The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักสูตร2566 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ประถม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by prapinya thipsang, 2023-09-08 05:28:06

หลักสูตร2566 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ประถม

หลักสูตร2566 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ประถม

ประกาศโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ เรื่อง ให้ใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๖) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ………………………………. กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่ สพฐ.๑๒๓๙/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ และ คำสั่งสำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ๓๐/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๑ ให้เปลี่ยนแปลงมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) โดยมีคำสั่งให้โรงเรียน ดำเนินการใช้หลักสูตรในปีการศึกษา ๒๕๖๑ โดยให้ใช้ในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และ ๔ ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๖๑ เป็นต้นมา ในปีการศึกษา๒๕๖๒ ให้ใช้หลักสูตรในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ๒ ๔ และ๕ มัธยมศึกษาปีที่ ๑ และ ๒ และในปี ๒๕๖๓ ให้ใช้ ทุกระดับชั้น โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ จึงได้จัดทำหลักสูตรสถานศึกษา พุทธศักราช ๒๕๕๓ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง ๒๕๖๐) ขึ้น คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียน ได้ตรวจสอบผู้เรียน สามารถนำไปใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมีคุณค่าต่อสังคม จึงเห็นสมควรแล้วว่ามีความ เหมาะสม สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) อนุญาตให้ใช้หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ได้ ทั้งนี้หลักสูตรโรงเรียนได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นที่ เรียบร้อยแล้ว จึงประกาศให้ใช้หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ พุทธศักราช ๒๕๕๓ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๖) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๐) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณ วันที่ 9 เดือน พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ลงชื่อ) (ลงชื่อ) (นางวิมลา ไตรทศาวิทย์) (นางสาวปนัดดา วงค์จันตา) ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้อำนวยการโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์


คำนำ โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้จัดทำหลักสูตร สถานศึกษา พุทธศักราช ๒๕๕๓ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2566) โดยใช้หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) เป็นแกนหลักเพื่อกำหนดการจัดทำ โครงสร้างและสาระหลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทของสถานศึกษา ซึ่งในการจัดทำหลักสูตร สถานศึกษาครั้งนี้เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปสู่การจัดการเรียนรู้ที่ส่งผลให้ผู้เรียนมีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่จำเป็นในการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่าง ต่อเนื่องตลอดชีวิตตามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ ๓๐/๒๕๖๑ เรื่องให้เปลี่ยน มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อให้ สอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และมีความทันสมัย มุ่งผลประโยชน์ต่อผู้เรียน เป็นสำคัญและเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ในการจัดการศึกษาตามมาตรฐานการศึกษาที่กำหนดใน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ร่วมกันจัดทำหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพุทธศักราช ๒๕๕๓ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2566) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษา พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๖๐) เพื่อเป็นกรอบทิศทาง ในการนำหลักสูตรไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีศักยภาพความสามารถในการปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ทั้งในสังคมไทยและสังคมโลกต่อไป ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร ฉบับนี้ให้มีความสมบูรณ์และเหมาะสมตามบริบทต่อการจัดการศึกษาในโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ลงชื่อ ................................................. (นางสาวปนัดดา วงค์จันตา) ผู้อำนวยการโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | ข กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ความนำ 1 ผังมโนทัศน์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 2 เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3 วิสัยทัศน์กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6 หลักการ 6 จุดหมาย 6 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 7 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 7 คุณภาพผู้เรียน 8 ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 10 จิตวิทยาศาสตร์ 13 โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ โครงสร้างเวลาเรียน ระดับประถมศึกษา 15 โครงสร้างรายวิชา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 16 มาตรฐาน ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 17 ตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ 60 ตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 72 ตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 84 ตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 100 ตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 116 ตารางวิเคราะห์มาตรฐานและตัวชี้วัดตามสาระการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 132 คำอธิบายรายวิชา 152 โครงสร้างหน่วยการเรียนรู้ 168 การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 221 อภิธานศัพท์ 231 เอกสารอ้างอิง 236 คณะผู้จัดทำ 237


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2565) ระดับประถมศึกษา | 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความนำ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ตามคำสั่ง กระทรวงศึกษาธิการที่ สพฐ. ๑๒๓๙/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๖๐ และคำสั่ง สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ ๓๐/๒๕๖๑ ลงวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๑ ให้เปลี่ยนแปลงมาตรฐานการเรียนรู้และ ตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.๒๕๖๐) โดยมีคำสั่งให้โรงเรียน ดำเนินการใช้หลักสูตรในปีการศึกษา ๒๕๖๑ ซึ่ง ให้ใช้ในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และ ๔ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ตั้งแต่ปี การศึกษา ๒๕๖๑ โดยกำหนดจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบ ทิศทางใน การพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ และมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เพื่อให้ สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) เป็นหลักสูตรที่ปรับให้มีความเหมาะสมและชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งเป้าหมายของหลักสูตรในการพัฒนา คุณภาพ ผู้เรียน และกระบวนการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและ สถานศึกษา การกำหนด วิสัยทัศน์ จุดหมาย สมรรถะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดมีความชัดเจนและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อให้ สถานศึกษาได้ใช้เป็นทิศทางในการจัดทำการ ปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการเรียนการสอน ในแต่ละระดับ นอกจากนั้นได้กำหนดโครงสร้างเวลา เรียนขั้นต่ำของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ ละชั้นปีไว้ในหลักสูตรแกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษา เพิ่มเติมเวลาเรียนได้ตามความพร้อม และจุดเน้นของแต่ละท้องถิ่น เพื่อสถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตร และ จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐานให้มี คุณภาพ ด้านความรู้ และทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลง และ แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ จึงได้จัดทำหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพุทธศักราช ๒๕๕๓ (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2566) โดยยึด มาตรฐานการเรียนรู้และสาระสำคัญต่าง ๆ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐)


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผังมโนทัศน์สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ - มาตรฐาน ว ๑.๑-ว ๑.๓ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ - มาตรฐาน ว ๒.๑-ว ๒.๓ สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ - มาตรฐาน ว ๓.๑-ว ๓.๒ สาระที่ ๔ เทคโนโลยี - มาตรฐาน ว ๔.๑-ว ๔.๒


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของการเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติโดยมนุษย์ใช้กระบวนการสังเกต สำรวจตรวจสอบ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและนำผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิดและทฤษฎีดังนั้นการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้เป็นผู้เรียนรู้และค้นพบ ด้วยตนเองมากที่สุด นั่นคือให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ตั้งแต่วัยเริ่มแรกก่อนเข้าเรียน เมื่ออยู่ ในสถานศึกษาและเมื่อออกจากสถานศึกษาไปประกอบอาชีพแล้ว การจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในสถานศึกษามีเป้าหมายสำคัญดังนี้ 1. เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานในวิทยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขต ธรรมชาติและข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ 3. เพื่อให้มีทักษะที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 4. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหาและการจัดการ ทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสินใจ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนุษย์และ สภาพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน 6. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อสังคมและการดำรงชีวิต 7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ เรียนรู้อะไรในวิทยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการ เชื่อมโยง ความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการ สืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการทำ กิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยกำหนดสาระสำคัญ ดังนี้ ✧ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และ วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ✧ วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลังงาน และคลื่น ✧ วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ภายใน ระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลง ลมฟ้าอากาศ และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ✧ เทคโนโลยี


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ● การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิต ในสังคมที่มี การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ● วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิต กับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้า และออก จากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และ มนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระที่ ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏิกิริยาเคมี มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทำต่อวัตถุ ลักษณะ การเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตถุรวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของ คลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้ง นำความรู้ไปใช้ประโยชน์


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ ๓ วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผล ต่อสิ่งมีชีวิต และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้า อากาศ และภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และ ศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการ ออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงผลกระทบ ต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำนวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้การทำงาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิสัยทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิสัยทัศน์กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มุ่งให้ผู้เรียน มีความสามารถในการเรียนรู้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ กระบวนการ แก้ปัญหา โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรวมทั้งพัฒนาผู้เรียนให้เป็น นวัตกร มีเจตคติ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่เหมาะสมต่อวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสังคมและ สิ่งแวดล้อม หลักการ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียึดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยมีหลักการที่สำคัญดังนี้ 1. จัดการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านกิจกรรมการปฏิบัติจริง (Active Learning) เน้นทักษะกระบวนการให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดแก้ปัญหา เน้นผู้เรียนเป็น สำคัญ และการคิดสร้างสรรค์ในทุกลุ่มสาระการเรียนรู้ ทั้งในและนอกห้องเรียนให้ผู้เรียนมีทักษะการ เรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ 2. จัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการ แบบสหวิทยาการ ตามแนวทางสตีมศึกษา (STEAM Education) เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสอดคล้อง กับประเทศไทย ๔.๐ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่ส่งเสริมให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับ สภาพและความต้องการของท้องถิ่น จุดหมาย 1. ผู้เรียนมีทักษะทางวิทยาศาสตร์ มีกระบวนการคิดวิเคราะห์สามารถสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมการปฏิบัติจริง (Active Learning) 2. ผู้เรียนเรียนรู้และทำงานแบบบูรณาการ มีกระบวนการคิดและการสร้างสรรค์นวัตกรรม 3. ผู้เรียนรู้คุณค่าการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน 4. ผู้เรียนที่เรียนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะมีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่พึงประสงค์ เหมาะสมกับสังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และรู้คุณค่าของภูมิปัญญาไทย สมรรถนะสำคัญของผู้เรียนและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ ดังนี้


