The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kobfad, 2023-05-15 08:35:58

การบริหารงานวิชาการ

การบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่

Keywords: งานวิชาการ บริหารงานศึกษา

การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 40 4. การน าหลักสูตรไปทดลองใช้มีการขออนุมัติหลักสูตร จัดท าตารางแผนการใช้ หลักสูตรประชาสัมพันธ์หลักสูตร เตรียมความพร้อมของบุคลากร งบประมาณ วัสดุหลักสูตร โดยการใช้หลักสูตรอาจเป็นการสอนเองหรือให้คนอื่นสอนแทน และจะต้องมีการจัดท าคู่มือการ ใช้หลักสูตรโดยระบุขั้นตอนต่างๆ อย่างละเอียด 5. การประเมินผลการน าหลักสูตรไปทดลองใช้มีการวางแผนการประเมิน ประเมิน ย่อยประเมินรวบยอด ประเมินการสอนของผู้สอน ประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน 6. การปรับปรุงแก้ไข เพื่อปรับแก้หลักสูตร ได้แก่ แผนการสอน สื่อและเครื่องมือ วัดผลประเมินผลให้สมบูรณ์และมีคุณภาพ Tyler. (1950) ได้ก าหนดปัญหาพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน 4 ข้อ ซึ่งมีพัฒนาหลักสูตรจะต้องตอบค าถามให้ครบเรียงล าดับข้อ 1 ถึงข้อ 4 ดังนี้ 1. จุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่โรงเรียนต้องการให้ผู้เรียนบรรลุมีอะไรบ้าง 2. การที่จะบรรลุตามจุดหมายทางการศึกษาที่ก าหนดนั้น จะต้องมีประสบการณ์ ทางการศึกษาอะไรบ้าง 3. ประสบการณ์ทางการศึกษาที่ก าหนดนั้น สามารถจัดให้ประสิทธิภาพได้อย่างไร 4. จะทราบได้อย่างไรว่า ผู้เรียนได้บรรลุตามจุดมุ่งหมายทางศึกษานั้นๆ Taba (1962) ได้เสนอแนะขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร ดังนี้ 1. ส ารวจสภาพปัญหา ความต้องการและความจ าเป็นต่างๆ ของสังคม 2. ก าหนดวัตถุประสงค์ของการศึกษาที่สังคมต้องการ 3. คัดเลือกเนื้อหาวิชาความรู้ที่ครูจะน ามาสอน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ตรงกับ วัตถุประสงค์ของการศึกษาที่ตั้งไว้ 4. จัดล าดับขั้นตอนแก้ไขปรับปรุงเนื้อหาสาระที่เลือกมาได้ 5. คัดเลือกประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งจะน ามาเสริมเนื้อหาสาระ กระบวนการเรียนให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ 6. จัดระเบียบ จัดล าดับขั้นตอน และแก้ไขปรับปรุงประสบการณ์ต่างๆ ที่จะน ามา เสริมเนื้อหาสาระการเรียน 7. ก าหนดเนื้อหาสาระอะไรบ้าง หรือประสบการณ์อย่างใดที่ต้องการประเมินว่า ได้มีการเรียนรู้ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่เพียงใด นอกจากนี้ต้องก าหนดไว้ด้วยว่าจะมี ข้อมูลอะไรบ้าง ที่จะน ามาช่วยในการก าหนดเกณฑ์การประเมินผล และจะใช้วิธีการประเมิน อย่างไร


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 41 สรุปได้ว่า พัฒนาหลักสูตรเป็นการก าหนดลักษณะ ระเบียบ วิธีการที่จะน าไปสู่การ พัฒนาหลักสูตรให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์ 2.7 กระบวนการพัฒนาหลักสูตร การน ารูปแบบการพัฒนาหลักสูตรมาใช้จะต้องปรับให้เข้ากับสภาพความเป็นจริง ของชีวิตและสังคมของผู้ใช้แนวคิดในการพัฒนาหลักสูตรมีหลายแนวทาง (สงัด อุทรานันท์, 2552) ได้กล่าวถึงกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งต่อเนื่องสัมพันธ์เป็นวัฏจักร ดังนี้จัดวิเคราะห์ ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการพัฒนาหลักสูตร การก าหนดจุดมุ่งหมาย การคัดเลือกและจัดเนื้อหาสาระ และประสบการณ์การก าหนดมาตรการวัดและประเมินผล การน าหลักสูตรไปใช้การประเมินผล การใช้หลักสูตร การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตร มารุต พัฒผล (2562) ได้เสนอกระบวนการพัฒนาหลักสูตรแบบครบวงจรไว้ 3 ระบบ โดยเริ่มต้นจากระบบการร่างหลักสูตร ระบบการน าหลักสูตรไปใช้และระบบการ ประเมินหลักสูตรซึ่งแต่ละระบบมีรายละเอียดและขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1. ระบบการร่างหลักสูตร ประกอบด้วย การก าหนดหลักสูตร โดยดูความสอดคล้อง กับเนื้อหาวิชาสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองหลังจากนั้นก าหนดรูปแบบหลักสูตร ได้แก่ การก าหนดหลักการ โครงสร้างองค์ประกอบหลักสูตรวัตถุประสงค์เนื้อหา ประสบการณ์การเรียน และการประเมินผลหลังจากนั้น ด าเนินการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตรโดยผ่านผู้เชี่ยวชาญ หรือ การสัมนาและมีการทดลองน าร่อง พร้อมทั้งรวบรวมผลการวิจัยและปรับแก้หลักสูตรก่อน น าไปใช้ 2. ระบบการใช้หลักสูตร ประกอบด้วยการขออนุมัติหลักสูตรจากหน่วยงานหรือ กระทรวงด าเนินการวางแผนการใช้หลักสูตร โดยเริ่มจากการประชาสัมพันธ์หลักสูตร การเตรียมความพร้อมของบุคลากร จัดงบประมาณและวัสดุหลักสูตร บริหารสนับสนุนจัดเตรียม อาคารสถานที่ ระบบบริหารและจัดการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ และติดตามผลการใช้หลักสูตร หลังจากนั้นเข้าสู่ระบบการบริหารหลักสูตร โดยการด าเนินการตามแผนกิจกรรมการเรียนการ สอนแผนการสอนคู่มือการสอน คู่มือการเรียนเตรียมความพร้อมของผู้สอน ความพร้อมของ ผู้เรียนและการประเมินผลการเรียน 3. ระบบการประเมินผล ซึ่งประกอบด้วยการวางแผนการประเมินผลการใช้ หลักสูตรทั้งการประเมินย่อย การประเมินระบบหลักสูตร ระบบการบริหารและผลสัมฤทธิ์ของ ผู้เรียน หลังจากนั้นเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และรายงานข้อมูลตามล าดับ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 42 ท าไมต้องหลักสูตรฐานสมรรถนะ? ฐานคิดของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน (หลักสูตรฐานสมรรถนะ) ดังนี้ ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนรายบุคคล (Personalization) พัฒนาผู้เรียนให้เกิด สุขภาวะ(Well Being) พัฒนาสมรรถนะที่จ าเป็น เพื่อใช้ในการด ารงชีวิต พัฒนาผู้เรียนให้รู้เท่าทัน และสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ภาพที่ 2.1 ฐานคิดของหลักสูตรฐานสมรรถนะ ที่มา : ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 43 2.8 การพฒันาหลกัสตูรในสถานการณ ์โควิด-19 สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ผู้บริหาร มีบทบาทส าคัญของที่จะก าหนดนโยบายปรับเปลี่ยนให้ทุกๆ ที่กลายเป็ น โรงเรียน เพราะการเรียนรู้ยังต้องด าเนินอยู่แม้นักเรียนไม่สามารถไปโรงเรียนตามปกติในหลาย ประเทศที่ประกาศมาตรการปิดโรงเรียน รัฐบาลมักจะออกมาตรการด้านการเรียนรู้มารองรับ ด้วยการเรียนทางไกลรูปแบบต่างๆ โดยพิจารณาจากเงื่อนไขความพร้อมด้านอุปกรณ์ ความ พร้อมของพ่อแม่ และความพร้อมตามช่วงวัยของเด็ก ความท้าทายในการเปลี่ยนครั้งนี้ไม่ใช่แค่ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เท่านั้น ศิริเดช ค าสุพรหม. (2563). แต่ควรเป็นการ “เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น มาตรการการเรียนรู้ของประเทศไทยจึงไม่ ควรปรับแค่กระบวนการเรียนรู้ในห้องเรียน แต่ต้องปรับใหญ่ทั้งระบบการเรียนรู้ที่ต้องสอดคล้อง กันและเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ของนักเรียน โดยเฉพาะหลักสูตรที่ควรด าเนินการ ดังนี้ 1. กระชับหลักสูตร ปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และสื่อสารให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนทราบ หลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานของประเทศไทยในปัจจุบัน เน้นเนื้อหามาก ครูจ าเป็นต้องใช้เวลาสอนมากเพื่อสอน ได้ครบถ้วน และไม่เอื้อให้นักเรียนมีส่วนร่วม (Active Learning) เท่าที่ควร และหากยังใช้ หลักสูตรเดิมในการเรียนการสอนภายใต้สถานการณ์COVID-19 ครูจะต้องใช้เวลาสอนมากขึ้น เพื่อสอนให้ครบถ้วน การปรับหลักสูตรให้กระชับควบคู่ไปกับจัดล าดับความส าคัญ รวมทั้งผ่อนคลาย ตัวชี้วัดเรื่องโครงสร้างเวลาเรียนจะสามารถช่วยลดความกดดัน โดยยังคงคุณภาพขั้นต ่าไว้ได้ตัวอย่าง ของมลรัฐ Alberta ประเทศแคนาดา ได้กระชับหลักสูตรโดยเน้นเนื้อหาจ าเป็นตามมาตรฐานของ แต่ละช่วงวัย เพื่อให้ครูสามารถน าไปวางแผนการสอนและใช้เวลาได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งออกคู่มือ หลักสูตรฉบับย่อส าหรับผู้ปกครอง เพื่อสื่อสารให้เข้าใจถึงหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงไป หลักสูตรแกนกลางไทยได้จัดประเภทตัวชี้วัดแล้ว แต่ต้องเพิ่มความชัดเจนในการ สื่อสารแก่ครูและผู้ปกครอง หลักสูตรแกนกลางของไทยก าหนดตัวชี้วัด “ต้องรู้” และ “ควรรู้” ในแต่ละสาระวิชาแล้ว แต่ต้องเพิ่มความชัดเจน โดยระบุเนื้อหาจ าเป็นของแต่ละช่วงวัย และเปิด ให้ครูมีอิสระในการจัดการเรียนรู้เนื้อหาส่วนอื่นๆ ตามความเหมาะสม ในขณะเดียวกัน กระทรวงศึกษาธิการควรให้ศึกษานิเทศก์ท าหน้าที่เป็นโค้ชให้แก่ครู โดยให้ค าแนะน าในการ เลือกตัวชี้วัดและเนื้อหานอกเหนือจากส่วนที่จ าเป็นเพื่อให้เหมาะกับบริบทและสถานการณ์ของพื้นที่อีก ทั้งกระทรวงศึกษาธิการควรออกคู่มือหลักสูตรฉบับย่อส าหรับผู้ปกครอง เพื่อให้ผู้ปกครองเข้าใจ บทบาทใหม่ และสามารถติดตามการเรียนรู้ของเด็กได้


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 44 นอกจากนี้ โรงเรียนต้องไม่ละเลยการให้ความรู้แก่นักเรียนแต่ละช่วงวัยในการ ป้องกันตนเองจากโรคระบาด ซึ่งองค์กรอนามัยโลกได้จัดท าคู่มือไว้แล้ว 2. เพิ่มความยืดหยุ่นของโครงสร้างเวลาเรียนและความหลากหลายของรูปแบบการเรียนรู้ ความยืดหยุ่นในการใช้เวลาและการเลือกรูปแบบการเรียนจะท าให้ครูสามารถออกแบบหน่วย การเรียนรู้ที่เหมาะสมและส่งเสริมการเรียนรู้รายบุคคล (Personalized Learning) ได้ดังตัวอย่าง ของมลรัฐ Alberta ประเทศแคนาดา ซึ่งมีแนวทางสนับสนุนให้ครูจัดการเรียนรู้ด้วยแบบผสมผสาน (Blended Learning) โดยแนะน าการก าหนดจ านวนชั่วโมงการเรียนรู้รูปแบบต่างๆ ได้แก่ • ชั่วโมงเรียนรู้ผ่านจอส าหรับเด็กแต่ละช่วงวัย โดยค านึงถึงพัฒนาการด้านร่างกาย (ปัญหาด้านสายตา) และพัฒนาการด้านสังคม (ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น) •ชั่วโมงการเรียนรู้ด้วยตนเองที่บ้านจากการท าใบงาน ชิ้นงาน ค้นคว้าด้วยตัวเอง • ชั่วโมงที่ครูและนักเรียนท ากิจกรรมเรียนรู้ร่วมกัน แม้หลักสูตรแกนกลางของไทยเปิดให้มีความยืดหยุ่นในการก าหนดชั่วโมงเรียนแต่ยังมี ข้อก าหนดเกี่ยวกับโครงสร้างเวลาเรียนที่ค่อนข้างแข็งตัวดังนั้นหากกระทรวงศึกษาธิการช่วยผ่อน คลายโครงสร้างเวลาเรียนลง และเปิดช่องทางการสื่อสารให้ครูได้สอบถามข้อสงสัย จะช่วยสร้างความ มั่นใจให้แก่ครูออกแบบการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่น นอกจากนี้กระทรวงศึกษาธิการ ยังสามารถเปิดให้ เอกชน และภาคประชาสังคม ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบการเรียนรู้และสื่อการเรียนรู้ เข้ามามี ส่วนร่วมพัฒนา แลกเปลี่ยนเครื่องมือและเทคนิคใหม่ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกที่หลากหลาย และเหมาะสมกับนักเรียนมาก 3. ออกแบบหน่วยการเรียนรู้ และสอนอย่างมีแผนการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ครูจะต้องเตรียมความพร้อมก่อนการสอนแบบใหม่ วิธีการหนึ่งคือ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งจะน าไปสู่การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะหลังการระบาดของ โควิดสิ้นสุดลง ทั้งนี้ควรเริ่มต้นโดยการจัดกลุ่มตัวชี้วัดให้เป็นหน่วยการเรียนรู้ ซึ่งจะท าให้ แผนการเรียนรู้มีความยืดหยุ่นตามสถานการณ์การระบาด เช่น ครูสามารถออกแบบหน่วยการ เรียนรู้หน่วยละ 2 สัปดาห์ เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาการประเมินสถานการณ์การระบาด ทั้งนี้ หากครูสามารถออกแบบหน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยให้ร้อยเรียงกันอย่างเป็นระบบทั้งภาคเรียน หรือทั้งปี จะช่วยให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองตามศักยภาพได้ดียิ่งขึ้น และได้พัฒนาทักษะ การเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นทักษะจ าเป็นส าหรับการด ารงชีวิตในอนาคต ในทางปฏิบัติการจัดหน่วยการเรียนรู้สามารถจัดตามเนื้อหาหรือตามประเด็น ที่น่าสนใจ และยังสามารถบูรณาการข้ามวิชาหรือในวิชาเดียวกัน หลังจากนั้นครูควรก าหนดค าถาม ส าคัญของแต่ละหน่วย และวางแผนการติดตามการเรียนรู้ตามตัวชี้วัดด้านความรู้ ทักษะ และ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 45 เจตคติอย่างชัดเจน เลือกสื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็ก และสื่อสารกับพ่อแม่ให้ทราบถึง บทบาทที่จะเปลี่ยนไป เนื่องจากการเสริมทักษะออกแบบหน่วยการเรียนรู้ ตั้งค าถาม เลือกใช้สื่ออย่างเหมาะสม จะท าให้ครูออกแบบหน่วยการเรียนรู้ได้มีคุณภาพมากขึ้น ดังนั้นกระทรวงศึกษาธิการควรจะ สนับสนุนการเพิ่มทักษะเหล่านี้ตามความต้องการของครูในแต่ละพื้นที่ โดยอาจจะเปิดให้ ผู้เชี่ยวชาญในภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาสังคม ช่วยพัฒนาศักยภาพครูให้ตรงกับทักษะ ที่ต้องการและสนับสนุนให้มีการเพิ่มทักษะให้แก่ศึกษานิเทศก์ เพื่อเป็น “โค้ชหน้างาน” ให้แก่ครูต่อไป 4. ยกระดับการประเมินเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) เพื่อไม่ให้เด็กเสีย โอกาสพัฒนาความรู้และทักษะ เมื่อนักเรียนไปโรงเรียนตามปกติไม่ได้ ครูกับนักเรียนจะมี ปฏิสัมพันธ์ต่อกันลดลง ท าให้ครูไม่สามารถติดตามพัฒนาการของนักเรียนได้เต็มที่ อาจท าให้ ไม่สามารถรู้ปัญหาของนักเรียนได้ทันเวลา โดยเฉพาะความรู้ด้านภาษาและการค านวณ ซึ่ง อาจจะส่งผลเสียต่อการเรียนรู้ระยะยาว การประเมินเพื่อพัฒนาจึงไม่สามารถลดหรือละทิ้งไปได้ ทั้งการประเมินเพื่อการเรียนรู้ (Assessment for Learning) ของเด็ก เพื่อให้ครูทราบถึง กระบวนการเรียนรู้ของเด็ก โดยจะสามารถให้Feedback กับเด็กและปรับแผนการเรียนรู้ได้ตรงตาม สถานการณ์ และการประเมินซึ่งท าให้เกิดการเรียนรู้(Assessment as Learning) ของเด็ก โดย ครูเปิดโอกาสให้เด็กย้อนคิดถึงกระบวนการเรียนของตนเอง กระบวนการนี้จะท าให้เด็กมีความ รับผิดชอบและเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเองมากขึ้น รวมถึงเมื่อเด็กเข้าใจตนเอง จะเป็น โอกาสที่จะวางแผนการเรียนรู้ของตนเองร่วมกับผู้ปกครองและครูได้ การประเมินเพื่อพัฒนาทั้ง 2 ลักษณะจึงต้องอาศัยการท างานร่วมกันระหว่างเด็ก ผู้ปกครองและครูมากขึ้น วิธีหนึ่งที่ท าได้คือ การประเมินเพื่อพัฒนาอย่างไม่เป็นทางการรายบุคคล (Personalized Check-ins) เพื่อติดตามการเรียนรู้ สุขภาพกายและสุขภาพจิตของนักเรียนโดยให้ ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ในกรณีของเด็กโตอาจจะเพิ่มการประเมินตนเองและการประเมินเพื่อน (Self & Peer Assessment) เข้าไปด้วย ซึ่งจะมีประโยชน์ในการช่วยฝึกทักษะการสะท้อนคิดให้เด็กได้ อีกทางหนึ่งด้วย การประเมินเพื่อพัฒนาจะประสบความส าเร็จก็ต่อเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม คือ (1) มีการเสริมศักยภาพครูในการใช้และออกแบบเครื่องมือประเมิน (2) มีการให้เอกชน และ ภาคประชาสังคม ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการประเมินเข้ามาร่วมพัฒนาเครื่องมือการประเมิน ใหม่ๆ และ (3) มีการเปิดเวที (Platform) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูกับผู้เชี่ยวชาญ 5. การประเมินเพื่อรับผิดรับชอบ (Assessment for Accountability) ยังคงไว้ แต่ควรให้น ้าหนักการประเมินโอกาสทางการเรียนของเด็ก มากกว่าการวัดความรู้ด้วยคะแนนสอบ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 46 สถานการณ์โรคระบาดในปัจจุบันท าให้ต้องใช้รูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย ดังนั้น คุณภาพ การศึกษาที่เด็กจะได้รับในแต่ละพื้นที่จะไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถใช้คะแนนวัดความรู้หรือ ทักษะแบบเดียวกันเพื่อให้เกิดความรับผิดรับชอบได้ มิฉะนั้นก็อาจส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล ้า มากขึ้น กระทรวงศึกษาธิการจึงควรปรับเกณฑ์ข้อสอบวัดความรู้ (Test-Based) มาสู่การให้น ้าหนักกับ ตัวชี้วัดที่ไม่ใช่ด้านวิชาการ (Non-Academic Measure) มากขึ้น เช่น อัตราการเข้าเรียน (Attendance Rate) หรืออัตราการออกกลางคัน (Drop-Out Rate) เป็นต้น โดยการเก็บข้อมูลตัวชี้วัด เหล่านี้ที่สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อลดภาระครู เช่น ใช้ระบบ Google Classroom บันทึก การใช้งาน ซึ่งจะช่วยท าให้เขตพื้นที่สามารถติดตาม และให้การสนับสนุนโรงเรียนได้ตรงกับความ ต้องการมากขึ้นด้วย ผู้เขียนได้ท าวิจัยเรื่อง นวัตกรรมสังคมบนพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา: การศึกษาเชิงพื้นที่กับการยกระดับสมรรถนะครูยุคใหม่ส าหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 โดยพัฒนานวัตกรรมลงใน ebook โรงเรียน 11 โรง คลิกด้านล่างภาพ “...เพิ่มสมรรถนะครูในศตวรรษที่ 21 ด้วยชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อลดความเหลื่อมล ้า ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงโรงเรียนพื้นที่เกาะ..” ภาพที่ 2.2 ebook หลักสูตรสมรรถนะฐานอาชีพของโรงเรียนพื้นที่เกาะจังหวัดสตูล ที่มา: รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ และคณะ, 2563 https://anyflip.com/bookcase/goegn


