แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ต่อ) คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.5 วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 6.2 ตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงานให้สำเร็จ 6.3 ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานอย่างรอบคอบ 6.4 ทุ่มเท ทำงาน อดทน ไม่ท้อต่อปัญหาและอุปสรรค 6.5 พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้สำเร็จ 6.6 ชื่นชมผลงานความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ช่วยทำ แบ่งปันสิ่งของ ทรัพย์สิน และอื่นๆ พร้อมช่วยแก้ปัญหา 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมสร้างสิ่งที่ดีงามตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง..................................
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่3 ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เวลา 1-2 ชั่วโมง เรื่อง การพิจารณาเนื้อหาและคำศัพท์ ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด ไตรภูมิพระร่วง เป็นวรรณคดีที่มีคุณค่าทั้งด้านเนื้อหา ด้านวรรณศิลป์ และด้านสังคม การที่จะเข้าใจเนื้อหาของเรื่องได้นั้น เราจำเป็นที่จะต้องรู้และเข้าใจความหมายของคำศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง จึงสามารถถอดความบทประพันธ์และเข้าใจ เนื้อหาของเรื่องได้อย่างถูกต้องชัดเจน 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 5.1 ม.4-6/1วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น 2.2จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) วิเคราะห์เนื้อหาของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิได้ 2) อธิบายความหมายของคำศัพท์ต่างๆ ที่ปรากฏในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิได้ 3) ถอดความคำประพันธ์เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง หลักการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเบื้องต้น - การพิจารณาเนื้อหาและกลวิธีในวรรณคดีและวรรณกรรม 3.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น - เนื้อหาและคำศัพท์จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการตีความ 2) ทักษะการวิเคราะห์ 3) ทักษะการสังเคราะห์ 4) ทักษะการนำความรู้ไปใช้ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. รักความเป็นไทย
6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน ครูให้นักเรียนดูคลิปแอนิเมชั่นกำเนิดมนุษย์ ตามเนื้อหาตอนมนุสส ภูมิแล้วให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคลิปที่ได้ดู ขั้นที่ 2 จัดการเรียนรู้ 1. ครูติดแผนภูมิตัวอย่างบทประพันธ์จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิให้นักเรียนดูบนกระดาน แล้วครูให้นักเรียน ช่วยกันถอดความบทประพันธ์ดังกล่าว จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติม เพื่อให้นักเรียน มีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอ่านเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิจากหนังสือเรียน หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม ห้องสมุด และแหล่งข้อมูลสารสนเทศ 3. ครูสุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่มออกมาอธิบายความบทประพันธ์ พร้อม บอกความหมายของคำศัพท์ในตอนที่กำหนด โดยครูและเพื่อน กลุ่มอื่นร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทำใบงานที่ 2.1 เรื่อง เนื้อหาและ คำศัพท์ ตอนมนุสสภูมิ เสร็จแล้วช่วยกันตรวจสอบความถูก ต้อง 5. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ข้อ 1-2 คำถามกระตุ้นความคิด 1. การแปลความหมายของคำศัพท์ต่างๆ ที่ ปรากฏในบทประพันธ์ หากไม่มีพจนานุกรม เราสามารถสันนิษฐานความหมายของคำ ดังกล่าวจากเนื้อความโดยรวมของบทประพันธ์นั้นได้หรือไม่ อธิบายเหตุผล (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 2. คำศัพท์ใดบ้างในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ที่มี การเปลี่ยนไปใช้คำอื่นแทนในปัจจุบันและ คำที่ใช้แทน คือคำว่าอะไร (มีหลายคำ เช่น - ไส้ดือ ปัจจุบันใช้คำว่า สะดือ - ทุกวาร ปัจจุบันใช้คำว่า ทุกวัน - คำรบ ปัจจุบันใช้คำว่า ครบ เป็นต้น หรือนักเรียนอาจตอบเป็นอย่างอื่น โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 3 สรุปและนำหลักการไปประยุกต์ใช้ 1. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหาและคำศัพท์จากเรื่อง ไตรภูมิ พระร่วง ตอนมนุสสภูมิ และนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ใน การศึกษาความรู้เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ในด้าน ต่างๆ ต่อไป 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ มีเนื้อหาสำคัญเกี่ยวกับอะไร (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน)
ขั้นที่ 4 วัดและประเมินผล 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานในใบงานที่ 2.1 โดย ครูและเพื่อนกลุ่มอื่นช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง และให้ ข้อเสนอแนะ 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ข้อ 1-2 คำถามกระตุ้นความคิด 1. นักเรียนประทับใจเนื้อหาตอนใดในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ มากที่สุด อธิบายเหตุผล (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 2. เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ มี คุณค่าในด้านเนื้อหาอย่างไรบ้าง (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 2.1 ใบงานที่ 2.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ประเมินการนำเสนอผลงาน แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน และรักความเป็นไทย แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : วรรณคดีและวรรณกรรม ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) คลิปแอนิเมชั่นกำเนิดมนุษย์ ตามเนื้อหาตอนมนุสสภูมิ 4) แผนภูมิตัวอย่างบทประพันธ์ 5) ใบงานที่ 2.1 เรื่อง เนื้อหาและคำศัพท์ ตอนมนุสสภูมิ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - http://th.wikipedia.org/wiki/ไตรภูมิพระร่วง - http://www.youtube.com/watch?v=ao0d3iv1i54
เอกสารประกอบการสอน แผนภูมิตัวอย่างบทประพันธ์จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย ครั้งถึง 7 วันเป็นดั่ง น้ำล้างเนื้อนั้นเรียกว่าอัมพุทะ อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั้นได้ถึง 7 วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อ เรียกว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้งถึง 7 วันแข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่ เรียกว่าฆนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง 7 วันเป็นตุ่มออกได้ 5 แห่งดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูดนั้นเป็นมือ 2 อัน เป็นตีน 2 อัน หูดเป็นหัว นั้นอีกหนึ่ง แลแต่นั้นค่อยไปเบื้องหน้าทุกวัน ครั้น 7 วันเป็นฝ่ามือ เป็นนิ้วมือแต่นั้นไปถึง 7 วัน คำรบ 42 จึงเป็นขน เป็น เล็บตีน เล็บมือ เป็นเครื่องสำหรับเป็นมนุษย์ถ้วนทุกอันแล แต่รูปอันมีกลางคนไสร้50 แต่รูปอันมีหัวได้ 84 แต่รูปอันมี เบื้องต่ำได้ 50 ผสมรูปทั้งหลายอันเกิดเป็นสัตว์อันอยู่ในท้องแม่ได้ 184 แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อ หนังท้องแม่ อาหารอันแม่กินเข้าไปแต่ก่อนนั้นอยู่ใต้กุมารนั้น อาหารอันแม่กินเข้าไปใหม่นั้นอยู่เหนือกุมารนั้น
