ถอดรหัสพระจอมเกล้า
83
แห่งนี้ เรยี งลำ� ดับจากบนลงล่าง ได้แก่ อณุ หิส พระขรรค์ ธารพระกร พระแส้
จามรี และฉลองพระบาทเชงิ งอน (โดยไมม่ พี ดั วาลวชิ นรี วมอยดู่ ว้ ย) มจี ารกึ คาถา
ภาษาบาลที พ่ี ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธก์ ำ� กบั รปู ไว้
(ปัจจบุ นั ไม่ปรากฏแล้ว) ว่า “วาฬวีชนิ อณุ ฺหีสํ ขคโฺ ค ทณฺโฑ จ ปาทกุ า”๓๖ แปล
ว่า พระแส้จามรี อณุ หิส พระแสงขรรค์ ธารพระกร และฉลองพระบาท ตรงกับ
ทปี่ รากฏในพระราชลญั จกรพระบรมราชโองการองคใ์ หญแ่ ละองคน์ อ้ ย และคาถา
ดังกล่าวกย็ ังใกล้เคยี งกบั ทปี่ รากฏในพระคัมภรี ์อภิธานปั ปทีปิกา คาถาที่ ๓๕๘
ต่างกันตรงทฉี่ ัตรกบั ธารพระกรเท่านัน้
เก่ียวกับเร่ืองเครื่องราชกกุธภัณฑ์บนบานบัญชรวัดบวรนิเวศวิหารน้ี
สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดตวิ งศ์ทรงพระดำ� ริว่า
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธอ์ นโุ ลมตามแบบอยา่ ง
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ของไทยจึงใช้ธารพระกรแทนฉัตร๓๗ แสดงให้เห็นว่า ได้
ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในความหมายของเครื่องราชกกุธภัณฑ์มาตั้งแต่ทรง
พระผนวชแล้ว เม่ือทรงครองสิริราชสมบัติจึงได้ทรงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเพ่ิม
พระแส้จามรีเข้าไปคู่กับพัดวาลวิชนีของเดิมเพ่ือรักษาความหมายท่ีถูกต้องของ
ค�ำว่าวาลวิชนีไว้ และเพ่ือให้ถูกต้องเป็นแบบแผนท้ังส�ำรับจึงทรงสร้างพระราช
ลญั จกรพระบรมราชโองการ (องคใ์ หญ)่ ขน้ึ เพอื่ ทรงรกั ษาความหมายของเครอื่ ง
ราชกกธุ ภณั ฑใ์ หถ้ กู ตอ้ งตามต�ำรา อยา่ งนอ้ ยกใ็ นพระราชลญั จกรทที่ รงสถาปนา
ข้ึนมาใหม่ ทั้งนี้ เพราะไม่อาจที่จะทรงเปล่ียนเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์ทั้งส�ำรับท่ี
สมเดจ็ พระบรมราชบพุ การที รงสรา้ งมาแลว้ ได้ คงไดแ้ ตก่ ารเพมิ่ เตมิ เขา้ ไปในสงิ่
ทที่ รงพอจะกระทำ� ไดเ้ ชน่ ในกรณขี องวาลวชิ นเี พอื่ ใหถ้ กู ตอ้ งตรงตามความหมาย
ในภายหลังเท่านั้น
สรุปและส่งท้าย
ความรู้ท่ีว่าแผ่นไม้จ�ำหลักเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์เป็นโบราณวัตถุจากสมัย
สโุ ขทยั หรอื อยธุ ยาคงไดเ้ วลาแลว้ ทจ่ี ะตอ้ งพลกิ ความรกู้ ลบั มาทบทวนกนั ใหม่
เพราะนอกจากรูปพรรณสัณฐานของแผ่นไม้จ�ำหลักจะจ�ำลองแบบมาจากพระ
ราชลัญจกรพระบรมราชโองการ (องค์ใหญ่) ท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาข้ึนแล้ว หลายส่ิงท่ีจ�ำหลักบนนั้นไม่ว่าจะเป็นอักษรขอม
ภาษาไทย ค�ำว่า “พระบรมราชโองการ” อกั ษรอรยิ กะทปี่ ระกอบกันขน้ึ เป็นคำ� ว่า
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
84
“โอม”ฺ เพอื่ ใชแ้ ทนเครอื่ งหมายอณุ าโลม ตลอดจนรปู เครอื่ งราชกกธุ ภณั ฑท์ สี่ รา้ ง
ขึน้ เพ่อื ให้ความหมายของคำ� ว่า “อุณหสิ ” และ “วาลวิชน”ี ตามพระบาลี ล้วน
แล้วแต่เป็นพระราชด�ำริริเร่ิมของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวท้ังส้ิน
อายุเวลาของไม้จ�ำหลักแผ่นนี้จึงไม่ควรเก่าข้ึนไปจนถึงสมัยสุโขทัยหรืออยุธยา
แต่เป็นสมัยรัตนโกสนิ ทร์ในช่วงประมาณปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๔-ปลายพทุ ธ
ศตวรรษท่ี ๒๕ น้เี อง
ส่วนการเรยี กช่อื แผ่นไม้จำ� หลกั ถ้าพจิ ารณาจากข้อความ “ราชะกุๆ” และ
“พรระ” หรอื ราชกกุธภัณฑ์ซง่ึ ไม่มใี นพระราชลญั จกรพระบรมราชโองการ (องค์
ใหญ่) กอ็ าจเป็นไปได้ว่าผู้สร้างคงต้ังใจสร้างแผ่นไม้จำ� หลักโดยเน้นที่รปู เครอ่ื ง
ราชกกุธภัณฑ์และอาศัยรูปเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระราชลัญจกรดังกล่าว
มาเป็นแบบมากกว่าจะจ�ำลองแบบพระราชลัญจกรก็เป็นได้เช่นกัน แต่อย่างไร
กต็ าม การเรยี กไมจ้ ำ� หลกั แผน่ นว้ี า่ “แผน่ ไมจ้ ำ� หลกั รปู พระราชลญั จกรพระบรม
เคร่ืองราชกกุธภัณฑ์บนบาน
หน้าต่างกลางพระอุโบสถวัดบวรนิเวศ
วิหาร เรียงลำ� ดับจากบนลงลา่ ง ไดแ้ ก่
อณุ หสิ ธารพระกร พระแสงขรรคซ์ งึ่ ไขว้
อยกู่ บั พระแสจ้ ามรี และฉลองพระบาท
เชงิ งอน สว่ นบานบญั ชรอกี ดา้ นเปน็ รปู
อฐั บรขิ ารสำ� หรบั พระภกิ ษุ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
85
ราชโองการ (องค์ใหญ่)” ว่ากันไปแล้วดูจะส่ือความได้ครอบคลุมสัญลักษณ์
และความหมายนานาประการทป่ี รากฏในลายพระราชลญั จกรได้ดกี วา่ การเรยี ก
ว่า “แผ่นไม้จ�ำหลักเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์” ซ่ึงมุ่งประเด็นไปท่ีเรื่องเคร่ืองราช
กกุธภัณฑ์เพียงอย่างเดยี ว เพราะจากทอี่ ภิปรายกันมาอย่างยืดยาวในบทความ
นี้ก็คงพอจะเห็นได้ว่า ยังมีความหมายหลายประการไม่ว่าจะเป็นเร่ืองพระบรม
ราชโองการและเรื่องโอมฺ แบบหนังสืออริยกะ อันเป็นพระราชด�ำริในพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแฝงอยู่ในแผ่นไม้จ�ำหลักนอกเหนือไปจากเรื่อง
เครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์
ประเด็นต่อมาก็คือ ไม้จ�ำหลักแผ่นนี้เคยใช้เป็นอะไรมาก่อน ที่จะ
นำ� ไปเก็บรกั ษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำ� แหง ในฐานะโบราณวัตถุ
เพราะถ้าเราทราบแล้วว่าน�ำมาจากศาลากลางจังหวัดสุโขทัย มิใช่จากปรางค์
ประธานวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ เชลยี ง (สวรรคโลกเก่า) ตามท่เี คยเช่อื กันมา
ท้ังการวิเคราะห์ก็บ่งชี้ว่ามิได้สร้างข้ึนในสมัยสุโขทัยหรืออยุธยา แต่สร้างขึ้นใน
สมัยรัตนโกสินทร์แล้ว น�้ำหนักของข้อสันนิษฐานว่า ไม้จ�ำหลักแผ่นน้ีสร้างข้ึน
เพอื่ เป็นการอุทิศเคร่อื งราชกกุธภัณฑ์ (จำ� ลอง) ถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระบรม
ธาตดุ งั ตวั อยา่ งจากเครอื่ งราชกกธุ ภณั ฑจ์ ำ� ลองทพ่ี บในกรปุ รางคป์ ระธานวดั ราช
บรู ณะ จงั หวดั พระนครศรอี ยุธยา จึงต้องมาพจิ ารณากันใหม่
เรื่องน้ี ยทุ ธนาวรากร แสงอร่าม เสนอไว้ได้อย่างน่าสนใจ ดงั นี้
“...ตามประวตั ิ ‘ได้จากศาลากลางจงั หวดั สโุ ขทยั ’ สามารถตีความได้ ๒
นยั คือ ๑) เป็นวัตถุที่เคยใช้ประดับอาคารหรือเคยใช้งานอื่นใดในศาลากลาง
มาก่อน ๒) เป็นโบราณวัตถทุ ีเ่ คลือ่ นย้ายมาเกบ็ รักษาทศ่ี าลากลางก่อนการจดั
ตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติประจ�ำจังหวัดสุโขทัย เนื่องด้วยศาลากลางจังหวัด
สุโขทัยเคยมสี ถานะเป็นพพิ ธิ ภัณฑสถานด้วย ดงั ปรากฏภาพถ่ายการจดั แสดง
โบราณวตั ถุในหนังสือประวตั ิศาสตร์สุโขทยั ภาค ๑ (พ.ศ. ๒๔๙๘) แต่หากเช่ือ
ว่าเป็นวัตถุที่พบในศาลากลางจังหวัดสุโขทัยมาแต่เดิม ก็ชวนให้นึกถึงแผ่นไม้
จำ� หลกั ปดิ ทองประดบั กระจกรปู พระมหามงกฎุ และรปู ชา้ งในวงจกั ร ซงึ่ พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้ไปติดไว้ ณ ศาลากลาง ซึ่งได้
พระราชทานเงนิ สว่ นพระองคใ์ หป้ ฏสิ งั ขรณซ์ อ่ มแซม คราวเสดจ็ ประพาสหวั เมอื ง
ฝ่ายเหนอื เม่อื พ.ศ. ๒๔๐๙ (ดู ดำ� รงราชานภุ าพ ๒๕๔๕, ๕๑-๕๒)๓๘ เพราะ
นอกจากจะพบแผ่นไม้รูปพระมหามงกุฎและรูปช้างในวงจักรแล้ว ยังพบหลัก
ฐานว่ามีแผ่นไม้จ�ำหลักรูปราชสีห์ (เลขทะเบียน ๓๐/น) ปัจจุบันจัดแสดงใน
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
86
แผน่ ไม้จำ� หลกั ปดิ ทองประดับกระจกรูปพระมหามงกุฎ (ซา้ ย) และรปู ช้างในวงจักร (ขวา) รชั กาล
ที่ ๔ พระราชทานใหไ้ ปตดิ ไว้ ณ ศาลากลาง ซงึ่ ไดพ้ ระราชทานเงนิ สว่ นพระองคใ์ หป้ ฏสิ งั ขรณซ์ อ่ มแซม
คราวเสดจ็ ประพาสหัวเมืองฝา่ ยเหนือเม่อื พ.ศ. ๒๔๐๙
(ทมี่ า: ยทุ ธนาวรากร แสงอร่าม)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซ่งึ ตามประวตั ิระบุว่ารชั กาลท่ี ๔ โปรดให้
สรา้ งประดบั ศาลากลาง ซง่ึ พระราชทานทรพั ยใ์ หส้ รา้ งขน้ึ ตามหวั เมอื งรายทางใน
คราวเสดจ็ ฯ ไปเมอื งพษิ ณโุ ลก เมอ่ื ปขี าล พ.ศ. ๒๔๐๙ และกระทรวงมหาดไทย
มอบให้พพิ ิธภณั ฑสถานเมอ่ื พ.ศ. ๒๔๗๑ จึงอาจเป็นได้ว่ามีแผ่นไม้จำ� หลักรปู
อ่ืนๆ ประดบั ด้วย
อนง่ึ ประเด็นสนับสนนุ เรื่องอักษรอรยิ กะจำ� นวน ๓ ตัว ซงึ่ จำ� หลกั บน
กรอบด้านในแผ่นไม้จำ� หลักเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์ว่าหมายถึง โอมฺ นนั้ บนตรา
สญั ลกั ษณ์ของสภาอุณาโลมแดงแห่งชาตสิ ยาม ซงึ่ จดั ต้งั เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ก็
ปรากฏอักษรอริยกะ ๓ ตัวนีด้ ้วยเช่นกนั รวมถงึ รปู สระ -ะ ของอกั ขรวิธไี ทย
แบบใหม่ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซ่ึงทรงประดิษฐ์และ
พระราชทานพระราชดำ� ริแก่สามคั ยาจารย์สมาคมใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ก็ทรงนำ� รูป
สระ -ะ ของอักษรอริยกะมาใช้ด้วย อนั เป็นสง่ิ ท่สี ะท้อนให้เหน็ ว่า ในช่วงเวลา
นั้นคงมีผู้คนจ�ำนวนไม่น้อยที่น่าจะทราบและเข้าใจว่าอักษรอริยกะ ๓ ตัวนี้
หมายถงึ โอมฺ…” ๓๙
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
87
(ซ้าย) แผน่ ไม้จำ� หลกั รปู ราชสีห์ รัชกาลท่ี ๔ โปรดให้สร้างประดบั ศาลากลาง ซึง่ พระราชทานทรัพย์
ให้สรา้ งขึ้นตามหัวเมืองรายทางในคราวเสดจ็ ฯ ไปเมอื งพิษณโุ ลก เม่ือ พ.ศ. ๒๔๐๙
(ทีม่ า: ยุทธนาวรากร แสงอร่าม)
(ขวา) ตราสัญลักษณ์สภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม (ท่ีมา: พิพิธภัณฑ์มีชีวิต สภากาชาดไทย,
ออนไลน์)
พิมพ์คร้ังแรกในศิลปวัฒนธรรม ปีท่ี ๓๑ ฉบับท่ี ๑๐ (สิงหาคม ๒๕๕๓) หน้า
๑๒๒-๑๓๕. โดยใช้ช่ือบทความว่า “พลิกความรู้เรื่องแผ่นไม้จ�ำหลักเคร่ืองราชกกุธภัณฑ์
ในพพิ ธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ รามคำ� แหง จงั หวัดสโุ ขทัย”
ผเู้ ขยี นขอขอบคณุ ผอู้ ำ� นวยการและภณั ฑารกั ษข์ องพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ รามคำ� แหง
ทก่ี รณุ าใหค้ วามอนเุ คราะหใ์ นการบนั ทกึ ภาพและขอ้ มลู ของแผน่ ไมจ้ ำ� หลกั อาจารยส์ ยาม ภทั รา
นุประวัติ ส�ำหรับค�ำแนะน�ำทางด้านอักษรศาสตร์ คุณธนวัจน์ แสงสุริยาพร นักศึกษาสาขา
วิชาออกแบบ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่ช่วยบันทึกภาพแผ่นไม้จ�ำหลักใน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามค�ำแหง หากความรับผิดชอบท้ังหมดท่ีเกี่ยวข้องกับบทความนี้
ยอ่ มเป็นของผูเ้ ขยี นเอง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
88
เชิงอรรถ
๑ วิทย์ พิณคันเงิน. เครื่องราชภัณฑ์. (กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์, ๒๕๕๑), น. ๑-๒.
๒ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “เครื่องราชกกุธภัณฑ์ (พื้นเมือง),” ใน ศิลปวัฒนธรรม. ๒๐
(มิถุนายน ๒๕๔๒), น. ๑๑๓-๑๑๔.
๓ กรมศลิ ปากร. พพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ รามค�ำ แหง จงั หวดั สโุ ขทยั . (กรงุ เทพมหานคร :
กรมศิลปากร, ม.ป.พ.), น. ๑๒๖-๑๒๗.