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 47 สรุปท้ายบท การพัฒนาหลักสูตร การปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นหรือสร้าง หลักสูตรขึ้นมาใหม่ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป และสนองต่อความต้องการของผู้เรียน การพัฒนาหลักสูตรระดับชาติเป็นการพัฒนาหลักสูตร ในลักษณะกว้างๆ โดยยึดถือแผนการศึกษาของชาติเพื่อให้ผู้ใช้ในระดับต่างๆ น าไปขยายหรือ ปรับเป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรส าหรับการพัฒนาหลักสูตรระดับท้องถิ่น หมายถึง ระดับ เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา จะเป็นการน าหลักสูตรระดับชาติมาปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระ ให้มีความสอดคล้องกับท้องถิ่น ส่วนการพัฒนาหลักสูตรระดับชั้นเรียนเป็นการพัฒนาหลักสูตร โดยสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ เป็นการขยายและปรับให้มีความสอดคล้องในการจัด การศึกษาของสถานศึกษา โดยการพัฒนาระดับหลักสูตรชั้นเรียนเป็นการพัฒนาที่เน้นความ ต้องการและความถนัด ความสนใจของผู้เรียน ซึ่งเป็นการปรับจุดประสงค์เนื้อหาวิชา และกิจกรรมการ เรียนการสอนโดยครูผู้เรียน จากแนวคิดของนักศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาสูตร พบว่า เป็นกระบวนการ ท างานที่เป็นระบบเป็นวงจรเชื่อมโยงกันในมิติต่างๆ นักพัฒนาหลักสูตรด าเนินการให้มิติต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพการจัดท าหรือพัฒนาหลักสูตรนั้น มีสิ่งที่ต้องปฏิบัติและ พิจารณาที่ส าคัญ คือ การก าหนดเป้าหมายเบื้องต้นของหลักสูตรที่จัดท านั้นให้ชัดเจนว่าเป้าหมาย เพื่ออะไร ทั้งโดยส่วนรวมและส่วนย่อยของหลักสูตร หลังจากนั้นจึงเลือกเนื้อหากิจกรรมการเรียนการ สอน วิธีการประเมินผล และก าหนดรูปแบบการน าหลักสูตรไปใช้ในโรงเรียน ซึ่งการด าเนินการ จะเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จึงจะท าให้การพัฒนาหลักสูตรด าเนินไปอย่างครบถ้วนและเกิดผลดีนั้นคือ ได้หลักสูตรที่มีประสิทธิภาพส าหรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรแบบ SPIE Model เป็นการผสมผสาน บูรณาการองค์ประกอบที่ส าคัญและสอดคล้องกัน เมื่อน าไปปฏิบัติจริงในสภาพแวดล้อมและข้อจ ากัด ของโรงเรียนโดยพัฒนาหลักสูตรระดับสถานศึกษานั้น จะท าให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับ ปัญหาและความเปลี่ยนแปลงสังคมความเจริญก้าวหน้าวิชาการและเทคโนโลยีตลอดจนสอดคล้อง ความต้องการของชุมชนและความต้องการของผู้เรียนด้วย


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 48 เอกสารอ้างอิง มารุต พัฒผล. (2562). แนวคิดการพัฒนาหลักสูตร. ศูนย์ผู้น านวัตกรรมหลักสูตรและการ เรียนรู้. กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. www.curriculumandlearning.com วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2554). จากหลักสูตรแกนกลางสู่หลักสูตรสถานศึกษา กระบวน ทัศน์ใหม่ การพัฒนา. กรุงเทพฯ: จรัญสนิทวงศ์การพิมพ์. สงัด อุทรานันท์. (2552). พื้นฐานและหลักการพัฒนาหลักสูตร. (พิมพ์ครั้งที่3) . กรุงเทพฯ: คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ศิริเดช ค าสุพรหม. (2563). รีวิวหลักสูตรยุคโควิด-19. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 30 มีนาคม 2564. แหล่งที่มา: https://www.salika.co/2020/05/05/review-mba-program-post-covid-era/. Beane& others. (1986). Curriculum Planning and Development. Massachusette : Allyn and Bacon. Beauchamp George A.. (1981). Curriculum Theory. 4th ed. (Itsca: F.E Peacock Publisher. Bishop. (1985). Curriculum Development: A textbook for Students. Macmillan Publishers. Michaelis, J. U., Grossman, R. H., & Scott, L. F. (1975). New designs for elementary school curriculm. New York: McGraw-Hill Book. Oliva, Peter F. (1992). Developing Curriculum. 3 rd ed. New York: Harper Collins Publisher. Saylor Galen J. and Alexander, W.M. (1974). Planing Curriculum for Schools. 3rd ed. New York: Holt Rinchart and Winston. Saylor Galen J., Alexander, Willium M., and Arther J Lewis. (1981). Curriculum Planning for Better Teaching and Learning. 4 th ed. New York: Holt Rinchart and Winston, 1981. Taba Hilda. (1962). Curriculum Development: throry and Practice. NewYork: Harcourt Brace and World. Tyler, R. W. (1949). Basic principles of curriculum and instruction. Illinois: Chicago University.


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 49 บทที่ 3 การพัฒนา กระบวนการเรียนรู้ ในว ิ ถ ีชี ว ิ ตใหม ่ “...การเรียนรู้เป็นกระบวนการที่ส าคัญยิ่งต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์ทุกคน..” เนื่องด้วย การเรียนรู้ท าให้มนุษย์ได้รับประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการ ด าเนินชีวิตอย่างมีความสุข การเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายในระบบโรงเรียน เป็นกิจกรรมและกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมช่วงเวลายาวนานตลอดชีวิต ของบุคคลทุกเพศทุกวัย การเรียนรู้ที่ได้รับของผู้เรียนในแต่ ละคนมีความแตกต่างกัน เนื่องจาก ผู้เรียนแต่ละคนมีประสบการณ์การเรียนรู้และความสามารถที่แตกต่างกัน การเรียนรู้โดยการ ปฏิบัติจริง จะท าให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้อย่างเต็มความสามารถ และความรู้จะฝังแน่นอยู่ ในสมองของผู้เรียนเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ในบทที่ 3 การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ในวิถีชีวิตใหม่ ประกอบไปด้วย ความหมาย ของการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ความส าคัญของการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การจัด กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ การจัดการเรียนรู้ส าหรับครูในศตวรรษที่ 21 รูปแบบ การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) รูปแบบการเรียนรู้ยุควิถีใหม่ การจัดการเรียนการสอนออนไลน์


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 50 3.1 ความหมายของการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ เป็นขั้นตอนที่ส าคัญที่สุดของการจัดการศึกษา เพราะการเรียนรู้เป็นสิ่งที่เด็กจะได้รับการพัฒนาตามกิจกรรมการเรียนการสอน เกิดขึ้นจากการ ท างานร่วมกันภายในกลุ่มในห้องเรียน จากการแนะน าของครูการเรียนรู้ของเด็กจะสัมฤทธิ์ผล ตามการสอนได้เหมาะสมเพียงใดนั้น มีนักการศึกษา หลายท่านได้กล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ ไว้ดังนี้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้กล่าวถึงแนวการจัดการศึกษา ในมาตรา 22 ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา ตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนส าคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพและได้ก าหนดไว้ในมาตรา 24 ว่าการจัดกระบวนการ เรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานเกี่ยวข้องด าเนินการ ดังต่อไปนี้ 1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของ ผู้เรียนโดยค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรู้ใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา 3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ท าได้ คิดเป็น ท าเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง 4. จัดการเรียนการสอน โดยการผสมผสานความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วน สมดุล กันรวมทั้ง การปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา 5. ส่งเสริม สนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอ านวย ความสะดวก เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การ วิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจได้เรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อ การเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ 6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือ กับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้สอดคล้องกับการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้เรียนส าคัญ ที่สุด ซึ่งผู้สอนต้องค านึงถึงประเด็นส าคัญ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน,2550) ดังนี้ 1. สมองของมนุษย์มีศักยภาพในการเรียนรู้สูงสุด สมองของมนุษย์ มีความพร้อม ที่จะเรียนรู้ตั้งแต่แรกเกิดมีความต้องการที่จะเรียนรู้ สามารถเรียนรู้ให้บรรลุอะไรก็ได้ มนุษย์ ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง ธรรมชาติและสิ่งรอบตัว


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 51 2. มนุษย์สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ ต้องอาศัยสมองและระบบประสาทสัมผัส ซึ่งเป็นพื้นฐานของการรับรู้ โดยรับความรู้สึกจากอวัยวะรับความรู้สึก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ 3. กระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพผู้สอนจะต้องสนใจและให้ผู้เรียนได้พัฒนา ความสัมพันธ์ระหว่างสมอง (Head) จิตใจ (Heart) มือ (Hand) และสุขภาพองค์รวม (Health) 4. การจัดกระบวนการเรียนรู้ควรจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อส่งเสริมศักยภาพ ความเก่ง ความสามารถของผู้เรียนเป็นรายบุคคลเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนา เต็มตามศักยภาพของ แต่ละบุคคล 5. จัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรง 6. จัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความแตกต่างระหว่างบุคคล ให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามความสามารถทั้งด้านความสามารถด้านความรู้ จิตใจ อารมณ์ และ ทักษะ 7. ผู้สอนควรลดการถ่ายทอดเนื้อหาวิชา ให้ผู้เรียนกับผู้สอนมีบทบาทร่วมกันใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ ให้ผู้เรียนได้เรียนจากสถานการณ์จริงที่เป็น ประโยชน์และสัมพันธ์กับชีวิตจริงเรียนรู้ความจริงในตัวเองและความจริงในสิ่งแวดล้อมจากแหล่ง เรียนรู้ที่หลากหลาย 8. กระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการทดลองปฏิบัติด้วยตนเอง 9. ครูผู้สอนควรท าหน้าที่เตรียมการจัดสิ่งเร้า ให้ค าปรึกษา วางแนวทางจัดกิจกรรม และประเมินผล การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การด าเนินงานเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ การส่งเสริมสื่อและแหล่งเรียนรู้ การมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การส่งเสริม และการพัฒนาครู และการวัดและประเมินผล การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การส่งเสริมให้ครูจัดท าแผนการเรียนรู้ ตามสาระและหน่วยงานการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ส่งเสริมให้ครูจัดกระบวนการ เรียนรู้ตามกลุ่มสาระและหน่วยการเรียนตามความสนใจและความถนัดของผู้เรียน รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2557) กล่าวว่า ภารกิจการบริหารงานวิชาการประการหนึ่ง ที่ส าคัญยิ่ง คือการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ สถานศึกษาจะต้องส่งเสริม สนับสนุนให้ครูศึกษาจุดมุ่งหมายของหลักสูตร จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ และสรุปองค์ความรู้ด้วยตัวเอง โดยมีการศึกษาผู้เรียนเป็นรายบุคคล เพื่อเป็นข้อมูลในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และความต้องการของ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 52 ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่ ก าหนดไว้ในหลักสูตรอย่างแท้จริง และยังกล่าวถึงแนวปฏิบัติการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ไว้ดังนี้ 1. ส่งเสริมให้ครูจัดท าแผนการเรียนรู้ตามสาระและหน่วยการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียน เป็นส าคัญ 2. ส่งเสริมให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดของ ผู้เรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงและการปฏิบัติจริง การส่งเสริมให้รัก การอ่านและใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง การผสมผสานความรู้ต่างๆ ให้สมดุลกัน ปลูกฝังคุณธรรมและ ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระกิจกรรม ทั้งนี้โดยจัด บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมและแหล่งเรียนรู้ให้เอื้อต่อการจัด กระบวนการเรียนรู้ และการน า ภูมิปัญญาท้องถิ่น หรือเครือข่าย ผู้ปกครอง ชุมชน ท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการจัดการเรียน การสอนตามความเหมาะสม 3. จัดให้มีการนิเทศการสอนแก่ครูในกลุ่มสาระต่างๆ โดยเน้นการนิเทศที่ร่วมมือ ช่วยเหลือกันแบบกัลยาณมิตร เช่น นิเทศแบบเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน ร่วมกัน หรือแบบอื่นๆ ตามความเหมาะสม 4. ส่งเสริมให้มีการพัฒนาครูเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามความเหมาะสม ทิศนา แขมมณี (2560) ได้สรุป การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ คือ การเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนมีส่วน ร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ โดยได้คิดได้รวบรวมความรู้และลงมือปฏิบัติจริง เพื่อให้การด าเนินงานดังกล่าว สอดคล้องกับแนวคิดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ สถานศึกษาควรค านึงถึงสิ่งต่อไปนี้ คือ 1. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านร่างกาย (Physical Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวร่างกาย เพื่อช่วยให้ ประสาทการเรียนรู้ของ ผู้เรียนตื่นตัวพร้อมที่จะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น 2. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางสติปัญญา (Intellectual Participation) คือ กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเคลื่อนไหวทางสติปัญญา ท้าทายความคิด ของผู้เรียน สามารถกระตุ้นสมองของผู้เรียนให้เกิดการเคลื่อนไหวเกิดความสนุกที่จะคิด 3. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม (Social Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล หรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับ ผู้อื่นและสภาพแวดล้อมต่างๆ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 53 4. กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้ นั้นเกิดความหมายต่อตนเอง กล่าวโดยสรุป การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การส่งเสริมให้ครูจัดท า แผนการจัดการเรียนรู้ตามสาระและหน่วยการเรียนรู้ โดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ จัดกระบวนการ เรียนรู้โดยจัด เนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน จัดให้มีการนิเทศการสอนแก่ครูในกลุ่มสาระต่างๆ โดยเน้นการนิเทศที่ร่วมมือช่วยเหลือกันแบบ กัลยาณมิตรและส่งเสริมให้มีการพัฒนาครูเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามความเหมาะสม Hoy and Miskel (2008) กล่าวว่า การพัฒนาการเรียนรู้มาจากการใช้เทคนิคในการ เรียนการสอนที่มุ่งเน้นไปที่ความเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคลทางด้านความรู้และ พฤติกรรม เป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อนและไม่มีค าอธิบายไหนอธิบายได้ดีที่เป็นสุด โดยใน ความเป็นจริง ความแตกต่างทางด้านทฤษฎีการเรียนรู้ได้เสนอค าจ ากัดความไม่มากก็น้อย ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ต้องการจะอธิบายนั้นๆ เราจะมุ่งเน้นไปที่ทฤษฎีทั่วไปของการเรียนรู้ 3 ประการ ซึ่งแต่ละทฤษฎีมีจุดเน้นไม่เหมือนกัน ดังต่อไปนี้ 1. ทฤษฎีเกี่ยวกับพฤติกรรมเป็นการเรียนรู้ เน้นทางด้านการสังเกตการณ์ความ เปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรม ทักษะและความเป็นอยู่ 2. ทฤษฎีกระบวนการเรียนรู้เป็นการเน้นทางด้านความคิดภายในกิจกรรม คือ การคิด การจดจ าการสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา 3. ทฤษฎีเกี่ยวกับการก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เป็นการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับความสนใจ เกี่ยวกับในตัว บุคคลต่อความหมายในเหตุการณ์ต่างๆ กิจกรรมและการเรียนรู้เป็นก่อร่างของ ความรู้ สรุปได้ว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การด าเนินงานเกี่ยวกับการจัด กิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจ และความต้องการของผู้เรียน โดยเน้น ผู้เรียนเป็นส าคัญ เน้นการเรียนการสอนตามสภาพจริง เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถและ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามเนื้อหาสาระ กิจกรรม โดยมีการการส่งเสริมสื่อและแหล่งเรียนรู้ และการมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเปลี่ยนแปลง จากพฤติกรรมเดิมไปสู่พฤติกรรมใหม่ อันเนื่องมาจากการเรียนรู้ผ่านสิ่งแวดล้อม หรือการฝึกฝน โดยประสบการณ์ที่ได้รับ และพฤติกรรมนั้นจะต้องเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างถาวร ติดตัวไปตลอด


