปรตาม ต้องอาศยั หลกั
ของความเป็นเหตุเป็นผลช่วยเป็นกรอบในการพิจารณาตัวแปรไหนควรจะเกิดก่อน (ตัวแปรต้น)
ตวั แปรไหนควรจะเกดิ ทหี ลงั (ตวั แปรตาม) หรอื ตวั แปรไหนมลี กั ษณะความคงทนมากกว่า เปลย่ี นแปลง
ยากกว่า (ตวั แปรต้น) ตวั แปรไหนมลี กั ษณะความคงทนน้อยกว่า เปลย่ี นแปลงไดง้ ่ายกว่า (ตวั แปรตาม)
เช่น ความยากจน กับความเจ็บป่ วย สามารถเป็ นได้ทัง้ ตัวแปรต้นและตัวแปรตามทัง้ 2 ตัว คือ
ความยากจนมผี ลทําให้เกิดสุขภาพร่างกายไม่แขง็ แรง เกดิ โรคภัยไข้เจ็บได้บ่อย ๆ ในขณะเดียวกนั
การเจ็บป่ วยอยู่เร่ือย ๆ ก็ทําให้สามารถประกอบอาชีพการงานได้ไม่เต็มท่ี เกิดภาวะเศรษฐกิจ
ในครอบครัวไม่ดีได้เช่นกัน ดังนัน้ การท่ีจะกําหนดว่าตัวแปรไหนเป็นตัวแปรต้น ตัวแปรไหนเป็ น
ตวั แปรตาม ผวู้ จิ ยั ตอ้ งพจิ ารณาประเดน็ ของปัญหา และกรอบของระยะเวลาทศ่ี กึ ษา รวมทงั้ หลกั ของความ
เป็นเหตุเป็นผลทส่ี อดคลอ้ งกบั ประเดน็ ของปัญหาเขา้ ร่วมดว้ ย

7.2.3 ตวั แปรชนิดอ่ืน ๆ
นอกจากตวั แปรทก่ี ล่าวมาแลว้ ยงั มตี ัวแปรท่ผี ูว้ จิ ยั ไดเ้ รยี กช่อื ต่าง ๆ กนั ไปอกี ตามคุณสมบตั ิ
และหน้าท่ีในการวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปร เช่น ตวั แปรคุม (Control variables) ตัวแปร
ภายนอก (Extraneous variables) ตัวแปรส่วนประกอบ (Component variables) ตัวแปรรบกวน
(Exogenous variables) ตัวแปรภายในรูปแบบ (Endogenous variables) ตัวแปรแทรก (Intervening
variables) และ ตวั แปรกด (Suppressor variables) เป็นตน้
ตัวแปรคุม (Control variables) เป็นตัวแปรท่ีนักวิจัยได้เพิ่มเข้ามาสําหรับการวิเคราะห์
ความสมั พนั ธ์ระหว่างตวั แปรต้นและตวั แปรตาม จุดประสงค์ท่เี พม่ิ ตวั แปรคุมกเ็ พ่อื ต้องการตรวจสอบ
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตามนัน้ ว่า เป็ นความสัมพันธ์อย่างแท้จริงหรือไม่
ซง่ึ มปี ระโยชน์อยา่ งมากทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั สามารถแปลผลความสมั พนั ธไ์ ดถ้ กู ตอ้ งตามความเป็นจรงิ
ตวั แปรภายนอก (Extraneous variables) เป็นตวั แปรทเ่ี ขา้ มาเกย่ี วขอ้ งในการวจิ ยั ทงั้ โดยตรง
และโดยออ้ ม ซง่ึ นกั วจิ ยั จาํ เป็นตอ้ งทาํ การควบคุมตวั แปรเหล่าน้ี เพ่อื ไมใ่ หม้ ารบกวนความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
ตัวแปรต้นและตัวแปรตามท่ีต้องการศึกษา ความจริงแล้วตัวแปรภายนอกก็เป็ นลักษณะหน่ึง
ของตวั แปรคุมนนั่ เอง ซง่ึ ถกู เรยี กชอ่ื ใหแ้ ตกต่างกนั ออกไป
ตวั แปรส่วนประกอบ (Component variables) เป็นตวั แปรทถ่ี อื ว่าเป็นสว่ นหน่ึงหรอื เป็นส่วน
ร่วมของตวั แปรต้น ซง่ึ สามารถมอี ทิ ธพิ ลหรอื มคี วามสมั พนั ธก์ บั ตวั แปรตามดว้ ยการศกึ ษาความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งตวั แปรตน้ กบั ตวั แปรตาม
ตวั แปรรบกวน (Confounding variables) เป็นตวั แปรทม่ี ลี กั ษณะเหมือนกบั ตวั แปรคุมและ
ตวั แปรภายนอก การวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรตน้ และตวั แปรตามจาํ เป็นตอ้ งมกี ารควบคุมตวั
แปรรบกวน เพ่อื ดคู วามสมั พนั ธท์ แ่ี ทจ้ รงิ ระหวา่ งตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม
ตวั แปรภายนอกรปู แบบ (Exogenous variables) เป็นตวั แปรชนิดหน่ึงในรูปแบบ (Model)
ของการวิเคราะห์เส้นทางความสมั พันธ์เชิงเหตุและผล (Path analysis) ซ่ึงถือว่าเป็นตัวแปรเร่ิมต้น
ทม่ี ผี ลกระพบต่อตวั แปรตวั อ่นื ๆ ในรปู แบบของการวเิ คราะห์

141

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ตวั แปรภายในรูปแบบ (Endogenous variables) เป็นตัวแปรอกี ชนิดหน่ึงท่อี ยู่ในรูปแบบ
การวิเคราะห์เส้นทางความสมั พนั ธ์เชงิ เหตุและผล ซ่งึ ตวั แปรชนิดน้ีสามารถเป็นได้ทงั้ ตัวแปรต้นและ
ตวั แปรตาม และถูกควบคมุ ไดโ้ ดยใชว้ ธิ กี ารทางสถติ เิ ทา่ นนั้

ตวั แปรแทรก (Intervening variables) เป็นตวั แปรอกี ตวั หน่ึงท่อี ยู่ระหว่างความสมั พนั ธข์ อง
ตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม ซง่ึ มสี ว่ นชว่ ยทาํ ใหต้ วั แปรตน้ มคี วามสมั พนั ธก์ บั ตวั แปรตามไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ ถ้า
มกี ารควบคุมตวั แปรแทรกแลว้ จะพบวา่ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรตน้ และตวั แปรตามจะลดลงทนั ที

ตวั แปรกด (Suppressor variables) เป็นตัวแปรท่ีปิดบังความสมั พันธ์ระหว่างตัวแปรต้น
และตวั แปรตามเอาไว้มองไม่เหน็ คอื ไม่มคี วามสมั พนั ธ์ ซง่ึ ความจรงิ ตวั แปรต้นและตวั แปรตามเหล่าน้ี
มคี วามสมั พนั ธก์ นั ถา้ มกี ารควบคุมตวั แปรกด ความสมั พนั ธก์ จ็ ะปรากฏขน้ึ มาใหเ้ หน็ อยา่ งชดั เจน

กล่าวโดยสรุปแลว้ ตวั แปรชนิดต่าง ๆ ทเ่ี รยี กช่อื แยกออกเป็นช่อื ต่าง ๆ มากมาย คอื ตวั แปร
ส่วนประกอบ ตวั แปรแทรก และ ตวั แปรกด นัน้ ความจรงิ แลว้ กเ็ ป็นตวั แปรท่ีจดั อยู่ในประเภทตัวแปร
ภายนอก หรือตัวแปรรบกวน หรือตวั แปรคุมนัน่ เอง แต่ท่เี รยี กช่อื แตกต่างออกไปก็เพ่อื ให้เหมาะสม
กบั ลกั ษณะความสมั พนั ธท์ ต่ี อ้ งการทดสอบในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู และการแปลผลใหช้ ดั เจนมากยง่ิ ขน้ึ

จาํ นวนและความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรต้นและตวั แปรตาม
นอกเหนือจากการทราบตวั แปรชนิดต่าง ๆ แลว้ ผูว้ จิ ยั ควรทราบจํานวนตวั แปร และลกั ษณะ
การเช่อื มโยงความสมั พนั ธร์ ะหว่างตวั แปรทจ่ี ะทาํ การศกึ ษาวจิ ยั ไวด้ ว้ ย เพราะจะทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั เองมองเหน็
ภาพรวมของตวั แปรท่ีสําคญั ทงั้ หมดในกรอบของการศกึ ษา ซ่งึ จะทําให้ได้แนวทางในการวดั ตัวแปร
เหลา่ นัน้ ต่อไป ในทน่ี ้ขี อยกตวั อย่างการพจิ ารณาลกั ษณะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งตวั แปรตน้ และตวั แปรตาม
จากข้อความหรือหัวเร่ืองวิจัย โดยแยกออกเป็ นลักษณะใหญ่ ๆ ตามการแบ่งจํานวนตัวแปรได้
4 ลกั ษณะ คอื

1. ตวั แปรตน้ ตวั เดยี ว และตวั แปรตามตวั เดยี ว XY
2. ตวั แปรตน้ ตวั เดยี ว และตวั แปรตามหลายตวั
3. ตวั แปรตน้ หลายตวั ตวั แปรตามตวั เดยี ว Y1
X Y1
4. ตวั แปรตน้ หลายตวั และตวั แปรตามหลายตวั X1 Yn
142 X2 Y
Xn
X1 Y1

X2 Y1

Xn Yn

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

7.3 การให้คาํ นิยามตวั แปร

ตวั แปรชนิดต่าง ๆ ท่ีผู้วจิ ยั กําหนดขน้ึ จะเป็นแนวทางสําหรบั การเกบ็ ขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ต่อไป
ดงั นัน้ ก่อนทจ่ี ะไปถงึ ขนั้ ของการเกบ็ ขอ้ มลู ตวั แปรทงั้ หมดทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั งานวจิ ยั โดยเฉพาะตวั แปรหลกั
ของงานวจิ ยั คอื ตวั แปรทต่ี อ้ งตอบประเดน็ ปัญหาต่าง ๆ ทต่ี งั้ ไวใ้ นวตั ถุประสงคแ์ ละในสมมตฐิ านนนั้ ตอ้ ง
มกี ารกําหนดความหมายใหช้ ดั เจนเสยี ก่อนว่าหมายถงึ อะไร ครอบคลุมอะไรบา้ ง มขี อบเขตแค่ไหน ทงั้ น้ี
อาจจะตอ้ งรวมไปถงึ วธิ กี ารวดั ของตวั แปรเหลา่ นนั้ วา่ วดั อย่างไรดว้ ย

อน่ึงผวู้ จิ ยั ควรตระหนกั ว่า การกาํ หนดความหมายของตวั แปรใหถ้ ูกตอ้ งและชดั เจนไดม้ ากเท่าไร
เท่ากบั เป็นการลดปัญหาในการสร้างเคร่ืองมือ และการเก็บรวบรวมขอ้ มูลได้มากเท่านัน้ การกําหนด
ความหมายของตวั แปรใหช้ ดั เจนถอื ว่าเป็นเร่อื งจาํ เป็นสาํ หรบั งานวจิ ยั ทุกเร่อื ง เพราะตวั แปรตวั เดยี วกนั
อาจมคี วามหมายไม่เหมอื นกนั ในแต่ละงานวจิ ยั กไ็ ด้ ตวั อยา่ งเช่น

ระดบั การศึกษา สําหรบั ผู้ท่เี รียนจบแล้ว หมายถึง คุณวุฒสิ ูงสุดทางการศกึ ษาท่ีได้รบั หรอื
หมายถงึ จาํ นวนปีของการศกึ ษาทเ่ี รยี นมาจนจบ สาํ หรบั ผทู้ ก่ี าํ ลงั ศกึ ษา หมายถงึ ระดบั ชนั้ ทก่ี ําลงั เรยี น
หรอื ทผ่ี า่ นมา

รายได้ หมายถงึ รายไดเ้ ฉพาะหวั หน้าครอบครวั หรอื เป็นรายไดร้ วมทงั้ หมดของสมาชกิ ทุกคน
หรอื เป็นรายไดเ้ ฉลย่ี ต่อสมาชกิ ในครอบครวั เป็นรายได้ รายวนั รายสปั ดาห์ หรอื รายเดอื น

จากตวั อย่างท่ยี กมาใหเ้ หน็ น้ี เป็นเพยี งตวั แปรระดบั ธรรมดาเท่านัน้ ยงั สามารถมคี วามหมาย
ได้แตกต่างกนั ตามท่ีผู้วจิ ยั กําหนด ยิ่งถ้าเป็นตวั แปรท่ีซบั ซ้อนด้วยแล้ว ทงั้ ความหมายและวิธกี ารวดั
ก็ย่ิงมีโอกาสแตกต่างกนั ได้มากข้นึ อกี ดงั นัน้ การกําหนดความหมายของตัวแปรจึงเป็นเร่อื งท่ีผู้วิจยั
ต้องกระทําตงั้ แต่ในระยะเรมิ่ ต้นของการทําวจิ ยั การกําหนดความหมายสามารถกําหนดได้ 2 ลกั ษณะ
คอื ลกั ษณะของคาํ นิยามธรรมดา และ ลกั ษณะของคาํ นยิ ามปฏบิ ตั กิ าร

คํานิ ยามธรรมดา (General or Universal or Conceptual definition) เ ป็ น ก า ร กํ า ห น ด
ความหมายทัว่ ๆ ไป ซ่ึงเหมือนกับการให้คํานิยามศพั ท์ตามหลกั วิชาการหรือทฤษฎีในเร่ืองนัน้ ๆ
ความหมายของตวั แปรทน่ี ิยามไวจ้ ะต้องมคี วามสมบูรณ์ชดั เจน ทงั้ ในแง่ของการวดั อยู่ในตวั ของมนั เอง
ดว้ ย เช่น “จาํ นวนบุตรทต่ี อ้ งการ” หมายถงึ จาํ นวนบตุ รทงั้ หมดทส่ี ตรตี อ้ งการมี ในกรณีทส่ี มมตวิ า่ สตรนี ัน้
เรม่ิ แต่งงานและอยากมบี ุตรเขาตอ้ งการสกั กค่ี น

“ความเจบ็ ปวด” หมายถึง การรบั รู้และการตอบสนองต่อความเจบ็ ปวดของบุคคลท่เี กดิ จาก
การทเ่ี น้อื เยอ่ื ไดร้ บั อนั ตรายและรา่ งกายตอบสนอง ผา่ นระบบประสาทซมิ พาเธตกิ และระบบกลา้ มเน้อื

คาํ นิ ยามปฏิบตั ิการ (Operational definition) เป็นการให้ความหมายทงั้ ในแง่ความสมบูรณ์
ถูกต้องของเน้ือหา บ่งบอกอาการ ระบุกจิ กรรม หรอื พฤติกรรม ซ่งึ สามารถวดั หรอื สงั เกตตวั แปรรวม
เขา้ ไวด้ ว้ ย จงึ เป็นการกาํ หนดความหมายทเ่ี ฉพาะเจาะจงในลกั ษณะรปู ธรรมทช่ี ดั เจนทส่ี ามารดาํ เนินการ/
ปฏิบตั ิได้ วดั และสงั เกตค่าได้ โดยใช้เคร่ืองมือท่ีสร้างและพฒั นาข้นึ ระบุตัวบ่งช้ไี ว้อย่างชัดเจนเพ่ือ
การออกแบบ การวดั มีลกั ษณะใกล้เคียงกบั การเขยี นจุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม โดยท่ีในการกําหนด
ความหมายจะประกอบดว้ ย ดงั น้ี

143

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

1. คุณลกั ษณะหรอื องคป์ ระกอบของตวั แปรนนั้ ๆ
2. พฤตกิ รรมทแ่ี สดงออกภายใตส้ ภาวการณ์ หรอื เงอ่ื นไขทไ่ี ดก้ าํ หนดขน้ึ อยา่ งเหมาะสม
3. สถานการณ์หรอื สงิ่ เรา้ ทเ่ี ป็นเง่อื นไขหรอื สภาวการณ์ทเ่ี หมาะสมทจ่ี ะกระตุน้ ใหเ้ กดิ พฤตกิ รรม
ทแ่ี สดงออก ทจ่ี ะสามารถวดั และสงั เกตได้
4. เกณฑ์ท่ีใช้ในการพิจารณาว่า พฤติกรรมท่ีแสดงออกมคี วามหมายอย่างไรสอดคล้องกบั
จุดม่งุ หมายหรอื ไม่ อยา่ งไร
ดงั กรณตี วั อยา่ งต่อไปน้ี
“ความเจ็บปวด” หมายถึง การรบั รู้และการตอบสนองต่อความเจ็บปวดของผู้ป่ วยในระยะ
หลงั ผา่ ตดั 3 ประการ ไดแ้ ก่
1. การรบั รคู้ วามรุนแรงของความเจบ็ ปวด จากแบบประเมนิ เทอร์โมมเิ ตอรว์ ดั ความเจบ็ ปวด

ของ Kate
2. อตั ราการเตน้ ของชพี จร อตั ราการหายใจ ความดนั โลหติ
3. พฤติกรรมการตอบสนองต่อความเจบ็ ปวดโดยสงั เกตพฤติกรรมการแสดงออกทางสหี น้า

น้ําเสยี ง การเคลอ่ื นไหวของร่างกาย และ การปฏสิ มั พนั ธก์ บั สงั คม
“ความอ้วน” สามารถให้ความหมายในลักษณะคํานิยามปฏิบตั ิการ ท่ีแสดงรายละเอยี ดของ
การวดั ในระดบั สงู ลดลงไปจนถงึ ระดบั ต่ําได้ เช่น

1) ความอว้ น หมายถงึ ความหนาของไขมนั ใตผ้ วิ หนงั ใตท้ อ้ งแขน ตงั้ แต่ 25 มลิ ลเิ มตรขน้ึ ไป
การวัดความหนาของไขมันโดยใช้เคร่ืองวัดแคลิเปอร์วัดผิวหนังใต้ท้องแขนขวาในระดับตัง้ ฉาก
โดยดงึ ผวิ หนงั ตรงทจ่ี ะวดั ใหต้ งึ หรอื

2) ความอ้วน หมายถึง น้ําหนักท่ีมากกว่าค่าเฉล่ียเกินกว่าร้อยละ 10 ข้ึนไป น้ําหนักท่ี
เปรยี บเทยี บเป็นน้ําหนกั เทยี บตามสว่ นสงู อายุ และ เพศ หรอื

3) ความอ้วน หมายถึง ดัชนีมวลกาย (BMI) เกินกว่า 25 โดยเปรียบเทียบน้ําหนักกับ
ความสงู (เป็นตารางเมตร)

สําหรบั ผู้ท่ีเร่ิมทําวจิ ยั ใหม่ ๆ อาจเกดิ ขอ้ สงสยั ว่า มีกฎเกณฑ์อะไรท่จี ะพจิ ารณาว่าตวั แปรใด
จะเขยี นคํานิยามแบบธรรมดา ตวั แปรใดจะเขยี นคํานิยามปฏบิ ตั กิ าร ซง่ึ โดยปกตไิ ม่มกี ฎเกณฑท์ แ่ี น่นอน
ขน้ึ กบั ดุลยพินิจของนักวจิ ยั แต่โดยทวั่ ไป คือ ตวั แปรใดท่มี ีความหมายตรงไปตรงมากก็ ําหนดนิยาม
ธรรมดาได้ แต่ถ้าเป็นตวั แปรทค่ี ่อนขา้ งซบั ซ้อน หรอื แปลความหมายไดห้ ลายความหมาย ย่อมตอ้ งการ
รายละเอยี ดในการวดั ใหช้ ดั เจน

การใหค้ าํ นิยามตวั แปรทช่ี ดั เจนไวต้ งั้ แต่เรมิ่ จะเป็นประโยชน์ต่อผวู้ จิ ยั ดงั น้ี
1. ช่วยใหเ้ ขา้ ใจรายละเอยี ดของตวั แปร ทงั้ ในแง่เน้ือหา ความถูกตอ้ ง ความเหมาะสมวา่ ตรงกบั
แนวความคดิ ของเรอ่ื งทว่ี จิ ยั เพยี งใด
2. ทาํ ใหท้ ราบระดบั การวดั และวธิ กี ารวดั และอาจครอบคลุมถงึ การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ย

144

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

3. ทําให้การแปลผลและการวจิ ารณ์ผลเป็นไปอย่างถูกต้อง มเี หตุมผี ลมากขน้ึ โดยเฉพาะเม่อื
เปรยี บเทยี บผลการวจิ ยั ของผอู้ ่นื ในเรอ่ื งเดยี วกนั หรอื คลา้ ยกนั ซง่ึ จะทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั เขา้ ใจว่าทาํ ไมผลการวจิ ยั
จงึ ต่างจากผอู้ น่ื ซง่ึ อาจเป็นผลเน่ืองจากนยิ ามตวั แปรไวต้ ่างกนั

7.4 วิธีการกาํ หนดตวั แปร

การกาํ หนดตวั แปรในการวจิ ยั มวี ธิ กี ารทใ่ี ชเ้ ป็นแนวทางการปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี
1. ใชแ้ นวคดิ หลกั การ ทฤษฎี หรอื งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เป็นวธิ กี ารให้ความหมายของตวั แปร

จากขอ้ มูลท่ไี ด้จากการศกึ ษาเอกสารแนวคดิ หลกั การ ทฤษฎี หรือ งานวจิ ยั ของผู้วจิ ยั ท่ศี กึ ษาแล้วมา
วเิ คราะหแ์ ละอธบิ ายตวั แปรทน่ี ํามาศกึ ษาในงานวจิ ยั ของตนเอง

2. ใช้ขอ้ เทจ็ จรงิ ทไ่ี ด้จากการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเบ้อื งต้น เป็นวธิ กี ารใหค้ วามหมายของตวั แปร
ท่ีใหม่ ๆ ไม่มีผู้วิจัยคนใดได้ศึกษามาก่อน และไม่สามารถใช้แนวคิด หลักการ หรือ ทฤษฎีใด ๆ
อธิบายได้ โดยมขี นั้ ตอน ดงั น้ี 1) เลอื กกลุ่มตัวอย่างท่คี าดว่าจะเป็นกลุ่มท่ีมคี ุณลกั ษณะ หรอื มคี วามรู้
เก่ียวกับคุณลกั ษณะนัน้ ๆ 2) กําหนดคุณลักษณะนัน้ โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง
3) นําขอ้ มูลท่เี กบ็ รวบรวมมาวเิ คราะหเ์ พ่อื หาองค์ประกอบทส่ี ําคญั ของคุณลกั ษณะนัน้ ๆ เพ่อื นํามาใช้
กาํ หนดความหมายของตวั แปรทช่ี ดั เจนต่อไป

7.5 การวดั ตวั แปร

เป็นการกาํ หนดความละเอยี ดความหยาบในการบอกความแตกต่างระหว่างคณุ สมบตั ขิ องตวั แปร
ทอ่ี ยใู่ นหน่วยเดยี วกนั โดยทวั่ ไปแลว้ นกั วจิ ยั แบง่ ระดบั การวดั ของตวั แปร (Measurement scale) ออกเป็น
4 ระดบั ดงั น้ี

7.5.1 การวดั ระดบั แบ่งกลุ่มหรือนามมาตรา (Nominal scale) เป็นการวดั ในระดบั ต่ําท่ีสุด
และวดั ไดห้ ยาบทส่ี ดุ การวดั ระดบั น้ีเป็นการวดั เพยี งแบ่งแยกออกเป็นประเภทหรอื กลุ่ม ตามหลกั เกณฑท์ ่ี
กําหนด และใช้กบั ตวั แปรท่ีไม่ต่อเน่ืองเท่านัน้ ในการแบ่งระดบั เช่นน้ี แต่ละกลุ่มหรอื ประเภทต่าง ๆ
ท่ีถูกแบ่งจะมีความสมบูรณ์ในตัวเอง เป็นอิสระต่อกัน ไม่มีความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกันแต่อย่างใด
แต่ละกล่มุ หรอื ประเภทมลี กั ษณะแยกจากกนั โดยเดด็ ขาด
ตวั อยา่ งตวั แปรทม่ี รี ะดบั การวดั แบบนามมาตรา (Nominal Scale)

ตวั แปร คณุ ลกั ษณะท่ีแสดงความแตกต่าง
เพศ ชาย หญงิ
เชอ้ื ชาติ ไทย จนี ลาว พม่า อน่ื ๆ
ศาสนา พทุ ธ ครสิ ต์ อสิ ลาม อน่ื ๆ
กลุ่มเลอื ด เอ บี เอบี โอ
ภูมลิ าํ เนา เมอื ง ชนบทชานเมอื ง ชนบทห่างไกล

145

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

ลกั ษณะสาํ คญั ของการวดั ระดบั แบ่งกลุ่มน้ี คอื สมาชกิ ทอ่ี ย่ใู นกลุ่มเดยี วกนั จะมคี วามเท่าเทยี ม
กนั กล่าวคอื ตวั เลข หรอื สญั ลกั ษณ์ทก่ี าํ หนดใหน้ นั้ เป็นเพยี งการใหแ้ ทนช่อื แต่ไม่สามารถนํามาคํานวณ
ทางคณติ ศาสตรไ์ ด้

7.5.2 การวดั ระดบั อนั ดบั (Ordinal หรอื Ranking scale) เป็นการวดั ในระดบั ทส่ี งู ขน้ึ จากระดบั
นามมาตราเลก็ น้อย โดยสามารถแบ่งกลุ่มหรอื ประเภทได้ และบอกอนั ดบั ความมากน้อยของสงิ่ ทว่ี ดั ได้
บอกได้ว่าส่ิงใดมากกว่าหรือส่ิงใดน้อยกว่า แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า ความแตกต่างนัน้ มากกว่า
หรอื น้อยกว่ากนั เป็นปรมิ าณเทา่ ใด ตวั แปรทม่ี กั พบบอ่ ย ๆ ในงานวจิ ยั ทางการแพทยแ์ ละสาธารณสขุ เช่น
ฐานะทางเศรษฐกจิ (ยากจน ปานกลาง ร่ํารวย) ความสมั พนั ธใ์ นการบรกิ าร (ไม่พอใจมาก ไม่พอใจ ปาน
กลาง พอใจ พอใจมาก) ระดบั การศึกษา (ไม่ได้รบั การศกึ ษา ประถมศึกษา มธั ยมศกึ ษา อาชวี ศกึ ษา
อดุ มศกึ ษา) ความพกิ าร (ไมม่ คี วามพกิ าร พกิ ารบางสว่ น พกิ ารทงั้ หมด)

