The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา ภาษาไทย 6 ท33102 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ji, 2023-11-29 22:11:00

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา ภาษาไทย 6 ท33102 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566

แผนการจัดการเรียนรู้ วิชา ภาษาไทย 6 ท33102 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566

ตอนที่ 2 การตรวจสอบคุณภาพนักเรียนเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการประเมินคุณภาพภายนอก ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ด้านคุณภาพผู้เรียน) ร้อยละ มาตรฐานที่ 1 ผู้เรียนมีสุขภาวะที่ดีและมีสุนทรียภาพ 1.1 มีสุขนิสัยในการดูแลสุขภาพและออกกำลังกายสม่ำเสมอ 1.2 มีน้ำหนัก ส่วนสูง และมีสมรรถภาพทางกายตามเกณฑ์มาตรฐาน 1.3 ป้องกันตนเองจากสิ่งเสพติดให้โทษและหลีกเลี่ยงตนเองจากสภาวะที่เสี่ยงต่อความรุนแรง โรค ภัย อุบัติเหตุและ ปัญหาทางเพศ 1.4 เห็นคุณค่าในตนเอง มีความมั่นใจ กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม 1.5 มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีและให้เกียรติผู้อื่น 1.6 สร้างผลงานจากการเข้าร่วมกิจกรรมด้านศิลปะ ดนตรี/นาฏศิลป์ กีฬา/นันทนาการตามจินตนาการ มาตรฐานที่ 2 ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ 2.1 มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามหลักสูตร 2.2 เอื้ออาทรผู้อื่นและกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ 2.3 ยอมรับความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่าง 2.4 ตระหนัก รู้คุณค่า ร่วมอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มาตรฐานที่ 3 ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง รักเรียนรู้ และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง 3.1 มีนิสัยรักการอ่านและแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากห้องสมุด แหล่งเรียนรู้ และสื่อต่างๆ รอบตัว 3.2 มีทักษะในการอ่าน ฟัง ดู พูด เขียน และตั้งคำถามเพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม 3.3 เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อการเรียนรู้ระหว่างกัน 3.4 ใช้เทคโนโลยีในการเรียนรู้และนำเสนอผลงาน มาตรฐานที่ 4 ผู้เรียนมีความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ ตัดสินใจแก้ปัญหา ได้อย่างมีสติสมเหตุสมผล 4.1 สรุปความคิดจากเรื่องที่อ่าน ฟัง และดู และสื่อสารโดยการพูดหรือเขียนตามความคิดของตนเอง 4.2 นำเสนอวิธีคิด วิธีแก้ปัญหาด้วยภาษาหรือวิธีการของตนเอง 4.3 กำหนดเป้าหมาย คาดการณ์ ตัดสินใจแก้ปัญหาโดยมีเหตุผลประกอบ 4.4 มีความคิดริเริ่ม และสร้างสรรค์ผลงานด้วยความภาคภูมิใจ มาตรฐานที่ 5 ผู้เรียนมีความรู้และทักษะที่จำเป็นตามหลักสูตร 5.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยแต่ละกลุ่มสาระเป็นไปตามเกณฑ์ 5.2 ผลการประเมินสมรรถนะสำคัญตามหลักสูตรเป็นไปตามเกณฑ์ 5.3 ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนเป็นไปตามเกณฑ์ 5.4 ผลการทดสอบระดับชาติเป็นไปตามเกณฑ์ มาตรฐานที่ 6 ผู้เรียนมีทักษะในการทำงาน รักการทำงาน สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมีเจตคติที่ดี ต่ออาชีพสุจริต 6.1 วางแผนการทำงานและดำเนินการจนสำเร็จ 6.2 ทำงานอย่างมีความสุข มุ่งมั่นพัฒนางาน และภูมิใจในผลงานของตนเอง 6.3 ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ 6.4 มีความรู้สึกที่ดีต่ออาชีพสุจริตและหาความรู้เกี่ยวกับอาชีพที่ตนเองสนใจ


หน่น่ น่ ว น่ วยที่ที่ ที่ที่4 การอ่อ่ อ่ า อ่ านวิวิ วิ นิ วิ นิ นิ จนิ จสาร


หน่วยการเรียนรู้ที่4 การอ่านวินิจสาร 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.4-6/4 คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่านและประเมินค่าเพื่อนำความรู้ความคิดไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิต ท 1.1 ม.4-6/6 ตอบคำถามจากการอ่านงานเขียนประเภทต่างๆ ภายในเวลาที่กำหนด 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ ผู้อ่านต้องตีความ แปลความ ขยายความ คาดคะเนเหตุการณ์ ตอบคำถามและประเมินค่า เพื่อนำความรู้ ความคิดไปแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิต 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น ข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรียน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี ปาฐกถา พระบรมราโชวาท เทศนา คำบรรยาย คำสอน บทร้อยกรองร่วมสมัย บทเพลง บทอาเศียรวาท คำขวัญ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการตีความ 2) ทักษะการแปลความ 3) ทักษะการสร้างความรู้ 4) ทักษะการสรุปลงความเห็น 5) ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 6. ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) การเขียนบทความ เรื่อง การประเมินค่างานเขียน 7. การวัดและการประเมินผล 7.1 การประเมินก่อนเรียน - ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การอ่านวินิจสาร


7.2 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 1) ตรวจใบงานที่ 1.1 เรื่อง อ่านเอาเรื่อง 2) ตรวจใบงานที่ 1.2 เรื่อง อ่านสำรวจตรวจความเข้าใจ 3) ตรวจใบงานที่ 2.1 เรื่อง คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน 4) ตรวจใบงานที่ 3.1 เรื่อง ประเมินค่างานเขียน 5) ตรวจแบบบันทึกการอ่าน 6) ประเมินการนำเสนอผลงาน 7) สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล 8) สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม 9) สังเกตคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 7.3 การประเมินหลังเรียน - ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การอ่านวินิจสาร 7.4 การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) - ตรวจบทความ เรื่อง การประเมินค่างานเขียน


8. กิจกรรมการเรียนรู้ นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การอ่านวินิจสาร เรื่องที่ 1 การอ่านแปลความ ตีความ และขยายความ เวลา 1-2 ชั่วโมง วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Method: 5E) ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engage) 1. ครูนำบัตรภาพสัญลักษณ์ มาแสดงให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียนร่วมกันทายความหมายของสัญลักษณ์ 2. ครูถามนักเรียนว่า ทราบได้อย่างไรว่า สัญลักษณ์ที่เห็นในภาพหมายถึงอะไร และสื่อความว่าอย่างไร 3. ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่าการที่จะเข้าใจงานเขียนต่างๆ ได้นั้น ส่วนหนึ่งต้องอาศัยความรู้ และประสบการณ์เดิมของนักเรียนประกอบ ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา (Explore) ครูแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คละกันตามความสามารถ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้สมาชิก แต่ละคนในกลุ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการอ่านในชีวิตประจำวัน ในหัวข้อต่อไปนี้ 1) การอ่านแปลความ 2) การอ่านตีความ 3) การอ่านขยายความ ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ (Explain) 1. สมาชิกแต่ละคนนำความรู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาเป็นพื้นฐานในการทำใบงานที่ 1.1 เรื่อง อ่านเอาเรื่อง 2. สมาชิกในกลุ่มร่วมกันอธิบายความรู้จากการที่ร่วมมือกันทำใบงานและสรุปผล จากนั้นตรวจสอบความถูกต้อง ของคำตอบในใบงานที่ 1.1 ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ (Expand) นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกงานเขียนที่นักเรียนสนใจ กลุ่มละ 1 ชิ้น จากนั้นทำใบงานที่ 1.2 เรื่อง อ่านสำรวจตรวจความ เข้าใจ เสร็จแล้วแลกใบงานกลุ่มตนเองให้เพื่อนกลุ่มอื่นอ่านเพื่อจะได้ตรวจสอบความถูกต้อง ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) ครูตรวจสอบผลงานจากใบงานที่ 1.2 และเลือกผลงานที่มีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดติดป้ายนิเทศหน้าชั้นเรียน


เรื่องที่ 2 การอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ เวลา 1 ชั่วโมง วิธีสอนแบบ SQ4R ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มเดิมจากเรื่องที่ 1) นั่งเป็นรูปตัวยู แล้วอ่านตัวอย่างข่าว จากนั้นครูถามความคิดเห็นนักเรียน ขั้นสอน ขั้นที่ 1 Survey (S) 1. ครูอธิบายเรื่องการอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ แล้วให้นักเรียนอ่านตัวอย่างข่าวอย่างคร่าวๆ เพื่อจับใจความ สำคัญของเรื่องที่อ่าน 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกงานเขียนที่ตนเองชื่นชอบมา กลุ่มละ 1 ชิ้น แล้วอ่านงานเขียนอย่างคร่าวๆ เพื่อจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน และพิจารณารายละเอียดต่างๆ จากเรื่องที่อ่านอย่างละเอียด ขั้นที่ 2 Question (Q) นักเรียนแต่ละกลุ่มตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน และจดลงในสมุดบันทึก ขั้นที่ 3 Read (R) นักเรียนอ่านงานเขียนอีกครั้ง โดยอ่านอย่างละเอียด แล้วตอบคำถามที่ตั้งไว้ในสมุดบันทึก ขั้นที่ 4 Record (R) นักเรียนบันทึกรายละเอียดที่สำคัญลงในสมุดบันทึก ขั้นที่ 5 Recite (R) นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านอย่างสั้นๆ โดยเรียบเรียงเป็นภาษาของตนเอง ขั้นที่ 6 Reflect (R) นักเรียนแต่ละกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เพื่อคาดคะเนจากเรื่องที่อ่านลงในใบงานที่ 2.1 เรื่อง คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่อง ที่อ่าน เสร็จแล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนอใบงาน จากนั้นร่วมกันศึกษาความรู้เรื่อง มารยาทในการอ่าน ขั้นสรุปและประเมิน ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานเขียนที่อ่าน แล้วร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง การอ่านเพื่อคาดคะเน เหตุการณ์และประเมินค่า


