การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 140 ห้องอินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์สื่อการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนา กิจกรรมการเรียนการสอน สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ สวนธรรมะ เป็นต้น 6.2 แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น เช่น ห้องสมุดประชาชน ห้องพิพิธภัณฑ์ วิทยาศาสตร์ ศูนย์กีฬา วัด ครอบครัว ท้องถิ่น สถานประกอบการ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นต้น ได้จ าแนกประเภทของแหล่งการเรียนรู้ ไว้ 2 แบบ คือ 7. จัดตามลักษณะของแหล่งการเรียนรู้ 7.1 แหล่งการเรียนรู้ตามธรรมชาติ เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะหาความรู้ได้ จากสิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เช่น แม่น ้า ภูเขา ป่าไม้ ล าธาร กรวด หิน ทราย ชายทะเล เป็นต้น 7.2 แหล่งการเรียนรู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อสืบทอดศิลปวัฒนธรรม ตลอดจน เทคโนโลยีทางการศึกษาที่อ านวยความสะดวกแก่มนุษย์ เช่น โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ ห้องสมุดประชาชน สถาบันการศึกษา สวนสาธารณะ ตลาด บ้านเรือน ที่อยู่อาศัย สถาน ประกอบการ เป็นต้น 7.3 บุคคล เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ถ่ายทอดความรู้ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรม การสืบสานวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ทั้งด้านประกอบอาชีพ ตลอดจนนักคิด นักประดิษฐ์ และผู้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ 8. จัดตามแหล่งที่ตั้งของแหล่งการเรียนรู้ 8.1 แหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียน เดิมมีแหล่งการเรียนรู้หลัก คือ ครู อาจารย์ ต่อมามีการพัฒนาเป็นห้องปฏิบัติการต่างๆ เช่น ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการ ทางภาษา ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องจริยธรรม ห้องศิลปะ ตลอดจน อาคารสถานที่และสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน เช่น ห้องอาหารสนาม ห้องน ้า สวนดอกไม้ สวนสมุนไพร แหล่งน ้าในโรงเรียน เป็นต้น 8.2 แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นครอบคลุมทั้งด้านสถานที่และบุคคล ซึ่งอาจอยู่ ในท้องถิ่นใกล้เคียงโรงเรียน ท้องถิ่นที่โรงเรียนพาผู้เรียนไปเรียนรู้ เช่น แม่น ้า ภูเขา ชายทะเล สวนสาธารณะ สวนสัตว์ ทุ่งนา สวนผัก สวนผลไม้ วัด ตลาด ร้านอาหาร ห้องสมุดประชาชน สถานีต ารวจ สถานีอนามัย ดนตรีพื้นบ้าน การละเล่นพื้นเมือง แหล่งทอผ้า เทคโนโลยีชาวบ้าน เทคโนโลยีในชีวิตประจ าวัน แหล่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ พระพุทธทาสภิกขุได้แสดงธรรมเรื่อง “โรงเรียนที่ท่านยังไม่รู้จัก”มีความตอนหนึ่งว่า โรงเรียนมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ต าหูต าตาของ ท่านทั้งหลายแต่ท่านก็ไม่รู้จัก
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 141 การเรียนรู้จากธรรมชาติ ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจความเป็ นจริงของชีวิตที่มีการ เปลี่ยนแปลง มีการต่อสู้ดิ้นรน มีปัญหา มีสุนทรียภาพ มีคุณค่า ทั้งความจริง ความงามและ ความดี ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติก็มีทั้งความเสื่อมสลายและความโหดร้ายท าลายล้างมนุษย์ จึงจ าเป็นต้องเรียนรู้และอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ด้วยการอนุรักษ์และยอมรับคุณค่าของธรรมชาติ ปรับตนเองได้ในความเปลี่ยนแปลง และท าอย่างไรจึงจะให้เด็กรู้ ด้วยตนเองมากขึ้น นั่นคือ ต้อง สร้างแหล่งการเรียนรู้ให้เขา ต้องสอนให้เขารู้จักใช้แหล่งการเรียนรู้ แหล่งการเรียนรู้แบ่งได้ 4 ประเภทด้วยกัน คือ ประเภทบุคคล ประเภทสถานที่ ประเภทวัฒนธรรมประเพณีประเภทสื่อ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยี สรุปได้ว่า แหล่งการเรียนรู้ เป็นแหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา และแหล่งการเรียนรู้ใน ท้องถิ่น ประกอบด้วย แหล่งการเรียนรู้ประเภทสถานที่และภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งสถานศึกษา ควรจ าแนกประเภทของแหล่งการเรียนรู้ โดยค านึงถึงลักษณะที่ตั้ง ลักษณะการใช้งา น ทรัพยากรที่มีอยู่และบริบทของท้องถิ่น 5.5 การใช้ประโยชน ์ จากแหล่งการเรียนร้ใูนสถานศึกษา สถานศึกษามีพื้นที่และห้องเรียนจ ากัด ไม่สามารถจัดแหล่งการเรียนรู้ตามที่กล่าว มาแล้วได้ก็อาจจัดสิ่งที่สถานศึกษามีอยู่อย่างจ ากัดนั้น ให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ได้เช่นกัน กล่าวคือ หากสถานศึกษามีพันธุ์ไม้ยืนต้นชนิดใดชนิดหนึ่งอยู่ในสถานศึกษาเพียง 1 ต้น เช่น ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นมะม่วง ต้นมะพร้าว ต้นมังคุด ต้นขนุน ต้นมะขาม ต้นมะยม ต้นยาง ฯลฯ ก็สามารถเชื่อมโยงบูรณาการพันธุไม้ชนิดนั้นมาสู่การเรียนการสอนได้เช่นกัน ได้ร่วมกันศึกษา เรียนรู้องค์ความรู้จากพันธุ์ไม้นั้นๆ ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ดังนี้กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ผู้สอนอาจให้ผู้เรียนเขียนชื่อพันธุ์ไม้ หาค าแปล แต่งค าประพันธ์ หาค าประพันธ์ ที่ปรากฏชื่อพันธุ์ไม้นั้นๆ มาฝึกอ่านออกเสียง อ่านในใจ อ่านท านองเสนาะ ฝึกเขียนตามค าบอก เขียนเรียงความ คัดลายมือ ฝึกพูดบรรยายลักษณะของพันธุ์ไม้ ฝึกโต้วาทีในญัตติ เกี่ยวกับ พันธุ์ไม้ ฯลฯ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ให้ผู้เรียนฝึกนับจ านวน ค านวณจ านวน ประมาณการจ านวนผลผลิตของพันธุ์ไม้ ฝึกการวัดและการคาดคะเนขนาดและความสูงของ พันธุ์ไม้ ฝึกหาต าแหน่ง ระยะทาง ทิศทาง ขนาด พื้นที่ รูปร่างของพันธุ์ไม้ เขียนแผนผัง แผนที่ แสดงที่ตั้งของพันธุ์ไม้ ฝึกค านวณรายได้ที่เกิดจากผลิตผลของพันธุ์ไม้ในแต่ละปีกลุ่มสาระการ เรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ให้ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับค่านิยม ความเชื่อ ประเพณีและพิธีกรรมเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ ศึกษาภูมิปัญญาที่เกิดจากพันธุ์ไม้ ฝึกเขียนรายงานจาก การส ารวจสภาพทางกายภาพของพันธุ์ไม้ ศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพันธุ์ไม้กลุ่มสาระ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 142 การเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ศึกษาสรรพคุณทางยาของพันธุ์ไม้ การผลิตยาชงสมุนไพร จากผลิตผลของพันธุ์ไม้ รายชื่ออุปกรณ์กีฬาที่ท าจากพันธุ์ไม้กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ฝึกวาดภาพระบายสีพันธุ์ไม้ เรียนรู้ชนิดและลักษณะของเครื่องดนตรีที่ท าจากพันธุ์ไม้กลุ่ม สาระการเรียนรู้การงานอาชีพ ฝึกออกแบบและสร้างสิ่งของ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่ท าจาก พันธุ์ไม้นั้นๆ เรียนรู้อาชีพที่ต้องพึ่งพาอาศัยพันธุ์ไม้ การน าผลผลิตของพันธุ์ไม้มาท าเป็นอาหาร รวมทั้งการถนอมอาหารที่ได้จากพันธุ์ไม้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ให้ผู้เรียน เรียนรู้ค าศัพท์ และประโยคเกี่ยวกับส่วนประกอบของพันธุ์ไม้ กิจกรรมพฒันาผ้เูรียน ก าหนด พันธุ์ไม้ที่มีในสถานศึกษาเป็นไม้ประจ าสถานศึกษาจัดตั้งชมรมเพื่อสร้างจิตส านึกในการสงวน และอนุรักษ์พันธุ์ไม้หายากในท้องถิ่น จะเห็นได้ว่าพันธุ์เพียงต้นเดียวที่มีในสถานศึกษา ก็สามารถใช้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนได้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ 5.6 การพฒันาแหล่งเรียนร้ขูองสถานศึกษา 1. ส ารวจแหล่งเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทั้งในสถานศึกษา ชุมชน ท้องถิ่น ในเขตพื้นที่การศึกษา และเขตพื้นที่การศึกษาใกล้เคียง (ท าทะเบียนแหล่ง เรียนรู้) 2. จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบ ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา ให้สอดคล้องกับ การจัดการศึกษา ให้เพียงพอ และสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ 3. จัดท าเอกสารรวบรวมเผยแพร่แก่ครู สถานศึกษาอื่น บุคคล ครอบครัว องค์การ หน่วยงาน และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษาบริเวณใกล้เคียง 4. จัดระบบแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เชื่อมต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน สถานศึกษา และของตนเอง 5. จัดระบบแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน สถานศึกษา และของตนเอง 6. จัดตั้ง และพัฒนาแหล่งเรียนรู้ รวมทั้งพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ และประสาน ความร่วมมือกับสถานศึกษาอื่น บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน ในการจัดตั้ง ส่งเสริม พัฒนาแหล่งเรียนรู้ที่ใช้ร่วมกันวางแผนการใช้ร่วมกัน 7. ประสานความร่วมมือ วางแผนกับสถานศึกษาอื่น บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน โดยส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ที่แต่ละแห่งมี เพื่อใช้ประโยชน์ให้เกิดกับผู้เรียน ร่วมกัน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 143 8. ส่งเสริม สนับสนุนให้ครูใช้แหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรีย นในการจัด กระบวนการเรียนรู้ โดยครอบคลุมภูมิปัญญาท้องถิ่น สรุปได้ว่า การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ จะต้องส ารวจแหล่งเรียนรู้ จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ ตลอดชีวิต จัดท าเอกสารรวบรวม จัดระบบ จัดตั้ง ประสานความร่วมมือ ส่งเสริมสนับสนุนให้ครู ใช้แหล่งเรียนรู้ 5.7 การบริหารจดัการและแนวทางการพฒันาแหล่งเรียนรู้ หลักการบริหารแบบ 4 M’s คือMAN MONEY MATERIALS MANAGEMENT ลักษณะของแหล่งเรียนรู้ต้องจัดบรรยากาศของแหล่งเรียนรู้ให้เป็นสภาพจริงหรือเหมือนสภาพ จริงมากที่สุด มีการจัดทรัพยากรในแหล่งเรียนรู้ให้พอเพียง ปรับสภาพของสถานที่เรียนให้ ผู้เรียนได้เรียนด้วยตนเองให้มากที่สุด จัดบริเวณโรงเรียนให้เกิดแหล่งเรียนรู้ และแหล่ง สนับสนุนการเรียนรู้ จัดศูนย์วิทยบริการให้เป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งสนับสนุนการเรียนรู้ มีการ จัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย โดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มีการร่วมมือ ระหว่างโรงเรียนและชุมชน เพื่อช่วยกันดูแลสภาพแวดล้อมให้เป็นแหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอก โรงเรียน 5.8 บทบาทของบุคลากรกบัการพฒันาแหล่งเรียนรู้ สุรดา แก้วศรีหา และ เอกราช โฆษิตพิมานเวช. (2565) ได้ก าหนดบทบาทของ บุคลากรกับการพัฒนาแหล่งเรียน ไว้ดังนี้ บทบาทผู้บริหาร/รองผู้บริหารโรงเรียน 1. ก าหนดนโยบาย วางแผน เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการจัดหา จัดสร้าง หรือพัฒนา แหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียน 2. ส่งเสริม พัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ในการจัดการ ใช้แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอก 3. สนับสนุน ส่งเสริมให้บุคลากรทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการน าเสนอผลงาน โครงการ หรือนวัตกรรมที่เกิดจาการศึกษาหรือใช้แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอก 4. นิเทศ ก ากับ ติดตาม ดูแล ประเมินผลระบบการจัดการเรียนการสอน โดยใช้ แหล่งเรียนรู้ทั้งภายในและภายนอก บทบาทครูผู้สอน 1. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ในโรงเรียน ชุมชน 2. ให้ค าปรึกษา แนะน าผู้เรียนในการศึกษา หาความรู้จากแหล่งเรียนรู้
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 144 3. จัดหา ประสานงานวัสดุอุปกรณ์ เอกสารเพิ่มเติม 4. ประเมินการเรียนรู้จากการจัดกิจกรรมแหล่งเรียนรู้ในภาพรวม 5. ติดตาม ช่วยเหลือการด าเนินงาน แนะน าความถูกต้อง 6. ประยุกต์ใช้ เผยแพร่ผลงาน สรุปและประเมินผล บทบาทผู้เรียน 1. ส ารวจแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน ชุมชน และศึกษาเอกสารพร้อมจดบันทึก 2. แบ่งกลุ่ม แบ่งหน้าที่การท างาน น าความรู้เสนอภายในกลุ่ม 3. ตรวจสอบข้อมูล ความถูกต้อง ศึกษาค้นคว้าจากเอกสารเพิ่มเติมจากแหล่งเรียนรู้ 4. ประเมินผลด้านความรู้ กระบวนการท างานโดยตนเอง คณะครู และผู้ปกครอง 5. เลือกรูปแบบ และวิธีการน าเสนอผลงาน 6. เสนอผลงานการปฏิบัติงาน เผยแพร่ผลงานต่อผู้เรียน สรุปและประเมินผล บทบาทบุคลากรในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ จะต้องเรียนรู้บทบาทของตนเองให้ ชัดเจนและร่วมกันในการสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ และใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด 5.9 การบริหารจดัการเพื่อการพฒันาและใช้แหล่งการเรียนรู้ การพัฒนาแหล่งเรียนรู้เป็นงานที่โรงเรียนส่วนใหญ่ด าเนินการอยู่แล้วภาพความส าเร็จ ที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียนก็คือ การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สามารถแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง จากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ซึ่งมีหลายช่องทาง เพียงแต่การด าเนินการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ ยังเป็นไปโดยไม่เป็นระบบ และกระบวนการที่ชัดเจน แหล่งเรียนรู้บางแห่งจึงไม่ได้ถูกใช้และ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติก็ถูกละเลย ไม่ได้เข้าไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ผู้บริหารโรงเรียนจึงต้องเป็นผู้น าการด าเนินการ สู่ความส าเร็จโดยก าหนดเป็นนโยบายที่ชัดเจน ซึ่งอาจบริหารจัดการ (นวภัทร แสงห้าว, 2563) ได้ก าหนดไว้ ดังนี้ 1. ขั้นวางแผน (Plan) 1.1 ก าหนดนโยบายการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ โรงเรียนก าหนดนโยบายการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ โดยท าความเข้าใจนโยบาย ตามแผนหลักสูตรรวมทั้งแนวด าเนินการของโรงเรียนในฝัน เพื่อก าหนดนโยบายการพัฒนา และใช้แหล่งการเรียนรู้ โดยให้คณะครูมีส่วนร่วมในการก าหนด 1.2 จัดตั้งคณะกรรมการส ารวจแหล่งการเรียนรู้เพื่อวิเคราะห์สภาพความพร้อม ในการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียนและชุมชน ซึ่งอาจประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 145 ผู้ช่วยผู้บริหารโรงเรียนฝ่ ายวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระ หัวหน้างาน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ผู้เกี่ยวข้องที่โรงเรียนพิจารณาตามความเหมาะสม 1.3 จัดท าแผนงานพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ คณะกรรมการพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ มีบทบาทหน้าที่ส าคัญที่จะเป็นผู้ส ารวจ วิเคราะห์ความพร้อม รวบรวมข้อมูลแล้วจัดท าแผนพัฒนา แหล่งการเรียนรู้ให้สามารถด าเนินการได้อย่างเหมาะสม 1.4 สร้างความเข้าใจแก่บุคลากรของโรงเรียนและชุมชน โรงเรียนด าเนินการ สร้างความเข้าใจกับบุคลากรทุกๆ ฝ่ ายในโรงเรียนและบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เครือข่ายผู้ปกครอง เพื่อสร้างความตระหนักและเห็น ความส าคัญมีส่วนร่วมในการพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้ 1.5 ประชาสัมพันธ์โครงการ โรงเรียนมีการประชาสัมพันธ์โครงการพัฒนาและ ใช้แหล่งการเรียนรู้ เพื่อให้ครู อาจารย์ นักเรียน ผู้ปกครอง คณะกรรมการสถานศึกษา ขั้นพื้นฐาน รวมทั้งผู้เกี่ยวข้อง มีความเข้าใจตรงกัน เกิดความร่วมมือในการสนับสนุน ช่วยเหลือ เพื่อให้แหล่งการเรียนรู้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า 2. ขั้นการด าเนินงาน สร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ (DO) โรงเรียนอาจมีแนว ทางการสร้าง พัฒนา ใช้แหล่งเรียนรู้ ได้ดังนี้ 2.1 จัดตั้งคณะผู้รับผิดชอบแหล่งการเรียนรู้ ซึ่งอาจประกอบด้วย รองผู้อ านวยการ ฝ่ายวิชาการ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้หัวหน้างานห้องสมุด หัวหน้าศูนย์คอมพิวเตอร์ของ โรงเรียน รับผิดชอบการด าเนินการสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ ตามความพร้อมที่ได้ ด าเนินการส ารวจ และวิเคราะห์ข้อมูล ทั้งในโรงเรียนและชุมชน ก าหนดแหล่งเรียนรู้และ จัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ 2.2 สร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ด าเนินการสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ ตามสารสนเทศที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ จัดระบบการใช้ส าหรับผู้เรียน และผู้สนใจ 2.3 ผู้เรียนและผู้สนใจได้ใช้แหล่งการเรียนรู้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่า มีการ รวบรวมข้อมูลการใช้ เพื่อเป็นข้อมูลก าหนดแนวทางในการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ต่อไป 3. ขั้นตรวจสอบ ทบทวน ก ากับติดตาม (CHECK) โรงเรียนก าหนดให้มีผู้รับผิดชอบ ในการนิเทศ ติดตาม และประเมินการพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้ อย่างต่อเนื่องและมี ประสิทธิภาพ แก้ไขปัญหาอุปสรรคในระหว่างการด าเนินการมีการประเมินทบทวนปรับปรุง กระบวนการด าเนินการให้เกิดการพัฒนา และใช้แหล่งการเรียนรู้ตามแผนหลักและแนวด าเนินการ ของโรงเรียนในฝันที่โรงเรียนก าหนดไว้ ตามบริบทของโรงเรียนเองมีการก าหนดวิธีการ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 146 และเครื่องมือประเมินผลการด าเนินการ การสร้าง การพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ ผลการประเมินและสรุปผลการประเมิน 4. ขั้นสรุปและรายงานผลการสร้างและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ (ACTION) การสรุปรายงานการพัฒนาและใช้แหล่งการเรียนรู้ ควรรวบรวมข้อมูลตั้งแต่เริ่มด าเนินการ ระหว่างด าเนินการ และเสร็จสิ้นการด าเนินการ เพื่อสรุปเป็นรายงานน าเสนอให้หน่วยงานต้น สังกัดทุกระดับและผู้เกี่ยวข้องทราบ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ ให้เกิดการใช้แหล่งการเรียนรู้ ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมการพัฒนาต่อยอดต่อไป สรุปได้ว่า การสร้างและการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ จะต้องมีการวางแผน การด าเนินการ ตามแผน การตรวจสอบ ทบทวน และติดตาม สรุปรายงานผล เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ของโรงเรียน เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ เป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ หลากหลายเพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการใช้ทรัพยากรสารสนเทศ อย่างคุ้มค่า เครือข่ายแหล่งการ เรียนรู้ของโรงเรียนมีอยู่ทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียน เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ในโรงเรียนเป็นการร่วมมือกันระหว่างแหล่งการเรียนรู้ ประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียน เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดกลุ่มสาระการเรียนรู้ ห้องโสต ทัศนศึกษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเทอร์เน็ห้องปฏิบัติการต่างๆ ห้องพิพิธภัณฑ์ อุทยานการศึกษา สวนสมุนไพร สวนหย่อม สวนวรรณคดี สวนคณิตศาสตร์ ฯลฯ เครือข่ายแหล่งการเรียนรู้นอกโรงเรียน โรงเรียนด าเนินงานประสานความร่วมมือ ในการจัดให้ผู้เรียนได้ใช้แหล่งการเรียนรู้ที่อยู่นอกโรงเรียน เช่น ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ สวน สัตว์ ศูนย์กีฬา สถานประกอบการ ภูมิปัญญาท้องถิ่น วัด อุทยานแห่งชาติที่มีอยู่ในท้องถิ่น ฯลฯ แนวการด าเนินงานสร้างเครือข่ายแหล่งการเรียนรู้ของโรงเรียน 1. ส ารวจแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ทั้งในและนอกโรงเรียน 2. จัดท ารายการข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ 3. ประชุมก าหนดรายการความร่วมมือในการเป็นเครือข่าย 3.1 การสร้าง/ผลิตสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ 3.2 การจัดระบบการจัดเก็บสื่อ นวัตกรรม 3.3 การจัดระบบการให้บริการ 3.4 การแลกเปลี่ยนสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศ 3.5 การยืมสื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยี ระหว่างแหล่งการเรียนรู้ 3.6 การจัดระบบเชื่อมโยงเครือข่าย
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 147 4. ด าเนินการพัฒนาเครือข่าย 5. ด าเนินการใช้เครือข่ายเพื่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6. ประเมินผลการใช้และรายงานผล การพัฒนาและส่งเสริมให้มีแหล่งเรียนรู้ ขั้นตอนการด าเนินงาน สถานศึกษามีหน้าที่จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและนอกสานศึกษา เพื่อให้ผู้เรียน ใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองและด าเนินการ ดังนี้ 1. ส ารวจแหล่งการเรียนรู้ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพทั้งใน และนอกสาน ศึกษาในบริเวณใกล้เคียง (จัดท าทะเบียนแหล่งเรียนรู้) 2. จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตทุกรูปแบบทั้งในและนอกสานศึกษาให้สอดคล้อง กับการจัดการศึกษาให้พอเพียงและสอดคล้องกับการจัดการเรียนรู้ 3. จัดท าเอกสารรวบรวมเผยแพร่แหล่งเรียนรู้แก่ครู บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงาน สถานศึกษาอื่นๆ ที่จัดการศึกษาบริเวณใกล้เคียง 4. จัดระบบแหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียนให้เชื่อม ต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน เช่น พัฒนาห้องสมุด ให้เป็นแหล่งเรียนรู้หรือมุมหนังสือในห้องเรียน 5. จัดระบบแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ของผู้เรียน ของสถานศึกษาของตนเอง เช่น จัดท าแผนที่เส้นทาง ระบบเชื่อมโยงเครือข่ายห้องสมุด ประชาชนห้องสมุดสถาบันการศึกษา พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ภูมิปัญญาท้องถิ่น 6. จัดตั้งและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียนรวมทั้งพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ วางแผนการใช้แหล่งเรียนรู้ 7. ประสานความร่วมมือวางแผนกับสถานศึกษาอื่น บุคคล ครอบครัว องค์กร หน่วยงานที่จัดการศึกษา โดยส่งเสริมการใช้แหล่งเรียนรู้ที่แต่ละแหล่งมีเพื่อใช้ประโยชน์ให้เกิด การเรียนรู้ร่วมกัน 8. ส่งเสริม สนับสนุนให้ครูได้ใช้แหล่งเรียนรู้เชิงอนุรักษ์ทั้งภายในและภายนอก โรงเรียนในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ครอบคลุมถึงภูมิปัญญาท้องถิ่น ข้อเสนอแนะเพื่อการปรับใช้แหล่งเรียนรู้ : ประสิทธิภาพการปฏิบัติการเตรียม การจัดการเรียนรู้ของครูผู้สอน การก าหนดสถานที่แหล่งเรียนรู้ การปฐมนิเทศผู้เรียนก่อนไป ศึกษานอกชั้นเรียน การพาผู้เรียนไปศึกษาแหล่งเรียนรู้นอกสถานที่ รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ และคณะ (2565) ท าวิจัยเรื่อง การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฐาน สมรรถนะ (SMT) สู่อาชีพของเยาวชนให้มีวิถีชีวิตโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พื้นที่เกาะ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 148 จังหวัดสตูล ซึ่งมหาวิทยาลัยทักษิณ ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ให้ความส าคัญในการพัฒนาการจัดการศึกษาโรงเรียนพื้นที่เกาะหลีเป๊ ะ มีความเข้มแข็ง เนื่องจากสถานศึกษายังต้องได้รับการพัฒนาและชุมชนมีอัตลักษณ์เฉพาะที่หลากหลาย และมี ความพยายามที่จะพฒนาในเรื่องอาชีพในท้องถิ่นเพื่อแสดงให้เห็นให้เยาวชนพื้นถิ่นที่เป็น ชาวอูรักลาโว้ย ที่เป็นสัญลักษณ์ของเกาะนี้ในอาชีพประมง จึงความส่งเสริมสนับสนุนให้เด็ก ในวัยเรียนได้เรียนรู้ เช่น การท าเครื่องมือจับสัตว์น ้า วิถีชีวิตแห่งความพอเพียงของการจับ สัตว์น ้า สังเกตธรรมชาติในช่วงมรสุม ภูมิอากาศ ภูมิประเทศ ข้างขึ้นข้างแรม น ้าขึ้นน ้าลง การท่องเที่ยว ไกด์ท้องถิ่นที่จะต้องอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการโรงแรมหรือ รีสอร์ท ผลิตภัณฑ์ในชุมชน การทอผ้า การถนอมอาหารและส่งขายเป็นการส่งเสริมให้ชุมชนมี รายได้ พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของชุมชน ในการนี้เพื่อให้ชุมชนพึ่งตนเองได้นั้น ทีมผู้วิจัยและ สสวท. ได้มองเห็นถึงความต้องการจ าเป็นในการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วม และให้เป็นแหล่งเรียนรู้ในชุมชน เพื่อส่งเสริมอาชีพในชุมชนให้เกิดความยั่งยืนตามรอยพ่อหลวง โดยใช้แนวคิดตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในชุมชนบ้านหลีเป๊ ะ จังหวัดสตูล เพื่อเป็นต้นแบบ และสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ในชุมชนพื้นที่เกาะอื่นต่อไปโดยมุ่งเน้นการพัฒนาให้เกิดการ บริหารแบบมีส่วนร่วมของชุมชน โดยใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะ (SMT) ตามแนวปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง ในการด าเนินการเพื่อเป็ นโครงการน าร่องพื้นที่เกาะ และเป็นโมเดล เพื่อน าไปใช้กับพื้นที่เกาะทั่วประเทศต่อไป ผู้เขียนได้ท าวิจัยเรื่อง การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ ฐานสมรรถนะ (SMT) สู่อาชีพของเยาวชนให้มีวิถีชีวิตโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พื้นที่ เกาะหลีเป๊ ะ จังหวัดสตูล ได้พัฒนาโรงเรียนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ สถานประกอบการ และสร้าง แบรนสิ้นค้า ให้โรงเรียน 11 โรงเรียน ในการฝึกทักษะสมรรถนะฐานอาชีพ การประมง การท่องเที่ยวและผลิตภัณฑ์ ทั้งออนไลน์ และออนไซด์ ดังภาพ ภาพที่ 5.1 LOGO LIPE LEARNING CENTER ISLAND ที่มา : Click..Online https://sites.google.com/sesao.go.th/learning-center-island-school
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 149 ภาพที่ 5.2 กระบวนการพัฒนาศูนย์การเรียนรู้บ้านเกาะหลีเป๊ ะ ที่มา : รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ และคณะ (2565)
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 150 ภาพที่ 5.3 ศูนย์การเรียนรู้บ้านเกาะหลีเป๊ะ ที่มา : รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ และคณะ (2565)
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 151 สรุปท้ายบท แหล่งเรียนรู้ในที่นี้สถานที่แหล่งข้อมูลหรือศูนย์รวมประกอบด้วยข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ที่มีอยู่ในท้องถิ่นที่สามารถน ามาจัดท ากิจกรรมเรียนรู้และกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้พัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพมีความรู้ความสามารถเป็นบุคคลแห่งเรียนรู้สามารถน า ความรู้ไปใช้ใช่ในชีวิตประจ าวัน และเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ซึ่งแหล่งเรียนรู้มีความส าคัญ และมีความส าคัญอย่างมากส าหรับผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงเรื่องราวในท้องถิ่นสู่การเรียนรู้ สากล พัฒนาคุณลักษณะและความคิด ความเข้าใจในคุณค่า และทัศนคติ ค่านิยม ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน รักการเรียนรู้ มีทักษะการแสวงหาความรู้ สามารถจัดการความรู้ ได้อย่างเหมาะสม สามารถน า ความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ ช่วยให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตน ครอบครัว ท้องถิ่นต่อไป แหล่งเรียนรู้เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าหาความรู้ มีทั้งในโรงเรียน และชุมชน นอกจาก แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน สถานที่ต่างๆ ก็จัดเป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ในชุมชน เป็นแหล่ง เรียนรู้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ โรงเรียนจัดการเรียนรู้ระหว่างห้องเรียน และชุมชนการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีความส าคัญที่สุด “เน้นผู้เรียนเป็ นส าคัญ” ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การวิเคราะห์และการปฏิบัติจริง ผู้เรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข เรียนรู้ในสิ่งที่มี ความหมายต่อชีวิต การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา ปลูกฝัง สอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงามและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ด้วยตนเอง แหล่งการเรียนรู้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา ได้แก่ ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ มุมหนังสือในห้องเรียน ห้องพิพิธภัณฑ์ ห้องมัลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องอินเตอร์เน็ต ศูนย์วิชาการ ศูนย์โสตทัศนศึกษา ศูนย์สื่อการเรียนการสอน ศูนย์พัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ห้องปฏิบัติการทางภาษา ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องจริยธรรม ห้องศิลปะ สวนพฤกษศาสตร์ สวนวรรณคดี สวนสมุนไพร สวนสุขภาพ สวนหนังสือ สวนธรรมะ และแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วย แหล่งการเรียนรู้ประเภทสถานที่และภูมิปัญญา ท้องถิ่น ซึ่งสถานศึกษาควรจ าแนกประเภทของแหล่งการเรียนรู้ โดยค านึงถึงลักษณะที่ตั้ง ลักษณะการใช้งาน ทรัพยากรที่มีอยู่และบริบทของท้องถิ่น ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน ห้องพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ศูนย์กีฬา วัด ครอบครัว ท้องถิ่น สถานประกอบการ องค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น หากสถานศึกษามีพื้นที่จ ากัดหรือมีแหล่งเรียนรู้มีน้อย ไม่เพียงพอ ไม่หลากหลาย สถานศึกษาสามารถด าเนินการใช้แหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ให้เกิดความ หลากหลายและเกิดประโยชน์สูงสุดได้
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 152 เอกสารอ้างอิง กวินทร์ เกียรติ นนธ์พละ. (2564). แนวทางการจัดการเรียนการสอน ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19), ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. กระทรวงศึกษาธิการ. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2564). รายงานการศึกษา รูปแบบ การจัดการเรียนรู้ ส าหรับนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจาก สถานการณ์COVID-19. กรุงเทพฯ: ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษากระทรวงฯ. เก็จกนก เอื้อวงศ์และคณะ. (2564). รูปแบบการจัดการเรียนรู้ ส าหรับนักเรียนระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐานได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ โควิด-19. รายงานการศึกษา, ส านักงาน เลขาธิการสภา การศึกษา. นวภัทร แสงห้าว. (2563). แนวทางการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษา สังกัดส านักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษา มหาสารคาม เขต 2. วารสารมหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาสารคาม, 14(2), 121-130. รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ และคณะ. (2565). การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ (SMT) สู่อาชีพของเยาวชนให้มีวิถีชีวิตโดยใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พื้นที่เกาะหลีเป๊ ะ จังหวัดสตูล. รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์: ได้รับทุนจาก สสวท. ปีงบประมาณ 2565. มหาวิทยาลัยทักษิณ. สุรดา แก้วศรีหา และ เอกราช โฆษิตพิมานเวช. (2565). การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ในชุมชนบน ฐานของทุนวัฒนธรรม เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น. วารสารมณีเชษฐาราม. ปีที่5 ฉบับที่2 (กันยายน–ตุลาคม 2565) หน้า 237-251 Good, Carter V. (1973). Dictionary of Education. 3 rd ed. New York: Mc.Graw -Hill Book. Throsby, C.D. (2001). Economics and culture. Cambridge: Cambridge University Press.