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 54 3.2 ความส าคัญของการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ถือว่ามีความส าคัญต่อการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน มีนักวิชาการ และนักการศึกษาหลายท่านได้กล่าวได้ ดังนี้ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้มีความส าคัญต่อการบริหารงานวิชาการ ต้องด าเนินการ ส่งเสริมให้ครูผู้สอนศึกษาวิเคราะห์ให้เข้าใจสาระส าคัญและเลือกวิธีการสอนที่เหมาะสม จัดการ เรียนรู้ที่เน้นความส าคัญทั้งความรู้ คุณธรรม โดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้ด้วย กิจกรรมต่างๆ ที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียนและค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนได้ พัฒนาเต็มตามศักยภาพ มีความสมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สังคมและสติปัญญา สามารถอยู่ ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ การพัฒนากระบวนการเรียนรู้มีความส าคัญที่จะต้องใช้กระบวนการเรียนรู้ ที่หลากหลายเพื่อเป็นเครื่องมือพัฒนาผู้เรียนไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร ซึ่งครูผู้สอนจะต้องรู้ และเข้าใจ แนวคิดการจัดการเรียนรู้และผลที่เกิดกับผู้เรียน แล้วน ามาจัดการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการ พัฒนาผู้เรียน โดยยึดผู้เรียนเป็นส าคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกคิดวิเคราะห์และศึกษาค้นคว้า ด้วยตนเอง รู้จักวิธีคิด วิธีการด าเนินชีวิตและมีทักษะในการเผชิญปัญหาต่างๆ ได้ จักรี มนต์ประสิทธิ์ (2560) กล่าวว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้มีความส าคัญ เนื่องจากเป็นการด าเนินกิจกรรมต่างๆ ของครูผู้สอนที่เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ หรือการ จัดกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย เพื่อปรับปรุงและพัฒนาการเรียนการสอนอันจะส่งผลที่เป็น ประโยชน์ต่อนักเรียน ทั้งนี้ โดยค านึงถึงผู้เรียนเป็นส าคัญ วิภาภรณ์ สร้อยค า (2560) กล่าวว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้มีความส าคัญ อย่างมาก เนื่องจากเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม มีการสอนที่ถูกต้องตลอดจนมีการอ านวย ความสะดวก เพื่อจัดการเรียนการสอนอย่างมีประสิทธิภาพ หลักที่ส าคัญของการจัดการเรียน การสอนควรจัดความรู้และคุณสมบัติอื่นๆ ที่ต้องการให้แก่ผู้เรียนได้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ เนื้อหาที่สอนยึดหยุ่นตามเหตุการณ์สภาพท้องถิ่น และความสนใจของผู้เรียน โดยมีกระบวนการ เรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นส าคัญ ศิรินภา เมรัตน์ (2561) ได้กล่าวถึงความส าคัญของการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ว่าเป็นการด าเนินงานของสถานศึกษาเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนมีการวางแผนการจัดท า แผนการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ การจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่หลากหลายและปฏิบัติจริง เน้นกระบวนการคิดและจุดมุ่งหมายหลักของสถานศึกษา อยู่ที่การจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดครูเข้าสอน มีการพัฒนาครู


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 55 มีการนิเทศติดตามการสอนของครูและมีการประเมินผล ปรับปรุงการจัดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของผู้เรียน จากความส าคัญข้างต้น สรุปได้ว่า การพัฒนากระบวนการเรียนรู้เป็นปัจจัยส าคัญที่จะส่งผลต่อการพัฒนา คุณภาพของผู้เรียน โดยผู้สอนจ าเป็นต้องมีความเข้าใจในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ค านึงถึงประสบการณ์ ความแตกต่างระหว่างบุคคล และยึดผู้เรียนเป็นส าคัญ ส่งผลให้ผู้เรียนได้ มีการพัฒนาอย่างเต็ม ศักยภาพทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และสติปัญญา 3.3 แนวคิดการจดักระบวนการเรียนรู้ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ก าหนดแนวทางการจัด กระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพไว้ในมาตรา 24 โดยให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ ด าเนินการ ดังต่อไปนี้ 1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ ผู้เรียน โดยค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล 2. ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรู้มาใช้ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา 3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริงฝึกการปฏิบัติให้ท าได้ คิดเป็น ท าเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง 4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่างๆ อย่างได้สัดส่วน สมดุลกัน รวมทั้ง ปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกวิชา 5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอ านวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้รวมทั้งสามารถใช้การวิจัย เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทั้งนี้ ครูผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการ เรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ 6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับ บิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันพัฒนาผู้เรียนตามศักยภาพ การจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นั้น มุ่งหวังให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ส าคัญและเป็นเครื่องมือพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ เป้าหมายของหลักสูตร อีกทั้ง เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่จ าเป็นส าหรับผู้เรียนในการด าเนินชีวิต ในสังคมปัจจุบันและอนาคต ดังนั้น ครูผู้สอนจะต้องรู้และเข้าใจแนวคิด แนวทางการจัดการ เรียนรู้และผลที่เกิดกับผู้เรียนของการเรียนรู้แต่ละวิธี แล้วน ามาจัดการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 56 พัฒนาผู้เรียนให้เกิดกระบวนการดังกล่าว ซึ่งได้แก่ การเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการ สร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์ และ แก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือท าจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการลักษณะนิสัย เป็นต้น นอกจากนี้ ในหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้ นฐาน พุ ทธศั กราช 2551 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) ได้กล่าวถึง การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ดังนี้ 1. หลักการจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ ตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะส าคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่ก าหนดไว้ ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความส าคัญที่สุด เชื่อว่าทุก คนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน กระบวนการจัดการ เรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ ค านึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมองเน้นให้ความส าคัญทั้งความรู้และคุณธรรม 2. กระบวนการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัย กระบวนการ เรียนรู้ที่หลากหลายเป็นเครื่องมือที่จะน าไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการ เรียนรู้ที่จ าเป็นส าหรับผู้เรียน เช่น กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือท าจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับการ ฝึกฝน พัฒนาเพราะ จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้น ผู้สอนจึง จ าเป็นต้องศึกษาท าความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้สามารถเลือ กใช้ในการจัด กระบวนการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. การออกแบบการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึง มาตรฐาน การเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระ การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียน แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้โดยเลือกใช้วิธีสอน และเทคนิคการสอน สื่อและแหล่งเรียนรู้การวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตาม ศักยภาพและบรรลุตามเป้าหมายที่ก าหนด


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 57 4. บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพตาม เป้าหมายของหลักสูตร ผู้สอนและผู้เรียนควรมีบทบาท ดังนี้ 4.1 บทบาทของผู้สอน 1) ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วน าข้อมูลมาใช้ในการวาง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน 2) ก าหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ด้านความรู้และทักษะ กระบวนการที่เป็นความคิดรวบยอด หลักการ และความสัมพันธ์ รวมทั้งคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ 3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่าง บุคคลและพัฒนาการทางสมอง เพื่อน าผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย 4) จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการ เรียนรู้ 5) จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม น าภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน 6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เหมาะสมกับ ธรรมชาติของวิชาและระดับพัฒนาการของผู้เรียน 7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมทั้ง ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผู้เรียน 1) ก าหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง 2) เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ ตั้งค าถาม คิดหาค าตอบหรือหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ 3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในสถานการณ์ต่างๆ 4) มีปฏิสัมพันธ์ ท างาน ท ากิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู 5) ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง จากที่กล่าวมาข้างต้น พอจะสรุปได้ว่า แนวทางในการจัดการเรียนรู้นั้นสถานศึกษาต้อง ยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียน มีความส าคัญที่สุด ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ โดยจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับความถนัด ความสนใจของผู้เรียน ฝึกทักษะกระบวนการคิดการ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 58 จัดการเผชิญสถานการณ์ การประยุกต์ความรู้มาใช้ฝึกปฏิบัติจริง พร้อมทั้งปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จัดบรรยากาศสภาพแวดล้อม สื่อการเรียน เพื่อส่งเสริมและปลูกฝังผู้เรียนให้มีความสนใจต่อการเรียนรู้ตลอดเวลา ทั้งขณะที่ผู้เรียนอยู่ใน และนอกสถานศึกษา นอกจากนี้ สถานศึกษาต้องส่งเสริมการจัดกระบวนการเรียนการสอนให้มี ประสิทธิภาพ โดยการส่งเสริมให้ครูผู้สอนท าวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สถานศึกษา จึงควรบริหารการจัดการเรียนรู้โดย เริ่มต้นจากการวางแผนการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรม การเรียนรู้ การประเมินผลการเรียนรู้ และการปรับปรุงการพัฒนาการจัดการเรียนรู้ เพื่อมุ่ง พัฒนาให้ผู้เรียนเป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข 3.4 การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ความหมายของการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ ค าว่า “การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ” มีนักการศึกษาและ นักวิชาการได้ให้ความหมายไว้อย่างหลากหลาย (สุรพงศ์ อึ๊งโพธิ์, 2561) (ธนสวรรณ ถาบุตร, 2561) (บุญเลี้ยง ทุมทอง, 2556) จักรี มนต์ประสิทธิ์ (2560) วิภาภรณ์ สร้อยค า (2560) ศิรินภา เมรัตน์ (2561) ดังนี้ การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ หมายถึง รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนที่สอดคล้องกับการด ารงชีวิตและสังคมของผู้เรียนมากทีสุด โดยค านึงถึงความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ความสามารถทางปัญญา ความถนัด ความต้องการ ความสนใจและวิธีการเรียนรู้ ของผู้เรียน ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง ได้พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง และแสวงหาความรู้ด้วยตนเองด้วยวิธีการและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย มีการวัดผล ประเมินผลตามสภาพจริง ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามมาตรฐานของหลักสูตร กล่าวว่า การจัดการ เรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ หมายถึง กระบวนการจัดการเรียนรู้ที่ให้ความส าคัญกับผู้เรียน เน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการคิดริเริ่ม แสวงหา วิเคราะห์ จัดการความรู้และลงมีปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ด้วยตัวเอง ตามความต้องการและความสนใจ และสามารถน าความรู้ไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตประจ าวันได้ ทิศนา แขมมณี. (2560) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นตัวตั้ง โดยค านึงถึงความเหมาะสมกับผู้เรียนและ ประโยชน์สูงสุดที่ผู้เรียนควรได้รับ และมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมี บทบาทส าคัญในการเรียนรู้ ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างตื่นตัวและได้ใช้ กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ อันจะน าผู้เรียนไปสู่การเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 59 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ หมายถึง การจัดกิจกรรมที่ให้ โอกาสผู้เรียนมีส่วนร่วมกิจกรรมมากที่สุดด้วยความมุ่งหวังที่จะท าให้ผู้เรียนได้พัฒนากระบวนการ เรียนคิดสร้างสรรค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยมีปฏิสัมพันธ์แบบมีส่วนร่วมกับผู้สอนและผู้เรียน ด้วยกัน เพื่อพัฒนากาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญา ในบริบทที่มีอยู่และเกิดขึ้นตามสภาพจริง และพัฒนาศักยภาพใน 16 การเรียนรู้ที่จะคิดวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์วางแผนและตัดสินใจ แก้ปัญหาได้ด้วยตนเองเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่จะท าให้คุณภาพของชีวิตดีขึ้น ยุทธนา เกื้อกูล (2560) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้มากที่สุด ซึ่งเป็นการพัฒนา ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ตลอดจนการคิดวิเคราะห์ วางแผน และแก้ปัญหาได้ ด้วยตนเองเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้เรียน ให้ดีขึ้น โดยครูมีบทบาทหลักส าคัญในการ อ านวยความสะดวกและชี้แนะผู้เรียนตามความเหมาะสม สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ คือ กระบวนการจัดการ เรียนการสอนที่ค านึงถึงผู้เรียนส าคัญที่สุด มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเข้ามามีส่วนร่วมในการท า กิจกรรม ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติคิดค้น และสร้างองค์ความรู้ในสิ่งที่ตนเองชอบและถนัด สอดคล้องกับวิถีชีวิตของตนเอง ด้วยความรับผิดชอบ และมีความสุขกับการเรียนรู้นั้น โดยมีครู คอยอ านวยความสะดวกให้ค าแนะน าและเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด แนวคิดการจดัการเรียนการสอนที่เน้นผ้เูรียนเป็ นสา คญั แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมีแนวคิดจากปรัชญา Constructivism ที่เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในผู้เรียน ผู้เรียนเป็นผู้สร้าง ความรู้จากการสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม เป็นปรัชญาที่มีข้อ สันนิษฐานว่าความรู้ไม่สามารถแยกออกจากความอยากรู้ ความรู้ได้มาจากการสร้าง เพื่ออธิบาย แนวคิด Constructivism เน้นให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ผ่านกระบวนการคิดด้วยตนเอง โดยผู้สอน ไม่สามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้ โดยจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนเกิด ความขัดแย้งทางปัญญา (Cognitive Structure) ของผู้เรียนได้ แต่ผู้สอนสามารถ ช่วยผู้เรียน ปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้ โดยจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนเกิดความขัดแย้งทางปัญญา และเกิดภาวะไม่สมดุลขึ้น (Unequilibrium) ซึ่งเป็นสภาวะที่ประสบการณ์ใหม่ไม่สอดคล้องกับ ประสบการณ์เดิม ผู้เรียนต้องพยายามปรับข้อมูลใหม่กับประสบการณ์ที่มีอยู่เดิม แล้วสร้างเป็น ความรู้ใหม่ ดังนั้น การใช้แนวคิด Constructivism ในการจัดการเรียนการสอนผู้สอนต้อง พยายามเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ให้เข้ากับประสบการณ์เดิมของผู้เรียนและเป้าหมายของผู้เรียน จึงอาจกล่าวได้ว่า การสอนตามแนวคิดนี้ เป็นการสอนที่ให้ผู้เรียนสามารถสร้างสรรค์ความรู้ด้วย


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 60 ตนเอง โดยการจัดการศึกษาที่เอื้อต่อการเรียนรู้ไม่ว่าจะเป็ นบรรยากาศในการเรียนรู้ สภาพแวดล้อมที่เอื้ออ านวย ผู้เรียนมีโอกาสเลือกและวางแผนในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจในการเรียน โดยที่การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญเกิดขึ้น จากพื้นฐานความเชื่อที่ว่า การจัดการศึกษามีเป้าหมายส าคัญที่สุด คือ การจัดการให้ผู้เรียนเกิด การเรียนรู้สูงสุดตามก าลังหรือศักยภาพของแต่ละคน (ดุษฎี มัชฌิมาภิโร, 2553) ประเทศไทยได้มีแนวคิดการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญมาตั้งแต่ ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2554) เพียงแต่อาจจะยังมีความเข้าใจ คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับแนวคิด Teacher Centered ซึ่งแนวคิดนี้ได้รวมลักษณะของการจัดการ เรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญเข้าไว้แล้วหาก ครูเข้าใจหลักและกระบวนการสอนที่มุ่ง ให้เกิดผลกับผู้เรียนเป็นส าคัญ ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ จึงเป็นสิ่งที่ ไม่เบ็ดเสร็จในตัวเอง และไม่เป็นหนึ่งเดียวที่จะใช้ได้ในทุกอย่าง การจัดการศึกษาจะต้องมีความ ยืดหยุ่นและชัดเจนขึ้น เมื่อน าแนวคิดต่างๆ มาปรับใช้ในกระบวนการของการพัฒนาหลักสูตร และกระบวนการจัดการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ บุญเลี้ยง ทุมทอง (2556) ได้กล่าวไว้ว่า หัวใจของการปฏิรูประบบและกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งให้ผู้เรียนเรียนเพื่อรู้ ท าได้ และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เพื่อศักยภาพและคุณภาพของชีวิตและสังคม การปฏิรูประบบ และกระบวนการเรียนรู้มีความส าคัญและมีความจ าเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษา ครูผู้สอนต้อง ตระหนักว่าตัวเองเป็นหัวใจของการปฏิรูปและช่วยกันพัฒนาให้เกิดการจัดกิจกรรมการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญให้ได้ โดยให้มีการพัฒนาแบบค่อยเป็นค่อยไป จนสามารถท าให้ เพิ่มพูน มากขึ้นตามล าดับ ขณ ะเดียวกัน ธนสวรรณ ถาบุตร (2561) ได้กล่าวว่า กระบวนการเรียนรู้ ตามความหมายที่คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู้ได้สรุปว่า กระบวนการเรียนรู้หมายถึง แนวทางที่จะได้มาซึ่งความรู้จากการคิด วิเคราะห์วางแผน ปฏิบัติจริง ปรับปรุงให้เหมาะสม สรุป และสร้างความรู้ด้วยตนเอง กระบวนการเรียนรู้มีหลายลักษณะ บุคคลอาจจะมีกระบวนการ เรียนรู้ที่แตกต่างกัน การเรียนเนื้อหาสาระต่างกันก็ใช้กระบวนการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน การจัด กระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ จึงมีองค์ประกอบที่ส าคัญคือ ทุกฝ่ ายมีส่วนร่วม ในทุกขั้นตอน มุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ผู้เรียนมีทักษะ ในการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ผู้เรียนสามารถน าความรู้ไปใช้ได้ในชีวิตจริง นอกจากนี้ ทิศนา แขมมณี (2560) ได้กล่าวว่า แนวคิดการจัดการเรียนการสอน โดยยึดผู้เรียนเป็ นศูนย์กลางนั้น เริ่มมาตั้งแต่มีการใช้ค าว่า “Instruction” หรือ “การเรียน