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 7 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการ ใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรอง เพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ ความถูกต้องตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง และสังคม ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้ มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคลการจัดการปัญหาและความขัดแย้ง ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและ การรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี คุณภาพผู้เรียน จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ❖ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุและการ เปลี่ยนแปลงของวัสดุรอบตัว ❖ เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ ของวัตถุ พลังงานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้า การเกิดเสียง แสงและการมองเห็น ❖ เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดาว ปรากฏการณ์ขึ้นและตกของ ดวงอาทิตย์การเกิดกลางวันกลางคืน การกำหนดทิศ ลักษณะของหิน การจำแนกชนิดดินและการใช้ ประโยชน์ลักษณะและความสำคัญของอากาศ การเกิดลม ประโยชน์และโทษของลม ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ สังเกต สำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมืออย่างง่าย รวบรวมข้อมูล บันทึก และอธิบายผลการสำรวจ ตรวจสอบด้วยการเขียนหรือวาดภาพ และสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้ด้วยการเล่าเรื่อง หรือด้วยการแสดง ท่าทางเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ ❖ แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเบื้องต้น รักษาข้อมูลส่วนตัว ❖ แสดงความกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนรู้มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และยอมรับฟังความคิดเห็น ผู้อื่น ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์จนงานลุล่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข ❖ ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ❖ เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะเฉพาะและการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งความสัมพันธ์ของ สิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่ การทำหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของพืช และการทำงานของระบบย่อยอาหารของ มนุษย์ ❖ เข้าใจสมบัติและการจำแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสสาร การละลาย การเปลี่ยนแปลงทางเคมีการเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้และผันกลับไม่ได้และการแยกสาร อย่างง่าย ❖ เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์แรงเสียดทาน แรงไฟฟ้าและผลของแรง ต่างๆ ผลที่เกิดจากแรงกระทำต่อวัตถุ ความดัน หลักการที่มีต่อวัตถุ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบื้องต้นของเสียง และแสง ❖ เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องค์ประกอบของระบบสุริยะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ความแตกต่างของดาวเคราะห์และ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 9 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดาวฤกษ์การขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและ ประโยชน์ของเทคโนโลยีอวกาศ ❖ เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏจักรหิน การใช้ประโยชน์หินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติธรณีพิบัติภัย การเกิดและ ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือนกระจก ❖ ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูลใช้ เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการทำงานร่วมกัน เข้าใจ สิทธิและหน้าที่ของตน เคารพสิทธิของผู้อื่น ❖ ตั้งคำถามหรือกำหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเนคำตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับคำถามหรือปัญหาที่จะสำรวจ ตรวจสอบ วางแผนและสำรวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศที่ เหมาะสม ในการเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ❖ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการสำรวจ ตรวจสอบในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อสื่อสารความรู้จากผลการสำรวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและ หลักฐานอ้างอิง ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา ตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับ ฟังความคิดเห็นผู้อื่น ❖ แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์จนงานลุล่วงเป็นผลสำเร็จ และทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ❖ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการดำรงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้นและ ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำโครงงานหรือชิ้นงานตามที่กำหนดให้หรือตามความสนใจ ❖ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใยแสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 10 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะทางสติปัญญา (Intellectual) ที่นักวิทยาศาสตร์ และผู้ที่นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และ แก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกได้เป็น 13 ทักษะ ทักษะที่ 1-8 เป็น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน และทักษะที่ 9-13 เป็นทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขั้นสูงหรือขั้นผสมหรือขั้นบูรณาการ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้ง 13 ทักษะ มีดังนี้ ๑. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง รวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ เพื่อค้นห้าข้อมูลซึ่ง เป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต ประกอบด้วยข้อมูลเชิงคุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตเห็น ได้จากวัตถุหรือเหตุการณ์นั้น ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ประกอบด้วยการชี้บ่งและ การบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการกะประมาณและการบรรยายการเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่สังเกตได้ ๒. การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่ได้ จากการสังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย ความสามารถที่แสดงให้ เห็นว่าเกิดทักษะนี้ คือ การอธิบายหรือสรุป โดยเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลโดยใช้ความรู้หรือ ประสบการณ์เดิมมาช่วย ๓. การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรือเรียงลำดับวัตถุหรือสิ่งที่มี อยู่ในปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือ ความสัมพันธ์อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ความสามารถที่แสดงว่าเกิดทักษะนี้แล้ว ได้แก่ การแบ่งพวกของ สิ่งต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อื่นกำหนดให้ได้ นอกจากนั้นสามารถเรียงลำดับสิ่งของด้วยเกณฑ์ของตัวเอง พร้อมกับบอกได้ว่าผู้อื่นแบ่งพวกของสิ่งของนั้นโดยใช้อะไรเป็นเกณฑ์ ๔. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เครื่องมือนั้นทำการวัดหา ปริมาณของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสมกับสิ่งที่วัด แสดงวิธีใช้เครื่องมือ อย่างถูกต้อง พร้อมทั้งบอกเหตุผลในการเลือกใช้เครื่องมือ รวมทั้งระบุหน่วยของตัวเลขที่ได้จากการวัดได้ ๕. การใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุและการนำตัวเลขที่ แสดงจำนวนที่นับได้มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉลี่ย ความสามารถที่ แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ ได้แก่ การนับจำนวนสิ่งของได้ถูกต้อง เช่น ใช้ตัวเลขแทนจำนวนการนับได้ ตัดสินได้ว่าวัตถุ ในแต่ละกลุ่มมีจำนวนเท่ากันหรือแตกต่างกัน เป็นต้น การคำนวณ เช่น บอกวิธี คำนวณ คิดคำนวณ และแสดงวิธีคำนวณได้อย่างถูกต้อง และประการสุดท้ายคือ การหาค่าเฉลี่ย เช่น การบอกและแสดงวิธีการหาค่าเฉลี่ยได้ถูกต้อง ๖. การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา (Using Space/Time Relationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองที่อยู่ ซึ่งมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุนั้น โดยทั่วไปแล้วสเปสของวัตถุจะมี ๓ มิติ คือ ความกว้าง ความยาว และความสูง


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 11 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งที่ของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การชี้บ่งรูป 2 มิติ และ 3 มิติได้ สามารถวาดภาพ 2 มิติ จากวัตถุหรือจากภาพ 3 มิติ ได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่งที่อยู่ ของวัตถุกับเวลา หรือความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับเวลาความสามารถที่แสดงให้ เห็นว่าเกิดทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ การบอกตำแหน่งและทิศทางของ วัตถุโดยใช้ตัวเองหรือวัตถุอื่นเป็นเกณฑ์ บอกความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนขนาด หรือปริมาณของวัตถุกับเวลาได้ ๗. การสื่อความหมายข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนำข้อมูลที่ได้จาการสังเกต การวัด การทดลอง และจากแหล่งอื่น ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่โดยการหาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยก ประเภท หรือคำนวณหาค่าใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ ไดอะแกรม กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถที่แสดงให้เห็น ว่าเกิดทักษะนี้แล้ว คือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปใหม่ที่เข้าใจดีขึ้น โดยจะต้องรู้จักเลือก รูปแบบที่ใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่างเหมาะสม บอกเหตุผลในการเสนอข้อมูลในการเลือกแบบแสนอ ข้อมูลนั้น การเสนอข้อมูลอาจกระทำได้หลายแบบดังที่กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลในรูป ของตาราง การบรรจุข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางปกติจะใส่ค่าของตัวแปรอิสระไว้ทางซ้ายมือของ ตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของตัวแปรอิสระไว้ให้เรียงลำดับ จากค่าน้อยไปหาค่ามาก หรือจากค่ามากไปหาค่าน้อย ๘. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหน้าก่อนการทดลอง โดยอาศัยปรากฏการณ์ที่เกิดซ้ำ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฏีที่มีอยู่แล้วในเรื่องนั้นมาช่วยสรุป เช่น การพยากรณ์ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเลข ได้แก่ ข้อมูลที่เป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งทำได้สองแบบ คือ การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมูลที่มีอยู่ กับการพยากรณ์นอกขอบของข้อมูลที่มีอยู่ เช่น การพยากรณ์ผลของข้อมูลเชิงปริมาณ เป็นต้น ๙. การชี้บ่งและการควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การชี้บ่งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ในสมมุติฐาน หนึ่ง ๆ ตัวแปรต้น หมายถึง สิ่งที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดผลต่าง ๆ หรือสิ่งที่เราต้องการทดลองดูว่า เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดผลเช่นนั้นจริงหรือไม่ ตัวแปรตาม หมายถึง สิ่งที่เป็นผลเนื่องมาจากตัวแปรต้น เมื่อตัวแปรต้นหรือสิ่งที่เป็น สาเหตุเปลี่ยนไป ตัวแปรตามหรือสิ่งที่เป็นผลจะแปรตามไปด้วย ตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง สิ่งอื่น ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทำให้ผล การทดลองคลาดเคลื่อน ถ้าหากว่าไม่มีการควบคุมให้เหมือนกัน ๑๐. การตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคำตอบล่วงหน้า ก่อนทำการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต อาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐาน คำตอบที่คิด ล่วงหน้านี้ ยังไม่ทราบ หรือยังไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมุติฐาน คือคำตอบที่คิดไว้ ล่วงหน้ามีกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตามสมมุติฐานที่ตั้งขึ้น


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 12 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจถูกหรือผิดก็ได้ซึ่งทราบได้ภายหลังการทดลองหาคำตอบเพื่อสนับสนุนสมมุติฐานหรือคัดค้าน สมมุติฐานที่ตั้งไว้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการตั้งสมมุติฐาน คือ การบอกชื่อตัวแปรต้นซึ่งอาจมีผลต่อตัว แปรตามและในการตั้งสมมุติฐานต้องทราบตัวแปรจากปัญหาและสภาพแวดล้อมของตัวแปรนั้น สมมุติฐานที่ตั้งขึ้นสามารถบอกให้ทราบถึงการออกแบบการทดลอง ซึ่งต้องทราบว่าตัวแปรไหนเป็นตัว แปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ๑๑. การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร (Defining Variables Operationally) หมายถึง การกำหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมุติฐานที่ต้องการทดลองและ บอกวิธีวัดตัวแปรที่เกี่ยวกับการทดลองนั้น ๑๒. การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพื่อหาคำตอบจาก สมมุติฐานที่ตั้งไว้ ในการทดลองจะประกอบไปด้วยกิจกรรม ๓ ขั้นคือ ๑๒.๑ ออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนลงมือทดสอบจริง ๑๒.๒ ปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติจริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม ๑๒.๓ การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซึ่ง อาจเป็นผลจากการสังเกต การวัด และอื่น ๆ ได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง การบันทึกผลการ ทดลอง อาจอยู่ในรูปตารางหรือการเขียนกราฟ ซึ่งโดยทั่วไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปร อิสระบนแกนนอนและค่าของตัวแปรบนแกนตั้ง โดยเฉพาะในแต่ละแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของค่าของตัวแปรทั้งสองบนกราฟด้วย ในการทดลองแต่ละครั้งจำเป็นอาศัยการวิเคราะห์ตัวแปรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง คือสามารถ ที่จะบอกชนิดของตัวแปรในการทดลองว่า ตัวแปรนั้นเป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม หรือตัวแปรที่ต้อง ควบคุม ในการทดลองหนึ่ง ๆต้องมีตัวแปรตัวหนึ่งเท่านั้นที่มีผลต่อการทดลอง และเพื่อให้แน่ใจว่าผล ที่ได้เกิดจากตัวแปรนั้นจริง ๆ จำเป็นต้องควบคุมตัวแปรอื่นไม่ให้มีผลต่อการทดลอง ซึ่งเรียกตัวแปรนี้ ว่าตัวแปรที่ต้องควบคุมให้คงที่ ๑๓. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (Interpreting Data and Making Conlusion) การตีความหมายข้อมูล หมายถึง การแปลความหมายหรือบรรยายลักษณะข้อมูลที่มีอยู่ การตีความหมายข้อมูล ในบางครั้งอาจต้องใช้ทักษะอื่นๆ ด้วย เช่น การสังเกต การคำนวณ เป็นต้น และการลงข้อสรุป หมายถึง การสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่า เกิดทักษะการลงข้อสรุปคือบอกความสัมพันธ์ของข้อมูลได้ เช่น การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัว แปรบนกราฟ ถ้ากราฟเป็นเส้นตรงก็สามารถอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะที่ตัวแปร อิสระเปลี่ยนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็นเส้นโค้งให้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรก่อนที่กราฟ เส้นโค้งจะเปลี่ยนทิศทางและอธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างตัวแปรหลังจากที่กราฟเส้นโค้งเปลี่ยน ทิศทางแล้ว


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 13 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จิตวิทยาศาสตร์ คุณลักษณะด้านจิตวิทยาศาสตร์ ลักษณะชี้บ่ง/พฤติกรรม ๑. เห็นคุณค่าทางวิทยาศาสตร์ ๒. คุณลักษณะทางวิทยาศาสตร์ ๒.๑ ความมีเหตุผล ๒.๒ ความอยากรู้อยากเห็น ๒.๓ ความใจกว้าง ๒.๔ ความมีระเบียบในการทำงาน ๑.๑ นิยมยกย่องกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ๑.๒ นิยมยกย่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ๑.๓ เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ ๑.๔ ตระหนักความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ในการพัฒนา คุณภาพชีวิต ๒.๑.๑ การยอมรับข้อสรุปที่มีเหตุผล ๒.๑.๒ มีความเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต้องมีสาเหตุ ๒.๑.๓ นิยมยกย่องบุคคลที่มีความคิดอย่างมีเหตุผล ๒.๑.๔ เห็นคุณค่าในการสืบหาความจริงก่อนที่จะยอมรับ หรือปฏิบัติตาม ๒.๒.๑ ชื่อว่าวิธีการทดลองค้นคว้าจะทำให้ค้นพบวิธีการ แก้ปัญหาได้ ๒.๒.๒ พอใจใฝ่หาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มเติม ๒.๒.๓ ชอบทดลองค้นคว้า ๒.๓.๑ ตระหนักถึงความสำคัญของความมีเหตุผลของ ผู้อื่น ๒.๓.๒ ยอมรับฟังความคิดเห็นและคำวิจารณ์ของผู้อื่น ๒.๔.๑ ตระหนักถึงการระวังรักษาความปลอดภัยของ ตนเองและเพื่อนในขณะทดลองวิทยาศาสตร์ ๒.๔.๒ เห็นคุณค่าของการระวังรักษาเครื่องมือที่ใช้มิให้ แตกหักเสียหาย ในขณะทดลองวิทยาศาสตร์


