ค ำน ำ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย6 รหัสวิซา ท33102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่มนี้ได้จัดท าขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้โดยเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมและ กระบวนการเรียนรู้ สามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ทั้งเป็นรายบุคคลและรายกลุ่ม สร้างสถานการณ์ การเรียนรู้ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน ท าให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ อื่น ๆ ได้ในเชิงบูรณาการด้วยวิธีการที่หลากหลาย เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสรุปความรู้ ด้วยตนเอง ท าให้นักเรียนได้รับการพัฒนาทั้งด้านความรู้ ด้านทักษะ/กระบวนการ และด้านคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดี น าไปสู่การอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข การจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาภาษาไทย6 รหัสวิชา ท33102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่มนี้ ได้จัดท าตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งครอบคลุมตัวชี้วัดและมาตรฐาน การเรียนรู้ โดยได้น าเสนอแผนการจัดการเรียนรู้เป็นรายชั่วโมงตามหน่วยการเรียนรู้ และในแต่ละหน่วยการ เรียนรู้มีการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ด้านพุทธิพิสัยหรือความรู้ Cognitive Domain (K), ด้านจิตพิสัยหรือทักษะ Psychomotor Domain (P) และด้านทักษะพิสัยหรือเจตคติ Affective Domain (A) แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาภาษาไทย6 รหัสวิชา ท33102 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เล่มนี้ได้ออกแบบ การเรียนรู้ด้วยเทคนิคและวิธีการสอนอย่างหลากหลาย เพื่อการจัดการเรียนรู้ส าหรับนักเรียนให้บรรลุ เป้าหมายของหลักสูตรต่อไป นางสาวจิลันดา รักไร่ ผู้จัดท า
สำรบัญ ค ำน ำ ก สำรบัญ ข บันทึกข้อควำมขออนุญำตใช้แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ ค ค ำอธิบำยรำยวิชำ 1 หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 1 ลักษณะของภำษำ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 การใช้ค าหรือกลุ่มค าสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 หลักการสร้างค าในภาษาไทย หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 2 กำพย์เห่เรือ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 การอ่านออกเสียงบทร้อยกรอง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 ความเป็นมาและประวัติผู้แต่ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 สรุปเนื้อหาและค าศัพท์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 คุณค่าด้านวรรณศิลป์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 คุณค่าและข้อคิด หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 3 ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ความเป็นมาและประวัติผู้แต่ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การพิจารณาเนื้อหาและค าศัพท์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 คุณค่าด้านวรรณศิลป์และการใช้โวหาร แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 แง่งามความคิด หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 4 กำรอ่ำนวินิจสำร แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 การอ่านแปลความ ตีความ และขยายความ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การอ่านเพื่อประเมินค่า หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 5 กำรเขียนบันเทิงคดี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบันเทิงคดี แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การเขียนเรื่องสั้น หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 6 กำรประเมินคุณค่ำงำนเขียน แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 การประเมินคุณค่าเรื่องสั้น แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การประเมินคุณค่ากวีนิพนธ์ หน่วยกำรเรียนรู้ที่ 7 กำรพูดอภิปรำย กำรพูดแสดงทรรศนะ และกำรโต้แย้ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1การพูดอภิปราย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 การพูดแสดงทรรศนะ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 การโต้แย้ง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 ฝึกปฏิบัติทักษะการพูดแบบต่างๆ
บันทึกข้อควำม ส่วนรำชกำร โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ที่ 2404/2566 วันที่ 8 พฤศจิกายน 2566 เรื่อง ส่งแผนการจัดการเรียนรู้ วิชา ภาษาไทย 6 ท33102 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 --------------------------------------------------------------------------------------- เรียน ผู้อ านวยการโรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ด้วยข้าพเจ้า นางสาวจิลันดา รักไร่ ต าแหน่ง ครู โรงเรียนหนองกี่พิทยาคม สังกัดส านักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาบุรีรัมย์ ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่การสอน และด าเนินการจัดท าแผนการจัดการ เรียนรู้ วิชาภาษาไทย 6 รหัสวิชา ท33102 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 บัดนี้ ข้าพเจ้าได้ด าเนินการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย 6 รหัสวิชา ท33102 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรียบร้อยแล้ว จึงขอส่งแผนการจัดการเรียนรู้ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ตามรายละเอียดดังแนบ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ลงชื่อ ผู้รายงาน (นางสาวจิลันดา รักไร่) ต าแหน่ง ครู
กำรขอรับกำรสนับสนุนจำกผู้บังคับบัญชำ ตามที่ข้าพเจ้าได้จัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาไทย 6 รหัสวิชา ท33102 ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หากมีข้อเสนอแนะประการใด ข้าพเจ้ายินดีที่จะน าไปปรับปรุงและพัฒนา การปฏิบัติการสอน เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่ดีต่อการปฏิบัติการสอนในโอกาสต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและพิจารณาให้ข้อเสนอแนะตามที่เห็นสมควร ลงชื่อ (จิลันดา รักไร่) ครู ควำมเห็นของหัวหน้ำกลุ่มสำระกำรเรียนรู้ภำษำไทย ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…..…… ลงชื่อ (นางสาวรัชนี หงษ์ลอยลม) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ………/……………./……… ควำมคิดเห็นของผู้ช่วยผู้อ ำนวยกำรกลุ่มวิชำกำร …………………………………………………………………………………………………………………………………….……………..…… ลงชื่อ (นายสุเนตร บอกประโคน) ผู้ช่วยผู้อ านวยการกลุ่มวิชาการ ………/……………/……….. ควำมคิดเห็นของผู้อ ำนวยกำรโรงเรียนหนองกี่พิทยำคม ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ (นายสมิงไพร สุนทะวงษ์) ผู้อ านวยการโรงเรียนหนองกี่พิทยาคม ………/……………/……
ค ำอธิบำยรำยวิชำภำษำไทย 6 รหัสวิชำ ท33102 เวลำ 40 ชั่วโมง 1 หน่วยกิต ศึกษา ฝึกทักษะการอ่าน การเขียน การฟัง การดู การพูด การวิเคราะห์ ประเมินค่าวรรณคดีและ วรรณกรรม โดยฝึกทักษะเกี่ยวกับอ่านออกเสียง ตีความ แปลความ ขยายความ ตอบค าถาม คาดคะเน เหตุการณ์เรื่องที่อ่าน วิเคราะห์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน ซึ่งเป็นการเสนอ ความคิดใหม่อย่างมีเหตุผล ฝึกทักษะการเขียน บรรยาย เขียนพรรณนา โน้มน้าว โครงการและรายงานการ ด าเนินโครงการ รายงานการประชุม เขียนบันเทิงคดี ประเมิน คุณค่างานเขียนในด้านต่าง ๆ ฝึกทักษะการพูด สรุปแนวคิด แสดงความคิดเห็น ประเมินเรื่องที่ฟังและดู พูดในโอกาสต่าง ๆ ศึกษาเกี่ยวกับระดับของภาษา อิทธิพลของภาษาต่างประเทศ แต่งบทร้อยกรองประเภทฉันท์วิเคราะห์วิถีไทย ประเมินค่าความรู้และข้อคิด จากวรรณคดีวรรณกรรมเรื่อง ขุนช้างขุนแผน กาพย์เห่เรือ สามก๊ก ไตรภูมิพระร่วง ท่องจ าบทอาขยานที่ ก าหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจ โดยใช้กระบวนการอ่าน เพื่อสร้างความรู้ความคิดน าไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการด าเนินชีวิต กระบวนการ เขียน เขียนสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการฟัง การดู และการพูด สามารถเลือกฟัง ดู และพูดแสดงความรู้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณและสร้างสรรค์ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติภาษาและหลัก ภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา วิเคราะห์วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมอย่าง เห็นคุณค่าและน ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และการ รักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติของชาติ และมีนิสัยรักการ อ่าน การเขียน มีมารยาทในการอ่าน การเขียน การฟัง การดูและการพูด เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นฐานความรู้ด้านภาษาไทยที่ถูกต้อง พัฒนาทักษะการใช้ภาษาไทยครบทุกด้าน และ เรียนรู้คุณค่าที่สอดแทรกในวรรณคดีและวรรณกรรมไทย รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ดีงามไป ใช้พัฒนาตน พัฒนาการเรียน และพัฒนาความรู้ทางอาชีพในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รหัสตัวชี้วัด/ผลกำรเรียนรู้ ท1.1 ม 4-6/4 ท1.1 ม 4-6/6 ท2.1 ม.4-6/4 ท2.1 ม.4-6/5 ท3.1 ม.4-6/5 ท3.1 ม.4-6/6 ท4.1 ม.4-6/2 ท4.1 ม.4-6/6 ท5.1 ม.4-6/1 ท5.1 ม.4-6/2 ท5.1 ม.4-6/3 ท5.1 ม.4-6/4 ท5.1 ม.4-6/6 รวม 13 ตัวชี้วัด
หน่น่ น่ ว น่ วยที่ที่ ที่ที่1 ลัลั ลักลัษณะของภาษา
หน่วยการเรียนรู้ที่1 ลักษณะของภาษา 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ท 4.1 ม.4-6/2 ใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยคตรงตามวัตถุประสงค์ ม.4-6/6 อธิบายและวิเคราะห์หลักการสร้างคำในภาษาไทย 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การศึกษาหลักภาษาไทย ต้องอธิบายลักษณะของภาษา ใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยคได้ตรงตามวัตถุประสงค์ อธิบายและ วิเคราะห์หลักการสร้างคำในภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง การใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยค -การใช้คำ หลักการสร้างคำในภาษาไทย 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวิเคราะห์ 2) ทักษะการสังเคราะห์ 3) ทักษะการสร้างความรู้ 4) ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 6. ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) สมุดบันทึกการอ่านในชีวิตประจำวัน 7. การวัดและการประเมินผล 7.1 การประเมินก่อนเรียน - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ลักษณะของภาษา 7.2 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1) ตรวจใบงานที่ 1 เรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร 2) ตรวจแบบบันทึกการอ่าน 3) ประเมินการนำเสนอผลงาน 4) สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล
5) สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม 6) สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 7.3 การประเมินหลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ลักษณะของภาษา 7.4 การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ตรวจสมุดบันทึกการอ่านในชีวิตประจำวัน
8. กิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ลักษณะของภาษา เรื่องที่ 1 การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร เวลา 1 ชั่วโมง วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคการแบ่งปันความสำเร็จ ขั้นน ำเข้ำสู่บทเรียน 1. ครูสนทนากับนักเรียนเรื่อง การสนทนาในชีวิตประจ าวัน จากนั้นถามนักเรียนว่า ในการพูดโดยทั่วไปนั้นผู้พูดมี เจตนาอย่างไร 2. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่อง เจตนาของผู้ส่งสาร ขั้นสอน 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาความรู้เรื่อง การใช้ค าหรือกลุ่มค าสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร จาก หนังสือเรียน 2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่อง การใช้ค าหรือกลุ่มค าสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร จนมีความเข้าใจกระจ่างชัดเจน 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันท าใบงำนที่ 1เรื่อง กำรใช้ค ำหรือกลุ่มค ำสร้ำงประโยคให้ตรงตำมเจตนำของผู้ส่ง สำร โดยให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มหาค าตอบด้วยตนเองจนครบทั้ง 2 ตอน เมื่อท าเสร็จแล้วให้น าส่งครูตรวจ 4. ครูน าคะแนนของสมาชิกทุกคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนนกลุ่ม จากนั้นกล่าวค าชมเชยและน าผลงานของนักเรียน กลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดมาให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง ขั้นสรุป 1. ครูให้นักเรียนกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดร่วมกันสรุปองค์ความรู้เรื่อง การใช้ค าหรือกลุ่มค าสร้างประโยคให้ตรงตาม เจตนาของผู้ส่งสาร 2. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อสรุปองค์ความรู้
เรื่องที่ 2 หลักการสร้างคำในภาษาไทย เวลา 1 ชั่วโมง วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา ขั้นที่ 1 ขั้นกำหนดปัญหา 1. ผู้เรียนร่วมกันค้นหาและแสดงเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาในการสร้างคำว่าผู้เรียนจึงสร้างคำด้วยวิธีต่างๆ ไม่ได้ และมี สาเหตุจากสิ่งใด 2. ผู้เรียนร่วมกันคัดเลือกปัญหาตามความสนใจตามประเด็น ‘’เราจะเรียนรู้เรื่องการสร้างคำให้เข้าใจชัดเจนได้ อย่างไร’’ ขั้นที่ 2 ตั้งสมมติฐาน 1. ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา ค้นหาสาเหตุที่ผู้เรียนสร้างคำด้วยวิธีต่างๆ ไม่ได้ เช่น เนื่องจากไม่รู้ความหมายและ ไม่เข้าใจชนิดของการสร้างคำ ขั้นที่ 3 ขั้นรวบรวมข้อมูล 1. ผู้เรียนร่วมกันสรุปถึงสาเหตุของปัญหา แล้วอภิปรายถึงวิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสร้างคำ 2. ผู้เรียนแบ่งกลุ่มโดยคละความสามารถภายในกลุ่ม เลือกประธาน และเลขานุการกลุ่ม 3. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าประเด็นเกี่ยวกับการสร้างคำจากห้องสมุดหรือใบความรู้ให้แต่ละกลุ่มศึกษา เพื่อตอบคำถาม ดังนี้ - กลุ่มที่ 1 ศึกษาเรื่องความหมายของคำประสมและการสร้างคำแบบประสม พร้อมทั้งยกตัวอย่าง - กลุ่มที่ 2 ศึกษาเกี่ยวกับความหมายของคำซ้อนและการสร้างคำซ้อน พร้อมทั้งยกตัวอย่าง - กลุ่มที่ 3 ศึกษาเกี่ยวกับความหมายของคำซ้ำและการสร้างคำซ้ำ พร้อมทั้งยกตัวอย่าง - กลุ่มที่ 4 ศึกษาความหมายของคำสมาสและการสร้างคำสมาสแบบสนธิ พร้อมทั้งยกตัวอย่าง 4. ผู้เรียนร่วมกันอภิปราย สรุป และจดบันทึกเกี่ยวกับความหมายของการสร้างคำและส่งผู้แทนกลุ่มมานำเสนอผล การศึกษา โดยผู้สอนสรุปเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ ขั้นที่ 4 ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผู้เรียนร่วมกันอธิบายวิธีการสร้างคำจากตัวอย่างบัตรคำผู้สอนนำเสนอ 2. ผู้สอนแตกไปงานเกี่ยวกับคำชนิดต่างๆ กลุ่มละ 30 คำ และให้ช่วยกันวิเคราะห์ว่าคำๆ นั้น สร้างด้วยวิธีใด (ทำลงใน กระดาษขาวเทา) จากนั้นนำเสนอหน้าชั้นเรียน 3. สมาชิกแต่ละกลุ่มตัดข้อความจากหนังสือพิมพ์หรือวารสารที่ผู้เรียนสนใจติดลงในกระดาษ A4 แล้วเลือกขีดเส้นใต้ คำจำนวน 10 คำ จากนั้นให้บอกว่าคำๆ นั้นสร้างด้วยวิธีใด 4. ให้แต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างคำ กลุ่มละ 20 คำให้ครบ 5 วิธี เสร็จแล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจ ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปและประเมินผล 1. ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันสรุปปัญหา ความหมาย ชนิดของการสร้างคำ 2. ผู้เรียนร่วมกันตรวจสอบผลการจัดกิจกรรม (ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล) ว่าสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่อย่างไร ถ้าไม่สอดคล้องให้ช่วยกันหาข้อบกพร่องแล้วปรับปรุงแก้ไขใหม่ แต่ถ้าเป็นไปตามสมติฐานที่ตั้งไว้ ให้ผู้เรียนจด บันทึกสรุปเป็นองค์ความรู้ลงสมุด 3. นักเรียนทำใบงานที่ 2 เรื่องการสร้างคำ เสร็จแล้วครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยคำตอบ นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ลักษณะของภาษา