ใบงานที่ 2.1 เรื่อง เนื้อหาและคำศัพท์ ตอนมนุสสภูมิ ตอนที่ 1 คำชี้แจง ให้นักเรียนบอกความหมายของคำที่ขีดเส้นใต้ให้ถูกต้อง 1. ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย กลละ หมายถึง 2. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ตืด หมายถึง เอือน หมายถึง 3. จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าวน้ำอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือ นั้น จะงอยไส้ดือ หมายถึง ไส้ดือ หมายถึง 4. ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟื้นตนก็ดี กุมารอยู่ในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแลดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธร ห้อยผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า อยู่ธรห้อย หมายถึง 5. คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดจั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแล กระหนกระหาย กระหนกระหาย หมายถึง 6. แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล บรรพต หมายถึง หีบ หมายถึง เหง หมายถึง
7. ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี พระปัจเจกโพธิเจ้า หมายถึง 8. เมื่อจะออกจากท้องแม่วันนั้นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้นลงมาสู่ที่จะออกแลคับแคบแอ่นยันนักหนา ลมกรรมชวาต หมายถึง แอ่นยัน หมายถึง 9. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว ที่เร่ว หมายถึง 10. ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง 7 วัน เป็นตุ่มออกได้ 5 แห่งดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูด หมายถึง ตอนที่ 2 คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ลำดับพัฒนาการการเกิดเป็นทารกในครรภ์มารดาสามารถเรียงลำดับได้อย่างไร 2. จงยกตัวอย่างบทประพันธ์ที่กล่าวถึง สายสะดือของทารกในครรภ์มารดาและการรับอาหารจากมารดาผ่านทาง สายสะดือ
3. จงยกตัวอย่างบทประพันธ์ที่พรรณนาท่าทางของทารกตอนอยู่ในครรภ์มารดา 4. จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ความตอนหนึ่งกล่าวถึงในครรภ์มารดาว่ามีสภาพ “ร้อนนักหนาดุจดั่งเรา เอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อนั้นไสร้” แต่เพราะเหตุใดทารกในครรภ์จึงไม่ตายเพราะความร้อนนั้น 5. ตามความเชื่อที่ปรากฏในตอน มนุสสภูมิ ทารกที่มาจากนรกและสวรรค์ เมื่ออยู่ในครรภ์มารดามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร 6. ตามความเชื่อที่ปรากฏในตอน มนุสสภูมิ ทารกที่มาจากนรกและสวรรค์ เมื่อคลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว จะแสดงลักษณะต่างกันอย่างไร 7. ช่วงที่ทารกกำลังจะคลอดออกจากครรภ์มารดา แต่ไม่สามารถคลอดออกมาได้ ทารกมีความรู้สึกอย่างไร
8. ทารกที่มาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์หรือพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า มีลักษณะพิเศษอย่างไรบ้าง 9. ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาเพียง 7 เดือน แล้วก็คลอดออกมา จะมีลักษณะอย่างไร 10. จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ความตอนหนึ่งว่า “บ่เริ่มดั่งท่านผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี ผู้จะมา เกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี คำนึงรู้สึกตนแลบ่มิหลงแต่สองสิ่งนี้คือ เมื่อจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้องแม่นั้นได้แล เมื่อจะออก จากท้องแม่นั้นย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้แล ส่วนว่าคนทั้งหลายนี้ไสร้ย่อมหลงทั้ง 3 เมื่อ ควรอิ่มสงสารแล” คำว่า “ทั้ง 3 เมื่อ” ในข้อความข้างต้น หมายถึงเมื่อใดบ้าง
เฉลย ใบงานที่ 2.1 เรื่อง เนื้อหาและคำศัพท์ ตอนมนุสสภูมิ ตอนที่1 คำชี้แจง ให้นักเรียนบอกความหมายของคำที่ขีดเส้นใต้ให้ถูกต้อง 1. ผิรูปอันจะเกิดเป็นชายก็ดีเป็นหญิงก็ดี เกิดมีอาทิแต่เกิดเป็นกลละนั้นโดยใหญ่แต่ละวันแลน้อย กลละ หมายถึง รูปแรกเริ่มที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาในช่วงสัปดาห์แรก เปรียบได้กับ นำผมของคนมาผ่า 8 ครั้ง แล้วจุ่มลงในน้ำมันงาที่ใสมากและสลัด 7 ครั้ง แล้วถือไว้ น้ำมันที่เหลือติดอยู่ที่ปลายผมนั้นยังมี ขนาดใหญ่กว่ากลละ 2. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ตืด หมายถึง พยาธิ เอือน หมายถึง พยาธิในท้องชนิดหนึ่ง (ภาษาถิ่นใต้ เอือน แปลว่า ตืด) 3. จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าวน้ำอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือ นั้น จะงอยไส้ดือ หมายถึง ปลายสายสะดือ ไส้ดือ หมายถึง สะดือ 4. ผิแลว่าเมื่อแม่เดินไปก็ดี นอนก็ดี ฟื้นตนก็ดี กุมารอยู่ในท้องแม่นั้นให้เจ็บเพียงจะตายแลดุจดั่งลูกทรายอันพึ่งออกแล อยู่ธร ห้อยผิบ่มิดุจดั่งคนอันเมาเหล้า อยู่ธรห้อย หมายถึง โคลงเคลงไปมา ทรงตัวไม่ได้ 5. คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดจั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแล กระหนกระหาย กระหนกระหาย หมายถึง ทุรนทุราย กระสับกระส่าย 6. แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล บรรพต หมายถึง ภูเขา หีบ หมายถึง หนีบ เหง หมายถึง บด บี้ ทับ
7. ฝูงอันมาเกิดเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี แลเป็นพระอรหันตาขีณาสพเจ้าก็ดี แลมาเป็นพระองค์อัครสาวกเจ้าก็ดี พระปัจเจกโพธิเจ้า หมายถึง พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้แล้วมิได้สั่งสอนเวไนยสัตว์ 8. เมื่อจะออกจากท้องแม่วันนั้นไสร้ จึงลมกรรมชวาตก็พัดให้หัวผู้น้อยนั้นลงมาสู่ที่จะออกแลคับแคบแอ่นยันนักหนา ลมกรรมชวาต หมายถึง ลมเกิดแต่กรรม หมายถึง ลมที่เกิดในเวลาที่มารดาจะคลอดบุตร แอ่นยัน หมายถึง คดเพราะตัวถูกกดดันด้วยลมกรรมชวาต 9. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว ที่เร่ว หมายถึง ป่าช้า ที่ฝังศพ ที่เผาศพ 10. ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง 7 วัน เป็นตุ่มออกได้ 5 แห่งดั่งหูดนั้น เรียกว่าเบญจสาขาหูด เบญจสาขาหูด หมายถึง ปุ่มที่เป็น 5 กิ่ง ในที่นี้หมายถึงก้อนเนื้อที่มีปุ่มเกิด 5 ปุ่ม คือ หัว 1 ปุ่ม แขน 2 ปุ่ม และขา 2 ปุ่ม