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 14 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จิตวิทยาศาสตร์ คุณลักษณะด้านจิตพิสัย ลักษณะชี้บ่ง/พฤติกรรม ๒.๕ การมีค่านิยมต่อความเสียสละ ๒.๖ การมีค่านิยมต่อความซื่อสัตย์ ๒.๗ การมีค่านิยมต่อการประหยัด ๒.๕.๑ ตระหนักถึงการทำงานให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมาย โดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน ๒.๕.๒ เต็มใจที่จะอุทิศตนเพื่อการสร้างผลงานทาง วิทยาศาสตร์ ๒.๖.๑ เห็นคุณค่าต่อการเสนอผลงานตามความเป็นจริงที่ ทดลองได้ ๒.๖.๒ ตำหนิบุคคลที่นำผลงานผู้อื่นมาเสนอเป็นผลงาน ของตนเอง ๒.๗.๑ ยินดีที่จะรักษาซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดให้ใช้การได้ ๒.๗.๒ เห็นคุณค่าของการใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างประหยัด ๒.๗.๓ เห็นคุณค่าของวัสดุที่เหลือใช้


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 15 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ โครงสร้างเวลาเรียน ระดับประถมศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา/กิจกรรม เวลาเรียน : ชั่วโมง/ปี ระดับประถมศึกษา ป.1 ป.2 ป.3 ป.4 ป.5 ป.6 O กลุ่มสาระการเรียนรู้/วิชาพื้นฐาน ภาษาไทย ฝึกพูด 160 40 160 40 160 40 160 160 160 คณิตศาสตร์ คณิตเทคโนโลยี 160 40 160 40 160 40 160 160 160 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยีวิทยาการคำนวณ 40 40 40 40 40 40 80 40 80 40 80 40 สังคม ศาสนา และวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ 80 40 80 40 80 40 80 40 80 40 80 40 สุขศึกษาและพลศึกษา 40 40 40 80 80 80 ศิลปะ 40 40 40 80 80 80 การงานอาชีพ 40 40 40 40 40 40 ภาษาอังกฤษ 120 120 120 80 80 80 รวมเวลาเรียน (รายวิชาพื้นฐาน) 840 840 840 840 840 840 O รายวิชาเพิ่มเติม ภาษามือไทย 40 40 40 40 40 40 อังกฤษเพื่อการสื่อสาร 80 80 80 40 40 40 หน้าที่พลเมืองต้านทุจริต 40 40 40 40 40 40 รวมเวลาเรียน (รายวิชาเพิ่มเติม) 160 160 160 120 120 120 O กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมแนะแนว 40 40 40 40 40 40 กิจกรรมนักเรียน * ลูกเสือ/เนตรนารี * ชุมนุม 40 30 40 30 40 30 40 30 40 30 40 30 กิจกรรมเพื่อสังคมแลสาธารณประโยชน์ (10) (10) (10) (10) (10) (10) รวมเวลา (กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน) 120 120 120 120 120 120 O กิจกรรมเสริมหลักสูตร ป.1-3 ป.4-6 นาฎศิลป์ เกษตรพอเพียง 40 40 40 40 40 40 พลศึกษา คณิตเทคโนโลยี 40 40 40 40 40 40 ฝึกพูด 40 40 40 รวมกิจกรรมเสริมหลักสูตร 80 80 80 120 120 120 รวมเวลาทั้งหมด 1200 1200


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 16 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โครงสร้างรายวิชา กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาวิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา ระดับชั้น รายวิชา รหัสวิชา ชั่วโมง/สัปดาห์ ชั่วโมง/ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ วิชาวิทยาศาสตร์ ว11101 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ วิชาวิทยาศาสตร์ ว12101 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ วิชาวิทยาศาสตร์ ว13101 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ วิชาวิทยาศาสตร์ ว14101 2 80 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ วิชาวิทยาศาสตร์ ว15101 2 80 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ วิชาวิทยาศาสตร์ ว16101 2 80 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิชาเทคโนโลยี(วิทยาการคำนวณ) ระดับประถมศึกษา ระดับชั้น รายวิชา รหัสวิชา ชั่วโมง/สัปดาห์ ชั่วโมง/ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ วิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ว11102 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ วิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ว12102 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ วิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ว13102 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ วิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ว14102 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ วิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ว15102 1 40 ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ วิชาเทคโนโลยี (วิทยาการคำนวณ) ว16102 1 40


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 17 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาตรฐาน ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิต และ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมาย ของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไข ปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 ๑. ระบุชื่อพืชและสัตว์ที่อาศัย อยู่บริเวณต่าง ๆ จากข้อมูล ที่รวบรวมได้ บริเวณต่าง ๆ ในท้องถิ่น เช่น สนาม หญ้า ใต้ต้นไม้สวนหย่อม แหล่งน้ำอาจ พบพืชและสัตว์หลายชนิดอาศัยอยู่ บริเวณที่แตกต่างกันอาจพบพืชและ สัตว์แตกต่างกันเพราะสภาพแวดล้อม ของแต่ละบริเวณจะมีความเหมาะสม ต่อการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ที่ อาศัยอยู่ในแต่ละบริเวณ เช่น สระน้ำ มีน้ำเป็นที่อยู่อาศัยของหอย ปลา สาหร่าย เป็นที่หลบภัยและมีแหล่ง อาหารของหอยและปลา บริเวณต้น มะม่วงมีต้นมะม่วงเป็นแหล่งที่อยู่และมี อาหาร สำหรับกระรอกและมด ถ้าสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พืชและ สัตว์อาศัยอยู่ มีการเปลี่ยนแปลง จะมี ผลต่อการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ ๒. บอกสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสมกับการดำรงชีวิต ของสัตว์ในบริเวณที่อาศัยอยู่ ป.2 - - - - ป.3 - - - - ป.4 - - - - ป.5 ๑. บรรยายโครงสร้างและ ลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่ เหมาะสมกับการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นผลมาจาก สิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์มีโครงสร้าง และลักษณะที่เหมาะสมในแต่ละแหล่ง ที่อยู่ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวของ สิ่งมีชีวิต เพื่อให้ดำรงชีวิตและอยู่รอด ได้ในแต่ละแหล่งที่อยู่ เช่น ผักตบชวามี


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 18 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตในแต่ ละแหล่งที่อยู่ ช่องอากาศในก้านใบ ช่วยให้ลอยน้ำได้ ต้นโกงกางที่ขึ้นอยู่ในป่าชายเลนมีราก ค้ำจุนทำให้ลำต้นไม่ล้ม ปลามีครีบช่วย ในการเคลื่อนที่ในน้ำ ๒. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งมีชีวิต กับ สิ่งไม่มีชีวิต เพื่อประโยชน์ ต่อการดำรงชีวิต ในแหล่งที่อยู่หนึ่ง ๆ สิ่งมีชีวิตจะมี ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและสัมพันธ์ กับสิ่งไม่มีชีวิต เพื่อประโยชน์ต่อการ ดำรงชีวิต เช่น ความสัมพันธ์กันด้าน การกินกันเป็นอาหาร เป็นแหล่งที่อยู่ อาศัยหลบภัยและเลี้ยงดูลูกอ่อน ใช้ อากาศในการหายใจ สิ่งมีชีวิตมีการกินกันเป็นอาหาร โดยกินต่อกันเป็นทอด ๆ ในรูปแบบ ของโซ่อาหาร ทำให้สามารถระบุ บทบาทหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตเป็นผู้ผลิต และผู้บริโภค ๓. เขียนโซ่อาหารและระบุ บทบาทหน้าที่ของสิ่งมีชีวิต ที่เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคใน โซ่อาหาร ๔. ตระหนักในคุณค่าของ สิ่งแวดล้อมที่มีต่อการ ดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยมีส่วนร่วมในการดูแล รักษาสิ่งแวดล้อม ป.6 - - - -


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 19 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และ มนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 ๑. ระบุชื่อ บรรยายลักษณะ และบอกหน้าที่ของ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย มนุษย์สัตว์และพืชรวมทั้ง บรรยายการทำหน้าที่ ร่วมกันของส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกายมนุษย์ในการทำ กิจกรรมต่าง ๆ จากข้อมูล ที่รวบรวมได้ มนุษย์มีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและ หน้าที่แตกต่างกัน เพื่อให้เหมาะสมใน การดำรงชีวิตเช่น ตามีหน้าที่ไว้มองดู โดยมีหนังตาและขนตาเพื่อป้องกัน อันตรายให้กับตา หูมีหน้าที่รับฟังเสียง โดยมีใบหูและรูหูเพื่อเป็นทางผ่านของ เสียงปากมีหน้าที่พูด กินอาหาร มีช่อง ปากและมีริมฝีปากบนล่าง แขนและมือ มีหน้าที่ยก หยิบ จับมีท่อนแขนและนิ้ว มือที่ขยับได้สมองมีหน้าที่ ควบคุมการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย อยู่ในกะโหลกศีรษะ โดยส่วน ต่าง ๆ ของร่างกาย จะทำหน้าที่ร่วมกันในการทำกิจกรรม ในชีวิตประจำวัน สัตว์มีหลายชนิด แต่ละชนิดมีส่วน ต่าง ๆ ที่มีลักษณะและหน้าที่แตกต่าง กัน เพื่อให้เหมาะสม ในการดำรงชีวิต เช่น ปลามีครีบเป็น แผ่น ส่วนกบ เต่า แมว มีขา ๔ ขา และ มีเท้าสำหรับใช้ในการเคลื่อนที่ พืชมีส่วนต่าง ๆ ที่มีลักษณะและ หน้าที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมใน การดำรงชีวิตโดยทั่วไป รากมีลักษณะ เรียวยาว และแตกแขนงเป็นรากเล็ก ๆ ทำหน้าที่ดูดน้ำ ลำต้นมีลักษณะเป็น ทรงกระบอกตั้งตรงและมีกิ่งก้าน ทำ หน้าที่ชูกิ่งก้าน ใบและดอก ใบมี ลักษณะเป็นแผ่นแบน ทำหน้าที่ ๒. ตระหนักถึงความสำคัญของ ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตนเอง โดยการดูแลส่วน ต่าง ๆ อย่างถูกต้อง ให้ ปลอดภัย และรักษาความ สะอาดอยู่เสมอ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 20 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ สร้างอาหาร นอกจากนี้พืชหลายชนิด อาจมีดอกที่มีสีรูปร่างต่าง ๆ ทำหน้าที่ สืบพันธุ์รวมทั้งมีผลที่มีเปลือก มีเนื้อ ห่อหุ้มเมล็ด และมีเมล็ดซึ่งสามารถงอก เป็นต้นใหม่ได้ มนุษย์ใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายใน การทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อการ ดำรงชีวิต มนุษย์จึงควรใช้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างถูกต้อง ปลอดภัย และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ เช่น ใช้ตามองตัวหนังสือในที่ที่มีแสงสว่าง เพียงพอ ดูแลตาให้ปลอดภัยจาก อันตราย และรักษาความสะอาดตา อยู่เสมอ ป.2 ๑. ระบุว่าพืชต้องการแสงและ น้ำ เพื่อการเจริญเติบโต โดยใช้ข้อมูลจากหลักฐาน เชิงประจักษ์ พืชต้องการน้ำ แสง เพื่อการ เจริญเติบโต พืชดอกเมื่อเจริญเติบโตและมีดอก ดอกจะมีการสืบพันธุ์เปลี่ยนแปลงไป เป็นผล ภายในผลมีเมล็ดเมื่อเมล็ดงอก ต้นอ่อนที่อยู่ภายในเมล็ดจะเจริญเติบโต เป็นพืชต้นใหม่ พืชต้นใหม่จะ เจริญเติบโตออกดอกเพื่อสืบพันธุ์มีผล ต่อไปได้อีกหมุนเวียนต่อเนื่องเป็น วัฏจักรชีวิตของพืชดอก ๒. ตระหนักถึงความจําเป็นที่ พืชต้องได้รับน้ำและแสง เพื่อการเจริญเติบโต โดย ดูแลพืชให้ได้รับสิ่งดังกล่าว อย่างเหมาะสม ๓. สร้างแบบจําลองที่บรรยาย วัฏจักรชีวิตของพืชดอก ป.3 ๑. บรรยายสิ่งที่จําเป็นต่อการ ดำรงชีวิต และการเจริญ เติบโตของมนุษย์และสัตว์ โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ มนุษย์และสัตว์ต้องการอาหาร น้ำ และอากาศเพื่อการดำรงชีวิตและ การเจริญเติบโต