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 61 การสอน” แทนค าว่า “Teaching” หรือ “การสอน” โดยมีแนวคิดว่า ในการสอนครูต้องค านึงถึง การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นส าคัญและช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ มิใช่เพียงการ ถ่ายทอดความรู้เท่านั้น เช่น การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยการกระท า (Learning by Doing) แต่เนื่องจากการเรียนการสอนโดยยึดครูเป็นศูนย์กลางเป็นวิธีที่สะดวกและง่ายกว่า รวมทั้งครู มีความเคยชินกับการปฏิบัติตนแบบเดิมประกอบกับไม่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้ปฏิบัติตาม แนวคิดใหม่อย่างเพียงพอ การสอนโดยครูเป็นศูนย์กลางจึงยังคงยึด ครองอ านาจอยู่อย่าง เหนียวแน่นมาจนปัจจุบัน จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนส าคัญเป็นกระบวนการ เรียนรู้ที่มุ่งเน้นในการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนช่วยเหลือตนเองมากที่สุด เพื่อให้ได้มาซึ่ง ความรู้และประสบการณ์ ส่วนผู้สอนมีหน้าที่ในการก ากับ ดูแล ส่งเสริม และควบคุมกระบวนการ เรียนรู้ของผู้เรียน นอกจากนี้ผู้สอนเป็นผู้ที่มีบทบาทส าคัญในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้บรรลุ วัตถุประสงค์ของหลักสูตรและบรรลุตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ผู้สอนจะต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนและสอดคล้องกับสภาพจริง มีวิธีการสอนที่หลากหลาย และน ามาออกแบบในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งในและนอก ห้องเรียนและสามารถน าความรู้มาปฏิบัติได้จริง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์จากการเรียนรู้ และพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนเก่ง ดีและมีสุข หลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ การจัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง เป็นการจัดการเรียนการสอน ที่ยึดผู้เรียนเป็นตัวตั้ง โดยค านึงถึงความเหมาะสมกับผู้เรียนและประโยชน์สูงสุดที่ผู้เรียนควร ได้รับ และมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทส าคัญในการเรียนรู้ ได้มี ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างตื่นตัวและได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ อันจะน าผู้เรียน ไปสู่การเกิดการเรียนรู้ที่แท้จริง ดังนั้น การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ที่แท้จริงได้ดีควรเป็นการตื่นตัวที่เป็นไปอย่างรอบด้านทั้งทางด้านกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ เพราะพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน มีความสัมพันธ์ต่อกันและกัน และส่งผลต่อการ เรียนรู้ ของผู้เรียน (ทิศนา แขมมณี, 2560) ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 3.1 การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวทางกาย (Active Participation: Physical) คือ การให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวร่างกายท ากิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย เหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ร่างกายและประสาทการรับรู้ ตื่นตัว พร้อมที่จะรับรู้และเรียนรู้ได้ดี


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 62 3.2 การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวทางปัญญา (Active Participation: Intellectual) คือ การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือ สมองได้คิด ได้กระท าโดยใช้ความคิด เป็นการใช้สติปัญญาของตนสร้างความหมายความเข้าใจ ในสิ่งที่เรียนรู้ 3.3 การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวทางอารมณ์ (Active Participation: Emotional) คือ การให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางอารมณ์ หรือความรู้สึกต่างๆ อันจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ดีในเรื่องที่เรียนรู้ อารมณ์และความรู้สึก ของบุคคลจะช่วยให้การ เรียนรู้มีความหมายต่อตนเองและต่อการปฏิบัติมากขึ้น 3.4 การมีส่วนร่วมอย่างตื่นตัวทางสังคม (Active Participation: Social) คือ การให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยให้ผู้เรียนมีการเคลื่อนไหวทางสังคมหรือมีการ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เนื่องจากการเรียนรู้เป็นกระบวนการทาง สังคม การได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน จะช่วยขยายขอบเขตของการเรียนรู้ของบุคคล ให้กว้างขึ้นและการเรียนรู้จะเป็นกระบวนการที่สนุก มีชีวิตชีวามากขึ้น หากผู้เรียนได้มีโอกาส ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น จากพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน พอจะสรุปได้ว่า หลักการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น ส าคัญ ต้องจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนทั้ง 4 ด้าน จะขาดด้านใดด้านหนึ่ง ไม่ได้ เพราะจะท าให้พัฒนาการของผู้เรียนไม่สมบูรณ์ ครูผู้สอนจึงต้องจัดการเรียนการสอนไปสู่ การเรียนรู้อย่างตื่นตัว เพื่อน าไปสู่การเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง โดยมีการด าเนินการ 2 ประการที่ส าคัญคือ ครูต้องคิดจัดเตรียมกิจกรรมและ ประสบการณ์ที่จะเอื้อให้ผู้เรียนมีส่วน ร่วมอย่างตื่นตัวและได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อน าไปสู่การเกิดการเรียนรู้อย่าง แท้จริงตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้และขณะด าเนินกิจกรรมการเรียนการสอน ครูควรลดบทบาทของ ตนเองลงและเปลี่ยนแปลงบทบาทจากการถ่ายทอดความรู้ไปเป็นผู้อ านวยความสะดวก ช่วยให้ ผู้เรียนด าเนินกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ บทบาทของผ้บูริหารในการจดัการเรียนร้ทูี่เน้นผ้เูรียนเป็ นสา คญั ดุษฎี มัชฌิมาภิโร (2553) กล่าวว่า ผู้บริหารมีบทบาทส าคัญในการส่งเสริมและ สนับสนุนให้ครูจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ เนื่องจากครูเป็นบุคลากรหลักและ มีบทบาทส าคัญที่สุดในการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น ผู้บริหารโรงเรียนมีบทบาทส าคัญในการ บริหารครู ดังนี้ 4.1 บทบาทในการสนับสนุนสิ่งอ านวยความสะดวกต่างๆ ซึ่งครอบคลุมถึงการ สนับสนุนสิ่งที่เอื้อต่อบรรยากาศการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ คือ การพัฒนา


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 63 หลักสูตร การจัดหาแหล่งการเรียนรู้ การวิจัยในชั้นเรียน การจัดหาสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ และ เครื่องมือเครื่องใช้ การจัดสรรงบประมาณสนับสนุน การเผยแพร่ผลงาน และการให้ขวัญและ ก าลังใจ 4.2 บทบาทในการสนับสนุนการนิเทศการจัดการเรียนการสอน ซึ่งผู้บริหาร สถานศึกษาสามารถ จัดกิจกรรมนิเทศเพื่อพัฒนาครูให้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล ดังนี้ การปรึกษาหารือและสร้างความตระหนักในการนิเทศการจัดการเรียนการสอน การวางแผนการนิเทศการจัดการเรียนการสอน การด าเนินการนิเทศการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผลการนิเทศการจัดการเรียนการสอน 4.3 บทบาทในการก ากับ ติดตาม และประเมินผล ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนสามารถ ด าเนินการได้ ดังนี้การสร้างความตระหนักในความส าคัญของการก ากับ ติดตาม และประเมินผล การวางแผนก ากับ ติดตาม และประเมินผล การด าเนินการก ากับ ติดตาม และประเมินผล และ การสรุปผลการด าเนินการ สรุปได้ว่า การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู ต้องเข้าใจว่าผู้เรียนทุกคนมีพื้นฐานความรู้ที่แตกต่างกัน แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้เท่าเทียมกัน และการเรียนรู้เกิดได้ทุกที่ ทุกเวลา และทุกสถานการณ์ ดังนั้น ครูผู้สอนซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาท หลักส าคัญในการจัดการเรียนการสอน ต้องพยายามออกแบบการจัดการเรียนรู้ที่มีความ หลากหลาย เหมาะกับความต้องการของผู้เรียนในแต่ละวัย เพื่อผู้เรียนสามารถน าความรู้ ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน 3.5 การจัดการเรียนรู้ส าหรับครูในศตวรรษที่ 21 1. แนวคิดการจัดการเรียนรู้ส าหรับครูในศตวรรษที่ 21 ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2560) ได้ระบุในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 เกี่ยวกับเป้าหมายด้านผู้เรียน (Learner Aspirations) โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียน ทุกคนให้มีคุณลักษณะและทักษะ การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs) ประกอบด้วย ทักษะ และคุณลักษณะต่อไปนี้ 3Rs ได้แก่ การอ่านออก (Reading) การเขียนได้ (Writing) และการคิดเลขเป็น (Arithmetics) 8Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะด้านความ เข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์(Cross – Cultural


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 64 Understanding) ทักษะด้านความร่วมมือ การท างานเป็ นทีม และภาวะผู้น า (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทั กษ ะด้ านการสื่ อสารสารสนเทศ และการรู้เท่ าทั นสื่ อ (Communications, Information and Media Literacy) ทักษะด้าน คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพ และ ทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) และความมีเมตตา กรุณา มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม (Compassion) ส่งลให้ครูในศตวรรษที่ 21 จ าเป็นต้องมีกลยุทธ์ในการตอบโต้ ตอบสนอง (Response) มีส่วน ร่วม (Chlorate) เพื่อชี้แนะสนับสนุน (Facilitate) ให้ผู้เรียนเกิดการเข้าใจเชิงลึก (Deep Understanding) ในสาระความรู้ต่างๆ จนรู้จักพัฒนาและประยุกต์ใช้ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ได้อย่างสร้างสรรค์ (วัชรา เล่าเรียนดี, 2556) ดังนี้ 1.1 การเรียนรู้จากปัญหา (Problem Based Learning) 1.2 การทดลองทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) 1.3 การสัมมนาแบบโสเครติส (Socratic Strategy) ซึ่งเป็นการตั้งค าถามให้คิดหา ค าตอบ (Questions and Answer) 1.4 โครงการและการสื่อสารการท างานเป็นทีม (Project Team) 1.5 กลยุทธ์ในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ (Creative Problem Solving : CPS) 1.6 เครื่องมือการเรียนรู้เชิงพัฒนาการที่ช่วยให้นักเรียนรู้จักเชื่อมโยง เช่น การใช้ เส้น ลูกศร กราฟิก การใช้แผนที่ แผนผังต่างๆ เป็นต้น 1.7 การใช้สมุดจดปฏิสัมพันธ์ (Interactive Note Book) 1.8 การถามค าถามส าคัญ โดยถามอย่างต่อเนื่อง ค าตอบให้คิดเพื่อให้เวลาตอบ ที่เพียงพอ (Wait Time) 1.9 การมอบหมายงานที่ใช้ความคิด ท้าทายปัญหา โดยการให้เชื่อมโยงข้อมูลต่างๆ แนวคิดต่างๆ เข้าด้วยกัน ให้สรุปสิ่งที่เรียนรู้ เขียนบทวิเคราะห์ที่น่าเชื่อถือมีตรรกะ 1.10 การให้สนับสนุนความคิดของตนเองด้วยข้อโต้แย้งที่มีเหตุผลเพียงพอ 1.11 จัดกิจกรรมภาระงานที่นักเรียนได้ถ่ายโอนสิ่งที่รู้ไปสู่สถานการณ์ใหม่ (Extend Knowledge and Skills) 1.12 บรรยากาศในการเรียนต้องการให้นักเรียนกล้าลองสิ่งใหม่ๆ ทางปัญญา สร้าง ความหมายกับการเรียนรู้ให้ถือว่าความผิดพลาดเป็นโอกาสในการเรียนรู้มากกว่า 1.13 สนับสนุนให้นักเรียนตั้งค าถาม แสดงความเห็น ถกเถียงกับเรื่องหลักการตาม ความเข้าใจ แลกเปลี่ยนความเข้าใจและสอดคล้องแห่งความคิด ความเห็นของตนอย่างต่อเนื่อง ที่ส าคัญต้องเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 65 2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ส าหรับครูในศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนเป็นเรื่อง ส าคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ เปลี่ยนไปในศตวรรษที่ 21 การพัฒนาการ เรียนรู้ทักษะการคิด และความคิดสร้างสรรค์ นักเรียนต้องมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างกระตือรือร้น (Active Learning) ในการพัฒนา ความคิด ความเข้าใจ สาระความรู้ส าคัญ การจัดการเรียนรู้ที่ส าคัญและการ ประยุกต์ใช้ทักษะ แห่งศตวรรษที่ 21 อย่างมีคุณภาพ ได้แก่ 2.1 การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน (Project-Based Learning : PBL) ส านักบริหารงานมัธยมศึกษาตอนปลาย (2558) ได้อธิบายถึงการจัดการ เรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดทักษะแห่งอนาคตใหม่ เป็นการเรียนรู้แบบ Project-Based Learning : PBL ประกอบด้วย 2.1.1 พื้นฐานการเรียนรู้สาระวิชาหลัก ทักษะการอ่าน (Reading) ทักษะ การเขียน (Writing) และทักษะการค านวณ (Arithmetic) ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่มีความจ าเป็นที่ จะท าให้รู้และเข้าใจในสาระเนื้อหาของ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่แสดงความเป็นสาระวิชาหลัก ของทักษะเพื่อด ารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ภาษาแม่และภาษาโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์และรัฐ ความเป็นพลเมืองดี ซึ่งหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานได้จัดท าสาระเนื้อหาได้ครบคุมทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้แล้ว 2.2.2 ความรู้เชิงบูรณาการส าหรับศตวรรษที่ 21 ถึงแม้นักเรียนจะสอบวัด ความรู้ความสามารถได้ตามเกณฑ์การจบหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานว่าด้วยระเบียบการ วัดผลประเมินผลตาม หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้แล้วก็ตาม คงไม่เพียงพอในโลกยุค ศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีการสอดแทรก ความรู้เชิงบูรณาการเข้าไปในสาระเนื้อหาของ 8 กลุ่ม สาระการเรียนรู้เพื่อใช้เป็นพื้นฐานความรู้ทักษะเพื่อการด ารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ดังนี้ 2.2.3 ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness) เป็นการสร้างความรู้ความ เข้าใจและ ก าหนดประเด็นส าคัญต่อการสร้างความเป็นสังคมโลก การขับเคลื่อนเชิงนวัตกรรม ศาสนาและวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสมในบริบททางสังคมที่ต่างกันรอบด้านและสร้าง ความเข้าใจความเป็นมนุษย์ด้วยกันในด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม การใช้วัฒนธรรมทางภาษา ที่ต่างกันได้อย่างลงตัว 2.2.4 ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจและการเป็ นผู้ประกอบการ (Financial, Economic, Business and Entrepreneurial Literacy) เป็นการสร้างความรู้และวิธีการ ที่เหมาะสมส าหรับการสร้างตัวเลือกเชิงเศรษฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ มีความเข้าใจบทบาทในเชิง


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 66 เศรษ ฐศ าสตร์ที่มีต่อสังคม และใช้ทักษะการเป็นผู้ประกอบการในการยกระดับและเพิ่ม ประสิทธิผลด้านอาชีพ 2.2.5 ความรู้ด้านการเป็ นพลเมืองที่ดี(Civil Literacy) เป็ นการสร้าง ประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมทางสังคมผ่านวิธีสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจในกระบวนการทาง การเมืองการปกครองที่ถูกต้อง และน าวิถีแห่งความเป็นประชาธิปไตยไปสู่สังคมในระดับต่างๆ ที่เข้าใจต่อวิธีการปฏิบัติทางสังคมแห่งความเป็นพลเมืองทั้งระดับท้องถิ่นและสากล 2.2.6 ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นการสร้างความรู้ความ เข้าใจข้อมูล สารสนเทศ ภาวะสุขอนามัยและนาไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต เข้าใจวิธีการ แก้ไขและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ที่มีต่อภาวะสุขอนามัย ห่างไกลจากภาวะความเสี่ยงจากโรคภัย ไข้เจ็บใช้ประโยชน์ข้อมูลสารสนเทศในการ เสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านสุขภาพอนามัยได้ อย่างเหมาะสมกับบุคคล เฝ้าระวังด้านสุขภาพอนามัยส่วนบุคคลและครอบครัวให้เกิดความ เข้มแข็ง รู้และเข้าใจในประเด็นส าคัญของการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดีระดับชาติและสากล 2.2.7 ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Literacy) เป็นการสร้างภูมิรู้ และความเข้าใจ การมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และป้องกันสภาพแวดล้อม มีภูมิรู้และเข้าใจ ผลกระทบจากธรรมชาติที่ส่งผลต่อสังคม สามารถวิเคราะห์ประเด็นส าคัญด้านสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติ และก าหนดวิธีการป้องกัน แก้ไขและอนุรักษ์ รักษาสภาพแวดล้อมสร้างสังคม โดยรอบให้เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์และพัฒนา ทรัพยากรสิ่งแวดล้อมทักษะเพื่อด ารงชีวิต ในศตวรรษที่ 21 3. ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม โลกยุคศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลง ที่รวดเร็ว พลิกผันรุนแรง และคาดไม่ถึงต่อการด ารงชีวิต ดังนั้น คนในยุคศตวรรษที่ 21 จึงต้องมี ทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว การสร้างทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรมจะใช้กระบวนการ Project-Based Learning : PBL โดยเริ่มจากการน าบริบทสภาพแวดล้อมเป็นตัวการสร้าง แรงกดดันให้นักเรียนตั้งค าถามอยากรู้ให้มากตามประสบการณ์ พื้นฐานความรู้ที่สั่งสมมาและ ตั้งสมมติฐานค าตอบตามพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของตนเองที่ไม่มีคาว่าถูกผิด น าไปสู่การ แลกเปลี่ยนประเด็น ความคิดเห็นกับกลุ่มเพื่อนเพื่อสรุปหาสมมติฐาน ค าตอบที่มีความน่าจะเป็น มากที่สุดโดยมีการพิสูจน์ยืนยันสมมติฐานค าตอบจากการไปสืบค้น 3.1 การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) เป็นการสร้างทักษะการคิดในแบบต่างๆ ดังนี้ 3.1.1 แบบเป็ นเหตุเป็ นผลทั้งแบบอุปนัย (Inductive) และแบบอนุมาน (Deductive)