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 9.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) ใบงานที่ 1 การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร 4) ใบงานที่ 2 การสร้างคำ 9.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด
การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แบบบันทึกการอ่าน ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง นามปากกา สำนักพิมพ์ สถานที่พิมพ์ ปีที่พิมพ์ จำนวนหน้า ราคา บาท อ่านวันที่ เดือน พ.ศ. เวลา 1. สาระสำคัญของเรื่อง 2. วิเคราะห์ข้อคิด/ประโยชน์ที่ได้จากเรื่องที่อ่าน 3. สิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 4. ข้อเสนอแนะของครู ลงชื่อ นักเรียน ลงชื่อ ผู้ปกครอง ( ) ( ) ลงชื่อ ครูผู้สอน ( ) เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานมีความสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย ให้ 3 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน
แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. คำประพันธ์ต่อไปนี้ใช้คำประเภทใดมากที่สุด มีแต่ความกระเสือกกระสนทุรนทุราย ฟูมฟายอยู่ในความไหม้หม่น มีแต่ความแคบคับที่อับจน ทางหนที่กระดิกกระเดี้ยตัว ก. คำสมาส ข. คำประสม ค. คำซ้ำ ง. คำซ้อน 2. คำที่ใดที่ขีดเส้นใต้ข้อใดต้องใช้เป็นคำซ้ำเสมอ ก. เธอร้องกรี๊ดๆ ลั่นห้อง ข. ค่อย ๆ พูดก็ได้อย่าเพิ่งใจร้อน ค. เธอเผลอแลบลิ้นแผล็บๆ เมื่อพูดผิด ง. ฝนตกหยิม ๆ ในขณะที่ฉันเดินมาโรงเรียน 3. ข้อใดมีใช่คำประสม ก. ต้มเค็ม ข. ต้มข่า ค. ต้มไข่ ง. ต้มส้ม 4. คำซ้ำในข้อใดไม่มีความหมายเป็นพหูพจน์ ก. น้องๆ ของเขารักใคร่กันดี ข. เขาป่วยต้องนอนพักรักษาเป็นเดือนๆ ค. ตอนเด็กๆฉันเคยไปอยู่ต่างจังหวัด ง. สาวๆสมัยนี้รูปร่างอ้อนแอ้นกั้นทั้งนั้น 5. ข้อความต่อไปนี้มีคำซ้อนกี่คำ “ข้าวเป็นธัญญาหารที่มีประโยชน์อยู่ทุกอณูของเมล็ดข้าว เนื้อข้าว รำข้าว และจมูกข้าว เราจึงควรกินข้าวให้ครบทุกส่วนของ เมล็ด เพื่อชีวิตที่แข็งแรงสดใส ห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ และมีสุขภาพดีอายุยืนยาว” ก. 3 คำ ข. 4 คำ ค. 5 คำ ง. 6คำ 6. ข้อใดมีคำประสม ปนอยู่ ก. ตัดสิน พัดวี ข่มเหง ข. รู้จัก คอยทำ อบรม ค. งูเงี้ยว บากบั่น กลิ่นอาย ง. ขาดเหลือ บ่อเกิด เสื่อสาด 7.ข้อใดมีคำซ้อนที่สร้างจากคำไทยและคำเขมรทุกคำ ก. ด่าทอ แมกไม้ เผาผลาญ ข. พงไพร เลือกสรร แบบแผน ค. เมิลมอง เสนียดจัญไร ภูเขา ง. ทรวงอก ละเอียด ฝุ่นผง 8. คำประสมในข้อใดประสมจากคำไทยแท้ทุกคำ ก. เดินโพย หมูตุ๋น เก้าอี้โยก ข. ตู้เชฟ เท้าแชร์ พวงหรีด ค. ยานอวกาศ มนุษย์กบ แก๊สน้าตา ง. หน้าม้า หมกเห็ด หุ่นเชิด
9. ข้อใดเป็นคำประสมที่เลียนแบบคำสมาสทุกคำ ก. เทพเจ้า สมมุติเทพ สุริยเทพ ข. ทุนทรัพย์ เมรุมาศ ผลไม้ ค. พลเรือน ราชวัง ราชครู ง. สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ สรรพสินค้า 10. คำซ้อนในข้อใด สลับที่กันแล้วความหมายเปลี่ยนทั้งสองคำ ก.แหลกเหลว แน่นหนา ข. เศร้าโศก สร้อยเศร้า ค.เหือดแห้ง ร่อนเร่ ง. แผ่เผื่อ เปื้อนเปรอะ 11. “เวลาที่ท่านตั้งใจทำงาน บุคลิกของท่านก็เหมือนนักบวชกำลังสาธยายมนต์ สง่างามเหมือนนักรบที่ต่อสู่กับข้าศึกเหมือน แพทย์ที่กำลังช่วยชีวิตคนไข้ เหมือนตำรวจกำลังรักษาราษฎรมิให้ถูกโจรทำร้าย” ข้อความนี้มีคำประสมกี่คำและคำซ้อนกี่คำ ก. คำประสม 3 คำ, คำซ้อน 3 คำ ข. คำประสม 4 คำ , คำซ้อน 4 คำ ค. คำประสม 5 คำ, คำซ้อน 4 คำ ง. คำประสม 7 คำ , คำซ้อน 3 คำ 12. ท่านผู้เฒ่ามีจุดยืนไปทางความคิดฝ่ายเต๋า อย่างเดียวกับซุยเป๋งเพื่อนของขงเบ้ง ซึ่งเป็นคนกล่าวย้ำกับ เล่าปี่ว่า “ธรรมดา สรรพสิ่งในใต้ฟ้า เมื่อแยกกันนาน ๆ กลับรวมกัน เมื่อรวมกันนาน ๆ ก็แยกอีก” เพื่อให้เล่าปี่รู้จักปล่อยว่าง ข้อความข้างต้นมีคำประสมกี่คำ คำซ้อนกี่คำ ก. คำประสม 2 คำ ,คำซ้อน 2 คำ ข. คำประสม 3 คำ ,คำซ้อน 3 คำ ค. คำประสม 4 คำ ,คาซ้อน 2 คำ ค. คำประสม 3 คำ ,คำซ้อน 2 คำ 13. ข้อใดมีคำประสมและคำซ้อน ก. อัดแกนนำพันธมิตรมีเจตนาไม่บริสุทธ์ ข. เอกยุทธจี้หมักตัดสินใจ ค. อินทรีเหล็กคึกคักหมั่นใจดับซ่าไก่งวง ง. พานิชย์จับตา 200 การคุมราคาสินค้า 14. ข้อใดมีวิธีการสร้างคำมากที่สุด ก. สถานการณ์ขาดแคลนพลังงานกำลังเป็นปัญหาคุกคามโลกยุคโลกกาภิวัตน์ ข. อีกสิบปีข้างหน้าโลกต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอาหาร ค. อีกทั้งสภาวะโลกร้อนอาจทำให้น้ำท่วมโลก ง. ความยุ่งเหยิงโกลาหลรอคอยอยู่ข้างหน้า 15. คำประสมในข้อใด มีโครงสร้างเหมือนคำว่า “เครื่องปั่นไฟ” ทุกคำ ก. จักรเย็บผ้า , ผ้ากันเปื้อน ข. ผ้าปูโต๊ะ , ผ้าเช็ดหน้า ค. หม้อไฟฟ้า , โรงจอดรถ ง. ไม้ตีกอล์ฟ , เข็มขัดนิรภัย
16. ข้อใดไม่มีคำซ้อน ก. หน้าตาของสลวยดูสดใสขึ้นเมื่อทราบข่าวคนรักของเธอ ข. สารินไม่รู้จักมักคุ้นกับอัศนีย์แต่เขาก็มาชวนเธอทำงาน ค. รจนาหน้าตกอยู่ในวังวนของความทุกข์ที่ดูจะหาทางออกไม่ได้ ง. กนกเรขาไม่เดือดร้อนที่คนเข้าใจผิดเรื่อง 17. คำซ้ำในข้อใดมีความหมายต่างจากข้ออื่น ก. เรากำลังฟังเพลิน เธอก็หยุดเล่าเสียเฉย ๆ ข. คนช่วยงานเยอะแล้วเรานั่งเฉย ๆ ดีกว่า ค. นักเรียนมักกลัวครูที่ทำหน้าเฉย ๆ ง. ไหนเธอว่าเขาเป็นคนเฉย ๆ ไง 18. ข้อความต่อไปนี้มีคำซ้อนกี่คำ “ธรรมชาติสรรค์สร้างสิ่งดีๆ ให้มวลมนุษย์ แต่มนุษย์เป็นผู้ทำร้ายจนโลกเปลี่ยนแปลง จึงต้องตักเตือนกันให้นำโลกเข้าสู่สภาพเดิม เร็วไว” ก. 2 คำ ข. 3 คำ ค. 4 คำ ง. 5 คำ 19. คำประสมทุกคำในข้อใดมีส่วนประกอบเหมือนคำว่า“คนพิมพ์ดีด” ก.เครื่องตัดหญ้า รถลอยฟ้า ข. คนเก็บขยะ นักการเมือง ค. หัวก้าวหน้า ผู้ใจบุญ ง. ห้องนั่งเล่น ผ้ากันเปื้อน 20. ข้อใดมีคำซ้ำที่ใช้เป็นคำเดี่ยวไม่ได้ ก. กำลังเดิน ๆ อยู่ฝนก็ตก ข. เรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ๆ เชื่อเถอะ ค. นักมวยฝ่ายแดงกำลังงง ๆ เมื่อถูกจับแพ้ ง. เปิดพัดลมเบา ๆ เดี่ยวจะเป็นหวัด 21. การใช้คำซ้ำในข้อใดต่างจากข้ออื่น ก. น้ำพระทัยเธอข่อน ๆ คิดไม่ขาด ข. น้ำพระชนนัยน์ไหลลงหลั่ง ๆ ค. พุ่มไม้ครึ้มเป็นเงา ๆ ชะโงกเงื้อม ง. ฝูงสกุณาออกหากินบินเกริ่นก้องร้องอยู่แจ้ว ๆ 22. ข้อใดเป็นคำซ้อนทุกคำ ก. กล้ำกลืน เคยตัว ติดตาม ข. อวดอ้าง หมายมาด เคลื่อนคล้อย ค. พรั่งพร้อม หง่างเหง่ง วังเวง ง. ร่อยหรอ โศกศัลย์ ตกยาก 23. ข้อใดเป็นคำซ้อนทุกคำ ก. เหตุการณ์ มิตรสหาย โกรธเคือง พบพาน ข. เงียบสงัด เรืองรอง ขมีขมัน ห้องหอ ค. สูญเสีย พักผ่อน สัตว์ซื่อ วิธีการ ง. ปล่อยวาง ลำน้ำ เผ่นโผน นับถือ
24. ข้อใดเป็นคำประสมทุกคำ ก. ของขลัง ชุมนุม เรือด่วน สามขุม ข. เรียงเบอร์ ข้าวสวย มูมมาม เหล็กดัด ค. มือถือ เครื่องบิน ต้มเค็ม รูปภาพ ง. แม่พิมพ์ เครื่องคิดเลข แกงไก่ ขายหน้า “เดินเร็วๆ ซิ” ข้อความนี้เป็นประโยคบอกให้ทำชนิดใด ก.แสดงคำสั่ง ข. เจตนาจะให้ทำ ค. ขอร้องไม่ให้ทำ ง. อ้อนวอน ขอร้อง 25.“ห้ามนำสุนัขเข้ามาในร้านอาหาร” ข้อความนี้เป็นประโยคบอกให้ทำชนิดใด ก.แสดงคำสั่ง ข. เจตนาจะให้ทำ ค. ขอร้องไม่ให้ทำ ง.อ้อนวอน ขอร้อง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่1 ลักษณะของภาษา เวลา 1 ชั่วโมง เรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ต้องรู้จักเลือกใช้คำและกลุ่มคำให้ถูกต้อง 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 4.1 ม.4-6/2ใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยคตรงตามวัตถุประสงค์ 2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยคได้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง การใช้คำและกลุ่มคำสร้างประโยค - การใช้คำ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวิเคราะห์ 2) ทักษะการตีความ 3) ทักษะการเปรียบเทียบ 4) ทักษะการสร้างความรู้ 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. รักความเป็นไทย