ตอนที่ 2 คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. ลำดับพัฒนาการการเกิดเป็นทารกในครรภ์มารดาสามารถเรียงลำดับได้อย่างไร กลละ – อัมพุทะ – เปสิ – ฆนะ – เบญจสาขาหูด – เกิดเป็นร่างกายมนุษย์ 2. จงยกตัวอย่างบทประพันธ์ที่กล่าวถึง สายสะดือของทารกในครรภ์มารดาและการรับอาหารจากมารดาผ่านทาง สายสะดือ อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดั่งสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แล ข้าวน้ำอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั้น แลเข้าไปในท้องกุมารนั้นแล สะหน่อยๆ แล ผู้น้อยนั้นก็ได้กินทุกค่ำเช้าทุกวัน 3. จงยกตัวอย่างบทประพันธ์ที่พรรณนาท่าทางของทารกตอนอยู่ในครรภ์มารดา บทประพันธ์ที่พรรณนาท่าทางของทารกตอนอยู่ในครรภ์มารดาปรากฏตัวอย่างหลายตอน เช่น - “แลกุมารนั้นนั่งกลางท้องแม่ แลเอาหลังมาต่อหนังท้องแม่” - “เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่า เมื่อนั่งอยู่นั้น” - “บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออกดั่งเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย” 4. จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ความตอนหนึ่งกล่าวถึงในครรภ์มารดาว่ามีสภาพ “ร้อนนักหนาดุจดั่งเรา เอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อนั้นไสร้” แต่เพราะเหตุใดทารกในครรภ์จึงไม่ตายเพราะความร้อนนั้น ทารกไม่ตายจากความร้อนในท้องมารดา เพราะว่าทารกนั้นมีบุญที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ ดังที่บทประพันธ์กล่าวว่า “ด้วย อำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแล จึงให้บมิไหม้บมิ ตายเพื่อ ดั่งนั้นแลแต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่” 5. ตามความเชื่อที่ปรากฏในตอน มนุสสภูมิ ทารกที่มาจากนรกและสวรรค์ เมื่ออยู่ในครรภ์มารดามีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร ทารกที่มาจากนรก ตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา จะรู้สึกทุรนทุรายเดือดเนื้อร้อนใจ และตัวของมารดาก็รู้สึกร้อนตามไปด้วย ดังที่บทประพันธ์กล่าวว่า “เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแลกระหนกระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วย โสด” ส่วนทารกที่มาจากสวรรค์ ตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา จะอยู่เย็นเป็นสุข และตัวของมารดาก็เย็นไปด้วย ดังที่บทประพันธ์ กล่าวว่า “เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ แลเนื้อแม่นั้นก็เย็นด้วยโสด”
6. ตามความเชื่อที่ปรากฏในตอน มนุสสภูมิ ทารกที่มาจากนรกและสวรรค์ เมื่อคลอดออกมาจากครรภ์มารดาแล้ว จะแสดงลักษณะต่างกันอย่างไร ทารกที่มาจากนรก เมื่อคลอดออกมา ตัวของทารกจะร้อน ดังที่บทประพันธ์กล่าวว่า “คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดจั้น เมื่อคลอด ออกตนกุมารนั้นร้อน” ทารกที่มาจากสวรรค์ เมื่อคลอดออกมา ตัวของทารกจะเย็น ดังที่บทประพันธ์กล่าวว่า “คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้น เมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อเย็นใจ” 7. ช่วงที่ทารกกำลังจะคลอดออกจากครรภ์มารดา แต่ไม่สามารถคลอดออกมาได้ ทารกมีความรู้สึกอย่างไร เจ็บปวดทรมาน ดังที่บทประพันธ์กล่าวว่า “เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บ เนื้อ เจ็บตนนักหนา” 8. ทารกที่มาเกิดเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์หรือพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้า มีลักษณะพิเศษอย่างไรบ้าง มีลักษณะพิเศษคือ ขณะที่ปฏิสนธิและอยู่ในครรภ์มารดา จะมีสติรู้ตัวอยู่ตลอดและไม่เกิดความหลง ดังที่บทประพันธ์ กล่าวว่า “เมื่อ ธ แรกมาเอาปฏิสนธินั้นก็ดี เมื่อ ธ อยู่ในท้องแม่นั้นก็ดี แลสองสิ่งนี้เมื่ออยู่ในท้องแม่นั้นบ่ห่อนจะรู้หลงแลยัง คำนึงรู้อยู่ทุกอัน” 9. ทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาเพียง 7 เดือน แล้วก็คลอดออกมา จะมีลักษณะอย่างไร อ่อนแอ ไม่แข็งแรง ดังที่บทประพันธ์กล่าวว่า “คนผู้ใดอยู่ในท้องแม่ 7 เดือนแลคลอดนั้น แม้เลี้ยงเป็นคนก็ดี บ่มิได้กล้า แข็ง บ่มิทนแดดทนฝนได้แล” 10. จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ความตอนหนึ่งว่า “บ่เริ่มดั่งท่านผู้จะออกมาเป็นพระปัจเจกโพธิเจ้าก็ดี ผู้จะมา เกิดเป็นลูกพระพุทธเจ้าก็ดี คำนึงรู้สึกตนแลบ่มิหลงแต่สองสิ่งนี้คือ เมื่อจะเอาปฏิสนธิแลอยู่ในท้องแม่นั้นได้แล เมื่อจะออก จากท้องแม่นั้นย่อมหลงดุจคนทั้งหลายนี้แล ส่วนว่าคนทั้งหลายนี้ไสร้ย่อมหลงทั้ง 3 เมื่อ ควรอิ่มสงสารแล” คำว่า “ทั้ง 3 เมื่อ” ในข้อความข้างต้น หมายถึงเมื่อใดบ้าง คำว่า “ทั้ง 3 เมื่อ” หมายถึง เมื่อปฏิสนธิ เมื่ออยู่ในท้องแม่ และเมื่อคลอดออกจากท้องแม่
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับระดับ คะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 นำเสนอเนื้อหาในผลงานได้ถูกต้อง 2 การลำดับขั้นตอนของเนื้อเรื่อง 3 การนำเสนอมีความน่าสนใจ 4 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความร่วมมือ กันทำ กิจกรรม การแสดง ความคิดเห็น การรับฟัง ความคิดเห็น การตั้งใจ ทำงาน การแก้ไข ปัญหา/หรือ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบายความหมาย ของเพลงชาติ 1.2 ปฏิบัติตนและชักชวนผู้อื่นปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง 1.3 ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการทำกิจกรรมกับสมาชิกในโรงเรียน ชุมชน และสังคม 1.4 เป็นผู้นำหรือเป็นแบบอย่างในการจัดกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม ชื่นชม ปกป้อง ความเป็นชาติไทย 1.5 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน 1.6 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนและชุมชนจัดขึ้น ชื่นชมในพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ทำตาม สัญญาที่ตนให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และครู เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านความซื่อสัตย์ 2.3 ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนด้านความซื่อสัตย์ 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสังคม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน ปฏิบัติ เป็นปกติวิสัยและเป็นแบบอย่างที่ดี 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 4.2 มีการจดบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 4.3 สรุปความรู้ได้อย่างมีเหตุผล 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินของตนเอง เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอย่างเหมาะสม 5.2 ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี 5.3 ปฏิบัติตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.4 ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมให้อภัยเมื่อผู้อื่น กระทำผิดพลาด
แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ต่อ) คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.5 วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 6.2 ตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงานให้สำเร็จ 6.3 ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานอย่างรอบคอบ 6.4 ทุ่มเท ทำงาน อดทน ไม่ท้อต่อปัญหาและอุปสรรค 6.5 พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้สำเร็จ 6.6 ชื่นชมผลงานความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ช่วยทำ แบ่งปันสิ่งของ ทรัพย์สิน และอื่นๆ พร้อมช่วยแก้ปัญหา 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมสร้างสิ่งที่ดีงามตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง..................................