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 153 บทที่ 6 ก ิ จกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนา ผู้เรียนในว ิ ถ ีชี ว ิ ตใหม ่ “..กิจกรรมแนะแนวเป็นกิจกรรมส าคัญที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของนักเรียน ให้เหมาะสม ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา และการสร้าง สัมพันธภาพที่ดี..” ซึ่งครูแนะแนวและครูผู้รับผิดชอบงาน แนะแนวท าหน้าที่แนะแนว ให้การ ปรึกษาด้านการศึกษา อาชีพ การมีงานท า ส่วนตัวและสังคม ซึ่งจากสถานการณ์และบริบท ที่เปลี่ยนแปลงไป ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงได้มีการจัดท าแผนพัฒนา การแนะแนวและแนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ.2561-2565) ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ที่ได้ก าหนดวิสัยทัศน์มุ่งให้นักเรียนมีสมรรถนะ ด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม มีสุขภาวะที่ดี มีทักษะชีวิตและทักษะที่ส าคัญจ าเป็น ในศตวรรษที่ 21 ในบทที่ 6 กิจกรรมแนะแนวเพื่อพัฒนาผู้เรียนในวิถีชีวิตใหม่ ประกอบไปด้วย ความหมายของการแนะแนว ความหมายกิจกรรมแนะแนว ขอบข่ายของการจัดกิจกรรม แนะแนว การเรียนรู้กิจกรรมแนะแนว การประเมินผลกิจกรรมแนะแนว เกณฑ์การประเมิน กิจกรรมแนะแนว ภาระงานแนะแนว หลักการจัดกิจกรรมแนะแนว การจัดกิจกรรมแนะแนวใน ชีวิตวิถีใหม่ การดูแลช่วยเหลือนักเรียน แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในชีวิตวิถีใหม่
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 154 6.1 ความหมายของการแนะแนว การแนะแนว คือ จิตวิทยาประยุกต์แขนงหนึ่งที่ว่าด้วยกระบวนการพัฒนาคนให้รู้จัก ตนเองอย่างถ่องแท้ รู้จักความถนัด ความชอบ สติปัญญา ภูมิหลังของตนเอง วิเคราะห์ตนเอง กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ทั้ง 3 ลักษณะ คือ กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ เมื่อผู้เรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมแล้วน าไปสู่เป้ าหมายเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะส าคัญ และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2556) กล่าวว่า กิจกรรมพัฒนา หมายถึง ผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่ช่วยให้ผู้เรียนได้น าองค์ความรู้ทักษะจากการเรียนรู้และประสบการณ์ของ ผู้เรียนมาปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาตนเอง เพื่อเป็นคนดีมีคุณธรรมจริยธรรม มีวินยและมีจิตส านึก สาธารณะที่ดีงาม เป็นคนมีปัญญาในการใช้ทักษะชีวิต การคิด การสื่อสารการแก้ปัญหาและ การใช้เทคโนโลยีและเป็นคนมีความสุขในการด าเนินชีวิตอย่างพอเพียงโดยอยู่ร่วมกับผู้อื่น ในสังคมได้อย่างสร้างสรรค์ ณิชา พิทยาพงศกร. (2563) “ความปกติใหม่” ของภาคการศึกษาไทย ควรเป็นการ ให้น ้าหนักแบบใหม่เพื่อจัดการปัญหาเดิมปรากฏการณ์ของโควิด-19 ที่ท าให้นักเรียนไม่ได้ไป โรงเรียน ครูจัดการเรียนการสอนไม่ได้เหมือนที่ผ่านมา ท าให้เกิดความตระหนักรู้ใหม่ถึงสิ่งที่มี ความส าคัญและจ าเป็นแท้จริงต่อการเรียนรู้ของนักเรียน ควรใช้ความตระหนักรู้ที่เกิดขึ้นจาก สถานการณ์นี้ มาออกแบบอนาคตของการศึกษาไทย สิ่งที่ส าคัญต่อการเรียนรู้ของนักเรียน มากกว่า เงื่อนไขที่ถูกก าหนดขึ้นเพื่อตอบสนองนโยบาย แนวคิดหรือผลประโยชน์บางอย่างที่ไม่ สอดคล้องกับการเรียนรู้ของนักเรียน ปฏิสัมพันธ์ที่มีคุณภาพระหว่างครูและนักเรียน จ านวน ชั่วโมงที่นักเรียนอยู่ในห้องเรียนหรือเรียนผ่านสื่อโทรทัศน์หรือสื่อออนไลน์การเรียนรู้ที่เชื่อมโยง กับความสนใจของนักเรียนเชื่อมโยงกับชุมชนและบริบทที่นักเรียนอยู่ การเรียนรู้อิงตาม มาตรฐานแบบเดียวกันทั้งประเทศ ดังภาพ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 155 ภาพที่ 6.1 เป้าหมายเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะ ที่มา: หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กล่าวโดยสรุปได้ว่า กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนยุควิถีใหม่ หมายถึง กิจกรรมที่มุ่งให้ผู้เรียน ได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพพัฒนาอย่างรอบด้าน มุ่งสร้างเสริมเจตคติ คุณค่าชีวิต ปลูกฝัง คุณธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักและเข้าใจตนเอง ปฏิบัติตนให้เป็น ประโยชน์ต่อสังคม ประเทศชาติ และด ารงชีวิตได้อย่างมีความสุขได้ถูกต้องรู้จักเลือกและ ตัดสินใจได้ ปรับตนเองได้ อย่างเหมาะสมและสามารถด าเนินชีวิตได้อย่างเป็นสุขช่วยตนเอง หรือพึ่งตนเองได้ เป็นกระบวนการที่ส่งเสริมให้บุคคลได้มีบทบาทเต็มที่ในการเรียนรู้เพื่อที่จะ พัฒนาศักยภาพและสามารถจัดการกับชีวิตของตนอย่างฉลาด การจัดประสบการณ์ในการเรียนรู้ ที่จะพัฒนาศักยภาพนั้นต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ความพร้อมในการเรียนรู้ความถนัด ความสนใจและความต้องการของผู้เรียน การแนะแนวเป็นกระบวนหนึ่งของการศึกษาที่จะ พัฒนามนุษย์ให้เป็นพลเมืองดี มีความรู้ในทักษะกระบวนการต่างๆ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ และมีความสุขในการด ารงชีวิต 6.2 ความหมายกิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเอง รู้รักษ์สิ่งแวดล้อม สามารถ คิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา ก าหนดเป้าหมาย วางแผนชีวิตทั้งด้านการเรียนและอาชีพ สามารถ ปรับตนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจผู้เรียน ทั้งยังเป็นกิจกรรม ที่ช่วยเหลือ และให้ค าปรึกษาแก่ผู้ปกครองในการมีส่วนร่วมพัฒนาผู้เรียน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 156 ลักษณะเฉพาะ กิจกรรมแนะแนวเป็นกระบวนการพัฒนาและช่วยเหลือผู้เรียนด้วยการจัดบริการ และกิจกรรมที่หลากหลายทั้งเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม โดยมุ่งให้ผู้เรียนสามารถจัดการชีวิต ของตนได้ตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถบนพื้นฐานของความเชื่อว่าคนเป็น ทรัพยากรที่มีคุณค่า สามารถพัฒนาให้เจริญงอกงามได้เต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคล จุดมุ่งหมาย เพื่อให้บุคคลรู้จักตนเอง รู้จักโลกแวดล้อม สามารถตัดสินใจ แก้ปัญหา รู้จักเลือก และวางแผนชีวิตการเรียน อาชีพ และสามารถปรับตนเองได้อย่างเหมาะสม สามารถพัฒนาตน เต็มศักยภาพอันจะน าไปสู่การมีชีวิตที่มีความสุข ความส าเร็จ และเป็นประโยชน์ สรุปการแนะแนวมีจุดมุ่งหมายหลัก 3 ประการ คือ แก้ไข ป้องกัน พัฒนา ตารางที่ 5.1 ปรัชญาและหลักการแนะแนว ปรัชญา ปรัชญา 1. คนทุกคนมีคุณค่าและมีศักดิ์ศรี แห่งความเป็นมนุษย์ 1. จัดบริการให้กับทุกคน (ไม่เลือกปฏิบัติ) และให้บริการ ด้วยความเคารพในเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียม กัน โดยค านึงถึงประโยชน์ของผู้รับบริการเป็นส าคัญ 2. คนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน 2. การจัดบริการจะต้องค านึงถึงสิทธิเสรีภาพของบุคคล ไม่มีการบังคับ 3. คนแต่ละคนมีศักยภาพที่สามารถพัฒนา และเรียนรู้ได้ 3. คนแต่ละคนมีศักยภาพที่สามารถพัฒนาและเรียนรู้ได้ 4. แต่ละคนมีความแตกต่างกัน แต่มีความ ต้องการพื้นฐานที่เหมือนกัน 4. การให้บริการต้องตอบสนองความต้องการของ ผู้รับบริการและค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล คนมี ความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา บริการแนะแนวต้องจัด อย่างต่อเนื่อง ให้นักเรียนรู้จักตนเอง เพื่อสามารถวิเคราะห์ ความสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป จนสามารถตัดสินใจได้ กิจกรรมแนะแนวเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่ก าหนดไว้ในหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม พัฒนาและเตรียม ความพร้อมให้กับนักเรียนตามความสนใจ ความถนัดของแต่ละบุคคล ส่งเสริมให้นักเรียนค้นพบ ตนเอง ตัดสินใจเลือกเส้นทางการศึกษาต่อและการประกอบอาชีพ มีภูมิคุ้มกันและมีสุขภาวะที่ดี
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 157 6.3 ขอบข่ายของการจดักิจกรรมแนะแนว ขอบข่ายของการจัดกิจกรรมแนะแนว มีการด าเนินการ 3 ด้าน คือ การแนะแนว ด้านการศึกษาต่อ การแนะแนวด้านอาชีพ และการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม ซึ่งการจัด กิจกรรมแต่ละด้านจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน (นิรันดร์ จุลทรัพย์, 2558) ดังนี้ 1. การแนะแนวการศึกษา (Educational Guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความ ช่วยเหลือนักเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาโดยเฉพาะ เช่น แนวทางการศึกษาต่อ การเลือก โปรแกรมการเรียน การลงทะเบียนเรียน หลักสูตร การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลของ โรงเรียน การค้นคว้าเขียนรายงาน การอ่านหนังสือ การเตรียมตัวสอบ รวมทั้งการเข้าร่วม กิจกรรมเสริมหลักสูตรต่างๆ ซึ่งการให้บริการแนวแนวทางการศึกษาจะช่วยให้นักเรียนรู้จัก เลือกและปรับตัวได้อย่างเหมาะสมในเรื่องการศึกษาและการเรียนของตนเอง ทั้งยังช่วยให้ นักเรียนสามารถวางแผนการศึกษาต่อของตนเองได้อย่างเหมาะสม จุดมุ่งหมายของการแนะแนวการศึกษา 1.1 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับหลักสูตรการเรียนการ สอน การวัดผลประเมินผล ตลอดจนระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ ของโรงเรียน เพื่อที่นักเรียนจะได้ ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง 1.2 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้รูจักและเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้ ซึ่งจะช่วยให้ นักเรียนสามารถตัดสินใจเลือกแผนการเรียนได้อย่างถูกต้องตรงกับความเข้าใจ ความต้องการ ความถนัดและความสามารถของตน 1.3 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้รับข้อมูลสารสนเทศทางการศึกษาต่อในด้านต่างๆ คุณสมบัติของผู้ที่จะเข้าศึกษา วิธีการเข้าการศึกษา จ านวนที่รับ ค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียน และระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา เป็นต้น 1.4 เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถตัดสินใจเข้าร่วมกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทาง โรงเรียนจักขึ้นได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ความสามารถพิเศษของนักเรียนปรากฏเด่นชัด และได้รับการส่งเสริมพัฒนาอย่างเต็มที่ 1.5 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ประสบความส าเร็จในการศึกษาตามแผนการเรียน 2. การแนะแนวอาชีพ (Vocational Guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความ ช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับการวางแผนและการตัดสินใจเลือกอาชีพ เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ ค้นพบอาชีพที่เหมาะสมกับความสามารถ ความถนัด ความสนใจ และสภาพร่างกายของตน ซึ่งการให้บริการแนะแนวอาชีพ จะช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบและตัดสินใจเลือกอาชีพได้อย่าง ถูกต้อง ซึ่งจะเป็นผลให้นักเรียนมีความพึงพอใจในงานของตน และมีชีวิตการท างานที่มี
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 158 ประสิทธิภาพ เป็นการช่วยให้ทรัพยากรมนุษย์ได้รับการส่งเสริมพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่สังคม และประเทศชาติอย่างแท้จริง จุดมุ่งหมายของการแนะแนวอาชีพ 2.1 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มองเห็นความส าคัญของอาชีพ 2.2 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ที่มีอยู่ ในท้องถิ่น และในโลกกว้าง 2.3 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ตระหนักถึงอิทธิพลของสิ่งต่างๆ เช่น ความถนัด ความสนใจ บุคลิกภาพระดับสติปัญญา สภาพร่างกายที่มีความส าคัญต่อการตัดสินใจเลือก อาชีพ 2.4 เพื่อให้ข้อสนเทศแก่นักเรียนเกี่ยวกับอาชีพที่นักเรียนสนใจ ซึ่งจะช่วยให้ นักเรียนได้มีความเข้าใจในอาชีพนั้นๆ ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น 2.5 เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักวิธีการแสวงหางาน วิธีการสมัครงาน วิธีการ ปรับตัวให้เข้ากับงานและวิธีการปฏิบัติตนให้มีความเจริญก้าวหน้าในการท างาน 2.6 เพื่อช่วยให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพที่สุจริตทุกอาชีพ 3. การแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม (Personal and Social Guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือนักเรียน ในเรื่องที่นอกเหลือจากด้านการศึกษาและอาชีพ เป็นการช่วยให้นักเรียนเกิดความเข้าใจตนเองและสภาพแวดล้อม ท าให้สามารถมีชีวิตและ ปรับตัวอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จุดมุ่งหมายของการแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม 3.1 เพื่อช่วยให้นักเรียนเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะและบุคลิกภาพที่เหมาะสมเป็นที่ ชื่นชมแก่ผู้พบเห็น 3.2 เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักตนเอง ยอมรับความจริง เกี่ยวกับตนเอง และรู้จัก ปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องของตนให้มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น 3.3 เพื่อช่วยให้นักเรียนได้มีความเข้าใจผู้อื่น ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนมีความสามารถ ในการปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้เป็นอย่างดี ท าให้มีชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข 3.4 เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักรักษาสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเองให้ดีอยู่ เสมอ เพื่อจะได้ไม่เป็นปัญหาหรืออุปสรรคต่อการด าเนินชีวิตของตน 3.5 เพื่อช่วยให้นักเรียนเป็ นผู้มีเจตคติ ค่านิยมและจริยธรรมที่ถูกต้อง ไม่ประพฤติปฏิบัติตนไปในทางที่เสื่อมเสีย
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 159 3.6 เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้จักใช้เวลาว่างและใช่จ่ายเงินให้เกิดประโยชน์แก่ตน อย่างแท้จริง สรุปได้ว่า การแนะแนวมี 3 ด้าน คือ การศึกษาต่อ ด้านอาชีพ และการแนะแนวด้าน ส่วนตัวและสังคม ซึ่งแต่ละด้านมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน มุ่งผลลัพธ์เพื่อช่วยเหลือผู้เรียน 6.4 การเรียนรู้กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมแนะแนว เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และเสริมสร้างผู้เรียนให้มีสมรรถนะส าคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่ ก าหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551โดยก าหนดสาระส าคัญ ในการแนะแนว ดังนี้ 1. การรู้จัก เข้าใจ รักและเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น 1.1 การรู้จัก เข้าใจ รักและเห็นคุณค่าในตนเอง ประกอบด้วย การยอมรับและ เห็นคุณค่าในรูปลักษณ์ของตนเอง ความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง การเห็นคุณค่า ในความสามารถของตนเองที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น การยอมรับคุณลักษณะของตนเอง การรู้จัก และเข้าใจค่านิยมในการด าเนินชีวิตของตน การรู้จัก เข้าใจ เห็นคุณค่าในตนเองและพัฒนา ตนเองไปสู่เป้าหมายชีวิต 1.2 การรู้จัก เข้าใจ รักและเห็นคุณค่าในผู้อื่น ประกอบด้วย การเห็นคุณค่าของ บุคคลอื่นและสิ่งต่างๆ ที่มีส่วนเกื้อกูลต่อชีวิตตน ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ระหว่างตนเองกับสิ่ง รอบตัวการยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล ความเข้าใจเรื่องความต้องการพื้นฐานทางจิตใจ ของมนุษย์ ความส าคัญของคนในครอบครัวที่มีส่วนเกื้อกูลต่อชีวิตตน ตลอดจนความส าคัญและ คุณค่าของความเป็นชาติไทยที่เกื้อกูลต่อชีวิต 2. การวางแผนด้านการศึกษา อาชีพ และสังคม 2.1 การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจแก้ปัญหา และวางแผนด้านการศึกษา ประกอบด้วย การเรียนรู้คุณค่าของการเรียน และคุณค่ารายวิชาในหลักสูตร การส ารวจจุดเด่น จุดด้อย และระดับความสามารถทางการเรียน การพัฒนาทักษะการเรียนที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาการ เรียนและการแก้ไขปัญหาอุปสรรคในการเรียน ตลอดจนการเรียนรู้โลกกว้างการศึกษาต่อและ การวางแผนเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายทางการเรียน 2.2 การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ แก้ปัญหาและวางแผนด้านอาชีพ ประกอบด้วย การเรียนรู้คุณค่าของการประกอบอาชีพสุจริต คุณค่าและความสัมพันธ์ของอาชีพต่างๆ ในสังคม