เรื่องที่ 3 การอ่านเพื่อประเมินค่า เวลา 1 ชั่วโมง วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคคู่คิดสี่สหาย ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ครูนำตัวอย่างงานเขียนที่เป็นบทความมาให้นักเรียนอ่าน แล้วช่วยกันวิจารณ์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง ที่อ่าน เพื่อประเมินค่างานเขียน จากนั้นครูสุ่มนักเรียน 2-3 คน ออกมาแสดงความคิดเห็นของตนเองหน้าชั้นเรียน ขั้นสอน 1. นักเรียนรวมกลุ่ม (กลุ่มเดิมจากเรื่องที่ 1) ให้แต่ละกลุ่มเลือกงานเขียนที่นักเรียนชื่นชอบหรือสนใจกลุ่มละ 1 เรื่อง จากนั้น ให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนองานเขียนหน้าชั้นเรียน แล้วร่วมกันประเมินค่างานเขียน 2. ครูให้นักเรียนแต่ละคนทำใบงานที่ 3.1 เรื่อง ประเมินค่างานเขียน เสร็จแล้วจับคู่กับเพื่อนผลัดกันอธิบายคำตอบ ของตนให้เพื่อนฟัง 3. นักเรียนรวมกลุ่มเดิม (4 คน) แล้วผลัดกันอธิบายคำตอบของคู่ตนให้เพื่อนอีกคู่หนึ่งฟัง เสร็จแล้วร่วมกันสรุป คำตอบในใบงานที่ 3.1 และเก็บรวบรวมใบงานส่งครู ขั้นสรุป ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง การอ่านเพื่อประเมินค่างานเขียน • ครูมอบหมายให้นักเรียนเขียนบทความ เรื่อง การประเมินค่างานเขียน โดยให้ครอบคลุมประเด็น ตามที่กำหนด นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การอ่านวินิจสาร 9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 9.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) บัตรภาพ สัญลักษณ์ 4) ตัวอย่างบทความ 5) ใบงานที่ 1.1 เรื่อง อ่านเอาเรื่อง 6) ใบงานที่ 1.2 เรื่อง อ่านสำรวจตรวจความเข้าใจ 7) ใบงานที่ 2.1 เรื่อง คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน 8) ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ประเมินค่างานเขียน 9.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ


การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แบบประเมินบทความ เรื่อง การประเมินค่างานเขียน รายการประเมิน คำอธิบายระดับคุณภาพ / ระดับคะแนน ดีมาก (4) ดี (3) พอใช้ (2) ปรับปรุง (1) 1. การแปลความ ตีความ และ ขยายความจาก งานเขียน แปลความ ตีความ และ ขยายความจากงานเขียน ได้ถูกต้อง สมบูรณ์ ชัดเจนทุกประการ แปลความ ตีวาม และ ขยายความจากงาน เขียน ได้ถูกต้อง ชัดเจนเป็นส่วนใหญ่ แปลความ ตีความ และขยายความจาก งานเขียน ได้ถูกต้อง เพียงเล็กน้อย แปลความ ตีความ และขยายความจาก งานเขียนไม่ถูกต้อง 2. การแสดงความ คิดเห็นและการ ประเมินค่า งานเขียน แสดงความคิดเห็นและ ประเมินค่างานเขียน อย่างมีเหตุผล และ ชัดเจนครบถ้วน แสดงความคิดเห็นและ ประเมินค่างานเขียน อย่างมีเหตุผล และ ชัดเจนเป็นส่วนใหญ่ แสดงความคิดเห็นและ ประเมินค่างานเขียน อย่างมีเหตุผล แต่ไม่ ชัดเจน แสดงความคิดเห็น และประเมินค่างาน เขียนไม่มีเหตุผล และไม่ชัดเจน 3. การให้ข้อคิดหรือ แนวทางเพื่อนำไป ปรับใช้ใน ชีวิตประจำวัน ให้ข้อคิดหรือแนวทาง เพื่อนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวัน ได้ชัดเจน และเหมาะสม ให้ข้อคิดหรือแนวทาง เพื่อนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้ ชัดเจนเป็นส่วนใหญ่ ให้ข้อคิดหรือแนวทาง เพื่อนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวันได้เพียง เล็กน้อย ให้ข้อคิดหรือ แนวทาง แต่ไม่ สามารถนำไปปรับ ใช้ในชีวิตประจำวัน ได้ 4. การลำดับความคิด อย่างเป็นขั้นตอน และมีระบบ ลำดับความคิดอย่างเป็น ขั้นตอนและมีระบบ ลำดับความคิดอย่าง เป็นขั้นตอนและมี ระบบเป็นส่วนใหญ่ ลำดับความคิดอย่าง เป็นขั้นตอนและมี ระบบเป็นบางส่วน ลำดับความคิด อย่างเป็นลำดับ ขั้นตอน แต่ไม่มี ระบบ 5. การใช้ภาษาได้ สละสลวย เข้าใจ ง่าย ใช้ภาษาได้สละสลวย เข้าใจง่าย เหมาะสมกับ เรื่อง ใช้ภาษาได้สละสลวย เข้าใจง่าย เหมาะสม กับเรื่องเป็นส่วนใหญ่ ใช้ภาษาได้สละสลวย เข้าใจง่าย เหมาะสม กับเรื่องเป็นส่วนน้อย ใช้ภาษาได้ สละสลวย เข้าใจ ง่าย แต่ไม่ เหมาะสมกับเรื่อง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง


แบบทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. การอ่านวินิจสารควรใช้ทักษะการอ่านพื้นฐานใดเป็นสำคัญ ก. การอ่านแบบกวาดสายตา ข. การอ่านจับใจความสำคัญ ค. การอ่านเพื่อประเมินค่า ง. การอ่านแปลความ 2. การอ่านสารชนิดใด ที่ไม่ควรใช้การอ่านแปลความ ก. การอ่านบทกวีนิพนธ์ ข. การอ่านตำราวิชาการ ค. การอ่านป้ายโฆษณาสินค้า ง. การอ่านข่าวพยากรณ์อากาศ 3. หลักการสำคัญของการอ่านแปลความ คือข้อใด ก. ควรจับประเด็นสำคัญของผู้เขียนให้ได้ ข. ควรแปลเพื่อให้เข้าใจเรื่องที่อ่านได้ง่ายขึ้น ค. ควรแปลความหมายทุกคำที่ปรากฏในเรื่อง ง. ควรแปลแล้วยังรักษาเนื้อหาและสาระความสำคัญ ของเรื่องภาษาต่างประเทศ 4. สัญลักษณ์ดังกล่าว หมายความว่าอย่างไร ก. ระวังอันตรายจากฝุ่นละออง ข. ระวังอันตรายจากคลื่นเสียง ค. ระวังอันตรายจากไฟฟ้าแรงสูง ง. ระวังอันตรายจากกัมมันตภาพรังสี 5. ข้อใดเป็นหลักเกณฑ์การอ่านตีความ ก. ต้องมีความคิดแทรกขณะที่อ่าน ข. ต้องเข้าใจความหมายของศัพท์ที่อ่าน ค. ต้องคาดคะเนสิ่งที่น่าจะเป็นขณะที่อ่าน ง. ต้องจับประเด็นสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ 6. ข้อความในข้อใดที่ตีความได้มากกว่าหนึ่งความหมาย ก. เหล้าเก่าในขวดใหม่ ข. แม่ดอกโสนบานเช้า ค. สามวันจากนารีเป็นอื่น ง. กินเหมือนหมูอยู่เหมือนหมา 7. ข้อใดไม่ใช่วิธีการอ่านขยายความ ก. การกล่าวถึงสาเหตุและผลที่สัมพันธ์กัน ข. ถ้อยคำที่เขียนจะต้องมีความหมายที่ชัดเจน ค. การอธิบายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเพิ่มเติม ง. การยกตัวอย่างหรือข้อเท็จจริงมาประกอบเนื้อเรื่องเดิม


8. “อาหารดีสุขภาพดี” แนวคิดสำคัญของข้อความนี้คือข้อใด ก. อาหารที่มีประโยชน์ส่งผลดีต่อสุขภาพให้แข็งแรง ข. อาหารดีช่วยให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายแข็งแรง ค. สุขภาพที่แข็งแรงเกิดจากการรับประทานอาหารที่สดสะอาด ง. สุขภาพไม่แข็งแรงเพราะรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ 9. สิ่งสำคัญสำหรับการอ่านตีความ คือข้อใด ก. ใช้ความคิดสร้างสรรค์ตีความหมายของข้อความ ข. พิจารณาสาระและเจตนาของผู้เขียนที่ต้องการสื่อ ค. อ่านเรื่องให้ละเอียดแล้วจับประเด็นสำคัญของผู้เขียน ง. อาศัยบริบทเพื่อช่วยในการอธิบายความหมายของคำ 10. ข้อใดไม่ใช่หลักการอ่านเพื่อประเมินค่า ก. พิจารณาความรู้สึก ข. พิจารณาภาษาที่ใช้ ค. พิจารณากลวิธีการแต่ง ง. พิจารณาเกี่ยวกับรูปแบบคำประพันธ์


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่4 การอ่านวินิจสาร เวลา 1-2 ชั่วโมง เรื่อง การอ่านแปลความ ตีความ และขยายความ ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การอ่านเรื่องต่างๆ นั้น ต้องมีการตีความ แปลความ ขยายความ และตอบคำถามจากเรื่องที่อ่าน 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.4-6/6 ตอบคำถามจากการอ่านงานเขียนประเภทต่างๆ ภายในเวลาที่กำหนด 2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายการอ่านแปลความ ตีความ และขยายความได้ 2) อ่านแปลความ ตีความ และขยายความจากเรื่องที่อ่านได้ถูกต้อง 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น ข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรียน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี ปาฐกถา พระบรมราโชวาท เทศนา คำบรรยาย คำสอน บทร้อยกรองร่วมสมัย บทเพลง บทอาเศียรวาท คำขวัญ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการแปลความ 2) ทักษะการสร้างความรู้ 3) ทักษะการตีความ 4) ทักษะการสรุปลงความเห็น 5) ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน