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 67 3.1.2 แบบใช้การคิดกระบวนการระบบ (Systems Thinking) โดยวิเคราะห์ ปัจจัยย่อยมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร จนเกิดผลในภาพรวม 3.1.3 แบบใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจที่สามารถวิเคราะห์และประเมิน ข้อมูล หลักฐาน การโต้แย้ง การกล่าวอ้างอิง และความน่าเชื่อถือ วิเคราะห์เปรียบเทียบและ ประเมินความเห็น ประเด็นหลักๆ สังเคราะห์และเชื่อมโยงระหว่างสารสนเทศกับข้อโต้แย้ง แปลความหมายของสารสนเทศและ สรุปบนฐานของการวิเคราะห์ และตีความ ทบทวนอย่าง จริงจังในด้านความรู้และกระบวนการ 3.1.4 แบบแก้ปัญหา ในรูปแบบการฝึกแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคย หลากหลาย แนวทาง ที่ยอมรับกันทั่วไป และแนวทางที่แตกต่างจากการยอมรับ รูปแบบการตั้งค าถามส าคัญ ที่ช่วยท าความกระจ่าง ในมุมมองต่างๆ เพื่อน าไปสู่ทางออกที่ดีกว่า 3.2 การสื่อสารและความร่วมมือ (Communications and Collaboration) ความ เจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิตอล และเทคโนโลยีการสื่อสาร ( Digital and Communications Technology) ท าให้โลกศตวรรษที่ 21 ต้องการทักษะของการสื่อสารและความร่วมมือที่กว้างขวาง และลึกซึ้ง ดังนี้ 3.2.1 ทักษะในการสื่อสารอย่างชัดเจน ตั้งแต่การเรียบเรียงความคิดและ มุมมอง (Idea) สื่อสารเข้าใจง่ายในหลายแบบ ทั้งการพูด เขียน และกิริยาท่าทาง การฟังอย่างมี ประสิทธิภาพ น าไปถ่ายทอดสื่อสาร ความหมายและความรู้ แสดงคุณค่า ทัศนคติและความ ตั้งใจ การสื่อสารเพื่อการบรรลุ เป้าหมายการท างาน การสื่อสารด้วยภาษาหลากหลายและ สภาพแวดล้อมที่หลากหลายอย่างได้ผล 3.2.2 ทักษะความร่วมมือกับผู้อื่น การท างานให้ได้ผลราบรื่น ควรเคารพ และให้เกียรติผู้ร่วมงาน มีความยืดหยุ่นและช่วยเหลือประนีประนอมเพื่อการบรรลุเป้าหมาย ร่วมกัน มีความรับผิดชอบร่วมกับผู้ร่วมงานและเห็นคุณค่าของบทบาทของผู้ร่วมงาน 3.3 ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะ ทางด้านนี้เป็นเรื่องของจินตนาการมาสร้างขั้นตอนกระบวนการ โดยอ้างอิงจากทฤษฎีความรู้ เพื่อน าไปสู่การค้นพบใหม่ เกิดเป็นนวัตกรรมที่ใช้ตอบสนองความต้องการในการด ารงชีวิตที่ลง ตัวน าไปสู่การเป็นผู้ผลิต และผู้ประกอบการต่อไป ทักษะด้านนี้ได้แก่ 3.3.1 คิดอย่างสร้างสรรค์ ใช้เทคนิคสร้างมุมมองอย่างหลากหลาย มีการ สร้างมุมมองที่แปลกใหม่อาจเป็นการปรับปรุงพัฒนาเพียงเล็กน้อย หรือท าใหม่ที่ต่างจากเดิม โดยสิ้นเชิง เปิดกว้างทางความคิดเห็นที่ร่วมกันสร้างความเข้าใจ ปรับปรุง วิเคราะห์ และ ประเมินมุมมอง เพื่อพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับความคิดอย่างสร้างสรรค์


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 68 3.3.2 การท างานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ในการพัฒนาลงมือปฏิบัติ และสื่อสารมุมมองใหม่กับผู้อื่นอยู่เสมอ มีการเปิดใจและตอบสนองมุมมองใหม่ๆ รับฟัง ข้อคิดเห็นและร่วมโลกในการยอมรับมุมมองใหม่ และให้มองความล้มเหลวเป็นโอกาสการเรียนรู้ 3.3.3 การประยุกต์สู่นวัตกรรมที่มีการลงมือปฏิบัติตามความคิดสร้างสรรค์ ให้ได้ผลส าเร็จที่เป็นรูปธรรม 4. ทักษะชีวิตและงานอาชีพ การเรียนรู้ที่จะปรับตัวได้อย่างดีในสภาวะการ เปลี่ยนแปลง หรือมีภัยคุกคามได้อย่างชาญฉลาด ถือเป็นเรื่องส าคัญในการด ารงชีวิตที่มีทักษะ ชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 และการคิดสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองการด ารงชีวิต เฉพาะ บริบทสภาพแวดล้อมที่ต่างกันน าไปสู่การ เผยแพร่เทคนิควิธีการใช้และพัฒนาทักษะเกิดเป็น กลยุทธ์การขาย เกิดผู้ประกอบการในงานอาชีพต่างๆ ซึ่งเป็นทักษะงานอาชีพที่ต้องมีการ ส่งเสริมให้เท่าทันในยุกการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิตและ ทักษะงานอาชีพ จึงควรมีการพัฒนาสิ่งต่อไปนี้ 4.1 ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว (Flexibility and Adaptability) เป็นทักษะเพื่อการเรียนรู้การท างานและการเป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องท าเพื่อการ บรรลุเป้าหมาย แบบมีหลักการ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด ทั้งมี ข้อจ ากัดด้านทรัพยากร เวลา และการมีคู่แข่งโดยใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสในด้านการปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลงเป็นการปรับตัวให้เข้ากับบทบาทที่แตกต่างไป งานที่มีก าหนดการที่เปลี่ยนไป ในด้านความยืดหยุ่นเป็นการน าเอาผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมาใช้ประโยชน์อย่างได้ผลมีการจัดการ เชิงบวกต่อค าชม ค าต าหนิและความผิดพลาด สามารถน าความเห็นและความเชื่อที่แตกต่าง หลากหลายทั้งของคณะท างาน หรือข้ามวัฒนธรรมคณะท างานมาท าความเข้าใจ ต่อรองสร้าง ดุลยภาพและท าให้งานลุล่วง ดังนั้นความยืดหยุ่นจึงท าเพื่อการบรรลุผลงานไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนสบายใจ 4.2 การริเริ่มสร้างสรรค์และก ากับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self Direction) เป็นทักษะที่ส าคัญในการท างานและด ารงชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ที่ต้องมีการก าหนดเป้าหมาย โดยมีเกณฑ์ความส าเร็จที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมมีความสมดุลระหว่างเป้าหมายระยะสั้น ที่เป็นเชิงยุทธวิธี และเป้าหมายระยะยาวที่เป็นเชิงยุทธศาสตร์ มีการค านวณประสิทธิภาพการใช้ เวลากับการจัดการภาระงานต้อง ท างานส าเร็จได้ด้วยตนเองโดยก าหนดตัวงาน ติดตามผลงาน และล าดับความส าคัญของงานได้เอง นอกจากนั้น การท างานยังต้องฝึกทักษะการเป็นผู้เรียนรู้ ได้ด้วยตนเองในการมองเห็นโอกาสเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อขยายความเชี่ยวชาญในงานของตนเอง มีการริเริ่มการพัฒนาทักษะไปสู่ระดับอาชีพแสดงความเอาใจใส่จริงจังต่อการเรียนรู้และทบทวน ประสบการณ์ในอดีตเพื่อคิดหาทางพัฒนาในอนาคต


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 69 4.3 ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills) เป็นทักษะท าให้คนในศตวรรษที่ 21 สามารถท างานและด ารงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมและผู้คน ที่มีความแตกต่าง หลากหลายได้อย่างไม่แปลกแยกท าให้งานส าเร็จ การพัฒนาทักษะนี้จะท าให้ เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเกิดผลดีในเรื่องกาลเทศะ เกิดการท างานในทีมที่แตกต่าง หลากหลายอย่างได้ผลดีมีการเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม ตอบสนองความเห็นและ คุณค่าที่แตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมสู่การสร้างแนวคิด วิธีท างานใหม่สู่คุณภาพของผลงาน 4.4 การเป็ นผู้สร้างผลงานหรือผลผลิตและความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Productivity and Accountability) เป็นการก าหนดขั้นตอนวิธีการท างานในการสร้างชิ้นงาน ผลงานหรือผลิตภัณฑ์ อย่างมีหลักการตามทฤษฎีความรู้ที่ต้องมีทักษะความช านาญการ ซึ่งเป็น เรื่องของการจัดการโครงการที่มีการก าหนดเป้าหมายและวิธีการบรรลุเป้าหมายภายใต้ข้อจ ากัด ที่มีอยู่ โดยการก าหนดล าดับความส าคัญ วางแผนและการจัดการผลิตภัณฑ์และผลงานที่ได้จาก การผลิตต้องมีคุณภาพเพื่อแสดงถึงทักษะการท างานอย่างเป็นระบบจากผู้มีความเชี่ยวชาญการ ผลิต น าไปใช้ประโยชน์แก่บุคคล ชุมชนได้อย่างไม่มีผลกระทบทางลบ แต่ถ้ามีจะต้องออกมา ยอมรับข้อบกพร่องอย่างไม่ปิดบัง อันน าไปสู่การปรับแก้ไขหรือยกเลิกเพื่อแสดงจริยธรรมที่เป็น บรรทัดฐานทางสังคม 4.5 ภาวะผู้น าและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility) ในศตวรรษ ที่ 21 มีความต้องการภาวะผู้น าและความรับผิดชอบแบบกระจายบทบาทจากการรับผิดชอบ ต่อตนเอง รับผิดชอบการท างานแบบประสานสอดคล้องเป็นคณะท างานและรับผิดชอบแบบสร้าง เครือข่ายร่วมมือแบบพันธมิตรการท างาน เพื่อไปสู่เป้าหมายของผลงานร่วมกัน ซึ่งต้องพัฒนา ทักษะมนุษยสัมพันธ์และทักษะการแก้ปัญหาในการชักน าผู้อื่นให้เห็นเป้าหมายร่วมกันและท าให้ ผู้อื่นเกิดพลังในการท างานให้บรรลุผลส าเร็จร่วมกันเกิดแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นใช้ศักยภาพหรือ ความสามารถสูงสุด โดยการท าตัวอย่างที่ไม่ถือผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้งและไม่ใช้อ านาจ โดยขาดจริยธรรมและคุณธรรมถือประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง 5. ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีการรับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว ตอบสนอง สิ่งที่รับรู้มาเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทันที แสดงถึงการขาดทักษะการคิดแบบขาด วิจารณญาณ ผลที่เกิดขึ้นก็จะตกอยู่ภายใต้การชวนเชื่อและไม่สามารถก าหนดตนเองได้ การสร้างทักษะด้านสารสนเทศ สื่อและเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดความเท่าทันไม่ตกอยู่ภายใต้การถูก ชักจูงชวนเชื่อ 5.1 การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) การรับรู้ค าบอกเล่าจาก เพื่อนผู้อื่น รวมถึงครูผู้สอนหรือแม้แต่สมมติฐานค าตอบที่หารือกันในกลุ่มอภิปรายเป็นเพียง


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 70 ความคิดเห็นที่รอการ พิสูจน์ยืนยันค าตอบที่เป็นจริงจากสารสนเทศที่ได้สืบค้น รวบรวมจาก แหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มาผ่าน กระบวนการคิดแบบขาดวิจารณญาณ สนับสนุนหรือโต้แย้ง พิสูจน์ความเป็นจริงสร้างเป็นความรู้และองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ซึ่งต้องใช้ทักษะในการ เข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างรวดเร็วกว้างขวาง มีทักษะการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล สารสนเทศและทักษะในการใช้อย่างสร้างสรรค์ 5.2 การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) การรับสารจากสื่อและสื่อสารออกไป ในยุค Media คนในศตวรรษที่ 21 จะต้องมีความสามารถใช้เครื่องมือผลิตสื่อและสื่อสารออกไป หรือแม้แต่รับเข้ามา ในรูปวีดีโอ (Video) ออดิโอ (Audio) พอดคาส์ท (Podcast) เว็บไซด์ (Website) และอื่นๆ อีกมากมายแต่การรับรู้จากแหล่งสื่อเหล่านั้น ถ้าขาดการเท่าทัน ขาดการ คิดอย่างมีวิจารณญาณก็จะตกอยู่ภายใต้การถูกชักจูง ชวนเชื่อได้เช่นกัน จึงต้องสร้างทักษะการ วิเคราะห์สื่อให้เท่าทันวัตถุประสงค์ของตัวสื่อและผลิตสื่อนั้นอย่างไร มีการตรวจสอบแหล่งอ้างอิงที่ เชื่อถือได้และเท่าทันต่อการมีอิทธิพลต่อความเชื่อและพฤติกรรมอย่างไร มีข้อขัดแย้งต่อ จริยธรรมและกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ในการสร้างผลิตภัณฑ์สื่อต้องมีความเท่าเทียม ต่อการใช้เครื่องมือที่พอเพียงพอเหมาะกับวัตถุประสงค์ การใช้งานและเหมาะสมกับ สภาพแวดล้อมความแตกต่างหลากหลายด้านวัฒนธรรม 5.3 การรู้ทันเทคโนโลยี(ICT : Information, Communications and Technology Literacy) ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 เป็นโลกเทคโนโลยีที่มีการแข่งขันกันผลิตและน ามาสู่การ สร้างกลยุทธ์การขายสู่กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าขาดความ เท่าทันการใช้เทคโนโลยี จะกลายเป็นผู้ซื้อแต่ไม่อยากจะเรียนรู้การเป็นผู้ผลิต เพื่อน าไปใช้งาน ที่พอเพียงเหมาะสมกับงานการถูกชักจูงชวนเชื่อให้เป็น ผู้ซื้อก็จะง่ายขึ้น ผลการสูญเสีย งบประมาณและการขาดดุลทางเศรษฐกิจจะตามมาทักษะความเท่าทันด้านเทคโนโลยี จึงเป็น ทักษะที่จ าเป็นในศตวรรษที่ 21 6. คุณลักษณะในศตวรรษที่ 21 ทักษะพื้นฐานจ าเป็นในการอ่านเขียน และคิด ค านวณเป็นตัวการที่ท าให้คนในศตวรรษที่ 21 รู้จักใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นเครื่องมือในการสืบค้น รวบรวมความรู้ใช้กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้เกิดการ รู้เท่าทันสื่อสารสนเทศที่จะยืนยันสิ่งที่ตนและ สังคมอยากรู้ได้อย่างชาญฉลาด ไม่ถูกชวนเชื่อ ชักน าอย่างงมงาย เกิดเป็นแรงบันดาลใจ สุรปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ส าหรับครูในศตวรรษที่ 21 เป็นการรวบรวมความรู้ จากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มาสนับสนุนหรือโต้แย้งได้เป็นค าตอบที่เรียกว่า องค์ความรู้ เรียกว่า การเรียนแก่นวิชา ซึ่งไม่ใช่เป็นการจดจ าแบบผิวเผิน แต่การรู้แก่นวิชาหรือทฤษฎีความรู้


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 71 สามารถเอาไปเชื่อมโยงกับวิชาอื่นๆ เกิดแรงบันดาลใจอยากพัฒนางาน สร้างผลงานที่เกี่ยวกับ การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เรียกว่า ความคิดเชิงสร้างสรรค์น าทฤษฎีความรู้มาสร้างกระบวนการ และวิธีการผลิต สร้างผลงานใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคล และสังคมที่เรียกว่า พัฒนานวัตกรรม สร้างจินตนาการอยากพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือนวัตกรรมขึ้นใช้ในการด ารงชีวิต ในสังคมและน าไป แลกเปลี่ยนกับสังคมอื่นเกิดเป็นรายได้บนเวทีฐานเศรษฐกิจความรู้ที่มีความรับผิดชอบต่อกฎ กติกาในขั้นตอนการผลิต และมีความ รับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นถ้าผลิตภัณฑ์ผลผลิตที่มี คุณภาพไม่ดี 3.6 รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) คณะกรรมการด าเนินงานโครงการการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-BasedLearning: PBL) ของส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้น าทั้ง 3 แนวคิดมาพัฒนาในการด าเนินงานและได้น าแนวทางการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อส่งเสริม การเรียนรู้ ได้แก่ เอกสารก้าวแรกการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning: PBL) การจดักิจกรรมการเรียนรู้ชีวิตวิถีใหม่ จากรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) ของคณะกรรมการ ด าเนินงานโครงการการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-Based Learning: PBL) มีการจัดกิจกรรมให้กับนักเรียนตามขั้นตอน จิณณวิตร ปะโคทัง. (2561) ดังนี้ 1. Define คือ การระบุประเด็นปัญหาที่สนใจ ซึ่งก่อนจะระบุได้นั้น นักเรียนจะได้รับ การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อเร้าความสนใจในการเรียนรู้ก่อนปรับพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับ โครงงาน ดังนั้น การสร้างแรงบันดาลใจและการให้ความรู้พื้นฐานจึงเป็นสิ่งที่จ าเป็นส าหรับ นักเรียน เพื่อที่จะสามารถน าไปปรับให้เข้ากับองค์ความรู้เดิมและเปลี่ยนแปลงความคิดให้เป็น องค์ความรู้ใหม่ตามทฤษฎี Constructivism ก่อนการศึกษาปัญหาหรือสถานการณ์ที่ท้าทาย เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ 2. Plan คือ การวางแผนการท างาน การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) เพื่อให้เกิดองค์ความรู้และนวัตกรรม ตามทฤษฎี Constructionism จากประเด็น สถานการณ์ที่ก าหนดขึ้นด้วยตนเอง สามารถระบุประเด็นปัญหา ตั้งชื่อเรื่อง ก าหนดวัตถุประสงค์ ตั้งสมมติฐานและก าหนดตัวแปร รวมทั้งเตรียมเครื่องมืออ านวยความสะดวกในการท าโครงงาน ของตนเอง ทีมงานต้องวางแผนงาน ตั้งสมมติฐาน ก าหนดตัวแปรของโครงงานแบ่งหน้าที่


