The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ เรื่อง ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ พิมพิกา มหามาตย์ 2566

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ พิมพิกา มหามาตย์ 2566

วิทยานิพนธ์ หลักสูตรศิลปดุษฎีบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ สาขาวิชานาฏศิลป์ เรื่อง ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ พิมพิกา มหามาตย์ 2566

ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ “KHRUA NA-RONG” THE THAI MUSICAL PLAY พิมพิกา มหามาตย์ วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ศิลปดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ บัณฑิตศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. 2566 ลิขสิทธิ์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์


ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ พิมพิกา มหามาตย์ วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ศิลปดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานาฏศิลป์ บัณฑิตศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ พ.ศ. 2566 ลิขสิทธิ์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์


“KHRUA NA-RONG” THE THAI MUSICAL PLAY PIMPIKA MAHAMART A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF DOCTOR OF FINE ARTS PROGRAM IN PERFORMING ARTS GRADUATE SCHOOL BUNDITPATANASILPA INSTITUTE OF FINE ARTS YEAR 2023 COPYRIGHT OF BUNDITPATANASILPA INSTITUTE OF FINE ARTS


(ค) ชื่อวิทยานิพนธ์ ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ 62212204 นางสาวพิมพิกา มหามาตย์ ปริญญา ศิลปดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา นาฏศิลป์ พ.ศ. 2566 อาจารย์ที่ปรึกษาหลัก รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนา สายทองค า อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัย จันทร์สุวรรณ์ บทคัดย่อ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ 2) ประเมิน คุณภาพและความคิดเห็นของผู้ชมที่มีต่อละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ มีขอบเขตด้านระยะเวลา ในการน าเสนอผลงาน 45-60 นาที เป็นงานวิจัยสร้างสรรค์ โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยแบบผสานวิธี เก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ น ามาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ และใช้กระบวนการวิจัยเชิงปริมาณในการวิเคราะห์ข้อมูลผลการประเมิน ผลการวิจัย ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ พบว่า มีการแนวคิดจาก 1) การสร้างสรรค์ละคร มีแนวคิดในการอนุรักษ์ สืบทอด พัฒนาละครร้อง ผสมผสานรูปแบบการแสดงละครร้องให้เกิดเป็น รูปแบบใหม่ 2) แนวคิดด้านสุนทรียะในการแสดงละครร้อง และ 3) แนวคิดในการน าเค้าโครงเรื่องเดิมที่มี ความสนุกน่าติดตามมาจัดแสดง มีรูปแบบการแสดง “เล่น ร้อง ท านองไทย” โดยใช้รูปแบบการร้องเพลง 6 รูปแบบ ได้แก่ (1) การร้องสลับพูด 2) การร้องล้วน ๆ (3) การร้องเพลงเนื้อเต็ม (4) การร้องคู่ผสาน เนื้อเพลง (5) การร้องผสมการพูดเร็ว และ (6) การร้องประสานเสียง มีองค์ประกอบการแสดง คือ 1) บทละคร น าบทเก่าเรื่องพ่อเครือณรงค์มาปรับใหม่ 2) ผู้แสดง ใช้ผู้แสดงที่มีทักษะการร้องเพลง การแสดง และการสื่ออารมณ์ที่ดี 3) ดนตรีและเพลง ใช้วงดนตรีไทยแบบผสมผสาน และใช้เพลงไทยเดิม 17 เพลงบรรเลงประกอบละคร 4) ลีลาท่าทางประกอบการแสดง ใช้ท่าทางกิริยาธรรมชาติ ท่าทางก าแบ และท่านาฏศิลป์ไทย 5) เครื่องแต่งกาย แต่งตามรูปแบบและรายละเอียดของสมัยนิยมรัชกาลที่ 6 6) ฉากและอุปกรณ์ประกอบการแสดง ฉายภาพฉากผ่านจอ LED เพื่อให้เกิดความทันสมัย และใช้อุปกรณ์ ประกอบการแสดงเพื่อให้เกิดความสมจริง 7) แสง สี ประกอบการแสดง ใช้ระบบคู่สีร้อน-เย็น โทนโศกเศร้าเพื่อสื่อบรรยากาศและอารมณ์ของละคร ผลการประเมินคุณภาพ 4 ด้าน สรุปว่า มีความ พึงพอใจต่อละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ค่าเฉลี่ยรวม 4.95 ระดับความพึงพอใจมากที่สุด และความคิดเห็น สอดคล้องกันว่าเป็นละครที่ดี ต้องการให้จัดการแสดงอีกในวาระต่อไป ค าส าคัญ: ละครร้อง, เครือณรงค์, การสร้างสรรค์ละคร 302 หน้า


(ง) Thesis Title “Khrua Na-rong” The Thai Musical Play 62212204 Miss Pimpika Mahamart Degree Doctor of Fine Arts Program in Performing Arts Year 2023 Advisor Assoc. Prof. Dr. Jintana Saitongkum Co-advisor Assoc. Prof. Dr. Supachai Chansuwan ABSTRACT The purposes of this research were to 1) create the Thai musical play "Khrua Narong" and 2) evaluate the audience's satisfaction. The performance was projected to be 45 to 60 minutes long. The thesis utilized mixed method research by collecting data from related literature, interviews, and qualitative analysis to create Thai musical plays as well as statistical analysis on audience satisfaction. The study showed that 1) the Thai musical play captured the following concepts: (1) the conservation and development of musical play with advanced modification, (2) aesthetics, and (3) the fascinating original plot taken as the narrative of performance to be performed as "len rong thamong - thai" with six different singing forms (1. mixed lyrics and dialogue, 2. solely singing, 3. full lyrics, 4. duet lyrics, 5. fastdialogue combined with singing, and 6. chorus). The performing elements involved (1) the original storyline of "Phor Khrua Narong" in the more modern version, (2) the performers who have performing skills: singing, dancing and emotional expressions, (3) a Thai contemporary orchestra band with 17 pieces used for theatre, (4) the choreography derived from natural gestures, fist postures, and traditional Thai dance, (5) costumes inspired by the fashion during the reign of King Rama VI, (6) the backdrop and props with LED screen to enhance the visual reality, (7) lighting and sound with the contrast of warm and cool tones 2) The four different aspects of evaluation showed an average score of 4.95 in total as the highest score of audience satisfaction (collected from 80 audiences) with additional comment supporting the future performance of this theatrical production. Keywords: Thai musical plays, Khrua Na- rong, creation 302 pages


(จ) กิตติกรรมประกาศ ความส าเร็จของวิทยานิพนธ์เล่มนี้ ผู้วิจัยได้รับความเมตตากรุณาจากบุคคลหลายฝ่ายดังนี้ ขอกราบขอบพระคุณศาสตราจารย์ ดร.ชมนาด กิจขันธ์ ประธานกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ รองศาสตราจารย์ ดร.จินตนาสายทองค าอาจารที่ปรึกษาหลักรองศาสตราจารย์ ดร.ศุภชัยจันทร์สุวรรณ์ อาจารที่ปรึกษาร่วม อาจารย์ ดร.ชนัย วรรณะลีอาจารย์ ดร.สุรัตน์ จงดา กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ที่ได้จุดประกายความคิดในการสร้างละคร และให้ความรู้ประสบการณ์ค าแนะน าในการปรับปรุงแก้ไข งานวิจัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์รัตติยะ วิกสิกพงศ์ศิลปินแห่งชาติอาจารย์นฤมัย ไตรทองอยู่ ผู้เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อาจารย์สมชาย ทับพร ผู้เชี่ยวชาญด้านคีตศิลป์ไทย ส านักการสังคีต กรมศิลปากรอาจารย์เกษม ทองอร่าม ผู้เชี่ยวชาญการประพันธ์บทละคร วิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์และรองศาสตราจารย์ ดร.อนุกูล โรจนสุขสมบูรณ์ หัวหน้าภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่กรุณาให้ค าแนะน าในการสร้างสรรค์ละครจนเกิด ความสมบูรณ์ ในการสร้างสรรค์ละคร เรื่อง เครือณรงค์ ผู้วิจัยได้รับความเมตตาจากบุคคลหลายท่าน ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล ที่ได้กรุณาให้ข้อเสนอแนะและข้อมูลด้านละครร้อง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ฤดีชนก คชเสนี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จุลชาติ อรัณยะนาค อาจารย์นันทา น้อยนิตย์ ผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์ละครในทุกขั้นตอน ขอขอบพระคุณสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ที่สนับสนุนทุนการศึกษา และขอบพระคุณ ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติอัตถาผล ผู้อ านวยการวิทยาลัยนาฏศิลป อาจารย์ปภาวรินท์แสงเจริญ หัวหน้าภาควิชานาฏศิลป์กรุณาให้ความอนุเคราะห์นักแสดงและสถานที่ ขอบคุณนักแสดงทุกคน ที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการซ้อมละคร โดยเฉพาะคุณจารุพงศ์ จันทรีย์ คุณลักษิกา สุภาโชค คุณญาณวุฒิ ไตรสุวรรณ และคุณวุฒิชัย นราแก้ว ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานสร้างสรรค์ละครในครั้งนี้ ขอขอบคุณ สมาชิกในครอบครัวทุกคนที่เป็นก าลังใจร่วมส่งเสริมสนับสนุนทุนในการศึกษาครั้งนี้ ตลอดจนคุณครูพันธ์ศักดิ์ เอี่ยมจรูญ ที่กรุณาอนุเคราะห์อุปกรณ์รวมทั้งอาหารในการฝึกซ้อมนักแสดง และ ขอขอบคุณเพื่อนณรงค์ฤทธิ์ เชาว์กรรม คุณศันสนีย์ อ่อนสี พร้อมลูกศิษย์ครูหวาน ที่ช่วยผู้วิจัย ในการด าเนินการทุกอย่างให้ส าเร็จไปได้ด้วยดี ความส าเร็จของวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ผู้วิจัยขอถวายความจงรักภักดีแด่ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)และขอเทิดทูนพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ (บิดาแห่งละครร้อง) และ คุณจวงจันทร์ จันทร์คณา ที่ได้สร้างสรรค์ละครร้องไว้ในแผ่นดิน ให้ผู้วิจัยได้ อนุรักษ์สืบสานต่อยอดศิลปวัฒนธรรมของชาติต่อไป พิมพิกา มหามาตย์


(ฉ) สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย…………………………………………………………………………………….......…….…….... (ค) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ………………………………………………………………………………......……..……..... (ง) กิตติกรรมประกาศ……………………………………………………………………………………......…………........ (จ) สารบัญ…………………………………………………………………………………………………….......……….…..... (ฉ) สารบัญภาพ……………………………………………………………………………………………….......………….... (ซ) สารบัญตาราง.................................................................................................... ........................... (ญ) บทที่ 1 บทน า……………………………………………..............……………………...……….............…...…..... 1 1. ความส าคัญและความเป็นมาของการวิจัย…………………………………….........…….…........ 1 2. วัตถุประสงค์การวิจัย……………………….……………………………………….......………..…...... 4 3. ค าถามการวิจัย............................................................................................................ 4 4. ขอบเขตของการวิจัย………………………...……………………………………….......…......…...... 4 5. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ.......................................................................................... 5 6. นิยามศัพท์เฉพาะ……………………………………………...........…………………..........……....... 5 บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม................................................................................................... 7 1. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………. 7 1.1 แนวคิดทางการละคร……………………………………………………………………………….. 7 1.2 ทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์……………………………………………………………………………….. 12 1.3 การผลิตซ าทางวัฒนธรรม…………………..........……………………………………………… 13 2. สารัตถะที่เกี่ยวข้องในด้านละครร้อง………………………………………………………………….. 14 2.1 ความหมายของละครร้อง…………………………………………………………………………. 14 2.2 ประวัติและพัฒนาการของละครร้อง…………………………………………………………. 15 2.3 รูปแบบและองค์ประกอบของละครร้อง…………………………………………………….. 38 2.4 ละครร้องกับบริบทของสังคมไทย……………………………………………………………… 52 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………………. 53 4. กรอบแนวคิดในการวิจัย………………………………………………………………………………….. 56 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย........................................................................................................ ....... 57 1. กลุ่มบุคคลผู้ให้ข้อมูล………………………………………………………………………………………. 57 2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย……………………………………………………………………………….... 61 3. แผนการด าเนินการวิจัย…………………………………………………………………………………… 62 4. การเก็บรวบรวมและจัดกระท าข้อมูล………………………………………………………………… 63


(ช) สารบัญ (ต่อ) หน้า 5. การตรวจสอบข้อมูล…………………………………………………………………………………………. 98 6. การวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………………………… 99 7. การสรุปและน าเสนอข้อมูล………………………………………………………………………………… 99 บทที่ 4 ผลการสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่องเครือณรงค์................................................................... 100 1. การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………………………………………….. 100 1.1 แนวคิดและรูปแบบการแสดง………………………………………………………………….. 100 1.2 องค์ประกอบการแสดง……………………………………………………………………………. 111 2. การประเมินคุณภาพ และความคิดเห็นของผู้ชมที่มีต่อละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์….. 191 2.1 การเผยแพร่ผลงานละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์…………………………………………… 191 2.2 การประเมินคุณภาพและความคิดเห็นของผู้ชมที่มีต่อละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์…………………………………………………………………………………….. 196 3. องค์ความรู้ใหม่ที่ได้รับจากการสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครืณรงค์…………………….... 206 3.1 องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดขึ นต่อตนเอง…………………………………………………………….. 206 3.2 องค์ความรู้ใหม่ที่เกิดต่อวงวิชาชีพนาฏศิลป์…………………………………….…………. 210 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………….. 216 1. สรุป………………………………………………………………………………………………………………… 216 2. อภิปรายผล………………………………………………………………………………………………………. 225 3. ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………………. 227 บรรณานุกรม……………………………………………………………………………………………………………………. 228 บุคลานุกรม…………………………………………………………………………………………………………........……… 232 ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………………….......…… 233 ภาคผนวก ก บทละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์……………………………………………………………... 234 ภาคผนวก ขรายชื่อผู้เข้าชมละครร้องเรื่องเครือณรงค์ วันที่ 28กุมภาพันธ์ 2566 ณ โรงละคร ขนาดเล็กชั น 7 อาคารนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป……............................ 245 ภาคผนวก ค การแปลผลการค านวณค่าดัชนีของความสอดคล้อง (Index of ItemObjective Congruence : IOC)…………………………………………................... 250 ภาคผนวก ง การประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group)………………………………....……… 258 ภาคผนวก จ สูจิบัตรละครร้องเรื่องเครือณรงค์………………………………………………………….. 278 ภาคผนวก ฉ ประมวลภาพการแสดงละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………………...… 283 ภาคผนวก ช แบบประเมินคุณภาพผลงาน ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………… 297 ประวัติผู้วิจัย…………………………………………………………………………………………………………………….. 302


(ฌ) สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 โครงสร้างการก าเนิดของละครร้อง……………………………………………………………….… 16 2 บทละครร้อง เรื่องพระร่วง ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว………….… 41 3 บทละครร้อง เรื่องพระเกียรติรถ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว….… 41 4 กรอบแนวคิดในการวิจัย……………………………………………………………………………….. 56 5 บทละครร้องเรื่องพ่อเครือณรงค์ และขุนโรมปรปักษ์……………………………………….. 66 6 โรงละครขนาดเล็กชั้น 7 อาคารนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป………………………… 77 7 คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในการประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group)………. 91 8 คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิบันทึกภาพร่วมกับผู้วิจัยและผู้แสดง………………………… 91 9 น าเสนอละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ต่อสาธารณชน ณ โรงละครขนาดเล็ก ชั้น 7 อาคารนาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป…………………………………………………………… 97 10 การเผยแพร่ละครร้อง เรื่องเครือณรงค์ ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ ยูทูป (Youtube)…………………………………………………………………………………………. 97 11 การบูรณาการแนวคิดการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………. 105 12 โครงสร้างลีลาท่าทางที่ใช้ในละครร้องเรื่องเครือณรงค์โครงสร้างลีลาท่าทางที่ใช้ ในละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………………………………………. 154 13 สัดส่วนของลีลาท่าทางที่ใช้ในละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………… 162 14 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระรูปร่วมกับคุณเปรื่อง สุจริตกุล ในวันราชาภิเษกสมรส ทรงฉลองพระองค์ตามแบบพระราชนิยมอย่าฝรั่ง…………… 163 15 สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี และพระสุจริตสุดา (เปรื่อง สุจริตกุล) ทรงฉลอง พระองค์ตามแบบพระราชนิยม……………………………………………………………………… 164 16 พระยาสุรินทรเสวีและเจ้าสาวถ่ายภาพก่อนแต่งงานในสมัยรัชกาลที่ 6……………… 164 17 สุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ในช่วงสมัยรัชกาลที่ 6……………………………………………… 165 18 แบบร่างเครื่องแต่งกายตัวละครหลักในครั้งที่ 1……………………………………………..… 165 19 การวัดและก าหนดขนาดในการติดตั้งจอ LED…………………………………………………. 178 20 การก าหนดความละเอียดของจอ LED เพื่อเตรียมการออกแบบฉาก…………………… 178 21 อุปกรณ์ประกอบฉากที่ 1 แต่งงาน……………………………………………………………….… 182 22 อุปกรณ์ประกอบฉากที่ 2 และ 4 ฉากห้องหอ…………………………………………………… 183 23 อุปกรณ์ประกอบฉากที่ 3 ฉากบ้านเช่าซอมซ่อของเครือณรงค์…………………………… 186 24 อุปกรณ์ประกอบการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ฉากที่ 3 บ้านเช่าซอมซ่อของ เครือณรงค์………………………………………………………………………………………………….. 188


(ญ) สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 25 การน าเสนอแนวคิดและกระบวนการสร้างสรรค์ละครร้องเรื่องเครือณรงค์………… 191 26 การน าเสนอแนวคิดและกระบวนการสร้างสรรค์ละครร้องเรื่องเครือณรงค์………… 191 27 การน าเสนอละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………………………… 192 28 การน าเสนอละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………………………… 192 29 การน าเสนอละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………………………… 192 30 การน าเสนอละครร้องเรื่องเครือณรงค์………………………………………………………………. 193 31 การรับฟังข้อเสนอแนะและตอบข้อซักถามคณะกรรมการ……………………………….. 193 32 การรับฟังข้อเสนอแนะและตอบข้อซักถามคณะกรรมการ………………………………. 193 33 ผู้ชมที่ให้ความสนใจเข้าร่วมการน าเสนอผลงานณรงค์ละครร้องเรื่องเครือณรงค์.... 194 34 การน าเสนอละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ ต่อผู้ทรงคุณวุฒิประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group)………………………………………………………………………………………… 274 35 ผู้ทรงคุณวุฒิประชุมสนทนาในกลุ่มย่อย (Focus Group)……………………………….. 275 36 ผู้ทรงคุณวุฒิประชุมสนทนาในกลุ่มย่อย (Focus Group)……………………………………… 276 37 การประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group)……………………………………………………….. 277 38 สูจิบัตรละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์……………………………………………………………….. 279 39 สูจิบัตรละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………………………………………………. 280 40 สูจิบัตรละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………………………………………………… 281 41 สูจิบัตรละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………………………………………………. 282 42 การน าเสนอการแสดงละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์…………………………………………… 284 43 การน าเสนอการแสดงละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………………………….. 285 44 การน าเสนอการแสดงละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์………………………………………………….. 286 45 การน าเสนอการแสดงละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์…………………………………………………… 287 46 การแสดงละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์…………………………………………………………………… 288 47 การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ....................................................................................................... 289 48 การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ........................................................................................................ 290 49 การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ........................................................................................................ 291 50 การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ......................................................................................................... 292 51 การสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ........................................................................................................ 293 52 การฝึกซ้อมละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์................................................................................... 294 53 การฝึกซ้อมละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์................................................................................... 295 54 การฝึกซ้อมละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์................................................................................... 296


(ฎ) สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 คณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง…………………………. 27 2 คณะละครที่ปรากฏในช่วงที่ 3 การอนุรักษ์ ฟื้นฟู ละครร้อง……………………………… 37 3 ชื่อบทละครร้องในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6……………… 39 4 ที่มาของเค้าโครงเรื่องละครร้องในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)……………………………………………………………………………………………….. 40 5 บทละครร้องของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์…………………. 43 6 องค์ประกอบการแสดงของละครร้อง……………………………………………………………… 49 7 แผนการด าเนินการวิจัย………………………………………………………………………………… 62 8 การเรียงล าดับภาพในความคิด (Story Board) เพื่อล าดับเหตุการณ์ในการ สร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์……………………………………………………………. 66 9 การก าหนดรูปแบบและองค์ประกอบการแสดงของละครร้องเรื่องเครือณรงค์…….. 71 10 การซ้อมละครร้อง เรื่องเครือณรงค์………………………………………………………………… 78 11 การออกแบบการประชาสัมพันธ์ สูจิบัตร นิทรรศการ และบรรยากาศบริเวณงาน.. 86 12 ข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group)……………… 92 13 การปรับแก้ไขละครร้องเรื่องเครือณรงค์ตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ ประชุมสนทนากลุ่มย่อย (Focus Group)………………………………………………………. 96 14 การแปลค่าระดับความพึงพอใจ…………………………………………………………………….. 98 15 รูปแบบการร้องเพลงในละครร้องเรื่องเครือณรงค์……………………………………………. 107 16 การประพันธ์บทละครและกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครครั้งที่ 1………. 114 17 การประพันธ์บทละครและกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครครั้งที่ 2………. 118 18 การประพันธ์บทละครและกระบวนการปรับปรุงและพัฒนาบทละครครั้งที่ 3……… 121 19 สรุปการปรับปรุงและพัฒนาบทละครร้องเรื่องเครือณรงค์………………………………… 122 20 การก าหนดบุคลิกภาพและข้อมูลพื้นฐานของตัวละคร……………………………………… 125 21 การคัดเลือกผู้แสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์ครั้งที่ 1……………………………………… 128 22 การปรับเปลี่ยนผู้แสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………….. 132 23 ผู้แสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์……………………………………………………………………. 134 24 การพัฒนา ปรับปรุงแก้ไข ผู้แสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………….. 138 25 การบรรจุเพลงในละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ครั้งที่ 1…………………………………………. 143 26 การปรับปรุงพัฒนาการบรรจุเพลงในละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………. 145 27 การเลือกใช้เครื่องดนตรีเพื่อบรรเลงประกอบละครร้องเรื่องเครือณรงค์………………. 148 28 การปรับปรุงพัฒนาออกแบบลีลาท่าทางประกอบละครร้องเรื่องเครือณรงค์……….. 156