6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนแบบสืบเสาะหาความรู้(Inquiry Method : 5E) นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การอ่านวินิจสาร ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ 1. ครูนำบัตรภาพสัญลักษณ์ มาแสดงให้นักเรียนดูที่หน้าชั้นเรียน แล้วให้นักเรียนร่วมกันทายความหมายของสัญลักษณ์ 2. ครูถามนักเรียนว่า ทราบได้อย่างไรว่า สัญลักษณ์ที่เห็น ในภาพ หมายถึงอะไร และสื่อความว่าอย่างไร นักเรียนสามารถตอบได้ อย่างหลากหลาย 3. ครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า การที่จะเข้าใจงานต่างๆ ได้นั้น ส่วนหนึ่งต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมของนักเรียน ประกอบ แล้วให้นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ข้อ 1-3 คำถามกระตุ้นความคิด 1. นักเรียนประสบปัญหาในการอ่าน งานเขียนหรือไม่ อย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 2. ในชีวิตประจำวันนักเรียนคิดว่า การอ่าน แปลความ ตีความ และขยายความมีความ จำเป็นหรือไม่ อย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 3. นักเรียนคิดว่า การอ่านวินิจสารมีลักษณะ อย่างไร (การอ่านวินิจสาร เป็นการอ่านที่พิจารณาถึง คุณค่าของงานเขียน รู้จักวิเคราะห์พิจารณา งานเขียนครอบคลุมทุกด้าน ซึ่งควรมีทักษะ ของการอ่านแปลความ ตีความ และขยาย ความ เพื่อช่วยให้การอ่านครั้งนั้นๆ มี ประสิทธิภาพ) ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา 1. ครูแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน คละกันตาม ความสามารถคือ เก่ง ปานกลางค่อนข้างเก่ง ปานกลางค่อนข้าง อ่อน และอ่อน แล้วให้แต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบให้ สมาชิกแต่ละคนในกลุ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการอ่านใน ชีวิตประจำวัน จากหนังสือเรียนหนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม ห้องสมุด และแหล่งข้อมูลสารสนเทศในหัวข้อต่อไปนี้ 1) การอ่านแปลความ 2) การอ่านตีความ 3) การอ่านขยายความ 2. นักเรียนนำความรู้ที่ได้ศึกษามาบันทึกลงในแบบบันทึกการอ่าน


ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ 1. สมาชิกแต่ละคนนำความรู้ที่ได้ศึกษาค้นคว้ามาเป็นพื้นฐาน ในการทำใบงานที่ 1.1 เรื่อง อ่านเอาเรื่อง 2. สมาชิกในกลุ่มร่วมกันอธิบายคำตอบจากใบงานที่ 1.1 และ สรุปผลจากนั้นตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบในใบงาน 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ข้อ 1-2 คำถามกระตุ้นความคิด 1. นักเรียนคิดว่าการอ่านงานแต่ละประเภท ต้องใช้ทักษะการอ่านทั้งสามประเภท หรือไม่ (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้ อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 2. การอ่านงานเขียนแต่ละประเภทควรมี วิธีการอ่านเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง (งานเขียนแต่ละประเภทมีวิธีการอ่านทั้งเหมือน และต่างกัน ขึ้นอยู่กับประเด็นที่ผู้เขียนต้องการ นำเสนอ และการอ่านให้เข้าใจได้ลึกซึ้งส่วนหนึ่ง ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้เดิมที่มีอยู่ ประกอบ) ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ สื่อการเรียนรู้ : ใบงานที่ 1.2 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกงานเขียนที่สนใจ กลุ่มละ 1 ชิ้น แล้ว อ่าน งานเขียนอย่างละเอียด จากนั้นเขียนแปลความ ตีความ และขยายความลงในใบงานที่ 1.2 เรื่อง อ่านสำรวจตรวจ ความเข้าใจ 2. เมื่อนักเรียนแต่ละกลุ่มทำใบงานเสร็จแล้ว แลกใบงานกลุ่ม ตนเองให้เพื่อนกลุ่มอื่นอ่านเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด การอ่านงานเขียนโดยใช้ทักษะการ อ่านเพียงอย่างเดียวเพียงพอกับการอ่าน งานเขียนเรื่องนั้นหรือไม่ เพราะเหตุใด (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดย ให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจสอบผลงานจากใบงานที่ 1.2 และเลือกผลงานที่มี คุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดติดป้ายนิเทศหน้าชั้นเรียน 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด การอ่านแต่ละประเภทสามารถนำมาปรับ ใช้ในชีวิตประจำวันได้หรือไม่ อย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้ อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน)


7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 1 แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 (ประเมินตามสภาพจริง) ตรวจใบงานที่ 1.1 ใบงานที่ 1.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 1.2 ใบงานที่ 1.2 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจแบบบันทึกการอ่าน แบบบันทึกการอ่าน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน การทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) บัตรภาพ สัญลักษณ์ 4) ใบงานที่ 1.1 เรื่อง อ่านเอาเรื่อง 5) ใบงานที่ 1.2 เรื่อง อ่านสำรวจตรวจความเข้าใจ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - http://www.mcot.net - http://www.adintrend.com - http://www.thaiwriterassociation.org - http://www.ohmpps.go.th/prabrmbrachowat.php?id_head=4


บัตรภาพ : สัญลักษณ์ ภาพที่ 1 ภาพที่ 2 ภาพที่ 3 ภาพที่ 4 ภาพที่ 5 ภาพที่ 6 หมายเหตุ ภาพที่ 1 ป้ายเตือนทางลื่น ภาพที่ 2 เครื่องหมายกาชาด ภาพที่ 3 สัญลักษณ์หยินหยาง . ภาพที่ 4 สัญลักษณ์วิชาชีพเภสัชกรรมพบตามร้านขายยา ภาพที่ 5 เครื่องหมายการค้าจดทะเบียนอย่างถูกต้องแล้ว ภาพที่ 6 เครื่องหมายจราจร หมายถึง บนทางเท้า (ที่มีขนาดกว้าง) ให้จักรยานวิ่งด้านซ้ายของทางเดิน


ใบงานที่ 1.1 เรื่อง อ่านเอาเรื่อง คำชี้แจง ให้นักเรียนอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม หลับ ขึ้นรถโดยสาร มันคลานโคลงเคลง คำรามคร่ำเคร่ง ครวญครางครืนครืน เหงื่อไคลคร่ำเครียด โหย่งเหยียดตีนยืน หลับหลับตื่นตื่น ผงกฟื้นสลับซบ ท้องแก่แย่เปรียบ ท้องเรียบนั่งจอง คนแก่เหลือบมอง คนหนุ่มแกล้งเมิน เสียงตะโกนเดินหน้า เสียงด่าเดินหลัง คนนั่งแกล้งฟุบ คนยืนโยกย้าย... คนจะลงป้ายหน้า รถบ้าไม่ยอมจอด อ้ายจ๊อดคุยจ้อ อ้ายจ๋อคุยฟุ้ง อ้ายจุ๋งคุยทับ อ้ายจ๊อดอ้ายจุ๋ง ถองพุงอ้ายจ๋อ ฝนก็อึมครึม ฟ้าครึ้มครืนครืน อากาศอึนอึน คนจะขึ้นป้ายหน้า เหลืองเหลืองปลิวมา พระนี่หว่า...เฮ้ยหลับ. (ที่มา : ศักดิ์สิริ มีสมสืบ. (2535). มือนั้นสีขาว. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : กะทิกะลา, หน้า 60-61.)


จากบทประพันธ์ข้างต้น นักเรียนสามารถแปลความ ตีความ และขยายความได้อย่างไร


เฉลย ใบงานที่ 1.1 เรื่อง อ่านเอาเรื่อง คำชี้แจง ให้นักเรียนอ่านข้อความต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม หลับ ขึ้นรถโดยสาร มันคลานโคลงเคลง คำรามคร่ำเคร่ง ครวญครางครืนครืน เหงื่อไคลคร่ำเครียด โหย่งเหยียดตีนยืน หลับหลับตื่นตื่น ผงกฟื้นสลับซบ ท้องแก่แย่เปรียบ ท้องเรียบนั่งจอง คนแก่เหลือบมอง คนหนุ่มแกล้งเมิน เสียงตะโกนเดินหน้า เสียงด่าเดินหลัง คนนั่งแกล้งฟุบ คนยืนโยกย้าย... คนจะลงป้ายหน้า รถบ้าไม่ยอมจอด อ้ายจ๊อดคุยจ้อ อ้ายจ๋อคุยฟุ้ง อ้ายจุ๋งคุยทับ อ้ายจ๊อดอ้ายจุ๋ง ถองพุงอ้ายจ๋อ ฝนก็อึมครึม ฟ้าครึ้มครืนครืน อากาศอึนอึน คนจะขึ้นป้ายหน้า เหลืองเหลืองปลิวมา พระนี่หว่า...เฮ้ยหลับ. (ที่มา : ศักดิ์สิริ มีสมสืบ. (2535). มือนั้นสีขาว. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : กะทิกะลา, หน้า 60-61.)