7.5.3 การวดั ระดบั อนั ตรภาคหรอื ระดบั ช่วง (Interval scale) การวดั ในระดบั น้ี สามารถบอก
อนั ดบั และความแตกต่างระหว่างสงิ่ ท่วี ดั ได้ว่า มคี วามแตกต่างกนั มากน้อยเพียงใด แต่การวดั ระดบั น้ี
ไม่มจี ุดศูนยแ์ ท้ (Absolute zero) จุดศูนย์ทว่ี ดั ไดเ้ ป็นศูนยส์ มมติ (Arbitrary zero) เท่านัน้ ค่าลบ ค่าบวก
บอกได้ว่าสง่ิ ท่ีเราต้องการวดั นัน้ มีความแตกต่างกนั บอกทิศทางของความแตกต่างกนั และช่วงของ
การวดั ไดอ้ ย่างกวา้ ง ๆ เท่านนั้ ลกั ษณะสาํ คญั ของการวดั แบบอนั ตรภาคชนั้ คอื สามารถบอกอนั ดบั บอก
ความแตกต่าง สามารถนํามาคาํ นวณทางคณิตศาสตรไ์ ด้ ตวั อย่างเช่น อุณหภูมิ (อณุ หภูมมิ ที งั้ คา่ มากกว่า
ศนู ย์ ศูนย์ ต่ํากว่าศูนย์ ซ่งึ ค่าศูนยน์ ัน้ ไม่ได้หมายถงึ การไม่มอี ุณหภูมิ แต่เป็นอุณหภูมริ ะดบั ต่ําหรอื เยน็
มาก) คะแนนสอบ (คะแนนสอบเป็นศูนย์ ไม่ไดห้ มายความว่าไม่มคี วามรโู้ ดยสน้ิ เชงิ แต่อาจเป็นเพราะดู
หนงั สอื มาไม่ตรงกบั ขอ้ สอบ จงึ ทาํ ขอ้ สอบไมไ่ ด)้

7.5.4 การวดั ระดบั อัตราส่วน (Ratio scale) เป็นระดบั การวดั ชัน้ สูงของการวิจัย ตัวแปร
มาตราน้ีถอื ว่ามศี นู ยแ์ ท้ (Zero or Absolute zero point) และแบ่งไดเ้ ป็นชว่ งเท่า ๆ กนั ฉะนนั้ ปรมิ าณของ
ความแตกต่างจงึ บอกความหมายอยา่ งชดั เจน เชน่ จาํ นวนเงนิ ความสงู อายุ น้ําหนกั จาํ นวนบุตร เป็นตน้

การกาํ หนดระดบั การวดั ของตวั แปร สามารถมผี ลกระทบต่อการสรา้ งเคร่อื งมอื เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ได้ เช่น ขอ้ มูลเก่ยี วกบั การปวดหวั ถ้าต้องการขอ้ มูลในระดบั ความถ่ีของการปวดหวั (ปวดหวั บ่อย ๆ
ปวดหวั เป็นบางครงั้ ไม่ปวดหวั เลย) ขอ้ มูลจะเป็นอนั ดบั มาตรา แต่ถา้ ตอ้ งการทราบเพยี งมหี รอื ไม่มอี าการ
ปวดหวั ขอ้ มลู กจ็ ะเป็นระดบั นามมาตรา แต่ถา้ ตอ้ งการรายละเอยี ดมากขน้ึ อกี เป็นจาํ นวนครงั้ ทป่ี วดหวั ใน
รอบสปั ดาห์ หรอื รอบเดอื น ซง่ึ จดบนั ทกึ ขอ้ มูลเป็นตวั เลขไดเ้ ลย ขอ้ มลู นนั้ กจ็ ะเป็นระดบั อตั ราสว่ นมาตรา
ได้ การกาํ หนดระดบั การวดั ของขอ้ มูลดงั ตวั อยา่ งทก่ี ล่าวน้ี จงึ มสี ว่ นสาํ คญั ในการสรา้ งคําถามและตวั เลอื ก
คาํ ตอบในแบบสอบถาม ใหแ้ ตกต่างกนั ออกไปตามลกั ษณะขอ้ มูลทจ่ี ะเกบ็ ดงั นัน้ ผู้วจิ ยั จงึ ควรพจิ ารณา
ระดบั การวดั ตวั แปรใหเ้ หมาะสมกบั ปัญหาทศ่ี กึ ษาใหม้ ากทส่ี ดุ

โดยปกตแิ ล้วในการวดั ตวั แปรว่าตวั แปรแต่ละตวั จะมรี ะดบั การวดั อยู่ในระดบั ใดนัน้ ส่วนหน่ึง
ขน้ึ อยู่กบั คุณลกั ษณะตามธรรมชาติของตวั แปร และอกี ส่วนหน่ึงขน้ึ อย่กู บั ผู้วจิ ยั ท่จี ะกําหนดขน้ึ สําหรบั
ในส่วนแรก คุณลกั ษณะธรรมชาติของตัวแปรจะเป็นตวั กําหนดการวดั ว่าจะอยู่ในระดบั ใด โดยเฉพาะ
ตวั แปรเชงิ คุณลกั ษณะ เช่น เพศ เช้ือชาติ ศาสนา อาชพี จะมีระดบั การวดั ในระดบั ต่ํา คือ ระดบั นาม

146

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

มาตราเท่านัน้ จะเปล่ียนแปลงให้มีระดับการวดั สูงไปกว่าน้ีไม่ได้ สําหรบั ตัวแปรท่ีมีคุณลกั ษณะของ
การวดั ในระดบั ท่สี ูง ผู้วจิ ยั สามารถท่จี ะยงั คงใช้ระดบั การวดั ทส่ี ูงตามลกั ษณะธรรมชาตขิ องตัวแปรนัน้
หรอื จะลดระดบั การวดั ลงมาใหต้ ่ํากว่ากไ็ ด้

คณุ ลกั ษณะที่แสดงความแตกต่าง

ตวั แปร อตั ราส่วนมาตรา ลดระดบั ลงเป็น
อนั ดบั มาตรา นามมาตรา
ขนาดของครอบครวั
ความดนั โลหติ 2 คน... 4 คน.. 10 คน เลก็ ปานกลาง ใหญ่ เลก็ ใหญ่

โคเลสเตอรอล Diastolic/systolic (mm Hg) ต่ํา ปกติ สงู ปกติ ไม่ปกติ
น้ําตาลในเลอื ด 80/50, 120/70, 130/90, 140/95
ฮมี าโตครติ
ฮโี มโกลบนิ 70..82..150..270 ต่าํ ปกติ สงู ปกติ ไม่ปกติ

52..78..220..310 ต่ํา ปกติ สงู ปกติ ไม่ปกติ

10..20..30..50 (gram percent) ต่าํ ปกติ สงู ปกติ ไมป่ กติ

5..10..15 (gram per 100 ml./blood) ต่าํ ปกติ สงู ปกติ ไมป่ กติ

อน่ึงขอให้ผู้วจิ ยั ตระหนักไว้ว่า ตวั แปรท่มี ีระดบั การวดั ท่ตี ่ํา ไม่สามารถขยบั ให้มีระดบั การวดั
สงู ขน้ึ ได้ แต่ตวั แปรท่มี รี ะดบั การวดั ทส่ี งู สามารถลดระดบั การวดั ใหต้ ่ําลงได้ ดงั นัน้ การลดระดบั การวดั
ตวั แปรใหต้ ่ําลงนัน้ ควรพจิ ารณาอย่างรอบคอบว่าเหมาะสมกบั ปัญหาท่ศี กึ ษา เหมาะสมกบั สมมติฐาน
ทต่ี ้องการทดสอบ และเหมาะสมกบั สถติ ทิ จ่ี ะใชว้ เิ คราะห์ตวั แปรนัน้ หรอื ไม่เพยี งไร การลดระดบั การวดั
ตวั แปรใหต้ ่ําลงโดยไม่ไดพ้ จิ ารณาใหร้ อบคอบเสยี กอ่ นนนั้ นบั ว่ามผี ลเสยี มากกวา่ ผลดี ยงิ่ ถา้ ผวู้ จิ ยั ตอ้ งการ
วเิ คราะหข์ อ้ มลู เพ่อื ใหไ้ ดค้ าํ ตอบทล่ี กึ ซง้ึ โดยมกี ารลดระดบั ของการวดั ใหต้ ่าํ ตงั้ แต่การสรา้ งเคร่อื งมอื หรอื
แบบสอบถาม สําหรบั เกบ็ ขอ้ มูลตงั้ แต่ต้นแล้ว กย็ ง่ิ ไม่มโี อกาสใช้สถิติระดบั สงู ไดเ้ ลย ยกเว้น ต้องสร้าง
แบบสอบถามใหม่ใหม้ รี ะดบั การวดั ตวั แปรอย่ใู นระดบั สงู และเกบ็ ขอ้ มลู ใหม่ ซง่ึ ในทางปฏบิ ตั จิ รงิ คงทาํ ได้
ยาก ฉะนัน้ จงึ ให้ต้องระมดั ระวงั ในเร่อื งการลดระดบั การวดั ตวั แปร อย่าทําแบบรู้เท่าไม่ถงึ การณ์ เพราะ
เลยี นแบบงานวจิ ยั ของคนอ่นื ทน่ี ิยมปฏบิ ตั กิ นั มาจนเป็นประเพณีไปแลว้ ควรดูระดบั การวดั ของตวั แปรท่ี
เหมาะสมกบั ปัญหาการวจิ ยั ของตนเองเป็นหลกั สาํ คญั มากกว่าสงิ่ อน่ื ใด

7.6 เครอื่ งมือท่ีใช้ในการวิจยั

สง่ิ ท่จี ะส่งผลต่อขอ้ มลู ซ่งึ ถอื เป็นพ้นื ฐานทส่ี ําคญั ในการวจิ ยั มปี ระสทิ ธภิ าพ และได้ผลการวจิ ยั
ท่ถี ูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการวจิ ยั นัน้ ประเดน็ ทส่ี าํ คญั ทส่ี ุด คอื เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการเกบ็ รวบรวม
ขอ้ มูล เน่ืองจากเคร่ืองมือเป็นขนั้ ตอนท่สี ําคญั และมีความเช่ือมโยงกบั ขนั้ ตอนต่าง ๆ ของการวิจัย
ตลอดกระบวนการ หากขอ้ มูลทเ่ี กบ็ รวบรวมมาจากเคร่อื งมอื ทไ่ี ม่มคี ุณภาพ และไม่สอดคลอ้ งกบั เน้ือหา

147

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

และวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั แลว้ แมว้ ่างานวจิ ยั นนั้ ๆ จะใชส้ ถติ ขิ นั้ สงู เพยี งใด ผลงานวจิ ยั ทไ่ี ดก้ ไ็ ม่ถกู ตอ้ ง
และไมส่ ามารถตอบคาํ ถามการวจิ ยั ได้

เคร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั หมายถงึ เคร่อื งมอื ทใ่ี ชว้ ดั ตวั แปร หรอื ใชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มูลเพ่อื ใชใ้ น
การวจิ ยั โดยผวู้ จิ ยั ตอ้ งทราบว่าขอ้ มลู ทต่ี อ้ งการเกบ็ คอื อะไร รวบรวมขอ้ มลู จากไหน และเคร่อื งมอื ประเภท
ใดทใ่ี ชร้ วบรวมขอ้ มลู ไดเ้ หมาะสม

ใ นการเ ก็บ รว บ ร ว ม ข้อมูล ต้อง ใ ช้เ คร่ือง มือ ท่ีมีคุณภ า พ สําห รับ เก็บ ข้อมูลใ ห้ต รง กับ ปั ญ ห า
และวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั โดยอยู่ภายใต้กรอบแนวคดิ ตัวแปรต่าง ๆ ท่ศี ึกษาตามคํานิยาม และ
เครอ่ื งมอื นนั้ ตอ้ งเหมาะสมกบั ลกั ษณะของประชากรทศ่ี กึ ษาวจิ ยั

7.7 ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั

- เคร่อื งมอื ทางวทิ ยาศาสตร์
- แบบสอบถาม
- การสมั ภาษณ์
- การสงั เกตการณ์
- การสนทนากลุ่ม
7.7.1 เครอื่ งมือทางวิทยาศาสตร์
เคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ มเี คร่ืองมอื ตัง้ แต่เป็นเคร่อื งมือง่าย ๆ ท่ีใช้ประจํา เช่น เคร่ืองชัง่
น้ําหนัก เคร่อื งวดั ส่วนสูง เทอร์โมมิเตอร์วดั อุณหภูมิ เคร่อื งวดั ความดนั โลหติ นาฬิกาจบั เวลา ไปจน
เคร่อื งมอื ทม่ี คี วามสามารถสงู มกี ลไกสลบั ซบั ซอ้ นมาก ๆ เชน่ เคร่อื งเอกซเรยค์ อมพวิ เตอร์ ลกั ษณะของ
เครอ่ื งมอื ทางวทิ ยาศาสตรส์ ามารถแบ่งไดเ้ ป็น 4 ลกั ษณะ ดงั น้ี
1) การวดั ทางกายภาพ เช่น การวดั ความสงู น้ําหนัก อุณหภูมขิ องร่างกาย ปรมิ าตรต่าง ๆ

เชน่ ปรมิ าตรของโลหติ ปรมิ าตรของการหายใจ ความดนั โลหติ อตั ราการเตน้ ของหวั ใจ
2) การวดั ทางเคมี เช่น การวัดระดบั ฮอร์โมน ระดับน้ําตาล การวดั ส่วนประกอบในเลือด

และปัสสาวะ
3) การวดั ทางจลุ ชวี ะ เชน่ การนบั จาํ นวนแบคทเี รยี การตรวจอจุ จาระเพอ่ื แยกชนดิ ของเชอ้ื โรค
4) การวดั ทางกายวภิ าค หรอื การวเิ คราะหเ์ น้อื เย่อื เชน่ การเอก็ ซเรย์
การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการใช้เคร่ืองมือทางวิทยาศาสตร์ ใช้ในกรณีท่ีต้องการข้อมูล
ทว่ี ดั ไดโ้ ดยตรง และสามารถทราบจากทฤษฎที างวทิ ยาศาสตร์ เป็นสงิ่ ทผ่ี วู้ จิ ยั ทาํ การวดั จากกลุม่ เป้าหมาย
หลักได้โดยตรง และเก็บข้อมูลได้ง่าย จึงเหมาะท่ีจะมาเก็บรวบรวมข้อมูล แต่การท่ีนําข้อมูลมาใช้
จะตอ้ งพจิ ารณาใหด้ เี พ่อื ใหอ้ ่านคา่ ไดแ้ น่นอน ซง่ึ เครอ่ื งมอื ชนดิ น้ี มขี อ้ ดี และ ขอ้ จาํ กดั ดงั น้ี
ขอ้ ดี ของการวดั ดว้ ยเคร่อื งมอื ทางวทิ ยาศาสตร์

1) มคี วามเป็นปรนยั สงู
2) เครอ่ื งมอื มคี วามไวและวดั ไดต้ รงตามสงิ่ ทต่ี อ้ งการ
3) ง่ายและสะดวกในการใช้

148

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

ข้อจาํ กดั ของการวดั ดว้ ยเคร่อื งมอื ทางวทิ ยาศาสตร์
1) เคร่ืองมือบางชนิดมีรายละเอียดมากต้องใช้เวลาศึกษานาน และผ่านการฝึกฝนจน
เกดิ ความชาํ นาญเพอ่ื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ ง
2) อาจเป็นอนั ตรายถา้ ใชไ้ ม่ถกู วธิ ี
3) เคร่อื งมอื บางชนดิ มคี วามไวมากเกนิ อาจทาํ ใหค้ า่ คลาดเคล่อื นได้

7.7.2 แบบสอบถาม (Questionnaire)
เป็ นเคร่ืองมือท่ีใช้เก็บข้อมูลแบบสอบถาม มักประกอบด้วย ชุดข้อคําถามท่ีต้องการให้
ตวั อย่างตอบ นิยมใชใ้ นการเกบ็ ขอ้ มลู เก่ยี วกบั ความคดิ เหน็ ความพอใจและขอ้ มูลด้านสถานภาพ หรอื
ภูมหิ ลงั ของบุคคลหรอื ขอ้ เทจ็ จรงิ อ่นื ๆ ในกลุ่มประชากร เหมาะสาํ หรบั เกบ็ ขอ้ มลู เม่อื จํานวนประชากร
มขี นาดใหญ่ และอยู่กระจดั กระจายหลายแห่งท่ีห่างไกลกนั แบบสอบถามในงานวิจยั แบบสํารวจมีได้
หลายลกั ษณะในทน่ี ้ี จะขอแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ ๆ คอื แบบสอบถามทวั่ ไป แบบสอบถามเฉพาะ และ
แบบสอบถามผสม
แบบสอบถามทวั่ ไป เป็นแบบสอบถามทส่ี รา้ งขน้ึ โดยใชห้ ลกั การสรา้ งแบบสอบถาม ทวั่ ๆ ไป
เพอ่ื เกบ็ ขอ้ มลู ในปัญหาวจิ ยั ทต่ี อ้ งการศกึ ษา เชน่
- แบบสอบถามสาํ หรบั ศกึ ษาภาวะโภชนาการของประเทศไทย กจ็ ะประกอบไปดว้ ยคําถามท่ี

เกย่ี วขอ้ งทางดา้ นโภชนาการทงั้ หมด
- แบบสอบถามสาํ หรบั ศกึ ษาการตายของทารกในภาคเหนือ กจ็ ะมคี าํ ถามทเ่ี กย่ี วขอ้ งทางดา้ น

การตายของเดก็ อายุต่ํากว่า 1 ปี ในภาคเหนือทงั้ หมด เป็นตน้
แบบสอบถามเฉพาะ เป็นแบบสอบถามทส่ี รา้ งขน้ึ โดยใชว้ ธิ กี ารพเิ ศษสาํ หรบั เรอ่ื งทจ่ี ะศกึ ษานนั้
โดยเฉพาะ เช่น แบบทดสอบความรู้ (Knowledge or Achievement test) ความถนัด (Aptitude) เชาวน์
ปัญญา (IQ) แบบวดั สขุ ภาพจติ แบบวดั บคุ ลกิ ภาพ
แบบสอบถามผสม เป็นแบบสอบถามผสมระหว่างแบบสอบถามทวั่ ไป และแบบสอบ ถาม
เฉพาะ โดยทผ่ี วู้ จิ ยั สรา้ งแบบสอบถามเฉพาะเร่อื งทต่ี อ้ งการวดั แทรกอยใู่ นแบบสอบถามทวั่ ไป เช่น
- แบบสอบถามในการศกึ ษา เร่อื ง การตายของทารกในประเทศไทย จะมแี บบสอบถามทวั่ ไป

ท่ีถามข้อมูลท่เี ก่ยี วขอ้ งทางด้านการตายของเด็ก และมแี บบสอบถามเจตคติของมารดา
ในเร่อื งการตายของทารกรวมอย่ดู ว้ ย การสรา้ งแบบสอบถามเจตคติ จะตอ้ งสรา้ งโดยยดึ หลกั
และวธิ กี ารสรา้ งโดยเฉพาะ ซง่ึ แลว้ แต่วา่ ผวู้ จิ ยั จะใชเ้ ทคนิคแบบไหน
- แบบสอบถามในการศกึ ษาเร่อื งปัจจยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อโครงการควบคุมโรคมาลาเรยี ในชนบท
ของประเทศไทย จะเป็นแบบสอบถามผสมระหว่างขอ้ มูลทวั่ ไปทงั้ หมดทเ่ี กย่ี วขอ้ งทางดา้ น
โรคมาลาเรยี กบั โครงการควบคุมโรคน้ี และขอ้ มูลเจตคตขิ องชาวบา้ นทม่ี ตี ่อโครงการควบคุม
โรคมาลาเรีย เจตคติท่ีมีต่อเจ้าหน้าท่ีสาธารณสุขในการฉีดยาพ่นดีดีที เจตคติท่ีมีต่อ
ประสทิ ธภิ าพของยาดดี ที ใี นการทาํ ลายยุง หรอื ป้องกนั โรคมาลาเรยี เป็นตน้

149

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

รปู แบบของแบบสอบถามหรอื ชนิดของแบบสอบถาม
รปู แบบของแบบสอบถามหรอื ชนดิ ของแบบสอบถามแบง่ เป็น 2 ชนดิ ใหญ่ ๆ คอื
1. คาํ ถามทไ่ี ม่ไดก้ าํ หนดตวั เลอื กไวใ้ ห้
เป็นคาํ ถามทม่ี ลี กั ษณะเปิดโอกาสใหผ้ ตู้ อบไดอ้ ยา่ งอสิ ระซง่ึ เรยี กลกั ษณะคาํ ถามแบบน้วี ่า
คาํ ถามปลายเปิ ด (Open-ended question) ซง่ึ คาํ ตอบทไ่ี ดจ้ ากแบบสอบถามชนิดน้ีอาจจะเป็นไปได้
ทงั้ ตวั เลขและขอ้ ความ เช่น
ท่านอาศยั / ปฏบิ ตั งิ านในพ้นื ทโี่ ครงการมา...........................เดอื น.....................ปี

ทีมปฏบิ ตั ิงานส่งเสรมิ ให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการวางแผนแก้ไขปัญหายาเสพติดโดยการค้นหาปัญหา
สาเหตุ ภูมปิ ัญญาและทนุ ทางสงั คมหรอื ไม่
 0. ไม่มี
 1. มี ลกั ษณะการดาํ เนนิ งาน…..…………………………………………….
การดาํ เนินการกบั ขอ้ มลู ทไ่ี ดร้ บั การกาํ หนดรหสั ถา้ ขอ้ มลู ทไ่ี ดเ้ ป็นตวั เลขกส็ ามารถกาํ หนดชอ่ ง
สเ่ี หลย่ี มเท่ากบั ค่าสูงสุดของตวั เลขท่เี ป็นไปได้ ส่วนกรณีท่ขี อ้ มูลทไ่ี ดเ้ ป็นขอ้ ความ ควรจะต้องนําขอ้ มูล
ท่ไี ด้มาจดั กลุ่มคําตอบท่อี ยู่ในลกั ษณะหรอื แนวทางเดียวกนั แล้วจึงใช้รหสั แทนกลุ่มนัน้ ซ่ึงถือว่าเป็น
การกาํ หนดรหสั หลงั จากทไ่ี ดข้ อ้ มลู แลว้ ซง่ึ เรยี กว่า (Post-code)
ขอ้ ดขี องแบบสอบถามแบบปลายเปิด คอื มคี วามยดื หยุ่นในตวั สามารถถามคาํ ถามไดล้ กึ ซง้ึ และ
เปิดโอกาสให้ผู้ตอบสามารถตอบได้อย่างกว้างขวางตามความต้องการ เหมาะสําหรับเร่ืองใหม่ ๆ
ทน่ี ักวิจยั ไม่สามารถกําหนดคําตอบท่ีแน่นอนได้ หรอื ต้องการความลกึ ซ้งึ ของข้อมูล แต่มีขอ้ จํากดั คือ
การรวบรวมขอ้ มลู ขอ้ คาํ ตอบทาํ ไดย้ าก
2. คาํ ถามทก่ี าํ หนดตวั เลอื กไวแ้ ลว้
เป็ นคําถามท่ีมีการกําหนดคําตอบไว้ล่วงหน้าแน่นอนแล้ว ผู้ตอบจะต้องเลือกตอบตาม
ท่ีกําหนดให้ ซ่ึงมักจะเรียกลักษณะคําถามแบบน้ีว่า คําถามปลายปิ ด (Closed-ended question)
การกําหนดรหสั และตวั แปรจะสามารถทจ่ี ะกําหนดรหสั ไว้ก่อนทจ่ี ะมกี ารเกบ็ ขอ้ มลู ซง่ึ เรยี กว่า Pre-code
ซง่ึ ลกั ษณะคาํ ถามมหี ลายแบบตามลกั ษณะของคาํ ถาม ดงั น้ี
- แบบเลอื กคาํ ตอบไดค้ าํ ตอบเดยี ว เช่น

เพศของผตู้ อบ  1. ชาย 2. หญงิ
ทา่ นสาํ เรจ็ การศกึ ษาสงู สดุ ในชนั้ ใด
1. ไมไ่ ดศ้ กึ ษา 3. ชนั้ มธั ยมศกึ ษา 5. ปรญิ ญาตรี
2. ชนั้ ประถมศกึ ษา 4. ปวช./ปวส./ปวท. 6. ปรญิ ญาโทหรอื สงู กว่า
- แบบเลอื กคาํ ตอบไดห้ ลายคาํ ตอบ เชน่

ทา่ นมขี อ้ เสนอแนะต่อการแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ อยา่ งไร (ตอบไดม้ ากกว่า 1 ขอ้ )
1. ทุกรฐั บาลตอ้ งดาํ เนนิ การอย่างจรงิ จงั และต่อเนอื่ ง
2. เปิดเผยชอื่ นกั การเมอื ง ขา้ ราชการ และ ผมู้ อี ทิ ธพิ ลทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ยาเสพตดิ

150

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

3. ผวู้ ่าราชการจงั หวดั /นายอาํ เภอตอ้ งสนใจแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ ในพ้นื ทอี่ ย่างจรงิ จงั
และต่อเนือ่ ง

4. อบต. ตอ้ งรว่ มกบั ชมุ ชนแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ
5. ลงโทษทางสงั คมกบั ผคู้ า้ ยาเสพตดิ
6. อนื่ ๆ (โปรดระบุ).........................
- แบบใหผ้ ตู้ อบเรยี งลาํ ดบั ความสาํ คญั เชน่
ท่านเหน็ ด้วยกบั การปฏบิ ตั ิใดตามนโยบายสงครามยาเสพติดของรฐั บาล (เลอื กตอบโดยลาํ ดบั
ความสาํ คญั จากเหน็ ดว้ ยมากทสี่ ดุ ไปหาน้อยทสี่ ดุ โดยระบุ 1, 2, 3.... ตามลาํ ดบั )