(ฏ) สารบัญตาราง (ต่อ) ภาพที่ หน้า 29 การออกแบบลีลาท่าทางประกอบละครร้องเรื่องเครือณรงค์……………………………. 158 30 การก าหนดสีของเครื่องแต่งกาย…………………………………………………………………… 167 31 การปรับปรุงพัฒนาการออกแบบสร้างสรรค์เครื่องแต่งกาย……………………………….. 168 32 เครื่องแต่งกายในละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………………… 169 33 การแต่งหน้าตัวละครหลักในละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………… 174 34 แบบร่างฉากประกอบการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………….. 176 35 ฉากประกอบการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………….. 179 36 แบบร่างอุปกรณ์ประกอบการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์………………………………… 180 37 อุปกรณ์ประกอบการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ฉากที่ 1 แต่งงาน…………………… 182 38 อุปกรณ์ประกอบการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ฉากที่ 2, 4 ห้องหอ…………… 184 39 อุปกรณ์ประกอบการแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ฉากที่ 3 บ้านเช่าซอมซ่อ ของเครือณรงค์………………………………………………………………………………………….. 186 40 การออกแบบแสงในละครร้องเรื่องเครือณรงค์…………………………………………………….. 189 41 การเผยแพร่ผลงานละครร้องเรื่องเครือณรงค์ผ่านสื่อออนไลน์…………………………… 194 42 อุปสรรคที่พบจากการเผยแพร่ผลงานละครร้องเรื่องเครือณรงค์………………………. 196 43 การแปลค่าระดับความพึงพอใจ…………………………………………………………………… 198 44 สรุปผลการประเมินละครร้อง เรื่องเครือณรงค์……………………………………………….. 199 45 การแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้ชมละครร้องเรื่องเครือณรงค์……….. 204


บทที่ 1 บทน ำ 1. ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของกำรวิจัย ละคร เป็นการแสดงชนิดหนึ่ง ที่ถ่ายทอดผ่านผู้แสดงออกมาเป็นเรื่องราว ก่อให้เกิด ความสนุกสนาน เร้าใจ ตื่นเต้น หรือโศกเศร้า ตามจุดประสงค์ของผู้ประพันธ์ ศิลปะการแสดงละคร เป็นการรวมเอาศิลปะหลายแขนงรวมเข้าไว้ด้วยกัน ดังเช่น นาฏศิลป์ ดนตรี วรรณกรรม วิจิตรศิลป์ ทัศนศิลป์ และนฤมิตรศิลป์เป็นต้น ละครมีด้วยกันหลายประเภท ทั้งโศกนาฏกรรม ตลกขบขัน อิงนิยาย และละครประเภทเริงรมย์ การจะแสดงสื่อสารให้ผู้ชมเข้าใจนั้น ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง การเปลี่ยนแปลงบริบททางสังคมตามยุคสมัย หรืออิทธิพลที่ได้รับเข้ามาจากต่างประเทศ ยังเป็น ประเด็นส าคัญให้การละครนั้นสามารถปรับเปลี่ยนหรือพัฒนาไปได้ตลอด ละครไทยนั้น เดิมเป็นละครร าด าเนินเรื่องตามนิทานพื้นบ้าน เมื่อได้รับการสนับสนุนจาก สถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือข้าราชบริพารก็ได้ปรับเปลี่ยนลักษณะ จากละครชาวบ้านเป็นละครที่มีความวิจิตรประณีตงดงามมากขึ้น ภายหลังละครร าแพร่หลายมาก เจ้านายต่าง ๆ นิยมมีคณะละครเป็นของตนเอง เพื่อบ่งบอกสถานะความมั่นคง มั่งคั่งของตนเอง และ ละครถูกใช้เป็นเครื่องสนองความส าราญของเหล่าข้าราชการและชาวบ้านทั่วไปอีกด้วย การละคร ยุคต้นรัตนโกสินทร์เป็นการละครร าแบบดั้งเดิม มีละครชาตรี ละครนอก และละครใน ใช้กระบวน ท่าทางนาฏศิลป์ประกอบเพื่อให้เกิดความวิจิตรงดงาม มีบทพูดแทรกบ้างในละครบางเรื่อง ต่อมาการ มีวิวัฒนาการตามการเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคม ตลอดจนบริบทการศึกษา บริบททางการเมือง และบริบทแวดล้อมต่าง ๆ มีการรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามาผสมผสาน จึงเกิดเป็น ละครชนิดใหม่หลากหลายรูปแบบ เช่น ละครดึกด าบรรพ์ ละครพันทาง ละครพูด ละครร้อง เป็นต้น อิทธิพลวัฒนธรรมของชาติตะวันตกที่ส่งผลต่อการละครของไทย คือ การน ารูปแบบการขับร้อง ในละครโอเปร่า มาผสานกับละครร าดั้งเดิมจนเกิดเป็นละครดึกด าบรรพ์ มีลักษณะส าคัญคือ ตัวละครร้องเองและร าเอง ต่อมาได้มีการพัฒนารูปแบบละครให้มีความสมจริงมากขึ้น มีการปรับใช้ อากัปกิริยาท่าทางสามัญชนในการแสดงเพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ชมได้ง่าย ด าเนินเรื่องด้วยการร้องเพลง ของตัวละคร เกิดเป็นละครรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ละครร้อง ซึ่งได้รับความนิยมมากในระยะหนึ่งด้วย ความไพเราะสุนทรีจากเพลงไทยเดิม โดยละครร้องนั้นเป็นต้นเค้ารากฐานที่ส าคัญของละครหลาย รูปแบบ ในระยะต่อมาละครร้องได้พัฒนารูปแบบไปตามความทันสมัยของเทคโนโลยีและบริบททาง สังคม จึงเกิดเป็นละครรูปแบบใหม่หลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น ละครสังคีตซึ่งพัฒนาจากละครพูด สลับล าและละครร้อง ตัวละครร้องและพูดเองไม่สามารถตัดบทพูดและบทร้องออกได้ ละครหลวงวิจิตร ที ่น าการร้องเพลงจากละครร้องมาประยุกต์ใช้กับการละครเพื ่อสร้างความตระหนักรักชาติ ละครคุณสมภพ จันทรประภาน าวิธีการร้องเพลงจากละครร้องมาปรับใช้กับบทละครประวัติศาสตร์ รวมถึงละครเพลงซึ่งเป็นละครที่พัฒนามาจากละครร้องโดยตรง มีการปรับปรุงดนตรีประกอบการแสดง


2 ให้มีความเป็นสากลนิยมมากขึ้น เป็นต้น ในปัจจุบันละครเพลงหรือมิวสิคัลได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เกิดเป็นธุรกิจการแสดงที่มีการแข่งขันกันสูง มุ่งเน้นการสร้างรายได้เป็นหลัก เป็นศิลปะเชิงพาณิชย์ (Commercial Arts) ส่งผลให้เกิดช่องว่างในด้านการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของเดิม ละครร้องเป็นศิลปะ การละครของชาติไทยที่สามารถสะท้อนความเป็นไทยได้อย่างสมบูรณ์ เนื่องจากละครร้อง ใช้เพลงไทยเดิม ในการด าเนินเรื่อง การขับร้องของตัวละครก็ร้องในรูปแบบของเพลงไทย มีการใช้ลีลาท่าทางแบบสามัญ ชนผสมผสานความประณีตงดงามของท่าร าของไทย ตลอดจนสามารถสะท้อนบริบททางสังคม ในสมัยนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน ประกอบกับสถานภาพการคงอยู่ในปัจจุบันของละครร้องไม่เป็นที่นิยม เท่าที่ควร เยาวชนและคนในสังคมให้ความสนใจในละครร้องน้อยลง คงเหลือแต่ผู้ชื่นชอบละครร้องมา ตั้งแต่ยุคเก่าที่จะรู้จักและตระหนักในคุณค่าอันสุนทรียะของละครร้อง ละครร้อง คือ ละครไทยชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ช่วงปีพ.ศ. 2448 (พูนพิศ อมาตยกุล, 2556, น. 236) ละครร้องสามารถ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือละครร้องแบบไม่มีลูกคู่ และละครร้องแบบมีลูกคู่ ส าหรับละครร้องแบบ ไม่มีลูกคู่ เป็นละครร้องที่เกิดขึ้นจากความสนพระราชหฤทัยทางด้านศิลปะการแสดงละครของ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) พระองค์ทรงปรับปรุงละครร้องแบบเดิมของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์เป็นละครร้องที่ร้องล้วน ๆ ไม่มีลูกคู่ ด าเนินเรื่อง ด้วยการร้องเพลงของผู้แสดงหรือตัวละครเองเท่านั้น ไม่มีบทพูดและเจรจาแทรก เลียนแบบจากละคร โอเปร่าของตะวันตก และปรับให้สอดคล้องกับบริบทละครของชาติไทย ทรงแสดงทัศนะไว้ว่า “ไม่ควรมีลูกคู่ส าหรับละครชั้นดี การแทรกลูกคู่ก็เท่ากับการเล่านอกบทให้ผู้ดูเข้าใจนั่นเอง นอกจากนั้นลูกคู่ก็มาช่วยร้องแข่งกับคนแสดงให้เซ็งแซ่ น่าร าคาญด้วย” (จมื่นอมรดรุณารักษ์, 2511, น. 69 อ้างถึงใน เสาวณิต วิงวอน, 2555, น. 118) ตัวละครใช้ท่าทางแบบสามัญชนล้วน แต่งกายตาม สมัยนิยม มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง ใช้วงปี่พาทย์บรรเลงประกอบการแสดง ปรากฎบทพระราชนิพนธ์ ละครร้องของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่จ านวน 7เรื่องละครเรื่องสาวิตรี เป็นละครร้อง ที่มีชื่อเสียงที่สุดของพระองค์ท่าน ละครร้องมีพัฒนาการอยู่ตลอด เป็นละครรูปแบบส าคัญที่เป็น พื้นฐานการพัฒนาให้เกิดละครชนิดอื่น ๆ อีกมากมายในภายหลัง เช่น ละครพูด ละครวิทยุ ภาพยนตร์ และละครเพลงมิวสิคัล เป็นต้น ส าหรับละครร้องแบบมีลูกคู่ เป็นละครร้องในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิป ประพันธ์พงศ์ ท่านได้น าเอารูปแบบของการแสดงละครบังสาวัน อุปรากร ละครดึกด าบรรพ์และ ละครพันทางมาผสมผสานปรับปรุงให้เป็นละครรูปแบบใหม่ขึ้น มีลักษณะการด าเนินเรื่องด้วยการร้องเพลง ผสมการเจรจา กล่าวคือ ผู้แสดงหรือตัวละครจะต้องร้องเพลงเอง กล่าวถึงค าพูดของตนเอง ส่วนในบทที่ บรรยายความรู้สึกนึกคิดของตัวละครนั้น ลูกคู่จะเป็นผู้ร้องให้ ตัวละครและลูกคู่ต้องมีความสัมพันธ์ ด้านการร้องและการสื่ออารมณ์ให้สัมพันธ์กันอย่างดีแต่งกายแบบสามัญชน ให้เข้ากับประเพณี หรือสมัยนิยมมีการเปลี่ยนฉากและสร้างฉากประกอบการแสดงเพิ่มขึ้นเพื่อให้เกิดความสมจริงตามเนื้อเรื่อง ที่แสดง ท่าทางที่ใช้เป็นท่าทางแบบสามัญชน (ก าแบ) ซึ่งได้รับการปรุงแต่งให้เกิดความงามอย่างประณีต แต่ไม่ถึงขั้นเป็นท่าร า ละครร้องแบบมีลูกคู่ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เรียกอีกอย่างว่า “ละครปรีดาลัย” เนื่องจากเป็นละครที่จัดแสดง ณ โรงละครปรีดาลัย เคยได้รับ ความนิยมมากในอดีต พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงนิพนธ์ละครส าหรับ


3 แสดงละครร้องไว้กว่า 400 เรื่อง (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2554, น. 161) ละครเรื่องที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในบรรดาละครร้องของพระองค์ ได้แก่ละครร้องเรื่อง สาวเครือฟ้า ละครร้องเรื่องสาวเครือฟ้า เป็นละครร้องที่แปลงมาจากวรรณกรรมเรื่องมาดามบัตเตอร์ฟลาย บทประพันธ์ของ จาโกโม ปุชชินี (Giacomo Puccini) (เสาวณิต วิงวอน, 2555, น. 117) คีตกวีที่มี ชื่อเสียงระดับโลก เรื่องราวกล่าวถึงความรักของทหารหนุ่มและหญิงสาวชาวเหนือ ปิดฉากลงด้วย ความโศกเศร้า ตัวละครผิดหวังในความรักและฆ่าตัวตาย นับเป็นโศกนาฏกรรมความรักที่ตรึงใจคนไทย เรื่องราวของสาวเครือฟ้ายังคงติดตรึงใจของผู้ชมมาโดยตลอดแม้ว่าเวลาจะเลยผ่านมายาวนาน กล่าวได้ว่า ต านานสาวเครือฟ้ายังสามารถสร้างความเชื่อต่อผู้ชมและผู้รับรู้เรื่องราวตามบทประพันธ์ เหมือนว่าเรื่องราวนั้นเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ละครร้องเรื่องสาวเครือฟ้า ได้รับความนิยมมากจน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ต้องประพันธ์บทละครร้องให้เป็นภาคต่อของ สาวเครือฟ้า เล่าเรื่องราวความสัมพันธ์อันซับซ้อนรุ่นลูก ในเรื่องเครือณรงค์ ละครเรื่องเครือณรงค์ เป็นผลงานพระนิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ โดยทรงนิพนธ์ให้คณะละครไฉวเวียงแสดงเมื่อราวปี พ.ศ. 2455 หรือช่วง ร.ศ. 131 ทรงใช้นามปากกา ว่าหมากพญา เป็นภาคต่อของละครเรื่องสาวเครือฟ้า บทละครแบ่งออกเป็น 2 ฉบับ ได้แก่ 1) พ่อเครือณรงค์ และ 2) ขุนโรมปรปักษ์ ขุนวิจิตรมาตราได้กล่าวเกี่ยวกับละครเรื่องเครือณรงค์ไว้ว่า “เป็นละครที่ได้รับความนิยมชมชอบจากคนดูเป็นอย่างมากเช่นเดียวกับสาวเครือฟ้า เนื่องจากเป็น ละครที่จบลงด้วยความโศกเศร้ากินใจตามแบบโศกนาฏกรรมของตะวันตก แม่ช้อยแสดงเป็นเครือณรงค์ แม่แสแสดงเป็นจ ารักษ์ แม่แก้วแสดงเป็นพวงแก้ว” (สง่า กาญจนาคพันธุ์, 2523, น. 190-191) ต่อมาในปี พ.ศ. 2498 พระนางเธอลักษมีลาวัณ ทรงประทานเค้าโครงเรื่องเครือณรงค์ให้จัดแสดงเป็น ภาพยนตร์ ฉายที่โรงภาพยนตร์ควีนส์ชื่อเรื่อง ลูกเครือฟ้า มีชนะ ศรีอุบล รับบทเป็นเครือณรงค์ อรพิน วิลัยลักษณ์รับบทเป็นพวงแก้ว จากนั้นในปี พ.ศ. 2506 สถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม ภายใต้การบริหารงานของคุณจ านง รังสิกุล ได้จัดแสดงละครเรื่องสาวเครือฟ้าต่อด้วยพ่อเครือณรงค์ ขึ้น โดยปรับบทละครใหม่ให้มีความกระชับเหมาะกับการแสดงในโทรทัศน์ มีการระดมนักแสดงที่ สามารถร้องเพลงได้มาร่วมแสดง เช่น คุณนฤพนธ์ ดุริยพันธุ์ รับบทเป็นร้อยตรีพร้อมและเครือณรงค์ คุณสว่างจิตร กาญจนเสถียร รับบทเป็นสาวเครือฟ้า คุณรอง เค้ามูลคดี รับบทเป็นจ ารักษ์ เป็นต้น อาจารย์สัมพันธ์ พันธุ์มณี เป็นผู้ก ากับการแสดง ซึ่งในการจัดแสดงครั้งนั้นมีผู้ชมให้การสนใจเป็น จ านวนมาก แต่ไม่ได้แสดงถึงเครือณรงค์ฉบับที่ 2ขุนโรมปรปักษ์ เนื่องจากเวลาจ ากัด (พูนพิศ อมาตยกุล, 2565, 23 มีนาคม, สัมภาษณ์) ละครเรื่องเครือณรงค์มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ของตัวละคร มีปมขัดแย้ง ที่ส่งผลต่อเนื่องมาจากละครสาวเครือฟ้า แสดงถึงพฤติกรรมสุดโต่งของจ ารักษ์และคุณหญิงจ าปา ที่ตัดสินใจกระท าการบางอย่างด้วยความไม่รอบคอบ สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลจากพลังความรัก ที่สามารถท าได้ทุกอย่าง โดยไม่ค านึงถึงความถูกต้อง จบลงด้วยความผิดหวังฆ่าตัวตาย เมื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ในละครกับเหตุการณ์จริงในปัจจุบันมีความเทียบเคียงใกล้กันอย่างมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในละครแม้จะเป็นเพียงเรื่องตามจินตนาการของผู้ประพันธ์ก็สามารถสะท้อน เรื่องราวกิเลสตัณหาในความรัก ความโลภ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวความรักระหว่างคู่หนุ่มสาว ความรัก


4 ในครอบครัว ความรักของแม่ ปล่อยให้อารมณ์โกรธมามีอิทธิพลเหนือตนเองจนก่อเป็นปัญหาตามมา มากมาย จากข้อมูลข้างต้นเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลากว่า 110 ปี ละครเรื่องเครือณรงค์ปรากฏจัดแสดง เพียง 3ครั้ง ในรูปแบบการแสดงที่แตกต่างกัน ซึ่งรูปแบบดั้งเดิมที่แท้จริงของละครเรื่องเครือณรงค์คือ รูปแบบละครร้องแบบมีลูกคู่ หรือที่เรียกว่าละครร้องแบบปรีดาลัย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่เคยมีผู้ใดได้รับชม มีเพียงปรากฏหลักฐานบทละคร และค าบอกเล่าผ่านตัวหนังสือเท่านั้น ผู้วิจัยจึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะน า ละครเรื่องเครือณรงค์กลับมาแสดงอีกครั้งผ่านกระบวนการสร้างสรรค์ใหม่ เพิ่มมิติความทันสมัยให้เข้ากับ พลวัตความเปลี่ยนเปลงของสังคมปัจจุบัน น าเสนอประเด็นข้อคิดเกี่ยวกับความรักเป็นส าคัญ ซึ่งหากรัก เกินรักมักเกิดทุกข์การรักด้วยความพอดีจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสม ไม่ว่าความรักนั้นจะอยู่ในรูปแบบ ความสัมพันธ์ของคู่รัก ครอบครัว หรือการรักตัวเอง ประกอบกับผู้วิจัยตระหนักถึงความส าคัญของงาน ละครร้อง ศิลปะการละครของชาติที่สามารถสะท้อนความเป็นไทย จึงมีแนวคิดที่จะน าเสนอละครร้อง เรื่องเครือณรงค์ในละครร้องรูปแบบใหม่ที่ผสมผสานรูปแบบและแบบแผนการแสดงของละครร้อง แบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ถือเป็นการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สร้างสรรค์ ละครร้อง เพื่อให้คนสังคมร่วมตระหนัก ในคุณค่าของการละครไทยแบบเดิม เพลงไทยเดิม การร้องแบบไทยดั้งเดิม เพื่อให้เกิดความหวงแหน ในศิลปวัฒนธรรมของชาติในมิติของศิลปะการแสดง อีกทั้งบูรณาการการใช้เสียงดนตรี สื่อเทคโนโลยี ที่ทันสมัยให้เข้ากับละคร กระตุ้นให้ผู้ชมได้เกิดกระบวนการเรียนรู้ข้อคิดได้ง่ายขึ้น เป็นการน าอัตลักษณ์ ที่โดดเด่นของศิลปะการละครของไทย ทุนทางวัฒนธรรมเดิมของชาติมาสร้างสรรค์ต่อยอด มุ่งเน้น ประโยชน์ด้านความบันเทิงและสุนทรียะของผู้ชม แสดงถึงความมีตัวตนท่ามกลางอารยธรรมที่หลากหลาย ในโลก เกิดเป็นคุณค่าทางสุนทรียศาสตร์หยั่งลึกเป็นรากฐานที่มั่นคงในมิติศิลปวัฒนธรรม ประเทศชาติ ก็จะสามารถเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาประเทศได้ต่อไป 2. วัตถุประสงค์กำรวิจัย 2.1 เพื่อสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ 2.2 เพื่อประเมินคุณภาพและความคิดเห็นของผู้ชมที่มีต่อละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ 3. ค ำถำมในกำรวิจัย การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ผู้วิจัยประสงค์ที่จะน าเสนอแนวทางในการสร้าง แนวคิดและรูปแบบการแสดง เพื่อน าสู่การสร้างสรรค์ละคร ผู้วิจัยจึงตั้งประเด็นค าถาม ดังนี้ 3.1 ละครร้องรูปแบบใหม่ในการสร้างสรรค์ครั้งนี้มีลักษณะและองค์ประกอบอย่างไร 3.2 ความคิดเห็นของผู้ชมที่มีต่อละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ เป็นอย่างไร 4. ขอบเขตของกำรวิจัย 4.1 ด้ำนเนื้อหำ เนื้อหาของบทละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์และขุนโรมปรปักษ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม พระนราธิปประพันธ์พงศ์ เท่านั้น


