ถอดรหัสพระจอมเกล้า
พิมพ์ครั้งที่ ๒ (แก้ไขเพิ่มเติม)
พชิ ญา ส่มุ จนิ ดา
ยทุ ธนาวรากร แสงอร่าม
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจ้าอยู่หวั ท�ำด้วยงาช้างแกะสลกั
(ภาพจาก อภินนั ท์ โปษยานนท์. จติ รกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำ� นกั เล่ม ๑,
๒๕๓๖)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
พิมพ์ครัง้ ที่ ๑ : กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๙
พมิ พ์คร้ังท่ี ๒ : กันยายน ๒๕๖๕
(แก้ไขเพ่ิมเตมิ )
ท่ีปรึกษา พระราชวชิราภินันท์ (ชยวฑฒฺ โน)
วัดบวรนิเวศวิหาร
ผู้เขียน พิชญา สุ่มจินดา, ยทุ ธนาวรากร แสงอร่าม
บรรณาธกิ าร ธัชชยั ยอดพิชยั
ออกแบบปก ชุณห์ศริ ิ ไชยเอยี (วธิ ี สตูดิโอ)
ออกแบบรูปเล่ม นสุ รา สมบรู ณ์รัตน์
พสิ ูจน์อกั ษร ปารดา เทศนา
ด�ำเนินการจัดทำ� ฝ่าย MATICHON PREMIUM PRINT
บรษิ ัท มตชิ น จำ� กดั (มหาชน)
๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล หมู่บ้านประชานิเวศน์ ๑
แขวงลาดยาว เขตจตจุ กั ร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐
โทร ๐-๒๕๘๙-๐๐๒๐ ต่อ ๒๔๑๙
E-mail: [email protected]
พิมพ์ท่ี โรงพิมพ์มติชน
๑๒ ถนนเทศบาลนฤมาล หมู่บ้านประชานิเวศน์ ๑
แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร กรงุ เทพฯ ๑๐๙๐๐
จ�ำนวนพมิ พ์ ๑,๐๐๐ เล่ม
จดั พิมพ์ถวาย ธนาคารกรุงเทพ จ�ำกดั (มหาชน)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(5)
สารบัญ
คำ�นิยม (ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ) (๗)
คำ�นำ� (ในการพิมพ์ครั้งที่ ๒) (๑๐)
คำ�นำ� (ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑) (๑๒)
บทนำ� ๓
๑๕
สัญลักษณ์และการถอดรหัส ๖๗
๙๑
(พิชญา สุ่มจินดา) ๑๒๗
สืบกำ�เนิดธรรมยุต
ผ่านพุทธศิลป์
(พิชญา สุ่มจินดา)
แผ่นไม้จำ�หลัก
เครื่องราชกกุธภัณฑ์
(พิชญา สุ่มจินดา)
พระมหามงกุฎ
จาก “อินทรคติ” สู่ “พระบรมราชสัญลักษณ์”
(พิชญา สุ่มจินดา)
แกะรอยหน้าบัน
สัญลักษณ์ “พระจอมเกล้า”
(พิชญา สุ่มจินดา)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า ๑๖๑
๑๙๑
(6)
๒๑๑
พระจอมเกล้า ๒๓๓
กับ “ตรีกาย” และ “พระธรรมกาย”
๒๖๗
(พิชญา สุ่มจินดา) ๒๗๑
ถอดรหัสสัตว์สัญลักษณ์
ประจำ�รัชกาล
(ยุทธนาวรากร แสงอร่าม)
พระพุทธรูป
หมวดพระพุทธชินราช (จำ�ลอง)
ของ “พระจอมเกล้า”
(พิชญา สุ่มจินดา)
พระพุทธรูปทรงเคร่ือง
ฉลองพระองค์ “พระจอมเกล้า”
(พิชญา สุ่มจินดา)
บทสรุป
บรรณานุกรม
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(7)
คำ�นิยม
(ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑)
ผมเป็นผู้มีอัธยาศัยชอบพอที่จะศึกษาค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับประวัติ
ศาสตร์ โบราณคดี และศลิ ปวัฒนธรรมมาตง้ั แต่อยู่ในวยั เรยี นหนงั สือแลว้ แม้
ภายหลังจะได้ประกอบวิชาชีพทางด้านกฎหมายในฐานะเป็นครูสอนวิชานิติ
ศาสตร์ แต่ในทางส่วนตัวก็ยังไม่ทอดทิ้งความสนใจเดิม หากมีเวลาว่างก็จะ
แวะเวยี นไปเยยี่ มชมวดั วาอารามหรอื โบราณสถานตา่ งๆ รวมตลอดถงึ พพิ ธิ ภณั ฑ์
และแหลง่ เรยี นรทู้ ตี่ รงกบั ความสนใจของเรา หนงั สอื ทซ่ี อื้ หามาอา่ นกเ็ ปน็ หนงั สอื
แนวโบร�่ำโบราณเสียเป็นส่วนใหญ่ ถือเสียว่าเป็นความสุขส่วนตัวที่ไม่รบกวน
หรอื เบียดเบียนใคร
ด้วยความสนใจเช่นนีบ้ างคราวจึงมผี คู้ ุ้นเคยมาขอรอ้ งใหไ้ ปเป็นวิทยากร
หรอื ผนู้ ำ� ทศั นศกึ ษาวดั หรอื วงั อยบู่ า้ งตามโอกาสทวี่ า่ งตรงกนั ผมกเ็ กบ็ รวบรวม
ความรู้ที่ทรงจ�ำจากแหล่งต่างๆ ไปขยายความต่อแบบไม่ซับซ้อนนักเพ่ือให้
ผูท้ เ่ี ปน็ ผ้ชู มผู้ฟงั พอได้ขอ้ มูลหรอื ขอ้ คิดประกอบการทศั นศึกษา เมอ่ื จบรายการ
แตล่ ะคร้ังมีผู้ร่วมคณะทศั นศกึ ษามาปรารภอย่เู สมอว่า สถานที่ที่ไปเย่ยี มชมน้นั
ทจ่ี รงิ แลว้ กเ็ คยเดนิ ผา่ นอยบู่ อ่ ยๆ ความรสู้ กึ ในใจกบ็ อกแตเ่ พยี งวา่ สวยและเปน็
ของโบราณมีคุณค่า แต่พอได้มาเดินเที่ยวชมพร้อมท้ังมีคนเล่าเรื่องราวต่างๆ
ให้ฟัง ได้ทราบท่ีมาที่ไป ได้มีการช้ีชมรายละเอียดต่างๆ ความสนุกสนานและ
ความพงึ พอใจทไ่ี ดส้ มั ผสั ใกลช้ ดิ กบั สถานทจี่ รงิ ของจรงิ พรอ้ มกบั ไดฟ้ งั เรอื่ งราว
ทเ่ี กี่ยวข้องเชอ่ื มโยงกนั กย็ ง่ิ ทำ� ใหค้ วามรสู้ ึกภาคภูมใิ จว่าเราเป็นสว่ นหนึ่งของ
บา้ นเมืองทมี่ อี ารยะยิ่งเพิม่ พูนข้ึนหลายเทา่ ทบทวี
ท่ีกล่าวมาข้างต้นดังนี้มิได้หมายความว่าผมเป็นผู้ทรงภูมิความรู้ในเร่ือง
ประวตั ศิ าสตรโ์ บราณคดอี ยา่ งเชยี่ วชาญ ตรงกนั ขา้ มผมวางตนอยใู่ นฐานะผสู้ นใจ
ศึกษาหาความรู้ในเร่ืองนี้มาตลอดชีวิต ยังมีอีกหลายอย่างหลายเร่ืองที่ผมไม่
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(8)
ทราบ ในเมืองไทยของเรามีผู้ที่เป็นนักวิชาการและท�ำงานศึกษาค้นคว้าเรื่อง
เหล่านี้อย่างจริงจงั อีกเปน็ จำ� นวนมาก ท่านเหลา่ นอี้ ย่ใู นฐานะเปน็ ครขู องผมทง้ั
ส้ิน และน่ามหัศจรรย์ท่จี ะต้องบอกกล่าวกันว่า ความรเู้ หลา่ นยี้ งั คงงอกเงยและ
เพมิ่ พนู ขนึ้ ไมร่ จู้ บ ตำ� รบั ตำ� ราและงานวจิ ยั ในดา้ นศลิ ปวฒั นธรรม ประวตั ศิ าสตร์
และโบราณคดีที่มีผู้เรียบเรียงค้นคว้าวิจัยข้ึนใหม่ ได้เปิดพรมแดนความรู้ให้
กว้างขวางออกไปย่ิงขนึ้ กวา่ แตเ่ ดมิ อยูเ่ สมอ
ในบรรดานักวิชาการรุ่นใหม่ท่ีท�ำงานด้านประวัติศาสตร์ศิลปะมานานปี
และมีผลงานการค้นคว้าเผยแพร่ต่อสาธารณะอยู่สม่�ำเสมอ คนหน่ึงในจ�ำนวน
น้นั คือ อาจารย์พชิ ญา สุ่มจนิ ดา อาจารย์ประจำ� สาขาวิชาศลิ ปะไทย ภาควชิ า
ศิลปะไทย คณะวจิ ิตรศลิ ป์ มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ ผูเ้ ป็นเจา้ ของผลงานหนังสอื
เรื่อง “ถอดรหัสพระจอมเกล้า” เล่มนี้ ซึ่งผมมีโอกาสได้รู้จักกันเป็นส่วนตัว
ในฐานะผู้อยู่ในแวดวงผู้ท่ีมีความสนใจต้องตรงกัน อีกทั้งผมยังได้ติดตาม
งานเขียนทางวิชาการของอาจารย์พิชญาด้วยความเพลิดเพลินใจและอ่ิมใจใน
ความรู้ทง่ี อกเงยขึ้นมานานปี
หนงั สือ “ถอดรหสั พระจอมเกลา้ ” ทอ่ี ย่ใู นมอื ทุกท่านขณะนไ้ี ด้นำ� ศลิ ปะ
ในยุครัตนโกสินทร์ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคิดค้นขึ้น ไม่
ว่าจะเป็นในสมัยทีย่ ังทรงอยู่ในภิกขภุ าวะ ทรงเป็นพระภกิ ษสุ มเดจ็ เจ้าฟา้ มงกฎุ
หรือพระวชิรญาณมหาเถระ หรือในสมัยท่ีทรงผ่านพิภพเป็นพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว มาวิเคราะห์หรือถอดความเชิงสัญลักษณ์ตาม
หลักวิชาที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Iconography หรือการอธิบายภาพ และ
Iconology หรือการสืบสาวเหตุผลในการสร้างภาพอย่างละเอียดลออ โดยใช้
กรณศี กึ ษาจากงานศลิ ปะทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงประดษิ ฐ์
ขึ้น ทั้งทเ่ี ปน็ โบราณวัตถหุ รือโบราณสถานมาเป็นโจทย์แลว้ แสวงหาค�ำตอบ
การได้อ่านหนังสือเรื่อง “ถอดรหัสพระจอมเกล้า” เล่มนี้ จึงเปรียบ
เสมอื นการได้เดินตามนักวชิ าการผ้สู วมบทบาทเป็นนักสบื แกะรอ่ งรอยแลว้
พนิ จิ พเิ คราะหว์ า่ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชดำ� รหิ รอื
ทรงแฝงคตอิ ะไรไวบ้ า้ งในงานศลิ ปะทที่ รงประดษิ ฐข์ น้ึ ตงั้ แตค่ รงั้ กระนน้ั ยง่ิ อา่ น
กย็ งิ่ ทา้ ทายความคดิ และเหน็ เปน็ การสมควรแทท้ จี่ ะยกยอ่ งเฉลมิ พระเกยี รติ
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั วา่ ทรงเปน็ ปราชญพ์ ระองคส์ ำ� คญั ของ
เมืองไทย
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(9)
ขอขอบคุณ อาจารย์พิชญา สุ่มจินดา ท่ีอุตสาหะเขียนหนังสือเล่มน้ีให้
เราได้อ่าน ท�ำให้ผมและอีกหลายๆ คนที่มีความสนใจในแนวทางใกล้เคียงกัน
มีความสุขมากขึ้น มีความต่ืนตาต่ืนใจมากข้ึนเมื่อได้แวะเวียนไปชมงานศิลปะ
ทรงประดษิ ฐข์ องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อยูห่ วั ในวันข้างหนา้
ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จนั ทรางศุ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(10)
คำ�นำ�
(ในการพิมพ์ครั้งที่ ๒ แก้ ไขเพิ่มเติม)
พระราชวชิราภินันท์ (ชยวฑฺฒโน) แห่งวัดบวรนิเวศวิหาร ได้แจ้งต่อ
ผเู้ ขยี นวา่ ประสงคจ์ ะพมิ พห์ นงั สอื “ถอดรหสั พระจอมเกลา้ ” ผลงานของผเู้ ขยี น
ที่เคยตีพิมพ์ไว้กับส�ำนักพิมพ์มติชนต้ังแต่พุทธศักราช ๒๕๕๗ เพ่ือแจกเป็นที่
ระลกึ ในโอกาสมพี ระบรมราชโองการโปรดเลอื่ นสมณศกั ดเ์ิ ปน็ พระราชาคณะชน้ั
ราช ผู้เขียนรู้สึกยินดียิ่ง ด้วยถือเป็นโอกาสเหมาะสมท่ีได้แก้ไขปรับปรุงหนังสือ
เล่มนั้น ทั้งยังเป็นวาระอันอุดมที่จะถวายมุทิตาสักการะในฐานะกัลยาณมิตร
ทางธรรม ซง่ึ ไดร้ จู้ กั คนุ้ เคยกบั ทา่ นเจา้ คณุ มาตลอดระยะเวลากวา่ ยสี่ บิ ป ี ฐานทมี่ ี
ความสนใจใครร่ ใู้ นเรอ่ื งประวตั ศิ าสตร ์ ศลิ ปะ และโบราณคดเี ชน่ เดยี วกนั กอปร
กบั ทา่ นเจา้ คณุ เปน็ ผมู้ ใี จเปดิ กวา้ งใหเ้ กยี รตผิ เู้ ขยี น โดยละวางอคตอิ ตั ตาในการ
สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นต่างๆ อย่างเป็นกันเองเสมอมา เป็น
คณุ สมบตั อิ นั นา่ เลอ่ื มใสของบณั ฑติ โดยแทซ้ งึ่ แมผ้ เู้ ขยี นเองกย็ ากจะไดร้ บั จากนกั
วชิ าการฆราวาส จงึ รบั อาสาแกไ้ ขปรบั ปรงุ หนงั สอื เลม่ นอ้ี ยา่ งเตม็ ความสามารถ
หนงั สอื “ถอดรหสั พระจอมเกลา้ ” ฉบบั พมิ พค์ รง้ั ท ี่ ๒ แกไ้ ขเพม่ิ เตมิ น้ี
ผเู้ ขยี นไดป้ รบั ปรงุ แกไ้ ขจากฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรกซง่ึ ประกอบดว้ ยบทความวชิ าการ
จำ� นวน ๖ บท น�ำมาแก้ไขขอ้ ผดิ พลาดตามทเี่ คยมีผูท้ กั ทว้ งวจิ ารณ ์ เปลยี่ นชือ่
เรอื่ งบางบทความใหส้ น้ั กระชบั แตย่ งั คงไวซ้ งึ่ สาระสำ� คญั ลำ� ดบั บทความใหมเ่ พอื่
ใหผ้ อู้ า่ นตดิ ตามทำ� ความเขา้ ใจเนอื้ หาไดต้ อ่ เนอื่ ง เพมิ่ เตมิ ขอ้ มลู และภาพประกอบ
ค้นพบใหม่ซึ่งช่วยให้ข้อเสนอเดิมมีน�้ำหนักมากข้ึน รวมท้ังเปล่ียนภาพประกอบ