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 72 รับผิดชอบ จัดประชุมกันภายในกลุ่ม แลกเปลี่ยนข้อค้นพบ แลกเปลี่ยนค าถาม แลกเปลี่ยน วิธีการ ยิ่งท าความเข้าใจร่วมกันไว้ชัดเจนเพียงใด การปฏิบัติงานในขั้นต่อไปจะราบรื่นยิ่งขึ้น 3. Do คือ การลงมือปฏิบัติจริง นักเรียนจะได้เรียนรู้ทักษะการออกแบบ วิพากษ์ แบบหรือวิธีการสร้างชิ้นงาน ลงมือประดิษฐ์ชิ้นงาน ทดสอบประสิทธิภาพ ปรับปรุงชิ้นงาน และการแก้ไขปัญหา รู้จักการประสานงานการท างานร่วมกันเป็นกลุ่ม ทักษะการท างานภายใต้ ทรัพยากรที่มีจ ากัด ทักษะในการค้นหาความรู้เพิ่มเติม ทักษะการท างานในสภาพที่ทีมงาน มีความแตกต่างหลากหลาย ทักษะการท างานในสภาพต่างๆ ทักษะการรวบรวมผลงานทักษะ การวิเคราะห์ผลที่เกิดจากการท างาน นอกจากนี้ยังได้แลกเปลี่ยนประเด็นวิเคราะห์กับสมาชิก ในกลุ่ม เพื่อเป็นการอภิปรายผล 4. Review คือ การที่กลุ่มนักเรียนจะทบทวนการเรียนรู้จากผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมา ซึ่งนักเรียนสามารถเห็นตนเองว่าเผชิญกับสิ่งใดมาบ้าง ทั้งที่เป็นความส าเร็จและความล้มเหลว มาท าความเข้าใจ และก าหนดวิธีท างานใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งน าเหตุการณ์ที่เป็นข้อ ข้องใจ ความภาคภูมิใจ ความประทับใจ มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น ระบุประโยชน์ และข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อไป ขั้นตอนนี้เป็นการเรียนรู้แบบสะท้อนคิด (reflection) หรือที่เรียกว่า AAR (After Action Review) โดยขั้นตอนนี้ ครูควรมีบทบาทในการ ท าหน้าที่เป็นผู้ตรวจสอบความรู้ความเข้าใจ การท างานหรือวิจารณ์ (Reviewer) โดยน้อมน า ศาสตร์พระราชา เรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการสะท้อนคิด หากพบว่านักเรียน ประสบผลส าเร็จในการท างาน ครูควรท าหน้าที่เป็นผู้จัดการ (Organizer) ในการเรียนรู้ให้แก่ นักเรียน และจัดกิจกรรมเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับกลุ่มหรือชุมชนต่อไป 5. Present คือ การเขียนบรรยายในรูปแบบของรายงาน บทคัดย่อ และการ น าเสนอหน้าชั้นเรียน มีการใช้สื่อ ชิ้นงาน แผนภาพ โมเดลประกอบร่วมกับการบรรยาย หรือ อาจสร้างนวัตกรรมในการน าเสนอ เพื่อสื่อความหมายให้ผู้รับฟังได้เข้าใจในโครงงานที่นักเรียน จัดท าขึ้นได้ 6. Service and Expand คือ การเผยแพร่ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการท าโครงงาน ต่อสังคมชุมชน และการต่อยอดนวัตกรรม โดยการเพิ่มเติมแนวคิดอื่นๆ ให้ชิ้นงานสามารถ ท างานได้สมบูรณ์ขึ้นสู่การเป็นนวัตกรของนักเรียนในขั้นตอนนี้ ครูจะได้มีโอกาสสังเกต ท าความ รู้จักและเข้าใจนักเรียนเป็ นรายบุคคล ได้เรียนรู้หรือฝึกท าหน้าที่ผู้อ านวยความสะดวก (Facilitator) ให้แก่นักเรียน เมื่อด าเนินงานจัดการเรียนรู้โดยใช้ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน เป็นฐาน (PBL) เรียบร้อยแล้วจะส่งผลให้นักเรียนสามารถสร้างนวัตกรรมที่เป็นชิ้นงานชัดเจน


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 73 สามารถน าไปใช้บริการชุมชนและสังคมได้ตามบริบทของพื้นที่นั้นๆ สิ่งส าคัญที่เป็นองค์ประกอบ หลักของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL)ประกอบด้วย 1. ก้าวแรกของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) ไปใช้ในการศึกษา สถานการณ์ที่เป็นปัญหา 2. ครูขับเคลื่อนการเรียนรู้ ด้วยการใช้ค าถามกระตุ้นให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการคิด และการหาค าตอบ 3. นักเรียนท าการสืบค้นข้อมูล และใช้อุปกรณ์สื่อต่างๆ เพื่ออ านวยความสะดวก ในการวางแผน ออกแบบการท างาน และสร้างชิ้นงาน 4. นักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมแบบ Active Learning 5. นักเรียนสามารถน้อมน าศาสตร์พระราชาเรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาร่วมในการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) 6. นักเรียนเกิดสมรรถนะส าคัญจากการเรียนรู้ทั้ง 5 ด้าน ได้แก่ ความสามารถ ในการสื่อสาร ความสามารถในการคิด ความสามารถในการแก้ปัญหา ความสามารถในการใช้ ทักษะชีวิต และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีอีกทั้งยังต้องมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ประการ ได้แก่ ความรักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ความซื่อสัตย์สุจริตความมีวินัย การใฝ่เรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มีความมุ่งมั่นในการท างาน ความรักในความเป็นไทย และมีจิต สาธารณะ 7. นักเรียนเกิดคุณลักษณะพื้นฐานชัดเจนด้าน 3Rs ได้แก่ การอ่าน (Reading) การเขียน (Writing) และการค านวณ (Arithmetic) และทักษะ 8Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิด อย่างมีวิจารณญาณ ทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะ ด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)ทักษะด้านความเข้าใจ ต่างวัฒ นธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ทักษะการร่วมมือ การท างานเป็นทีมและภาวะผู้น า (Collaboration Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการ สื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ(Communication Information and Media Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) และความมีเมตตา กรุณา มีวินัย คุณธรรม จริยธรรม (Compassion) 8. ครูสะท้อนคิดในการท างานเพื่อพัฒนางานและพัฒนานักเรียน 9. นักเรียนได้สร้างผลผลิตที่เป็นนวัตกรรมของตนเอง สู่การเป็นนวัตกรในการ จัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) นักเรียนจะสามารถบูรณาการการเรียนรู้และทักษะ


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 74 การท างานร่วมกัน จนหลอมรวมเป็นทักษะชีวิต (Life skill) สามารถเข้าใจสภาพปั ญหา คิดสร้างสรรค์นวัตกรรมในการแก้ปัญหาที่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ชุมชนและสังคมต่อไป การจดัการเรียนร้เูชิงรกุ (Active LearningInstructional) การพัฒนารูปแบบวิธีการเรียนรู้เชิงรุก (Strategic Learning Model) และให้ความ สนใจกับการวิจัยด้านสมอง การเรียนรู้และการพัฒนาความจ าในระยะยาวได้พัฒนารูปแบบ การเรียนรู้แบบเชิงรุก (ธนสวรรณ ถาบุตร. 2561) มีกระบวนการของรูปแบบ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นการเชื่อมต่อ (Plugging In) เป็นการจัดปัจจัยเบื้องต้นก่อนสอนตามรูปแบบ เป็นกระบวนการที่ให้ความส าคัญกับการจัดสภาพแวดล้อม เพื่อเอื้อต่อการเรียนทั้งทางด้าน กายภาพ และในเชิงจิตวิทยาที่ตอบสนองต่อลักษณะของผู้เรียนซึ่งจะท าให้ผู้เรียนรู้สึกสบายใจ ที่จะเรียนรู้และพบกับความส าเร็จ เป็นการเตรียมบริบทที่เกี่ยวข้องก่อนสอน 2. ขั้นเสริมพลังการเรียนรู้ (Power Up) การเสริมพลังการเรียนรู้ที่ผู้เรียนน าเสนอไว้ มีพื้นฐานมาจากระบบการเรียนรู้ของสมอง (Brain-Based Learning) และระบบการรู้คิด (Metacognition System) ของผู้เรียนแต่ละคนซึ่งจ าเป็นต้องอาศัยทุกประสาทสัมผัส (Senses) ในการรับรู้ข้อมูลในเบื้องต้น และน าสู่การประมวลผลในสมองต่อไป ในส่วนของครูจะสามารถ ช่วยให้ผู้เรียนใช้ระบบดังกล่าวได้ผ่านการมีมุมมอง ดังนี้ 2.1 ท าให้ผู้เรียนเชื่อว่าเขามีความสามารถเพียงพอต่อการสร้างความส าเร็จในการเรียนรู้ 2.2 สร้างความรู้สึกเชิงบวกต่อการเรียน ห้องเรียน ครู เพื่อนร่วมชั้น บรรยากาศ จะช่วยให้สมองเกิดแรงขับที่ทรงพลัง 2.3 ท าให้รู้สึกว่าพวกเขามีเครื่องมือการเรียนรู้ (Tools) สนับสนุนให้เกิด ความส าเร็จ 2.4 ท าให้มองผลการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นว่ามีความส าคัญ คุ้มค่า คุ้มเวลาและ ความพยายามที่ได้ทุ่มเทลงไป 3. ขั้นการสังเคราะห์ข้อมูลสร้างความหมาย (Synthes) เป็นการเรียนรู้โดยน าข้อมูล จากแหล่งที่หลากหลายในเรื่องเดียวกันมาบูรณาการท าให้เกิดความหมายและเป็นประโยชน์ ต่อผู้เรียนให้สามารถสังเคราะห์ความรู้ได้นั้นต้องเกิดจากการผสมผสานวิธีดังแนวทาง ดังต่อไปนี้ 3.1 มอบหมายงานที่เป็นสาระ 3.2 ผู้เรียนต้องมีส่วนเกี่ยวช้องในกระบวนการเรียนรู้ 3.3 ใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะโปรแกรม น าเสนอ (PPT)


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 75 3.4 สนับสนุนด้วยผลการวิจัย 3.5 ใช้ทรัพยากรการเรียนรู้อย่างหลากหลาย 3.6 ใช้การบรรยายเท่าที่จาเป็นโดยอยู่ในของเขตความสามารถที่จะได้รับฟัง ของผู้เรียน อาทิ 5 นาที ส าหรับนักเรียนในชั้นเล็กๆ 3.7 สร้างห้องเรียนให้เป็นชุมชนการเรียนรู้ร่วมกัน (Community of Learner Together) 4. ขั้นการใช้แหล่งความรู้ภายนอกสนับสนุน (Outsourcing) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียน ควรได้แสดงความรู้ความเข้าใจ โดยใช้ข้อมูลและวิธีการของเขาเอง ทั้งนี้อาจใช้แหล่งข้อมูลจาก ภายนอกเพื่อเป็น ข้อมูลเติมเต็ม ให้ความรู้นั้นมีความหมายยิ่งขึ้น แหล่งข้อมูลจึงมิได้หมายถึง สถานที่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงทุกสิ่งที่มองเห็น สัมผัสเคลื่อนไหว และถ้อยค าภาษา เป็นต้น 5. ขั้นไตร่ตรองสะท้อนคิด (Reflecting) เป็นขั้นตอนสุดท้ายของรูปแบบ เป็นขั้นที่ ฝึกผู้เรียนให้คิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของตนเองที่จะเชื่อมโยงความรู้ สู่การน าไปใช้ในโลก แห่งความเป็นจริง กล่าวโดยสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้เชิงรุก(Active Learning) เป็นวิธีการเรียนรู้การ เชื่อมต่อ การเสริมพลัง การสังเคราะห์ข้อมูลสร้างความหมาย การใช้แหล่งความรู้ภายนอก สนับสนุน และการไตร่ตรองสะท้อนคิด ดังภาพ ภาพที่ 3.1 สมรรถนะครูไทยเพื่อสมรรถนะของผู้เรียน ที่มา : เอกสารประกอบการบรรยายส านักงานเลขาธิการคุรุสภา


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 76 3.7 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning) Stepien and Gallaght (1993) ได้น าเสนอขั้นตอนการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ดังนี้ ขั้นที่ 1 เข้าสู่ปัญหาและนิยามปัญหา (Encountering and Defining the Problem) ผู้เรียนจะได้รับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาจริง ให้อ่านวิเคราะห์ท าความเข้าใจกับ สถานการณ์ที่เป็นปัญหานั้น หรือให้ดูจากภาพจากวิดิทัศน์จากสถานที่จริง โดยอาจให้ตั้งค าถาม ถามตัวเองว่า รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับปัญหาหรือค าถามนี้จ าเป็นต้องรู้อะไรบ้างเพื่อจะได้แก้ปัญหานี้ ได้ต้องใช้ข้อมูลสื่อการเรียนรู้อะไรบ้าง เพื่อจะได้แนวทางการแก้ปัญหาหรือสมมติฐาน ขั้นที่ 2 หาข้อมูลและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง (Data Collection) ประเมินข้อมูล และน าไปใช้เมื่อผู้เรียนได้ปัญหาที่ชัดเจนจากขั้นตอนที่ 1 ผู้เรียนจะต้องศึกษาข้อมูลต่างๆ หรือ สื่อต่างๆ ที่ ต้องใช้ซึ่งข้อมูลและสื่อต่างๆ ต้องมีการประเมินความถูกต้อง ความเหมาะสมความ คุ้มค่าก่อนน าไปใช้แก้ปัญหา ขั้นที่ 3 สังเคราะห์ข้อมูลและปฏิบัติ (Synthesis and Performance) เป็ นขั้นที่ ผู้เรียนต้องสร้างหรือก าหนดแนวทางการแก้ปัญหา อาจมีการสร้างสื่อประกอบหรือจัดการกับ สาระความรู้ใหม่ ซึ่งแตกต่างจากการท ารายงานธรรมดาแต่เป็นการน าเสนอแนวทาง วิธีการ แก้ปัญหาที่ชัดเจนและด าเนินการ แก้ปัญหา สรุปผลหรือหลักการทั่วไปที่ได้จากการแก้ปัญหา และน าเสนอผลการเรียนรู้ในชั้นเรียน วัชรา เล่าเรียนดี. (2553) ได้เสนอขั้นตอนการจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ระบุปัญหาที่เหมาะสมส าหรับผู้เรียน ขั้นที่ 2 เชื่อมโยงปัญหากับบริบทของผู้เรียนเพื่อให้โอกาสในการปฏิบัติจริง ขั้นที่ 3 มอบหมายความรับผิดชอบให้ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเอง ให้วางแผนแก้ปัญหา ขั้นที่ 4 กระตุ้นความร่วมมือโดยการจัดกลุ่มให้ร่วมกันเรียนรู้และปฏิบัติงาน ขั้นที่ 5 ตั้งความคาดหวังหรือก าหนดเป้าหมาย ผู้เรียนจะต้องแสดงหรือน าเสนอ ผลการเรียนรู้ของตัวเองโดยแสดงผลงาน ชิ้นงานหรือปฏิบัติให้ดู การจัดการเรียนรู้ด้วยการสืบเสาะหาความรู้(Inquiry Based Learning) Bybee and others (2006) ได้ศึกษาวิจัยและเสนอรูปแบบการสืบเสาะหาความรู้ (The BSCS 5E Instructional) เป็นกระบวนการ 5 ขั้นตอนต่อไปนี้


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 77 1. การสร้างความสนใจให้ผู้เรียน (Engage) โดยการตั้งค าถามให้คิด จุดประกาย ความคิดด้วยภาพ ด้วยข่าวหรือเหตุการณ์ส าคัญ 2. ขั้นให้ส ารวจและค้นหา (Explore) ให้ผู้เรียนร่วมกันค้นหาปัญหาประเด็นส าคัญ 3. ขั้นอธิบาย (Explain) ส่งเสริมให้ผู้เรียนอธิบายแนวคิด ความคิด และการอ้างอิง เหตุผลต่างๆ 4. ขั้นขยายความรู้ (Elaborate) จัดโอกาสให้น าไปใช้ในสถานการณ์อื่นๆ 5. ขั้นการประเมิน (Evaluate) ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมประเมินผลการเรียนของตนเอง และเพื่อน การออกแบบการเรียนรู้แบบ TPCK (Technological Pedagogical Content Knowledge) Koehler and Mishra (2016) ได้ พั ฒ น าต่ อ ย อ ด Technological Pedagogical Content Knowledge (TPCK) ม า จ า ก Pedagogical Content Knowledge ห รื อ PCK โดย Shuman ให้ความส าคัญกับความรู้ในการสอนที่มีรูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหา Misha และ Koehler ได้เสนอเพิ่มเทคโนโลยีเข้าไปเพื่อให้เหมาะสมต่อการเปลี่ยนแปลงและ การเข้ามามีบทบาทกับเทคโนโลยีในด้านการจัดการ เรียนการสอน PCK จึงพัฒนาเป็น TPCK (Technological Pedagogical Content Knowledge) ต่อมา Thomson และ Misha ได้เสนอให้ เรียกว่า TPACK ซึ่งให้สอดคล้องกับความหมายในการบูรณาการความรู้การใช้เนื้อหา การสอน และเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้โดยมีองค์ประกอบส าคัญ 3 ด้าน และมีความสัมพันธ์ 7 ประการ ดังนี้ 1. Content Knowledge (CK) คือ สาระความรู้ เนื้อหา องค์ประกอบส าคัญทั้งหมด ที่จะท าให้ผู้เรียนสามารถสื่อสารทางภาษาได้ทั้งโดยวิธีวจนภาษาและอวัจนภาษา (Verbal and Non-Verbal Language) โดยครูผู้สอนต้องมีความรู้อย่างน้อยตามหลักสูตรที่ระบบการศึกษา ก าหนดเอาไว้ 2. Pedagogical Knowledge (PK) คือ ความรู้ด้านกระบวนทัศน์การสอน หมายถึง ครูผู้สอนที่รู้ถึงกลยุทธ์และวิธีในการจัดการเรียนรู้ที่หลากหลายและมีการฝึกฝนตามแนวทาง การเรียนการสอน ภาษาเพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาสมรรถนะทางด้านภาษาได้อย่างเหมาะสม 3. Technological Knowledge (TK) คือ ความรู้ในการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เช่น โปรแกรม Microsoft พื้นฐาน หรือเข้าใจและรู้ถึงการใช้งานของเครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆ เช่น Projector, Visualizer, Interactive Whiteboard โดยครูผู้สอนอาจไม่เชี่ยวชาญในการสอน หรือเรื่องของเนื้อหาในการสอนมากนัก