5 4.2 ด้ำนระยะเวลำ 4.2.1 การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์มีขอบเขตด้านระยะเวลา ตั้งแต่เดือน เมษายน 2564 จนถึงเดือนเมษายน 2566 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 2 ปี 4.2.2 ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ มีการก าหนดระยะเวลาในการแสดงประมาณ 45-60 นาที 4.3 ด้ำนสถำนที่ 4.3.1 สถานที่ในการด าเนินการสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่องเครือณรงค์ คือ วิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์(ศาลายา) 4.3.2 สถานที่ส าหรับการจัดแสดงละครร้องเรื่องเครือณรงค์ คือ โรงละครขนาดเล็ก ชั้น 7 วิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 4.4 ด้ำนรูปแบบกำรน ำเสนอผลงำน ผลงานดุษฎีนิพนธ์การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์น าเสนอการแสดงในละครร้อง ในรูปแบบใหม่ มีขอบเขตการน าเสนอ 45-60 นาที น าเสนอเรื่องราวส าคัญที่กระชับผ่านความขัดแย้ง ของตัวละคร ผ่านจุดสูงสุด และการคลี่คลายของละครครบถ้วน แสดงให้เห็นถึงการกระท าที่ขาดสติสะท้อน เรื่องราวความรักอันเกินความพอดีปล่อยให้อารมณ์โกรธมามีอิทธิพลเหนือตนเองจนก่อเป็นปัญหาตามมา มากมาย เนื้อเรื่องช่วงที่น าเสนอมีความสนุก เร้าอารมณ์น่าติดตาม แสดงถึงวัฒนธรรมการแต่งกาย ของบุคคลในสมัยรัชกาลที่ 6อีกทั้งในชุดที่ผู้วิจัยจะน าเสนอเป็นเรื่องราวที่มีตัวละครส าคัญครบทุกตัวละคร เนื้อหาเข้มข้น เชื่อมโยงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพเดียวกันขององค์ประกอบทุกองค์ประกอบ 5. ประโยชน์ที่คำดว่ำจะได้รับ 5.1 ได้องค์ความรู้ด้านทักษะการบริหารจัดการในการผลิตละครร้อง ที่ผสมผสานรูปแบบ การร้องแบบใหม่ และเทคโนโลยี ที่มีความแตกต่างจากละครร้องดั้งเดิม ตลอดจนด้านกระบวนการ สร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ ส าหรับผู้สนใจสร้างละคร เพื่อพัฒนาศาสตร์ทางด้านดนตรี นาฏศิลป์ รวมทั้งศิลปะการแสดงละครต่อไป 5.2 ได้นวัตกรรมละครร้องเรื่องเครือณรงค์ ที่มีรูปแบบ โครงสร้าง และลักษณะส าคัญ เฉพาะ ซึ่งสามารถน าไปใช้ประโยชน์ทางด้านการเรียนการสอน การแสดง การอนุรักษ์ การท านุบ ารุง ศิลปวัฒนธรรมของชาติ 6. นิยำมศัพท์เฉพำะ ละครร้อง หมายถึง ละครชนิดหนึ่งของไทย ด ำเนินเรื่องด้วยกำรร้องเพลง โดยมีกำรร้องเดี่ยว ร้องคู่ ร้อง 3 คน และร้องหลำยคน มีบทเจรจำแทรกเล็กน้อยเพื่อเป็นกำรย้ ำควำมในบทร้องเท่ำนั้น ใช้ท่ำทำงเลียนแบบธรรมชำติและท่ำทำงนำฏศิลป์ผสมผสำนกัน ใช้ชำยจริงหญิงแท้ แต่งกำยแบบ สำมัญชนตำมสมัยนิยม ฉำกเป็นฉำกแบบสมจริง เพลงที่ใช้บรรเลงเป็นเพลงไทยเดิม ไทยสำกล เพลงหน้ำพำทย์ เพลงละคร เป็นต้น


6 เครือณรงค์หมายถึง ชื่อเรื่องละครร้อง ที่มีเค้าโครงเรื่องมาจากบทละครเรื่องพ่อเครือณรงค์ และขุนโรมปรปักษ์ บทพระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เมื่อราว พ.ศ. 2455 เป็นเรื่องราวภาคต่อของละครเรื่องสาวเครือฟ้า เนื้อเรื่องสะท้อนเรื่องราวของความรัก ปล่อยให้อารมณ์โกรธมามีอิทธิพลเหนือตนเองจนก่อเป็นปัญหาตามมา เป็นละครที่ผู้วิจัยน ากลับมา สร้างสรรค์ใหม่ เพิ่มมิติความทันสมัยให้เข้ากับพลวัตความเปลี่ยนแปลงของสังคมปัจจุบัน ผ่านรูปแบบ การแสดง “เล่นร้องท านองไทย” ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์หมายถึง ละครที่มีแนวคิดการสร้างละครมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) แนวคิดในการการอนุรักษ์ สืบทอด พัฒนาละครร้อง ผสมผสานรูปแบบการแสดงละครร้องให้เกิด เป็นรูปแบบใหม่ 2) แนวคิดสุนทรียะและความงามในการแสดงละครร้อง และ 3) แนวคิดการน า เค้าโครงเรื่องเดิมที่มีความสนุกน่าติดตามมาจัดแสดง ผู้วิจัยก าหนดรูปแบบการแสดงไว้ว่า “เล่น ร้อง ท านองไทย” คือแสดงท่าทางออกเป็นเรื่องราวอย่างละคร มีการเปิดเรื่อง ด าเนินเรื่อง และปิดเรื่อง ในการด าเนินเรื่องนั้นให้ความส าคัญกับการร้องเพลงในรูปแบบที่หลากหลาย สอดแทรกค าเจรจา เพื่อเสริมความ ใช้ท่าแสดงกิริยาธรรมชาติท่าทางก าแบ และท่านาฏศิลป์ประกอบการแสดง ใช้เพลงท านองเพลงไทยมาปรับประยุกต์ให้เกิดความร่วมสมัยใช้กับละคร บูรณาการใช้สื่อเทคโนโลยี สมัยใหม่ในการสร้างฉาก ท่ำทำงก ำแบ หมายถึง ท่าทางกิริยาท่าทางธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดความงาม มากยิ่งขึ้น แต่ไม่ถึงกับการออกท่าทางอย่างนาฏศิลป์ ใช้การก ามือและแบมือเพื่อสื่อความหมาย โดยการก ามือนั้น มีทั้งลักษณะการก าแน่น หรือก าหลวม ส่วนการแบมือ มีทั้งลักษณะการคว่ ามือ แบมือ หงายมือ ตั้งมือ หรือผายมือ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสุนทรียะของผู้ออกแบบท่าทางให้เหมาะสม กับสิ่งที่ต้องการสื่อสาร และปรากฎการชี้นิ้วอยู่ในท่าทางก าแบด้วย โดยท่าทางนี้มักใช้กับ การแสดงละครร้อง


บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม วิทยานิพนธ์การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลแวดล้อม แนวความคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน และวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อน าสู่ กระบวนการสร้างสรรค์ละครซึ่งในบทที่ 2 นี้ผู้วิจัยได้เรียบเรียงข้อมูลแนวคิดและทฤษฎี และข้อมูล ที่เกี่ยวข้องด้านละครร้องจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ น ามาสู่การก าหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยแบ่งประเด็น การทบทวนวรรณกรรม ตามล าดับดังนี้ 1. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 1.1 แนวคิดทางการละคร 1.2 ทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ 1.3 ทฤษฎีการผลิตซ้ าทางวัฒนธรรม 2. สารัตถะที่เกี่ยวข้องในด้านละครร้อง 2.1 ความหมายของละครร้อง 2.2 ประวัติและพัฒนาการของละครร้อง 2.3 รูปแบบและองค์ประกอบของละครร้อง 2.4 ละครร้องกับบริบทของสังคมไทย 3. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4. กรอบแนวคิดในการวิจัย 1. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 1.1 แนวคิดทางการละคร 1.1.1 ความหมายของละคร วิทยานิพนธ์การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ เป็นการสร้างสรรค์ ประกอบ สร้างองค์ประกอบต่าง ๆ ของละครเข้าด้วยกัน ซึ่งมีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่ผู้วิจัยต้องเรียนรู้แนวคิด และขั้นตอนกระบวนการสร้างละคร เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สามารถสร้างสรรค์งานละครออกมาอย่าง ราบรื่นมีคุณภาพ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดการละครของนักวิชาการหลายท่าน ที่ให้ไว้ดังนี้ วิมลศรี อุปรมัย (2555, น. 101) ให้ค านิยามไว้ว่า “ละคร ก็คือการแสดงที่เป็นเรื่องราว และมีจุดมุ่งหมายคือความรู้สึกด้านอารมณ์สะเทือนใจ (Sentimental) เป็นหลักสากล เป็นการแสดง เลียนแบบชีวิต อาศัยการร้องออกท่าทาง และมีเพลงประกอบ” สดใส พันธุมโกมล (2524, น. 4) กล่าวถึง บทบาทของละคร และวิธีการแสดงออกของ มนุษย์ที่เป็นต้นก าเนิดของละครไว้ว่า ละครมีบทบาทในชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่ สมัยโบราณ นับตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีการพัฒนาการขั้นพื้นฐาน เริ่มรู้จักการแสดงออกด้วยท่าทาง การเคลื่อนไหว และน้ าเสียง เริ่มเห็นความส าคัญของการอยู่เป็นหมู่เป็นเหล่า การมีกิจกรรมและ


8 ประสบการณ์ร่วมกัน มนุษย์แทบทุกเผ่าพันธ์จะสามารถคิดค้นหาวิธีการแสดงออกที่มีลักษณะเป็น ศิลปะสร้างสรรค์ ซึ่งถือว่าเป็นต้นก าเนิดของละครที่เรารู้จักกันในสมัยปัจจุบัน นอกจากนี้ กระบวนการทางละคร ถือเป็นการสื่อสารระหว่างมนุษย์ โดยพรรัตน์ ด ารุง (2546, น 201) ได้น าเสนอแนวคิดของคาซิเมียร์ซ บราวน์ (Kazimierz Braun) ครูและผู้ก ากับ การแสดงชาวโปแลนด์ ในบทความเรื่องผู้หญิงกับการสร้างสรรค์ละครร่วมสมัยในเอเชีย ซึ่งกล่าวว่า “ละคร” เป็นกระบวนการหนึ่งในการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ที่ผ่าน เงื่อนไขทางศิลปะอย่างมีขั้นตอน ละครเป็นการสื่อสารระหว่างนักแสดงและผู้ชม ละครมีพื้นฐานจากความจริง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตและจิตใจระหว่างมนุษย์กับ มนุษย์ ละครเป็นการปรับพัฒนาเรื่องราว เรียงล าดับ ความสัมพันธ์ของกิจกรรม และการกระท าในชีวิตประจ าวันของมนุษย์ให้เป็นศิลปะ” (พรรัตน์ ด ารุง, 2546, น 201) จากข้อมูลข้างต้น ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า ละคร คือการแสดงเป็นเรื่องราว มีจุดประสงค์ให้เกิด ความสะเทือนใจต่อผู้ชม กระบวนการทางละครเป็นกระบวนการสื่อสารทางศิลปะที่ได้รับการพัฒนา เรียงล าดับความสัมพันธ์ของการกระท า การแสดงออกด้วยท่าทาง การเคลื่อนไหว และน้ าเสียงของมนุษย์ ให้มนุษย์ได้รับรู้ และละครมีองค์ประกอบต่าง ๆ เช่นการออกท่า การขับร้อง มีเพลงประกอบ และฉาก เป็นต้น 1.1.2 องค์ประกอบของละคร ในการจัดสร้างละครจะต้องค านึงถึงองค์ประกอบของละครเป็นส าคัญ เนื่องจาก องค์ประกอบต่าง ๆ จะเป็นสิ่งที่ประกอบสร้างรวมกันให้เกิดความสมบูรณ์ หากขาดซึ่งองค์ประกอบใดไป การละครก็จะเกิดความไม่สมบูรณ์ ผู้วิจัยได้ศึกษาการวิเคราะห์องค์ประกอบของละครจากหนังสือ ศิลปะการแสดงละคร หลักเบื้องต้นและการฝึกซ้อม ของมัทนี รัตนิน สามารถสรุปใจความได้ว่า องค์ประกอบของละคร ประกอบด้วย 1) เรื่องราว (Story) 2) การด าเนินเรื่องและโครงสร้าง (Plot และ Structure) 3) ตัวละคร (Character) และลักษณะแตกต่างกัน (Characterization) 4) แนวความคิดหลัก (Theme) และความคิด (Ideas) 5) บทสนทนา (Dialogue) 6) ฉาก (Setting) แสงสี (Lighting) เครื่องแต่งกาย (Costume) การแต่งหน้า (Make-up) ซึ่งมีความสอดคล้องกับนักทฤษฎีการละครคนแรก ๆ ของโลกที่กล่าวถึงองค์ประกอบของ ละคร คือ อริสโตเติล ในหนังสือประพันธศิลป์ (The Poetics) ระบุว่าละครคือการเลียนแบบ การกระท าของมนุษย์ ต่อมามีนักการละครจ านวนมาก พยายามตีความและนิยามค าว่า การเลียนแบบ (Imitation) อาทิ การเลียนแบบ หมายถึงการที่ศิลปินจินตนาการความคิดบางประการขึ้นมาจากนั้น เลือกใช้วัตถุ (เครื่องมือ) หนึ่ง ๆ เพื่อจะเติมเต็มความคิดนั้นให้ออกมาเป็นรูปธรรมส าหรับจุดประสงค์ บางประการ เป็นต้น


9 อริสโตเติลได้ให้ความส าคัญกับโศกนาฏกรรม และกล่าวว่าโศกนาฏกรรมที่ดีจ าต้อง ประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 6 ประการ ได้แก่ 1) โครงเรื่อง (Plot) โครงเรื่อง คือองค์ประกอบแรกที่มีความส าคัญที่สุดในละคร สุรพล วิรุฬห์รักษ์ (2547, น. 97) กล่าวว่า “โครงเรื่อง คือการล าดับเหตุการณ์ หรือการด าเนินเรื่องที่ต้องมีการเริ่มต้น มีตอนกลาง และมีตอนจบ” โดยโครงเรื่องจะดีได้ต้องมีเอกภาพ (Unity) ทั้งสาม (The three unities) หมายถึง เอกภาพของโครงเรื่องหรือเอกภาพของการกระท า (Unity of Plot or Unity of Action) เอกภาพของเวลา (Unity of Time) และ เอกภาพของสถานที่ (Unity of Place) หากแต่ในปัจจุบัน เอกภาพในละครจะหมายถึง “การเสนอบางสิ่งบางอย่างที่ มุ่งไปในทางเดียวกัน หรือมีบางสิ่งที่โยงเข้า ไว้ด้วยกัน เพื่อให้ความหมายของเรื่องเป็นที่เข้าใจแก่ผู้ชม” (นพมาส แววหงส์, 2556, น. 10) 2) ตัวละคร (Character) ตัวละคร คือบุคคลสมมุติที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อท าหน้าที่เลียนแบบ และน าเสนอ คุณสมบัติ ความคิด รวมไปถึงการกระท าบางอย่างที่ชัดเจน “ตัวละครในโศกนาฏกรรมเป็นบุคคลที่ ส าคัญเหนือกาลเวลา มีความดี ความกล้าหาญ มีความมั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย มีเหตุผล และ มีอุดมการณ์” (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2547, น. 101) ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นตัวละครหลักและตัวละคร ประกอบ ในการวางตัวละครผู้สร้างละครจ าเป็นต้องตีความตัวละครเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่าง ถ่องแท้ และต้องให้ความส าคัญแก่การศึกษาลักษณะนิสัยของตัวละครอย่างถี่ถ้วน 3) ความคิด (Thought) ความคิด คือ สิ่งที่ละครมุ่งเน้นจะสื่อสารแก่ผู้ชม ความคิดในที่นี้รวมถึง แก่นเรื่อง ความหมายของเรื่อง และเนื้อหาสาระต่าง ๆ ที่ผู้สร้างละครต้องการสื่อสารแก่คนดู โดยแสดงออกผ่านค าพูดและการกระท าของตัวละคร “แต่ในบางครั้งค าพูดและการกระท าของตัว ละครอาจจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับความคิดของตนในขณะนั้นเพื่อปิดบังความจริงอะไร บางอย่าง” (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2547, น. 101) ในละครทุกเรื่องจะมีความคิดบางอย่างแสดงออกมา อยู่เสมอ และความคิดของเรื่องที่ดีจะต้องสามารถให้ความหมาย และให้ผู้ชมได้น าเรื่องราวในละครมา ปรับใช้กับเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตได้ 4) ค าพูด หรือ ภาษา (Diction) ภาษา เป็นเครื่องมือส าหรับถ่ายทอดเนื้อหาสาระ และความคิดของตัวละคร ซึ่งภาษาและค าพูดของมนุษย์มีหลายรูปแบบ ภาษาที่ใช้ละครควรเป็นภาษาที่กระชับ และง่ายต่อ การเข้าใจ ใช้ค าน้อยแต่กินความมาก ไม่เยิ่นเย้อ และที่ส าคัญ คือ ต้องเป็นภาษาที่พบได้ในชีวิตจริง ๆ ของมนุษย์ ทั้งนี้เมื่อผู้ชมได้ยินค าพูดแล้วควรเข้าใจอย่างทันทีการเลือกสรรค า การเล่นค า การเล่น เสียงโวหารภาพพจน์ ความเปรียบเปรย มักมีส่วนช่วยให้ผู้ชมเกิดจินตภาพและอารมณ์สะเทือนใจมากยิ่งขึ้น ดังที่ สรุพล วิรุฬห์รักษ์ (2547, น. 102) กล่าวไว้ว่า “เพื่อให้เกิดความสุนทรีทางวรรณศิลป์ค าพูด ธรรมดาสามัญนั้นให้ความชัดเจนก็จริงอยู่ แต่ค าพูดที่กลั่นกรองให้สละสลวยจะน่าฟังและน่าสนใจกว่า” การเลือกใช้ภาษาและค าพูดจึงจ าเป็นต้องพิจารณาให้รอบคอบ


10 5) เสียง หรือ เพลง (Sounds) เสียง จ าแนกได้ 3 ประเภท กล่าวคือ เสียงที่นักแสดงพูด เสียงเพลงดนตรี และ เสียงประกอบต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องพิจารณาให้ประสานกลมกลืนกันไป จะสามารถช่วย ถ่ายทอดอารมณ์ และเรื่องราวต่าง ๆ ของเรื่องและตัวละครได้ดี โศกนาฏกรรมจึงมีเพลงเป็นส่วน ส าคัญในการด าเนินเรื่อง นักร้องจะท าหน้าที่เป็นตัวละครและผู้ร้องด้วย ซึ่งการสอดแทรกเพลงเข้าไป ในละครนั้น ผู้สร้างสรรค์มักท าเพื่อให้เกิดความไพเราะ หรือเพื่อบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ได้อรรถรส หรือแม้แต่ความเงียบก็นับเป็นเสียงที่สามารถสื่ออารมณ์ของตัวละครได้สุรพล วิรุฬห์รักษ์ (2547, น. 102) ได้เสนอทรรศนะเกี่ยวกับเสียงในโศกนาฏกรรมไว้ว่า “ท านองเพลง จังหวะ และฉันทลักษณ์ จึงต้องจัดให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และอารมณ์ในท้องเรื่อง” 6) ภาพ หรือ ความตระการตา (Spectacle) ภาพ หมายถึง สิ่งที่เห็นแจ้งแก่สายตาผู้ชมในระหว่างดูละคร ได้แก่ ฉาก เครื่องแต่ง กาย อุปกรณ์ประกอบฉาก แสงสี รวมถึงการกระท าของตัวละครและท่าทางของตัวละคร โศกนาฏกรรมมักมีเนื้อหาที่จริงจัง แต่ภาพที่ปรากฏบนเวทีการแสดงก็จ าเป็นต้องสร้างความประทับใจ ให้ตระการตาต่อคนดู ด้วยละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ เป็นโศกนาฏกรรม ผู้วิจัยได้น าแนวคิดองค์ประกอบ ของละครมาใช้เป็นแนวทางในการก าหนดสร้างสรรค์โครงเรื่อง บุคลิกของตัวละคร ความคิด ภาษา เสียง และภาพในละคร 1.1.3 กระบวนการสร้างสรรค์ละคร ในการสร้างสรรค์ละครให้ประสบความส าเร็จ ผู้วิจัยต้องศึกษาขั้นตอนในการด าเนินงาน ก าหนดหน้าที่ความรับผิดชอบต่อฝ่ายต่าง ๆ ให้มีความเข้าใจตรงกัน จากการศึกษาข้อมูลในประเด็น กระบวนการสร้างสรรค์ละคร กุสุมา เทพรักษ์ (2555, น. 86) ได้เสนอกระบวนการสร้างละคร ไว้ว่ามี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นเตรียมการแสดง ขั้นการแสดง และขั้นประเมินผล ผู้วิจัยสรุปใจความส าคัญ ได้ดังนี้ 1) ขั้นเตรียมการแสดง ประกอบด้วย (1) การเตรียมงานของฝ่ายอ านวยการแสดง หรือฝ่ายผู้อ านวยการสร้าง (Producer) โดยรวบรวมทุนและผู้มีความรู้ในด้านต่าง ๆ เพื่อก าหนดวัตถุประสงค์ รูปแบบใน การสร้างละครให้มีความชัดเจน รวมถึงการคัดสรรผู้ปฏิบัติหน้าที่ต่าง ๆ ให้มีความเหมาะสม (2) การคัดเลือกบทประพันธ์ เขียนบท ดัดแปลงบท ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัย การค้นคว้า รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูล และตัดสินใจเลือก ว่าจะใช้บทละครเดิมที่มีอยู่แล้ว หรือน าบทละคร มาดัดแปลง หรือเขียนบทละครขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของจุดประสงค์ในการจัดละคร (3) การคัดเลือกและแบ่งหน้าที่รับผิดชอบของคณะท างาน โดยคัดเลือกจาก ความสามารถและความสมัครใจ โดยแบ่งเป็นฝ่าย เช่น ฝ่ายก ากับการแสดง ฝ่ายดนตรี ฝ่ายเครื่อง แต่งกาย ฝ่ายฉากและอุปกรณ์ ฝ่ายธุรการ เป็นต้น (4) จัดหาสถานที่ส าหรับใช้แสดง โดยคัดเลือกโรงละคร หรือ สถานที่ที่มีขนาด เหมาะสมกับเรื่องราวที่จะแสดง พิจารณาด้านเสียงและฉากประกอบในการจัดหาสถานที่แสดง