( ) 1. การปราบปรามผคู้ า้ รายใหญ่
( ) 2. การจบั กมุ ผเู้ สพ
( ) 3. การจบั กุมผคู้ า้ รายยอ่ ย
( ) 4. การยดึ อายดั และ รบิ ทรพั ยส์ นิ ผคู้ า้ ยาเสพตดิ
( ) 5. การดาํ เนนิ การต่อเจา้ หน้าทขี่ องรฐั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ยาเสพตดิ
( ) 6. การบาํ บดั รกั ษาผเู้ สพ
- คาํ ถามทใ่ี หผ้ ตู้ อบแสดงระดบั ความมากน้อย
ท่านคดิ ว่าชมุ ชนของท่านมปี ัญหายาเสพตดิ ในระดบั ใด
0. ไมม่ ี 1. เบาบาง 2. ปานกลาง 3.รุนแรง
ข้อดขี องแบบคําถามปิด เหมาะสําหรับงานวิจยั ท่ีต้องการถามข้อมูลจํานวนมาก จะช่วยให้
เกบ็ ขอ้ มลู ไดเ้ รว็ และงา่ ยต่อการวเิ คราะห์
ขอ้ ดีของแบบสอบถาม
1. สรา้ งงา่ ย ใชส้ ะดวก
2. ค่าลงทนุ น้อยกวา่ เมอ่ื เทยี บกบั การสมั ภาษณ์
3. เหมาะสาํ หรบั กลุ่มตวั อยา่ งทอ่ี ย่อู ย่างกระจดั กระจาย เกบ็ ขอ้ มลู ไดจ้ าํ นวนมาก
4. เปรยี บเทยี บขอ้ มลู ไดด้ กี ว่าการสมั ภาษณ์ เน่ืองจากผตู้ อบอย่ใู นสภาวะทค่ี ลา้ ยกนั
ข้อจาํ กดั แบบสอบถาม
1. ขอ้ มลู จะไดต้ ามขอ้ เทจ็ จรงิ หรอื เชอ่ื ถอื ไดไ้ ม่ขน้ึ อยกู่ บั ผตู้ อบแบบสอบถาม
2. แบบสอบถามทค่ี รอบคลุมสาระทงั้ หมดมกั จะยาว มจี ํานวนหน้ามาก ทําใหผ้ ตู้ อบ เสยี เวลา
มาก และอาจมผี ลต่อขอ้ มลู
3. ผวู้ จิ ยั ไมส่ ามารถกระตุน้ ผตู้ อบแบบสอบถามได้
4. กรณีคาํ ถามมลี กั ษณะยดื หยุ่นน้อย ถา้ คาํ ถามไมช่ ดั เจน อาจทาํ ใหข้ อ้ มลู ผดิ พลาดได้
5. ผตู้ อบตอ้ งอ่านหนงั สอื หรอื เขยี นหนงั สอื ไดด้ พี อสมควร
6. กรณสี ง่ แบบทางไปรษณยี ม์ กั ไดแ้ บบสอบถามกลบั คนื จาํ นวนน้อย

151

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

7.7.3 แบบสมั ภาษณ์ (Interview)
เป็นเคร่อื งมอื ทใ่ี ชเ้ กบ็ ขอ้ มลู ทน่ี ิยมใชก้ นั มาก เน่อื งจากสามารถเกบ็ ขอ้ มูลไดค้ รอบคลุมทงั้ ความรู้
เจตคติ และการปฏิบตั ิของตัวอย่าง เหมาะสําหรบั ใช้เกบ็ ข้อมูลร่วมกบั เคร่อื งมอื ชนิดอ่นื ๆ เน่ืองจาก
สามารถเกบ็ ข้อมูลจากสถานการณ์ หรอื ปรากฏการณ์จรงิ และมปี ฏิสมั พนั ธ์หรอื การพูดคุยโต้ตอบกบั
กลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง โดยเฉพาะในกรณีท่ผี ูว้ ิจยั ต้องการขอ้ มูลท่เี จาะลกึ ในรายละเอยี ดหรอื ขอ้ มูล
เชงิ คณุ ภาพ
ประเภทของการสมั ภาษณ์ แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คอื
1. การสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสรา้ งชดั เจน (Full structured) มกี ารเตรียมคําถามไว้ล่วงหน้าท่ี
เรยี กวา่ แบบสมั ภาษณ์ทม่ี รี ายการคาํ ถามชดั เจน และผถู้ ูกสมั ภาษณ์ทกุ คนจะไดร้ บั คาํ ถามเหมอื นกนั ทุกคน
2. การสมั ภาษณ์แบบกง่ึ โครงสรา้ ง (Semi-structured) หรอื ไม่มเี ค้าโครงเลย ไม่มกี ารกําหนด
คาํ ถามทแ่ี น่นอน เน้ือหาการสนทนาจะค่อนขา้ งอสิ ระ มคี วามยดื หยุ่นสงู นกั วจิ ยั สามารถถามเจาะลกึ ได้
มากขน้ึ แต่ผสู้ มั ภาษณ์จะต้องมปี ระสบการณ์ และความชํานาญในการประยุกตส์ ถานการณ์ใหเ้ หมาะสม
ขณะสมั ภาษณ์ จงึ จะสามารถบรรลวุ ตั ถุประสงคไ์ ด้
ในงานวจิ ยั แบบสํารวจนิยมใช้แบบสมั ภาษณ์แบบมโี ครงสร้างชดั เจน แบบสมั ภาษณ์จงึ เป็นสงิ่
สาํ คญั ท่จี ะช่วยใหส้ มั ภาษณ์ได้ง่าย และไดข้ อ้ มูลจากตวั อย่างครอบคลุมในเน้ือหาท่สี นใจ การออกแบบ
สมั ภาษณ์จะคลา้ ยกบั การออกแบบสอบถาม กลา่ วคอื ตอ้ งพจิ ารณาถงึ เน้ือหาสาระ ภาษาและสาํ นวนทใ่ี ช้
ถาม จํานวนขอ้ และความยาวของคําถามแต่ละขอ้ การเรยี งลําดบั ขอ้ คําถาม ตลอดจนความยาวในการ
สมั ภาษณ์แบบสมั ภาษณ์ทงั้ ฉบบั คาํ ถามในแบบสมั ภาษณ์อาจครอบคลุมเน้ือหากวา้ งกว่าแบบสอบถาม
เน่ืองจากผสู้ มั ภาษณ์สามารถพูดคุยชแ้ี จงใหช้ ดั เจนมากขน้ึ ได้ เพ่อื ใหไ้ ดค้ าํ ตอบทต่ี รงกบั วตั ถุประสงคข์ อง
คําถาม ดงั นัน้ ผูส้ มั ภาษณ์จงึ ควรมที กั ษะการสมั ภาษณ์และความรู้ในเน้ือหาสาระด้วย การฝึกพนักงาน
สมั ภาษณ์จงึ เป็นสง่ิ จาํ เป็น
ข้อดีของการสมั ภาษณ์
1. ยดื หยุ่นได้ และสามารถใชก้ บั ปัญหาหลาย ๆ แบบ
2. มปี ระโยชน์มากถา้ ใชก้ บั ผไู้ ม่รหู้ นงั สอื เดก็ หรอื ผทู้ ไ่ี ม่สามารถอา่ น เขยี นได้
3. สามารถปรบั ความใหช้ ดั เจนได้
4. ถ้าสามารถสร้างบรรยากาศการสมั ภาษณ์ท่ีเป็นกันเอง จะทําให้ผู้ตอบเปิดเผยข้อมูล

อย่างจรงิ ใจ ทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทเ่ี ทย่ี งตรงในการสมั ภาษณ์
5. ผใู้ หส้ มั ภาษณ์จะใหค้ วามร่วมมอื ดี
ขอ้ จาํ กดั ของการสมั ภาษณ์
1. การลงทุนมาก ทงั้ เวลา และ งบประมาณ
2. ขอ้ มลู ทไ่ี ดข้ น้ึ กบั การตดั สนิ ใจของผสู้ มั ภาษณ์
3. เทคนคิ การสมั ภาษณ์ และความเช่อื ความลาํ เอยี งของพนกั งานสมั ภาษณ์มผี ลต่อคาํ ตอบได้
4. ถา้ ผสู้ มั ภาษณ์หลายคน การควบคุมเรอ่ื งมาตรฐานเดยี วกนั ทาํ ไดย้ าก

152

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

7.7.4 การสงั เกตการณ์ (Observation)
เป็นการเกบ็ ข้อมูลท่ผี ู้สงั เกตการณ์ใช้สายตาเฝ้าดูหรอื ศกึ ษาเหตุการณ์ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ
เพ่อื ใหเ้ ขา้ ใจลกั ษณะธรรมชาติและความเก่ยี วขอ้ งกนั ระหว่างองคป์ ระกอบของเหตุการณ์สาํ หรบั ใชเ้ กบ็
ข้อมูลร่วมกบั เคร่ืองมอื ชนิดอ่ืน ๆ เน่ืองจากสามารถเก็บข้อมูลจากสถานการณ์หรอื ปรากฏการณ์จริง
โดยมเี ทคนิคทใ่ี ชใ้ นการสงั เกตการณ์ ดงั น้ี
การเกบ็ ขอ้ มลู โดยการสงั เกตการณ์ แบง่ ไดเ้ ป็น 2 ประเภท คอื
- สงั เกตแบบมโี ครงสรา้ ง (Structured observation) หมายถึง การสงั เกตการณ์ ได้กําหนด

เร่อื งทจ่ี ะสงั เกตไวล้ ่วงหน้าแน่นอนและศกึ ษาเฉพาะเร่อื งทก่ี าํ หนดไวน้ นั้
- การสงั เกตแบบไม่มโี ครงสรา้ ง (Unstructured observation) หมายถงึ การสงั เกตการณ์

ทผ่ี สู้ งั เกตไมไ่ ดว้ างแผน หรอื กาํ หนดขอบเขตเฉพาะเรอ่ื งเอาไว้ ผสู้ งั เกตจะสงั เกตไปกวา้ ง ๆ
การสงั เกตจะเป็นการเกบ็ ขอ้ มูลในการวจิ ยั ได้ต่อเม่อื สามารถตอบวตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั ได้
มกี ารวางแผนอยา่ งมรี ะบบ และมกี ารบนั ทกึ เหตุการณ์เร่อื งราวอย่างเป็นระบบ
หลกั การสงั เกต
เพอ่ื ใหส้ ามารถสงั เกตการณ์ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม ควรมหี ลกั ดงั น้ี
1. มีเป้าหมายในการสงั เกตท่ีแน่นอน ผู้วิจยั จะต้องกําหนดขอบเขตของเร่ืองท่ีจะสงั เกต

ให้ชดั เจน จะสงั เกตอะไรบ้าง ในลักษณะใด เหตุการณ์ใดท่ีไม่สอดคล้องไม่เก่ียวข้อง
กบั เป้าหมายกไ็ ม่สงั เกต
2. ทาํ การสงั เกตอย่างพนิ ิจพเิ คราะห์ ถถ่ี ว้ น มคี วามตงั้ ใจตลอดเวลาทส่ี งั เกต ไม่ทําการสงั เกต
อย่างผวิ เผนิ
3. ทําการบนั ทกึ ผลการสงั เกต เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่ถี ูกต้องควรทําการบนั ทกึ การสงั เกตไม่ควร
ทง้ิ ไวน้ านเพราะจะทาํ ใหไ้ ม่ลมื ได้
4. พยายามสงั เกตใหไ้ ดข้ อ้ มลู จาํ นวนมาก
5. ศกึ ษาทฤษฎที จ่ี ะชว่ ยในการศกึ ษาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเหตุการณ์ และขอ้ มลู ประเภทนนั้ ๆ
6. ก่อนการสงั เกตการณ์จรงิ ควรฝึกการสงั เกตการณ์และการบนั ทกึ เหตุการณ์ ด้านท่สี ําคญั
ทค่ี วรฝึก ไดแ้ ก่
6.1 เทคนิคการระลกึ ความจาํ อย่างเป็นระบบ
6.2 การใหค้ วามสนใจในสงิ่ หรอื เหตุการณ์ทม่ี กั มองขา้ ม
6.3 การสงั เกตการณ์ตามเป้าประสงค์
6.4 การหยงั่ รหู้ รอื ความสามารถในการมองเหน็ ไดอ้ ยา่ งทะลุปรุโปร่ง
6.5 ความเป็นกลางหรอื เป็นปรนยั
6.6 ประเภทของพฤตกิ รรมและรหสั ประจาํ ประเภทพฤตกิ รรมนนั้ (กรณีจะใชร้ ะบบดงั กล่าวน้)ี
7. ในการสงั เกตการณ์บางเร่อื งจาํ เป็นตอ้ งสงั เกตหลายครงั้ จงึ สามารถสรปุ ผลออกมาได้
8. กาํ หนดระยะเวลาในการสงั เกตใหแ้ น่นอน
9. วางตวั เป็นกลาง บนั ทกึ เหตุการณ์ ตามการรบั รอู้ ย่างเป็นปรนยั (Objectivity)

153

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

คณุ สมบตั ิของผสู้ งั เกตการณ์ที่ดี
ผู้สงั เกตการณ์เป็นหวั ใจของการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสงั เกตการณ์ข้อมูลท่ีได้จากการ
สงั เกตการณ์จะถูกต้อง แม่นยํา เพียงใด ย่อมข้ึนอยู่กบั ความสามารถของผู้สงั เกตการณ์เป็นสําคัญ
ผสู้ งั เกตการณ์ทด่ี มี ลี กั ษณะ ดงั น้ี

1. มีความไวในการรบั รู้และส่ือความหมาย ผู้สังเกตการณ์ต้องมีความรู้ในเร่ือง
ทส่ี งั เกตการณ์เป็นอย่างดี สามารถแปลความหมายเหตุการณ์ท่ศี กึ ษาไดถ้ ูกต้อง
ทาํ การบนั ทกึ ไดต้ รงกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ

2. มคี วามละเอยี ดรอบคอบและช่างสงั เกต การมคี วามละเอยี ดรอบคอบ จะช่วยให้
ไดข้ อ้ มลู ทถ่ี กู ตอ้ งชดั เจน ลมุ่ ลกึ

3. มีความตัง้ ใจในการสังเกต ผู้สังเกตการณ์ท่ีดีจะต้องสามารถควบคุมสมาธิ
ใหม้ ใี จจดจ่อในเรอ่ื งทส่ี งั เกต

4. มคี วามยุติธรรม ผู้สงั เกตการณ์ทด่ี ตี ้องมใี จเป็นกลาง ไม่มคี วามลําเอยี งส่วนตัว
หรอื มอี คตติ ่อบุคคลหรอื เหตุการณ์ทส่ี งั เกต

ข้อดี การสงั เกตมขี อ้ ดี คอื สามารถบนั ทกึ เหตุการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ จรงิ หรอื พฤตกิ รรมจรงิ ไดถ้ ูกตอ้ ง
กวา่ เคร่อื งมอื อน่ื โดยไม่ขน้ึ กบั ความสามารถในการใหข้ อ้ มลู ของตวั อยา่ ง และไม่ตอ้ งอาศยั ความเตม็ ใจของ
ผถู้ กู สงั เกต และอาจไดข้ อ้ มลู ทเ่ี ป็นประโยชน์และไม่ไดค้ าดหวงั มากอ่ น

ขอ้ จาํ กดั เหตุการณ์บางอยา่ งอาจเกดิ ขน้ึ อยา่ งกะทนั หนั ทน่ี กั วจิ ยั ไม่สามารถวางแผนไดล้ ่วงหน้า
หรือพฤติกรรมซ่อนเร้นบางอย่างไม่สามารถสังเกตได้ เช่น พฤติกรรมทางเพศ การค้ายาเสพติด
นอกจากน้กี ารสงั เกตอาจไม่เหมาะสม เม่อื มขี อบเขตการศกึ ษากวา้ งจนไม่สามารถสงั เกตตวั อยา่ งไดค้ รบ
หรอื สงั เกตเหตุการณ์ไดท้ งั้ หมด

7.7.5 การสนทนากลุม่ (Focus group discussion)
เป็นการเกบ็ ขอ้ มูลทเ่ี รม่ิ นิยมใช้มากขน้ึ โดยเฉพาะในการวจิ ยั ประเมนิ ผล หรอื ประเมนิ ทศั นคติ
ของบคุ คลทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั เรอ่ื งใดเรอ่ื งหน่ึง การรวบรวมขอ้ มลู จะเป็นรปู แบบการนงั่ สนทนาระหวา่ งผวู้ จิ ยั กบั
กลุ่มผู้ใหข้ อ้ มูล ผูใ้ ห้ขอ้ มูลจะต้องเป็นผู้มคี วามรู้ มปี ระสบการณ์ และเกย่ี วขอ้ งในประเดน็ ทน่ี ักวจิ ยั สนใจ
ศึกษา และได้รับการคัดเลือกให้เป็นกลุ่มบุคคลท่ีเป็นผู้รู้ (Key informants) และคาดว่าจะสามารถ
ให้ข้อมูลเก่ียวกับเร่ืองท่ีศึกษาได้ละเอียดและดีท่ีสุด การซักถามหรือการแสดงความเห็นจะเป็นไป
ในลกั ษณะการสนทนากนั และผู้ให้ข้อมูลมีความรู้สกึ ว่าสามารถแสดงความคดิ เหน็ ได้อย่างอิสระเสรี
และผูเ้ กบ็ ขอ้ มูลจําเป็นจะตอ้ งกระตุ้นใหท้ ุกคนในกลุ่มไดม้ โี อกาสแสดงความคดิ เหน็ และไม่ใหผ้ ูใ้ ดผหู้ น่ึง
มีความสําคัญเหนือกว่าคนอ่ืน ข้อมูลท่ีซักถามจะเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ซ่ึงมกั จะเป็นความคิดเห็น
หรอื ความรูส้ กึ นึกคดิ ของผใู้ หข้ อ้ มูล ดงั นัน้ การจดั สนทนากลุ่มต้องมที มี งาน กล่าวคอื การสนทนาจะต้อง
มีพิธีกร (นักวิจยั ) ผู้จดบันทึกคําสนทนา และ ผู้ใช้เทปบันทึกข้อมูล หลังจากสนทนากลุ่มจะมีการ
ถอดเทปและสรุปวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในลกั ษณะวเิ คราะหเ์ น้อื หา

154

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

7.7.6 การศกึ ษาเฉพาะราย (Case study หรอื Life history collection)
คอื การศึกษาอย่างละเอยี ดของข้อมูล เพ่ือทําให้เกดิ ความเข้าใจและได้ข้อเท็จจริงต่าง ๆ ทงั้ ในอดีต
และปัจจุบนั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ชวี ติ และพฤตกิ รรมของเร่อื ง หรอื บุคคลทท่ี ําการศกึ ษาความสมั พนั ธใ์ นสงั คม
บุคลิก ลกั ษณะส่วนตัว และ สภาพประวตั ิละเอยี ด โดยใช้แนวทางการสมั ภาษณ์เป็นเคร่อื งมือในการ
หาขอ้ มูล ผู้สมั ภาษณ์จะต้องมคี วามชํานาญและสร้างความสมั พนั ธ์ท่ีดี เพ่อื ทําให้ผู้ตอบข้อมูล มีความ
ไวว้ างใจ และใหข้ อ้ มูลตรงกบั เร่อื งทเ่ี ป็นจรงิ นอกจากน้ี การศกึ ษาเฉพาะราย อาจจะเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
โดยวธิ กี ารสงั เกต หรอื วธิ กี ารอน่ี ๆ หลายด้าน ทําให้การศกึ ษาเฉพาะรายมขี อ้ มูลตามทเ่ี ป็นจรงิ เช่น
การศกึ ษาเฉพาะรายในกรณผี ปู้ ่ วยเป็นโรคเอดส์ หรอื เป็นโรคทางพนั ธกุ รรม เป็นตน้ ทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ เทจ็ จรงิ
ต่าง ๆ และเขา้ ใจสภาพปัญหาทางสงั คมทม่ี ผี ลกระทบต่อสขุ ภาพมากขน้ึ

7.8 หลกั การและขนั้ ตอนสร้างเครื่องมือ

7.8.1 หลกั การสรา้ งเครอ่ื งมอื วิจยั
โดยทวั่ ไปมหี ลกั การทส่ี าํ คญั ดงั น้ี

1. ศกึ ษาเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง พรอ้ มทงั้ พจิ ารณาถงึ รายละเอยี ดของการวจิ ยั ว่ามอี งคป์ ระกอบ
คุณลกั ษณะ หรอื พฤตกิ รรม ทจ่ี ะแสดงออกถงึ ความหมายของประเดน็ การศกึ ษา และ
พจิ ารณาถงึ เครอ่ื งมอื วดั ทจ่ี ะใช้

2. นิยามเชงิ ทฤษฎแี ละเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร เพ่อื ใหส้ ามารถวดั ตวั แปรทเ่ี ป็นนามธรรมต้องนยิ าม
ใหถ้ ูกตอ้ ง ตวั แปรบางตวั ตอ้ งนิยามหลายขนั้ ตอนจนกวา่ จะวดั ได้ ทงั้ น้ี พงึ จาํ ไวเ้ สมอว่า
รายการข้อคําถาม ของเคร่ืองมือทุกประเภทต้องมีท่ีมาอย่างชัดเจน จากทฤษฎี
หลกั การแนวคดิ หลกั สตู ร จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ฯลฯ

3. ร่างรายการขอ้ คาํ ถาม โดยมที ม่ี าจากนิยามตวั แปรหรอื เน้ือหาทจ่ี ะใหค้ วามรตู้ ามตวั ชว้ี ดั
ทก่ี ําหนดไว้ การร่างรายการขอ้ คําถามได้ โดยไม่มที ม่ี าจะทําใหไ้ ม่มที ฤษฎี หลกั การ
แนวคดิ หลกั สตู ร จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ฯลฯ

4. พฒั นาปรบั ปรุงเคร่อื งมอื ตามขนั้ ตอน ดว้ ยวธิ กี ารทไ่ี ม่ใชส้ ถติ แิ ละใชส้ ถติ ซิ ง่ึ รายละเอยี ด
จะกลา่ วถงึ ในหวั ขอ้ การพฒั นาเครอ่ื งมอื ต่อไป

หลักการท่ีกล่าวมาเป็นลักษณะภาพรวมในการสร้างเคร่ืองมือ ซ่ึงต้องการเน้นให้เห็นถึง
ความสาํ คญั ของทม่ี า ส่วนรายละเอยี ดของการสรา้ งเคร่อื งมอื จะกล่าวในหวั ขอ้ ขนั้ ตอนการสรา้ งเคร่อื งมอื
ประเภทต่าง ๆ ต่อไป สาํ หรบั การสรา้ งเครอ่ื งมอื ทก่ี ล่าวมาพจิ ารณาไดจ้ ากรปู ท่ี 20

155

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

แนวคิด/ทฤษฎี/ประเดน็ /เนื้อหา นามธรรม

องคป์ ระกอบ/ องคป์ ระกอบ/ องคป์ ระกอบ/ ฯลฯ
ประเดน็ หลกั ฯลฯ ประเดน็ หลกั ฯลฯ ประเดน็ หลกั ฯลฯ

ตวั ชว้ี ดั ตวั ชว้ี ดั
ประเดน็ ยอ่ ย ประเดน็ ยอ่ ย

ขอ้ คาํ ถาม ขอ้ คาํ ถาม

กฎการวดั รปู ธรรม

กฎการวดั

รปู ที่ 20 การสรา้ งเครอ่ื งมอื ประเมนิ โครงการ
จากภาพ จะเหน็ ว่าขอ้ คําถามเป็นลําดบั สุดท้ายในการสร้างเคร่อื งมอื โดยมที ่ีมาจากแนวคิด/
ทฤษฎี ซ่งึ เป็นนามธรรมมากท่สี ุด จะมอี งคป์ ระกอบย่อยจํานวนหน่ึงแล้วปรบั มาเป็นตวั ช้วี ดั จนกระทงั่
ตงั้ ขอ้ คาํ ถาม ซง่ึ เป็นรปู ธรรมมากทส่ี ดุ โดยหน่ึงตวั ชว้ี ดั ตอ้ งมขี อ้ คาํ ถามอย่างน้อย 1 ขอ้ เสมอ ถา้ เป็นไปได้
ตอ้ งพยายามสรา้ งขอ้ คาํ ถามใหม้ ากทส่ี ดุ แต่อยา่ ใหซ้ า้ํ ซอ้ น เพอ่ื ใหไ้ ดส้ ารสนเทศครอบคลุมสงู สดุ
7.8.2 ขนั้ ตอนการสรา้ งเครอื่ งมอื วิจยั
ขนั้ ตอนการสรา้ งเครอ่ื งมอื สามารถแยกแต่ละประเภทของเคร่อื งมอื ดงั น้ี
1. แบบทดสอบ มขี นั้ ตอนการสรา้ งทส่ี าํ คญั 4 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1) ระบุวตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม เช่น ถา้ จะวดั ความสามารถทางสมองระดบั ความจํา
กใ็ ช้คํากรยิ าว่า บอก นิยาม ฯลฯ ระดบั ความเขา้ ใจ เช่น จําแนก อธบิ าย ระดบั
การนําไปใช้ เช่น ระบุวธิ แี ก้ปัญหา ยกตวั อย่างการแก้ปัญหา และ ระดบั วเิ คราะห์
เชน่ ระบคุ วามแตกต่าง แนวโน้ม เป็นตน้

156

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

2) กาํ หนดเน้ือหา เชน่ ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั การศกึ ษาวจิ ยั การกาํ หนดวตั ถุประสงค์
หรอื ประเดน็ สาํ คญั และตวั แปร การกาํ หนดวตั ถุประสงคแ์ ละค่าน้ําหนกั ฯลฯ