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 160 ความสนใจและบุคลิกภาพทางอาชีพของตน การวางแผนเข้าสู่อาชีพที่สอดคล้องกับความสนใจ บุคลิกภาพ และความสามารถของตนเอง การรู้จักอาชีพที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน การวางแผนพัฒนาตนเพื่อความส าเร็จในการประกอบอาชีพ ค่านิยม ในงานอาชีพ และการวางแผน เข้าสู่อาชีพเป้าหมายในอนาคต 2.3 การคิดวิเคราะห์ ตัดสินใจ แก้ปั ญหา และวางแผนด้านชีวิตและสังคม ประกอบด้วย การรู้จัก เข้าใจและยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต การฝึกทักษะการแก้ไขปัญหา การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตของตนเอง การร่วมคิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหาในโรงเรียน ตลอดจนการร่วมคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาในชุมชนและสังคม 3. การปรับตัวและอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม และมีความสุข 3.1 ทักษะการจัดการกับอารมณ์และความเครียด ประกอบด้วย การรู้เท่าทัน อารมณ์ด้านบวกและลบที่เกิดขึ้นทั้งของตนเองและผู้อื่น การจัดการอารมณ์และการแสดงออกอย่าง เหมาะสม การฝึกคิดทางบวกในสถานการณ์ที่เป็นทุกข์หรือไม่พึงพอใจ การจัดการกับความเครียด การจัดล าดับความส าคัญของปัญหา และการมองปัญหาอย่างรอบด้าน 3.2 ทักษะการสื่อสารและสร้างสัมพันธภาพ ประกอบด้วยความส าคัญของการ สื่อสารแบบใช้ภาษาและท่าทาง การสื่อสารสองทางเพื่อสร้างสัมพันธภาพ และการน าไปใช้ การปฏิเสธและการยืนยันการปฏิเสธในสถานการณ์ที่ไม่ต้องการหรือเป็นภัยต่อชีวิต การฟังทั้ง เนื้อหาและความรู้สึกการแสดงออกอย่างเหมาะสม (Assertive Behavior) และการสื่อสารเพื่อสร้าง สัมพันธภาพตามแนวคิด TA (Transactional Analysis) 3.3 ทักษะการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสมและปลอดภัยในเรื่องเพศ ประกอบด้วย การเรียนรู้ความแตกต่างทางเพศและการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างอย่างกัลยาณมิตร โอกาส เสี่ยงทางเพศ และการหลีกเลี่ยงผลกระทบของการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่พร้อมและไม่ปลอดภัย การรู้เท่าทันอารมณ์ความคิดและความรู้สึกของเพศตรงข้าม ผลกระทบของการมีคู่รักต่อการ ด าเนินชีวิต การปฏิบัติตนทางเพศอย่างเหมาะสม การจัดการกับปัญหาที่เกิดจากความรักอย่าง เหมาะสม และการวางแผนการใช้ชีวิตครอบครัวในอนาคตอย่างอบอุ่นและเป็นสุข 3.4 ทักษะการด ารงชีวิตอย่างเป็ นประโยชน์และปลอดภัย ประกอบด้วย การเรียนรู้เรื่องคุณค่าแท้ คุณค่าเทียมของสิ่งต่างๆ การเลือกบริโภค และอุปโภคอย่างพอเพียง หนทางแห่งความเสื่อมและผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม การปฏิบัติตนตามแบบของคนสู้ชีวิต การบริหารการเงินและเวลาอย่างเกิดประโยชน์สูงสุด การปฏิบัติตนเพื่อให้ปลอดภัยจากภัย สังคม ตลอดจนการวางแผนพัฒนาตนเพื่อการด าเนินชีวิตอย่างเป็นสุขและเป็นประโยชน์
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 161 สรุปกิจกรรมการแนะแนว เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และเสริมสร้างผู้เรียนให้มีสมรรถนะส าคัญ และคุณลักษณะ อันพึงประสงค์เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ 6.5 การประเมินผลกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมแนะแนวเป็ นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเอง รู้รักษ์ สิ่งแวดล้อม สามารถคิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา ก าหนดเป้าหมาย วางแผนชีวิตทั้งในด้านการเรียน และอาชีพ สามารถปรับตนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจผู้เรียน ทั้งยัง เป็ นกิจกรรมที่ช่วยเหลือและให้ค าปรึกษาแก่ผู้ปกครองในการมีส่วนร่วมพัฒนาผู้เรียน การประเมินผลกิจกรรมแนะแนว การประเมินผลกิจกรรมแนะแนว ก าหนดแนวปฏิบัติ เกณฑ์การ ประเมิน และเกณฑ์การตัดสินที่สอดคล้องกับเกณฑ์การวัดและประเมินผลตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551แนวปฏิบัติในการประเมินผลกิจกรรมแนะแนว ตรวจสอบเวลา เข้าร่วมกิจกรรมของผู้เรียน ตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนด ประเมินการปฏิบัติกิจกรรม และผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะของผู้เรียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนดด้วยวิธีการ ที่หลากหลาย เน้นการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องในการปฏิบัติกิจกรรม ผู้เรียนที่มีเวลาการเข้าร่วม กิจกรรม มีการปฏิบัติกิจกรรม และมีผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนด กล่าวสรุปได้ว่า ผู้ผ่านการประเมินกิจกรรมแนะแนว และบันทึกผลในระเบียนแสดงผล การเรียน ผู้เรียนที่มีผลการประเมินไม่ผ่านเกณฑ์เวลาการเข้าร่วมกิจกรรม และ/หรือการปฏิบัติ กิจกรรม และ/หรือ ผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะตามที่สถานศึกษาก าหนด ครูหรือผู้รับผิดชอบ ต้องด าเนินการซ่อมเสริมและประเมินจนผ่าน ทั้งนี้ ควรด าเนินการให้เสร็จสิ้นในปีการศึกษา นั้นๆ ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษา 6.6 เกณฑก ์ ารประเมินกิจกรรมแนะแนว การประเมินกิจกรรมแนะแนว ประเมินผู้เรียน 3 ด้าน โดยก าหนดเกณฑ์การประเมิน แต่ละด้านดังนี้ 1. การประเมินเวลาเข้าร่วมกิจกรรม ตรวจสอบเวลาเข้าร่วมกิจกรรม โดยก าหนด เกณฑ์ดังนี้ ระดับคุณภาพ ข้อความบ่งชี้คุณภาพ ผ่าน มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด ไม่ผ่าน มีเวลาเข้าร่วมกิจกรรมไม่ถึงเกณฑ์ที่ก าหนด เกณฑ์ตัดสินการผ่าน นักเรียนต้องได้ระดับ ผ่าน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 162 2. การประเมินการปฏิบัติกิจกรรม สังเกตจากการเข้าร่วมกิจกรรม พิจารณา 2 ด้าน คือ ความตั้งใจร่วมกิจกรรม และการส่งงาน โดยก าหนดเกณฑ์ดังนี้ ระดับคุณภาพ ข้อความบ่งชี้คุณภาพ ผ่าน มีความตั้งใจร่วมกิจกรรมและส่งงานที่ได้รับมอบหมายตามก าหนด ไม่ผ่าน ขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกณฑ์ตัดสินการผ่าน นักเรียนต้องได้ระดับ ผ่าน 3. การประเมินผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะ โดยก าหนดเกณฑ์ดังนี้ ระดับคุณภาพ ข้อความบ่งชี้คุณภาพ ผ่าน ผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะ มีคุณภาพตามเกณฑ์ “ผ่าน” ที่ก าหนดไว้ในแต่ละวัตถุประสงค์ ไม่ผ่าน ผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะ ไม่มีคุณภาพตามเกณฑ์ “ผ่าน” ที่ก าหนดไว้ในแต่ ละวัตถุประสงค์ เกณฑ์ตัดสินการผ่าน นักเรียนต้องได้ระดับ ผ่าน 4. เกณฑ์การตัดสิน ผู้เรียนจะได้รับการประเมินกิจกรรมแนะแนว โดยครูผู้จัดกิจกรรมตรวจสอบเวลา การเข้าร่วมกิจกรรม และประเมินการปฏิบัติกิจกรรม และผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะของผู้เรียน โดยก าหนดเกณฑ์ในการตัดสิน ดังนี้ 1. ก าหนดระดับคุณภาพในการตัดสินไว้2 ระดับ คือ ผ่าน และไม่ผ่าน 2. ก าหนดเกณฑ์การผ่าน และไม่ผ่านการประเมิน ดังนี้ ระดับคุณภาพ ข้อความบ่งชี้คุณภาพ ผ่าน ผู้เรียนผ่านการประเมินทั้ง 3 ด้าน คือ เวลาเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติกิจกรรม และผลงาน/ชิ้นงาน/คุณลักษณะ ไม่ผ่าน ผู้เรียนไม่ผ่านการประเมินด้านใดด้านหนึ่ง 5. แนวทางการแก้ไขนักเรียนกรณีไม่ผ่านเกณฑ์ กรณีที่ผู้เรียนไม่ผ่านกิจกรรมแนะแนว ให้เป็นหน้าที่ของครูผู้รับผิดชอบกิจกรรม นั้นๆ ที่จะต้องซ่อมเสริม โดยให้ผู้เรียนด าเนินกิจกรรมจนครบตามเวลาที่ขาดหรือปฏิบัติ กิจกรรมให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของกิจกรรมนั้น แล้วจึงประเมินให้ ผ่านกิจกรรมเพื่อบันทึก
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 163 ในระเบียนแสดงผลการเรียน ยกเว้นมีเหตุสุดวิสัยให้รายงานผู้บริหารสถานศึกษาทราบ เพื่อด าเนินการ ช่วยเหลือผู้เรียนอย่างเหมาะสมเป็นรายกรณี 6.7 ภาระงานแนะแนว งานแนะแนวมีภาระงาน โดยก าหนดภาระงานตามหลักการบริหารจัดการแนะแนว ซึ่งประกอบด้วย 5 งานหลัก ดังนี้ 1. งานศึกษารวบรวมข้อมูลรายบุคคล 1.1 แบบทดสอบ SDQ โดยใช้แบบประเมินของส านักงานพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข ช่วยในการคัดกรองปัญหาเด็ก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชุดคือ นักเรียนประเมินตนเอง 1 ชุด ครูประเมินนักเรียน 1 ชุด ผู้ปกครองประเมิน นักเรียน 1 ชุด 1.2 การสัมภาษณ์ 1.2.1 การสัมภาษณ์เพื่อหาข้อเท็จจริง ท าโดยสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ นักเรียนหรือผู้ที่ใกล้ชิดกับนักเรียน เช่น บิดา มารดา ครูประจ าชั้น เพื่อน เป็นต้น 1.2.2 การสัมภาษณ์นักเรียนโดยตรง 1.3 แบบสอบถาม ใช้ส าหรับกิจกรรมคัดกรองนักเรียน เพื่อแยกแยะ นักเรียน ด้านความสามารถ ความถนัด ความสนใจ รวมทั้งนักเรียนกลุ่มปกติและกลุ่มมีปัญหา 1.4 การทดสอบ ท าให้ครูทราบถึง ความสนใจ ความสามารถ ความสัมฤทธิ์ผล ตลอดจนพฤติกรรมต่างๆ โดยใช้ข้อทดสอบ วัดบุคลิกภาพ ข้อสอบวัดความถนัด แบบทดสอบ SDQ แบบทดสอบวัด EQ โดยจัดรวบรวมไว้ที่ห้องแนะแนวและที่ครูที่ปรึกษา 2. งานสารสนเทศ 2.1 การจัดหาเอกสาร ให้บริการในห้องแนะแนว เช่น วารสารความรู้ด้านต่างๆ จุลสารและแผ่นพับเกี่ยวกับการศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา ทั้งในและต่างประเทศ ข้อมูลจาก สถาบันการศึกษาในรูปแบบคู่มือการศึกษาและแผ่นโปสเตอร์ 2.2 การจัดสื่อการเรียนรู้ ได้แก่ วีดิโอแนะน าการศึกษาต่อในคณะและ สถาบันอุดมศึกษาต่างๆ วีดิโอ รณรงค์ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การสัมภาษณ์บุคคล เกี่ยวกับอาชีพต่างๆ ฯลฯ 2.3 การจัดป้ายนิเทศ ให้นักเรียนหาข้อมูลเพื่อเป็นความรู้ในการปรับปรุงตนเอง ตลอดจนช่วยในการตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษาต่อ โดยนักเรียนสามารถอ่านด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการจัดแสดง “ป้ายสนเทศ” เป็นประจ าตลอดปีการศึกษา และมีการปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ ทันเหตุการณ์อยู่เสมอ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 164 2.4 การจัดบรรยาย จากวิทยากรและนักศึกษารุ่นพี่ เพื่อให้ความรู้กับนักเรียน ที่ก าลังศึกษาอยู่ในด้านการปรับปรุง บุคลิกภาพ การวางตัว และการวางแผนการศึกษาต่อภายหลัง จบการศึกษา 2.5 การจัดนิทรรศการ งานแนะแนวเกี่ยวกับการศึกษาและอาชีพประจ าปี 2.6 รวบรวมข้อมูล เสนอข่าวการศึกษาการสอบแก่นักเรียนทาง Internet 3. งานให้ค าปรึกษา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 3.1 การให้ค าปรึกษารายบุคคล (Individual Counseling) โดยผู้เรียนที่มีปัญหา สามารถพบครูแนะแนวด้วยตัวเองตลอดเวลา และหากพบผู้เรียนที่มีปัญหาด้านพฤติกรรมอย่าง ต่อเนื่อง ทางฝ่ ายปกครองจะส่งต่อให้แนะแนวช่วยเหลือผู้เรียน เพื่อรับค าปรึกษาและแก้ไขปัญหา ต่อไป 3.2 การให้ค าปรึกษาแบบเป็นกลุ่ม (Group Counseling) ซึ่งจะแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ นักเรียนที่มีปัญหาเหมือนกัน นักเรียนกลุ่มที่ถูกคัดกรองจากแบบทดสอบ SDQ ซึ่งจะ ได้นักเรียนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปกติ และกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา มีวิธีด าเนินการ คือ จะมีการคัด กรองนักเรียนโดยที่ครูแนะแนวให้นักเรียนทาแบบทดสอบ SDQ และจากนั้นแยกเด็ก จากการ ท าแบบทดสอบออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มปกติ ฝ่ายแนะแนวจะจัดกิจกรรมให้นักเรียนท าในชั้นเรียน ตามช่วงเวลากิจกรรมแนะแนว กลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา ครูแนะแนวจะได้จัดกิจกรรมเพื่อป้องกันและ แก้ไขปัญหา โดยให้ค าปรึกษาเป็นกลุ่ม และร่วมท ากิจกรรมเพื่อปรับพฤติกรรม 4. งานป้องกัน ส่งเสริม พัฒนา ช่วยเหลือ พิจารณานักเรียนเพื่อรับทุนการศึกษา และส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณภาพ เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ค้นพบและพัฒนา ศักยภาพของตนมีทักษะในการด าเนินชีวิต มีวุฒิภาวะ ทางอารมณ์ ศีลธรรม จริยธรรม รู้จักเรียนรู้ ในเชิงพหุปัญญา รู้จักคิด ตัดสินใจแก้ปัญหาในเชิงวิกฤต รวมทั้งด าเนินชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมี ความสุข 5. การติดตามและประเมินผล การจัดกิจกรรมแนะแนวมีครูแนะแนวปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับ อาจารย์ที่ปรึกษา และอาจารย์ฝ่ายต่างๆ เพื่อติดตามผลและให้บริการช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกจากนี้ยัง น าเอาผลที่ได้มาปรับปรุงบริการแนะแนวต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น สรุปได้ว่า ภาระงานแนะแนว มี 5 งาน ดังนี้ งานศึกษารวบรวมข้อมูลรายบุคคล เป็นงานสารสนเทศ งานให้ค าปรึกษา งานป้องกัน ส่งเสริม พัฒนา ช่วยเหลือการติดตามและ ประเมินผล
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 165 6.8 หลกัการจดักิจกรรมแนะแนว หลักการจัดกิจกรรมแนะแนวมีการด าเนินการ ดังนี้จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับ สภาพปัญหา ความต้องการและธรรมชาติของนักเรียน จัดกิจกรรมให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระด้าน การศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม ประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ ายที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนา นักเรียน ตั้งแต่ผู้บริหาร ครูทุกคน กิจกรรมแนะแนวมีวิธีการจัดตามแผนภูมิ ดังภาพ ภาพที่ 6.2 การจัดกิจกรรมแนะแนว ที่มา : แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ.2561-2565) การจดักิจกรรมแนะแนว การจดักิจกรรมแนะแนว หลักการ วัตถุประสงค์ ขอบข่าย 1. ด้านการศึกษา 2. ด้านอาชีพ 3. ด้านส่วนตัวและสังคม เป็นกิจกรรมที่จัดให้สอดคล้องกับ สภาพปัญหา ความต้องการ ความ สนใจ ธรรมชาติของผู้เรียนและ วิสัย ทั ศ น์ ข อ ง ส ถ า น ศึ ก ษ า ที่ ตอบสนองจุดมุ่งหมายหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช อาชีพ ส่วนตัว และ สังคม เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ผู้เรียน มีส่วนร่วมในการปฏิบัติกิจกรรม จน เกิดการเรียนรู้และเกิดทักษะชีวิต โดยมีครูผู้รับผิดชอบจัดกิจกรรมและ ประสานความร่วมมือกับครู หรือผู้มี ส่วนเกี่ยวข้อง 1. เพื่อให้ผู้เรียนรู้จัก เข้าใจ รัก และ เห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น 2. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถวางแผน การศึกษา อาชีพ รวมทั้งส่วนตัวและ สังคม 3. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถปรับตัวได้ อย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ อย่างมีความสุข แนวการจดักิจกรรมแนะแนว 1. ศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหา ความต้องการ ความสนใจ และธรรมชาติของผู้เรียน 2. วิเคราะห์สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน 3. ก าหนดสัดส่วนกิจกรรมแนะแนวให้ครอบคลุมด้านการศึกษา ด้านอาชีพ ด้านส่วนตัว และสังคม 4. ก าหนดวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมแนะแนวของสถานศึกษา 5. ออกแบบแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว 6. จัดท าแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว 7. จัดกิจกรรมแนะแนวตามแผนและประเมินผลการจัดกิจกรรม 8. ประเมินเพื่อตัดสินผล และสรุปรายงาน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 166 ผู้ปกครองชุมชน ร่วมมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการด าเนินการ ให้ความร่วมมือและ สนับสนุนให้การจัดกิจกรรม ด าเนินไปด้วยความสะดวกอย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้ แนวทางการ จัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ.2561-2565) ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) เป็นกิจกรรมที่เป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมให้นักเรียนได้ค้นพบตนเอง เพื่อเตรียมคนให้มีทักษะและศักยภาพให้สอดคล้องกับความ ต้องการของตลาดงาน ให้สามารถก้าวสู่โลกแห่งการศึกษาต่อและมีงานท าอย่างมีคุณภาพ เลือกเส้นทางชีวิตเพื่อวางแผนศึกษาต่อ ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญ และสาย อาชีพ หรือเชื่อมโยงการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อย่างมีเป้าหมาย หรือกรณีที่ไม่ประสงค์จะ ศึกษาต่อ ก็สามารถพัฒนาทักษะอาชีพที่ตกผลึกในตัวนักเรียนไปประยุกต์ใช้ในการประกอบ สัมมาอาชีพเลี้ยงตนเองได้ต่อไปในอนาคต หน้าที่รบัผิดชอบการจดับริการแนะแนวโรงเรียน 1. บริการรวบรวมข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคล หน้าที่รับผิดชอบ ประสานงานการ จัดท าระเบียนสะสมทุกชั้นเรียน มีการจัดเก็บระเบียนสะสมอย่างเป็นระบบและมิดชิดสามารถ ค้นหาได้สะดวกรวดเร็วและปลอดภัย จัดกระท าข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ จัดรวบรวมข้อมูล นักเรียนที่มีปัญหาด้านต่างๆ ทุกชั้นเรียน จัดรวบรวมข้อมูลนักเรียนที่เข้ามาใช้บริการห้องแนะแนว หรือมาขอค าปรึกษาจากครูแนะแนว จัดรวบรวมข้อมูลนักเรียนที่ต้องการส่งเสริมพัฒนาด้านต่างๆ วางแผนการเยี่ยมบ้านนักเรียนเป็นบางกรณี 2. บริการสนเทศ หน้าที่รับผิดชอบ จัดบริการสนเทศอย่างเป็นระบบ มีเอกสารและ ข้อมูลที่ทันสมัยครบถ้วน มีการน าเสนอข้อมูลข่าวสารด้วยวิธีการที่น่าสนใจเหมาะสมกับเวลา และโอกาส เช่น โปสเตอร์ วีดีโอ นิทรรศการ แฟ้มอาชีพ จัดบอร์ดห้องแนะแนว/บอร์ดโรงเรียน จัดประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่น่าสนใจหน้าเสาธง/เสียงตามสายอย่างต่อเนื่อง ลงทะเบียนรับ/ ส่งหนังสืองานแนะแนว มีแผนการจัดบริการสนเทศตลอดปีการศึกษาปีการศึกษา 3. บริการให้ค าปรึกษา หน้าที่รับผิดชอบ จัดให้มีการให้ค าปรึกษาเป็นรายบุคคล และเป็นกลุ่ม จัดให้มีบันทึกการนัดพบครูแนะแนวและตารางสอนของครูแนะแนว มีแบบบันทึก หรือสมุดบันทึกการให้ค าปรึกษา มีการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหานักเรียนเป็นรายกรณี สรุปสถิติ ผู้มาใช้บริการให้ค าปรึกษาส่งผู้บริหารทุกภาคเรียน มีหลักฐานการติดตามผลการให้ค าปรึกษา อย่างมีระบบ 4. บริการจัดวางตัวบุคคล หน้าที่รับผิดชอบ ให้ความช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษา มีการจัดท าสถิตินักเรียนที่ได้รับทุนการศึกษา จัดล าดับนักเรียนที่สมควรได้รับทุนร่วมกับ คณะกรรมการงานแนะแนวและงานกองทุนการศึกษา แนะแนวนักเรียนในการเลือกศึกษาต่อ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 167 และเลือกอาชีพ ร่วมประชุม/อบรมเกี่ยวกับการแนะแนวศึกษาต่อและอาชีพ วางแผนจัดกิจกรรม แนะแนวศึกษาต่อและอาชีพในโรงเรียนและนอกโรงเรียน น านักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมแนะแนว ศึกษาต่อและอาชีพในโรงเรียนและนอกโรงเรียน บริการรับสมัคร/ส่งใบสมัครการศึกษาต่อ สถาบันการศึกษาต่างๆ ของนักเรียน 5. บริการติดตามผล หน้าที่รับผิดชอบ ติดตามผลนักเรียนที่จบการศึกษา จัดท า ข้อมูลนักเรียนที่จบการศึกษา ประจ าปีการศึกษา ติดตามผลนักเรียนที่มาใช้บริการ เช่น ทุนการศึกษา ขอค าปรึกษา มีหลักฐานการวิเคราะห์หรือวิจัยข้อมูลที่ได้จากการประเมินและ ติดตามผล มีการน าผลไปใช้ในการพัฒนางานแนะแนวและเผยแพร่ สรุปและประเมินผลการ ปฏิบัติงานแนะแนวทุกงาน จัดนิเทศการปฏิบัติงานแนะแนว 6. งานอื่นๆ หน้าที่รับผิดชอบ งานแนะแนวศึกษาต่อโรงเรียนในเขตพื้นที่บริการ งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน งานพัฒนาศักยภาพครูแนะแนว (ศึกษาดูงาน) งานโครงการ แนะแนวประจ าปีรายงานผลโครงการแนะแนว งานจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแนะแนว งานวัดผลประเมินผลกิจกรรมแนะแนว คุณสมบัติของครูแนะแนว: คุณสมบัติและจรรยาบรรณวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว จรรยาบรรณวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว 1. ให้บริการด้วยความเต็มใจ โดยค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลผู้ปฏิบัติงาน ให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนว ให้บริการด้วยความเสียสละและอุทิศตนอย่างเต็ม ความสามารถ โดยค านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา 2. ยอมรับและศรัทธาในวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนวและเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวมีเจตคติที่ดี เห็นคุณค่าในวิชาชีพจิตวิทยาการ แนะแนว และเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรวิชาชีพ โดยการแสดงออกด้วยความชื่นชมว่าเป็นอาชีพ ที่มีเกียรติ มีความส าคัญและจ าเป็นของสังคม รวมทั้งปกป้องเกียรติภูมิของวิชาชีพ จิตวิทยาการ แนะแนวเข้าร่วมกิจกรรมและสนับสนุนองค์กรวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว 3. เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กาลังใจแก่ผู้รับบริการด้วยความบริสุทธิ์ใจ โดยเสมอหน้าผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวเอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริมให้ ก าลังใจแก่ผู้รับบริการ โดยสนองตอบต่อความต้องการ ความถนัด ความสนใจ อย่างจริงใจด้วย ความเห็นอกเห็นใจ โดยค านึงถึงสิทธิพื้นฐานของผู้รับบริการอย่างเท่าเทียมและปรารถนาที่จะ ให้ผู้รับบริการพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 168 4. มีวิสัยทัศน์และพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวมีความสนใจใฝ่รู้ ศึกษาค้นคว้า ริเริ่มสร้างสรรค์ เสริมสร้างความรู้ให้ทันสมัย ทันเหตุการณ์ทันต่อการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี 5. ปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนวผู้ปฏิบัติงานให้บริการทาง จิตวิทยาการแนะแนวปฏิบัติงาน โดยอาศัยความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ที่ได้รับการฝึกฝน ตามหลักวิชาการ จากสถาบันหรือองค์กรวิชาชีพที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการ 6. รักษามาตรฐานและรับผิดชอบต่อการประกอบวิชาชีพจิตวิทยาการแนะแนว ผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการ แนะแนวสามารถรักษาคุณภาพการปฏิบัติงาน ตามมาตรฐานวิชาชีพไว้ ในระดับสูงเสมอ และรับผิดชอบต่อผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน 7. ยุติการให้บริการที่นอกเหนือความสามารถของตนและส่งต่อไปยังบุคคล ที่เหมาะสมผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยาการแนะแนวต้องหยุดการให้บริการเมื่อประเมิน สถานการณ์แล้วพบว่าการให้บริการนั้นนอกเหนือความสามารถของตน และส่งผู้รับบริการไปยัง บุคคลที่มีความเหมาะสม หรือตามความประสงค์ของผู้รับบริการ 8. รักษาความลับขอผู้รับบริการและผู้เกี่ยวข้องผู้ปฏิบัติงานให้บริการทางจิตวิทยา การแนะแนวต้องไม่เปิดเผยความลับ ซึ่งเป็นข้อมูลของผู้รับบริการและผู้ที่เกี่ยวข้อง หากจ าเป็น จะต้องน าข้อมูลไปใช้ ต้องได้รับการยินยอมจากผู้รับบริการ 9. เคารพสิทธิและไม่แสวงหาผลประโยชน์จากผู้รับบริการผู้ปฏิบัติงานให้บริการทาง จิตวิทยาการแนะแนวต้องให้ข้อมูล ที่จ าเป็นแก่ผู้รับบริการ เพื่อให้ผู้รับบริการทราบสิทธิและผล ที่อาจได้รับจากการรับบริการ รับฟังความคิดเห็นตัดสินใจของผู้รับบริการและไม่กระทาการใดๆ อันเป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้รับบริการ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 169 ภาพที่ 6.3 แนวการจัดกิจกรรมแนะแนว ที่มา : การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 แนวการจดักิจกรรมแนะ แนว การจดักิจกรรมแนะแนว หลักการ วัตถุประสงค์ ขอบข่าย 1. ด้านการศึกษา 2. ด้านอาชีพ 3. ด้านส่วนตัวและสังคม เป็นกิจกรรมที่จัดให้สอดคล้องกับ สภาพปัญหา ความต้องการ ความ สนใจ ธรรมชาติของผู้เรียนและ วิสัยทัศน์ของสถานศึกษาที่ตอบสนอง จุดมุ่งหมายหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช อาชีพ ส่วนตัว และสังคม เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการ ปฏิบัติกิจกรรม จนเกิดการเรียนรู้และ เกิดทักษะชีวิต โดยมีครูผู้รับผิดชอบ จัดกิจกรรมและประสานความร่วมมือ กับครู หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 1. เพื่ อ ให้ผู้เรีย น รู้จัก เข้ า ใจ รัก แล ะ เห็ น คุณค่าในตนเองและผู้อื่น 2. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ ว า งแ ผ น ก า ร ศึ ก ษ า อาชีพ รวมทั้งส่วนตัว และสังคม 3. เพื่อให้ผู้เรียนสามารถ ป รั บ ตั ว ไ ด้ อ ย่ า ง เหมาะสมและอยู่ร่วมกับ ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 1. ศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหา ความต้องการ ความสนใจ และธรรมชาติของผู้เรียน 2. วิเคราะห์สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ วิสัยทัศน์ของสถานศึกษา และข้อมูลของผู้เรียนเป็น รายบุคคล 3. ก าหนดสัดส่วนกิจกรรมแนะแนวให้ครอบคลุมด้านการศึกษา ด้านอาชีพ ด้านส่วนตัว และสังคม 4. ก าหนดวัตถุประสงค์การจัดกิจกรรมแนะแนวของสถานศึกษา 5. ออกแบบแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว 6. จัดท าแผนการจัดกิจกรรมแนะแนว 7. จัดกิจกรรมแนะแนวตามแผนและประเมินผลการจัดกิจกรรม 8. ประเมินเพื่อตัดสินผล และสรุปรายงาน ประเมิน ผ่าน ไม่ผ่าน ซ่อมเสริม เกณฑก์ารประเมิน 1. เวลาเข้าร่วมกิจกรรม 2. การปฏิบัติกิจกรรม 3. ผลงานชิ้นงานคุณลักษณะของผู้เรียน ส่งผลการประเมิน ไม่ตามเกณฑ์ ตามเกณฑ์
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 170 6.9 การจดักิจกรรมแนะแนวในชีวิตวิถีใหม่ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้น้อมน าพระบรมราโชบายด้านการศึกษา ในรัชกาลที่ 10 การสร้างพื้นฐาน ให้แก่นักเรียนด้านการมีงานท า มีอาชีพ และการก าหนด ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน รัฐจึงได้จัดท ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 -2580) มีวิสัยทัศน์ของประเทศ คือ “ประเทศไทยมี ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” โดยมีเป้าหมาย การพัฒนาประเทศ คือ ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข เศรษฐกิจพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สังคม เป็นธรรม ฐานทรัพยากรธรรมชาติยั่งยืน โดยยกระดับศักยภาพของประเทศในหลากหลายมิติ พัฒนาคนในทุกมิติ และทุกช่วงวัยให้เป็นคนดี เก่ง และมีคุณภาพ ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานจึงได้ก าหนดนโยบาย ในการเตรียมความพร้อมให้กับประชากรในวัยเรียน ทุกคนและทุกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหมายรวมถึง กลุ่มนักเรียนที่มี ความต้องการจ าเป็นพิเศษ กลุ่มชาติพันธุ์ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลทุรกันดาร ให้มีความพร้อมทั้ง กาย ใจ สติปัญญา มีสุขภาวะที่ดีในทุกช่วงวัย มีจิตสาธารณะ รับผิดชอบต่อผู้อื่นและสังคม มัธยัสถ์ อดออม โอบอ้อมอารี มีวินัย รักษาศีลธรรม และเป็นพลเมืองดีของชาติ และพลเมืองโลก ที่ดี มีหลักคิดที่ถูกต้อง มีทักษะที่จ าเป็นในศตวรรษที่ 21 มีทักษะสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษา ที่ 3 และอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น มีนิสัย รักการเรียนรู้และการพัฒนาตนเอง อย่างต่อเนื่องตลอด ชีวิตสู่การเป็นคนไทยและพลโลกที่มีทักษะการคิดขั้นสูง เป็นนวัตกรนักคิด ผู้ประกอบการ เกษตรกรยุคใหม่ โดยมีสัมมาชีพตามความถนัดของตนเอง ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้ด าเนินนโยบายและขับเคลื่อนงาน พัฒนาเตรียมความพร้อมและเสริมสร้างศักยภาพให้กับนักเรียน โดยการพัฒนาควบคู่กันทั้ง ทักษะวิชาการ ทักษะอาชีพและทักษะชีวิต เพื่อให้นักเรียนได้ค้นพบตนเองได้พัฒนาศักยภาพ สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดด้านอาชีพของนักเรียน รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม จิตสาธารณะ และสามารถปรับตัวอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้โดยผ่าน การจัดการเรียนการสอน และกิจกรรมการแนะแนวที่หลากหลาย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 ตั้งแต่มีการเริ่มแพร่ ระบาดปลายปี 2562 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นวงกว้าง รวมทั้งต่อระบบการศึกษา เป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน เมื่อโรงเรียนซึ่งเป็นสถานที่ที่อบรมให้ ความรู้แก่เด็กนักเรียนต้องปิดท าการลง เพื่อช่วยสกัดกั้นยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสและ เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา แนวทางการจัดการเรียนการ สอนผ่านโลกออนไลน์จึงนับเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและเข้ามามีบทบาทมากขึ้นจึงเข้าสู่ยุคของ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 171 การเปลี่ยนแปลงการจัดการศึกษาของประเทศครั้งส าคัญ เป็นการเปิดทางให้เด็กนักเรียน มีบทบาท ก าหนดการเรียนการสอนด้วยตนเอง เข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ตนต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ ตนชอบ และรู้ว่าอะไรจะช่วย สนับสนุนการเรียนหนังสือในบริบทความพร้อมของตนเองได้ กิจกรรมแนะแนวเป็นกิจกรรมส าคัญที่ส่งเสริมและพัฒนาความสามารถของนักเรียน ให้เหมาะสม ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะ ทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญา และการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งครูแนะแนวและครูผู้รับผิดชอบงาน แนะแนวทางหน้าที่แนะแนว ให้การปรึกษาด้านการศึกษา อาชีพ การมีงานท าส่วนตัวและสังคม ซึ่งจากสถานการณ์และบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงได้มีการจัดท าแผนพัฒนา การแนะแนวและแนวทางการ จัดกิจกรรมแนะแนวระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ.2561-2565) ตามแผน ยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ที่ได้ก าหนดวิสัยทัศน์ มุ่งให้นักเรียนมีสมรรถนะด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัว และสังคม มีสุขภาวะที่ดี มีทักษะชีวิตและทักษะที่ส าคัญจ าเป็นในศตวรรษที่ 21 สอดคล้องกับ หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นทิศทางให้กับส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา โรงเรียน และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมมือกันในการน าปรับประยุกต์ไปใช้ในการยกระดับการ ขับเคลื่อนงานแนะแนวและการจัดกิจกรรมแนะแนว ที่เหมาะสมกับช่วงวัยของนักเรียน การจัดกิจกรรมแนะแนวในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID - 19 ต้องมี การปรับเปลี่ยน ให้เข้ากับสถานการณ์เช่นเดียวกัน ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น พื้นฐานจึงได้วิเคราะห์แนวทาง การจัดกิจกรรมแนะแนวระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ.2561- 2565) ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) เพื่อให้ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องได้เลือกน าไปใช้ใน การจัดกิจกรรมแนะแนวให้กับนักเรียน ที่ครอบคลุมขอบข่ายการจัดกิจกรรมแนะแนวทั้ง 3 ด้าน คือ การแนะแนวการศึกษา การแนะ แนวด้านอาชีพ และการแนะแนวส่วนตัวและสังคม ที่สอดคล้องกับบริบท ความพร้อมของ นักเรียนและโรงเรียน โดยแนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในช่วงการแพร่ระบาด ของเชื้อไวรัส COVID -19 ได้วิเคราะห์จากแนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (พ.