จากบทประพันธ์ข้างต้น นักเรียนสามารถแปลความ ตีความ และขยายความได้อย่างไร (ตัวอย่าง) กวีนิพนธ์นี้กล่าวถึงสภาพบนรถโดยสารที่ฝนกำลังจะตกว่า บนรถโดยสารมีทั้งคนยืนที่ยืนเบียดกัน และคนนั่งแบบหลับๆ ตื่นๆ พอมีผู้หญิงมีครรภ์ขึ้นมาก็ไม่มีใครลุกให้นั่งไม่ว่าจะเป็นคนแก่ที่ได้แค่มอง คนหนุ่มก็เมินไปทางอื่น คนนั่งที่ไม่หลับก็แกล้ง หลับ คนยืนก็โยกย้ายไปที่อื่น พอจะมีคนลงรถ รถโดยสารก็ไม่ยอมจอดให้ลง อ้ายจ๊อด อ้ายจุ๋ง และอ้ายจ๋อ ก็คุยและเล่นกันโดย ไม่สนใจใคร มีพระภิกษุขึ้นมาก็ไม่มีใครสนใจโดนแกล้งทำเป็นหลับ กวีต้องการสะท้อนให้เห็นภาพสังคมเมืองในปัจจุบันถึงความ แล้งน้ำใจหรือความไม่มีน้ำใจของคนในสังคม โดยยกตัวอย่างบนรถโดยสารประจำทางที่เบียดเสียดและบรรยากาศที่ปรากฏใน บทกวีแสดงถึงความมีมิตรไมตรีต่อกัน สังเกตจากคำที่ใช้ที่บ่งบอกถึงความรู้สึกที่อึดอัด เช่น คำราม คร่ำเคร่ง คร่ำเครียด เมื่อ สังคมมีความเจริญขึ้น ความมีน้ำใจก็ลดน้อยลงหรือแทบไม่มีเหลือเลยตามไปด้วย ทุกคนยึดและนึกถึงตนเองเป็นที่ตั้ง คนบนรถ ประจำทางมีมีใครสนใจใครนั่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องการ โดยไม่คำนึงถึงคนรอบข้างที่ยืนอยู่ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งกวีนำภาพ ผู้หญิงมีครรภ์ต้องยืนโหนรถโดยสารประจำทางโดยไม่มีใครลุกให้นั่ง และเน้นย้ำให้เห็นความไม่มีน้ำใจมากขึ้น โดยนำเสนอภาพ พระภิกษุซึ่งบุคคลที่สังคมควรเคารพก็ไม่มีใครสนใจเช่นกันสะท้อนให้เห็นว่าพระภิกษุก็ไม่ต่างกับคนทั่วไปหรือไม่ต่างกับคนท้อง ความมีน้ำใจหายไปจากสังคมเมืองหลวง สังคมชนบทก็ควรยังคงสิ่งนี้ไว้ ความเจริญเป็นสิ่งที่แต่ไม่ควรทำให้สิ่งที่ดีและมีอยู่ใน สังคมเลือนหายไปด้วย การมีน้ำใจเอื้ออารีต่อกันแม้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ควรเปลี่ยนตัวเองไปตามกระแสของสังคมที่ เปลี่ยนไป (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน)


ใบงานที่ 1.2 เรื่อง อ่านสำรวจตรวจความเข้าใจ คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกอ่านงานเขียนที่สนใจ แล้วเขียนแปลความ ตีความ และขยายความ แปลความ 1) ตีความ 2) ขยายความ บทความ/งานอ่านที ่นักเรียนเลือก


ใบงานที่ 1.2 เรื่อง อ่านสำรวจตรวจความเข้าใจ คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกอ่านงานเขียนที่สนใจ แล้วเขียนแปลความ ตีความ และขยายความ 1) แปลความ 2) ตีความ 3) ขยายความ (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) เฉลย บทความ/งานอ่านที ่นักเรียนเลือก


แบบบันทึกการอ่าน ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง นามปากกา สำนักพิมพ์ สถานที่พิมพ์ ปีที่พิมพ์ จำนวนหน้า ราคา บาท อ่านวันที่ เดือน พ.ศ. เวลา 1. สาระสำคัญของเรื่อง 2. วิเคราะห์ข้อคิด/ประโยชน์ที่ได้จากเรื่องที่อ่าน 3. สิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 4. ข้อเสนอแนะของครู ลงชื่อ นักเรียน ลงชื่อ ผู้ปกครอง ( ) ( ) ลงชื่อ ครูผู้สอน ( ) เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานมีความสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย ให้ 3 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน


แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน การแสดง ความคิดเห็น การยอมรับ ฟังคนอื่น การทำงาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย ความมีน้ำใจ การมี ส่วนร่วมใน การปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง


แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบายความหมาย ของเพลงชาติ 1.2 ปฏิบัติตนและชักชวนผู้อื่นปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง 1.3 ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการทำกิจกรรมกับสมาชิกในโรงเรียน ชุมชน และสังคม 1.4 เป็นผู้นำหรือเป็นแบบอย่างในการจัดกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม ชื่นชม ปกป้อง ความเป็นชาติไทย 1.5 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน 1.6 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนและชุมชนจัดขึ้น ชื่นชมในพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ทำตาม สัญญาที่ตนให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และครู เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านความซื่อสัตย์ 2.3 ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนด้านความซื่อสัตย์ 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสังคม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน ปฏิบัติ เป็นปกติวิสัยและเป็นแบบอย่างที่ดี 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 4.2 มีการจดบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 4.3 สรุปความรู้ได้อย่างมีเหตุผล 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินของตนเอง เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอย่างเหมาะสม 5.2 ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี 5.3 ปฏิบัติตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.4 ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมให้อภัยเมื่อผู้อื่น กระทำผิดพลาด


แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ต่อ) คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.5 วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 6.2 ตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงานให้สำเร็จ 6.3 ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานอย่างรอบคอบ 6.4 ทุ่มเท ทำงาน อดทน ไม่ท้อต่อปัญหาและอุปสรรค 6.5 พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้สำเร็จ 6.6 ชื่นชมผลงานความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ช่วยทำ แบ่งปันสิ่งของ ทรัพย์สิน และอื่นๆ พร้อมช่วยแก้ปัญหา 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมสร้างสิ่งที่ดีงามตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน


บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง..................................


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่4 การอ่านวินิจสาร เวลา 1-2 ชั่วโมง เรื่อง การอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ ควรคาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน แยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น และพิจารณาคุณค่างานเขียน 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.4-6/4 คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่านและประเมินค่าเพื่อนำความรู้ความคิดไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิต ท 1.1 ม.4-6/6 ตอบคำถามจากการอ่านงานเขียนประเภทต่างๆ ภายในเวลาที่กำหนด 2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่านได้ 2) แยกแยะข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น และพิจารณาคุณค่างานเขียนได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น ข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรียน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี ปาฐกถา พระบรมราโชวาท เทศนา คำบรรยาย คำสอน บทร้อยกรองร่วมสมัย บทเพลง บทอาเศียรวาท คำขวัญ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการตีความ 2) ทักษะการแปลความ 3) ทักษะการสร้างความรู้ 4) ทักษะการสรุปลงความเห็น 5) ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน


6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนแบบ SQ4R ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูให้นักเรียนนั่งเป็นรูปตัวยู เพื่อสร้างบรรยากาศในห้องเรียน คล้ายกับการสัมมนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แล้วให้นักเรียน ตอบคำถาม กระตุ้นความคิด ข้อ 1 2. นักเรียนรวมกลุ่มเดิม (จากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1) ให้แต่ ละกลุ่ม อ่านตัวอย่างข่าวที่เตรียมไว้ เมื่อนักเรียนอ่านจบครู ถามนักเรียนว่า มีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ครูควรกระตุ้นให้ นักเรียนแสดงความคิดเห็นเพื่อให้นักเรียนรู้จักการวิพากษ์ วิจารณ์ และกล้าแสดงความคิดเห็น 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ข้อ 2 คำถามกระตุ้นความคิด 1. นักเรียนคิดว่า การวิพากษ์วิจารณ์งาน เขียนของผู้อื่นเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ เพราะเหตุใด (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) 2. นักเรียนอ่านเรื่องหรืองานเขียนเรื่องใด เรื่องหนึ่งแล้วนักเรียนเคยวิพากษ์วิจารณ์ งานเขียนนั้นบ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นสอน ขั้นที่ 1 Survey (S) 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมเรื่อง การอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ โดยยกตัวอย่างจากข่าวที่อ่าน 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มเลือกงานเขียนที่ตนเองชื่นชอบมา กลุ่มละ 1 ชิ้นจากหนังสือเรียน หนังสือคว้าเพิ่มเติม ห้องสมุด และ แหล่งข้อมูลสารสนเทศ นำมาอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มอ่านงานเขียนอย่างคร่าวๆ เพื่อจับใจความ สำคัญของเรื่องที่อ่าน และพิจารณารายละเอียดต่างๆ จาก เรื่องที่อ่านอย่างละเอียด ขั้นที่ 2 Question (Q) นักเรียนแต่ละกลุ่มตั้งคำถามจากเรื่องที่อ่าน ซึ่งคำถามครอบคลุม รายละเอียด ดังนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร มีผล อย่างไร จากเรื่องนี้น่าจะมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นและมีคุณค่าอย่างไร จดลงในสมุดบันทึกเพื่อทบทวนความเข้าใจของกลุ่มตนเอง ขั้นที่ 3 Read (R) นักเรียนอ่านงานเขียนอีกหนึ่งครั้ง โดยอ่านอย่างละเอียด และตอบ คำถามที่ตั้งไว้ในสมุดบันทึก คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนใช้หลักการอ่านเพื่อคาดคะเน เหตุการณ์งานเขียนที่นักเรียนเลือกมา อย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้ อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน)


ขั้นที่ 4 Record (R) นักเรียนบันทึกรายละเอียดและข้อมูลที่สำคัญอย่างสั้นๆ ลงในสมุด บันทึก ตามความเข้าใจของนักเรียนเอง ขั้นที่ 5 Recite (R) นักเรียนแต่ละกลุ่มสรุปใจความสำคัญของเรื่องที่อ่าน โดยเรียบ เรียงเป็นภาษาของตนเอง ถ้ายังไม่แน่ใจในบทใดหรือตอนใดของเรื่อง ที่อ่าน ให้กลับไปอ่านซ้ำใหม่ ขั้นที่ 6 Reflect (R) นักเรียนแต่ละกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เพื่อคาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่อง ที่ อ่านลงในใบงานที่ 2.1 เรื่อง คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน จากนั้นให้นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ขั้นสรุปและประเมิน 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอใบงานที่ 2.1 2. ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานเขียนอ่าน แล้วร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง การอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด การอ่านเพื่อคาดคะเนเหตุการณ์ นักเรียนคิดว่า มีประโยชน์หรือไม่ และสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ได้อย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 2.1 ใบงานที่ 2.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน การทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) ตัวอย่างข่าว เรื่อง ดันว่าวจุฬา-ปักเป้าตีตรายูเนสโก