ใหม่บางภาพ การตีพิมพ์ครั้งน้ียังได้เพิ่มบทความอีก ๒ บท รวมทั้งหมดเป็น
๘ บทความ ได้แก่ บทความ เร่ือง “พระจอมเกล้า กับ ‘ตรีกาย’ และ ‘พระ
ธรรมกาย’” ของผเู้ ขยี น และอกี บทความไดร้ บั เกยี รตจิ าก คณุ ยทุ ธนาวรากร แสง
อรา่ ม ภณั ฑารกั ษช์ ำ� นาญการ พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาต ิ พระนคร กรมศลิ ปากร
กระทรวงวัฒนธรรม ผู้สนิทสนมกับพระราชวชิราภินันท์ เรื่อง “ถอดรหัสสัตว์
สัญลักษณ์ประจ�ำรัชกาล”
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(11)
ในการน้ีผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณพระราชวชิราภินันท์ท่ีเมตตาเห็น
คุณค่าผลงานของผู้เขียน ขอขอบคุณธนาคารกรุงเทพ จ�ำกัด (มหาชน) ท่ี
สนบั สนนุ การจดั พมิ พห์ นงั สอื เลม่ นใี้ หม้ โี อกาสเผยแพรเ่ ปน็ วทิ ยาทานในวงกวา้ ง
คุณยุทธนาวรากร แสงอร่าม ผู้เขียนร่วมซึ่งอนุญาตให้ตีพิมพ์บทความด้วย
กันในคร้ังนี้ คุณธัชชัย ยอดพิชัย แห่งนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ที่กรุณารับเป็น
บรรณาธิการดูแลต้นฉบับและการตีพิมพ์ รวมถึงคณะท�ำงานของส�ำนักพิมพ์
มตชิ นซง่ึ ชว่ ยเรง่ รดั งานใหใ้ นเวลาจำ� กดั สว่ นขอ้ บกพรอ่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ ยอ่ มเปน็ ความ
รบั ผิดชอบของผู้เขียนทกุ ประการ
พิชญา ส่มุ จินดา
นิมมานเหมนิ ท ์ เชียงใหม่
๑๘ กันยายน ๒๕๖๕
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(12)
คำ�นำ�
(ในการพิมพ์ครั้งที่ ๑)
หนงั สอื “ถอดรหสั พระจอมเกลา้ ” เปน็ การรอ้ ยเรยี งจากบทความวชิ าการ
อนั มเี นอ้ื หาสาระเกยี่ วขอ้ งกบั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ซง่ึ ผเู้ ขยี น
ได้เคยตพี มิ พ์เผยแพรใ่ นระหว่างพทุ ธศักราช ๒๕๔๘-๒๕๕๖ ทั้งในวารสาร
ไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเฉพาะอย่างย่ิงบทความจ�ำนวน
มากที่ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ในการตีพิมพ์รวมเล่มคร้ังนี้
ผู้เขียนได้น�ำมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้มีความกระชับในบางบทความ รวมทั้ง
เพ่ิมเติมเน้ือหาสาระหรือประเด็นทางวิชาการท่ีได้ค้นพบเพิ่มเติมใหม่ในหลาย
บทความ หลายเร่ืองแม้จะเป็นประเด็นปลีกย่อยเพียงหยิบมือหนึ่งในพระราช
ประวตั ิอนั ยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ผ้ทู รงเป็น “พระ
จอมปราชญ์” แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพในพระองค์ที่ทรงให้ความ
สำ� คญั กบั การใชส้ ญั ลกั ษณใ์ นการสอื่ ความหมายผา่ นผลงานศลิ ปกรรมไดอ้ ยา่ ง
ยอดเย่ยี มและแยบยล
ความสนอกสนใจของผู้เขียนเก่ียวกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัว แรงบันดาลใจส่วนหนึ่งมาจากอาจารย์ด้านประวัติศาสตร์ศิลปะของ
ผ้เู ขียน คอื รองศาสตราจารย์ ดร. พิรยิ ะ ไกรฤกษ์ ผชู้ ้ีให้เหน็ ถงึ พระอัจฉริยคณุ
ของพระองค์ที่สะท้อนให้เห็นในงานศิลปะ ความมุ่งหมายส�ำคัญอย่างหน่ึงของ
อาจารย์ คือ การยกระดับของวิชาประวตั ศิ าสตรศ์ ิลปะมใิ ห้เปน็ เพียงภาพแทรก
ในหนงั สอื เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสวยงาม หรอื เพยี งเพอื่ การพรรณนารายละเอยี ดปลกี
ย่อยใหเ้ ห็นเพยี งวิวัฒนาการในตัวของศลิ ปะเอง หากเพ่อื ให้งานศลิ ปะใชง้ านได้
ในฐานะเปน็ สอื่ สะทอ้ นความคดิ และคา่ นยิ มของผคู้ นในสงั คมทรี่ งั สรรคง์ านศลิ ปะ
ทางสายนแี้ มเ้ ปน็ หนทางอนั ยากและมใิ ชท่ างสายหลกั แตก่ เ็ ปน็ แนวทางทผ่ี เู้ ขยี น
ไดย้ ดึ ถอื มาตลอดในการทำ� หนา้ ทนี่ กั ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะตามแนวทางทอ่ี าจารย์
ได้วางไว้ ความพยายามตามแนวทางดงั กลา่ วอย่างนอ้ ยท่สี ุดกไ็ ดเ้ ริม่ ปรากฏใน
หนังสือ “ถอดรหสั พระจอมเกล้า” แล้ว
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(13)
ในโอกาสนผี้ ้เู ขียนขอขอบพระคณุ ศาสตราจารย์พเิ ศษธงทอง จนั ทรางศุ
ปลดั สำ� นกั นายกรฐั มนตรี ผเู้ ปน็ แรงบนั ดาลใจของผเู้ ขยี นตงั้ แตว่ ยั เยาวใ์ หเ้ กยี รติ
เขยี นค�ำนิยม รองศาสตราจารย์ ดร. พริ ยิ ะ ไกรฤกษ์ แหง่ มลู นิธพิ ิรยิ ะ ไกรฤกษ์
สำ� หรบั ภาพประกอบหายากและทรงคุณคา่ คุณอพสิ ิทธิ์ ธรี ะจารวุ รรณ หวั หน้า
กองบรรณาธกิ ารศลิ ปวฒั นธรรม สำ� นกั พมิ พม์ ตชิ น ผเู้ ลง็ เหน็ คณุ คา่ ในงานของ
ผู้เขียนและชว่ ยผลักดันจนเกดิ เปน็ หนงั สือเล่มนี้ และคณุ ธชั ชัย ยอดพชิ ัย แห่ง
กองบรรณาธกิ ารนติ ยสารศลิ ปวฒั นธรรม ผใู้ หค้ วามชว่ ยเหลอื ทางดา้ นวชิ าการ
ด้วยน�้ำใจและไมตรีจิตมาตลอดระยะเวลาท่ีผู้เขียนได้เร่ิมเข้าไปมีบทบาทในหน้า
กระดาษของนิตยสารศิลปวัฒนธรรม คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ใหท้ ุนสนับสนนุ การจดั ทำ� ตำ� ราหรือหนังสอื และอกี หลายทา่ นทีไ่ มไ่ ด้เอย่ นามไว้
ณ ท่ีนี้ ทุกท่านล้วนเป็นแรงผลักดันท่ีท�ำให้หนังสือเล่มน้ีได้มีโอกาสเผยแพร่สู่
สังคมไทยในวงกว้าง
พิชญา ส่มุ จินดา
นมิ มานเหมินท์ เชียงใหม่
๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๗
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(14)
ภาพพระบฏพุทธประวัติ เขียนข้ึนประมาณรัชกาลที่ ๔ ระบายสีฝุ่นและปิดทองบนผืนผ้า
สมบัติส่วนบุคคล สังเกตว่าภาพพระพุทธองค์ไม่ปรากฏพระอุษณีษะเช่นเดียวกับพระพุทธรูป
อนั เปน็ เอกลกั ษณพ์ ทุ ธศลิ ปข์ องคณะสงฆธ์ รรมยุต
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(15)
ภาพการสรา้ งโบสถ์และผกู พทั ธสมี าในจิตรกรรมภาพประวัติศาสตร์ “ประวัตคิ ณะธรรมยตุ ”
สมัยรชั กาลท่ี ๓ ภายในหอพระไตรปฎิ ก วัดบวรนิเวศวิหาร
ในภาพประกอบดว้ ยการสรา้ งอาคารซง่ึ ยงั กอ่ ไมเ่ สรจ็ สมบรู ณ์ กำ� ลงั กอ่ กำ� แพง มกี ลมุ่ พระสงฆ์
ยนื อยู่รอบๆ อาคารพนื้ ปดู ้วยผ้าขาว บนฐานอาคารมีพานต้ังอยู่ ๙ ชุด บนผ้าขาว พจิ ารณาจากการ
ครองจวี รของพระสงฆใ์ นภาพเปน็ การห่มเฉวียงบา่ แบบมอญของพระสงฆ์ธรรมยุต
(ค�ำบรรยายภาพโดย ธัชชัย ยอดพชิ ัย)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
(16)
ภาพพระสงฆ์ในจิตรกรรมฝาผนังภายในหอพระไตรปิฎก วัดบวรนิเวศวิหาร หลายภาพยัง
บ่งบอกชัดเจนได้เลยว่าเป็นคณะสงฆ์ธรรมยุต ดูได้จากท่าน่ังแบบยองๆ ซ่ึงเป็นท่าน่ังที่นิยมของ
พระมอญ
(คำ� บรรยายภาพโดย ธชั ชัย ยอดพิชยั )
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
บทน�ำ
สัญลักษณ์และการถอดรหัส
พชิ ญา สุ่มจนิ ดา
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นที่รู้จักของชาวไทย
ผู้คล่ังไคล้วิทยาศาสตร์เสมอด้วยความเล่ือมใสในส่ิงลี้ลับเหนือธรรมชาติ ใน
ฐานะที่ทรงค�ำนวณปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเช่นสุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำ�
โดยอาศัยวิทยาการท่ีก้าวหน้าของชาติตะวันตกขณะน้ัน ทรงเป็นชาวสยามผู้มี
ใจกว้างขวางในการเปิดรับความทันสมัย และเรียนรู้สรรพวิทยาจากชาติตะวัน
ตก ขณะทชี่ าวสยามส่วนใหญ่ในตอนนนั้ ล้วนปิดหูปิดตาด้วยความหวาดระแวง
ในด้านศิลปะเราอาจรู้จักจิตรกรรมฝาผนังแบบฝร่ังสกุลช่างขรัวอินโค่ง
หรือศิลปะพระราชนิยม ดังเห็นได้จากเจดีย์ทรงลังกาในพระอารามหลวงของ
คณะสงฆธ์ รรมยตุ ทที่ รงสถาปนาขนึ้ ใหม่ หากอกี ในอกี แงม่ มุ หนง่ึ สำ� หรบั ผเู้ ขยี น
แล้วในทางศิลปะนับได้ว่าทรงเป็นผู้หนึ่งที่ชาญฉลาดในการใช้ “สัญลักษณ์”
ในการส่ือความหมายทั้งในทางศาสนาและอาณาจักร ซึ่งในหลายคร้ังเป็นไป
อย่างแนบเนียนและลึกซ้ึง
เวลากว่า ๒๐ ปีที่ทรงใช้ในการครองสมณเพศก่อนทรงเถลิงถวัลยราช
สมบัติ มิได้เป็นเวลาที่สูญเปล่าเลย หากมองย้อนกลับไปแล้วก็นับเป็นโอกาส
อันงดงามที่ท�ำให้ทรงศึกษาธรรมคดีต่างๆ ท้ังในพระไตรปิฎกและอรรถกถา
อย่างลึกซ้ึงแตกฉาน จน “มีค�ำยอพระเกียรติอยู่ว่าพระองค์เป็นผู้คงแก่เรียน
เป็นยอดเย่ียม นับเป็นแก้ว (ดวงหนึ่ง) ในไตรโลก ทรงฉลาดทั้งในพระสูตร
และพระอภธิ รรม” ๑ ค�ำกล่าวเช่นว่าน้มี ิใช่เพียงคำ� อาศริ วาทสรรเสริญท่ีเกนิ เลย
แต่เป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนพระอัจฉริยคุณในทางธรรมกถึกของพระองค์ได้
ตรงจุด ด้วยพุทธศาสนาที่พระองค์ทรงศึกษาก็นิยมใช้ภาษาของสัญลักษณ์ท่ีมี
ความลุ่มลึกในการส่ือความหมายเพ่ือถ่ายทอดประสบการณ์ สัจธรรม หรือ
นามธรรมทย่ี ากตอ่ ความเขา้ ใจนนั่ เอง ดงั สะทอ้ นใหเ้ หน็ ในสญั ลกั ษณ์ (Symbol)
และประตมิ านริ มาณวทิ ยา (Iconography) ทท่ี รงถา่ ยทอดลงในงานศลิ ปกรรม
อย่างแยบคาย
นักมานุษยวิทยาผู้หันเหให้การศึกษามานุษยวิทยาแต่เอนเอียงไปในทาง
มนษุ ยศาสตร์อย่างคลฟิ ฟอรด์ เกยี ทซ์ (Clifford Geertz) ผู้ล่วงลบั เสนอ
ให้เข้าใจการกระท�ำของมนุษย์ว่าเป็นการกระท�ำท่ีมีความหมาย ถูกใส่ความ
หมาย ไม่ต่างกบั ภาษา การกระทำ� อะไรก็แล้วแต่จึงอยู่ในระบบของความหมาย
เป็นสัญลักษณ์ ผู้ก�ำลังศึกษาสังคมจึงไม่ได้ก�ำลัง “สังเกต” เหตุการณ์หรือ
การกระทำ� ตา่ งๆ อยู่ แตก่ ำ� ลงั “อา่ น” หรอื “ตคี วาม” เพอ่ื “ทำ� ความเขา้ ใจ”
ความหมายของผู้กระทำ� การหรือของสังคมอยู่๒
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
5
ศิลปะก็เป็นเช่นเดียวกับการกระท�ำอื่นๆ ของมนุษย์ คือ เป็นสิ่งท่ีถูก
มนุษย์ใส่ “ความหมาย” ลงไป จึงอาจกล่าวได้ว่าศิลปะมี “ภาษา” ในตัว
ของมันเอง การมีภาษาของศลิ ปะเองย่อมเรยี กร้องให้เราต้องอ่าน ตีความ หรอื
ทำ� ความเขา้ ใจศลิ ปะ ไมต่ า่ งจากภาษาทว่ั ไปทม่ี นษุ ยใ์ ชใ้ นการสอ่ื สารเลย แตด่ ว้ ย
ความทบ่ี างครงั้ ศลิ ปะไมไ่ ดส้ อื่ สารดว้ ยภาษากบั เราตรงๆ หากแตผ่ กู้ �ำหนดเนอื้ หา
หรือผู้สร้างได้ซ่อนความหมายและนัยยะนานาไว้อย่างซับซ้อน ลุ่มลึก ในบาง
ครง้ั ก็คลุมเครอื และซ่อนเร้น การ “อ่าน” และ “ตคี วาม” เพ่อื “ทำ� ความเข้าใจ”
ใน “ความหมาย” ของศิลปะอย่างมีอรรถรสจึงมิใช่เป็นเพียงแค่การอธิบาย
ส่ิงที่สองตาเห็นหรือสองมือจับต้องเท่าน้ัน ซ่ึงนั่นเป็นเพียงแค่การ “สังเกต”