ศ.2561-2565) โดยพิจารณาเลือกจากกิจกรรมที่สามารถน าไปปรับประยุกต์ เพื่อให้ผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา และภาคีเครือข่ายที่ เกี่ยวข้องได้เลือกน าไปใช้ ดังนี้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1- 3 นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 เป็นช่วงวัยรากฐานของการพัฒนาในมิติต่างๆ ให้มีความพร้อมในการเรียนรู้การจัดกิจกรรมแนะแนวให้กับนักเรียนจึงเน้นการสร้างพื้นฐาน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 172 การปรับตัวทางด้านส่วนตัวและสังคม จุดเริ่มต้นของ การศึกษา รวมทั้งการแนะน าอาชีพ (Career Orientation)ให้นักเรียนได้รู้จักอาชีพที่หลากหลาย เริ่มปลูกฝังลักษณะนิสัยในการ ท างานที่พึงประสงค์เรื่องความรับผิดชอบ ขยัน อดทน ซื่อสัตย์ ประหยัด อดออม เน้นกิจกรรม ตอบสนอง ต่อความสนใจเน้นการเรียนรู้ตามสภาพจริง มีความสนุกสนาน ให้นักเรียนได้ลงมือ ปฏิบัติจริง โดยค านึงถึงหลักจิตวิทยา พัฒนาการ และจิตวิทยาการเรียนรู้เพื่อเป็นพื้นฐานการ เรียนในระดับต่อไป ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 -6 นักเรียนในชั้นประถมศึกษาที่ 4-6 เป็นช่วงวัยเด็กตอนปลายเตรียมตัวเข้าสู่วัยรุ่น มีความเข้าใจในเหตุผล และมีความพร้อมในการเรียนรู้ที่ซับซ้อนมากขึ้น การจัดกิจกรรมแนะ แนวให้กับนักเรียนจึงเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม ด้านส่วนตัวและสังคมเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันในด้าน ต่าง ๆ พัฒนาความสามารถด้านการเรียนและรู้จักอาชีพที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น และให้เห็น ความส าคัญของอาชีพ (Career Awareness) เพื่อให้นักเรียนได้ตัดสินใจ คิดแก้ปัญหาอย่าง สร้างสรรค์ เริ่มรู้จักตนเอง ก าหนดเป้าหมายการเรียนและอาชีพ เพื่อเป็นพื้นฐานการต่อยอด สู่การเรียน การเสริมทักษะอาชีพในระดับมัธยมศึกษาต่อไป ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 -3 นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 เป็นวัยที่เริ่มต้นเข้าสู่วัยรุ่น มีการเปลี่ยนแปลง ต่างๆ ทั้งทางกาย จิตใจ และสังคม กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว จึงมีความสนใจที่จะ ต่อยอดการเรียนรู้ ที่ตนสนใจ ต่อจากระดับประถมศึกษา การจัดกิจกรรมแนะแนวให้กับนักเรียน จึงเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ส ารวจ ความถนัด ความสนใจ ได้รู้จักและค้นพบ ตนเอง (Career Exploration) ผ่านการเรียนการสอนและกิจกรรม ที่หลากหลาย ส่งเสริมให้ นักเรียนได้เสริมทักษะและฝึกประสบการณ์อาชีพ เพื่อตัดสินใจเลือกเส้นทางการศึกษาต่อในระดับ มัธยมศึกษาตอนปลาย/สายอาชีพอย่างมีเป้าหมาย หรือกรณีที่ไม่ประสงค์จะศึกษาต่อ สามารถ น าทักษะอาชีพ ที่ตกผลึกในตัวนักเรียนไปประยุกต์ใช้ในการประกอบสัมมาชีพเลี้ยงตนเองได้ ต่อไป ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 -6 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 - 6 เป็นช่วงวัยที่มีความชัดเจนในการเลือกเส้นทาง การศึกษาและการประกอบอาชีพ ควบคู่กับการเตรียมพร้อมเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ตอนต้น การจัด กิจกรรมแนะแนวให้กับนักเรียนจึงเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริม ให้นักเรียนเติมเต็มความพร้อม ในการศึกษาต่อระดับที่สูงขึ้นและเตรียมเข้าสู่การประกอบอาชีพ (Career Preparation) ตามสาขาอาชีพที่ตนถนัด สนับสนุนนักเรียนได้น าความรู้ ความถนัดสู่การพัฒนาทักษะอาชีพ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 173 และปรับตัวเข้ากับอาชีพ (Career Assimilation) ในสถานการณ์จริง โดยมีแผนการเรียนรู้และ กิจกรรมแนะแนวที่มีจุดเน้นและเป้าหมายที่ชัดเจน ครอบคลุมทั้งทางด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม หลักการจัดกิจกรรมแนะแนวมีการด าเนินการ ดังนี้ 1. จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการและธรรมชาติของนักเรียน 2. จัดกิจกรรมให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระด้านการศึกษา อาชีพ ส่วนตัวและสังคม 3. ประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนานักเรียน ตั้งแต่ผู้บริหาร ครูทุกคน ผู้ปกครองชุมชน ร่วมมีบทบาทและมีส่วนร่วมในการด าเนินการ ให้ความร่วมมือและ สนับสนุนให้การจัดกิจกรรม ด าเนินไปด้วยความสะดวกอย่างมีประสิทธิภาพ สรุปได้ว่า แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาขั้นพื้นฐาน (พ.ศ.2561- 2565) ตามแผนยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ.2561- 2580) เป็ นกิจกรรมที่เป็ นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งผู้บริหาร ครู บุคลากรทางการศึกษา ส่งเสริมให้นักเรียนได้ค้นพบตนเอง เพื่อเตรียมคนให้มี ทักษะและศักยภาพให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน ให้สามารถก้าวสู่โลกแห่ง การศึกษาต่อและมีงานท าอย่างมีคุณภาพ เลือกเส้นทางชีวิตเพื่อวางแผนศึกษาต่อ ในระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายทั้งสายสามัญ และสายอาชีพ หรือเชื่อมโยงการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อย่างมีเป้าหมาย หรือกรณีที่ไม่ประสงค์จะศึกษาต่อ สามารถพัฒนาทักษะอาชีพที่ตกผลึกในตัว นักเรียน ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบสัมมาอาชีพเลี้ยงตนเองได้ต่อไปในอนาคต 6.10 การดแูลช่วยเหลือนักเรียน หลักการ และเหตุผล การจัดระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เด็กและเยาวชนในยุค ปัจจุบันจ านวนไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาและสภาพแวดล้อม ที่ไม่สร้างสรรค์ในสังคม ท าให้ มีพฤติกรรมแตกต่างไปจากเด็กและเยาวชนในอดีตแม้ว่าผู้ปกครอง ครู อาจารย์ และคนทางานด้าน เด็กจะใช้ความรักความปรารถนาดีอย่างมากมายเพียงใดก็ตามไม่อาจพิทักษ์ ปกป้องและ คุ้มครองเด็กและเยาวชนให้ปลอดภัย หรือมีพฤติกรรมตามที่สังคมคาดหวังไว้จากการประมวล สถิติข้อมูล สถานการณ์ปัญหาเด็กและเยาวชนของหน่วยงานต่างๆ พบว่า เด็กและเยาวชนทั้งที่ เป็ นนักเรียนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับอื่นๆ ส่วนหนึ่งมักมีพฤติกรรมที่ไม่ พึงประสงค์ ดังนี้ 1. ตกเป็นทาสของเกมคอมพิวเตอร์จนถึงขั้น หมกมุ่นและเรียนรู้พฤติกรรมที่ไม่ เหมาะสมจากเกมจนไปสู่การประพฤติปฏิบัติ ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียแก่ตนเองและสังคม 2. นิยมประลองความเร็วโดยการแข่งรถมอเตอร์ไซค์ มีพฤติกรรมการใช้รถจักรยานยนต์ ที่ผิดกฎหมาย เป็นนักซิ่งวัยใส และเป็นสก๊อย (สาวน้อยซ้อนท้ายหนุ่มกับนักซิ่ง)
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 174 3. ใช้ความรุนแรงในการตัดสินปัญหาและข้อขัดแย้ง ทะเลาะวิวาท จับกลุ่มรวมตัว กันสร้างความ ปั่นป่วนในชุมชน ไปจนถึง การยกพวกตีกัน 4. มีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น เป็นพ่อแม่ตั้งแต่อายุยังน้อง มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ตนเอง ขาดความรับผิดชอบ 5. เข้าถึงสารเสพติดได้ง่าย เริ่มจากการใช้บุหรี่ เหล้า ยาบ้า ยาไอซ์ ยาเลิฟ และสาร อันตรายที่แพร่ ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชน 6. ขาดหลักยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ไม่เห็นความส าคัญของหลักศาสนา ค่านิยมความ เป็ นไทย ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวค่อนข้างเปราะบาง ติดเพื่อน ติดสื่อ และให้ ความส าคัญกับวัตถุมากกว่าความ มีคุณธรรมน าใจ นอกจากนี้เด็กและเยาวชนยังมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสังคมอาทิ ติดการพนัน นิยมเสี่ยงโชค การมั่วสุมในหอพัก ไม่ชอบไปโรงเรียน หนีเรียน ท าร้ายรังแกกันเอง หมกมุ่นกับสื่อที่ไม่สร้างสรรค์ นิยมบริโภค อาหารกรุบกอบ อาหารที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ เครียด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย ไม่สนใจต่อปัญหาสังคม อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ท าให้เด็กและ เยาวชนมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นผลมาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังนี้ 1. ปัจจัยเสี่ยงจากสภาพครอบครัว เป็นสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพและ พฤติกรรมของเด็กและเยาวชน พฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเด็กและเยาวชนเป็นผลมาจากการ เลี้ยงดูด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ส่งเสริมให้แสดงออกในทาง ที่ไม่ถูกต้อง ปล่อยปละละเลย เรียนรู้การใช้ความรุนแรงจากสมาชิกในครอบครัว ครอบครัวแตกแยก ผู้ปกครองบีบบังคับ กดดัน และคาดหวังในตัวเด็กเกินกว่าความเป็นจริง ไม่มีบรรยากาศที่สร้างความรักความ อบอุ่น ความสมัครสมานสามัคคี เติบโตในท่ามกลางความสับสน ไม่มีความหวัง ขาดการอบรมบ่มนิสัย และไม่มีจุดหมายปลายทางในชีวิต 2. ปัจจัยเสี่ยงจากโรงเรียน เป็นบ้านหลังที่สองของเด็ก เป็นบ่อเกิดของคุณงาม ความดี โดยเฉพาะการพัฒนาศักยภาพ ความรู้ ความสามารถของเด็กและเยาวชน ให้เป็น ทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า และสังคมแต่โรงเรียนจ านวนไม่น้อยยังขาดความพร้อมที่จะท าให้ เด็กและเยาวชนเป็นคนที่สมบูรณ์ตามความมุ่งหวังของสังคม จากการติดตาม พบว่า โรงเรียน ขาดการดูแลเอาใจใส่นักเรียนอย่างจริงจัง ขาดการจัดการที่เหมาะสมต่อการพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครองและให้การดูแลช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างเท่าทัน ทั่วถึง ถูกต้องและเป็ นธรรม จัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยไม่คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ให้ความส าคัญกฎระเบียบ มากกว่าชีวิตจิตใจของนักเรียน พัฒนาผู้เรียนโดยไม่คานึงถึงองค์รวม ตลอดถึงการจัดการกลับ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 175 ปัญหาของนักเรียนโดยขาดการมีส่วนร่วม และยังเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา พฤติกรรมนักเรียน 3. ปัจจัยเสี่ยงจากชุมชนและสังคม ความล้มเหลวในชีวิตของเด็กและเยาวชน เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจ และต้นทุนทางความรู้สึกของผู้ปกครองอย่างประเมินค่าไม่ได้ สังคมไทยยังละเลยต่อการจัดระเบียบแบบแผนในชุมชน ชุมชนอ่อนแอขาดสัมพันธภาพที่ดี ระหว่างสมาชิกในสังคมต่างคนต่างอยู่ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้มีการแสวงหา ผลประโยชน์จากเด็กและเยาวชน ยอมรับการเติบโตและขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่สร้างสรรค์ ละเลยต่อปัญหาของเด็กและเยาวชน ไม่ให้ความส าคัญต่อท่าทีของเด็กและเยาวชน มองเด็กและ เยาวชนที่ประสบปัญหา ด้วยทัศนะและท่าทีที่ตอกย ้าซ ้าเติม 4. ปัจจัยเสี่ยงจากเพื่อน เป็นปัจจัยที่ส าคัญในชีวิตของเด็กและเยาวชนเป็นธรรมชาติ ที่เด็กและเยาวชนทุกคนต้องมี แต่เพื่อนก็เป็นดาบสองคมที่อาจท าให้เด็กและเยาวชนจ านวน ไม่น้อยก้าวพลาด เช่น เพื่อนที่มีนิสัยเกเร เป็นอันธพาลเสเพล สามะเลเทเมา การคบเพื่อนที่มี พฤติกรรมโน้มเอียงไปในทางก้าวร้าวเสี่ยงภัย มั่วสุม เบี่ยงเบน หรือการได้รับแรงบีบคั้น กดดัน ข่มขู่ หรือการไม่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มเพื่อน ซึ่งสภาพการณ์ดังกล่าวล้วนส่งผลต่อ พฤติกรรมของเด็กและเยาวชนทั้งสิ้น 5. ปัจจัยเสี่ยงจากบุคลิกภาพหรือตัวนักเรียน เด็กและเยาวชนแต่ละคนมีภาวะ ด้านพัฒนาการแตกต่างกัน มีบุคลิกภาพภายในและภายนอกตาม สภาพความเป็นตัวตนที่มี ลักษณะเฉพาะ เช่น มีข้อจ ากัดเกี่ยวกับพัฒนาการทางสมองและการรับรู้ ไม่มีความ ตระหนัก ในคุณค่าความส าคัญของตนเอง ขาดทักษะในการคิด บกพร่องทางการเรียนรู้ ปฏิเสธค่านิยม หรือ ศาสนาที่คนส่วนใหญ่นับถือ ไม่มีทักษะในการสื่อสาร ปฏิเสธไม่เป็น ควบคุมอารมณ์และ ความเครียดไม่ได้ รวมทั้งการมีปัญหาด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ด้วยสภาพและปัญหาเกี่ยวกับเด็กและเยาวชนดังได้กล่าวถึงข้างต้นส านักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงเห็นความส าคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เกิดจากความร่วมมือของกรมสุขภาพจิตและกรมสามัญศึกษา ในอดีตจะเป็น เครื่องมืออีกชิ้นหนึ่งที่จะช่วยให้โรงเรียนและส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาได้ใช้เป็นกลไกในการ ดูแลช่วยเหลือนักเรียนในศตวรรษที่ 21 สิ่งแวดล้อมไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ปัญหาเศรษฐกิจและ สังคมที่มีความเร็ว ร้อนแรงและร้าว ได้อย่างเท่ากันทั่วถึง ถูกต้องและเป็นธรรมกับเด็กและ เยาวชนทุกคน ดังนี้
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 176 1. วัตถุประสงค์ของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 1.1 เพื่อให้การด าเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นไปอย่างมีระบบ มีประสิทธิภาพ 1.2 เพื่อให้โรงเรียน กรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน องค์กรและ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีการท างานร่วมกันโดยผ่านกระบวนการท างานที่ชัดเจน มีร่องรอย หลักฐานการปฏิบัติงาน สามารถตรวจสอบและประเมินผลได้ 2. ประโยชน์และคุณค่าของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2.1 นักเรียนได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่างทั่วถึงและตรงตามสภาพปัญหา 2.2 สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียนเป็นไปด้วยดีและอบอุ่น 2.3 นักเรียนรู้จักตนเอง ควบคุมตนเองได้ มีการพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ซึ่งจะเป็นรากฐานในการพัฒนาความเก่ง (IQ) คุณธรรมจริยธรรม (MQ) และความมุ่งมั่น ที่จะเอาชนะอุปสรรค (AQ) 2.4 นักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุขและได้รับการส่งเสริมพัฒนาเต็มตาม ศักยภาพอย่างรอบด้าน 2.5 ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพนักเรียนอย่างเข้มแข็งจริงจัง ด้วยความเสียสละ เอาใจใส่ ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นกระบวนการด าเนินงานดูแลช่วยเหลือ นักเรียนอย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน มีครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการด าเนินงาน โดยการมี ส่วนร่วมของบุคลากรทุกฝ่ ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา อันได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ผู้บริหาร และครูทุกคน มีวิธีการและเครื่องมือที่ชัดเจน มีมาตรฐานคุณภาพและมีหลักฐานการท างานที่ตรวจสอบได้ กระบวนการและขั้นตอนของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีองค์ประกอบส าคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้วยความหลากหลายของนักเรียน และนักเรียน แต่ละคน มีพื้นฐานความเป็นมาของชีวิตที่แตกต่างกัน ผ่านการหล่อหลอมให้เกิดพฤติกรรม ในหลายลักษณะทั้งด้านบวกและด้านลบ ดังนั้น การรู้ข้อมูลที่จ าเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนจึงเป็น สิ่งส าคัญที่จะช่วยให้ครูอาจารย์มีความเข้าใจนักเรียนมากขึ้นสามารถน าข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อการคัดกรองนักเรียนและน าไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาส่งเสริม การป้องกันและแก้ไข ปัญหาของนักเรียนได้อย่างถูกทางซึ่งเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ได้จากเครื่องมือและวิธีการ ที่หลากหลายตามหลักวิชาการ มิใช่การใช้ความรู้สึกหรือการคาดเดา โดยเฉพาะในการแก้ไข ปัญหานักเรียน ซึ่งจะท าให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดต่อการช่วยเหลือนักเรียน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 177 2. การคัดกรองนักเรียน การคัดกรองนักเรียนเป็นการพิจารณาข้อมูลเกี่ยวกับ นักเรียนเพื่อการจัดกลุ่มนักเรียนซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการหาวิธีการที่เหมาะสมในการ ดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้ตรงกับสภาพปัญหาและความ ต้องการจ าเป็นด้วยความรวดเร็วและ ถูกต้องแม่นยาระบบการดูแลช่วยเหลือ โดยการแบ่งนักเรียนเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 2.1 กลุ่มปกติ คือ นักเรียนที่ได้รับการวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ตามเกณฑ์การคัดกรอง ของโรงเรียนอยู่ใน เกณฑ์ของกลุ่มปกติ ซึ่งควรได้รับการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและการส่งเสริมพัฒนา 2.2 กลุ่มเสี่ยง คือ นักเรียนที่อยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มเสี่ยงตามเกณฑ์การคัดกรอง ของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนต้องให้การป้องกันและแก้ไขตามกรณี 2.3 กลุ่มมีปัญหา คือ นักเรียนที่จัดอยู่ในเกณฑ์ของกลุ่มมีปัญหาตามเกณฑ์ การคัดกรองของโรงเรียน ซึ่งโรงเรียนต้องช่วยเหลือและแก้ปัญหาโดยเร่งด่วน 2.4 กลุ่มพิเศษ คือ นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษ มีความเป็นอัจฉริยะ แสดงออก ซึ่งความสามารถอันโดดเด่นด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายด้านอย่างเป็นที่ประจักษ์ เมื่อเทียบกับผู้มีอายุในระดับเดียวกันภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน ซึ่งโรงเรียนต้องให้การ ส่งเสริมให้นักเรียนได้พัฒนาศักยภาพความสามารถพิเศษนั้น จนถึงขั้นสูงสุด 3. การป้องกันและแก้ไขปัญหาในการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูควรให้ความเอาใจ ใส่กับนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่ส าหรับนักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหานั้น จ าเป็นอย่าง มากที่ต้องให้ความดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดและหาวิธีการช่วยเหลือทั้งการป้องกัน และการ แก้ไขปัญหา โดยไม่ปล่อยปละละเลยนักเรียนจนกลายเป็นปัญหาของสังคม การสร้างภูมิคุ้มกัน การป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน จึงเป็นภาระงานที่ยิ่งใหญ่และมีคุณค่าอย่างมากในการ พัฒนาให้นักเรียนเติบโต เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของสังคมต่อไป การป้องกันและแก้ไขปัญหาให้กับนักเรียนนั้นมีหลายเทคนิควิธีการ แต่สิ่งที่ครู ที่ปรึกษาจ าเป็นต้องด าเนินการมีอย่างน้อย 2 ประการ คือ การให้ค าปรึกษาเบื้องต้น การจัด กิจกรรมเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา 4. การส่งเสริมพัฒนานักเรียน การส่งเสริมพัฒนานักเรียน เป็นการสนับสนุน ให้นักเรียนทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักเรียนกลุ่มปกติหรือกลุ่ม เสี่ยง/มีปัญหา กลุ่มความสามารถ พิเศษ ให้มีคุณภาพมากขึ้น ได้พัฒนาเต็มศักยภาพ มีความภูมิใจในตนเองในด้านต่างๆ ซึ่งจะ ช่วยป้องกันมิให้นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มปกติและกลุ่มพิเศษกลายเป็นนักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา และเป็นการช่วยให้นักเรียนกลุ่มเสี่ยง/มีปัญหา กลับมาเป็นนักเรียนกลุ่มปกติและมีคุณภาพตาม มาตรฐานที่โรงเรียนหรือชุมชนคาดหวังต่อไป