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 21 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ๒. ตระหนักถึงประโยชน์ของ อาหาร น้ำ และอากาศ โดยการดูแลตนเองและสัตว์ ให้ได้รับสิ่งเหล่านี้อย่าง เหมาะสม อาหารช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและ เจริญเติบโตน้ำช่วยให้ร่างกายทำงานได้ อย่างปกติอากาศใช้ในการหายใจ ๓. สร้างแบบจําลองที่บรรยาย วัฏจักรชีวิตของสัตว์และ เปรียบเทียบวัฏจักรชีวิตของ สัตว์บางชนิด สัตว์เมื่อเป็นตัวเต็มวัยจะสืบพันธุ์มี ลูก เมื่อลูกเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็ สืบพันธุ์มีลูกต่อไปได้อีก หมุนเวียน ต่อเนื่องเป็นวัฏจักรชีวิตของสัตว์ ซึ่งสัตว์แต่ละชนิด เช่น ผีเสื้อ กบ ไก่ มนุษย์จะมีวัฏจักรชีวิตที่เฉพาะและ แตกต่างกัน ๔. ตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต สัตว์โดยไม่ทำให้วัฏจักร ชีวิตของสัตว์เปลี่ยนแปลง ป.4 ๑. บรรยายหน้าที่ของราก ลำต้น ใบ และดอกของพืช ดอก โดยใช้ข้อมูลที่ รวบรวมได้ ส่วนต่างๆของพืชดอกทำหน้าที่ แตกต่างกัน - รากทำหน้าที่ดูดน้ำและธาตุอาหารขึ้น ไปยังลำต้น - ลำต้นทำหน้าที่ลําเลียงน้ำต่อไปยัง ส่วนต่าง ๆ ของพืช - ใบทำหน้าที่สร้างอาหาร อาหารที่พืช สร้างขึ้น คือ น้ำตาลซึ่งจะเปลี่ยนเป็น แป้ง - ดอกทำหน้าที่สืบพันธุ์ประกอบด้วย ส่วนประกอบต่าง ๆ ได้แก่กลีบเลี้ยง กลีบดอกเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย ซึ่งส่วนประกอบแต่ละส่วนของดอกทำ หน้าที่แตกต่างกัน ป.5 - - - - ป.6 ๑. ระบุสารอาหารและบอก ประโยชน์ของสารอาหาร แต่ละประเภทจากอาหาร ที่ตนเองรับประทาน สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี๖ ประเภท ได้แก่คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วย สารอาหารที่แตกต่างกัน อาหาร บางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร ๒. บอกแนวทางในการเลือก รับประทานอาหารให้ได้ สารอาหารครบถ้วน


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 22 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับ เพศและวัย รวมทั้งความ ปลอดภัยต่อสุขภาพ ประเภทเดียว อาหารบางอย่าง ประกอบด้วยสารอาหารมากกว่าหนึ่ง ประเภทสารอาหารแต่ละประเภทมี ประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกัน โดย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเป็น สารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกายส่วน เกลือแร่ วิตามิน และน้ำ เป็น สารอาหารที่ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ช่วยให้ร่างกายทำงานได้เป็นปกติ การรับประทานอาหาร เพื่อให้ ร่างกายเจริญเติบโต มีการเปลี่ยนแปลง ของร่างกายตามเพศและวัย และมี สุขภาพดีจำเป็นต้องรับประทาน ให้ได้พลังงานเพียงพอกับความต้องการ ของร่างกายและให้ได้สารอาหาร ครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศ และวัย รวมทั้งต้องคำนึงถึงชนิดและ ปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหาร เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ ๓. ตระหนักถึงความสำคัญของ สารอาหาร โดยการ เลือกรับประทานอาหารที่มี สารอาหารครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศ และวัย รวมทั้ง ปลอดภัยต่อสุขภาพ ๔. สร้างแบบจําลองระบบย่อย อาหาร และบรรยายหน้าที่ ของอวัยวะในระบบย่อย อาหาร รวมทั้งอธิบายการ ย่อยอาหารและการดูดซึม สารอาหาร ระบบย่อยอาหารประกอบด้วย อวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลําไส้เล็ก ลําไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซึ่งทำ หน้าที่ร่วมกันในการย่อยและดูดซึม สารอาหาร - ปากมีฟันช่วยบดเคี้ยวอาหารให้มี ขนาดเล็กลงและมีลิ้นช่วยคลุกเคล้า อาหารกับน้ำลายในน้ำลายมีเอนไซม์ ย่อยแป้งให้เป็นน้ำตาล - หลอดอาหารทำหน้าที่ลําเลียงอาหาร จากปากไปยังกระเพาะอาหาร ภายใน กระเพาะอาหารมีการย่อยโปรตีนโดย กรดและเอนไซม์ที่สร้างจากกระเพาะ อาหาร ๕. ตระหนักถึงความสำคัญของ ระบบย่อยอาหารโดยการ บอกแนวทางในการดูแล รักษาอวัยวะในระบบย่อย อาหารให้ทำงานเป็นปกติ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 23 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ - ลําไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนัง ลําไส้เล็กเองและจากตับอ่อนที่ช่วยย่อย โปรตีน คาร์โบไฮเดรตและไขมัน โดย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ที่ผ่านการย่อยจนเป็นสารอาหารขนาด เล็กพอที่จะดูดซึมได้รวมถึงน้ำ เกลือแร่ และวิตามินจะถูกดูดซึมที่ผนังลําไส้เล็ก เข้าสู่กระแสเลือด เพื่อลําเลียงไปยัง ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่ง โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูก นําไปใช้เป็นแหล่งพลังงานสำหรับใช้ใน กิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้ำ เกลือแร่และ วิตามิน จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้เป็น ปกติ - ตับสร้างน้ำดีแล้วส่งมายังลําไส้เล็ก ช่วยให้ไขมันแตกตัว - ลําไส้ใหญ่ทำหน้าที่ดูดน้ำและเกลือแร่ เป็นบริเวณที่มีอาหารที่ย่อยไม่ได้หรือ ย่อยไม่หมดเป็นกากอาหาร ซึ่งจะถูก กําจัดออกทางทวารหนัก • อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมี ความสำคัญจึงควรปฏิบัติตน ดูแล รักษาอวัยวะให้ทำงานเป็นปกติ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 24 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลาย ทางชีวภาพและวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 - - - - ป.2 ๑. เปรียบเทียบลักษณะของ สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต จากข้อมูลที่รวบรวมได้ สิ่งที่อยู่รอบตัวเรามีทั้งที่เป็น สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิต ต้องการอาหาร มีการหายใจ เจริญเติบโตขับถ่ายเคลื่อนไหว ตอบสนองต่อสิ่งเร้าและสืบพันธุ์ได้ลูกที่ มีลักษณะคล้ายคลึงกับพ่อแม่ ส่วนสิ่งไม่มีชีวิตจะไม่มีลักษณะดังกล่าว ป.3 - - - - ป.4 ๑. จําแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ ความเหมือน และ ความ แตกต่างของลักษณะของ สิ่งมีชีวิตออกเป็นกลุ่มพืช กลุ่มสัตว์และกลุ่มที่ไม่ใช่ พืชและสัตว์ สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิด สามารถจัด กลุ่มได้โดยใช้ความเหมือนและความ แตกต่างของลักษณะต่าง ๆ เช่น กลุ่ม พืชสร้างอาหารเองได้และเคลื่อนที่ด้วย ตนเองไม่ได้กลุ่มสัตว์กินสิ่งมีชีวิตอื่น เป็นอาหารและเคลื่อนที่ได้กลุ่มที่ไม่ใช่ พืชและสัตว์เช่น เห็ด รา จุลินทรีย์ ๒. จําแนกพืชออกเป็นพืชดอก และพืชไม่มีดอก โดยใช้ การมีดอกเป็นเกณฑ์โดยใช้ ข้อมูลที่รวบรวมได้ การจําแนกพืช สามารถใช้การมีดอก เป็นเกณฑ์ในการจําแนก ได้เป็นพืช ดอกและพืชไม่มีดอก ๓. จําแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มี กระดูกสันหลังและสัตว์ไม่ มีกระดูกสันหลัง โดยใช้ การมีกระดูกสันหลังเป็น เกณฑ์โดยใช้ข้อมูลที่ รวบรวมได้ การจําแนกสัตว์สามารถใช้การมี กระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ในการจําแนก ได้เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่ มีกระดูกสันหลัง สัตว์มีกระดูกสันหลังมีหลายกลุ่ม ได้แก่กลุ่มปลากลุ่มสัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบกกลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนกและกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะเฉพาะที่ สังเกตได้ ๔. บรรยายลักษณะเฉพาะที่ สังเกตได้ของสัตว์มีกระดูก สันหลังในกลุ่มปลา กลุ่ม สัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 25 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และ กลุ่มสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และ ยกตัวอย่าง สิ่งมีชีวิตใน แต่ละกลุ่ม ป.5 ๑. อธิบายลักษณะทาง พันธุกรรมที่มีการถ่ายทอด จากพ่อแม่สู่ลูกของพืช สัตว์และมนุษย์ สิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์และมนุษย์เมื่อ โตเต็มที่จะมีการสืบพันธุ์เพื่อเพิ่ม จำนวนและดำรงพันธุ์โดยลูกที่เกิดมา จะได้รับการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมจากพ่อแม่ทำให้มีลักษณะ ทางพันธุกรรมที่เฉพาะแตกต่างจาก สิ่งมีชีวิตชนิดอื่น พืชมีการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม เช่น ลักษณะของใบ สีดอก สัตว์มีการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม เช่น สีขน ลักษณะของขน ลักษณะของหู มนุษย์มีการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม เช่น เชิงผมที่หน้าผากลักยิ้ม ลักษณะหนังตาการห่อลิ้น ลักษณะของ ติ่งหู ๒. แสดงความอยากรู้อยาก เห็น โดยการถามคําถาม เกี่ยวกับลักษณะที่ คล้ายคลึงกันของตนเองกับ พ่อแม่ ป.6 - - - -