3) ทาํ ตารางวเิ คราะห์
4) สรา้ งขอ้ คาํ ถามตามทก่ี าํ หนดไว้
2. แบบสอบถาม มขี นั้ ตอนในการสรา้ งทส่ี าํ คญั 9 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
1) นยิ ามตวั แปรในเชงิ ทฤษฎี
2) นํานิยามมาแยกเป็นองคป์ ระกอบ (ถา้ ม)ี ตามทฤษฎหี รอื แนวคดิ หลกั การ
3) นําองคป์ ระกอบมาแยกเป็นตวั ชว้ี ดั (ถา้ ม)ี อาจรวมเป็นนิยามเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารได้
4) สรา้ งขอ้ คาํ ถาม
5) กาํ หนดวา่ เป็นแบบสอบถามปลายปิดหรอื ปลายเปิด
6) กาํ หนดระดบั ทจ่ี ะวดั วา่ เป็นชนดิ 2 ระดบั หรอื มากกวา่
7) กาํ หนดรายละเอยี ดประกอบเกย่ี วกบั การดาํ เนินการและคาํ ชแ้ี จง ฯลฯ
8) พจิ ารณาเบอ้ื งตน้ และทดลองใชก้ บั กลุม่ เลก็ ปรบั ปรุง
9) ทดลองใชก้ บั กลมุ่ ใหญ่เพ่อื หาค่าทางสถติ ิ
การสร้างแบบสอบถามเพ่ือวดั ตัวแปร ซ่ึงเป็นนามธรรมจะต้องมีการนิยามจากระดบั ต่าง ๆ
จนถงึ ขอ้ คาํ ถาม
3. แบบสงั เกต การสรา้ งแบบสงั เกตมขี นั้ ตอนสาํ คญั 6 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
1) ศกึ ษาโครงสรา้ ง ทฤษฎขี องพฤตกิ รรมทจ่ี ะสงั เกต
2) นยิ ามพฤตกิ รรมทจ่ี ะสงั เกตจนถงึ ขนั้ วดั ได้
3) ยกรา่ งรายการพฤตกิ รรมทจ่ี ะสงั เกต
4) เลอื กแบบทจ่ี ะบนั ทกึ การสงั เกต
5) นําแบบสงั เกตไปทดลองใช้
6) ทดลองใช้ หาค่าทางสถติ ิ และ ปรบั ปรุง
แบบสงั เกตจะใช้ผู้สงั เกตเพียงคนเดยี วหรือใช้จํานวนไม่มาก การหาค่าทางสถิติจึงต้องหา
ความเทย่ี งของการสงั เกต ซง่ึ จะกล่าวในหวั ขอ้ ต่อไป
4. แบบสมั ภาษณ์ การสรา้ งแบบสมั ภาษณ์มขี นั้ ตอนน้อยกว่าเคร่อื งมอื ประเภทอ่นื เพราะมกั จะ
เป็นคาํ ถามกวา้ ง ๆ ใหผ้ ตู้ อบตอบไดโ้ ดยอสิ ระ ซง่ึ มขี นั้ ตอนทส่ี าํ คญั 3 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
1) ศกึ ษาทฤษฎี หลกั การ ตวั แปร หรอื ประเดน็ สาํ คญั ทจ่ี ะถาม
2) สรา้ งขอ้ คาํ ถามใหส้ มั พนั ธก์ บั ปัญหาและวตั ถุประสงคก์ ารประเมนิ โดยยดึ หลกั ดงั น้ี

2.1) ไมใ่ ชค้ าํ ถามนํา
2.2) ไม่ใชค้ าํ ถามทท่ี าํ ใหผ้ ตู้ อบรสู้ กึ ต่อตา้ น
2.3) ไม่ใชค้ ําคมทเ่ี ป็นความขดั แขง้ ค่านิยมของสงั คม เพราะว่าผตู้ อบจะตอบ

ตามคา่ นิยมทาํ ใหไ้ มไ่ ดค้ วามจรงิ
3) ทดลองใชก้ บั ผทู้ ม่ี ลี กั ษณะใกลเ้ คยี งกบั ผทู้ จ่ี ะใหส้ มั ภาษณ์

157

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

7.9 ลกั ษณะท่ีดีของเคร่อื งมือวิจยั

7.9.1 เครอ่ื งมอื ในเชิงปริมาณ
เคร่ืองมอื ทใ่ี ชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มูลในการวจิ ยั โดยเฉพาะขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณจะต้องมีคุณลกั ษณะท่ีดหี ลาย
ประการเช่นเดยี วกบั การศกึ ษาวจิ ยั ถา้ จะใหด้ ที ส่ี ดุ ควรมลี กั ษณะ 10 ประการ คอื มคี วามตรง ความเทย่ี ง
ความยาก อํานาจจําแนก ยุติธรรม ถามลึก ท้าทาย เฉพาะเจาะจง เป็นปรนัย และ มีประสิทธิภาพ
ในคุณลกั ษณะทด่ี ที งั้ 10 ประการ นนั้ มีที่สาํ คญั 4 ประการ ไดแ้ ก่

1. ความตรง
ความตรง (Validity) เป็นคุณลักษณะท่สี ําคัญท่ีสุดของเคร่อื งมือว่าวดั ได้ตรงตามจุดประสงค์
ทใ่ี ชห้ รอื ไม่ ความตรงของเครอ่ื งมอื แบ่งย่อยออกเป็น 3 ประเภท ไดแ้ ก่
1.1 ความตรงเชงิ เน้ือหา (Content validity) โดยทวั่ ไปแล้วการสอบแต่ละครงั้ จะมีการออก

ข้อสอบตามเน้ือหาท่ีสอน แต่ไม่สามารถจะออกข้อสอบให้ครอบคลุมเน้ือหาทงั้ หมดได้
หรอื ออกไดก้ ต็ ้องใชเ้ วลาในการสอบนานมาก จงึ ต้องออกมาในลกั ษณะสุ่ม ชุดขอ้ คําถาม
ทอ่ี อกมาต้องเป็นตวั แทนท่ีดขี องเน้ือหาทงั้ หมดเพยี งใดกม็ คี วามตรงเชงิ เน้ือหาเพยี งนัน้
การพจิ ารณาความตรงเชงิ เน้ือหาทําได้โดยตรงให้ผู้เช่ยี วชาญในสาขานัน้ ๆ พจิ ารณา
โดยยดึ เน้ือหาตามหลกั สูตร หรอื จุดประสงค์รายวชิ า หรอื จุดประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ฯลฯ
ถา้ เป็นการสอบถามกอ็ าจยดึ หลกั ทฤษฎี เน้อื หา หรอื ประเดน็ สาํ คญั ตามความเหมาะสม
1.2 ความตรงตามเกณฑ์สัมพันธ์ (Criterion-related validity) ความต่างประเด็นน้ีเป็ น
ความสมั พนั ธ์ระหว่างผลการวดั กบั ตวั แปรภายนอก หรอื ตวั แปรเกณฑ์ใดเกณฑ์หน่ึง เช่น
ความสมั พนั ธค์ ะแนนสอบเขา้ ศกึ ษาต่อ เกรดเฉลย่ี ชนั้ ปีท่ี 1 เป็นการศกึ ษาคะแนนสอบเขา้
โดยใช้เกรดเฉล่ียชนั้ ปีท่ี 1 เป็นเกณฑ์ ความตรงตามเกณฑ์น้ีจะเน้นไปทเ่ี กณฑม์ ากกว่า
ตวั เคร่อื งมอื โดยสนใจว่าเคร่อื งมอื นัน้ ๆ ทาํ นายเกณฑไ์ ดด้ เี พยี งใดมากกว่าสนใจเน้ือหา
ของเคร่อื งมอื ความตรงตามเกณฑ์สมั พนั ธ์น้ียงั แบ่งย่อยออกเป็นความตรงเชงิ ทํานาย
(Predictive validity) และความตรงร่วมสมัย (Concurrent validity) โดยความตรงเชิง
ทํานายจะใช้เม่อื มีการวดั ผ่านไประยะหน่ึง เช่น ใช้คะแนนสอบเข้าทํานายความสําเร็จ
การศึกษาต้องใช้เวลานาน ส่วนความตรงร่วมสมัยวดั ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน เช่น
ใชท้ าํ นายเกรดเฉลย่ี ชนั้ ปีท่ี 1 เป็นตน้
1.3 ความตรงเชิงโครงสร้าง (Construct validity) ความต่างประเภทน้ีบางครัง้ เรียกว่า
ความตรงเชงิ ทฤษฎี เพราะเคร่อื งมอื ทจ่ี ะใชว้ ดั ลกั ษณะท่เี ป็นนามธรรม ยากทจ่ี ะใหน้ ิยาม
ท่ีชัดเจนเป็นสากลได้ จึงให้นิยามตามทฤษฎีข้ึนอยู่กับว่าจะนําทฤษฎีใดมาใช้ เช่น
ภาวะผูน้ ํา เคร่อื งมอื จะมคี วามตรงเชงิ ทฤษฎเี พยี งใดขน้ึ อยู่กบั ผลการวดั ทไ่ี ดว้ ่าไดเ้ ท่าไร
ตรงกบั คุณลกั ษณะทเ่ี ป็นจรงิ เพยี งใด
สาํ หรบั วธิ กี ารในการหาความต่างเชงิ โครงสรา้ งมหี ลายวธิ ี วธิ หี าความสมั พนั ธก์ บั เครอ่ื งมอื อ่นื ๆ
ท่ีมีอยู่แล้ว โดยนําผลจาการวัดเคร่ืองมือท่ีจะศึกษาไปหาความสัมพันธ์ กับเคร่ืองมือมาตรฐาน
ทว่ี ดั สงิ่ เดยี วกนั ถา้ สมั พนั ธก์ นั สูงแสดงว่ามคี วามตรงเชงิ โครงสรา้ งสงู เป็นต้น หรอื วธิ นี ําไปเปรยี บเทยี บ

158

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

กบั กลมุ่ ทม่ี หี รอื ไม่มลี กั ษณะทจ่ี ะวดั (Known group technique) คอื ถา้ รวู้ ่ากลมุ่ ใด มหี รอื ไมม่ คี ุณลกั ษณะท่ี
จะวดั ตามเคร่อื งมือสร้างกน็ ําไปทดลองใช้ ถ้ากลุ่มท่มี ีคุณลกั ษณะนัน้ ๆ กจ็ ะได้คะแนนสูง กลุ่มท่ไี ม่มี
กจ็ ะไดค้ ะแนนต่ํา เช่น ถ้าสรา้ งแบบสอบวดั แรงจูงใจ และทราบว่ากลุ่มใดมแี รงจูงใจสงู เม่อื นําไปวดั แล้ว
ควรจะไดค้ ่าสงู ด้วย เป็นต้น นอกจากน้ี ยงั มวี ธิ ใี ช้สถิตชิ นั้ สงู อกี หลายวธิ ี ซ่งึ เป็นวธิ มี รี ายละเอยี ดยุ่งยาก
จงึ ไม่นํามากล่าวในทน่ี ้ี

2. ความเที่ยง
ความเทย่ี ง (Reliability) เป็นความคงเสน้ คงวาของเคร่อื งมอื ในลกั ษณะยนื ยนั คอื วดั ไดค้ ่า
เท่าเดมิ ทุกครงั้ กจ็ ะมคี วามเท่ยี งสูงมาก หรอื เปล่ียนแปลงบ้างเลก็ น้อยถือว่ามคี วามเท่ยี งสูง ซ่งึ ในทาง
ปฏบิ ตั กิ ารวดั ทางสงั คมศาสตร์จะต้องมีการเปล่ียนแปลงบ้างเน่ืองจากผูถ้ ูกวดั มกี ารเปล่ยี นแปลง เช่น
เหน่ือย หวิ อารมณ์ไม่ดี ป่ วย หรือ การเดาและไม่ตงั้ ใจให้ข้อมูล เป็นต้น แต่ถ้าทางวิทยาศาสตร์แล้ว
เคร่อื งมอื วดั จะมคี วามเทย่ี งสงู ยง่ิ ถา้ เคร่อื งมอื นนั้ วดั ของทม่ี คี ่าสงู ตอ้ งใชค้ วามละเอยี ดมาก กต็ อ้ งมคี วาม
เทย่ี งและความตรงสงู เช่น เคร่อื งชงั่ ทอง จะตอ้ งมคี วามตรงและความเทย่ี งสงู กวา่ เคร่อื งชงั่ ชา้ ง เป็นตน้
3. ความยาก
ความยาก (Difficulty) จะใชก้ บั เคร่อื งมอื ทว่ี ดั ความรู้ มกี ารใหค้ ะแนนการตอบถูก-ผดิ จะพจิ ารณา
จากสดั ส่วนของผูต้ อบถูก-ผดิ ถ้าตอบถูกมากถือว่าไม่ยาก ถ้าตอบถูกน้อยถือว่ายาก กค็ อื แบบทดสอบ
ทงั้ หลายนนั่ เอง ถา้ เป็นแบบสอบถามวดั ความคดิ เหน็ ต่าง ๆ ไมต่ อ้ งมคี ุณลกั ษณะขอ้ น้ีเพราะไม่มกี ารตอบ
ถูก-ผดิ
4. อาํ นาจจาํ แนก
อํานาจจําแนก (Discrimination power) เป็นความสามารถของเคร่ืองมือวัดท่ีจะจําแนกคน
กลมุ่ เกง่ ออกจากกลุม่ อ่อน โดยจะนําผลการตอบถูก-ผดิ มาคดิ คาํ นวณ มคี ่าระหวา่ -1 ถงึ 1 ยง่ิ มคี ่ามากยง่ิ ดี
แสดงวา่ จาํ แนกคนไดด้ ี ดงั นนั้ จงึ เหมาะกบั เคร่อื งมอื ทว่ี ดั ความรู้ เชน่ แบบสอบต่าง ๆ
หลกั การตรวจสอบคณุ ภาพเครอื่ งมอื
การเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ปรมิ าณจาํ เป็นตอ้ งใชข้ อ้ มลู มาวเิ คราะหด์ ว้ ยเทคนคิ ต่าง ๆ เพ่อื ใหไ้ ดส้ ารสนเทศ
ทถ่ี ูกต้อง การจะไดข้ อ้ มลู ต้องใชเ้ คร่อื งมอื ถ้าจะใหข้ อ้ มูลเทย่ี งตรง สมบูรณ์ ต้องใช้เคร่อื งมอื ทม่ี คี ุณภาพ
เคร่ืองมือท่ีคุณภาพจะต้องมีการตรวจสอบคุณภาพเสียก่อนตามลักษณะสําคัญของเคร่ืองมือ คือ
ตอ้ งมคี วามตรง ความเทย่ี ง ถา้ เป็นเคร่อื งมอื วดั ทค่ี วามรูต้ อ้ งมคี ณุ สมบตั ดิ า้ นความยากและอํานาจจาํ แนก
พอเหมาะเพมิ่ เตมิ อกี ดว้ ย การตรวจสอบคณุ ภาพภาพเครอ่ื งมอื มี 2 วธิ ใี หญ่ ๆ คอื
1. วิธีที่ไม่ใช้สถิติ
วธิ นี ้ีจะใชก้ ารตรวจความครอบคลมุ ของขอ้ คาํ ถาม ภาษาทใ่ี ช้ ซง่ึ แยกยอ่ ยไดเ้ ป็น 2 ประการ คอื
1.1 การตรวจสอบความครอบคลุมของเน้ือหา ประเดน็ หรอื นิยาม โดยตรวจสอบดว้ ยตนเอง
ถ้าเป็นการตรวจสอบแบบสอบกพ็ จิ ารณาความครอบคลุมของเน้ือหา ถ้าเป็นแบบสงั เกต แบบสอบถาม
หรือแบบสัมภาษณ์ก็ดูความครอบคลุมตามนิยาม องค์ประกอบหรือตัวช้ีวัด และโดยผู้เช่ียวชาญ

159

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

ในสาขานัน้ ๆ จํานวนก่คี นกไ็ ด้ตามความเหมาะสม ทงั้ น้ีควรทําเป็นตารางแบบการวิเคราะห์หลกั สูตร
โดยมปี ระเดน็ หลกั ประเดน็ ย่อย

1.2 การตรวจความถกู ตอ้ งของภาษาความเขา้ ใจของผตู้ อบ ควรพจิ ารณาวา่ ขอ้ คําถามทส่ี รา้ งขน้ึ
ส่ือความหมายได้ดีเพียงใดด้วยตนเอง และให้ผู้ท่ีมีคุณสมบัติเหมือนผู้จะตอบจริงสัก 2-3 คน
ทดลองตอบดวู า่ เขา้ ใจตรงกนั หรอื ไม่เพยี งใด มคี วามราบร่นื เพยี งใดในการตอบคาํ ถาม

2. วิธีท่ีใช้สถิติ
วธิ นี ้ีเป็นการตรวจสอบคุณภาพโดยใช้สถิติต่าง ๆ มาช่วย โดยทวั่ ไปจะตรวจสอบคุณสมบตั ิ
ทส่ี าํ คญั ของเคร่อื งมอื 4 ดา้ น โดยใชส้ ถติ ติ ่าง ๆ สาํ หรบั คุณสมบตั สิ าํ คญั ของเคร่อื งมอื ทงั้ 4 ดา้ น มดี งั น้ี
2.1 ความตรง ในกรณีความตรงเชิงเนื้อหา
จะใช้ผู้เช่ียวชาญแล้วนํามาคํานวณหาค่าความสอดคล้องระหว่างขอ้ คําถามกบั วตั ถุประสงค์
หรอื นิยาม (Item of Objective Congruence Index: IOC) หรอื อตั ราส่วนความตรงเชิงเน้ือหา (Content
Validity Ratio: CVR) ตามสูตรของลอว์ซี (Lawshe, 1975) ซ่ึงคํานวณได้ด้วยมือหรือเคร่ืองคํานวณ
ส่วนความตรงประเภทอ่นื ๆ เช่น ความต่างตามเกณฑส์ มั พนั ธ์หรอื ความตรงเชงิ โครงสร้าง จะใชส้ ถิติ
ขนั้ สูงกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการคํานวณ ซ่ึงจะไม่กล่าวรายละเอียดในท่นี ้ี ส่วนการตรวจสอบ
ความตรงเชงิ เน้อื หา 2 วธิ ี นนั้ มสี าระโดยสรปุ ดงั น้ี

2.1.1 ความถกู ตอ้ งตามเน้ือหา (Content validity) เป็นความถูกตอ้ งทเ่ี กย่ี วกบั การวเิ คราะห์
ตรวจสอบเน้ือหาของเคร่อื งมอื ว่า เน้ือหาของคําถามวดั ไดต้ รงตามเน้ือหาของเร่อื งท่ตี ้องการวดั หรอื ไม่
ความถูกต้องชนิดน้ีนิยมใชผ้ เู้ ชย่ี วชาญในสาขาวชิ านัน้ ๆ ตรวจสอบ โดยพจิ ารณาจากนิยามตวั ชว้ี ดั และ
ตารางโครงสรา้ งขอ้ คําถาม ควบคู่กบั ขอ้ คําถามว่าเคร่อื งมอื นนั้ มคี วามครบถ้วนสมบูรณ์ ครอบคลุมเน้ือ
เรอ่ื งครบถว้ นสมบรู ณ์ทงั้ หมดหรอื ไม่

1. การตรวจสอบความถูกต้องตามเน้ือหาของเคร่ืองมือจะต้องดําเนินการก่อนนําเคร่ืองมือ
ไปทดลองใช้ ทําได้โดยการนิยามตัวช้ีวัด (Operation definition) โครงสร้างการสร้างข้อคําถาม
(Questional definition) โครงสรา้ งการสรา้ งขอ้ คาํ ถาม (Questionnaire) ใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญ (Content experts)
พจิ ารณาความสอดคล้อง โครงสร้างข้อคําถามทําให้ผู้เช่ียวชาญทราบท่ีมาของข้อคําถามแต่ละขอ้ ว่า
มาจากประเด็นใด ครอบคลุมเน้ือหาในเร่ืองนัน้ หรอื ไม่ จากนัน้ ขอให้ผู้เช่ยี วชาญสรุปผลการพิจารณา
เม่อื ไดร้ บั ผลการพจิ ารณาจากผูเ้ ชย่ี วชาญ ผูป้ ระเมนิ ผลจะนํามาคํานวณค่าความถูกตอ้ งตามเน้ือหาดว้ ย
ดชั นีความสอดคล้องระหว่างขอ้ คําถามกบั ประเด็นท่ีต้องการทราบ ดชั นีท่ใี ช้แสดงค่าความสอดคล้อง
เรียกว่าดชั นีความสอดคล้องระหว่างข้อคําถามและวตั ถุประสงค์ (Item Objective Congruence index:
IOC)

สตู รทใ่ี ชใ้ นการคาํ นวณ IOC = Σ R/n
R = ผลคณู ของคะแนนกบั จาํ นวนผเู้ ชย่ี วชาญในแต่ละระดบั ความสอดคลอ้ ง
ค่า IOC มีค่าระหว่าง -1 ถึง 1 หลักเกณฑ์ในการพิจารณา คือ ข้อคําถามท่ีดีควรมีค่า IOC
ใกล้ 1 สว่ นขอ้ ทม่ี คี ่า IOC ระหวา่ ง 0.5 ถงึ -0.5 ควรมกี ารปรบั ปรุงแกไ้ ข

160

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

ตวั อย่าง การประเมินผู้บริหารหน่วยงานแก้ไขปัญหายาเสพติด ตัวช้ีวดั ท่สี ําคญั ตัวหน่ึงคือ
การอุทศิ ตนใหก้ บั การปฏบิ ตั งิ าน มขี นั้ ตอนการตรวจสอบความถูกตอ้ งตามเน้อื หาดงั น้ี

1) นิยามตวั ชว้ี ดั การอุทศิ ตนใหก้ บั การปฏบิ ตั งิ านของผูบ้ รหิ ารหน่วยงานแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ
หมายถงึ การทผ่ี ูบ้ รหิ ารท่มุ เทแรงกายแรงใจในการปฏบิ ตั หิ น้าทแ่ี กไ้ ขปัญหายาเสพตดิ และพฒั นางานโดย
ไมเ่ หน็ แก่ความเหน็ดเหน่ือย การอุทศิ ตนของผบู้ รหิ ารมปี ระเดน็ ทส่ี าํ คญั คอื

1. เสยี สละเวลาสว่ นตวั ใหก้ บั การงานแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ
2. ใหค้ วามสาํ คญั ต่องานแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ เป็นอนั ดบั แรก
3. พรอ้ มทจ่ี ะใหค้ วามชว่ ยเหลอื ในการแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ โดยไมล่ งั เลใจ
4. มคี วามกระตอื รอื รน้ กบั งานแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ
5. มคี วามตงั้ ใจในการพฒั นางานแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ ใหด้ ยี งิ่ ขน้ึ

2) โครงสรา้ งขอ้ คาํ ถามของตวั ชว้ี ดั การอทุ ศิ ตนใหก้ บั การปฏบิ ตั งิ านแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ

ประเดน็ ขอ้ คาํ ถาม

1. เสยี สละเวลาสว่ นตวั ใหก้ บั การงานแกไ้ ข 1. ทาํ งานใหเ้ สรจ็ ลลุ ่วงโดยไมค่ าํ นึง
ปัญหายาเสพตดิ ถงึ เวลา
2. ใหค้ วามสาํ คญั ต่องานแกไ้ ขปัญหา 2. ใหค้ วามสาํ คญั กบั งานในหน้าท่ี
ยาเสพตดิ เป็นอนั ดบั แรก ก่อธุระสว่ นตวั
3. พรอ้ มทจ่ี ะใหค้ วามชว่ ยเหลอื ในการแกไ้ ข 3. ลงมอื ชว่ ยผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชา
ปัญหายาเสพตดิ โดยไม่ลงั เลใจ ดว้ ยตนเอง
4. มคี วามกระตอื รอื รน้ กบั งานแกไ้ ขปัญหา 4. เร่งรบี ทาํ งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย
ยาเสพตดิ
5. มคี วามตงั้ ใจในการพฒั นางานแกไ้ ข 5. พยายามหาวธิ กี ารใหมม่ าพฒั นา
ปัญหายาเสพตดิ ใหด้ ยี ง่ิ ขน้ึ งานทท่ี าํ อยู่

3) แบบสอบถามของการอุทศิ ตนใหก้ บั การปฏบิ ตั งิ านแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ

ท่านคิดว่าท่านมีพฤติกรรมต่อไปนี้บอ่ ยแค่ไหน เป็น เป็น ไมเ่ คย
ประจาํ บางครงั้ เลย

1. การปฏบิ ตั งิ านแกไ้ ขปัญหายาเสพตดิ

1.1 ทาํ งานใหเ้ สรจ็ ลุล่วงโดยไม่คาํ นึงถงึ เวลา

1.2 ใหค้ วามสาํ คญั กบั งานในหน้าทก่ี ่อนธุระสว่ นตวั

1.3 ลงมอื ชว่ ยผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาดว้ ยตนเอง

1.4 เรง่ รบี ทาํ งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย

1.5 พยายามหาวธิ กี ารใหม่มาพฒั นางานทท่ี าํ งาน

161

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

ในการตรวจสอบความถูกต้องตามเน้ือหา ผปู้ ระเมนิ ผลจะต้องส่งทงั้ นิยาม โครงสร้างขอ้ คําถาม
และ แบบสอบถาม ใหผ้ เู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบพรอ้ มแนวทางการสรุปรายงานผลการตรวจสอบ ดงั ตวั อยา่ ง

ประเดน็ ท่ีต้องการวดั ข้อคาํ ถาม ระดบั ความสอดคลอ้ ง
สอดคล้อง ไม่แน่ใจ ไมส่ อดคลอ้ ง

1. การอุทศิ ตนในการ 1.1 ทาํ งานใหเ้ สรจ็ .......
ปฏบิ ตั งิ าน…. 1.2 ใหค้ วามสาํ คญั กบั ....
1.3 ลงมอื ชว่ ย............
1.4 เรง่ รบี ทาํ งาน.........
1.5 พยายามหาวธิ กี าร...