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 78 4. Pedagogical Content Knowledge (PCK) คือ ความรู้ในกระบวนทัศน์การสอน ภาษา รูปแบบ แนวทางการสอนที่เหมาะสมกับเนื้อหาเฉพาะเจาะจงนั้นๆ โดยสามารถปรับใช้ เทคนิคในการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับลักษณะของเนื้อหานั้นๆ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ สื่อสารทางภาษาได้ ซึ่งกิจกรรมที่เหมาะกับแนวทางการสอนแบบนี้คือ Communicative Teaching Approach เน้นการฟังและอ่านจากเอกสารจริง ฝึกสร้างประโยค และใช้กิจกรรม Role Play/Information Gap ในการฝึกฝน เป็นต้น 5. Technological Content Knowledge (TCK) คื อ ความรู้ความเข้ าใจการใช้ เทคโนโลยีที่หลากหลายน่าสนใจและเหมาะสมกับการสอนเนื้อหาทางภาษาเฉพาะเจาะจงนั้นๆ และสามารถพิจารณาว่าเทคโนโลยีสารสนเทศใดที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ความรู้ในเนื้อหาตา ม วัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้ โดยหมายรวมถึงความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีเพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าใจ ถึงวัฒนธรรมของภาษาที่ผู้เรียนก าลังศึกษา 6. Technological Pedagogical Knowledge (TPK) คือความรู้ความเข้าใจว่าการสอน และการเรียนรู้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปได้ เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้เปลี่ยนแปลงไป รวมถึง ความรู้ เทคนิควิธีการในการสอนภาษานั้น สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความสามารถ หรือข้อจ ากัดต่างๆ ของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งอาจเป็นอุปสรรค ส าคัญในการสอน ถ้าผู้สอนไม่รู้เนื้อหาภาษาที่จะสอนอย่างแท้จริง อาจท าให้สอนผิดหรือสอนได้ ไม่ตามวัตถุประสงค์ที่ก าหนดไว้ 7. Technological Pedagogical Content Knowledge (TPACK) คือ การบูรณาการ (Interaction and Incorporation) ความรู้ ความสามารถ ทักษะ การผสมผสานในการใช้สื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีกับวิธีสอน เนื้อหา ในการออกแบบการเรียนรู้อย่างสอดคล้องและเป็น ระบบ ซึ่งประกอบไปด้วยองค์ประกอบส าคัญที่สัมพันธ์กันคือ เนื้อหา (Content: CK) วิธีสอน (Pedagogy : PK) และเทคโนโลยี(Technology : TK) ที่สามารถท าให้ผู้เรียนมีทักษะมีความรู้ ความเข้าใจด้านภาษา และวัฒนธรรมที่เรียน


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 79 ภาพที่ 3.2 ออกแบบการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างครูและผู้เรียน ที่มา : ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สรุปได้ว่า การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Problem Based Learning) เป็นการ จัดการเรียนรู้ด้วยการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Based Learning) การออกแบบการเรียนรู้ แบบ TPCK (Technological Pedagogical Content Knowledge) โดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ การบูรณาการความรู้การใช้เนื้อหา การสอนและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้ 3.8 รูปแบบการเรียนรู้ยคุวิถีใหม่ กาญจนา บุญภักดิ์. (2563) ได้กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้ยุค New Normal ไว้ดังนี้ 1. การเรียนรู้อย่างมีความหมาย และมีคุณค่า 1.1 การเรียนรู้การออกแบบชีวิต (Life Design Learning) การเรียนรู้ชีวิต ในโลกกว้างอย่างชาญฉลาดส่งเสริมการออกแบบการเรียนรู้รอบด้าน และให้ความส าคัญกับการ เรียนรู้ตลอดชีวิต


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 80 1.2 การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) การเรียนรู้ ที่ผู้เรียนเกิดจากประสบการณ์ตรง มีปฏิสัมพันธ์กับคนและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนตนเองจนเกิด ลักษณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้อย่างยั่งยืน 1.3 การเรียนรู้แนวมนุษย์นิยม (Humanistic Learning) การเรียนรู้ที่มุ่งเน้น ความต้องการพื้นฐานของผู้เรียนให้อิสรภาพและเสรีภาพในการเรียนรู้มีการจัดบรรยากาศที่เอื้อ ต่อการเรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง 1.4 การเรียนการบริการสังคม (Service Learning) การเรียนรู้ที่ตระหนักถึง ความส าคัญของการบริการสังคมท างานร่วมกับชุมชนเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติเพื่อพัฒนา ทักษะการคิด ความเข้าใจ การร่วมกันวางแผนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกท ากิจกรรมบริการ สังคมได้จริง 1.5 การเรียนรู้เพื่อสร้างค่านิยมและวัฒนธรรมใหม่ที่ดี (New Values & Culture Creation Learning) การเรียนรู้พัฒนาผู้เรียนสร้างค่านิยมที่ดีให้กับสังคม มุ่งเน้นความส าคัญ ของการมีวินัยความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตสาธารณะ มีคุณธรรม จริยธรรม มีน ้าใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีไมตรีและมีจิตอาสา 1.6 การเรียนรู้อย่างมีความสุข (Happy Learning) การเรียนรู้ที่เน้นความส าคัญ บรรยากาศสิ่งแวดล้อมเชิงบวก ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ ออกแบบประสบการณ์การเรียนรู้สอดคล้องกับหลักสูตรโดยค านึงถึงศักยภาพและบริบทของ ผู้เรียนและเข้าใจความศรัทธาและสิ่งผลักดันให้ตัวเองเกิดการเรียนรู้ 2. การเรียนรู้ที่เสริมสร้างศักยภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) 2.1 การเรียนรู้ในสิ่งที่รักจะเรียน (Passion Based Learning) การเรียนรู้มีการ พัฒนาผู้เรียนให้มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความส าเร็จในสิ่งที่ตนเองรัก ส่งเสริมพลังขับเคลื่อน การเรียนรู้ 2.2 การเรียนรู้เพื่อสร้างประโยชน์ต่อมนุษยชาติ (Mission Based Learning) การเรียนรู้การสร้างประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นพบตนเองและกระท า ประโยชน์กับมนุษยชาติ 2.3 การเรียนรู้อย่างทั่วถึงทุกคน (Inclusive Learning, Universal Design for Learning)การเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนและการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเท่า เทียมกัน จัดสรรสื่อต่างๆ ที่เหมาะสมกับความสามารถของผู้เรียนแต่ละคนอย่างเท่าเทียมกัน


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 81 3. การริเริ่มเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-initiated Learning, Heutagogy) 3.1 การเรียนรู้ที่ผู้เรียนริเริ่มเรียน (Ownership to Learning)การเรียนรู้ที่ผู้เรียน ริเริ่มเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามความสนใจ ความต้องและความถนัดอย่างมีเป้าหมาย แสงหา ทรัพยากรและแหล่งเรียนรู้ที่เหมาะสมกับตนเอง 3.2 การเรียนรู้ในการท าสิ่งต่างๆ ได้ถูกต้อง (Single Loop Learning) การเรียนรู้ ที่ผู้เรียนสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ผ่านการเรียนรู้ด้วยตนเองฝึกฝนการแก้ปัญหาต่างๆ ได้ อย่างถูกต้อง จนเกิดเป็นความช านาญ 3.3 การเรียนรู้การท าสิ่งที่ควรท า (Double Loop Learning) การเรียนรู้ที่ผู้เรียน สามารถแก้ไขปัญหาและตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมและดูผลที่เกิดตามมา และน ามาปรับเปลี่ยน การกระท าเพื่อแก้ไขปัญหานั้นๆ 3.4 การเรียนรู้ระบบเปิด (Open System Learning) การเรียนรู้ที่เปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้นอกห้องเรียนนอกสถานศึกษา จัดหลักสูตรระยะเวลาเรียน รูปแบบการสอน การวัดประเมินผล ส่งเสริมการใช้สื่อการเรียนรู้ที่นอกเหนือจากความรู้ในห้องเรียน 3.5 การเรียนรู้ที่มีเป้าหมายชัดเจน (Visible Learning) การเรียนรู้ที่ก าหนด เป้าหมาย กิจกรรม และประเมินผลการเรียนไว้อย่างชัดเจน 3.6 การเรียนรู้แบบมุ่งยกระดับศักยภาพ หรือไฮสโคป (High Scope Learning) เรียนรู้ประสบการณ์ตรงจัดกิจกรรมที่พัฒนาทางสติปัญญา (Cognitive Development) สังคม และอารมณ์ (Social and Emotional Development) ผู้เรียนร่วมวางแผนกับผู้สอน (Social and Emotional Development) การพัฒนาทางกายภาพและการเคลื่อนไหว (Movement a Physical Development) ผู้เรียนร่วมวางแผนกับผู้สอน (Plan) น าแผนไปปฏิบัติ (Do) แล้วประเมินผลการ ปฏิบัติมาเล่าให้ผู้สอนฟัง (Review) 3.7 การเรียนรู้วิธีการเรียนรู้ (Meta Learning) การเรียนรู้ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียน เรียนรู้วิธีการเรียนที่จะท าให้ตนเองมีการเรียนรู้เกี่ยวกับการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยการ ให้ผู้เรียนเผชิญกับสถานการณ์คล้ายๆ ในจ านวนครั้งที่มากขึ้น เพื่อเกิดการพัฒนารูปแบบ การแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 4. การเรียนรู้การสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation Creation Learning) 4.1 การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) การเรียนรู้ ที่ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงมีปฏิสัมพันธ์กับคน สิ่งแวดล้อมรอบตัวน าไปสู่การ เปลี่ยนแปลงตนเอง


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 82 4.2 การเรียนรู้เหตุผลที่ต้องท าสิ่งที่ควรท า (Triple Loop Learning) การเรียนรู้ ผ่านการสะท้อนความคิดถอนบทเรียนจากประสบการณ์ และน าความรู้ไปใช้ในชีวิตจริง 4.3 การเรียนรู้การค้นพบสิ่งใหม่ (Discovery Learning) การเรียนรู้ที่เน้น กระบวนการเรียนรู้ค้นคว้าหาค าตอบสร้างการจดจ าและเข้าใจเรื่องต่างๆ ผ่านการแก้ไขปัญหา เชิงสร้างสรรค์ 4.4 การเรียนการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking Learning) การเรียนรู้ ที่ประยุกต์แนวคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) สร้างนวัตกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ แก้ปัญหาและเข้าใจความต้องการของผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ 4.5 การเรียนรู้การสร้างจินตนาการ (Imagination Learning) การเรียนรู้ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้เชิงประจักษ์ สร้างสรรค์ ยืดหยุ่น เพื่อให้ผู้เรียนมีความสุขกับเนื้อหา ที่เรียน 4.6 การเรียนรู้การเป็นนวัตกรรม (Innovation Learning) การเรียนรู้การพัฒนา สมรรถนะทักษะความรู้และเจตคติ ประดิษฐ์คิดค้น เครื่องมือผลงานที่เป็นนวัตกรรมในการ พัฒนา 5. การเรียนรู้การน าความรู้ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง (Real Life Application Learning) 5.1 การเรียนรู้การบริหารจัดการ (Management Learning) การเรียนรู้ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถบริหารจัดการและมีความเป็นผู้น า 5.2 การเรียนรู้ทางอารมณ์และสังคม (Social Emotional Learning) การจัดการ เรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียน เข้าอารมณ์ของตนเองเข้าใจผู้อื่น และเสริมสร้างทักษะให้ผู้เรียนเป็น คนดี คนเก่ง 5.3 การเรียนรู้การน าความรู้ไปใช้ในการพัฒนาทักษะชีวิต (Life Skill Learning) การเรียนรู้ที่มีเป้าหมายการพัฒนาทั้งร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม สติปัญญา สามารถน า ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน 5.4 การเรียนรู้การน าความรู้ไปใช้แก้ปัญหา (Problem Solving Learning) การส่งเสริมการเรียนรู้ฝึกทักษะ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ โดยน าความรู้และประสบการณ์จากในและนอกห้องเรียนมาประยุกต์ใช้ป้องกัน และแก้ปัญหาในชีวิตประจ าวัน 6. การเรียนรู้ที่สร้างรายได้ระหว่างเรียน (Income Generating Learning) 6.1 การเรียนรู้การท างานในสถานประกอบการ หรือสหกิจศึกษา (Co-Operative/Work –Based Education) การเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบัติงานในสถานประกอบการ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 83 จากประสบการณ์และท าให้ผู้เรียนมีคุณภาพตรงตามที่สถานประกอบการต้องการมากที่สุด โดยเน้นที่ความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกัน 6.2 ก ารเรียน รู้แ บ บ ร่วม มือ (Collaborative Learning) ก ารเรียน รู้ที่ ให้ ความส าคัญกับการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างสมาชิกในเชิงบอก เพื่อการบรรลุ เป้าหมายการเรียนรู้ เน้นการแบ่งปัน การเข้าใจเป้าหมายการยอมรับซึ่งกันและกัน 6.3 การเรียนรู้โดยใช้งานเป็นฐาน (Work – based Learning)การเรียนรู้ที่น า องค์ความรู้ใหม่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ส่งเสริมการเรียนรู้ภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติเข้าด้วยกัน วิเคราะห์และแลกเปลี่ยนจนสามารถสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ 6.4 การเรียนรู้การเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneurial Learning)การเรียนรู้ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต มีความพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง สรุปได้ว่า รูปแบบการเรียนรู้ยุควิถีใหม่ การเรียนรู้อย่างมีความหมาย และมีคุณค่า การเรียนรู้ที่เสริมสร้างศักยภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) การริเริ่มเรียนรู้ด้วย ตนเอง (Self-initiated Learning, Heutagogy) การเรียนรู้การสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovation Creation Learning) การเรียนรู้การน าความรู้ประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง (Real Life Application Learning) และการเรียนรู้ที่สร้างรายได้ระหว่างเรียน (Income Generating Learning) 3.9 การจัดการเรียนการสอนออนไลน์ กฤษณา สิกขมาน (2554) กล่าวว่า การเรียนการสอนออนไลน์ เป็นรูปแบบการเรียน การสอนที่มีการออกแบบการเรียนการสอนไว้อย่างเป็นระบบ มีการก าหนดวัตถุประสงค์หรือ เป้าหมายการจัดการเรียนการสอนไว้อย่างชัดเจน จัดการเรียนการสอนตามหลักทฤษฎี ทางการศึกษา หลักการเรียนการรู้และจิตวิทยาการศึกษา การถ่ายทอดความรู้ การน าเสนอ เนื้อหาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และถ่ายทอดกลยุทธ์การสอนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารเป็นเครื่องมือซึ่งในปัจจุบันเน้นไปที่การใช้ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงท าให้ ผู้เรียนสามารถเข้าถึงและเรียนรู้โดยไม่จ ากัดสถานที่และเวลาเนื้อหาบทเรียนของอีเลิร์นนิงจะอยู่ ในรูปแบบสื่อผสมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Multimedia) ซึ่งออกแบบไว้ในลักษณะซอฟต์แวร์ รายวิชา (Courseware) ประกอบด้วยสื่อผสม ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และที่ส าคัญ คือ ผู้เรียนสามารถโต้ตอบกับบทเรียนและผู้สอนได้ การบริหารจัดการอีเลิร์นนิง ใช้ซอฟต์แวร์ประเภทบริหารจัดการการเรียนรู้(Learning Management System : LMS) ท าหน้าที่ ในการบริหารจัดการอย่างอัตโนมัติเกือบทุกขั้นตอนแทนการปฏิบัติด้วยมือตั้งแต่ขั้นตอน การลงทะเบียนเรียนจนถึงขั้นตอนการวัดและประเมินผลการเรียนการสอน


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 84 1. องค์ประกอบของการจัดการเรียนการสอนออนไลน์ องค์ประกอบของการจัดการเรียนการสอนออนไลน์แบ่งออกเป็น 6 องค์ประกอบ (ฐาปนีย์ ธรรมเมธา, 2557) ดังนี้เนื้อหาและสื่อการเรียน ระบบน าส่งสารสนเทศและการสื่อสาร ระบบการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ทางการเรียน ระบบการวัดและการประเมินผล ระบบสนับสนุน การเรียน และผู้สอนและผู้เรียน แสดงได้ดังภาพ ภาพที่ 3.3 ความคาดหวังการพลิกโฉมห้องเรียนหลังยุค New Normal ที่มา : เอกสารประกอบการบรรยายส านักงานเลขาธิการคุรุสภา กระทรวงศึกษาธิการ (2560) ได้ก าหนดมาตรฐานส าหรับสถาบันการศึกษาที่จะ จัดการเรียนการสอนทางไกลที่ใช้เครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ระบบการจัดการเรียนการสอน อิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ต้องมีองค์ประกอบ ดังต่อไปนี้ โฮมเพจ การน าเสนอ เนื้อหาสาระ แหล่งทรัพยากร แหล่งสืบค้นความรู้เสริมจากภายนอก ห้องปฏิบัติการทาง อิเล็กทรอนิกส์ ศูนย์สื่อโสตทัศน์ การประเมิน ป้ายประกาศ ห้องสนทนา การสื่อสารทาง ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ 2. รูปแบบการเรียนการสอนที่เลือกใช้และเทคนิคการสอนยุควิถีใหม่ รูปแบบการเรียนการสอนออนไลน์ที่เหมาะสมมีโปรแกรม ดังนี้ 2.1 โปรแกรม Microsoft Teams เป็นโปรแกรมที่มีความโดดเด่นในเรื่องการ ท างานร่วมกับ Microsoft Office 365 การแชทแบบกลุ่ม แชร์หน้าจอได้สามารถจัดการเรียน