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 26 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของ การเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 1. อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ ของวัสดุที่ใช้ทำวัตถุซึ่งทำ จากวัสดุชนิดเดียวหรือ หลายชนิดประกอบกันโดย ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ วัสดุที่ใช้ทําวัตถุที่เป็นของเล่น ของ ใช้มีหลายชนิดเช่น ผ้า แก้ว พลาสติก ยาง ไม้อิฐ หิน กระดาษ โลหะ วัสดุแต่ ละชนิดมีสมบัติที่สังเกตได้ต่าง ๆ เช่น สีนุ่ม แข็ง ขรุขระ เรียบ ใส ขุ่น ยืดหด ได้บิดงอได้ สมบัติที่สังเกตได้ของวัสดุแต่ละชนิด อาจเหมือนกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการจัด กลุ่มวัสดุได้ วัสดุบางอย่างสามารถนํามา ประกอบกัน เพื่อทำเป็นวัตถุต่าง ๆ เช่น ผ้าและกระดุม ใช้ทำเสื้อ ไม้และโลหะ ใช้ทำกระทะ 2. ระบุชนิดของวัสดุและจัด กลุ่มวัสดุตามสมบัติที่ สังเกตได้ ป.2 1. เปรียบเทียบสมบัติการดูด ซับน้ำของวัสดุโดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ และระบุการนำสมบัติการ ดูดซับน้ำของวัสดุไป ประยุกต์ใช้ในการทำวัตถุ ในชีวิตประจำวัน วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติการดูดซับน้ำ แตกต่างกันจึงนําไปทำวัตถุเพื่อใช้ ประโยชน์ได้แตกต่างกัน เช่น ใช้ผ้าที่ดูดซับน้ำได้มากทำผ้าเช็ดตัว ใช้ พลาสติกซึ่งไม่ดูดซับน้ำทำร่ม 2. อธิบายสมบัติที่สังเกตได้ ของวัสดุที่เกิดจากการนำ วัสดุมาผสมกัน โดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ วัสดุบางอย่างสามารถนํามาผสมกัน ซึ่งทำให้ได้สมบัติที่เหมาะสม เพื่อ นําไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ เช่น แป้งผสมน้ำตาลและกะทิใช้ทำ ขนมไทย ปูนปลาสเตอร์ผสมเยื่อ กระดาษใช้ทำกระปุกออมสิน ปูนผสม หิน ทราย และน้ำใช้ทำคอนกรีต


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 27 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ 3. เปรียบเทียบสมบัติที่สังเกต ได้ของวัสดุเพื่อนำมาทำ เป็นวัตถุในการใช้งานตาม วัตถุประสงค์ และอธิบาย การนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมา ใช้ใหม่โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ การนําวัสดุมาทำเป็นวัตถุในการใช้ งานตามวัตถุประสงค์ขึ้นอยู่กับสมบัติ ของวัสดุวัสดุที่ใช้แล้วอาจนํากลับมาใช้ ใหม่ได้เช่น กระดาษใช้แล้วอาจนํามา ทำเป็นจรวดกระดาษ ดอกไม้ประดิษฐ์ ถุงใส่ของ 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของ การนำวัสดุที่ใช้แล้วกลับมา ใช้ใหม่ โดยการนำวัสดุที่ใช้ แล้วกลับมาใช้ใหม่ ป.3 ๑. อธิบายว่าวัตถุประกอบขึ้น จากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซึ่ง สามารถแยกออกจากกันได้ และประกอบกันเป็นวัตถุ ชิ้นใหม่ได้โดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ วัตถุอาจทำจากชิ้นส่วนย่อย ๆ ซึ่งแต่ละชิ้นมีลักษณะเหมือนกันมา ประกอบเข้าด้วยกัน เมื่อแยกชิ้น ส่วนย่อย ๆ แต่ละชิ้นของวัตถุออกจาก กันสามารถนําชิ้นส่วนเหล่านั้นมา ประกอบเป็นวัตถุชิ้นใหม่ได้เช่น กําแพง บ้านมีก้อนอิฐหลาย ๆ ก้อนประกอบ เข้าด้วยกัน และสามารถนําก้อนอิฐ จากกําแพงบ้านมาประกอบเป็นพื้น ทางเดินได้ ๒. อธิบายการเปลี่ยนแปลง ของวัสดุเมื่อทำให้ร้อนขึ้น หรือทำให้เย็นลง โดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ เมื่อให้ความร้อนหรือทำให้วัสดุร้อน ขึ้น และเมื่อลดความร้อนหรือทำให้ วัสดุเย็นลง วัสดุจะเกิด การเปลี่ยนแปลงได้เช่น สีเปลี่ยน รูปร่างเปลี่ยน ป.4 ๑. เปรียบเทียบสมบัติทาง กายภาพด้านความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนํา ความร้อน และการนํา ไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์จาก การทดลองและระบุการนํา สมบัติเรื่องความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนํา วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติทางกายภาพ แตกต่างกันวัสดุที่มีความแข็งจะทนต่อ แรงขูดขีด วัสดุที่มีสภาพยืดหยุ่นจะ เปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อมีแรงมากระทำ และกลับสภาพเดิมได้วัสดุที่ นําความร้อนจะร้อนได้เร็วเมื่อได้รับ ความร้อนและวัสดุที่นําไฟฟ้าได้จะให้ กระแสไฟฟ้าผ่านได้


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 28 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ความร้อน และการนํา ไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ใน ชีวิตประจำวันผ่าน กระบวนการออกแบบ ชิ้นงาน ดังนั้นจึงอาจนําสมบัติต่าง ๆ มา พิจารณาเพื่อใช้ใน กระบวนการออกแบบชิ้นงานเพื่อใช้ ประโยชน์ ในชีวิตประจำวัน ๒. แลกเปลี่ยนความคิดกับ ผู้อื่นโดยการอภิปราย เกี่ยวกับสมบัติทาง กายภาพของวัสดุอย่างมี เหตุผลจากการทดลอง ๓. เปรียบเทียบสมบัติของ สสารทั้ง ๓ สถานะ จาก ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต มวล การต้องการที่อยู รูปร่างและปริมาตรของ สสาร วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและ ต้องการที่อยู่สสารมีสถานะเป็น ของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สของแข็ง มีปริมาตรและรูปร่างคงที่ของเหลวมี ปริมาตรคงที่แต่มีรูปร่างเปลี่ยนไปตาม ภาชนะเฉพาะส่วนที่บรรจุของเหลว ส่วนแก๊สมีปริมาตร และรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะที่ บรรจุ ๔. ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวล และปริมาตรของสสารทั้ง ๓ สถานะ ป.5 ๑. อธิบายการเปลี่ยนสถานะ ของสสาร เมื่อทำให้สสาร ร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ การเปลี่ยนสถานะของสสารเป็นการ เปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เมื่อเพิ่ม ความร้อนให้กับสสารถึง ระดับหนึ่งจะทำให้สสารที่เป็นของแข็ง เปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลวและเมื่อเพิ่มความร้อน ต่อไปจนถึงอีกระดับหนึ่งของเหลวจะ เปลี่ยนเป็นแก๊ส เรียกว่า การกลายเป็นไอแต่เมื่อลดความร้อนลง ถึงระดับหนึ่งแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็น ของเหลว เรียกว่าการควบแน่น และถ้า ลดความร้อนต่อไปอีกจนถึงระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า การแข็งตัว สสารบางชนิด สามารถ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 29 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแก๊สโดย ไม่ผ่านการเป็นของเหลว เรียกว่า การ ระเหิด ส่วนแก๊สบางชนิดสามารถ เปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง โดยไม่ผ่านการเป็นของเหลวเรียกว่า การระเหิดกลับ ๒. อธิบายการละลายของสาร ในน้ำโดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ เมื่อใส่สารลงในน้ำแล้วสารนั้นรวม เป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำทั่วทุกส่วน แสดงว่าสารเกิดการละลาย เรียกสาร ผสมที่ได้ว่าสารละลาย ๓. วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลง ของสารเมื่อเกิดการ เปลี่ยนแปลงทางเคมีโดย ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ เมื่อผสมสาร ๒ ชนิดขึ้นไปแล้วมีสาร ใหม่เกิดขึ้นซึ่งมีสมบัติต่างจากสารเดิม หรือเมื่อสารชนิดเดียว เกิดการ เปลี่ยนแปลงแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้นการ เปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า การเปลี่ยนแปลงทางเคมีซึ่งสังเกตได้ จากมีสีหรือกลิ่นต่างจาก สารเดิม หรือมีฟองแก๊ส หรือมีตะกอน เกิดขึ้นหรือมีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของ อุณหภูมิ ๔. วิเคราะห์และระบุการ เปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้ และการเปลี่ยนแปลงที่ผัน กลับไม่ได้ เมื่อสารเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว สารสามารถเปลี่ยนกลับเป็นสารเดิมได้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้เช่น การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การละลาย แต่สารบางอย่างเกิดการ เปลี่ยนแปลงแล้วไม่สามารถเปลี่ยน กลับเป็นสารเดิมได้เป็นการ เปลี่ยนแปลงที่ผันกลับไม่ได้เช่น การเผาไหม้การเกิดสนิม ป.6 ๑. อธิบายและเปรียบเทียบ การแยกสารผสมโดยการ หยิบออก การร่อน การใช้ แม่เหล็กดึงดูดการรินออก การกรอง และการตกตอก โดยใช้หลักฐานเชิง สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไปผสมกัน เช่น น้ำมันผสมน้ำ ข้าวสารปนกรวดทราย วิธีการ ที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่ กับลักษณะ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 30 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ประจักษ์รวมทั้งระบุวิธี แก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เกี่ยวกับการแยกสาร และสมบัติของสารที่ผสมกัน ถ้า องค์ประกอบของสารผสมเป็นของแข็ง กับของแข็งที่มีขนาดแตกต่างกันอย่าง ชัดเจน อาจใช้วิธีการหยิบออก หรือการร่อนผ่านวัสดุที่มีรูถ้ามีสารใด สารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้ วิธีการใช้แม่เหล็กดึงดูดถ้าองค์ประกอบ เป็นของแข็งที่ไม่ละลายใน ของเหลว อาจใช้วิธีการรินออกการ กรอง หรือการตกตะกอน ซึ่งวิธีการ แยกสารสามารถนําไปใช้ ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 31 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจำวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะ การเคลื่อนที่แบบ ต่างๆ ของวัตถุ รวมทั้งนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 - - - - ป.2 - - - - ป.3 ๑. ระบุผลของแรงที่มีต่อการ เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ ของวัตถุจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรง กระทำต่อวัตถุแรงมีผลต่อการเคลื่อนที่ ของวัตถุแรงอาจทำให้วัตถุเกิดการ เคลื่อนที่โดยเปลี่ยนตำแหน่ง จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของ วัตถุได้แก่วัตถุที่อยู่นิ่งเปลี่ยนเป็น เคลื่อนที่ วัตถุที่กําลังเคลื่อนที่ เปลี่ยนเป็นเคลื่อนที่เร็วขึ้นหรือช้าลง หรือหยุดนิ่ง หรือเปลี่ยนทิศทางการ เคลื่อนที่ ๒. เปรียบเทียบและ ยกตัวอย่างแรงสัมผัสและ แรงไม่สัมผัสที่มีผลต่อการ เคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ การดึงหรือการผลักเป็นการออกแรง ที่เกิดจากวัตถุหนึ่งกระทำกับอีกวัตถุ หนึ่ง โดยวัตถุทั้งสองอาจสัมผัสหรือไม่ ต้องสัมผัสกัน เช่น การออกแรง โดยใช้มือดึงหรือการผลักโต๊ะให้ เคลื่อนที่เป็นการออกแรงที่วัตถุต้อง สัมผัสกัน แรงนี้จึงเป็นแรงสัมผัสส่วน การที่แม่เหล็กดึงดูดหรือผลักระหว่าง แม่เหล็กเป็นแรงที่เกิดขึ้นโดยแม่เหล็ก ไม่จำเป็นต้องสัมผัสกัน แรงแม่เหล็กนี้ จึงเป็นแรงไม่สัมผัส ๓. จําแนกวัตถุโดยใช้การดึงดูด กับแม่เหล็กเป็นเกณฑ์จาก หลักฐานเชิงประจักษ์ แม่เหล็กสามารถดึงดูดสารแม่เหล็กได้ แรงแม่เหล็กเป็นแรงที่เกิดขึ้น ระหว่างแม่เหล็กกับสารแม่เหล็ก หรือ แม่เหล็กกับแม่เหล็กแม่เหล็ก มี๒ ขั้ว คือ ขั้วเหนือและขั้วใต้ขั้วแม่เหล็กชนิด เดียวกันจะผลักกัน ต่างชนิดกัน จะดึงดูดกัน ๔. ระบุขั้วแม่เหล็กและ พยากรณ์ผลที่เกิดขึ้น ระหว่างขั้วแม่เหล็กเมื่อ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 32 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ นํามาเข้าใกล้กันจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ ป.4 ๑. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงที่มี ต่อวัตถุจากหลักฐาน เชิงประจักษ์ แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดที่ โลกกระทำต่อวัตถุมีทิศทางเข้าสู่ ศูนย์กลางโลก และเป็นแรงไม่สัมผัส แรงดึงดูดที่โลกกระทำกับวัตถุหนึ่งๆ ทำให้วัตถุตกลงสู่พื้นโลกและทำให้วัตถุ มีน้ำหนักวัดน้ำหนักของวัตถุได้จาก เครื่องชั่งสปริง น้ำหนักของวัตถุขึ้นกับ มวลของวัตถุโดยวัตถุที่มีมวลมาก จะมีน้ำหนักมากวัตถุที่มีมวลน้อยจะมี น้ำหนักน้อย ๒. ใช้เครื่องชั่งสปริงในการวัด น้ำหนักของวัตถุ ๓. บรรยายมวลของวัตถุที่มีผล ต่อการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ มวล คือ ปริมาณเนื้อของสสาร ทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นวัตถุซึ่งมีผล ต่อความยากง่ายในการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุวัตถุที่มีมวลมาก จะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ได้ยากกว่า วัตถุที่มีมวลน้อย ดังนั้นมวลของวัตถุ นอกจากจะหมายถึงเนื้อทั้งหมดของ วัตถุนั้นแล้วยังหมายถึงการต้านการ เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุนั้น ด้วย ป.5 ๑. อธิบายวิธีการหาแรงลัพธ์ ของแรงหลายแรงในแนว เดียวกันที่กระทำต่อวัตถุใน กรณีที่วัตถุอยู่นิ่งจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ ๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงที่ กระทำต่อวัตถุที่อยู่ในแนว เดียวกันและแรงลัพธ์ที่ กระทำต่อวัตถุ ๓. ใช้เครื่องชั่งสปริงในการวัด แรงที่กระทำต่อวัตถุ แรงลัพธ์เป็นผลรวมของแรงที่ กระทำต่อวัตถุโดยแรงลัพธ์ของแรง ๒ แรงที่กระทำต่อวัตถุเดียวกันจะมีขนาด เท่ากับผลรวมของแรงทั้งสองเมื่อแรง ทั้งสองอยู่ในแนวเดียวกันและมีทิศทาง เดียวกันแต่จะมีขนาดเท่ากับผลต่าง ของแรงทั้งสองเมื่อแรงทั้งสองอยู่ใน แนวเดียวกันแต่มีทิศทาง ตรงข้ามกัน สำหรับวัตถุที่อยู่นิ่งแรง ลัพธ์ที่กระทำต่อวัตถุมีค่าเป็นศูนย์ การเขียนแผนภาพของแรงที่กระทำ ต่อวัตถุสามารถเขียนได้โดยใช้ลูกศร โดยหัวลูกศรแสดง