4) ใบงานที่ 2.1 เรื่อง คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - http://www.mcot.net - http://www.adintrend.com - http://www.thaiwriterassociation.org


เอกสารประกอบการสอน เอกสารประกอบการสอน ดัน “ว่าวจุฬา-ปักเป้ า” ตีตรายูเนสโก งานแรก รมว.วัฒนธรรม ปธ.ถก 3 ฝ่ายสางปมศิลปะไทย วธ.แจงเขมรขึ้นทะเบียนร า-หนังใหญ่ไม่กระทบ สิทธ์ิไทย ยา ้มีหลกัฐานสา คญัแสดงความเป็นเจ้าของมรดกภมูิปัญญาทางวฒันธรรม “บัวแก้ว” เล็งหาข้อสรุปชง ครม.-สภาล้อมคอก ขณะที่ “ซูเปอร์เป็ด” ปิ๊งไอเดียดนั“จุฬา-ปักเป้า” ตีตรายูเนสโก ความพยายามในการปกป้องศิลปวัฒนธรรมประจ าชาติของไทยไม่ให้ซ ้ารอยร าไทย ท่าจีบ และหนังใหญ่ ที่กัมพูชาน าไป ขึ้นทะเบียนกับองค์การการศึกษา วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์แห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม นายปริญญา สุขชิต หรือซูเปอร์เป็ด อุปนายกสมาคมกีฬาไทยในพระบรมราชูปถัมภ์และประธานสภาวัฒนธรรมเขตดุสิต กล่าวว่า การขึ้น ทะเบียนท่าร าและหนังใหญ่ของกัมพูชา ถือเป็นเรื่องยากที่จะกล่าวโทษใคร เนื่องจากศิลปะแขนงนี้มีความเกี่ยวโยงกันของคนทั้ง ภูมิภาค เราไม่น่าจะใส่ใจมากนัก แต่ควรจะให้ความส าคัญกับสิ่งที่เราเป็นต้นแบบอย่าง “ว่าว” ทั้งว่าวจุฬา และว่าวปักเป้า คนไทยท า และเล่นมาตั้งแต่สมัยพระร่วง มาถึงยุครัตนโกสินทร์เราใช้สนามหลวงเป็นเวทีแข่งขันต่อเนื่องมายาวนาน “ผมเตรียมแบบเอกสารภาษาอังกฤษเสนอยูเนสโกขึ้นทะเบียนมรกดทางวัฒนธรรม โดยไม่ต้องพึ่งหน่วยงานรัฐ ขืนปล่อย ไว้เดี๋ยวคนอื่นเขาเอาไปขึ้นทะเบียนก่อน อีกด้านหนึ่งผมได้ส่งเสริมให้เด็กเยาวชนเรียนรู้การท าว่าวประเภทต่างๆ โดยสอนให้เด็กใน โรงเรียนทั่วกรุงเทพฯ ประมาณ 3 แสนคน ท าว่าวจุฬาและปักเป้าจ านวน 1 หมื่นตัว เพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จ พระ เจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา วันที่ 5 ธันวาคมนี้ เรามีหลักฐานส าคัญหลายอย่างที่จะแสดง ต่อ ยูเนสโกทั้งบันทึกทางประวัติศาสตร์ ภาพถ่ายในอดีต อีกทั้งการจัดแข่งขันอย่างต่อเนื่อง ผมจึงมั่นใจว่าการผลักดันครั้งนี้ต้องส าเร็จ แน่” นายปริญญากล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 15 สิงหาคมนี้ ที่กระทรวงวัฒนธรรม นางสุกุมล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะ เป็นประธานการประชุมแก้ไขปัญหาทางวัฒนธรรมกรณีเร่งด่วนในเรื่องต่างๆ เช่น ปัญหามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ปัญหา เขาพระวิหาร และปัญหาน ้าท่วมโบราณสถาน เพื่อเร่งหาทางออกและข้อสรุปในการด าเนินการแก้ไขโดยเร็วที่สุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อเรื่องที่กัมพูชาจะขึ้นทะเบียนร าไทยและหนังใหญ่ ต่อยูเนสโกว่า “ขอไปสอบถามรายละเอียดก่อนนะคะ” นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ขององค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมกับกระทรวงวัฒนธรรม ยูเนสโกประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ พิจารณาการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ป้องกันปัญหาซ ้าซ้อนท่าร าไทยและหนังใหญ่ ในวันที่ 15 สิงหาคม เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และน าเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป “ขอยืนยันว่าการที่กัมพูชาน าวรรณคดีไทย พยัญชนะ ค าราชาศัพท์ และร าไทยขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก ไม่ท าให้ไทยเสีย สิทธิ์ในการขึ้นทะเบียนในอนาคต เพราะการขึ้นทะเบียนครั้งนี้ระบุชัดว่า รอยัลบัลเลต์ เป็นการร าของกัมพูชาซึ่งต่างกันออกไป ทั้งนี้ ศิลปวัฒนธรรมไทยและกัมพูชามีความคล้ายคลึง และต่างก็ได้รับวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ดังนั้น หากมีการขึ้นทะเบียนจะต้อง พิจารณาว่าศิลปะนั้นเป็นของไทยจริงๆ อย่างไรก็ตาม การขึ้นทะเบียนเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมเพื่อให้โลกรับรู้ว่ามี ศิลปวัฒนธรรมแบบนี้ปรากฏอยู่” นายธานีกล่าว


เอกสารประกอบการสอน เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม กลุ่มปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ส านักวิจัยและพัฒนา กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ชี้แจงว่า ตามที่กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้รับการประสานงานเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมของ กัมพูชานั้น กรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้สืบค้นข้อมูลและขอรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผลกระทบของการขึ้นทะเบียนมรดกทาง วัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ของกัมพูชาต่อมรดกทางวัฒนธรรม ด้านศิลปะการแสดงของประเทศไทย ดังนี้ ข้อแรก การขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมจับต้องไม่ได้ของกัมพูชา คือ ยูเนสโกได้ด าเนินโครงการงานชิ้นเอกในฐานะ มรดกทางมุขปาฐะและที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เมื่อปี 2544 และปี 2546 โดยประกาศมรดกวัฒนธรรมของประเทศกัมพูชาให้ เป็นงานชิ้นเอกในฐานะมรดกทางมุขปาฐะและที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ 2 รายการ ได้แก่ “The Royal Ballet of Cambodia” ลักษณะคล้ายกับโขนและละครร าของไทย และ “Sbek Thom, Khmer Shadow Theater” ลักษณะคล้ายกับหนังใหญ่ของไทย ในปี 2546 ยูเนสโกได้ประกาศใช้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ โดยได้ก าหนดบท เฉพาะกาล ข้อ 31 ให้งานชิ้นเอกในฐานะมรดกทางมุขปาฐะและที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติที่ได้รับการประกาศไว้แล้ว 90 รายการ รวมเป็นรายการตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในการนี้ The Royal Ballet of Cambodia และ Sbek Thom, Khmer Shadow Theater ของประเทศกัมพูชา จึงได้รับการประกาศเป็นรายการตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรม ที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ พร้อมกับรายการที่ได้รับการประกาศขึ้นอีก 76 รายการ ในปี 2551 อย่างไรก็ตาม ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ประกาศรายการแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ รายการตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ และรายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้อง ไม่ได้ซึ่งเป็นต้องได้รับการสงวนรักษาอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ยูเนสโกได้ให้รัฐภาคีเสนอแผนงาน โครงการ และกิจกรรมเพื่อ สงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ที่สะท้อนให้เห็นหลักการและวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาได้ดีที่สุด ข้อสอง การด าเนินการของรัฐบาลไทยเกี่ยวกับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับ ต้องไม่ได้ของยูเนสโก โดยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้รับมอบหมายจากกระทรวงวัฒนธรรมให้พิจารณาการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่า ด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก สรุปการด าเนินงาน ดังนี้ กรมได้รับมอบหมายจากกระทรวงให้ พิจารณาการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ และแต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะด้าน ของคณะกรรมการชุดต่างๆ ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับยูเนสโกรวม 5 คณะ สรุปเสนอส านักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ในฐานะฝ่าย เลขานุการของคณะกรรมการฝ่ายวัฒนธรรม เมื่อเดือนสิงหาคม 2550 โดยที่ประชุมส่วนใหญ่มีมติเห็นด้วยกับการเข้าร่วมเป็นภาคี อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ กรมได้ด าเนินการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการวัฒนธรรมในระดับจังหวัด ประธานสภาวัฒนธรรม ผู้แทน องค์การบริหารส่วนจังหวัดและต าบล ผู้แทนศูนย์วัฒนธรรมในสถานศึกษา และผู้แทนจากสภาเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับการเข้าเป็น ภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก เมื่อปี 2553 โดยร้อยละ 99 มีความคิดเห็นว่า ประเทศไทยควรเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโกโดยเร่งด่วน เพื่อ ปกป้องมรดกวัฒนธรรมของไทย ส่วนส านักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมและกรมส่งเสริมวัฒนธรรมได้จัดประชุมหารือเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยการสงวน รักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้และการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา โดยมีความเห็นให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมพิจารณา ด าเนินการเตรียมการเพื่ออนุวัติการตามอนุสัญญา เช่น การออกพระราชบัญญัติ กฎหมาย การก าหนดมาตรการด าเนินงาน และ ควรให้จัดการรับฟังความคิดเห็นในวงกว้างมากขึ้น