หรอื เป็นหนงั สือกเ็ รยี กได้ว่าเป็นการอ่านอย่างเผินๆ
ในฐานะท่ีผู้เขียนเป็นอาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันออก
(Eastern Art History) มานานหลายปี สิ่งหน่ึงท่สี ร้างความหนักจิตกังวลใจ
ให้กับนักศึกษาที่เรียนวิชานี้ก็คือ ศิลปะตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งศิลปะ
อนิ เดียล้วนมีความหมายเชิง “สัญลักษณ์” แฝงเร้นไว้ในรปู รอยของงานศลิ ปะ
เสมอ จนบางคร้ังก็ยากที่จะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ท�ำให้ผู้เรียนรู้สึกเหมือน
ก�ำลัง “ถอดรหัส” (Decode) อะไรบางอย่างอยู่ ไม่แปลกที่เป็นเช่นน้ัน
เพราะสัญลักษณ์ท่ีเราคุ้นเคยกันในปัจจุบันกับสัญลักษณ์ในบริบทของอินเดีย
รวมถงึ หลายแหง่ ในซกี โลกตะวนั ออก มคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งฉกาจ เอเดรยี น
สนอดกราส (Adrian Snodgrass) ผู้เขียนหนังสือลือนามอย่างสัญลักษณ์
แหง่ พระสถปู อธบิ ายวา่ “สญั ลกั ษณ”์ (Symbol) หมายถงึ วธิ กี ารทสี่ ญั ลกั ษณ์
จะนำ� จิตของมนษุ ย์ไปยังสิ่งทม่ี นั อ้างถงึ สัญลักษณ์ที่เราใช้กนั ในชีวติ ประจำ� วนั
ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตวิทยา ภาษาศาสตร์ ศิลปะแนวสัญลักษณ์ เป็นสิ่งท่ีเรา
สัมผัสได้หรือเข้าใจได้ในทางความคิดโดยไม่ยากนัก เพราะมันก�ำลังอ้างอิง
บางส่ิงในระดบั เดยี วกบั ความเป็นจริงที่เราเข้าถงึ ได้๓
เรารวู้ า่ ดอกกหุ ลาบสแี ดงเปน็ สญั ลกั ษณข์ องความรกั ดว้ ยรปู ทรงอนั งดงาม
กลีบละมุน รุ่มรวยด้วยกล่ินหอม สีแดงของมนั ยังอาจสื่อถึงการเสียสละ ขณะ
ที่หนามแหลมคมของมันเป็นการยำ้� เตือนให้เราตระหนักถึงความเจ็บปวดท่ีอาจ
เกดิ ขน้ึ จากมัน (ความรกั ) ได้เสมอ
ในทางตรงข้ามสัญลักษณ์ในโลกตะวันออกเช่นในอินเดียกลับแตกต่าง
เพราะในขณะท่ีสัญลักษณ์ตามความเข้าใจของคนในปัจจุบันมักอ้างถึงสิ่งต่างๆ
เพียงระดับเดยี ว แต่ในศลิ ปะอินเดียกลบั มีการอ้างอิงถึง ๒ ระดบั ดอกบวั อาจ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
6
สัญลักษณ์บนหน้าบันพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร ประกอบด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎและ
พระแสงขรรค์ (ภาพจาก พทุ ธาวาส วัดบวรนิเวศวิหาร. น. ๓๙)
เป็นไม้น�้ำทเี่ ราพบเหน็ ได้ท่ัวไปในโลกแห่งประสบการณ์เชงิ ประจกั ษ์ ไม่ต่างจาก
ดอกกหุ ลาบ ในอีกระดับหนงึ่ ในพุทธศาสนามหายานดอกบวั ในพระหตั ถ์ของ
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร อาจหมายถึงการไปจุติในสวรรค์สุขาวดีของพระ
อมิตาภะ หรือในศาสนาพราหมณ์ดอกบัวอาจเช่ือมโยงได้กับห้วงนำ้� แห่งความ
เปน็ ไปไดท้ งั้ มวล ซงึ่ มหาวษิ ณบุ รรทมอยใู่ นขณะทรงสรา้ งสรรคส์ รรพสง่ิ ดอกบวั
ในระดบั น้จี ึงเป็นมโนทศั น์ท่ีไม่อาจเทียบกับสิ่งใดโดยตรงได้เลย๔
ศิลปะในโลกตะวันออกจึงมักใช้สัญลักษณ์ท่ีมีความลึกซึ้งในการสื่อ
ความหมาย เพ่ือบ่งบอกถึงส่ิงที่อยู่เหนือประสบการณ์ของมนุษย์ ไม่สามารถ
รบั รู้ได้ด้วยประสาทสมั ผสั หรอื ความคดิ หรอื ด้วยวิธีการใดๆ นอกจากใช้การ
เปรียบเทียบเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ สญั ลกั ษณ์ในศิลปะตะวนั ออกจึงย่อมบ่งถึงตัว
ส่ิงที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส และการใช้เหตุผลของมนุษย์มากพอควร๕
ไม่แปลกท่ีนักศึกษาศิลปะสมัยใหม่ผู้คุ้นเคยกับกล่ินอายแบบสากลจึงเข้าถึง
ศลิ ปะเชงิ สญั ลกั ษณ์เหล่าน้ีได้ยากในตอนต้นของการศกึ ษา
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
7
อาจมีค�ำถามว่าศิลปะทุกช้ินส่ือสารด้วยสัญลักษณ์ และเราจ�ำเป็นหรือ
ไม่ท่ีต้อง “ถอดรหัส” สัญลักษณ์ในงานศิลปะทุกช้ินเสมอไป ไม่ใช่ท้ังหมด
ของศลิ ปะทเ่ี ป็นสัญลักษณ์และมรี หสั ที่จะต้องถอด แต่การเข้าถงึ “รหสั ” เหล่า
น้ันได้เป็น “ความท้าทาย” ของนักประวัติศาสตร์ศิลปะที่จะเข้าถึงหรือเข้า
ใกล้ “ความหมาย” ของศิลปะเชิงสัญลักษณ์เช่นว่า ปัญหาที่ตามมาก็คือแล้ว
นักประวัติศาสตร์ศิลปะมีวิธีการใดในการ “ถอดรหัส” สัญลักษณ์หรือความ
หมายเหล่านั้น เพราะวิธีการท�ำงานของนักประวัติศาสตร์ศิลปะดูราวกับเป็น
เรอื่ งลี้ลับเหมือนรหัสที่พวกเขากำ� ลังถอด
เออรว์ นิ ปานอฟสกี (Erwin Panoffsky) นักประวตั ศิ าสตร์ศลิ ปะได้
สรา้ งระเบยี บวธิ กี ารศกึ ษาวชิ าประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะรปู แบบใหมเ่ มอ่ื ครง่ึ ศตวรรษ
กอ่ น โดยเปลย่ี นมาใหค้ วามสำ� คญั กบั เนอื้ หา (Content) มากกวา่ รปู แบบ (Style)
ของงานศลิ ปะ ดว้ ยการจำ� แนก “เนอ้ื หา” ของงานศลิ ปะออกเปน็ ๒ ระดบั ระดบั
แรก คือ เน้ือหาท่ีเป็นรูปธรรมกับเนื้อหาท่ีเป็นสัญลักษณ์ การศึกษาในระดับ
แรกนเี้ รยี กเปน็ ศพั ทเ์ ฉพาะวา่ “ประตมิ านริ มาณวทิ ยา” (Iconography) (ปจั จบุ นั
นิยมใช้ว่า “ประติมานวิทยา”) คือ การสืบสาวหาเรื่องราวมาใช้ในการอธิบาย
หรอื พรรณนางานศลิ ปะ๖ ระดบั ต่อมาเรียกว่า “ประติพิมพวทิ ยา” (Iconology)
เป็นการศึกษาสืบสาวหาท่ีมาในการสร้างภาพ๗ เพ่ือหยั่งทราบถึงแนวคิดเบ้ือง
หลังของงานศลิ ปะ
เราลองมาดตู วั อยา่ งของการ “ถอดรหสั ” สญั ลกั ษณบ์ นหนา้ บนั พระอโุ บสถ
วดั บวรนเิ วศวหิ าร ซงึ่ มพี ระบรมราชสญั ลกั ษณข์ องพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้
เจ้าอยู่หวั มาสาธกเป็นอุทาหรณ์ หน้าบนั นปี้ ระกอบไปด้วยสญั ลกั ษณ์สำ� คญั คอื
รูปพระมหาพิชัยมงกฎุ และพระแสงขรรคบ์ นพานแว่นฟ้า
ระดบั แรก คอื การศกึ ษาประตมิ านริ มาณวทิ ยาของภาพ (Iconography)
ในเน้ือหาเชิงรปู ธรรม เราทราบกันโดยทั่วไปว่ามงกฎุ เป็นศิราภรณ์ประเภทหนึ่ง
ในเชิงสัญลักษณ์ท่ีลึกซึ้งกว่า พระมหาพิชัยมงกุฎเป็นหน่ึงในเคร่ืองราช
กกธุ ภัณฑ์อันเป็นสญั ลักษณ์ของความเป็นพระราชาธบิ ดี
ระดับต่อมา คือ การศึกษาประติพิมพวิทยา (Iconology) เราทราบ
กนั ดวี ่าพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั มีพระนามเดมิ ว่า “เจ้าฟ้ามงกุฎ”
จึงทรงใช้รูปพระมหาพิชัยมงกุฎเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ประจ�ำพระองค์
ซึ่งในขณะเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ท่ีสื่อถึงความเป็นพระมหากษัตริย์ด้วย
หรือหากถอดความหมายให้ลึกซึ้งขึ้นอีก เราจะพบว่าพระมหาพิชัยมงกุฎ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
8
(ซ้าย) พระมหาพิชัยมงกุฎ หน่ึงในเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ สัญลักษณ์แห่งพระราชาธิบดี
(ขวา) พระมหามงกุฎบนยอดพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม สัญลักษณ์ของยอดวิมานพระอินทร์
บนสวรรคช์ ้นั ดาวดงึ ส์
ยังเป็นสัญลักษณ์ของยอดวิมานพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อันเป็น
อินทรคติท่ีริเริ่มในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหาพิชัย
มงกุฎจึงสื่อถึงความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์ในฐานะพระอินทร์
ได้เช่นกัน เมื่อถอดรหัสภาพออกแล้ว ความหมายของพระมหาพิชัย
มงกุฎบนหน้าบันมุขโถงจึงสื่อได้ท้ังพระนามเดิมของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั สญั ลักษณแ์ หง่ ความเปน็ พระมหากษัตริย์ และ
อนิ ทรคติในฐานะที่ทรงเปน็ สมมติเทพ
ต่อมา คอื พระแสงขรรค์ ในระดับแรกเราทราบดีเลยว่าพระขรรค์เป็น
อาวุธประเภทดาบท่ีมีคม ๒ ด้าน ในเชิงสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับพระมหา
กษัตริย์ พระแสงขรรค์ชัยศรีเป็นหน่ึงในเครื่องราชกกุธภัณฑ์เช่นเดียวกับพระ
มหาพิชัยมงกุฎ นอกจากน้ี พระแสงขรรค์ชัยศรียังสื่อถึงพระราชอำ� นาจของ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
9
พระมหากษัตริย์ได้ด้วย ในระดับต่อมาของการตีความเพ่ือสืบสาวความหมาย
ของภาพ เราอาจได้ข้อสรุปว่าเมื่อพระแสงขรรค์อยู่คู่กับพระมหาพิชัยมงกุฎ
แสดงว่าพระแสงขรรค์ต้องเป็นสัญลักษณ์ของพระราชอ�ำนาจของพระบาท
สมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ในฐานะทีพ่ ระองค์ทรงเป็นพระมหากษตั รยิ ์
อย่างไรก็ดี ในทางพุทธศาสนาพระขรรค์ยังเป็นสัญลักษณ์ของ
ปัญญาหรือการท�ำลายอวิชชา เช่น ในปฐมสมโพธิกถา ก็เปรียบความว่า
พระพุทธองค์ก�ำลังทรงต่อสู้กับมารด้วย “พระขรรค์แก้ว คือ พระวชิรญาณ
ปัญญา” ซงึ่ “วชริ ญาณ” กเ็ ป็นพระราชฉายาของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวเม่ือทรงพระผนวชก่อนครองราชย์ หมายความว่า ความหยั่งรู้อัน
แข็งแกร่งประดุจเพชรหรือวัชระ ดังน้ันเม่ือลองถอดรหัสให้ลึกซ้ึงอีกหน่อย
เราจะพบว่าพระขรรค์แก้วในที่นี้อาจหมายถึง “วัชระ” หรือ “วชิราวุธ” ของ
พระอินทร์ซ่ึงเป็นอาวุธหลายง่ามที่มี ๒ ด้านทั้งหัวท้าย ดังตัวอย่างจากรูป
พระอินทร์ทรงวัชระเหนือช้างเอราวัณบนแท่งศิลาจ�ำหลักจากปราสาทพนมรุ้ง
แตว่ า่ วชั ระในสมยั รตั นโกสนิ ทรไ์ ดก้ ลายรปู เปน็ “พระขรรคแ์ กว้ ” เชน่ รปู พระอนิ ทร์
ทรงพระขรรค์บนหน้าบันพระที่นั่งอาภรณ์ภิโมกข์ปราสาทท่ีพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างข้ึน ดังนั้น พระแสงขรรค์จึงหมายถึง
พระขรรค์แก้วคือ วชิราวุธหรือวัชระของพระอินทร์ สัญลักษณ์ของ
พระแสงขรรคช์ ยั ศรี หนึ่งในเครอื่ งราชกกธุ ภัณฑ์ สัญลักษณ์ของพระราชอ�ำนาจแหง่ พระมหา
กษตั ริย์ (ภาพจาก สมดุ ภาพเหตกุ ารณ์ส�ำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์, ๒๕๒๕)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
10
(บน) พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ และทรงถือ “วัชระ” หรือวชิราวุธ อาวุธของพระองค์ที่มี
หลายง่าม (ล่าง) วชั ระ หรือวชริ าวุธของพระอนิ ทรใ์ นรูปของพระขรรค์แก้ว หนา้ บันพระทน่ี ่ังอาภรณ์
ภิโมกข์ปราสาท
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
11
วัชระในรูปของพระขรรค์แก้ว
ท่ีหมายถึงพระราชฉายา “วชิรญาณ”
(พดั รองงานฉลองวดั ราชประดษิ ฐ พ.ศ.