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 33 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ทิศทางของแรง และความยาวของ ลูกศรแสดงขนาดของแรงที่กระทำต่อ วัตถุ ๔. ระบุผลของแรงเสียดทานที่ มีต่อการเปลี่ยนแปลงการ เคลื่อนที่ของวัตถุจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรง เสียดทานและแรงที่อยู่ใน แนวเดียวกันที่กระทำต่อ วัตถุ แรงเสียดทานเป็นแรงที่เกิดขึ้น ระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ เพื่อต้านการ เคลื่อนที่ของวัตถุนั้น โดยถ้าออกแรง กระทำต่อวัตถุที่อยู่นิ่งบนพื้นผิวหนึ่ง ให้เคลื่อนที่แรงเสียดทานจากพื้นผิวนั้น ก็จะต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุแต่ถ้า วัตถุกําลังเคลื่อนที่แรงเสียดทานก็จะทำ ให้วัตถุนั้นเคลื่อนที่ช้าลง หรือหยุดนิ่ง ป.6 ๑. อธิบายการเกิดและผลของ แรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถุที่ ผ่านการขัดถูโดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์ วัตถุ๒ ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อ นําเข้าใกล้กัน อาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงที่เกิดขึ้นนี้เป็นแรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรง ไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุที่มีประจุ ไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี๒ ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลัก กัน ชนิดตรงข้ามกันดึงดูดกัน


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 34 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของ คลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 1. บรรยายการเกิดเสียงและ ทิศทางการเคลื่อนที่ของ เสียงจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ เสียงเกิดจากการสั่นของวัตถุวัตถุที่ ทำให้เกิดเสียงเป็นแหล่งกำเนิดเสียง ซึ่งมีทั้งแหล่งกำเนิดเสียงตามธรรมชาติ และแหล่งกำเนิดเสียงที่มนุษย์ สร้างขึ้น เสียงเคลื่อนที่ออกจาก แหล่งกำเนิดเสียง ทุกทิศทาง ป.2 1. บรรยายแนวการเคลื่อนที่ ของแสงจากแหล่งกำเนิด แสง และอธิบายการ มองเห็นวัตถุ จากหลักฐาน เชิงประจักษ์ 2. ตระหนักในคุณค่าของ ความรู้ของการมองเห็น โดยเสนอแนะแนวทางการ ป้องกันอันตรายจากการ มองวัตถุที่อยู่ในบริเวณที่มี แสงสว่างไม่เหมาะสม แสงเคลื่อนที่จากแหล่งกำเนิดแสง ทุกทิศทางเป็นแนวตรง เมื่อมีแสงจาก วัตถุมาเข้าตาจะทำให้มองเห็นวัตถุนั้น การมองเห็นวัตถุที่เป็นแหล่งกำเนิดแสง แสงจากวัตถุนั้นจะเข้าสู่ตาโดยตรง ส่วนการมองเห็นวัตถุที่ไม่ใช่ แหล่งกำเนิดแสง ต้องมีแสงจาก แหล่งกำเนิดแสงไปกระทบวัตถุแล้ว สะท้อนเข้าตา ถ้ามีแสงที่สว่างมาก ๆ เข้าสู่ตาอาจเกิดอันตรายต่อตาได้จึง ต้องหลีกเลี่ยงการมองหรือใช้แผ่นกรอง แสงที่มีคุณภาพเมื่อจําเป็น และต้องจัด ความสว่างให้เหมาะสม กับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การอ่าน หนังสือการดูจอโทรทัศน์การใช้ โทรศัพท์เคลื่อนที่และแท็บเล็ต ป.3 1. ยกตัวอย่างการเปลี่ยน พลังงานหนึ่งไปเป็นอีก พลังงานหนึ่งจากหลักฐาน เชิงประจักษ์ ประหยัดและ ปลอดภัย พลังงานเป็นปริมาณที่แสดงถึง ความสามารถในการทำงาน พลังงานมี หลายแบบ เช่นพลังงานกล พลังงาน ไฟฟ้า พลังงานแสงพลังงานเสียง และ พลังงานความร้อน โดยพลังงาน สามารถเปลี่ยนจากพลังงานหนึ่งไปเป็น


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 35 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ อีกพลังงานหนึ่งได้เช่น การถูมือจนรู้สึก ร้อน เป็นการเปลี่ยนพลังงานกลเป็น พลังงานความร้อนแผงเซลล์สุริยะ เปลี่ยนพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเปลี่ยนพลังงาน ไฟฟ้าเป็นพลังงานอื่น 2. บรรยายการทำงานของ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าและ ระบุแหล่งพลังงานในการ ผลิตไฟฟ้าจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ ๓. ตระหนักในประโยชน์และ โทษของไฟฟ้าโดยนำเสนอ วิธีการใช้ไฟฟ้าอย่าง ไฟฟ้าผลิตจากเครื่องกําเนิดไฟฟ้าซึ่ง ใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานธรรมชาติ หลายแหล่ง เช่น พลังงานจากลม พลังงานจากน้ำ พลังงานจากแก๊ส ธรรมชาติ พลังงานไฟฟ้ามีความสำคัญต่อ ชีวิตประจำวัน การใช้ไฟฟ้านอกจาก ต้องใช้อย่างถูกวิธีประหยัดและคุ้มค่า แล้ว ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ป.4 1. จำแนกวัตถุเป็นตัวกลาง โปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง จาก ลักษณะการมองเห็นสิ่ง ต่าง ๆ ผ่านวัตถุนั้นเป็น เกณฑ์โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ เมื่อมองสิ่งต่างๆโดยมีวัตถุต่างชนิด กันมากั้นแสงจะทำให้ลักษณะการ มองเห็นสิ่งนั้น ๆ ชัดเจนต่างกัน จึง จําแนกวัตถุที่มากั้นออกเป็น ตัวกลางโปร่งใสซึ่งทำให้มองเห็นสิ่ง ต่าง ๆ ได้ชัดเจน ตัวกลางโปร่งแสงทำ ให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ชัดเจน และ วัตถุทึบแสงทำให้มองไม่เห็น สิ่งต่าง ๆ นั้น ป.5 1. อธิบายการได้ยินเสียงผ่าน ตัวกลางจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ การได้ยินเสียงต้องอาศัยตัวกลาง โดยอาจเป็นของแข็ง ของเหลว หรือ อากาศ เสียงจะส่งผ่านตัวกลางมายังหู 2. ระบุตัวแปร ทดลองและ อธิบายลักษณะและการเกิด เสียงสูง เสียงต่ำ เสียงที่ได้ยินมีระดับสูงต่ำของเสียง ต่างกันขึ้นกับความถี่ของการสั่นของ แหล่งกำเนิดเสียง โดยเมื่อ แหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยความถี่ต่ำจะ เกิดเสียงต่ำแต่ถ้าสั่นด้วยความถี่สูงจะ เกิดเสียงสูง ส่วนเสียงดังค่อยที่ได้ยิน ขึ้นกับพลังงานการสั่นของแหล่งกำเนิด เสียง โดยเมื่อแหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วย 3. ออกแบบการทดลองและ อธิบายลักษณะและการเกิด เสียงดัง เสียงค่อย 4. วัดระดับเสียงโดยใช้ เครื่องมือวัดระดับเสียง