๔ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ.์ จดหมายระยะทางไปพษิ ณโุ ลก. (พระนคร :
โรงพิมพ์พระจันทร์, ๒๕๐๖), น. ๑๒๒-๑๒๕. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในการฉลองวันประสูติครบ
๑๐๐ ปี ๒๘ เมษายน ๒๕๐๖).
๕ เรื่องเดียวกัน, น. ๗๑.
๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. เที่ยวเมืองพระร่วง. (กรุงเทพมหานคร :
องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๒๖), น. ๑๘๔-๑๙๔.
๗ กรมศิลปากร. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ รามคำ�แหง จังหวัดสุโขทัย. น. ๑๒๖-๑๒๗.
๘ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๒๒-๑๒๕.
๙ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “เครื่องราชกกุธภัณฑ์ (พื้นเมือง),” น. ๑๑๓.
๑๐ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. “ตำ�นานวังน่า,” ใน ประชุมพงศาวดารภาคที่
๑๓. (พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๔), น. ๒๕. (พิมพ์แจกในงานศพ นาง
สุ่น ชาติโอสถ).
๑๑ พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั . ประชมุ ประกาศรชั กาลที่ ๔. (กรงุ เทพมหานคร :
มลู นธิ โิ ตโยตา้ แหง่ ประเทศไทยและมลู นธิ โิ ครงการต�ำ ราสงั คมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร,์ ๒๕๔๗),
น. ๖๓.
๑๒ ส�ำ นกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตร.ี พระราชลญั จกร. (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร,์ ๒๕๓๘),
น. ๕๘, ๑๓๘. (สำ�นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จัดพิมพ์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษกเสด็จ
เถลิงถวัลยราชสมบัติ ๕๐ ปี วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๙ และในมหามงคลวโรกาส
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างและจัดพระราชพิธีจารึกพระราชลัญจกรพระครุฑ
พ่าห์ทองคำ�ประจำ�รัชกาล วันที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘).
๑๓ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๔๗-๑๔๘.
๑๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๔๗.
๑๕ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และพระยาอนุมานราชธน. บันทึกเรื่อง
ความรู้ต่างๆ. ๒ เล่ม (พระนคร : สำ�นักพิมพ์สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, ๒๕๐๖),
๒, น. ๑๕๓.
๑๖ เรื่องเดียวกัน, ๒, น. ๑๖๑.
๑๗ เรื่องเดียวกัน, ๒, น. ๑๖๓.
๑๘ เรื่องเดียวกัน, ๒, น. ๑๖๑.
๑๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. สวดมนต์ตัวอริยกะ. (กรุงเทพมหานคร : วัด
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
89
บวรนิเวศวิหาร, ๒๕๔๗), ไม่มีเลขหน้า. (พระบรมราชานุสรณ์ เนื่องในวันพระบรมราชสมภพ
และวันเสด็จสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาปวารณาดิถี วันพฤหัสบดีที่
๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๗).
๒๐ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และพระยาอนุมานราชธน. บันทึกเรื่อง
ความรู้ต่างๆ. ๒, น. ๑๖๕, ๑๖๙.
๒๑ เรื่องเดียวกัน, ๒, น. ๑๖๗-๑๖๘.
๒๒ สำ�นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. พระราชลัญจกร. น. ๑๔๘.
๒๓ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๓๘.
๒๔ กำ�ธร สถิรกุล. ลายสือไทย ๗๐๐ ปี (ฉบับปรับปรุง). (กรุงเทพมหานคร : องค์การค้า
ของคุรุสภา, ๒๕๒๗), น. ๑๓๑.
๒๕ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และพระยาอนุมานราชธน. บันทึกเรื่อง
ความรู้ต่างๆ. ๒, น. ๑๖๙.
๒๖ ณัฏฐภัทร จันทวิช. พระราชพิธีบรมราชาภิเษก. (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร,
๒๕๓๐), น. ๘. (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล
อดุลยเดชมหาราช เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๕
ธันวาคม ๒๕๓๐).
๒๗ พระมหานามเถระ. วรรณกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ เล่ม ๑ (หมวดศาสนจักร) คัมภีร์
มหาวงศ์. แปลโดย พระยาธรรมปโรหิตแลพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์)
(กรุงเทพมหานคร : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๓๔), น. ๑๗๘.
๒๘ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า. พระคัมภีร์อภิ
ธานัปปทีปิกาหรือพจนานุกรมภาษาบาลีแปลเป็นไทย. พิมพ์ครั้งที่ ๕. (กรุงเทพมหานคร : มหา
มกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), น. ง.
๒๙ เรื่องเดียวกัน, น. ๙๖.
๓๐ เรื่องเดียวกัน, น. ๒๔๖.
๓๑ พิเศษ เจียจันทร์พงษ์. “เครื่องราชกกุธภัณฑ์ (พื้นเมือง),” น. ๑๑๔.
๓๒ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศแ์ ละสมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ.
สาส์นสมเด็จ. ๒๗ เล่ม (พระนคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๔), ๑๐, น. ๒๗-๒๙.
๓๓ พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า. พระคัมภีร์อภิ
ธานัปปทีปิกาหรือพจนานุกรมภาษาบาลีแปลเป็นไทย, น. ๗๖.
๓๔ เรื่องเดียวกัน, น. ๙๖.
๓๕ สมเดจ็ ฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศแ์ ละสมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ.
สาส์นสมเด็จ. ๑๔, น. ๑๐๕.
๓๖ เรื่องเดียวกัน, ๑๐, น. ๒๘-๒๙.
๓๗ เรื่องเดียวกัน, ๑๐, น. ๒๙.
๓๘ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาด�ำ รงราชานภุ าพ. เทศาภบิ าล. (กรงุ เทพมหานคร : มตชิ น, ๒๕๔๕),
น. ๕๑-๕๒.
๓๙ ยุทธนาวรากร แสงอร่าม. “วิจารณ์หนังสือ ‘ถอดรหัสพระจอมเกล้า’ ,” วิจิตรศิลป์. ๕
(มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๗): ๒๕๑-๒๕๓.
พระมหามงกุฎ
จาก “อินทรคติ”
สู่ “พระบรมราชสัญลักษณ์”
พิชญา สุ่มจินดา
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
92
ความน�ำ
บษุ บกธรรมาสนย์ อดมงกฎุ ใน “การเปรยี ญ” วดั ราชประดษิ ฐสถติ
มหาสีมาราม ศาสนวัตถุท่ีอาจกล่าวได้ว่าเป็นงานประณีตศิลป์ชิ้นเอกของวัด
ราชประดษิ ฐ แตก่ ลบั ซอ่ นตวั หลกี เรน้ สายตาผคู้ นทว่ั ไปอยใู่ น “การเปรยี ญ” หรอื
ที่บางท่านเรยี กว่า “พระทน่ี ั่งทรงธรรม”๑ อาคารสำ� คัญอกี หลังทไ่ี ม่คุ้นหน้า
คุ้นตาและเป็นจุดสนใจของผู้คนด้วยเช่นกัน ด้วยเพราะตั้งอยู่ด้านหลังก�ำแพง
ดา้ นทศิ ตะวนั ตกของวดั แมแ้ ตป่ ระวตั วิ ดั ทก่ี รมศลิ ปากรตพี มิ พเ์ มอื่ คราวสมโภช
กรุงรตั นโกสนิ ทร์ครบ ๒๐๐ ปี กย็ ังไม่กล่าวถึง๒ บุษบกธรรมาสน์ยอดมงกฎุ
รปู ทรงงดงามแปลกตาเพง่ิ เป็นทป่ี ระจกั ษต์ อ่ สายตาเราท่านกนั ไมน่ านมานเ้ี มอื่ มี
การบรู ณปฏสิ งั ขรณก์ ารเปรยี ญในพทุ ธศกั ราช ๒๕๔๙ ประกอบกบั หมอ่ มราชวงศ์
แน่งน้อย ศักดิ์ศรี นักวิชาการผู้เช่ียวชาญสถาปัตยกรรมราชส�ำนักได้ตีพิมพ์
ภาพของบษุ บกธรรมาสนด์ งั กลา่ วเปน็ สว่ นหนง่ึ ของบทความ “พระทนี่ ง่ั ทรงธรรม :
วดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม” ในนติ ยสารศลิ ปวฒั นธรรม ฉบบั เดอื นสงิ หาคม
พุทธศักราช ๒๕๔๙๓ บุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎของวัดราชประดิษฐ
จึงได้มโี อกาสเผยโฉมอยา่ งสงา่ งามอกี คร้ัง
บุษบกธรรมาสน์ยอดมงกฎุ ของวดั ราชประดษิ ฐยังนับเป็น ๑ ใน ๕ ของ
บุษบกยอดมงกฎุ และยอดทรงมงกฎุ เท่าทีผ่ ู้เขียนเคยพบในประเทศไทย ได้แก่
๑. บษุ บกธรรมาสนย์ อดทรงมงกฎุ จากวดั คา้ งคาว จงั หวดั นนทบรุ ี
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระนคร ปจั จบุ นั จดั แสดงอยใู่ นหอ้ งไมจ้ ำ� หลกั ทำ� จากไมจ้ ำ� หลกั ปดิ ทองประดบั
กระจก ลกั ษณะเป็นบุษบกทรงกระบอกทรวดทรงผอมเพรยี วสงู ชะลูด มยี อด
ทรงมงกุฎแบบทรงจอมแห รองรับด้วยเสา ๖ ต้น ฐานบษุ บกจำ� หลกั รปู เซย่ี ว
กางเหยียบกิเลนบนพ้ืนหลังโปร่ง บนสุดของฐานประดับด้วยกระจังปฏิญาณ
ขนาดใหญ่สอดไส้รูปเทพนม บันไดทางขึ้นสูงชัน ราวบันไดคดโค้งตวัดเป็น
หางของมกรทค่ี าย “มนษุ ยนาค” ออกมาจากปากอยา่ งออ่ นชอ้ ยสวยงาม จดั เปน็
งานศลิ ปะในสมัยอยธุ ยาตอนปลาย
ภาพหนา้ ๙๐ บุษบกยอดทรงมงกฎุ ปนู ป้นั ปิดทองบนผนังพระอโุ บสถวดั บวรนเิ วศวิหาร
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
93
บุษบกธรรมาสน์ยอดทรงมงกุฎ สมัยอยุธยาตอนปลาย ได้จากวัดค้างคาว จังหวัดนนทบุรี
ปจั จบุ ันจัดแสดงในพิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
94
(ซ้าย) บุษบกยอดทรงมงกุฎประดิษฐานพระประธานภายในพระอุโบสถวัดอนงคาราม
กรงุ เทพมหานคร (ขวา) บุษบกธรรมาสนย์ อดทรงมงกุฎของวดั พระพุทธบาท จังหวดั สระบุรี
๒. บษุ บกยอดทรงมงกฎุ ประดษิ ฐานพระประธาน ในพระอโุ บสถ
วัดอนงคาราม กรงุ เทพมหานคร พระอารามที่คุณหญิงน้อย ภรยิ าสมเด็จ
เจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติสร้างข้ึนเมื่อพุทธศักราช ๒๓๙๓ ปลายรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว๔ เป็นบุษบกไม้จ�ำหลักรูปสี่เหล่ียมผืนผ้า
ปิดทองประดับกระจก ยอดทรงมงกุฎเพิ่มมุมของบุษบกมีสัดส่วนทรวดทรง
งดงามได้สัดส่วนย่งิ ปลายปลียอดประดับพุ่มข้าวบณิ ฑ์
๓. บษุ บกธรรมาสน์ยอดทรงมงกฎุ ของวัดพระพุทธบาท จังหวัด
สระบุรี มีความใกล้เคียงกับบุษบกธรรมาสน์ของวัดราชประดิษฐมากท่ีสุด
ดังเห็นได้จากเตียงลาส�ำหรับพระภิกษุก้าวข้ึนธรรมาสน์ แม้ไม่ทราบประวัติ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
95
บุษบกยอดมงกุฎประดิษฐาน
พระประธานภายในพระอุโบสถวัดบรม
วงศ์อิศรวราราม จังหวัดพระนครศรี
อยธุ ยา
ความเป็นมา แต่จากทรวดทรงของยอดท่ีเป็นรูปทรงมงกฎุ เพิม่ มุมคล้ายบษุ บก
ประดิษฐานพระประธานวดั อนงคารามจงึ อาจสร้างขน้ึ ในรชั กาลเดียวกนั
๔. บษุ บกยอดมงกฎุ ประดษิ ฐานพระประธานภายในพระอโุ บสถ
วัดบรมวงศ์อิศรวราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าบรม
วงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำ� ราบปรปักษ์ ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ข้ึน
ใหมต่ งั้ แตร่ ชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั จนแล้วเสรจ็ ในรชั กาล
พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๔๑๘ เปน็ บษุ บกผา่
ครึง่ ติดผนังทำ� จากไม้แกะสลกั ปิดทองประดบั กระจก หลังคาบษุ บกจำ� หลักเป็น
รูปโค้งคล้ายโดมประกอบด้วยลายกลีบบัวขนุนท�ำเป็นพุ่มต้นพระศรีมหาโพธิ
แบบเดียวกับจิตรกรรมไทยประเพณีท่ีนิยมต้ังแต่สมัยอยุธยาตอนปลายจนถึง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
96
ต้นรัตนโกสินทร์ มีกระหนกเปลวประกอบเป็นรัศมีโดยรอบ ยอดบุษบกเป็น
มงกุฎ ประกอบด้วยกรรเจียกจรและกุณฑล ปลายกรรเจียกจรเป็นปูนปั้น
ติดผนัง ด้านหน้าทำ� หลงั คาเป็นมุขซ้อนกนั ๒ ช้นั ประดับช่อฟ้า ใบระกา และ
นาคเบือน นบั เป็นบษุ บกท่ีมีทรวดทรงท่ผี สมผสานกันได้อย่างแปลกตา
๕. บษุ บกธรรมาสนย์ อดมงกฎุ ใน “การเปรยี ญ” ของวดั ราชประดษิ ฐ
(ตอ่ ไปจะเรยี กวา่ บษุ บกธรรมาสน)์ เมอื่ เทยี บกบั บษุ บกและธรรมาสนย์ อดมงกฎุ