6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคการแบ่งปันความสำเร็จ นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่องลักษณะของภาษา ขั้นที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูสนทนากับนักเรียนเรื่อง การสนทนาในชีวิตประจำวัน จากนั้นถามนักเรียนว่า ในการพูดโดยทั่วไปนั้น ผู้พูดมีเจตนา อย่างไร 2. นักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่อง เจตนาของผู้ส่งสาร ขั้นที่ 2 ขั้นสอน 1. นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มเดิมจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1) ร่วมกันศึกษาความรู้เรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยค ให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร จากหนังสือเรียน 2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำ สร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร จนมีความเข้าใจ กระจ่างชัดเจน 3. ครูชี้แจงให้นักเรียนทราบว่า ความสำเร็จของกลุ่มนั้นจะต้อง อาศัยผลจากการร่วมมือกันและช่วยเหลือกัน ผู้ที่เก่งกว่า จะต้องช่วยเหลือผู้ที่อ่อนกว่าหรือเรียนช้ากว่า 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันทำใบงานที่ 1 เรื่อง การใช้คำหรือ กลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร โดยให้ สมาชิกทุกคนในกลุ่มหาคำตอบด้วยตนเองจนครบทั้ง 2 ตอน เมื่อทำเสร็จแล้วให้นำส่งครูตรวจ 5. ครูนำคะแนนของสมาชิกทุกคนในกลุ่มมารวมกันเป็นคะแนน กลุ่ม จากนั้นกล่าวคำชมเชยและนำผลงานของนักเรียนกลุ่มที่ ได้คะแนนสูงสุดมาให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง 6. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนคิดว่า การใช้คำหรือกลุ่มคำ สร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร มีความสำคัญอย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้ อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 3 ขั้นสรุป 1. ครูให้นักเรียนกลุ่มที่ได้คะแนนสูงสุดร่วมกันสรุปองค์ความรู้ เรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนา ของผู้ ส่งสาร 2. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพื่อสรุปองค์ความรู้ เรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ ส่งสาร
7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 1 ใบงานที่ 1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน และรักความเป็นไทย แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : วรรณคดีและวรรณกรรม ม.6 2) ใบงานที่ 1 เรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร 8.2 แหล่งการเรียนรู้ -
ใบงานที่ 1.1 เรื่อง การใช้คำหรือกลุ่มคำสร้างประโยคให้ตรงตามเจตนาของผู้ส่งสาร ตอนที่ 1 คำชี้แจง ให้นักเรียนอธิบายลักษณะของประโยคต่อไปนี้ 1. ประโยคแจ้งให้ทราบ 2. ประโยคถามให้ตอบ 3. ประโยคบอกให้ทำ ตอนที่ 2 คำชี้แจง ให้นักเรียนแต่งประโยคต่อไปนี้ ประเภทละ 2 ประโยค 1. ประโยคแจ้งให้ทราบ 2. ประโยคถามให้ตอบ 3. ประโยคบอกให้ทำ
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความร่วมมือ กันทำ กิจกรรม การแสดง ความคิดเห็น การรับฟัง ความคิดเห็น การตั้งใจ ทำงาน การแก้ไข ปัญหา/หรือ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบายความหมาย ของเพลงชาติ 1.2 ปฏิบัติตนและชักชวนผู้อื่นปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง 1.3 ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการทำกิจกรรมกับสมาชิกในโรงเรียน ชุมชน และสังคม 1.4 เป็นผู้นำหรือเป็นแบบอย่างในการจัดกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม ชื่นชม ปกป้อง ความเป็นชาติไทย 1.5 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน 1.6 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนและชุมชนจัดขึ้น ชื่นชมในพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ทำตาม สัญญาที่ตนให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และครู เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านความซื่อสัตย์ 2.3 ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนด้านความซื่อสัตย์ 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสังคม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน ปฏิบัติ เป็นปกติวิสัยและเป็นแบบอย่างที่ดี 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 4.2 มีการจดบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 4.3 สรุปความรู้ได้อย่างมีเหตุผล 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินของตนเอง เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอย่างเหมาะสม 5.2 ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี 5.3 ปฏิบัติตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.4 ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมให้อภัยเมื่อผู้อื่น กระทำผิดพลาด
แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ต่อ) คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.5 วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 6.2 ตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงานให้สำเร็จ 6.3 ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานอย่างรอบคอบ 6.4 ทุ่มเท ทำงาน อดทน ไม่ท้อต่อปัญหาและอุปสรรค 6.5 พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้สำเร็จ 6.6 ชื่นชมผลงานความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ช่วยทำ แบ่งปันสิ่งของ ทรัพย์สิน และอื่นๆ พร้อมช่วยแก้ปัญหา 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมสร้างสิ่งที่ดีงามตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่1 ลักษณะของภาษา เวลา 1 ชั่วโมง เรื่อง หลักการสร้างคำในภาษาไทย ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การสร้างคำในภาษาไทยเพื่อนำมาใช้ในการสื่อความหมายมีหลายวิธีแต่ละวิธีมีลักษณะและวิธีการที่แตกต่างกัน เช่น การ สร้างแบบประสม คำซ้อน คำซ้ำ คำสมาส และคำสมาสแบบสนธิเป็นต้น 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 4.1 ม.4-6/6อธิบายและวิเคราะห์หลักการสร้างคำในภาษาไทย 2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) นักเรียนเข้าใจหลักการสร้างคำในภาษาไทย 2) นักเรียนสามารถจำแนกคำประสม คำซ้อน คำซ้ำคำสมาส และคำสนธิได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง หลักการสร้างคำในภาษาไทย 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวิเคราะห์ 2) ทักษะการตีความ 3) ทักษะการเปรียบเทียบ 4) ทักษะการสร้างความรู้ 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. รักความเป็นไทย
6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบกระบวนการแก้ปัญหา ขั้นที่ 1 ขั้นกำหนดปัญหา 1. ผู้เรียนร่วมกันค้นหาและแสดงเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาในการสร้างคำว่าผู้เรียนจึงสร้างคำด้วยวิธีต่างๆ ไม่ได้ และมี สาเหตุจากสิ่งใด 2. ผู้เรียนร่วมกันคัดเลือกปัญหาตามความสนใจตามประเด็น ‘’เราจะเรียนรู้เรื่องการสร้างคำให้เข้าใจชัดเจนได้ อย่างไร’’ ขั้นที่ 2 ตั้งสมมติฐาน 1. ผู้เรียนร่วมกันวิเคราะห์ปัญหา ค้นหาสาเหตุที่ผู้เรียนสร้างคำด้วยวิธีต่างๆ ไม่ได้ เช่น เนื่องจากไม่รู้ความหมายและ ไม่เข้าใจชนิดของการสร้างคำ ขั้นที่ 3 ขั้นรวบรวมข้อมูล 1. ผู้เรียนร่วมกันสรุปถึงสาเหตุของปัญหา แล้วอภิปรายถึงวิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสร้างคำ 2. ผู้เรียนแบ่งกลุ่มโดยคละความสามารถภายในกลุ่ม เลือกประธาน และเลขานุการกลุ่ม 3. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาค้นคว้าประเด็นเกี่ยวกับการสร้างคำจากห้องสมุดหรือใบความรู้ให้แต่ละกลุ่มศึกษา เพื่อตอบคำถาม ดังนี้ - กลุ่มที่ 1 ศึกษาเรื่องความหมายของคำประสมและการสร้างคำแบบประสม พร้อมทั้งยกตัวอย่าง - กลุ่มที่ 2 ศึกษาเกี่ยวกับความหมายของคำซ้อนและการสร้างคำซ้อน พร้อมทั้งยกตัวอย่าง - กลุ่มที่ 3 ศึกษาเกี่ยวกับความหมายของคำซ้ำและการสร้างคำซ้ำ พร้อมทั้งยกตัวอย่าง - กลุ่มที่ 4 ศึกษาความหมายของคำสมาสและการสร้างคำสมาสแบบสนธิ พร้อมทั้งยกตัวอย่าง 4. ผู้เรียนร่วมกันอภิปราย สรุป และจดบันทึกเกี่ยวกับความหมายของการสร้างคำและส่งผู้แทนกลุ่มมานำเสนอผล การศึกษา โดยผู้สอนสรุปเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ ขั้นที่ 4 ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผู้เรียนร่วมกันอธิบายวิธีการสร้างคำจากตัวอย่างบัตรคำผู้สอนนำเสนอ 2. ผู้สอนแตกไปงานเกี่ยวกับคำชนิดต่างๆ กลุ่มละ 30 คำ และให้ช่วยกันวิเคราะห์ว่าคำๆ นั้น สร้างด้วยวิธีใด (ทำลงใน กระดาษขาวเทา) จากนั้นนำเสนอหน้าชั้นเรียน 3. สมาชิกแต่ละกลุ่มตัดข้อความจากหนังสือพิมพ์หรือวารสารที่ผู้เรียนสนใจติดลงในกระดาษ A4 แล้วเลือกขีดเส้นใต้ คำจำนวน 10 คำ จากนั้นให้บอกว่าคำๆ นั้นสร้างด้วยวิธีใด 4. ให้แต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างคำ กลุ่มละ 20 คำให้ครบ 5 วิธี เสร็จแล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจ ขั้นที่ 5 ขั้นสรุปและประเมินผล 1. ผู้เรียนและผู้สอนร่วมกันสรุปปัญหา ความหมาย ชนิดของการสร้างคำ 2. ผู้เรียนร่วมกันตรวจสอบผลการจัดกิจกรรม (ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล) ว่าสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้หรือไม่อย่างไร ถ้าไม่สอดคล้องให้ช่วยกันหาข้อบกพร่องแล้วปรับปรุงแก้ไขใหม่ แต่ถ้าเป็นไปตามสมติฐานที่ตั้งไว้ ให้ผู้เรียนจด บันทึกสรุปเป็นองค์ความรู้ลงสมุด 3. นักเรียนทำใบงานที่ 2 เรื่องการสร้างคำ เสร็จแล้วครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยคำตอบ
7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงาน ใบงานที่2 คะแนนผ่านร้อยละ 60 สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ การนำเสนอผลงาน แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ ทำแบบทดสอบหลังเรียน แบบทดสอบหลังเรียน คะแนนผ่านร้อยละ 60 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย 2) ใบความรู้เรื่องการสร้างคำ 3) หนังสือพิมพ์ วารสาร 4) บัตรคำ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ -
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความร่วมมือ กันทำ กิจกรรม การแสดง ความคิดเห็น การรับฟัง ความคิดเห็น การตั้งใจ ทำงาน การแก้ไข ปัญหา/หรือ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 นำเสนอเนื้อหาในผลงานได้ถูกต้อง 2 การลำดับขั้นตอนของเนื้อเรื่อง 3 การนำเสนอมีความน่าสนใจ 4 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง
บันทึกหลังหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน ตอนที่ 1 นักเรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของหน่วยการเรียนรู้ ต่อไปนี้ ท 4.1 (ม.4-6/4, ม.4-6/6) ด้านความรู้ (จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ) ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) สรุปผลจากการประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) ประจำหน่วยการเรียนรู้ ระดับคุณภาพดีมาก จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ระดับคุณภาพดี จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ระดับคุณภาพพอใช้ จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ระดับคุณภาพปรับปรุง จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง
ตอนที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพนักเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการประเมินคุณภาพภายนอก ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ด้านคุณภาพผู้เรียน) ร้อยละ มาตรฐานที่ 1 ผู้เรียนมีสุขภาวะที่ดีและมีสุนทรียภาพ 1.1 มีสุขนิสัยในการดูแลสุขภาพและออกกำลังกายสม่ำเสมอ 1.2 มีน้ำหนัก ส่วนสูง และมีสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์มาตรฐาน 1.3 ป้องกันตนเองจากสิ่งเสพติดให้โทษและหลีกเลี่ยงตนเองจากสภาวะที่เสี่ยงต่อความรุนแรง โรค ภัย อุบัติเหตุ และปัญหาทางเพศ 1.4 เห็นคุณค่าในตนเอง มีความมั่นใจ กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม 1.5 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและให้เกียรติผู้อื่น 1.6 สร้างผลงานจากการเข้าร่วมกิจกรรมด้านศิลปะ ดนตรี/นาฏศิลป์ กีฬา/นันทนาการตามจินตนาการ มาตรฐานที่ 2 ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ 2.1 มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตร 2.2 เอื้ออาทรผู้อื่นและกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ 2.3 ยอมรับความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่าง 2.4 ตระหนัก รู้คุณค่า ร่วมอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มาตรฐานที่ 3 ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 3.1 มีนิสัยรักการอ่านและแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ และสื่อต่างๆ รอบตัว 3.2 มีทักษะในการอ่าน ฟัง ดู พูด เขียน และตั้งคำถามเพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม 3.3 เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการเรียนรู้ระหว่างกัน 3.4 ใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้และนำเสนอผลงาน มาตรฐานที่ 4 ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ ตัดสินใจแก้ปัญหา ได้อย่างมีสติสมเหตุสมผล 4.1 สรุปความคิดจากเรื่องที่อ่าน ฟัง และดู และสื่อสารโดยการพูดหรือเขียนตามความคิดของตนเอง 4.2 นำเสนอวิธีคิด วิธีแก้ปัญหาด้วยภาษาหรือวิธีการของตนเอง 4.3 กำหนดเป้าหมาย คาดการณ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาโดยมีเหตุผลประกอบ 4.4 มีความคิดริเริ่ม และสร้างสรรค์ผลงานด้วยความภาคภูมิใจ มาตรฐานที่ 5 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร 5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยแต่ละกลุ่มสาระเป็นไปตามเกณฑ์ 5.2 ผลการประเมินสมรรถนะสำคัญตามหลักสูตรเป็นไปตามเกณฑ์ 5.3 ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนเป็นไปตามเกณฑ์ 5.4 ผลการทดสอบระดับชาติเป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานที่ 6 ผู้เรียนมีทักษะในการทำงาน รักการทำงาน สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีเจตคติที่ดี ต่ออาชีพสุจริต 6.1 วางแผนการทำงานและดำเนินการจนสำเร็จ 6.2 ทำงานอย่างมีความสุข มุ่งมั่นพัฒนางาน และภูมิใจในผลงานของตนเอง 6.3 ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 6.4 มีความรู้สึกที่ดีต่ออาชีพสุจริตและหาความรู้เกี่ยวกับอาชีพที่ตนเองสนใจ
ใบงานที่ 2 เรื่องการสร้างคำ ตอนที่1 จงต่อคำซ้อนต่อไปนี้ ตอนที่2 จงทำเครื่องหมาย X หน้าข้อความที่ใช้ไม้ยมกไม่ถูกต้อง 1………….…ฝนตกจั๊ก ๆ ตลอดวัน 2………….…เขาไปดูที่ ๆ เกิดดินถล่ม 3………….…พูดกันอยู่หยก ๆ ก็ลืมเสียแล้ว 4………….…ควรทำงานให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ไป 5………….…เขาเป็นคนดีๆจนไม่มีเรื่องให้ติ 6………….…นักเรียนที่ดีไม่ควรเที่ยวดึกๆดื่นๆ 7………….…คนที่ไม่ใส่ใจในสุขภาพ ก็จะเจ็บออด ๆ แอด ๆ 8………….…นกเป็นร้อย ๆ ร้องเพลงเพรียกอยู่ตามยอดไม้ 9………….…เขาออกกำลังกายทุกวัน ๆ ละ 30 นาที 10………….เขาใช้ยางลบ ๆ รอยดินสอที่สกปรกออก 1. ซัก………………….… 2. บ้าน………………….….… 3. แบบ…………………..… 4. อ้วน…………………. 5. รูป………………………..… 6. ขัด …………………...…. 7. สนุก………….……… 8. เก็บหอม…………...……. 9. ภูตผี………...............… 10. ถ้วยโถ ………...… 11. ผลหมาก ………………… 12. ข้าวยาก ……………… 13. ศึกเหนือ………… 14. สูงต่ำ ………………………
ตอนที่ 3 จงแยกคำประสม คำซ้อน ต่อไปนี้ลงในตารางมาให้ถูกต้อง ตาขาว ทุบตี กินใจ กักขัง เล็กน้อย ปิดบัง เหมาจ่าย ลิ้นปี่ คัดเลือก แจกแจง หน้าม้า ใบเบิกทาง ทรัพย์สิน แม่แรง บุกรุก สูญหาย อ้วนผอม ดูแล หักหน้า นวดเฟ้น บาปบุญ เท็จจริง ทุบตี ตาขวาง เหี่ยวแห้ง ทางเดิน เลือกสรร ใช้จ่าย ไส้แห้ง หยาบช้า เพ่งเล็ง รวมตัว เดือดร้อน ไร่นา ทิ้งขว้าง ปอดแหก นุ่มนิ่ม เหยี่ยวข่าว คลอนแคลน ถูกใจ จุกจิก วางยา รุ่งริ่ง ลูกชิ้น ใส่ไฟ เปะปะ ใจลอย ออกตัว หูเบา เขี้ยวลากดิน คนกันเอง เตลิดเปิดเปิง เครื่องซักผ้ามากมายก่าย กอง หม้อหุงข้าว สดใส คนเก็บตั๋ว อีลุ่ยฉุยแฉก รถไฟใต้ดิน สะบักสะบอม สวิงสวาย ร้ายขายของ เงินทดรองจ่าย คำประสม คำซ้อน ตอนที่ 4 กาเครื่องหมายหน้าข้อที่ถูก และกาเครื่องหมาย หน้าข้อที่ผิด ………….…1. คำมูลสองคำขึ้นไปรวมกันเป็นคำประสมทุกคำ ………….…2. คำประสมต้องเกิดจากคำไทยประสมกับคำไทยเท่านั้น ………….…3. ไม้เรียว เป็นคำประสม ………….…4. ไฟฉาย, ฉายไฟ เป็นคำประสมทั้งสองคำ ………….…5. ใจอ่อน, อ่อนใจ เป็นคำประสมทั้งสองคำ ………….…6. ถังขยะ ตะกร้า ปลาร้า เป็นคำประสมทุกคำ ………….…7. สะพานลอย เป็นคำประสมที่เกิดจากคำมูลสามคำประสมกัน ………….…8. น้ำยาลบคำผิด เป็นคำประสม ………….…9. สบู่เหลว เป็นคำประสมที่เกิดจาก คำนามประสมกับคำนาม ………….…10. น้ำส้มสายชู เป็นคำประสม