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 36 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ 5. ตระหนักในคุณค่าของ ความรู้เรื่องระดับเสียงโดย เสนอแนะแนวทางในการ หลีกเลี่ยงและลดมลพิษ ทางเสียง พลังงานมากจะเกิดเสียงดังแต่ถ้า แหล่งกำเนิดเสียงสั่นด้วยพลังงานน้อย จะเกิดเสียงค่อย เสียงดังมาก ๆ เป็นอันตรายต่อการ ได้ยินและเสียงที่ก่อให้เกิดความรําคาญ เป็นมลพิษทางเสียงเดซิเบลเป็นหน่วยที่ บอกถึงความดังของเสียง ป.6 1. ระบุส่วนประกอบและ บรรยายหน้าที่ของแต่ละ ส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้า อย่างง่ายจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกำเนิดไฟฟ้าสายไฟฟ้า และ เครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ ทำหน้าที่ให้พลังงาน ไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็นตัวนําไฟฟ้า ทำ หน้าที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกำเนิด ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เครื่องใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปลี่ยนพลังงาน ไฟฟ้าเป็นพลังงานอื่น เมื่อนําเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อ เรียงกันโดยให้ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้า เซลล์หนึ่งต่อกับขั้วลบของอีกเซลล์หนึ่ง เป็นการต่อแบบอนุกรมทำให้มีพลังงาน ไฟฟ้าเหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม สามารถนําไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน เช่น การต่อ เซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย 2. เขียนแผนภาพและต่อ วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย 3. ออกแบบการทดลองและ ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสม ในการอธิบายวิธีการและ ผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้า แบบอนุกรม 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของ ความรู้ของการต่อ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดย บอกประโยชน์และการ ประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน 5. ออกแบบการทดลองและ ทดลองด้วยวิธีที่เหมาะสม ในการอธิบายการต่อหลอด ไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบ ขนาน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเมื่อ ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออกทำ ให้หลอดไฟฟ้าที่เหลือดับทั้งหมด ส่วน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เมื่อถอด หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออก หลอดไฟฟ้าที่เหลือก็ยังสว่างได้การต่อ หลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถนําไปใช้ ประโยชน์ได้เช่น การต่อหลอดไฟฟ้า หลายดวงในบ้านจึงต้อง 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของ ความรู้ของการต่อหลอด ไฟฟ้า แบบอนุกรมและ แบบขนาน โดยบอก


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 37 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ประโยชน์ ข้อจำกัด และ การประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน ต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพื่อเลือกใช้ หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งได้ตาม ต้องการ เมื่อนําวัตถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิด เงาบนฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้ายวัตถุที่ทำให้เกิด เงา เงามัวเป็นบริเวณที่มีแสงบางส่วน ตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็นบริเวณ ที่ไม่มีแสงตกลงบนฉากเลย 7. อธิบายการเกิด เงามืดเงา มัวจากหลักฐานเชิง ประจักษ์ 8. เขียนแผนภาพรังสีของแสง แสดงการเกิด เงามืดเงามัว


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 38 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของ เอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และ ระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบ สุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี อวกาศ ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 1.ระบุดาวที่ปรากฏบนท้องฟ้า ในเวลากลางวัน และกลางคืน จากข้อมูลที่รวบรวมได้ บนท้องฟ้ามีดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ และดาวซึ่งในเวลากลางวันจะมองเห็น ดวงอาทิตย์และอาจมองเห็นดวงจันทร์ บางเวลาในบางวัน แต่ไม่สามารถ มองเห็นดาว ในเวลากลางวันมองไม่เห็นดาวส่วน ใหญ่ เนื่องจากแสงอาทิตย์สว่างกว่าจึง กลบแสงของดาว ส่วนใน เวลากลางคืนจะมองเห็นดาวและ มองเห็นดวงจันทร์เกือบทุกคืน 2. อธิบายสาเหตุที่มองไม่เห็น ดาวส่วนใหญ่ในเวลากลางวัน จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ป.2 - - - - ป.3 1. อธิบายแบบรูป เส้นทางการ ขึ้น และตกของ ดวง อาทิตย์โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ คนบนโลกมองเห็นดวงอาทิตย์ ปรากฏขึ้นทางด้านหนึ่งและตกทางอีก ด้านหนึ่งทุกวันหมุนเวียนเป็นแบบรูป ซ้ำ ๆ โลกกลมและหมุนรอบตัวเองขณะ โคจรรอบดวงอาทิตย์ทำให้บริเวณของ โลกได้รับแสงอาทิตย์ไม่พร้อมกัน โลก ด้านที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์จะเป็น กลางวันส่วนด้านตรงข้ามที่ไม่ได้รับแสง จะเป็นกลางคืน นอกจากนี้คนบนโลก จะมองเห็นดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น ทางด้านหนึ่ง ซึ่งกําหนดให้เป็นทิศ ตะวันออก และมองเห็นดวงอาทิตย์ ตกทางอีกด้านหนึ่ง ซึ่งกําหนดให้เป็น ทิศตะวันตกและเมื่อให้ด้านขวามืออยู่ ทางทิศตะวันออกด้านซ้ายมืออยู่ทาง ทิศตะวันตก ด้านหน้าจะเป็นทิศเหนือ และด้านหลังจะเป็นทิศใต้ 2. อธิบายสาเหตุการเกิด ปรากฏการณ์ การขึ้นและ ตกของดวงอาทิตย์ การ เกิดกลางวัน กลางคืน และ การ กำหนดทิศ โดยใช้ แบบจำลอง 3. ตระหนักถึง ความสำคัญ ของ ดวงอาทิตย์ โดย บรรยายประโยชน์ของดวง อาทิตย์ต่อสิ่งมีชีวิต


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 39 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ในเวลากลางวันโลกจะได้รับ พลังงานแสงและพลังงานความร้อน จากดวงอาทิตย์ทำให้สิ่งมีชีวิต ดำรงชีวิตอยู่ได้ ป.4 1. อธิบายแบบรูป เส้นทางการ ขึ้น และตกของ ดวงจันทร์ โดยใช้ หลักฐานเชิง ประจักษ์ ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โดย ดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองขณะโคจร รอบโลก ขณะที่โลกก็หมุนรอบตัวเอง ด้วยเช่นกัน การหมุนรอบตัวเอง ของโลกจากทิศตะวันตกไปทิศ ตะวันออกในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เมื่อมองจากขั้วโลกเหนือ ทำให้มองเห็นดวงจันทร์ปรากฏขึ้น ทางด้านทิศตะวันออกและตกทางด้าน ทิศตะวันตกหมุนเวียนเป็นแบบรูปซ้ำ ๆ 2. สร้างแบบจำลองที่ อธิบาย แบบรูป การเปลี่ยนแปลง รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ และพยากรณ์รูปร่างปรากฏ ของดวงจันทร์ ดวงจันทร์เป็นวัตถุที่เป็นทรงกลม แต่รูปร่างของดวงจันทร์ที่มองเห็นหรือ รูปร่างปรากฏของดวงจันทร์บนท้องฟ้า แตกต่างกันไปในแต่ละวันโดยในแต่ละ วันดวงจันทร์จะมีรูปร่างปรากฏเป็น เสี้ยวที่มีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจน เต็มดวงจากนั้นรูปร่างปรากฏของดวง จันทร์จะแหว่งและมีขนาดลดลงอย่าง ต่อเนื่องจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ จากนั้นรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ จะเป็นเสี้ยวใหญ่ขึ้นจนเต็มดวงอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นแบบรูปซ้ำ กันทุกเดือน 3. สร้างแบบจำลอง แสดง องค์ประกอบ ของระบบสุริยะ และอธิบาย เปรียบเทียบคาบ การโคจรของ ดาวเคราะห์ ต่าง ๆ จากแบบจำลอง ระบบสุริยะเป็นระบบที่มีดวง อาทิตย์เป็นศูนย์กลางและมีบริวาร ประกอบด้วย ดาวเคราะห์แปดดวง และบริวาร ซึ่งดาวเคราะห์แต่ละดวงมี ขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์ แตกต่างกัน และยังประกอบด้วย ดาว เคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาว หาง และวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ โคจรอยู่


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 40 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ รอบดวงอาทิตย์วัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ เมื่อเข้ามาในชั้นบรรยากาศเนื่องจาก แรงโน้มถ่วงของโลกทำให้เกิดเป็นดาว ตกหรือผีพุ่งไต้และอุกกาบาต ป.5 1. เปรียบเทียบความแตกต่าง ของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ จากแบบจำลอง ดาวที่มองเห็นบนท้องฟ้าอยู่ใน อวกาศซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่นอก บรรยากาศของโลก มีทั้งดาวฤกษ์ และดาวเคราะห์ดาวฤกษ์เป็น แหล่งกำเนิดแสงจึงสามารถมองเห็นได้ ส่วนดาวเคราะห์ไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสง แต่สามารถมองเห็นได้เนื่องจาก แสงจากดวงอาทิตย์ตกกระทบดาว เคราะห์แล้วสะท้อนเข้าสู่ตา 2. ใช้แผนที่ดาวระบุตำแหน่ง และเส้นทาง การขึ้นและ ตกของกลุ่มดาวฤกษ์บน ท้องฟ้า และอธิบาย แบบ รูปเส้นทางการขึ้นและตก ของกลุ่มดาวฤกษ์บน ท้องฟ้าในรอบปี การมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์มีรูปร่าง ต่าง ๆ เกิดจากจินตนาการของผู้สังเกต กลุ่มดาวฤกษ์ต่าง ๆ ที่ปรากฏใน ท้องฟ้าแต่ละกลุ่มมีดาวฤกษ์แต่ละดวง เรียงกันที่ตำแหน่งคงที่และมีเส้นทาง การขึ้นและตกตามเส้นทางเดิมทุกคืน ซึ่งจะปรากฏตำแหน่งเดิม การสังเกต ตำแหน่งและการขึ้นและตกของดาว ฤกษ์และกลุ่มดาวฤกษ์สามารถ ทำได้โดยใช้แผนที่ดาว ซึ่งระบุมุมทิศ และมุมเงยที่กลุ่มดาวนั้นปรากฏ ผู้สังเกตสามารถใช้มือในการประมาณ ค่าของมุมเงยเมื่อสังเกตดาวในท้องฟ้า ป.6 1. สร้างแบบจำลองที่อธิบาย การเกิดและเปรียบเทียบ ปรากฏการณ์ สุริยุปราคาและ จันทรุปราคา เมื่อโลกและดวงจันทร์โคจรมาอยู่ใน แนวเส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ใน ระยะทางที่เหมาะสมทำให้ดวงจันทร์บัง ดวงอาทิตย์เงาของดวงจันทร์ทอดมายัง โลก ผู้สังเกตที่อยู่บริเวณเงาจะมองเห็น ดวงอาทิตย์มืดไป เกิดปรากฏการณ์ สุริยุปราคาซึ่งมีทั้งสุริยุปราคาเต็มดวง สุริยุปราคาบางส่วนและสุริยุปราคาวง แหวน


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 41 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไปเกิด ปรากฏการณ์จันทรุปราคาซึ่งมีทั้ง จันทรุปราคาเต็มดวง และจันทรุปราคา บางส่วน 2. อธิบาย พัฒนาการ ของ เทคโนโลยี อวกาศ และ ยกตัวอย่างการนา เทคโนโลยีอวกาศมาใช้ ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวัน จากข้อมูลที่ รวบรวมได้ เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความ ต้องการของมนุษย์ในการสํารวจวัตถุ ท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่ากล้องโทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่งเพื่อสํารวจ อวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบัน มีการนําเทคโนโลยีอวกาศบางประเภท มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ หรือการสํารวจ ทรัพยากรธรรมชาติการใช้อุปกรณ์วัด ชีพจรและการเต้นของหัวใจ หมวก นิรภัย ชุดกีฬา