11 (5) เตรียมการผลิตละคร โดยการให้ทีมงานเบื้องหลังฝ่ายต่าง ๆ แยกย้ายไป ท างานที่ได้รับมอบหมาย (6) การคัดเลือกนักแสดง เป็นขั้นตอนที่มีความส าคัญต่อความส าเร็จของละคร เป็นอย่างมาก หากคัดเลือกตัวละครที่มีลักษณะคล้ายกับบุคลิกของตัวละครจะส่งผลให้การท างาน ในด้านการก ากับง่ายขึ้น รวมทั้งผู้ชมก็จะเชื่อและคล้อยตามตัวละครนั้น ๆ (7) การซ้อมละครตามล าดับขั้นต่าง ๆ ซึ่งการซ้อมมากจะท าให้ละครได้มาตรฐาน มากผู้สร้างสรรค์งานละครจะได้เรียนรู้กระบวนการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในการซ้อมนั้นมีหลาย ขั้นตอน ได้แก่ 1) ซ้อมเพื่อท าความเข้าใจและตีความบทละครร่วมกัน 2) ซ้อมล าดับการเคลื่อนไหวไป ยังจุดต่าง ๆ บนเวที3) ซ้อมเพื่อพัฒนารายละเอียดปลีกย่อย4) ซ้อมในสภาวะแวดล้อมจริง หรือซ้อมใหญ่ (8) การออกแบบองค์ประกอบ ฉาก อุปกรณ์ ดนตรี เสียง เครื่องแต่งกาย แสง โปสเตอร์ สูจิบัตร บัตรเข้าชมละคร เพื่อภาพรวมในครั้งสุดท้ายให้เกิดความสมบูรณ์มากที่สุด ตลอดจนแก้ไขปัญหาร่วมกัน (9) การประชาสัมพันธ์ และการจ าหน่ายบัตร (10) การเก็บรายละเอียดภาพรวม เช่น การออกแบบบรรยากาศหน้าโรงละคร การออกแบบแบบสอบถาม เป็นต้น 2) ขั้นการแสดง เป็นขั้นของการสื่อสารโดยตรงระหว่างผู้แสดงกับผู้ชม ในขั้นตอนนี้ มีการท างานผ่านกระบวนการกลุ่มค่อนข้างมาก ทีมสร้างสรรค์จะต้องมีส่วนร่วมในงานทุกส่วน ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้เพราะจะส่งผลต่อภาพรวมของละครที่จะสื่อสารไปยังผู้ชม โดยในขั้น การแสดงนี้ทีมงานทุกคนต้องหายใจเป็นจังหวะเดียวกันเพื่อให้งานทุกอย่างออกมาราบรื่น 3) ขั้นประเมินผล เป็นขั้นตอนหลังการแสดงคือประชุมสรุปงานน าปัญหาที่พบเจอ ระหว่างการท างานมาสรุปและประมวล น าผลจากแบบสอบถามมาวิเคราะห์สรุปในขั้นตอนนี้ ผู้สร้างสรรค์จะต้องลดอัตตาและรับฟังสิ่งที่ผิดพลาดระหว่างการท างานหรือระหว่างการแสดงที่ สะท้อนมาจากคนท างานร่วมกันหรือผู้ชม นอกจากกระบวนการสร้างสรรค์ละครข้างต้นนั้น ผู้วิจัยได้ท าการศึกษาข้อควรค านึงในการจัด หรือสร้างละครเรื่องหนึ่ง ๆ ซึ่งวิมลศรีอุปรมัย (2555, น. 254 - 255) ได้เสนอไว้ดังรายละเอียด ต่อไปนี้ 1) วิธีจัดองค์กร 2) เวที 3) บท 4) การเข้าถึงบทหรือตีบท 5) ท าอย่างไรจึงจะจัดให้ตรงกับ เจตนารมณ์ของผู้ประพันธ์ 6) หลักการและวิธีการ 7) แจกบทหรือเลือกผู้แสดง 8) จัดหน้าที่ออกเป็นฝ่าย ๆ 9) การเคลื่อนไหวบนเวที 10) ธุรกิจการเงิน 11) วิธีการพูดของตัวแสดงตามบท 12) เวลาขณะก าลัง แสดงและการจัดสถานการณ์ให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ตอนนั้น 13) สร้างตัวละครให้มีชีวิตชีวา 14) เทคนิคการแสดง 15) ปัญหาพิเศษต่าง ๆ 16) ออกแบบฉาก 17) สร้างฉาก 18) พัสดุการละคร 19) เครื่องแต่งกาย 20) การแต่งหน้า 21) แสง เสียง และงานเสริมบรรยากาศ 22) ชั้นต่าง ๆ ของการด าเนินการจัด 23) การเงิน จากการศึกษาแนวคิดทางการละคร ในเรื่องกระบวนการสร้างละคร ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า กระบวนการสร้างสรรค์ละคร แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ ๆ คือ ขั้นเตรียมการแสดง ขั้นการแสดง และขั้นประเมินผล โดยกระบวนการขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมการแสดงจะมีรายละเอียดการเตรียม การออกแบบ การซ้อม การแบ ่งหน้าที ่ ถือเป็นขั้นตอนที ่มีความส าคัญมากที ่ส ุด ซึ ่งหาก


12 ผู้สร้างสรรค์มีการเตรียมการในองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ดี มีกระบวนการออกแบบที่ครอบคลุมก็จะ ส่งผลให้กระบวนการขั้นที่ 2 ขั้นการแสดง และกระบวนการขั้นที่ 3 ขั้นประเมินผล มีความผิดพลาด และพบปัญหาน้อย อย่างไรก็ตามยังมีข้อควรค านึงในการสร้างสรรค์งานละครให้ผู้สร้างสรรค์พิจารณา อีก 23 ประเด็น ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการข้างต้น การสร้างสรรค์ละครจะมีความสมบูรณ์ได้ ย่อม เกิดจากการท างานร่วมกันของทุกฝ่ายและทุกกระบวนการ โดยทุกฝ่ายมีการพูดคุย ยอมรับ ปรับแก้ไข ปัญหาร่วมมือร่วมแรงในการจัดสร้าง หรือสร้างสรรค์ละคร ผู้วิจัยจึงน าแนวคิดในการเรื่องกระบวนการสร้างสรรค์ละคร มาใช้เป็นแนวทางใน การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ โดยละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ จะมีกระบวนการ สร้างสรรค์แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นเตรียมการแสดง ขั้นการแสดง และขั้นประเมินผล นอกจากนี้ผู้วิจัยพิจารณาข้อควรค านึงในการสร้างสรรค์งานละครทั้ง 23 ประเด็นข้างต้นในการสร้างละครร้อง เรื่องเครือณรงค์เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ในการสร้างสรรค์ละครมากที่สุด 1.2 ทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ การสร้างสรรค์งานนาฏศิลป์ เป็นกระบวนการสร้าง การผลิตงานศิลปะด้านนาฏศิลป์ออกมา ให้มีความใหม่ บนพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในประเด็นที่จะท าการสร้างสรรค์ โดยผู้วิจัยจะต้องมี กระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล มีประสบการณ์ และที่ส าคัญคือมีจินตนาการ งานสร้างสรรค์ จึงจะเกิดความสมบูรณ์เป็นเอกภาพ ซึ่งในการสร้างสรรค์งานทางด้านนาฏศิลป์นั้นผู้วิจัยได้ศึกษา ทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ของสุรพล วิรุฬห์รักษ์(2547, น. 225) ดังนี้ นาฏยประดิษฐ์ หมายถึง การคิด การออกแบบ และการสร้างสรรค์แนวคิด รูปแบบ กลวิธี ของนาฏศิลป์ชุดหนึ่ง ที่แสดงโดยผู้แสดงคนเดียวหรือหลายคน ทั้งนี้รวมถึง การปรับปรุงผลงาน ในอดีตนาฏยประดิษฐ์จึงเป็นการท างานที่ครอบคลุม ปรัชญา เนื้อหา ความหมาย ท่าร า ท่าเต้น การแปรแถว การตั้งซุ้ม การแสดงเดี่ยว การแสดงหมู่ การก าหนดดนตรี เพลง เครื่องแต่งกาย ฉาก และส่วนประกอบอื่น ๆ ที่ส าคัญในการแสดงท าให้นาฏศิลป์ชุดหนึ่ง ๆ สมบูรณ์ตามที่ตั้งใจไว้คือ ผู้ออกแบบนาฏยศิลป์ เรียกกันโดยทั่วไปว่า ผู้อ านวยการฝึกซ้อมหรือผู้ประดิษฐ์ท่าร าหรือ นักนาฏยประดิษฐ์ ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษว่า Choreographer โดยทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ ของสุรพล วิรุฬห์รักษ์ ได้ก าหนดขั้นตอนการท างานของ นาฏยประดิษฐ์ไว้ 7 ขั้นตอน ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) การคิดให้มีนาฏศิลป์ คือ เหตุผลที่เกิดการสร้างนาฏศิลป์ในโอกาสต่าง ๆ ได้แก่ พิธีกรรมและพิธีการ ส่งเสริมกิจกรรม เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ทางศิลป์ หรือพัฒนาอาชีพ 2) การก าหนดความคิดหลัก เพื่อให้ผลงานเป็นไปตามเจตนารมณ์ของผู้สร้างสรรค์ มี 2 ระดับ คือ (1) ระดับเป้าหมาย หมายถึง การก าหนดให้ชัดเจนว่านาฏศิลป์ชุดที่เกิดขึ้นนี้ เพื่ออะไรและเพื่อใคร (2) ระดับวัตถุประสงค์ การน าเอาเป้าหมายมาก าหนดเป็นสิ่งที่ประสงค์จะให้เกิดขึ้น ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์


13 3) การประมวลข้อมูล คือ การรวบรวมข้อมูลมาเป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ ข้อมูลมี 2 ลักษณะ คือ (1) ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง คือ ความรู้ต่าง ๆ ที่สืบค้นได้ และน ามาพิจารณา เพื่อใช้ประกอบความคิดให้เป็นรูปเป็นร่าง (2) ข้อมูลที่เป็นแรงบันดาลใจ คือ ข้อมูลที่กระตุ้นหรือเสริมให้ผู้สร้างสรรค์คิด นาฏศิลป์ชุดนั้นไปในแนวใดแนวหนึ่ง ข้อมูลนี้มักเป็นงานศิลปะสาขาต่าง ๆ ทั้ง นาฏศิลป์ ทัศนศิลป์ ดุริยางคศิลป์ และวรรณศิลป์ 4) การก าหนดขอบเขต หมายถึง การก าหนดให้การแสดงครอบคลุมเนื้อหาสาระ อะไรบ้าง และอย่างไรบ้าง เช่น รูปแบบของการแสดง จ านวนผู้แสดง เวลาที่ใช้ในการแสดง ขนาดของ พื้นที่การแสดง งบประมาณในการจัดการแสดง การก าหนดขอบเขตของการสร้างสรรค์จะช่วยให้ นักนาฏยประดิษฐ์ มิคิดอะไรเกินกว่าที่จะท าได้จริง 5) การก าหนดรูปแบบ มีวิธีก าหนดได้หลายแนวทาง ได้แก่ (1) ก าหนดให้อยู่ในหนึ่งนาฏยจารีต การคิดสร้างสรรค์โดยน าแบบแผนนาฏศิลป์ ที่มีโครงสร้างเดิมมาเป็นหลักในการสร้างสรรค์ (2) ก าหนดให้เป็นการผสมผสานหลายนาฏยจารีต เช่น ระหว่างจารีตประเพณีกับ การแสดงร่วมสมัย การแสดงนาฏศิลป์ไทยกับบัลเล่ต์ เป็นต้น (3) ก าหนดให้ประยุกต์จากนาฏยจารีตเดิม โดยน าลักษณะเด่น โครงสร้าง ท่าทาง หรือเทคนิคบางอย่างมาเป็นหลักแล้วผู้สร้างสรรค์พยายามบุกเบิกแสวงหาท่าทางใหม่ ๆ มาใช้ใน การออกแบบ (4) ก าหนดให้อยู่นอกนาฏยจารีตเดิม 6) การก าหนดองค์ประกอบอื่น ๆ ได้แก่ ผู้แสดง รูปแบบเครื่องแต่งกาย รูปแบบฉาก รูปแบบเพลง รูปแบบแสง รูปแบบเสียง เป็นต้น 7) มีลักษณะคล้ายกับการออกแบบทัศนศิลป์ ซึ่งสามารถน าทฤษฎีทางทัศนศิลป์ และ ทฤษฎีแห่งการเคลื่อนไหวมาใช้ เนื่องจากละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ เป็นงานสร้างสรรค์ทางด้านนาฏศิลป์ หรืองานนาฏยประดิษฐ์ ผู้วิจัยจึงน าทฤษฎีนาฏยประดิษฐ์ ของสุรพล วิรุฬห์รักษ์ มาเป็นตัวก าหนดขั้นตอนการท างาน เพื่อให้งานสร้างสรรค์ทางนาฏศิลป์ชิ้นนี้ มีความสมบูรณ์ครอบคลุมในทุกขั้นตอนและองค์ประกอบ เป็นการวางแนวทางให้การสร้างสรรค์ละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ มีทิศทางที่ชัดเจนก่อน การด าเนินการจริง ตลอดจนพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาในทุกกระบวนการ 1.3 แนวคิดการผลิตซ ้าทางวัฒนธรรม 1.3.1 ความหมายของการผลิตซ้ าทางวัฒนธรรม กรณิศา พานิชเกษม (2561, น. 18) กล่าวอธิบายเกี่ยวกับ ความหมายของการผลิตซ้ า ทางวัฒนธรรม ไว้ว่า การผลิตซ้ าทางวัฒนธรรมเป็นกระบวนการที่รองรับความยั่งยืน และ เป็นหลักประกันความต่อเนื่องของวัฒนธรรม เมื่อเกิดวัฒนธรรมขึ้นต้องผลิตซ้ าเพื่อสืบทอดวัฒนธรรม ถ้าวัฒนธรรมที่ก าเนิดขึ้นมาใหม่ไม่ได้รับการผลิตซ้ าทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมนั้นก็จะมีอายุสั้น ๆ แล้ว ก็สูญหายไป


14 ซึ่งเย็นจิตร ถิ่นขาม และ มณีชัย ทองอยู่ (2552 น. 92) ได้กล่าวเกี่ยวกับแนวคิดการผลิตซ้ า ทางวัฒนธรรมไว้ว่า การผลิตซ้ าทางวัฒนธรรม คือการถ่ายทอดคุณค่า ประเพณีทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง และหมายความรวมถึงกระบวนการของความต่อเนื่องของประสบการณ์ทาง วัฒนธรรมที่ยังด ารงอยู่แม้เวลาจะล่วงเลยไป การผลิตซ้ าทางวัฒนธรรมมักเป็นผลลัพธ์ของการผลิตซ้ า ทางสังคมหรือเป็นกระบวนการของการถ่ายทอดมุมมองหรือหลักเกณฑ์ทางสังคมจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง สอดคล้องกับบูร์ดิเยอ (Bourdieu) (Bourdieu, 1989 pp. 466 อ้างถึงใน รุ้งนภา ยรรยง เกษมสุข, 2550, น. 55-57) ที่ได้ให้ความคิดเห็นการผลิตซ้ าทางวัฒนธรรมและยุทธศาสตร์ของ การผลิตซ้ าทางวัฒนธรรม ว่า การผลิตซ้ าทางวัฒนธรรมคือ ยุทธศาสตร์ซึ่งเกิดมาจากการที่แต่ละ บุคคลรับรู้ถึงกฎกติกาในกลุ่มสังคมและน าไปปฏิบัติตามสถานการณ์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะรักษา หรือเพิ่มพูนทรัพย์สินทั้งในระดับบุคคลและระดับกลุ่ม รูปแบบยุทธศาสตร์การผลิตซ้ ามี 2 รูปแบบ คือ 1) ยุทธศาสตร์การผลิตซ้ า (Reproduction Strategy) เป็นกระบวนการด ารงและพัฒนาสถานะ และ 2) ยุทธศาสตร์การแปลงซ้ า (Reconversion Strategy) เป็นกระบวนการป้องกันรักษาและปรับปรุง ต าแหน่งของแต่ละคนในโครงสร้างสังคม จากนักวิชาการทั้ง 3 ท่าน ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า การผลิตซ้ าทางวัฒนธรรมคือกระบวนการ การถ่ายทอดคุณค่าของประเพณี หรือวัฒนธรรม เกิดขึ้นจากการรับรู้กฎกติกาในกลุ่มสังคม และน าไป ปฏิบัติตาม เพื่อรักษา รองรับความยั่งยืน และเป็นหลักประกันความต่อเนื่องของวัฒนธรรมที่จะไม่สูญ หายไป การผลิตซ้ าทางวัฒนธรรมมักเป็นผลลัพธ์ของการผลิตซ้ าทางสังคม หรือเป็นกระบวนการของ การถ่ายทอดมุมมองหรือหลักเกณฑ์ทางสังคมจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่งซึ่งกระบวนการผลิตซ้ า ทางวัฒนธรรมนั้นประกอบไปด้วย 1) การผลิต 2) การเผยแพร่ 3) การบริโภค และ 4) การผลิตซ้ า ผู้วิจัยน าแนวคิดการผลิตซ้ าทางวัฒนธรรมมาใช้เพื่อรองรับว่า การผลิตละครร้อง เรื่อง เครือณรงค์ เป็นกระบวนการหนึ่งที่จะสามารถถ่ายทอดคุณค่าของวัฒนธรรมในชาติไทยไว้มิให้สูญหาย 2. สารัตถะที่เกี่ยวข้องในด้านละครร้อง 2.1 ความหมายของละครร้อง ละครร้องเป็นศิลปะการแสดงประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากสังคมไทยอย่างมาก และ เป็นต้นแบบของการแสดงและละครในประเภทต่าง ๆ สืบมาจนถึงปัจจุบัน เช่น ละครเพลง มิวสิคัล ละครโทรทัศน์ จากการศึกษามีผู้ให้ความหมายและนิยามละครร้องไว้หลายท่าน ดังนี้ พวงเพ็ญ สว่างใจ (2531, น. 21) กล่าวว่า “ละครร้องเป็นศิลปะการแสดงประเภทหนึ่งที่มี การด าเนินเรื่องด้วยการขับร้องเป็นส าคัญ ขณะที่ผู้แสดงขับร้องเพลงนั้นมีการบรรเลงดนตรีคลอและ บรรเลงรับ อีกทั้งมีลูกคู่ขับร้องประกอบด้วย ละครร้องไม่มีการร่ายร าแต่มีการแสดงกิริยาท่าทางและ อารมณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ” อัจฉราวรรณ ภู่สิริวิโรจน์ กล่าวว่า “ละครร้องเป็นละครที่ใช้ศิลปะการร้องเป็นหลักในการ ด าเนินเรื่อง อาจจะมีการพูดแทรก หรือไม่มีก็ได้ แต่บทพูดมิใช่ส่วนส าคัญ หากตัดออกก็มิได้ท าให้ ความเข้าใจในท้องเรื่องเสียไป” (อัจฉราวรรณ ภู่สิริวิโรจน์, 2543, น.45)


15 พูนพิศ อมาตยกุล (2548, น. 18) กล่าวว่า ละครร้อง หมายถึง ละครเวทีแบบหนึ่งของไทย ที่ใช้การขับร้องด าเนินเรื่องราวตลอดเรื่อง ในบางโอกาสที่เรื่องราวนั้นมีบทของตัวตลก อาจมีบทเจรจา แทรกบ้างเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่ส าคัญที่สุดคือใช้การขับร้องเป็นพื้น โดยผู้แสดงจะร้องน าเป็นต้นบท แล้วใช้ลูกคู่ผู้หญิงหลาย ๆ คนช่วยร้องเอื้อนหรือร้องข้อความต่อจากบทต้น ทั้งนี้ลูกคู่เหล่านั้นอาจไม่ ปรากฏตัวบนเวทีแต่ร้องอยู่ข้างหลังฉากแทน แต่ในกรณีที่ฉากนั้นต้องการผู้แสดงประกอบฉากหลาย คนลูกคู่ก็จะปรากฏในฉากด้วย ละครร้องไทยดั้งเดิมใช้ผู้แสดงหญิงล้วน อาจมีตัวละครผู้ชายบ้าง เฉพาะที่แสดงเป็นตัวตลกหรือตัวแสดงติดตามพระเอกเท่านั้น การแต่งกายมักแต่งให้เข้ากับเนื้อเรื่อง หรือตามสมัยนิยมนั้น ๆ คมคาย กลิ่นภักดี (2553, น. 5) กล่าวว่า ละครร้อง คือ ละครที่จัดแสดงบนเวที แบ่งการ แสดงเป็นองก์และฉาก ด าเนินเรื่องด้วยการขับร้องเป็นส าคัญ อาจจะแทรกบทเจรจาบ้าง (แต่ก็ไม่ใช่ การด าเนินเรื่อง) ผู้แสดงไม่ใช้กระบวนร า เพลงที่ใช้บรรเลงเป็นเพลงไทยของเก่าประเภทเพลงเกร็ด ไม่นิยมใช้หน้าพาทย์ เนื้อเรื่องมักเป็นละครสั้นประเภทบันเทิงคดี เรื่องชวนหัว เรื่องพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ หรือเรื่องแปลจากต่างประเทศ นิยมใช้ผู้หญิงแสดงล้วน ตัวตลกเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย พันธกานต์ ใบเทศ (2562, น. 95) กล่าวว่า ละครร้อง เป็นละครเวทีอย่างหนึ่งของไทย ใช้การขับร้องและบรรเลงดนตรีเป็นหลักในการน าเสนอเรื่องราวของละครตลอดทั้งเรื่องอาจมีการใช้ บทสนทนาแทรกเล็กน้อย เช่น การพูด การชักชวนของตัวละครเพื่อให้ช่องว่างของบทนั้นสมบูรณ์ โดยมากมักเป็นบทเจรจาที่อาศัยปฏิภาณของตัวตลก แต่ที่ส าคัญที่สุดคือการใช้การขับร้องเป็นพื้นฐาน โดยผู้แสดงจะต้องเป็นผู้ขับร้องเอง จากนิยามต่าง ๆ ข้างต้น ผู้วิจัยสามารถสรุปได้ว่า ละครร้องเป็นศิลปะการแสดงของไทย รูปแบบหนึ่งที่ด าเนินเรื่องด้วยการขับร้องเป็นหลัก แบ่งการแสดงเป็นองก์และฉาก ผู้แสดงไม่ใช้ กระบวนร าแต่มีการแสดงกิริยาท่าทางและอารมณ์ที่เป็นไปตามธรรมชาติ เพลงที่ใช้ในการด าเนินเรื่อง เป็นเพลงไทยประเภทเพลงเกร็ด อาจมีการแทรกบทเจราจาเข้ามาเพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่าง บทละคร เดิมใช้ผู้แสดงหญิงล้วน ต่อมาได้มีการปรับเปลี่ยนให้สมจริงมากยิ่งขึ้นโดยการใช้ผู้แสดงชาย จริงหญิงแท้ แต่งกายเหมาะสมเนื้อเรื่องหรือตามสมัยนิยมนั้น ๆ เรื่องราวมักเป็นละครสั้นประเภท บันเทิงคดี เรื่องชวนหัว เรื่องพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ หรือเรื่องแปลจากต่างประเทศ 2.2 ประวัติและพัฒนาการของละครร้อง 2.2.1 ประวัติละครร้อง ละครร้อง เป็นศิลปะการแสดงที่ถือก าเนิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ปี พ.ศ. 2448 (พูนพิศ อมาตยกุล, 2556, น. 236) ผู้ริเริ่มละครร้องเป็นคนแรก คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์จากการศึกษาวิเคราะห์เอกสารและงานวิจัย นักวิชาการหลายท่านได้สรุปการก าเนิดละครร้องไว้แตกต่างกัน ซึ่งเป็นการสันนิษฐานข้อมูลจาก หลักฐานที่ท่านต่าง ๆ ค้นพบ มีรายละเอียดดังนี้ สุรพล วิรุฬห์รักษ์ (2547, น. 243) ได้เสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการเกิดละครร้องไว้ว่า ละครร้องของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรม พระนราธิปประพันธ์พงศ์ควรมี“เค้า” มาจากสามทาง เป็นอย่างน้อย ทางหนึ่งคือจากละครพันทางที่ทรงจัดแสดงอยู่ก่อนแล้ว ทางที่สองคือจากละครดึกด าบรรพ์