ตอนที่ 5 จงเขียนเครื่องหมาย √ หน้าข้อที่กล่าวถูกต้อง และเขียนเครื่องหมาย × หน้าข้อที่กล่าวไม่ถูกต้อง ………….…1. คำสมาสเกิดจากคำบาลี สันสกฤตเท่านั้น ………….…2. คำสมาสคือคำมูลตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป ………….…3. คำสมาสพยางค์ท้ายของคำหน้าไม่ประวิสรรชนีย์ หรือเป็นตัวการันต์ ………….…4. การแปลความหมายคำสมาสโดยมากแปลจากคำหลังไปคำหน้า ………….…5. การอ่านคำสมาสต้องอ่านออกเสียงต่อเนื่องกัน ………….…6. คณิตศาสตร์ เกิดจาก คณิต + ศาสตร์ ………….…7. ผลผลิตเป็นคำสมาสเพราะเป็นคำบาลีสันสกฤต ………….…8. ผลไม้เป็นคำสมาสที่เกิดจาก ผล + ไม้ ………….…9. ชลบุรีไม่ใช่คำสมาส เพราะไม่ได้อ่านออกเสียงต่อเนื่อง ………….…10. คำที่มี“พระ” นำหน้าคำบาลีสันสกฤตจัดเป็นคำสมาส ตอนที่ 6 จงแยกคำสมาสต่อไปนี้ 1. วิทยฐานะ.................................................................................... 2. มัธยมศึกษา................................................................................. 3. สุนทรพจน์................................................................................... 4. วรรณคดี...................................................................................... 5. ทัศนคติ........................................................................................ 6. อักขรวิธี....................................................................................... 7. กิจการ.......................................................................................... 8. ประวัติศาสตร์............................................................................... 9. ธุรกิจ............................................................................................. 10. อิสรภาพ....................................................................................... ตอนที่ 7 จงตอบคำถามต่อไปนี้ ก.ข้อใดไม่ใช่สระสนธิ ๑. ก. นิรันดร ข. คมนาคม ค. สัญญา ๒. ก. อนามัย ข. ยโสธร ค. มโหฬาร ๓. ก. สมาธิ ข. กตัญชลี ค. จราจร ๔. ก. นิราศ ข. มโนรถ ค. ภัตตาคาร ๕. ก. พลานามัย ข. เนรมิต ค. นรินทร์ ข. ข้อใดไม่ใช่พยัญชนะสนธิ ๖. ก. นิรภัย ข. ยโสธร ค. ธัญญาหาร ๗. ก. อเนก ข. มโนภาพ ค. รโหฐาน ๘. ก. ชิโนรส ข. ศิโรเพฐน์ ค. ไพรินทร์ ๙. ก. มโนรมย์ ข. ธันวาคม ค. รโหฐาน ๑๐. ก. พรหมชาติ ข. นิรทุกข์ ค. วโรกาส
ค. ข้อใดไม่ใช่นิคหิตสนธิ ๑๑. ก. สิงหาคม ข. สันนิษฐาน ค. สัญจร ๑๒. ก. สัมภาษณ์ ข. สัมมนา ค. มหรรณพ ๑๓. ก. สุริโยภาส ข. สมาคม ค. สมุทัย ๑๔. ก. สโมสร ข. สันดาน ค. สรรพากร ๑๕. ก. สัมพุทธ ข. สารานุกรม ค. สันธาน
ใบความรู้ เรื่อง คำและการสร้างคำ การสร้างคำในภาษาไทย คำที่ใช้ในภาษาไทยดั้งเดิม ส่วนมากจะเป็นคำพยางค์เดียว เช่น พี่น้อง เดือนดาว จอบไถ หมูหมา กิน นอน ดี ชั่ว สอง สาม เป็นต้น เมื่อโลกวิวัฒนาการ มีสิ่งแปลกใหม่เพิ่มขึ้น ภาษาไทยก็จะต้องพัฒนาทั้งรูปคำและการเพิ่มจำนวนคำ เพื่อให้มีคำใช้ในการสื่อสาร ให้เพียงพอ กับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุสิ่งของและเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยการสร้างคำ ยืมคำและเปลี่ยนแปลงรูปคำซึ่งจะมี รายละเอียดดังนี้ แบบสร้างคำ แบบสร้างคำ คือ วิธีการนำอักษรมาประสมเป็นคำเกิดความหมายและเสียงของแต่ละ พยางค์ ใน ๑ คำ จะต้องมี ส่วนประกอบ ๓ ส่วน เป็นอย่างน้อย คือ สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์ อย่างมากไม่เกิน ๕ ส่วน คือ สระ พยัญชนะ วรรณยุกต์ ตัวสะกด ตัวการันต์ รูปแบบของคำ คำไทยที่ใช้อยู่ปัจจุบันมีทั้งคำที่เป็นคำไทยดั้งเดิม คำที่มาจากภาษาต่างประเทศ คำศัพท์เฉพาะทางวิชาการคำที่ใช้เฉพาะใน ภาษาพูด คำชนิดต่าง ๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกตามลักษณะและแบบสร้างของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ คำพ้องรูป คำพ้องเสียง คำเหล่านี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะ ผู้เรียนจะเข้าใจลักษณะแตกต่างของคำเหล่านี้ได้จากแบบสร้างของคำ ความหมายและแบบสร้างของคำชนิดต่าง ๆ คำมูล คำมูล คือ คำ ๆ เดียวที่มิได้ประสมกับคำอื่น อาจมี ๑ พยางค์ หรือหลายพยางค์ก็ได้แต่ ่เมื่อแยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่มีความหมาย คำภาษาไทยที่ใช้มาแต่เดิมส่วนใหญ่ เป็นคำมูลที่มีพยางค์เดียวโดด ๆ เช่น พ่อ แม่ กิน เดิน ตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล คน มี ๑ พยางค์ คือ คน สิงโต มี ๒ พยางค์ คือ สิง + โต นาฬิกา มี ๓ พยางค์ คือ นา + ฬิ + กา ทะมัดทะแมง มี ๔ พยางค์ คือ ทะ + มัด + ทะ + แมง กระเหี้ยนกระหือรือ มี ๕ พยางค์ คือ กระ + เหี้ยน + กระ + หือ + รือ จากตัวอย่างแบบสร้างของคำมูล จะเห็นว่าเมื่อแยกพยางค์จากคำแล้ว แต่ละพยางค์ไม่มี ความหมายในตัวหรืออาจมีความหมายไม่ครบทุกพยางค์ คำเหล่านี้จะมีความหมายก็ต่อเมื่อ นำทุกพยางค์มารวมเป็นคำ ลักษณะเช่นนี้ ถือว่าเป็นคำเดียวโดด ๆ คำประสม คือ คำที่สร้างขึ้นใหม่โดยนำคำมูลตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประสมกัน เกิดเป็นคำใหม่ขึ้นอีกคำหนึ่ง ๑. เกิดความหมายใหม่ ๒. ความหมายคงเดิม
๓. ความหมายให้กระชับขึ้น ตัวอย่างแบบสร้างคำประสม แม่ยาย เกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ แม่ + ยาย ลูกน้ำ เกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ ลูก + น้ำ ภาพยนตร์จีน เกิดจากคำมูล ๒ คำ คือ ภาพยนตร์ + จีน จากตัวอย่างแบบสร้างคำประสม จะเห็นว่าเมื่อแยกคำประสมออกจากกัน จะได้คำมูลซึ่งแต่ละคำมีความหมายในตัวเอง ชนิดของคำประสม การนำคำมูลมาประสมกัน เพื่อให้เกิดคำใหม่ขึ้นเรียกว่า “คำประสม” นั้น มีวิธีสร้างคำ ตามแบบสร้าง อยู่ ๕ วิธีด้วยกัน คือ ๑. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันเกิดเป็น ความหมายใหม่ ไม่ตรงกับความหมายเดิม เช่น แม่ หมายถึง หญิงที่ให้กำเนิดลูก ยาย หมายถึง แม่ของแม่ แม่ + ยาย ได้คำใหม่ คือ แม่ยาย หมายถึง แม่ของเมีย คำประสมชนิดนี้มีมากมาย เช่น แม่ครัว ลูกเรือ พ่อตา มือลิง ลูกน้ำ ลูกน้อง ปากกา ๒. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อประสมกันแล้วเกิด ความหมายใหม่แต่ยังคงรักษา ความหมายของคำเดิมแต่ละคำได้ เช่น หมอ หมายถึง ผู้รู้ ผู้ชำนาญ ผู้รักษาโรค ดู หมายถึง ใช้สายตาเพื่อให้เห็น หมอ + ดู ได้คำใหม่ คือ หมอดู หมายถึง ผู้ทำนายโชคชะตาราศี คำประสมชนิดนี้ เช่น หมอความ นักเรียน ชาวนา ของกิน ช่างแท่น ร้อนใจ เป็นต้น ๓. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง ความหมายเหมือนกัน เมื่อประสมแล้วเกิด ความหมายต่างจากความหมายเดิมเล็กน้อย อาจมีความหมายทางเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ การเขียนคำประสมแบบนี้จะใช้ไม้ยมก (ๆ) เติมข้างหลัง เช่น เร็ว หมายถึง รีบ ด่วน เร็ว ๆ หมายถึง รีบ ด่วนยิ่งขึ้น เป็นความหมายที่เพิ่มขึ้น ดำ หมายถึง สีดำ ดำ ๆ หมายถึง ดำไม่สนิท เป็นความหมายในทางลดลง คำประสมชนิดนี้ เช่น ช้า ๆ ซ้ำ ๆ ดี ๆ น้อย ๆ ไป ๆ มา ๆ เป็นต้น ๔. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูปและเสียงต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน เมื่อนำ มาประสมกันแล้วความหมายไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น
ยิ้ม หมายถึง แสดงให้ปรากฏว่าชอบใจ แย้ม หมายถึง คลี่ เผยอปากแสดงความพอใจ ยิ้ม + แย้ม ได้คำใหม่ คือ ยิ้มแย้ม หมายถึง ยิ้มอย่างชื่นบาน คำประสมชนิดนี้มีมากมาย เช่น โกรธเคือง รวดเร็ว แจ่มใส เสื่อสาด บ้านเรือน วัดวาอาราม ถนนหนทาง เป็นต้น ๕. คำประสมที่เกิดจากคำมูลที่มีรูป เสียง และความหมายต่างกัน เมื่อนำมาประสมจะตัด พยางค์หรือย่นพยางค์ให้สั้นเข้า เช่น คำว่า ชันษา มาจากคำว่า ชนม+พรรษา ชนม หมายถึง การเกิด พรรษา หมายถึง ปี ชนม + พรรษา ได้คำใหม่ คือ ชันษา หมายถึง อายุ คำประสมประเภทนี้ ได้แก่ เดียงสา มาจาก เดียง+ภาษา สถาผล มาจาก สถาพร+ผล เปรมปรีดิ์ มาจาก เปรม+ปรีดา คำสมาส คำสมาสเป็นวิธีสร้างคำในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนำคำตั้งแต่ ๒ คำขึ้นไปมาประกอบ กันคล้ายคำประสม แต่คำที่นำมาประกอบแบบคำสมาสนั้น นำมาประกอบหน้าศัพท์ การแปล คำสมาสจึงแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น บรม (ยิ่งใหญ่) + ครู = บรมครู (ครูผู้ยิ่งใหญ่) สุนทร (ไพเราะ) + พจน์ (คำพูด) = สุนทรพจน์ (คำพูดที่ไพเราะ) การนำคำมาสมาสกัน อาจเป็นคำบาลีสมาสกับบาลี สันสกฤตสมาสกับสันสกฤต หรือบาลี สมาสกับสันสกฤตก็ได้ ในบางครั้ง คำประสมที่เกิดจากคำไทยประสมกับคำบาลีหรือคำสันสกฤตบางคำ มีลักษณะ คล้ายคำสมาสเพราะแปลจากข้างหลังมาข้างหน้า เช่น ราชวัง แปลว่า วังของพระราชา อาจจัด ว่าเป็นคำสมาสได้ ส่วนคำประสมที่มีความหมายจากข้างหน้าไปข้างหลังและมิได้ทำให้ความหมาย ผิดแผกแม้คำนั้นประสมกับ คำบาลีหรือสันสกฤตก็ถือว่าเป็นคำประสม เช่น มูลค่า ทรัพย์สิน เป็นต้น การเรียงคำตามแบบสร้างของคำสมาส ๑. ถ้าเป็นคำที่มาจากบาลีและสันสกฤต ให้เรียงบทขยายไว้ข้างหน้า เช่น อุทกภัย หมายถึง ภัยจากน้ำ อายุขัย หมายถึง สิ้นอายุ ๒. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้าประวิสรรชนีย์ ให้ตัดวิสรรชนีย์ออก เช่น ธุระ สมาสกับ กิจ เป็น ธุรกิจ พละ สมาสกับ ศึกษา เป็น พลศึกษา ๓. ถ้าพยางค์ท้ายของคำหน้ามีตัวการันต์ให้ตัดการัตน์ออกเมื่อเข้าสมาส เช่น ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทัศนศึกษา แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม
๔. ถ้าคำซ้ำความ โดยคำหนึ่งไขความอีกคำหนึ่ง ไม่มีวิธีเรียงคำที่แน่นอน เช่น นร (คน) สมาสกับ ชน (คน) เป็น นรชน (คน) วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เป็น วิถีทาง (ทาง) คช (ช้าง) สมาสกับ สาร (ช้าง) เป็น คชสาร (ช้าง) การอ่านคำสมาส การอ่านคำสมาสมีหลักอยู่ว่า ถ้าพยางค์ท้ายของคำลงท้ายด้วย สระอะ, อิ, อุ เวลาเข้า สมาสให้อ่านออกเสียง อะ อิ อุ นั้นเพียงครึ่งเสียง เช่น เกษตร สมาสกับ ศาสตร์ เป็น เกษตรศาสตร์ อ่านว่า กะ-เสด-ตระ-สาด อุทก สมาสกับ ภัย เป็น อุทกภัย อ่านว่า อุ-ทก-กะ-ไพ ประวัติ สมาสกับ ศาสตร์ เป็น ประวัติศาสตร์ อ่านว่า ประ-หวัด-ติ-สาด ภูมิ สมาสกับ ภาค เป็น ภูมิภาค อ่านว่า พู-มิ-พาก เมรุ สมาสกับ มาศ เป็น เมรุมาศ อ่านว่า เม-รุ-มาด เชตุ สมาสกับ พน เป็น เชตุพน อ่านว่า เช-ตุ-พน ข้อสังเกต ๑. มีคำไทยบางคำ ที่คำแรกมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ส่วนคำหลังเป็นคำไทย คำเหล่านี้ ได้แปลความหมายตามกฎเกณฑ์ ของคำสมาส แต่อ่านเหมือนกับว่าเป็นคำสมาส ทั้งนี้ เป็นการอ่านตามความนิยม เช่น เทพเจ้า อ่านว่า เทพ-พะ-เจ้า พลเรือน อ่านว่า พล-ละ-เรือน กรมวัง อ่านว่า กรม-มะ-วัง คำเหล่านี้ ผู้เรียนจะสามารถศึกษาพวกกฎเกณฑ์ได้ต่อเมื่อเรียนชั้นสูงขึ้น ๒. โดยปกติการอ่านคำไทยที่มีมากกว่า ๑ พยางค์ มักอ่านตรงตัว เช่น บากบั่น อ่านว่า บาก-บั่น ลุกลน อ่านว่า ลุก-ลน แต่มีคำไทยบางคำที่เราอ่านออกเสียงตัวสะกดด้วย ทั้งที่เป็นคำไทยมิใช่คำสมาสซึ่ง ผู้เรียนจะต้องสังเกต เช่น ตุ๊กตา อ่านว่า ตุ๊ก-กะ-ตา จักจั่น อ่านว่า จัก-กะ-จั่น จั๊กจี้ อ่านว่า จั๊ก-กะ-จี้ ชักเย่อ อ่านว่า ชัก-กะ-เย่อ สัปหงก อ่านว่า สับ-ปะ-หงก คำสนธิ การสนธิ คือ การเชื่อมเสียงให้กลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เป็นการเชื่อม อักษรให้ต่อเนื่องกันเพื่อตัดอักษร ให้น้อยลง ทำให้คำพูดสละสลวย นำไปใช้ประโยชน์ในการแต่ง
คำประพันธ์ คำสนธิ เกิดจากการเชื่อมคำในภาษาบาลีและสันสกฤตเท่านั้น ถ้าคำที่นำมาเชื่อมกัน ไม่ใช่ภาษาบาลีสันสกฤต ไม่ถือว่าเป็น สนธิ เช่น กระยาหาร มาจากคำ กระยา + อาหาร ไม่ใช่สนธิ เพราะ กระยาเป็นคำไทยและถึงแม้ว่าคำที่นำมารวมกันแต่ไม่ได้ เชื่อมกัน เป็นเพียงประสมคำเท่านั้น ก็ไม่ถือว่าสนธิ เช่น ทิชาชาติ มาจาก ทีชา + ชาติ ทัศนาจร มาจาก ทัศนา + จร วิทยาศาสตร์ มาจาก วิทยา + ศาสตร์ แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีอยู่ ๓ ประเภท คือ ๑. สระสนธิ ๒. พยัญชนะสนธิ ๓. นิคหิตสนธิ สำหรับการสนธิในภาษาไทย ส่วนมากจะใช้แบบสร้างของสระสนธิ แบบสร้างของคำสนธิที่ใช้ในภาษาไทย ๑. สระสนธิ การสนธิสระทำได้ ๓ วิธี คือ ๑.๑ ตัดสระพยางค์ท้าย แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแทน เช่น มหา สนธิกับ อรรณพ เป็น มหรรณพ นร สนธิกับ อินทร์ เป็น นรินทร์ ปรมะ สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรมินทร์ รัตนะ สนธิกับ อาภรณ์ เป็น รัตนาภรณ์ วชิร สนธิกับ อาวุธ เป็น วชิราวุธ ฤทธิ สนธิกับ อานุภาพ เป็น ฤทธานุภาพ มกร สนธิกับ อาคม เป็น มกราคม ๑.๒ ตัดสระพยางค์ท้ายของคำหน้า แล้วใช้สระพยางค์หน้าของคำหลังแต่เปลี่ยนรูป อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู หรือ โอ ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา เทศ สนธิกับ อภิบาล เป็น เทศาภิบาล ราช สนธิกับ อธิราช เป็น ราชาธิราช ประชา สนธิกับ อธิปไตย เป็น ประชาธิปไตย จุฬา สนธิกับ อลงกรณ์ เป็น จุฬาลงกรณ์ เปลี่ยนรูป อิ เป็น เอ นร สนธิกับ อิศวร เป็น นเรศวร ปรม สนธิกับ อินทร์ เป็น ปรเมนทร์
คช สนธิกับ อินทร์ เป็น คเชนทร์ เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรือ โอ ราช สนธิกับ อุปถัมภ์ เป็น ราชูปถัมภ์ สาธารณะ สนธิกับ อุปโภค เป็น สาธารณูปโภค วิเทศ สนธิกับ อุบาย เป็น วิเทโศบาย สุข สนธิกับ อุทัย เป็น สุโขทัย นย สนธิกับ อุบาย เป็น นโยบาย ๑.๓ เปลี่ยนสระพยางค์ท้ายของคำหน้า อิ อี เป็น ย อุ อู เป็น ว แล้วใช้สระ พยางค์หน้าของ คำหลังแทน เช่น เปลี่ยน อิ อี เป็น ย มต ิ สนธิกับ อธิบาย เป็น มัตยาธิบาย รังสี สนธิกับ โอภาส เป็น รังสโยภาส, รังสิโยภาส สามัคคี สนธิกับ อาจารย์ เป็น สามัคยาจารย์ เปลี่ยน อุ อู เป็น ว สินธุ สนธิกับ อานนท์ เป็น สินธวานนท์ จักษุ สนธิกับ อาพาธ เป็น จักษวาพาธ ธนู สนธิกับ อาคม เป็น ธันวาคม ๒. พยัญชนะสนธิ พยัญชนะสนธิในภาษาไทยมีน้อย คือเมื่อนำคำ ๒ คำมาสนธิกัน ถ้าหากว่าพยัญชนะ ตัวสุดท้าย ของคำหน้ากับพยัญชนะตัว หน้าของคำหลังเหมือนกัน ให้ตัดพยัญชนะที่เหมือนกัน ออกเสียตัวหนึ่ง เช่น เทพ สนธิกับ พนม เป็น เทพนม นิวาส สนธิกับ สถาน เป็น นิวาสถาน ๓. นิคหิตสนธิ นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใช้วิธีเดียวกับวิธีสนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต คือ ให้สังเกต พยัญชนะตัวแรกของคำหลังว่าอยู่ในวรรคใด แล้วแปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคนั้น เช่น สํ สนธิกับ กรานต เป็น สงกรานต์ (ก เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง) สํ สนธิกับ คม เป็น สังคม (ค เป็นพยัญชนะวรรค กะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ง) สํ สนธิกับ ฐาน เป็น สัณฐาน (ฐ เป็นพยัญชนะวรรค ตะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ณ) สํ สนธิกับ ปทาน เป็น สัมปทาน
(ป เป็นพยัญชนะวรรค ปะ พยัญชนะตัวสุดท้ายของวรรคกะ คือ ม) ถ้าพยัญชนะตัวแรกของคำหลังเป็นเศษวรรค ให้คงนิคหิต (_ํ ) ตามรูปเดิม อ่านออกเสียง อัง หรือ อัน เช่น สํ สนธิกับ วร เป็น สังวร สํ สนธิกับ หรณ์ เป็น สังหรณ์ สํ สนธิกับ โยค เป็น สังโยค ถ้า สํ สนธิกับคำที่ขึ้นต้นด้วยสระ จะเปลี่ยนนิคหิตเป็น ม เสมอ เช่น สํ สนธิกับ อิทธิ เป็น สมิทธิ สํ สนธิกับ อาคม เป็น สมาคม สํ สนธิกับ อาส เป็น สมาส สํ สนธิกับ อุทัย เป็น สมุทัย คำแผลง คำแผลง คือ คำที่สร้างขึ้นใช้ในภาษาไทยอีกวิธีหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงอักษรที่ประสมอยู่ใน คำไทยหรือคำที่มาจากภาษาอื่นให้ผิดไปจากเดิม ด้วยวิธีตัด เติม หรือเปลี่ยนรูป แต่ยังคงรักษา ความหมายเดิมหรือเค้าความเดิมอยู่ แบบสร้างของการแผลงคำ การแผลงคำทำได้ ๓ วิธี คือ ๑. การแผลงสระ ๒. การแผลงพยัญชนะ ๓. การแผลงวรรณยุกต์ ๑. การแผลงสระ เป็นการเปลี่ยนรูปสระของคำนั้น ๆ ให้เป็นสระรูปอื่น ตัวอย่าง คำเดิม คำแผลง คำเดิม คำแผลง ชยะ ชัย สายดือ สะดือ โอชะ โอชา สุริยะ สุรีย์ วชิระ วิเชียร ดิรัจฉาน เดรัจฉาน พัชร เพชร พิจิตร ไพจิตร คะนึง คำนึง พีช พืช ครหะ เคราะห์ กีรติ เกียรติ ชวนะ เชาวน์ สุคนธ์ สุวคนธ์ สรเสริญ สรรเสริญ ยุวชน เยาวชน ทูรเลข โทรเลข สุภา สุวภา