ข้อสาม การขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของประเทศไทยนั้น กรมได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ วัฒนธรรมแห่งชาติให้ด าเนินการศึกษาและนิยามศัพท์ค าว่า “Intangible Cultural Heritage” เป็นภาษาไทย และได้น าเสนอในการ ประชุมคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2552 โดยที่ประชุมได้มีมติให้ใช้ค าว่า “มรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรม” กรมจึงด าเนินการตามมติคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยได้ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ตั้งแต่ปี 2552 กระทั่งปี 2553 ได้ด าเนินการขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติแล้วจ านวน 50 รายการ ทั้งนี้ โขนและหนังใหญ่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ปี 2552 ส่วนละครใน ร าเพลงช้า-เพลงเร็ว แม่ท่ายักษ์-ลิง ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ปี 2553 สาขาศิลปะการแสดง รวมถึงได้ส่งเสริมให้ จังหวัดต่างๆ จัดท าทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของท้องถิ่น สนับสนุนการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ใกล้ สูญหาย นอกจากนี้กรมได้จ้างมูลนิธิสถาบันวิจัยกฎหมาย ด าเนินโครงการศึกษาวิจัยและจัดท ากฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม มีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมและคุ้มครอง รวมทั้งขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และข้อสี่ ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม คือ เรื่องการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้อง ไม่ได้ของกัมพูชาที่มีลักษณะใกล้เคียงกับมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยนั้น กรมพิจารณาแล้วเห็นว่าการประกาศเป็น รายการตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ของ The Royal Ballet of Cambodia และ Sbek Thom, Khmer Shadow Theater หรือการประกาศรายการอื่นๆ ในอนาคตจะไม่ส่งผลกระทบต่อการอ้างความเป็นเจ้าของมรดกวัฒนธรรม ดังกล่าวของไทย แม้ว่ามรดกทางวัฒนธรรมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในหลายประเทศมีลักษณะใกล้เคียงกัน เนื่องจาก ได้รับอิทธิพลและมีการแพร่กระจาย แลกเปลี่ยนกันในภูมิภาคนี้มาเป็นเวลาช้านาน หากประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ประเทศไทย สามารถน าเสนอ “โขน” และ “หนังใหญ่” ของไทย เป็นรายการตัวแทนของมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อ ยูเนสโกได้ เนื่องจากมรดกทางวัฒนธรรมของทั้ง 2 ประเทศ มีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน รวมทั้งมีการยอมรับและปฏิบัติกัน โดยชุมชนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องและชัดเจน สุดท้ายยืนยันว่าการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของ ประเทศไทยที่ได้ด าเนินการตั้งแต่ปี 2552 สามารถใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงส าคัญถึงการเป็นเจ้าของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของประเทศ รวมถึงเป็นเครื่องมือป้องกันกรณีพิพาททั้งในและต่างประเทศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ที่มา : http://www.komchadluek.net/detail/20110815/106052/ดันว่าวจุฬาปักเป้าตีตรายูเนสโก.html


ใบงานที่ 2.1 เรื่อง คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกบทความหรืองานเขียนที่สนใจ แล้วเขียนคาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน (บทความ/งานเขียนที่นักเรียนเลือก)


ใบงานที่ 2.1 เรื่อง คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกบทความหรืองานเขียนที่สนใจ แล้วเขียนคาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่าน (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) เฉลย (บทความ/งานเขียนที่นักเรียนเลือก)


แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความมีวินัย ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละ การรับฟัง ความคิดเห็น การแสดง ความคิดเห็น การตรงต่อ เวลา รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง


แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความร่วมมือ กันทำ กิจกรรม การแสดง ความคิดเห็น การรับฟัง ความคิดเห็น การตั้งใจ ทำงาน การแก้ไข ปัญหา/หรือ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง


แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบายความหมาย ของเพลงชาติ 1.2 ปฏิบัติตนและชักชวนผู้อื่นปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง 1.3 ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการทำกิจกรรมกับสมาชิกในโรงเรียน ชุมชน และสังคม 1.4 เป็นผู้นำหรือเป็นแบบอย่างในการจัดกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม ชื่นชม ปกป้อง ความเป็นชาติไทย 1.5 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน 1.6 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนและชุมชนจัดขึ้น ชื่นชมในพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ทำตาม สัญญาที่ตนให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และครู เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านความซื่อสัตย์ 2.3 ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนด้านความซื่อสัตย์ 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสังคม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน ปฏิบัติ เป็นปกติวิสัยและเป็นแบบอย่างที่ดี 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 4.2 มีการจดบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 4.3 สรุปความรู้ได้อย่างมีเหตุผล 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินของตนเอง เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอย่างเหมาะสม 5.2 ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี 5.3 ปฏิบัติตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.4 ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมให้อภัยเมื่อผู้อื่น กระทำผิดพลาด


แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ต่อ) คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.5 วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 6.2 ตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงานให้สำเร็จ 6.3 ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานอย่างรอบคอบ 6.4 ทุ่มเท ทำงาน อดทน ไม่ท้อต่อปัญหาและอุปสรรค 6.5 พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้สำเร็จ 6.6 ชื่นชมผลงานความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ช่วยทำ แบ่งปันสิ่งของ ทรัพย์สิน และอื่นๆ พร้อมช่วยแก้ปัญหา 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมสร้างสิ่งที่ดีงามตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน


บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง..................................


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่4 การอ่านวินิจสาร เวลา 1 ชั่วโมง เรื่อง การอ่านเพื่อประเมินค่า ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การอ่านเพื่อประเมินค่างานเขียนจากสื่อต่างๆ สามารถนำความรู้ความคิดที่ได้จากการอ่านไปใช้ในการดำเนินชีวิต 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 1.1 ม.4-6/4 คาดคะเนเหตุการณ์จากเรื่องที่อ่านและประเมินค่าเพื่อนำความรู้ความคิดไปใช้ตัดสินใจแก้ปัญหา ในการดำเนินชีวิต ท 1.1 ม.4-6/6 ตอบคำถามจากการอ่านงานเขียนประเภทต่างๆ ภายในเวลาที่กำหนด 2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ประเมินค่างานเขียนได้ 2) สามารถนำความรู้ความคิดที่ได้จากการอ่านไปใช้ในการดำเนินชีวิต 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - การอ่านจับใจความจากสื่อต่างๆ เช่น ข่าวสารจากสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ในชุมชน บทความ นิทาน เรื่องสั้น นวนิยาย วรรณกรรมพื้นบ้าน วรรณคดีในบทเรียน บทโฆษณา สารคดี บันเทิงคดี ปาฐกถา พระบรมราโชวาท เทศนา คำบรรยาย คำสอน บทร้อยกรองร่วมสมัย บทเพลง บทอาเศียรวาท คำขวัญ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการตีความ 2) ทักษะการแปลความ 3) ทักษะการสร้างความรู้ 4) ทักษะการสรุปลงความเห็น 5) ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน


6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนโดยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ : เทคนิคคู่คิดสี่สหาย ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูนำตัวอย่างงานเขียนที่เป็นบทความมาให้นักเรียนอ่าน แล้ว ช่วยกันวิจารณ์และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านเพื่อ ประเมินค่างานเขียน จากนั้นครูสุ่มนักเรียน 2-3 คน ออกมา แสดงความคิดเห็นของตนหน้าชั้นเรียน 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด การอ่านประเมินค่างานเขียน มีลักษณะ อย่างไร (การอ่านประเมินค่างานเขียน เป็นการอ่าน เพื่อวินิจฉัยว่า งานเขียนนั้นดีหรือไม่ดี สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น และควรพิจารณางานเขียนอย่างรอบด้าน) ขั้นสอน 1. นักเรียนรวมกลุ่ม (กลุ่มเดิมจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1) ให้แต่ ละกลุ่มเลือกงานเขียนที่นักเรียนชื่นชอบหรือสนใจ กลุ่มละ 1 เรื่อง จากหนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม ห้องสมุด และแหล่งข้อมูล สารสนเทศ 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำเสนองานเขียนหน้าชั้นเรียน ครูและ นักเรียนร่วมกันอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น 3. ครูให้นักเรียนแต่ละคนทำใบงานที่ 3.1 เรื่อง ประเมินค่างาน เขียน 4. เมื่อนักเรียนแต่ละคนทำใบงานที่ 3.1 เสร็จแล้ว ให้จับคู่กับเพื่อน ผลัดกันอธิบายคำตอบของตนให้เพื่อนฟัง 5. นักเรียนรวมกลุ่มเดิม (4 คน) แล้วผลัดกันอธิบายคำตอบของคู่ ตน ให้เพื่อนอีกคู่หนึ่งฟัง เสร็จแล้วร่วมกันสรุปคำตอบในใบงาน ที่ 3.1 และเก็บรวบรวมใบงานส่งครู 6. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาความรู้เรื่อง มารยาทในการอ่าน ขั้นสรุป ครูและนักเรียนรวมกันสรุปความรู้เรื่อง การอ่านเพื่อประเมินค่างาน เขียน จากนั้นให้นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนได้รับประโยชน์จากการอ่าน เพื่อประเมินค่างานเขียนอย่างไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้ อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน)


• ครูมอบหมายให้นักเรียนเขียนบทความ เรื่อง การประเมินค่างานเขียน โดยให้ครอบคลุมประเด็นตามที่กำหนด ดังนี้ 1) การแปลความ ตีความ และขยายความจากงานเขียน 2) การแสดงความคิดเห็นและการประเมินค่างานเขียน 3) การให้ข้อคิดหรือแนวทางเพื่อนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน 4) การลำดับความคิดอย่างเป็นขั้นตอนและมีระบบ 5) การใช้ภาษาได้สละสลวย เข้าใจง่าย นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การอ่านวินิจสาร 7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 3.1 ใบงานที่ 3.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ประเมินการนำเสนอผลงาน แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่นใน การทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 1 แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจบทความ เรื่อง การประเมินค่างาน เขียน แบบประเมินบทความ เรื่อง การประเมินค่า งานเขียน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : หลักภาษาและการใช้ภาษา ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) บทความ เรื่อง มากกว่าอันตรายต่อสมอง คลื่นโทรศัพท์มือถือ รู้เลี่ยง รู้ใช้ ปลอดภัย 4) ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ประเมินค่างานเขียน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - http://www.mcot.net - http://www.adintrend.com


การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แบบประเมินบทความ เรื่อง การประเมินค่างานเขียน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การแปลความ ตีความ และขยายความจากงานเขียน 2 การแสดงความคิดเห็นและการประเมินค่างานเขียน 3 การให้ข้อคิดหรือแนวทางเพื่อนำไปปรับใช้ใน ชีวิตประจำวัน 4 การลำดับความคิดอย่างเป็นขั้นตอน และมีระบบ 5 การใช้ภาษาได้สละสลวย เข้าใจง่าย รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ดีมาก = 4 ดี = 3 พอใช้ = 2 ปรับปรุง = 1 เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง


เอกสารประกอบการสอน มากกว่าอนัตรายต่อสมอง!? “คลื่นโทรศัพท์มือถือ”รู้เลี่ยง...รู้ใช้...ปลอดภัย โทรศัพท์มือถือเป็นสิ่งอ ำนวยควำมสะดวกอย่ำงหนึ่งที่ต้องยอมรับว่ำได้กลำยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว แต่กำรที่เรำมี ควำมต้องกำรใช้อะไรที่มำกเกินไปก็มักมีผลเสียตำมมำเสมอ เป็นที่มำของงำนวิจัยแขนงต่ำงๆ ที่ชี้ว่ำกำรใช้โทรศัพท์มือถือมำก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำของมือถืออำจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งหรือเนื้องอกในสมองได้ซึ่งบำงงำนวิจัยเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เท็จจริง อย่ำงไรไม่ส ำคัญ ทำงออกที่ดีที่สุดคือ ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนน่ำจะแน่นอนกว่ำ ดร.พิเชษฐ กิจธำรำ อำจำรย์ภำควิชำฟิสิกส์ คณะวิทยำศำสตร์ มหำวิทยำลัยมหิดล ให้ควำมรู้ว่ำ “คลื่น” คือกำรเปลี่ยนแปลง กลับไปกลับมำหรือกำรกระเพื่อมในลักษณะที่มีกำรแผ่กระจำยหรือเคลื่อนที่ออกจำกแหล่งก ำเนิด โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. คลื่นกล เป็นคลื่นที่ต้องอำศัยตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ คลื่นประเภทนี้ก็คือ คลื่นผิวน ้ำ ซึ่งเป็นกำรกระเพื่อมของผิวน ้ำและแผ่ กระจำยออกไปเมื่อเรำโยนก้อนหินลงไปในน ้ำ จุดที่ก้อนหินกระทบผิวน ้ำก็คือแหล่งก ำเนิดคลื่น และตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ก็คือ น ้ำ และคลื่นกลอีกชนิดหนึ่งก็คือคลื่นเสียงซึ่งใช้อำกำศเป็นตัวกลำง 2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ เป็นคลื่นที่เกิดจำกกำรเปลี่ยนแปลงของสนำมไฟฟ้ำและสนำมแม่เหล็กสำมำรถเคลื่อนที่ได้ในสุญญำกำศ โดยไม่ต้องอำศัยตัวกลำง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำทุกชนิดเคลื่อนที่ด้วยควำมเร็วแสง (ประมำณ 300,000,000 เมตรต่อวินำที เทียบเท่ำ กับกำรเคลื่อนที่รอบโลกประมำณ 7 รอบในเวลำ 1 วินำที) ตัวอย่ำงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำที่เรำคุ้นเคยก็คือ คลื่นวิทยุ คลื่นแสงและรังสี เอกซ์(X-Ray) โดยค ำว่ำคลื่นและรังสี หมำยถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำเหมือนกัน แต่เรำมักใช้ค ำว่ำรังสีกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำที่มี พลังงำนสูงมำก เช่น รังสีเอกซ์ (ใช้ในกำรเอกซเรย์ในโรงพยำบำล) และรังสีแกมมำ (Gamma-Ray ; มำจำกนอกโลกและ โรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์) เช่น แหล่งก ำเนิดรังสีเอกซ์คือเครื่องถ่ำยภำพเอกซเรย์ในโรงพยำบำล ส่วนรังสีแกมมำมำจำกนอกโลกเป็นส่วน ใหญ่หรือจำกโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ รังสีทั้ง 2 นี้มีพลังงำนมำกพอที่จะท ำให้ยีนหรือเซลล์ในร่ำงกำยมนุษย์เกิดควำมผิดปกติได้ทันทีที่ได้รับรังสีแต่โอกำสที่จะเกิด ควำมผิดปกตินั้นน้อยมำกและร่ำงกำยมนุษย์สำมำรถก ำจัดเซลล์ผิดปกติได้อย่ำงดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่ำอันตรำยจำกกำรเอกซเรย์ ทั่วไปในช่วงเวลำสั้นๆ นั้นน้อยมำก คุ้มค่ำกับประโยชน์ที่ได้รับจำกกำรช่วยวินิจฉัยโรค แต่กำรระเบิดของโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์จะท ำ ให้เซลล์ของพนักงำนที่อยู่ใกล้เกิดควำมผิดปกติทันทีเช่นกัน และหำกได้รับปริมำณรังสีมำกเกินไปก็จะท ำให้ร่ำงกำยซ่อมแซมไม่ทัน กลำยเป็นมะเร็งหรือเสียชีวิตภำยในเวลำไม่นำน แต่คลื่นที่มีควำมถี่น้อยกว่ำนั้น เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นอินฟรำเรด คลื่นแสง คลื่นเหนือม่วง มีพลังงำนน้อยกว่ำและไม่ท ำให้เซลล์ในร่ำงกำยมนุษย์เกิดควำมผิดปกติแบบทันทีทันใด แต่สำมำรถท ำให้ เกิดอันตรำยได้หำกได้รับคลื่นเป็นระยะเวลำนำนๆ หลำยปี เช่น คลื่นยูวีในแสงแดดเป็นสำเหตุหนึ่งของมะเร็งผิวหนัง ส ำหรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำจำกโทรศัพท์มือถืออยู่ในช่วงไมโครเวฟ มีควำมถี่ประมำณ 800–2,500 MHz (1 MHz = 1 ล้ำนลูก คลื่นต่อวินำที) เป็นคลื่นที่สำมำรถทะลุเข้ำไปในร่ำงกำยมนุษย์หรือเนื้อเยื่อได้ง่ำย (ต่ำงกับคลื่นแสงที่ไม่สำมำรถทะลุผิวหนังเข้ำไป ลึกๆ ได้) และเป็นช่วงคลื่นเดียวกับที่ใช้ในเตำไมโครเวฟ ถึงแม้ก ำลัง (อัตรำพลังงำนที่ใช้ต่อวินำที) ของโทรศัพท์มือถือ (1-2 วัตต์) จะน้อยกว่ำของเตำไมโครเวฟ (ประมำณ 1,000 วัตต์) แต่เนื่องจำกเป็นควำมถี่ในช่วงเดียวกัน จึงท ำให้เกิดควำมกังวลเรื่องอันตรำย จำกคลื่นในช่วงนี้ขึ้นมำ ซึ่งควำมกังวลหลักมีอยู่ 2 ประเด็น คือ คลื่นไมโครเวฟจำกโทรศัพท์มือถือท ำให้เซลล์สมองเกิดควำม ผิดปกติโดยตรงหรือไม่และควำมร้อนจำกคลื่นไมโครเวฟส่งผลทำงอ้อมต่อสมองหรือไม่อย่ำงไร