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่3 ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เวลา 1-2 ชั่วโมง เรื่อง คุณค่าด้านวรรณศิลป์และการใช้โวหาร ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การศึกษาเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ต้องอธิบายลักษณะและคุณค่าด้านวรรณศิลป์และโวหารตามหลักการวิจารณ์ เบื้องต้น 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 5.1 ม.4-6/1 วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น ม.4-6/3 วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะที่เป็นมรดกทาง วัฒนธรรมของชาติ 2.2จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายลักษณะทางวรรณศิลป์และโวหารชนิดต่างๆ ได้ 2) วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1) หลักการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเบื้องต้น - การวิเคราะห์และการวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม 2) การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม - ด้านวรรณศิลป์ 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวิเคราะห์ 2) ทักษะการตีความ 3) ทักษะการสังเคราะห์ 4) ทักษะการประเมิน 5) ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. รักความเป็นไทย
6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนโดยเน้นกระบวนการ : กระบวนการกลุ่ม ชั่วโมงที่ 1 ขั้นที่ 1 มีผู้นำและมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ 1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม (กลุ่มเดิมจากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1) เลือกผู้นำกลุ่ม และเลขานุการกลุ่ม ครูเน้นย้ำให้สมาชิกทุก คนในกลุ่มร่วมมือกันในการทำกิจกรรม 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายความรู้เกี่ยวกับ ลักษณะทางวรรณศิลป์และโวหารชนิดต่างๆ ที่เคยได้เรียนมา เพื่อทบทวนความรู้เดิมของนักเรียน แล้วครูสุ่มนักเรียนแต่ละ กลุ่มออกมานำเสนอผลการอภิปราย โดยครูและเพื่อนกลุ่มอื่น ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด การวิจารณ์คุณค่าด้านวรรณศิลป์ในงาน เขียนประเภทร้อยกรองกับประเภทร้อย แก้วมีความแตกต่างกันหรือไม่ อธิบาย เหตุผล (ไม่แตกต่างกัน โดยจะพิจารณาจากการใช้ ภาษา เช่น การใช้ถ้อยคำ โวหารต่างๆ ว่ามี ความไพเราะหรือไม่ ทั้งเสียงและการสื่อ ความหมาย) ขั้นที่ 2 วางแผน ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันวางแผนและกำหนดขอบเขตใน การศึกษาความรู้เรื่อง คุณค่าด้านวรรณศิลป์และการใช้โวหารชนิดต่างๆ ในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิจากหนังสือเรียน หนังสือค้นคว้า เพิ่มเติม ห้องสมุด และแหล่งข้อมูลสารสนเทศ ขั้นที่ 3 ปฏิบัติตามแผน 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศึกษาความรู้ตามแผนที่ได้วางไว้ จาก หนังสือเรียน หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม ห้องสมุด และแหล่งข้อมูล สารสนเทศ แล้วบันทึกความรู้ที่ได้ลงในแบบบันทึกการอ่าน 2. ครูสุ่มนักเรียนอธิบายลักษณะและคุณค่าด้านวรรณศิลป์ และการใช้โวหารชนิดต่างๆ ในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสส ภูมิเป็นรายกลุ่ม โดยครูและเพื่อนกลุ่มอื่นร่วมกันแสดงความ คิดเห็นเพิ่มเติม 3. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันทำใบงานที่ 3.1 เรื่อง ศิลป์โวหาร และภาษากวี ตอนมนุสสภูมิแล้วช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง 4. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ปรากฏการใช้โวหารประเภทใดเด่นชัด ที่สุด (การใช้บรรยายโวหารที่ใช้อุปมาโวหาร ประกอบเพื่อบรรยายภาพและ ยกตัวอย่างให้เห็นชัดเจน)
ชั่วโมงที่ 2 ขั้นที่ 4 ประเมินผลการปฏิบัติงาน 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอผลงานในใบงานที่ 3.1 หน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนกลุ่มอื่นช่วยกันตรวจสอบ ความ ถูกต้อง และให้ข้อเสนอแนะ 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด เพราะเหตุใด กวีผู้ประพันธ์เรื่อง ไตรภูมิ พระร่วง จึงนิยมใช้การย้ำคำซ้ำความใน การแต่ง (เพื่อสร้างเสียงและจังหวะอันไพเราะ และ เพื่อย้ำความหมายให้ชัดเจน ทำให้ผู้ฟัง เข้าใจความหมายได้ชัดเจน เนื่องจาก สมัยก่อนคนเสพวรรณคดีผ่านการฟังไม่ใช่ การอ่าน) ขั้นที่ 5 ปรับปรุงและพัฒนา 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันปรับปรุงและพัฒนาผลงานในใบงานที่ 3.1ให้ถูกต้องสมบูรณ์ 2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง คุณค่าด้านวรรณศิลป์ และการใช้โวหารชนิดต่างๆ ในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสส ภูมิ 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนประทับใจบทประพันธ์ตอนใด ของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ มากที่สุด อธิบาย (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้ อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) 7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 3.1 ใบงานที่ 3.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจแบบบันทึกการอ่าน แบบบันทึกการอ่าน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ ประเมินการนำเสนอผลงาน แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน รายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการ ทำงาน และรักความเป็นไทย แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์
8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : วรรณคดีและวรรณกรรม ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) ตรวจใบงานที่ 3.1 เรื่อง ศิลป์โวหารและภาษากวี ตอนมนุสสภูมิ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - http://th.wikipedia.org/wiki/ไตรภูมิพระร่วง - http://gotoknow.org/blog/djpeekan1/408054
ใบงานที่ 3.1 เรื่องศิลป์โวหารและภาษากวี ตอนมนุสสภูมิ ตอนที่ 1 คำชี้แจง ให้นักเรียนอ่านบทประพันธ์ที่กำหนด แล้วบอกว่าบทประพันธ์ดังกล่าวใช้โวหารประเภทใด 1. อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั้นได้ถึง 7 วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไป ทุกวัน ครั้นถึง 7 วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่ เรียกว่าฆนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง 7 วัน เป็นตุ่มออกได้ 5 แห่งดั่งหูด นั้น เรียกว่า เบญจสาขาหูด 2. คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดจั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแลกระหน กระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้น เมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อ เย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ แลเนื้อแม่นั้นก็เย็นด้วยโสด 3. อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดั่งสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าว น้ำอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั้น แลเข้าไปในท้องกุมารนั้นแล สะหน่อยๆ 4. ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลจึงให้บมิ ไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั้นแลแต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย 5. เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่าน เข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคย บรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล 6. เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่ง อยู่นั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล ดุจดั่งลิงเมื่อฝนตก แลนั่งกำมือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั้นแล 7. ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่ สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล
8. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล ตอนที่ 2 คำชี้แจง ให้นักเรียนอ่านบทประพันธ์ที่กำหนด แล้วบอกว่ามีความงามทางวรรณศิลป์โดดเด่นในด้านใด 1. ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอน อันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล 2. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว 3. จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าวน้ำอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือ นั้น 4. ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแล จึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั้นแลแต่กุมารนั้น อยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออกดั่งเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย 5. เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่ง อยู่นั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล 6. ในท้องแม่นั้นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อในหม้อนั้นไสร้ 7. แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจนักหนา เหยียด ตีนมือบ่มิได้ ดั่งท่านเอาใส่ไว้ในที่คับ
8. เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็น ออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพต หีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล
ใบงานที่ 3.1 เรื่องศิลป์โวหารและภาษากวี ตอนมนุสสภูมิ เฉลย ตอนที่ 1 คำชี้แจง ให้นักเรียนอ่านบทประพันธ์ที่กำหนด แล้วบอกว่าบทประพันธ์ดังกล่าวใช้โวหารประเภทใด 1. อัมพุทะนั้นโดยใหญ่ไปทุกวารไสร้ ครั้นได้ถึง 7 วาร ข้นเป็นดั่งตะกั่วอันเชื่อมอยู่ในหม้อเรียกชื่อว่าเปสิ เปสินั้นค่อยใหญ่ไป ทุกวัน ครั้นถึง 7 วัน แข็งเป็นก้อนดั่งไข่ไก่ เรียกว่าฆนะ ฆนะนั้นค่อยใหญ่ไปทุกวัน ครั้นถึง 7 วัน เป็นตุ่มออกได้ 5 แห่งดั่งหูด นั้น เรียกว่า เบญจสาขาหูด บรรยายโวหาร และอุปมาโวหาร (เป็นบรรยายโวหารที่กวีใช้อุปมาโวหารประกอบด้วย) 2. คนผู้ใดจากแต่นรกมาเกิดจั้น เมื่อคลอดออกตนกุมารนั้นร้อน เมื่อมันอยู่ในท้องแม่นั้นย่อมเดือดเนื้อร้อนใจแลกระหน กระหาย อีกเนื้อแม่นั้นก็พลอยร้อนด้วยโสด คนผู้จากแต่สวรรค์ลงมาเกิดนั้น เมื่อจะคลอดออก ตนกุมารนั้นเย็น เย็นเนื้อ เย็นใจ เมื่อยังอยู่ในท้องแม่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขสำราญบานใจ แลเนื้อแม่นั้นก็เย็นด้วยโสด พรรณนาโวหาร 3. อันว่าสายสะดือแห่งกุมารนั้นกลวงดั่งสายก้านบัวอันมีชื่อว่าอุบล จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าว น้ำอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือนั้น แลเข้าไปในท้องกุมารนั้นแล สะ หน่อยๆ พรรณนาโวหาร และอุปมาโวหาร (เป็นพรรณนาโวหารที่กวีใช้อุปมาโวหารประกอบด้วย) 4. ด้วยอำนาจแห่งไฟธาตุอันร้อนนั้น ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแลจึงให้บมิ ไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั้นแลแต่กุมารนั้นอยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บรรยายโวหาร 5. เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่าน เข็นออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคย บรรพตหีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล บรรยายโวหาร และอุปมาโวหาร (เป็นบรรยายโวหารที่กวีใช้อุปมาโวหารประกอบด้วย) 6. เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่ง อยู่นั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล ดุจดั่งลิงเมื่อฝนตก แลนั่งกำมือเซาเจ่าอยู่ในโพรงไม้นั้นแล พรรณนาโวหาร และอุปมาโวหาร (เป็นพรรณนาโวหารที่กวีใช้อุปมาโวหารประกอบด้วย) 7. ผิแลคนอันมาแต่นรกก็ดี แลมาแต่เปรตก็ดี มันคำนึงถึงความอันลำบากนั้น ครั้นว่าออกมาก็ร้องไห้แล ผิแลคนผู้มาแต่ สวรรค์ แลคำนึงถึงความสุขแต่ก่อนนั้น ครั้นว่าออกมาไสร้ ก็ย่อมหัวร่อก่อนแล บรรยายโวหาร
8. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอนอันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล พรรณนาโวหาร และอุปมาโวหาร (เป็นพรรณนาโวหารที่กวีใช้อุปมาโวหารประกอบด้วย) ตอนที่ 2 คำชี้แจง ให้นักเรียนอ่านบทประพันธ์ที่กำหนด แล้วบอกว่ามีความงามทางวรรณศิลป์โดดเด่นในด้านใด 1. ฝูงตืดแลเอือนทั้งหลายนั้นคนกันอยู่ในท้องแม่ ตืดแลเอือนฝูงนั้นเริมตัวกุมารนั้นไสร้ ดุจดั่งหนอนอันอยู่ในปลาเน่า แลหนอน อันอยู่ในลามกอาจมนั้นแล การใช้อุปมา 2. เมื่อกุมารอยู่ในท้องแม่นั้นลำบากนักหนา พึงเกลียดพึงหน่ายพ้นประมาณนัก ก็ชื้นแลเหม็นกลิ่นตืดและเอือนอันได้ 80 ครอก ซึ่งอยู่ในท้องแม่อันเป็นที่เหม็นแลที่ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว การซ้ำคำเพื่อย้ำความหมายและสร้างจังหวะไพเราะ ได้แก่ คำว่า พึงเกลียดพึงหน่าย ออกลูกออกเต้า ที่เถ้า ที่ตายที่เร่ว 3. จะงอยไส้ดือนั้นกลวงขึ้นไปเบื้องบนติดหลังท้องแม่แลข้าวน้ำอาหารอันใดแม่กินไสร้ แลโอชารสนั้นก็เป็นน้ำชุ่มเข้าไปในไส้ดือ นั้น การหลากคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน ได้แก่ คำว่า ข้าวน้ำอาหาร 4. ส่วนตัวกุมารนั้นบ่มิไหม้ เพราะว่าเป็นธรรมดาด้วยบุญกุมารนั้นจะเป็นคนแล จึงให้บมิไหม้บมิตายเพื่อดั่งนั้นแลแต่กุมารนั้น อยู่ในท้องแม่ บ่ห่อนได้หายใจเข้าออกเสียเลย บ่ห่อนได้เหยียดตีนมือออกดั่งเราท่านทั้งหลายนี้สักคาบหนึ่งเลย การซ้ำคำเพื่อย้ำความหมายและสร้างจังหวะไพเราะ ได้แก่ คำว่า บมิไหม้บมิตาย และการซ้ำคำว่า บ่ห่อน 5. เบื้องหลังกุมารนั้นต่อหลังท้องแม่ แลนั่งยองอยู่ในท้องแม่ แลกำมือทั้งสองคู้คอต่อหัวเข่าทั้งสอง เอาหัวไว้เหนือหัวเข่าเมื่อนั่ง อยู่นั้น เลือดแลน้ำเหลืองย้อยลงเต็มตนยะหยดทุกเมื่อแล การใช้คำอัพภาส ได้แก่ คำว่า ยะหยด 6. ในท้องแม่นั้นร้อนนักหนาดุจดั่งเราเอาใบตองเข้าจ่อตน แลต้มในหม้อในหม้อนั้นไสร้ การใช้อุปมา 7. แลกุมารนั้นเจ็บเนื้อเจ็บตนดั่งคนอันท่านขังไว้ในไหอันคับแคบนักหนา แค้นเนื้อแค้นใจ แลเดือดเนื้อเดือดใจนักหนา เหยียด ตีนมือบ่มิได้ ดั่งท่านเอาใส่ไว้ในที่คับ มีลักษณะเด่นด้านวรรณศิลป์ 2 ลักษณะ คือ 1) การซ้ำคำเพื่อย้ำความหมายและสร้างจังหวะไพเราะ ได้แก่ คำว่า เจ็บเนื้อเจ็บตน แค้นเนื้อแค้นใจ เดือดเนื้อเดือดใจ 2) การใช้อุปมา
8. เมื่อกุมารนั้นคลอดออกจากท้องแม่ ออกแลไปบ่มิพ้นตน ตนเย็นนั้นแลเจ็บเนื้อเจ็บตนนักหนา ดั่งช้างสารอันท่านชักท่านเข็น ออกจากประตูลักษอันน้อยนั้น แลคับตัวออกยากลำบากนั้น ผิบ่มิดั่งนั้น ดั่งคนผู้อยู่ในนรกแล แลภูเขาอันชื่อคังไคยบรรพต หีบแลเหงแลบดบี้นั้นแล มีลักษณะเด่นด้านวรรณศิลป์ 3 ลักษณะ คือ 1) การซ้ำคำเพื่อย้ำความหมายและสร้างจังหวะไพเราะ ได้แก่ คำว่า เจ็บเนื้อเจ็บตน ท่านชักท่านเข็น 2) การหลากคำที่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน ได้แก่ คำว่า ภูเขา และ บรรพต ซึ่งหมายถึง ภูเขา และคำว่า หีบ เหง บดบี้ ซึ่งมีความหมายทำนองเดียวกัน คือหมายถึง หนีบ ทับ บดบี้ 3) การใช้อุปมา