ของพระอารามท้ัง ๓ แห่งข้างต้นแล้ว ยอดมงกฎุ ของบษุ บกธรรมาสน์นี้ได้ถอด
แบบมาจากพระมหาพชิ ยั มงกฎุ ซงึ่ เป็น ๑ ใน ๕ ของเคร่อื งราชกกธุ ภัณฑ์อย่าง
ชดั เจนจนเกอื บครบถว้ นทกุ องคป์ ระกอบ ไมเ่ วน้ แมแ้ ตด่ อกไมไ้ หวทปี่ ระดบั ตาม
ชั้นเชิงต่างๆ ของพระมหาพิชัยมงกุฎ บุษบกธรรมาสน์หลังนี้ไม่ปรากฏประวัติ
ความเป็นมาในการสร้าง และมาต้ังอยู่ใน “การเปรียญ” ของวัดราชประดิษฐ
ตั้งแต่เม่ือไร เพราะแม้แต่ประวัติของการเปรียญแห่งน้ีก็ยังค่อนข้างคลุมเครือ
วา่ จะเรยี กวา่ “การเปรยี ญ” หรอื “พระทนี่ งั่ ทรงธรรม” กนั ดี เพราะฉะนนั้ ประวตั ิ
ทพี่ อจะกระจ่างแจ้งบ้างของอาคารหลงั นจ้ี งึ อาจช่วยไขความกระจ่างให้กบั ความ
เป็นมาของบษุ บกธรรมาสน์ยอดมงกฎุ หลงั นีไ้ ด้บ้าง
การเปรียญวัดราชประดิษฐ
กับบุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎ
พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เร่ือง
“วัดพระนามบญั ญตั ิ วดั ราชประดิษฐ” ทรงกล่าวถงึ “การเปรียญ” (กค็ อื ศาลา
การเปรียญ) ของวดั ราชประดษิ ฐไว้ว่า เดิมนน้ั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ไดท้ รงสรา้ ง “โรงชา้ งเผอื ก” ขน้ึ ในพระบรมมหาราชวงั เพอื่ เปน็ ทอี่ าศยั
ของชา้ งเผอื ก แตต่ อ่ มาเมอื่ ชา้ งเผอื กลม้ ลงจงึ ทรงรอ้ื โรงชา้ งเผอื กทสี่ นิ้ ประโยชน์
ใชส้ อยไปตามวาระของชา้ งเผอื กนนั้ มาสรา้ งเปน็ “การเปรยี ญ” (คอื ศาลาการเปรยี ญ)
ให้กับวัดราชประดิษฐตั้งแต่แรกสถาปนาพระอาราม บริเวณด้านทิศเหนือของ
ต�ำหนักสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) คร้ันในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั เมอ่ื การเปรยี ญชำ� รดุ ลงเพราะไม้ระแนงกับกระเบอื้ ง
ที่มุงไม่เข้ากัน ท�ำให้ร่ัวและทรุดโทรมในเวลาอันรวดเร็ว ประกอบกับพระบาท
สมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมพี ระราชประสงค์ที่จะทรงสร้าง “กฎุ ี” ถวาย
ให้พระสงฆ์มีท่ีจ�ำวัดได้มากข้ึน จึงทรงปรึกษากับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
97
บุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎของวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ตั้งอยู่ใน “การเปรียญ”
ของวัด
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
98
เพอ่ื ทรงรอื้ การเปรยี ญหลงั นไ้ี ปสรา้ งใหมร่ ะหวา่ งต�ำหนกั ของเจา้ นายทางดา้ นทศิ
ตะวนั ตกของพระอาราม๕
การเปรียญท่ีทรงรื้อแล้วมาสร้างใหม่น้ีจึงยังคงไว้ซ่ึงองค์ประกอบทาง
สถาปัตยกรรมของการเปรียญหลังเดิม ดังเห็นได้จากหน้าบันของการเปรียญ
จ�ำหลักเป็นรูปช้างเผือกท่ีคงร้ือมาจากโรงช้างเผือกในพระบรมมหาราชวัง
และน�ำมาใช้เป็นหน้าบันของการเปรียญหลังเก่า จนกระท่ังย้ายมาเป็นหน้าบัน
ของการเปรียญหลังใหม่น้ีแทน รวมไปถึงการท่ีหน้าบันดูไม่ค่อยพอดีกับโครง
สรา้ งของอาคารเทา่ ไรนกั สว่ นอายเุ วลาของการเปรยี ญหลงั ใหมค่ งอยใู่ นระหวา่ ง
พุทธศักราช ๒๔๑๒-๒๔๒๗ เหตุที่ไม่เก่าไปกว่าพุทธศักราช ๒๔๑๒ ด้วย
พิจารณาได้จากลายเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นท่ีเชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ ๑
มหาวราภรณ์ พร้อมดวงดาราและสายสร้อยพระสังวาลเป็นสำ� รับพิเศษสำ� หรับ
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประธานของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตระกูลนี้ ท�ำ
ต่างดาวเพดานบนเพดานการเปรียญท�ำนองเดียวกับเพดานของพระอุโบสถ
วัดเทพศิรินทราวาส เคร่ืองราชอิสริยาภรณ์ช้ันนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างใหม่เม่ือพุทธศักราช ๒๔๑๒ จากดวงตราช้างเผือก
ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเร่ิมสถาปนาขึ้น๖ และเหตุท่ีคง
ไม่ใหม่ไปกว่าพุทธศักราช ๒๔๒๗ ก็เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธถ์ งึ การเปรยี ญหลังใหม่ในปีดังกล่าวไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัวไม่ได้ทรงกล่าวถึงบุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎไว้ จึงมีปัญหาว่าสร้างข้ึน
เม่ือไรและมาอยู่ที่การเปรียญนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่เม่ือไร เพราะความเป็นไปได้
ว่าจะสร้างในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั หรอื พระบาทสมเดจ็
พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มพี อๆ กนั กลา่ วคอื มคี วามเปน็ ไปไดท้ บี่ ษุ บกธรรมาสน์
จะย้ายมาจากการเปรียญหลังเดิมที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงสร้างข้ึน เพราะอย่างน้อยก็สอดคล้องกับประโยชน์ใช้สอยของธรรมาสน์
ทีม่ ไี ว้ส�ำหรบั พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา และมักตงั้ อยู่ในศาลาการเปรยี ญ
อันเป็นสถานท่ีส�ำหรับฆราวาสใช้ท�ำบุญฟังธรรมในวัด อีกประการหนึ่งก็คือ
ฝีมือช่างหลวงในช่วงปลายรัชกาลก่อนกับต้นรัชกาลต่อมาจึงไม่น่าจะห่างกัน
มากนัก อาทิ การประดับกระจกสีขาวตลอดท้ังเพดานและหลังเสาบุษบกหรือ
ท่ีเรียกว่า “กระจกเล่นแสง” ก็เป็นลักษณะเดยี วกบั การประดบั กระจกท่บี ุษบก
พระพทุ ธสหิ ังคปฏมิ ากรภายในพระวหิ ารหลวงของวดั ราชประดิษฐ อนั สร้างขึ้น
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
99
ในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
อย่างไรก็ดี มีข้อสังเกตว่า ในพระราชนิพนธ์เร่ือง วัดพระนามบัญญัติ
วดั ราชประดษิ ฐ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนพิ นธถ์ งึ
พระราชดำ� รใิ นการนำ� พระบรมราชสญั ลกั ษณ์ของพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวมาใช้ในพระอารามที่ปฏิสังขรณ์เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติยศแด่
สมเดจ็ พระบรมชนกนาถไวว้ า่ “วดั ทฉ่ี นั ปฏสิ งั ขรณท์ �ำตอ่ ทลู หมอ่ มแหง่ ใด ไมไ่ ด้
เอาเกยี้ วยอดเขา้ ไปแซกมงกฎุ เลย ถา้ แหง่ หนง่ึ ถงึ จะมนี ายชา่ งคดิ ตวั อยา่ งมาเปน
เกยี้ วยอดแซกมงกฎุ ฉนั ไดใ้ หแ้ กท้ กุ ครงั้ เพราะคดิ จะถวายใหเ้ ปนพระเกยี รตยิ ศ
ท่ีทรงท�ำเหมือนอย่างเช่นได้ทรงสำ� เร็จแล้ว”๗
ถา้ พจิ ารณาจากพระราชประสงคข์ า้ งตน้ แลว้ จงึ อาจเปน็ ไปไดท้ วี่ า่ พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอาจทรงสร้างบุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎหลัง
นี้เพื่อใช้เป็นธรรมาสน์เทศน์ในการเปรียญหลังเก่าของวัด และทรงสร้างเป็น
“ยอดมงกฎุ ” เพอื่ เปน็ พระบรมราชสญั ลกั ษณท์ สี่ อื่ ความหมายถงึ พระบาทสมเดจ็
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ผู้ทรงสถาปนาวดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสีมาราม
ประเด็นน้ีเรื่องรัชสมัยท่ีสร้างบุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎจึงยังเป็นข้อ
สงสยั ที่เปิดกว้างให้พจิ ารณากนั ต่อไป
รูปลักษณ์และองค์ประกอบ
บุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎท�ำจากไม้จ�ำหลักทาสีแดงปิดทองประดับ
กระจก มีหลายหลากสีด้วยกัน คือ สีขาวแบบกระจกเงา สีแดง และสีเขียว
มกั ใช้ประดับทตี่ ัวลาย ส่วนสขี าบ (สีนำ้� เงินเข้ม) ใช้ประดับเป็นพื้นหลัง บษุ บก
ธรรมาสน์มอี งค์ประกอบส�ำคญั ทัง้ หมดด้วยกนั ๓ ส่วน อนั ได้แก่ ฐานบษุ บก
เสาและหลังคาบุษบกพร้อมเคร่ืองประดับตกแต่ง และยอดมงกุฎอันเป็นองค์
ประกอบส�ำคัญของบุษบกธรรมาสน์หลังนี้ ดังจะพรรณนาแต่ละองค์ประกอบ
กันอย่างละเอียด กล่าวคือ
ฐานบุษบกธรรมาสน์
เปน็ ฐานสงิ หเ์ พม่ิ มมุ ไมย้ สี่ บิ ประกอบดว้ ย “หนา้ กระดานฐานสงิ ห”์ จำ� หลกั
ลายดอกไมก้ ลมทใี่ จกลางของลายประจำ� ยามใบเทศ ลอ้ มรอบดว้ ยลายใบเทศใน
ทรงส่ีเหลี่ยมขนมเปียกปูนสลับกับลายดอกไม้กลมใบเทศในกรอบคดโค้งแปด
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
100
หยัก สลับกับลายก้านขดใบเทศประดับกระจกสีเขียว สีขาว และสีแดง พื้น
หลังลายเป็นกระจกสีขาบ ขอบบนและล่างของหน้ากระดานปิดทองทึบ เหนือ
หน้ากระดานติดกระจงั ๒ ช้ัน ท�ำจากตะก่วั ปิดทองประดบั กระจกสขี าว กระจัง
ชน้ั นอกเปน็ กระจงั ตาออ้ ย ชน้ั ในเปน็ กระจงั เจมิ เหนอื หนา้ กระดานเปน็ “ขาสงิ ห”์
สันคม มีองค์ประกอบคอื ที่ “ท้องสิงห์” ทาสแี ดงเรยี บไม่มีลวดลาย “กาบเท้า
สิงห์” จ�ำหลักลายพุ่มข้าวบิณฑ์ใบเทศ “ลายในสิงห์” เป็นลายก้านขดใบเทศ
“ครีบท้องสิงห์” จ�ำหลักลายน่องสิงห์ ส่วน “น่องสิงห์” เป็นลายเปลวใบเทศ
และมี “นมสงิ ห์” ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ใบเทศ ลวดลายและพืน้ หลังท้งั หมดประดับ
กระจกอย่างหน้ากระดานฐานสงิ ห์ หลงั สิงห์เป็นขอบปิดทองทึบและมี “บัวหลัง
สิงห์” จำ� หลักลายบัวกระจงั ควำ่� ประดบั กระจกสีเขยี วและสีแดง ติดกระจัง ๒
ชั้นท่ีหลงั สงิ ห์เหมือนเช่นทีห่ น้ากระดานฐานสงิ ห์
ขาสิงห์น้รี องรับ “ท้องไม้” ยืดสงู จำ� หลกั เป็นบัวกลบี ขนุนเรียงซ้อนสลับ
กนั ๒ ชนั้ มลี ายในกลบี เปน็ ลายรกั รอ้ ยใบเทศ ขอบกลบี เปน็ ลายนอ่ งสงิ หใ์ บเทศ
การประดบั ท้องไม้ด้วยลายบวั กลบี ขนนุ เชน่ นดี้ แู ปลกตาและไม่ค่อยเปน็ ไปตาม
ระเบยี บการประดบั ลายบรเิ วณทอ้ งไมม้ ากนกั แตจ่ ะวา่ ไปแลว้ กด็ ลู ะมา้ ยเหมอื น
ช่างจะต้ังใจเลียนแบบลวดลายใบอะแคนทุส (Acanthus) อันเป็นลวดลาย
ประดับแบบพรรณพฤกษาของฝร่ังท่ีนิยมใช้กันมาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่น�ำมาปรับปรุงให้ละม้ายเหมือนลายใบอะแคนทุส
ด้วยกระบวนลายกลบี บัวขนุนแบบไทยๆ
เหนอื ทอ้ งไมเ้ ปน็ “หนา้ กระดาน” จำ� หลกั ลายประจำ� ยามกา้ มปเู ปลวใบเทศ
เหนือหน้ากระดานติดกระจงั ๒ ช้นั หน้ากระดานน้ีรองรบั “ท้องไม้” ชน้ั ต่อมา
เป็นงานประดับกระจกสลี ายเข้มขาบสลับสกี นั ระหว่างสขี าบ สขี าว สีแดง และ
สีเขียว เหนือท้องไม้เป็น “บัวปากฐาน” เป็นบัวหงายลายใบเทศซ้อนสลับกัน
๔ ชัน้ ประดบั กระจกสีต่างกนั รองรบั “หน้ากระดานบน” จำ� หลกั ลายหน้าสงิ ห์
ปากขบสลับลายดอกไม้กลมใบเทศสอดแทรกด้วยลายเปลวใบเทศประดับ
กระจกหลากสีเช่นเดียวกับท่ีหน้ากระดานชั้นอ่ืน ขอบบนและล่างของหน้า
กระดานปิดทองทึบ เหนือขอบหน้ากระดานประดับกระจัง ๒ แถวเหมือน
ตำ� แหนง่ อนื่ บนสดุ ของฐานบษุ บกประดบั ดว้ ย “กระจงั เจมิ ” ขนาดใหญแ่ กะสลกั
ลอยตวั ปดิ ทองประดบั กระจกพรอ้ มเดอื ยสำ� หรบั สวมลงบนฐานบษุ บก ประกอบ
ดว้ ยดา้ นหนา้ ระหวา่ งทางขน้ึ บษุ บกประกอบกระจงั เจมิ ขา้ งละ ๑ ตวั สว่ นทเ่ี หลอื
อกี ๓ ด้านเป็นกระจงั เจิมด้านละ ๕ ตวั โดยไม่มีกระจังปฏญิ าณ บริเวณเพิ่ม
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
101
มมุ ของฐานทงั้ ๔ มุมเป็นกระจงั มุม มุมละ ๓ ตัว
ฐานบษุ บกนยี้ ังยกเกจ็ ทดี่ ้านหน้าเพอ่ื ใช้เป็นชน้ั ลดหรอื “เตยี งลา” ๒ ช้ัน
ส�ำหรับพระสงฆ์ข้ึนสู่ธรรมาสน์ สร้างแยกออกต่างห่างจากตัวฐานบุษบกแล้ว
น�ำมาประกอบกัน มีความสูงเสมอหน้ากระดานบนของท้องไม้ฐานบุษบกและ
มีลวดลายอย่างเดยี วกนั บางท่านเคยตง้ั เป็นข้อสังเกตว่า ท่ีเตยี งลาท้ัง ๒ ช้ัน