จากนัน้ นําผลของผูเ้ ช่ยี วชาญแต่ละท่านมารวมกนั คํานวณดชั นีท่ีแสดงถงึ ระดบั ความถูกต้อง
เชงิ เน้ือหา ซง่ึ คํานวณจากความสอดคลอ้ งระหว่างประเดน็ ทต่ี อ้ งการวดั กบั ขอ้ คาํ ถามทส่ี รา้ งขน้ึ ดชั นีทใ่ี ช้
แสดงค่าความสอดคลอ้ ง เรยี กวา่ ดชั นีความสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ คาํ ถามและวตั ถุประสงค์ (Item Objective
Congruence index: IOC) โดยใหค้ ะแนนความคดิ เหน็ ของผู้เช่ยี วชาญเป็น 3 ระดบั คอื สอดคลอ้ ง = 1
ไม่แน่ใจ = 0 ไมส่ อดคลอ้ ง = -1 จากตวั อย่างต่อไปน้ใี ชผ้ เู้ ชย่ี วชาญ 5 ทา่ น ไดผ้ ลการประเมนิ ดงั น้ี

ประเดน็ ที่ ขอ้ คาํ ถาม ความสอดคลอ้ ง IOC =
ต้องการวดั สอดคลอ้ ง ไมแ่ น่ใจ ไม่สอดคลอ้ ง Σ R/n

(1) (0) (-1)

1. การอุทศิ ตน 1.1 ทาํ งานให.้ ... 3 1 1 0.4
ในการ 1.2 ใหค้ วาม....
ปฏบิ ตั งิ าน 1.3 ลงมอื .... 4 1 - 0.8

- 2 3 -0.6

1.4 เร่งรบี .... 2 1 20

1.5 พยายาม.... 1 - 4 -0.6

สตู รทใ่ี ชใ้ นการคาํ นวณ
IOC = Σ R/n
R = ผลคณู ของคะแนนกบั จาํ นวนผเู้ ชย่ี วชาญในแต่ละระดบั ความสอดคลอ้ ง

วธิ กี ารคาํ นวณดชั นี IOC
ขอ้ 1.1 IOC = [(3x1)+(1x0)+{1x(-1)}]/5 = 0.4
ขอ้ 1.2 IOC = [(4x1)+(1x0)+{0x(-1)}]/5 = 0.8
ขอ้ 1.3 IOC = [(0x1)+(2x0)+{3x(-1)}]/5 = -0.6
ขอ้ 1.4 IOC = [(2x1)+(1x0)+{2x(-1)}]/5 = 0
ขอ้ 1.5 IOC = [(1x1)+(0x0)+{4x(-1)}]/5 = -0.6

162

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

คา่ IOC มคี ่าระหว่าง -1 ถงึ 1 หลกั เกณฑใ์ นการพจิ ารณา คอื ขอ้ คําถามทด่ี คี วรมคี า่ IOC ใกล้ 1
สว่ นขอ้ ทม่ี คี า่ IOC ระหวา่ ง 0.5 ถงึ -0.5 ควรมกี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ข

การใหต้ รวจจะเป็นลกั ษณะการพจิ ารณา 3 ประเดน็ คอื เหมาะสม ไม่เหมาะสม และ ไม่แน่ใจ
ว่าขอ้ คําถามนัน้ ๆ วดั ไดต้ รงหรอื สอดคล้องกบั นิยามหรอื ไม่ พร้อมทงั้ มชี ่องว่างให้เสนอแนะทงั้ รายข้อ
รายดา้ น และรวมทงั้ ฉบบั โดยกาํ หนดคะแนนเป็น ถา้ เหน็ ดว้ ย = 1 ไม่เหน็ ดว้ ย = -1 คา่ ทไ่ี ดจ้ ะอยรู่ ะหวา่ ง
-1 ถึง 1 และไม่แน่ใจ = 0 ค่า IOC ท่ีได้ควร >0.5 ข้ึนไป ตัวอย่างรูปแบบการนําเสนอเคร่ืองมือให้
ผเู้ ชย่ี วชาญตรวจ

2. การหาค่าอตั ราส่วนความตรงแบบ CVR วธิ กี ารหาดชั นีความเท่ยี งตรงเชิงเน้ือหาทงั้ ฉบบั
เป็นวธิ กี ารทป่ี ระยุกตจ์ ากแฮมเบลตนั และคณะ (บุญใจ ศรี สถติ ยน์ รากลู , 2547) มดี งั น้ี

ขนั้ ท่ี 1 นําแบบทดสอบพร้อมเน้ือหาสาระหรือโครงสร้างท่ีต้องการวัดไปให้ผู้เช่ียวชาญ
ไดพ้ จิ ารณาความสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ คาํ ถามกบั เน้ือหาสาระ หรอื โครงสรา้ งทก่ี าํ หนด
เกณฑเ์ พ่อื แสดงความคดิ เหน็ ดงั น้ี ให้ 1) เม่อื พจิ ารณาว่า ขอ้ คําถามไม่สอดคลอ้ งกบั
เน้ือหาสาระหรือโครงสร้าง 2) เม่ือพิจารณาว่า ขอ้ คําถามจะต้องได้รบั การปรบั ปรุง
แก้ไขอย่างมาก 3) เม่ือพิจารณาว่า ขอ้ คําถามจะต้องได้รบั แก้ไขปรบั ปรุงเล็กน้อย
4) เมอ่ื พจิ ารณาวา่ ขอ้ คาํ ถามมคี วามสอดคลอ้ งกบั เน้ือหาสาระหรอื โครงสรา้ ง

ขนั้ ที่ 2 รวบรวมความคดิ เหน็ ของผเู้ ชย่ี วชาญมาการแจกแจงเป็นตาราง
ขนั้ ที่ 3 รวมจาํ นวนขอ้ คาํ ถามทผ่ี เู้ ชย่ี วชาญทุกคนทใ่ี หค้ วามคดิ เหน็ ในระดบั 3 และ 4
ขนั้ ที่ 4 หาดชั นีความเทย่ี งตรงเชงิ เน้อื หาจากสตู รคาํ นวณ

เมอ่ื CVI เป็นดชั นีความเทย่ี งตรงเชงิ เน้ือหา
∑R3,4 เป็นจาํ นวนขอ้ ทผ่ี เู้ ชย่ี วชาญทุกคนใหร้ ะดบั 3 และ 4
N เป็นจาํ นวนขอ้ สอบทงั้ หมด

โดยมีเกณฑ์การพิจารณาความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหาท่ีใช้ได้ ตงั้ แต่ 0.8 ข้นึ ไป (Davis,1992)
และควรนําขอ้ คําถามท่ไี ด้จากขอ้ ท่ี 1 และ 2 ไปปรบั ปรุงแก้ไขเพ่ือให้เคร่ืองมือวจิ ยั มีความครอบคลุม
ตวั แปรทต่ี อ้ งการศกึ ษา ดงั ตวั อยา่ งการหาค่าดชั นีความเทย่ี งตรงเชงิ เน้อื หา

ตวั อย่างการหาค่าดชั นีความเท่ยี งตรงเชงิ เน้ือหา/โครงสร้างของแบบทดสอบฉบบั หน่ึงทม่ี ผี ล
การพจิ ารณาของผเู้ ชย่ี วชาญ ดงั แสดงขอ้ มลู ในตาราง

163

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ความคิดเหน็ ของผเู้ ช่ียวชาญ

ขอ้ คนที่ 1 คนท่ี 2 คนที่ 3 คนที่ 4 คนท่ี 5

1 2 3 4 1 2 3 4 12 3 4 1 2 3 4 12 3 4

1   

2  

3  

4   

5    

6  

7    

8    

9    

10    

11    

จากตารางวเิ คราะหพ์ บวา่ ขอ้ ทผ่ี เู้ ชย่ี วชาญแสดงความคดิ เหน็ ในระดบั 3 และ 4 ไดแ้ ก่ 2, 3, 5, 6,
7, 8, 9, 10, 11 เป็นจาํ นวน 9 ขอ้ ดงั นนั้

แทนคา่ CVI = 9/11 = 0.82
แสดงว่าแบบสอบถามฉบบั น้ีมคี า่ ความเทย่ี งตรงเชงิ เน้ือหาเท่ากบั 0.82 ผา่ นเกณฑก์ ารพจิ ารณา

2.1.2 ความถูกตอ้ งตามเกณฑส์ มั พนั ธ์ (Criterion-related validity) เป็นการหาความถกู ตอ้ ง
ของเคร่อื งมอื ว่า เครอ่ื งมอื นนั้ วดั ไดต้ รงตามพฤตกิ รรมทต่ี ้องการวดั โดยพจิ ารณาจากเกณฑท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งว่า
เคร่อื งมอื นนั้ จะใชท้ าํ นายพฤตกิ รรมของบคุ คลในสภาพเฉพาะเจาะจงตามตอ้ งการหรอื ไม่ ในการประมาณ
คา่ ความถูกต้องชนิดน้ี คาํ นวณจากความสมั พนั ธร์ ะหว่างคะแนนทไ่ี ดจ้ ากเคร่อื งมอื กบั คะแนนการวดั ทไ่ี ด้
จากเกณฑภ์ ายนอกทอ่ี สิ ระ

ความถูกตอ้ งตามเกณฑส์ มั พนั ธจ์ าํ แนกไดเ้ ป็น 2 ชนิด คอื
1. ความถูกต้องตามสภาพปัจจุบัน (Concurrent validity) หมายถึง ความถูกต้องของ

เคร่อื งมอื ท่จี ะบ่งบอกสงิ่ ทว่ี ดั ไดถ้ ูกต้องตามสภาพทแ่ี ท้จรงิ ในปัจจุบนั โดยอาศยั ความสมั พนั ธ์ระหว่าง
คะแนนของเคร่อื งมอื กบั คะแนนเกณฑซ์ ่ึงกําหนดขน้ึ ในขณะนัน้ เช่น ความถูกต้องปัจจุบนั ของแบบวดั
ทกั ษะในการปฏบิ ตั งิ านในชุมชน อาจใชเ้ กณฑส์ มั พนั ธจ์ ากการประเมนิ คุณภาพของแผนชุมชน ถา้ คะแนน
จากเคร่อื งมอื วดั ทกั ษะในการปฏิบตั งิ านในชุมชนให้ผลสอดคล้องกบั เกณฑส์ มั พนั ธแ์ สดงว่าเคร่อื งมอื น้ี
สามารถวดั ทกั ษะในการปฏบิ ตั งิ านในชมุ ชนไดต้ รงตามสภาพปัจจุบนั

164

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

2. ความถูกตอ้ งเชงิ ทาํ นายผล (Predictive validity) หมายถงึ ความสามารถของเคร่อื งมอื ท่ี
จะบ่งบอกผลทว่ี ดั ในขณะนัน้ ได้ถูกต้องตามสภาพทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ ในอนาคต โดยอาศยั ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง
คะแนนของเคร่อื งมอื กบั คะแนนเกณฑส์ มั พนั ธ์ ซง่ึ จะปรากฏในอนาคต เช่น ความถูกต้องเชงิ ทํานายผล
ของเคร่อื งมอื วดั ความสามารถในการปฏบิ ตั งิ านในชุมชนของนกั ศกึ ษาแพทยท์ ส่ี รา้ งขน้ึ วดั ความสามารถ
เม่อื เสรจ็ สน้ิ การเรยี นในชนั้ ปีท่ี 5 เพ่อื ทํานายผลการทาํ งานในโรงพยาบาลชุมชนอนาคต อาจใชค้ ะแนน
ทดสอบเจตคตหิ ลงั ปฏบิ ตั งิ านในโรงพยาบาลชุมชนแลว้ 3 ปี เป็นเกณฑส์ มั พนั ธ์ ซง่ึ การคํานวณหาความ
ถูกต้องเชงิ ทํานายผลน้ีจะต้องอาศยั เวลารอคอย เพราะคะแนนของเคร่อื งมือวดั ความสามารถในการ
ปฏบิ ตั งิ านในชุมชนของนกั ศกึ ษากบั เกณฑส์ มั พนั ธไ์ ดม้ าคนละเวลากนั

ความถูกตอ้ งตามสภาพปัจจบุ นั กบั ความถูกตอ้ งเชงิ ทาํ นายผล ต่างกนั ใน 2 ประเดน็ คอื
1) ช่วงระยะเวลาของการเกบ็ ข้อมูลท่ีเป็นเกณฑ์สมั พันธ์ ความถูกต้องตามสภาพปัจจุบนั

จะเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ทเ่ี ป็นเกณฑส์ มั พนั ธแ์ ละคะแนนเคร่อื งมอื ในเวลาเดยี วกนั สว่ นเกณฑ์
ของความถูกตอ้ งเชงิ ทํานายผลจะเกดิ ขน้ึ ภายหลงั จากการเกบ็ คะแนนเคร่อื งมอื ทต่ี ้องการ
ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง
2) ความมุง่ หมายของการทดสอบ ความถกู ตอ้ งตามสภาพปัจจุบนั เป็นการนําคะแนนเคร่อื งมอื
เทียบกบั ความสามารถในขณะนัน้ ส่วนความถูกต้องเชิงทํานายผลเป็นการนําคะแนน
เคร่อื งมอื มาพยากรณ์ความสามารถหรอื การกระทาํ ในอนาคต
ในการประมาณค่าความถกู ตอ้ งตามเกณฑส์ มั พนั ธท์ งั้ 2 ชนดิ สามารถวเิ คราะหไ์ ดโ้ ดยนําคะแนน
ท่ีได้จากการเคร่ืองมือวัดท่ีทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง มาคํานวณค่าสัมประสิทธิส์ หสัมพันธ์กับ
เกณฑ์สมั พันธ์ สูตรท่ีใช้เป็นสูตรคํานวณสมั ประสิทธิส์ หสมั พนั ธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s product-
moment correlation coefficient)

n∑ xy − ∑ x∑ y

[ ]rxy = [n∑ x2 − (∑x)2 ]n∑ y2 − (∑ y)2

เมอ่ื rxy = สมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์
N = จาํ นวนตวั อยา่ ง
X = คะแนนจากเคร่อื งมอื
Y = คะแนนจากเกณฑส์ มั พนั ธ์
2.1.3 ความถูกต้องเชงิ โครงสรา้ ง (Construct validity) เป็นความถูกต้องทแ่ี สดงให้เหน็ ว่า
เคร่อื งมอื นนั้ สามารถวดั ไดค้ รอบคลุมขอบเขต ความหมาย หรอื ครอบตามคุณลกั ษณะประจาํ ตามทฤษฎี
ทใ่ี ชส้ รา้ งเครอ่ื งมอื หรอื ไม่ โดยปกตคิ วามถกู ตอ้ งเชงิ โครงสรา้ งจะใชก้ บั ตวั ชว้ี ดั ทเ่ี ป็นสภาวะสนั นษิ ฐานหรอื
ตวั ช้วี ดั แฝง (Latent trait) เช่น เจตคติ ความเช่อื ค่านิยม เพ่อื ตรวจสอบว่าแบบวดั นนั้ วดั คุณลกั ษณะได้
ตรงตามทฤษฎี หรอื ตามสภาวะสนั นิษฐานทส่ี รา้ งขน้ึ หรอื ไม่ เช่น คุณภาพชวี ติ ของผปู้ ่ วย อาจสนั นิษฐาน
วา่ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบหลกั 3 ส่วน คอื สภาวะทางกาย สภาวะทางจติ ใจ และ สภาวะทางความสมั พนั ธ์
ทางสงั คม

165

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

วธิ ปี ระมาณคา่ ความถูกตอ้ งเชงิ โครงสรา้ ง ไดแ้ ก่
1) วธิ กี ารหลายคุณลกั ษณะและหลายวธิ ี (Multi-trait multi-method) เป็นวธิ ที ใ่ี ชห้ าความถกู ต้อง
เม่อื มีคุณลกั ษณะ 2 คุณลกั ษณะข้ึนไป แต่ละคุณลักษณะถูกวดั โดยเคร่ืองมือตัง้ แต่ 2 ชุดข้ึนไป โดย
เคร่อื งมอื คนละชนิดท่วี ดั คุณลกั ษณะเดยี วกนั จะมคี ่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์สงู สว่ นเคร่อื งมอื คนละชนิด
ท่ีวดั คุณลกั ษณะต่างกันจะมีค่าสมั ประสทิ ธิส์ หสมั พนั ธ์ต่ํา การประมาณค่าสมั ประสทิ ธิค์ วามถูกต้องน้ี
ตอ้ งอาศยั เคร่อื งมอื หลายชดุ ซง่ึ ยุ่งยากในทางปฏบิ ตั จิ งึ มกั ไม่นิยมใช้
2) วิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor analysis) แบบ Exploratory factor analysis หรือ
แบบ Confirmatory factor analysis เป็นการพจิ ารณาความถูกต้องเชงิ สร้างสรรคโ์ ดยใชว้ ธิ กี ารทางสถิติ
ทเ่ี รยี กว่า การวเิ คราะหอ์ งคป์ ระกอบมาช่วยในการวเิ คราะห์ หากขอ้ คาํ ถามทงั้ หมดแสดงผลไดด้ ว้ ยจาํ นวน
องคป์ ระกอบทก่ี าํ หนดในทฤษฎที น่ี ํามาสรา้ งตงั้ แต่ตน้ แลว้ แสดงวา่ เคร่อื งมอื นัน้ มคี วามถูกตอ้ งเชงิ สรา้ งสรรค์
วธิ กี ารพจิ ารณาองคป์ ระกอบแบบ Exploratory factor analysis ให้พจิ ารณาจํานวนองคป์ ระกอบจากค่า
ความแปรปรวนร่วมของตัวช้ีวัดในแต่ละองค์ประกอบ (Eigen) จํานวนองค์ประกอบจะพิจารณาจาก
องคป์ ระกอบทม่ี คี ่า Eigen มากกว่า 1 ขน้ึ ไปเท่านนั้ สว่ นแบบ Confirmatory factor analysis จะพจิ ารณา
จาก Goodness of fit index (GFI NFI NNFI) โดยค่าของดชั นีเหล่าน้ีควรมคี ่าตงั้ แต่ 0.9 ขน้ึ ไป
2.2 การตรวจสอบความเที่ยงของเครอ่ื งมอื
การวัดความเช่ือถือได้ (Reliability) ท่ีใช้กันทัว่ ไปคือวิธีการวัดความสอดคล้องภายใน
(Internal consistency) เพ่อื ดเู น้ือหาของมาตรวดั มคี วามสอดคลอ้ งไปในเรอ่ื งเดยี วกนั และวธิ กี ารวดั ความ
คงทข่ี องเคร่อื งมอื (Stability) โดยวธิ กี ารวดั แล้ววดั ซ้ํา หรอื การทดสอบซ้ํา (Test-retest reliability) หรอื
วธิ กี ารวดั ความเช่อื ถอื ไดโ้ ดยใชว้ ธิ กี ารแบง่ ครง่ึ (Spilt-halves method)
องคป์ ระกอบทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อความถูกตอ้ งและความเชอ่ื ถอื ไดข้ องขอ้ มลู
- ผูว้ ดั ผลจากการวดั อาจแตกต่างได้เน่ืองจากความแตกต่างของวธิ กี ารวดั ความพรอ้ ม ความรู้
และ ความชาํ นาญของผวู้ ดั จาํ นวนคนทต่ี อ้ งวดั สมั พนั ธภาพระหว่างผวู้ ดั กบั ผถู้ กู วดั
- ผู้ถูกวัด สภาพร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ระยะเวลาของการวดั ท่าทีต่อการวัด และ ผลจาก
การเจบ็ ป่วย อาจทาํ ใหผ้ ลทไ่ี ดจ้ ากการวดั เปลย่ี นแปลงได้
- เคร่อื งมอื วดั ได้แก่ ความถูกต้องแม่นยําของเคร่อื งมอื ความยากง่ายในการใชง้ านเคร่อื งมอื
ทแ่ี ตกต่างกนั จะสง่ ผลใหค้ ่าทไ่ี ดไ้ ม่เหมอื นกนั
- สภาพแวดลอ้ มของการวดั เชน่ อุณหภมู ิ แสงสว่าง และ อ่นื ๆ
การทจ่ี ะรวู้ ่าเคร่อื งมอื ทส่ี รา้ งขน้ึ มานนั้ มคี วามเช่อื มนั่ หรอื ไม่นนั้ จะต้องมกี ารตรวจสอบเคร่อื งมอื
ความเทย่ี งทน่ี ยิ มใชก้ นั ทวั่ ไป 3 วธิ ี ไดแ้ ก่

2.2.1 การวดั ความคงท่ี (Measure of stability) แบบน้ีจะใชข้ ้อมูลจากการวดั คนกลุ่ม
เดียวกนั ซ้ํา 2 ครงั้ โดยเว้นระยะห่างพอสมควร แล้วนําผลการวดั ทงั้ 2 ครงั้ มาหาค่าสหสมั พันธ์กัน
ดว้ ยสตู รการหาค่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธข์ องเพยี รส์ นั (Pearson product moment correlation coefficient)
ค่าทไ่ี ดอ้ ยู่ระหว่าง 0-1 ค่ายง่ิ สงู ยงิ่ ดี ค่าทไ่ี ดค้ วร > 0.5 จงึ จะนําเคร่อื งมอื ไปใชไ้ ด้ การคํานวณดว้ ยวธิ อี ่นื

166

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ท่ีจะกล่าวต่อไปก็ต้องได้ค่าเท่าน้ีเช่นกนั ในทางปฏิบัติการคํานวณค่าความเท่ียงด้วยวิธีน้ีแทบไม่มี
เพราะตอ้ งวดั 2 ครงั้ ทาํ ใหม้ คี วามยงุ่ ยาก

2.2.2 การวัดความเท่าเทียม (Measure of equivalence) เป็นการใช้ข้อมูล 2 ชุด
จากเคร่ืองมือ 2 ฉบบั ท่ีมีความเท่าเทียมกันหรือคู่ขนาน แต่ใช้ข้อคําถามต่างกนั แล้วนําผลท่ีวัดได้
มาคาํ นวณหาค่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธด์ ว้ ยสตู รของเพยี รส์ นั เชน่ กนั ในทางปฏบิ ตั กิ ารคาํ นวณหาค่าความ
เทย่ี งดว้ ยวธิ นี ้ีไมค่ อ่ ยมี เพราะการสรา้ งเคร่อื งมอื แบบคขู่ นานใหเ้ ท่าเทยี มกนั จรงิ ๆ ทาํ ไดย้ ากมาก

2.2.3 การวดั ความสอดคลอ้ งภายใน (Measure of internal consistency) วธิ นี ้ใี ชข้ อ้ มลู
2 ชดุ เช่นกนั แต่ไดจ้ ากการวดั ครงั้ เดยี ว มคี วามสะดวกกว่า 2 วธิ แี รก และแบ่งย่อยออกเป็น 3 วธิ ไี ดแ้ ก่

1) วิธแี บ่งคร่งึ (Split-half) นําผลการวดั จากเคร่อื งมอื มาแบ่งคร่งึ ใหข้ อ้ มูลเป็น 2 ชุด
จะแบ่งไดโ้ ดยใชข้ อ้ คู่-ค่ี หรอื ครง่ึ แรก-ครง่ึ หลงั กไ็ ด้ ถา้ ขอ้ สอบไม่จดั ลําดบั ไวแ้ ต่การ
แบ่งขอ้ ค่-ู ค่ี จะเป็นตวั แทนขอ้ สอบไดด้ กี ว่า แลว้ นําขอ้ มูลทงั้ 2 ชุด มาคํานวณดว้ ย
สตู รเพยี ร์สนั เม่ือได้ค่าเท่าไรแล้วจะใชส้ ูตรของสเปียร์แมน บราวน์ (Spearman-
Brown) ปรบั ค่าอกี ครงั้ หน่ึงเพราะผลท่ไี ดจ้ ากสูตรของเพยี ร์สนั เป็นค่าความเทย่ี ง
เพยี งครง่ึ ฉบบั เท่านนั้

2) วธิ ขี องคเู ดอรแ์ ละรชิ ารด์ สนั (Kuder & Richardson: KR-20, KR-21) ใชส้ าํ หรบั หาคา่
ความเท่ียงท่ีการวัดมีค่า 2 ระดบั คือ 0 กบั 1 เรียกว่าสูตร KR-20 และ KR-21
โดยสตู ร KR-20 ใช้กบั เคร่อื งมอื หรอื แบบสอบทม่ี คี วามยากไม่เท่ากนั ได้ ส่วนสูตร
KR-21 ใชก้ บั เคร่อื งมอื หรอื แบบสอบทม่ี คี วามยากเท่ากนั ผลการคํานวณจากสตู ร
KR-20 จะไดค้ ่าความเทย่ี งสงู กว่าเสมอ เพราะขอ้ สอบมกั จะมคี วามยากไม่เท่ากนั
เมอ่ื นํามาใชก้ บั สตู ร KR-21 จงึ ผดิ ขอ้ ตกลง ทาํ ใหไ้ ดค้ ่าน้อยกวา่

วธิ ีของคูเดอร์ รชิ าร์ดสนั ใช้สําหรบั การประมาณค่าความเช่อื ถือได้ของเคร่อื งมือ สูตรท่เี ป็น
ทน่ี ยิ มและใชก้ นั อย่างกวา้ งขวาง คอื K-R 20

ขอ้ ตกลงเบอ้ื งตน้ ของสตู ร K-R 20 คอื
ก. การให้คะแนนแต่ละขอ้ 1 คะแนน เม่อื ตอบถูก และให้ 0 คะแนน เม่อื ตอบผดิ ไม่ทราบ
ไมต่ อบ
ข. ขอ้ คาํ ถามในเคร่อื งมอื จะต้องมลี กั ษณะเป็นเอกพนั ธ์ (Homogeneous) คอื วดั คุณลกั ษณะ
เดยี วกนั

สูตร K-R 20 น้ี เหมาะท่ีจะหาความเช่ือถือได้ของแบบทดสอบความสามารถ (Power test)
เท่านัน้ ไม่เหมาะทจ่ี ะหาค่าความเช่อื ถือได้ของแบบทดสอบความเร็ว (Speed test) เพราะค่า p และ q
ของแต่ละขอ้ จะตอ้ งเป็นคา่ ทไ่ี ดจ้ ากการทผ่ี สู้ อบทกุ คนมโี อกาสทาํ ขอ้ นนั้ แลว้

 n n 1 1 − Σpq 
= Sr − 
2 

t

167

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน = สมั ประสทิ ธคิ์ วามเช่อื ถอื ไดข้ องเครอ่ื งมอื
= จาํ นวนขอ้ ในเครอ่ื งมอื
เมอ่ื r = สดั สว่ นของผตู้ อบถูกในแต่ละขอ้
n = สดั สว่ นของผตู้ อบผดิ ในแต่ละขอ้
p = ความแปรปรวนของคะแนนรวมของผตู้ อบทงั้ หมด
q

S2
t

การหาค่าความเช่อื ถอื ไดแ้ บบน้ี เป็นการหาความสอดคลอ้ งกนั ระหว่างขอ้ คาํ ถาม ซง่ึ ดําเนินการ
ตอบครัง้ เดียวและใช้เคร่ืองมือชุดเดียว ความสอดคล้องกันระหว่างข้อน้ีได้รับอิทธิพลจากแหล่ง
ความแปรปรวนคลาดเคล่ือน 2 แหล่ง คือ เน้ือหาท่ีสุ่ม และ ความเป็นเอกพนั ธ์ของพฤติกรรมท่ีสุ่ม
ยงิ่ ขอ้ คําถามมคี วามเป็นเอกพนั ธม์ าก ความสอดคล้องกนั ระหว่างขอ้ กย็ ิ่งสูง ค่าความเช่ือถือได้แบบน้ี
มคี ่าประมาณไดก้ บั คา่ เฉลย่ี ของสมั ประสทิ ธคิ์ วามเช่อื ถอื ไดท้ ไ่ี ดจ้ ากการแบง่ ครง่ึ และจากเครอ่ื งมอื ต่างกนั

ตวั อยา่ ง การหาคา่ ความเชอื่ ถอื ไดจ้ ากสตู ร K-R 20

ความรู้ ทราบ ไมแ่ น่ใจ ไม่ทราบ
ใช่ ไม่ใช่
� �
อาการมะเรง็ ปากมดลูก �� � �
1. ไมม่ อี าการแสดงในระยะแรก � �
� �
2. มเี ลอื ดออกหลงั มเี พศสมั พนั ธ์ �� � �
� �
3. มเี ลอื ดออกกะปิดกะปรอยระหวา่ ง �� � �
รอบเดอื น � �

4. ตกขาวผดิ ปกตหิ รอื มเี ลอื ดปน ��

5. ไขส้ งู ๆ ตํา่ ๆ ��

สาเหตขุ องมะเรง็ ปากมดลูก � �
6. การตดิ เช้อื Human papilloma virus

7. พนั ธุกรรม ��

8. รบั ประทานอาหารสกุ ๆ ดบิ ๆ ��

จากแบบสอบถามจะเห็นได้ว่ามีทางเลือกของคําตอบ 4 แบบ คือ ใช่ ไม่ใช่ ไม่แน่ใจ และ
ไม่ทราบ การให้รหสั นิยมให้ ใช่ = 1 ไม่ใช่ = 2 ไม่แน่ใจ = 3 และไม่ทราบ = 4 แต่เม่อื ใหค้ ะแนนขอ้ ท่ี
ตอบถกู ใหค้ ะแนน 1 และ ขอ้ ทต่ี อบผดิ ไมท่ ราบ ไมแ่ น่ใจ ใหค้ ะแนน 0

การหาค่าความเช่อื ถือได้ควรใช้ สูตร KR-20 โดยมผี ู้ตอบ 6 คน ด้วยขอ้ คําถามจํานวน 8 ขอ้
ทม่ี ลี กั ษณะคะแนนแบบ 0, 1

168

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

ขอ้ คาํ ถาม

คนที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 รวม

1 11 0 1 1 1 1 1 7
2 11 1 1 0 0 1 0 5
3 01 0 1 1 0 0 1 4
4 11 1 0 1 0 0 0 4
6 00 0 1 1 0 0 0 2

จาํ นวนผตู้ อบใช่ 35 4 5 4 2 2 2 27

สดั ส่วนทีต่ อบใช่ (p) .50 .83 .67 .83 .67 .33 .33 .33
สดั ส่วนทีต่ อบใช่ (q) .50 .17 .33 .17 .33 .67 .67 .67

pq .25 .14 .22 .14 .22 .22 .22 .22 Σpq =1.63

n=8 St = 1.50 S2 = 2.25
t

 n n  − SΣpq 
 − 1 1 2 
r =  t 

= (8/7)(2.25-1.63)/2.25
= (1.14)(.62/2.25) = 0.314
คา่ ความเช่อื ถอื ไดข้ องเครอ่ื งมอื ชดุ น้ีเท่ากบั 0.314

3) วธิ สี มั ประสทิ ธอิ์ ลั ฟา (Alpha-coefficient : α ) ใชส้ าํ หรบั หาค่าความเทย่ี งทก่ี ารวดั
มคี า่ มากกว่า 2 ระดบั โดยครอนบคั (Cronbach, 1970) ไดพ้ ฒั นาสตู ร KR-20 มาใช้
กบั เคร่อื งมอื ทว่ี ดั มากกว่า 2 ระดบั เช่น ชนิดมาตรประมาณค่า 5 ระดบั

สําหรับขนั้ ตอนการตรวจสอบความเท่ียง ทําได้โดยนําเคร่ืองมอื ท่จี ะตรวจสอบไปทดลองใช้
กับกลุ่มท่ีมีลักษณะเดียวกัน กลุ่มเดียวกับกลุ่มตัวอย่างท่ีให้ข้อมูลในการวิจัยประมาณ 30-40 คน
โดยจะไม่ใชก้ ลุ่มน้ีมาเป็นกลุ่มตวั อย่างอกี ในขนั้ ตอนเกบ็ ขอ้ มลู จรงิ แล้วนําผลการวดั มาใชก้ บั สูตรต่าง ๆ
ตามความเหมาะสมของเคร่อื งนนั้ ค่าทไ่ี ดอ้ ยรู่ ะหว่าง -1 ถงึ 1 คา่ ทใ่ี ชไ้ ดค้ วร > 0.6 ขน้ึ ไป

วิธีสมั ประสิทธ์ิแอลฟา (Coefficient - α ) วธิ นี ้ีไดร้ บั การพฒั นาจาก Cronbach โดยไดพ้ ฒั นา
สตู ร K-R 20 มาเป็นสมั ประสทิ ธแิ์ อลฟา เพ่อื ใหใ้ ชไ้ ดก้ บั การให้คะแนนท่ไี ม่เป็นระบบ 0-1 เช่น แบบวดั
ความพงึ พอใจ แบบประเมนิ การเรยี นการสอน มาตรวดั แบบประเมนิ ค่า (Rating scale) ฯลฯ

169

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

ซง่ึ มสี ตู รในการคาํ นวณดงั น้ี

ssα Σ 2
n 1 − i 
=  n −1  2 

t

s2 = ความแปรปรวนของคะแนนแต่ละขอ้
i

s2 = ความแปรปรวนของคะแนนรวมของแต่ละคน
t

ตวั อย่าง การประมาณค่าความเชอ่ื ถอื ไดโ้ ดยใชส้ ตู ร Cronbach - α

ระดบั ความเหน็

ขอ้ ความ เหน็ เหน็ ไม่แน่ใจ ไมเ่ หน็ ไมเ่ หน็
ด้วย ดว้ ย ดว้ ย ดว้ ย
อย่างยิ่ง อยา่ งยิ่ง

1. การดม่ื สรุ าเป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพ
2. การดม่ื สรุ าเป็นทร่ี งั เกยี จของสงั คม
3. การสรุ าทาํ ใหส้ น้ิ เปลอื ง

จากแบบสอบถามจะเห็นได้ว่ามีทางเลือกของคําตอบเป็ นแบบ Likert scale 5 ระดับ คือ
เหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ เหน็ ดว้ ย ไมแ่ น่ใจ ไม่เหน็ ดว้ ย และ ไม่เหน็ ดว้ ยอย่างยง่ิ การใหค้ ะแนนแบง่ เป็น 2 กรณี

ข้อความทางบวกนยิ มให้ เหน็ ดว้ ยอย่างยงิ่ = 5 คะแนน
ข้อความทางลบนยิ มให้
เหน็ ดว้ ย = 4 คะแนน
ไม่แน่ใจ = 3 คะแนน
ไมเ่ หน็ ดว้ ย = 2 คะแนน
ไมเ่ หน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ = 1 คะแนน
เหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ = 1 คะแนน

เหน็ ดว้ ย = 2 คะแนน
ไม่แน่ใจ = 3 คะแนน
ไมเ่ หน็ ดว้ ย = 4 คะแนน
ไมเ่ หน็ ดว้ ยอยา่ งยงิ่ = 5 คะแนน

170

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

การประมาณค่าความเชื่อถือได้

คน ขอ้ คาํ ถาม รวม
ที่ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10

1 1242531244 28
2 4124211211 19
3 3454512345 36
4 1234543213 28
5 2145124432 28

6 3415432112 26
7 5123451234 30
8 5543212345 34
9 2331122421 21
10 4 4 5 4 5 4 5 5 5 3 45

Si 1.5 1.4 1.3 1.3 1.7 1.3 1.3 1.2 1.4 1.1

S2 2.2 2.0 1.7 1.7 2.9 1.7 1.7 1.4 2.0 1.2 SΣ 2 = 18.50
i i

ss= n 11 Σ 2
 − − i 
n 2 
α
t

= (10/10-1)[1-(18.50/50.42)]
= (10/9)(1-0.366)
= 0.704
ค่าสมั ประสทิ ธคิ์ วามเช่อื ถอื ไดข้ องเครอ่ื งมอื ชดุ น้เี ทา่ กบั 0.704
หากค่าท่ีได้ติดลบแสดงว่าความแปรปรวนของคะแนนรวม มีค่าต่ํากว่าผลรวมของความ
แปรปรวนรายขอ้ อาจเป็นเพราะการแปลงรหสั ในคาํ ถามเชงิ บวกและเชงิ ลบมคี วามผดิ พลาด ซง่ึ ไม่ส่งผล
ต่อคะแนนรายขอ้ แต่สง่ ผลต่อคะแนนรวม

171

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

 แนวคิดทฤษฎี ประเดน็ เนื้อหา 

แบบทดสอบ  แบบสงั เกต

 
แบบสอบถาม
หลกั สตู ร เน้ือหา/ ประเดน็ พฤตกิ รรม
จดุ ประสงค์ 

 ทฤษฎี
นยิ าม
นิยาม 

 นยิ าม
รา่ งคาํ ถาม
ร่างคาํ ถาม 

 ร่างคาํ ถาม
ตรวจสอบดว้ ยตนเอง
ตรวจสอบดว้ ยตนเอง  (ทป่ี รกึ ษา)
(ทป่ี รกึ ษา)
ตรวจสอบดว้ ยตนเอง 
 (ทป่ี รกึ ษา)
ผเู้ ชย่ี วชาญ
ผเู้ ชย่ี วชาญ 

 ผเู้ ชย่ี วชาญ
ทดลองใช้ 30-50 คน
ทดลองใช้ 30-50 คน 

 ทดลองใช้ 30-50 คน
ความตรง ความเทย่ี ง ความ
ความตรง ความเทย่ี ง ความ  ยาก อํานาจจาํ แนก
ยาก อาํ นาจจาํ แนก
ความตรง ความเทย่ี ง ความ 
 ยาก อํานาจจาํ แนก
ปรบั ปรุง
ปรบั ปรงุ 

 ปรบั ปรุง
นําไปใชจ้ รงิ
นําไปใชจ้ รงิ 

นําไปใชจ้ รงิ

รปู ท่ี 21 สรปุ ขนั้ ตอนการสรา้ งและพฒั นาเครอ่ื งมอื วจิ ยั

2.3 ความยากง่าย เป็นการคํานวณหาค่าของแบบสอบถามท่มี ีการตอบถูกผิด มคี ่าระหว่าง
0 ถึง 1 ขอ้ คําถามท่ีใช้ได้มีค่าความยากระหว่าง 0.2 ถึง 0.8 ข้อท่มี ีความยากสูงแสดงว่าง่าย ข้อท่ีมี
ความยากสูงถงึ 1 แสดงว่าง่ายมาก ผูส้ อบตอบถูกทุกคน ขอ้ ทม่ี คี ่าความยากต่ําแสดงว่าผู้สอบตอบถูก
น้อยคน ถา้ ค่าความยากมคี ่าเป็น 0 แสดงวา่ ขอ้ นนั้ ตอบผดิ ทกุ คน

2.4 อาํ นาจจาํ แนก เป็นคา่ ทแ่ี สดงถงึ การจาํ แนกคนกลมุ่ เกง่ กบั กล่มุ อ่อนออกจากกนั มคี ่าระหวา่ ง
-1 ถงึ 1 ขอ้ คาํ ถามทเ่ี หมาะสมตอ้ งมคี ่าน้ีระหว่าง 0.2 ถงึ 1 ซง่ึ ในกรณีเป็นแบบสอบถามทถ่ี ามความเหน็
จะใชว้ ธิ กี ารทางสถติ โิ ดยอาจใชเ้ ทคนิค 25% หรอื หาค่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์ แต่ถ้าถามความจรงิ จะใช้
วธิ กี ารทางสถติ ไิ ม่ไดต้ อ้ งอาศยั การวเิ คราะหเ์ ชงิ เหตุผลของผเู้ ชย่ี วชาญ

172

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

2.3 การประมาณคา่ ความเช่ือถอื ได้ของแบบสงั เกต
ลกั ษณะของแบบสงั เกตทเ่ี ป็นแบบ Check-list การตรวจสอบหาความเช่อื ถอื ไดเ้ ป็นการคํานวณ
หาค่าความเช่ือถือได้ของผู้สงั เกต เพราะใช้การเก็บขอ้ มูลของผู้สงั เกต ผู้สงั เกตจงึ จดั เป็นเคร่ืองมือ
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลควบคู่กนั แบบสงั เกต ความเช่อื ถือได้ท่เี กดิ ข้นึ เป็นความเช่อื ถือได้ท่เี กดิ จาก
ผูส้ งั เกตตัง้ แต่ 2 ท่านทใ่ี ชแ้ บบสงั เกตและสงั เกตสง่ิ เดียวกนั มสี ูตรการคํานวณท่ีไม่ยุ่งยากเหมอื นของ
แบบสอบถาม คา่ ความเช่อื ถอื ไดท้ ไ่ี ดเ้ รยี กว่า สมั ประสทิ ธคิ์ วามสอดคลอ้ ง มสี ตู รดงั น้ี

สมั ประสิทธ์ิความสอดคลอ้ ง = จาํ นวนครงั้ ทบ่ี นั ทกึ ตรงกนั
จาํ นวนครงั้ ทบ่ี นั ทกึ ตรงกนั + จาํ นวนครงั้ ทบ่ี นั ทกึ ต่างกนั

ค่าสถิติท่ีนิยมใช้ในการวิจัยประเมินผลสุขภาพมักใช้ค่า Kappa หรือ Cohen’s Kappa (K)
ตวั อย่างเช่น จากการตรวจคดั กรองประชาชนในชุมชนจํานวน 800 คน โดยใชแ้ พทย์ 2 คน ท่เี ป็นอสิ ระ
ต่อกนั พบขอ้ มลู ดงั น้ี

แพทยค์ นที่ 1 แพทยค์ นที่ 2 รวม

ไม่ป่ วย ไม่ป่ วย ป่ วย 528
ป่ วย 272
336 192 800
รวม 132 240

468 332

จะพบวา่ มคี วามเหน็ พอ้ งอยทู่ งั้ สน้ิ 336+240=576 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 72 (576/800)
Kappa หรอื Cohen’s Kappa (K) จะใชต้ าราง Crosstabs ขนาด r x k นัน่ คอื ตวั ช้ีวดั เชงิ กลุ่ม
แต่ละตวั จะต้องมจี ํานวนค่าเท่ากนั หรอื มจี าํ นวน Row หรอื Column เท่ากนั ตวั อย่างจากตารางขา้ งต้น
จงึ เป็นตารางขนาด 2 x 2 (r=2 k=2)

rr
∑ ∑n Oii − rici
i =1 i =1

n2 − ri ci
สตู รทใ่ี ช้ ∑K =

ค่าสถิติ Kappa ท่ีได้เป็นค่าท่ีใช้วดั ความสอดคล้อง และเม่ือต้องการทดสอบสมมติฐานของ
ความสอดคลอ้ งจะสรา้ งสถติ ทิ ดสอบ t (โดย Asymptotic standard error)

ถา้ K > .75 แสดงวา่ มคี วามสอดคลอ้ งกนั อยา่ งดมี าก
.4 ≤ K ≤ .75 แสดงว่า มคี วามสอดคลอ้ งกนั ปานกลาง
K < .4 แสดงว่า มคี วามสอดคลอ้ งกนั ไม่ดนี กั หรอื ไมค่ ่อยสอดคลอ้ งกนั

173

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

7.9.2 เครอ่ื งมือในเชิงคณุ ภาพ
เกณฑป์ ระเมนิ คุณภาพในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หลกั ฐานและผลงานวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพโดยรวม
ทส่ี าํ คญั คอื ความถูกตอ้ ง/เชอ้ื ถอื ได้ (Trustworthiness) ซง่ึ ประกอบดว้ ย

1) ความวางใจ (Credibility)
2) ความเชอ่ื ใจ (Dependability)
3) ความรบั รอง (Confirm ability)
4) ความจรงิ แท้ (Authenticity)
ในท่ีน้ี จะเสนอรายละเอียดเฉพาะเกณฑด์ ้านความถูกต้อง/เช่อื ถือได้เท่านัน้ ส่วนเกณฑ์ด้าน
ความจรงิ แท้ผู้อ่านทส่ี นใจสามารถศกึ ษาเพมิ่ เติมได้จาก Lincoln & Guba (1985) และ Guba & Lincoln
(1989)
ความวางใจ เป็ นเกณฑ์การศึกษาว่าข้อมูลหลักฐานและผลการศึกษาวิจัยท่ีได้ตรงกับ
ความเป็นจรงิ (Truth value) ทส่ี รรคส์ รา้ งขน้ึ มาจากชุมชนและสงั คม (Social construction) ตามการรบั รู้
ของบุคคลหรอื กลุ่มบุคคลผูใ้ ห้ขอ้ มูลสาํ คญั (Key informant) หรอื ไม่ อย่างไร นอกจากน้ีการทผ่ี ปู้ ระเมนิ
สามารถพรรณนาถ้อยคําถ่ายทอดความรู้ความจรงิ อนั หลากหลายตามมุมมองของผู้ให้ขอ้ มูลได้อย่าง
ครบถ้วนและสอดคล้องกนั แสดงว่าผวู้ จิ ยั สามารถเกบ็ รวบรวมและการตคี วามหมายขอ้ มลู หลกั ฐานทไ่ี ด้
จากภาคสนามเป็นไปอย่างวางใจได้ การเพม่ิ ความวางใจของขอ้ มลู เชงิ คุณภาพ กระทาํ ได้ ดงั น้ี
1. การขยายเวลาศกึ ษาในภาคสนามยาวนานขน้ึ (Prolonged persistent fieldwork) การเข้า
ไปศึกษาวิจยั ในภาคสนามเป็นระยะเวลายาวนาน คือ ปัจจัยสําคญั อย่างย่ิงท่ีช่วยให้ผู้วิจัยมีโอกาส
“สมั ผสั ” สภาวการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ และ “เขา้ ถึง” สภาพความเป็นจรงิ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ประเดน็ คําถาม
การวิจัยท่ีต้องการสืบค้นหาคําตอบได้มากยิ่งข้ึน เป็นผลให้มัน่ ใจได้ว่าข้อมูลหลักฐานและผลของ
การศกึ ษาวจิ ยั (Multiple realities) ทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชมุ ชนหรอื สงั คม
2. การตรวจสอบถกู ตอ้ งโดยบคุ คลผเู้ กย่ี วขอ้ ง (Member checks) เป็นวธิ กี ารใหบ้ ุคคลผเู้ กย่ี วขอ้ ง
หรอื เป็นสมาชกิ ในกลุ่มผู้ใหข้ ้อมูลหลกั ฐานต่าง ๆ ในภาคสนามวจิ ยั (Audience members) ตรวจสอบ
ความถูกต้องและความครบถ้วนของขอ้ มูลหลกั ฐาน และผลการศกึ ษาวจิ ยั ท่สี รรคส์ รา้ งขน้ึ อย่างต่อเน่ือง
ตลอดกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริง ทัง้ ท่ีกระทําอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เช่น
การประชมุ รว่ มกบั กลุม่ บุคคลผใู้ หข้ อ้ มลู สาํ คญั เพ่อื รอ้ งขอใหแ้ สดงทศั นะต่อขอ้ มลู หลกั ฐานทเ่ี กบ็ รวบรวมได้
ว่าสามารถสะทอ้ นสภาพความเป็นจรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ตามการรบั รขู้ องกลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มลู ไดอ้ ย่างถูกต้อง ครบถว้ น
และเพยี งพอหรอื ไม่ เพยี งใด
3. การตรวจสอบโดยกลุ่มเพ่อื นผู้วิจยั (Peer examination) เป็นวิธกี ารร้องขอให้บุคคลผู้เป็น
เพ่อื นผวู้ จิ ยั ดว้ ยกนั ใหร้ ายละเอยี ด วพิ ากษ์วจิ ารณ์ แสดงขอ้ คดิ เหน็ หรอื ตงั้ ขอ้ สงั เกตใด ๆ เกย่ี วกบั ขอ้ มลู
หลกั ฐาน รวมทงั้ หวั ข้อสรุป กลุ่มหวั ข้อสรุป และแบบแผน อนั เป็นแก่นสาระท่ีวิเคราะห์ได้จากข้อมูล
หลกั ฐานทเ่ี กบ็ รวบรวมไดจ้ ากภาคสนาม เพ่อื กระตุน้ เตอื นและกาํ กบั บทบาทผวู้ จิ ยั ใหท้ าํ การเกบ็ รวบรวม
และวเิ คราะห์ข้อมูลโดยปราศจากอคติหรอื ความลําเอียงใด ๆ และเพ่อื ตรวจสอบสมมติฐานชวั่ คราว

174

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

(Working hypothesis) ต่าง ๆ ทอ่ี าจเผยขน้ึ ภายในใจของผวู้ จิ ยั ในระหว่างเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะหข์ อ้ มลู
ในภาคสนาม เป็นผลใหก้ ารดาํ เนนิ กจิ กรรมวจิ ยั ดงั กล่าวในภาคสนามใหเ้ ป็นไปดว้ ยความถูกตอ้ งเหมาะสม

4. การเช่อื มโยงแบบสามเสา้ (Triangulation) เป็นวธิ กี ารทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่าขอ้ มลู หลกั ฐานและ
ผลการวจิ ยั ทอ่ี าศยั การตคี วามหมายของขอ้ มลู หลกั ฐานทเ่ี กบ็ รวบรวมไดม้ คี วามวางใจไดว้ า่ มคี วามถกู ตอ้ ง
ตรงกบั ความเป็นจริงท่ีสรรค์สรา้ งข้นึ ในทางปฏบิ ตั ิวธิ กี ารน้ีกระทําได้โดยใช้วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล
จากหลากหลายแห่ง (Data triangulation) หลากหลายวธิ ี (Methodological triangulation) และโดยผวู้ จิ ยั
หลากหลายคน (Investigator triangulation) การตรวจสอบความวางใจดว้ ยวธิ กี ารน้ีชว่ ยใหผ้ วู้ จิ ยั สามารถ
“เขา้ ถงึ ” ขอ้ เทจ็ จรงิ (Fact) หรอื ปรากกฎการณ์ต่าง ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั คาํ ถามการวจิ ยั ตามประเดน็ ย่อย ๆ
ท่ีแยกจากหวั ข้อปัญหาหรอื โจทย์การวจิ ยั ท่ีต้องการสืบค้นหาคําตอบได้อย่างละเอียดครบถ้วน และ
ลุ่มลกึ มากยงิ่ ขน้ึ

ความเช่ือใจ เป็นเกณฑ์ประเมนิ ว่าขอ้ มูลหลกั ฐานท่ีได้จากภาคสนามและผลการศกึ ษาวจิ ัย
ท่ีสรรค์สร้างข้ึนจากกระบวนการแสวงหาความรู้ความจริงดําเนินไปอย่างสมเหตุสมผล (Logical)
มนั่ คง (Stable) สามารถติดตามตรวจสอบได้ (Traceable) มีเอกสารและหลกั ฐานร่องรอยสนับสนุน
(Documented) หรอื ไม่ เพยี งใด ความวางใจตามฐานคตเิ ชงิ ปรชั ญาของกระบวนทศั น์แบบสรรคส์ รา้ งนิยม
ให้ความสําคญั ในประเด็นการได้ผลของการวิจัยท่ีมีลักษณะคงเดิม เม่ือทําการวิจยั แบบเดียวกนั ซ้ํา
(Replication) น้อยกวา่ ประเดน็ การไดผ้ ลของการศกึ ษาวจิ ยั ทส่ี อดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู หลกั ฐานทเ่ี กบ็ รวบรวมได้
เป็นสาํ คญั ดงั นัน้ ผลการศกึ ษาวจิ ยั ทไ่ี ดจ้ ากการตคี วามหมายขอ้ มูลหลกั ฐานโดยผู้วจิ ยั จะตอ้ งดําเนินไป
อย่างเช่อื ใจได้ว่ามลี กั ษณะเช่อื มโยงหรอื เก่ยี วเน่ืองกบั ขอ้ มูลหลกั ฐานทเ่ี กบ็ รวบรวมได้จากภาคสนาม
(Chain of evidence) เช่นเดยี วกบั การเกบ็ รวบรวมประจกั ษพ์ ยานหลกั ฐานต่าง ๆ ในกระบวนการสบื สวน
คดอี าชญากรรมของตํารวจเพ่อื ใชป้ ระกอบการทําสํานวนคดสี ่งฟ้องศาล ถ้าตํารวจสามารถเกบ็ รวบรวม
หลกั ฐานได้เช่อื มโยงกบั เวลาและเหตุการณ์ท่เี กดิ ขน้ึ อย่างสมเหตุสมผล จะมผี ลใหส้ าํ นวนท่สี ่งฟ้องศาล
มีความ “หนักแน่น” หรอื มี “น้ําหนัก” เป็นท่ีน่าเช่ือใจได้ การเพม่ิ ความเช่ือใจของข้อมูลหลกั ฐานและ
ผลการประเมนิ เชงิ คณุ ภาพ กระทาํ ไดด้ งั น้ี

1. การตรวจสอบร่องรอย (Audit trail) เป็นการตรวจสอบข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ เพ่ือค้นหา
ร่องรอยทแ่ี สดงใหเ้ หน็ วา่ มคี วามเช่อื มโยงระหว่างเน้อื หาสาระของประเดน็ คาํ ถามการวจิ ยั ขอ้ มลู หลกั ฐาน
และผลการวิเคราะห์ข้อมูลหลกั ฐานเพ่ือตอบประเด็นคําถามวิจัย ได้อย่างสอดคล้องกลมกลืนและมี
ความหมายหรอื ไม่เพยี งใด เอกสารหลกั ฐานทค่ี วรตรวจสอบร่องรอย ไดแ้ ก่

(ก) แหลง่ ขอ้ มลู หลกั ฐาน และ การบนั ทกึ ขอ้ มลู หลกั ฐานจากการเกบ็ รวบรวมในภาคสนาม
(ข) การวเิ คราะหแ์ ละการตคี วามหมายเพอ่ื ลดขนาดขอ้ มลู หลกั ฐาน
(ค) การกอ่ รปู หรอื สรรคส์ รา้ งความรคู้ วามจรงิ ขน้ึ ใหมแ่ ละบทสรุปทไ่ี ดจ้ ากการสงั เคราะห์
(ง) เอกสารหลกั ฐานบง่ ชม้ี ลู เหตุจงู ใจ
(จ) สารสนเทศทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การสรา้ งและพฒั นาขอ้ คาํ ถามในแบบสมั ภาษณ์และ

การสงั เกตการณ์

175

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

การตรวจสอบร่องรอยของสง่ิ เหล่าน้ีกระทําในลกั ษณะเดยี วกบั การตรวจสอบเก่ยี วกบั การเงิน
(Fiscal audit) ท่ีนักตรวจสอบบัญชี “มืออาชีพ” เป็นผู้ให้ความรบั รองความถูกต้องแท้จริงของบัญชี
(Account authentication) ในท่ีน้ีการตรวจสอบร่องรอยทําได้โดยให้ผูม้ คี วามเช่ียวชาญท่ีเก่ียวขอ้ งกบั
หวั ขอ้ ปัญหาวจิ ยั ทส่ี นใจแสดงบทบาทเป็น “ผตู้ รวจสอบภายนอก” และมผี วู้ จิ ยั คอยช่วยอาํ นวยความสะดวก
ในกระบวนการตรวจสอบ เช่น คอยตอบคําถามหรือแสดงเอกสารหลกั ฐานต่าง ๆ ให้แก่ผู้ตรวจสอบ
ภายนอก เม่อื กระบวนการตรวจสอบเอกสารหลกั ฐานสน้ิ สดุ ลง ผเู้ ชย่ี วชาญจะประเมนิ ว่ากระบวนการแสดง
หาความรคู้ วามจรงิ ทุกขนั้ ตอนสามารถใหค้ วามเช่อื ใจไดห้ รอื ไม่ เพยี งใด จากการพจิ ารณาร่องรอยขอ้ มลู
หลกั ฐานสาํ คญั ทงั้ หมดทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