จำกผลงำนวิจัยในอดีตเมื่อหลำยปีก่อนนับร้อยชิ้นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบของคลื่นไมโครเวฟต่อสมอง ซึ่งผลวิจัยมีทั้งที่เห็นว่ำ เป็นอันตรำยและที่เห็นว่ำไม่เป็นอันตรำยจ ำนวนเท่ำๆ กัน จึงไม่สำมำรถสรุปไปทำงใดทำงหนึ่งได้ แต่อย่ำงไรก็ตำมควำมผิดปกติ จำกคลื่นควำมถี่ต ่ำพลังงำนน้อยอย่ำงคลื่นไมโครเวฟนั้นเกิดขึ้นช้ำมำกในระยะเวลำหลำยปีกำรศึกษำวิจัยจึงต้องใช้เวลำนำนหลำย ปีเช่นกัน ผลงำนวิจัยที่น่ำเชื่อถือจึงเพิ่งทยอยออกมำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่ำนมำนี่เอง ข่ำวที่ทั่วโลกให้ควำมส ำคัญในช่วงกลำงปี 2011 ก็ คือ ผลสรุปจำกกำรประชุมของกลุ่มนักวิทยำศำสตร์ขององค์กำรอนำมัยโลก World Health Organization (WHO) ซึ่งมีสำระ ส ำคัญ ดังนี้ 1. กำรประชุมได้พิจำรณำผลงำนวิจัยนับร้อยชิ้นจำกอดีตจนถึงปัจจุบัน 2. ผลงำนวิจัยทั้งหมดไม่เพียงพอหรือไม่สำมำรถบอกได้ ว่ำกำรใช้โทรศัพท์มือถือในกรณีปกติทั่วไปท ำให้เพิ่มโอกำสกำรเป็นเนื้องอกในสมอง 3. งำนวิจัยที่บ่งบอกว่ำกำรใช้โทรศัพท์มือถือ เยอะเกินไปเป็นเวลำนำน (มำกกว่ำ 30 นำทีต่อวัน เป็นเวลำกว่ำ 10 ปี) เพิ่มโอกำสกำรเป็นเนื้องอกในสมอง 40% มำกกว่ำผู้ที่ ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ (ทุกคนมีโอกำสเป็นเนื้องอกในสมอง แต่ถ้ำคุณใช้มือถือมำกเกินไป โอกำสที่คุณจะเป็นเนื้องอกมีมำกขึ้น) อย่ำงไรก็ตำมนี่เป็นงำนวิจัยเพียง 1 ชิ้นที่จะต้องรองำนวิจัยจำกกลุ่มอื่นยืนยันต่อไป 4. ที่ประชุมจัดให้คลื่นไมโครเวฟจำก โทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่อยู่ในกลุ่ม 2B คือ หมำยถึงกลุ่มที่อำจจะเพิ่มโอกำสกำรเป็นเนื้องอกในสมอง (possibly carcinogenic to humans) ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเครื่องส ำอำงบำงชนิด โดยทำง International Agency for Research on Cancer (IARC) แบ่งกลุ่มปัจจัยก่อมะเร็งเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มที่ 1 ก่อมะเร็งชัดเจน (definitely carcinogenic to humans) ต้องหลีกเลี่ยง กลุ่มที่ 2A น่ำจะก่อมะเร็ง (probably carcinogenic to humans) ควรหลีกเลี่ยง กลุ่มที่ 2B อำจจะก่อมะเร็ง (possibly carcinogenic to humans) พึงระวัง หรือยึดปลอดภัยไว้ก่อน กลุ่มที่ 3 ไม่สำมำรถจ ำแนกได้ (not classifiable as to its carcinogenicity to humans) และกลุ่มที่ 4 ไม่น่ำจะก่อมะเร็ง (probably not carcinogenic to humans) นอกจำกนี้ยังมีงำนวิจัยส ำคัญอื่นๆ อีก ถึงแม้งำนวิจัยเหล่ำนี้ยังมีจ ำนวนน้อยชิ้นแต่เป็นงำนวิจัยที่ควรติดตำมเพื่อยืนยันต่อไป เช่น ยังไม่ต้องตื่นตระหนก เพรำะควำมร้อนจำกคลื่นไมโครเวฟมีน้อยและไม่กระทบสมองโดยตรง กระแสเลือดในสมองสำมำรถ ระบำยควำมร้อนได้ดีแต่ควำมร้อนต่อดวงตำยังต้องรอกำรวิจัยต่อไป เพรำะภำยในดวงตำไม่มีเส้นเลือดคอยระบำยควำมร้อน งำนวิจัยบำงชิ้นบ่งบอกว่ำคลื่นไมโครเวฟท ำให้พูดช้ำลง รบกวนกำรเต้นของหัวใจ รบกวนควำมจ ำ เพิ่มโอกำสกำรเป็นมะเร็ง ช่องปำก แต่ทั้งหมดยังไม่ยืนยัน เนื้อสมองที่อยู่ใกล้โทรศัพท์ขณะสนทนำใช้ปริมำณน ้ำตำลกลูโคสมำกขึ้นแต่ไม่สำมำรถเชื่อมโยงว่ำ ท ำให้ก่อมะเร็งหรือไม่ ในเมื่อผลกำรวิจัยต่ำงๆ ยังไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ำโทรศัพท์มือถือปลอดภัยหรือไม่ เรำควรยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนโดยกำร ปฏิบัติดังนี้หลีกเลี่ยงกำรคุยโทรศัพท์มือถือเป็นเวลำนำน (ควรน้อยกว่ำ 30 นำทีต่อวัน และคุยสั้นๆ ในแต่ละครั้ง) หลีกเลี่ยงกำรใช้ โทรศัพท์มือถือในลิฟต์หรือในรถยนต์เพรำะลิฟต์และรถยนต์ท ำด้วยโลหะที่ไปลดพลังงำนของคลื่นที่จะส่งไปยังสถำนีโทรศัพท์(เสำ โทรศัพท์ตำมยอดตึกต่ำงๆ) เมื่อถูกลดสัญญำณเครื่องโทรศัพท์จะเพิ่มก ำลังส่งคลื่นให้มำกขึ้นเพื่อให้ควำมแรงของคลื่นเท่ำเดิม ซึ่ง จะท ำให้คลื่นเข้ำสมองท่ำนมำกขึ้น (คนรอบข้ำงท่ำนในลิฟต์และในรถก็จะได้รับคลื่นมำกขึ้นไปด้วย) พลังงำนของคลื่นลดลงตำมระยะทำงที่เคลื่อนที่ตำมกฎผกผันก ำลังสอง (หำกเพิ่มระยะทำง 10 เท่ำ ก ำลังของคลื่นจะลดลง 102=100 เท่ำ) ดังนั้นกำรใช้หูฟังหรือกำรใช้สปีกโฟนหรือบลูทูทจะท ำให้ระยะระหว่ำงสมองและมือถือเพิ่มมำกขึ้น ช่วยลดพลังงำน ของคลื่นได้ดีมำก หรือจะใช้วิธีกำรส่งข้อควำมแทนกำรคุยโทรศัพท์มือถือก็ช่วยลดควำมเสี่ยงได้


ที่ส ำคัญไม่ควรให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือมำกเกินไป เพรำะกะโหลกศีรษะช่วยป้องกันคลื่นได้บำงส่วน แต่กะโหลกศีรษะของเด็กมี ควำมหนำน้อยกว่ำของผู้ใหญ่ ดังนั้นไม่ควรให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือมำกเกินไป และไม่ควรนอนตะแคงคุยโทรศัพท์โดยมีโทรศัพท์ใต้ ศีรษะ เพรำะโทรศัพท์จะอยู่ระหว่ำงหมอนและศีรษะขณะสนทนำ ท ำให้มือถือเพิ่มก ำลังกำรส่งคลื่นและท ำให้เรำได้รับคลื่นมำกขึ้น กำรใช้มือถือที่มีRadiation น้อย แต่โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ ส่วนใหญ่มีกำรออกแบบเสำอำกำศดีกว่ำสำมำรถลดก ำลังส่งได้เมื่อเทียบกับ รุ่นเก่ำๆ และก่อนนอนควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้ำที่ไม่จ ำเป็นรวมทั้งปิด Modem WiFi เพรำะนอกจำกจะลดอันตรำยที่อำจจะมีจำกคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้ำแล้วยังช่วยลดโลกร้อนด้วย ไม่ว่ำจะมีวิธีแก้หรือลดควำมเสี่ยงอย่ำงไรก็ตำม กำรรู้จักควำมพอดีในกำรใช้โทรศัพท์มือถือน่ำจะเป็นหลักส ำคัญ เพรำะนอกจำก จะไม่ท ำให้เกิดอันตรำยต่อสุขภำพแล้วยังไม่ต้องจ่ำยค่ำบริกำรที่มำกตำมไปด้วย และคงจะไม่คุ้มถ้ำต้องเสียเงินจ่ำยทั้งค่ำบริกำร โทรศัพท์และค่ำรักษำพยำบำลสุขภำพควบคู่กันไปเพียงแค่ต้องกำรคุยโทรศัพท์นำนๆ เท่ำนั้นเอง อนัตรายอื่นๆ และสิ่งที่ควรร้เูกี่ยวกบั“คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” เสำของสถำนีโทรศัพท์อำจจะเป็นอันตรำยก็ต่อเมื่อท่ำนอยู่ใกล้เสำมำกๆ ในระยะไม่กี่เมตร หำกอยู่ไกลเกินกว่ำ 10 เมตรจะ ได้รับพลังงำนน้อยมำก นอกจำกนี้คลื่นส่วนใหญ่จะแผ่กระจำยออกทำงด้ำนข้ำงของเสำ ดังนั้นผู้อำศัยในตึกหรือใต้ตึกที่ติดตั้งเสำ โทรศัพท์ไม่น่ำจะได้รับอันตรำย อย่ำงไรก็ตำม หำกตึกข้ำงๆ ท่ำนติดตั้งเสำโทรศัพท์ (หรือเสำโทรทัศน์วิทยุ อื่นๆ) ในระดับควำมสูง เดียวกับห้องชุดคอนโดของท่ำนและเสำนั้นห่ำงจำกห้องของท่ำนเพียงไม่กี่เมตร ควรพิจำรณำหลีกเลี่ยงกำรอำศัยในห้องดังกล่ำว สำยส่งไฟฟ้ำแรงสูง จัดอยู่ในกลุ่ม 2B เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือ งำนวิจัยบำงชิ้นบ่งบอกว่ำเด็กที่อำศัยใกล้สำยส่งไฟฟ้ำแรงสูง มีโอกำสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขำวมำกขึ้น นอกจำกนี้ผู้ป่วยบำงท่ำนมีอำกำรปวดศีรษะ ปวดไมเกรนหรือนอนหลับยำกเมื่ออำศัยอยู่ ใกล้สำยส่งไฟฟ้ำแรงสูง แม้จะยังมีหลำยงำนวิจัยที่มีควำมเห็นขัดแย้ง แต่หำกยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน ควรหลีกเลี่ยงสำยส่ง ไฟฟ้ำแรงสูง หลีกเลี่ยงห้องในอำคำรชุดคอนโดมิเนียมที่อยู่ติดสำยส่งไฟฟ้ำหรือหม้อแปลงขนำดใหญ่ คลื่นไมโครเวฟจำกมือถือ รบกวนกำรท ำงำนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้จริง ควรปิดมือถือเมื่ออยู่บนเครื่องบินหรือเมื่อท่ำนยืน ติดกับเครื่องมือทำงกำรแพทย์ “ในเมื่อผลกำรวิจัยต่ำงๆ ยังไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ำ โทรศัพท์มือถือปลอดภัยหรือไม่ เรำควรยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนโดย หลีกเลี่ยงกำรคุยโทรศัพท์มือถือเป็นเวลำนำน หลีกเลี่ยงกำรใช้โทรศัพท์มือถือในลิฟต์หรือในรถยนต์” ที่มา : http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page


บทความ/งานเขียนที ่นักเรียนเลือก ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ประเมินค่างานเขียน คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกบทความหรืองานเขียนที่สนใจ แล้วเขียนประเมินค่างานเขียน


(บทความ/งานเขียนที ่นักเรียนเลือก) ใบงานที่ 3.1 เรื่อง ประเมินค่างานเขียน คำชี้แจง ให้นักเรียนเลือกบทความหรืองานเขียนที่สนใจ แล้วเขียนประเมินค่างานเขียน (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) เฉลย


Click to View FlipBook Version