อาจเคยมีการประดับกระจัง ๒ แถวเหมอื นเช่นทป่ี ระดบั ในส่วนฐานของบษุ บก
แต่ว่าในปัจจุบันสูญหายไปทั้งหมด (หรืออาจไม่เคยมีมาก่อนเลยก็ได้) และ
ในเมื่ออาจเคยมีกระจัง ๒ แถวติดต้ังอยู่ประจำ� ท่ีช้ันลดของบุษบกธรรมาสน์
ยอ่ มเปน็ การลำ� บากสำ� หรบั พระสงฆเ์ มอ่ื จะขน้ึ เทศนบ์ นบษุ บกธรรมาสน์ บษุ บกนี้
จึงอาจเป็นเพียงบุษบกธรรมดาส�ำหรับประดิษฐานพระพุทธรูปหรือปูชนียวัตถุ
มากกว่าจะเป็นบุษบกธรรมาสน์
เร่ืองนี้ผู้เขียนมีความเห็นว่า หากเตียงลาของบุษบกเคยประดับกระจัง
มาก่อน ในอดีตเม่ือเวลาใช้งานคงต้องมีเบาะสำ� หรบั รองในแต่ละขั้นเพอ่ื อ�ำนวย
ความสะดวกให้พระสงฆ์เมื่อเวลาข้ึนไปน่ังบนธรรมาสน์ หาไม่แล้วพระสงฆ์ท่ี
ขน้ึ เทศนก์ จ็ ะลำ� บากเพราะตดิ กระจงั ทงั้ ๒ แถวทตี่ งั้ คำ�้ อยู่ สว่ นประโยชนใ์ ชส้ อย
นน้ั ผู้เขยี นกค็ ดิ ว่าคงใช้เป็นธรรมาสน์อยู่นน่ั เอง เพราะหากใช้เป็นทป่ี ระดษิ ฐาน
พระพทุ ธรูปหรอื ปูชนยี วตั ถแุ ล้วกไ็ ม่มปี ระโยชน์อนั ใดทจ่ี ะต้องมเี ตยี งลาสำ� หรบั
ขนึ้ ไปบนนน้ั
เสาและหลังคาบุษบกธรรมาสน์
“เสาบุษบก” ปักลงท่ีเพิ่มมุมของฐานบุษบกท้ัง ๔ มุม มุมละต้น เป็น
เสาเพ่มิ เกจ็ ๓ เก็จรับกนั กับเพ่มิ มุมของฐานบุษบก โคนเสาประดบั ด้วย “กาบ
พรหมศร” ท่ีเพ่มิ เกจ็ ท้งั ๓ มมุ ปิดทองประดบั กระจก กาบพรหมศรตวั กลาง
มีขนาดสงู ใหญ่กว่าอีก ๒ ตวั เสาบุษบกด้านนอกประดับกระจกลายดอกพกิ ุล
สขี าว พนื้ ลายเปน็ สขี าบ สว่ นดา้ นหลงั ประดบั ลายดอกพกิ ลุ เชน่ กนั แตเ่ ปน็ กระจก
สขี าวลว้ น ทเ่ี พม่ิ มมุ ของเสาประดบั ดว้ ยลายจดุ ไขป่ ลาเรยี งกนั ตลอดความสงู ของ
เสา กงึ่ กลางเสาประดบั ดว้ ย “ประจ�ำยามรดั อก” ปดิ ทองประดบั กระจก บวั ปลาย
เสาประกอบด้วย “บัวลูกแก้ว” จำ� หลักลายรักร้อยใบเทศประดับกระจก ด้าน
ล่างเป็นลายตาไก่เรียงเป็นลวดติดกระจกสีขาว ขอบล่างประจ�ำกระจัง ๒ ชั้น
หัวคว่�ำ เหนอื บัวลูกแก้วเป็นแถบลวดสีเ่ หล่ียมปิดทองทึบ ถัดขน้ึ ไปเป็นจำ� หลัก
ลายเป็นบัวกลีบขนุนใบเทศประดับกระจกต่างใบอะแคนทุส จากนั้นจึงเป็นช้ัน
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
102
เพดานการเปรยี ญอนั เปน็ ทตี่ งั้ ของบษุ บกธรรมาสน์ ประดบั ลายเครอื่ งราชอสิ รยิ าภรณอ์ นั เปน็
ทเ่ี ชดิ ชูยิ่งช้างเผอื ก ชน้ั ที่ ๑ มหาวราภรณ์ เฉพาะพระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้
เจ้าอยู่หัวทรงสร้างข้ึนใหม่เม่ือพุทธศักราช ๒๔๑๒ จากดวงตราช้างเผือกท่ีพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั ทรงสถาปนา
“หนา้ กระดานบน” จำ� หลกั ลายดอกไมก้ ลมกา้ นเฉยี งใบเทศขนาบดว้ ยลวดปดิ ทอง
ทึบ ตอนล่างของหน้ากระดานประดบั กระจงั ตาอ้อยควำ�่ ตอนบนตดิ กระจังเจมิ
หน้ากระดานบนน้ีรองรับ “หลังคาบุษบก” มีลักษณะเอนลาดและเพิ่ม
มุมเป็นสันเหล่ียมตามการเพิ่มมุมของหน้ากระดานบนประดับกระจกเป็นลาย
ดาวหกแฉกรองรับหน้ากระดานบนจ�ำหลักลายดอกไม้กลมก้านเฉียงใบเทศ
เชน่ เดยี วกนั กบั หนา้ กระดานลา่ ง เพดานบษุ บกประดบั กระจกสขี าวลว้ นเปน็ ลาย
ดอกพกิ ลุ เหมอื นดา้ นในของเสาบษุ บกในลกั ษณะของ “กระจกเลน่ แสง” เสรมิ สง่
ให้ภายในของบษุ บกทัง้ เพดานและเสาด้านในดูเจิดจ้าระยบิ ระยบั
ยอดมงกุฎของบุษบกธรรมาสน์
ยอดบุษบกธรรมาสน์เป็น “ยอดมงกุฎ” เหตุท่ีผู้เขียนไม่เรียกว่า “ยอด
ทรงมงกุฎ” เนื่องจากองค์ประกอบทั้งหมดของยอดเลียนแบบมาจากพระมหา
พิชยั มงกฎุ โดยแทบไม่มีการปรบั ลดทอน หรอื ปรับปรงุ ทรวดทรงให้มีลกั ษณะ
เป็นเหล่ียมมุมแบบสถาปัตยกรรมดังเช่นบุษบกทรงพระประธานในพระอุโบสถ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
103
วัดอนงคาราม แต่ดูเหมือนขยายขนาดของพระมหาพิชัยมงกุฎท้ังทรวดทรง
และรายละเอยี ดมาสวมลงบนยอดธรรมาสนม์ ากกวา่ ในทน่ี จี้ งึ ขอเรยี กวา่ “ยอด
มงกฎุ ” ยอดมงกฎุ ของบษุ บกธรรมาสนจ์ งึ มอี งคป์ ระกอบทเี่ ทยี บเคยี งไดก้ บั พระ
มหาพิชยั มงกฎุ ทีท่ ำ� จากทองคำ� ลงยาราชาวดปี ระดบั เพชร มีดอกไม้ไหวประดบั
เพชร เป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา
โลกทรงสร้างขึ้นเม่ือประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกในพุทธศักราช ๒๓๒๔
กล่าวคือ
ตอนล่างสุดของมงกุฎเหนือหน้ากระดานบนเทียบได้กับ “ผ้าจีบ” ของ
พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ทำ� เปน็ แผน่ ไมร้ ปู สเี่ หลย่ี มผนื ผา้ ในแนวตงั้ เรยี งตวั เวน้ ระยะ
ห่างกนั ปลายผ้าจบี จำ� หลักลายกระจังใบเทศ เหนอื ผ้าจีบเป็นเกี้ยวล่าง
“เกยี้ วลา่ ง” เป็นเกยี้ วชนั้ ที่ ๑ เป็นบวั ลกู แก้วกลมจำ� หลกั เป็นช่อดอกไม้
กลมใบเทศเรยี งตอ่ กนั ในรปู ของลายรกั รอ้ ยตามแนวนอนคล้ายกบั ทป่ี รากฏบน
เกี้ยวล่างของพระมหาพิชัยมงกุฎ และมี “ดอกไม้ทิศ” เป็นลายประจ�ำยาม
ใบเทศในทรงส่ีเหลี่ยมขนมเปียกปูนติดกระจกประดับอยู่ทั้ง ๔ ทิศของเกี้ยว
เชน่ เดยี วกนั พนื้ หลงั ของเกย้ี วลา่ งตดิ กระจกสขี าบ หลงั บวั ลกู แกว้ ตดิ กระจงั เจมิ
หลังกระจังเจมิ ปัก “ดอกไม้ไหว” เป็นระยะโดยรอบ ดอกไม้ไหวน้ที ำ� จากวสั ดุ
คล้ายกาวเหนียวสเี หลอื ง ขนาดใหญ่ประมาณคร่ึงฝ่ามืออดั เป็นรูปดอกไม้กลม
มกี ลบี เปน็ ลายกระจงั ๘ กลบี ปดิ ทองประดบั กระจกสขี าวตดั เปน็ รปู สามเหลยี่ ม
ชนิ้ เลก็ ๆ ประกบกนั อยา่ งละเอยี ดตรงึ ตดิ กบั ขดลวด (สปรงิ ) เหมอื นเชน่ ดอกไม้
ไหวที่ใช้ประดับพระมหาพิชัยมงกุฎและเครื่องราชศิราภรณ์อื่นๆ เกี้ยวล่างนี้
รองรบั “ช้นั เชิงบาตร” เรยี งซ้อนลดหลั่นกนั ๓ ช้ัน เชงิ บาตรแต่ละชนั้ ประดบั
ด้วยลายดอกไม้กลม ๖ กลีบประดับกระจก ในขณะที่ของพระมหาพชิ ยั มงกฎุ
เปน็ ลายตาไกล่ งยาสแี ดง เหนอื ชน้ั เชงิ บาตรแตล่ ะชน้ั ตดิ กระจงั เจมิ แบบเดยี วกบั
พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ชนั้ เชงิ บาตรนรี้ องรบั “ทอ้ งไม”้ จ�ำหลกั รปู บวั เกสรซอ้ นสลบั
กนั ๒ ชั้น ชนั้ นอกเป็นกระจกสีเขยี ว ชั้นในเป็นกระจกสีขาว รองรบั เกยี้ วต้น
“เกี้ยวตน้ ” เป็นเกย้ี วชน้ั ที่ ๒ เป็นบวั ลูกแก้วกลมเช่นเดยี วกับเกี้ยวล่าง
จำ� หลกั ลายคลา้ ยกนั แตม่ คี วามซบั ซอ้ นนอ้ ยกวา่ โดยประดบั กระจกในลกั ษณะ
เดยี วกบั เกย้ี วลา่ งแตไ่ มม่ ดี อกไมท้ ศิ ประดบั เหมอื นเชน่ เกย้ี วตน้ ของพระมหาพชิ ยั
มงกุฎ บนเก้ียวต้นติดกระจังเจิมปักดอกไม้ไหวโดยรอบเป็นระยะเหมือนกับ
พระมหาพชิ ัยมงกุฎ เหนือเก้ยี วต้นเป็น “ชัน้ เชงิ บาตร” ๒ ชัน้ เท่ากับชน้ั เชิงบาตร
ในส่วนนี้ของพระมหาพิชัยมงกุฎและอยู่ในลักษณะเดียวกับชั้นเชิงบาตรเหนือ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
104
ยอดมงกุฎของบุษบกธรรมาสน์
ในการเปรียญวัดราชประดิษฐ มีทรวด
ทรง องค์ประกอบ และลวดลายประดบั
ที่ถอดแบบมาจากพระมหาพิชัยมงกุฎ
ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า
จุฬาโลกทรงสร้างขึ้นเป็นหนึ่งในเครื่อง
ราชกกุธภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างย่ิง
“ดอกไม้ไหว” ในลักษณะเดียวกับท่ี
ประดับบนพระมหาพิชัยมงกุฎซึ่งไม่
ปรากฏในบุษบกยอดมงกุฎหรือยอด
ทรงมงกุฎแห่งอ่ืน
เกย้ี วล่าง ช้นั เชิงบาตรน้รี องรับ “ท้องไม้” จำ� หลกั เป็นรูปบัวเกสรเช่นกนั เหนอื
ท้องไม้จึงเป็นเกี้ยวกลาง
“เกี้ยวกลาง” เป็นเก้ียวชั้นท่ี ๓ เป็นรูปบัวลูกแก้วกลมเช่นเดียวกับ
เก้ียวทุกช้ัน จ�ำหลักลายก้านต่อดอกใบเทศประดับกระจกสีต่างจากเก้ียวกลาง
ของพระมหาพชิ ยั มงกฎุ ทเ่ี ปน็ ลายรกั รอ้ ยอยบู่ ้าง บนเกยี้ วกลางตดิ กระจงั เจมิ มี
ดอกไมไ้ หวปกั อยโู่ ดยรอบเหมอื นทพ่ี ระมหาพชิ ยั มงกฎุ เกย้ี วกลางนร้ี องรบั “ชนั้
เชิงบาตร” ซ้อนลดหลั่นกัน ๓ ช้ันแต่สอบแคบกว่าชนั้ เชิงบาตรอื่นๆ เชิงบาตร
แตล่ ะชน้ั ประดบั ดว้ ยลายดอกไมก้ ลมและกระจงั เหมอื นกนั ทกุ ชนั้ สว่ นเชงิ บาตร
ชน้ั นข้ี องพระมหาพชิ ยั มงกฎุ มเี พยี ง ๒ ชนั้ ชน้ั เชงิ บาตรนที้ ำ� หน้าทรี่ องรบั ปลตี ้น
“ปลตี น้ ” จ�ำหลกั ลายเป็นรปู กลีบบัวจงกลประดบั กระจก มีกลีบเลีย้ ง
เป็นกระจังหุ้มที่โคนกลีบใหญ่ ใกล้เคยี งกบั พระมหาพิชัยมงกุฎ ปลีต้นนร้ี องรบั
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
105
“เกย้ี วยอด” จำ� หลกั ลายดอกไม้กลมประดับกระจกต่างดอกไม้ทศิ ซ่ึงใช้ประดับ
ประจำ� ทศิ ทงั้ แปดของส่วนเดยี วกนั นที้ พี่ ระมหาพชิ ยั มงกฎุ เพยี งแต่ไม่มดี อกไม้
ไหวเหมือนพระมหาพิชัยมงกุฎหากใช้กระจังประดับแทน ใต้เก้ียวยอดเป็น
กระจังบัวหงายเรียงซ้อนสลบั กัน ๒ ชน้ั ประดบั กระจก เหนอื ปลียอดต่อด้วย
“ชั้นเชิงบาตร” ซ้อนลดหล่ันกัน ๓ ช้ัน ติดกระจังโดยรอบ ชั้นเชิงบาตรน้ีทำ�
หน้าทีร่ องรับปลียอด
“ปลยี อด” ทโ่ี คนปลจี ำ� หลกั ลายกระจงั บวั หงายประดบั กระจกในลกั ษณะ
เดียวกับพระมหาพิชยั มงกฎุ ที่เป็นลายกลบี บวั จงกลหุ้มโคนปลี แต่ปลยี อดของ
บุษบกธรรมาสน์ปิดทองเกล้ียงไม่มลี วดลาย ต่างจากปลียอดของพระมหาพชิ ัย
มงกฎุ ทล่ี งยาเนน้ เสน้ ทองเปน็ ลายคดกรชิ เรยี งซอ้ นลดหลนั่ กนั จนถงึ ยอด ปลาย
ปลขี องบษุ บกธรรมาสน์จำ� หลกั ลายจดุ ไข่ปลาแทนมงคลเพชรทป่ี ระดบั โดยรอบ
“พระมหาวิเชียรมณี” เพชรขนาดใหญ่ท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า
อยู่หัวทรงให้พระราชสมบัติ (การเวก รัตนกุล) ซื้อมาจากเมืองกัลกัตตาของ
อนิ เดยี เมอ่ื พทุ ธศกั ราช ๒๔๐๒ เพอื่ ทรงใชป้ ระดบั บนยอดพระมหาพชิ ยั มงกฎุ ๘
ดังน้ัน “เมด็ นำ้� คา้ ง” บนปลายปลียอดจึงเทียบได้กับพระมหาวิเชียรมณีเป็น
เพชรยอดมงกุฎ
ความหมายเชิงสัญลักษณ์
ของบุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎ
ถึงแม้ว่าบุษบกธรรมาสน์ยอดทรงมงกุฎหรือยอดมงกุฎท่ีเรามีอยู่เพียง
น้อยนิดจะปรากฏมาแล้วตั้งแต่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ดังตัวอย่างจาก
ธรรมาสน์ยอดมงกุฎวัดค้างคาว จังหวัดนนทบุรี รวมไปถึงบุษบกยอดมงกุฎ
รูปทรงแปลกประหลาดของวัดบรมวงศ์อิศรวราราม ส่วนหน่ึงเพราะผู้สร้างคง
ตงั้ ใจประดษิ ฐใ์ หม้ รี ปู ทรงทดี่ แู ปลกตาจงึ ไมเ่ ปน็ ทแ่ี พรห่ ลายเหมอื นเชน่ ธรรมาสน์
ยอดบษุ บกทพี่ บไดท้ ว่ั ไป นอกจากบษุ บกยอดมงกฎุ แลว้ ยงั พบงานประณตี ศลิ ป์
อ่นื ๆ ทีเ่ ป็นยอดทรงมงกุฎด้วย อาทิ พระโกศทองใหญ่รชั กาลท่ี ๑ ที่พระบาท
สมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างเมอ่ื พทุ ธศักราช ๒๓๕๑๙ กม็ ีฝาเป็น
ยอดทรงมงกุฎแปดเหลี่ยม ดูเหมือนว่ายอดมงกุฎหรือยอดทรงมงกุฎซ่ึงเป็น
ศิราภรณ์ชั้นสูงสดุ น้ีกค็ งมี “ศักด์ิ” ของการใช้งานทีส่ ูงอยู่ไม่น้อย
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
106
พระมหาพิชัยมงกุฎ ท�ำจาก
ทองคำ� ลงยาราชาวดี (ลงยาสฟี ้า) และ
ลงยาสีต่างๆ ประดับเพชร มีดอกไม้
ไหวและระย้าประดับเพชร ปลายปลี
ยอดประดับเพชรขนาดใหญ่ที่พระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชสมบัติ
(การเวก รัตนกุล) ซ้ือหามาจากเมือง
กัลกัตตาของอินเดียเม่ือพุทธศักราช
๒๔๐๒ เพ่ือน�ำมาประดับบนยอดพระ
มหาพิชัยมงกุฎ (ภาพจาก สมุดภาพ
เหตุการณ์ส�ำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์,
๒๕๒๕)
กุฎาคารยอดมงกุฎกับ “อินทรคติ”