แบบบันทึกการอ่าน ชื่อหนังสือ ชื่อผู้แต่ง นามปากกา สำนักพิมพ์ สถานที่พิมพ์ ปีที่พิมพ์ จำนวนหน้า ราคา บาท อ่านวันที่ เดือน พ.ศ. เวลา 1. สาระสำคัญของเรื่อง 2. วิเคราะห์ข้อคิด/ประโยชน์ที่ได้จากเรื่องที่อ่าน 3. สิ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน 4. ข้อเสนอแนะของครู ลงชื่อ นักเรียน ลงชื่อ ผู้ปกครอง ( ) ( ) ลงชื่อ ครูผู้สอน ( ) เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานมีความสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย ให้ 3 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 นำเสนอเนื้อหาในผลงานได้ถูกต้อง 2 การลำดับขั้นตอนของเนื้อเรื่อง 3 การนำเสนอมีความน่าสนใจ 4 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล ชื่อ ชั้น คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความร่วมมือ กันทำ กิจกรรม การแสดง ความคิดเห็น การรับฟัง ความคิดเห็น การตั้งใจ ทำงาน การแก้ไข ปัญหา/หรือ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบายความหมาย ของเพลงชาติ 1.2 ปฏิบัติตนและชักชวนผู้อื่นปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง 1.3 ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการทำกิจกรรมกับสมาชิกในโรงเรียน ชุมชน และสังคม 1.4 เป็นผู้นำหรือเป็นแบบอย่างในการจัดกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม ชื่นชม ปกป้อง ความเป็นชาติไทย 1.5 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน 1.6 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนและชุมชนจัดขึ้น ชื่นชมในพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ทำตาม สัญญาที่ตนให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และครู เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านความซื่อสัตย์ 2.3 ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนด้านความซื่อสัตย์ 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสังคม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน ปฏิบัติ เป็นปกติวิสัยและเป็นแบบอย่างที่ดี 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 4.2 มีการจดบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 4.3 สรุปความรู้ได้อย่างมีเหตุผล 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินของตนเอง เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอย่างเหมาะสม 5.2 ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี 5.3 ปฏิบัติตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.4 ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมให้อภัยเมื่อผู้อื่น กระทำผิดพลาด
แบบประเมิน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ต่อ) คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.5 วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 6.2 ตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงานให้สำเร็จ 6.3 ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานอย่างรอบคอบ 6.4 ทุ่มเท ทำงาน อดทน ไม่ท้อต่อปัญหาและอุปสรรค 6.5 พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้สำเร็จ 6.6 ชื่นชมผลงานความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ช่วยทำ แบ่งปันสิ่งของ ทรัพย์สิน และอื่นๆ พร้อมช่วยแก้ปัญหา 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมสร้างสิ่งที่ดีงามตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง..................................
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 วิชา ท 33102 ภาษาไทย6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาคเรียนที่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่3 ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เวลา 1-2 ชั่วโมง เรื่อง แง่งามความคิด ผู้สอน นางสาวจิลันดา รักไร่ 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การศึกษาเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ สะท้อนให้เข้าใจความคิดความเชื่อของคนไทยในอดีต และให้แนวคิดทาง พระพุทธศาสนา เพื่อนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ท 5.1 ม.4-6/1 วิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น ม.4-6/2 วิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีเชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคม ในอดีต ม.4-6/3 วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านวรรณศิลป์ของวรรณคดีและวรรณกรรมในฐานะที่เป็นมรดกทาง วัฒนธรรมของชาติ ม.4-6/4 สังเคราะห์ข้อคิดจากวรรณคดีและวรรณกรรมเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง 2.2จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) วิเคราะห์และวิจารณ์เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้นได้ 2) วิเคราะห์ลักษณะเด่นของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต ของสังคมในอดีตได้ 3) วิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านสังคมและวัฒนธรรมของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิได้ 4) สังเคราะห์ข้อคิดจากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1) หลักการวิเคราะห์และวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมเบื้องต้น - การวิเคราะห์และการวิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรม 2) การวิเคราะห์ลักษณะเด่นของวรรณคดีและวรรณกรรมเกี่ยวกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคม ในอดีต 3) การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าวรรณคดีและวรรณกรรม - ด้านสังคมและวัฒนธรรม 4) การสังเคราะห์วรรณคดีและวรรณกรรม
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวิเคราะห์ 2) ทักษะการสังเคราะห์ 3) ทักษะการประเมิน 4) ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ 4.2 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. รักความเป็นไทย 6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนแบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน 1. นักเรียนรวมกลุ่มเดิม (จากแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1) แล้วให้ นักเรียนร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับความเชื่อทางพระพุทธศาสนา ที่ปรากฏในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ โดยครูคอย กระตุ้นให้นักเรียนทุกคนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น เพื่อนำเข้าสู่บทเรียน 2. ครูสุ่มนักเรียนแสดงความคิดเห็นเป็นรายกลุ่ม โดยครูและเพื่อน กลุ่มอื่นร่วมกันแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนคิดว่า ความเชื่อเรื่องบุญ-บาป นรก-สวรรค์ และภพภูมิต่างๆ ตามความ เชื่อทางพระพุทธศาสนายังมีปรากฏ ในสังคมยุคปัจจุบันหรือไม่ อธิบายเหตุผล (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้ อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 2 จัดการเรียนรู้ 1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจับคู่กันเป็น 2 คู่ ให้แต่ละคู่ร่วมกันศึกษา ความรู้เรื่อง คุณค่าและข้อคิดจากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสส ภูมิ จากหนังสือเรียน หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม ห้องสมุด และ แหล่งข้อมูลสารสนเทศ แล้วร่วมกันสรุปสาระสำคัญ 2. นักเรียนแต่ละคนทำใบงานที่ 4.1 เรื่อง อ่านคิดพินิจสาร ตอนมนุสสภูมิ เสร็จแล้วร่วมกันอภิปรายคำตอบในใบงาน ผลัดกันซักถามข้อสงสัย และผลัดกันอธิบายจนมีความเข้าใจ ชัดเจน 3. นักเรียนแต่ละคู่รวมกลุ่มเดิม ผลัดกันอภิปรายคำตอบในใบงาน ที่ 4.1 ให้เพื่อนอีกคู่หนึ่งฟัง ผลัดกันซักถามข้อสงสัยแล้วสรุป เป็นคำตอบของกลุ่ม คำถามกระตุ้นความคิด ลักษณะของทารกในครรภ์มารดา และการ คลอดทารก ที่ปรากฏในเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ มีความสอดคล้องสัมพันธ์กับ ความรู้ทางการแพทย์ในปัจจุบันหรือไม่ อธิบายเหตุผล (สอดคล้องสัมพันธ์กับความรู้ทางการแพทย์ ในปัจจุบัน เห็นได้จากตอนที่กวีกล่าวถึงสาย สะดือของทารกที่เชื่อมต่อกับครรภ์มารดา และเป็นอวัยวะที่นำพาอาหารจากมารดามาสู่ ทารก หรือนักเรียนอาจตอบเป็นอย่างอื่น โดย ให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน)
4. นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมานำเสนอผลงานในใบงานที่ 4.1 หน้าชั้นเรียน โดยครูและเพื่อนกลุ่มอื่นร่วมกันแสดงความ คิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ 5. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด ขั้นที่ 3 สรุปและนำหลักการมาประยุกต์ใช้ 1. นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง คุณค่าและข้อคิดจากเรื่อง ไตร ภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด เพราะเหตุใด เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ จึงเน้นให้เห็นว่าการเกิดของ มนุษย์เป็นทุกข์ (เพื่อแสดงให้เห็นว่า การเวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏเป็นความทุกข์ ไม่เที่ยงแท้ เปลี่ยนแปรตลอดเวลา และไม่น่าพึง ปรารถนา สิ่งที่พึงปรารถนา และควร แสวงหามากที่สุด คือ ทางหลุดพ้นจากความ ทุกข์และสังสารวัฏเหล่านี้ นั่นคือ การบรรลุ นิพพาน อันเป็นอุดมคติสูงสุดของ พระพุทธศาสนา) ขั้นที่ 4 วัดและประเมินผล 1. ครูวัดและประเมินผลนักเรียนจากการทำใบงานที่ 4.1 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนคิดว่า เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ มีข้อคิดใดบ้างที่นักเรียน สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการดำเนิน ชีวิต (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) ครูมอบหมายให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันเขียนบทความเชิงวิเคราะห์ เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ โดยให้ครอบคลุมประเด็นตามที่กำหนด ดังนี้ 1)การวิเคราะห์และวิจารณ์เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น 2)การวิเคราะห์ลักษณะเด่นของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์และวิถี ชีวิตของสังคมในอดีต 3)การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านต่างๆ ของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ 4)การสังเคราะห์ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่3 เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ 7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจใบงานที่ 4.1 ใบงานที่ 4.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ประเมินการนำเสนอผลงาน แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ระดับคุณภาพ 2 ผ่าน เกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล ระดับคุณภาพ 2 ผ่าน เกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่าน เกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นในการทำงาน และรักความเป็นไทย แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่าน เกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจบทความเชิงวิเคราะห์เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ แบบประเมินบทความเชิงวิเคราะห์เรื่อง ไตร ภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ระดับคุณภาพ 2 ผ่าน เกณฑ์ 8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน ภาษาไทย : วรรณคดีและวรรณกรรม ม.6 2) หนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม 3) ใบงานที่ 4.1 เรื่อง อ่านคิดพินิจสาร ตอนมนุสสภูมิ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - http://th.wikipedia.org/wiki/ไตรภูมิพระร่วง - http://www.youtube.com/watch?v=ao0d3iv1i54
การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แบบประเมินบทความเชิงวิเคราะห์ เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การวิเคราะห์และวิจารณ์เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ ตามหลักการวิจารณ์เบื้องต้น 2 การวิเคราะห์ลักษณะเด่นของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ เชื่อมโยงกับการเรียนรู้ทาง ประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของสังคมในอดีต 3 การวิเคราะห์และประเมินคุณค่าด้านต่างๆ ของเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอนมนุสสภูมิ 4 การสังเคราะห์ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ดีมาก = 4 ดี = 3 พอใช้ = 2 ปรับปรุง = 1 เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14 - 16 ดีมาก 11 - 13 ดี 8 - 10 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรับปรุง
ใบงานที่ 4.1 เรื่อง อ่านคิดพินิจสาร ตอนมนุสสภูมิ คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. นักเรียนคิดว่าเนื้อหาเรื่องกำเนิดมนุษย์ ตั้งแต่ขั้นตอนปฏิสนธิในครรภ์มารดา จนกระทั่งคลอดออกจากครรภ์มารดา ดังที่ บรรยายไว้ในตอนมนุสสภูมิ มีความสอดคล้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร 2. เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ สะท้อนความคิดความเชื่อของคนในสังคมอดีตอย่างไรบ้าง 3. “เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ สะท้อนสัจธรรมที่ว่า การเกิดของมนุษย์เป็นทุกข์” นักเรียนเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ หรือไม่ อย่างไร
ใบงานที่ 4.1 เรื่อง อ่านคิดพินิจสาร ตอนมนุสสภูมิ เฉลย คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. นักเรียนคิดว่าเนื้อหาเรื่องกำเนิดมนุษย์ ตั้งแต่ขั้นตอนปฏิสนธิในครรภ์มารดา จนกระทั่งคลอดออกจากครรภ์มารดา ดังที่ บรรยายไว้ในตอนมนุสสภูมิ มีความสอดคล้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันหรือไม่ อย่างไร มีความสอดคล้องกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลายตอน เช่น - ตอนที่กล่าวถึงวิวัฒนาการของทารกตั้งแต่เริ่มเป็นก้อนเนื้อเล็กๆ จนกระทั่งกลายเป็นร่างกายมนุษย์มีอวัยวะต่างๆ - ตอนที่กล่าวถึง “ไส้ดือ” หรือสายสะดือของทารกว่า สายสะดือนี้เชื่อมต่อกับท้องมารดา และเป็นจุดที่นำอาหารจาก มารดาไปเลี้ยงทารก - ตอนที่กล่าวถึงการคลอดทารกว่า ทารกจะกลับหัวหันลงมาตอนที่มารดาเจ็บท้องและถึงกำหนดคลอด 2. เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ สะท้อนความคิดความเชื่อของคนในสังคมอดีตอย่างไรบ้าง - สะท้อนความเชื่อเรื่องบุญ-กรรม เช่น ตอนที่กล่าวว่าทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาไม่ตายจากความร้อนในครรภ์เพราะว่ามีบุญ ที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือตอนที่กล่าวว่าทารกที่มาจากนรก ผลกรรมจะส่งผลให้รู้สึกทุกข์ยากลำบากร้อนใจตั้งแต่อยู่ใน ครรภ์ และทำให้มารดารู้สึกร้อนและลำบากไปด้วย ขณะที่ทารกที่มาจากสวรรค์ จะอยู่เย็นเป็นสุขตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนกระทั่ง คลอดออกมา - สะท้อนความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เช่น การที่กล่าวว่าทารกนั้นอาจมาจากทั้งนรก สวรรค์ และแดนเปรต ก็ สะท้อนความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอย่างชัดเจน - สะท้อนความเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ เช่น ตอนที่กล่าวว่าทารกที่จะมาเกิดนั้นมาจากทั้งนรกและสวรรค์ 3. “เรื่อง ไตรภูมิพระร่วง ตอน มนุสสภูมิ สะท้อนสัจธรรมที่ว่า การเกิดของมนุษย์เป็นทุกข์” นักเรียนเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ หรือไม่ อย่างไร (พิจารณาคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน)