๒. การแผลงพยัญชนะ การแผลงพยัญชนะก็เช่นเดียวกับการแผลงสระ คือ ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวเกิดจาก ความเจริญของภาษา การแผลงพยัญชนะเป็นการเปลี่ยนรูปพยัญชนะตัวหนึ่งให้เป็นอีกตัวหนึ่ง หรือเพิ่มพยัญชนะลงไปให้เสียง ผิดจากเดิม หรือมีพยางค์มากกว่าเดิม หรือตัดรูปพยัญชนะ การศึกษาที่มาของถ้อยคำเหล่านี้จะช่วยให้เข้าใจความหมายของคำ ได้ถูกต้อง ตัวอย่าง คำเดิม คำแผลง คำเดิม คำแผลง กราบ กำราบ บวช ผนวช เกิด กำเนิด ผทม ประทม, บรรเทา ขจาย กำจาย เรียบ ระเบียบ แข็ง กำแหง, คำแหง แสดง สำแดง คูณ ควณ, คำนวณ, คำนูณ พรั่ง สะพรั่ง เจียร จำเนียร รวยรวย ระรวย เจาะ จำเพาะ, เฉพาะ เชิญ อัญเชิญ เฉียง เฉลียง, เฉวียง เพ็ญ บำเพ็ญ ช่วย ชำร่วย ดาล บันดาล ตรัย ตำรับ อัญชลี ชลี, ชุลี ถก ถลก อุบาสิกา สีกา ๓. การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยุกต์เป็นการเปลี่ยนแปลงรูป หรือเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ เพื่อให้เสียงหรือ รูปวรรณยุกต์ผิดไปจากเดิม ตัวอย่าง คำเดิม คำแผลง คำเดิม คำแผลง เพียง เพี้ยง พุทโธ พุทโธ่ เสนหะ เสน่ห์ บ บ่ คำซ้ำ คำซ้ำ คือ การสร้างคำด้วยการนำคำที่มีเสียง และความหมายเหมือนกันมาซ้ำกัน เพื่อเปลี่ยน แปลงความหมายของคำนั้นให้ แตกต่างไปหลายลักษณะ ๑. ความหมายคงเดิม คือ คำที่ซ้ำกันจะมีความหมายคงเดิม แต่อาจจะให้ความหมายอ่อนลง หรือไม่แน่ใจจะมีความหมาย เท่ากับความหมายเดิม เช่น ตอนเย็น ๆ ค่อยมาใหม่นะ รู้สึกจะอยู่แถว ๆ นี้ละ คำว่า เย็น ๆ และ แถว ๆ ดูจะมีความหมาย อ่อน ลง ๒. ความหมายเด่นขึ้น เฉพาะเจาะจงขึ้นกว่าความหมายเดิม เช่น สอนเท่าไหร่ ๆ
ก็ไม่จำ พระเอกคนนี้ ล้อหล่อ เป็นต้น ๓. ความหมายแยกเป็นส่วน ๆ แยกจำนวน เช่น กรุณาแจกเป็นคน ๆ ไปนะ จ่ายเป็น งวด ๆ (ทีละงวด) เป็นต้น ๔. ความหมายบอกจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น เด็ก ๆ ชอบวิ่ง เธอทำอะไร ๆ ก็ดูดีหมด เป็นต้น ๕. ความหมายผิดไปจากเดิม เช่น เรื่องหมู ๆ แบบนี้สบายมาก (เรื่องง่าย) รู้เพียงงู ๆ ปลา ๆ เท่านั้น (รู้ไม่จริง) เป็นต้น คำซ้อน คำซ้อน คือ คำประสมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการนำเอาคำตั้งแต่สองคำขึ้นไปซึ่งมีเสียง ต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันหรือเป็นไปในทำนองเดียวกันมาซ้อนคู่ กัน เช่น เล็กน้อย ใหญ่โต เป็นต้น ปกติคำที่นำมาซ้อนกันนั้น นอกจากจะมีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันแล้ว มักจะมีเสียงใกล้เคียงกันด้วย เพื่อให้ออก เสียงง่าย สะดวกปาก คำที่นำ มาซ้อนแล้วทำให้เกิดความหมายนั้นแบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑. ซ้อนคำแล้วมีความหมายคงเดิม คำซ้อนลักษณะนี้จะนำคำที่มีความหมายเหมือนกัน มาซ้อนกัน เพื่อขยายความซึ่งกันและกัน เช่น ข้าทาส รูปร่าง ว่างเปล่า โง่เขลา เป็นต้น ๒. ซ้อนคำแล้วมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ๒.๑ ความหมายเชิงอุปมา คำซ้อนลักษณะนี้จะเป็นคำซ้อนที่คำเดิมมีความหมาย เป็นรูปแบบเมื่อนำมาซ้อนกับ ความหมายของคำซ้อนนั้นจะเปลี่ยนไปเป็นนามธรรม เช่น อ่อนหวาน อ่อนมีความหมายว่าไม่แข็ง เช่น ไม้อ่อน หวานมีความหมายว่ารสหวาน เช่น ขนมหวาน อ่อนหวาน มีความหมายว่าเรียบร้อย น่ารัก เช่น เธอช่างอ่อนหวานเหลือเกิน หมายถึง กิริยาอาการที่แสดงออกถึงความ เรียบร้อยน่ารัก คำอื่น ๆ เช่น ค้ำจุน เด็ดขาด ยุ่งยาก เป็นต้น ๒.๒ ความหมายกว้างออก คำซ้อนบางคำมีความหมายกว้างออกไม่จำกัดเฉพาะ ความหมายเดิมของคำสองคำที่มาซ้อน กัน เช่น เจ็บไข้หมายถึง อาการเจ็บป่วยของโรคต่าง ๆ และคำว่า พี่น้อง ถ้วยชาม ทุบตี ฆ่าฟัน เป็นต้น ๒.๓ ความหมายแคบเข้า คำซ้อนบางคำมีความหมายเด่นอยู่คำใดคำหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นคำหน้าหรือคำหลังก็ได้ เช่น ความหมายเด่นอยู่คำหน้า ใจดำ หัวหูปากคอ บ้าบอคอแตก ความหมายเด่นอยู่คำหลัง หยิบยืม เอร็ดอร่อย น้ำพักน้ำแรง ว่านอนสอนง่าย เป็นต้น ตัวอย่างคำซ้อน ๒ คำ เช่น บ้านเรือน สวยงาม ข้าวของ เงินทอง มืดค่ำ อดทน เกี่ยวข้อง เย็บเจี๊ยบ ทรัพย์สิน รูปภาพ ควบคุม ป้องกัน ลี้ลับ ซับซ้อน เป็นต้น ตัวอย่างคำซ้อนมากกว่า ๒ คำ เช่น ยากดีมีจน เจ็บไข้ได้ป่วย ข้าวยากหมากแพง เวียนว่ายตายเกิด ถูกอกถูกใจ จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
ฉกชิงวิ่งราว เป็นต้น สรุป ๑. แบบสร้างของคำ คือ วิธีการนำอักษรมาผสมคำ และมีความหมายที่สมบูรณ์ คำ ชนิดต่าง ๆ เหล่านี้มีชื่อเรียกตามลักษณะ แบบสร้างของคำ เช่น คำมูล คำประสม คำสมาส คำสนธิ แบบสร้างของคำมูลและคำประสม คือ วิธีการสร้างคำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลักษณะเฉพาะ ของภาษาไทย แบบสร้างของคำมูล อาจมีพยางค์เดียวเป็นคำโดด หรือมีหลายพยางค์ก็ได้ แต่คำมูลนั้นเมื่อแยกพยางค์แล้วแต่ละพยางค์ไม่ได้ความหมายครบถ้วน ต้องนำพยางค์ เหล่านั้นมารวมกัน จึงจะเกิดเป็นคำและมีความหมาย ส่วนคำประสม คือคำที่เกิดจาก การนำคำมูลมาประสมกัน เพื่อสร้างคำใหม่ขึ้นมา ๒. คำสมาสมีลักษณะดังนี้ (๑) ต้องเป็นคำที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต (๒) พยางค์ สุดท้ายของคำนำหน้าประวิสรรชนีย์ หรือตัวการันต์ไม่ได้ (๓) เรียงต้นศัพท์ไว้หลัง ศัพท์ประกอบไว้หน้าเมื่อแปลความหมายให้แปลจากหลังไปหน้า (๔) ส่วนมากออก เสียงสระ ตรงพยางค์สุดท้ายของคำหน้า ซึ่งจะมีคำยกเว้นไม่กี่คำ เช่น ชลบุรี สุพรรณบุรี ฯลฯ ๓. แบบสร้างของคำสนธิ มีดังนี้ (๑) ต้องเป็นคำที่มาจากบาลี สันสกฤต (๒) มีการ เปลี่ยนแปลงระหว่างคำที่เชื่อม (๓) พยางค์ต้นของคำหลังต้องขึ้นต้นด้วยสระ หรือ ตัว อ ๔. คำแผลงคำที่สร้างขึ้นใช้ในภาษาไทยวิธีหนึ่ง โดยเปลี่ยนแปลงอักษรที่ประสม อยู่ในคำเดิมให้ผิดไปจากเดิม ด้วยวิธีตัดเติม หรือเปลี่ยนรูป แต่ยังรักษาความหมายเดิม หรือเค้าความเดิมอยู่ แบบสร้างคำแผลงมี ๓ วิธี คือ (๑) การแผลงสระ เช่น คติ แผลงเป็น คดี และนู้น แผลงเป็น โน้น (๒) การแผลงพยัญชนะ เช่น กด แผลงเป็น กำหนด อวย แผลงเป็น อำนวย (๓) การแผลงวรรณยุกต์ เช่น โน่น แผลงเป็น โน้น นี่ แผลงเป็น นี้ เป็นต้น ๕. คำซ้ำ คือ การสร้างคำด้วยการนำคำที่มีเสียง และความหมายเหมือนกันมาซ้ำกัน เพื่อเปลี่ยนความหมายของคำนั้นให้ แตกต่างไปหลายลักษณะ ๖. คำซ้อน คือ คำประสมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการนำเอาคำตั้งแต่สองคำขึ้นไป ซึ่งมีเสียง ต่างกัน แต่มีความหมายเหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกันหรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน มาซ้อนคู่กัน
หน่น่ น่ ว น่ วยที่ที่ ที่ที่2 กาพย์ย์ ย์ เ ย์ เห่ห่ ห่ เ ห่ เรืรื รื อรื อ
หน่วยการเรียนรู้ที่2 กาพย์เห่เรือ ท 1.1 ม.4-6/1 อ่านออกเสียงบทร้อยแก้วและบทร้อยกรองได้อย่างถูกต้อง ไพเราะ และเหมาะสมกับเรื่องที่อ่าน ท 5.1 ม.4-6/1 วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น ม.4-6/2 วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคมในอดีต ม.4-6/3 วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะที่เป็นมรดกทาง วัฒนธรรมของชาติ ม.4-6/4 สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ม.4-6/6 ท่องจำและบอกคุณค่าบทอาขยานตามที่กำหนด และบทร้อยกรองที่มีคุณค่าตามความสนใจและนำไปใช้ อ้างอิง 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การอ่านออกเสียงบทร้อยกรองเรื่อง กาพย์เห่เรือ จะต้องอ่านอย่างถูกต้อง ไพเราะเหมาะสม วิเคราะห์วิจารณ์ตามหลักการ วิจารณ์เบื้องต้น และลักษณะเด่น โดยเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคมในอดีต คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ในฐานะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ มีการสังเคราะห์ข้อคิด เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และท่องจำบทอาขยานที่มี คุณค่า เพื่อนำไปใช้อ้างอิง 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1) การอ่านออกเสียง ประกอบด้วย บทร้อยกรอง เช่น โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน 2) หลักการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเบื้องต้น - จุดมุ่งหมายการแต่งวรรณคดีและวรรณกรรม - การพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม - การวิเคราะห์และการวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม 3) การวิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีและวรรณกรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคม ในอดีต 4) การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม - ด้านวรรณศิลป์ - ด้านสังคมและวัฒนธรรม 5) การสังเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม 6) บทอาขยานและบทร้อยกรองที่มีคุณค่า - บทอาขยานตามที่กำหนด - บทร้อยกรองตามความสนใจ 3.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น - ความเป็นมาและประวัติผู้แต่งเรื่อง กาพย์เห่เรือ - เนื้อหา และคำศัพท์จากเรื่อง กาพย์เห่เรือ