16 และทางที่สามคือจากละครบังสาวัน เมื่อทรงน าละครทั้งสามประเภทมาผสมผสานกัน จึงเกิดเป็น ละครร้องขึ้น สอดคล้องกับคมคาย กลิ่นภักดี (2553, น. 100) ที่ได้กล่าวเกี่ยวกับละครบังสาวันว่าเป็น ต้นก าเนิดของละครร้อง ไว้ว่าละครร้องนั้นอาจมีต้นก าเนิดมาจากการแสดงของชาวมลายูเรียกว่า บังสาวัน (Malay Opera) ซึ่งได้เคยเล่นถวายรัชกาลที่ 5 ทอดพระเนตรครั้งแรกที่เมืองไทรบุรีครั้งแรก ที่เสด็จฯ เยือนแหลมมลายูและต่อมาละครบังสาวันได้เข้ามาแสดงในกรุงเทพฯพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิประพันธ์พงศ์ทรงแก้ไขปรับปรุงเป็นละครร้องเล่นที่โรงละครวิมานเนรมิต ส่วนเสาวณิต วิงวอน (2555, น. 121) ได้ให้ข้อสันนิษฐานเรื่องที่มาของละครร้อง สรุปความได้ว่า ละครร้องแบบมีลูกคู่มีที่มา 2 ทาง ได้แก่ อุปรากร และละครบังสาวัน โดยกล่าวว่า ข้อสันนิษฐานเรื่องที่มาของละครร้องทั้ง 2 ทางมีเหตุผล อาจมาจากอุปรากรตะวันตกก็ได้ เพราะเรื่อง มาดามบัตเตอร์ฟลายที่อยู่ในหนังสือไกลบ้านนั้นเป็นคอมมิคโอเปร่า ซึ่งวิธีเล่นคือร้องเพลงเป็นหลัก เช่นเดียวกับวิธีเล่นของละครร้องปรีดาลัย ส่วนละครบังสาวันก็มีวิธีเล่นเช่นเดียวกันคือไม่ใช่การร า ณัฎฐนิช นักปี่ (2557, น. 44) ได้ศึกษาเพลงละครร้องปราโมทัย และได้สรุปแนวความคิด ที่ท าให้เกิดเป็นละครร้องได้ 4 แนวความคิด ดังข้อความว่า ละครร้องเป็นการผสมผสานแนวคิดของ ละครที่ผู้สร้างสรรค์เคยได้ชมได้ฟัง แล้วน ามาปรับปรุงและดัดแปลงให้มีเอกลักษณ์เฉพาะเป็นของ ตนเองละครที่เป็นต้นแบบของละครร้องคืออุปรากร ละครบังสาวัน ละครดึกด าบรรพ์และละครร า จากข้อมูลข้างต้น ผู้วิจัยได้ท าการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ และสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจาก เอกสาร หลักฐานทางวิชาการ งานวิจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง สามารถสรุปที่มาการเกิดละครร้องได้ดังนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์ทรงเป็นผู้ริเริ่มน าแนวความคิดและรูปแบบการแสดง ของละคร4 ประเภท ได้แก่ อุปรากร ละครบังสาวัน ละครดึกด าบรรพ์ และละครพันทางมาผสมผสาน กันจนเกิดเป็นละครรูปแบบใหม่ ที่เรียกกันภายหลังว่า “ละครร้อง” โดยผู้วิจัยขอเสนอเป็นแผนภูมิ โครงสร้างละครร้องและข้อมูลประกอบให้เกิดความชัดเจน ดังต่อไปนี้ ภาพที่1 โครงสร้างการก าเนิดของละครร้อง ที่มา:ผู้วิจัย จากแผนภูมิที่ 1 ผู้วิจัยสามารถอธิบายรายละเอียดการก าเนิดของละครร้อง ได้ว่า ละครร้อง มีแหล่งก าเนิดมาจากศิลปะการแสดง 4 รูปแบบ ดังนี้ 1)อุปรากร หรือเรียกว่า “โอเปร่า” เป็นค าในภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาเลียน เป็นค าที่ตัดมาจากค าว่าโอเปร่า อิน มูซิกา (Opera in Musica) แปลว่า งานวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ดนตรี(ณัฏฐนิช นักปี่, 2557, น. 14) ที่มาของละครชนิดนี้ คือ ละครโอเปร่า ซึ่งเกิดขึ้นและเป็นที่นิยม อุปรากร ละครบังสาวัน ละครดึกด าบรรพ์ ละครร้อง ละครพันทาง


17 มากในประเทศอิตาลี เรื่องแรก คือ เรื่อง ดาฟเน (Dafne) ในยุคบาโรคราวปลายคริสตวรรษที่ 16 อุปรากรเป็นการแสดงละครประกอบดนตรีอย่างหนึ่งของชาวตะวันตกที่ได้รับความนิยมมาก ภายหลัง ได้แพร่กระจายออกไปสู่หลายประเทศในยุโรป ทั้งเยอรมนี อังกฤษ และฝรั่งเศส อุปรากรได้แบ่งออก ได้หลายประเภทด้วยกัน เช่น อุปรากรชวนหัว อุปรากรประเภทที่ด าเนินเรื่องไปในทางสนุกโลดโผน อุปรากรสั้นและใช้วงดนตรีขนาดเล็ก อุปรากรประเภทโศกเศร้าเคร่งเครียดสะเทือนใจ อุปรากรที่ ด าเนินตามแบบละครพูด และมหาอุปรากร ก่อนที่จะเปิดฉากการแสดงละครโอเปร่านั้นจะเริ่มด้วย การบรรเลงดนตรีก่อนซึ่งเรียกว่า เพลงโหมโรงอุปรากร จากนั้นบรรเลงเข้าเรื่องกับผู้แสดง โดยผู้แสดง ใช้การขับร้องตลอดทั้งเรื่อง แม้ในการเจรจาก็ใช้การขับร้องแทนการพูด เป็นการแสดงที่ได้รับการยกย่อง ว่าเป็นนาฏกรรมชั้นสูงที่รวมเอาศิลปะขั้นสุดยอดแขนงต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน ได้แก่ ดุริยางคศิลป์วรรณศิลป์ ทัศนศิลป์ นฤมิตรศิลป์ และนาฏศิลป์โดยในอุปรากรที่มีความยิ่งใหญ่นั้นจ าเป็นต้องมีองค์ประกอบ รวมกัน 9 ประการ คือ นักร้องเสียงดีเยี่ยมทุกตัวแสดง บทเพลงที่ไพเราะชวนฟัง ผู้อ านวยการเพลง ฝีมือดี ฉากที่งดงามสมจริง เครื่องแต่งกายที่ประณีต กลุ่มนักร้องประสานเสียง ระบ าประกอบฉาก โรงละครที่มีระบบเสียงดีเลิศ และมีผู้ควบคุมการจัดการแสดงที่สมบูรณ์ แต่สิ่งที่ส าคัญมากที่สุดคือ บทเพลงและการขับร้องซึ่งต้องคัดเลือกผู้มีคุณภาพเสียงดีเลิศทั้งนักร้องชายนักร้องหญิง และนักร้อง ที่เป็นเด็ก (ณัฏฐนิช นักปี่, 2557, น. 16-17) พวงเพ็ญ สว่างใจ (2551, น. 19) ที่ได้อธิบายเกี่ยวกับการเกิดละครร้องว่า “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงเป็นผู้น านาฏศิลป์จากตะวันตก เรียกว่า “โอเปร่า” มาปรับ ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับละครร าจนเกิดเป็นละครแบบใหม่ เรียกว่า ละครร้อง” ซึ่งข้อสันนิษฐานของสุรพล วิรุฬห์รักษ์ และพวงเพ็ญ สว่างใจ สอดคล้องกับพระราชวิจารณ์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ที่ว่า ละครร้องมาจากอุปรากรของตะวันตก ดังปรากฏในพระราชหัตถเลขาถึงพระราชชายา เจ้าดารารัศมี ลงวันที่ 24 เมษายน ร.ศ. 128 ความว่า “แต่เรื่องสาวเครือฟ้าเป็นเรื่องมาดามบัตเตอฟลายซึ่งเขียนไว้ในหนังสือไกลบ้านตอนเมืองปารีส เปลี่ยนจากสาวญี่ปุ่นฝรั่งเป็นไทยเท่านั้น ที่แกท าค าร้องเช่นนี้เอาอย่างออเปร่าฝรั่ง เพราะเคยได้ชม เมื่อเจ้าเขมรร้องละครกรมนราฯ ดูค่อยเฟื่องฟูขึ้น” (คึกฤทธิ์ ปราโมท และคณะ, 2551, น. 92) ผู้วิจัยสามารถสรุปประเด็นได้ว่า ปัจจัยแรกที่ก่อให้เกิดละครร้อง คือละครโอเปร่าจากตะวันตก เพราะมีรูปแบบการร้องเพลงในการด าเนินเรื่อง ซึ่งให้ความส าคัญกับการขับร้องมากกว่าการร่ายร า มาปรับประยุกต์ใช้และพัฒนาให้เกิดเป็นละครร้อง ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ 2) ละครบังสาวันเป็นละครของชาวมาเลเซียที่มีลักษณะเหมือนกับละครพูดที่มีการขับร้อง และร่ายร าสลับกันไป แต่การร่ายร าไม่มีความส าคัญมากนัก ส่วนการขับร้องนั้นไม่ต้องมีลูกคู่ คอยร้องรับ โดยลักษณะขับร้องมีดนตรีบรรเลงคลอตามไปด้วย สันนิษฐานว่าจะเกิดในปลายศตวรรษที่ 19 (ณัฏฐนิช นักปี่, 2557, น. 18) ในอดีตเรื่องที่น ามาแสดงจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของ ชาวมาเลเซีย แต่ปัจจุบันมีการน าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจ าวันของชาวมาเลเซียมาใช้เป็น เนื้อเรื่องส าหรับแสดงด้วย ละครบังสาวันใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้าน และใช้เครื่องดนตรีสากล ได้แก่ ไวโอลิน เปียโน กีต้าร์ แซกโซโฟน กลอง มาบรรเลงร่วม ผู้แสดงแต่งกายตามท้องเรื่องนั้น ๆ มีฉาก เปลี่ยนแปลงตามท้องเรื่อง ส่วนใหญ่นิยมแสดงในเวลากลางคืน


18 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด ารงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงได้แนวความคิดรูปแบบละครร้องมาจากละครบังสาวันของมลายู ดังปรากฏในลายพระหัตถ์ถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ในสาส์นสมเด็จว่า เมื่อ ร.ศ.109 (พ.ศ. 2433) สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จไปประพาสเลียบรอบแหลมมลายู เวลาประทับอยู่ ณ เมืองไทรบุรี เจ้าพระยาไทรหาละครมลายูซึ่งเพิ่งมีคนประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เรียกว่า “บังสาวัน” แปลเป็น ภาษาอังกฤษว่า Malay Opera มาเล่นถวายทอดพระเนตร ต่อนั้นมาอีกหลายปีพวกละครบังสาวันนั้นเข้า มาเล่นในกรุงเทพฯ โรงที่เล่นอยู่ข้างวังบูรพาใกล้บ้านเก่าของหม่อมฉัน และละครบังสาวันนั้นเองที่ กรมพระนราธิปเอาไปคิดแก้ไปเป็นอย่าง “ละครร้อง” เล่นที่โรงปรีดาลัย แล้วคนอื่น เช่นแม่บุนนากเป็นต้น เอาอย่างไปเล่นแต่คนทั้งหลายแม้จน เซอโยห์เซียครอสบี ราชทูตอังกฤษแสดงปาฐกถาที่สมาคมโรตารี เมื่อเร็ว ๆ นี้ ยกย่องว่าละครร้องเป็นของกรมพระนราทรงริขึ้น หามีใครรู้ไม่ว่าท่านได้เค้ามาจาก ละครบังสาวัน มลายู(สาส์นสมเด็จ, 2504, น. 84 -85 อ้างถึงใน เสาวณิต วิงวอน, 2555, น. 121) ซึ่งพวงเพ็ญ สว่างใจ (2551, น. 21)ได้น าเสนอข้อมูลละครร้องของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ไว้สอดคล้องกับข้อสันนิษฐานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด ารงราชานุภาพ ที่ได้กล่าวเกี่ยวกับละครบังสาวันที่เป็นที่มาของละครร้องไว้ว่า “พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิป ประพันธ์พงศ์ ทรงน าละครบังสาวัน ใช้มือยกขึ้นก า ก าแล้วก็แบ แบแล้วก็ก า ไปดัดแปลงเป็นท่าทาง ของผู้แสดงในละครร้อง” นอกจากนี้ เสาวณิต วิงวอน (2555, น. 121)ได้แสดงทรรศนะเกี่ยวกับวิธีการแสดงละคร บังสาวันไว้ว่า “ส่วนละครบังสาวันก็มีวิธีเล่นใกล้เคียงกัน คือไม่ใช้การร า หรือบังสาวันอาจปรับปรุง มาจากอุปรากรตะวันตกด้วย” ผู้วิจัยสามารถสรุปประเด็นการก าเนิดละครร้องได้ว่า ปัจจัยที่ 2 ที่ก่อให้เกิดละครร้อง คือ ละครบังสาวัน โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้น ารูปแบบการร้องโต้ตอบ การใช้ท่าทางก าแบ มาปรับใช้กับละครของพระองค์ จนเกิดเป็นรูปแบบของละครร้อง เป็นการ พัฒนาการรูปแบบของละครไทยขึ้นอีกขั้นในสมัยนั้น 3) ละครดึกด าบรรพ์ เป็นละครที่ปรับปรุงมาจากละครร า มีแบบแผนการแสดงอย่างละครใน และรับรูปแบบการแสดงบางอย่างจากตะวันตกมาใช้ คือ การแสดงเรื่องแบ่งเป็นฉาก และด าเนินเรื่อง โดยผู้บรรยาย ละครดึกด าบรรพ์มีรูปแบบที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นละครที่เน้นการร้องและดนตรี เป็นส าคัญ ผู้แสดงจะต้องร้องเพลงพร้อมกับการร่ายร า นิยมแสดงใน “โรงละครดึกด าบรรพ์” เป็นละครประเภทหนึ่งของราชส านักสยาม เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2437 - 2440 (ณัฏฐนิช นักปี่, 2557, น. 20) โดยเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) เจ้ากรมมหรสพของรัชกาลที่ 5 ท่านได้รับแนวคิดมาจากอุปรากรของชาติตะวันตก แล้วได้ร่วมกันคิดกับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ช่วยกันปรับปรุงละครและดนตรีประกอบการแสดงขึ้นใหม่ ที่วังบ้านหม้อเป็นละครแบบใหม่ขึ้น ละครดึกด าบรรพ์ได้มีการปรับปรุงพัฒนาทั้งรูปแบบการแสดงทั้งรูปแบบการแต่งบทร้อง ฉาก การร า กระบวนการขับร้อง มีทั้งผู้แสดงร้องเองร าเอง ร้องอย่างมีลูกคู่ และแทรกกลุ่มขับร้องประสาน เสียงในบางตอน ได้มีการสร้างวงดนตรีขึ้นใหม่ เรียกว่า วงปี่พาทย์ดึกด าบรรพ์ ที่ให้เสียงไพเราะเหมาะแก่ การบรรเลงภายในอาคาร นักแสดงร้องเพลงเอง ร าเอง และจัดฉากเหมือนจริง มีการเล่นระดับพื้นบนเวที


19 เปลี่ยนฉากได้ทันเวลา และสมจริงตามเนื้อเรื่อง บางตอนมีการแทรกระบ าท าให้ครึกครื้นและงดงามยิ่งขึ้น มีลักษณะคล้ายอุปรากรของตะวันตก เพียงแต่ไม่ได้มีการแบ่งระดับเสียงขับร้องของผู้แสดงเท่านั้น ณัฏฐนิช นักปี่ (2557, น. 44) กล่าวถึงแนวคิดข้อที่ 3 ที่ท าให้เกิดละครร้อง ว่าละครร้องได้ รูปแบบมาจากละครดึกด าบรรพ์ แนวคิดนี้เกิดขึ้นจากประเทศไทยมีละครดึกด าบรรพ์ที่คิดค้นขึ้น โดยสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ กับเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ เมื่อปีพ.ศ. 2442 ละครดึกด าบรรพ์นี้ใช้นักแสดงร้องเองและร าเอง ใช้ฉากอย่างตะวันตกที่เปลี่ยนได้รวดเร็ว ไม่มีการใช้ลูกคู่ แต่เริ่มมีการขับร้องประสานเสียง ละครร้องจึงน่าจะได้รับอิทธิพลจากละครดึกด าบรรพ์ไปแล้ว ปรับปรุงให้มีรูปแบบเป็นของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับสุรพล วิรุฬห์รักษ์ (2554, น. 157) ที่ได้แสดงทรรศนะว่า ละครร้องของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เลียนแบบมาจากละครโอเปร่า สืบเนื่องมาจากการ ที่เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ เสด็จยุโรป ได้เห็นละครโอเปร่า จึงได้กลับมาจัดเป็นโอเปร่าอย่างไทยขึ้น โดยเรียกว่าละครดึกด าบรรพ์ ลักษณะการแสดงที่ส าคัญคือผู้แสดงร้องโต้ตอบกัน มีการใช้ฉาก แสง สี เสียงที่สมจริง ซึ่งละครร้องของกรมพระนราฯ ก็มีลักษณะเช่นเดียวกับละครดึกด าบรรพ์ ผู้วิจัยสามารถสรุปประเด็นการก าเนิดละครร้องได้ว่า ปัจจัยที่สามที่ก่อให้เกิดละครร้อง คือ ละครดึกด าบรรพ์ ด้วยละครดึกด าบรรพ์เกิดขึ้นก่อนละครร้อง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิป ประพันธ์พงศ์ ได้น ารูปแบบการร้องของตัวแสดง และการเปลี่ยนฉาก มาปรับใช้จนเกิดเป็นรูปแบบ ของละครร้อง โดยรูปแบบการแสดงของละครร้องและละครดึกด าบรรพ์มีความคล้ายคลึงกัน แต่เพียง ตัดการร าละคร และแต่งกายอย่างพันทางเท่านั้น 4) ละครพันทาง เป็นละครร าแบบใหม่ที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงดัดแปลงจากการแสดงละครพงศาวดารชาติต่าง ๆ ของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธ ารง มีการ ปรับปรุงเพลงและวิธีการเล่นใหม่ โดยน าศิลปะทางดนตรีการขับร้อง การฟ้อนร าประเภทต่าง ๆ แทรกผสมเข้าไปเพื่อให้น่าดูน่าฟัง ได้ต้นเค้ามาจากละครนอก เพลงที่ร้องเป็นเพลงจ าพวกเพลงภาษา ที่ดัดแปลงมาจากเพลงของชนชาติต่าง ๆ มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง จากการศึกษาข้อมูลพบว่า คณะละครวิมานเนรมิตของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เริ่มแสดงเป็นละครร า ละครพันทาง และโขน มาก่อน เดิมมีชื่อเรียกว่าละครเจ้าจอมมารดาเขียน ภายหลังเรียกกันอีกชื่อว่า ละครหม่อมหลวงต่วน พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์เป็นผู้ควบคุมและผู้ฝึกสอน เจ้าจอมมารดาเขียนเป็นผู้ฝึกซ้อมการร าละคร และหม่อมหลวงต่วนศรีวรวรรณ เป็นบุคคลส าคัญใน การฝึกซ้อมท่าร า จัดการแสดง ประพันธ์เพลง ปรับปรุงบทละคร และจัดเครื่องแต่งกาย ผู้วิจัย สันนิษฐานว่า ด้วยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงมีคณะละครเป็นของตนเอง อยู่แล้ว ซึ่งเป็นละครพันทาง โดยเคยทรงน าละครพันทาง เรื่อง พระลอ เข้าถวายพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชวังสวนดุสิต การพัฒนาละครรูปแบบใหม่อย่างละครร้อง ก็น่าจะมี ต้นเค้ารูปแบบมาจากละครพันทางเช่นกัน โดยระยะเริ่มแรกของละครร้อง ยังปรากฏการใช้ท่าร า เช่น ละครร้อง เรื่อง สาวเครือฟ้า ในฉากที่มีการร าสาวเครือฟ้าแต่งตัว ก็ยังปรากฏจารีตของละครร า แบบดั้งเดิม อีกทั้งมีระบ า และการแสดงชุดสั้น ๆ เพื่อสลับฉาก จากการศึกษาข้อมูล สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ได้กล่าวถึงต้นเค้าของละครร้อง ว่า “มีเค้าโครงมา จากละคร 3 ลักษณะเป็นอย่างน้อย ได้แก่ ละครพันทาง ละครดึกด าบรรพ์ และละครบังสาวัน”