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 178 สรุปได้ว่า การส่งเสริมพัฒนานักเรียนมีหลายวิธีที่โรงเรียนสามารถพิจารณา ด าเนินการได้ แต่มีกิจกรรมหลักส าคัญที่โรงเรียนต้องด าเนินการ คือ การจัดกิจกรรมโฮมรูม การเยี่ยมบ้านการจัดประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน (Classroom Meeting) การจัดกิจกรรม เสริมสร้างทักษะการด ารงชีวิตและกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 6.11 แนวทางการจดักิจกรรมพฒันาผ้เูรียนในชีวิตวิถีใหม่ ส านักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (2563) ได้ก าหนดแนวทางการจัดกิจกรรมการพัฒนาผู้เรียนชีวิตวิถีใหม่ ไว้ดังนี้ 1. จัดการเรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ 2. การจัดกิจกรรมชุมนุม ครูเปิดกิจกรรมชมชุมนุมที่น่าสนใจ เหมาะกับยุคนี้ เช่น ชุมนุมสอนเล่นหุ้น, ชุมนุม Tiktoker, ชุมนุมสันทนาการ, ชุมนุมรักแคคตัส, ชุมนุม Web creator เป็นต้น เพื่อให้นักเรียนได้ผ่านคลายและน าความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ าวันได้ และสามารถจัดการ เรียนการสอนในรูปแบบออนไลน์ได้ 3. แนะน าช่องทางการเรียนรู้โดยใช้สื่อออนไลน์ อาจใช้เวลาในช่วงคาบกิจกรรม ชุมนุม หรือกิจกรรมในเครื่องแบบ ให้นักเรียนได้ไปศึกษาสิ่งที่สนใจในโลกออนไลน์ เพื่อเพิ่มพูน ความรู้และประสบการณ์แก่นักเรียน เช่น Chula MOOC เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ที่ได้รวบรวมเอากลุ่มวิชาหลักที่น่าสนใจ มาไว้บริการ ที่ส าคัญผู้เรียนยังสามารถสมัครเข้าเรียนได้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่าย บริหารเวลาในการ เรียนด้วยตัวเองได้ Skillane เป็นคอร์สเรียนออนไลน์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีแนวทางการสอนชัดเจนเพื่อให้ ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ทั้งในส่วนของกลุ่มคนท างานสายอาชีพต่างๆ ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในเชิงลึก คอร์สเรียนออนไลน์ที่เปิดสอนบนเว็บไซต์ก็สามารถน าไป เทียบโอนหน่วยกิตได้สามารถเลือกเรียนออนไลน์ที่บ้านได้ง่ายๆ ท าให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการ เดินทางอีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการเวลาเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ Alison.com เป็นผู้ให้บริการด้านการศึกษาออนไลน์ที่มีพันธมิตรมากมายจากทั่วโลก ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้หลายภาษา สามารถออกใบประกาศนียบัตร ที่ได้รับการยอมรับ จากสถาบันชั้นน าต่างๆ ทั่วโลก โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ThaiMOOCโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ ภายใต้การดูแลของกระทรวงอุดมศึกษา แห่งประเทศไทยได้พัฒนาเว็บไซต์การเรียนการสอนออนไลน์เพื่อนักศึกษาและบุคคลทั่วไป โดยได้รับความร่วมมือจากมหาวิทยาลัยชั้นน าของรัฐจากทั่วประเทศในการบรรจุหลักสูตร
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 179 การเรียนการสอนในรายวิชาต่างๆ ผ่านระบบ Video Conference เพื่อเป็นแหล่งความรู้ที่ทุกคน สามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการเรียนแต่อย่างใด กิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเดิม รายการค่ากิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียน สถานศึกษามีการด าเนินการ กิจกรรมวิชาการ กิจกรรมคุณธรรม จริยธรรม ลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บ าเพ็ญประโยชน์กิจกรรมทัศนศึกษา กิจกรรมการบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ICT) เพิ่มเติมในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้จัดท าแนวทางการด าเนินงาน รายการ กิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนทางไกล โดยเพิ่มกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนทางไกลในช่วงสถานการณ์เช่น การผลิตสื่อการเรียน การสอน ใบงาน แบบฝึกหัด ค่าใช้จ่ายในการติดตามและเยี่ยมบ้านนักเรียนที่เป็นค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะ ค่าน ้ามันเชื้อเพลิงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เป็นต้น ณิชา พิทยาพงศกร (2563) กล่าวไว้ว่า การประเมินผลกิจกรรมเพื่อการพัฒนาการ เรียนรู้ของนักเรียน (Formative Assessment)จากชิ้นงานและพฤติกรรมของนักเรียน การประเมินเพื่อการตัดสิน (Summative Assessment) เพื่อน าไปใช้ให้คุณให้โทษแก่โรงเรียน และบุคลากรทางการศึกษาให้น ้าหนักกับ การช่วยเหลือนักเรียนที่มีความท้าทายในการ เรียน ควบคู่กับ การส่งเสริมนักเรียนกลุ่มอื่นๆ ให้เต็มตามศักยภาพ เนื่องจากนักเรียนที่ขาด แรงจูงใจในการเรียนเป็นทุนเดิมหรือมาจากครอบครัวยากจนมีแนวโน้มจะหลุดออกจากระบบ การศึกษามากขึ้นเมื่อสภาวะเศรษฐกิจตกต ่า การเรียนรู้เพื่อสุขภาพกายและใจ ควบคู่กับ การเรียนรู้ด้านวิชาการ สถานการณ์โรคระบาดส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของทุกคนรวมถึงเด็กๆ ทุกวัย ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของสมองชี้ให้เห็นว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ยากเมื่อเด็กมีความเครียด หรืออยู่ในภาวะที่เป็นอันตราย ครูจึงควรสอดแทรกเนื้อหาความรู้เรื่องสุขภาวะ การดูแลสุขภาพ กายและใจ เพื่อให้เด็กเรียนรู้และปรับตัวได้ท่ามกลางสถานการณ์ครอบครัวและสังคม ที่ไม่แน่นอนให้น ้าหนักกับ การจัดสรรทรัพยากรออฟไลน์แก่เด็กและครอบครัว ควบคู่ กับ ทรัพยากรออนไลน์เช่น จัดสรรหนังสือเด็กให้แก่ครอบครัวด้อยโอกาสเพื่อเพิ่มโอกาสในการ เรียนรู้ที่บ้าน จัดให้มีอาสาสมัครติดตามสถานการณ์เด็กในแต่ละครอบครัวและให้ความรู้ แก่ผู้ปกครองในการดูแลลูก ในลักษณะเดียวกันกับอาสาสมัครสาธารณสุขประจ าหมู่บ้าน (อสม.) ที่ให้ความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ เป็นต้น ควบคู่ไปกับการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทาง เทคโนโลยีของประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชนในด้านต่างๆ ไม่เพียงแค่การศึกษา เท่านั้นการสร้างความปกติใหม่ตามข้อเสนอนี้สามารถท าได้โดยไม่จ าเป็นต้องใช้ทรัพยากร
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 180 มหาศาล เพียงอาศัยการปรับมุมมองของผู้ก าหนดนโยบาย ปรับกระบวนการท างานของ บุคลากรทางการศึกษา สร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและหน่วยงานภายนอกที่มี ความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ รวมถึง ถอดบทเรียนองค์ความรู้จากทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจาก แนวทางการจัดการศึกษาที่กล่าวมานี้ คือ “ความปกติเดิม” ที่เกิดขึ้นมาแล้วในระบบการศึกษา ของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงบางโรงเรียนในประเทศไทยที่ปรับการเรียนรู้สู่ศตวรรษที่ 21 มาก่อนหน้านี้ และน่าจะยังคงสอดคล้องกับโลกในอนาคต ผู้เขียนได้สรุปเป็นแผนภูมิ เพื่อให้ ผู้อ่านเกิดความเข้าใจมากขึ้น ดังภาพ ภาพที่ 6.4 กิจกรรมแนะแนวยุควิถีใหม่ โควิด-19 มีหรือไม่มีก็ต้องร่วมออกแบบความปกติใหม่ที่การศึกษาไทยต้องการ (Desirable New Normal)แม้ไม่มีโควิด -19 ระบบการศึกษ าไทยก็ก าลังเปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลาจากปัจจัยขับเคลื่อนจ านวนมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจ เช่น สภาวะเศรษฐกิจที่ตกต ่า ด้านสังคม เช่น โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลง ด้านเทคโนโลยี เช่น disruptive technology ที่ท าให้ทักษะที่เป็นที่ต้องการเปลี่ยนไป และด้านการเมืองการปกครอง เช่น การด าเนินนโยบาย
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 181 ของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ผู้เขียนมองว่า โควิด-19 เป็นทั้ง “ตัวเร่งปฏิกิริยา” ที่ท าให้การ เปลี่ยนแปลงที่รอท่าอยู่เกิดขึ้นเร็วขึ้น เช่น การน าเทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้มาใช้ในวงกว้าง และเป็น “ตัวหน่วงปฏิกิริยา” ให้แผนการบางอย่างชะลอออกไป เช่น การน าร่องทดลองใช้ หลักสูตรฐานสมรรถนะในปีการศึกษา 2563 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นกิจกรรมที่มุ่งสร้าง ศักยภาพ สร้างคุณค่าชีวิต เจตคติ คุณธรรม ให้รู้จักตัวเองและสร้างประโยชน์แก่สังคม ประเทศชาติ การใช้ชีวิตอย่างมีความสุข มีจุดมุ่งหมาย คือ พัฒนาผู้เรียนเพิ่มเติมให้ครบทุกด้าน มีอิสระในการเลือกเรียนในสิ่งที่สนใจ เกิดทักษะ รู้จักตนเอง กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีการ ปฏิบัติงาน 3 ด้าน คือ การป้องกัน การแก้ปัญหา การส่งเสริมและพัฒนา กิจกรรมแนะแนว มีแนวการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง คือ การศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ การใช้ชีวิตในสังคม กิจกรรมนักเรียน ประกอบด้วยกิจกรรมชุมนุม กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บ าเพ็ญ ประโยชน์ นักศึกษาวิชาทหาร และชุมนุม กิจกรรมสาธารณประโยชน์ ประกอบด้วยกิจกรรมจิต อาสา แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในยุควิถีใหม่ครูผู้จัดกิจกรรมหรือสถานศึกษาอาจใช้ ระบบการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ หรือการเลือกชุมนุมที่นักเรียนสนใจที่เข้าถึง ระบบเทคโนโลยี การแนะน าช่องทางสื่อที่น่าสนใจ โดยใช้คาบกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ด้านงบประมาณสนับสนุน สถานศึกษาได้จากงบงบกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนและเพิ่มเติมให้ เนื่องด้วยสถานการณ์ COVID – 19 ในเรื่องของค่าจัดการเรียนการสอน ค่าพาหนะเยี่ยมบ้าน นักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 182 สรุปท้ายบท กิจกรรมการแนะแนว เป็นกิจกรรมที่มีความส าคัญที่ส่งเสริมและพัฒนาตวามสามารถ ของนักเรียนให้เหมาะสมกับความแตกต่างระหว่างบุคคล สามารถค้นพบ และพัฒนาศักยภาพ ของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต สามารถค้นพบและพัฒนาศักยภาพของตน เสริมสร้างทักษะชีวิต วุฒิภาวะ ทางอารมณ์ การเรียนรู้ในเชิงพหุปัญญาและการสร้างสัมพันธภาพที่ดี ซึ่งครูแนะแนว และครูผู้รับผิดชอบงานแนะแนวท าหน้าที่แนะแนว ให้การปรึกษาด้านการศึกษา อาชีพ การมี งานท า ส่วนตัวและสังคม กิจกรรมแนะแนวยุควิถีใหม่ มีแนวทางจัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับ ปัญหาความต้องการ ความสนใจของผู้เรียน โดยมีแนวทางสร้างพื้นฐานการปรับตัวทางด้าน ส่วนตัวและสังคม แนะน าอาชีพให้นักเรียนรู้จัก จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมด้านส่วนตัวและสังคม สร้างภูมิคุ้มกัน คิดแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รู้จักค้นพบตนเองผ่าน กิจกรรมที่หลากหลายในสถานการณ์ปัจจุบัน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 183 เอกสารอ้างอิง กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). แนวทางการพัฒนา การวัดและประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ : ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. นิรันดร์ จุลทรัพย์. (2558). การแนะแนวอาชีพ. สงขลา : สาขาจิตวิทยา. มหาวิทยาลัยทักษิณ. ณิชา พิทยาพงศกร. (2563). New Normal ของการศึกษาไทยคืออะไร เมื่อการเรียนทางไกล ไม่ใช่ค าตอบ. สืบค้นจาก สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย: ไพฑูรย์สินลารัตน์. (2561). “เมื่อโลกเปลี่ยนไป มาตรฐานใหม่ย่อมเกิดขึ้น” ในเฉลิมรัชสมัย ครู ไทยพัฒนา เอกสารในงานวันครู 2561 สมาคมการแนะแนวแห่งประเทศไทย .(2559). มาตรฐานการแนะแนว. ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน .(2563). แนวทางการจัดกิจกรรมแนะแนว ระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน. กลุ่มพัฒนาระบบการแนะแนว ส านักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษาส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา .(2551). แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. : ส านักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน. https://tdri.or.th/2020/05/desirable-new-normal-for-thailand-education/ ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2556). แนวทางการนิเทศเต็มพิกัด. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา. ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2563). การศึกษายุคดิจิทัล. ออนไลน์. สืบค้น เมื่อ 30 มีนาคม 2565. แหล่งที่มา: https://www.posttoday.com/social/general/628541 ส านักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (2553) แนวทางการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2553 กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด. ส านักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ. (2563). Recovery Forum: School Reopening and Teacher Empowerment to Cope with the Next Normal in Education. ออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 29 มีนาคม 2564. แหล่งที่มา: https://www.nxpo.or.th/th/4856/