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 85 การสอนโดยการประชุมร่วมกันได้ถึง 250 คน และสามารถบันทึกการประชุมได้ รองรับการ เรียนการสอนด้วยเสียง และในรูปแบบ Video Conference สามารถไลฟ์ สดได้เสมือนห้องเรียน จริง รวมทั้งสามารถส่งไฟล์งานได้ จากการใช้โปรแกรม Microsoft Teams ของคณาจารย์พบว่า เป็นโปรแกรมที่เหมาะสมส าหรับการใช้ในการจัดการเรียนการสอนที่มีจ านวนนักศึกษามากๆ และสามารถใช้ส าหรับจัดการสื่อการเรียนการสอนด้วยมีลักษณะการใช้งานระบบแบบ LMS ได้ ซึ่งท าให้สะดวกในการ Upload สื่อการสอน เอกสารต่างๆ และการมอบหมายงาน 2.2 โปรแกรม Zoom สามารถประชุมพร้อมกันได้สูงสุด 100 คน แต่จะมีจ ากัด การคุยวิดีโอไว้ครั้งละไม่เกิน 40 นาที รองรับการประชุมร่วมกันจากทุกแพลตฟอร์ม ไม่ว่าผู้ร่วม ประชุมจะใช้ PC, Mac, IOS,Android (หรืออุปกรณ์ Zoom Presence) ก็สามารถประชุมด้วยกัน ได้หมด เลือกสถานการณ์ประชุมได้ ว่าอยากประชุมแบบโต้ตอบได้ หรือนั่งฟังเฉยๆ การ Share Screen สามารถแชร์ได้หลายแบบ เช่น แชร์หน้าจอทั้งหมด แชร์ Whiteboard (เหมาะมากๆ ส าหรับการ Brainstorm ให้คนในห้องช่วยกันขีดเขียนได้) หรือจะแชร์หน้าจอเฉพาะของหน้าต่าง แต่ละแอปฯ ก็ได้สามารถเชิญผู้ร่วมงาน หรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมได้อย่างง่ายดาย ผ่านหมายเลข โทรศัพท์, อีเมล์ หรือรายชื่อสามารถแชร์หน้าจอในกลุ่มผู้ประชุมได้แบบไหลลื่น โดยสามารถ แชร์โดยตรงจากมือถือ นอกจากนี้ยังแชร์คอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น รูปภาพ ไฟล์ ใน Dropbox, One Drive, Google Drive และ Box จากการใช้งานของคณ าจารย์พบว่า โปรแกรม Zoom เป็นโปรแกรมที่ใช้ง่าย อัดบันทึกวีดีโอสอนได้สะดวก แต่หากเป็นการใช้ โปรแกรมโดยไม่ได้เช่าซื้อลิทธิ์การใช้งานจะมีข้อจ ากัดด้านระยะเวลา ในการใช้โปรแกรม Zoom จะต้องใช้คู่กับโปรแกรมอื่นๆ เพื่อช่วยในการ Upload 2.3 โปรแกรม OBS OBS มาจากค าว่า Open Broadcaster Software เป็ น โปรแกรมที่มีความสามารถหลากหลายมาก แม้ว่าจะไม่สะดวกเท่ากับโปรแกรมเสียเงินแบบ นิยมอย่างมากตัวนึ่งในการท า Live Streaming Video เป็นโปรแกรมไว้ใช้เพื่อช่วยจัดการการ ไลฟ์ สตรีมและอัดวีดีโอให้ง่ายขึ้น สามารถใช้ในการแสดงหน้าจอของโปรแกรมที่ใช้งานต่างๆ ใน เครื่องได้ ทั้งยังเพิ่มลูกเล่นในหน้าจอตามที่ต้องการได้อีกด้วย รวมถึงการควบคุมการเปลี่ยนชุด หน้าจอต่างๆ ตามที่ก าหนดไว้ อาจารย์ผู้สอนจะใช้โปรแกรม OBS ในการจัดท าคลิปวีดีโอสอน ซึ่งโปรแกรมสามารถจัดท าคลิปสอนที่มีความละเอียดคมชัดได้ดีโปรแกรม Google Classroom เป็ นเครื่องมือใน Google Apps for Education ที่ช่วยให้อาจารย์ผู้สอนสามารถสร้างและ จัดระเบียบงานได้อย่างรวดเร็ว แสดงความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ และสื่อสารกับทุกคน ในห้องเรียนได้ง่าย


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 86 2.4 Classroom ช่วยผู้เรียนจัดระเบียบงานใน Google ไดรฟ์ ท างานเสร็จ และส่ง ตลอดจนสื่อสารกับอาจารย์ผู้สอนและเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้โดยตรง นอกจากนั้น Classroom ได้สานรวม Google เอกสาร ไดรฟ์ และ Gmail เข้าไว้ด้วยกันเพื่อช่วยให้ผู้สอน สร้างและเก็บงานได้โดย ไม่สิ้นเปลืองกระดาษ และจะเห็นได้ทันทีว่าใครท างานเสร็จหรือยัง ไม่เสร็จ และให้ความคิดเห็นโดยตรงแบบเรียลไทม์แก่ผู้เรียนแต่ละคน ผู้สอนสามารถประกาศ ถามค าถามและแสดงความคิดเห็นกับผู้เรียนได้แบบเรียลไทม์ ช่วยปรับปรุงการสื่อสารทั้งในและ นอกห้องเรียน Classroom จะสร้างโฟลเดอร์ในไดรฟ์ โดยอัตโนมัติส าหรับแต่ละงาน และส าหรับ ผู้เรียนแต่ละคน ผู้เรียนสามารถเห็นได้ง่ายว่ามีงานใดครบก าหนดในหน้างาน 2.5 WebEx ผลิตโดยซิสโก้ซีสเต็มส์เป็นหนึ่งในเครื่องมือการประชุมออนไลน์ ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก เป็นเครื่องมือที่มีคุณลักษณะหลากหลายที่ช่วยให้ผู้ใช้ สามารถพบกับอินเทอร์เน็ตได้ในขณะที่แชร์หน้าจอและพูดผ่านทางโทรศัพท์หรือผ่านทาง VoIP เป็นโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพซึ่งท างานได้ดีบน Windows, Mac และแม้แต่สมาร์ทโฟนและ แท็บเล็ตท าให้ผู้เข้าร่วมมีความยืดหยุ่นในการเข้าร่วมการประชุมจากอุปกรณ์ที่ต้องการ Webex เป็นหนึ่งในเครื่องมือการสอนออนไลน์ที่ใช้กันมากที่สุดเนื่องจากมีผู้ใช้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ ในการสร้างการสอนทางออนไลน์ที่ท าให้ผู้เรียนรู้สึกเหมือนอยู่ในห้องเรียนท างานได้ดีบน Windows และ Mac ผู้ใช้งานหรือ Host สามารถเชิญผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมกันได้ถึง 100 คน และมองเห็นหน้าผู้ร่วมประชุมพร้อมกันได้ถึง 25 คน ทั้งยังสามารถเปิดห้องประชุมและเชิญทีม เข้าร่วมประชุมได้ตลอดทั้งวัน แพ็คเกจฟรี เปิดประชุมได้ต่อเนื่อง 40 นาทีและไม่สิ้นเปลือง แบนด์วิดท์การประชุมสามารถกดแชร์หน้าจอได้ รวมถึงแชร์ไปล์ Media ต่างๆ ได้มีฟีเจอร์ White Board ให้ทุกคนมาเขียนในกระดานเดียวกันได้ เวลาจะระดมไปเดียบางอย่าง ซึ่งทีมงาน ทดลองใช้ผ่าน iPad Pro + Apple Pencil สามารถวาดลงบน White Board ได้เลยสนุกและ สะดวกดี 3. รูปแบบการจัดการเรียนการสอนในยุควิถีใหม่ การเรียนรู้ในยุคปกติใหม่ หมายถึง การออกแบบการเรียนรู้ที่มีลักษณะให้ผู้เรียน ได้เป็นผู้ก าหนดเป้าหมายการเรียนรู้ วิธีการเรียนรู้ และประเมินตนเอง เพื่อที่จะสามารถน า ความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาตนเองได้ ซึ่งแตกต่างจากการออกแบบการเรียนรู้แบบเดิม ที่ผู้สอนเป็นผู้ก าหนดเป้าหมาย และวิธีการเรียนรู้ส าหรับผู้เรียน เป็นการออกแบบการเรียนรู้ ลักษณะพาสซีฟ เลิร์นนิ่ง (Passive Learning) คือ ผู้เรียนไม่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นเจ้าของ การเรียนรู้แม้กิจกรรมการเรียนรู้จะตื่นเต้นและท้าทายเพียงใดก็ตาม (วิชัย วงศ์ใหญ่ และ มารุต พัฒผล, 2563)


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 87 ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2563) ได้จัดการเรียนรู้ในสถานการณ์เร่งด่วน หรือสถานการณ์วิกฤตจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีมาตรการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับ สถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ โดยการก าหนดแผนและแนวทางเป็นระดับขั้นของการบังคับ บัญชา เริ่มตั้งแต่ ระดับกระทรวง/ภาค ระดับเขตพื้นที่ และระดับของโรงเรียน ซึ่งแต่ละระดับ จะต้องก าหนดบทบาทและหน้าที่อย่างชัดเจนและเชื่อมโยงการท างานเป็นเครือข่าย ซึ่งนอกจาก มีการเตรียมการที่ส าคัญแล้ว จะต้องมีกลยุทธ์การเตรียมการป้องกันในทุกระดับตั้งแต่ระดับ ห้องเรียน ระดับโรงเรียน ระดับเขตพื้นที่ที่มีความสมดุลระหว่างการป้องกัน การแทรกแซง และปฏิกิริยาที่จะเกิดขึ้นในสถานการณ์วิกฤติ ซึ่งนักวิชาการได้เสนอกระบวนการจัดการวิกฤติ ประกอบด้วย การพัฒนาแผนการจัดการวิกฤติการพัฒนาทีมจัดการวิกฤติ การจัดการเครือข่าย การสื่อสาร และการฝึกอบรม การประเมินผล และการสะท้อนผล และจากการน าเสนอดังกล่าว ข้างต้นได้กล่าวถึงการจัดการเรียนรู้แบบ e-Learning ในการจัดการเรียนรู้ในสถานการณ์วิกฤติ ที่สามารถให้ประโยชน์แก่ผู้เรียนทั้งในเรื่องของความยืดหยุ่น ความคงเส้นคงวา และความสามารถ ในการจัดการที่มีประสิทธิผล ซึ่งการจัดการเรียนรู้แบบ e-Learning ที่จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด ขึ้นอยู่กับการออกแบบจากผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์เพื่อให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมแบบเสมือนจริง ทั้งในเรื่องของเนื้อหา วิธีการจัดการเรียนรู้ และการประเมินผล และไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า การจัดการเรียนรู้แบบ e-Learning สามารถเป็นส่วนเสริมที่ส าคัญที่มีประโยชน์ส าหรับการ พัฒนาบุคลากรผู้สอนและผู้เรียน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาความสามารถของ ผู้เรียนในสภาวะวิกฤต แบรนด์ อินไซด์. (2564) การเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน เป็นยุคดิจิทัล โดยผ่าน อุปกรณ์Computer, Notebook, iPhone, iPad, Tablet ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทั้งแบบ OffLine และ On-Line และเลือกเรียนเวลาใดก็ได้ ผู้สอนสามารถสอนได้ทั้งในห้องเรียน และนอก ห้องเรียน ผู้เรียนและผู้สอนสามารถสร้างกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันได้ ครูในยุคปัจจุบันจึงจ าเป็นต้องเรียนรู้เทคโนโลยีควบคู่ไปกับการสอน ดั่งค าเปรียบ เปรยว่า "ครูที่ไม่มีเทคโนโลยีจะถูกแทนด้วยครูที่มีเทคโนโลยี" และเทคโนโลยีได้สร้างการเรียนรู้ ได้อย่างน่าสนใจ สื่อการเรียนรู้ต่างๆ ได้ถูกออกแบบการน าเสนอ มีทั้งรูปภาพ เสียง วีดีทัศน์ ช่วยท าให้ผู้เรียนสนใจมากขึ้น ทุกวันนี้ครูผู้สอนได้ให้ความสนใจกับการเรียนรู้โปรแกรม (Software) สร้างสื่อการสอนมากมายไม่ว่าจะเป็น Microsoft Office ซึ่งเชื่อว่าครูทุกท่านยังใช้ งานอยู่ Adobe Flash ส าหรับผลิตสื่อในรูปแบบ Animation, Adobe DreamWeaver ส าหรับ สร้างเว็บเพจ, Adobe Captivate ส าหรับผลิตสื่อช่วยสอนที่น่าสนใจโปรแกรมหนึ่ง, DeskTop


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 88 Author ส าหรับสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) แม้กระทั่งการสร้างสื่อในรูปแบบวีดีโอด้วย โปรแกรม Windows Movie Maker แล้วท าการอัพโหลด (Upload) ไปไว้ที่ YouTube 4. การจัดการเรียนการสอนและแนวทางในการสนับสนุนการจัดการศึกษาของโรงเรียน กระทรวงการศึกษาและวัฒนธรรม และสถาบันเพื่อสุขภาพและสวัสดิการของ ประเทศฟินแลนด์ได้ท าความเข้าใจและให้ค าแนะน าส าหรับผู้ให้บริการการศึกษา โดยระบุว่า นักเรียนในทุกระดับรวมถึงบุคลากรในโรงเรียนไม่ควรจะไปโรงเรียนหากมีอาการที่แสดงถึง ความเป็นไปได้ที่จะเจ็บป่วย รวมทั้งค าแนะน าเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการหลีกเลี่ยงการสัมผัส ทางกายที่ไม่จ าเป็น การจัดสถานที่สอนให้กว้างขวางกว่าปกติ เวลาหยุดพักของนักเรียนและมื้อ อาหารของโรงเรียนจะต้องจัดให้ภายในบริเวณห้องเรียนหรือกลุ่มของนักเรียนเอง บุคลากรจะ ถูกจัดให้สอนเฉพาะกลุ่ม ไม่มีการสอนข้ามกลุ่ม รวมทั้งจะต้องมีข้อปฏิบัติและแนวทางด้าน สุขอนามัยอย่างเคร่งครัด ซึ่งโรงเรียนแต่ละแห่งสามารถตัดสินใจในการจัดการที่เป็นกรณีพิเศษ นอกเหนือจากนี้ด้วยตนเองนอกจากนี้ หน่วยงานเพื่อการศึกษาแห่งชาติของฟินแลนด์ (EDUFI) ได้ออกแนวทางปฏิบัติส าหรับการเรียนไปจนถึงสิ้นสุดภาคเรียนและส าหรับในภาคเรียนถัดไป หากสถานการณ์ยังคงอยู่ ซึ่งแนวทางปฏิบัติของ EDUFI จะเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน นักเรียน การสนับสนุนการเรียนรู้ และบริการสวัสดิการนักเรียน รวมทั้งมีการให้ค าแนะน า เกี่ยวกับวิธีจัดการกับสถานการณ์ที่นักเรียนขาดเรียน นอกจากนี้ ยังมีแนวปฏิบัติเพิ่มเติม ส าหรับการมาเรียนของนักเรียน ดังนี้ 4.1 การหลีกเลี่ยงการสัมผัสทางร่างกาย โรงเรียนได้ก าหนดให้มีการหลีกเลี่ยงการ สัมผัสทางกาย ซึ่งหมายความว่าไม่ควรจัดกิจกรรมใหญ่ที่มีคนร่วมกิจกรรมจ านวนมาก และนอกเหนือจากเด็กและบุคลากรครูแล้ว ห้ามมิให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้สถานที่ภายใน โรงเรียนและศูนย์การศึกษาปฐมวัยและพื้นที่โดยรอบ ซึ่งแต่ละโรงเรียนจะก าหนดแนวทาง ปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ของตนเองและมีการให้ค าแนะน าแก่ผู้ปกครอง โดยบุคลากร ในโรงเรียนต้องหลีกเลี่ยงการอยู่รวมกันในระยะใกล้ ซึ่งหมายความว่าครูควรจัดการประชุม ทางไกลเป็นหลัก 4.2 การปฏิบัติกิจกรรมในพื้นที่ที่มีบริเวณกว้างขวาง ครูและบุคลากรควรจัดพื้นที่ ในการท ากิจกรรมกับนักเรียนระดับปฐมวัย และระดับประถมศึกษาโดยให้จัดพื้นที่ที่มีบริเวณ ระยะห่างเพียงพอและกว้างขวางเพื่อป้องกันการสัมผัสและการติดเชื้อได้โดยง่าย และไม่ควรมี การเปลี่ยนกลุ่มในการจัดการเรียนการสอน ควรท างานกับกลุ่มเดิม ตามกฎเพื่อป้องกันการ แพร่กระจายของการติดเชื้อ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและในวิชาเลือก หากมีความจ าเป็น


การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 89 ที่จะต้องจัดการเรียนการสอนเป็นกลุ่ม ครูจะต้องจัดระยะห่างให้มากพอและต้องจัดในบริเวณที่มี ความกว้างขวางมากพอเท่าที่จะเป็นไปได้ 4.3 กรณีที่เด็กป่ วยจะถูกห้ามไม่ให้ไปโรงเรียนและได้รับการตรวจสอบจาก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง สิ่งส าคัญที่รัฐบาลให้ความส าคัญ คือ ในกรณีที่มีนักเรียนหรือบุคลากรของ โรงเรียนเจ็บป่วยจะต้องถือเป็นมาตรการที่จะต้องแยกนักเรียนหรือบุคลากรออกจากพื้นที่ของ โรงเรียน หากนักเรียนเจ็บป่วยระหว่างวัน จะต้องติดต่อผู้ปกครองมารับกลับบ้าน รวมทั้งจะต้อง หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับนักเรียนที่ป่วยโดยรักษาระยะห่างทางกายภาพให้เพียงพอ ผู้ที่ติด เชื้อ COVID-19 จะต้องอยู่ห่างจากโรงเรียนและได้รับการดูแลอย่างน้อยเจ็ดวันนับจากเริ่มมี อาการ และดูแลอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะไม่มีการแสดงอาการอย่างน้อยสองวันก่อนกลับเข้ามา เรียนตามปกติ นอกจากนี้ แพทย์ที่รับผิดชอบโรคติดเชื้อในเขตเทศบาลหรือโรงพยาบาลจะมี หน้าที่คอยดูแลและตรวจสอบวงจรของการมีโอกาสในการติดเชื้อ หากพบว่ามีนักเรียนหรือ บุคลากรในโรงเรียนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น COVID-19 จะมีการตรวจสอบว่าจะมีผู้อื่นได้รับการ สัมผัสจากผู้ป่วยหรือไม่และจะต้องถูกติดตามและกักกันเป็นเวลา 14 วัน นับจากการปรากฏของ อาการป่วย รูปแบบการจัดการเรียนการสอนส าหรับโรงเรียนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) 2019 ใน 3 รูปแบบซึ่งโรงเรียนสามารถเลือกรูปแบบ การจัดการเรียนการสอนโดยพิจารณ าตาม ความเหมาะสมและบริบทของโรงเรียน (กระทรวงศึกษาธิการ. 2560) ได้ก าหนดไว้ ดังนี้ 1. การเรียนในชั้นเรียน (On-Site) การเรียนการสอนที่เน้นการจัดกิจกรรมการ เรียนรู้ในโรงเรียนหรือในชั้นเรียน เป็นหลัก โดยครูผู้สอนสามารถน ารูปแบบการเรียนการสอน อื่นๆ มาบูรณาการใช้กับการเรียนในชั้นเรียนได้ เช่น การเรียนผ่านโทรทัศน์ (On-Air) หรือการ เรียนผ่านอินเทอร์เน็ต (Online) เป็นต้น 2. การเรียนผ่านโทรทัศน์(On-Air) การเรียนการสอนทางไกลผ่านโทรทัศน์ในระบบ ดิจิทัล และระบบดาวเทียม เพื่อให้นักเรียนเข้าถึงการเรียนรู้ในทุกครัวเรือน ทั้งนี้ มูลนิธิ การศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้อนุเคราะห์ในการส่งสัญญาณ ออกอากาศ 15 ช่องสัญญาณ (อนุบาล 1- ม.6) พร้อมทั้งอนุเคราะห์เนื้อหาสาระการเรียนรู้ ในระดับ ชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส่วนเนื้อหาสาระการเรียนรู้ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นผู้จัดท าสื่อวิดิทัศน์การเรียนการสอน


Click to View FlipBook Version