20 (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2547, น. 243) ซึ่งสอดคล้องกับณัฎฐนิช นักปี่ ที่กล่าวถึงแนวคิดการเกิดละครร้อง มาจากละครร า และละครร าของกรมพระนราธิปประพันธ์เดิมก็คือละครพันทางนั่นเอง ดังข้อความว่า ละครร้องได้รูปแบบมาจากละครร า แนวความคิดนี้เกิดจากผู้สร้างสรรค์งานละครร้องคนแรก คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์พระองค์มีละครร าส่วนพระองค์มาก่อน ซึ่งเป็น ละครร าที่พระองค์รับดูแลต่อจากพระมารดาของท่าน คือเจ้าจอมมารดาเขียน ในรัชกาลที่ 4 อีกทั้ง เมื่อหม่อมหลวงต่วน (สกุลเดิมมนตรีกุล) พระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์ พงศ์เป็นตัวละครร าและเป็นนักดนตรีไทยมา ดังนั้นจึงเท่ากับมีผู้มีความรู้ด้านละคร เพลง และดนตรี เป็นอย่างดีเข้ามาเป็นเพื่อนร่วมคิด พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิประพันธ์พงศ์จึงคิดสร้างละครร้อง ขึ้นด้วยความพร้อมหลายประการ (ณัฏฐนิช นักปี่, 2557, น. 44) ดังนั้นประเด็นการก าเนิดละครร้อง กล่าวได้ว่า ปัจจัยที่สี่ที่ก่อให้เกิดละครร้อง คือละคร พันทาง ด้วยละครร าที่ณัฎฐนิช นักปี่กล่าวถึงนั้น หากพิจารณาตามเอกสารจะพบว่า มีลักษณะ เดียวกับละครพันทาง ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้เคยจัดแสดงละคร พันทางมาก่อน และได้น ารูปแบบนั้นมาพัฒนาละครร้องของพระองค์ให้มีความหลากหลาย เช่น มีการ แต่งกายแบบพันทาง และระยะแรกยังใช้ท่าร า หรือระบ าประกอบการแสดงละครร้อง ผู้วิจัยสรุปใจความส าคัญ ในประเด็นการก าเนิดละครร้องได้ว่า ละครร้องเกิดจาก ประสบการณ์การรับชม การจัดการแสดง และพระอัจฉริยะของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิป ประพันธ์พงศ์โดยทรงผสมผสานแนวความคิดของละครต่าง ๆ ดัดแปลงรูปแบบการแสดงของละคร ทั้ง 4 ประเภท คือ อุปรากร ละครบังสาวัน ละครดึกด าบรรพ์ และละครพันทาง เข้าด้วยกัน จนเกิด ความกลมกลืนเป็นละครรูปแบบใหม่ ที่มีลักษณะส าคัญได้แก่ผู้แสดงด าเนินเรื่องด้วยการขับร้อง ออกท่าทางแบบธรรมชาติหรือที่เรียกว่า ก าแบ มีการสร้างฉาก เปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง มีแสงเสียง เพื่อความสมจริง ซึ่งเรียกว่า “ละครร้อง” 2.2.2 พัฒนาการละครร้อง ละครร้องมีวิวัฒนาการด้านรูปแบบการแสดงพัฒนาต่อเนื่องยาวนานกว่า 100 ปี ครอบคลุมตั้งแต่ช่วงสมัยรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5) จนถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) จากนั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) เป็นช่วงของการเปลี่ยนผ่านรูปแบบละครร้องเป็นละครเพลง ละครร้องมี การอนุรักษ์ สืบสานมาเรื่อยจนถึงปัจจุบัน โดยละครร้องเกิดขึ้นโดยการริเริ่มของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่า “บิดาแห่งละครร้อง” มีการพัฒนาการและ ถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสังคมไทยมาโดยต่อเนื่อง สามารถเป็นเครื่องมือสะท้อนบริบททางสังคม ในยุคสมัยนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี ละครร้องพัฒนาคู่กับบริบทความเจริญของสังคมไทยมาโดยต่อเนื่อง อาจมีการเพิ่ม-ลดความนิยมไปบ้าง มูลเหตุก็มาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีและวัฒนธรรมต่างชาติที่ เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ผู้วิจัยสามารถแบ่งช่วงวิวัฒนาการของละครร้อง ออกเป็น 3 ช่วงตามพัฒนาการที่เป็น ล าดับขั้นของละครร้องซึ่งพัฒนาตามรัชสมัยของพระมหากษัตริย์ ดังนี้ ช่วงที่ 1 ก าเนิดละครร้อง (ปลายรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2448 - พ.ศ. 2454) ช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง (รัชกาลที่ 6 - 7 พ.ศ. 2455 - พ.ศ. 2477) ช่วงที่ 3 การอนุรักษ์ ฟื้นฟูละครร้อง เชื่อมต่อสู่ละครเพลง (รัชกาลที่ 8 พ.ศ. 2478 - ปัจจุบัน)


21 ช่วงที่ 1 ก าเนิดละครร้อง (ปลายรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2448 - พ.ศ. 2454) ละครร้องช่วงนี้ เกิดขึ้นในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ประมาณปี พ.ศ. 2448 ละครร้องเกิดขึ้นจากการริเริ่มของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์โดยในขณะนั้นพระองค์ทรงมีคณะละครเป็นของพระองค์ ซึ่งเป็นละคร ร ามีชื่อเรียกว่า “ละครเจ้าจอมมารดาเขียน”เหตุที่ได้ชื่อนี้เนื่องจากเจ้าจอมมารดาเขียนผู้ซึ่งเป็น เจ้าจอมมารดาในรัชกาลที่ 4 ท่านเป็นพระมารดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นผู้ควบคุมและผู้ฝึกสอนการร าละครในคณะระยะแรกเริ่ม เมื่อถึงกลางสมัยรัชกาลที ่ 5 เจ้าจอมมารดาเขียนได้ให้คณะละครมาอยู่ในการควบคุมของพระชายาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์คณะละครพระองค์จึงได้เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ละครหม่อมหลวงต่วน” เนื่องจากพระองค์มีพระชายาชื่อ หม่อมหลวงต่วน เป็นบุคคลส าคัญในการฝึกซ้อมท่าร า จัดการแสดง ประพันธ์เพลง ปรับปรุงบทละคร และจัดเครื่องแต่งกาย เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นยุคสมัยที่ การละครได้รับความนิยมสูง ละครร้องจึงได้รับความสนใจจากผู้ชมเป็นอย่างมาก ท าให้ละครร้องของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์เป็นละครที่เป็นที่นิยมในสมัยรัชกาลที่ 5 ท่านทรง เปิดการแสดงเก็บเงินอยู่ที่โรงละครวิมานเนรมิต ใกล้เมรุปูนวัดสระเกศ เปิดโรงท าการแสดงเมื่อประมาณ ปี พ.ศ. 2449 แสดงเรื่อง “โฉเบ๊”(พูนพิศ อมาตยกุล,2556, น.236) ต่อมาปีพ.ศ.2451 ได้แสดงละครร้อง เรื่อง “อาหรับราตรี” (สุรพล วิรุฬหรักษ์, 2554, น. 158) คณะละครนฤมิตร แสดงละครพันทาง ละครร้องและละครพูดสลับล าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากต่อมาโรงละครถูกเพลิงไหม้วอดวายทั้งหมด พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์จึงสร้างเป็นกระท่อมนฤมิตร เป็นโรงละครชั่วคราว จันทิมา พรหมโชติกุล อธิบายลักษณะของโรงละครดังกล่าวไว้ว่า “โรงละครดังกล่าวนี้สร้างแบบ ชั่วคราวจริงเพราะมีลักษณะคล้ายโรงนา มีหลังคาคลุมลงมาพอกันแดดฝน ฝาผนังโรงสร้างด้วยไม้ มีรูปุประเต็มไปหมด ไม่มีความสวยงามอยู่เลย พื้นของเวทีท าด้วยไม้มีฉากกัน ฉากเป็นฉากชั่วคราว ไม่มีลักษณะสวยงาม” (จันทิมา พรหมโชติกุล, 2518, น. 65) ด้วยเหตุที่ละครร้องของคณะนฤมิตร เป็นที่นิยมมาก แต่ก าลังทรัพย์ของคณะละครไม่เพียงพอ การจะจัดละครซักครั้งก็จ าเป็นต้องตระเวน หาโรงละครเพื่อแสดง เล่นต่อมาซักระยะหนึ่งไม่นานก็จ าเป็นต้องเลิกราไป คณะละครวิมานเนรมิตของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์และ หม่อมหลวงต่วนนั้น เริ่มกลับมาแสดงละครอีกครั้งเมื่อปีพ.ศ. 2451 โดยในพระราชวังสวนดุสิต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จกลับจากประพาสยุโรป และทรงริเริ่มให้ปลูก ต้นไม้ภายในบริเวณพระราชวังสวนดุสิต โดยมีไม้ดอกไม้ผลมากมาย แต่มีต้นลิ้นจี่ต้นหนึ่งโตเต็มที่ แล้วแต่ยังไม่ออกผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงบนต่อเทวดาไว้ว่า “ถ้าลิ้นจี่มีลูกเมื่อใดจะหา คณะละครหม่อมต่วนมาแสดงท าขวัญ” (เนียนศิริ ตาละลักษณ์ และเพลินพิศ ก าราญ, 2522, น. 46) ครั้นทรงทราบว่าละครหม่อมต่วนเลิกเล่นเสียแล้วก็เกิดปัญหาขัดข้อง แต่หากมีความจ าเป็นที่ต้องทรง แก้บน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชด ารัสต่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิป ประพันธ์พงศ์ว่า “ต้องจัดให้มีขึ้นใหม่ มิฉะนั้นจะไม่สมดังที่ตรัสไว้” (เนียนศิริ ตาละลักษณ์ และ เพลินพิศ ก าราญ, 2522, น. 46) ทั้งนี้พระองค์จะเป็นผู้อุปถัมภ์ด้วยพระองค์เอง จึงเป็นผลให้เกิด ละครหลวงนฤมิตรขึ้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เจ้าจอมมารดาเขียน และ หม่อมหลวงต่วนศรี วรวรรณ ปรึกษากันแล้วได้ข้อสรุปน าละครพันทางเรื่องพระลอเข้าไปถวาย


22 มีเนื้อเรื่องเริ่มจากพระลอข้ามแม่น้ ากาหลงจนถึงพระลอเข้าสวนเมืองสรอง (มณิศา วศินารมณ์,2549, น. 2) หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรการแสดงครั้งนั้น ทรงพอ พระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ต่าง ๆ ก็ล้วนแต่นิยมชมชอบละครของ หม่อมต่วนมาก ชาววังต่างเรียกร้องให้ละครของหม่อมหลวงต่วนจัดแสดงอีก จนสุดท้ายก็ได้จัดละครร้อง เรื่อง สาวเครือฟ้าเข้าไปแสดงถวายในพระราชวังดุสิต ในงานตรุษสงกรานต์ นับเป็นการก่อเกิด ละครร้องครั้งใหม่อีกครั้ง จากนั้นจึงเปลี่ยนชื่อคณะละครของพระองค์เป็น ละครหลวงนฤมิตร เนื่องจากได้รับพระบารมีในรัชกาลที่ 5 ทรงนฤมิตรให้คณะละครได้คืนชีพกลับมาแสดงอีกครั้ง จากข้อมูลในส าเนาพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ท าให้ทราบว่า ละครหลวงนฤมิตร ชื่อเดิมเรียกว่า คณะละครนฤมิตร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา พระราชทานเกียรติให้เป็นละครหลวง ให้เติมค าว่า “หลวง” เข้าไปในชื่อของคณะละคร จึงเป็นละคร หลวงนฤมิตร โดยละครนั้นได้เล่นถวายตัวในพระราชฐานหลายครั้ง สุดแต่จะมีงานซึ่งควรมีละคร พระเจ้าอยู่หัวก็จะโปรดให้ไปร่วมแสดง หรือบางครั้งเล่นถวายให้พระองค์ท่านทอดพระเนตรเฉย ๆ ก็มี ทั้งแสดงนอกพระราชวังตามพระบรมราชโองการ เช่น การฉลองวัดอรุณราชวราราม (พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2474, น. ค) หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2452 ขณะที่ละครหลวงนฤมิตรเริ่มเป็นปึกแผ่นมากแล้ว พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์จึงสร้างโรงละครขึ้นมาใหม่ทดแทนโรงละครเดิมที่ถูกไฟไหม้ในครั้งก่อน โรงละครแห่งใหม่นี้ได้สร้างขึ้นแถววังแพร่งนรา พระองค์ให้ชื่อโรงละครนี้ว่า “โรงละครปรีดาลัย” ทั้งนี้พระองค์ได้ทรงพระนิพนธ์บทละครขึ้นใหม่พร้อมทั้งปรับปรุงรูปแบบการแสดงละครใหม่ด้วย โรงละครปรีดาลัยตั้งอยู่ถนนเฟื่องนคร เปิดแสดงให้ประชาชนซื้อตั๋วเข้าชม แสดงเฉพาะเวลากลางคืน วันเสาร์และวันอาทิตย์เท่านั้น (สุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2554, น. 158) มีการแสดงละครสมัยใหม่ หลายเรื่อง เป็นที่นิยมมาก ละครร้องของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ที่ได้น า ออกแสดงแต่ละครั้งได้รับการตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี ซึ่งความนิยมในละครร้องของพระองค์มิได้ เป็นที่นิยมแต่ในเฉพาะกลุ่มคนสามัญชนเท่านั้น เพราะชาววังทั้งหลายก็ให้ความนิยมชมชอบละครของ พระองค์เป็นอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชด าเนินไป ทอดพระเนตรละครหลวงนฤมิตรที่โรงละครปรีดาลัยหลายครั้งด้วยความพอพระราชหฤทัยยิ่ง ดังหลักฐานส าเนาพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่มีไปถึง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ลงวันที่ 24 มกราคม ร.ศ.127 ความว่า กรมนราธิป ฉันขอขอบใจส่วนตัวแลครอบครัวที่เธอได้ต้อนรับในการที่ไปดูละครวันนี้ เป็นที่พอใจด้วยกันหมด ฉันไปดูที่โรงมันออกจากเป็นอย่างฝรั่ง ๆ แต่ใจเปนไทย แลเปนเจ้านาย เมื่อเห็นเล่นชอบใจเคยให้รางวัล ครั้นจะให้เวลานั้นมันก็ยุ่มย่าม จึงส่งเงินมาให้ 300 บาท ส าหรับเธอจะได้ ให้รางวัลตามแต่จะเห็นควร ไม่เฉพาะเวลาที่ฉันได้ดูสองคราว ส าหรับให้ในการที่เธอฝึกได้ดังใจนั้นด้วย สยามินทร์(พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2474, น. 6) คณะละครหลวงนฤมิตร แสดงละครพันทางและละครร้องอยู่หลายเรื่องด้วยกัน ซึ่งบทร้องและ เจรจานั้น เป็นบทละครที่แต่งขึ้นใหม่เกือบทั้งหมด บางเรื่องน าเค้าโครงมาจากต่างประเทศบางเรื่องใช้ เรื่องราวใกล้ตัว เน้นค าสอนให้คนเกิดความตระหนักรู้ในเรื่องราวสามัญต่าง ๆ โดยละครเรื่องที่สร้าง


23 ชื่อเสียงมากที่สุด คือ ละครร้อง เรื่อง สาวเครือฟ้า ซึ่งเป็นละครโศกนาฏกรรมที่ดัดแปลงมาจาก อุปรากร เรื่องมาดาม บัตเตอร์ฟลาย ดังส าเนาลายพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีถึงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี วันที่ 2 กรกฎาคม ร.ศ. 128 ความว่า “สังเกตดูความนิยมของคนชั้นหลังนี้เห็นจะนิยมเรื่องสาวเครือฟ้ายิ่งกว่าเรื่องอื่น ๆ จนได้รับหนังสือ ไปรษณีย์ขอให้เล่นซ้ าในวิกนี้ ข้อนิยมเห็นจะเปนด้วยเหตุผลหลายอย่าง ๆ หนึ่งในนั้นเปนละครฝรั่งอีก อย่างหนึ่งนั้นคงจะโปรดจึงได้เล่าไว้ในหนังสือไกลบ้าน แต่ขอส าคัญที่สุดนั้นอีนางพร้อมเป็นสาวเครือฟ้า เข้ามาเล่นในวังท าเมื่อเชือดคอตายได้รางวัลครั้งเดียวถึง 100 บาท มีผู้ปรารภกันว่าถ้าเจ้ากลับลงมา ควรจะมีละครสมโภชสัก 3 วัน นึกวิตกกลัวแต่จะต้องซ้ า เพราะเจ้าไม่ได้เห็นมาก เรื่อง เขาทายกันว่า จะเอาจะขอให้ซ้ าเรื่องสาวเครือฟ้านี้”(ส าเนาพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีถึงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี, น. 183อ้างถึงในสุรพล วิรุฬห์รักษ์, 2547, น. 159) นอกจากนั้นละครร้องเรื่องอื่น ๆ ของคณะละครหลวงนฤมิตร หรือปรีดาลัย ก็เป็นที่นิยมจาก ผู้ชมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นสามัญชน คนชั้นสูง หรือว่าชาววังทั้งหลายก็ให้ความนิยมละครของ กรมพระนราธิปประพันธ์แทบทั้งเมือง เห็นได้จากหลักฐานส าเนาพระราชหัตถเลขาของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวที่มีไปถึงพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ลงวันที่ 5 พฤษภาคม ร.ศ. 128 (พ.ศ. 2452) ความว่า “เธอท าให้ชาววังคลั่งไคล้ละครเสียหมดแล้ว บัดนี้ถึงก าหนดจะสมโภชน์พระที่นั่งซึ่งเคยมีแต่สังเวยและดอกไม้แขวนกับประโคม ตามแบบ ละครดึกด าบรรพ์เท่านั้น บัดนี้จะแถมให้มีละคร ขอให้ฉันหา เขาออกชื่อเรื่อง ๆ หนึ่งว่า ตุ๊กตาแสนสวย แต่เล่นเพียงวันเดียวเท่านั้น” (พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2474, น. 22) และจากหลักฐานในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีไปถึงพระราชชายาเจ้าดารารัศมี ลงวันที่ 2 กรกฎาคม ร.ศ.128 (พ.ศ. 2452) มีเนื้อความแสดง ความนิยมดูละครร้องคณะหลวงนฤมิตร ของกรมพระนราธิปประพันธ์ความว่า “คราวนี้ว่าด้วยเรื่อง คลั่งชาววังนั้นคลั่งละครกรมพระนราฯ ทุกรูป ทุกนาม ตั้งแต่เจ้านายลงไปถึงขี้ข้า ตั้งแต่เจ้าไปแล้ว ยิ่งมีหลายหนเข้าและตามแบบที่เจ้าตั้งไว้ไม่ให้ผู้ชายมาดู ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ชายได้ดูอีกเลย ผลที่ผู้ชาย ไม่ได้ดูนั้น ท าให้เกิดทุรนทุรายสุดแต่กรมนราฯ มาเล่นอะไรในวังแล้วกลับเอาไปเล่นที่ปรีดาลัย คนก็ตามไปดูมากแต่ก่อน โรงละครกรมนราฯได้เคยไป คนไม่เกิน 50 ตั้งแต่มาเล่นในวัง แล้วคราวนี้ เล่นวันใดที่นั่งยังไม่พอเสมอแต่เพียงเรื่องที่มาเล่นในวัง แล้วไปเล่นข้างนอก ได้ส่วนเงินข้างนอกถึง หมื่นกว่าบาทแล้วกรมนราฯ ร้องว่า เดชะบารมี”(อุทิศ นาคสวัสดิ์, 2517 อ้างถึงใน ณัฏฐนิช นักปี่, 2557, น.49) นอกจากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงใช้ละครหลวงนฤมิตรที่แสดงที่โรงละครปรีดาลัย จัดแสดงเพื่อต้อนรับพระราชอาคันตุกะ แสดงถึงการใช้ศิลปะการแสดงละครในการเจริญสัมพันธไมตรี ต่อต่างชาติดังปรากฏในส าเนาพระราชหัตถเลขาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชทานกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ลงวันที่ 14 สิงหาคม ร.ศ. 127 “ความว่าถึงกรมนราธิป จะหาละครเสียป่านนี้ ดุ๊กโยฮันอัลเยรซริเยนต์ เมืองบรานสวิก ซึ่งเป็นพระสหายอย่างดีของฉัน ก าหนดจะเข้ามาเปนการเยี่ยมตอบในเดือนมกราคมนี้ จึงขอบอกหาละคร หวังว่าจะหรูเปนที่เจริญ ทางพระราชไมตรี ดูที่ปรีดาลัยได้เข้าทีกว่าไปหามามี จึงขอบอกไว้เสียแต่เนิ่น ๆ จะได้มีเวลาคิด” สยามมินทร์(พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2474, น. 27)