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เร่ิมมีการก่อสร้าง
สถาปัตยกรรมเรอื นยอดหรอื “กฎุ าคาร” ที่เป็น “ยอดมงกุฎ” ข้นึ ดงั ปรากฏ
เปน็ งานสถาปตั ยกรรมหลายแหง่ ดว้ ยกนั ไมว่ า่ จะเปน็ วหิ ารยอดในวดั พระศรี
รัตนศาสดาราม ทอ่ี าจถอื ได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรม “ยอดมงกุฎ” แห่งแรกและ
มีทรวดทรงงดงามท่สี ดุ เป็นแบบอย่างให้กบั สถาปัตยกรรมยอดมงกฎุ อ่ืนๆ ใน
เวลาต่อมา อาทิ ซุ้มประตยู อดมงกฎุ ทางเข้าพระอโุ บสถวดั อรณุ ราชวราราม ต่อ
มา “ยอดมงกุฎ” ก็แปรเปลี่ยนให้มีเพ่ิมเก็จเป็นเหล่ียมมุมแบบสถาปัตยกรรม
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
107
กลายเปน็ “ยอดทรงมงกฎุ ” เชน่ ยอดทรงมงกฎุ ของพระมณฑปประดษิ ฐาน
พระไตรปฎิ กและซมุ้ ประตทู างเขา้ วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ในรชั กาล
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั กม็ บี ษุ บกยอดทรงมงกฎุ ของพระโพธิ
ธาตุพิมานด้านหลังพระอโุ บสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และหอระฆังยอด
ทรงมงกฎุ ของวดั ราชประดษิ ฐสถิตมหาสมี าราม จนกระท่งั ถงึ รัชกาลพระ
บาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ซมุ้ ประตทู างเขา้ วดั เทพศริ นิ ทราวาส
ก็ยังเป็นยอดทรงมงกุฎแปดเหล่ียม รวมทั้งหอระฆังของพระอารามเดียวกันก็
เป็นยอดทรงมงกฎุ
การสร้างสถาปัตยกรรมเรือนยอดหรือกุฎาคารยอดมงกุฎหรือยอดทรง
มงกฎุ ทร่ี เิ รมิ่ ในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั คงเปน็ คตสิ ญั ลกั ษณ์
เกยี่ วเนอื่ งกบั “คตพิ ระอนิ ทร์” ซง่ึ ผ้เู ขยี นขอเรยี กว่า “อนิ ทรคต”ิ และเป็นหนงึ่
พระราชนยิ มของพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทเี่ ดน่ ชดั จนถอื เปน็ “อดุ ม
การณ”์ ๑๐ อยา่ งหนง่ึ ประจำ� รชั สมยั “อนิ ทรคต”ิ ทส่ี มั พนั ธก์ บั “กฎุ าคารยอดมงกฎุ ”
เหน็ ได้ชดั เจนจากการทท่ี รงสถาปนาวหิ ารยอดในวดั พระศรรี ตั นศาสดารามเป็น
กฎุ าคารยอดมงกฎุ จดหมายเหตวุ ดั พระศรรี ตั ณสาศดาราม ซง่ึ “ออกพระศรภี รู ิ
ปรีชาธิราชเสนาบ์ดีศีลาลักษณและนายช�ำนิโวหาร” เขียนเสร็จเม่ือจุลศักราช
๑๑๙๖ หรอื ตรงกบั พทุ ธศกั ราช ๒๓๗๗ ไดเ้ รยี กชอื่ เตม็ ของวหิ ารยอดทพ่ี ระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาขึ้นก่อนพุทธศักราช ๒๓๗๔ ว่า
“พระบวรมหาเศวตกุฏาคารวหิ ารยอด”๑๑ และอกี ชือ่ หนงึ่ ที่ค่อนข้างจะเกย่ี วข้อง
กับอินทรคติปรากฏในฉบับตัวเขียนจึงไม่ค่อยแพร่หลายนักก็คือ “พระบวร
เสวตรเวชะยันตวหิ าร”๑๒ หรือ “พระเสวตระเวชยนั ตะพิมานวิหารยอด”
ไมต่ อ้ งสงสยั เลยวา่ “เวชยนั ตะพมิ าน” ในทน่ี ก้ี ค็ อื “ทพิ พมิ านอนั เปน็ นวิ าสน
ฐานแห่งสมเดจ็ พระอมรนิ ทราธริ าช ตงั้ อยใู่ นท่ามกลางแห่งเมอื งดาวดงึ ส์ มนี าม
บัญญัติชื่อว่าไพชยนตพิมาน”๑๓ คือ วิมานไพชยนต์ วิมานพระอินทร์ หรือ
“เรือนอินทร์” ของพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ตามคติไตรภูมิน่ันเอง
แสดงใหเ้ หน็ วา่ วหิ ารยอดแหง่ นน้ี อกจากจะเปน็ สถาปตั ยกรรมอนั เปน็ เอกลกั ษณ์
งานช่างในรัชกาลท่ี ๓ แล้ว ยังมีความหมายเชงิ สัญลกั ษณ์ส่ือถงึ วิมานไพชยนต์
ของพระอินทร์บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์สอดคล้องกับอินทรคติท่ีเป็นพระราชนิยม
หรอื อดุ มการณ์ของพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกล้าเจ้าอยู่หัว
อยา่ งไรกต็ าม หาก “ยอดมงกฎุ ” ของวหิ ารยอดในวดั พระศรรี ตั นศาสดาราม
มีความเกี่ยวข้องกับ “วิมานพระอินทร์” บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้ว ปัญหาก็
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
108
วหิ ารยอดในวัดพระศรรี ตั นศาสดาราม หรือในชือ่ เตม็ ว่า “พระเสวตระเวชยนั ตะพมิ านวิหาร
ยอด” กุฎาคารยอดมงกุฎที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
สร้างข้ึน ถือเปน็ สถาปตั ยกรรมยอดมงกุฎแหง่ แรกและมที รวดทรงงดงามยิ่ง เปน็ สญั ลักษณท์ สี่ อื่ ถึง
ยอดวมิ านพระอินทรบ์ นสวรรค์ชัน้ ดาวดึงส์ สอดคล้องกบั พระราชนยิ มใน “อนิ ทรคต”ิ ของพระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หวั
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
109
คือ เราจะอธิบายและเช่อื มโยงความสัมพนั ธ์ระหว่าง “ยอดมงกฎุ ” กับ “วมิ าน
พระอินทร์” ได้อย่างไร เพราะในไตรภมู ิโลกวินิจฉยกถา ไม่ได้กล่าวถงึ เร่อื งนี้
ไว้๑๔
คมั ภรี ป์ ญั จราชาภเิ ษก เขยี นขนึ้ โดยพระพมิ ลธรรมถวายพระบาทสมเดจ็
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเมื่อประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกในพุทธศักราช
๒๓๒๔๑๕ กล่าวถึงลักษณะราชาภิเษก ๕ ประการ และธรรมเนียมปฏิบัติที่
เกยี่ วขอ้ งกบั พระราชสริ ขิ องพระมหากษตั รยิ ์ คมั ภรี น์ ไ้ี ดเ้ ปรยี บเทยี บพระวรกาย
ของพระมหากษัตริย์กับเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาลและเครื่องราช
กกุธภัณฑ์อันเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งในคัมภีร์ระบุว่า
ได้แก่ พระเศวตฉัตร พระมหามงกฎุ พระขรรค์ พระภษู าผ้ารัตกมั พล ฉลอง
พระบาททองประดบั แก้ว๑๖ ในฐานะเครอื่ งประดบั เขาพระสเุ มรไุ วอ้ ยา่ งนา่ สนใจ
ว่า
“โส มหาสตโฺ ต สเิ นโร อธฏิ ฺานกายํ ปญจฺ าภิเสกํ อธฏิ ฺ าสิ เมือ่ สมเด็จ
พระมหากษัตริย์ได้ราชาภิเษกเป็นเอกแก่ราชสมบัติแล้ว พึงได้อธิฐานอาตมา
พระองค์เอง ว่าเรานคี้ อื เขาพระสเุ มรรุ าชอนั ตั้งอยู่เป็นหลกั พระธรณีในพนื้ ปฐพี
ดล และพระเนตรของเราข้างขวาคอื พระสุรยิ อาทิตย์ พระเนตรของเราข้างซ้าย
คือพระจันทร์อันส่องโลกให้เห็นแจ้งในพระทัย...และพระหัตถ์ท้ังซ้ายขวาและ
ฝ่าพระบาทนัน้ คอื ทวีปท้ังสี่ เศวตฉัตรหกช้ันน้ัน คอื ฉกามาพจรทั้งหก...พระ
มหามงกฎน้นั ไซร้ คอื ยอดวมิ านพระอินทร์ พระขรรค์นน้ั คอื พระปัญญา
อนั จะตดั มลทนิ ถอ้ ยความไพรฟ่ า้ ขา้ แผน่ ดนิ ใหเ้ หน็ แจง้ ทว่ั ทง้ั โลกธาตุ และเครอ่ื ง
ประดับผ้ารัตกัมพลน้ัน คือเขาคันธมาทน์อันประดับเขาพระสุเมรุราช อันองค์
พระมหากษัตริย์น้ัน คือพระวินัยธรรม อันตรัสสั่งสอนแก่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน
ให้ปรากฏเหน็ แจ้งรุ่งเรอื งไปท่ัวท้งั ชมพทู วีป เกอื กแก้วนนั้ คือแผ่นดนิ อันเป็นท่ี
รองรับเขาพระสุเมรุราช และเป็นที่อาศัยแก่อาณาประชาราษฎรท้ังหลายท่ัว
ท้ังแว่นแคว้นขอบขัณฑเสมาและจะฦๅชาปรากฏด้วยพระยศพระเดชของ
สมเด็จพระมหากษัตรยิ ์เจ้าน้ันแล”๑๗ (ผู้เขียนเน้นความ)
โดยนัยของการอุปมาจากคัมภีร์ปัญจราชาภิเษกข้างต้น พระมหามงกุฎ
อนั เปน็ หนงึ่ ในเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑจ์ งึ เปรยี บไดก้ บั ยอดวมิ านพระอนิ ทร์ ปรารภ
เหตดุ งั กลา่ ว กฎุ าคารยอดมงกฎุ หรอื ยอดทรงมงกฎุ ทร่ี เิ รม่ิ สรา้ งขน้ึ ตง้ั แตร่ ชั สมยั
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงเป็นสัญลักษณ์ที่แทนความหมาย
ถึง “ยอดวิมานพระอินทร์” คือ ยอดของไพชยนต์มหาปราสาทที่ประทับของ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
110
ลายเส้นของพระปรางค์ประธานและปรางค์บริวารของวัดอรุณราชวรารามที่พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบูรณปฏิสังขรณ์ให้มีความยิ่งใหญ่เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ
และวิมานไพชยนต์หรือวิมานพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ (ภาพจาก ลักษณะไทย ภูมิหลัง,
๒๕๕๑)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
111
พระอินทร์บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์เหนือยอดเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของจักรวาล
นน่ั เอง ดงั เหน็ ไดจ้ ากนามของวหิ ารยอดทป่ี รากฏในจดหมายเหตวุ ดั พระศรรี ตั ณ
สาศดาราม คอื “พระบวรเสวตรเวชะยนั ตวิหาร” หรือ “พระเสวตระเวชยันตะ
พิมานวหิ ารยอด”
ด้วยเหตนุ ้ี การสร้างกฎุ าคารยอดมงกฎุ หรอื ยอดทรงมงกุฎเพอื่ ให้
เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนวมิ านไพชยนตข์ องพระอนิ ทรแ์ ละเฟอ่ื งฟใู นรชั สมยั
ของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกลา้ เจา้ อยหู่ วั พอ้ งกบั พระราชนยิ มใน “อนิ ทร
คต”ิ ของพระองค์
ไมเ่ พยี งแตส่ ถาปตั ยกรรมยอดมงกฎุ หรอื ยอดทรงมงกฎุ ทส่ี อื่ ความหมาย
ถงึ ยอดวมิ านพระอนิ ทรเ์ ทา่ นนั้ อนิ ทรคตเิ ชน่ วา่ นย้ี งั ปรากฏทพี่ ระปรางคว์ ดั อรณุ
ราชวรารามดว้ ย พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ
ให้เชิญพระมหามงกุฎของพระประธานวัดนางนอง กรุงเทพมหานคร มาสวม
ลงบนยอดนภศลู ของพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม การศึกษาของนกั วชิ าการ
ทผี่ ่านมาไม่เป็นทสี่ งสัยเลยว่า พระปรางค์องค์นี้ คอื พทุ ธสถาปัตยกรรมทสี่ อ่ื
สัญลกั ษณ์แทนเขาพระสเุ มรุอย่างชัดเจนกจ็ ริง หากสงิ่ ทยี่ งั คงเปน็ ปรศิ นามา
จนถึงทุกวันนี้ก็คือ พระราชด�ำริของพระองค์ที่ทรงเชิญพระมหามงกุฎ
ไปประดษิ ฐานบนยอดนภศลู ของพระปรางค์
ในงานศกึ ษาของนกั วชิ าการหลายท่าน แม้จะแสดงให้เหน็ เป็นทปี่ ระจกั ษ์
ว่า ปรางค์ประธานของวัดอรุณราชวรารามเป็นสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุ
ศูนย์กลางจักรวาล แต่ก็คงมิใช่ “ทั้งหมด” ของพระปรางค์ที่เป็นเขาพระสุเมรุ
พระปรางค์ประธานล้อมรอบด้วยปรางค์บริวารทง้ั ๔ มุม เทยี บได้กับมหาทวปี
ทงั้ ๔ ทศิ ของเขาพระสเุ มรุ มณฑปทงั้ ๔ ดา้ นของปรางคบ์ รวิ ารอาจหมายถงึ ทา้ ว
จาตุมหาราช เทพยดาผู้ทรงพทิ ักษ์รกั ษาทวีปทศิ ทั้งสี่ สอดคล้องกับการประดบั
ฐานปรางค์ประธานซึ่งแบ่งออกได้เป็น ๓ ชัน้ ซง่ึ กิตตพิ งษ์ บุญเกิด เสนอว่า
ช้นั แรก ยักษ์แบก สอ่ื ถงึ บรวิ ารของท้าวจาตมุ หาราช ช้ันที่ ๒ กระบ่ีแบก อาจ
สื่อความหมายถึงบริวารของพระรามในฐานะอวตารของพระนารายณ์ ช้ันท่ี ๓
เทวดาแบก หมายถึง เทพยดาท่เี ป็นบรวิ ารของพระอนิ ทร์๑๘
ขณะที่ ชาตรี ประกิตนนทการ๑๙ ให้ความเห็นว่าฐานยักษ์แบก กระบ่ี
แบก และเทวดาแบก ไมน่ า่ จะหมายความถงึ นรกภมู ิ มนษุ ยโลก และสวรรคโลก
ตามล�ำดับดังท่ีเคยมีผู้เสนอไว้ เพราะขัดแย้งกับการแทนค่าสัญลักษณ์ในงาน
ศิลปกรรมไทย แต่น่าจะหมายถึงลักษณะทางกายภาพของเขาพระสุเมรุที่
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
112
พระมหามงกุฎของพระประธานวัดนางนอง กรุงเทพมหานคร พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญมาสวมลงบนยอดนภศูลของพระปรางค์วัดอรุณ
ราชวราราม สอดคล้องกับความหมายเชิงสัญลักษณ์ตามท่ีปรากฏในคัมภีร์ปัญจราชาภิเษก ว่า
พระมหามงกฎุ คอื ยอดวมิ านพระอนิ ทรห์ รือวมิ านไพชยนต์บนสวรรคช์ ้นั ดาวดงึ ส์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
113
ประกอบด้วยชาน ๕ ชั้น ซง่ึ แต่ละชั้นมี “กองรกั ษาสวรรค์” อันได้แก่ นาค ครุฑ
กุมภัณฑ์ อสูร และเทวดา คนธรรพ์ ในช้ันจาตุมหาราชิกา เพ่ือป้องกันการ