2. การตรวจสอบโดยศกึ ษาจากทศั นะของผวู้ จิ ยั (Investigator’s position) เป็นการตรวจสอบทา่ ที
หรอื จดุ ยนื ของผวู้ จิ ยั ทม่ี ตี ่อกระบวนการแสดงหาความรคู้ วามจรงิ ซง่ึ ประกอบดว้ ย

(ก) หวั ขอ้ ปัญหาหรอื โจทยก์ ารวจิ ยั
(ข) กระบวนทศั น์ในการแสวงหาความรคู้ วามจรงิ
(ค) แนวคดิ ทฤษฎที ใ่ี ชเ้ ป็นการอา้ งองิ
(ง) ระเบยี บวธิ กี ารแสวงหาความรคู้ วามจรงิ
(จ) การเลอื กตวั อย่างและวธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู หลกั ฐาน
(ฉ) การวเิ คราะหแ์ ละตคี วามหมายขอ้ มลู หลกั ฐานเพ่อื ในทางปฏบิ ตั ผิ วู้ จิ ยั ควรเปิดเผยจุดยนื

ทางทัศนะของตนเองท่ีมีต่อประเด็นข้างต้นด้วยการอธิบายไว้ในรายงานการวิจัย
ทัง้ น้ีเพ่ือให้ผู้เช่ียวชาญในฐานะผู้ตรวจสอบภายนอก ผู้วิจัยคนอ่ืน ๆ ตลอดจน
ผอู้ า่ นรายงานการวจิ ยั ทวั่ ไปไดใ้ ชเ้ ป็นขอ้ มลู หลกั ฐานประเมนิ ความเช่อื ใจ
3. การเช่อื มโยงแบบสามเสา้ (Triangulation) วธิ กี ารน้ีนอกจากจะใชส้ าํ หรบั ตรวจสอบความวางใจ
ของข้อมูลหลกั ฐาน และผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูลหลกั ฐานท่เี ก็บรวบรวมได้ รวมทงั้ การดําเนินงานวจิ ยั
ในขนั้ ตอนอ่ืน ๆ แล้วยงั สามารถนํามาใช้ในการตรวจสอบความเช่อื ใจได้อกี ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
วธิ กี ารเช่อื มโยงแบบสามเสา้ ทใ่ี ชว้ ธิ กี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู แตกต่างกนั (Merriam, 1998)
ความรบั รอง (Conformability) เป็นการตรวจสอบท่ีแสดงให้เห็นว่าผลของการศึกษาวิจัย
ไม่ใช่เป็นส่ิงท่ีแต่งเติมหรือสรรค์สร้างข้ึนมาจากอารมณ์ ความรู้สึก หรือจินตนาใด ๆ ของผู้วิจัย
(Guba & Lincoln, 1989) กล่าวโดยหลกั การแล้ว ผู้วจิ ยั สามารถทําการตรวจสอบการให้ความรบั รองได้
โดยการอธิบายหรือแสดงเอกสารหลกั ฐานสําคัญประกอบการอธิบายในรายงานการศึกษาว่าข้อมูล
หลกั ฐานทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษามาจากแหล่งใด ตรรกะทใ่ี ชใ้ นการตคี วามสรา้ งเป็นขอ้ สรุปผลของการศกึ ษาวจิ ยั
คอื อะไร และกระบวนการสงั เคราะห์ขอ้ มูลหลกั ฐานการศึกษาท่ีนําไปสู่ข้อสรุปผลของการศึกษาวิจยั
ดงั กล่าวมลี กั ษณะเป็นอย่างไร ถ้าสามารถแสดงรายละเอยี ดเก่ียวกบั ประเดน็ หลกั ตามท่รี ะบุน้ีได้อย่าง
ชดั เจน แสดงว่าขอ้ มลู หลกั ฐานและผลของการศกึ ษาวจิ ยั มคี ุณภาพสมควรใหก้ ารรบั รองหรอื ยนื ยนั ไดว้ ่า
การดาํ เนนิ งานวจิ ยั ทงั้ 2 ขนั้ ตอน เป็นสง่ิ ทถ่ี กู ตอ้ งตามความเป็นจรงิ และหลกั วชิ า ไมใ่ ช่เกดิ จากจนิ ตนาการ
ทเ่ี ล่อื นลอยของผูว้ จิ ยั ในทางปฏบิ ตั กิ ารตรวจสอบการใหค้ วามรบั รองมกั นยิ มกระทาํ ร่วมกบั การตรวจสอบ
ความเชอ่ื ใจ เชน่ ใชว้ ธิ กี ารตรวจสอบร่องรอยเพ่อื ตดิ ตามสบื เสาะจากหลกั ฐานร่องรอยต่าง ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จาก

176

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

การทาํ วจิ ยั เช่น สมุดบนั ทกึ การสงั เกตการณ์ในภาคสนาม (Field note) และใบสาํ เนาถอดเสยี งถอ้ ยคาํ ให้
สมั ภาษณ์ (Interview transcript)

การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือสําหรับประเมินโครงการ ผู้ใช้ควรมีความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับ
ระดบั การวดั เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการศกึ ษาวจิ ยั มหี ลายประเภท แต่ละประเภทจะมคี ณุ สมบตั แิ ตกต่างกนั เช่น
แบบสอบถามสว่ นใหญ่ใชส้ าํ หรบั วดั ความรู้ แบบสอบถามวดั ความเหน็ แบบสงั เกตใชว้ ดั พฤตกิ รรม แบบ
สมั ภาษณ์ใชว้ ดั ความเหน็ อยา่ งอสิ ระ และแบบบนั ทกึ ใชส้ รุปสาระสาํ คญั จากเอกสาร เป็นตน้ เครอ่ื งมอื วจิ ยั
ทด่ี ตี ้องมคี ุณสมบตั ิ คือ ต้องมีความตรง ความเท่ียง ถ้าเป็นแบบสอบวดั ความสามารถทางสมองควรมี
คณุ สมบตั ดิ า้ นความยากและอาํ นาจจาํ แนกดว้ ย

สาํ หรบั การสรา้ งเคร่อื งมอื ตอ้ งศกึ ษาเอกสารใหค้ รอบคลุมเพ่อื นยิ ามประเดน็ การวจิ ยั ก่อนจะสรา้ ง
ขอ้ คําถามและดําเนินการตามขนั้ ตอนทถ่ี ูกต้องต่อเน่ืองกนั ไป เม่อื สรา้ งเสรจ็ แล้วควรตรวจสอบคุณภาพ
เคร่อื งมอื

7.9.3 คณุ ภาพของเครอื่ งมอื ในด้านอื่น ๆ
คุณภาพของเคร่อื งมอื การวิจยั ไม่ได้มเี ฉพาะความเช่อื ถือไดแ้ ละความถูกต้องเท่านัน้ แต่ยงั มี
คณุ ภาพอ่นื ๆ ทค่ี วรพจิ ารณาร่วมดว้ ย คอื
1. ความเป็นปรนัย หมายถงึ การทเ่ี คร่อื งมอื มคี าํ ถามทช่ี ดั เจนสามารถเขา้ ใจไดต้ รงกนั ทงั้ ผถู้ าม
และผูต้ อบ และเขา้ ใจผลท่วี ดั ไดต้ รงกนั หรอื ใหค้ ะแนนตรงกนั ไม่ว่าใครจะเป็นผใู้ หค้ ะแนน ประเดน็ สาํ คญั
ของเร่อื งน้ีคอื การใชภ้ าษาไทย โดยมากมกั จะเป็นการใชภ้ าษากํากวม ทาํ ใหก้ ารตคี วามหมายแตกต่างกนั
ผูว้ จิ ยั ควรมีการทดลองใช้ในเบ้อื งต้นเสยี ก่อนเพ่ือแก้ไขก่อนนําไปตรวจสอบความเช่อื ถือได้และความ
ถกู ตอ้ ง
2. ความยากง่ายพอเหมาะทจ่ี ะนําไปใช้กบั กลุ่มเป้าหมาย เช่น ถ้าคําถามนัน้ ใชก้ บั ชาวชนบท
ลกั ษณะคําพูดต้องเป็นภาษาทช่ี าวบ้านเขา้ ใจได้ง่าย หลกี เล่ียงศพั ท์ทางวชิ าการ เช่น คําว่า “บริโภค”
กต็ อ้ งเปลย่ี นเป็น “ด่มื กนิ หรอื รบั ประทาน” แทน
3. ความยาวพอเหมาะ ความยาวของแบบสอบถามต้องเหมาะสมกับเวลาท่ีควรใช้ในการ
สอบถาม ขณะเดียวกนั กต็ ้องครอบคลุมเน้ือหาท่ีต้องการวดั ประเดน็ น้ีตรวจสอบไดโ้ ดยการทดลองใช้
เชน่ กนั
4. การแบ่งแยกความแตกต่างในกลุ่มเป้าหมายทศ่ี กึ ษา เน่ืองจากเคร่อื งมอื ทส่ี รา้ งขน้ึ ต้องการ
ผลทไ่ี ดจ้ ากการวดั จงึ ตอ้ งมคี ่าทแ่ี ปรผนั กนั ไป หากผลทไ่ี ดจ้ ากการวดั มคี า่ เดยี วหรอื มคี ่าทใ่ี กลเ้ คยี งกนั มาก
จนไม่สามารถแยกความแตกต่างได้ เคร่อื งมอื นนั้ ย่อมมคี ุณภาพไม่ดพี อทจ่ี ะใชว้ ดั ตวั ชว้ี ดั ได้ การตรวจสอบ
ในเร่อื งน้ีตอ้ งอาศยั เทคนคิ ทางสถติ เิ ขา้ มาช่วย ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถ่ี การวดั การกระจาย การใช้ t-test
เป็นตน้
5. การลําดบั ของคําถามท่เี หมาะสม ขอ้ คําถามแต่ละขอ้ จอ้ งมกี ารจดั ลําดบั เช่น การจดั ลําดบั
ตามเหตุการณ์ การจัดลําดับตามความยากง่าย เพ่ืออํานายความสะดวกแก่ผู้ตอบและป้ องกัน
ความคลาดเคล่อื น เน่อื งจากความสบั สนของขอ้ คาํ ถาม

177

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

สรปุ

ตัวแปรมีความสําคญั ยิ่งในทางวิจัย ทงั้ น้ี เพราะจะสามารถตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย
จะต้องอาศยั การวดั ตัวแปรต่าง ๆ นอกเหนือจากการทราบตัวแปรชนิดต่าง ๆ แล้ว ผู้วิจยั ควรทราบ
จํานวนตัวแปรและลกั ษณะการเช่ือมโยงความสมั พนั ธ์ระหว่างตัวแปรท่ีจะทําการศึกษาวิจัยไว้ด้วย
เพราะจะทาํ ใหผ้ วู้ จิ ยั เองมองเหน็ ภาพรวมของตวั แปรทส่ี าํ คญั ทงั้ หมดในกรอบของการศกึ ษา ตวั แปรทต่ี อ้ ง
ตอบประเดน็ ปัญหาต่าง ๆ ทต่ี งั้ ไวใ้ นวตั ถุประสงคแ์ ละในสมมตฐิ านนัน้ ต้องมกี ารกําหนดความหมายให้
ชดั เจนเสยี กอ่ นวา่ หมายถงึ อะไร ครอบคลมุ อะไรบา้ ง มขี อบเขตแค่ไหน ทงั้ น้ีอาจจะตอ้ งรวมไปถงึ วธิ กี ารวดั
ของตวั แปรเหล่านัน้ ว่าวดั อย่างไร การวดั ตวั แปรเป็นการกําหนดความละเอยี ดความหยาบในการบอก
ความแตกต่าง ระหว่างคุณสมบตั ขิ องตวั แปรทอ่ี ยใู่ นหน่วยเดยี วกนั โดยทวั่ ไปแลว้ นกั วจิ ยั แบง่ ระดบั การวดั
ของตวั แปร (Measurement scale) ออกเป็น 4 ระดบั ดงั น้ี นามมาตรา ลาํ ดบั อตั ราภาค และ อตั ราสว่ น

เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยมีหลายชนิด นํามาใช้ตามความเหมาะสมของชนิดของตัวแปร
จุดประสงค์การวดั และประสทิ ธภิ าพของเคร่อื งมอื ซ่งึ เคร่อื งมอื ทน่ี ิยมใชใ้ นการวจิ ยั ไดแ้ ก่ แบบสอบถาม
แบบสมั ภาษณ์ แบบวดั หรอื แบบทดสอบ แบบสงั เกต การใชเ้ ครอ่ื งมอื วจิ ยั แต่ละครงั้ ตอ้ งนําไปหาคุณภาพ
ของเคร่อื งมือก่อนทจ่ี ะใช้ทุกครงั้ เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ยั เป็นสง่ิ ท่นี ักวจิ ยั เลอื กใช้หรอื สร้างขน้ึ เพ่อื ใช้
ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยมีหลายชนิดแต่ละชนิดมีคุณสมบัติ
และคุณลกั ษณะแตกต่างกนั มคี วามเหมาะสมในการเกบ็ ขอ้ มลู แต่ละชนดิ ไมเ่ หมอื นกนั ผวู้ จิ ยั ตอ้ งมคี วามรู้
และความชาํ นาญในการใชเ้ คร่อื งมอื แต่ละชนิด เพ่อื ใหไ้ ดม้ าซง่ึ ขอ้ มลู ทถ่ี กู ต้องตามความเป็นจรงิ เคร่อื งมอื
ท่ใี ช้ในการวจิ ยั ต้องมคี ุณภาพเช่อื ถอื ได้ ซ่งึ ต้องมกี ารตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงความเท่ยี งและ
อาํ นาจจําแนก ความตรงเป็นคุณสมบตั ขิ องเคร่อื งมอื ในการวดั ในสง่ิ ทต่ี ้องการวดั แบง่ ออกเป็น 3 ประเภท
คอื ความตรงตามเน้ือหา ความตรงตามเกณฑส์ มั พนั ธ์ และ ความตรงตามโครงสรา้ ง ความเทย่ี งเป็น
คุณสมบตั ขิ องเคร่อื งมอื ในการวดั สงิ่ ท่ตี ้องการวดั ว่า การวดั มคี วามคงท่ีเพยี งใด การหาค่าความเท่ียง
มหี ลายวธิ ี ไดแ้ ก่ การทดสอบหาค่าคงทภ่ี ายในและการหาความเทย่ี งของการสงั เกต สว่ นอาํ นาจจําแนก
เป็นคุณสมบตั ขิ องเคร่อื งมอื ทส่ี ามารถแยกขอ้ มูล ของคนทม่ี คี วามรูส้ กึ นึกคดิ แตกต่างกนั ออกจากกนั ได้
โดยการคํานวณหาสดั ส่วนหรอื หาค่าที (t-test) เคร่อื งมอื ทด่ี ตี ้องมคี ุณสมบตั ดิ งั น้ี คอื มคี วามตรง ความ
เทย่ี ง มคี วามเป็นปรนยั ไวต่อการทดสอบ มอี าํ นาจจาํ แนกสงู นําไปใชไ้ ดง้ า่ ย และ มปี ระสทิ ธภิ าพ

178

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

เอกสารอ้างอิง

ธวชั ชยั วรพงศธร. (2540). หลกั การวิจยั ทางสาธารณสุขศาสตร,์ กรุงเทพฯ :
สาํ นกั พมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

บญุ ใจ ศรสี ถติ ยน์ รากรู . (2547). ระเบียบวิธีการวิจยั ทางพยาบาลศาสตร.์ (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 5). กรงุ เทพฯ :
คณะพยาบาลศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

บญุ ใจ ศรสี ถติ ยน์ รากรู . (2550). ระเบียบวิธีการวิจยั ทางพยาบาลศาสตร.์ (พมิ พค์ รงั้ ท4่ี ). กรงุ เทพฯ:
ยแู อนดไ์ อ อนิ เตอรม์ เี ดยี

บญุ ธรรม กจิ ปรดี าบรสิ ทุ ธ.ิ์ (2549). เทคนิคการสรา้ งเครอ่ื งมือรวบรวมข้อมลู สาํ หรบั การวิจยั .
พมิ พค์ รงั้ ท่ี 6, นครปฐม: คณะสงั คมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล.

พวงรตั น์ ทวรี ตั น์. (2534). การวิจยั ทางพฤติกรรมศาสตร.์ กรุงเทพฯ : สาํ นกั ทดสอบทางการศกึ ษา
และจติ วทิ ยา มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ประสานมติ ร.

ยทุ ธ ไกยวรรณ์. (2545). พนื้ ฐานการวิจยั . พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4, กรุงเทพฯ: ชมรมเดก็ .
. (2550). การสรา้ งเครอ่ื งมอื วิจยั . กรุงเทพฯ: ศนู ยส์ อ่ื เสรมิ กรงุ เทพ.

ยวุ ดี ฤาชา และคณะ. (2534). วิจยั ทางการพยาบาล. กรงุ เทพฯ: คณะแพทยศาสตรโ์ รงพยาบาล
รามาธบิ ดี มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล.

รววี รรณ ชนิ ะตระกลู . (2535). วิธีวิจยั การศึกษา. กรงุ เทพฯ: คณะครศุ าสตรอ์ ุตสาหกรรม สถาบนั
เทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ ฯ ลาดกระบงั .

เรณา พงษ์เรอื งพนั ธุ์ และประสทิ ธิ์ พงษ์เรอื งพนั ธุ.์ (2541). การวิจยั ทางการพยาบาล. ชลบรุ :ี
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา.

ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวิจยั ทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: ชมรมเดก็ .
วเิ ชยี ร เกตุสงิ ห.์ (2529). หลกั การสรา้ งและวิเคราะหเ์ ครอ่ื งมอื ท่ีใช้ในการวิจยั . กรงุ เทพฯ:

ไทยวฒั นาพานชิ .
. (2543). คมู่ อื การวิจยั เชิงปฏิบตั ิ. พมิ พค์ รงั้ ท่ี 4, กรงุ เทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช.

สชุ าติ ประสทิ ธริ์ ฐั สนิ ธ.ุ์ (2544). ระเบียบวิธีวิจยั ทางสงั คมศาสตร.์ พมิ พค์ รงั้ ท่ี 11, กรงุ เทพฯ:
เฟ่ืองฟ้าพรน้ิ ตง้ิ .

อทุ มุ พร ทองอุไทย. (2525). แบบสอบถาม: การสรา้ งและการใช้. กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์
จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .

Cronbach, L. J. (1970). Essential of Psychological testing. (3rded.). New York:
Harper and Row.

Davis, L. (1992). Instrument review: Getting the most from your panel of experts.
Applied Nursing Research, 5, 194-197.

Guba, E. G., & Lincoln, Y. S. (1989). Fourth generation evaluation. Sage Publications, Inc.

179

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

Lawshe, C. H. (1975). A quantitative approach to content validity. Personnel Psychology,
28(4), 563–575.

Lincoln, YS. & Guba, EG. (1985). Naturalistic Inquiry. Newbury Park, CA: Sage Publications.
Merriam, S.B. (1998). Qualitative Research and Case Study Applications in Education.

Jossey-Bass Publishers, San Francisco.
Reason, P. and Bradbury, H. (eds.). (2006). Handbook of action research. Thousand Oaks, CA:

Sage.
Seidman, I. (2013). Interviewing as qualitative research: A guide for researchers in education

and the social sciences. New York, NY: Teachers College.
Sprague, J. (2005). Feminist methodologies for critical researchers: Bridging differences.

Walnut Creek, CA: AltaMira Press.

180

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

คาํ ถามท้ายบท

จงตอบคาํ ถามจากประเดน็ คาํ ถามทก่ี าํ หนดใหอ้ ย่างถกู ตอ้ งและชดั เจน
1. “ตวั แปร” มคี วามสาํ คญั อย่างไรต่อการวจิ ยั
2. ลกั ษณะทส่ี าํ คญั ของ “ตวั แปร” มอี ะไรบา้ ง
3. กาํ หนดชอ่ื ปัญหาการวจิ ยั แลว้ ใหร้ ะบุตวั แปร ว่าเป็นตวั แปรประเภทใด
4. เพราะเหตุใด ตวั แปรอสิ ระและตวั แปรตาม จงึ เป็นตวั แปรทส่ี าํ คญั ในการวจิ ยั
5. เกณฑใ์ นการพจิ ารณา “คาํ นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ” ทจ่ี ะตอ้ งนํามากาํ หนดความหมายในการวจิ ยั
มอี ะไรบา้ ง
6. ความเทย่ี งตรงของเคร่อื งมอื หมายถงึ อะไร
7. มวี ธิ กี ารในการตรวจสอบความเทย่ี งตรงของเคร่อื งมอื วธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวม
8. ขอ้ มลู มอี ะไรบา้ ง อยา่ งไร
9. ความเช่อื มนั่ ของเครอ่ื งมอื หมายถงึ อะไร
10. มวี ธิ กี ารในการตรวจสอบความเช่อื มนั่ ของเครอ่ื งมอื วธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวม
11. ขอ้ มลู มอี ะไรบา้ ง อยา่ งไร
12. มปี ัจจยั ใดบา้ งทม่ี อี ทิ ธพิ ลต่อความเชอ่ื มนั่ ของเคร่อื งมอื

181

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พน้ื ฐาน

182

บทที่ 8

แนวคดิ เบอ้ื งตน้ ในการสรา้ งมาตรวดั

บทน้ีจะกล่าวถึงแบบจําลองการวดั กระบวนการวดั และการจัดทํามาตรวดั ท่ีใช้ในการวิจัย
แนวคดิ พ้นื ฐานเกย่ี วกบั การสรา้ งมาตรวดั การรวบรวมตวั วดั ระดบั การวดั และตวั เลอื ก การคดั เลอื กตวั วดั
อคตจิ ากการตอบ กฎการวดั ความเช่อื ถอื ไดข้ องเคร่อื งมอื คุณภาพของเคร่อื งมอื ทฤษฎคี วามเป็นสากล
ความถูกต้อง การวดั ความเปล่ียนแปลง ทฤษฎีการตอบสนองต่อตัววดั การนํามาตรวัดไปใช้ และ
การจดั การมาตรวดั

การวัด (Measurement) ถือว่าเป็นส่ิงจําเป็นสําหรับวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคม และ
วิทยาศาสตร์สุขภาพ ในการวิจยั ทางการแพทย์ การวดั ต้องใช้ความรอบคอบ ละเอยี ดถ่ีถ้วน การวัด
ในหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารตอ้ งใชก้ ารฝึกฝน ต้องมกี ารพฒั นาเคร่อื งมอื วดั อย่อู ย่างต่อเน่ือง นกั วจิ ยั ทางการแพทย์
ตอ้ งมคี วามตระหนกั รูถ้ งึ โอกาสทจ่ี ะเกดิ ความผดิ พลาดของการตดั สนิ ใจ เช่น การวนิ ิจฉัยทางรงั สวี ทิ ยาท่ี
อาจแตกต่างกนั ออกไป เป็นตน้ ปัจจบุ นั การดแู ลสขุ ภาพและการบาํ บดั รกั ษาม่งุ เน้นทก่ี ารวดั ผลกระทบหรอื
การดูแลสุขภาพ (เชงิ คุณภาพ) มากกว่า กระบวนการรกั ษาจะมคี วามเป็นสหสาขาวชิ าชพี มากขน้ึ ดงั นัน้
การวดั จงึ ตอ้ งการวดั สง่ิ ทต่ี อ้ งการรอู้ ยา่ งตรงไปตรงมาโดยอย่บู นพน้ื ฐานขอ้ มลู ทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร และการ
วนิ ิจฉัยโรคทส่ี ามารถจะนํามาประกอบการวนิ ิจฉัยผูป้ ่ วยและเพ่อื รบั รองกฎเกณฑต์ ่าง ๆ การวดั จะตอ้ งมี
การวางแผนวธิ กี ารทจ่ี ะวดั การวดั ซ้าํ และอ่นื ๆ นักจติ วทิ ยาและนกั การศกึ ษาพฒั นาองคค์ วามรเู้ ร่อื งการ
วดั มาอย่างต่อเน่ือง เช่น การวดั ดา้ นสตปิ ัญญา ถูกพฒั นามาตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1930 มาจนถงึ 1979 Galton &
Stern กพ็ ยายามท่ีจะประเมินความแตกต่างของระดบั สติปัญญาของแต่ละบุคคลเช่นกัน แต่ในสาขา
วทิ ยาศาสตร์สุขภาพยงั มคี วามเขา้ ใจท่คี ลาดเคล่อื นอยู่มาก ในทน่ี ้ี จะแนะนํานักวจิ ยั ด้านวทิ ยาศาสตร์
สขุ ภาพ ใหเ้ ขา้ ใจแนวคดิ พน้ื ฐานของการวดั และการพฒั นามาตรวดั

8.1 แบบจาํ ลองการวดั (Measurement model)

การวดั (Measurement) คอื การกําหนดค่าใหก้ บั วตั ถุ สงิ่ ของ ปรากฏการณ์ เหตุการณ์ หรอื
พฤตกิ รรมต่าง ๆ เช่น ต้องการทราบว่าเดก็ ชาย ก สูงหรอื ไม่ กต็ ้องกําหนดค่าความสูงของเดก็ ชาย ก
ออกมาเป็นเซนตเิ มตร (เป็นการกาํ หนดค่าความสงู ) แลว้ จงึ นําแถบวดั ความสงู ไปวดั เดก็ ชาย ก จะทาํ ใหไ้ ด้
คา่ ความสงู ของเดก็ ชาย ก เมอ่ื นําวธิ กี ารเดยี วกนั ไปวดั เดก็ ชาย ข กจ็ ะไดค้ า่ ความสงู ของเดก็ ชาย ข เมอ่ื นํา
ค่าความสงู ของเดก็ ชายทงั้ สองมาเปรยี บเทยี บกนั กจ็ ะสามารถสรปุ ไดว้ า่ ใครสงู กว่ากนั

โดยปกตกิ ารวดั จะแบ่งเป็นการวดั ทางตรง (Direct measurement) หมายถงึ การวดั คุณลกั ษณะ
ท่ีต้องการโดยตรง เช่น ส่วนสูง น้ําหนัก และการวัดโดยอ้อม (Indirect measurement) คือ การวัด
ทไ่ี ม่สามารถวดั คุณลกั ษณะโดยตรงได้ คุณลกั ษณะดงั กล่าวแฝงอยู่ (Latent) ในสง่ิ ท่จี ะถูกวดั ทําให้ผูว้ ดั