24 ละครร้องของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากในช่วงนี้ พิจารณาได้จากหลักฐาน บทละครที่มีอยู่จ านวนมากหลายสิบเรื่อง คณะละครหลวงนฤมิตรถูกจัด แสดงที่โรงละครปรีดาลัย ผู้ชมจึงพากันเรียกติดปากว่า “ละครร้องปรีดาลัย” “ละครปรีดาลัย” ตาม ชื่อโรงละคร หรือบางครั้งก็เรียกว่า “ละครหม่อมต่วน” โดยคณะละครดังกล่าว จัดแสดงมาได้ซักระยะก็เริ่ม ลดจ านวนการแสดงลงมาตามล าดับ ข้อสันนิษฐานของศาสตราจารย์นายแพทย์พูนพิศ อมาตยกุล กล่าวว่า “ที่ละครร้องของกรมพระนราฯ มีปริมาณลดลงอาจเป็นเพราะเกิดเหตุฟ้องร้องศาล คือ คดีพญาระกา ขึ้นในปีพ.ศ. 2453 ซึ่งเป็นคดีฟ้องร้องหมิ่นประมาททางอาญาว่าบทละครของท่าน น าเสนอเนื้อเรื่องในบทละครเสียดสีบุคคลที่เป็นข้าราชการระดับเสนาบดีจนท าให้ผู้เสียหายลาออกเพราะ ความน้อยใจ” (พูนพิศ อมาตยกุล, 2555 อ้างถึงใน ณัฎฐนิช นักปี่, 2557, น. 50-51) คณะละครหลวงนฤมิตร จึงได้ยุติการแสดงประมาณหลังปี พ.ศ. 2454 และเมื่อความ จ าเป็นต้องเลิกการแสดงลง ส่งผลให้ตัวละครในคณะละคร รวบรวมกันเช่าโรงละครปรีดาลัยของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ แสดงต่อมาอีกระยะหนึ่งจนเกิดเป็นละครอีกแบบ หนึ่งที่ชัดเจน เรียกว่า “ละครปรีดาลัย” ซึ่งในขณะเดียวกันพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครร้องไว้ แล้วจ านวน 3 เรื่อง ได้แก่ เรื่องตั้งจิตรคิดคลั่ง มิกาโด้ และวั่งตี่ โดยผู้วิจัยจะขอเสนอข้อมูลละครร้อง ดังกล่าวในช่วงที่ 2 ช่วงความรุ่งเรืองของละครร้อง ในหัวข้อถัดไป ช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง (รัชกาลที่ 6 - 7 พ.ศ. 2455 - พ.ศ. 2477) ส าหรับช่วงที่ 2 เป็นพัฒนาการของละครร้องอีกขั้นหนึ่ง อยู่ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ในช่วงนี้ละครร้องได้รับความนิยมมากที่สุด เกิดเป็นคณะละครร้องขึ้นมากมาย โดยแต่ละคณะมี การพัฒนารูปแบบของละครตนเองให้เกิดความแตกต่าง จนเกิดเป็นการแข่งขันกัน ท าให้ละครร้อง รุ่งเรืองเฟื่องฟูมากในช่วงนี้ อีกทั้งการละครในพระราชส านักก็ได้รับการสนับสนุนจากองค์ พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงสนับสนุน ศิลปะการละครและดนตรีเป็นอย่างยิ่ง ผู้วิจัยพบข้อมูลการแสดงละครร้อง สามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ละครร้องแบบปรีดาลัย และละครร้องของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และละครร้องจันทโรภาสของพรานบูรพ์ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระองค์ท่าน ผู้วิจัยขอ น าเสนอละครร้องของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เป็นล าดับแรก ตามด้วยละคร ร้องแบบปรีดาลัย ซึ่งเป็นคณะละครของเอกชนที่แสดงละครตามรูปแบบและเอกลักษณ์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ และละครร้องจันทโรภาสของพรานบูรพ์ ดังนี้ 1) ละครร้องของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มละครร้องที่เรียกว่า “ละครร้องแท้ ๆ” หรือ “ละครร้องล้วน” ขึ้น โดยพระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยในด้านการละครและ ดนตรีเป็นอย่างยิ่ง “พระองค์ทรงมีผลงานพระราชนิพนธ์จ านวนมากกว่า 853 รายการ แต่ส่วนที่มี ลักษณะเป็นบทละครร้องแท้ ๆ มีอยู่ 7 รายการเท่านั้น” (ณัฎฐนิช นักปี่, 2557, น. 52) ลักษณะละคร ร้องของพระองค์จะแตกต่างออกไปจากละครร้องแบบปรีดาลัย กล่าวคือละครร้องของรัชกาลที่ 6 จะเป็นละครร้องล้วน ๆ ไม่มีบทพูดแทรกเลย เลียนแบบมาจากละครโอเปร่าของตะวันตก และ พระองค์ท่านได้ปรับให้มีความสอดคล้องกับละครของไทย ลักษณะที่ส าคัญคือตัวละครจะต้องร้องบท


25 เองทั้งหมด ไม่มีลูกคู่ร้องรับหรือช่วยร้อง ทรงแสดงทรรศนะไว้ว่า “ไม่ควรมีลูกคู่ส าหรับละครชั้นดี การแทรกลูกคู่ก็เท่ากับการเล่านอกบทให้ผู้ดูเข้าใจนั่นเอง นอกจากนั้นลูกคู่ก็มาช่วยร้องแข่งกับคน แสดงให้เซ็งแซ่น่าร าคาญด้วย” (จมื่นอมรดรุณารักษ์, 2511, น.69อ้างถึงใน เสาวณิต วิงวอน, 2555, น.118) ตัวละครใช้ท ่าทางแบบสามัญชน หรืออาจมีการร าแทรกบ้าง การแต ่งกายแต ่งอย ่างพันทาง มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง ใช้วงปี่พาทย์บรรเลงประกอบการแสดง ละครเรื่องสาวิตรี เป็นละคร ที่แสดงยากและมีชื่อเสียงที่สุดของพระองค์ท่าน เห็นได้ว่าละครร้องมีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาเพื่อให้การละครนั้นเข้ากับยุคสมัยและสามารถดึงดูดผู้ชมให้สนใจในละครร้อง ศาสตราจารย์นายแพทย์ พูนพิศ อมาตยกุล ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับละครร้องของรัชกาลที่ 6 ไว้ว่า แม้รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างบทละครไว้มากถึง 7 เรื่องก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่ทรงแสดงก็มีเหตุขัดข้องที่ไม่ อาจจะแสดงได้ เช่น เรื่องมิกาโด้และเรื่องวั่งตี่ มีเนื้อเรื่องเดียวกันแต่เปลี่ยนฉากเป็นคนละประเทศ กล่าว คือมิกาโด้เป็นท้องเรื่องแบบญี่ปุ่น แต่เรื่องวั่งตี่เป็นท้องเรื่องแบบจีน ก็ไม่เคยได้แสดงเลย แม้แต่ เรื่องศกุนตลาและสาวิตรีซึ่งได้เค้าโครงมาจากมหาภารตยุทธ ทั้งสองเรื่องก็ไม่ได้แสดงในรัชกาล ของพระองค์ เรื่องศกุนตลานั้นมาเปิดแสดงที่โรงละครศรีอยุธยา ในสมัยรัชกาลที่7 และ8ส่วนสาวิตรีนั้น รัชกาลที่6 ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเสร็จแล้ว แต่อย่างบรรจุเพลงไม่ทันเสร็จ พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) ก็มาถึงแก่กรรมเสียก่อนในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2467 (พูนพิศ อมาตยกุล, 2557, อ้างถึงใน ณัฎฐนิช นักปี่, 2557, น. 55) 2) ละครร้องแบบปรีดาลัย ความนิยมและความเฟื่องฟูของละครร้องในช่วงนี้ ปรากฎเด่นชัดที่นอกราชส านัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคณะละครของเอกชนที่เจ้าของคณะเคยเป็นตัว ละครของคณะละครหลวงนฤมิตรและปรีดาลัยมาก่อน โดยมีการเปิดคณะละคร สร้างโรงละคร เล่นละครร้องแข่งขันกันเพื่อแสวงหารายได้ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คณะละครเอกชนดังกล่าว เล่นตามแบบแผนและมีรูปแบบการแสดงเป็นไปอย่างละครร้องของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ บ้างมีการปรุงแต่งให้เกิดความแตกต่างเล็กน้อย แต่ก็ได้รับแนวคิด อิทธิพลของละครมาจากละครของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทั้งสิ้น คณะละครช่วงต้นที่ตัวละคร คณะละครปรีดาลัยแยกออกมาเป็นคณะละครนั้น ได้ตั้งคณะละครชื่อ ปราโมทย์เมือง บันเทิงไทยและไฉวเวียง จัดแสดงที่โรงละครปรีดาลัย และใช้บทละครที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นผู้นิพนธ์ ขุนวิจิตรมาตรา ได้กล่าวเกี่ยวกับละคร 3 คณะไว้ว่า ละครปราโมทเมือง บันเทิงไทย และ ไฉวเวียง 3 คณะเป็นละครแยกจากละครปรีดาลัยอยู่ในสังกัดปรีดาลัยนั่นเอง ยุค 3 คณะนี้เข้า สมัยรัชกาลที่ 6 ทรงใช้นามปากกาว่า “พระศรี” บ้าง “หมากพญา” บ้าง การแสดงของยุคสามคณะ น าเอาเรื่องยุคปรีดาลัย มาแสดงหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งที่แสดงแล้วคนดูติดอกติดใจมากคือเรื่องสาวเครือฟ้า เลยเกิดมีต่อขึ้นคือทรงนิพนธ์เรื่องเครือณรงค์เป็นลูกชายเครือฟ้า (สง่า กาญจนาคพันธุ์, 2523, น.190-191) นอกจากนี้ยังพบว่า ละครร้องช่วงนี้มีการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ละคร โดยการแจกใบปลิว รวมทั้ง การติดป้ายเพื่อโฆษณาละครเรื่องที่จะท าการแสดง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ได้ทรงเขียนโฆษณาการแสดงของพระองค์เองลงในใบปลิวแผ่นเล็ก ๆ แห่รถม้า มีแตรเป่าและกลองตี ดังตัวอย่างข้อความการโฆษณาว่า


26 เสาร์ส าเริงบันเทิงไทยไม่ได้เล่น เห็นผิดเป็นชอบต่อด้วยท้อฝน ไม่ได้เล่นเสาร์ก่อนหยุดผ่อนปรน ตกเรื่อยจนร้องมิค่อยจะได้ยิน วันอาทิตย์ที่ยี่สิบสี่ปรีดาลัย เล่นขวดแก้วเจียระไนใครอย่าหมิ่น น่ามาชมสมเสบยเช่นเคยชิน เรื่องชิ้นเก่าลืออวดมือเอย (จันทิมา พรหมโชติกุล, 2518, น. 74) จากการศึกษาข้อมูล พบว่า ละครร้องในรูปแบบปรีดาลัยได้เริ่มชะลอตัวลงและหยุดการแสดง ไปประมาณ พ.ศ. 2456 เพราะหลังจากนั้นไม่พบบทละครร้องของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์อีกดังที่ ณัฎฐนิช นักปี่ (2557, น. 108) กล่าวว่า “เมื่องานแสดงละครในปรีดาลัยสิ้นสุด นักแสดงตัวหลัก เช่น แม่บุนนาค แม่ฉวี แม่เยื้อน จึงออกมาตั้งคณะใหม่เป็นของตนเอง หรือไปหาที่แสดงใหม่” ละครร้อง ช่วงหลังปรีดาลัยนี้ เป็นที่เฟื่องฟูมาก เนื่องมาจากผู้ชมทั่วไป เริ่มเคยชินและเข้าถึงละครร้องมากขึ้น ซึ่งแต่เดิมเป็นมหรสพชั้นสูง ที่พวกเจ้านายและผู้ดีได้รับชมเท่านั้น กิจการละครร้องในประเทศเป็นที่นิยม อย่างกว้างขวาง เจ้าของโรงละครบางคนได้เงินจ านวนมาก สาเหตุที่ละครร้องเป็นที่นิยมมากสรุปได้ดังนี้ 1) การแสดงเป็นรูปแบบกิริยาอาการของปุถุชนปกติ ผู้คนสามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ง่าย 2) เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงได้รับการปรับแต่งให้เข้ากับอารมณ์และความรู้สึกของ ประชาชน บางเพลงร้องติดหูจนสามารถร้องได้ทั่วเมือง 3) รูปแบบการแสดง มีทั้งร้อง และพูด บ้างมีจ าอวดหรือการแสดงระบ าสลับฉาก ท าให้ไม่น่าเบื่อ 4) มีการด าเนินเรื่องที่รวดเร็ว เข้าใจง่าย ประกอบกับการเปลี่ยนสลับฉากอยู่ตลอดเรื่อง เกิดความน่าตื่นตาตื่นใจ จากความนิยมละครร้องที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ระยะเวลาต่อมาได้เกิดละครร้องคณะเอกชนอื่น ๆ ขึ้นอีกเป็นจ านวนมาก โดยมีทั้งคณะละครที่ด าเนินตามแบบแผนของละครปรีดาลัย และพัฒนาต่อ ตามแบบแผนของปรีดาลัย โดยทั้งหมดทุกคณะมุ่งพัฒนาแบบแผนของละครร้องคณะตนเองให้มีความ แปลกใหม่ เพื่อที่จะได้รับความนิยมในสังคม เกิดเป็นบรรยากาศการแข่งขันด้านการแสดงตามมาการ ละครในช่วงนั้นจึงเป็นการละครเพื่อการพานิชย์ เช่น คณะละครปราโมทัยปรับแบบแผนการแสดง โดยประพันธ์บทละครเอง มีการใช้ระบ าสลับฉากต่างชาติ เช่น ฝรั่ง ลาว แขก จีน ที่ได้รับความนิยม และดัดแปลงงิ้วจีนมาร้องเป็นงิ้วไทย ท าให้ละครปราโมทัยมีชื่อเสียงมาก เป็นต้น ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ ละครร้องเล่นซ้ ามากที่สุด อีกทั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ท่านทรงสนับสนุน การดนตรีและการละครอย่างเต็มเปี่ยม ส่งผลให้ละครร้องเจริญรุ่งเรืองอย่างที่สุด ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7)ละครร้องยังคงได้รับความนิยม เกิดละครร้องขึ้นอีกมากมายหลายคณะ มีพัฒนาการที่ส าคัญคือได้น าไทยเพลงสากลเข้ามาใช้ประกอบการ แสดงและใช้เครื่องดนตรีสากลบรรเลงคลอกับการขับร้อง ผู้ริเริ่มได้แก่ จวงจันทร์ จันทร์คณา หรือ “พรานบูรพ์” ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลคณะละครร้อง สามารถรวบรวมคณะละครที่อยู่ในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรือง ของละครร้อง (พ.ศ. 2455 - พ.ศ. 2477) ได้ทั้งหมด 45 คณะ ดังรายละเอียดตามตารางต่อไปนี้


27 ตารางที่ 1 คณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง ล้าดับ ชื่อคณะ เจ้าของคณะ โรงละครที่แสดง หมายเหตุ 1. คณะละครของ พระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่6) พระบาทสมเด็จพระ มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โรงละครหลวงใน รัชกาลที่ 6 (โรงละครสโมสร ทวีปัญญาเดิม) โรงละครหลวงสวน มิสกวัน 2. ละครปรีดาลัย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิป ประพันธ์พงศ์ โรงละครปรีดาลัย นักแสดงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ หม่อมพร้อม หม่อมสุ่นแม่ช้อย แม่บุนนาคแม่ฉวี แม่เยื้อน ฯลฯ 3. คณะปราโมทัย พระโสภณอักษรกิจ (เล็ก สมิตะศิริ) โรงละครปราโมทัย นักแสดงที่มีชื่อเสียง ได้แก่ แม่บุนนาค แม่ฉวี แม่ชม้อย มีระบ าสลับฉาก เรียกว่า ระบ าเฉลียว 4. คณะละคร อิตาเลี่ยน มาดามมัวซอง โรงละครอิตาเลี่ยน ใช้เนื้อเรื่องเป็น ตะวันตก เพลงร้อง เป็นท านองตะวันตก แต่บทร้องและ เจรจาเป็นภาษาไทย 5. คณะปราโมทเมือง บันเทิงไทย ไฉวเวียง พบเพียงว่าคณะปรา โมทเมืองมีเจ้าของ คือ แม่เมือง หนูนิมิต โรงละครปรีดาลัย ใช้บทละครกรม พระนราฯ ทรง นิพนธ์ มีแบบแผน แบบปรีดาลัย 6. คณะประเทืองไทย นายเจริญ 7. คณะปราโมทย์ สมัย คาดว่าเป็นนักแสดง เก่าจากคณะปรีดาลัย 8. คณะปราโมทย์ บันเทิง ไม่พบเจ้าของคณะ 9. คณะปราโมทย์นคร แม่เมือง หนูนิมิต ผู้จัดการคือ แม่เสงี่ยม กลิ่นหมอ แม่หวานเป็น ผู้อ านวยการและ ก ากับเวที


28 ตารางที่ 1 คณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง (ต่อ) ล้าดับ ชื่อคณะ เจ้าของคณะ โรงละครที่แสดง หมายเหตุ 10. คณะนาคร บรรเทิง แม่บุนนาค เจนจบภัณฑกิจ โรงละครฉันน ส าเริง หรือคน เรียกกันว่า โรงละครร้องแม่ บุนนาค และโรงละคร นาครเขษม ใช้รูปแบบการแสดง แบบละครปรีดาลัย ผสมผสานกับคณะ ปราโมทัย นักแสดงที่มีชื่อเสียง คือ แม่ฉวี และ แม่บุนนาค แม่แก้วเป็นผู้ประพันธ์ บทประจ าคณะละคร 11. คณะบันเทิง สยาม แม่เยื้อน ศรีไกรวิน เดิมเล่นที่โรง ละครปราโมทัย ต่อมาสร้างโรง ละครชื่อ “บุษปนาฏะ ศาลา” แม่ชั้น แม่ผ่อน เป็นผู้แสดงเอก สง่า กาญจนาคพันธุ์ เป็นผู้แต่งบทละคร 12. คณะเทพบันเทิง แม่ชม้อย คังฆะรัตน์ และหลวงภูมินาถ สนิทให้การสนับสนุน แม่ชม้อย เชี่ยวชาญใน การเล่นงิ้ว 13. คณะแม่ทองสุก แม่ทองสุก โรงละคร บุษปนาฏะศาลา แม่ชม้อย คังฆะรัตน์ เป็นนักแสดงเอก 14. คณะหม่อม พร้อม วรวรรณ หม่อมพร้อม วรวรรณ โรงละคร บุษปนาฏะศาลา หม่อมพร้อม วรวรรณ เป็นตัวละครเอก แสดง เรื่อง สาวเครือฟ้า ในสมัยรัชกาลที่ 5 15. คณะแม่แก้ว แม่แก้ว ประวัติ โคจาริก แม่แก้วเป็นศิษย์ที่กรม พระนราฯ โปรดมาก และเป็นผู้ประพันธ์บท ละครร้องให้คณะอื่น ๆ ได้แสดง มีการใช้ วงเครื่องสายประสม ออร์แกนและไวโอลิน


29 ตารางที่ 1 คณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง (ต่อ) ล้าดับ ชื่อคณะ เจ้าของคณะ โรงละครที่แสดง หมายเหตุ 16. คณะอิสระนาลัย ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ พบบทละครร้องเรื่อง กินสองต่อ ประพันธ์ โดยเขียวหวาน 17. คณะเขษม นฤมิตร ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ พบบทละครร้อง เรื่อง แถลงความจริง ประพันธ์โดย วาริศ 18. คณะราตรีภิรม ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ พบบทละครร้อง เรื่อง ผ้าซิ่น ประพันธ์โดย คนเก่า 19. คณะศิลป์ส าเริง แม่เลื่อน ไวนุนาวิน และสิน ศรีบุญเรือง ผู้ประพันธ์บทละคร คณะนี้คือ จวงจันทร์ จันทร์คณา หรือ พรานบูรพ์ ใช้เพลง ไทยสากลประกอบการ แสดง 20. คณะปรีดีรมย์ ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ พบบทละครร้อง เรื่อง ต้นกลายปลายรัก ประพันธ์โดย จ.ผ. 21. คณะมาโนชสมัย นายอู๋ พบบทละครร้อง เรื่อง ยอมม้วยด้วยรัก ประพันธ์โดยแก้วตราชู 22. คณะเฉลิมกรุง ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ โรงละคร เฉลิมกรุง พบบทละครร้อง เรื่อง ลูกปรอดทิดบุญ ประพันธ์โดย รศสุคนธ์ 23. คณะพัฒนาลัย ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ พบบทละครร้อง จ านวน 4 เรื่อง สาวบัวทอง เอื้อมดอก ฟ้า สาวเครือจันทร์ และให้ร้าย 24. คณะเสรีส าเริง ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ พบบทละครร้อง เรื่อง อ ามาตย์ทรยศ (พงศาวดารพม่า) ประพันธ์โดยศุภลักษณ์


30 ตารางที่ 1 คณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง (ต่อ) ล้าดับ ชื่อคณะ เจ้าของคณะ โรงละครที่แสดง หมายเหตุ 25. คณะราตรีพัฒนา ซ.ซองอ๊วน ศรีบุญ เรือง โรงละครพัธนากร ประพันธ์บทโดย พระยาวินัยสุนทร (วิม พลกุล) จวงจันทร์ จันทร์คณา เป็นผู้บอกบทและ ผู้ประพันธ์ 26. คณะดุริยบันเทิง พระจัดดุริยางค์ (ป่วน สุนทรนัฏ) โรงละครตลาด ทุเรียน นายทิ้ง นายสมบุญ นายสวัสด์ และนาย ปุ่นเป็นนักแสดง 27. คณะศรีโอภาส พระวรพจน์วินิจฉัย (กระจ่าง แพ่งสภา) โรงละครพัธนากร มีนางเอกชื่อว่า แม่ศรี และต่อมาเป็นคณะ ละครของพรานบูรพ์ 28. คณะจันทโรภาส จวงจันทร์ จันทร์คณา (พรานบูรพ์) ไม่มีโรงประจ า ส าหรับแสดง โดย แสดงตามโรงละคร ต่าง ๆ ใน กรุงเทพฯ นางเอกละครชื่อ ประทุม ประทีประเสน ส่งศรี ยอห์นสัน พระเอกชื่อ ปรุง เทพกุญชร ปรับรูปแบบการแสดง ให้เป็นร้องเนื้อเต็มไม่มี ลูกคู่ ใช้วงดนตรีสากล 29. คณะรัตนบันเทิง หรือคณะเพ็ชโร ภาส สมประสงค์ รัตนทัศนีย์ หรือ “เพ็ชรรัตน์” โรงละครพัธนากร 30. คณะสังคีตยากร พุฒ นันทพล ใช้วงดุริยางค์สากล ขนาดเล็กประกอบ การแสดง 31. คณะเทพนฤมิตร ปรุง เทพกุญชร นวลศรี บุญล้อม วิเชียร และสุรัตน์ เป็น นักแสดง 32. คณะบูรพาภิรมย์ ไม่พบชื่อเจ้าของคณะ พระเอกคณะละคร ชื่อ ศรี สุวรรณชื่น


31 ตารางที่ 1 คณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง (ต่อ) ล้าดับ ชื่อคณะ เจ้าของคณะ โรงละครที่แสดง หมายเหตุ 33. คณะนารีสยาม ขาว มิตรศิริศักดิ์ ส่งศรี ยอห์นสัน และยุพา เป็นผู้แสดง ใช้วงอังกะลุง และ วงดนตรีสากล ประกอบการแสดง 34. คณะวิฑูรย์ บันเทิง นายชื่น กับ แม่หริ่ม โนรี เป็นพระเอก สะอาด เป็นนางเอก 35. คณะแม่ยุพิน แม่ยุพิน แม่ยุพินเป็นพระเอก แม่ทองหยิบ เป็นนางเอก 36. คณะวาสนา ปราโมทย์ วาสนา ปรากฏบทละคร เรื่อง ดาวประดับฟ้า เสียงเสน่ห์ และสนิมเสน่ห์ 37. คณะเกษมศุข เกษมศุข นางสาวทองอยู่เป็น พระเอกบทละครที่พบ ได้แก่ ใบ้นอนฝัน นักสืบสยาม รักชโลมเลือด และยอดทหารหาญ 38. คณะเสียงเสน่ห์ ช้อย แสงวรรณยศ น.ส.เสนาะ เสียงเสน่ห์ เป็นพระเอก น.ส.เสน่ห์ เสียงเสน่ห์ เป็นนางเอก มีการแสดงระบ าภาษา เช่นระบ ารัมบา ระบ าชวา ระบ าฮาวาย และระบ านกเขา ในการสลับฉาก