๒๔๒๘)
“วชริ ญาณปญั ญา” อนั สอื่ ถงึ พระราชฉายาของพระบาทสมเดจ็ พระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว คือ “วชิรญาณ”
ดังน้ัน รหัสภาพท่ีเราถอดความหมายได้จากรูปพระมหาพิชัยมงกุฎ
และพระแสงขรรค์บนหน้าบันมุขโถงของพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐก็คือ
สัญลักษณท์ สี่ ื่อถงึ พระนามเดิมเม่ือแรกพระบรมราชสมภพ คอื “เจา้ ฟา้
มงกุฎ” และพระราชฉายาเมอื่ ทรงพระผนวช คอื “วชริ ญาณ” หรือเรา
อาจอนุมานเพิ่มเติมได้อีกว่าทรงก�ำลังหมายถึงพระนามของพระองค์
ท้ังในทางโลกย์และทางธรรมไปพร้อมกันผ่านสัญลักษณ์ น่ีคือตัวอย่าง
ของการศกึ ษาเพ่ือ “ถอดรหสั สัญลักษณ์” และเป็นการแสดงให้เหน็ ว่าพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้สัญลักษณ์ในการสื่อความหมายถึง
พระองค์ในสถานะต่างกันได้อย่างลกึ ซง้ึ และแยบยล
ใช่แต่การถอดรหัสสัญลักษณ์แต่เพียงอย่างเดียวเท่าน้ัน การศึกษา
ประวัติศาสตร์ศิลปะอาจน�ำมาซ่ึงข้อมูลและเติมเต็มจินตนาการของอดีตจาก
ความไม่สมบรู ณ์ ตกหล่น หรอื ขาดหายไปของหลกั ฐานร่วมสมยั เช่น หลกั ฐาน
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
12
ทางประวัติศาสตร์ซึง่ เป็นลายลกั ษณ์อกั ษรได้ด้วย ดังนั้น “ศิลปะจะเป็นกุญแจ
ส�ำคัญน�ำไปสู่อดตี ดังน้ัน การศกึ ษาแบบอย่างของศลิ ปะจึงไม่ใช่เป็นเพียงส่วน
ประกอบทเ่ี ปน็ เนอื้ ไปหมุ้ โครงรา่ ง แตเ่ ปน็ โครงรา่ งหรอื แกน่ ของตวั ประวตั ศิ าสตร์
เอง”๘
ความเรียงในหนังสือเล่มน้ีจึงเป็นท้ังตัวอย่างของการพยายามท�ำความ
เข้าใจสัญลักษณ์ หรือความหมายท่ีซ่อนอยู่ในงานศิลปะ ซึ่งพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น รวมการใช้หลักฐานทางศิลปะในการ
ศึกษาแนวพระราชด�ำริของพระองค์ในส่วนท่ีหลักฐานอ่ืนยังก้าวล่วงไปไม่ถึง
แม้กระนั้นสัญลักษณ์ท่ีทรง “เข้ารหัส” ไว้ก็ยังคงสร้างความฉงนสนเท่ห์ให้
กับเรา ราวกับว่าพระองค์ก�ำลังทรงทดสอบสติปัญญาของอนุชนรุ่นหลังว่าจะ
สามารถ “ถอดรหสั ” ความหมายของ “สญั ลกั ษณ์” ท่ีพระองค์ต้องการสือ่ สาร
ได้เพยี งใด เพราะ “ศิลปะที่แทจ้ รงิ ...ก็คอื ตัวแทนทางสญั ลกั ษณท์ ี่สำ� คญั
ประการหน่ึง เป็นตัวแทนของสรรพสิ่งท่ีเราไม่อาจเห็นได้นอกจากใช้
ปญั ญาพิจารณาเท่านน้ั ”๙
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
13
เชิงอรรถ
๑ ยทุ ธนาวรากร แสงอรา่ ม. “‘มงกุฎ’ พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำ�รชั กาลที่ ๔,” ศลิ ป
วัฒนธรรม. ๓๒ (กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔) : ๑๓-๑๕.
๒ ดรู ายละเอยี ดใน ยกุ ติ มกุ ดาวจิ ติ ร. “ท�ำ ไมยงั อา่ นงาน Geertz กนั อย,ู่ ” http://blogazine.
in.th/blogs/yukti-mukdawijitra/post/4268, (สืบค้นเมื่อ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๖).
๓ เอเดรียน สนอดกราส. สัญลักษณ์แห่งพระสถปู . พิมพ์ครั้งที่ ๒ (กรุงเทพมหานคร :
อมรินทร์วิชาการ, ๒๕๔๑), น. ๓.
๔ เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
๕ เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
๖ พริ ยิ ะ ไกรฤกษ.์ ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะและโบราณคดใี นประเทศไทย. (กรงุ เทพมหานคร :
อมรินทร์, ๒๕๓๓), น. ๒๖.
๗ พิริยะ ไกรฤกษ์. อารยธรรมไทย : พื้นฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะ เล่ม ๑ ศิลปะก่อน
พุทธศตวรรษที่ ๑๙. (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์, ๒๕๔๔), น. ๑๙.
๘ พิริยะ ไกรฤกษ์. ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับแบบศิลปะในประเทศไทย คัดเลือกจาก
พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ สาขาสว่ นภมู ภิ าค. (กรงุ เทพมหานคร : กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๕). (พมิ พ์
ในโอกาสเปิดนิทรรศการพิเศษ ๒ สิงหาคม ๒๕๒๐).
๙ เอเดรียน สนอดกราส. สัญลักษณ์แห่งพระสถูป, น. ๔.
สืบก�ำเนิดธรรมยุต
ผ่านพุทธศิลป์
พิชญา สุ่มจินดา
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
16
ความน�ำ
ธรรมยุติกนิกาย หรือคณะสงฆ์ธรรมยุต เป็นความเคลื่อนไหวทาง
ศาสนาในสมยั รตั นโกสนิ ทรท์ ม่ี คี วามพเิ ศษเปน็ อยา่ งยง่ิ เนอ่ื งจากมคี วามสมั พนั ธ์
เกยี่ วขอ้ งกบั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ผทู้ รงสถาปนานกิ ายนข้ี น้ึ
เมื่อครั้งทรงพระผนวชเป็นพระภิกษใุ นพระราชฉายาว่า “วชิรญาโณ” หรือที่
รู้จักกันว่า “พระวชิรญาณ”
“ธรรมยตุ กิ นกิ าย” อนั มคี วามหมายถึง ผู้ประกอบด้วยธรรม ชอบด้วย
ธรรม หรือยุติตามธรรมของพระพุทธองค์ มีจุดมุ่งหมายที่จะด�ำรงพุทธศาสน
วงศ์ให้บริสุทธ์ิเหมือนเม่ือคร้ังบ้านเมืองดีคราวที่ยังไม่เสียกรุงศรีอยุธยา และ
ด�ำเนินตามรอยพระพุทธวจนะขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยบุคลิกภาพ
ขององค์ผทู้ รงสถาปนานกิ ายนท้ี ท่ี รงพร้อมจะน�ำความเปลยี่ นแปลงในรปู แบบ
ใหม่มาเสนอต่อสงั คมสยามตลอดมา และด้วยอิทธพิ ลจากอารยธรรมตะวันตก
จึงท�ำให้มีผู้มองว่าคณะสงฆ์ธรรมยุต คือความเปล่ียนแปลงที่ได้รับผลกระทบ
จากภายนอกเข้ามาก�ำหนดรูปแบบของแนวคิดทางศาสนา ซึ่งยังสะท้อนออก
มาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในงานพุทธศิลป์ด้วย ในขณะเดียวกันก็มีความคิด
อีกกระแสหน่ึงท่ีมองว่าคณะสงฆ์ธรรมยุตเป็นความเคล่ือนไหวทางศาสนาที่
มีพัฒนาการข้ึนในประเทศไทยอย่างช้าๆ มิใช่การแตกหักของจารีตใหม่ของ
ตะวันตกกับจารีตเก่าของไทย และได้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงอันเป็นผล
กระทบจากความเคลอ่ื นไหวน้ใี นงานพทุ ธศลิ ป์เช่นเดยี วกัน
บทความชิ้นนี้จึงเน้นไปท่ีอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเถรวาทจาก
ภายนอกทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ แนวความคดิ ของการสถาปนาคณะสงฆธ์ รรมยตุ
อนั เปน็ อทิ ธพิ ลทม่ี มี ายาวนาน ฝงั รากลกึ ลงในความคดิ ของพทุ ธศาสนา
นกิ ายเถรวาทในประเทศไทย โดยสะทอ้ นใหเ้ หน็ อยา่ งเดน่ ชดั จากการสบื สาน
ของจารีตทางศาสนาและยังสะท้อนออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในผลงาน
การสรา้ งสรรคด์ า้ นพทุ ธศลิ ป์ นอกจากผเู้ ขยี นจะไดแ้ สดงใหเ้ หน็ มมุ มองใหมข่ อง
การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างสมณวงศ์เถรวาทจากภายนอกที่ส่งอิทธิพล
ตอ่ แนวความคดิ ในการสถาปนาคณะสงฆธ์ รรมยตุ แลว้ ยงั จะไดแ้ สดงใหเ้ หน็ ถงึ
แนวความคดิ ดงั กล่าวทส่ี ะทอ้ นออกมาในรปู ของผลงานการสร้างสรรค์ทางพทุ ธ
ศิลป์ด้วย เพอื่ ให้ภาพรวมของการศึกษามีความชดั เจนยงิ่ ขนึ้ มมุ มองใหม่น้จี งึ
น่าจะสอดคล้องกับจารีตทางพุทธศาสนาที่มีมายาวนานในสังคมไทยโดยผ่าน
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
17
การศึกษาจากหลักฐานทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและพุทธศิลป์อันอาจจะน�ำไป
สู่ความเข้าใจการกำ� เนดิ แห่ง “ธรรมยตุ ” ในอีกแง่มมุ หน่ึงได้ดยี งิ่ ข้นึ
ก�ำเนิดธรรมยุตในมุมมองนักวิชาการ
แนวความคิดในงานเขียนประวัติศาสตร์ที่อธิบายเก่ียวกับการสถาปนา
คณะสงฆ์ธรรมยุตสามารถแบ่งออกได้เป็นแนวคิดหลัก ๓ แนวด้วยกัน คือ
แนวศาสนา แนวการเมอื ง๑ และแนวคดิ ทอี่ ธบิ ายผสมผสานกนั ระหวา่ งแนวทาง
ศาสนาและการเมอื ง
แนวศาสนา
แนวคิดน้ีมองว่าก�ำเนิดของคณะสงฆ์ธรรมยุตเป็นเรื่องของศาสนาเพียง
อย่างเดียว โดยไม่เก่ียวข้องกับการเมืองหรือบริบทด้านอ่ืนๆ ของสังคม ต้น
ก�ำเนิดของแนวศาสนาน้ีมาจากพระนิพนธ์ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์๒ ทรงพระนิพนธ์ถึงแนวคิดอันเป็นมูลเหตุ
ของการสถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุตของพระวชิรญาณอันมีวัตถุประสงค์เพ่ือ
กอบกู้สมณวงศ์ท่ีเสื่อมสูญไปตั้งแต่คร้ังเสียกรุงศรีอยุธยาข้ึนมาใหม่ และมี
หัวใจอยู่ที่การปฏิบัติตามพระธรรมวินัยโดยอาศัยพุทธวจนะของพระศาสดา
อย่างเคร่งครัด พระนิพนธ์ดังกล่าวถือเป็นต้นแบบท่ีให้ภาพก�ำเนิดคณะสงฆ์
ธรรมยตุ ในเชงิ ศาสนาแก่งานเขยี นชนิ้ อน่ื ๆ ทก่ี ล่าวถงึ คณะสงฆน์ ๓ี้ เช่น พระราช
นพิ นธใ์ นพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ๔ และพระนพิ นธข์ องสมเดจ็
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ๕
นอกจากน้ี ยังมีงานเขียนจ�ำนวนหน่ึงท่ีเช่ือว่าพระวชิรญาณทรงเลื่อมใส
ในสมณวงศข์ องมอญเปน็ พเิ ศษ๖ อยา่ งไรกต็ าม พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิเสธความคิดดังกล่าวว่า “ไม่ใช่ลัทธิธรรมยุติกามาจากลัทธิ
รามัญ เป็นแต่พระสงฆ์รามัญเป็นผู้มาแนะทางให้เป็นเหตุที่ได้ทรงพระราช
ดำ� รหิ ์กว้างขวางออกไปอกิ เท่านน้ั คร้นั สืบมานานความประพฤติแลความรู้ของ
พระสงฆ์คณะธรรมยตุ ิกาก็กว้างขวางห่างเหนิ ดีขน้ึ กว่ารามญั เองเสยี อิก”๗
ยังมีงานเขียนอีกกลุ่มหน่ึงที่ให้ความส�ำคัญกับเรื่องผลกระทบจาก
อารยธรรมตะวันตกท่ีเร่ิมเข้ามาอย่างแพร่หลายในสังคมไทยสมัยน้ัน เช่น
งานของอเล็กซานเดอร์ บี. กริสโวลด์ (Alexander B. Griswold) ได้
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
18
ยกให้ก�ำเนิดของธรรมยุตเป็นผลกระทบทางความคิดจากการเข้ามาเผยแผ่