รกุ รานของอสรู ตามท่ปี รากฏในคัมภรี ์ไตรภมู ิโลกวินจิ ฉยกถา ส�ำนวนท่ี ๑๒๐
และส�ำนวนที่ ๒๒๑ ดังน้ี
“...สมเด็จพระอมรินทราธิราชนั้น...ทรงพระปรารภท่ีจะรักษาพระนครไว้
ให้มน่ั จงึ จัดแจงกองทพั ให้ตง้ั รบั อสูรบริษทั สกัดก้นั ไว้ในชนั้ พระเมรทุ ัง้ ๕...ฝูง
นาคมกี �ำลังในน้ำ� สนดั ข้างทางน้�ำ สมเดจ็ พระอมรนิ ทราธริ าชก็ให้ตัง้ สกดั ก้ันใน
ชัน้ พระเมรุเป็นประถม...ชัน้ พระเมรุเป็นคำ� รบ ๒ น้ัน ตง้ั หมู่สุบรรณอันบริบูรณ์
ดว้ ยกำ� ลงั กายแลกำ� ลงั ฤทธ์ิ ใหจ้ ดั แจงกนั เปน็ หมวดเปน็ กอง คอยรบั รองปอ้ งกนั
หมู่ปัจจามิตรอสูรสงคราม...ในช้ันพระเมรุเป็นค�ำรบ ๓ น้ัน ตั้งกองกุมภัณฑ์
ผู้มีมหิทธิฤทธิ์เช่ียวแรงแข็งขัน ให้คอยรับจับประจัญต่อตี...ในชั้นพระเมรุเป็น
คำ� รบ ๔ นน้ั จดั ฝูงยกั ษ์อันตวั กล้าตวั หาญ ยงั่ ยนื ในการศึกสงครามนัน้ ให้ตง้ั
กองสกัดกัน้ เอาใจใส่อภบิ าลรักษา...ในช้นั พระเมรุเป็นคำ� รบ ๕ นั้น ให้ท้าวจตุ
มหาราชทงั้ ๔ พระองค์ คอื ทา้ วธตรฐั ทา้ ววริ ฬุ หก ทา้ ววริ ปู กั ษ์ ทา้ วเวสสวุ ณั ...” ๒๒
ข้อเสนอดังกล่าวสอดคล้องกับสวม “เกราะ” ของรูปแบกฐานปรางค์
ประธาน ซึ่งรูปยักษ์และเทวดาแบกต่างพร้อมใจกันสวมเกราะ รูปยักษ์แบก
สวมเกราะเป็นสายคาดท่ีหน้าอก รัดเกราะเป็นแผ่นโค้งแนบลำ� ตัว และเทวดา
แบกสวมเกราะคล้ายเสื้อเสนากุฎ มีรูปหน้าขบคาบสายรัดเกราะท่ีหน้าอกและ
แขนรปู เหรา ยกเว้นรูปกระบแ่ี บกสวมสังวาลและทบั ทรวงแต่ไม่สวมเกราะ ต่าง
จากรปู แบกทฐ่ี านปรางค์บรวิ ารและมณฑปทศิ ซง่ึ ไม่สวมเกราะอย่างชดั เจน การ
สวมเกราะของรูปแบกฐานปรางค์ประธานแสดงถึงการ “ออกรบ” ซงึ่ ในท่นี เี้ หน็
วา่ เกย่ี วขอ้ งกบั การทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ “กองรกั ษาสวรรค”์ ตามทป่ี รากฏในไตรภมู โิ ลก
วินิจฉยกถา ทงั้ สองสำ� นวน กล่าวคอื “รูปยกั ษ์แบกสวมเกราะ” แทนกมุ ภณั ฑ์
และยักษ์ซ่งึ อยู่บนชานชัน้ ที่ ๓ และ ๔ ของเขาพระสุเมรุ และ “รูปเทวดาแบก
สวมเกราะ” แทนเทพยดาและคนธรรพ์บริวารของท้าวจตุมหาราชท้ัง ๔ องค์
บนชานชน้ั ที่ ๕ ของเขาพระสุเมรุ อนั เป็นชน้ั สุดท้ายก่อนจะขนึ้ ไปถึงสวรรค์ช้ัน
ดาวดงึ ส์ทีต่ งั้ ของสุทสั นมหานครของพระอนิ ทร์
อยา่ งไรกด็ ี มปี ญั หาอยบู่ า้ งตรงทร่ี ปู กระบแี่ บก เนอื่ งจากไมพ่ บวา่ เปน็ หนงึ่
ในกองกำ� ลงั รกั ษาสวรรคใ์ นไตรภมู โิ ลกวนิ จิ ฉยกถา ชาตรกี ลา่ ววา่ นา่ จะเกยี่ วขอ้ ง
กับอิทธิพลจากรามเกียรติ์ท่ีแทรกสอดเข้าไปในงานศิลปกรรมไทย๒๓ ซ่ึงผู้
เขียนเห็นด้วยกบั ข้อสันนิษฐานดังกล่าว โดยเพ่มิ เตมิ ว่าอาจเกยี่ วข้องกับสุครพี
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
114
รปู เทวดาแบกฐานมณฑปทิศ (บน) และยกั ษแ์ บกสลบั กระบี่แบกฐานปรางคบ์ ริวาร (ลา่ ง)
รอบปรางค์ประธานวดั อรุณราชวราราม “ไม่สวมเกราะ”
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
115
รปู เทวดาแบก (บน) และยกั ษ์แบก (ล่าง) ฐานปรางคป์ ระธานวัดอรณุ ราชวราราม “สวมเกราะ”
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
116
พญาวานรน้องชายของพาลี ผู้ออกอุบายจ้ีสะดือพญานาคซ่ึงพันรอบเขา
พระสุเมรุท่ีทรุดอยู่ต่างเชือกรั้งไว้ จนพญานาคน้ันสะดุ้งอย่างแรงเป็นจังหวะ
รั้งเขาพระสุเมรุต้ังตรงได้ หลังจากทรุดเอียงเพราะถูกรามสูรจับอรชุนฟาดกับ
เหลี่ยมเขาพระสเุ มรจุ นขาดใจตาย ดงั ปรากฏในรามเกียรตฉ์ิ บบั พระราชนิพนธ์
รชั กาลท่ี ๑
รูปยักษ์แบกและเทวดาแบกสวมเกราะท่ีฐานปรางค์ประธาน จึงเป็น
รูปธรรมช่วยย้�ำว่าชุดฐานของปรางค์แทนสัตตบริภัณฑ์และเขาพระสุเมรุ ดัง
พรรณนาไวใ้ นไตรภมู โิ ลกวนิ จิ ฉยกถา สำ� นวนท่ี ๑ วา่ “สตั ตภณั ฑครี .ี ..ทงั้ ๗ นตี้ ง้ั
เสมอรอบๆ กัน แต่เขาพระสุเมรุเป็นล�ำดับกันออกมา บุคคลทัศนาการเห็น
เหมือนดังบันได ย่อมเป็นนิวาสสถานท่ีอยู่แห่งหมู่เทวดา แลคนธรรพ์ ยักษ์
กุมภัณฑ์ สุบรรณ ครธุ าราชปักษี อันมฤี ทธานุภาพ”๒๔
อย่างไรกด็ ี ผู้เขยี นเหน็ ว่า ฐานทง้ั ๓ ชน้ั น้ีเท่าน้ันที่นับเป็นเขาพระสเุ มรุ
ส่วนเรือนธาตุของพระปรางค์ประธานที่ต้ังอยู่บนฐานสิงห์ซ้อนกัน ๓ ชั้นและ
จระนำ� ของเรอื นธาตเุ ปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานรปู พระอนิ ทรท์ รงชา้ งเอราวณั ซงึ่ นกั วชิ าการ
ให้ความเห็นว่าเป็นส่วนสวรรค์ของพระอินทร์ และบนสวรรค์ของพระอินทร์ก็
เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานพระเจดยี จ์ ฬุ ามณนี น้ั ๒๕ ผเู้ ขยี นกลบั เหน็ ว่า เรอื นธาตขุ องพระ
ปรางค์ประธาน คอื วมิ านไพชยนต์หรอื “วิมานพระอินทร์” ทตี่ ัง้ อยู่บนยอดเขา
พระสุเมรุ ซง่ึ แทนด้วยฐาน ๓ ชนั้ ดงั กล่าวอีกทีหนึง่ เหน็ ได้จากซุ้มจระนำ� ของ
เรอื นธาตทุ งั้ ๔ ดา้ นทตี่ ามปกตจิ ะประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู กลบั เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐาน
รูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ รวมทั้งช้ันอัสดงก็ประดับด้วยรูปพระนารายณ์
ทรงสุบรรณอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน๒๖
นอกจากน้ี การประดบั ยอดปรางคข์ นาดเลก็ เหนอื สนั หลงั คาของซมุ้ จระนำ�
ทงั้ ๔ ดา้ น เมอ่ื รวมกบั ยอดประธานของพระปรางคเ์ ปน็ ๕ ยอดตามคตจิ กั รวาล
ทำ� ใหย้ อดของพระปรางคท์ ง้ั ๕ ยอดดเู หมอื นปราสาทหา้ ยอด ดงั มตี วั อยา่ งปราสาท
ยอดปรางค์ห้ายอด อาทิ พระท่นี ั่งเวชยันตวเิ ชยี รปราสาทท่ีพระนครคีรี (เขาวงั )
สร้างในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และปราสาทห้ายอด
ในจติ รกรรมฝาผนงั เรอ่ื ง “นารทชาดก” ภายในอโุ บสถวดั ประดทู่ รงธรรม จงั หวดั
พระนครศรีอยธุ ยา บูรณปฏสิ งั ขรณ์ในรัชกาลเดยี วกนั เม่ือพทุ ธศกั ราช ๒๔๐๒
ที่ยอดนภศูลอาจประดับด้วยพระมหามงกุฎเช่นเดียวกับพระปรางค์วัดอรุณ
ราชวราราม
ดว้ ยเหตนุ ี้ ยอดทงั้ ๕ ของพระปรางคป์ ระธานจงึ เทยี บไดก้ บั ปราสาทหา้ ยอด
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
117
พระที่นงั่ เวชยันตวเิ ชยี รปราสาท พระนครคีรี จงั หวัดเพชรบุรี เปน็ ปราสาทยอดปรางค์
หา้ ยอดตามแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ ๔
โดยมีรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณประดับอยู่ท่ีชั้นอัสดง ซ่ึงเทียบได้กับรูป
ครุฑยดุ นาครองรับไขราของพระมหาปราสาท เช่น พระที่นัง่ ดุสิตมหาปราสาท
ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อประกอบกับรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณที่ซุ้ม
จระน�ำของเรือนธาตุด้วยแล้ว เรือนธาตุของพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามจึง
เปรียบได้กับวิมานไพชยนต์ของพระอินทร์ โดยมีพระมหามงกุฎท่ียอดนภศูล
เป็นสัญลักษณ์ของ “ยอดวิมานพระอินทร์” ตามอินทรคติที่ปรากฏในคัมภีร์
ปัญจราชาภิเษก
อน่ึง น่าสนใจที่คัมภีร์ปัญจราชาภิเษก ยังถวายค�ำแนะน�ำให้พระมหา
กษตั รยิ ผ์ ทู้ รงราชาภเิ ษกแลว้ ทรง “อธฐิ านอาตมพระองคเ์ อง” คอื ทรงอธษิ ฐานวา่
พระองค์เป็น “เขาพระสุเมรุราชอนั ต้งั อยู่เป็นหลักพระธรณีในพ้นื ปฐพีดล” และ
กล่าวเปรียบพระวรกาย เช่น พระหตั ถ์ทง้ั ซ้ายขวาและฝ่าพระบาทคอื ทวีปทั้งสี่
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
118
จติ รกรรมฝาผนัง เร่อื ง “นารท
ชาดก” ในพระอุโบสถวัดประดู่ทรง
ธรรม จังหวัดพระนครศรอี ยธุ ยา แสดง
ภาพปราสาทยอดปรางค์ห้ายอดซ่ึงมี
พระมหามงกุฎอยู่บนยอดนภศูลของ
ยอดประธาน
และเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์ อาทิ พระมหามงกฎุ เปรยี บไดก้ บั ยอดวมิ านพระอนิ ทร์
นน้ั ความดงั กลา่ วสอดคลอ้ งกบั องคป์ ระกอบทางสถาปตั ยกรรมและความหมาย
เชิงสัญลักษณ์ของพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามท่ีปรางค์บริวารท้ังส่ีเปรียบได้
กับมหาทวีปท้ังส่ี ฐานปรางค์ประธานเปรียบได้กับเขาพระสุเมรุ เรือนธาตุซ่ึงมี
ยอดนภศลู ประดบั ดว้ ยพระมหามงกฎุ เปรยี บไดก้ บั วมิ านไพชยนตข์ องพระอนิ ทร์
ดงั กลา่ วถงึ แลว้ ขา้ งตน้ จงึ อนมุ านไดว้ า่ พระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั อาจ
ทรง “อธฐิ านอาตมพระองคเ์ อง” วา่ ทรงเปรยี บไดก้ บั เขาพระสเุ มรุ ศนู ยก์ ลางแหง่
พิภพ ผ่านพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามท่ีทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ตามนัยแห่ง
คัมภรี ์ดังกล่าว หรอื กล่าวอกี นยั หนงึ่ ก็คอื พระปรางค์วดั อรณุ ราชวรารามเป็นด่งั
พระปรางคฉ์ ลองพระองค์ของพระบาทสมเดจ็ พระนง่ั เกล้าเจ้าอย่หู วั ในลกั ษณะ
เดยี วกบั ทท่ี รงสร้างพระพทุ ธรงั สฤษดเิ์ ป็นพระพทุ ธรปู ทรงเครอื่ งฉลองพระองค์
นัน่ เอง
ถึงแม้ว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพจะทรง
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
119
พระนิพนธ์ไว้ในหนังสือความทรงจำ� ว่า “การที่เอามงกุฎขึ้นต่อบนยอดนภศูล
ก็ไม่เคยมีแบบอย่างท่ีไหนมาแต่ก่อน คนในสมัยน้ันจึงพากันสันนิษฐานว่ามี
พระราชประสงค์จะให้คนทั้งหลายเหน็ เป็นนิมติ ว่าสมเด็จเจ้าฟ้า ‘มงกุฎ’ จะเป็น
ยอดของบ้านเมืองต่อไป”๒๗ และยังได้รับการผลิตซ้�ำเป็นความรู้เช่นว่านั้นมา
จนถึงปัจจุบันก็ตาม๒๘ แต่ผู้เขยี นเช่อื ว่า การนำ� พระมหามงกุฎของพระประธาน
วัดนางนองวรวิหารไปสถิตบนยอดนภศูลของพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม
อันเปรียบได้กับวิมานไพชยนต์ซ่ึงตั้งอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุศูนย์กลางของ
จกั รวาลอกี ทหี นง่ึ เปน็ การสอ่ื ความหมายเชงิ สญั ลกั ษณใ์ นฐานะทพี่ ระมหามงกฎุ
เปรียบได้กับยอดของวิมานพระอินทร์บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์เช่นเดียวกับที่
ปรากฏเป็นงานสถาปัตยกรรมประเภทกุฎาคารยอดมงกุฎหรือยอดทรงมงกุฎ
นน่ั เอง
จากยอดวิมานพระอินทร์
สู่พระบรมราชสัญลักษณ์ประจำ�พระองค์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงใช้รูปพระมหาพิชัยมงกุฎ
เป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ประจ�ำพระองค์ ประดิษฐ์จากพระปรมาภิไธยเดิม
ว่า “มงกุฎ” และทรงสร้างเป็นพระราชลัญจกรประจำ� พระองค์ขึ้นหลายองค๒์ ๙
จงึ ไม่เป็นทน่ี ่าแปลกใจว่า เหตุใดผู้คนในสมัยนั้นจงึ โจษจันว่า การเชญิ พระมหา
มงกุฎสถิตบนยอดนภศูลของพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามเป็นสัญลักษณ์ที่
สื่อว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงครองราชสมบัติต่อไป
เพราะนอกจากมงกฎุ จะเปน็ พระบรมราชสญั ลกั ษณป์ ระจ�ำพระองคใ์ นกาลตอ่ มา
แล้ว เมื่อได้ทรงครองราชย์แล้วจริงๆ เร่ืองดังกล่าวก็ดูเหมือนจะลงเอยตามท่ี
โจษจนั กนั การเชญิ พระมหามงกฎุ ประดษิ ฐานบนยอดนภศลู ของพระปฐมเจดยี ์
จังหวดั นครปฐม ยอดพระเจดีย์ของวัดมกุฏกษัตรยิ าราม กรงุ เทพมหานคร๓๐
หรอื ยอดนภศลู ของซ้มุ ประตทู รงบษุ บกยอดปรางคส์ บิ เก้ายอด ของพระอโุ บสถ
วัดเขมาภริ ตาราม จงั หวดั นนทบรุ ี พระอารามท่ที รงบูรณปฏิสังขรณ์ จงึ เปล่ยี น