32 ตารางที่ 1 คณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง (ต่อ) ล้าดับ ชื่อคณะ เจ้าของคณะ โรงละครที่แสดง หมายเหตุ 39. คณะบันเทิงวัฒนา ไม่พบชื่อเจ้าของ คณะ พบในการโฆษณา การแสดงเรื่องกุหลาบ เมืองแพร่ ประพันธ์ โดยแม่แก้ว 40. คณะศรีกัญญา กัญญา เจียน เป็นพระเอก อนงค์ เป็นนางเอก 41. คณะประทุม บรรเทอง ไม่พบชื่อเจ้าของ คณะ เป็นละครร้องอย่างจีน เพ็ญแข บุญยเกียรติ เป็นพระเอก บุญล้อม เป็นนางเอก 42. คณะศรีเบญจา สุดใจ ศรีเบญจา เจ้าของคณะเป็น นักดนตรี เก็บรักษา บทละครของ พรานบูรพ์ไว้มาก 43. คณะราษฎร์บันเทิง ไม่พบชื่อเจ้าของ คณะ พบในการโฆษณา การแสดงเรื่อง นางพญามัจจุราช เพี้ยน เป็นพระเอก เจียน เป็นนางเอก 44. คณะไทยโอเปร่า ครูพิมพ์ พวงนาค และยงยุทธ (ปิ๋ว) จิ ยะจันทร์ โรงละครนาคร เขษม อุบล เป็นพระเอก พะยอม สาครวาสี เป็นนางเอก ใช้วงดนตรีสากล ทั้งเครื่องสาย และ เครื่องเป่าจากกอง ดุริยางค์ทหารบกและ ทหารเรือประกอบ การแสดง 45. คณะศรี พระอาทิตย์ เจ้าจอมมารดา โหมด (โหมด บุนนาค) แสดงละครเรื่อง พระธิดาไซกี ที่มา: ผู้วิจัย


33 จากตารางที่ 1 อธิบายได้ว่า ละครร้องในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้องนี้ มีคณะละคร เกิดขึ้นเป็นจ านวนมาก ผู้วิจัยรวบรวมคณะละครร้องได้ทั้งหมด 45 คณะ โดยในช่วงต้นนั้น คณะละคร เล่นละครร้องตามแบบแผนของละครปรีดาลัย ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ สาเหตุมาจากตัวละครของละครปรีดาลัยแยกออกไปสร้างคณะละคร จึงได้น ารูปแบบจากประสบการณ์มาใช้ ในการแสดง รวมถึงใช้วงปี่พาทย์ไม้นวมบรรเลงประกอบการแสดงเช่นเดิม จากนั้นพัฒนาขึ้นมาตามล าดับ ประกอบกับได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกมากขึ้น ความนิยมละครร้องแพร่กระจายเกิดเป็นคณะละครร้อง ที่เกิดขึ้นใหม่อีกหลายคณะ โดยแต่ละคณะก็มีการพัฒนาการละครของตนเองเพื่อดึงดูดให้ผู้ชมมาชม การแสดงของคณะตน มีความแปลกใหม่ ทันยุคสมัย น่าติดตามมีการปรับเปลี่ยนดนตรีประกอบการแสดง เป็นวงดนตรีสากล วงเครื่องสายผสม วงอังกะลุง อีกทั้งมีปรากฏการแสดงระบ าสลับฉากที่เป็นลักษณะ การแสดงตามละครตะวันตก ถือเป็นพัฒนาการอีกขั้นของละครร้อง หลังจากละครร้องเฟื่องฟูมาก ได้รับการพัฒนาและความนิยมต่อเนื่องจากประชาชนทั้งใน กรุงเทพฯและปริมณฑล ครั้นต่อมามีมหรสพภาพยนตร์เข้ามาในประเทศไทยได้รับความนิยมขึ้น ส่งผลให้ละครร้องลดความนิยมลง จุดเปลี่ยนส าคัญนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อกิจการละครร้อง อีกทั้ง ประเทศไทยสามารถผลิตภาพยนตร์และเกิดบริษัทผลิตแผ่นเสียงอีกมากมาย ท าให้ประชาชนสามารถ รับความบันเทิงได้อย่างหลากหลาย ในช่วงหลังนี้เกิดละครร้องรูปแบบใหม่พัฒนาต่อเนื่องควบคู่กับ ความเจริญของภาพยนตร์ โดยละครร้องรูปแบบใหม่ที่กล่าวข้างต้น มีการน าเพลงไทยเดิม ที่มีการเอื้อนมาใส่เนื้อร้องเต็มและดัดแปลงแนวเพลงไทยให้เป็นเพลงสากล ผลจากการเปลี่ยนแปลง ของพรานบูรพ์เป็นจุดเปลี่ยนจากละครร้องเป็นละครเพลงแบบสมบูรณ์ ละครร้องจันทโรภาส ของพรานบูรพ์ เป็นละครที่เกิดขึ้นและจัดแสดงในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับระหว่างวิวัฒนาการละครร้องช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้อง และ ช่วงที่ 3 การอนุรักษ์ ฟื้นฟูละครร้อง ละครร้องของพรานบูรพ์ เดิมจัดแสดงละครร้องในรูปแบบที่ใช้ ดนตรีสากลมาผสมผสานกับดนตรีไทยเป็นที่นิยมมากในขณะนั้น จากนั้นพรานบูรพ์มีความคิดริเริ่ม แปลกใหม่ ได้น าเครื่องดนตรีสากล ประกอบด้วย กลองชุด แซกโซโฟน ไวโอลิน ทรัมเป็ต และเบส มาบรรเลงประกอบละครแทนวงดนตรีไทย ตัดการตีกรับรับลูกคู่ออก มีการขับร้องเพลงแบบเนื้อเต็ม ไม่มีการเอื้อน นอกจากนี้พรานบูรพ์ได้แต่งเพลงไทยสากลขึ้นใหม่เพื่อใช้ในการบรรเลงประกอบละคร และใช้สัญลักษณ์เป็นชื่อเพลงโดยใช้ค าว่า “จันทร์” น าหน้า เช่น เพลงจันทร์เจ้าขา เพลงจันทร์จากฟ้า เพลงจันทร์แฝงหมอกเป็นต้น นับเป็นพัฒนาการที่ส าคัญของวงการละครร้องและละครเพลง กล่าวคือ เป็นจุดเปลี่ยนผันให้ละครร้องกลืนหายไป เนื่องจากการน าเพลงไทยสากลและวงดนตรีสากลมาใช้ให้ ความทันสมัยและได้รับการตอบรับดีอย่างมาก จุดหักเหของละครร้องในช่วงนี้เป็นพัฒนาการที่ส าคัญ ของการแสดงเกิดเป็นต้นแบบละครเพลงขึ้นอย่างชัดเจน พรานบูรพ์จัดแสดงละครร้องเรื่องโรสิตาให้กับคณะละครแม่เลื่อนเป็นที่ฮือฮาและได้รับความ นิยมมาก จากนั้นจัดแสดงละครเพลงเรื่องจันทร์เจ้าขา “ถือเป็นละครเพลงเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ การละครของไทยเพราะใช้วงดนตรีสากลบรรเลงประกอบการแสดงแทนวงปี่พาทย์โดยสมบูรณ์และ มีเพลงไทยสากลขับร้องประกอบการแสดงตลอดทั้งเรื่องถึง 39 เพลง” (ศิริมงคล นาฏยกุล, 2545, น. 58)


34 จุรีโอศิริ (2542, น. 124) ได้กล่าวถึงละครร้องของพรานบูรพ์ไว้ว่า อีกเรื่องที่ดังมากคือเรื่อง โรสิตาของพรานบูรพ์ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องเรียกละครเรื่องนี้ว่าเป็น คลื่นลูกใหม่ เนื้อเรื่องแหวกแปลกไป กว่าที่เคยเล่นจ าเจ เป็นเรื่องสากลตัวละครเป็นฝรั่งหมด เพลงที่ร้องก็ออกท านองฝรั่ง เพราะมาก เครื่องแต่งตัวเสื้อผ้าเรียกว่าทุ่มทุนกันทีเดียว ตัวละครผู้หญิงนุ่งกระโปรงสุ่มไก่ ใส่เสื้อคอลึกกว้างเล่น เอาคนโบราณฮือฮากันทีเดียว ละครของพรานบูรพ์ จัดแสดงหลายครั้งเป็นที่นิยม เนื่องด้วยเป็นละครรูปแบบที่ปรับปรุงใน เข้ากับบริบทสังคมในขณะนั้น โดยปรากฏบทละครที่อยู่ในสมัยรัชกาลที่ 7 จ านวน 6 เรื่อง และรัชกาลที่ 8 จ านวน 19 เรื่อง รวมทั้งหมด 25 เรื่อง ดังนี้ จับแพะชนแกะ แม่ศรีเวียง ขวัญใจโจร โรสิตา จันทร์เจ้าขา เพลงเสน่ห์ ห้วยแก้ว น้ าผึ้งรวง หนูจ๋า เลือดอยุธยา (หวลให้ใจหาย) ฝนสั่งฟ้า ขอบรั้วริมวัง พันธุ์ไม่เลื้อย ดอกโสนบานเช้า คือหนึ่งยังจ าได้ เขนยที่ยังหนุน บุปผาชาตินคร ภูหยัน (ดาบโบราณ) พี่ร่วมท้องน้องร่วมไส้ คนดีที่โลกลืม นางแก้ว (ผู้ชนะทิศเดียว) อุมาปาหนัน ไม่คืนค า ขอนลอยน้ า เมืองรักเมืองร้าง กล่าวโดยสรุปได้ว่า ละครร้องในช่วงที่ 2 ความรุ่งเรืองของละครร้องนี้ เป็นช่วงของการพัฒนา ละครร้องอย่างเต็มรูปแบบ กล่าวคือ มีการน าละครร้องแบบเดิมมาปรับเปลี่ยน พัฒนา ประยุกต์ ให้เกิดความแตกต่าง และความน่าสนใจ เกิดเป็นรูปแบบละครอัตลักษณ์เฉพาะตนของเจ้าของคณะ การเปลี่ยนแปลงพัฒนานี้เกิดเป็นละครร้องรูปแบบใหม่ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ละครร้องล้วน ๆ ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และละครร้องสลับพูด ซึ่งต่อมาพรานบูรพ์พัฒนามาเป็น ละครเพลง กิจการละครร้องในช่วงนี้ยังคงด าเนินต่อไปอีกซักระยะ จนบ้านเมืองเริ่มระส่ าระสายจาก เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2477 ก็เริ่มคลายตัวโดยจะกล่าวถึงในช่วงที่ 3 การอนุรักษ์ ฟื้นฟู ละครร้องต่อไป ช่วงที่ 3 การอนุรักษ์ ฟื้นฟูละครร้อง เชื่อมต่อสู่ละครเพลง (รัชกาลที่ 8 พ.ศ. 2478 - ปัจจุบัน) ส าหรับช่วงที่ 3 นี้ อยู่ในช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 จนถึงปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2478 เป็นต้นมา โดยช่วงต้นนั้นกิจการละครร้องเริ่มมีปัจจัยที่ส่งผลให้ เกิดการเสื่อมความนิยม ได้แก่เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ปีพ.ศ. 2478 - พ.ศ. 2479 เหตุการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. 2482 - พ.ศ. 2485 และความใหม่ของมหรสพประเภท ภาพยนตร์ ที่เข้ามาในประเทศไทยเกิดความนิยมควบคู่กับละครร้อง ส่งผลให้กิจการละครร้องเริ่มมี ผู้ชมลดน้อยลงตามล าดับ เนื่องจากภาพยนตร์นั้นใช้ชายจริงหญิงแท้แสดงกิริยาอาการธรรมชาติผู้ชม


35 และประชาชนเข้าใจเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งเหตุการณ์สงครามส่งผลให้ข้าวของเครื่องใช้ อุปโภคบริโภคราคาแพง ประชาชนจ าเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์คือการประหยัด กิจกรรม เพื่อความสุนทรีก็จ าเป็นจะต้องงดหรือลดน้อยลง อย่างไรก็ตามในตอนต้นของช่วงที่ 3 การอนุรักษ์ ฟื้นฟูละครร้องนี้ คณะละครของพรานบูรพ์ถือว่าเป็นคณะที่ได้รับความนิยมอยู่ ได้จัดแสดงละคร ต่อเนื่อง รวมทั้งหมด 26 เรื่อง อีกทั้งยังปรากฎมีคณะละครร้องจัดแสดงอยู่ต่อเนื่องคือคณะแม่เลื่อน ซึ่งเป็นคณะละครที่แสดงตามรูปแบบละครปรีดาลัย ระยะต่อมาละครคณะจันทโรภาส น าโดยพรานบูรพ์ ก็เลิกแสดง อันเนื่องมาจากสาเหตุการได้รับความนิยมน้อยลง จากเหตุการณ์การแสดงที่ภูเก็ต ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 9 ละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ละครร้อง คลายความนิยมและมีพัฒนาการเปลี่ยนเป็นละครเพลงชัดเจน ซึ่งในช่วงต้นสมัยรัชกาลที่ 9 ถือว่าเป็น รอยต่อที่หมดยุคละครร้องและผันมาเป็นละครเพลงแบบเต็มตัว เมื่อสิ้นสงคราม มีหลักฐานปรากฏ คณะละคร ที่จัดแสดงเป็นละครเพลงและละครเวที ใช้นักแสดงแบบชายจริงหญิงแท้ ได้แก่ คณะศิษย์เก่า ศิลปากรหรือคณะผกาวลี ก่อตั้งโดยคุณหญิงชิ้น ศิลปะบรรเลง และคุณครูลัดดา ศิลปบรรเลง (สารตายน) โดยรวบรวมลูกศิษย์ที่เข้ามาสมัครเรียนดนตรีกับครูหลวงประดิษฐ์ไพเราะมาเป็นนักแสดง ภายในคณะ แสดงครั้งแรกเรื่องผกาวลี ณ โรงละครศิลปากร นอกจากนี้ ยังปรากฏคณะศิวารมณ์ ที่อ านวยการแสดงโดย นาวาเอกขุนสวัสด์ ทิฆัมพร และหม่อมหลวงทรงสอางค์ ทิฆัมพร คณะละคร เทพศิลป์ อ านวยการแสดงโดยคุณหลวงอรรถ และคุณหญิงน้อมจิตร อรรถไกรวัลวทีคณะอัศวิน การละคร อ านวยการแสดงโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ ยุคล และคณะเกียรติเกษม ของเกษม หุตาคม ซึ่งทั้ง 5 คณะ เป็นคณะละครเพลงที่แสดงได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงมาก ภายหลังสงครามมหาเอเชียบูรพา มีผลงานละครเพลงให้ผู้ชมได้ชมมากมาย เช่น เรื่องดรรชนีนาง เรื่องธนูทอง และพันท้ายนรสิงห์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคณะอมรพิมานและชุมนุมศิลปิน ของสุวัฒน์ วรดิลก คณะเทพไท ของสาหัส บุญหลง คณะละครของสุพรรณ บุรณะพิมพ์ คณะชื่อชุมชนศิลปิน ของสวลี ผกาพันธุ์ และคณะวิจิตรเกษม ของบัณฑูร องค์วิสิษฐ์ เปิดแสดงละครเพลงในเวลาต่อมา ระยะต่อมามีผู้ริเริ่มฟื้นฟูละครร้องขึ้น โดยใช้ชื่อว่า คณะละครปรีดาลัย เป็นการรื้อฟื้นละคร ร้องแบบปรีดาลัยให้เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยผู้เริ่มก่อตั้งคณะละครปรีดาลัยในชั้นหลังนี้ ได้แก่ พระนางเธอลักษมีลาวัณ พระธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระองค์ ทรงตั้งพระทัยตั้งชื่อคณะละครตามชื่อคณะละครของพระบิดา เปิดการแสดงที่โรงละครปรีดาลัย แถวแพร่งนรา ใช้ดนตรีสากลแบบฝรั่ง รูปแบบการร้องเป็นแบบสมัยใหม่ เริ่มใช้ชายจริงหญิงแท้ ในการแสดงละครร้องในคณะละครเอกชนครั้งแรก เพลงแต่งใหม่ทั้งหมดแสดง เรื่อง ศรีธนนชัย เรื่องตุ๊กตายอดรัก และขวดแก้วเจียระไน แต่มีผู้ชมให้ความสนใจไม่มากนัก จึงหยุดพักการแสดงไป จ านง รังสิกุล หัวหน้ากองการต่างประเทศ กรมประชาสัมพันธ์ เป็นหัวหน้าฝ่ายจัดรายการ ประจ าสถานีโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม มีแนวคิดน าเสนอละครเพลงในโทรทัศน์จึงได้เชิญชวน คณะชุมนุมศิลปินของสวลี ผกาพันธ์ มาร่วมแสดงอยู่หลายเรื่อง เช่น ละครเรื่องความพยาบาท ละครเรื่องเงาะป่า ละครเรื่องบ้านทรายทอง ละครเรื่องวนิดา เป็นต้น จากนั้นละครเพลงที่ช่อง 4 ก็เลิกการแสดงลงเนื่องจากคุณจ านง รังสิกุลออกจากต าแหน่ง ต่อมามีการจัดแสดงละครเพลงที่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 สนามเป้า คณะละครเวทีก็ขยับขยายมาแสดงด้วย


36 ภายหลังศรีนวล แก้วบัวสาย และมนัส บุณยเกียรติผู้ชื่นชอบในศิลปะการแสดงละครร้อง ได้ร่วมกันฟื้นฟูละครร้องขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยตั้งชื่อคณะละครว่าคณะเกียรติแก้ว แสดงเรื่อง ม่านเมืองแก้วเป็นเรื่องแรก ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 โดยรวบรวมตัวละครร้องรุ่นเก่ามาร่วมกันแสดง คณะละครเกียรติแก้วแสดงอยู่ระยะเวลา 13 ปีก็ยุติการแสดง จนกระทั่งต่อมาอาจารย์สมภพ จันทรประภา ก็มีแนวคิดฟื้นฟูละครร้องเช่นกัน ท่านจึงได้จัดแสดงละครร้องให้นิสิต นักศึกษาได้แสดง แต่ละครของ ท่านก็ได้รับความนิยมอยู่เพียงระยะหนึ่งเท่านั้นก็ต้องเลิกราไป ระยะต่อมา ได้มีผู้ฟื้นฟูละครร้องแบบปรีดาลัยขึ้นอีกครั้ง และน าออกแสดงทางโทรทัศน์ช่อง 4 จัดแสดงเรื่องสาวเครือฟ้า ครูสัมพันธ์ พันธุ์มณี เป็นผู้ก ากับการแสดง ใช้บทเดิมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งมีการปรับบทใหม่ให้กระชับลงส าหรับแสดงในโทรทัศน์ขาวด า ในยุคนั้น ปรากฏว่ายังมีผู้ชมให้ความสนใจอยู่เป็นจ านวนมาก ต่อมาก็ได้จัดละครร้องต่อเป็นตอนของ ลูกสาวเครือฟ้าคือ เรื ่อง พ ่อเครือณรงค์ ครั้งนี้ใช้บทพระนิพนธ์ ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ที่ทรงใช้นามปากกาว่า หมากพญา หลังจากนั้นสถานีโทรทัศน์สีช่อง 7 ได้น าบทละครร้องของคณะละครปราโมทัย และนาครบันเทิง มาจัดแสดง เป็นการฟื้นฟูละครร้องครั้งส าคัญอีกครั้งหนึ่ง มนัส บุณยเกียรติเป็นผู้ก ากับการแสดง แสดงเรื่อง “คาลคารี-มาเรีย” รวบรวมตัวผู้แสดงที่สามารถร้องเพลงได้มาร่วมแสดง และได้รับ ค าชื่นชมเป็นอย่างมาก หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ คอลัมน์ห้าแยกบันเทิง ได้กล่าวถึงการแสดงไว้ว่า ปีใหม่ที่ผ่านมามีบุญได้ดูละครร้อง คาลคารี- มาเรียของแม่วงก์ทางช่อง7 มีคุณสุรางค์เปรมปรีดิ์ เป็นผู้อ านวยการสร้าง และคุณมนัส บุณยเกียรติก ากับการแสดง มีฐิติมา สุตสุนทร ภัสสร บุณยเกียรติ จุรีโอศิริและ ชลิต เฟื่องอารมณ์ แสดงน า ละครร้องตายจากเมืองไทยไปนานแล้ว เพิ่งได้มาดูเต็มตาเมื่อปีใหม่นี่เอง ขอบคุณคุณครูมนัส ที่อุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจปลุกปั้นละครร้องให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกจนได้ และต้องขอชมความอุตสาหะของ ดารารุ่นใหม่ ที่อุตส่าห์ร้องเพลงที่ค่อนข้างยากได้ดี ท าให้ชื่นชมต่อไปว่าดาราไทยไม่ใช่เล่นได้ดี แต่บท วับ ๆ แวม ๆ แต่มีความสามารถในการแสดงออกทางวัฒนธรรมได้ดีทีเดียว (จุรี โอศิริ, 2533, น. 135) ในส่วนของวิทยาลัยนาฏศิลป คุณครูลมุล ยมะคุปต์ และคุณครูเฉลย ศุขะวณิช ผู้เชี่ยวชาญ นาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลป ได้น าละครร้องแบบปรีดาลัย เรื่อง สาวเครือฟ้า มาจัดแสดงที่ โรงละครแห่งชาติ จัดแสดงครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2522 เป็นที่นิยมของประชาชนเป็นจ านวนมาก โดยได้ท าการแสดงกว่า 30 รอบ และในปัจจุบันวิทยาลัยนาฏศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ได้ร่วมอนุรักษ์ฟื้นฟูละครร้องมาอย่างต่อเนื่อง โดยปรากฏการจัดแสดงเป็นศิลปนิพนธ์ และผลสัมฤทธิ์ ของนักศึกษา ในเรื่องสาวเครือฟ้า อีนากพระโขนง และตุ๊กตายอดรัก โดยได้ศึกษารูปแบบการแสดง และ สืบทอดต่อไป นอกจากนี้ ส านักการสังคีต กรมศิลปากร หน่วยงานหลักทางด้านศิลปวัฒนธรรม และ หน่วยงานทางการศึกษาต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก็ได้จัดแสดงละฟื้นฟูสร้างสรรค์ ละครร้องเรื่องต่าง ๆ เพื่อการอนุรักษ์ สืบทอด ศิลปวัฒนธรรมที่เป็นรากเหง้าของชาติชนิดนี้ต่อไป ผู้วิจัยได้รวบรวมข้อมูลคณะละครร้องที่ปรากฏในช่วงที่ 3 นี้ ได้ ดังตารางต่อไปนี้


Click to View FlipBook Version