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 42 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภาย ในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและ ภูมิอากาศโลก รวมทั้ง ผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ป.1 1. อธิบายลักษณะภายนอก ของหินจากลักษณะ เฉพาะตัวที่สังเกตได้ หินที่อยู่ในธรรมชาติมีลักษณะ ภายนอกเฉพาะตัวที่สังเกตได้เช่น สีลวดลาย น้ำหนัก ความแข็งและเนื้อหิน ป.2 1. ระบุส่วนประกอบของดิน และจำแนกชนิดของดิน โดยใช้ลักษณะเนื้อดินและ การจับตัวเป็นเกณฑ์ ดินประกอบด้วยเศษหิน ซากพืช ซากสัตว์ผสมอยู่ในเนื้อดิน มีอากาศ และน้ำแทรกอยู่ตามช่องว่างในเนื้อดิน ดินจําแนกเป็น ดินร่วน ดินเหนียว และดินทราย ตามลักษณะเนื้อดินและ การจับตัวของดินซึ่งมีผลต่อการอุ้มน้ำที่ แตกต่างกัน ดินแต่ละชนิดนําไปใช้ประโยชน์ได้ แตกต่างกันตามลักษณะและสมบัติของ ดิน 2. อธิบายการใช้ประโยชน์จาก ดิน จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ป.3 1. ระบุส่วนประกอบของ อากาศ บรรยาย ความสำคัญของอากาศ และผลกระทบของมลพิษ ทางอากาศ ต่อสิ่งมีชีวิต จากข้อมูลที่รวบรวมได้ อากาศโดยทั่วไปไม่มีสีไม่มีกลิ่น ประกอบด้วย แก๊สไนโตรเจน แก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สอื่น ๆ รวมทั้งไอน้ำ และฝุ่นละออง อากาศ มีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต หาก ส่วนประกอบของอากาศไม่เหมาะสม เนื่องจากมีแก๊สบางชนิดหรือฝุ่นละออง ในปริมาณมาก อาจเป็นอันตรายต่อ สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ จัดเป็นมลพิษทาง อากาศ แนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลดการ ปล่อยมลพิษทางอากาศ เช่น ใช้ พาหนะร่วมกัน หรือเลือกใช้ เทคโนโลยีที่ลดมลพิษทางอากาศ 2. ตระหนักถึงความสำคัญของ อากาศ โดยนาเสนอแนว ทางการปฏิบัติตนในการ ลดการเกิดมลพิษทาง อากาศ


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 43 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ 3. อธิบายการเกิดลมจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ ลม คืออากาศที่เคลื่อนที่ เกิดจาก ความแตกต่างกันของอุณหภูมิอากาศ บริเวณที่อยู่ใกล้กัน โดยอากาศ บริเวณที่มีอุณหภูมิสูงจะลอยตัวสูงขึ้น และอากาศบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า จะเคลื่อนเข้าไปแทนที่ 4. บรรยายประโยชน์และโทษ ของลมจากข้อมูลที่ รวบรวมได้ ลมสามารถนำมาใช้เป็นแหล่ง พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า และ นําไปใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรม ต่าง ๆ ของมนุษย์หากลมเคลื่อนที่ ด้วยความเร็วสูงอาจทำให้เกิดอันตราย และความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ได้ ป.4 - - - - ป.5 1. เปรียบเทียบปริมาณน้ำใน แต่ละแหล่งและระบุ ปริมาณน้ำที่มนุษย์สามารถ นำมาใช้ประโยชน์ได้ จาก ข้อมูลที่รวบรวมได้ โลกมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็มซึ่งอยู่ใน แหล่งน้ำต่าง ๆ ที่มีทั้งแหล่งน้ำผิวดิน เช่น ทะเล มหาสมุทร บึง แม่น้ำ และ แหล่งน้ำใต้ดิน เช่น น้ำในดิน และ น้ำบาดาล น้ำทั้งหมดของโลกแบ่งเป็น น้ำเค็ม ประมาณร้อยละ ๙๗.๕ ซึ่งอยู่ ในมหาสมุทร และแหล่งน้ำอื่น ๆ และที่ เหลืออีกประมาณ ร้อยละ ๒.๕ เป็นน้ำ จืด ถ้าเรียงลำดับปริมาณ น้ำจืดจาก มากไปน้อยจะอยู่ที่ ธารน้ำแข็ง และ พืดน้ำแข็ง น้ำใต้ดิน ชั้นดินเยือกแข็งคง ตัวและน้ำแข็งใต้ดิน ทะเลสาบ ความชื้นในดิน ความชื้นในบรรยากาศ บึง แม่น้ำ และน้ำในสิ่งมีชีวิต 2. ตระหนักถึงคุณค่าของน้ำ โดยนำเสนอแนวทาง การ ใช้น้ำอย่างประหยัดและ การอนุรักษ์น้ำ น้ำจืดที่มนุษย์นำมาใช้ได้มีปริมาณ น้อยมากจึงควรใช้น้ำอย่างประหยัด และร่วมกันอนุรักษ์น้ำ 3. สร้างแบบจำลองที่อธิบาย การหมุนเวียนของน้ำใน วัฏจักรน้ำ วัฏจักรน้ำ เป็นการหมุนเวียนของน้ำ ที่มีแบบรูปซ้ำเดิม และต่อเนื่องระหว่าง


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 44 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ น้ำในบรรยากาศ น้ำผิวดิน และน้ำใต้ ดิน โดยพฤติกรรมการดำรงชีวิต ของพืชและสัตว์ส่งผลต่อวัฏจักรน้ำ 4. เปรียบเทียบกระบวนการ เกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง และน้ำค้างแข็ง จาก แบบจำลอง ไอน้ำในอากาศจะควบแน่นเป็น ละอองน้ำเล็ก ๆ โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณูของ ดอกไม้เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อ ละอองน้ำจำนวนมากเกาะกลุ่มรวมกัน ลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้ำที่เกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้ พื้นดิน เรียกว่า หมอก ส่วนไอน้ำที่ ควบแน่นเป็นละอองน้ำเกาะอยู่บน พื้นผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้ำค้าง ถ้าอุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ำกว่าจุดเยือก แข็ง น้ำค้างก็จะกลายเป็นน้ำค้างแข็ง 5. เปรียบเทียบกระบวนการ เกิดฝน หิมะ และลูกเห็บ จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้ำฟ้าซึ่ง เป็นน้ำที่มีสถานะต่าง ๆ ที่ตกจากฟ้าถึง พื้นดิน ฝนเกิดจากละอองน้ำในเมฆที่ รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถพยุงไว้ ได้จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้ำใน อากาศระเหิดกลับเป็นผลึกน้ำแข็ง รวมตัวกันจนมีน้ำหนักมากขึ้นจนเกิน กว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา ลูกเห็บเกิดจากหยดน้ำที่เปลี่ยนสถานะ เป็นน้ำแข็งแล้วถูกพายุพัดวนซ้ำไปซ้ำ มาในเมฆฝนฟ้าคะนองที่มีขนาดใหญ่ และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้ำแข็ง ขนาดใหญ่ขึ้นแล้วตกลงมา ป.6 1. เปรียบเทียบกระบวนการ เกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร และอธิบาย วัฏจักรหินจากแบบจำลอง หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติประกอบด้วย แร่ตั้งแต่หนึ่ง ชนิดขึ้นไป สามารถจําแนกหินตาม กระบวนการเกิดได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ หินอัคนีหินตะกอน และหินแปร หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมก มา เนื้อหินมีลักษณะเป็นผลึก ทั้งผลึก


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 45 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ ขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บางชนิดอาจ เป็นเนื้อแก้วหรือมีรูพรุน หินตะกอน เกิดจากการทับถมของ ตะกอนเมื่อถูกแรงกดทับและมีสาร เชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหินเนื้อหิน กลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ด ตะกอนมีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด บางชนิดเป็นเนื้อผลึกที่ยึดเกาะกันเกิด จากการตกผลึกหรือตกตะกอนจากน้ำ โดยเฉพาะน้ำทะเล บางชนิดมีลักษณะ เป็นชั้น ๆ จึงเรียกอีกชื่อว่า หินชั้น หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของ หินเดิม ซึ่งอาจเป็นหินอัคนีหินตะกอน หรือหินแปรโดยการกระทำของความ ร้อน ความดัน และปฏิกิริยาเคมีเนื้อหิน ของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่เรียง ตัวขนานกันเป็นแถบ บางชนิด แซะออกเป็นแผ่นได้บางชนิดเป็นเนื้อ ผลึกที่มีความแข็งมาก หินในธรรมชาติทั้ง ๓ ประเภท มี การเปลี่ยนแปลงจากประเภทหนึ่งไป เป็นอีกประเภทหนึ่ง หรือประเภทเดิม ได้โดยมีแบบรูปการเปลี่ยนแปลง คงที่และต่อเนื่องเป็นวัฏจักร 2. บรรยายและยก ตัวอย่าง การใช้ประโยชน์ของหิน และแร่ในชีวิต ประจำวัน จากข้อมูลที่รวบรวมได้ หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและ สมบัติแตกต่างกัน มนุษย์ใช้ประโยชน์ จากแร่ในชีวิตประจำวันในลักษณะ ต่าง ๆ เช่น นําแร่มาทำเครื่องสําอาง ยาสีฟัน เครื่องประดับ อุปกรณ์ ทางการแพทย์และนําหินมาใช้ในงาน ก่อสร้างต่าง ๆ เป็นต้น 3. สร้างแบบจำลองที่อธิบาย การเกิดซากดึกดำบรรพ์ และคาดคะเน ซากดึกดำบรรพ์เกิดจากการทับถม หรือการประทับรอยของสิ่งมีชีวิตใน อดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของซากหรือ ร่องรอยของสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏอยู่ในหิน


หลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์พุทธศักราช 2553 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2566) ระดับประถมศึกษา | 46 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ต้องรู้ ควรรู้ สภาพแวดล้อมในอดีตของ ซากดึกดำบรรพ์ ในประเทศไทยพบซากดึกดำบรรพ์ที่ หลากหลาย เช่น พืช ปะการัง หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์และรอยตีน สัตว์ ซากดึกดำบรรพ์สามารถใช้เป็น หลักฐานหนึ่งที่ช่วยอธิบาย สภาพแวดล้อมของพื้นที่ในอดีต ขณะเกิดสิ่งมีชีวิตนั้น เช่น หากพบซาก ดึกดำบรรพ์ของหอยน้ำจืด สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคย เป็นแหล่งน้ำจืดมาก่อน และหากพบ ซากดึกดำบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อม บริเวณนั้นอาจเคยเป็นป่ามาก่อน นอกจากนี้ซากดึกดำบรรพ์ยังสามารถ ใช้ระบุอายุของหิน และเป็นข้อมูล ในการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเลและมรสุม รวมทั้ง อธิบายผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมจาก แบบจำลอง ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจาก พื้นดินและพื้นน้ำ ร้อนและเย็นไม่ เท่ากันทำให้อุณหภูมิอากาศเหนือ พื้นดินและพื้นน้ำแตกต่างกัน จึงเกิด การเคลื่อนที่ของอากาศจากบริเวณที่มี อุณหภูมิต่ำไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำ ถิ่นที่พบบริเวณชายฝั่ง โดยลมบกเกิด ในเวลากลางคืน ทำให้มีลมพัดจาก ชายฝั่งไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิดใน เวลากลางวัน ทำให้มีลมพัดจากทะเล เข้าสู่ชายฝั่ง 5. อธิบายผลของมรสุมต่อการ เกิดฤดูของประเทศไทย จากข้อมูลที่รวบรวมได้ มรสุมเป็นลมประจำฤดูเกิดบริเวณ เขตร้อนของโลก ซึ่งเป็นบริเวณกว้าง ระดับภูมิภาคประเทศไทยได้รับผลจาก มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือในช่วง ประมาณกลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือน


Click to View FlipBook Version