ความหมายเชิงสัญลักษณ์จากยอดวิมานพระอินทร์บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์มา
เป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ประจ�ำพระองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั ในฐานะทที่ รงบรู ณปฏสิ งั ขรณห์ รอื ทรงสรา้ งสถานทด่ี งั กลา่ ว รวมไปถงึ
ความหมายของสถาปตั ยกรรมยอดมงกฎุ หรอื ยอดทรงมงกฎุ ทสี่ รา้ งขนึ้ ในรชั กาล
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
120
ซุ้มประตูทรงบุษบกยอดปรางค์สิบเก้ายอด
ของพระอุโบสถวัดเขมาภิรตาราม จังหวัด
นนทบรุ ี (บน) ปลายนภศลู ของยอดปรางค์
ประธานประดบั พระมหามงกฎุ (ลา่ ง)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
121
พระราชลัญจกรประจ�ำรัชกาลท่ี ๔ ประกอบด้วยพระมหาพิชัยมงกุฎเปล่งรัศมี ซ่ึงเป็น
พระบรมราชสญั ลกั ษณ์ประจ�ำพระองค์จากพระนามเดมิ ว่า “มงกุฎ” แวดลอ้ มดว้ ยฉัตรประกอบ ๗
ชนั้ เคยี งขา้ งดว้ ยสมดุ ตำ� ราบนพานแวน่ ฟา้ ทางดา้ นซา้ ย หมายถงึ ทรงเชย่ี วชาญในทางอกั ษรศาสตร์
และพระแว่นสุริยกานต์ทางด้านขวา หมายถึงพระราชฉายา “วชิรญาโณ” หมายถึงพระราชฉายา
เม่ือตอนทรงพระผนวช และมีความหมายว่า “ผู้มีความสามารถอันสว่างประดุจเพชร” (ภาพจาก
พระราชลัญจกร, ๒๕๓๘)
นีเ้ ป็นต้นไป อาทิ หอระฆงั ยอดทรงมงกฎุ ในวัดราชประดิษฐ พระอารามที่ทรง
สถาปนาขนึ้ กด็ ี กค็ งมงุ่ หมายใหเ้ ปน็ พระบรมราชสญั ลกั ษณอ์ นั สอื่ ความหมายถงึ
พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั แทนทยี่ อดวมิ านพระอนิ ทรต์ ามอนิ ทรคติ
ในรัชกาลพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้าเจ้าอยู่หัวในทสี่ ุด
ปรารภเหตุดังกล่าวข้างต้น ในแง่ความหมายเชิงสัญลักษณ์อันเนื่องกับ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎในศาลา
การเปรียญวัดราชประดิษฐ ซึ่งน�ำพระมหาพิชัยมงกุฎมาขยายมาตราส่วนและ
ถอดรายละเอียดจนเกอื บทุกกระเบยี ดนวิ้ โดยไม่มีการปรบั ลดทอน หรอื ปรงุ
แตง่ ทรวดทรงใหเ้ ปน็ เหลย่ี มมมุ แบบยอดทรงมงกฎุ แตจ่ งใจใหเ้ หมอื นพระมหา
พิชัยมงกุฎมากท่ีสุด และเพ่ือให้สอดคล้องกับพระบรมราชสัญลักษณ์ประจ�ำ
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
122
พระองคพ์ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั คอื พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ไดต้ รง
ทสี่ ดุ ย่อมเป็นทปี่ ระจกั ษ์ชัดว่า บุษบกธรรมาสน์ยอดมงกุฎน้ี คือ สัญลกั ษณ์
ที่สื่อความหมายถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวผู้ทรงสถาปนาวัด
ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี ารามอย่างแท้จรงิ
พมิ พค์ รง้ั แรกในศลิ ปวฒั นธรรม ปที ่ี ๓๑ ฉบบั ที่ ๑๒ (ตลุ าคม ๒๕๕๓) หนา้ ๑๒๖-
๑๔๕. โดยใช้ชอื่ บทความวา่ “บุษบกธรรมาสน์ ‘ยอดมงกฎุ ’ ในการเปรียญวดั ราชประดษิ ฐฯ :
จาก ‘อนิ ทรคต’ิ ในรชั กาลท่ี ๓ สู่ ‘พระบรมราชสญั ลักษณ’์ ประจ�ำรัชกาลท่ี ๔”
ผู้เขียนขอกราบนมัสการพระธรรมไตรโลกาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราชประดิษฐสถิตมหา
สมี าราม พระครูวินัยธรอารยพงศ์ อารยธมโฺ ม และพระมหาอนลุ ักษ์ ทอี่ นญุ าตและชว่ ยอำ� นวย
ความสะดวกในการบันทึกภาพ รวมท้งั มอบขอ้ มลู อันเปน็ ประโยชน์ต่องานเขียนชนิ้ น้ี คณะสงฆ์
วัดบรมวงศ์อิศรวราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่อนุญาตให้บันทึกภาพบุษบกภายในพระ
อุโบสถ
ขอขอบคณุ ผอู้ ำ� นวยการพพิ ธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร ทใ่ี หค้ วามอนเุ คราะหใ์ นการ
บนั ทกึ ภาพบษุ บกธรรมาสนใ์ นหอ้ งไมจ้ ำ� หลกั ของพพิ ธิ ภณั ฑ์ คณุ สชุ าติ สนิ ธวารยนั สำ� หรบั ความ
ช่วยเหลือในการพาไปบันทกึ ภาพบุษบกธรรมาสนย์ อดมงกุฎทีว่ ดั ราชประดษิ ฐถงึ ๒ ครัง้ คุณ
ธัชชยั ยอดพิชยั ผูช้ ่วยบรรณาธิการนิตยสารศลิ ปวัฒนธรรม ชว่ ยบันทกึ ภาพบษุ บกประดิษฐาน
พระประธานในพระอโุ บสถวัดอนงคาราม อย่างไรกด็ ี ความรับผิดชอบท้งั หมดในบทความยอ่ ม
เปน็ ของผเู้ ขยี นเทา่ นนั้
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
123
เชิงอรรถ
๑ ม.ร.ว. แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. “พระที่นั่งทรงธรรม : วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม,”
ศิลปวัฒนธรรม ๒๗ (สิงหาคม ๒๕๔๙) : ๑๔๓.
๒ กรมศิลปากร. ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๔ วัดสำ�คัญกรุงรัตนโกสินทร์. (กรุงเทพ
มหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕๗), น. ๕๔-๕๖. (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในโอกาสสมโภช
กรุงรัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๒๕).
๓ ม.ร.ว. แน่งน้อย ศักดิ์ศรี. “พระที่นั่งทรงธรรม : วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม,”
น. ๑๔๓-๑๕๓.
๔ กรมศิลปากร. ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๔ วัดสำ�คัญกรุงรัตนโกสินทร์, น. ๒๗๙.
๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วย
วัดพระนามบัญญัติ วัดราชประดิษฐ,” ศิลปวัฒนธรรม. ๒๘ (ตุลาคม ๒๕๕๐) : ๗๙-๘๗.
๖ ราชกิจจานุเบกษา. “พระราชบัญญัติสำ�หรับเครื่องราชอิศริยาภรณ์อันเปนที่เชิดชูยิ่ง
ช้างเผือก,” ใน ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม ๑๐, แผ่นที่ ๓๙, ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม รัตนโกสินทร์
ศก ๑๑๒, น. ๔๒๖-๔๒๘.
๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. “พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๕ ว่าด้วย
วัดพระนามบัญญัติ วัดราชประดิษฐ,” น. ๘๖.
๘ พระราชสมบัติ. กลอนนิราศเกาะแก้วกาลกัตตา พระราชสมบัติ การเวก รัตนกุล แต่ง
เมื่อรัชกาลที่ ๔. พิมพ์ครั้งที่ ๒ (พระนคร : โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร, ๒๔๖๓), น. ๕๑.
(พิมพ์แจกในงานปลงศพ นางเปลี่ยน โอสถานนท์ เมื่อปีวอก พ.ศ. ๒๔๖๓).
๙ พิชญา สุ่มจินดา. “พระโกศทองใหญ่รัชกาลที่ ๑ ในการออกพระเมรุสมเด็จพระเจ้า
พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์,” ศิลปวัฒนธรรม. ๓๐
(กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) : ๘๘.
๑๐ สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ. แม่นำ้� ล�ำคลองสายประวัติศาสตร์. พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๓ (กรงุ เทพมหานคร
: ศิลปวัฒนธรรมฉบบั พิเศษ, ๒๕๔๔), น. ๑๙๕.
๑๑ พระศรีภูริปรีชา. “จดหมายเหตุทรงปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามครั้งรัชกาล
ที่ ๓,” ใน ปาฐกถาเรื่องสงวนรักษาของโบราณ จดหมายเหตุทรงปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตน
ศาสดารามครั้งรัชกาลที่ ๓ และการซ่อมภาพผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ในการสมโภชพระนครครบร้อยปี พ.ศ. ๒๔๒๕. น. ๒๓-๓๗ (พระนคร : กรมศิลปากร, ๒๕๑๖),
น. ๒๔.
๑๒ ห้องเอกสารตัวเขียน หอสมุดแห่งชาติ, สำ�เนารายงานเล่ม ๖ ว่าด้วยการปฏิสังขรณ์
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม, จดหมายเหตุรัชกาลที่ ๓, หนังสือสมุดไทยดำ�, อักษรไทย, ภาษา
ไทย, จ.ศ. ๑๑๙๖, เลขที่ ๑/ฉ.
๑๓ พระยาธรรมปรีชา. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา ฉบับที่ ๒ (ไตรภูมิฉบับหลวง). ๓ เล่ม
(กรุงเทพมหานคร : กองวรรณคดีและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, ๒๕๒๐), ๓ : ๑๑๕.
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
124
๑๔ เรื่องเดียวกัน, ๓ : ๑๑๕-๑๑๖.
๑๕ พระพิมลธรรม. “ปัญจราชาภิเษก,” ใน รวมเรื่องราชาภิเษก ธรรมเนียมราชตระกลู ใน
กรุงสยาม พระราชานุกิจ และอธิบายว่าด้วยยศเจ้า, น. ๑-๘ (กรุงเทพมหานคร : กรมศิลปากร,
๒๕๔๑), น. ๘. (พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นายเสริม กรวิทยาศิลป เป็น
กรณพี เิ ศษ ณ ฌาปนสถานวัดมกุฏกษตั รยิ าราม วนั เสารท์ ี่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑).
๑๖ เรื่องเดียวกัน, น. ๓.
๑๗ เรื่องเดียวกัน, น. ๓-๔.
๑๘ กติ ตพิ งษ์ บญุ เกดิ . “การศกึ ษาคตภิ มู จิ กั รวาลในงานสถาปตั ยกรรมในรชั สมยั พระบาท
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว : กรณีศึกษาสถาปัตยกรรมพระอารามหลวงในเขตกรุงเทพ
มหานคร,” (รายงานการศึกษาเฉพาะบุคคล ภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย
ศิลปากร, ๒๕๔๓), น. ๓๕-๓๙. อ้างถึงใน ศักดิ์ชัย สายสิงห์. งานช่างสมัยพระนั่งเกล้าฯ.
(กรุงเทพมหานคร : ศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๕๑), น. ๑๕๑.
๑๙ ชาตรี ประกิตนนทการ, สิทธิศกั ดิ์ นำ�้ ค�ำ และบญั ชา สวุ รรณนานนท์. คตสิ ัญลกั ษณ์
และการออกแบบวดั อรุณราชวราราม. (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร์, ๒๕๕๖), น. ๑๖๖-๑๖๘.
๒๐ พระยาเมธาธิบดีและคณะ. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา สำ�นวนที่ ๑. ปริวรรตโดย นิยะดา
เหล่าสุนทร. (กรุงเทพมหานคร : ลายคำ�, ๒๕๕๕), น. ๓๒๔.
๒๑ พระยาธรรมปรีชา. ไตรภูมิโลกวินิจฉยกถาฉบับที่ ๒ (ไตรภูมิฉบับหลวง). ๓ เล่ม
(กรงุ เทพมหานคร : กองวรรณคดแี ละประวตั ศิ าสตร์ กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๐), เลม่ ๓: ๑๘๐-๑๘๖.
๒๒ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๘๑.
๒๓ ชาตรี ประกติ นนทการ, สทิ ธศิ ักดิ์ น้�ำค�ำ และบัญชา สวุ รรณนานนท์. คติสัญลกั ษณ์
และการออกแบบวัดอรุณราชวราราม. น. ๑๖๘.
๒๔ พระยาเมธาธิบดีและคณะ. ไตรภมู ิโลกวินิจฉยกถา สำ�นวนที่ ๑. น. ๑๗๑.
๒๕ ศักดิ์ชัย สายสิงห์. งานช่างสมัยพระนั่งเกล้าฯ, น. ๑๕๒.
๒๖ เรื่องเดียวกัน, น. ๑๕๐.
๒๗ สมเด็จฯ กรมพระยาดำ�รงราชานุภาพ. ความทรงจำ�. (กรุงเทพมหานคร : ศิลปวัฒน
ธรรมฉบับพิเศษ, ๒๕๔๖), น. ๗๑.
๒๘ ศรศี กั ร วลั ลโิ ภดม. “ท�ำ ไม ร.๓ ไมส่ วมมงกฎุ ,” เมอื งโบราณ. ๓๓ (กรกฎาคม-กนั ยายน
๒๕๕๐) : ๙-๑๐.
๒๙ ส�ำ นกั เลขาธกิ ารคณะรฐั มนตร.ี พระราชลญั จกร. (กรงุ เทพมหานคร : อมรนิ ทร,์ ๒๕๓๘),
น. ๕๖-๑๑๙. (สำ�นักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จัดพิมพ์เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ
พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช เนื่องในมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีกาญจนาภิเษกเสด็จ
เถลิงถวัลยราชสมบัติ ๕๐ ปี วันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๙ และในมหามงคลวโรกาส
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้างและจัดพระราชพิธีจารึกพระราชลัญจกรพระครุฑ
พ่าห์ทองคำ�ประจำ�รัชกาล วันที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๘).
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
125
๓๐ กรมศิลปากร. ศิลปวัฒนธรรมไทย เล่มที่ ๔ วัดสำ�คัญกรุงรัตนโกสินทร์. (กรุงเทพ
มหานคร : กรมศิลปากร, ๒๕๒๕), น. ๔๑. (กรมศิลปากรจัดพิมพ์เนื่องในโอกาสสมโภชกรุง
รัตนโกสินทร์ พุทธศักราช ๒๕๒๕).