คริสต์ศาสนาของมิชชันนารี๘ งานเขียนของอัจฉรา กาญจโนมัย ท่ีกล่าวว่า
คณะมิชชันนารีก็มีส่วนส�ำคัญอย่างมากที่ท�ำให้ทรงกระตือรือร้นท่ีจะทรงศึกษา
พระธรรมวินัยและเผยแผ่ศาสนาตามวิธีการของคริสต์ศาสนาโดยเฉพาะนิกาย
โปรเตสแตนต์๙ อาจกล่าวได้ว่าแนวความคิดของกริสโวลด์และอัจฉราจึงเป็น
การมองคณะสงฆ์ธรรมยุตทั้งในแง่ของการฟื้นฟูมาตรฐานแบบเดิม และเป็น
การปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั มาตรฐานทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเหตผุ ลนยิ มของตะวนั ตก๑๐
การอธิบายตามแนวข้างต้นได้รับการคัดค้านจากงานเขียนของนฤมล
ธีรวัฒน์๑๑ ผู้มองว่าแนวคิดในการปฏิรูปศาสนาของพระวชิรญาณที่แยกออก
มาจากรากเหง้าของศาสนาเก่านั้น เป็นหลักการ “สากล” ในการปฏิรูปศาสนา
และการเมืองท่ีมีมานานแล้ว เพราะแม้พระวชิรญาณอาจจะทรงได้รับแนวคิด
ในการเผยแผศ่ าสนารวมถงึ ความคดิ ทใ่ี ชห้ ลกั การและเหตผุ ลตามแบบตะวนั ตก
ก็ตาม แต่แนวคิดพื้นฐานของการก่อตั้งน่าจะเป็นพระด�ำริของพระองค์เองมิใช่
จากมิชชันนารีอเมริกัน วิธีคิดของนฤมลนับเป็นการแบ่งแยกท่ีชัดเจนระหว่าง
“แนวคิด” และ “วิธีการ” ของพระวชิรญาณในแต่ละช่วงเวลา ท�ำให้สามารถ
แลเห็นพัฒนาการทางความคิดของธรรมยุตได้ดีกว่าเดิมที่มักอธิบายไปใน
แนวทางใดทางหน่ึง และมักกระท�ำโดยไม่ค�ำนึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนใน
แต่ละช่วงเวลาเสมอ
แนวการเมือง
มีท้ังค�ำอธิบายที่มองการสถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยุตว่าเป็นเร่ืองทางการ
เมืองเพียงอย่างเดยี ว โดยแทบจะไม่เกีย่ วข้องกบั เรอื่ งอ่ืนหรือแม้แต่ศาสนาเลย
เช่น แนวของกี ฐานสิ สร๑๒ ท่มี องว่าเป็นการสถาปนาอ�ำนาจในทางศาสนาเพ่อื
ก้าวไปสู่อ�ำนาจทางการเมืองของพระวชิรญาณ เช่นเดียวกับทกี่ ระจ่าง นันท
โพธิ๑๓ ก็มองว่าการก่อต้ังคณะสงฆ์ใหม่นี้นอกจากจะไม่มีเนื้อหาท่ีแตกต่างไป
จากเดิมแล้ว ยังเป็นเพียงการสร้างฐานอำ� นาจทางการเมืองของพระวชิรญาณ
มากกว่า และเป็นจุดเร่ิมต้นแห่งความขัดแย้งขององค์กรคณะสงฆ์ไทยในเวลา
ต่อมาด้วย การอธิบายในแนวทางนี้ดูจะเน้นตลอดว่าธรรมยุตเป็นมูลเหตุให้
เกดิ ความขดั แยง้ ของคณะสงฆไ์ ทย ไมไ่ ดม้ งุ่ ไปในดา้ นการฟน้ื ฟหู รอื ปฏริ ปู อยา่ ง
แท้จรงิ
นฤมล ธีรวฒั น์ อธิบายว่าการก้าวไปสู่อ�ำนาจทางการเมอื งของพระวชริ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
19
ญาณเกิดจากการน�ำความสัมพันธ์ระหว่างพุทธศาสนากับการเมืองของสยาม
มาปรบั ใช้ให้เขา้ กบั สถานะของพระองค์ การสถาปนาคณะสงฆ์ใหม่ของพระองค์
ในทรรศนะของนฤมลจึงเป็น “ภาพสะท้อนของทัศนคติท่ีมีต่อความสัมพันธ์
อย่างลึกซ้ึงของการเมืองและศาสนา ในฐานะท่ีศาสนาเป็นวิถีสู่อำ� นาจทางการ
เมือง”๑๔ ทำ� ให้พระวชิรญาณทรงสามารถสร้างบารมีการเมืองจากศาสนาให้เป็น
ท่ียอมรับได้ว่าทรงมีความเหมาะสมท่ีจะเป็นพระมหากษัตริย์ต่อจากพระบาท
สมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หวั ๑๕
แนวความคิดที่ผสมผสานกัน
ระหว่างศาสนากับการเมือง
แนวการอธบิ ายทผ่ี สมผสานกนั ของนฤมลไดร้ บั การเสรมิ ตอ่ จากขอ้ เขยี น
ของนิธิ เอยี วศรวี งศ์ ท่ีมองว่าความเคลื่อนไหวในทางการเมืองกบั ศาสนาต้อง
ไม่ขัดแย้งกัน ความส�ำเร็จของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในทาง
การเมืองเกิดขึ้นได้เพราะมีความเคลื่อนไหวท่ีสอดคล้องกับความเคล่ือนไหว
ทางศาสนาท่ดี ำ� เนนิ อยู่ในสังคมไทยอย่างต่อเนือ่ งเป็นระยะเวลานานแล้ว เน่ือง
จากการด�ำเนินงานทางการเมืองอันใดก็ตามจะประสบความส�ำเร็จได้ก็ต่อเมื่อ
เสนอส่งิ ทม่ี รี ากฐานอยู่ในสงั คมน้ัน ไม่ใช่เป็นการเสนอสง่ิ ใหม่อย่างเดด็ ขาด๑๖
นิธิให้ความเห็นว่า ความเข้าใจเก่ียวกับเหตุผลการสถาปนาคณะสงฆ์
ธรรมยุตของพระวชิรญาณในงานเขียนประวัติศาสตร์ท่ีผ่านมา มักอธิบายและ
เนน้ วา่ เปน็ การกระทำ� เพอื่ เหตผุ ลทางศาสนา หรอื ไมก่ เ็ ปน็ ปฏกิ ริ ยิ าทม่ี ตี อ่ อทิ ธพิ ล
จากภายนอกซึง่ เข้ามาเป็นตัวแปรสำ� คญั ผลกั ดนั การสถาปนานิกายน้ี คำ� อธิบาย
การเกิดขึ้นของคณะสงฆ์ธรรมยุตในด้านที่เป็นความเคล่ือนไหวทางศาสนาจึง
มกั กระท�ำโดยตัดขาดความเข้าใจท่มี ีต่อกระแสของความเคลอ่ื นไหวทางศาสนา
ท่ีมีอยู่ในสังคมขณะน้ัน ดังไปยกให้กับแรงบันดาลใจจากนอกประเทศ ใน
ทรรศนะของนธิ แิ นวความคดิ ทผี่ ่านมาจงึ ไม่อาจอธบิ ายแนวคดิ เบอื้ งหลงั ในการ
สถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยตุ ได้ดพี อ
ขอ้ เสนอของนธิ กิ ค็ อื แท้จรงิ แล้วความเคลอ่ื นไหวของคณะสงฆธ์ รรมยตุ
เปน็ ความเคลอื่ นไหวทางศาสนาทเี่ กดิ ขนึ้ และมพี ฒั นาการจากภายในสงั คมไทย
เอง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเคลื่อนไหวทางศาสนาคร้ังใหญ่ในสมัยต้น
รัตนโกสนิ ทร์ ความพยายามของพระวชิรญาณท่ีอ้างถงึ การ “ชำ� ระ” หรือปฏริ ูป
พุทธศาสนาท่ีเน้นในเรื่องวินัยเป็นอย่างมากน้ัน เป็นไปเพ่ือให้เกี่ยวข้องกับการ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
20
รกั ษาศาสนวงศ์ให้บรสิ ุทธิ์ อนั เป็นหน้าที่ของพระมหากษตั ริย์ทเ่ี ป็นพระธรรมิก
ราชพงึ กระทำ� การกระทำ� ของพระองคม์ ไิ ดเ้ ปน็ สง่ิ ทแี่ ปลกแยกออกไปจากความ
เข้าใจของคนในสังคมขณะน้ันแต่ประการใด หากเป็นแนวทางเดียวกับที่พระ
มหากษตั รยิ ใ์ นสมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทรท์ รงประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เปน็ ความเปลยี่ นแปลง
ภายในทเี่ กดิ ขนึ้ อย่างชา้ ๆ จากขยายตวั ทางความคดิ ของปัญญาชนสยามภายใน
เองมากกวา่ จะรบั แนวคดิ มาจากตะวนั ตก และในเมอ่ื ความเคลอ่ื นไหวนไี้ มไ่ ดเ้ ปน็
สิ่งที่ยากแก่การเข้าใจของคนร่วมสมัย จึงสามารถใช้เป็นพลังผลักดันทางการ
เมอื งให้แก่ผู้น�ำการเคลอื่ นไหว คอื พระวชริ ญาณ ได้เป็นอย่างด๑ี ๗
อย่างไรก็ดี ผู้เขยี นเหน็ ว่าอิทธพิ ลของพทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาทจากภาย
นอกเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เช่นกัน เพราะหากพิจารณาถึงบริบทความ
สมั พนั ธท์ างพทุ ธศาสนาทม่ี มี าอยา่ งยาวนานในดนิ แดนประเทศไทยปจั จบุ นั ยอ่ ม
เห็นว่าได้มีการติดต่อแลกเปล่ียนความสัมพันธ์ทางพุทธศาสนานิกายเถรวาท
ระหว่างภูมิภาคอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ว่าพัฒนาการความเคลื่อนไหวทางพุทธ
ศาสนาภายในประเทศจะมรี ากฐานมาจากความเปลย่ี นแปลงในสงั คมอยา่ งชนดิ
แยกจากกันไม่ได้ก็จริง แต่พุทธศาสนาที่เข้ามาจากดินแดนภายนอกมักเป็น
ตวั แปรส�ำคัญก่อให้เกิดแนวความคิดใหม่ๆ ที่มีผลต่อปรชั ญาและคตคิ วามเชื่อ
ในประเทศไทยมาโดยตลอด
บทบาทของคณะสงฆน์ กิ ายเถรวาทจากภายนอกจงึ เปน็ สง่ิ ทไี่ มอ่ าจละเลย
ในการศกึ ษาถงึ ความเปลยี่ นแปลงของพทุ ธศาสนาในดนิ แดนทเี่ ปน็ ประเทศไทย
ปัจจุบันได้เช่นกัน ดังนั้น หากเราสามารถท�ำความเข้าใจลักษณะแห่งความ
สัมพันธ์ดังกล่าวได้แล้ว ก็อาจท�ำให้เราเข้าใจความเคลื่อนไหวทางพุทธศาสนา
ที่เกิดขึ้นในดินแดนประเทศไทย และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความเคล่ือนไหว
ดังกล่าวได้ดีข้ึน โดยเฉพาะอย่างย่ิงความเข้าใจถึงความเคลื่อนไหวทางศาสนา
ทีเ่ รียกว่า “ธรรมยตุ ” ได้กระจ่างชดั ขน้ึ บ้าง
สมณวงศ์ของมอญ
กับแรงบันดาลใจแรกของธรรมยุต
จุดเริ่มต้นของการสถาปนาธรรมยุตดังท่ีรับทราบกันเกิดขึ้นเมื่อพระ
วชริ ญาณทรงพบกับพระสุเมธมนุ ี (ซาย) พระเถระของมอญจากวดั บวรมงคล
กรงุ เทพมหานคร ผู้ “ฉลาดในพระวนิ ยั รพู้ ทุ ธวจน ชำ� นาญในอกั ขรจุ จารณ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
21
วิธี”๑๘ อันเป็นคุณสมบัติของสมณสารูปท่ีทรงพอพระทัย พระสุเมธมุนีได้
แสดงศาสนวงศ์ของคณะสงฆ์มอญถวายพระวชิรญาณ ทั้งได้ทูลอธิบาย
ระเบียบวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์มอญคณะท่ีท่านอุปสมบทให้ทรงทราบ
คุณสมบัติอันดีของพระสุเมธมุนีประกอบกับความเช่ือมั่นเร่ืองความบริสุทธ์ิ
ของคณะสงฆ์มอญ จึงท�ำให้ทรงรับสมณวงศ์ของมอญมาเป็นข้อปฏิบัติ
ต่อมา๑๙ คณะสงฆ์มอญจงึ ได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษในลำ� ดับแรก ในฐานะ
ทเ่ี ป็นแรงบนั ดาลใจแหล่งแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุตเสมอ
นฤมล ธีรวัฒน์ อธิบายว่าเนื่องจากพระมอญมีความเคร่งครัดในพระ
วินัยเป็นอันมากและมีอ�ำนาจในทางพุทธคุณสูง หากมองในแง่การเมืองแล้ว
การตั้งคณะสงฆ์ใหม่ของพระองค์โดยนำ� แบบแผนมาจากคณะสงฆ์รามัญอาจ
ถอื ไดว้ า่ เปน็ การดงึ เอากลมุ่ มอญทเ่ี ครง่ ศาสนามาเปน็ เครอ่ื งมอื ตอ่ รองกบั อำ� นาจ
รัฐด้วย๒๐
อย่างไรก็ดี แนวคิดดังกล่าวยังขาดการอธิบายในแง่ความสัมพันธ์เก่ียว
ข้องระหว่างกลุ่มชาวมอญและวัฒนธรรมมอญท่ีมีในดินแดนประเทศไทย
เพราะคณะสงฆ์มอญในประเทศไทยขณะนั้นมีความส�ำคัญเป็นรองก็เพียงแต่
มหานกิ าย ดงั ทพี่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงเรยี กวา่ “จลุ นกิ าย”๒๑
และมีพระบรมราชาธิบายถึงประวัติความเป็นมาของคณะสงฆ์มอญในสยามว่า
“พระรามญั วงศใ์ นสยามรฐั น้ี ขอทา่ นทงั้ หลายพงึ ทราบเถดิ วา่ ไดด้ ำ� รงมาโดยลำ� ดบั