แบบประเมินการนำเสนอผลงาน คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1 นำเสนอเนื้อหาในผลงานได้ถูกต้อง 2 การลำดับขั้นตอนของเนื้อเรื่อง 3 การนำเสนอมีความน่าสนใจ 4 การมีส่วนร่วมของสมาชิกในกลุ่ม 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 4 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องบางส่วน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความมีวินัย ความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อ เสียสละ การรับฟัง ความคิดเห็น การแสดง ความคิดเห็น การตรงต่อ เวลา รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ-สกุล ของผู้รับการ ประเมิน ความร่วมมือ กันทำ กิจกรรม การแสดง ความคิดเห็น การรับฟัง ความคิดเห็น การตั้งใจ ทำงาน การแก้ไข ปัญหา/หรือ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 20 คะแนน 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 18 - 20 ดีมาก 14 - 17 ดี 10 - 13 พอใช้ ต่ำกว่า 10 ปรับปรุง
แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 1.1 ยืนตรงเมื่อได้ยินเพลงชาติ ร้องเพลงชาติได้ และอธิบายความหมาย ของเพลงชาติ 1.2 ปฏิบัติตนและชักชวนผู้อื่นปฏิบัติตามสิทธิและหน้าที่ของพลเมือง 1.3 ให้ความร่วมมือ ร่วมใจ ในการทำกิจกรรมกับสมาชิกในโรงเรียน ชุมชน และสังคม 1.4 เป็นผู้นำหรือเป็นแบบอย่างในการจัดกิจกรรมที่สร้างความสามัคคี ปรองดอง และเป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ชุมชน และสังคม ชื่นชม ปกป้อง ความเป็นชาติไทย 1.5 เข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาที่ตนนับถือ ปฏิบัติตนตามหลักของศาสนา และเป็นตัวอย่างที่ดีของศาสนิกชน 1.6 เข้าร่วมกิจกรรมและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน พระมหากษัตริย์ตามที่โรงเรียนและชุมชนจัดขึ้น ชื่นชมในพระราชกรณียกิจ พระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ 2. ซื่อสัตย์ สุจริต 2.1 ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และเป็นจริง 2.2 ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้อง ละอาย และเกรงกลัวที่จะกระทำความผิด ทำตาม สัญญาที่ตนให้ไว้กับเพื่อน พ่อแม่ หรือผู้ปกครอง และครู เป็นแบบอย่าง ที่ดีด้านความซื่อสัตย์ 2.3 ปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความซื่อตรง ไม่หาประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ดีแก่เพื่อนด้านความซื่อสัตย์ 3. มีวินัย รับผิดชอบ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับของครอบครัว โรงเรียน และสังคม ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น ตรงต่อเวลาในการปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน และรับผิดชอบในการทำงาน ปฏิบัติ เป็นปกติวิสัยและเป็นแบบอย่างที่ดี 4. ใฝ่เรียนรู้ 4.1 แสวงหาข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ 4.2 มีการจดบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบ 4.3 สรุปความรู้ได้อย่างมีเหตุผล 5. อยู่อย่างพอเพียง 5.1 ใช้ทรัพย์สินของตนเอง เช่น สิ่งของ เครื่องใช้ ฯลฯ อย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี และใช้เวลาอย่างเหมาะสม 5.2 ใช้ทรัพยากรของส่วนรวมอย่างประหยัด คุ้มค่า และเก็บรักษาดูแลอย่างดี 5.3 ปฏิบัติตนและตัดสินใจด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล 5.4 ไม่เอาเปรียบผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน พร้อมให้อภัยเมื่อผู้อื่น กระทำผิดพลาด
แบบประเมิคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ต่อ) คำชี้แจง : ให้ ผู้สอน สังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ด้าน รายการประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 5.5 วางแผนการเรียน การทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันบนพื้นฐาน ของความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร 5.6 รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม และสภาพแวดล้อม ยอมรับ และปรับตัว อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 6. มุ่งมั่นในการทำงาน 6.1 เอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 6.2 ตั้งใจและรับผิดชอบในการทำงานให้สำเร็จ 6.3 ปรับปรุงและพัฒนาการทำงานอย่างรอบคอบ 6.4 ทุ่มเท ทำงาน อดทน ไม่ท้อต่อปัญหาและอุปสรรค 6.5 พยายามแก้ปัญหาและอุปสรรคในการทำงานให้สำเร็จ 6.6 ชื่นชมผลงานความสำเร็จด้วยความภาคภูมิใจ 7. รักความเป็นไทย 7.1 มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย 7.2 เห็นคุณค่าและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทย 8. มีจิตสาธารณะ 8.1 รู้จักช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูทำงาน 8.2 อาสาทำงาน ช่วยคิด ช่วยทำ แบ่งปันสิ่งของ ทรัพย์สิน และอื่นๆ พร้อมช่วยแก้ปัญหา 8.3 ดูแล รักษาทรัพย์สินของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน 8.4 เข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์ของโรงเรียน ชุมชน เพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมสร้างสิ่งที่ดีงามตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน ............../.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 4 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมน้อยครั้ง ให้ 1 คะแนน
บันทึกหลังแผนการสอน ด้านความรู้ ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง..................................
บันทึกหลังหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน ตอนที่ 1 นักเรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของหน่วยการเรียนรู้ ต่อไปนี้ ท 5.1 (ม.4-6/1, ม.4-6/2, ม.4-6/3, ม.4-6/4, ม.4-6/6) ด้านความรู้ (จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ) ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านอื่นๆ (พฤติกรรมเด่น หรือพฤติกรรมที่มีปัญหาของนักเรียนเป็นรายบุคคล (ถ้ามี)) สรุปผลจากการประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) ประจำหน่วยการเรียนรู้ ระดับคุณภาพดีมาก จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ระดับคุณภาพดี จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ระดับคุณภาพพอใช้ จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ระดับคุณภาพปรับปรุง จำนวน คน คิดเป็นร้อยละ ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแก้ไข ความเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงชื่อ ( ) ตำแหน่ง