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 184 บทที่ 7 การวัดและประเม ิ นผล การศึกษาในว ิ ถ ีชี ว ิ ตใหม ่ การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพของผู้เรียน โดยใช้ ผลของการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดงพัฒนาการ ความก้าวหน้า และความส าเร็จ ทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนา และการเรียนอย่างเต็มศักยภาพ (หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ ปรับปรุง 2560) การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นกิจกรรมที่ส าคัญต่อ การเรียนการสอนในทุกระดับชั้นเป็นอย่างยิ่งสถานศึกษาที่เป็นความเสี่ยงได้มีมาตรการต่างๆ ในการเฝ้าระวังการแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) จึงได้มีกระบวนการเรียนการสอน แต่ละสถานศึกษาแตกต่างกันไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ก าหนดแนวทางกระบวนการ เรียนการสอนแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรกจะเป็นการเตรียมความพร้อมของครู นักเรียน รวมถึง ผู้ปกครอง โดยแบ่งจัดกิจกรรม 2 ระบบ คือ เรียนผ่าน Online และกิจกรรมรูปแบบ Offline โดยให้ค านึงถึงบริบทของแต่ละพื้นที่ ส่วนระยะที่ 2 คือการเรียนช่วงเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ในบทที่7 การวัดและประเมินผลการศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ ประกอบไปด้วย ความหมาย และแนวทางการวัดและประเมินผลการศึกษา บทบาทหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องในการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ แนวทางการวัดและประเมินผลชีวิตวิถีใหม่ ระบบธนาคารสะสมผลการ เรียนรู้ส าหรับการศึกษาตลอดชีวิต (Credit Bank System for Lifelong Learning) การจัดการ เรียนการสอนรูปแบบวิถีชีวิตใหม่
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 185 7.1 ความหมายและแนวทางการวดัและประเมินผลการศึกษา ความส าคัญของการวัดผลประเมินผลและเทียบโอน ผลการเรียน ดังนี้ ปรับปรุงการ เรียนการสอนของครู ท าให้ครูทราบว่าผลการสอนของตนเป็นอย่างไร และแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้น ปรับปรุงการเรียนการสอนของผู้เรียนว่ามีความรู้ความเข้าใจในบทเรียนหรือไม่เพียงใด ซึ่งจะ เป็นแนวทางในการปรับปรุงตนเอง ปรับปรุงระบบการบริหารงานในสถานศึกษา ท าให้ทราบ สภาพที่แท้จริงของหลักสูตร โครงการสอน บันทึกการสอนที่น ามาสู่การปฏิบัติว่าประสบปัญหา อย่างไร ว่าจะได้แก้ไขปรับปรุงอย่างไร เป็นข้อมูลทางการศึกษาเป็นหลักฐานด้านการศึกษาของ สถานศึกษาเกี่ยวกับผลการเรียน และความส าเร็จตามหลักสูตร และเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ สถานศึกษาในด้านผลการเรียน และความส าเร็จทางการเรียนของผู้เรียน รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2557) กล่าวว่า หน้าที่ของผู้บริหารกับการวัดและประเมินผล คือ ก าหนดนโยบายทั่วไป เกี่ยวกับการวัดและประเมินผล จัดหาวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ที่จ าเป็นในการสอบ พยายามส่งเสริมครูอาจารย์ให้มีความรู้ทางการวัดและประเมินผล การจัดตารางการสอบ ห้องสอบ และระเบียบในการสอบและคุมสอบ การประเมินผลการสอน กมล ภู่ประเสริฐ (2555) กล่าวว่า การบริหารและจัดการเกี่ยวกับการวัดและ ประเมินผลการศึกษา หมายถึง กระบวนการวัดประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียน สถานศึกษา จะต้องใช้วิธีการวัดประเมินผลที่หลากหลายตามสภาพความเป็นจริงมากขึ้น ซึ่งการด าเนินงาน ที่เกี่ยวข้องกับการวัดและประเมินผลการศึกษาในสถานศึกษาโดยมีกลุ่มบุคคลได้ร่วมกัน ด าเนินการเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย ศิริพร สระทองหน (2558) กล่าวว่า การวัดผลประเมินผล และเทียบโอนผลการเรียน มีดังนี้ การก าหนดระเบียบการวัดผลและประเมินผลของสถานศึกษา จัดท าเอกสารหลักฐานการศึกษาให้เป็ นไปตามระเบียบการวัดผลและประเมินผลของ สถานศึกษา การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ การอนุมัติผลการเรียนรู้และการเทียบโอน ผลการเรียน การประเมินผลการเรียนรู้ของทุกระดับชั้น และการสอนซ่อมเสริมพัฒนาเครื่องมือ การวัดผลและประเมินผล จัดระบบสารสนเทศด้านการวัดผลประเมินผล และการอนุมัติผลการ ประเมินและตัดสินผลการเรียนผ่านระดับชั้นและจบการศึกษา และ ปิยะสุดา เพชราเวช และพระ ครูกิตติวราทร (2564) กล่าวว่า กระบวนการและการจัดการวัดและประเมินผลแบบออนไลน์ โดยผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศถือว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายใหม่ของวงการการศึกษาของไทย ท าให้ผู้สอนและผู้เรียนต้องมีการปรับตัวให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงนี้ ขณะอีกด้านหนึ่งของการ รักษามาตรฐานและคุณภาพการเรียนการสอนก็ตกอยู่ภายใต้กรอบของการประกันคุณภาพ การศึกษาที่มีกฎหมายก าหนดไว้ และสิ่งที่ส าคัญผลลัพธ์ของการจัดการเรียนการสอนการวัดและ ประเมินผลที่ได้ต้องท าให้ผู้เรียนมีคุณภาพและมีผลสัมฤทธิ์ตามที่กรอบมาตรฐานได้ก าหนดไว้
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 186 กล่าวโดยสรุป การบริหารการวัดและประเมินผลการศึกษา หมายถึง กระบวนการ ด าเนินการวางนโยบายของผู้บริหารในการวัดและประเมินผลการศึกษาของผู้เรียน ซึ่งมอบหมายให้ครูผู้สอนเป็นผู้ด าเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ โดยการใช้เครื่องมือ ในรูปแบบต่างๆ ผู้บริหารเป็นผู้ส่งเสริม จัดหาสิ่งอ านวยความสะดวกต่างๆ ให้แก่ครูผู้สอน และ ในปัจจุบันสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีมีการพัฒนาและน ามา ประยุกต์ใช้ในการวัดและประเมินผล ข้อมูลที่ได้จะเป็นส่วนส าคัญในการพัฒนาผู้เรียน การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนของครูให้เกิดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลอย่างสูงสุด สถานศึกษาสามารถจัดการเรียนรู้ในรูปแบบผสมผสาน หรืออาจใช้วิธี อื่นๆ ได้ ตามความพร้อมของสถานศึกษา นักเรียน ผู้ปกครอง และบริบทของพื้นที่ปรากฏการณ์ การแพร่เชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่ง สมพร ปานด า (2563) ได้กล่าวถึง ปัจจัยเร่งส าคัญที่ส่งผล ให้มีการปรับวิธีการวัดและประเมินผลเพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนที่มีการ เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์หน่วยงานของภาครัฐให้ความส าคัญโดยการจัดการโครงสร้าง พื้นฐาน จัดสภาพแวดล้อม และพัฒนาสื่อการเรียนรู้อิเล็กทรอนิกส์ให้แก่สถาศึกษาในทุกระดับ ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นไป ตามวัตถุประสงค์ ประยุกต์ใช้และพัฒนาการจัดการเรียนการสอน หากสภาพแวดล้อมและ อุปกรณ์เอื้ออ านวยแต่ไม่รู้จักการน าไปใช้ให้คุ้มค่า การลงทุนเพื่อพัฒนาระบบเทคโนโลยี เพื่อการศึกษาจะได้ผลลัพธ์ที่ไม่คุ้มค่า ดังนั้น การวางแผนพัฒนาการเรียน การสอนโดยใช้ เทคโนโลยี เป็นเรื่องที่ต้องท าทั้งระบบ เพื่อให้การจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผลให้ ได้ผลอย่างแท้จริงและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน การพัฒนาระบบเทคโนโลยีมาใช้กับ การจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล เป็นการหาข้อสรุปคุณสมบัติของเทคโนโลยี ต่างๆ ที่ใช้ในการวัดและประเมินผล เพื่อให้ผู้สอนสามารถน าไปใช้ได้อย่างเหมาะสม อย่างไร ก็ตามผู้สอนจ าเป็นต้องศึกษาและทดลองใช้ด้วยตนเองเพื่อให้เกิดความรู้ความช านาญ จนสามารถน าไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพการพัฒนารูปแบบการวัดและประเมินผลโดยการน า เทคโนโลยี มาปรับใช้ในช่วงการเปลี่ยนผ่านระบบการศึกษาของไทยที่รวดเร็วจากผลกระทบ ที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) ต้องเป็นไปตามกลไกของ สังคมรูปแบบวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) ที่ต้องน ารูปแบบของระบบเทคโนโลยีมาใช้ดังนี้ 1. การปฏิบัติงานตามภารกิจการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนมีองค์ประกอบที่ส าคัญ 3 ประการ คือ จุดมุ่งหมาย ทางการเรียน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล ซึ่งเป็นกิจกรรมที่วัด เพื่อจะได้ทราบผลว่า การเรียนการสอนนั้นบรรลุจุดมุ่งหมายที่ก าหนดไว้หรือไม่ส านักวิชาการ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 187 และมาตรฐานการศึกษา ได้ก าหนดแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ สถานศึกษาต้อง ด าเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศึกษา โดยมีแนวทางการด าเนินการ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) ดังนี้ 1.1 สถานศึกษาต้องด าเนินการวัดและประเมินผลให้ครบองค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน ตามแนวทางและวิธีการของการวัดและประเมินผลแต่ละองค์ประกอบ และก าหนด เอกสารบันทึกผลการประเมินให้สอดคล้องกับแนวทางการวัดและประเมินผล 1.2 ให้ครูผู้สอนน าผลการประเมินแต่ละองค์ประกอบบันทึกลงในเอกสารบันทึก ผลการประเมินตามที่สถานศึกษาก าหนดและน าเสนอผู้บริหารสถานศึกษา 1.3 ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้อนุมัติผลการประเมิน 1.4 ให้มีการรายงานดวามก้าวหน้าผลการพัฒนาองค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน ให้ผู้ปกครองทราบเป็นระยะๆ และรายงานสรุปผลการเรียนปลายปี/ปลายภาค 1.5 ผู้บริหารสถานศึกษาต้องก าหนดวิธีการและมอบหมายผู้รับผิดชอบ ปรับปรุง พัฒนาผู้เรียนที่ได้ผลการเรียนช ้ารายวิชาหรือซ ้าชั้น 1.6 สถานศึกษาก าหนดแนวทางในการก ากับ ติดตามการบันทึกผลการประเมิน ในเอกสารหลักฐานการศึกษา ทั้งแบบที่กระทรวงศึกษาธิการก าหนด และแบบที่สถานศึกษา ก าหนดแนวทางการวัดและประเมินผลองค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน มีรายละเอียด ดังนี้ 2. การประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้การประเมินผลการเรียนรู้ ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ทั้ง 8 กลุ่มสาระ เป็นการประเมินความรู้ความสามารถ ทักษะ เจตคติ ทักษะการคิดที่ก าหนดอยู่ในตัวชี้วัดในหลักสูตร ซึ่งจะน าไปสู่การสรุปผลการเรียนรู้ของผู้เรียน ตามมาตรฐานการเรียนรู้ต่อไป ภารกิจของสถานศึกษาในการด าเนินการประเมินผลการเรียนรู้ ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ มีรายละเอียดดังนี้ 2.1 ก าหนดสัดส่วนคะแนนระหว่างเรียนกับคะแนนปลายปี/ปลายภาค โดยให้ ความส าคัญของคะแนนระหว่างเรียนมากกว่าคะแนนปลายปี/ปลายภาค เช่น 60 : 40, 70 : 30, 80 : 20 เป็นต้น 2.2 ก าหนดเกณฑ์การตัดสินผลการเรียน โดยพิจารณาความเหมาะสม ตามระดับชั้นเรียน เช่น ระดับประถมศึกษา อาจก าหนดเป็นระดับผลการเรียน หรือระดับ คุณภาพการปฏิบัติของผู้เรียน เป็นระบบตัวเลขระบบตัวอักษร ระบบร้อยละ หรือระบบที่ใช้ค า ส าคัญสะท้อนมาตรฐาน ส าหรับระดับมัธยมศึกษาก าหนดเป็นระดับผลการเรียน 8 ระดับ และ ก าหนดเงื่อนไขต่างๆ ของผลการเรียน เช่น การประเมินที่ยังไม่สมบูรณ์ (ร) การไม่มีสิทธิเข้ารับ
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 188 การสอบปลายภาค (มส) เป็นต้น นอกจากนี้ สถานศึกษาอาจก าหนดคุณลักษณะของความส าเร็จ ตามมาตรฐานการศึกษาแต่ละชั้นปีเป็นระดับคุณภาพเพิ่มอีกก็ได้ 2.3 ก าหนดแนวปฏิบัติในการสอนช่อมเสริมระหว่างเรียน กรณีผู้เรียนมีผล การประเมินตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนรู้ไม่ผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษาก าหนด 2.4 ก าหนดแนวปฏิบัติในการสอนช่อมเสริม การสอบแก้ตัว กรณีผู้เรียนมีระดับ ผลการเรียน "0" หรือ มีระดับคุณภาพต ่ากว่าเกณฑ์ และแนวด าเนินการกรณีผู้เรียนมีผลการ เรียนที่มีเงื่อนไข คือ "ร" หรือ "มส" 2.5 ก าหนดแนวปฏิบัติในการอนุมัติผลการเรียน 2.6 ก าหนดแนวทางในการรายงานผลการประเมินต่อผู้เกี่ยวข้อง 3. การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ถือเป็นความสามารถหลักที่ส าคัญซึ่งจ าเป็นต้องปลูกฝังและพัฒนาให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนด้วย กระบวนการจัดการศึกษาตามหลักสูตรในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ขณะเดียวกันก็จ าเป็นต้อง ตรวจสอบว่า ความสามารถดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วหรือยัง เนื่องจากการพัฒนาความสามารถด้าน การอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน ผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาตามล าดับอย่างต่อเนื่ อง ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือกิจกรรมต่างๆ กระบวนการ ตรวจสอบความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นทั้งความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ จะด าเนินการไปด้วยกัน ในกระบวนการ โดยมีหลักการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ดังนี้ 3.1 เป็นการประเมินเพื่อการปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนและประเมินเพื่อการตัดสิน การเลื่อนชั้นและจบการศึกษาระดับต่างๆ 3.2 ใช้วิธีการประเมินที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้เรียนมีโอกาสได้แสดงออก ซึ่งความสามารถดังกล่าวอย่างเต็มตามศักยภาพและท าให้ผลการประเมินที่ได้มีความเชื่อมั่น 3.3 การก าหนดภาระงานให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติ ควรสอดคล้องกับขอบเขตและ ประเด็นการประเมินที่ก าหนด 3.4 ใช้รูปแบบ วิธีการประเมินและเกณฑ์การประเมินที่ได้จากการมีส่วนร่วม ของผู้เกี่ยวข้อง 3.5 การสรุปผลการประเมินเพื่อรายงาน เน้นการรายงานคุณภาพของ ความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์และเขียน เป็น 4 ระดับ คือ ดีเยี่ยม ดี ผ่าน และไม่ผ่าน 4. แนวด าเนินการพัฒนาและประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนสถานศึกษา ควรด าเนินการพัฒนาและประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนเป็น กระบวนการอย่างชัดเจน สามารถตรวจสอบการด าเนินงานได้ การพัฒนาและประเมิน
การบริหารงานวิชาการ..เพื่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาในวิถีชีวิตใหม่ 189 ความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน สถานศึกษาอาจด าเนินการตามกระบวนการ ต่อไปนี้ 4.1 แต่งตั้งคณะกรรมการการพัฒนาและประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของสถานศึกษา ซึ่งอาจประกอบด้วย ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้แทน คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้แทนครูผู้สอน ผู้แทนผู้ปกครองนักเรียน และผู้แทนนักเรียน เพื่อก าหนดแนวทางในการพัฒนา ประเมิน ปรับปรุงแก้ไข และตัดสินผลการประเมิน ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนรายปี (ระดับประถมศึกษา) รายภาค (ระดับ มัธยมศึกษา) และจบการศึกษาแต่ละระดับ 4.2 ศึกษานิยามหรือความหมายของความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน ก าหนดขอบเขตและตัวชี้วัดที่แสดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และ เขียนให้สอดคล้องกับบริบทและจุดเน้นของสถานศึกษาในแต่ละระดับการศึกษา 3. ผู้มีส่วน เกี่ยวข้องร่วมกันศึกษาหลักการประเมิน และพิจารณาก าหนดรูปแบบวิธีการพัฒนาและประเมิน ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของสถานศึกษา 4. ก าหนดแนวทางการพัฒนา และประเมินความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ให้สอดคล้องกับขอบเขตและ ตัวชี้วัดที่ก าหนดในข้อ 2 และก าหนดระดับคุณภาพหรือเกณฑ์ในการประเมินเป็นระดับ คือ ดีเยี่ยม ดี ผ่าน และไม่ผ่าน เพื่อใช้ในการตัดสินผลรายปี (ระดับประถมศึกษา) รายภาค (ระดับ มัธยมศึกษา) และจบการศึกษาแต่ละระดับ 5. ด าเนินการพัฒนา ประเมิน และปรับปรุงแก้ไข ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน ตามรูปแบบและวิธีการที่ก าหนดอย่างต่อเนื่อง 6. สรุปและตัดสินผลการประเมิน บันทึกและรายงานผลการประเมินความสามารถในการอ่านคิด วิเคราะห์ และเขียน ต่อผู้เกี่ยวข้อง 5. แนวทางด าเนินการพัฒนาและประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์การพัฒนา คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของสถานศึกษาจะบรรลุผลได้นั้น ต้องอาศัยการบริหารจัดการและ การมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ครูที่ปรึกษา ครูผู้สอน ผู้ปกครอง และชุมชน ที่ต้องมุ่งชัดเกลา บ่มเพาะ ปลูกฝังคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้เรียน ในการพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์สามารถกระท าได้ โดยน าพฤติกรรมบ่งชี้ หรือพฤติกรรมที่แสดงออกของคุณลักษณะแต่ละด้านที่วิเคราะห์ไว้ บูรณาการในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างๆ ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โครงการพิเศษต่างๆ ที่สถานศึกษาจัดท าขึ้น เช่น โครงการวันพ่อ วันแม่แห่งชาติ โครงการลด ภาวะโลกร้อน วันรักษ์สิ่งแวดล้อม แห่เทียนพรรษา ตามรอยคนดี หรือกิจกรรมที่องค์กรใน ท้องถิ่นจัดขึ้น รวมทั้งสอดแทรกในกิจวัตรประจ าวันของสถานศึกษา