ได้ ๓๐๐ ปีแล้ว จำ� เดมิ แต่แรกมาในรชั กาลสมเดจพระนริสสราชเจ้า (สมเด็จ
พระนเรศวร-ผู้เขียน) โดยประการฉนฯี้ ”๒๒
กระน้ันก็ดี การอธิบายถึงความสัมพันธ์กับคณะสงฆ์มอญโดยกล่าวถึง
เพียงความส�ำคัญและความสัมพันธ์กับกลุ่มมอญในประเทศไทยดังท่ีกล่าวมา
แลว้ กอ็ าจจะยงั ไมช่ ดั เจนนกั ในการสะทอ้ นแนวคดิ ของพระวชริ ญาณไดอ้ ย่าง
เพยี งพอ เพราะตอ้ งพจิ ารณาเชอื่ มโยงกบั บรบิ ทความสมั พนั ธใ์ นทางพทุ ธศาสนา
ระหว่างนิกายเถรวาทกับคณะสงฆ์นกิ ายเถรวาทจากดินแดนอน่ื ประกอบด้วย
สมณวงศ์ของมอญ
ในฐานะสะพานเชื่อมสู่สมณวงศ์ของลังกา
หลงั การสถาปนาคณะสงฆธ์ รรมยตุ ไมน่ านนกั พระวชริ ญาณกท็ รง
บงั เกดิ ความสงสยั เรอื่ งสมี าในวดั สมอรายนน้ั วา่ อาจเป็นสมี าทีผ่ กู ไมถ่ กู
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
22
ตอ้ งตามพระอรรถกถาบาลี เพราะกระทำ� โดยฆราวาสทป่ี ราศจากความรเู้ รอื่ ง
สีมาลักษณะอย่างถูกต้อง เม่ือทรงขุดมาทอดพระเนตรก็พบว่าลูกนิมิตใต้สีมา
วดั สมอรายนน้ั “เหน็ วา่ เลก็ ไมค่ วรจะเปน็ นมิ ติ รได้ ทรงสงั เวชสลดพระไทย
ด้วยสีมาพิบัติ” ๒๓ จึงทรงหยิบยกเรื่องน้ีมาเป็นข้อตำ� หนิคณะสงฆ์มหานิกาย
ว่าเป็นพระภิกษุที่ไม่บริสุทธิ์๒๔ เพราะ “สีมาวิบัติ” คือ การมีสีมาไม่บริสุทธ์ิ
กระท�ำข้ึนโดยไม่ถูกต้องตามพระอรรถกถาบาลีน้ัน เช่ือกันว่าส่งผลให้การ
อุปสมบทเกิดความไม่บริสุทธิ์ตามมาด้วย ดังที่ทรงเปรียบเทียบว่า “อุประมา
เหมือนคนจะปลูกต้นไม้ ก็จะต้องคิดบ�ำรุงท่ีดินที่จะปลูก แลมูลรากต้นไม้
นั้น ยั่งยืนบริบูรณ์จ่ึงควร ก็อันสีมาซ่ึงเป็นท่ีแห่งสงฆกรรมทังปวงน้ีส�ำคัญ
ยิ่งนักกว่าอื่นๆ เพราะเปนราก เปนมูลที่จะให้ชอบแห่งสังฆกรรมทั้งปวง”๒๕
เน่ืองจากเฉพาะคณะสงฆ์ท่ีบริสุทธ์ิเท่านั้นที่จะประกอบอุปสมบทกรรมอัน
ถกู ต้อง ปราศจากมลทนิ และสามารถดำ� รงสมณวงศ์ต่อไปได้๒๖
เร่อื ง “สมี าวบิ ัติ” เป็นประเดน็ ท่คี ณะสงฆ์เถรวาทในดนิ แดนอษุ าคเนย์
ทั้งในสยามและพม่า ที่ได้รับอิทธิพลจากคณะสงฆ์มหาวิหารของลังกา ดูจะ
ให้ความส�ำคัญมากเป็นพิเศษ หากบังเกิดความสงสัยในความบริสุทธ์ิของการ
อุปสมบท หรือต้ังข้อรังเกียจคณะสงฆ์ฝ่ายตรงกันข้าม ประเด็นเร่ืองสีมา
มักจะได้รับการหยิบยกมาใช้ในการกล่าวหาคณะสงฆ์อีกฝ่ายเสมอ ดังน้ัน
เพื่อให้การอุปสมบทของพระองค์ปราศจากมลทิน พระองค์ได้ทรงอาราธนา
คณะสงฆ์ “กลั ยาณสี มี า” ประกอบด้วยพระภกิ ษมุ อญจากคณะสงฆ์เดยี วกับ
พระสเุ มธมนุ ี และได้อปุ สมบทมาจากสีมากัลยาณีในรามัญประเทศที่เชื่อกันว่า
เป็นสมี าท่ีผกู โดยพระอรหันต์ ๑๘ รปู มากระทำ� ทฬั หกี รรม คอื อุปสมบทซำ้� ให้
แก่พระองค์ในอโุ บสถนำ้� หน้าวัดสมอราย๒๗ (ภาพที่ ๑)
การอปุ สมบทซำ้� ในครงั้ นม้ี พี ระประสงคท์ จี่ ะใหห้ มดความเคลอื บ
แคลงสงสัย เพื่อให้ทรงม่ันในพระทัยว่าเป็นการอุปสมบทที่บริสุทธ์ิ
ถูกต้องอย่างแท้จริง และทรงถึงพร้อมด้วยความเป็นพระภิกษุมากกว่า
พระภิกษุมหานิกายท่ีศาสนวงศ์ได้อันตรธานไปแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
เสียแก่พมา่ แลว้ ๒๘
ควรกล่าวด้วยว่าคณะสงฆ์กัลยาณีสีมานี้นับเป็นคณะสงฆ์หลักของพระ
มอญและเป็นนิกายที่มีต้นก�ำเนิดมาจากลังกา หลักฐานจากจารึกกัลยาณีท่ีจาร
ข้นึ โดยพระเจ้ารามาธบิ ดีหรือท่ีพม่าเรยี กว่า พระเจา้ ธรรมเจดยี ์ กษัตริย์มอญ
ท�ำให้ทราบว่า เมื่อพุทธศักราช ๒๐๑๙ พระองค์ได้ทรงชำ� ระคณะสงฆ์มอญ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
23
ภาพท่ี ๑ จิตรกรรมภาพพระภิกษุในคณะสงฆ์ธรรมยุตและคณะสงฆ์มอญก�ำลังกระท�ำ
อปุ สมบทบนแพในนทสี มี า (อทุ กุ กปุ เขปปสมี า) หอไตรวดั บวรนเิ วศวหิ าร กรงุ เทพมหานคร ประมาณ
รชั กาลที่ ๓ (ภาพจาก ธชั ชยั ยอดพชิ ัย)
นิกายเถรวาทใหม่ด้วยเหตุสีมาวิบัติ โดยให้พระภิกษุจำ� นวนหนึ่งไปอุปสมบท
ให้บริสุทธ์ิในลังกาภายใต้คณะสงฆ์มหาวิหารของลังกา แล้วมาประดิษฐาน
สมณวงศ์ใหม่ในรามัญประเทศ ทรงจัดการให้มีการอุปสมบทขึ้นใหม่เพื่อช�ำระ
พระศาสนาให้บริสุทธ์ิเช่นเดียวกับพระศาสนาในลังกา๒๙ วิธีปฏิบัติดังกล่าว
แทบมิได้แตกต่างกันเลยกับการท่ีพระวชิรญาณทรงพระปรารภถึงสีมาวิบัติ
และจะทรงผนวชใหม่ในคณะสงฆ์กัลยาณีสีมาของมอญ แสดงให้เห็นว่าทรง
ด�ำเนินตามแนวทางเดียวกับพระเจ้าธรรมเจดีย์ผู้ทรงเป็นธรรมิกราชของมอญ
ดงั เหน็ ได้จากสมณสนั เทศ (จดหมายขา่ ว) ของพระสมุ นเถระเจา้ คณะของนกิ าย
“มะรมั มะวงศ”์ ของลงั กาทมี่ ไี ปยงั พระวชริ ญาณในพทุ ธศกั ราช ๒๓๘๖ กลา่ ว
ถึงการช�ำระสมณวงศ์ของพระเจ้าธรรมเจดีย์เม่ือพทุ ธศักราช ๒๐๑๙ และทรง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
24
สรุปว่า “พระศาสนาเมอื งมอญพม่าทง้ั ปวงนี้ คอื ประเวณวี งศ์มหาวหิ ารในลงั กา
ทีเดียวมิใช่อืน่ เลย”๓๐
นธิ ิ เอยี วศรวี งศ์ กลา่ ววา่ ความส�ำเรจ็ ของธรรมยตุ ภายใตก้ ารสถาปนาของ
พระวชริ ญาณในอันทีจ่ ะดำ� รงรกั ษาความบรสิ ทุ ธิข์ องพทุ ธศาสนานน้ั นบั ว่าเป็น
ความส�ำเร็จท่ีล้�ำหน้าไปกว่าความพยายามช�ำระคณะสงฆ์ของพระมหากษัตริย์
นับแต่พระเจ้ากรุงธนบุรีลงมา แม้ว่าพระวชิรญาณในขณะน้ันไม่ได้ทรงพระ
อ�ำนาจท่ีจะสามารถช�ำระพระสงฆ์แบบพระมหากษัตริย์ได้ก็ตาม แต่ความ
พยายามในการสร้างคณะสงฆ์ใหม่ให้มีความบริสุทธ์ิสามารถกระท�ำสังฆกรรม
ได้อย่างปราศจากมลทินน้ัน นบั เป็นการกระทำ� ท่เี ทียบเท่ากับการช�ำระพระสงฆ์
ของ “พระธรรมิกราช” ท่ีได้เคยกระท�ำมาแล้วในอดีต อันเป็นการพิสูจน์
พระบรมเดชานุภาพของพระองค์ในทางศาสนาได้ประการหน่ึง๓๑
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนเห็นว่าการด�ำเนินพระกรณียกิจเช่นน้ีมิได้เกิดข้ึน
จากกระแสภายใต้การฟื้นฟูพุทธศาสนาในสังคมสยามเพียงลำ� พังเท่าน้ัน การ
ฟื้นฟูสมณวงศ์ของพระองค์น่าจะเกิดจากแรงบันดาลพระทัยจากการ
ศึกษาข้อมลู ในอดตี และการสดบั รบั ฟังเกยี่ วกบั การช�ำระคณะสงฆข์ อง
นิกายเถรวาท ซึ่งต่างก็ยึดถือเอาลังกาเป็นศูนย์กลางของความบริสุทธ์ิ
ถูกต้องในการบรรพชาอุปสมบท เพราะการช�ำระพุทธศาสนาในแต่ละคร้ัง
ในดนิ แดนซง่ึ นบั ถอื พทุ ธศาสนานกิ ายเถรวาท จะมกี ารสง่ พระภกิ ษสุ งฆม์ ากระท�ำ
อุปสมบทใหม่ภายใต้คณะสงฆ์นิกายเถรวาทของลังกาให้มีความบริสุทธิ์เสมอ
จงึ กลับไปบรรพชาอุปสมบทใหม่ให้กบั คณะสงฆ์ของตน
ดังน้ัน เม่ือพระวชิรญาณมีพระประสงค์จะทรงช�ำระพุทธศาสนาให้
บรสิ ทุ ธ์ิ ยอ่ มเปน็ ไปไดท้ จ่ี ะท�ำใหท้ รงยอ้ นกลบั ไปพจิ ารณาหาตน้ ก�ำเนดิ สมณวงศ์
ทเี่ ชอ่ื กนั วา่ เปน็ จดุ เรม่ิ แรกของสมณวงศแ์ บบเถรวาทของลงั กาอกี ครงั้ แบบเดยี ว
กับที่พระเถรานุเถระหรือพระธรรมิกราชในอดีตได้กระทำ� มาน่ันเอง ข้อยืนยัน
น้ีปรากฏชัดเจนในพระสมณสาสน์ท่ีพระวชิรญาณทรงมีไปถึงพระเถระลังกาถึง
ความปรารถนาอนั แท้จริงของคณะธรรมยตุ ดงั นี้
“อน่ึง ในเรือ่ งวงศ์นี้ พวกข้าพเจ้าขอบอกความมุ่งหมายของบัณฑติ ฝ่าย
ธรรมยุติตามความเป็นจริงโดยสังเขป คือ หากสีหฬวงศ์เก่ายังต้ังอยู่ในสีหฬ
ทวีปมาจนถึงปัจจุบันนี้ไซร้ พวกธรรมยุติบางเหล่าจักละวงศ์เดิมของตนบ้าง
บางเหล่าจกั ให้ทำ� ทฬั หกี รรมบ้าง แล้วนำ� วงศ์ (สหี ฬ) นนั่ ไปเป็นแน่แท้ แต่เพราะ
ไม่ได้วงศ์เก่าเช่นนั้น ไม่เห็นวงศ์อื่นท่ีดีกว่า จึงตั้งอยู่ในรามัญวงศ์ซึ่งน�ำไปแต่
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
25
สีหฬวงศ์เก่าเหมอื นกัน ด้วยสำ� คัญเหน็ วงศ์ (รามญั ) น้นั เท่าน้นั เป็นวงศ์ดกี ว่า
เพื่อน โดยความทผ่ี ู้นำ� วงศ์ไปน้นั เป็นผู้นำ� ไปจากสีหฬทวีปในกาลก่อนบ้าง โดย
ความที่วิธีเปล่งเสียงอักขระของภิกษุรามัญเหล่าน้ันใกล้เคียงกับสีหฬในบัดนี้
บ้าง”๓๒
ด้วยเหตุนี้ แม้คณะสงฆ์มอญดูจะมีอิทธิพลต่อการสถาปนาคณะสงฆ์
ธรรมยตุ เปน็ อยา่ งมากกต็ าม แตเ่ มอื่ พจิ ารณาใหล้ กึ ลงไปแลว้ จะเหน็ วา่ คณะสงฆ์
มอญเปน็ เพยี งสะพานเชอ่ื มตอ่ ไปยงั สมณวงศด์ ง้ั เดมิ อนั เชอื่ กนั วา่ เปน็ ตน้ กำ� เนดิ
ของคณะสงฆ์นกิ ายเถรวาทท้งั ปวง คอื สมณวงศ์ของลังกาเท่าน้ัน
พระวชิรญาณกับคณะสงฆ์ลังกา
ในฐานะแรงบันดาลใจหลักของธรรมยุต
สมณวงศล์ งั กานบั วา่ เปน็ สมณวงศท์ ม่ี คี วามส�ำคญั อยา่ งสงู ตอ่ พทุ ธศาสนา
นิกายเถรวาทในประเทศไทย เม่อื ลังกากลบั มาเป็นศูนย์กลางของนิกายเถรวาท
อีกครั้งหน่ึงในช่วงประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ท�ำให้ดินแดนท่ีนับถือนิกาย
เถรวาทหันไปให้ความสนใจกับลังกาเป็นอย่างมากในฐานะที่เชื่อกันว่าลังกาเป็น
ต้นก�ำเนิดของสมณวงศ์ของนิกายเถรวาท กล่าวเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่าง
สมณวงศ์ของสยามและลังกาในสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งปรากฏเป็นคร้ังแรก (แต่
อยา่ งไมเ่ ปน็ ทางการ) เรม่ิ ขน้ึ ในพทุ ธศกั ราช ๒๓๕๒ ปสี ดุ ทา้ ยในรชั สมยั พระบาท
สมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก เม่อื มพี ระภกิ ษุและสามเณรเดนิ ทางจากลังกา
มาข้นึ ฝั่งที่นครศรีธรรมราชและแสดงความประสงค์ท่ีจะเข้ามายงั พระนคร๓๓
แต่ไม่ได้เป็นการเข้ามาอย่างเป็นทางการเน่ืองจากไม่มีสมณสาสน์หรือ
งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายจากฝา่ ยลงั กาแตอ่ ยา่ งใด๓๔ แตฝ่ า่ ยไทยกไ็ ดใ้ หค้ วามนบั ถอื