แกะรอยหน้าบัน
สัญลักษณ์ “พระจอมเกล้า”
พิชญา สุ่มจินดา
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
128
ความน�ำ
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม ถึงแม้จะเป็นวัดเล็กๆ บนขนาด
พน้ื ทเ่ี พยี ง ๒ ไรเ่ ศษ แตก่ ม็ ศี กั ดเิ์ ปน็ ถงึ พระอารามหลวงชน้ั เอกชนดิ ราชวรวหิ าร
และเป็นวัดประจ�ำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและท่ีบรรจุ
พระบรมอฐั ขิ องพระองค์ใต้พระพทุ ธอาสน์พระประธาน
จารึกหินอ่อนด้านหลังพระวิหารหลวง ลงศักราชตรงกับพุทธศักราช
๒๔๐๗ และ ๒๔๐๘ แสดงถึงพระราชประสงค์หลักซึ่งทรงสร้างพระอาราม
แห่งน้ีเพ่อื ให้เป็น “ทมี่ ั่น” อนั “มนั่ คง” ของพระสงฆ์ธรรมยตุ สืบไป “เผ่อื ว่า ถ้า
เจ้าแผ่นดนิ ต่อไปจะไม่ชอบธรรมยุติกา ไล่เสยี จากวดั หลวงท้ังปวง จะได้อาศัย
วดั น”ี้ ๑ ถงึ กบั ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหซ้ อ้ื ทด่ี นิ บรเิ วณสวนกาแฟหลวงเดมิ
ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างพระอารามให้ “เปนส่วนตัดขาดจากพระ
ราชอาณาเขตร เปนแขวงวิเศศเรียกว่า วิสุงคามสีมา มอบถวายแก่พระสงฆ์
คณะธรรมยุตกิ นิกาย อันมใี นทศิ ท้งั ๔ อันมาแล้วกด็ ี ยังไม่มาแล้วก็ดี เพื่อว่า
ในทก่ี ำ� หนดไวจ้ ะสรา้ งพระเจดยี แลทต่ี ง้ั พระปฏมิ ากร”๒ นอกจากนยี้ งั ทรงอา้ งถงึ
ธรรมเนียมการสถาปนาวัดในนครโบราณ “เคยมีมาในเมืองใหญ่ๆ ที่ต้ังเป็น
กรงุ เทพมหานคร อยา่ งเมอื งสโุ ขทยั เมอื งสวรรคโลก เมอื งพษิ ณโุ ลก แลกรงุ เกา่
คอื มวี ดั มหาธาตุ แลวดั ราชประดษิ ฐาน แลวดั ราชบุรณะ เปนของสำ� หรับเมอื ง
ทกุ เมอื ง”๓ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาราชสงคราม (ทองสกุ ) เป็น
แม่กองในการดำ� เนนิ งานก่อสร้าง เริ่มตงั้ แต่วนั ศุกร์ แรม ๒ คำ�่ เดือน ๘ ปีชวด
จุลศักราช ๑๒๒๖ ตรงกบั วนั ที่ ๒๖ พฤศจิกายน พทุ ธศักราช ๒๔๐๗๔ การ
ก่อสร้างส่วนใหญ่แล้วเสรจ็ ในอกี ๙ เดือน คอื ประมาณเดือนสิงหาคม พทุ ธ
ศักราช ๒๔๐๘ หากการก่อสร้างหรือการประดับตกแต่งเพิ่มเติมได้กระท�ำ
ต่อมาจนถึงพุทธศักราช ๒๔๒๘ ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หวั ๕
วัดราชประดิษฐดูเหมือนจะเป็นพระอารามไม่ก่ีแห่งในประเทศไทย
ท่ีมีหลักฐานปรากฏอย่างชัดเจนว่า ผู้สร้างคือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงวางแผนในการก่อสร้างและก�ำหนดแบบอย่างศิลปกรรมในวัด
ไว้อย่างชัดเจน ดังปรากฏในเอกสารตัวเขียนร่วมสมัย๖ และพระราชนิพนธ์
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว๗ แต่การหลายอย่างก็มิได้
ส�ำเร็จลงในรัชกาลของพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
129
พระวหิ ารหลวงวดั ราชประดษิ ฐสถติ มหาสมี าราม พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ใหส้ ร้างขน้ึ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๐๗ มีหน้าบันประธาน หนา้ บันช้นั ลด และหน้าบันมุขโถงท่ี
แสดงสัญลักษณ์อันเกี่ยวข้องกับพระองค์เหมือนกันทั้งด้านทิศเหนือและทิศใต้ (ภาพจาก ราชประดิษฐ
พิพิธบรรณ, ๒๕๕๓)
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
130
จึงได้ทรงรับพระราชภาระด�ำเนินการต่อจนแล้วเสร็จบริบูรณ์ตามพระราช
ประสงค์ “เพราะถือว่าเปนวัดของทูลหม่อม (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว-ผู้เขียน) โปรดอย่างย่ิงกว่าวัดอื่นๆ จะขอฉลองพระเดชพระคุณเอง
ให้ตลอดเสมอไป”๘ ทรงพระราชนิพนธ์ถึงโครงการก่อสร้างท่ีสมเด็จพระบรม
ชนกนาถได้ทรงวางแผนไว้โดยเฉพาะงานศิลปกรรมประดับตกแต่งต่างๆ ใน
วัดราชประดิษฐว่า “ทรงกะเองหมดทง้ั นั้น เสดจทอดพระเนตรการเสมอทกุ วนั
ไม่ได้ขาด จนการก่อสร้างล่วงไปได้เปนอันมากยงั อยู่แต่การช่าง ถึงดงั นั้นกไ็ ด้
ทรงกะแล้วทกุ อย่าง”๙ ส่งิ ทีพ่ ระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “ทรงกะไว้”
มดี ังต่อไปน้ี
“บานหน้าต่างข้างนอกโปรดลายสลักบานประตูวัดสุทัศน์ หลังบาน
โปรดลายญี่ปุ่นวัดนางชี ท่านก็ทรงส่ังพระยาโชฎึกราชเศรษฐี (จ๋อง) ให้ท�ำ
มา ลายเพดานโปรดอย่างวัดราชประดิษฐโบราณและวัดสุวรรณดาราราม
แต่ดาวอย่างวัดสุวรรณฯ รับส่ังว่าเปนเกือกพวงไป ทรงแก้ไขใหม่ให้เปนอย่าง
เช่นติดอยู่วัดราชประดิษฐเดี๋ยวนี้ ลายเขียนผนังทรงพระราชดำ� ริเอง เปนเทพ
ชุมนุม ซ่ึงเทวดามีรัศมีเปนพวกๆ คร้ังแรกซ่ึงวัดอื่นเอาอย่าง...รับสั่งจะให้
เชิญพระชินศรี พระชินราช พระศาสดาองค์น้อยท้ัง ๓ องค์ไปไว้ด้วย...
เดิมทรงพระราชด�ำริจะให้มีพระบรมรูปอยู่ท่ีซุ้มจรณ�ำหลังพระอุโบสถ...พระ
เจดยี ์ทรงพระราชดำ� รจิ ะหุ้มศลิ าทัง้ องค์ แต่ปลยี อดจะให้หุ้มทอง เหมอื นอย่าง
พระมหาธาตเุ มอื งนครศรธี รรมราช แตท่ รงพระราชด�ำรวิ า่ จะหมุ้ ทองกจ็ ะไมถ่ าวร
จะก้าไหล่”๑๐
พระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ
แม้จะเป็นวัดประจ�ำรัชกาลขนาดเล็กจนดูเหมือนย่อส่วนมาจากพระ
อารามขนาดใหญ่ที่เคยสร้างมาในรัชกาลก่อนๆ แต่วัดราชประดิษฐก็ยังคง
ครบครันด้วยองค์ประกอบหลักของพุทธสถาปัตยกรรมภายในวัดท่ีวัดพึงมี
ทั้งเขตพุทธาวาส เขตสังฆาวาส และเขตอุปจารวัด ตามขนบนิยมในการสร้าง
วัดทุกประการ๑๑ กล่าวเฉพาะเขตพุทธาวาสซึ่งวางผังตามแนวแกนทิศเหนือ
และทศิ ใตอ้ นั เปน็ แนวแกนหลกั ของวดั ประกอบดว้ ย “พระวหิ ารหลวง” หนั หนา้
สู่ทิศเหนือ ด้านหลังของพระวิหารหลวงทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุ
พระบรมสารีริกธาตุ๑๒ นามว่า “ปาสาณเจดีย์” แปลว่า เจดีย์หิน เป็นเจดีย์
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
131
ทรงลังกาทรวดทรงอย่างเจดีย์ทรงลังกาสมัยอยุธยา ในแบบแผนเดียวกับการ
วางผังของพระอารามในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายท่ีนิยมวางตำ� แหน่งของ
เจดีย์หรือปรางค์ไว้ด้านหลังวิหาร หรืออุโบสถ เช่น วัดกษัตราธิราช จังหวัด
พระนครศรีอยธุ ยา วดั บันไดหิน จงั หวัดลพบุรี เป็นต้น ทัง้ นี้ เมอ่ื พุทธศักราช
๒๔๐๙ เวลาเดียวกับท่ีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างวัด
ราชประดษิ ฐได้เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ ยงั กรงุ เก่าอยุธยา ทอดพระเนตรแบบศลิ ป
กรรมในวัดราชประดิษฐานในเขตเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา เพ่ือเป็นแบบ
ให้กับการสร้างวัดราชประดิษฐจึงอาจจะทรงนำ� รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของ
วัดในกรุงเก่ารวมทั้งแบบอย่างงานช่างมาใช้ในการก่อสร้างวัดราชประดิษฐด้วย
ความพิเศษของวัดราชประดิษฐยังอยู่ท่ีการออกแบบพัทธสีมาเขตของวัดให้
เป็น “นิมิตรมหาพัทธสิมา”๑๓ ครอบคลุมอาคารหลายหลังทั้งในเขตพุทธาวาส
และสังฆาวาสท่ีสามารถท�ำหน้าท่ีดุจเดียวกับ “อุโบสถ” ที่ใช้ท�ำสังฆกรรม
ของพระสงฆ์อยแู่ ล้ว ปจั จบุ นั ทางวดั จงึ เรยี กอาคารหลงั นว้ี า่ “พระวหิ ารหลวง”๑๔
นับว่าสอดคล้องกันเป็นอย่างดีกับช่ือเรียกสถาปัตยกรรมประเภทนี้ว่า “วิหาร
หลวง” ตามพระบรมราชาธบิ ายของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า
“พระพิหารใหญ่ที่ต่อกับพระเจดีย์หรือพระปรางค์ ในหลวงจะสร้างก็ดี
ผู้อ่ืนจะสร้างก็ดี ก็เรียกชื่อวิหารหลวง เป็นช่ือของไม่เป็นช่ือตามความจริง ก็
พิหารอ่ืนถึงจะใหญ่จะโตในหลวงจะทรงสร้าง ถ้าไม่มีพระเจดีย์พระปรางค์อยู่
หลงั มีพระระเบียงล้อมแล้ว ก็ไม่ช่ือว่าพหิ ารหลวง”๑๕
ดังน้ัน “วิหารหลวง” จึงไม่ใช่วิหารท่ีมีขนาดใหญ่โตตามช่ือ แต่เป็นชื่อ
เรียกวิหารประเภทหน่ึงที่มีเจดีย์หรือปรางค์ต้ังอยู่ด้านหลัง เช่น ในกรณีของ
พระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ (ต่อไปน้ีจะเรียกว่า พระวิหารหลวง) หรือ
พระวิหารหลวงวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ต่างก็มีเจดีย์
ทรงลังกาอยู่ด้านหลังพระวิหารหลวง เป็นต้น หรืออาจมีระเบียงคดล้อมรอบ
เจดยี ห์ รอื ปรางคป์ ระธานกไ็ ด้ เชน่ ในกรณขี องพระวหิ ารหลวงพระศรสี รรเพชญ์
วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา หรือพระวิหารหลวงท่ี
ประดษิ ฐานพระอัฏฐารส วัดพระศรรี ตั นมหาธาตุ จงั หวัดพษิ ณโุ ลก เป็นต้น
พระวิหารหลวงท่ีใช้เป็นพระอุโบสถของวัดราชประดิษฐด้วยนี้ เป็น
วิหารขนาด ๗ ห้อง หลังคาลดซ้อนกัน ๒ ช้ัน และมีตับหลังคาซ้อนกัน ๓
ช้ัน มุงกระเบ้ืองกาบูเคลือบสีส้มประกอบกระเบ้ืองเชิงชาย เป็นการรื้อฟื้น
แบบอย่างของกระเบื้องมุงหลังคาพระอารามในสมัยอยุธยาขึ้นใหม่ เช่นเดียว
ถอดรหัสพระจอมเกล้า
132
กับเครื่องล�ำยองก็เป็นแบบไทยประเพณี ประกอบด้วย ช่อฟ้า ใบระกา หาง
หงส์ และนาคสะดุ้งประดับกระจกสี มีมุขโถงท้ังด้านหน้าและด้านหลังเป็น
มุขลอยประดับสาหร่ายรวงผึ้ง เสารบั มุขโถงเป็นเสาเหลย่ี มเพิ่มมุม หวั เสาเป็น
บวั จงกล ด้านข้างตง้ั เสาพะไลแบบไม่มีฐานรองรับหรือ “พะไลลอย” รับชายคา
ปีกนก หัวเสาเป็นบัวโถ โดยไม่มีคันทวยรองรับชายคา๑๖ เป็นลักษณะของ
วิหารและอุโบสถแบบไทยประเพณีที่อาจจะได้รับแบบอย่างมาจาก
สถาปัตยกรรมในสมัยอยุธยาตอนปลาย เช่น อุโบสถวัดหน้าพระเมรุ
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่ีมีเสาพะไลรองรับตับหลังคา หรืออุโบสถขนาด
กลางของวัดบรมพุทธารามและวัดพญาแมน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่ง
ใกล้เคียงกับขนาดของพระวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ เป็นต้น เสมือนเป็น
การฟื้นฟูความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาซึ่งพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง
ข้ึนใหม่อีกคร้ังผ่านงานศิลปกรรมอันเป็นพระราชนิยมอย่างหน่ึงใน
รัชสมยั ของพระองค์
ผนงั ภายนอกพระวหิ ารหลวงประดบั หนิ ออ่ นสเี ทา-ขาว สลบั สไี มเ่ สมอกนั
ส่วนเสารับมุขโถงและเสาพะไลประดับหินอ่อนรูปแปดเหลี่ยมพ้ืนขาวสลับ
หนิ ออ่ นสเี ทาเปน็ รปู ขา้ วหลามตดั ชว่ ยเสรมิ สรา้ งมติ ขิ องสใี หแ้ ตกตา่ งกนั ระหวา่ ง
ผนังและเสาของพระวิหาร การประดับหินอ่อนบนผนังและเสาของพระ
วิหารหลวงหรือพระอโุ บสถเปน็ แบบอย่างท่รี เิ ร่มิ ในรชั กาลนี้ ดังเห็นได้
จากพระอุโบสถพระพุทธรัตนสถาน ในพระบรมมหาราชวัง ก็เริ่มประดับ
หินอ่อนในปีไล่เล่ียกับการสร้างวัดราชประดิษฐ ท�ำให้ชวนคิดได้ว่าคงเป็น
แรงบันดาลพระราชหฤทัยให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่ัง
หินอ่อนจากประเทศอิตาลีมาประดับพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
อยู่ไม่น้อย บานประตูและหน้าต่างเป็นซุ้มยอดทรงมงกุฎส่ือถึงพระบรมราช
สัญลักษณ์ประจำ� พระองค์ของผู้ทรงสถาปนาวดั ภายในพระวหิ ารหลวงประดษิ
ฐานพระพทุ ธสหิ งั คปฏมิ ากรเป็นพระประธานค่กู บั พระพทุ ธสหิ งั คปฏมิ ากรนอ้ ย
ในบุษบกใหญ่ ใต้พุทธอาสน์ของพระพุทธรูปท้ัง ๒ องค์เป็นที่บรรจุพระบรม
อัฐิพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านหลังมีบุษบกน้อยติดผนัง
ประดษิ ฐานพระพุทธชนิ ราชน้อย พระพทุ ธชนิ ศรนี ้อย และพระศรศี าสดาน้อย
ผนังตอนบนของทุกด้านเขียนภาพเทพชุมนุมในกลีบเมฆ ตอนกลางระหว่าง
บานประตูและหน้าต่างเขียนภาพพระราชพิธีสิบสองเดือนและเหตุการณ์การ
ทอดพระเนตรสุรยิ ุปราคาในพระบรมมหาราชวัง