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

วดั ไดเ้ ฉพาะสง่ิ ทว่ี ดั ไดห้ รอื สงั เกตได้ (Observable) ซง่ึ คาดเดาวา่ สง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั สะทอ้ นมาจากสง่ิ ทว่ี ดั ได้
เชน่ การวดั ความรู้ สง่ิ ทเ่ี ป็นความรู้ (Knowledge) แฝงอยใู่ นตวั ผถู้ กู วดั แต่ผวู้ ดั ใชว้ ธิ ตี งั้ คาํ ถามแลว้ ประเมนิ
ว่าผูน้ ัน้ ตอบถูกหรอื ไม่ คําตอบจะเป็นตวั สะท้อนว่าภายใต้กรอบการวดั ผู้ตอบมีความรู้หรอื ไม่มากน้อย
เพยี งใด

ในการวดั ทางด้านสุขภาพจะต้องระลึกเสมอว่า คําว่าสุขภาพเป็นแนวคิดท่ีมอี ยู่หลากหลาย
ทศิ ทาง ซง่ึ มกั จะถกู วดั ในรปู ของ

1. อาการและอาการแสดงทางร่างกาย (Physical) เช่น ความเจบ็ ป่วยทางกาย ความพกิ าร หรอื
เง่อื นไขทเ่ี ป็นสาเหตุของการตาย

2. สภาวะจติ ใจและอารมณ์ (Mental)
3. การทาํ หน้าทท่ี างสงั คม (Social)
สง่ิ ท่ีสําคญั ในกระบวนการพฒั นาเคร่ืองมือวดั คือ การท่ตี ้องรู้ว่าสงิ่ ท่ีจะวดั นัน้ สามารถวดั ได้
โดยตรงหรอื วดั โดยออ้ ม และวดั ไดด้ ว้ ยประเดน็ คาํ ถามเพยี งประเดน็ เดยี ว เช่น น้ําหนกั สว่ นสงู อายุ ฯลฯ
หรอื ไม่ หรอื สง่ิ ทต่ี อ้ งวดั นนั้ มอี งคป์ ระกอบมาจากมากมายหลายสว่ น เช่น สขุ ภาพ ความรู้ ฯลฯ
แบบจําลองการวดั (Measurement model) คือ แบบจําลองท่ีแสดงความสมั พันธ์ระหว่าง
ตวั แปรแฝง (Latent variable) และตวั แปรสงั เกตได้ (Observable variable) จากรูปกาํ หนดใหต้ วั แปรแฝง
เขยี นแทนดว้ ยวงกลม และตวั แปรสงั เกตไดเ้ ขยี นแทนดว้ ยสเ่ี หลย่ี ม
ในตวั แปรสงั เกตได้ ค่าคะแนนจากการสงั เกตจะเท่ากบั ค่าคะแนนจรงิ รวมดว้ ยความคลาดเคล่อื น
ตามทฤษฎีคะแนนจริง ซ่ึงจะได้กล่าวต่อไป ความสมั พันธ์ของตัวแปรสังเกตได้ท่ีมีต่อตัวแปรแฝง
จะถูกนับออกมาเป็นค่าคะแนนความสมั พนั ธ์และค่าถ่วงน้ําหนักว่าแต่ละตวั แปรสงั เกตได้ จะใหค้ ่าถ่วง
น้ําหนกั สาํ หรบั ตวั แปรแฝงนนั้ ๆ มากน้อยเพยี งใด
ในมาตรวดั หน่ึง ๆ อาจประกอบดว้ ยตวั แปรแฝงหลายตวั บางครงั้ เรยี กวา่ ปัจจยั (Factor) และใน
ตวั แปรแฝงแต่ละตวั กจ็ ะประกอบด้วยตวั แปรสงั เกตไดห้ ลายตวั จะสงั เกตว่าค่าตวั แปรสงั เกตได้ทุกตวั
จะตอ้ งมคี วามคลาดเคลอ่ื นเขา้ มาเกย่ี วขอ้ งดว้ ยเสมอ

รปู ที่ 22 Measurement model
184

หลกั การวจ� ยั สาธารณสขุ ขนั้ พนื้ ฐาน

ในความคลาดเคล่อื นจากการวดั สามารถจาํ แนกออกไดเ้ ป็น 2 ประเภทดว้ ยกนั คอื ความคลาดเคล่อื น
เชงิ ระบบ (Systematic error) และ ความคลาดเคลอ่ื นเชงิ สมุ่ (Random error)

ความคลาดเคล่ือนเชิงระบบนัน้ เป็นความคลาดเคล่อื นท่ีเกิดจากผู้วิจยั และกระบวนการวัด
ซง่ึ มลี กั ษณะเป็นอคตแิ ต่มผี ลโดยตรงต่อความถูกตอ้ งของเคร่อื งมอื วดั อคตนิ ้ีจะมมี ากหรอื น้อยขน้ึ อย่กู บั
การออกแบบเคร่ืองมือและกระบวนการวัด หากการออกแบบมีความเหมาะสมก็จะทําให้เคร่ืองมือ
มคี วามถูกตอ้ งและสามารถวดั ค่าไดโ้ ดยมคี วามคลาดเคลอ่ื นต่าํ

ความคลาดเคล่อื นเชงิ สุ่ม ก่อใหเ้ กดิ ผลทางสถิตใิ นดา้ นความน่าเช่อื ถือของเคร่อื งมอื ซ่งึ หากมี
การใช้ความรู้ทางสถิติท่ีถูกต้องเหมาะสมก็จะทําให้ความน่าเช่ือถือนัน้ เพ่ิมข้ึนได้ ยกตัวอย่างเช่น
ค่าระดบั ความดนั โลหติ จรงิ อยู่ท่ี 80 mmHg ไม่ว่าจะวดั กค่ี รงั้ กต็ ้องเป็นค่า 80 mmHg แต่จากการวดั จรงิ
พบว่าเม่อื ทาํ การวดั ไปหลาย ๆ ครงั้ ไดค้ ่าอยู่ระหว่าง 85-95 mmHg โดยมคี า่ เฉลย่ี อยทู่ ่ี 90 mmHg ความ
แตกต่างระหว่างค่าจริง 80 mmHg และค่าเฉล่ีย 90 mmHg ถือเป็ นอคติ (Bias) ทําให้ค่าท่ีวัดได้
ไมม่ คี วามถูกตอ้ ง แต่ค่าทว่ี ดั ในแต่ละครงั้ ทว่ี ดั ไดร้ ะหวา่ ง 85-95 mmHg นนั้ เป็นความแตกต่างโดยบงั เอญิ
(Chance) แสดงถงึ ความน่าเช่อื ถอื ของการวดั (แสดงถงึ ความผนั แปรทว่ี ดั ไดใ้ นแต่ละครงั้ ในทางสถติ หิ าก
ความผันแปรนั้นมีค่าต่ําแสดงว่าการวัดในแต่ละครัง้ ให้ค่าเกือบคงท่ี จากค่าจริงท่ี 80 mmHg
หากการวดั ทุกครงั้ ใหค้ า่ 80 mmHg นนั่ กค็ อื ไมม่ คี วามผนั แปรเกดิ ขน้ึ เลยจากการวดั ทกุ ครงั้

รปู ท่ี 23 ความคลาดเคลอ่ื นจากการวดั
ที่มา: มานพ คณะโต. วทิ ยาการระบาดเชงิ คลนิ ิกและชวี สถติ ,ิ 2551.
ในทางการแพทยก์ ารวดั อาจจาํ เป็นต้องใชเ้ คร่อื งมอื หลายแบบ ทงั้ เคร่อื งมอื ทม่ี คี วามแม่นยาํ สูง
โดยมอี คตขิ องผู้วดั เขา้ มาเก่ยี วขอ้ งต่ํา เป็นเคร่อื งมอื พเิ ศษ เช่น เคร่อื งตรวจคล่นื ไฟฟ้าหวั ใจ ฯลฯ และ

185

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

เคร่อื งมอื ทเ่ี ป็นเคร่อื งมอื ทางคลนิ ิกในห้องปฏบิ ตั กิ ารท่ตี ้องอาศยั บุคคลในการอ่านผลและแปรผลการวดั
ในการวจิ ยั ทางการแพทยต์ อ้ งการเครอ่ื งมอื ทม่ี คี วามแม่นยาํ สงู เชน่ แบบทดสอบทางจติ วทิ ยา การประเมนิ
อาการทางการแพทย์ การประเมนิ ผลจากหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร ฯลฯ อย่างไรกด็ ี มตี วั แปรสถานะสุขภาพท่ยี งั
ต้องการพัฒนามาตรวัดอีกมากโดยเฉพาะตัวแปรซ่ึงไม่สามารถวัดจากตัวแปรสงั เกตได้เป็นหลัก
ซง่ึ มกั เป็นตวั แปรแฝง เช่น มาตรวดั พฤตกิ รรม การวดั ผลการปฏบิ ตั งิ าน เป็นตน้

ในการวดั ตวั แปรมคี วามจําเป็นอย่างยงิ่ ทต่ี อ้ งพจิ ารณาถงึ ผลลพั ธส์ ขุ ภาพทอ่ี ย่ใู นการศกึ ษาวจิ ยั
ซ่ึงเป็ นองค์ประกอบสําคัญในคําถามวิจัยหลักและคําถามวิจัยรองท่ีนักวิจัยจะต้องระบุให้ชัดเจน
ในคําถามวจิ ยั ว่า ผลลพั ธส์ ุขภาพทต่ี อ้ งการคอื อะไร แลว้ จงึ มาพจิ ารณาว่าจะวดั อย่างไร ดว้ ยเคร่อื งมอื ใด
และมคี วามน่าเชอ่ื ถอื แค่ไหน

ในเครอ่ื งมอื วดั นอกจากจะเน้นไปทผ่ี ลลพั ธส์ ขุ ภาพแลว้ ยงั อาจตอ้ งวดั ตวั แปรอ่นื ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่
ตวั แปรพน้ื หลงั (Background variable) ซง่ึ กม็ กั หมายถงึ คณุ ลกั ษณะของกลมุ่ ตวั อย่าง แมจ้ ะไม่ถกู ระบุไว้
ชดั เจนในคาํ ถามวจิ ยั แต่กม็ คี วามจาํ เป็นตอ้ งเกบ็ รวบรวมไวเ้ พ่อื การเปรยี บเทยี บและช่วยในการวเิ คราะห์
ในภายหลงั เชน่ เดยี วกบั ตวั แปรกวน (Confounding variable) ซง่ึ อาจส่งผลต่อตวั แปรอ่นื ๆ ภายใตก้ รอบ
แนวคดิ ทจ่ี ดั เตรยี มไว้

ในภาพรวมตัวแปรในการวิจยั หากจะแบ่งตามหน้าท่ีก็สามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
ตวั แปรอสิ ระ ซง่ึ หมายถึงตวั แปรทผ่ี นั แปรไดด้ ว้ ยตวั เองและตวั แปรตาม ซง่ึ หมายถงึ ตวั แปรทผ่ี นั แปรได้
เม่อื ไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากตวั แปรอสิ ระ และยงั สามารถจาํ แนกตวั แปรออกตามลกั ษณะของขอ้ มลู ได้ 2 ประเภท
คอื ขอ้ มูลประเภทอตั วสิ ยั (Subjective) เป็นขอ้ มูลท่ไี ม่สามารถวดั ค่าไดโ้ ดยตรง ต้องอาศยั การตีความ
ของผสู้ งั เกต อาทิ ดี เหมาะสม เพยี งพอ ฯลฯ และขอ้ มลู ประเภทวตั ถุวสิ ยั (Objective) เป็นขอ้ มลู ทส่ี ามารถ
อ่านค่าไดโ้ ดยตรง โดยไม่มคี วามรู้สกึ ของผู้สงั เกตมาเกย่ี วขอ้ ง เช่น น้ําหนัก ส่วนสงู จํานวนคน รายได้
และอ่นื ๆ

8.2 กระบวนการวดั (Measurement process)

วทิ ยาศาสตรส์ ขุ ภาพใหค้ วามสนใจในการวดั เช่น วดั ความซมึ เศรา้ การเจบ็ ปวด หรอื ความพงึ
พอใจของผูป้ ่ วย ฯลฯ เพ่ือใช้แนวทางทแ่ี ตกต่างกนั ในการแก้ไขปัญหา การมีมาตรวดั เพียงชนิดเดยี ว
อาจไม่เพยี งพอ ควรมกี ารพฒั นาเครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ หม้ มี ากกวา่ 1 ชนิด เพ่อื ทจ่ี ะนํามาแกป้ ัญหาต่าง ๆ เหลา่ น้ี
ได้อย่างครบถ้วนในการพจิ ารณามาตรวดั ท่ีจะใช้ในงานวิจยั จะต้องพจิ ารณาถึงมาตรวดั ท่มี อี ยู่แลว้ ว่า
เหมาะกบั วตั ถุประสงคห์ รอื ไม่ ทาํ ความเขา้ ใจ และประยกุ ตใ์ ชเ้ พ่อื ตดั สนิ ใหเ้ กดิ ประโยชน์ทส่ี ดุ

การค้นหามาตรวดั ท่มี ีอยู่แล้วด้วยการทบทวนวรรณกรรมเป็นขนั้ ตอนแรก ๆ สําหรบั การวดั
“ตัวแปร” ท่ีต้องการ อาจจะเร่ิมจากแหล่งบรรณานุกรมมาตรฐาน (Standard bibliographic source)
เช่น Medline แต่ก็ข้นึ อยู่กับการประยุกต์ใช้ของนักวิจยั และอาจจะต้องพิจารณาดูท่ีระบบการอ้างอิง
ของบรรณานุกรมด้วย นอกจากน้ี ยังมีมาตรวัดจากหนังสืออ่ืน ๆ ด้วยอาทิ Measurement health:
A guide to rating scales and questionnaire ของ McDowell and Newell 1987 มีตัวอย่า งการวัด
หลายชนิด เช่น การเจบ็ ปวด พฤตกิ รรมการเจบ็ ป่วย และ Social support

186

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พน้ื ฐาน

การวัด (Measurement) เป็นประเด็นทางเทคนิคของการสร้างเคร่ืองมือ (Tools) เพ่ือวัด
ปรากฏการณ์ให้ละเอียดถูกต้องตามท่ีต้องการ การวัดมักเริ่มด้วยการคัดเลือกตัวแปร (Variables
selection) เช่น ในการศกึ ษาการใหค้ วามรูต้ ่อนักศกึ ษาแพทย์ นกั วจิ ยั อาจตดั สนิ ใจวดั ความรทู้ เ่ี พม่ิ ขน้ึ ซง่ึ
เป็นผลมาจากวธิ กี ารสอนและสามารถวดั ไดอ้ ย่างง่ายดายดว้ ยการทดสอบแบบหลายตวั เลอื ก (Multiple
choices) หรือแบบทดสอบชนิดอ่ืน ๆ แต่การท่ีนักศึกษาแพทย์มีความรู้เพ่ิมข้ึนไม่ได้หมายความว่า
พฤติกรรมสุขภาพ (Health behavior) ของผู้ป่ วยจะดีข้นึ และอาจจะไม่ได้มีผลต่อเน่ืองไปถึงสุขภาพ
อนามยั (Health status) ทด่ี ขี น้ึ ดว้ ย ดงั นนั้ จงึ พอประมวลภาพไดว้ า่ การเรยี นการสอนซง่ึ กเ็ ป็นสงิ่ แทรกแซง
อาจไมไ่ ดส้ ง่ ผลกระทบไกลไปถงึ สขุ ภาพอนามยั ของผปู้ ่วยโดยทนั ที

นักวชิ าการวทิ ยาการระบาดแบ่งระดบั ทางเลอื กของการวดั สภาวะสุขภาพเป็นค่าตวั แปรสาํ คญั
5 ตวั แปรหลกั (5DS death, disease, disability, discomfort, and dissatisfaction) ตวั แปรเหล่าน้ีบางตวั
ก็สามารถวดั ได้ง่าย เช่น ความตาย ตัวแปรบางตัวก็วดั ได้ยาก เช่น ความพึงพอใจและความพิการ
อย่างไรกต็ าม ตวั แปรเหล่าน้ีกเ็ ป็นตวั แปรสามารถใหค้ ่า (Value) เป็นไปตามเกณฑท์ ก่ี ําหนดในการเลอื ก
การวดั ตวั แปรเหลา่ น้ีขน้ึ อยกู่ บั ขอ้ พจิ ารณา 5 ประการ คอื

1) ความละเอียดของการวัด (Precision of measurement) การวัดท่ีมีช่วงห่างมาก เช่น
รกั -เกลยี ด และการวดั แบบอตั วสิ ยั (Subjective) ท่อี ิงการตีความของแต่ละบุคคลย่อมมปี ระโยชน์น้อย
เม่ือเทียบกับการวัดท่ีมีลักษณะวัตถุวิสยั (Objective) ละเอียดและตรงประเด็น (Precise) ประเด็น
ทพ่ี จิ ารณาเกย่ี วกบั ความละเอยี ดการวดั แต่ละตวั แปรขน้ึ อยกู่ บั คาํ ถามการวจิ ยั แต่ละเร่อื ง

2) ปัจจัยด้านการดําเนินการวัด (Logistical factors) มาตรวดั ท่ีเลือกต้องไม่แพงจนเกินไป
และต้องสามารถดําเนินการไดจ้ รงิ ง่ายต่อการแปลงขอ้ มลู ใหอ้ ย่ใู นรปู แบบทง่ี ่ายต่อการนําไปใชว้ เิ คราะห์
และประเมนิ เพอ่ื นําไปสขู่ อ้ สรุปในการวจิ ยั

3) ประเดน็ จรยิ ธรรม (Ethical issues) การวดั ตอ้ งไม่ทําใหเ้ กดิ อนั ตราย (Harm) ต่อผูป้ ่ วยหรอื
มคี วามเสย่ี ง (Risk) ทจ่ี ะทาํ ใหผ้ ปู้ ่วยอาจมอี นั ตรายได้ ยกเวน้ การทดสอบทต่ี อ้ งดาํ เนนิ การอย่แู ลว้ ในผปู้ ่วย
ปกติ (Existing procedure)

4) ความสาํ คญั (Importance) ตวั วดั ทจ่ี ะถูกเลอื กควรเป็นตวั แปรทม่ี คี วามสาํ คญั ในทางวทิ ยาการ
ระบาด อาทเิ ชน่ การตาย แต่แมว้ า่ การตายจะเป็นการวดั ทถ่ี กู ตอ้ งและวดั ไดไ้ ม่ยากนกั การตายกม็ กั ไม่ถูก
เลอื กเป็นตวั วดั ในการวจิ ยั เน่ืองจากเกดิ ขน้ึ ไดไ้ ม่บ่อยนัก และช่วงเวลาของการตดิ ตามจนกระทงั่ ตายเป็น
เวลาอนั ยาวนาน ดงั นนั้ นกั วจิ ยั สว่ นใหญ่จงึ เลอื กตวั แปรทม่ี คี วามสาํ คญั รองลงมา

5) ตวั วดั ตอ้ งอ่อนไหวมคี วามสามารถในการบอกความแตกต่างมกี ฎเกณฑใ์ นการจําแนกชดั เจน
นกั วจิ ยั มกั ใชผ้ ลการวเิ คราะหท์ างหอ้ งปฏบิ ตั กิ ารเป็นตวั บอกถงึ ความแตกต่างในผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ต่อผปู้ ่วย

ความสําคญั ของการวดั ตวั แปรถือเป็นปัจจยั สําคญั ในทางวทิ ยาการระบาด แต่การวดั ตวั แปร
ก็เป็นประเด็นท่ีซบั ซ้อน ซ่ึงนักวิจัยจะต้องพิจารณาว่าตัวแปรเหล่านัน้ เก่ียวข้องกับการวิจัยหรือไม่
โดยพจิ ารณาจากวตั ถุประสงคข์ องงานวจิ ยั และสมมตฐิ านทต่ี งั้ ขน้ึ

187

หลกั การวจ� ยั สาธารณสุขขนั้ พนื้ ฐาน

ในกระบวนการวจิ ยั นักวจิ ยั จะกําหนดขอบเขตของสงิ่ ทศ่ี กึ ษาตามกรอบแนวคดิ (Conceptual
framework) ในกรอบแนวคดิ จะประกอบไปดว้ ยหลายแนวคดิ ทม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งสมั พนั ธก์ นั แต่ละแนวคดิ
(Concept นักวชิ าการบางท่านเรยี กว่า สงั กปั ) มคี วามเป็นนามธรรม (Abstract) และมคี วามเป็นกลาง
(Neutral) เป็นตัวสร้าง (Construct) ท่ีนักวิจยั สร้างข้ึนจากความคิดของตนเองเม่ือกําหนดขอบเขต
การวจิ ยั ตวั สรา้ งน้ีจะตอ้ งนํามาผา่ นกระบวนการทาํ ใหเ้ ป็นตวั แปรดว้ ยกระบวนการ 4 ขนั้ ตอน ดงั น้ี

1) นิยาม (Definition) ตวั สรา้ ง เพ่อื กาํ หนดคุณสมบตั ิ (Characteristics) ของตวั สรา้ ง เป็นการให้
รายละเอยี ดว่าในการวจิ ยั น้ีผูว้ จิ ยั กาํ หนดขอบเขตตวั สรา้ งไวก้ วา้ งขวางเพยี งใด (Operational definition)
หากสามารถกาํ หนดนิยามขอบเขตของตวั สรา้ งใหต้ รงตามทฤษฎี (Theoretical definition) กจ็ ะมลี กั ษณะ
เป็นสากล (Universal) สามารถเปรยี บเทียบกบั งานวิจยั อ่นื ๆ ไดโ้ ดยง่าย เช่น ด่มื สุราหมายถงึ การนํา
เขา้ สรู่ ่างกายทางปากโดยคดิ เป็นปรมิ าณแอลกอฮอลลบ์ รสิ ทุ ธไิ์ ม่น้อยกว่า 15 มล. ภายใน 30 วนั ทผ่ี ่านมา
แต่หากมีความเฉพาะเจาะจงใช้ได้เฉพาะในงานวิจัยช้ินน้ีเท่านัน้ ก็อาจมีความยากลําบากในการ
เปรยี บเทยี บกบั งานวจิ ยั อน่ื ๆ เช่น ด่มื สรุ าหมายถงึ การรบั รวู้ ่าตนเองเป็นคนดม่ื สรุ าในปัจจุบนั เป็นตน้

2) กําหนดตวั บ่งช้ี (Indicator) ของแต่ละคุณสมบตั ิ เป็นการบ่งบอกในรายละเอยี ดว่า ในแต่ละ
คณุ สมบตั นิ กั วจิ ยั จะสามารถวดั ค่าไดจ้ ากตวั บ่งชอ้ี ะไรบา้ ง ซง่ึ อาจมาจากขอ้ บ่งชเ้ี ดยี ว เช่น อายคุ ดิ จากอายุ
เต็มปี ท่อี ยู่คดิ ตามทะเบยี นบ้าน ฯลฯ หรอื มาจากขอ้ บ่งชห้ี ลายขอ้ เช่น ความรู้ของนกั ศกึ ษาแพทยต์ าม
เกณฑแ์ พทยสภา เป็นต้น ความเฉพาะเจาะจงของตวั บ่งช้จี ะทําให้ขอบเขตของตวั สร้างมคี วามชดั เจน
ซง่ึ จะสะทอ้ นไปถงึ ความถูกตอ้ งในการวดั

3) กําหนดระบบการให้ค่า (Value) กบั ตวั บ่งช้แี ต่ละตวั นักวจิ ยั ต้องตัดสนิ ใจว่า จะกําหนดค่า
ให้กับแต่ละตัวบ่งช้ีเป็นระดบั ของการวัด (Level of measurement) ระดบั ใด มีความละเอียดแค่ไหน
การใหค้ ่าน้ี ต้องคํานึงว่า ค่าท่ใี หน้ ้ีมลี กั ษณะเป็นวตั ถุวสิ ยั (Objective) เช่น จาํ นวนผูป้ ่ วยนอกวนั น้ี หรอื
อัตวิสยั (Subjective) เช่น ผู้ป่ วยนอกวันน้ีหนาแน่น และยังต้องพิจารณาด้วยว่า ค่าท่ีให้น้ีเป็ นค่า
ตามธรรมชาติ เช่น ออกกําลงั กายสปั ดาห์ละ 4 วนั หรอื เป็นค่าท่สี มมติขน้ึ เช่น ออกกําลงั การเพยี งพอ
ให้ 4 คะแนน

เม่ือพิจารณาประเด็นของการวดั ตัวแปรจําเป็นต้องพิจารณาประเภทของตัวแปร ซ่งึ ในทาง
วทิ ยาการระบาดจาํ แนกตามคณุ ลกั ษณะได้ 2 ประเภท คอื ตวั แปรจาํ แนกประเภท (Categorical variable)
อาทเิ ช่น ตาย-ไม่ตาย ป่วย-ไม่ป่วย แต่งงาน-ไมแ่ ต่งงาน ฯลฯ และตวั แปรต่อเน่อื ง (Continuous variable)
ซ่ึงมีทงั้ ประเภทวตั ถุวิสยั (Objective) เช่น ระดบั ความดันโลหิต ความสูง ฯลฯ และประเภทอัตวิสยั
(Subjective) เช่น ความเจ็บปวด ฯลฯ ตัวแปรจําแนกประเภท จะวัดค่าออกมาเป็ นความถ่ีและ
เป็นจํานวนนับ (บางครงั้ เรยี กว่าตวั แปรไม่ต่อเน่ือง) ในทางตรงกนั ข้ามตัวแปรต่อเน่ืองสนั นิษฐานว่า
จะมตี วั เลขต่อเน่ืองกนั ไปอย่างไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ จนเป็นอนนั ต์ (Infinity)

ภายใต้ตัวแปรจําแนกประเภท ยังสามารถแบ่งได้เป็นตัวแปรกลุ่ม (Nominal variable) และ
ตวั แปรอนั ดบั (Ordinal variable) ความแตกต่างระหว่างสองชนิดน้ี คอื ตวั แปรกลุ่มไม่สามารถจดั ลาํ ดบั
ระหว่างตวั เลอื กแต่ละตวั ได้ ทุกคําตอบมคี วามเท่าเทยี มกนั ในขณะท่ตี วั แปรอนั ดบั สามารถนําตวั เลอื ก
คาํ ตอบมาเรยี งลาํ ดบั ได้

188


Click to View FlipBook Version