ในฐานะที่เป็นสมณวงศ์จากลังกาจงึ ให้การต้อนรบั เป็นอย่างดี โดยให้จำ� พรรษา
ท่ีวัดมหาธาตุอันเป็นพระอารามหลวงและถวายนิตยภัตให้ถึงวันละบาท๓๕ แม้
ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั ยงั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ
ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และรับพระราชทาน
นิตยภัตเสมอมาด้วย๓๖ ในรัชกาลน้ีเองได้มีพระสงฆ์ลังกาเดินทางเข้ามาเม่ือ
พทุ ธศักราช ๒๓๕๖ คอื พระศาสนวงศ์ซง่ึ ได้นำ� พระบรมสารรี ิกธาตุ ๒ องค์
พร้อมกบั พระศรีมหาโพธิ์ ๑ ก่งิ จากลงั กาเข้ามาถวาย แม้ไม่มสี มณสาสน์กำ� กบั
มาเชน่ เคย แตท่ รงพระราชด�ำรวิ า่ เปน็ พระบรมสารรี กิ ธาตแุ ละพระศรมี หาโพธแ์ิ ท้
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
26
จึงทรงรับให้เข้ามายังพระนคร สถิตยังวัดมหาธาตุ และพระราชทานนิตยภัต
เดือนละ ๓ ตำ� ลึง๓๗
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยครั้นได้ทรงทราบข่าวการพระ
ศาสนาทลี่ งั กาจากพระศาสนวงศ์ ซงึ่ ถวายพระพรวา่ ลงั กาอยภู่ ายใตก้ ารปกครอง
ของอังกฤษแล้ว ก็ทรงพระราชปริวิตกถึงศาสนาที่ลังกาว่าจะถึงกาลวิปริตผัน
แปรไปเพียงใด จึงได้ทรงแต่งสมณทูตอันประกอบด้วยพระภิกษุ ๘ รูปซึ่ง
ประสงค์จะนมัสการเจดียสถานท่ีลังกา ให้เดินทางไปสืบการพระศาสนาถึงใน
ลังกาทวีป ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้น�ำของพระราชูทิศไปบูชา
พระทันตธาตุและเจดียสถานในลังกาทวีปพร้อมกับพระราชสาสน์ด้วย การส่ง
สมณทูตไปในคร้ังน้ีได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากบรรดาพุทธศาสนิกชนใน
ลังกา๓๘ และบรรลผุ ลตามความมุ่งหมาย คือ ได้ทราบข่าวคราวของพระศาสนา
ในลังกาว่าได้รับการส่งเสริมเป็นอย่างดีจากอังกฤษที่ปกครองลังกา สามารถ
ก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระสงฆ์สยามกับพระสงฆ์ลังกาด้วย๓๙
คร้ังน้ันทางลังกาได้มอบปูชนียวัตถุท่ีส�ำคัญให้แก่ฝ่ายสยาม เช่น เจดีย์จ�ำลอง
ท�ำด้วยทอง เงนิ และงา บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ และพัชนี ทูลเกล้าฯ ถวาย
แด่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ถวายสมเด็จพระสังฆราช และ
สมเด็จพระพนรตั น์ รวมท้งั พระพุทธรปู และหน่อพระศรีมหาโพธ์ิ ๖ ต้นมาปลกู
ยงั พระอารามต่างๆ๔๐
ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ตรงกบั พทุ ธศกั ราช ๒๓๘๐
พระองค์ทรงปรกึ ษากับพระสงฆ์ ๓ รูป คอื สมเดจ็ พระสังฆราชเจ้า กรมหมน่ื
นุชิตชิโนรส (สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) และพระ
วชิรญาณ ปรากฏว่าพระวชิรญาณทรงเป็นพระองค์เดียวที่เห็นสมควรจะให้
ส่งไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระวชิรญาณทรงจัดการเร่ืองน้ี แต่
เน่ืองจากพระสงฆ์อยากไปลังกากันมากจึงก่อให้เกิดปัญหา และเมื่อพระสงฆ์
เหล่าน้ีเดินทางไปยังสิงคโปร์ก็ถูกเรียกตัวกลับ ท�ำให้พระวชิรญาณทรงพระ
โทมนัสมากถึงกับทรงบันทึกเหตุการณ์ไว้ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์และ
คณะสงฆ์ธรรมยุตได้ให้ความส�ำคัญกับสมณวงศ์ของลังกาอย่างจริงจัง๔๑ จน
กระทั่งต่อมาในพุทธศักราช ๒๓๘๓ พระกักกุสนธ์ชาวลังกาซ่ึงอุปสมบทใน
นิกายมะรัมมะวงศ์ของลังกาเดินทางเข้ามายังพระนครเพื่อนมัสการพระเจดีย
สถาน และฟังข่าวพุทธศาสนาในสยามประเทศ๔๒ พระภิกษุรูปนี้สามารถ
ชี้แจงข้อวัตรปฏิบัติได้อย่างแม่นย�ำจนพระวชิรญาณทรงช่ืนชมว่า “แลคติ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
27
ปฏิบัติเล็กน้อยก็ร่วมกันกับเราทั้งปวงซึ่งอยู่ในวัดบวรนิเวศพระอารามหลวง
โดยมาก” และโปรดให้พระกกั กุสนธ์มาจำ� พรรษาทวี่ ัดบวรนเิ วศวหิ าร๔๓
คณะสงฆ์มะรัมมะวงศ์เกิดข้ึนเม่ือพุทธศักราช ๒๓๔๕ เนื่องจากมี
สามเณร ๖ รูปจากลังกาไปกระท�ำอุปสมบทท่ีเมืองอมรปุระของพม่า เพราะ
ฐานะทางสงั คมตำ�่ จึงถูกกีดกันไม่อาจอุปสมบทในลังกาได้ เมอ่ื กลับมายังลงั กา
จึงได้มาสถาปนาคณะสงฆ์ขึ้นใหม่โดยใช้ชื่อตามคณะสงฆ์ท่ีพม่าเรียกว่า
“มะรัมมะวงศ์”๔๔ แต่ก็นับเป็นคณะสงฆ์เดียวกับคณะสงฆ์กัลยาณีสีมาท่ีได้
เผยแผ่ยังรามัญประเทศเม่ือพุทธศักราช ๒๐๑๙ ซึ่งเป็นคณะสงฆ์เดียวกับที่
พระวชิรญาณทรงผนวชใหม่และรับวัตรปฏิบัติของคณะสงฆ์น้ีมาใช้นั่นเอง จึง
ไม่ใช่เร่ืองแปลกท่ีจะทรงพระปรารภว่าวัตรปฏิบัติของพระกักกุสนธ์ต้องตรง
กับคณะสงฆ์ธรรมยุตของพระองค์ เพราะคณะสงฆ์ทั้งสามล้วนมีรากเหง้า
มาจากคณะสงฆ์เดยี วกนั คอื คณะสงฆ์ของลงั กา ดังท่พี ระสมุ นเถระเจ้าคณะ
ของมะรัมมะวงศ์ได้กล่าวไว้ในสมณสันเทศ (จดหมายข่าว) มีมาถึงพระ
วชิรญาณว่า
“อนั พวกมะรมั มะวงศ์ คอื พวกเรานจี้ ะเปน็ เชอื้ สายอนื่ หามไิ ดก้ เ็ ปน็ เชอื้ สาย
ศาสนาในลังกาน้ีเอง...ประเวณีพระสงฆ์ลังกาเดิมที่โบราณจดหมายกับประเวณี
พระสงฆ์เมืองมอญเมืองพม่าทุกวันนี้จึงถูกต้องร่วมกันโดยมาก ความอันน้ี
ถ้าท่านผู้มีอายุท้ังปวงมิเช่ืออาราธนาไปสืบถามพระสงฆ์ท้ังมอญท้ังพม่าที่มีใน
สยามประเทศดเู ถดิ แม้นอย่างไรความกจ็ ะสมดงั เราว่ามาเพราะว่าจดหมายเหตุ
ในลังกามีอยู่เป็นแน่ เพราะดังนี้แลจึงได้รู้ว่าพระศาสนาเมืองมอญเมืองพม่า
ทงั้ ปวงน้ี คือ ประเวณวี งศ์มหาวิหารในลังกาทเี ดยี วมใิ ช่อ่ืนเลย”๔๕
จากหลักฐานท่ีประมวลมาท้ังหมดน้ีน่าจะแสดงให้ความสัมพันธ์ระหว่าง
คณะสงฆธ์ รรมยตุ และคณะสงฆข์ องมอญและลงั กา การกลา่ ววา่ “พระศาสนา
เมืองมอญเมอื งพมา่ ท้งั ปวงนี้ คือ ประเวณวี งศ์มหาวหิ ารในลงั กาทีเดียว
มิใช่อ่ืนเลย” คงเป็นท่ีรู้กันทั่วไปในหมู่คณะสงฆ์กัลยาณีสีมาของมอญว่า
ศาสนวงศ์ของตนนัน้ สบื ทอดมาโดยตรงจากลังกา
ดว้ ยเหตนุ ้ี การทพ่ี ระวชริ ญาณทรงรบั เอาคณะสงฆก์ ลั ยาณสี มี าของมอญ
มาเปน็ ตน้ วงศข์ องธรรมยตุ มใิ ชเ่ พราะทรงเลอื่ มใสในคณะสงฆม์ อญอยา่ งแทจ้ รงิ
หากแตท่ รงเลง็ เหน็ แลว้ วา่ คณะสงฆม์ อญไดส้ บื ทอดมาจาก “สหี ฬวงศเ์ กา่ ” อนั
ถอื เปน็ ตน้ แบบของสมณวงศน์ กิ ายเถรวาททงั้ ปวง และแรงบนั ดาลพระทยั ในการ
สถาปนาคณะสงฆ์ธรรมยตุ อนั มีหัวใจสำ� คัญ คอื การกลบั ไปหาพุทธวจนะ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
28
ดั้งเดิมย่อมเท่าเสมือนหน่ึงเป็นการกลับไปหารากเหง้าของพระศาสนา
ดงั้ เดิมทที่ รงเชอื่ วา่ มีความถูกต้องตรงตามพระวจนะมากท่สี ดุ และราก
เหงา้ ของพระศาสนาอนั เปน็ ตน้ กำ� เนดิ ของสมณวงศอ์ นั แทจ้ รงิ กค็ อื คณะ
สงฆ์ของลังกาน่ันเอง พระด�ำริเช่นนี้ยังได้สะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรม
ในพระพุทธรูปและเจดยี แ์ บบธรรมยุตท่ที รงสรา้ งข้ึนดว้ ย
พุทธศิลป์ของคณะสงฆ์ธรรมยุต
ความสมั พันธ์ทางพทุ ธศาสนาระหว่างดนิ แดนต่างๆ ในแถบนี้ นอกจาก
จะเปน็ สว่ นสำ� คญั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลงในดา้ นคา่ นยิ ม และมมุ มองใหมๆ่
ทม่ี ตี อ่ พทุ ธศาสนาแลว้ กย็ งั เปน็ สง่ิ ทกี่ ำ� หนดความเปลย่ี นแปลงของพทุ ธศลิ ปใ์ น
ดินแดนประเทศไทยปัจจุบันด้วย ดังน้ัน นอกเหนือจากหลักฐานทางประวัติ
ศาสตรท์ แ่ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสมั พนั ธท์ างพทุ ธศาสนาระหวา่ งคณะสงฆธ์ รรมยตุ
คณะสงฆ์มอญ และคณะสงฆ์ลังกาแล้ว การแสดงออกทางด้านพทุ ธศิลป์ของ
ธรรมยุตที่แปรเปลี่ยนไปจากประเพณีปฏิบัติเดิมของการสร้างศิลปะในพุทธ
ศาสนาอย่างเห็นได้ชัด ก็น่าท่ีจะสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลบางประการจากภาย
นอกทเ่ี ขา้ มามผี ลตอ่ การกำ� หนดรปู แบบของพทุ ธศลิ ปใ์ นคณะสงฆธ์ รรมยตุ ดว้ ย
โดยเป็นส่ือสะท้อนให้เห็นถึงการเปล่ียนแปลงทางความคิดอันผิดแปลกไปจาก
พุทธศิลป์ท่ีเคยสร้างกันมาก่อนหน้า และท�ำให้คณะสงฆ์น้ีมีความแตกต่างจาก
คณะสงฆ์มหานิกายอย่างเด่นชัดจากผลงานทางพุทธศลิ ป์ท่สี ร้างขน้ึ
อยา่ งไรกด็ ี ความแตกตา่ งนมี้ กั ไดร้ บั การอธบิ ายกนั หลายกระแส แนวคดิ
หนึ่งเช่ือว่าความเปล่ียนแปลงที่เกิดขึ้นกับพุทธศิลป์ของคณะสงฆ์ธรรมยุต
เกิดจากการท่ีพระวชิรญาณทรงพยายามท�ำให้คณะสงฆ์ใหม่ของพระองค์ต้อง
มีความสอดคล้องกับพระอรรถกถาบาลี หรือไม่ก็ยกให้กับอิทธิพลของศิลปะ
ของตะวันตกที่เข้ามามีบทบาทในสังคมสยามในขณะน้ัน อันส่งผลโดยตรงต่อ
ความเปลยี่ นแปลงทางด้านพทุ ธศลิ ป์ หรอื มฉิ ะนนั้ กเ็ ป็นการอธบิ ายทใี่ ห้นำ้� หนกั
ความส�ำคัญกับเร่ืองของพัฒนาการทางความคิดที่เกิดข้ึนภายในประเทศเอง
ซ่ึงส่งผลต่อความเปลีย่ นแปลงพุทธศลิ ป์ของคณะสงฆ์ธรรมยุต
ในบทความช้ินน้ีจะวิเคราะห์พุทธศิลป์ที่เป็นศาสนวัตถุสถานอันเน่ือง
ในคณะสงฆ์ธรรมยุตท่ีสามารถสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดเบ้ืองหลังซ่ึงมีอิทธิพล
ต่อการสร้างสรรค์งานพุทธศิลป์ของคณะสงฆ์ธรรมยุต โดยมุ่งไปยังช่วงแรก
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
29
ของการประดิษฐานคณะสงฆ์ธรรมยุตของพระวชิรญาณในระหว่างพุทธศักราช
๒๓๗๒-๒๓๗๓ อันเป็นช่วงเวลาท่ีพระองค์ทรงสร้างปูชนียวัตถุอันเน่ืองใน
พทุ ธศาสนา เพอ่ื แสดงถงึ ความเปน็ อตั ลกั ษณข์ องธรรมยตุ และมคี วามแตกตา่ ง
จากของมหานกิ ายไว้ ๒ สงิ่ สำ� คญั ด้วยกนั ได้แก่ พระพทุ ธรปู แบบธรรมยตุ และ
เจดยี ์ทรงลังกา
พระสัมพุทธพรรณ ี
พระพุทธรูปแบบธรรมยุตองค์แรก
พระพุทธรูปท่ีสร้างขึ้นเป็นองค์แรกภายใต้แนวความคิดแบบธรรมยุต
ของพระวชิรญาณ เท่าทมี่ หี ลกั ฐานปรากฏ คอื พระสมั พุทธพรรณี (ภาพท่ี ๒)
พระวชิรญาณโปรดพระราชทานให้ขุนอินทรพินิจ เจ้ากรมช่างหล่อ สร้างข้ึน
เม่ือพุทธศักราช ๒๓๗๓๔๖ ในช่วงแรกเร่ิมของการสถาปนาคณะสงฆ์ธรรม
ยุตอย่างเป็นทางการ พระสัมพุทธพรรณีท�ำจากสัมฤทธิ์กะไหล่ทอง ประทับ
สมาธิราบ ปางสมาธิ พระพักตร์ค่อนข้างกลม มีพระอุณาโลมที่ก่ึงกลาง
ระหว่างพระขนง ทรงครองจีวรห่มเฉียงเป็นริ้วแลดูสมจริง สังฆาฏิพาดพระ
องั สะพบั ทบกนั ยาวจนจรดพระหตั ถ์ ประทบั บนฐานสงิ ห์ทต่ี กแตง่ ดว้ ยลวดลาย
พรรณพฤกษาและลายเครือเถาแบบฝร่ัง เช่นเดียวกับผ้าทิพย์ที่ทำ� เป็นรูปม่าน
แหวกออกคล้องด้วยพวงอุบะแบบศิลปะตะวันตก ซึ่งยังแสดงความสัมพันธ์
กับคณะสงฆ์มอญอย่างชัดเจนด้วยจารึกอักษรมอญ ภาษาบาลีบนผ้าทิพย์ที่
กล่าวถงึ พระนามของพระพุทธรูปองค์นี้
แม้พุทธลักษณะทั่วไปของพระสัมพุทธพรรณีโดยเฉพาะพระพักตร์ท่ี
คอ่ นขา้ งกลมเหมอื นหนา้ หนุ่ จะดไู มแ่ ตกตา่ งจากพระพทุ ธรปู ทส่ี รา้ งขน้ึ ในรชั สมยั
พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกล้าเจ้าอยู่หัวก็ตาม แต่สง่ิ ทท่ี ำ� ให้พุทธลกั ษณะของพระ
สมั พทุ ธพรรณตี า่ งจากพระพทุ ธรปู ทสี่ รา้ งขน้ึ ในชว่ งระยะเวลาเดยี วกนั อยา่ งเหน็
ได้ชัดกค็ ือ พระพุทธรูปองคน์ ี้ไมม่ พี ระอุษณษี ะ คอื กะโหลกส่วนที่นูนขนึ้
ออกมากลางศรี ษะ ๑ ในมหาปรุ สิ ลักขณะ ๓๒ ประการของพระพุทธองค์ เช่น
เดยี วกับรอยยับย่นจนเป็นริ้วของจวี รอย่างสมจรงิ ก็ไม่เคยปรากฏมาก่อน ส่วน
พุทธลักษณะอ่ืนๆ ยังคงเหมือนกับพระพุทธรูปท่ีสร้างข้ึนในช่วงระยะเวลาใกล้
เคยี งกนั
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระวชิรญาณมีพระด�ำริในการสร้างพระพุทธรูป
องคน์ เี้ ชน่ ไร โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ค�ำอธบิ ายเกย่ี วกบั พทุ ธลกั ษณะของพระพทุ ธรปู
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
30
ภาพที่ ๒ พระสมั พทุ ธพรรณี ปน้ั
หลอ่ โดยขนุ อนิ ทรพนิ จิ เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๗๓
สัมฤทธกิ์ ะไหลท่ อง สงู ๙๖ เซนติเมตร
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระบรมมหาราชวัง
ทแ่ี ปรเปลย่ี นไปจากเดมิ ทเ่ี คยสรา้ งกนั มา เชน่ การเวน้ ไมท่ �ำพระอษุ ณษี ะ แมแ้ ต่
สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ พระสานศุ ษิ ยพ์ ระองค์
ส�ำคัญผู้ทรงพระนิพนธ์ประวัติของคณะธรรมยุตเม่ือแรกสถาปนาก็มิได้ทรง
พระปรารภถงึ พระพทุ ธรปู องคน์ ใ้ี นเชงิ เหตผุ ลเบอ้ื งหลงั การสรา้ ง นอกจากประวตั ิ
ความเปน็ มา สว่ นพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กท็ รงพระราชนพิ นธ์
ว่าเป็น “พระรูปอย่างใหม่ตามพระราชอัธยาไศรย” เท่านั้น๔๗
ความไมช่ ดั เจนของหลกั ฐานเกยี่ วกบั แนวคดิ เบอื้ งหลงั การสรา้ งพระพทุ ธ
รปู แบบธรรมยุตของพระวชริ ญาณ ทำ� ให้นกั วชิ าการตีความให้ความเห็นทแ่ี ตก
ต่างกันไป โดยให้อรรถาธิบายเป็น ๒ แนวทางด้วยกัน กล่าวคอื
การตคี วามแนวแรก มสี มเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพทรงเปน็ ผนู้ �ำ
พระองค์ประทานพระอธิบายว่า พระวชิรญาณทรงสร้างพระสัมพุทธพรรณีข้ึน
ตามที่ทรงเช่ือว่าถูกต้องแท้จริงตามพุทธลักษณะท่ีปรากฏในพระอรรถกถาบาลี
แนวการตคี วามนเ้ี ปน็ การมองในเชงิ ความคดิ ทางศาสนาวา่ การสรา้ งพระพทุ ธรปู
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
31
แบบธรรมยุตเกิดจากการเน้นความถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎกของพระวชิร
ญาณ ทรงพยายามสอบสวนพุทธลักษณะของพระพุทธเจ้าเพ่ือสร้างพระพุทธ
รปู ให้มคี วามถูกต้องตรงตามพระอรรถกถาบาลหี รอื ไม่กพ็ ระคมั ภรี ์ต่างๆ๔๘ แต่
กไ็ ม่ชัดเจนว่าปรับปรุงให้สอดคล้องกับพระบาลใี นเรือ่ งใดบ้าง
แนวการตีความกลุ่มท่ี ๒ เป็นกลุ่มท่ีเช่ือว่า พระพุทธรูปแบบธรรมยุต
มีจุดเด่นอยู่ท่ีการปรับปรุงรูปแบบของพระพุทธรูปให้เข้ากับวิธีคิดของแนว
สัจนิยมให้มีความสมจริงเป็นมนุษย์มากขึ้น๔๙ ด้วยการท�ำให้พระพุทธรูปมี
พระวรกายเหมือนมนุษย์ธรรมดา เหน็ ได้จากการละเว้นไม่ทำ� พระอษุ ณษี ะตาม
มหาปุริสลักขณะและสอดคล้องกับลักษณะของจีวรที่ดูสมจริงด้วย๕๐ แนวการ
ตคี วามแบบนไ้ี ดใ้ หอ้ รรถาธบิ ายวา่ ความเปลยี่ นแปลงนเ้ี กดิ ขนึ้ โดยไดร้ บั อทิ ธพิ ล
ทางศิลปะจากตะวนั ตกซง่ึ เข้ามาอย่างแพร่หลายในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
การตีความที่น่าสนใจอีกแนวหน่ึงเป็นของนิธิ ซ่ึงให้ความเห็นว่าการ
สรา้ งพระพทุ ธรปู ของคณะสงฆธ์ รรมยตุ เปน็ การสรา้ งรปู แทนองคพ์ ระพทุ ธเจา้ ให้
มคี วามสมจรงิ เปน็ มนษุ ยม์ ากขน้ึ ถงึ แมว้ า่ นธิ จิ ะมงุ่ ไปทปี่ ระเดน็ เรอื่ งพระอษุ ณษี ะ
เช่นกัน แต่ก็ปฏิเสธค�ำกล่าวอ้างของพระวชิรญาณว่าการละเว้นไม่ท�ำพระ
อุษณีษะของพระพุทธรูปธรรมยุตเป็นการปรับปรุงให้สอดคล้องกับพระอรรถ
กถาบาลี เพราะเห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะอธิบายความสมจริงของ
จีวรท่ีมีมากขึ้นอันเป็นสิ่งท่ีไม่ได้ระบุไว้ในพระบาลี นิธิจึงไม่เชิงเห็นด้วยกับ
การตคี วามตามแนวที่ ๒ ว่าความสมจริงที่เกดิ ขึ้นกบั พระพทุ ธรูปของธรรมยตุ
เป็นเพราะอิทธิพลแบบสัจนิยมสมจริงของตะวันตก เพราะในทรรศนะของนิธิ
นน้ั อทิ ธพิ ลจากตะวนั ตกกไ็ มอ่ าจอธบิ ายความเปลยี่ นแปลงของพระพทุ ธรปู ของ
ธรรมยตุ ได้อย่างเพยี งพอ ด้วยเหตุดังกล่าว นิธิได้นำ� เสนอความเห็นเพมิ่ เตมิ ว่า
ความสมจรงิ แบบมนษุ ยท์ เ่ี กดิ ขน้ึ กบั พระพทุ ธรปู ธรรมยตุ เปน็ ความเปลยี่ นแปลง
ทางความคดิ ของชนช้ันนำ� ในสมยั ต้นรตั นโกสนิ ทร์ ทมี่ องพระพุทธเจ้าอย่างเป็น
มนษุ ย์มากขน้ึ “พระพทุ ธรปู ทมี่ ขี อ้ ก�ำหนดตามจารตี บงั คบั ซงึ่ ไมเ่ ป็นมนษุ ย์ ไมม่ ี
เพศ ไมเ่ ปน็ บคุ คล เปน็ แตเ่ พยี งภาพรวมโดยสรปุ ของหลกั การอนั หนง่ึ นนั้ กลาย
เป็นสิ่งที่ไม่ค่อยน่าพอใจของชาวพุทธในประเทศไทย ความสมจริงเป็นความ
พยายามท่จี ะสำ� แดงพระพุทธเจ้าชนิดท่ีสถติ อยู่ในดวงความคดิ ของคนไทย”๕๑
แนววิเคราะห์ของนิธิเป็นการอธิบายโดยใช้บริบทของโลกทรรศน์แบบ
กระฎุมพีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่นิธิเชื่อม่ันว่ามีความเปลี่ยนแปลงทางความ
คดิ อย่างเป็นเหตผุ ลนยิ มและมคี วามเป็นมนุษยนยิ มมากขึน้ ส่งผลต่อการมอง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
32
พระพุทธเจ้าอย่างเป็นมนุษย์มากข้ึน และในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการสร้าง
พระพุทธรูปอันเป็นรูปแทนองค์พระพุทธเจ้าให้เป็นมนุษย์มากข้ึนด้วย แต่ถึง
กระนน้ั กต็ าม แม้การมองพระพุทธเจ้าอย่างเป็นมนษุ ย์มากขึ้นจะค่อยๆ ก่อตวั
ในวัฒนธรรมแบบกระฎุมพีในสังคมสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยอาจเห็นได้จาก
ร่องรอยทางคัมภีร์ทางพุทธศาสนา เช่น ปฐมสมโพธิกถา ดังที่นิธิได้แสดงให้
เห็นก็ตาม๕๒ แต่โลกทรรศน์ดังกล่าวก็มิได้สะท้อนให้เห็นในพระพุทธรูปของ
ธรรมยุตอันเป็นรูปแทนองค์พระพทุ ธเจ้าอย่างเด่นชัด
หากพิจารณาท่ีองค์พระสัมพุทธพรรณี (ภาพท่ี ๒) เราจะไม่พบว่าพระ
พุทธรูปองค์น้ีมีความเหมือนมนุษย์มากข้ึนแต่อย่างใด นอกจากความสมจริง
ของจีวรซ่ึงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสมจริงมากขึ้นจริงๆ ความยับย่นของจีวร
เช่นน้ีไม่มีข้อกังขาเลยว่าเป็นอิทธิพลของศิลปะตะวันตก เพราะสอดคล้องกัน
เป็นอย่างดีกับลวดลายท่ีฐานสิงห์และผ้าทิพย์แบบฝร่ังอย่างชัดแจ้ง ในขณะที่
ไม่พบความสมจริงอนื่ ใดในพุทธลกั ษณะขององค์พระเอง การตดั พระอุษณีษะ
ออกเพียงอย่างเดียวไม่ท�ำให้พระพุทธรูปองค์นี้มีความสมจริงเหมือนมนุษย์ไป
ได้ เพราะยงั คงรักษาพุทธลกั ษณะประการอ่นื ๆ อนั เป็นมหาปรุ ิสลักขณะที่เคย
สร้างกันมาก่อนหน้านี้ไว้ได้อย่างครบถ้วน เช่น พระเกตุมาลาเปลวเหนือพระ
เศยี ร ขมวดพระเกศาเปน็ รปู กน้ หอยเวยี นทกั ษณิ าวฏั พระอณุ าโลมกง่ึ กลางพระ
นลาฏ หรือน้ิวพระหัตถ์ทั้งส่ีเสมอกัน ทั้งหมดนี้มิใช่สามัญลักษณะของมนุษย์
ท่ัวไป เหตุน้ีความสมจริงของจีวรพระสัมพุทธพรรณีจึงเป็นส่ิงท่ีแสดงให้เห็น
ถึงความเป็นมนุษย์ในองค์พระพุทธรูปได้น้อยมากหรือแทบไม่ได้เลย เพราะ
สาระส�ำคัญ คือ ขนาดพระวรกายและพุทธลักษณะของพระพุทธรูปบังคับให้
ผสู้ รา้ งยงั คงตอ้ งประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามพระบาลอี ยไู่ มน่ อ้ ย เชน่ ในกรณพี ระนพิ นธ์
ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์ เรอ่ื งสคุ ตวิทตั ถิ
วิธาน ดังจะได้กล่าวถึงข้างหน้า
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการสร้างพระพุทธรูปให้มีพุทธลักษณะท่ีดูแล้ว
ไม่สมจริงเหมือนมนุษย์กต็ าม หากแต่กระบวนการสร้างได้อ้างองิ ความเป็นจรงิ
แท้ท่ีได้จากศึกษาค้นคว้ามาจากพระอรรถกถาบาลีแล้ว พระพุทธรูปองค์น้ัน
ก็ยังสามารถสะท้อนถงึ แนวคิดมนุษยนิยม สจั นยิ ม ได้ โดยไม่ต้องสร้างพระ
พทุ ธรปู ให้มคี วามสมจรงิ เป็นมนุษย์มากขนึ้ ดงั นน้ั โลกทรรศน์แบบมนษุ ยนยิ ม
จงึ ไมส่ ามารถอธบิ ายความเปลยี่ นแปลงทปี่ รากฏในพระพทุ ธรปู ของธรรมยตุ ได้
ดีพอ